ความลับแห่งจินเหลียน ส่วนที่ 4 ตอน 1-11

 ส่วนที่ 4 

1.1 คำนับศิลา

 


 


 


เหล่าหลี่ที่เป็นนายหน้าพามาดูหินหยกได้แต่ถอนหายใจ “ผู้เฒ่าหูเป็นคนแปลกๆ น่ะครับ ความจริงแกมีเงินเยอะ แต่ไม่รู้ทำไมถึงชอบหมกตัวอยู่ในที่แบบนี้ ผมเองก็จนปัญญาแล้วเหมือนกัน คุณซีเหมินอย่าถือสาเลยนะครับ คิดเสียว่ามาดูหินหยกจะได้สบายใจขึ้น”


 


 


ซีเหมินจินเหลียนกวาดสายตามองสำรวจสภาพแวดล้อมโดยรอบแล้วรู้สึกสยองขึ้นมาจริงๆ เพราะดูอย่างไรมันก็เหมือนฉากในภาพยนตร์สยองขวัญไม่มีผิด บรรยากาศวังเวงราวกับมีสิ่งลี้ลับและที่เปลี่ยวเช่นนี้เหมาะเป็นสถานที่ก่ออาชญากรรมเป็นที่สุด


 


 


นอกจากบรรยากาศที่วังเวงและน่าสยองขวัญแล้ว ซีเหมินจินเหลียนยังสังเกตเห็นว่าตรงมุมกำแพงมีขยะกองใหญ่ที่ส่งกลิ่นเน่าเหม็นลอยคละคลุ้งอยู่ในอากาศ


 


 


“ที่นี่เป็นสิ่งก่อสร้างผิดกฎหมายใช่ไหมครับ” จ่านป๋ายถามพร้อมสูดหายใจเข้าปอดลึกๆ อากาศที่นี่แย่มากจริงๆ


 


 


“ใช่ครับ แต่ที่นี่กำลังจะถูกรื้อถอนแล้วล่ะครับ” เหล่าหลี่พยักหน้าตอบจ่านป๋าย “คนที่เคยอาศัยอยู่ที่นี่ย้ายออกกันไปหมดแล้ว เหลือแต่ผู้เฒ่าหูคนเดียวนี่แหละครับที่ยังปักหลักอยู่ที่นี่ไม่ยอมย้ายไปไหน…” เหล่าหลี่ได้แต่ส่ายศีรษะแล้วถอนหายใจอีกครั้งเพราะเขาเองก็จนคำพูดกับคนหัวรั้นอย่างผู้เฒ่าเหมือนกัน


 


 


ผู้เฒ่าหูค้าขายหินหยกมานานหลายปีจนร่ำรวยแต่กลับชอบหมกตัวอยู่ในที่น่ากลัวแบบนี้ ทุกครั้งที่เหล่าหลี่พาลูกค้ามาดูหินหยกที่นี่ สีหน้าและแววตาของลูกค้าเหล่านั้นที่มองมายังตัวเขานั้นสามารถทำให้เขาโมโหได้ทุกครั้งสิน่า…


 


 


ซีเหมินจินเหลียนมองดูคนขับรถที่ยืนพิงตัวรถตู้แล้วหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบอย่างสบายอารมณ์ ท่าทางที่ดูคุ้นชินกับสถานที่เช่นนี้เป็นอย่างดีของเขาทำให้เธอใช้เวลาคิดไตร่ตรองเพียงชั่วครู่จึงพยักหน้าให้เหล่าหลี่ “รบกวนนำทางด้วยค่ะ”


 


 


“เชิญคุณซีเหมินตามผมมาเลยครับ!” เหล่าหลี่เอ่ยพลางเดินนำหน้าซีเหมินจินเหลียนไปทันที


 


 


ทั้งคณะเดินตรงไปแล้วเลี้ยวตรงมุมกำแพงจนเห็นประตูไม้เก่าๆ บานหนึ่ง สีน้ำมันบนประตูไม้ที่เคยสวยสดหลุดลอกเป็นขุย ตะปูทองแดงที่เคยวาววับบัดนี้มีแต่สนิมเขรอะ ทวารบาลสิงห์คู่ทำจากหินอ่อนที่เคยยืนขนาบสองข้างประตูผู้ทำหน้าที่ผู้ปกปักษ์รักษาและกำจัดสิ่งชั่วร้าย มาบัดนี้คงเหลือเพียงแท่นหินเก่าๆ เท่านั้น


 


 


“ที่นี่เป็นวัดเหรอครับ” จ่านป๋ายถามอย่างไม่ค่อยมั่นใจนัก


 


 


“ใช่ครับ!” เหล่าหลี่พยักหน้าตอบอย่างไม่ปิดบัง


 


 


“มันดูเก่ามากเลยนะครับ ทำไมถึงยังไม่ถูกรื้อถอนล่ะครับ” จ่านป๋ายตั้งคำถามอีก


 


 


ซีเหมินจินเหลียนเหลียวซ้ายแลขวาด้วยความประหลาดใจ ดูอย่างไรก็ไม่เห็นเหมือนวัดนี่นา? ถ้าที่นี่เป็นวัดจริงๆ ก็ถือว่าเป็นวัดที่เล็กมากและคงสักการะบูชาแค่ถู่ตี้เสิน[1]กระมัง


 


 


“ที่นี่เคยเกิดอุบัติเหตุไฟไหม้จนบริเวณด้านหลังเสียหายทั้งหมด ภายหลังจึงมีสิ่งก่อสร้างที่ไม่ได้มาตรฐานเกิดขึ้นเต็มไปหมดอย่างที่คุณเห็นนั่นแหละครับ” เหล่าหลี่อธิบายพลางชี้ไปยังบริเวณส่วนหลัง “ต่อมาบริเวณส่วนหน้าก็ถูกพัฒนาเป็นอาคารเชิงพาณิชย์แทน ส่วนที่ตรงนี้ถูกคนอื่นซื้อไปและคนซื้อก็ไม่ยอมให้รื้อถอนวัดนี้เสียด้วย ก็เลยทำให้วัดนี้ยังอยู่มาจนถึงทุกวันนี้น่ะครับ”


 


 


“เจ้าของที่คนนี้เป็นคนแปลกดีนะครับ” จ่านป๋ายเอ่ยพร้อมยกยิ้มประชดตรงมุมปาก เขาเคยพบเจอคนแปลกๆ มามากมาย เจ้าของที่นี่ต้องเป็นคนประหลาดอย่างไม่ต้องสงสัย


 


 


เหล่าหลี่ได้แต่ยิ้มแห้งๆ เป็นคำตอบ เขายื่นมือไปจับห่วงประตูแล้วใช้แรงเคาะสองที


 


 


ผ่านไปเพียงไม่กี่นาทีประตูไม้เก่าๆ ก็ถูกเปิดออก คนที่มาเปิดประตูเป็นชายแก่รูปร่างสันทัดสวมชุดฉางผาวที่เป็นเสื้อคลุมยาวสีฟ้า มองเผินๆ แล้วเป็นภาพที่ตลกอย่างบอกไม่ถูก


 


 


ซีเหมินจินเหลียนเห็นชุดฉางผาวสีฟ้าแล้วขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว ภาพของผู้เฒ่าหูกระตุ้นให้เธอหวนนึกถึงความทรงจำที่ถูกกักเก็บไว้ในส่วนลึกที่สุดในจิตใจอีกครั้ง และมันทำให้เธอรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมานิดๆ อย่างบอกไม่ถูก…


 


 


“ผู้เฒ่าหู ผมพาลูกค้ามาดูหินหยกครับ!” เหล่าหลี่เอ่ยบอก


 


 


“เข้ามาสิ!” ผู้เฒ่าหูไม่พูดพร่ำทำเพลง เขาเปิดประตูเชิญทุกคนเข้าบ้านทันที


 


 


ซีเหมินจินเหลียนกับจ่านป๋ายเดินข้ามธรณีประตูเข้าไปถึงได้รู้ว่าข้างในเป็นลานที่มีสวนเล็กๆ ที่เชื่อมอาคารต่างๆ เอาไว้ บริเวณลานเล็กๆ นั้นมีเก้าอี้หวายโยกหนึ่งตัว ข้างๆ กันนั้นมีเครื่องเล่นวิทยุเก่าๆ ที่ไม่รู้ว่าผลิตตั้งแต่ปีไหนวางอยู่บนตั่งเตี้ยๆ เสียงซ่าๆ ที่ดังมาจากเครื่องเล่นวิทยุเก่าๆ เครื่องนั้นฟังไม่ได้ศัพท์จับใจความไม่ได้เลย…


 


 


ซีเหมินจินเหลียนมองดูหน้าตาของเครื่องเล่นวิทยุเครื่องนั้นแล้วสงสัยว่าผู้เฒ่าหูไปเสาะหาเครื่องเล่นวิทยุเก่าขนาดนี้มาจากที่ไหนกัน?


 


 


ผู้เฒ่าหูเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้โยก เขาหลับตาลงแล้วเอ่ยเสียงเรียบเย็น “คุณพาพวกเขาเข้าไปเลือกหินหยกในอาคารทิศตะวันออกนะ เลือกเสร็จแล้วค่อยมาคุยเรื่องราคากัน”


 


 


“ครับ!” เหล่าหลี่รับคำแล้วพาซีเหมินจินเหลียนเดินไปยังอาคารทิศตะวันออก เห็นได้ชัดว่าเหล่าหลี่คุ้นเคยกับที่นี่เป็นอย่างดี มันน่าแปลกมากที่เจ้าบ้านไม่เข้าไปดูสินค้าพร้อมลูกค้า แต่ที่แปลกกว่านั้นคือเหล่าหลี่เองก็ไม่ได้ท้วงติงใดๆ เสียด้วยนี่สิ


 


 


ซีเหมินจินเหลียนถามเสียงแผ่ว “ผู้เฒ่าหูเป็นใครเหรอคะ”


 


 


“ไม่มีใครรู้หรอกครับ” เหล่าหลี่ส่ายศีรษะ “เท่าที่รู้ เขาไม่ใช่คนที่นี่ เขาย้ายมาตั้งรกรากที่เจียหยางช่วงการปฏิวัติทางวัฒนธรรม[2]และเริ่มทำธุรกิจค้าขายหยกที่นี่ เขาเป็นนักเล่นหวยหยกมือฉมังที่มีสายตาเฉียบคมมากและทำกำไรจากหวยหยกได้เยอะมากเลยล่ะครับ เพียงแต่นิสัยออกจะประหลาดไปหน่อย”


 


 


“ประหลาดอย่างไรครับ?” จ่านป๋ายถามด้วยความสงสัย


 


 


“มีคนเห็นว่าเขาค้าขายหยกจนร่ำรวย ตอนนั้นเขายังหนุ่มแน่นจึงมีคนอาสาเป็นแม่สื่อให้ ผู้หวังดีเหล่านั้นต่างหวังว่าเขาจะแต่งงานสร้างครอบครัวที่สมบูรณ์อย่างคนอื่นๆ แต่…เขากลับปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย จนถึงตอนนี้ก็ยังครองตัวเป็นโสดอยู่ตัวคนเดียว ไม่รู้ว่าเขาจะหาเงินเยอะแยะไปทำไมกัน เพราะตายไปก็เอาไปด้วยไม่ได้” เหล่าหลี่เล่าพลางเปิดประตูอาคารทิศตะวันออกออก


 


 


ตอนนี้เป็นเวลาพลบค่ำที่ฟ้าเริ่มมืดแล้ว ห้องหับในอาคารเก่าหลังเตี้ยจึงมืดสนิทไร้แสงสว่างใดๆ เหล่าหลี่กวาดสายตามองไปรอบๆ ห้องมืดๆ ชั่วครู่แล้วยื่นมือไปกดเปิดสวิตช์ไฟ แสงสว่างสีเหลืองนวลจากหลอดไฟทำให้ห้องสว่างขึ้นทันที


 


 


ซีเหมินจินเหลียนมองสำรวจรอบห้อง อาคารทิศตะวันออกนั้นไม่ใหญ่มาก มีหินหยกวางเกลื่อนกลาดอยู่เต็มพื้นห้อง ไม่มีหินหยกก้อนไหนที่ถูกเปิดหน้าหยกเลย ที่สำคัญให้อ่านหยกในห้องมืดๆ ที่มีเพียงแสงสีเหลืองนวลจากหลอดไฟเพียงหลอดเดียวถือเป็นการทดสอบสายตาที่โหดมากจริงๆ


 


 


โบราณท่านว่าเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม ซีเหมินจินเหลียนได้แต่ทำใจยอมรับ เธอหยิบไฟฉายออกจากกระเป๋ามาส่องดูหินหยกที่วางกองระเกะระกะอยู่กับพื้นแล้วเลือกหินหยกที่ลักษณะค่อนข้างดีออกมาอ่านหยก หนึ่งในนั้นเป็นหินหยกน้ำหนักประมาณสามสิบถึงสี่สิบกิโลกรัมที่เป็นหยกเนื้อน้ำแข็งลายมอสในหิมะ[3]


 


 


หินหยกอีกหนึ่งก้อนหนักประมาณสิบกิโลกรัมเท่านั้น มันเป็นหยกสองสีที่เป็นหยกสีเขียวและสีม่วงในชิ้นเดียวกัน สีสันสวยใช้ได้เลยทีเดียว เพียงแต่สีม่วงนั้นสีอ่อนมากเกินไปหน่อย ซีเหมินจินเหลียนรู้ว่าหยกสีเขียวและสีม่วงในชิ้นเดียวกันแบบนี้เรียกกันว่าชุนไต้ไฉ่[4]


 


 


ซีเหมินจินเหลียนรู้ดีว่าหากนำหยกชุนไต้ไฉ่ชิ้นนี้ไปเจียระไนเป็นเครื่องประดับ หยกส่วนที่เป็นสีม่วงอ่อนนั้นเมื่อมองผ่านแสงธรรมชาติจะทำให้สีอ่อนลงไปอีก และหยกสีอ่อนมากขนาดนี้ไม่เป็นที่นิยมในตลาดเสียด้วยสิ แต่ไม่เป็นไร อย่างไรเสียมันก็ยังถือว่าเป็นหยกเนื้อน้ำแข็งที่น้ำงามใช้ได้


 


 


ซีเหมินจินเหลียนคิดใคร่ครวญอยู่ชั่วครู่ ไหนๆ หินหยกก้อนนี้ก็ไม่ได้ก้อนใหญ่มากมายอะไร ซื้อกลับไปเจียระไนเป็นเครื่องประดับสำหรับใส่ในชีวิตประจำวันคงจะเข้าท่าไม่น้อย เพราะเธอคงไม่สะดวกที่จะใส่เครื่องประดับหยกเนื้อแก้วสีเขียวสดในชีวิตประจำวันได้ทุกวัน เกิดกระทบกระแทกเสียหายขึ้นมาเธอคงเสียดายแย่ ยิ่งเครื่องประดับหยกสีแดงลายทองคำยิ่งแล้วใหญ่


 


 


ครั้งนี้ซีเหมินจินเหลียนไม่ได้เล่นแง่ใดๆ คนประหลาดอย่างผู้เฒ่าหูคงต้องใช้วิธีตรงไปตรงมาเท่านั้น เธอจึงเรียกเหล่าหลี่ให้แจ้งผู้เฒ่าหูให้มาคิดเงินหินหยกสองก้อนที่ตัวเองเลือกเอาไว้


 


 


ผู้เฒ่าหูเสนอราคาหินหยกลายมอสในหิมะให้ซีเหมินจินเหลียนในราคาห้าแสนหยวน ส่วนหินหยกชุนไต้ไฉ่สีเขียวและสีม่วงราคาสองแสนหยวน ราคารวมกันทั้งหมดเจ็ดแสนหยวนถ้วนพอดี ผู้เฒ่าหูเอ่ยอย่างไม่อ้อมค้อมโดยไม่เปิดโอกาสให้ซีเหมินจินเหลียนต่อรองราคา “คุณผู้หญิงเป็นลูกค้าที่เหล่าหลี่แนะนำมา ไม่ทราบว่าคุณผู้หญิงรู้กฎของผมหรือยังครับ”


 


 


“กฎอะไรเหรอคะ” ซีเหมินจินเหลียนถามด้วยความไม่เข้าใจ ทำไมเธอไม่เคยได้ยินเหล่าหลี่เอ่ยถึงเรื่องนี้มาก่อนเลยล่ะ?


 


 


เหล่าหลี่หัวเราะเก้อๆ “ผู้เฒ่าหู คือว่าผมยังไม่ทันบอกคุณซีเหมินน่ะครับ!” เอ่ยพลางกุลีกุจอหันไปอธิบายกับซีเหมินจินเหลียน “ความจริงก็ไม่มีอะไรมากหรอกครับ ราคาหินหยกของที่นี่เป็นราคาขาดตัว เพราะผู้เฒ่าหูไม่ขายของเกินราคาแน่นอน ส่วนคุณก็ต่อรองราคาไม่ได้ ถ้าคิดจะซื้อก็ซื้อตามราคาที่เสนอเลยครับ”


 


 


“อย่างนี้นี่เอง ก็ตรงไปตรงมาดีนะคะ” ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้าเข้าใจ เธอเพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่าหินหยกก็ขายในราคาขาดตัวได้ด้วยเหมือนกัน


 


 


“ฉันตกลงตามราคาที่เสนอมาค่ะ แต่วันนี้ฉันมีเงินสดติดตัวมาไม่มาก” ซีเหมินจินเหลียนมุ่นหัวคิ้ว “ตอนนี้ก็มืดแล้ว ฉันขอโอนเงินให้คุณพรุ่งนี้เช้าแทนได้ไหมคะ”


 


 


“ได้สิครับ! ไม่จำเป็นต้องจ่ายเป็นเงินสดก็ได้” ผู้เฒ่าหูพยักหน้าตกลง “ถ้าคุณผู้หญิงอยากได้หินหยกพวกนี้จริงๆ ก็ต้องรบกวนให้คุณวางมัดจำบางส่วนเอาไว้ก่อนนะครับ ผมจะได้เก็บหินหยกสองก้อนนี้เอาไว้ให้คุณ ไม่อย่างนั้น ถ้าเกิดมีคนมาดูสินค้าอีกผมก็ไม่รับรองว่าจะไม่ขายให้คนอื่น”


 


 


ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้าเข้าใจแล้วเอ่ยถาม “คุณหูมีหินหยกแค่นี้เองเหรอคะ” ในเมื่อผู้เฒ่าหูเป็นคนนิสัยแปลกประหลาด อีกทั้งเหล่าหลี่ที่เป็นนายหน้ายังบอกอีกว่าเขามีสายตาที่เฉียบแหลมมาก แล้วจะเป็นไปได้หรือที่เขาจะมีหินหยกเพียงเท่านี้?


 


 


“ยังมีหินหยกอยู่ที่อาคารทิศตะวันตก แต่ราคาค่อนข้างแพงนะครับ!” ผู้เฒ่าหูเอ่ยตอบ


 


 


“ฉันขอไปดูได้ไหมคะ” ซีเหมินจินเหลียนเอ่ยถาม


 


 


ราคาแพงก็ไม่เห็นเป็นไรเลย โดยส่วนตัวแล้วซีเหมินจินเหลียนรู้สึกว่าถึงแม้ผู้เฒ่าหูจะขายหินหยกในราคาขาดตัว แต่ดูจากราคาหินหยกสองก้อนที่เธอเพิ่งซื้อเมื่อครู่นี้แล้วถือว่าหินหยกของผู้เฒ่าหูไม่แพงเลย ถึงเขาจะเสนอราคาเกินจริงและเธอต่อรองราคา สุดท้ายก็จะได้ในราคาที่เขาขายให้เธออยู่ดี หินหยกมีราคาขั้นต่ำของมันอยู่ ไม่มีทางที่จะขายในราคาที่ต่ำเกินไป โดยเฉพาะหินหยกลักษณะดียิ่งเป็นไปไม่ได้เข้าไปใหญ่    


 


 


เหล่าหลี่ยังคงเป็นคนนำทางซีเหมินจินเหลียนกับจ่านป๋ายเดินไปยังอาคารทิศตะวันตกเหมือนเดิม ระหว่างทางที่ทั้งสามเดินผ่านลานที่เชื่อมอาคารต่างๆ เอาไว้ก็เห็นผู้เฒ่าหูกลับไปนั่งอยู่บนเก้าอี้หวายแล้วโยกตัวเบาๆ ข้างๆ กันนั้นมีเครื่องเล่นวิทยุเครื่องเก่าๆ ที่กำลังทำหน้าที่รับสัญญาณที่ฟังไม่ออกว่าเป็นเสียงดนตรีหรือเสียงอะไรกันแน่ เสียงดังแผ่วๆ นั่นฟังแล้วคล้ายเสียงหญิงงามแห่งเจียงหนานกำลังรำพึงรำพันด้วยความเศร้าโศกก็ไม่ปาน


 


 


ทันใดนั้น ซีเหมินจินเหลียนก็รู้สึกราวกับว่าตัวเองได้ย้อนกลับไปในอดีตตอนที่ยังเป็นเด็กอีกครั้ง อาจารย์ของเธอมักจะนั่งโยกตัวอยู่บนเก้าอี้โยกในสวนพลางฟังเครื่องเล่นวิทยุเก่าๆ ที่ส่งเสียงเบาๆ ที่เธอฟังไม่ได้ศัพท์จับใจความไม่ได้เลยสักครั้ง…


 


 


ไม่รู้ว่าอาจารย์ของเธอกำลังฟังเสียงเบาๆ จากเครื่องเล่นวิทยุอยู่จริงๆ หรือมันกำลังครวญครางด้วยความจำใจกันแน่


 


 


พลันสายตาของซีเหมินจินเหลียนก็หยุดอยู่ที่ชุดฉางผาวสีฟ้าของผู้เฒ่าหูอีกครั้ง ชุดสีฟ้าถูกความมืดยามราตรีย้อมเป็นสีดำเฉกเช่นเดียวกันกับผืนฟ้าที่มืดสลัวในยามค่ำคืนที่ให้ความรู้สึกมืดมัว จับไม่ได้ เดาไม่ถูก…


 


 


ระหว่างที่เหล่าหลี่เดินนำซีเหมินจินเหลียนเดินไปยังอาคารทิศตะวันตกนั้น คล้ายๆ ว่าสายตาของผู้เฒ่าหูจะจับจ้องอยู่ที่ปิ่นหยกแกะสลักลายฉลุที่ปักอยู่บนมวยผมของซีเหมินจินเหลียนอยู่ตลอดเวลา


 


 


อาคารทิศตะวันตกเป็นห้องเตี้ยๆ เก่าๆ เช่นเดียวกับอาคารทิศตะวันออก มีเพียงหลอดไฟเพียงดวงเดียวที่ทำหน้าที่ให้แสงสีเหลืองนวลในห้องมืดๆ หินหยกถูกวางระเกะระกะอยู่เต็มพื้นห้อง และหินหยกในอาคารนี้เป็นหินหยกลักษณะดีกว่าหินหยกที่อยู่ในอาคารทิศตะวันออกอย่างที่ผู้เฒ่าหูบอกเอาไว้จริงๆ


 


 


ซีเหมินจินเหลียนรู้สึกว่าครั้งนี้มาไม่เสียเที่ยวจริงๆ ประธานเฉินที่พลาดโอกาสไม่ได้มาด้วยกันถือว่าเป็นเรื่องที่น่าเสียดายมาก


 


 


เธอยืนมองหินหยกบนพื้นแล้วก็ไม่รู้ว่าควรจะเริ่มจากตรงไหนดี สารภาพตามตรง ถ้าอาศัยการอ่านหยกเพียงอย่างเดียวถือว่าเธอยังเป็นไก่อ่อนที่รอคอยการถูกเชือดเท่านั้น แต่จะให้เธอใช้พลังพิเศษดูหยกทุกก้อนก็เป็นไปไม่ได้อีกเช่นกัน


 


 


ซีเหมินจินเหลียนนิ่งคิด เธอคงต้องเลือกหินหยกที่ถูกตาต้องใจออกมาบางส่วนแล้วใช้พลังพิเศษเสียแล้ว


 


 


 


 


 


 


[1] 土地爷或土地神 เจ้าที่หรือที่คนจีนเรียกว่า “ถู่ตี้เย๋ หรือ ถู่ตี้เสิน” (ภาษาจีนแต้จิ๋วเรียกว่า “ตี่จู่เอี๊ย”) ชาวจีนส่วนใหญ่จะมีการตั้งเจ้าที่บนพื้นภายในบ้านโดยเป็นศาลเจ้าเล็ก ๆ ที่มีรูปวาดหรือรูปปั้นของผู้เฒ่าอยู่ตรงกลางไว้สักการบูชา ศาลเจ้าจะเป็นสีแดงประดับลวดลายสีสันสวยงาม ชาวจีนนิยมกราบไหว้เจ้าที่กันทุกแรมหนึ่งค่ำ (ชูอิก) และขึ้น 15 ค่ำ (จั่บโหงว) ตามปฏิทินจันทรคติของจีน  


 


 


[2] การปฏิวัติทางวัฒนธรรมใหญ่ของกรรมาชีพ (Great Proletarian Cultural Revolution) หรือที่รู้จักกันทั่วไปว่า การปฏิวัติวัฒนธรรม (Cultural Revolution) เป็นขบวนการทางสังคม-การเมืองซึ่งเกิดขึ้นในสาธารณรัฐประชาชนจีนตั้งแต่ปี 2509 เหมาเจ๋อตงซึ่งขณะนั้นเป็นประธานพรรคคอมมิวนิสต์จีน เป็นผู้ริเริ่มขับเคลื่อน เป้าหมายที่แถลงไว้ คือ เพื่อบังคับใช้ลัทธิคอมมิวนิสต์ในประเทศโดยการขจัดองค์ประกอบที่เป็นทุนนิยม ประเพณีและวัฒนธรรมจีน ออกจากวัฒนธรรมคอมมิวนิสต์และเพื่อกำหนดแนวทางแบบเหมาภายในพรรค การปฏิวัติดังกล่าวส่งผลให้เหมาเจ๋อตงกลับมามีอำนาจหลังการก้าวกระโดดไกลไปข้างหน้าที่ล้มเหลว ขบวนการดังกล่าวทำให้การเมืองจีนหยุดชะงักและส่งผลกระทบต่อประเทศทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างสำคัญ


 


 


[3]  หยกลายมอสในหิมะ (Moss in snow jade) เป็นหยกสีขาวเนื้อโปร่งแสงถึงเกือบทึบแสง มีสีเขียวอยู่ประปรายเป็นหย่อมๆ คล้ายต้นมอสขึ้นบนหิมะ


 


 


[4]  ชุนไต้ไฉ่ (春带彩) หยกสองสีที่เป็นหยกสีเขียวและสีม่วงในชิ้นเดียวกัน 春  อ่านว่าชุน = สีม่วง ไฉ่ 彩 อ่านว่าไฉ่ = สีเขียว


1.2 คำนับศิลา

 


 


 


 


เมื่อคิดได้ดังนั้นจึงหยิบไฟฉายออกมา หินหยกก้อนแรกที่เธอถูกใจเป็นหินหยกเปลือกสีเทาเขียวก้อนเล็กมาก น้ำหนักประมาณสองกิโลกรัมที่ถูกวางไว้บนก้อนหินหยกเปลือกทรายดำอีกที เธอประมวลข้อมูลหินหยกทั้งหมดที่ท่องจำจนขึ้นใจแล้วสรุปได้ว่ามันน่าจะเป็นหินหยกจากโฮ่วเจียง  


 


 


ซีเหมินจินเหลียนย่อตัวลงนั่งยองๆ แล้วหยิบหินหยกก้อนเล็กๆ นั่นขึ้นมาอ่านหยก เปลือกหยกเนียนละเอียดและมีซงฮวา[1]ประปราย ข้างในน่าจะเป็นหยกสีเขียวเนื้อแก้ว…  


 


 


เธอไม่อยากเสียเวลาอ่านหยกจึงตัดสินใจใช้พลังพิเศษมองทะลุข้างในทันที และเธอต้องผิดหวังเป็นอย่างมาก เพราะข้างในเป็นหยกเนื้อแก้วจริง แต่มันเป็นเพียงแค่หยกสีเขียวติดเปลือกน้อยนิดที่เอาไปทำอะไรไม่ได้เลย 


 


 


“ช่างเถอะ…” ซีเหมินจินเหลียนวางหินหยกก้อนเล็กลงแล้วหันไปสนใจหินหยกเปลือกทรายดำแทน เธอหยิบไฟฉายขึ้นมาส่องดูอยู่ชั่วครู่แล้วต้องชักหัวคิ้วชนกัน…หินหยกเปลือกทรายดำก้อนนี้ดูแล้วลักษณะไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ นอกจากซงฮวาบนเปลือกหยกอันน้อยนิดแล้วก็ไม่เห็นว่าจะมีหมั่งไต้[2]ให้เห็นเลยสักนิด แถมเปลือกหยกยังหยาบมากเสียด้วย ดูแล้วแย่กว่าหินหยกเปลือกสีเทาเขียวก้อนเล็กตั้งเยอะ 


 


 


จากนั้นซีเหมินจินเหลียนก็ใช้พลังพิเศษมองทะลุหินหยกอีกหลายสิบก้อน แต่ก็ไม่เจอหินหยกดีๆ เลย แม้หินหยกบางก้อนจะมีลักษณะดีแต่ข้างในกลับไม่มีหยกน้ำดีเลย ถึงจะเจอหินหยกที่น่าลุ้นอยู่บ้าง แต่พวกมันก็ไม่ดีพอที่จะทำให้เธอสนใจได้ 


 


 


“ดูอีกสักสองก้อนก็แล้วกัน ถ้ายังไม่เจอหินหยกที่ถูกใจ เอาไว้ไปเดินดูที่ตลาดหยกวันพรุ่งนี้ก็ได้!” ซีเหมินจินเหลียนบอกกับตัวเองในใจ มันคงเป็นไปไม่ได้หรอกที่จะเจอหยกชั้นเยี่ยมทุกครั้งที่เธอไปดูหินหยก เมื่อคิดได้แบบนี้จึงค่อยรู้สึกสบายใจขึ้นมาบ้าง 


 


 


หินหยกสองก้อนสุดท้ายที่ซีเหมินจินเหลียนเล็งเอาไว้หนักประมาณยี่สิบถึงสามสิบกิโลกรัม ถือว่าเป็นหินหยกที่มีขนาดไม่ใหญ่นัก และหินหยกทั้งสองก้อนยังเป็นหินหยกเปลือกสีน้ำตาลเทาเหมือนกันอีกด้วย ซีเหมินจินเหลียนยื่นมือไปลูบหินหยกที่ก้อนใหญ่กว่าเล็กน้อยแล้วรู้สึกว่าเปลือกหยกของมันเรียบเนียนแต่กลับไร้ซงฮวาใดๆ ปรากฎอยู่บนเปลือกหยก 


 


 


ความจริงซีเหมินจินเหลียนเองก็สงสัยและไม่เข้าใจเหมือนกัน เมื่อครู่ผู้เฒ่าหูเป็นคนพูดเองว่าหินหยกที่อยู่ในอาคารทิศตะวันตกราคาแพงกว่าหินหยกที่อยู่ในอาคารทิศตะวันออก นั่นหมายความว่าในอาคารนี้ต้องมีแต่หินหยกที่ผู้เฒ่าหูอ่านหยกแล้ววิเคราะห์ว่าต้องเป็นหินหยกลักษณะดีสิ แต่นี่เธอไม่เห็นว่าพวกมันจะมีดีกว่าตรงไหนเลย? แม้ว่าเธอจะเจอหินหยกเนื้อแก้วอยู่บ้าง แต่พวกมันก็เป็นหยกน้ำไม่งาม เนื้อหยกแห้ง อีกทั้งยังเป็นหยกสีเขียวอมดำอีกต่างหาก นำไปเจียระไนเป็นเครื่องประดับก็คงไม่สวย 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนได้แต่ส่ายศีรษะให้กับนิสัยประหลาดของผู้เฒ่าหู เพราะคนปกติธรรมดาคงไม่มีวันเข้าใจสิ่งที่คนประหลาดคิดและทำหรอก 


 


 


เหล่าหลี่กับจ่านป๋ายยืนหันหลังอยู่ตรงหน้าประตูอาคารทิศตะวันตก นั่นทำให้ซีเหมินจินเหลียนสามารถใช้พลังพิเศษได้อย่างเต็มที่โดยไม่ต้องระแวงว่าจะมีใครเห็น เธอยื่นมือขวาออกไปวางลงบนหินหยกเปลือกสีน้ำตาลเทา พลันเปลือกหยกสีน้ำตาลเทาค่อยๆ จางหายไปจากสายตาเธอ… 


 


 


นี่มันหยกเนื้อแก้วสีใสนี่? ซีเหมินจินเหลียนประหลาดใจ หยกเนื้อแก้วสีใสเพิ่งได้รับความนิยมเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา และสาวๆ ก็ชื่นชอบหยกชนิดนี้เป็นพิเศษ แต่เธอกลับไม่ชอบหยกสีใสที่ดูเหมือนแก้วแบบนี้เลยสักนิด 


 


 


ทำไมมันดูแปลกๆ ล่ะ? ทำไมหยกเนื้อแก้วสีใสถึงได้มีสีค่อนไปทางสีเหลือง หรือเป็นเพราะแสงไฟสีเหลืองนวลในห้อง? 


 


 


ถ้าตาเนื้อได้รับผลกระทบจากแสงไฟ แล้วเนตรหัตถาของเธอก็จะได้รับผลกระทบด้วยอย่างนั้นเหรอ? ซีเหมินจินเหลียนจำได้อย่างแม่นยำว่าแสงไฟรอบตัวไม่มีผลต่อเนตรหัตถาของเธอ ต่อให้เธอใช้พลังพิเศษในที่มืดสนิท แต่ความมืดก็ไม่ส่งผลใดๆ ต่อเนตรหัตถาของเธอเลย 


 


 


ถ้าเช่นนั้น สีดั้งเดิมของหยกเนื้อแก้วสีใสก้อนนี้ก็ต้องเป็นสีเหลืองน่ะสิ? ซีเหมินจินเหลียนมองทะลุลึกลงไปอีกประมาณสี่เซนติเมตรแล้วต้องตะลึงงัน ราวกับหินหยกก้อนนี้มีเส้นแบ่งกั้นอย่างไรอย่างนั้น เพราะอยู่ดีๆ หยกเนื้อแก้วสีใสค่อนไปทางสีเหลืองกลับกลายเป็นสีเหลืองอร่ามราวทองคำในฉับพลัน… 


 


 


หยกสีเหลือง? คำคำนี้ผุดขึ้นในใจซีเหมินจินเหลียน หยกสีเหลืองไม่เป็นที่นิยมมากนัก มีเพียงหยกสีน้ำผึ้งเท่านั้นที่ราคาค่อนข้างสูง ส่วนหินหยกสีเหลืองที่อยู่ในมือเธอนั้นเป็นสีเหลืองอ่อนที่ให้ความรู้สึกเหมือนสีเหลืองอร่ามยามทองคำต้องแสงไฟมากกว่า  


 


 


หยกสีเหลืองก็เหมือนหยกสีม่วง เมื่อนำไปเจียระไนเป็นเครื่องประดับแล้วมองผ่านแสงธรรมชาติสีจะอ่อนลงอีก ด้วยเหตุนี้ หากสีหยกไม่เข้มมากพอก็ไม่สามารถดึงดูดสายตาใครได้ แต่หยกสีเหลืองก้อนนี้เป็นหยกเนื้อแก้วน้ำงามมากจริงๆ  


 


 


ซีเหมินจินเหลียนบอกกับตัวเองในใจ “ไม่เป็นไร ซื้อกลับไปแกะสลักเป็นของประดับตกแต่งบ้านก็ได้ เธอจะไม่ยอมเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์เด็ดขาด ถ้าราคาไม่แพงมากจนเกินไปเธอก็ไม่ขาดทุนหรอก” 


 


 


ดูหินหยกก้อนนี้เสร็จเรียบร้อยแล้วก็ต้องดูหินหยกอีกก้อนด้วยเช่นกัน ซีเหมินจินเหลียนมองดูหินหยกอีกก้อนที่มีขนาดและเปลือกหยกสีน้ำตาลเทาเหมือนกันแล้วนึกถึงข้อมูลหินหยกที่เคยอ่าน หินหยกสองก้อนนี้น่าจะเป็นหินหยกจากทะมะขาน[3]  


 


 


หินหยกจากทะมะขานส่วนใหญ่จะมีอู้[4]สีขาวหรืออู้สีเหลืองอยู่ใต้เปลือกหยก…  


 


 


ซีเหมินจินเหลียนเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าในวงการหยกมีการเดิมพันอู้ด้วย เธอรีบยกไฟฉายขึ้นส่องดูทันที ใต้เปลือกหยกมีอู้สีเหลืองที่มองเห็นเลือนลางอยู่จริงๆ อย่างที่เธอคิดไว้ไม่มีผิด 


 


 


มิน่าเล่า หินหยกสองก้อนนี้ถึงถูกเก็บไว้ที่อาคารทิศตะวันตก ผู้เฒ่าหูเป็นนักเล่นหวยหยกมือฉมังสมคำร่ำลือจริงๆ 


 


 


ในเมื่อดูหินหยกสีเหลืองแล้วก็ต้องดูหินหยกอีกก้อนที่เหลือด้วย ซีเหมินจินเหลียนใช้มือลูบเปลือกหินหยกอีกก้อนที่เลือกเอาไว้ ความรู้สึกไวเป็นพิเศษของผู้หญิงบอกกับเธอว่าหินหยกก้อนนี้ไม่เนียนละเอียดเท่าหินหยกสีเหลือง แต่ถือว่าเนื้อสัมผัสไม่เลวเลยทีเดียว 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนมีประสบการณ์จากหินหยกสีเหลืองแล้ว คราวนี้เธอจึงใช้ไฟฉายส่องลงบนเปลือกหยกและสังเกตเห็นอู้สีเหลืองและอู้สีแดงจางๆ ใต้เปลือกหยกได้อย่างง่ายดาย 


 


 


หยกสองสีอย่างนั้นเหรอ? ซีเหมินจินเหลียนลิงโลดอยู่ในใจว่าวันนี้ช่างโชคดีอะไรอย่างนี้ 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนคิดพลางวางมือขวาลงบนหินหยกเปลือกน้ำตาลเทาทันที เปลือกหยกค่อนข้างหนา มิน่าล่ะเธอถึงรู้สึกว่าเปลือกหยกไม่ค่อยเนียนละเอียดสักเท่าไหร่ เธอมองทะลุลึกลงไปอีกประมาณสามเซนติเมตรแต่ยังคงเห็นเพียงแค่หินสีขาวเท่านั้น 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนมุ่นหัวคิ้ว หรือเธอจะคาดเดาผิดไป? เธอได้แต่ยิ้มอย่างปลงๆ ว่าคงไม่มีหยกเยอะแยะมากมายให้เจอกันได้ง่ายๆ หรอก ยังไม่ทันที่ความคิดจะจางหายไป ทันใดนั้นสีแดงอ่อนๆ ก็ปรากฎแก่สายตาเธอ สีแดงที่เธอเห็น ไม่ใช่สีแดงสดใสแต่เป็นสีแดงของแป้งทาแก้มที่หญิงสาวชื่นชอบ ดั่งแสงอาทิตย์ยามอัสดงในฤดูใบไม้ผลิที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นในหัวใจ 


 


 


เนื้อหยกเนียนละเอียดแตกต่างจากเปลือกหยกที่ค่อนข้างหยาบ ความโปร่งใสนั้นอยู่ระหว่างเนื้อแก้วกับเนื้อน้ำแข็ง มันไม่ใสเหมือนแก้วแต่ให้ความรู้สึกหนักแน่นมากกว่า 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนรู้สึกชอบหยกก้อนนี้อย่างบอกไม่ถูก ถ้าเธอได้ใส่เครื่องประดับหยกสีแดงเป็นสิริมงคลแบบนี้ในงานแต่งงานจะดีแค่ไหนกันนะ? 


 


 


“อ๊ะ!” ซีเหมินจินเหลียนหน้าร้อนผ่าว อุทานเสียงเบา นี่เธอคิดบ้าอะไรอยู่เนี่ย! 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนมองทะลุลึกลงไปอีก นอกจากหยกสีแดงอ่อนแล้ว ใต้หยกสีแดงอ่อนยังมีหยกสีเหลืองหนาประมาณสองนิ้วซ่อนอยู่ ถือว่าเป็นหยกสีเหลืองที่สีไม่เข้มมากและไม่ใช่สีเหลืองอร่ามเหมือนหินหยกสีเหลืองก้อนเมื่อครู่นี้ หยกสีเหลืองคู่กับหยกสีแดงอ่อนในชิ้นเดียวกันช่างดูสวยสมบูรณ์แบบเหลือเกิน 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนจัดประเภทให้หยกก้อนนี้ว่าเป็น…สีที่คนแก่ชอบ เพราะเธอชอบแค่หยกสีแดงอ่อนเท่านั้น กระนั้นเธอก็ยังรู้สึกดีใจมากเป็นพิเศษอยู่ดี แม้หินหยกก้อนนี้จะมีขนาดไม่ใหญ่นัก แต่ก็สามารถซอยหยกสีแดงอ่อนและหยกสีเหลืองออกจากกันแล้วนำไปเจียระไนเป็นเครื่องประดับได้อย่างเหลือเฟือ 


 


 


เครื่องประดับหยกสีแดงอ่อนอาจจะไม่สวยจับตาจับใจเท่าหยกสีแดงลายทองคำที่จับต้องยาก แต่มันกลับให้ความรู้สึกเหมือนเป็นเพื่อนที่รู้ใจมากกว่า 


 


 


ตกลงเอาหินหยกสองก้อนนี้แหละ! ซีเหมินจินเหลียนตัดสินใจแล้วลุกขึ้นยืน แต่เพราะนั่งยองๆ อยู่เป็นเวลานานจึงทำให้ขาทั้งสองข้างของเธอชาไปหมด 


 


 


“จินเหลียน ดูเสร็จแล้วหรือครับ” จ่านป๋ายที่เคยยืนหันหลังอยู่ตรงประตูรีบเดินเข้ามาในห้อง เขายื่นมือไปประคองซีเหมินจินเหลียนเอาไว้ด้วยความห่วงใย “นั่งนานเกินไปละสิ” 


 


 


“อืม ขาชาหมดแล้ว แต่ไม่เป็นไรหรอกค่ะ!” ซีเหมินจินเหลียนตอบยิ้มๆ 


 


 


เหล่าหลี่ค่อยๆ เดินตามหลังเข้ามาในห้องแล้วถามพร้อมรอยยิ้ม “คุณซีเหมินเลือกได้แล้วเหรอครับ” 


 


 


“ฉันเอาหินหยกสองก้อนนี้ค่ะ!” ซีเหมินจินเหลียนชี้ไปยังหินหยกเปลือกสีน้ำตาลเทาสองก้อนที่วางอยู่บนพื้น 


 


 


ไม่รู้ว่าผู้เฒ่าหูเดินอย่างไร้สุ้มไร้เสียงมาถึงตรงประตูตั้งแต่เมื่อไหร่ เขามองดูหินหยกเปลือกสีน้ำตาลเทาสองก้อนที่ซีเหมินจินเหลียนเลือกเอาไว้แล้วสีหน้าประหลาดใจแวบหนึ่ง แต่เพียงเสี้ยววินาทีเขาก็ปรับสีหน้าให้กลับมาสงบนิ่งเป็นปกติพร้อมพยักหน้า 


 


 


“ก้อนละสองล้านหยวน สองก้อนสี่ล้านหยวนถ้วน” ผู้เฒ่าหูเอ่ยสีหน้าเรียบเฉย 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนสูดหายใจเข้าลึกๆ นี่มันปล้นกันชัดๆ! หินหยกสองก้อนนี้ที่เธอเลือกนั้น ก้อนใหญ่น้ำหนักประมาณสามสิบกิโลกรัม ส่วนก้อนเล็กกว่าอย่างมากก็หนักแค่ประมาณยี่สิบกิโลกรัมเท่านั้น แต่ผู้เฒ่าหูกลับเสนอราคาตั้งสองล้านหยวนเท่ากันอย่างนั้นเหรอ? อีกอย่าง เปลือกหินหยกของหินหยกทั้งสองก้อนก็ไม่มีสิ่งใดบ่งบอกเลยสักนิดว่ามันเป็นหินหยกลักษณะดี ถ้าเป็นคนอื่นคงส่ายหัวและไม่ซื้อแน่ๆ ที่สำคัญ เมื่อครู่นี้เขาก็พูดชัดเจนแล้วว่าหินหยกที่นี่ขายราคาขาดตัว ห้ามต่อรองราคาเด็ดขาด  


 


 


“ตกลงค่ะ!” ซีเหมินจินเหลียนสูดหายใจเข้าปอดลึกๆ พลางพยักหน้าตกลง “ฉันตกลงซื้อหินหยกสองก้อนนี้ค่ะ! ราคาทั้งหมดสี่ล้านเจ็ดแสนหยวนสำหรับหินหยกสี่ก้อนที่ฉันเลือกเอาไว้ ฉันขอวางมัดจำเป็นเงินสดก่อนหนึ่งแสนหยวน พรุ่งนี้ฉันจะไปโอนเงินส่วนที่เหลือให้คุณที่ธนาคาร เสร็จเรียบร้อยแล้วฉันค่อยมารับหินหยกที่นี่นะคะ?” ซีเหมินจินเหลียนขอความคิดเห็นจากผู้เฒ่าหู 


 


 


ผู้เฒ่าหูพยักหน้าตกลงแล้วเอ่ยเสียงเรียบๆ “ผมจะเก็บหินหยกสี่ก้อนนี้แยกเอาไว้ให้คุณต่างหาก ไม่ทราบว่าคุณซีเหมินยังสนใจดูหินหยกเพิ่มอีกไหมครับ” 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนยังไม่ทันได้ตอบก็ถูกเหล่าหลี่ถามตัดหน้าด้วยความประหลาดใจ “ผู้เฒ่าหู นี่คุณยังมีของดีที่ผมไม่รู้ด้วยเหรอ?” 


 


 


“ของดีมีไว้สำหรับคนตาถึงเท่านั้น คนธรรมดาผมไม่ให้ดูหรอกนะ!” ผู้เฒ่าหูเอ่ยเรียบๆ  


 


 


“ถ้าคุณหูยังมีของดีอีกฉันก็อยากดูค่ะ!” ซีเหมินจินเหลียนรีบตอบอย่างกระตือรือร้น 


 


 


“ถ้าอย่างนั้น ก็เชิญตามผมมาทางนี้เลยครับ!” ผู้เฒ่าหูเอ่ยพลางเดินนำไปทางอาคารหลัก 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนเห็นว่าอาคารทิศตะวันออกและอาคารทิศตะวันตกเป็นที่เก็บหินหยกจึงคิดว่าอาคารหลักน่าจะเป็นที่พักของผู้เฒ่าหู เมื่อเห็นว่าผู้เฒ่าหูเดินนำไปทางอาคารหลักจึงแปลกใจไม่น้อยแต่เธอก็เดินตามเขาไปโดยดี 


 


 


จ่านป๋ายถามซีเหมินจินเหลียนเสียงเบาด้วยความห่วงใย “คุณเหนื่อยหรือเปล่า หรือว่าวันนี้จะพอแค่นี้ก่อน?” 


 


 


“ฉันไม่เป็นไรค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนตอบพลางส่ายหน้า 


 


 


“คุณสองคนไม่ต้องตามมาหรอก เดี๋ยวผมพาคุณผู้หญิงไปดูหินหยกเอง!” ผู้เฒ่าหูเห็นว่าจ่านป๋ายและเหล่าหลี่เดินตามมาด้วยจึงเอ่ยเสียงเรียบเย็น 


 


 


“คงไม่ได้หรอกครับ!” จ่านป๋ายท้วงทันที แม้ผู้เฒ่าหูจะเป็นเพียงชายแก่แต่เขาก็ไม่ไว้ใจอยู่ดี 


 


 


“ไม่เป็นไรหรอก คุณรอฉันอยู่ข้างนอกนี่แหละ ถ้ามีอะไรเดี๋ยวฉันจะร้องบอกเองค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนบอกจ่านป๋ายเสียงเบา 


 


 


จ่านป๋ายรู้ว่าตัวเองคงเอาชนะซีเหมินจินเหลียนไม่ได้แน่ๆ คิดๆ ดูแล้วผู้เฒ่าหูก็อายุมากแล้วคงไม่เป็นอันตรายอะไร เขาจึงพยักหน้าตกลง ส่วนเหล่าหลี่นั้นไม่มีปัญหาอยู่แล้ว เขาเป็นเพียงแค่นายหน้าพาลูกค้ามาดูหินหยกเท่านั้น แถมวันนี้ซีเหมินจินเหลียนยังตกลงซื้อหินหยกตั้งสี่ก้อน รอบนี้เขาไม่เหนื่อยฟรีแน่นอน รออีกสักหน่อยจะเป็นไรไป ซีเหมินจินเหลียนกับผู้เฒ่าหูตกลงซื้อขายหินหยกราคายิ่งสูงมากเท่าไหร่เขาก็ได้ค่านายหน้าเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น แล้วทำไมเขาจะไม่ยินดีล่ะ?  


 


 


ภายในอาคารหลักมืดสนิทเพราะเวลานี้ท้องฟ้าข้างนอกมืดลงแล้ว ท้องนภาที่ลอยอยู่เหนือสวนเล็กๆ เห็นเพียงจันทร์หม่นแสงและแสงดาวพราวระยับ 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนก้าวเท้าข้ามธรณีประตูเข้าไปในห้องที่มืดที่มืดมิดนั้น สักครู่เธอก็ได้กลิ่นดินปืนจางๆ ลอยมาเตะจมูก จากนั้นแสงสีเหลืองอมส้มจากเทียนไขสว่างขึ้นโดยมีผู้เฒ่าหูยืนถือเทียนไขเล่มนั้นอยู่ตรงหน้าเธอ 


 


 


“คุณซีเหมิน?” ผู้เฒ่าหูจำได้ว่าเหล่าหลี่เรียกเธออย่างนี้ 


 


 


“คะ!” ซีเหมินจินเหลียนขานรับ 


 


 


ผู้เฒ่าหูเอ่ยเสียงเรียบ “ผมชอบใช้ชีวิตในที่มืดๆ น่ะ คุณอย่าถือสาเลยนะครับ” 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนบ่นอุบอิบในใจ ชินกับการใช้ชีวิตในที่มืดเนี่ยนะ? คุณเป็นหนูหรืออย่างไร 


 


 


“เชิญตามผมมาทางนี้ครับ!” ผู้เฒ่าหูเอ่ยพลางถือเทียนไขเดินนำหน้าไปก่อน อาคารหลักถือว่าไม่ใหญ่มาก กำแพงห้องเต็มไปด้วยภาพเขียนสีเก่าๆ ที่สีหลุดร่อนจนดูไม่ออกว่าเป็นภาพเกี่ยวกับอะไร 


 


 


เธอได้ยินว่าที่นี่เคยเป็นวัดมาก่อน แท่นบูชาที่เคยเป็นที่บูชาเทพเจ้าองค์ไหนสักองค์ ตอนนี้กลับกลายเป็นที่วางหินหยกก้อนใหญ่ยักษ์เปลือกสีน้ำตาลแทน มองดูเผินๆ แล้วหินหยกก้อนนี้น่าจะหนักสักหนึ่งตันเห็นจะได้…   


 


 


บริเวณด้านหน้าหินหยกมีกระถางธูปวางอยู่ ผู้เฒ่าหูวางเทียนไขในมือลงบนแท่นบูชาแล้วใช้นิ้วชี้ไปยังอ่างล้างมือที่ทำจากทองแดง “ล้างมือก่อนครับ”  


 


 


ซีเหมินจินเหลียนได้ยินสิ่งที่ผู้เฒ่าหูบอกแล้วนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ แต่เธอก็ยอมล้างมือในอ่างตามที่ผู้เฒ่าหูบอกแต่โดยดี เธอล้างมือพลางมองดูอ่างล้างมือทองแดงพลาง อ่างล้างมือใบนี้ต้องเป็นวัตถุโบราณแน่ๆ 


 


 


ผู้เฒ่าหูจุดธูปสามดอกแล้วยื่นส่งให้ซีเหมินจินเหลียนหลังจากเธอล้างมือเสร็จเรียบร้อยแล้ว 


 


 


ชั่วขณะที่ซีเหมินจินเหลียนยื่นมือไปรับธูปสามดอกมาจากผู้เฒ่าหูนั้น พลันความคิดหนึ่งก็แวบขึ้นมาในสมองทันที นี่เป็นพิธีเก่าแก่โบราณที่เรียกกันว่า…พิธีคำนับศิลานี่นา 


 


 


โชคดีที่ซีเหมินจินเหลียนรู้เรื่องพิธีคำนับศิลา! เธอรับธูปสามดอกมาจากมือผู้เฒ่าหูด้วยความนบนอบ จากนั้นก้มศีรษะลงและน้อมกายลงคำนับสามครั้ง 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนคำนับศิลาสามครั้งแล้วปักธูปลงในกระถางธูป จากนั้นก็ถอยเท้าไปด้านหลังสองก้าวแล้วน้อมกายคารวะอีกหนึ่งครั้ง  


 


 


ผู้เฒ่าหูที่เฝ้ามองซีเหมินจินเหลียนอย่างไม่วางตายกยิ้มมุมปากด้วยความชื่นชม เขาพยักหน้าให้เธอพร้อมเอ่ยอนุญาต “เชิญคุณซีเหมินอ่านหยกได้เลยครับ ผมจะรออยู่ข้างนอก ถ้าคุณอ่านหยกเสร็จแล้วเรียกผมได้เลย ในเมื่อคุณรู้เรื่องพิธีคำนับศิลา คุณก็ต้องรู้ด้วยว่าห้ามใช้เครื่องมือช่วยในการอ่านหยก” 


 


 


 


 


 


[1] ซงฮวา (松花) สีเขียวที่อยู่บนเปลือกหยก มีลักษณะหลากหลาย มีทั้งรอยสีเขียวเกาะเกี่ยวกันเป็น รอยสีเขียวกระจายรอบๆ รอยสีเขียวเป็นเม็ดขรุขระเป็นต้น สีของซงฮวามักสัมพันธ์กับสีของนื้อหยกที่อยู่ข้างใน 


 


 


[2] หมั่งไต้ (莽带) สีเขียวเป็นริ้วๆ ที่อยู่บนเปลือกหยก มักจะนูนขึ้นมาจากเปลือกหยกและมีลักษณะเรียบเนียน สีของหมั่งไต้มักสัมพันธ์กับสีของเนื้อหยกที่อยู่ด้านใน  


 


 


[3] ทะมะขาน แหล่งหินหยกบ่อเก่าที่มีชื่อในพม่า 


 


 


[4] ก้อนหินหยกจำแนกออกเป็น 3 ส่วน คือ 1. “ผี” (皮) หมายถึงเปลือกหยก 2. “อู้” (雾) หมายถึงชั้นกลางของหินหยก 3. “อวี้” (玉) หมายถึงเนื้อหยก วิธีการดูอู้นั้นไม่สามารถดูได้ด้วยตาเปล่าแต่ต้องใช้แผ่นเหล็กบางๆ สีดำสนิทในการช่วยดู และช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการดูอู้คือเวลาเช้า พ่อค้าหยกที่ชำนาญจะอาศัยลำแสงอาทิตย์ที่ส่องลอดเข้ามาทางช่องหน้าต่างในการดูอู้ ลำแสงนั้นจะตกกระทบกับแผ่นเหล็กสีดำสนิท และสีที่แลเห็นกับตานั่นเองคือสิ่งที่ใกล้เคียงกับความลับหลังเปลือกหยกมากที่สุด ผู้ที่สามารถมองทะลุ “ผี” จนแลเห็น “อู้” ผู้นั้นมีโอกาสเกินครึ่งที่จะทำนาย “อวี้” ได้ถูกต้อง อู้มีหลายสี อู้ที่ดีที่สุดคือ “อู้สีเหลือง” รองลงมาคือ “อู้สีขาว” “อู้สีน้ำผึ้ง” และอู้ที่ไม่ดีเลยคือ “อู้สีดำ”


2 หยกสีเลือด

 


 


ซีเหมินจินเหลียนได้ยินดังนั้นก็ได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ ใช้เครื่องมือไม่ได้อย่างนั้นเหรอ? แสดงว่าแม้แต่ไฟฉายกับแว่นขยายก็ใช้ไม่ได้น่ะสิ ภายในอาคารหลักก็มีเทียนไขเพียงเล่มเดียวที่ให้แสงวับๆ แวมๆ เท่านั้น  


แม้ซีเหมินจินเหลียนจะคิดสรตะอยู่ในใจ แต่เธอก็ไม่ได้ปริปากเอ่ยอะไรออกมา เธอหยิบไฟฉาย แว่นขยายและอุปกรณ์อื่นๆ ออกจากกระเป๋าสะพายแล้ววางกองรวมกันไว้บนพื้น จากนั้นก็ปีนขึ้นไปบนแท่นบูชาที่วางหินหยกก้อนใหญ่ยักษ์เอาไว้ 


รอยยิ้มบางๆ ผุดขึ้นบนใบหน้าเย็นชาของผู้เฒ่าหูอีกครั้ง เขาพยักหน้าพอใจแล้วหมุนตัวเดินออกจากห้อง เมื่อเห็นจ่านป๋ายยืนรออยู่ตรงประตูด้วยสีหน้ากระวนกระวายใจจึงพยักหน้าให้เขาพร้อมเอ่ย “คุณเข้าไปอยู่เป็นเพื่อนเธอได้แล้วล่ะ” 


จ่านป๋ายรีบเดินจ้ำเข้าไปในห้องทันทีที่ได้รับอนุญาต แม้เขาจะไม่มีความรู้เรื่องหินหยกแต่เขาก็รู้ว่าในวงการหวยหยกมีกฎกติกาของตัวเอง นักเล่นหวยหยกส่วนใหญ่ไม่ชอบให้คนอื่นรบกวนสมาธิระหว่างการอ่านหยก เขาไม่แน่ใจว่าซีเหมินจินเหลียนจะเป็นแบบนั้นด้วยหรือเปล่า ขอเพียงแค่เธอสบายดีเขาก็สบายใจแล้ว เขาเดินเข้าไปในอาคารหลักเห็นซีเหมินจินเหลียนกำลังเพ่งพินิจหินหยกเปลือกสีน้ำตาลอย่างตั้งอกตั้งใจ ส่วนไฟฉายกับแว่นขยายถูกวางกองไว้บนพื้น ในห้องมืดสลัวมีเทียนไขที่ให้แสงสว่างวับๆ แวมๆ เพียงเล่มเดียวเท่านั้น 


จ่านป๋ายรีบเดินเข้าไปหาซีเหมินจินเหลียนพร้อมหยิบไฟฉายที่วางอยู่บนพื้นแล้วยื่นให้เธอ 


ซีเหมินจินเหลียนยิ้มเจื่อนๆ พร้อมเอ่ยเสียงเบาๆ “ตาเฒ่าจอมประหลาดไม่ยอมให้ใช้เครื่องมือน่ะ” 


“มีอย่างนี้ด้วยเหรอ?” จ่านป๋ายหน้านิ่วคิ้วขมวด “มืดขนาดนี้แล้วจะอ่านหยกยังไง ไฟสักดวงก็ไม่มี นี่มันเอาเปรียบกันชัดๆ เลยนี่?” 


 “ไม่เป็นไรหรอก ฉันแค่ลองอ่านหยกดู ไม่ได้แปลว่าจะซื้อสักหน่อย” ซีเหมินจินเหลียนตอบยิ้มๆ 


“ก็ได้ คุณค่อยๆ อ่านหยกไปก็แล้วกัน ไม่ต้องรีบ ผมรอคุณอยู่ตรงประตูนะ หินหยกก้อนใหญ่ขนาดนี้ ราคาคงไม่ใช่เล่นแน่ๆ ดูให้ละเอียดรอบคอบน่าจะดีกว่านะครับ” จ่านป๋ายบอกอย่างเป็นห่วง 


ซีเหมินจินเหลียนยิ้มบางๆ แล้วพยักหน้าให้จ่านป๋าย เธอมองดูเขาเดินออกจากห้องไปแล้วจึงเริ่มลงมืออ่านหยกโดยอาศัยแสงสว่างเพียงน้อยนิดจากเทียนไขเล่มเดียวในห้อง หินหยกก้อนนี้น่าจะมีน้ำหนักประมาณหนึ่งตัน เทียบกับหินหยกก้อนใหญ่ที่เธอซื้อจากร้านเถ้าแก่โจวแล้ว หินหยกก้อนนี้ดูจะมีขนาดเล็กกว่าเล็กน้อย เปลือกหยกสีน้ำตาลไร้ร่องรอยซงฮวาหรือหมั่งไต้ให้เห็น 


หินหยกมีความยาวประมาณแปดสิบเซนติเมตร กว้างประมาณหกสิบเซนติเมตร และหนาประมาณห้าสิบเซนติเมตร รูปร่างสี่เหลี่ยม ซีเหมินจินเหลียนยื่นมือไปสัมผัสเปลือกหยกเนียนละเอียด หากข้างในเป็นหยกสีเขียว มันคงเป็นหยกสีเขียวน้ำงามมากเลยทีเดียว 


ซีเหมินจินเหลียนอดสงสัยไม่ได้ว่าเหตุใดผู้เฒ่าหูจึงให้ความสำคัญกับหินหยกที่ดูธรรมดาก้อนนี้ยิ่งนัก? ดูๆ ไปแล้วน่าจะเป็นหินเก่าแก่เสียด้วยสิ 


แต่พอนึกถึงหินหยกสองก้อนที่เธอเลือกเอาไว้จากอาคารทิศตะวันตกแล้วก็เริ่มมีความหวังขึ้นมาบ้าง ซีเหมินจินเหลียนอาศัยแสงเทียนอันน้อยนิดอ่านหินหยกอย่างละเอียดอีกครั้ง เธอเพ่งมองลึกลงไปแล้วเห็นแสงแวววาวใต้เปลือกหยก… 


ไม่ใช่อู้? ซีเหมินจินเหลียนมุ่นหัวคิ้ว นี่มันอะไรกัน? เธอไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าใต้เปลือกหยกจะมีแสงแวววาวให้เห็น 


ซีเหมินจินเหลียนลุกขึ้นยืนเพื่อเปลี่ยนมุม เธอเห็นจริงๆ ว่าใต้เปลือกหยกนั้นมีแสงแวววาวที่ตัวเองก็อธิบายไม่ถูกเหมือนกันว่ามันคืออะไรกันแน่… 


ปกติแล้วหินหยกที่ยังไม่ถูกผ่ามักจะมีเปลือกหยกที่หยาบกระด้าง อาจเรียกได้ว่าน่าเกลียดก็ยังได้ หินหยกยังถูกเรียกว่าก้อนหยกดิบอีกด้วย แต่ถ้าก้อนหยกดิบมีแสงแวววาวยังจะเรียกว่าก้อนหยกดิบได้อยู่อีกเหรอ? อีกอย่าง หากผ่าหยกออกมาแล้วแต่ไร้การเจียระไน หยกก้อนนั้นจะเผยความงามที่เป็นเอกลักษณะเฉพาะของหยกออกมาได้อย่างไร 


โบราณกล่าวว่า หยกไม่เจียระไนไร้จำหลัก หยกนั้นจักหาประโยชน์ใช้ได้ไม่ เฉกเช่นคนไม่ร่ำเรียนขัดเกลาใจ คนนั้นจักไร้ซึ่งเหตุผลและหลักการ 


หรือนี่จะเป็นอวี้อิ๋ง[1]? ซีเหมินจินเหลียนคิดพลางลิงโลด ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ มันต้องเป็นหยกที่สวยมากและหายากสุดๆ แน่เลย 


ซีเหมินจินเหลียนวางมือขวาลงบนก้อนหินหยกตรงหน้า คลื่นความร้อนจากมือขวาแผ่ซ่านผ่านหินหยก พลันเปลือกสีน้ำตาลที่มีความหนาประมาณหนึ่งเซนติเมตรเท่านั้นค่อยๆ จางหายไปจากสายตา ทันใดนั้น สีแดงที่ปรากฎแก่สายตาทำให้ซีเหมินจินเหลียนตื่นเต้นจนแทบหยุดหายใจ… 


ซีเหมินจินเหลียนค่อยๆ สูดหายใจเข้าปอดลึกๆ สีแดงตรงหน้าที่เธอเห็นนั้นเป็นหยกสีเลือดในตำนานหรือ? ไม่ผิดแน่ สีแดงสดสวยงามจับจิตจับใจแบบนี้ต้องเป็นหยกสีเลือดไม่ผิดแน่ 


แม้มีเพียงแสงสว่างจากเทียนไขเพียงเล่มเดียวแต่สีแดงที่มองผ่านเนตรหัตถายังคงสวยงามจับจิตจนถึงก้นบึ้งของหัวใจ 


ซีเหมินจินเหลียนนึกถึงบันทึกเกี่ยวกับหยกสีเลือด…หยกสีเลือดเป็นหนึ่งในหยกในตำนานของหยกเนื้อแข็งสีเขียวและสีแดง ในสมัยโบราณคนจีนไม่นิยมหยกชนิดนี้มากนัก หากแต่ชื่นชอบหยกเนื้ออ่อนมากกว่า โดยเฉพาะหยกสีขาวหรือหยกไขมันแกะซึ่งเป็นที่ใฝ่ฝันของคนรักหยก 


หยกสีเขียวนั้นเริ่มได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในสมัยราชวงศ์ชิง ส่วนหยกสีแดงนั้นเป็นสีมงคลจึงได้รับความนิยมทั่วๆ ไป  


ในบรรดาหยกสีแดงทั้งหลายนั้น หยกสีแดงเพลิงจัดว่าดีที่สุด มีเพียงหยกสีแดงเพลิงสว่างสุกใสแวววาวดั่งแสงอรุโณทัยเท่านั้นที่จัดว่าเป็นหยกชั้นเยี่ยม แต่หยกสีแดงในปัจจุบันส่วนใหญ่เป็นหยกสีแดงหม่นไร้ความแวววาว จึงเป็นเหตุให้หยกสีแดงไม่ค่อยได้รับความนิยมสักเท่าไหร่ 


หากเอ่ยถึงหยกแล้ว บางคนให้ความสำคัญกับความโปร่งใสของหยก บางคนให้ความสำคัญเรื่องสีหยก และสำหรับคนที่ให้ความสำคัญเรื่องสีหยกนั้นหยกจะต้องสีสดและสีกระจายตัวสม่ำเสมอจึงจะดีที่สุด เมื่อเทียบกับหยกสองสีที่มีทั้งหยกสีแดงและสีเหลืองในชิ้นเดียวกันที่ซีเหมินจินเหลียนเลือกได้จากอาคารทิศตะวันตกแล้ว ถือว่าสีสันไม่เด่นสะดุดตานัก 


ส่วนหยกสีแดงลายทองคำที่ซีเหมินจินเหลียนซื้อมากจากร้านเถ้าแก่โจวนั้น เมื่อเทียบกันแล้วสีแดงสดของมันโดดเด่นสู้หยกสีเลือดตรงหน้าไม่ได้เลย หากไม่ใช่เพราะลายทองคำก็คงไม่มีวันขายได้ราคาสูงขนาดนั้นแน่ๆ 


หยกสีเลือดที่มีสีแดงสดราวโลหิตมนุษย์นั้นมีเพียงแต่ในตำนานเท่านั้น เล่าขานกันมาแต่โบร่ำโบราณว่าเครื่องหยกเป็นหนึ่งในภาชนะที่มีความลึกลับที่สุด และหยกสีเลือดที่มีสีแดงสดราวโลหิตมนุษย์กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความลี้ลับที่ชนเผ่าโบราณกราบไหว้บูชาและกลายเป็นตำนานเล่านขานต่างๆ สืบทอดกันมาจวบจนปัจจุบัน 


แม้แต่ในปัจจุบัน หยกสีเลือดยังคงเป็นหยกที่มีสีสันลี้ลับราวอยู่ในตำนาน ใช่ว่าจะไม่มีหยกสีแดงในตลาด แต่หยกสีแดงสดเช่นนี้แทบจะใกล้เคียงกับหยกในตำนานก็ว่าได้ 


นอกจากนี้ ไม่รู้ว่าเรื่องจริงหรือแต่งขึ้น ว่ากันว่าคนที่ใส่หยกสีเลือดนานๆ จะช่วยสร้างสมดุลกับร่างกายและจิตใจ พลังแห่งหยกจะช่วยรักษาสภาพร่างกายให้คงความอ่อนเยาว์เสมอ 


สิ่งที่มนุษย์เฝ้าฝัน…คือคงความอ่อนเยาว์ตลอดกาล…  


ซีเหมินจินเหลียนสูดหายใจเข้าปอดลึกๆ แต่ก็มิอาจลดความตื่นเต้นในใจลงได้ แม้แต่มือขวาก็ยังสั่นเทาเบาๆ ด้วยความตื่นเต้น เป็นเพราะแสงแวววาวของอวี้อิ๋งนั่นเองที่ทำให้ผู้เฒ่าหูให้ความสำคัญกับหินหยกก้อนนี้หนักหนา  


แม้ผู้เฒ่าหูจะไม่รู้ว่าหินหยกก้อนนี้เป็นหยกสีเลือดในตำนาน แต่เขาต้องรู้แน่ว่ามีอวี้อิ๋งอยู่ข้างในถึงได้ให้ความสำคัญกับมันมากเป็นพิเศษจนถึงขั้นกราบไหว้บูชาหินหยกก้อนนี้กันเลยทีเดียว! 


ตอนนี้เธอเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วว่าเหตุใดผู้เฒ่าหูจึงให้เธออ่านหยกในห้องมืดๆ ที่มีแสงสว่างวับแวมจากเทียนไขเพียงเล่มเดียว เพราะมีแต่การอ่านหยกภายใต้แสงจันทร์สลัวเท่านั้นจึงพอจะสังเกตเห็นแสงแวววาวของอวี้อิ๋งได้ 


หากเธอใช้ไฟฉายหรือแว่นขยายเธอจะไม่มีวันเห็นแสงแวววาวแบบนี้อย่างแน่นอน 


เมื่อคิดตกแล้วซีเหมินจินเหลียนจึงเกิดความรู้สึกดีๆ ต่อผู้เฒ่าหูขึ้นมาในทันที ดูภายนอกเหมือนเขาจะตั้งใจกลั่นแกล้งเธอ แต่ความจริงแล้วเขากำลังช่วยเธอต่างหาก 


ซีเหมินจินเหลียนวางมือขวาลงบนหินหยกอีกครั้ง คราวนี้เธอจะมองทะลุเพื่อดูรายละเอียดทั้งหมดของหินหยกก้อนนี้ ต่อให้เป็นหยกสีเลือดในตำนานแถมยังมีอวี้อิ๋งด้วยก็เถอะ แต่เธอก็ยังต้องดูรายละเอียดอื่นๆ ให้ครบถ้วน ทั้งน้ำหยกและเนื้อหยกที่ซ่อนอยู่ข้างในว่ามีอยู่เท่าไหร่กันแน่? 


เปลือกหยกสีน้ำตาลค่อยๆ จางหายไปจากสายตาซีเหมินจินเหลียนอีกครั้ง หยกสีเลือดสวยงามจับจิตจับใจที่ซ่อนอยู่ใต้เปลือกหยกหนาประมาณหนึ่งเซนติเมตรปรากฎแก่สายตาอีกครั้ง มันเป็นหยกสีเลือดน้ำงามยิ่งนัก เนื้อหยกเนียนละเอียดเป็นประกายแวววาวและโปร่งใสมากจนฟันธงได้ทันทีว่าเป็นหยกเนื้อแก้วแน่นอน และหยกก้อนนี้ดูมีชีวิตชีวาเหลือเกิน 


สิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมายของซีเหมินจินเหลียนคือนอกจากเปลือกหยกเนียนละเอียดแล้ว ภายในยังเป็นหยกสีแดงสดที่บริสุทธิ์ไร้มลทินอีกด้วย! 


ซีเหมินจินเหลียนขอให้มีเนื้อหยกเพียงแค่หนึ่งส่วนสามของก้อนหินหยกเธอก็พอใจมากแล้ว ไมสิๆ ไม่ต้องมีมากถึงหนึ่งส่วนสามก็ได้ ขอแค่มีเนื้อหยกมากพอเจียระไนกำไลหยกสักสองสามคู่เธอก็พอใจแล้ว แต่…หยกสีเลือดก้อนนี้ก็สวยงามและเยี่ยมยอดเกินคาดจริงๆ 


ซีเหมินจินเหลียนใช้มือจับก้อนหินหยกเอาไว้เพื่อพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นยืนแล้วยืดขาคลายความเหน็บชาเพราะนั่งนานเกินไป พลางคิดในใจว่าผู้เฒ่าหูจะคิดค่าหินหยกเท่าไหร่กันนะ? 


ซีเหมินจินเหลียนรีบคำนวณมูลค่าทรัพย์สินของตัวเองทันที เธอขายกำไลหยกสีแดงลายทองคำสองคู่ได้เงินมาหนึ่งร้อยหกสิบล้านหยวน บวกกับเงินที่ได้จากการขายก้อนหยกเนื้อแก้วสีเขียวสดที่ขายไปก่อนหน้านี้ รวมๆ กันแล้วยังไม่ถึงสองร้อยล้านหยวนด้วยซ้ำ ไม่รู้ว่าจะพอไหมนะ? 


“เฮ้อ…ฉันก็ยังจนอยู่ดี!” ซีเหมินจินเหลียนแอบถอนหายใจ ในวงการอัญมณี การมีเงินสองร้อยล้านหยวนนั้นถือว่าน้อยนิดมาก เพราะอะไรน่ะหรือ? ก็เพราะคำว่าอัญมณีน่ะสิ ขึ้นชื่อว่าอัญมณีแล้วมีแต่คำว่าล้ำค่าควบคู่เป็นเงาตามตัว  


การที่ผู้เฒ่าหูยอมให้ซีเหมินจินเหลียนจุดธูปบูชาหินหยกนั้น ย่อมหมายความว่าเขารู้อยู่เต็มอกอยู่แล้วว่าหินหยกก้อนนี้มีโอกาสผ่าชนะสูงมาก แต่สิ่งที่เธอไม่เข้าใจคือ…ในเมื่อผู้เฒ่าหูมั่นใจมากขนาดนั้นแล้วทำไมเขาไม่ผ่าหยกเสียเองล่ะ? 


เพียงเปิดหน้าหยกออกเล็กน้อยก็สามารถทำให้หินหยกก้อนนี้ราคาสูงขึ้นอีกเป็นร้อยเท่าตัว ไม่เห็นจำเป็นต้องทิ้งร้างไว้เป็นสิบๆ ปีแบบนี้เลย 


“จินเหลียน เรียบร้อยแล้วเหรอครับ?” จ่านป๋ายเห็นซีเหมินจินเหลียนลุกขึ้นยืนจึงรีบเดินเข้าไปประคองเธอให้ลงจากแท่นบูชาแล้วถามเสียงเบา “เป็นอย่างไรบ้าง” 


“ก็ดีนะคะ ถ้าไม่แพงเกินไปฉันคงซื้อค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนเอ่ยยิ้มๆ 


“ก็จริงครับ” จันไป๋ตอบรับยิ้มๆ  


ผู้เฒ่าหูเดินช้าๆ ข้ามธรณีประตูเข้ามาแล้วเอ่ยถาม “คุณซีเหมินอ่านหยกแล้วเป็นอย่างไรบ้าง” เหล่าหลี่ที่เป็นนายหน้ารีบเดินตามเข้ามาในห้องเพราะความอยากรู้ด้วยอีกคน 


“คุณหูเสนอราคามาเลยค่ะ!” ซีเหมินจินเหลียนเอ่ย 


ผู้เฒ่าหูยกมือขึ้นแล้วชูหนึ่งนิ้ว เหล่าหลี่สูดหายใจเข้าปอดลึกๆ พร้อมเอ่ยเสียงเบาด้วยความตกใจ “สิบล้านหยวน?” ตาเฒ่านี่เป็นบ้าไปแล้วหรือไง 


ผู้เฒ่าหูตวัดสายตามองเหล่าหลี่แล้วส่ายศีรษะ “ไม่ใช่สิบล้าน!” 


“หนึ่งร้อยล้านหยวนเหรอคะ?” ซีเหมินจินเหลียนถามหยั่งเชิง ต่อให้ราคาสูงถึงหนึ่งร้อยล้านหยวนเธอก็ซื้อแน่นอน เพราะหยกสีเลือดที่ซ่อนอยู่ภายในนั้นล้ำค่าเหลือเกิน อย่าว่าแต่หนึ่งร้อยล้านหยวนเลย ต่อให้ผู้เฒ่าหูเสนอราคาสามร้อยล้านหยวนเธอก็คิดว่าไม่แพงเลยสักนิด ขอแค่มีเงินเธอต้องซื้อแน่นอน 


เหล่าหลี่ได้ยินราคาแล้วถึงกับหน้าถอดสี หนึ่งร้อยล้านหยวนเลยหรือ? โอ้ พระเจ้า นี่เขาไม่ได้หูฝาดไปใช่ไหม? 


จ่านป๋ายเองก็ถึงขั้นสูดหายใจเข้าลึกๆ เช่นเดียวกัน ใช่ว่าเขาจะไม่เคยเห็นเงินเยอะขนาดนี้มาก่อน แต่หินหน้าตาธรรมดาราคาสูงตั้งหนึ่งร้อยล้านหยวนเลยเชียวหรือ? นี่มันไร้เหตุผลสิ้นดี เท่าที่เห็นก็ไม่เห็นมีลักษณะอะไรที่บ่งบอกสักนิดว่าข้างในมีเนื้อหยกอยู่จริงๆ คงมีแต่สวรรค์เท่านั้นกระมังที่รู้ว่าผ่าหยกแล้วจะโชคร้ายเหมือนพี่น้องตระกูลเริ่นสองคนนั้นหรือเปล่าที่ข้างในมีแต่หินสีขาวไร้ค่าเท่านั้น 


“คุณผู้หญิงครับ!” จ่านป๋ายได้แต่ส่งสายตาปรามซีเหมินจินเหลียนด้วยความหวังดีเพราะหนึ่งร้อยล้านหยวนไม่ใช่ตัวเลขน้อยๆ เลย   


ผู้เฒ่าหูชายตามองจ่านป๋ายอย่างเย็นชาแล้วเอ่ยเสียงเรียบเย็น “หนึ่งร้อยล้านหยวนขาดตัว!” 


 


 


[1]อวี้อิ๋ง (玉莹) 玉= อวี้ หมายถึงหยก 莹= อิ๋ง หมายถึงความแวววาว  


หมายถึงหยกที่มีแสงแวววาวเป็นประกายแพรวพราว เพราะหยกเนื้อแก้วหรือหยกเนื้อน้ำแข็งที่มีความโปร่งใสมาก เมื่อมองผ่านแสงจะมีแสงแวววาวและมีประกายแพรวพราว


3 เจ้าหญิงแห่งวงการหยก (1)

 


 


ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้าตกลงโดยไม่เสียเวลาคิดแม้แต่วินาทีเดียว “ตกลงค่ะ พรุ่งนี้เช้าฉันจะรีบมาจัดการเรื่องโอนเงินให้นะคะ ระหว่างนี้ฉันหวังว่าคุณหูจะไม่ให้คนอื่นดูหินหยกก้อนนี้อีกนะคะ” 


สีหน้าของผู้เฒ่าหูยังคงเรียบเฉยไร้ความรู้สึกใดๆ เช่นเดิม เขาเอ่ยขึ้นด้วยเสียงเรียบเย็น “คุณซีเหมินวางใจได้ เมื่อครู่ผมก็บอกแล้วว่าของดีมีไว้สำหรับคนตาถึงเท่านั้น ถึงมีคนอยากดูก็ใช่ว่าผมจะยินดีเสมอ!” 


“ถ้าอย่างนั้นก็ดีค่ะ!” ซีเหมินจินเหลียนผงกศีรษะรับอย่างพอใจในคำตอบของผู้เฒ่าหู เธอจะต้องเอาหยกสีเลือดก้อนนี้มาเป็นของตัวเองให้ได้ และเธอโชคดีมากที่มีเงินมากพอที่จะซื้อหินหยกราคาหนึ่งร้อยล้านหยวนก้อนนี้พอดี 


ซีเหมินจินเหลียนมีเงินสดติดตัวไม่มากนักจึงสั่งให้จ่านป๋ายวางเงินมัดจำจำนวนหนึ่งแสนหยวนให้ผู้เฒ่าหูก่อน จากนั้นผู้เฒ่าหูใช้ปากกาหมึกซึมสีดำเขียนใบเสร็จรับเงินให้ซีเหมินจินเหลียน 


ซีเหมินจินเหลียนรับใบเสร็จรับเงินมาจากผู้เฒ่าหู เมื่อเห็นลายมือของผู้เฒ่าหูแล้วเธอถึงกับนิ่งอึ้งไปเล็กน้อยเพราะลายมือของผู้เฒ่าหูนั้นสวยงามมาก ซีเหมินจินเหลียนเรียนจบเอกภาษาจีนและลายมือสวยงามใช้ได้ แต่เมื่อเทียบกับผู้เฒ่าหูแล้วเธอกลับเทียบเขาไม่ติดเลยสักนิด ในยุคปัจจุบันที่ผู้คนใช้คอมพิวเตอร์กันอย่างแพร่หลายนั้น ยังเหลือคนที่เขียนตัวหนังสือได้อย่างสวยงามไม่มากนัก และสิ่งที่ทำให้เธอประหลาดใจมากที่สุดก็คือ…ผู้เฒ่าหูเขียนเป็นตัวอักษรจีนดั้งเดิมแบบโบราณ[1]…  


ซีเหมินจินเหลียนเก็บใบเสร็จรับเงินเรียบร้อยแล้วก็เดินออกจากห้องพร้อมนายหน้าเหล่าหลี่และจ่านป๋าย พอเดินออกมานอกอาคารแล้วแหงนมองท้องฟ้า เห็นเพียงจันทร์สลัวเคียงคู่แสงดาววับแวมและเมฆดำทะมึน อากาศโดยรอบแย่มาก กลิ่นเหม็นอับเก่าๆ แทรกซึมอยู่ในอากาศเช่นเดียวกับผู้เฒ่าหูที่ดูโบราณคร่ำครึไม่มีผิด 


คนขับรถตู้ผล็อยหลับอยู่บนเบาะที่นั่งคนขับ เหล่าหลี่เข้าไปเขย่าตัวเขาเบาๆ เพื่อปลุกเขาให้ตื่นจากการหลับใหล พอตื่นเต็มตาแล้วจึงหาที่ว่างเพื่อกลับรถแล้วขับรถพาคณะของซีเหมินจินเหลียนกลับโรงแรมทันทีอย่างรู้หน้าที่ 


เมื่อกลับถึงหน้าโรงแรมแล้วจ่านป๋ายก็หยิบธนบัตรสีแดงออกมานับแล้วยื่นธนบัตรจำนวนห้าพันหยวนให้เหล่าหลี่พลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ถ้ามีหินหยกดีๆ ที่ไหนอีกก็ติดต่อพวกเราได้ตลอดเลยนะครับ” 


เหล่าหลี่ยิ้มหน้าบานพร้อมรับธนบัตรมาจากจ่านป๋าย เขาให้คำมั่นว่าหากมีหินหยกดีๆ จะรีบติดต่อพวกพวกเป็นคนแรกและไม่ลืมกำชับซีเหมินจินเหลียนอีกด้วยว่าหากคราวหน้าเธอมาที่เจียหยางอีกก็สามารถโทรศัพท์ติดต่อเขาก่อนเพื่อจะได้มีเวลาเตรียมตัวแต่เนิ่นๆ  


ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้าตอบรับด้วยความยินดี หากต้องการดูหินหยกดีๆ ที่เจียหยางก็จำเป็นต้องมีนายหน้าที่รู้ลู่ทางและกว้างขวางในวงการหินหยกเป็นอย่างดี ไม่อย่างนั้นต่อให้มีผู้ขายที่มีหินหยกดีๆ ก็ใช่ว่าจะยอมให้ตาสีตาสาที่ไหนดูก็ได้ เพราะสมัยนี้คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ ไม่มีทางรู้หรอกว่าแต่ละคนมีเบื้องลึกเบื้องหลังเป็นอย่างไร และใครที่มีกำลังซื้อจริงๆ 


ซีเหมินจินเหลียนและจ่านป๋ายกลับเข้าห้องพักในโรงแรมแล้ว ซีเหมินจินเหลียนรู้สึกว่าร่างกายเมื่อยล้าไปทั้งตัวเพราะใช้พลังในการมองทะลุทั้งคืน แต่กระนั้นในใจเธอกลับรู้สึกปลื้มปีติยินดีเป็นพิเศษ 


“เหนื่อยล่ะสิ?” จ่านป๋ายเอ่ยยิ้มๆ ด้วยความเอ็นดู เขามองดูซีเหมินจินเหลียนที่นั่งหมดแรงอยู่บนโซฟาแล้วถามว่า “คืนนี้กินอะไรกันดี หรือว่าคุณไม่หิว?”  


“ตอนแรกก็ไม่รู้สึกหิวหรอกนะ แต่พอคุณพูดแบบนี้แล้วก็รู้สึกหิวขึ้นมาจริงๆ ด้วย!” ซีเหมินจินเหลียนยิ้มเขินๆ “ถ้าอย่างนั้น เราออกไปหาอะไรกินกันดีไหม” เรื่องอาหารการกินสำหรับเธอแล้วจะอย่างไรก็ได้ บางทีเธอกินแค่ขนมกับเครื่องดื่มสักแก้วก็พอประทังไปได้มื้อหนึ่งแล้ว แต่ตอนนี้เธอต้องคิดถึงจ่านป๋ายด้วย คงให้เขามาหิ้วท้องหิวเป็นเพื่อนเธอไม่ได้หรอก 


“สั่งอาหารในโรงแรมก็ได้ เดี๋ยวผมโทรสั่งเอง!” จ่านป๋ายเอ่ยยิ้มๆ 


“อืม!” ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้าเห็นด้วยเพราะไม่อยากขยับตัวไปไหนแล้วเหมือนกัน เธอหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดู นี่มันห้าทุ่มกว่าแล้วนี่ 


“เสี่ยวป๋าย!”  ซีเหมินจินเหลียนเห็นว่าจ่านป๋ายโทรสั่งอาหารค่ำเรียบร้อยแล้วจึงถามด้วยความไม่มั่นใจ “คุณมีคนที่ไว้ใจได้หรือเปล่า”  


“อะไรนะครับ?” จ่านป๋ายไม่เข้าใจสิ่งที่ซีเหมินจินเหลียนถามจึงถามกลับหน้านิ่วคิ้วขมวด “ผมไว้ใจไม่ได้เหรอ” 


“นี่คุณ…” ซีเหมินจินเหลียนได้ยินแล้วหัวเราะขำพลางส่ายศีรษะ “นี่คุณพูดอะไรน่ะ? ฉันหมายความว่า หินหยกห้าก้อนที่ฉันซื้อวันนี้รวมกับอีกหนึ่งก้อนที่ซื้อเมื่อวานนี้ คุณช่วยคิดหาทางส่งหินหยกทั้งหกก้อนกลับเซี่ยงไฮ้พรุ่งนี้ได้ไหม แล้วเพื่อนคุณที่เปิดโกดังให้เช่าคนนั้นเชื่อใจได้หรือเปล่า หินหยกพวกนี้มูลค่าสูงถึงร้อยล้านหยวนเลยนะ” พอเอ่ยถึงประโยคสุดท้ายเธอทำปากยู่บ่นอุบอิบ ก็ของราคาแพงขนาดนั้นจะไว้วางใจฝากฝังให้คนอื่นดูแลง่ายๆ ได้อย่างไรกัน ถ้าทำหายขึ้นมาใครจะรับผิดชอบ?      


เสียหายแค่หนึ่งร้อยล้านหยวนน่ะเรื่องเล็ก ที่สำคัญคือเธอเกรงว่าชาตินี้ทั้งชาติเธอคงไม่มีโอกาสได้เจอหยกสีเลือดอีกแล้ว โดยเฉพาะหยกสีเลือดที่มีเนื้อหยกเนียนละเอียดเป็นประกายแวววาวที่คงได้แค่พบพานแต่มิอาจครอบครอง 


แล้วยังมีหยกสีเขียวมันวาวสุกใสเป็นประกายก้อนนั้นอีก ถ้าไม่ผ่าออกมาดูให้รู้ดำรู้แดงเธอเองก็ไม่รู้ว่าข้างในเป็นหยกชนิดไหนกันแน่… 


สิ่งที่มองเห็นผ่านเนตรหัตถากับมองผ่านตาเปล่านั้นยังคงมีความแตกต่างกันอยู่บ้าง มีเพียงวิธีเดียวที่จะพิสูจน์ทุกอย่างให้กระจ่าง นั่นคือการผ่าหยกออกแล้วมองผ่านแสงธรรมชาติด้วยตาเปล่าเท่านั้นจึงจะยืนยันได้ว่าประกายสีเขียวที่เธอเห็นนั้นคืออะไร 


อีกอย่าง หินหยกก็ไม่เหมือนของอื่นๆ เสียด้วยสิ เธอคงยกกลับไปเองไม่ได้แน่ๆ หินหยกก้อนเล็กยังพอว่า แต่หินหยกสีเลือดก้อนใหญ่หนักเป็นตันจะให้เธอขนกลับเองอย่างไรไหว? 


“เพื่อนผมที่เปิดโกดังให้เช่าไว้ใจได้แน่นอน ส่วนเรื่องส่งหินหยกกลับ…” จ่านป๋ายคิดใคร่ครวญอย่างละเอียดรอบคอบอยู่หลายตลบก่อนสรุป “ขนส่งทางอากาศน่าจะดีที่สุด ผมรู้จักบริษัทขนส่งทางอากาศดีๆ อยู่ที่หนึ่งที่จัดการทุกอย่างได้อย่างไร้ปัญหาแน่นอน ยอมเสียเงินแพงหน่อยแต่ปลอดภัยแน่นอนครับ” 


ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้าเห็นด้วย ก่อนหน้านี้เธอไม่เคยจัดการเรื่องพวกนี้มาก่อนจึงไม่รู้อะไรเลย โชคดีที่มีจ่านป๋ายอยู่ข้างกายคอยจัดการจิปาถะพวกนี้ให้ ไม่อย่างนั้นเธอคงลำบากแย่ 


ทั้งสองรับประทานอาหารค่ำเสร็จเรียบร้อย ซีเหมินจินเหลียนอาบน้ำเสร็จก็รู้สึกหนังตาหนักจนลืมตาไม่ขึ้นจนฟุบหลับไปบนเตียงทั้งอย่างนั้น เช้าวันถัดมา เสียงโทรศัพท์มือถือดังจนปลุกซีเหมินจินเหลียนตื่น เธอคิดว่าจ่านป๋ายเป็นคนโทรมาแน่ๆ จึงกดรับสายทั้งๆ ที่ยังหลับตาอยู่ เสียงของหลินเสวียนหลานดังลอดมาตามสาย… 


“จินเหลียน…” หลินเสวียนหลานเอ่ย 


“พี่เสวียนหลาน? ซีเหมินจินเหลียนตกใจจนหายง่วงเป็นปลิดทิ้ง “มีธุระอะไรหรือเปล่า แล้วพี่จะมาเจียหยางเมื่อไหร่คะ” 


“น่าจะช่วงค่ำๆ หรือไม่ก็พรุ่งนี้เช้า ผมโทรมาถามดูว่าคุณเป็นอย่างไรบ้าง สบายดีไหม” เสียงหัวเราะอ่อนโยนของหลินเสวียนหลานดังลอดมาตามสาย 


“ฉันสบายดีค่ะ แล้วพี่ล่ะคะเป็นอย่างไรบ้าง” ซีเหมินจินเหลียนตอบยิ้มๆ 


“ผม…” หลินเสวียนหลานได้แต่แอบถอนหายใจเบาๆ กับคำถามของซีเหมินจินเหลียน กระนั้นเขายังคงตอบยิ้มๆ “ผมสบายดี ถ้าไม่ติดอะไรผมคงถึงที่นั่นช่วงค่ำๆ วันนี้” 


“อืม ถ้าอย่างนั้นเอาไว้ค่อยคุยกันนะคะ” ซีเหมินจินเหลียนเอ่ยพลางหัวเราะเบาๆ 


“ครับ บ๊ายบาย!” หลินเสวียนหลานเอ่ยลา 


หลังจากวางสายโทรศัพท์แล้วซีเหมินจินเหลียนก็นั่งเหม่อมองโทรศัพท์มือถืออยู่สักพัก พอหันไปเห็นว่าตอนนี้เป็นเวลาแปดโมงห้าสิบนาทีซึ่งเธอคงหมกตัวอยู่บนเตียงนานกว่านี้ไม่ได้แล้ว ซีเหมินจินเหลียนจึงหาวหวอดแล้วลุกออกจากเตียงเดินไปอาบน้ำแต่งตัวในห้องน้ำ เธอนัดเจอกับจ่านป๋ายที่ห้องอาหารในโรงแรมเพื่อรับประทานอาหารเช้าด้วยกัน จากนั้นนั่งรถแท็กซี่ไปที่บ้านผู้เฒ่าหู 


การโอนเงินชำระค่าสินค้าดำเนินไปอย่างราบรื่น แม้ผู้เฒ่าหูออกจะเป็นคนแปลกประหลาดไปนิดแต่เวลาลงมือทำงานก็เป็นการเป็นงานเหมือนกัน พอได้รับเงินค่าสินค้าเรียบร้อยแล้วก็ส่งมอบสินค้าให้ซีเหมินจินเหลียนทันที ซีเหมินจินเหลียนตรวจนับหินหยกอีกรอบ จ่านป๋ายว่าจ้างแรงงานพร้อมรถบรรทุกเพื่อขนย้ายหินหยกทั้งห้าก้อนกลับโรงแรมเพื่อขนหินหยกอีกหนึ่งก้อนที่ฝากไว้ในตู้นิรภัยของโรงแรม เมื่อได้หินหยกครบทั้งหกก้อนแล้วจึงตรงดิ่งไปยังบริษัทขนส่งทางอากาศทันที  


หลังจากจัดการทุกอย่างเสร็จสรรพเรียบร้อยก็เป็นเวลาเที่ยงตรง แสงอาทิตย์ที่ร้อนแรงแผดแสงเจิดจ้าจนตาพร่ามัว อากาศปลายเดือนสิงหาคมร้อนจนแทบละลาย 


ซีเหมินจินเหลียนกับจ่านป๋ายรีบกลับโรงแรมทันที มาเจียหยางทั้งทีเธอคงไม่อยากถูกแดดเผาจนตัวไหม้เกรียมเป็นถ่านดำๆ หรอกนะ…หลังรับประทานอาหารเที่ยงเสร็จเรียบร้อยแล้วซีเหมินจินเหลียนกลับมานอนแผ่หลาอยู่บนเตียง เธอหลับตาลงแล้วเริ่มคำนวณว่าตัวเองยังมีทรัพย์สินอยู่อีกเท่าไหร่ เธอเพิ่งมาถึงเจียหยางเพียงแค่สองวันก็ใช้เงินไปแล้วตั้งหนึ่งร้อยกว่าล้านหยวน ใครจะรู้ว่าเธอจะไม่เจอหยกที่ถูกใจในงานประมูลหยกอีก? 


ที่สำคัญ เธอยังต้องใช้เงินซื้อหุ้นของหลินซื่อ จิวเวลรี่อีกนะ 


พอคิดถึงตรงนี้แล้วซีเหมินจินเหลียนได้แต่ทอดถอนใจ เธอยังเป็นคนจนจริงๆ สินะ! เทียบกับพวกบริษัทอัญมณีขนาดใหญ่ที่มีประวัตินับร้อยๆ ปีหรือนักเล่นหวยหยกมือฉมังแล้ว ทรัพย์สินที่เธอมีอยู่มันช่างน้อยนิดเหลือเกิน 


“ตอนเย็นลองไปดูหินหยกที่ตลาดหยกดีกว่า เผื่อจะมีหยกเนื้อน้ำแข็ง หยกเนื้อถั่วเขียวหรือว่าหยกเนื้อดอกไม้เขียวดีๆ ให้ซื้อ ผ่าออกมาแล้วจะได้ขายเอาเงินสดเข้ากระเป๋า ดีกว่ามานั่งๆ นอนๆ อยู่เฉยๆ แบบนี้เป็นไหนๆ” ซีเหมินจินเหลียนถอนหายใจอีกรอบ ในใจกำลังลังเลว่ากลับเซี่ยงไฮ้คราวนี้ควรจะผ่าหยกเนื้อแก้วสีเขียวแล้วเอาไปขายดีไหมนะ? 


เวลาประมาณสี่โมงเย็น ซีเหมินจินเหลียนเห็นว่าพระอาทิตย์ใกล้ตกดินแล้วจึงชวนจ่านป๋ายไปเดินดูหินหยกที่ตลาดหยกด้วยกัน 


จ่านป๋ายเอ่ยพลางกลั้วหัวเราะว่า “คุณนี่แรงดีไม่มีตกจริงๆ เลยนะ มาเจียหยางยังไม่ทันครบสองวันก็ซื้อหินหยกไปตั้งหกก้อนแล้ว นี่คุณไม่คิดจะพักสักหน่อยเหรอครับ?” 


“อยู่ว่างๆ ก็เสียเวลาไปเปล่าๆ ถึงหมกตัวอยู่แต่ในห้องในวันที่อากาศร้อนแบบนี้จะไม่ทำให้ตัวขึ้นราแต่ก็ทำให้ตัวเหม็นได้นะคะ” ซีเหมินจินเหลียนตอบกลับอย่างมีอารมณ์ขัน 


จ่านป๋ายยิ้มออกมาน้อยๆ ด้วยความเอ็นดู ในเมื่อซีเหมินจินเหลียนอยากไปตลาดหยกเขาก็พร้อมไปเป็นเพื่อนเธอเสมอ เนื่องจากก่อนหน้านี้ประธานเฉินเคยนำทางและแนะนำเคล็ดลับต่างๆ ให้กับซีเหมินจินเหลียนแล้วเธอจึงพอรู้อะไรๆ อยู่บ้าง ซีเหมินจินเหลียนไม่เสียเวลาแวะดูเครื่องประดับหยกสำเร็จรูปแต่มองหาร้านขายหินหยกโดยเฉพาะแทน 


แม้จะเกิดเหตุการณ์ที่สองพี่น้องแซ่เริ่นผ่าหยกแพ้จนฆ่าตัวตาย แต่มันไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรต่อธุรกิจค้าหยกของที่นี่เลยแม้แต่นิดเดียว เพราะในแวดวงหยกมีแต่กระจายข่าวดีไม่กระจายข่าวร้าย เวลาสี่โมงเย็นของวันนี้ บรรยากาศในตลาดค้าหยกจึงยังคงคึกคักและเต็มไปด้วยผู้คนมากมายเช่นเดิม นักท่องเที่ยวที่มาเดินเที่ยวถึงถิ่นหยกแห่งนี้ต่างก็ต้องซื้อเครื่องประดับหยกกลับไปเป็นของฝาก เพราะเครื่องประดับหยกแห่งเมืองเจียหยางขึ้นชื่อว่าราคาถูกกว่าที่อื่นเป็นไหนๆ 


เมื่อเดินผ่านร้านของเหล่าเหยา ซีเหมินจินเหลียนก็สังเกตเห็นว่าเหล่าเหยากำลังเรียกลูกค้าด้วยท่าทางซึมเซาหงอยเหงา ดูท่าทางแล้วเหล่าเหยาคงได้ข่าวเรื่องการอัตวินิบาตกรรมของสองพี่น้องแซ่เริ่นแล้วแน่ๆ 


แต่เรื่องนี้คงโทษใครไม่ได้ หวยหยกที่มีความเสี่ยงสูงมาพร้อมกำไรมหาศาลที่ดึงดูดใจยิ่งนัก แต่ขณะเดียวกันก็แฝงไปด้วยอันตรายเช่นเดียวกัน 


“คุณผู้ชาย สนใจดูหินหยกไหมครับ” เหล่าเหยาก็เหมือนเถ้าแก่ทั่วไปที่ร้องเรียกเชิญชวนจ่านป๋ายเผื่อลูกค้าสนใจ 


ซีเหมินจินเหลียนหยุดฝีเท้าพลางคิดว่าจะเข้าไปดีไหม เธอลังเลเพียงชั่วครู่แล้วจึงตัดสินใจเดินเข้าไปในร้าน…ลองเข้าไปดูก่อน ส่วนจะซื้อหรือไม่นั้นเอาไว้ค่อยว่ากันทีหลัง 


เหล่าเหยาเห็นว่ามีลูกค้าเข้าร้านก็กระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันที เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานทำให้วันนี้ทั้งวันยังไม่มีลูกค้าเข้าร้านสักคน ตัวเองได้แต่มองร้านข้างๆ ที่ขายดิบขายดีเป็นเทน้ำเทท่าด้วยความอึดอัดกลัดกลุ้มใจ ผ่าหยกแพ้แล้วจะโทษใครได้นอกจากต้องโทษที่ตัวเองตาไม่ถึงเอง… 


“คุณผู้ชาย หินหยกของร้านเราเป็นหินหยกบ่อเก่าคุณภาพดี แถมราคาย่อมเยาด้วยนะครับ!” เหล่าเหยาเปิดการขายด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเต็มที่ 


“เธอต่างหากล่ะครับที่จะดูหินหยก!” จ่านป๋ายชี้แจงพร้อมชี้ไปทางซีเหมินจินเหลียน  


 


[1] รูปแบบอักษรจีนมาตรฐานที่ใช้กันทั่วโลกในปัจจุบันมีสองรูปแบบ คือ อักษรจีนดั้งเดิมหรืออักษรจีนตัวเต็ม (Traditional Chinese Character) ใช้ในฮ่องกง มาเก๊า ไต้หวัน และชุมชนชาวจีนโพ้นทะเลบางชุมชนที่เริ่มตั้งชุมชนก่อนการใช้อักษรจีนตัวย่ออย่างแพร่หลาย ส่วนอักษรจีนตัวย่อ (Simplified Chinese Character) เริ่มใช้โดยรัฐบาลของสาธารณรัฐประชาชนจีน (จีนแผ่นดินใหญ่) ในปี ค.ศ. 1950 อย่างจริงจัง เพื่อให้แตกต่างจากอักษรจีนแบบดั้งเดิม ใช้กันในสาธารณรัฐประชาชนจีน สิงคโปร์ และชุมชนชาวจีนโพ้นทะเลบางชุมชนที่เริ่มตั้งชุมชนหลังการใช้อักษรจีนตัวย่ออย่างแพร่หลาย อย่างไรก็ตาม ชาวไทยเชื้อสายจีนส่วนมากยังคงใช้อักษรจีนตัวเต็มเป็นหลัก แต่สำหรับการสอนภาษาจีนตามสถานศึกษาในประเทศไทยส่วนมากจะใช้อักษรจีนตัวย่อ เพื่อให้เป็นแบบแผนเดียวกันกับสาธารณรัฐประชาชนจีน


ตอนที่ 4 

เจ้าหญิงแห่งวงการหยก (2)

 


 


 


 


เหล่าเหยาได้ยินดังนั้นก็นิ่งอึ้งไปชั่วครู่ แต่วิญญาณพ่อค้าทำให้เขาตั้งสติและรีบเอ่ยพร้อมรอยยิ้มกว้างอย่างมืออาชีพ “ที่แท้คุณผู้หญิงนี่เองที่จะดูหินหยก น้อยมากเลยนะครับที่จะมีผู้หญิงเล่นหยก โดยเฉพาะผู้หญิงที่ทั้งสาวและสวยอย่างคุณผู้หญิงนี่ยิ่งน้อยเข้าไปใหญ่เลยนะครับ” มีลูกค้าเข้าร้านทั้งที เหล่าเหยาสามารถพูดให้คนตายฟื้นขึ้นมาก็ยังได้ 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนยิ้มบางๆ “เถ้าแก่อย่ามัวแต่ชมฉันเลย รีบเข้าไปดูสินค้าก่อนดีกว่าค่ะ” 


 


 


“เชิญๆๆ! เชิญด้านในเลยครับ!” เหล่าเหยารีบเชิญซีเหมินจินเหลียนกับจ่านป๋ายเข้าไปนั่งในร้านพลางสั่งให้พนักงานในร้านจัดหาน้ำอัดลมเย็นๆ มาต้อนรับลูกค้าพลาง เหล่าเหยาบริการลูกค้าได้อย่างดีเยี่ยม ผิดกับผู้เฒ่าหูที่ดูซังกะตายราวฟ้ากับเหว 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนยิ้มบางๆ ด้วยความเกรงใจ เหล่าเหยาถามความต้องการของลูกค้าตรงๆ อย่างไม่อ้อมค้อม “คุณผู้หญิงอยากดูหินหยกที่เปิดหน้าหยกแล้วหรือว่าหวยหยกดีครับ” 


 


 


“ขอดูหวยหยกก่อนแล้วค่อยดูก้อนที่เปิดหน้าหยกแล้วทีหลังค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนแจ้งความต้องการของตนเองอย่างชัดเจน สำหรับเธอแล้วไม่ว่าจะเป็นหินหยกที่เปิดหน้าหยกแล้วหรือหวยหยกก็ตาม สิ่งสำคัญคือข้างในมีเนื้อหยกดีๆ อยู่หรือเปล่าต่างหากเล่า 


 


 


“ได้เลยครับ!” เหล่าเหยาผงกศีรษะรับทราบ 


 


 


หวยหยกถูกวางกองอยู่ในร้าน ซีเหมินจินเหลียนเดินเข้าไปเลือกดูหวยหยกโดยไม่ต้องรอให้เหล่าเหยาเอ่ยบอก เหล่าเหยาเดินออกไปเรียกลูกค้าตรงหน้าร้านเหมือนเดิมเพราะไม่อยากรบกวนเธอ ขณะที่จ่านป๋ายนั่งมองดูซีเหมินอย่างเงียบๆ ส่วนพนักงานในร้านเพียงแค่โผล่หน้ามาแวบเดียวแล้วผลุบหายไปไหนก็ไม่รู้ 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนเลือกหินหยกที่มีลักษณะดีอย่างใจเย็น จากนั้นก็อ่านหยกด้วยตาเปล่าก่อนแล้วค่อยมองทะลุข้างในด้วยพลังพิเศษเพื่อยืนยันสิ่งที่ตัวเองวิเคราะห์ว่าถูกต้องหรือไม่ 


 


 


แต่ซีเหมินจินเหลียนต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่หลังมองทะลุหินหยกไปห้าหรือหกก้อน มิน่าเล่าเขาถึงบอกแม้แต่เทพเจ้าก็มิอาจหยั่งรู้ว่าภายใต้เปลือกหยกทึบๆ นั่นมีหยกสีเขียวซ่อนอยู่หรือไม่ และหินหยกที่เห็นส่วนใหญ่ข้างนอกสุกใส ข้างในเป็นโพรง ถ้าซื้อเอาไว้ต้องผ่าแพ้แน่นอน 


 


 


จ่านป๋ายนั่งมองดูซีเหมินจินเหลียนเลือกหินหยกจนเริ่มรู้สึกเบื่อ ด้วยความอยากรู้เขาจึงเริ่มรวบรวมข้อมูลความรู้ที่เคยอ่านเจอในอินเทอร์เน็ตแล้วลองอ่านหวยหยกดูบ้าง 


 


 


แต่จนแล้วจนรอดจ่านป๋ายก็ดูไม่ออกอยู่ดีว่าอะไรคือซงฮวา หมั่งไต้ โดยเฉพาะอู้ยิ่งไม่ต้องพูดถึง เขาเบื่อมากจนไม่รู้จะทำอะไรจึงหยิบหินหยกเปลือกสีเทาอ่อนขึ้นมากะน้ำหนักดู อืม…หินหยกก้อนนี้ถือว่าเล็ก น่าจะหนักประมาณห้าถึงหกกิโลกรัมเท่านั้น…  


 


 


“เสี่ยวป๋าย คุณกำลังทำอะไรน่ะ” ซีเหมินจินเหลียนถามด้วยความฉงน 


 


 


“เปล่า ผมแค่ดูอะไรไปเรื่อยเปื่อยน่ะครับ คุณไม่ต้องสนใจหรอก” จ่านป๋ายยิ้มเก้อๆ พลางวางหินหยกในมือลง พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นบางอย่างราวกับตนเองค้นพบสิ่งอัศจรรย์ “จินเหลียน คุณมาดูอะไรนี่สิ!” 


 


 


“มีอะไรเหรอคะ” ซีเหมินจินเหลียนรีบเดินเข้ามาดูด้วยความอยากรู้ 


 


 


“คุณมาดูนี่สิ!” จ่านป๋ายใช้นิ้วชี้ไปยังหินหยกสองก้อนที่วางอยู่บนพื้นพลางเอ่ยกลั้วหัวเราะ 


 


 


“ตลกใช่ไหมล่ะ!” จ่านป๋ายรู้สึกดีมากที่ทำให้ซีเหมินจินเหลียนหัวเราะออกมาได้  


 


 


หลายวันมานี้เขาติดตามซีเหมินจินเหลียนไปทุกที่ และเขารู้สึกตลอดเวลาว่าซีเหมินจินเหลียนไม่สดใสร่าเริงเลย… 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนเดินเข้าไปดูใกล้ๆ แล้วต้องหัวเราะออกมา ที่แท้ก็มีหินหยกเปลือกทรายดำทรงรีวางอยู่บนพื้นข้างๆ กับหินหยกเปลือกสีเทาอ่อนทรงรีที่จ่านป๋ายเพิ่งวางลงกับพื้นจนกลายเป็นภาพขาวดำที่ดูแล้วตลกมากอย่างบอกไม่ถูก 


 


 


“ไหนดูซิ!” ซีเหมินจินเหลียนเอ่ยพลางหัวเราะ 


 


 


หินหยกทั้งสองก้อนมีขนาดไม่ใหญ่นัก ซีเหมินจินเหลียนจึงหยิบหินหยกเปลือกทรายดำขึ้นมาดูได้อย่างสบายๆ เหล่าเหยาไม่ได้พูดเกินจริงเลยสักนิด หินหยกก้อนนี้เป็นหินหยกบ่อเก่าจากพากันจริงๆ แม้ตอนนี้เธอยังไม่สามารถระบุได้ว่าข้างในนั้นเป็นอย่างไร แต่อ่านหยกแล้วก็วิเคราะห์ได้ว่าน่าจะเป็นหินหยกจากแหล่งไหน 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนต้องนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ เพราะชั่ววินาทีที่เธอใช้มือซ้ายหยิบหินหยกเปลือกทรายดำที่จ่านป๋ายเห็นว่าตลกมากขึ้นมานั้น…เธอเห็นสีเขียวจากข้างใน… 


 


 


ที่สำคัญ มันเป็นหยกเนื้อน้ำแข็งเสียด้วย มันเป็นหยกสีเขียวอ่อนไม่ค่อยสวยนักแต่ให้ความรู้สึกเหมือนต้นอ่อนที่เพิ่งผ่านพ้นพายุฝนในฤดูใบไม้ผลิมากกว่า และสีแบบนี้แหละที่สาวๆ ชอบนัก เพราะก้อนเล็กแค่เพียงกำปั้นเท่านั้น 


 


 


“เสี่ยวป๋าย เราซื้อหินหยกหน้าตาตลกสองก้อนนี้ไปผ่าเล่นกันดีไหม” ซีเหมินจินเหลียนเอ่ยปนหัวเราะ 


 


 


ภายนอกเหล่าเหยาอาจดูเหมือนกำลังตั้งอกตั้งใจเรียกแขก แต่ที่จริงแล้วคอยเงี่ยหูฟังบทสนทนาของซีเหมินจินเหลียนกับจ่านป๋ายอยู่ตลอดเวลา พอได้ยินว่าทั้งสองจะซื้อหินหยกก็รีบแจ้นเข้ามาพร้อมรอยยิ้มกว้างขวาง “คุณผู้หญิงสนใจก้อนไหนครับ” 


 


 


“สองก้อนนี้ค่ะ เถ้าแก่เสนอราคามาเลยค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนเอ่ยอย่างอารมณ์ดี 


 


 


“นี่เป็นหินหยกบ่อเก่าจากพากันเลยเชียวนะ” เหล่าเหยาเหล่ตามองหินหยกทั้งสองก้อนแวบหนึ่ง “ผมขายห้าพันหยวนครับ!” 


 


 


“นี่มันปล้นกันชัดๆ เลยนะเถ้าแก่!” ซีเหมินจินเหลียนแสร้งทำเป็นเสียงดังด้วยความตกใจ “หวยหยกก้อนเล็กนิดเดียวแค่สองก้อนขายตั้งห้าพันหยวนเลยเหรอคะ” 


 


 


“โธ่ คุณผู้หญิง มันไม่ใช่แค่หวยหยกก้อนเล็กๆ นะ แต่มันเป็นหวยหยกลักษณะดีเลยต่างหากล่ะครับ…” เหล่าเหยาเริ่มปฏิบัติการชักแม่น้ำทั้งห้ามาสาธยายความดีของหินหยกดังกล่าวเพื่อโน้มน้าวซีเหมินจินเหลียน 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนเอ่ยยิ้มๆ ด้วยความเจ้าเล่ห์ “เถ้าแก่ หวยหยกลักษณะดีส่วนใหญ่ก็ผ่าแพ้ทั้งนั้น…หวยหยกสองก้อนนี้อย่างมากก็แค่สามร้อยหยวนเท่านั้นแหละค่ะ” 


 


 


“อะไรนะครับ?” เหล่าเหยาแทบไม่อยากเชื่อหูตัวเอง เขาเสนอราคาห้าพันหยวนนับว่าถูกมากแล้ว เพราะวันนี้เขาอยากขายของและกะจะค้ากำไรงามๆ เสียหน่อย แต่นึกไม่ถึงว่าซีเหมินจินเหลียนจะต่อราคาได้น่ากลัวขนาดนี้ 


 


 


“หวยหยกหน้าตาน่าเกลียดและดูตลกสองก้อนนี้ ราคาสามร้อยหยวนถือว่าแพงมากแล้วนะคะ!” ซีเหมินจินเหลียนทำปากยู่เอ่ยเสียงอ่อย แต่ในใจแอบคิดว่าตัวเองคงจะต่อรองราคาได้น่าตกใจเกินไป แต่ถ้าเธอไม่ต่อราคาก็ต้องถูกมองเป็นหมูในอวยให้เชือดได้ง่ายๆ น่ะสิ 


 


 


“โธ่ คุณผู้หญิง เพิ่มให้ผมอีกนิดเถอะนะครับ ถือว่าช่วยๆ กัน!” เหล่าเหยาปั้นหน้าตาน่าสงสาร 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนเห็นดังนั้นก็ลิงโลดใจ ถ้าคนเป็นเถ้าแก่เอ่ยปากแบบนี้ย่อมแสดงว่าราคาที่ตัวเองต่อรองไปนั้นถือว่าสมเหตุสมผล มิเช่นนั้นเขาคงปฏิเสธไม่ยอมขายให้เธอแล้ว 


 


 


“ตกลงค่ะ!” ซีเหมินจินเหลียนเอ่ยด้วยความเป็นต่อ “สามร้อยห้าสิบหยวน แพงกว่านี้ไม่ได้แล้วนะคะ” 


 


 


จ่านป๋ายอดยิ้มไม่ได้ เขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยซีเหมินจินเหลียนก็มีด้านที่ชอบแกล้งคนอื่นแบบนี้ด้วยเหมือนกัน ส่วนเหล่าเหยาได้ยินดังนั้นก็ได้แต่เอ่ยหน้าเบ้ “คุณผู้หญิง ถ้าหากเป็นหวยหยกธรรมดาผมคงให้ราคาคุณสองร้อยห้าสิบหยวนไปแล้วล่ะครับ คุณดูสิว่าจะหาหวยหยกแบบนี้ในราคาสองร้อยห้าสิบหยวนจากที่ไหนได้อีก” 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนมองหน้าตาผิดหวังของเหล่าเหยาแล้วหลุดหัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดี “ฉันยอมเสียเปรียบก็ได้ ถ้าอย่างนั้น หินหยกก้อนละสองร้อยหยวน รวมทั้งหมดสี่ร้อยหยวน คราวนี้ขอเพิ่มราคาอีกไม่ได้แล้วนะ ฉันยังต้องเก็บเงินเอาไว้แต่งงานนะคะ!” 


 


 


ตอนแรกเหล่าเหยากะจะขอเพิ่มราคาอีกสักหน่อย แต่พอได้ยินประโยคสุดท้ายของซีเหมินจินเหลียนแล้วก็อดยิ้มเอ็นดูไม่ได้ “โอเคๆ เอาตามที่คุณผู้หญิงว่าก็ได้ครับ!” 


 


 


“แล้วผ่าหยกที่นี่ฟรีหรือเปล่าคะ” ซีเหมินจินเหลียนเอ่ยถามเพื่อความแน่ใจ เธอรู้ว่าปกติแล้วร้านขายหินหยกจะต้องมีเครื่องตัดหินหยกเอาไว้บริการลูกค้า และที่ร้านเหล่าเหยาก็มีบริการนี้เช่นกัน เพราะพี่น้องแซ่เริ่นเพิ่งผ่าหยกที่นี่เมื่อวานนี้เอง 


 


 


“แน่นอนครับ!” แม้จะเป็นสินค้ามูลค่าน้อยแต่เหล่าเหยาก็พยักหน้ายินดีให้ผ่าฟรี เพราะเขาเองก็หวังว่าซีเหมินจินเหลียนจะผ่าออกมาเป็นหยกสีเขียวจริงๆ จะได้ช่วยเปิดโชคเปิดลาภให้ร้านเขาด้วย ตอนนี้งานประมูลหยกที่เจียหยางกำลังจะเริ่มขึ้นแล้วด้วย ธุรกิจของเขาจะได้เฟื่องฟูตามไปด้วย แต่เพราะผลกระทบเรื่องสองพี่น้องแซ่เริ่นผ่าหยกแพ้ทำให้ตอนนี้กิจการของเขาซบเซาอย่างหนัก 


 


 


ถ้าพี่น้องแซ่เริ่นแค่ผ่าหยกแพ้ก็คงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เพราะใครๆ ต่างก็รู้ว่าการเล่นหวยหยกนั้นโอกาสผ่าหยกชนะมีเพียงแค่หนึ่งในสิบเท่านั้น แต่สองพี่น้องแซ่เริ่นกลับยอมรับความพ่ายแพ้ไม่ได้ เลือกฆ่าตัวตายในโรงแรมเพื่อหนีความจริงจนกลายเป็นคดีความ เมื่อวานตำรวจก็มาสอบปากคำเขาที่ร้านซึ่งเขารู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมาก 


 


 


ลูกค้าที่รู้เรื่องก็ไม่กล้ามาที่ร้านของเขาเพราะกลัวอับโชคจนทำให้กิจการของเขาเงียบเหงาขนาดนี้ 


 


 


จ่านป๋ายจ่ายเงินค่าหินหยกจำนวนสี่ร้อยหยวนให้เถ้าแก่เหยาทั้งๆ ที่ยังคาใจ เถ้าแก่เหยาเสนอราคาห้าพันหยวนซึ่งแพงเกินจริงไปมาก แต่พอซีเหมินจินเหลียนต่อรองราคาเหลือแค่สี่ร้อยหยวนเขากลับยอมขายของง่ายๆ เสียอย่างนั้น แถมยังขายให้อย่างหน้าชื่นตาบานเสียด้วย ดูท่าท่างแล้วธุรกิจหวยหยกสามารถทำกำไรได้มหาศาลจริงๆ 


 


 


หินหยกก้อนเล็กเท่ากำปั้นไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องตัดหินหยก แต่พนักงานในร้านก็รีบยกเครื่องตัดหินหยกและเครื่องเจียหินหยกออกมาเปิดเครื่องให้ซีเหมินจินเหลียนเสร็จสรรพเรียบร้อยอย่างรู้งาน  


 


 


ซีเหมินจินเหลียนหยิบหินหยกเปลือกสีเทาอ่อนขึ้นมา เธอไม่ได้มองทะลุหินหยกก้อนนี้และกะว่าจะไม่ใช้พลังพิเศษมองทะลุด้วย 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนเดินออกไปด้านนอกแล้ววางหินหยกดังกล่าวลงบนเครื่องเพื่อเตรียมผ่าหยก 


 


 


ผู้คนแถวนั้นพอได้ข่าวว่ามีคนกำลังจะผ่าหยกก็รีบล้อมวงเข้ามาดู มันเป็นธรรมดาที่คนเล่นหวยหยกชอบดูคนอื่นผ่าหยก เพราะการดูหวยหยกค่อยๆ ถูกเจียเปลือกหยกหน้าตาน่าเกลียดออกจนเห็นเนื้อหยกสีเขียวสวยสดใสที่ซ่อนอยู่ข้างในมันให้ความรู้สึกตื่นเต้นเหมือนการได้เห็นสาวงามค่อยๆ เปลื้องผ้าออกทีละชิ้น  


 


 


ยิ่งคนผ่าหยกเป็นหญิงสาวหน้าตาสะสวยอย่างซีเหมินจินเหลียนด้วยแล้วยิ่งมีเสน่ห์ดึงดูดให้ผู้คนเข้ามาเต็มร้านได้ในเวลาเพียงชั่วพริบตาเดียว 


 


 


 แม้ซีเหมินจินเหลียนจะไม่รู้ว่าข้างในของหินหยกเปลือกสีเทาอ่อนเป็นอย่างไร เพราะไม่มีหมั่งไต้หรือซงฮวาบนเปลือกหยกเลย แต่เธอก็พยายามเจียเปลือกหยกอย่างระมัดระวังที่สุด 


 


 


พอเจียเปลือกหยกออกแล้วข้างในกลับเป็นเพียงหินสีขาวๆ เท่านั้น ไม่มีร่อยรอยสีเขียวใดๆ ให้เห็นเลยแม้แต่นิดเดียว บรรดาคนที่มุงดูทั้งหลายต่างทำหน้าผิดหวังไปตามๆ กัน 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนได้แต่ส่ายศีรษะพลางยิ้มแห้งๆ โชคเธอไม่ดีจริงๆ ด้วยสิ อุตส่าห์คิดว่าจะลองเสี่ยงโชคดูเสียหน่อยแต่กลับไม่เจอหยกสีเขียวเลย ตอนนี้พระอาทิตย์ตกดินไปแล้วแต่อากาศยังคงร้อนอบอ้าวเหมือนเดิม ซีเหมินจินเหลียนหมดความอดทนที่จะค่อยๆ เจียเปลือกหยกออกหมดทั้งก้อนจึงตัดสินใจวางหินหยกก้อนนั้นลงบนเครื่องตัดหินหยก เธอเปิดเครื่องแล้วจับที่มือจับอย่างมั่นคงแล้วตัดฉับลงไปทันที… 


 


 


หินหยกถูกใบมีดตัดฉับ ซีเหมินจินเหลียนมองดูผลงานตัวเองแล้วต้องร้องอุทาน “เอ๊ะ” ออกมาด้วยความประหลาดใจ นี่เธอโชคดีจริงๆ อย่างนั้นเหรอ? นี่ขนาดเธอซื้อสุ่มสี่สุ่มห้ายังเจอหยกสีเขียวหรือเนี่ย 


 


 


ข้างในเป็นหยกสีเขียวจริงแต่เป็นเพียงแค่หยกสีเขียวหม่นเนื้อแห้งและน้ำไม่งาม ที่สำคัญข้างในมีเนื้อหยกสีเขียวหม่นกว้างประมาณครึ่งเซนติเมตรเท่านั้น ถ้าฝีมือดีก็สามารถแกะเนื้อหยกออกมาทำเป็นจี้เล็กๆ ได้สักสองอัน 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนวักน้ำที่วางอยู่ข้างๆ ราดลงบนหินหยกเพื่อให้เห็นสีหยกที่ชัดเจนยิ่งขึ้น 


 


 


“คุณผู้หญิงโชคดีจังเลยครับ!” เหล่าเหยารีบเอ่ยด้วยความชื่นชมยินดี 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนได้แต่ยิ้มแห้งๆ แล้วแอบคิดในใจว่านี่โชคดีแล้วเหรอ? เสี้ยววินาทีที่เธอเงยหน้าขึ้นพลันสายตาเหลือบไปเห็นคนที่เธอรู้จักสองคนยืนอยู่ท่ามกลางผู้คนที่มามุงดูเธอผ่าหยก นั่นมันหวังเซียงฉินกับลู่เฟยอวี๋นี่ ซีเหมินจินเหลียนแปลกใจ แล้วทำไมสองคนนี้ถึงมาอยู่ที่เจียหยางล่ะ? 


 


 


“คุณผู้หญิง คุณขายหยกก้อนนี้หรือเปล่า” เสียงถามลอยมาจากฝูงชนที่มามุงดูการผ่าหยก 


 


 


“ขายค่ะ!” ซีเหมินจินเหลียนผงกศีรษะตอบรับ เธอต้องขายหินหยกก้อนนี้อยู่แล้ว จะเก็บไว้ทำไมกันล่ะ

 

 

 


ส่วนที่ 4

 

ตอนที่ 5.1

 

เจ้าหญิงแห่งวงการหยก (3)

 


 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนเงยหน้าขึ้นมองชายแปลกหน้ารูปร่างสันทัด เธอผงกศีรษะให้เขาพลางเอ่ย “หนึ่งพันหยวน ถ้าคุณอยากได้ก็เชิญเลยค่ะ” 


 


 


ชายคนนั้นใช้ความคิดเพียงชั่วครู่จึงพยักหน้าพร้อมเอ่ยว่า “ราคาของคุณผู้หญิงยุติธรรมดี!” 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนยิ้มบางๆ หยกก้อนนี้น่าจะนำไปเจียระไนเป็นจี้หยกได้สักสองอันและคงขายได้ราคาสักสามพันถึงสี่พันหยวน เธอเสนอราคาหนึ่งพันหยวนก็ถือว่ายุติธรรมที่สุดแล้ว 


 


 


ชายคนนั้นไม่ต่อรองราคาใดๆ เขาหยิบธนบัตรสีแดงใบละหนึ่งพันหยวนส่งให้ซีเหมินจินเหลียนทันที ซีเหมินจินเหลียนรับเงินมาแล้วส่งต่อให้จ่านป๋ายเก็บเงินเอาไว้เพราะตอนนี้จ่านป๋ายกลายเป็นคนดูแลเงินสดของซีเหมินจินเหลียนไปเสียแล้ว 


 


 


ฝูงชนที่ล้อมวงอยู่รอบๆ ต่างหันไปมองจ่านป๋ายด้วยความแปลกใจเล็กน้อย เมื่อต่างเข้าใจผิดคิดว่าจ่านป๋ายเป็นแฟนของซีเหมินจินเหลียนจึงเลิกสนใจเขาอีก  


 


 


ซีเหมินจินเหลียนชายตาสังเกตหวังเซียงฉินกับลู่เฟยอวี๋ที่ยืนปะปนอยู่ท่ามกลางผู้คนที่มาดูการผ่าหยกแล้วรู้สึกสงสัยมากยิ่งขึ้น ผู้หญิงสองคนนี้ไม่ได้นัดเจอกับหลินเสวียนหลานที่ผิงโจวหรอกหรือ? แล้วมายืนทำอะไรอยู่ที่นี่ แล้วหลินเจิ้งหายไปไหน เขาคงไม่ปล่อยให้หวังเซียงฉินมาเจียหยางคนเดียวหรอกกระมัง?  


 


 


หวยหยกเปลือกทรายดำอีกก้อนนั้นข้างในเป็นหยกค่อนข้างดี ซีเหมินจินเหลียนจึงไม่คิดผ่าจากกลางก้อนอย่างเมื่อกี้แน่นอน เธอหยิบเครื่องเจียหินหยกมาเพื่อเตรียมเปิดหน้าหยกทันที 


 


 


“จินเหลียน ให้ผมช่วยไหมครับ” แม้จ่านป๋ายจะไม่มีความรู้เรื่องการผ่าหยก แต่เมื่อครู่เขาสังเกตดูอย่างตั้งใจแล้วพบว่าการเจียเปลือกหยกนั้นแค่เจียเปลือกหินหยกออกอย่างเบามือ แม้จะต้องใช้เทคนิคนิดหน่อยแต่เขาน่าจะทำมันได้อย่างไม่มีปัญหา ที่สำคัญงานเปิดหน้าต่างหยกเป็นงานที่ใช้แรง เวลาที่เขาเห็นซีเหมินจินเหลียนต้องออกแรงเจียเปลือกหยกแล้วมันทำให้เขารู้สึกปวดใจจริงๆ 


 


 


ถ้าเกิดนิ้วบอบบางของซีเหมินจินเหลียนต้องเจียหินหยกจนนิ้วมือด้านขึ้นมาล่ะแย่เลย 


 


 


“อืม!” ซีเหมินจินเหลียนได้ยินจ่านป๋ายเสนอตัวช่วยเหลือจึงคลี่ยิ้มออกมาน้อยๆ และไม่ได้ดึงดันที่จะเจียเอง เธอไม่คิดมากอยู่แล้วถ้าเกิดจ่านป๋ายไม่ชำนาญและเจียเปลือกหยกหนาไปหน่อยซึ่งก็คงทำให้เสียหายไม่เท่าไหร่ เธอยื่นเครื่องเจียหินหยกให้จ่านป๋ายพร้อมเอ่ยยิ้มๆ “ลองดูสิคะ เผื่อคุณจะโชคดี” 


 


 


“ขอบคุณที่อวยพรครับ!” จ่านป๋ายเอ่ยยิ้มๆ ด้วยความดีใจที่ซีเหมินจินเหลียนไม่คัดค้าน เขารับเครื่องเจียหินหยกมาจากเธอ วางหินหยกเปลือกทรายดำลงบนตำแหน่งที่ต้องการ เปิดสวิตช์เครื่องเจียหินหยกแล้วเริ่มเจียเปลือกหินหยกอย่างระมัดระวัง 


 


 


ผู้คนที่ล้อมวงกันรอดูการผ่าหยกไม่มีใครออกจากร้านเลยสักคน ต่างพากันยื่นคอยืดยาวรอชมการผ่าหยกรอบใหม่อย่างใจจดใจจ่อ 


 


 


ใช้เวลาเพียงชั่วครู่จ่านป๋ายก็เปิดหน้าหยกสำเร็จ เขารีบเอ่ยด้วยความดีใจ “จินเหลียน คุณรีบมาดูนี่สิ ผมโชคดีอย่างที่คุณบอกจริงๆ ด้วย!” 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนที่รู้อยู่แล้วว่าข้างในเป็นอย่างไรแต่ก็ยังเดินเข้าไปดูตามคำเชิญชวนของจ่านป๋ายอย่างว่างาย หินหยกที่ถูกเปิดหน้าหยกออกเป็นช่องเล็กๆ เผยให้เห็นหยกเนื้อน้ำแข็งสีเขียวอ่อนกว้างประมาณหนึ่งนิ้ว 


 


 


จ่านป๋ายเลียนแบบซีเหมินจินเหลียนวักน้ำที่วางอยู่ข้างๆ มาราดลงบนหินหยกเพื่อเผยให้เห็นเนื้อหยกสดใส 


 


 


“เป็นหยกสีเขียวจริงๆ ด้วย…” เหล่าเหยายิ้มกว้างหน้าตาเบิกบานทันใด 


 


 


ผู้คนที่ยืนออกันอยู่ได้ยินดังนั้นก็รีบกรูกันเข้ามาอีก จ่านป๋ายยิ้มปลื้มพลางก้าวเท้าถอยหลังสองก้าวเพื่อให้มีพื้นที่มากพอให้พวกเขาเข้ามาดูใกล้ๆ 


 


 


“ผมให้หนึ่งหมื่นหยวน!” ชายรูปร่างสันทัดคนเดิมตะโกนบอก 


 


 


จ่านป๋ายเหลือบสายตามองซีเหมินจินเหลียนเงียบๆ อย่างขอความเห็น 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนเอ่ยยิ้มๆ “ขอเปิดเปลือกหยกให้หมดก่อนนะคะ” หลังซีเหมินจินเหลียนเอ่ยจบทุกคนต่างพากันนิ่งเงียบ แม้แต่คนที่เตรียมเสนอราคาก็ต้องหยุดตัวเองเสียก่อน การที่เจ้าของหินหยกบอกว่ายังอยากจะผ่าหยกให้เสร็จก่อนย่อมหมายความว่ายังไม่อยากขายตอนนี้ ต่อให้เสนอราคาไปก็เปล่าประโยชน์ 


 


 


จ่านป๋ายเดินกลับเข้าไปเจียเปลือกหยกต่อ เมื่อรู้แล้วว่าข้างในเป็นหยกสีเขียวเขาจึงต้องเจียเปลือกหยกออกอย่างระมัดระวังมากยิ่งขึ้น เขาเพิ่งเปิดหน้าหยกออกแค่นิดเดียว ยังไม่ทันไรมูลค่าก็พุ่งสูงถึงหนึ่งหมื่นหยวนแล้ว เพราะฉะนั้นเขาต้องระมัดระวังไม่ให้เกิดความเสียหายอย่างสุดความสามารถ จ่านป๋ายใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงกว่าจะเปิดเปลือกหยกออกทั้งก้อนจนเผยให้เห็นก้อนหยกที่มีขนาดเท่ากำปั้นเด็กตัวเล็กๆ เท่านั้น มันเป็นหยกเนื้อน้ำแข็งสีใสรูปร่างสี่เหลี่ยมที่มีหยกสีเขียวอ่อนยาวเป็นแถบกว้างประมาณหนึ่งนิ้วลอยพาดอยู่กลางก้อน  


 


 


จ่านป๋ายนำก้อนหยกจุ่มลงไปในอ่างน้ำแล้วล้างคราบฝุ่นละอองออกให้หมดจนสะอาด ทำให้เนื้อหยกสีเขียวอ่อนที่ถูกโอบล้อมไปด้วยหยกเนื้อน้ำแข็งสีใสดูสวยงามน่าทะนุถนอมราวกับต้นอ่อนที่เพิ่งผ่านพ้นพายุฝนในฤดูใบไม้ผลิที่ใครเห็นเป็นต้องตกหลุมรักด้วยความเอ็นดู 


 


 


“มันสวยมากเลยครับ!” จ่านป๋ายยิ้มชื่นชมจากใจพร้อมยื่นก้อนหยกให้ซีเหมินจินเหลียน 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนรับก้อนหยกมาไว้ในมือเพื่อสังเกตดูอย่างละเอียด แล้วพยักหน้าเห็นด้วย “สวยมากจริงๆ ด้วยค่ะ!” 


 


 


“คุณผู้หญิง คุณจะขายหยกก้อนนี้หรือเปล่าครับ!” เสียงตะโกนถามลอยมาจากกลางฝูงชนทันทีทันใด ผู้หญิงชื่นชอบหยกเป็นเรื่องปกติ ก่อนผ่าหยกคงเจรจากันง่ายหน่อย แต่หลังผ่าหยกแล้วเห็นว่ามันสวยขนาดนี้ใช่ว่าเธอจะยอมตัดใจขายได้ง่ายๆ น่ะสิ 


 


 


เหล่าเหยายิ้มแก้มแทบปริ วันนี้ซีเหมินจินเหลียนผ่าหยกชนะที่ร้านของเขา พรุ่งนี้ร้านของเขาจะต้องขายดีเป็นเทน้ำเทท่าแน่ๆ เขาจึงฉวยโอกาสรีบพูดเสริมทันที “คุณผู้หญิงนี่เป็นเจ้าหญิงแห่งวงการหยกจริงๆ นะครับ ซื้อหินหยกสองก้อนก็ผ่าชนะเป็นหยกสีเขียวทั้งสองก้อนเลย!” 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนได้ยินคำเยินยอของเหล่าเหยาแล้วได้แต่อมยิ้มเขินหน้าแดงระเรื่อ เธอไม่กล้าตอบรับคำชมนั้นแต่เสไปตอบคนที่เพิ่งส่งคำถามให้เธอแทน “ฉันขายหยกก้อนนี้ค่ะ” 


 


 


“ผมให้สองแสนหยวน! ชายรูปร่างสันทัดที่ซื้อหยกก้อนแรกจากซีเหมินจินเหลียนรีบเสนอราคาทันที 


 


 


ส่วนชายอีกคนที่ถามทีหลังเป็นชายร่างอ้วน เขาหันไปมองชายรูปร่างสันทัดแล้วเสนอแข่ง “สองแสนห้าหมื่นหยวน!” 


 


 


ชายรูปร่างสันทัดได้ยินราคาแล้วไม่เสนอราคาสู้อีก แม้หยกก้อนนี้จะเป็นของดีแต่ถ้าราคาแพงเกินไปเขาก็ไม่ต้องการ ชายร่างอ้วนเห็นว่าคู่แข่งของตัวเองไม่สู้ราคาแล้วก็กระหยิ่มยิ้มย่องในใจ เขารีบรับก้อนหยกมาจากซีเหมินจินเหลียนเพื่อจะได้ชื่นชมความงามของมันอย่างเต็มตา แต่ทันใดนั้นกลับมีเสียงหวานใสของหญิงสาวคนหนึ่งดังขัดขึ้น “สามแสนหยวน!” 


 


 


ชายร่างอ้วนชะงักไปชั่ววินาทีแล้วหันไปมองตามเสียงที่ได้ยิน คนที่เพิ่งเสนอราคาเป็นหญิงสาวหน้าตาสะสวยอายุรุ่นราวคราวเดียวกับซีเหมินจินเหลียน ความสวยของเธอคนนั้นทำให้ชายร่างอ้วนถึงกับตกตะลึงไปชั่วครู่ มันเป็นเรื่องจริงที่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ไหนก็ตามผู้หญิงมักเป็นผู้ได้เปรียบเสมอ โดยเฉพาะหญิงสาวหน้าตาสะสวยยิ่งได้เปรียบมากกว่า ชายร่างอ้วนได้แต่ยิ้มแห้งๆ ด้วยความลำบากใจ เขาคืนก้อนหยกให้ซีเหมินจินเหลียนแล้วก้าวถอยออกไป 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนมองลู่เฟยอวี๋อย่างระแวง ผู้หญิงคนนี้บ้าไปแล้ว เธอจะซื้อก้อนหยกไปเพื่ออะไร? เธอเป็นแฟนของหลินเสวียนหลานเชียวนะ ถ้าอยากได้เครื่องประดับหยกก็แค่บอกหลินเสวียนหลานก็ได้แล้วนี่  


 


 


ลู่เฟยอวี๋เดินเข้าไปยืนต่อหน้าซีเหมินจินเหลียน ซีเหมินจินเหลียนเพียงแค่ยิ้มบางๆ แล้วยื่นก้อนหยกให้เธอ 


 


 


ลู่เฟยอวี๋รับก้อนหยกมาส่องดูใต้แสงไฟแล้วเอ่ยถาม “ราคาสามแสนหยวน คุณซีเหมินจะขายหรือเปล่าคะ” 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้าว่าขาย ทำไมเธอจะไม่ขายล่ะ? สำหรับเธอแล้วใครเสนอราคาสูงสุดก็ขายให้คนนั้นโดยไม่เกี่ยงว่าคนซื้อจะเป็นใครอยู่แล้ว 


 


 


หวังเซียงฉินเดินบิดเอวส่ายสะโพกเข้าไปร่วมวงด้วยอีกคน ยังไม่ทันที่หวังเซียงฉินจะเดินไปถึง ซีเหมินจินเหลียนก็ได้กลิ่นน้ำหอมของเธอลอยมาแต่ไกล กลิ่นน้ำหอมฉุนมากเสียจนซีเหมินจินเหลียนรู้สึกระคายเคืองจมูกจนจามออกมาเล็กน้อยอย่างควบคุมไม่ได้จนต้องรีบก้าวเท้าถอยหนีสองสามก้าว 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนแพ้กลิ่นน้ำหอมบางกลิ่น ไม่รู้เหมือนกันว่าหวังเซียงฉินใช้น้ำหอมยี่ห้ออะไรกลิ่นถึงได้ฉุนขนาดนี้ 


 


 


“คุณซีเหมินนี่เก่งจริงๆ เลยนะคะ ครั้งนี้ก็ผ่าหยกชนะอีกแล้ว” หวังเซียงฉินเอ่ยด้วยความอิจฉาริษยาแกมประชดประชัน 


 


 


“แค่โชคดีน่ะค่ะ!” ซีเหมินจินเหลียนปั้นหน้ายิ้ม แต่กลิ่นน้ำหอมของหวังเซียงฉินฉุนมากจนเธอทนไม่ไหวต้องก้าวเท้าถอยหนีอีกหนึ่งก้าวจนได้ 


 


 


“คุณซีเหมินคงไม่ได้แค่โชคดีธรรมดาหรอกมั้งคะ!” หวังเซียงฉินยิ้มเยาะแล้วเดินเข้าไปพูดใกล้ๆ อย่างดูถูกเหยียดหยาม “พอรวยแล้วก็เริ่มเลี้ยงผู้ชายแล้วเหรอ?” พูดเยาะเย้ยพลางชายหางตามองไปยัง จ่านป๋าย “ถ้าฉันเอาเรื่องนี้ไปบอกเสวียนหลานล่ะก็…” หวังเซียงฉินขู่เสียงต่ำ 


 


 


จ่านป๋ายจ้องหวังเซียงฉินเขม็งด้วยสายตาเย็นชา ผู้หญิงคนนี้ก็น่าสะอิดสะเอียนจริงๆ 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนทำเมินเฉยเสียแล้วหันไปถามลู่เฟยอวี๋แทน “คุณลู่ คุณจะซื้อหรือเปล่าคะ” ถ้าไม่ซื้อก็ปล่อยมือได้แล้ว ทำอย่างกับไม่เคยเห็นหยกมาก่อนอย่างนั้นแหละ 


 


 


“คุณซีเหมินพูดแบบนี้หมายความว่ายังไง” ลู่เฟยอวี๋ยังพูดไม่ทันจบก็ถูกหวังเซียงฉินแทรกขึ้นด้วยความไม่พอใจ “ของราคาตั้งเป็นแสนก็ต้องดูให้มันดีๆ ก่อนสิคะ ใครจะไปรู้ว่าเป็นของปลอมหรือเปล่า” 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนได้ยินแล้วเดือดดาลทันที นี่เป็นก้อนหยกที่เพิ่งเปิดเปลือกหยกเมื่อกี้นี้เอง แล้วจะเป็นของปลอมได้อย่างไรกัน แบบนี้มันหาเรื่องกันชัดๆ กะจะทำให้เธออับอายต่อหน้าคนเยอะๆ ล่ะสิ ขณะที่ซีเหมินจินเหลียนกำลังจะตอบโต้กลับไป พลันชายร่างอ้วนก็เอ่ยเสียงดังแทรกขึ้นมาว่า “ไม่มีเงินซื้อก็พูดมาตรงๆ เถอะครับ อย่าทำให้คนอื่นเขาต้องเสียเวลาไปด้วยเลย ผมให้สามแสนสองหมื่นหยวนและผมจะซื้อเลย!” 


 


 


ชายร่างอ้วนเอ่ยจบแล้วเดินเข้าไปฉวยก้อนหยกดิบมาจากมือของลู่เฟยอวี๋ทันที เขาหันมาเอ่ยกับซีเหมินจินเหลียน “เจ้าหญิงแห่งวงการหยกใช่ไหมครับ? ผมรบกวนขอเลขที่บัญชีธนาคารของคุณหน่อยนะครับ เดี๋ยวผมโอนเงินให้คุณเลย” เมื่อครู่เขาได้ยินเหล่าเหยาเรียกซีเหมินจินเหลียนว่าเจ้าหญิงแห่งวงการหยกจึงเข้าใจผิดคิดว่าเป็นฉายาของเธอ ด้วยเหตุนี้เขาจึงเรียกเธอว่าเจ้าหญิงแห่งวงการหยกตามเหล่าเหยา 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนยิ้มน้อยๆ ด้วยความพอใจ ส่วนลู่เฟยอวี๋ใบหน้าแดงก่ำเพราะความอับอาย เธอแค่จะดูให้ละเอียดถี่ถ้วนเสียหน่อย ทำไมกลายเป็นว่าเธอไม่มีปัญญาซื้อเสียอย่างนั้นล่ะ มันเป็นเรื่องจริงที่ว่าเธอไม่มีเงินซื้อปิ่นหยกเนื้อแก้วสีเขียวสดของซีเหมินจินเหลียน แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเธอจะไม่มีปัญญาซื้อก้อนหยกเนื้อน้ำแข็งก้อนเล็กนิดเดียวก้อนนี้นี่? 


 


 


หวังเซียงฉินโกรธจนหน้าดำหน้าแดงแถมยังถูกชายร่างอ้วนถากถางเข้าให้ “ผมเห็นว่าคุณสองคนเป็นสุภาพสตรีหรอกนะถึงได้ยอมหลีกทางให้พวกคุณก่อน ใครจะไปคิดว่ามันจะเสียเวลาเปล่า” ผู้หญิงสองคนนี้เสนอราคาแล้วกลับไม่ยอมซื้อเสียทีจนทำให้เขาต้องเสียเงินเพิ่มอีกเจ็ดหมื่นหยวนโดยใช่เหตุ เขาจึงไม่พอใจและเสียอารมณ์กับหญิงสาวทั้งสองเป็นอย่างมาก 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาพิมพ์ข้อความเป็นตัวเลขเสร็จแล้วยื่นส่งให้ชายร่างอ้วน 


 


 


ชายร่างอ้วนรับโทรศัพท์มือถือมาดูแล้วพยักหน้า จากนั้นก็กดส่งข้อความจากโทรศัพท์มือถือของ    ซีเหมินจินเหลียนเข้าโทรศัพท์มือถือของตัวเองแล้วส่งโทรศัพท์มือถือคืนให้ซีเหมินจินเหลียนพร้อมรอยยิ้ม ขณะที่เขากำลังจะโทรศัพท์ติดต่อธนาคารเพื่อโอนเงินนั้นก็ไม่รู้ว่าหวังเซียงฉินเป็นบ้าอะไรขึ้นมาอีก จู่ๆ ก็ตะโกนเสียงดังขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย “สามแสนห้าหมื่นหยวน ฉันจะซื้อ!” เธอไม่ยอมเสียหน้าต่อหน้าคนเยอะแยะขนาดนี้หรอกนะ 


 


 


ชายร่างอ้วนต้องระงับอารมณ์หุนหันพลันแล่นที่อยากจะต่อยหน้าคนเอาไว้อย่างอดกลั้น เขามองซีเหมินจินเหลียนว่าจะตัดสินใจอย่างไร ส่วนซีเหมินจินเหลียนหันไปมองหวังเซียงฉินแล้วเอ่ยเสียงเยือกเย็น “ฉันไม่ได้พูดสักคำว่าจะขายให้คุณ!” 


 


 


 ชายร่างอ้วนได้ยินดังนั้นก็เอ่ยด้วยความดีใจ “ถ้าอย่างนั้นผมรีบโทรติดต่อธนาคารให้โอนเงินเลยนะครับ!”  


 


 


“เธอถือดีอะไรถึงไม่ขายให้พวกเรา?” ลู่เฟยอวี๋โกรธจนหน้าแดงตะเบ็งถามด้วยความไม่พอใจ 


 


 


“หยกของฉัน ฉันพอใจจะขายให้ใครมันก็เรื่องของฉัน!” ซีเหมินจินเหลียนเอ่ยสีหน้าเรียบเฉย 


 


 


“เจ้าหญิงแห่งวงการหยก คือ…ราคาสามแสนห้าหมื่นหยวนใช่ไหมครับ?” ชายร่างอ้วนถามอย่างไม่แน่ใจนัก อย่างไรเสียก็มีคนเสนอราคาถึงสามแสนห้าหมื่นหยวนแล้ว แม้ซีเหมินจินเหลียนจะไม่ยอมขายให้คนเสนอราคาก็เถอะ แต่เขาเองก็ไม่ควรเอาเปรียบเธอเหมือนกัน 


 


 


“ไม่ต้องค่ะ คุณจ่ายสามแสนสองหมื่นหยวนตามที่เราตกลงกันไว้ก็พอ” ซีเหมินจินเหลียนเอ่ยเสียงเรียบเย็นทั้งๆ ที่ไม่พอใจหวังเซียงฉินกับลู่เฟยอวี๋อย่างมาก 


 


 


“ครับๆๆ!” ชายร่างอ้วนรีบเอ่ยด้วยความยินดีแล้วโทรศัพท์ติดต่อธนาคารทันที 

 

 

 


ส่วนที่ 4

 

ตอนที่ 5.2

 

 เจ้าหญิงแห่งวงการหยก (3)

 


ผ่านไปประมาณสิบนาทีซีเหมินจินเหลียนก็ได้ยินเสียงข้อความเข้าจึงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูเห็นว่าเงินจำนวนสามแสนสองหมื่นหยวนถูกโอนเข้าบัญชีธนาคารของเธอเรียบร้อยแล้ว เธอผงกศีรษะให้ชายร่างอ้วนแล้วเอ่ย “ขอบคุณนะคะ ฉันได้รับเงินเรียบร้อยแล้ว หยกก้อนนี้เป็นของคุณแล้วค่ะ”


 


 


ชายร่างอ้วนผงกศีรษะตอบพร้อมรอยยิ้ม เขารับก้อนหยกดิบมาจากซีเหมินจินเหลียนแล้วจัดการเก็บให้เรียบร้อย จากนั้นยื่นนามบัตรให้ซีเหมินจินเหลียน “ผมแซ่เหอ ช่วงนี้ผมอยู่ที่เจียหยางพอดี ถ้าคุณผ่าหยกชนะแล้วอยากขายหยกก็ติดต่อผมได้นะครับ!”


 


 


ซีเหมินจินเหลียนผงกศีรษะให้เขาเล็กน้อยแล้วรับนามบัตรมาเก็บให้เรียบร้อย ได้รู้จักนักธุรกิจจิวเวลรี่เพิ่มถือเป็นเรื่องดีไม่น้อย


 


 


ไม่มีใครคาดคิดว่าหวังเซียงฉินจะพูดแทรกขึ้นมาอีก “ดูๆๆ ผู้หญิงคนนี้ชอบหว่านเสน่ห์ไปทั่ว แถมยังเลี้ยงผู้ชายอีก! ลูกค้าหญิงเสนอราคาให้ตั้งสูงแต่ไม่ยอมขาย กลับไปขายราคาถูกกว่าให้ผู้ชายแทน!”


 


 


“คุณพูดว่าอะไรนะ?” ซีหมินจินเหลียนหันกลับมาจ้องหวังเซียงฉินตาเขม็ง


 


 


ชายร่างอ้วนได้ยินดังนั้นก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟจนสบถออกมา “นี่มันหาเรื่องกันนี่!”


 


 


หวังเซียงฉินเห็นว่าซีเหมินจินเหลียนเริ่มโกรธขึ้นมาแล้วจึงแกล้งยิ้มยั่ว “เป็นอะไรไปเหรอ? ฉันพูดแทงใจดำเธอล่ะสิ ขอโทษด้วยนะ ก็มันเห็นกันชัดๆ อยู่แล้วไม่ใช่เหรอ? พวกเราอุตส่าห์เสนอราคาสูงกว่าแต่เธอก็ยังไปขายให้คนอื่นในราคาที่ถูกกว่า ทำตัวต่ำๆ อยากจะอ่อยเขาชัดๆ! แล้วดูสิ ตอนนี้เธอก็ได้นามบัตรจากเขาสมใจเธอแล้วนี่นะ!”


 


 


ซีเหมินจินเหลียนโกรธจนตัวสั่น พลันฝ่ามือก็ฟาดลงบนแก้มของหวังเซียงฉินอย่างแรง ผู้หญิงคนนี้ต่างหากที่ทำตัวต่ำทรามวอนหาเรื่องถูกตบ!


 


 


หวังเซียงฉินถูกซีเหมินจินเหลียนที่กำลังโกรธจัดตบหน้าเสียงดังเพียะจนหน้าบวมแดง


 


 


หวังเซียงฉินรู้สึกหน้าร้อนผ่าวด้วยความเจ็บปวด เธอตะลึงนิ่งอึ้งไปชั่วครู่กว่าจะเรียกสติกลับมาได้ พอได้สติก็ยื่นมือออกไปหมายจะตบตีซีเหมินจินเหลียนพลางก่นด่าเสียงดัง “นังคนสารเลวแย่งแฟนคนอื่นไม่พอยังเลี้ยงผู้ชายอีก! แกกล้าดีอย่างไรมาตบหน้าฉัน?!”


 


 


ซีเหมินจินเหลียนเคยมีประสบการณ์จากร้านเถ้าแก่โจวมาก่อนแล้ว พอเห็นหวังเซียงฉินยื่นมือมาก็รีบก้าวเท้าถอยหนีอย่างรวดเร็ว จ่านป๋ายรีบเอาตัวเข้ามาบังซีเหมินจินเหลียนเอาไว้ พอเห็นว่าหวังเซียงฉินโถมตัวเข้ามาสุดแรงเขาก็ขัดขาและใช้มือผลักหวังเซียงฉินออกไปให้พ้นจนหวังเซียงฉินล้มหน้าคะมำอย่างหมดสภาพ โชคร้ายที่วันนี้หวังเซียงฉินสวมชุดกระโปรงฟิตเปรี๊ยะ พอถูกจ่านป๋ายขัดขาจนล้มหัวทิ่มก็ได้ยินเสียงกระโปรงขาดดังแคว่กจนเห็นกางเกงชั้นในจีสตริงสีดำสุดเซ็กซี่และสะโพกขาวเนียน บรรดาผู้ชายทั้งหลายเลยได้เห็นอาหารตากันถ้วนหน้า


 


 


“ตบมันเลย!” เสียงตะโกนโพล่งขึ้นท่ามกลางผู้คนที่กำลังมุงดูเหตุการณ์


 


 


ทุกคนในที่เกิดเหตุต่างเป็นประจักษ์พยานว่าหวังเซียงฉินดูถูกเหยียดหยามซีเหมินจินเหลียนหลายครั้ง พอมีคนเริ่มตะโกนเชียร์คนที่เหลือก็เริ่มส่งเสียงดังอึกทึกครึกโครมกันยกใหญ่ “ตบหน้ามันเลย! ตบปากแตกเลย!”


 


 


นอกจากนี้ยังมีพวกเจ้าชู้กะลิ้มกะเหลี่ยบางคนฉวยโอกาสนี้ถามด้วยความคึกคะนอง “ก้นขาวๆ นี่ราคาเท่าไหร่จ๊ะ?”


 


 


ชาวจีนมุงทั้งหลายต่างพากันหัวเราะชอบใจ ซีเหมินจินเหลียนหันไปเห็นลู่เฟยอวี๋ที่หน้าแดงก่ำเพราะความอับอายจนน้ำตาซึมออกมาคลอเบ้า แต่เธอก็ต้องสะกดกลั้นความอับอายเอาไว้แล้วกระวีกระวาดเข้าไปช่วยประคองหวังเซียงฉินให้ทรงตัวลุกขึ้นยืน…


 


 


หวังเซียงฉินที่ล้มไม่เป็นท่าถูกลู่เฟยอวี๋ประคองให้ลุกขึ้นยืนอย่างยากลำบาก เธอรู้สึกปวดระบมไปทั้งร่าง ยังไม่ทันที่จะเรียกสติกลับมา กระโปรงเจ้ากรรมตัวฟิตเปรี๊ยะที่ขาดจนเห็นสะโพกก็ดันลื่นหลุดจนทำให้เธอต้องอับอายขายหน้าซ้ำอีกรอบ


 


 


ชาวจีนมุงทั้งหลายเห็นสภาพของหวังเซียงฉินที่กระโปรงลื่นหลุดต่างก็พากันหัวเราะลั่นด้วยความครื้นเครง แม้แต่จ่านป๋ายที่โกรธจนควันออกหูเมื่อครู่ยังถึงกับหลุดหัวเราะออกมา


 


 


หวังเซียงฉินรีบดึงกระโปรงขึ้นอย่างรวดเร็วแล้วจับแขนลู่เฟยอวี๋เอาไว้เพื่อพยุงตัวไม่ให้ล้ม ขณะที่ทั้งสองสาวกำลังจะเดินออกจากสถานการณ์อันน่าอับอายก็กลับมีเสียงๆ หนึ่งดังขึ้น “เซียงฉิน?”


 


 


หวังเซียงฉินได้ยินเสียงเรียกนั้นแล้วถึงกับชะงักงัน เธอค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองตามเสียงเรียกนั้นแล้วเห็นหลินเสวียนหลาน หลินเจิ้งและปู่จู้กำลังเดินเข้ามาทางพวกเธอ


 


 


“จินเหลียน คุณก็อยู่ด้วยเหรอ?” หลินเสวียนหลานรีบเอ่ยทักทายซีเหมินจินเหลียนแล้วหันไปถามลู่เฟยอวี๋ “นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”


 


 


ลู่เฟยอวี๋ที่ถูกหลินเสวียนหลานถามไม่รู้ว่าควรจะเริ่มตอบคำถามจากตรงไหนดี เพราะเรื่องราววุ่นวายทั้งหมดที่เกิดขึ้นมันเริ่มจากพวกเธอพาลไปหาเรื่องซีเหมินจินเหลียนก่อน แต่ซีเหมินจินเหลียนก็ทำเกินไปจนทำให้หวังเซียงฉินต้องอับอายขายหน้าต่อหน้าธารกำนัล


 


 


ขณะเดียวกัน หลินเจิ้งรีบเข้าไปช่วยประคองหวังเซียงฉินเอาไว้แล้วถามไถ่ที่มาที่ไปของเรื่องราวที่เกิดขึ้น ซีเหมินจินเหลียนมองหน้าหลินเสวียนหลานแล้วไม่อยากอธิบายให้มากความจึงส่ายศีรษะพลางเอ่ยอย่างอ่อนใจ “คุณถามพวกเธอเองเถอะค่ะ ฉันจะกลับโรงแรมแล้ว เอาไว้ค่อยคุยกันวันหลังนะคะ” มีอาสะใภ้นิสัยแย่มากขนาดนี้หลินเสวียนหลานทนได้อย่างไรกัน


 


 


ซีเหมินจินเหลียนเอ่ยจบก็เรียกจ่านป๋ายเตรียมออกจากร้าน ไม่นึกว่าเลยว่าหวังเซียงฉินจะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นโดยบิดเบือนความจริงจนสิ้นให้หลินเจิ้งฟัง ลู่เฟยอวี๋ที่ฟังอยู่ด้วยอยากอธิบายความจริงที่เกิดขึ้นใจจะขาดแต่ไม่รู้ว่าควรเริ่มจากตรงไหนดี หลังฟังจบหลินเจิ้งก็โมโหจนเลือดขึ้นหน้าที่ภรรยาของตนเองถูกคนอื่นตบตีไม่พอ หนำซ้ำกระโปรงยังขาดจนเปิดเผยเนื้อหนังที่ควรถูกปกปิดให้มิดชิดให้คนนับสิบได้เห็นเป็นบุญตาอีก


 


 


ถ้าหลินเจิ้งไม่เรียกร้องความยุติธรรมให้หวังเซียงฉินแล้วเขาจะยังนับว่าเป็นลูกผู้ชายอยู่อีกหรือ? ด้วยเหตุนี้เขาจึงตะโกนออกไปด้วยความโกรธจัด “หยุดเดี๋ยวนี้นะ! นี่เธอตบตีคนอื่นแล้วจะเดินหนีไปดื้อๆ แบบนี้เหรอ หา?!”


 


 


ซีเหมินจินเหลียนได้ยินแต่ไม่อยากต่อความยาวสาวความยืด กลับเป็นจ่านป๋ายเสียอีกที่รั้งเธอเอาไว้แล้วหันไปเผชิญหน้ากับหลินเจิ้ง “คุณกับผู้หญิงคนนั้นเป็นอะไรกันไม่ทราบ?” ถามพลางชี้นิ้วไปยังหวังเซียงฉินด้วยความไม่พอใจ


 


 


“เธอเป็นเมียฉัน พวกแกตบตีเมียฉันแล้วคิดจะจบเรื่องง่ายๆ อย่างนั้นเหรอ?” หลินเจิ้งโกรธจนหน้าแดงก่ำ ตะเบ็งเสียงจนคอเป็นเอ็น


 


 


จ่านป๋ายไม่พูดพล่ามทำเพลง กระชากหลินเจิ้งเข้ามาต่อยหน้านับสิบครั้ง หลินเจิ้งพยายามยื่นแขนขาเหวี่ยงซ้ายป่ายขวาดิ้นรนต่อสู้สุดกำลังแต่ก็ถูกจ่านป๋ายรวบแขนไว้ราวถูกก้อนหินหนักพันชั่งตรึงร่างไว้จนดิ้นไม่หลุด จนถูกจ่านป๋ายต่อยหน้าอย่างหมดหนทางสู้จนหน้าตาบวมช้ำ


 


 


“พวกเราไม่ได้ตบแค่เมียแกแต่ยังต่อยแกด้วย!” จ่านป๋ายยักคิ้วอย่างท้าทายแล้วใช้แรงผลักหลินเจิ้งออกห่างจนหลินเจิ้งล้มทั้งยืนร่วงลงไปกองกับพื้น


 


 


“อารอง!” หลินเสวียนหลานอุทาน เขาไม่เข้าใจจริงๆ หวังเซียงฉินกับลู่เฟยอวี๋เพิ่งมาถึงเจียหยางแท้ๆ แต่ทำไมไปหาเรื่องซีเหมินจินเหลียนจนกลายเป็นแบบนี้ไปได้


 


 


หลินเสวียนหลานรีบเข้าไปประคองหลินเจิ้งให้ลุกขึ้นยืนอย่างทุลักทุเล หน้าตาของหลินเจิ้งบวมเป็นหัวหมู ทำได้เพียงยืนชี้นิ้วไปยังจ่านป๋ายด้วยความโกรธแค้น


 


 


“หัดดูแลปากหมาๆ ของเมียแกให้ดีๆ อย่าปล่อยให้ไปไล่กัดชาวบ้านเขาไปทั่วอย่างนี้อีก!” จ่านป๋ายขู่เสียงต่ำ หลินเจิ้งสัมผัสได้ถึงไอเย็นยะเยือกและรังสีอำมหิตที่แผ่ออกมาจากตัวจ่านป๋ายจนเสียวสันหลังวาบ


 


 


จ่านป๋ายข่มขู่ทิ้งท้ายแล้วเดินจูงแขนซีเหมินจินเหลียนออกจากร้านทันที


 


 


หลินเสวียนหลานมองดูเบื้องหลังของซีเหมินจินเหลียนกับจ่านป๋ายลับหายไปจากสายตาท่ามกลางผู้คนด้วยความเจ็บปวดใจ ปู่จู้มองหลินเจิ้งที มองหวังเซียงฉินทีแล้วได้แต่ทอดถอนใจ ใครๆ ก็รู้ว่าภรรยาคนนี้ของหลินเจิ้งนิสัยแย่แค่ไหน แต่คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเธอจะกล้าก่อเรื่องน่าอัปยศอดสูต่อหน้าธารกำนัลอย่างวันนี้ พรุ่งนี้เช้าข่าวฉาวนี้คงแพร่สะพัดไปทั่วตลาดหยกในเมืองเจียหยางอย่างไม่ต้องสงสัย


 


 


ในบรรดาลูกหลานตระกูลหลินนั้น หลินเหวินเป็นคนซื่อตรงและพูดน้อย หลินเสวียนหลานนั้นถือว่าดีใช้ได้เลยทีเดียว แต่ผู้เฒ่าหลินกลับไม่สนับสนุนเขาสักเท่าไหร่เพราะเห็นว่าเขาใจคอไม่เด็ดเดี่ยวทำอะไรไม่เด็ดขาดจึงไม่เหมาะที่จะทำการใหญ่ ส่วนลูกชายคนรองนั้น…ชอบพนันขันต่อดื่มสุราเคล้านารีไปวันๆ


 


 


พวกหลินเจิ้งมองดูซีเหมินจินเหลียนจากไปแล้วก็ไม่รู้จะอยู่ต่อทำไม ต่างช่วยกันประคับประคองเพื่อไปรักษาตัวในโรงพยาบาลที่อยู่ละแวกนั้น ทันใดนั้นเสียงพูดจิกกัดให้รู้สึกเจ็บแสบก็ดังขึ้นเบื้องหลังพวกเขาอย่างคาดไม่ถึง “ก้นของผู้หญิงคนนั้นขาวมาก โห…ดูนุ่มนิ่มน่าจับจริงๆ เลย”


 


 


หลินเจิ้งได้ยินแล้วรู้สึกเจ็บแค้นใจมากจนอยากจะหันกลับไปเล่นงานคนพูดเสียเต็มประดา แต่เป็นเพราะเขาถูกจ่านป๋ายต่อยเสียสะบักสะบอม จนได้แต่นิ่งเงียบหดหัวอยู่ในกระดองและไม่กล้าวอนหาเรื่องใครอีก


 


 


ตอนนี้ท้องฟ้าเริ่มมืดแล้ว หลังจากมีเรื่องมีราวกับหวังเซียงฉินที่ร้านเถ้าแก่เหยา ซีเหมินจินเหลียนก็หมดอารมณ์ที่จะเดินตลาดหยกต่อ เธอจึงตัดสินใจกลับโรงแรมพร้อมจ่านป๋าย พอถึงห้องพักก็ปิดประตูแล้วนั่งเอนตัวลงบนโซฟาเพื่อพักให้หายเหนื่อย


 


 


จ่านป๋ายชงชาสมุนไพรฤทธิ์เย็นแล้วยื่นถ้วยน้ำชาให้ซีเหมินจินเหลียนพลางยิ้มเจื่อนๆ “จินเหลียน คุณอย่าโมโหจนเก็บเรื่องผู้หญิงปากร้ายคนนั้นมาเป็นอารมณ์เลยนะครับ”


 


 


ซีเหมินจินเหลียนได้ยินดังนั้นก็หัวเราะพรืดออกมา “ฉันไม่ได้โมโหสักหน่อย คุณจัดการผู้ชายของเธอเสียสะบักสะบอมขนาดนั้นแล้วจะให้ฉันโมโหเรื่องอะไรอีกคะ”


 


 


“คุณไม่โมโหก็ดีแล้ว บอกตามตรงนะ ผมก็เพิ่งเคยเห็นผู้หญิงแบบนั้นเป็นครั้งแรกในชีวิตเหมือนกัน…” จ่านป๋ายได้แต่ส่ายศีรษะด้วยความอิดหนาระอาใจ


 


 


ซีเหมินจินเหลียนรับถ้วยน้ำชาสมุนไพรจากจ่านป๋ายมาจิบแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างปลงตก “นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ฉันเจอคนแบบนี้หรอก” เอ่ยพลางนึกย้อนไปถึงอดีตว่าที่แม่สามีชื่อสวีจวิ้นหลันที่นิสัยแย่และเลวร้ายสุดๆ เหมือนหวังเซียงฉินไม่มีผิด


 


 


ขณะเดียวกันในโรงแรมเดียวกันนี้ หลินเสวียนหลานกำลังฟังลู่เฟยอวี๋เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นตั้งแต่ต้นจนจบอีกรอบ พอฟังเรื่องราวทั้งหมดจบก็ได้แต่ถอนหายใจอย่างปลงๆ เขารู้ดีว่าอาสะใภ้รองของเขานิสัยแย่แค่ไหน แถมยังปากคอเราะร้ายอีกต่างหาก แต่อยู่ดีไม่ว่าดีไปหาเรื่องซีเหมินจินเหลียนทำไมกัน? ซีเหมินจินเหลียนไม่ได้ไปทำอะไรให้เสียหน่อย


 


 


“เฟยอวี๋ แล้วคุณมาทำอะไรที่เจียหยางเหรอครับ” หลินเสวียนหลานขมวดคิ้วถามด้วยความสงสัย นี่คิดว่าเขายังมีปัญหากวนใจไม่พออีกเหรอถึงได้ตามมาถึงที่นี่? ครั้งนี้เขาได้รับมอบหมายให้มาซื้อหินหยกที่เจียหยาง แต่ไม่รู้ทำไมอารองถึงไปขอร้องกับคุณปู่หลินอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อขอมาร่วมภารกิจครั้งนี้ด้วย มาถึงแล้วช่วยงานไม่ได้แถมยังกวนน้ำให้ขุ่นอีก เท่านั้นยังไม่พอ ยังอุตส่าห์หอบหิ้วหวังเซียงฉินมาสร้างความปั่นป่วนเพิ่มอีกคน 


 


 


มาเพิ่มสองคนยังพอทำเนา แต่พาลู่เฟยอวี๋มาเพิ่มอีกคนเพื่ออะไร?


 


 


“ฉันไม่เคยเห็นคนเขาเล่นหวยหยกมาก่อนก็เลยอยากมาเปิดหูเปิดตาน่ะค่ะ!” ลู่เฟยอวี๋รีบอธิบาย ในคืนงานประมูลที่เธอถูกหลินเสวียนหลานบอกเลิก ณ ตอนนั้นเธอไม่สนใจใยดีใดๆ ทั้งสิ้น แต่พอกลับไปคิดทบทวนดูแล้วทำไมเธอต้องเลิกกับเขาตามที่เขาต้องการด้วย ต่อให้ต้องเลิกกันจริงเธอก็ต้องเป็นฝ่ายบอกเลิกสิ แต่สุดท้ายคนที่ถูกทิ้งทำไมถึงกลายเป็นเธอเสียอย่างนั้น?


 


 


ลู่เฟยอวี๋ไม่ดีตรงไหน ถึงแพ้ให้คนอย่างซีเหมินจินเหลียน? เพื่อหาคำตอบนี้ลู่เฟยอวี๋ถึงขั้นลงทุนสืบประวัติของซีเหมินจินเหลียนจนรู้ว่าซีเหมินจินเหลียนเป็นแค่เด็กหลังเขาที่ถูกแฟนทิ้งเพียงเพราะเป็นสาวบ้านนอกจนๆ เท่านั้น จากนั้นบุญหล่นทับจนผ่าหยกชนะเป็นหยกสีแดงลายทองคำที่ร้านเถ้าแก่โจว…


 


 


นอกจากเรื่องโชคที่เข้าข้างซีเหมินจินเหลียนเป็นพิเศษกับหน้าตาที่สะสวยแล้วเธอยังมีดีอะไรอีก? ทำไมหลินเสวียนหลันถึงยอมบอกเลิกเธอเพื่อผู้หญิงคนนั้น


 


 


ต่อให้ต้องเลิกกันก็ต้องเป็นเธอที่เป็นฝ่ายบอกเลิก อีกอย่าง พอเธอรู้ว่าตอนนี้ตระกูลหลินกำลังเผชิญปัญหาทางการเงินอย่างหนักและต้องพึ่งพิงตระกูลลู่ของเธอ แล้วหลินเสวียนหลานถือดีอย่างไรที่กล้าบอกเลิกเธอในสถานการณ์คับขันแบบนี้?


 


 


พอมาคิดทบทวนถึงข้อนี้แล้วเธออยากจะหัวเราะประชดให้เสียงดังๆ เสียจริงๆ เลิกกัน…คิดว่าจะใช้คำคำนี้จบเรื่องทุกอย่างง่ายๆ อย่างนั้นเหรอ?


 


 


วันนี้เธอวางแผนทำให้ซีเหมินจินเหลียนต้องอับอายขายหน้าตั้งแต่แรก แต่ไม่คิดเลยว่าหวังเซียงฉินจะไม่ได้ความ ทำเสียเรื่องจนตัวเองและเธอต้องอับอายขายหน้าแทน เธอเล่าความจริงทุกอย่างให้หลินเสวียนหลานฟังเพราะรู้ดีว่าปิดความจริงไม่มิดแน่ แค่หลินเสวียนหลานไปสอบถามที่ตลาดหยกแป๊บเดียวก็รู้เรื่องทั้งหมดแล้ว เธอไม่มีวันทำตัวโง่ๆ เหมือนหวังเซียงฉินที่ช้างตายทั้งตัวเอาใบบัวมาปิดอย่างแน่นอน


 


 


พอหลินเสวียนหลานได้ฟังความจริงทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนจบแล้วก็จนคำพูด เพราะสิ่งที่อารองกับหวังเซียงฉินได้รับมันเหมือนกรรมตามสนอง…

 

 

 


ส่วนที่ 4

 

ตอนที่ 6.1

 

โหดเหี้ยมอำมหิต

 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนไม่รู้ว่าหลินเสวียนหลานพักที่โรงแรมนี้เหมือนกัน แต่หลินเสวียนหลานรู้อยู่แล้วว่าเธอพักที่นี่จึงตั้งใจเข้าพักโรงแรมเดียวกันกับเธอโดยเฉพาะ แต่ตอนนี้กลับเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นจนเขาไม่รู้จะจัดการอย่างไรดี


 


 


หลินเจิ้งกับหวังเซียงฉินกลับจากโรงพยาบาลที่ตั้งอยู่ละแวกนั้นแล้ว ทั้งสองไม่ได้เป็นอะไรมาก แต่หวังเซียงฉินยังคงเอาแต่ร้องไห้ฟูมฟายและโวยวายจะไปแจ้งความที่สถานีตำรวจให้ได้ว่าซีเหมินจินเหลียนเจตนาทำร้ายร่างกายเธอ หลินเจิ้งได้แต่เก็บความเจ็บแค้นไว้ในใจเงียบๆ หลังมื้อค่ำเขาจึงตัดสินใจไปหาหลินเสวียนหลานที่ห้องพัก พอรู้ว่าปู่จู้ไม่อยู่ในห้องด้วยเขาจึงถือวิสาสะปิดประตูห้องเพื่อหารือกับหลินเสวียนหลานว่าควรจัดการกับเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างไรดี เพราะเขาไม่ยอมถูกทำร้ายฝ่ายเดียวแน่


 


 


หลังทราบจุดประสงค์ของหลินเจิ้งแล้ว หลินเสวียนหลานก็ได้แต่ส่ายหน้าพลางถอนหายใจ เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้นอกจากจะยอมรับผลของมันแล้วพวกเขายังจะทำอะไรได้อีก? ถ้าเกิดไปแจ้งความจริง ตระกูลหลินจะยอมเสียหน้าได้หรือ? เรื่องราวทั้งหมดเกิดในตลาดค้าหยกต่อหน้าธารกำนัลที่เป็นประจักษ์พยานในที่เกิดเหตุ ถึงอารองกับอาสะใภ้รองจะไม่เห็นแก่หน้าตัวเอง แต่เขาก็ไม่ยอมเสียหน้าและเสียชื่อเสียงด้วยหรอก


 


 


“อารอง เรื่องนี้ผมว่าช่างมันเถิดนะครับ” หลินเหลียนหลานมองดูใบหน้าบวมช้ำราวหัวหมูของหลินเจิ้ง คราวนี้หวังเซียงฉินไม่ได้ติดสอยห้อยตามมาด้วย เธอคงพักผ่อนอยู่ในห้องกระมัง ก่อเรื่องวุ่นวายจนต้องอับอายขายหน้าเสียขนาดนั้นเธอคงไม่มีกะจิตกะใจออกมาให้คนอื่นหัวเราะเยาะอีกแน่ พอนึกถึงสภาพของอารองกับอาสะใภ้รองแล้วหลินเสวียนหลานก็ต้องถอนหายใจอีกรอบ พร้อมเอ่ยเตือนสติขึ้น “อารองเองก็รู้ความจริงทั้งหมดแล้วว่าทางเราไปเสียมารยาทกับเขาก่อน แล้วอารองยังจะทำอะไรได้อีกครับ?”


 


 


“หึ!” นัยน์ตาของหลินเจิ้งฉายแววอำมหิตขึ้นมาแวบหนึ่ง เขาเอ่ยเสียงเยือกเย็น “ถ้าจัดการในที่แจ้งไม่ได้ก็จัดการในที่ลับซะสิ ฉันจะต้องทำให้ผู้หญิงคนนั้นอยู่เซี่ยงไฮ้ไม่ได้อีกต่อไป” เขาละประโยคสุดท้ายเอาไว้ในใจ และฉันจะต้องเอาหยกสีแดงลายทองคำของซีเหมินจินเหลียนมาเป็นของตัวเองให้ได้!


 


 


“อารอง นี่อาคิดจะทำอะไรกันแน่ครับ?” หลินเสวียนหลานหน้าถอดสีด้วยความตกใจ พลางรีบห้ามปราม “อาอย่าคิดทำอะไรบ้าๆ เด็ดขาดนะครับ!”


 


 


หลินเจิ้งหยิบไฟแช็กขึ้นมาจุดบุหรี่แล้วอัดควันบุหรี่เข้าเต็มปอด ทั้งชีวิตของเขาไม่เคยต้องอับอายขายหน้าขนาดนี้มาก่อน คราวก่อนซีเหมินจินเหลียนหลอกขายหินหยกสีเขียวติดเปลือกให้เขาที่ร้านเถ้าแก่โจวเขายังพอทนได้ แต่คราวนี้พวกเธอถึงขั้นกล้าลงมือทำร้ายร่างกายเขาต่อหน้าธารกำนัล ทั้งเหยียบย่ำเกียรติและศักดิ์ศรีผู้หญิงของเขาอีก


 


 


ถึงแม้ภรรยาของเขาจะนิสัยแย่ไปบ้าง แต่คนอื่นก็ไม่มีสิทธิ์มาทำร้ายเธอ ผู้หญิงที่ไม่มีอำนาจไม่มีต้นทุนชีวิตอย่างซีเหมินจินเหลียนไปเอาความกล้ามาจากไหนกัน?


 


 


“เสวียนหลาน แกเองก็รู้สถานการณ์ลำบากที่ครอบครัวของเรากำลังเผชิญอยู่!” หลินเจิ้งเอ่ยพลางพ่นควันบุหรี่ออกจากปาก หลังม่านควันบุหรี่หน้าตาที่เคยดูดีของหลินเจิ้งเริ่มบิดเบี้ยวจนดูเ**้ยมเกรียม


 


 


“ซีเหมินจินเหลียนมีหยกสีแดงลายทองคำกับหยกบ่อเก่าเนื้อแก้วสีเขียวสดอยู่ในมือ ขอแค่ตระกูลหลินได้หยกสีแดงลายทองคำมาไว้ในครอบครองก็จะสามารถแก้ปัญหาทุกอย่างได้” หลินเจิ้งเอ่ยเสียงเรียบเย็น


 


 


“จินเหลียนไม่ยอมขายหยกสีแดงลายทองคำแน่ ที่สำคัญ ถึงเธอยอมขายแต่เราก็ไม่มีเงินซื้ออยู่ดี” หลินเสวียนหลานส่ายหน้าพลางยิ้มฝืดเฝื่อน ไม่รู้ว่าในใจอารองกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่?


 


 


“ซื้อเหรอ?” หลินเจิ้งหัวเราะเยาะ “เสวียนหลาน แกคงจะเรียนเยอะจนเลอะเลือนไปแล้วล่ะมั้ง ใครบอกว่าฉันจะซื้อเล่า? ฉันจะทำให้ผู้หญิงคนนั้นยอมยกหินหยกให้เองต่างหากเล่า จากนั้นฉันจะทำให้เธอต้องไสหัวไปให้พ้นจากเซี่ยงไฮ้แต่โดยดี!”


 


 


“อารอง?!” หลินเสวียนหลานตกใจจนพูดไม่ออก เขาได้แต่ส่ายหน้าเพราะไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยินและเริ่มเป็นห่วงซีเหมินจินเหลียนขึ้นมาจับใจ


 


 


“เสวียนหลาน ฉันรู้ว่าแกคิดอย่างไร ผู้หญิงคนนั้นหน้าตาสวยมากจริงๆ ฉันผ่านโลกมาเยอะ มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าเธอยังเป็นสาวบริสุทธิ์ซึ่งสมัยนี้หาไม่ได้ง่ายๆ ถ้าแกชอบผู้หญิงคนนั้นจริง ก็รอให้ฉันจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยก่อนแล้วแกอยากจะทำอะไรก็ตามใจแกเลย แต่ถ้าแกเบื่อเมื่อไหร่ก็อย่าลืมส่งต่อให้ฉันได้ชื่นใจบ้างล่ะ”


 


 


“อารอง นี่มันชักจะมากเกินไปแล้วนะครับ!” หลินเสวียนหลานได้ฟังความคิดชั่วร้ายของหลินเจิ้งแล้วก็ถึงกับหน้าซีดเผือด เขาลุกขึ้นยืนชี้หน้าหลินเจิ้ง “ผมจะไม่ยอมให้อารองทำเรื่องเลวๆ กับจินเหลียนเด็ดขาด! ถ้าอารองกล้า ผมจะกลับไปฟ้องคุณปู่”


 


 


“ฟ้องคุณปู่อย่างนั้นเหรอ?” หลินเจิ้งย้อนคำอย่างเยาะเย้ย “เสวียนหลาน แกรู้หรือเปล่าว่าหลายปีมานี้ทำไมคุณปู่ถึงไม่ยอมให้แกทำงานสำคัญๆ คนใจคอไม่เด็ดเดี่ยวทำอะไรไม่เด็ดขาดอย่างแกมันจะไปทำการใหญ่อะไรกับเขาได้? แล้วแกจะกลัวอะไรนักหนากะอีแค่ผู้หญิงตัวเล็กๆ คนเดียว ฉันสืบประวัติผู้หญิงคนนั้นมาหมดแล้ว เธอก็เป็นแค่สาวบ้านนอกธรรมดาๆ ไม่มีแม้แต่พี่น้องแถมยังกำพร้าพ่อแม่อีก หรือจะพูดให้น่าเกลียดหน่อย ต่อให้ฉันฆ่าเธอทิ้งก็ไม่มีใครออกมาเรียกร้องความยุติธรรมให้เธอหรอก!”


 


 


“นี่อา…อา…” หลินเสวียนหลานโมโหจนเลือดขึ้นหน้า


 


 


“แกเองก็รู้ประวัติของเธอใช่ไหม?” หลินเจิ้งถากถาง “ฉันพูดถูกใช่ไหมล่ะ?”


 


 


“ใช่ อาพูดถูก แต่อาอย่าลืมนะว่าสวรรค์มีตา ถ้าอาทำเรื่องชั่วช้าเลวทรามจริงๆ อาคิดว่าจะหนีกฎแห่งกรรมพ้นเหรอครับ” ตอนนี้หลินเสวียนหลานรู้สึกรังเกียจอารองคนนี้มากเหลือเกิน แม้เขาจะรู้ว่าอารองก่อเรื่องวุ่นวายข้างนอกไปทั่ว แต่เขาไม่เคยคิดเลยว่าอารองจะมีความคิดชั่วร้ายได้ถึงเพียงนี้


 


 


“ผมอยู่ทั้งคน อาอย่างหวังว่าจะทำร้ายจินเหลียนได้!” หลินเสวียนหลานกำมือแน่น วันนี้จ่านป๋ายทำถูกแล้วที่ต่อยสั่งสอนอารองของเขาเพราะอารองของเขาคนนี้กวนโมโหได้น่าต่อยจริงๆ


 


 


“แล้วถ้าฉันบอกว่านี่เป็นความคิดของปู่แกล่ะ?” หลินเจิ้งเอ่ยอย่างเย้ยหยัน


 


 


“คุณปู่ไม่ใช่คนแบบนั้นแน่” หลินเสวียนหลานแย้งทันที คนอย่างคุณปู่จะทำเรื่องแบบนั้นได้ยังไงกัน


 


 


“หึ…ยังมีเรื่องที่แกไม่รู้อีกเยอะ!” หลินเจิ้งเยาะเย้ย “แกรู้หรือเปล่าว่าตระกูลหลินร่ำรวยขึ้นมาได้อย่างไร แล้วรู้หรือเปล่าว่าตอนนี้คุณปู่ของแกกำลังกลุ้มใจเรื่องอะไรมากที่สุด?”


 


 


หลินเสวียนหลานนิ่งงันไปเล็กน้อย เรื่องที่คุณปู่กลุ้มใจมากที่สุดก็ต้องเป็นเรื่องก้อนหยกอยู่แล้ว ถ้าไม่มีก้อนหยกดีๆ แล้วจะดำเนินกิจการหลินซื่อจิวเวลรี่ต่ออย่างไร? แม้หลินซื่อจิวเวลรี่จะทำธุรกิจเครื่องประดับเพชร ทองคำขาวและทองคำด้วย แต่สินค้าหลักที่ทำรายได้ให้บริษัทยังคงเป็นหยก…


 


 


“ถ้าเรามีหยกสีแดงลายทองคำก็คงหมดเรื่องกลุ้มใจใช่ไหมล่ะ?” หลินเจิ้งครางฮึเสียงต่ำ “ทำไมแกไม่ใช้สมองคิดเสียบ้าง? ปู่แกเป็นคนพูดเองว่าหยกแกะสลักที่ซีเหมินจินเหลียนมอบให้เป็นของขวัญวันเกิดน่ะเป็นหยกบ่อเก่าเนื้อแก้วสีเขียวเข้มคุณภาพเยี่ยม แกเองก็เห็นกับตาไม่ใช่เหรอว่ามันเยี่ยมยอดขนาดไหน ประเมินจากหยกชิ้นนั้นแล้วซีเหมินจินเหลียนน่าจะซอยก้อนหยกออกมาจากหยกก้อนใหญ่อีกที นั่นเป็นเครื่องยืนยันได้ว่าเธอยังมีหยกเนื้อแก้วสีเขียวเข้มในครอบครอง ถ้าเราได้หยกพวกนี้มาไว้ในกำมือก็เพียงพอให้เราพลิกฟื้นฐานะได้อย่างสบายๆ”


 


 


“พอได้แล้ว!” หลินเสวียนหลานขัดขึ้นเสียงดัง “อาหยุดพูดได้แล้ว อาแค่อยากแก้แค้นเพราะเรื่องส่วนตัวเท่านั้น ถ้าอากล้าแตะต้องจินเหลียนแม้แต่ปลายเล็บผมไม่ปล่อยอาไว้แน่”


 


 


อีกด้านหนึ่งนั้น ซีเหมินจินเหลียนผู้ไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วหลินเจิ้งเป็นคนใจคอโหดเ**้ยมอำมหิตราวอสรพิษ วันนี้ทั้งเนื้อทั้งตัวของเธอเปื้อนไปด้วยคราบฝุ่นไคลจากการผ่าหยก พอกลับถึงโรงแรมจึงอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเสียใหม่ เธอหิ้วกระเป๋าถือเดินไปหยุดยืนอยู่หน้าประตูห้องข้างๆ แล้วเคาะประตูห้องเบาๆ ก็เธอไม่มีความสามารถพิเศษเหมือนจ่านป๋ายที่สามารถเข้านอกออกในห้องคนอื่นได้อย่างสบายๆ ทั้งๆ ที่ไม่มีกุญแจนี่นา


 


 


“มาแล้วครับ!” เพียงครู่เดียวจ่านป๋ายก็รีบมาเปิดประตูต้อนรับ พอเห็นว่าเป็นซีเหมินจินเหลียนจึงเอ่ยถามยิ้มๆ “มีธุระอะไรหรือเปล่าครับ”


 


 


“ออกไปกินข้าวข้างนอกกัน ฉันเป็นเจ้ามือเอง!” ซีเหมินจินเหลียนยิ้มแต้ “อาหารในโรงแรมทั้งแพงทั้งไม่อร่อย!”  


 


 


“ใจดีจัง ถ้าอย่างนั้นคุณรอผมสักครู่นะครับ!” จ่านป๋ายเอ่ยเสร็จรีบหมุนตัวกลับเข้าห้องทันที ซีเหมินจินเหลียนเดินตามเข้าไปในห้องจึงทันเห็นเขารีบกระวีกระวาดปิดคอมพิวเตอร์โน๊ตบุค ตอนแรกเธอไม่ได้ใส่ใจอะไร แต่เหมือนเธอจะเห็นเบื้องหลังของใครบางคนที่คุ้นเคยแวบหนึ่งบนจอคอมพิวเตอร์โน๊ตบุคของจ่านป๋าย


 


 


“ดูหนังอยู่เหรอคะ?” ซีเหมินจินเหลียนโยนหินถามทาง


 


 


“อ๋อ ใช่ ดูหนังแก้เบื่อน่ะครับ” จ่านป๋ายรีบปั้นยิ้มกลบเกลื่อน เรื่องบางเรื่องเขาก็ไม่อยากให้เธอได้รับรู้


 


 


ซีเหมินจินเหลียนได้คำตอบแล้วจึงเลิกเซ้าซี้ ขอแค่เขาไม่ได้ทำอะไรเกินเลยเป็นพอ ส่วนเรื่องรสนิยมส่วนบุคคลอื่นๆ นั้นเธอยอมรับได้อยู่แล้ว


 


 


จ่านป๋ายแสร้งทำเป็นเก็บข้าวของให้เรียบร้อยแล้วออกจากห้องไปพร้อมซีเหมินจินเหลียน


 


 


หลินเสวียนหลานกับหลินเจิ้งทะเลาะกันอย่างหนัก หลินเสวียนหลานกลัวว่าหลินเจิ้งจะทำเรื่องเลวร้ายอย่างที่พูดจริงจึงตัดสินใจไปเตือนซีเหมินจินเหลียน ระหว่างทางที่เขาเดินไปหาซีเหมินจินเหลียนที่ห้องพักนั้นเขากลับเห็นภาพเบื้องหลังของจ่านป๋ายกำลังเดินจูงแขนซีเหมินจินเหลียนเข้าประตูลิฟท์…


 


 


หลินเสวียนหลานรู้สึกเจ็บแปลบในอกจนต้องใช้แขนยันกำแพงไว้อย่างหมดแรง ถ้าไม่ใช่เพราะตระกูลหลิน เขาคงสามารถอยู่เคียงข้างเธอ ทานข้าว เดินเที่ยว เล่นหวยหยกและผ่าหยกเป็นเพื่อนเธอ…


 


 


 เขาอยากมีส่วนร่วมทุกอย่างและเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเธอ แต่ตอนนี้ ระหว่างเขาและเธอเป็นได้เพียงแค่คนรู้จักกันเท่านั้น เขาขับรถชนเธอ พาเธอก้าวเข้าสู่วงการหวยหยก นับแต่นั้นเป็นต้นมาก็ดูเหมือนเขาและเธอจะไม่มีเรื่องให้สมาคมกันอีก


 


 


ต่อให้ไม่มีจ่านป๋ายเข้ามาแทรกระหว่างเขาและเธอ แต่ฉินเฮ่าล่ะ? พอนึกถึงเพื่อนรักของตัวเองแล้วยิ่งรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวเป็นเท่าทวีเพราะเขาเป็นคนผลักไสซีเหมินจินเหลียนให้ฉินเฮ่าเองกับมือ


 


 


“ยามเมื่อดอกบัวทองเบ่งบาน!” เขายังจำคำทำนายของพระที่วัดหลิงอิ่งเมื่อสามปีก่อนได้ดี พระรูปนั้นบอกกับเขาอย่างชัดถ้อยชัดคำว่าเขาและเธอมีวาสนาต่อกัน…   

 

 

 


ส่วนที่ 4

 

ตอนที่ 6.2

 

โหดเหี้ยมอำมหิต

 


 


 


“เธอไปนู่นแล้ว ยังจะมองอะไรอยู่อีกคะ หรือว่ากำลังภาวนาให้เธอออกมาจากลิฟท์?” เสียงหัวเราะประชดประชันของลู่เฟยอวี๋ดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง


 


 


“เฟยอวี๋…” หลินเสวียนหลานปรับอารมณ์ความรู้สึกให้กลับมาเป็นปกติอีกครั้งแล้วหมุนตัวไปเผชิญหน้ากับลู่เฟยอวี๋ “คุณพูดอะไรน่ะ”


 


 


“ฉันบอกว่าจินเหลียนคนสวยของคุณไปแล้ว” ลู่เฟยอวี๋เชิดหน้ายักคิ้วยิ้มเย้ย


 


 


หลินเสวียนหลานหมุนตัวเดินกลับไปทางห้องพักของตนเอง เขาเตือนตัวเองว่าเขามีหน้าที่มาซื้อหินหหยกไม่ได้มาหาเรื่องทะเลาะกับใคร แต่ลู่เฟยอวี๋กลับเดินตามเขามาไม่ยอมลดละ


 


 


“เฟยอวี๋ คุณยังมีธุระอะไรอีกหรือเปล่า” หลินเสวียนหลานถาม


 


 


“นี่คุณจะไม่เชิญฉันเข้าไปนั่งข้างในหน่อยเหรอคะ” ลู่เฟยอวี๋ถามกลับ


 


 


“เฟยอวี๋ เราสองคนเลิกกันแล้วนะครับ” หลินเสวียนหลานส่ายศีรษะอิดหนาระอาใจ นี่มันเรื่องอะไรอีก?


 


 


“ยังมีเรื่องที่คุณอาจจะยังไม่รู้ ฉันว่าเราเข้าไปนั่งข้างในแล้วค่อยๆ คุยกันน่าจะดีกว่า หรือว่าคุณจะให้ฉันยืนคุยตรงหน้าประตูคะ?” ลู่เฟยอวี๋เอ่ยอย่างเป็นต่อ


 


 


“อืม…ก็ได้ครับ!” หลินเสวียนหลานลังเลชั่วครู่ สุดท้ายก็ตกปากรับคำจนได้ เขาเปิดประตูห้องแล้วเชิญลู่เฟยอวี๋เข้าไปข้างใน


 


 


ลู่เฟยอวี๋เดินเข้าไปในห้องพักของหลินเสวียนหลานแล้วนั่งลงบนโซฟาโดยไม่รอให้เขาเชิญ หลินเสวียนหลานปิดประตูห้องแล้วเดินมานั่งลงบนโซฟาพร้อมเอ่ยถาม “มีเรื่องอะไรที่ผมยังไม่รู้เหรอครับ”


 


 


“คุณน่าจะยังไม่รู้ว่าคุณปู่หลินยืมเงินกับพ่อฉันห้าสิบล้าน” ลู่เฟยอวี๋ยกยิ้มมุมปากอย่างเยาะๆ


 


 


“ผมรู้!” หลินเสวียนหลานพยักหน้ายอมรับ “คุณปู่ก็แค่ยืมเงินจากครอบครัวคุณห้าสิบล้านหยวน คนทำธุรกิจก็ต้องมีช่วงที่หมุนเงินไม่ทันกันบ้าง อีกอย่างตระกูลหลินทำธุรกิจมาหลายสิบปี พวกเราหาเงินห้าสิบล้านมาคืนได้แน่นอน” เขาไม่ใช่คนโง่ที่จะไม่รู้ความนัยที่แอบแฝงในคำพูดเปิดเผยของลู่เฟยอวี๋


 


 


ตอนนี้ลู่เฟยอวี๋เป็นเจ้าหนี้ของเขา เขาจึงไม่มีสิทธิ์ทำกิริยาไม่พอใจใส่เธอ


 


 


“ที่คุณปู่หลินไปหาพ่อฉันมันไม่ใช่แค่เรื่องยืมเงินน่ะสิคะ” ลู่เฟยอวี๋แสร้งถอนหายใจพร้อมเอ่ยกลั้วหัวเราะ “คุณอย่าเพิ่งกังวลไปเลย ไม่มีใครคิดว่าตระกูลหลินไม่มีปัญญาคืนเงินหรอกค่ะ แต่ปัญหาคือฉันได้ยินพ่อบอกว่าปู่หลินมาคุยเรื่องสู่ขออย่างเป็นทางการเรียบร้อยแล้ว และที่สำคัญ พ่อฉันตกลงรับหมั้นแล้วด้วย”


 


 


หลินเสวียนหลานได้ยินดังนั้นถึงกับหน้าถอดสี สู่ขออย่างเป็นทางการ? แถมพ่อเธอยังตกลงรับหมั้นแล้วด้วย?


 


 


“มันเป็นเรื่องจริงค่ะ คุณปู่หลินส่งของหมั้นมาให้แล้วด้วยนะคะ” ลู่เฟยอวี๋เอ่ยต่อ “พอฉันรู้เรื่องก็รีบไปบอกคุณแม่เรื่องของเราทันที แต่คุณแม่บอกว่าเราสองคนโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก ทั้งสองครอบครัวหมายมั่นปั้นมือเรื่องของเรามานานแล้ว หลายปีที่ผ่านมาเราสองคนก็สนิทสนมกันมากจนทำให้คุณพ่อต้องปฏิเสธผู้ชายทุกคนที่มาสู่ขอลูกสาวท่าน เพราะฉะนั้นไม่มีเหตุผลที่เราต้องเลิกกัน ที่สำคัญ ในเมื่อรับของหมั้นแล้วก็ต้องห้ามคืนคำเด็ดขาด ถ้าเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป นอกจากตระกูลหลินจะเสียหน้าแล้ว ตระกูลลู่ก็ต้องเสียหน้าไปด้วยซึ่งทางเราไม่มีวันยอมแน่…”


 


 


หลินเสวียนหลานนั่งหมดแรงอยู่บนโซฟา นี่เขา…อยู่ดีๆ ก็ได้คู่หมั้นเพิ่มมาหนึ่งคนอย่างนั้นเหรอ? ทำไมคุณปู่ถึงทำกับเขาแบบนี้!


 


 


“ฉันคิดว่าคุณคงยังไม่ได้บอกเรื่องที่เราเลิกกันแล้วให้คนอื่นรู้ใช่ไหมคะ?” ลู่เฟยอวี๋มองหน้าซีดเผือดของหลินเสวียนหลานแล้วรู้สึกสะใจอย่างบอกไม่ถูก เธอรู้ดีว่าเขาต้องทำใจยอมรับความจริงเรื่องนี้ไม่ได้เฉกเช่นเดียวกับที่เธอยอมรับความจริงเรื่องที่เขาบอกเลิกเธอไม่ได้เหมือนกัน


 


 


หลินเสวียนหลานส่ายศีรษะอย่างยอมรับ ความจริงตัวเขาเองไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมตอนนั้นถึงมีความกล้าบอกเลิกลู่เฟยอวี๋ แต่พอกลับถึงบ้านกลับไม่กล้าบอกเรื่องนี้กับใครเลย


 


 


อาจเป็นเพราะช่วงหลังมานี้คุณปู่สุขภาพไม่ค่อยแข็งแรงนัก อีกทั้งต้องคอยยุ่งเรื่องดูแลจัดการเรื่องน้อยใหญ่ในบริษัทอีก เขาจึงคิดไปเองว่าคุณปู่ต้องยุ่งมากจนไม่มีเวลามาสนใจเรื่องการแต่งงานของหลานชายอย่างเขาแน่นอน แต่ตอนนี้เขาเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วว่าการแต่งงานของหลานชายอย่างเขาสำคัญต่อตระกูลหลินจนกลายเป็นเรื่องการแต่งงานทางการเมืองไปแล้ว…


 


 


ตั้งแต่คุณปู่ผ่าหยกก้อนใหญ่มหึมาแพ้คราวนั้นก็ส่งผลกระทบทำให้หุ้นของตระกูลหลินร่วงระนาว หนำซ้ำตระกูลหลินก็กำลังเผชิญปัญหาขาดสภาพคล่องทางการเงินอย่างหนัก ตั้งแต่อารองเข้ามาบริหารงานฝ่ายขายของบริษัทหลินซื่อจิวเวลรี่ ผลประกอบการของบริษัทก็ไม่ดีเหมือนแต่ก่อน…


 


 


แต่คุณปู่รักอารองมาก รักมากกว่าหลายชายคนนี้หลายเท่านัก ไม่อย่างนั้นคุณปู่คงไม่มีวันยอมให้ผู้หญิงอย่างหวังเซียงฉินแต่งเข้าตระกูลหลินหรอก


 


 


ในภารกิจซื้อหินหยกคราวนี้คุณปู่ยังยินยอมให้อารองมาร่วมงานประมูลหยกที่เจียหยางอีกด้วย ส่วนอารองยังคงหอบหิ้วหวังเซียงฉินมาด้วยกันเหมือนเคย


 


 


อารองไม่รู้เรื่องหวยหยกเลยสักนิดแล้วจะเข้ามาวุ่นวายด้วยทำไม? พูดให้น่าเกลียดสักหน่อยก็คืออารองสั่งงานมั่วซั่วจนวุ่นวายไปหมด แล้วนี่ยังไปหาเรื่องซีเหมินจินเหลียน จนทำให้แผนที่เขาวางเอาไว้พังไม่เป็นท่า ตลอดเวลาที่ผ่านมางานซื้อหินหยกและเจียระไนหยกเป็นหน้าที่ความรับผิดชอบของเขามาโดยตลอด แล้วทำไมอารองต้องเข้ามาก้าวก่ายงานของเขาในตอนนี้ด้วย


 


 


ใครก็ได้ช่วยบอกทีว่าเขาควรทำอย่างไรต่อไป?


 


 


“ถ้าคุณยังดึงดันที่จะไม่ทำตามเจตนารมณ์ของผู้ใหญ่จนทุกคนต้องลำบากก็ตามใจนะคะ เพราะฉันไม่เป็นไรอยู่แล้ว!” ลู่เฟยอวี๋เอ่ยพลางลุกขึ้นจากโซฟาแล้วเดินไปยังประตูห้อง เธอชะงักเท้าหยุดยืนตรงประตู ก่อนจะหมุนตัวกลับมามองหลินเสวียนหลาน “ฉันไม่เคยรู้สึกเกลียดผู้หญิงคนไหนเท่านี้มาก่อน ฉันไม่ดีตรงไหนหรือคะ? ถ้าคุณบอกเลิกฉันเพราะผู้หญิงคนอื่นฉันคงยอมรับได้ แต่นี่…คุณกล้าบอกเลิกฉันเพื่อผู้หญิงบ้านนอกคนเดียวอย่างนั้นเหรอ?”


 


 


ลู่เฟยอวี๋ไม่รอคำตอบจากหลินเสวียนหลาน พอเอ่ยจบเธอก็เปิดประตู้ห้องแล้วก้าวฉับๆ เดินจากไปอย่างรวดเร็ว หลินเสวียนหลานได้ยินเพียงเสียงสะท้อนของรองเท้าส้นสูงกระทบพื้นดังห่างไกลออกไปทุกที…


 


 


“ผู้หญิงบ้านนอกอย่างนั้นเหรอ?” หลินเสวียนหลานรู้สึกหมดเรี่ยวแรง ถึงเขาอยากจะแต่งงานกับซีเหมินจินเหลียน แต่ครอบครัวของเขาจะยินยอมหรือ?


 


 


ขนาดครอบครัวธรรมดาอย่างหวังหมิงหยางยังรังเกียจชาติกำเนิดต่ำต้อยของซีเหมินจินเหลียนเสียขนาดนั้น แล้วพ่อแม่ของเขาจะขนาดไหน? ขนาดหวังเซียงฉินเป็นถึงดาราที่พอจะมีหน้ามีตาทางสังคมอยู่บ้างคุณปู่ยังเคยคัดค้านไม่เห็นด้วย เรื่องการแต่งงานระหว่างเขากับซีเหมินจินเหลียนคงเป็นเรื่องเหลวไหลที่ไม่มีวันเป็นไปได้… โอ้ พระเจ้า… นี่เขาคิดเพ้อเจ้อไปไกลถึงไหนแล้ว เขาถึงขั้นเริ่มคิดเรื่องการแต่งงานกับซีเหมินจินเหลียนอย่างจริงจังแล้วหรือ?


 


 


ประเมินจากรูปการณ์ปัจจุบันแล้วดูเหมือนว่าเขาจะตกหลุมรักซีเหมินจินเหลียนเพียงข้างเดียว เพราะซีเหมินจินเหลียนเห็นเขาเป็นแค่เพื่อนธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น และเขากำลังตกอยู่ในห้วงรักนี้เพียงฝ่ายเดียวจนยากจะถอนตัวเสียแล้ว


 


 


บ้าเอ๊ย! เป็นเพราะคำพูดของพระรูปนั้นที่วัดหลิงอิ่งแท้ๆ เชียว ถ้าพระรูปนั้นไม่พูดว่า “ยามเมื่อดอกบัวทองเบ่งบาน” เขาคงไม่สนใจในตัวเธอจนตกหลุมรักเธอย่างถอนตัวไม่ขึ้น…


 


 


ซีเหมินจินเหลียนปล่อยให้จ่านป๋ายเดินจูงแขนเธอโดยไม่ได้ว่าอะไร ไหนๆ เธอก็เคยเห็นทุกสัดส่วนบนร่างกายของจ่านป๋ายแล้วเมื่อตอนที่เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสจนเลือดท่วมตัว และเธอเองไม่ได้รู้สึกรังเกียจเขา หนำซ้ำส่วนลึกในจิตใจเธอยังคงจำสัมผัสครั้งแรกที่เธอแตะต้องตัวเขาได้ไม่มีวันลืม ราวกับว่าเธอกำลังลูบคลำหยกเนื้อแก้วชั้นเยี่ยมที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นอ่อนโยนและนุ่มนวล…


 


 


แต่หลังจากนั้นเธอเองไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แม้เธอจะอยู่กับจ่านป๋ายตลอด แต่ความรู้สึกแรกสัมผัสนั้นกลับหายไปหมดสิ้น และเธอเองสัญญากับตัวเองแล้วไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเธอจะไม่มีวันใช้พลังพิเศษมองทะลุร่างกายของจ่านป๋ายอีกเด็ดขาด…


 


 


“เราไปกินอาหารพื้นเมืองของเจียหยางกันดีกว่า จากนั้นค่อยไปเดินตลาดนัดกันดีไหมครับ?” จ่านป๋ายขอความเห็นจากซีเหมินจินเหลียน


 


 


ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้าเห็นด้วย ความจริงแล้วเธอแค่ไม่อยากกินอาหารโรงแรมหน้าตาดีแต่รสชาติแย่เหมือนอาหารฝีมือเธอไม่มีผิดก็เท่านั้น


 


 


ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์มือถือของซีเหมินจินเหลียนก็ดังขัดจังหวะขึ้น เธอรีบหยิบขึ้นมาดูเห็นว่าประธานเฉินเป็นคนโทรมาจึงกดปุ่มรับสาย เสียงหัวเราะอารมณ์ดีของประธานเฉินดังลอดมาจากปลายสาย “นั่นเจ้าหญิงแห่งวงการหยกใช่ไหมครับ?” ซีเหมินจินเหลียนได้ยินคำทักทายแล้วเดาได้ทันทีว่าเรื่องที่เกิดในตลาดหยกเมื่อเย็นนี้คงแพร่สะพัดออกไปไกลแล้ว


 


 


“ประธานเฉินชอบพูดเล่นจริงๆ เลยนะคะ!” ซีเหมินจินเหลียนเอ่ยยิ้มๆ


 


 


“คืนนี้คุณว่างไหมครับ พอดีผมมีเพื่อนคนหนึ่งเขาจะผ่าหยกคืนนี้ ถ้าคุณว่างสนใจไปชมการผ่าหยกด้วยกันไหมครับ” ประธานเฉินเอ่ยชักชวนพร้อมรอยยิ้ม


 


 


“ไปค่ะ!” ซีเหมินจินเหลียนรีบสอบถามที่อยู่ทันที เรื่องดีๆ แบบนี้เธอจะพลาดได้อย่างไรกัน เพราะถือเป็นโอกาสดีที่เธอจะได้รู้จักนักธุรกิจจิวเวลรี่เพิ่ม และยังสามารถศึกษาเรื่องการผ่าหยกเพิ่มเติมอีกด้วย


 


 


แม้เธอจะมีโอกาสชมการผ่าหยกอย่างมืออาชีพของปู่จู้ที่คฤหาสน์ตระกูลหลิน แต่ปกติแล้วไม่ค่อยมีการผ่าหยกให้เห็นสักเท่าไหร่ เธอจึงต้องรีบฉวยโอกาสนี้เรียนรู้และสะสมประสบการณ์ให้มากที่สุด


 


 


ซีเหมินจินเหลียนนัดหมายกับประธานเฉินเสร็จสรรพเรียบร้อย พอวางสายแล้วอารมณ์ของเธอก็ดูจะดีขึ้นทันที จ่านป๋ายเห็นเธอมีความสุขเขาเองก็พลอยมีความสุขไปด้วย ทั้งสองหาร้านอาหารพื้นเมืองแล้วรับประทานอาหารค่ำกันอย่างเอร็ดอร่อย จากนั้นนั่งรถแท็กซี่ตรงไปยังโรงงานเจียระไนหินหยกตามที่อยู่ที่ประธานเฉินให้ไว้


 


 


ซีเหมินจินเหลียนกับจ่านป๋ายเพิ่งมาถึงหน้าประตูก็เห็นประธานเฉินยิ้มกว้างเดินเข้ามาต้อนรับทั้งสอง “เจ้าหญิงแห่งวงการหยกของเรามาถึงแล้ว!”


 


 


พอเดินเข้าไปภายในก็ได้ยินเสียงร่าเริงสดใสของชายร่างอ้วนแซ่เหอดังลอยมาแต่ไกล “เชิญเจ้าหญิงทางนี้พ่ะย่ะค่ะ!”


 


 


ซีเหมินจินเหลียนได้ยินดังนั้นก็หน้าแดงเพราะความเขิน เธอแอบบ่นในใจ เป็นเพราะเหล่าเหยาแท้ๆ เชียวที่ตั้งฉายาให้เธอตามใจชอบแบบนั้น!


 


 


นอกจากชายร่างอ้วนแซ่เหอแล้วยังมีประธานหม่าที่เธอเคยเจอที่ร้านเถ้าแก่เหยาก็อยู่ด้วย เขารีบผงกศีรษะพร้อมส่งรอยยิ้มให้ซีเหมินจินเหลียนเป็นการทักทายทันทีที่เขาเห็นเธอเดินเข้ามา


 


 


โรงงานเจียระไนหยกที่นี่ไม่ใหญ่มาก หากแต่มีเครื่องตัดหินหยกรุ่นใหม่ถึงห้าเครื่องวางเรียงรายอย่างเป็นระเบียบอยู่ทางด้านหนึ่ง หินหยกถูกวางกองรวมกันอยู่ตรงมุมกำแพงห้อง ส่วนตรงกลางห้องมีคนแปลกหน้ามากหน้าหลายตาที่เธอไม่เคยพบมาก่อน ตอนนี้ทุกคนกำลังยืนล้อมรอบหินหยกก้อนใหญ่ยักษ์น้ำหนักเป็นตัน เมื่อสังเกตดูดีๆ แล้วมันคงเป็นหินหยกที่กำลังจะถูกผ่าคืนนี้อย่างแน่นอน

 

 

 


ส่วนที่ 4

 

ตอนที่ 7.1

 

มีดด้ามเดียวเผยสีเขียว

 


 


 


           เมื่อผู้คนเห็นซีเหมินจินเหลียนกับจ่านป๋ายเดินเข้ามาด้วยกันก็เงยหน้าขึ้นมามองเพียงเล็กน้อย ถึงแม้จะรู้สึกแปลกใจอยู่บ้างแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา


 


 


ถึงอย่างไรซีเหมินจินเหลียนก็เข้าใจดี เพราะนักพนันหินหยกที่ยิ่งใหญ่เมื่อเห็นสินค้าอยู่ตรงหน้า สายตาก็ย่อมแต่จะจดจ้องหินนั้นอย่างไม่ละสายตา ไม่แม้แต่จะสนใจมองสิ่งอื่นใด


 


 


เพียงแต่ว่าเมื่อเธอสังเกตดูแล้วกลับรู้สึกประหลาดใจขึ้นมา เธอไม่คุ้นหน้าคนเหล่านี้เลย จากที่เห็นในตอนนี้ก็มีคนทั้งหมดเจ็ดคนที่กำลังรายล้อมหินหยกนั้นอยู่ พวกเขาแบ่งออกเป็นสามกลุ่มอย่างชัดเจน พร้อมใจก้มหน้าก้มตาปรึกษากันอย่างลับๆ


 


 


สำหรับชายร่างอ้วนแซ่เหอ ประธานเฉินและประธานหม่านั้นเธอก็รู้จักเป็นอย่างดีอย่างไม่ต้องสงสัย แต่เธอยังมีเรื่องหนึ่งที่ไม่เข้าใจ เพราะดูจากท่าทางแล้วเธอก็ไม่คิดว่าประธานหม่าหรือประธานเฉินจะซื้อหยกก้อนนั้นไปเพื่อที่จะตัดแน่


 


 


และดูไปแล้วก็ไม่น่าจะใช่ชายร่างอ้วนแซ่เหอเช่นกัน แล้วจู่ๆ ที่ประธานเฉินตาลีตาเหลือกโทรศัพท์ไปชวนเธอมาที่นี่เพื่ออะไรกันนะ อีกอย่างเธอกับประธานเฉินก็ไม่ได้สนิทสนมกันเสียเท่าไหร่ด้วย


 


 


“ประธานเฉิน หินหยกชิ้นนี้เกรงว่ามูลค่าไม่น้อยเลยทีเดียวนะคะ?” ซีเหมินจินเหลียนพึมพำถามไถ่


 


 


“ใช่แล้วครับ!” ประธานเฉินพยักหน้าตอบรับ “ราคาตั้งเท่านี้เลยนะ!” พูดพลางทำมือเปรียบเทียบ


 


 


“แปดสิบล้าน?” จ่านป๋ายพึมพำเสียงเบา ในใจกำลังคิดถึงหินหยกที่ซีเหมินจินเหลียนซื้อจากบ้านของชายชราชิ้นนั้นในราคาร้อยล้าน อีกทั้งดูจากขนาดแล้วยังเล็กกว่าหยกชิ้นนี้อยู่พอสมควร


 


 


“ใครกันคะที่มือเติบเช่นนี้” ซีเหมินจินเหลียนคิดว่านี่เป็นเพียงแค่หินหยก ไม่ใช่สินค้าที่ทำมาจากหยก อย่างที่เคยได้ยินกล่าวขานมาในตำนาน แน่นอนว่าราคาไม่สามารถเอามาเปรียบเทียบกันได้


 


 


ถ้าหากเป็นเครื่องประดับที่ทำมาจากหยกแล้ว อย่าว่าแต่แปดสิบล้านเลย ถึงจะแพงกว่านี้ขอเพียงแค่ชื่นชอบก็คุ้มค่าที่จะยอมจ่ายแล้ว แต่ว่าหินหยกชิ้นนี้ใครจะไปรู้ว่าเนื้อข้างในจะดีหรือไม่ อาจจะแพ้พนันก็ได้ โดยปกติแล้วก็มีคนจำนวนน้อยมากที่จะยอมกำเงินก้อนโตเพื่อทำเรื่องเช่นนี้ ส่วนนักลงทุนรายย่อยยิ่งไม่ต้องพูดถึง…


 


 


“เขาคือผู้อาวุโสเจี่ยครับ” ประธานเฉินเปล่งเสียงอย่างแผ่วเบาเพื่อตอบคำถาม


 


 


“ผู้อาวุโสเจี่ย[1]?” จ่านป๋ายยังคงไม่เข้าใจเท่าไหร่นัก ยังมีผู้อาวุโสปลอมหรือจริงอีกเหรอ?


 


 


“ฮะๆ คุณจ่าน อย่าบอกนะครับว่าคุณไม่รู้จัก? ผู้อาวุโสเจี่ยคือผู้ที่มีพรสวรรค์ในทางนี้โดยเฉพาะเลยนะครับ เรียกได้ว่าเป็นราชาแห่งการพนันหินหยกเลยล่ะ” ประธานเฉินหัวเราะออกมาเบาๆ อดไม่ได้ที่จะชูนิ้วโป้งขึ้นพลางกล่าวต่อว่า “คุณไม่รู้เหรอครับว่าในการประมูลหยกที่พม่าครั้งก่อน เพราะว่าสุขภาพของผู้อาวุโสเจี่ยไม่ค่อยดีเขาถึงไม่ได้ไปเข้าร่วมด้วย แต่การประมูลที่เจียหยางครั้งนี้ เขาก็ไม่ยอมที่จะพลาดแน่ ไม่ว่าคนที่บ้านจะห้ามอย่างไรเขาก็ยืนกรานที่จะมาให้ได้ เมื่อวานก็เพิ่งซื้อหินหยกก้อนใหญ่ไป วันนี้เลยอยากจะมาผ่าหยกน่ะครับ”


 


 


จ่านป๋ายพยักหน้าอย่างเข้าใจ แต่ในใจก็ยังคงมีความสงสัยอยู่ จึงเอ่ยถามต่อว่า “ผู้อาวุโสเจี่ยมาจากบริษัทอัญมณีที่ไหนเหรอครับ”


 


 


“ถ้าหากเขามาจากบริษัทอัญมณีที่ไหนสักแห่ง เมื่อซื้อหินหยกไปแล้วก็น่าจะต้องขนกลับไปผ่าหินเองสิครับ ทำไมจะต้องมาผ่าให้พวกเราดูด้วยล่ะ หากจะพูดกันตามตรงแล้วผู้อาวุโสเจี่ยท่านนี้กับคุณจินเหลียนก็มีความคล้ายกันมากทีเดียวนะครับ ชอบพนันหยกเป็นงานอดิเรก โดยทั่วไปแล้วพอได้สินค้าที่ดีแบบนี้ก็น่าจะผ่าหยกเสียเลยในตอนนั้น ส่วนสำหรับคนทำทำธุรกิจอัญมณีอย่างพวกเราแล้ว การซื้อหินหยกในเวลานั้น แน่นอนว่าราคาต้องย่อมเยาอีกทั้งคุณภาพต้องดีเยี่ยม”


 


 


“ก็จริงครับ การซื้อหินหยกที่ผ่านการเปิดหน้าหยก เผยให้เห็นถึงเนื้อหยกแล้วแม้ว่าต้นทุนจะสูง แต่ความเสี่ยงก็นับว่าน้อยกว่ามาก” จ่านป๋ายเผยยิ้ม


 


 


“ก็ใช่น่ะสิครับ” ประธานเฉินกล่าวพลางชำเลืองมองไปที่ซีเหมินจินเหลียน ยิ้มอย่างคลุมเครือแล้วพูดว่า “คุณจ่าน แฟนของคุณก็มีความสามารถเลยทีเดียวนะ นึกไม่ถึงว่าวันนี้จะชนะพนันไปสองชิ้น”


 


 


“อย่าพูดถึงเรื่องนั้นเลยครับ!” จ่านป๋ายเห็นซีเหมินจินเหลียนกำลังยืนอยู่ข้างนอกวง สายตาของเธอก็กำลังจดจ้องเนื้อหินหยกก้อนยักษ์นั่น เขาถึงถอนหายใจออกมาอย่างจงใจ “เดิมทีเรื่องนี้ก็จะเป็นไปได้ดีอยู่แล้ว แต่วันนี้กลับเจอผู้หญิงไร้ยางอายสองคนเข้าเสียก่อน…” เขาพูดพลางอดไม่ได้ที่จะส่ายหัว


 


 


“อย่าไปสนใจตระกูลหลินเลยครับ หลินเจิ้งคนนั้นทำอะไรก็ไม่ได้เรื่องสักอย่าง โดยเฉพาะหลังจากที่แต่งงานกับผู้หญิงคนนั้นแล้ว ทางที่ดีคุณก็ไปเกลี้ยกล่อมคุณซีเหมินเถอะครับว่าอย่าไปต่อล้อต่อเถียงกับผู้หญิงแบบนั้นเลย” ประธานเฉินสังเกตว่าไม่มีใครสนใจพวกเขาทั้งสองคนแล้ว จึงพูดขึ้นว่า “ต่อไปถ้าหากคุณซีเหมินชนะพนันอีก คุณโทรศัพท์มาหาผมได้ตลอดเลยนะครับ ผมจะรับซื้อหินหยกไว้ จะได้คุยราคากันได้ง่ายๆ อย่างไรล่ะครับ” นี่คือเป้าหมายที่ประธานเฉินคุยกับจ่านป๋ายเป็นการส่วนตัว เขาคิดว่าสำหรับผู้ที่ยอมพนันซ้ำแล้วซ้ำเล่าคนหนึ่ง ก็ย่อมคุ้มค่าที่จะพูดจาประจบประแจงเสียหน่อย นี่ถึงเป็นสาเหตุที่เขาตั้งใจนัดซีเหมินจินเหลียนมาดูการผ่าหินในวันนี้  


 


 


สำหรับนักพนันที่มีสายตาที่ยอดเยี่ยมนั้น ไม่ว่าจะเป็นบริษัทเครื่องประดับแห่งไหนก็ล้วนที่จะพร้อมใจเข้ามาประจบสอพลอ เพราะอย่างนั้นหินหยกที่พวกเขาชนะจากการพนันมาย่อมเป็นที่ต้องการเป็นธรรมดา ไม่ว่าจะเป็นบริษัทไหนๆ วัตถุดิบเกรดดีแบบนี้มักจะขาดแคลน ไม่สิ ควรจะพูดว่าไม่มีบริษัทเครื่องประดับที่ไหนจะเมินเฉยเนื้อหยกเกรดสูงๆ ที่จะเพิ่มขึ้นมาหรอก


 


 


“ได้เลยครับ!” จ่านป๋ายพยักหน้าอย่างรวดเร็ว พร้อมกับสัญญาว่า “ถ้าหากครั้งหน้าจินเหลียนจะผ่าหยกอีก ผมจะให้เธอติดต่อคุณไปแน่นอน”


 


 


“พวกเราเข้าไปดูกันสักหน่อยไหมครับ?” ประธานเฉินพูดขึ้นเป็นการเชื้อชวน


 


 


“ดูก็ได้ครับ แต่ยังไงผมก็ยังคงดูไม่เข้าใจอยู่ดี” จ่านป๋ายยิ้มเหนียมๆ แก้เขิน


 


 


ในขณะที่พวกเขาทั้งสองกำลังพูดคุยกันอยู่นั้น คนทั้งเจ็ดที่รายล้อมดูสินค้าอยู่ก็ลุกขึ้นยืน ซีเหมินจินเหลียนสังเกตว่าประธานเฉินกับชายอ้วนแซ่เหอไม่ได้รู้จักพวกเขาทั้งเจ็ดคน เพราะอย่างนั้นถึงไม่ได้แนะนำให้เธอรู้จัก เธอจึงถามอะไรไม่ได้


 


 


เมื่อชายอ้วนแซ่เหอเห็นพวกเขาทั้งเจ็ดคนลุกขึ้นมาแล้ว เขาก็รีบเร่งเดินเข้าไปในทันที ในมือของเขาถือไฟฉายพร้อมที่จะตรวจสอบดูสินค้า ส่วนประธานเฉินและประธานหม่ากลับยืนอยู่นิ่งๆ ไม่ขยับเขยื้อนไปไหน


 


 


“คุณสองคนไม่ไปดูหน่อยหรือครับ?”


 


 


“ไม่ดีกว่าครับ” ประธานเฉินมองประธานหม่า ทันใดนั้นก็เผยยิ้มออกมา “พูดตามตรงแล้ว ถ้ามีความเสี่ยงบ้างเล็กๆ น้อยๆ พวกผมก็พอจะพนันได้ แต่ถ้าต้องเสี่ยงเต็มตัวแบบนี้…ไม่ดีกว่าครับ ฮ่าๆ”


 


 


ทางด้านชายอ้วนแซ่เหอที่กำลังดูสินค้าอยู่นั้นก็ลุกขึ้นยืนพับแขนเสื้อเชิ้ตขึ้น “ผมว่าน่าจะได้แล้วล่ะ แต่ว่านี่ก็แค่ผิวหยกเท่านั้นเอง” เขาพูดพลางจงใจเหลียวมองเจ็ดคนนั้น


 


 


เจ็ดคนนั้นถึงแม้จะแบ่งออกเป็นสามกลุ่ม แต่เห็นได้ชัดว่าพวกเขาต้องรู้จักกันอย่างแน่นอน ไม่เช่นนั้นเมื่อกี้คงไม่เบียดเสียดกันมาดูสินค้า ท่ามกลางพวกเขามีชายรูปร่างสมส่วน บนใบหน้ามีรอยกะคนหนึ่งที่พ่นลมหายใจออกมาแรงๆ อย่างอดไม่ได้


 


 


ซีเหมินจินเหลียนหันไปมองจ่านป๋าย ทั้งสองยิ้มให้กันพลันคิดว่าสองฝ่ายนี้แน่นอนว่าจะต้องไม่ใช่พวกเดียวกันแน่


 


 


“คุณซีเหมินก็เข้าไปดูสักหน่อยเถอะครับ อีกเดี๋ยวผู้อาวุโสเจี่ยกำลังจะมาแล้ว” ประธานเฉินว่า


 


 


ซีเหมินจินเหลียนได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้าลงเล็กน้อย ก่อนจะเดินเข้าไปที่ข้างหน้าหินหยก ทันใดนั้นชายอ้วนแซ่เหอก็ลุกขึ้นยืนแล้วพูดว่า “คุณดูเถอะครับ เดี๋ยวผมรอดูตอนที่ผู้อาวุโสเจี่ยผ่าหยกก็ได้”


 


 


ซีเหมินจินเหลียนยิ้มอย่างขออภัย ในมือควานหาไฟฉายกับแว่นขยายออกมาจากกระเป๋า น้ำหนักเนื้อหินประมาณหนึ่งตันเท่ากัน แต่ผิวของหินหยกนี้กลับปรากฏสีเทาเหลือง พื้นผิวของกรวดหินละเอียดพอสมควร


 


 


เมื่อใช้มือสัมผัส ซีเหมินจินเหลียนก็อดยิ้มออกมาอย่างฝืดฝืนไม่ได้ หลังจากนั้นก็เริ่มใช้ไฟฉายส่องดู มีเส้นลายหยกปรากฏให้เห็นอย่างไม่ชัดเจน สีเขียวของหยกก็ไม่เยอะมาก ผิวภายนอกก็ไม่ค่อยดีนัก สำหรับนักพนันหินหยกแล้ว พูดกันตามตรงถ้าหากมองแค่ผิวหยกอย่างนั้น หินหยกชิ้นนี้ถึงจะขายในราคาแปดสิบล้าน ก็ยังถือว่าแพงเกินไปด้วยซ้ำ


 


 


เมื่อใช้ไฟฉายส่องแสงลงบนพื้นผิว แสงแทบจะไม่กระจาย พิสูจน์ให้เห็นว่าความโปร่งแสงอิ่มน้ำของเนื้อหยกไม่ได้เป็นอย่างที่คิด


 


 


ซีเหมินจินเหลียนค่อนข้างแปลกใจอยู่บ้าง ทำไมผู้อาวุโสเจี่ยคนนั้นถึงอยากจะซื้อเนื้อหินหยกก้อนนี้กันนะ? หากฟังจากที่ประธานเฉินบอกเมื่อครู่แล้ว เขาก็ดูเหมือนจะนับถือผู้อาวุโสผู้นี้เป็นอย่างมาก


 


 


มือซ้ายของเธอถือแว่นขยายเพื่อบังหน้า ส่วนมือขวานั้นเอื้อมไปสัมผัสที่เนื้อหิน ความร้อนไหลผ่านทางเปลือกผิวสีเทาเหลือง นี่กลับเป็นแค่ก้อนหินสีขาวก้อนหนึ่งเท่านั้น ซีเหมินจินเหลียนรู้สึกตกตะลึง ผู้อาวุโสเจี่ยคงไม่โชคร้ายขนาดนี้หรอกมั้ง?


 


 


เธอใช้มือสัมผัสเพื่อมองทะลุหินหยกอีกครั้ง ยามที่เห็นสองในสามส่วนนั้น ซีเหมินจินเหลียนก็นิ่งอึ้งไปแล้ว สีม่วงอ่อนๆ สะท้อนไปยังก้นบึ้งของหัวใจ


 


 


สีม่วงอ่อนๆ นั่นก็ไม่มีความเข้มเลยแม้แต่น้อย ความโปร่งใสไม่สูงจนเกินไป หากจะพูดให้ชัดเจนก็คือ เป็นไปได้อย่างมากว่าจะเป็นหยกชนิดโปร่งใสราวกับแก้วกระจก ส่วนความชุ่มชื้นในหินนับว่าไม่เลวเลย


 


 


ซีเหมินจินเหลียนคิดว่าสีม่วงชนิดนี้คงจะอยู่ในประเภทสีม่วงขุ่น ให้ความรู้สึกคล้ายกับควันหรือหมอกอยู่ในนั้น…


 


 


แต่สิ่งที่ทำให้เธอต้องรู้สึกผิดหวังอยู่บ้างก็คือ เส้นแสงสีม่วงนั้นไม่ได้ยาวสักเท่าไหร่ หนาเพียงแค่หกถึงเจ็ดเซนติเมตร ความยาวประมาณยี่สิบเซนติเมตร ถ้ามันถูกตัดออกอย่างสมบูรณ์ ใช้วัสดุที่เหมาะสม ทำเป็นกำไลสักสองสามก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร


 


 


เพียงแต่ว่าสีม่วงสีเหลืองและสีแดงนั้น ไม่ได้อยู่ในขั้นสีที่สดใสหรือกระจ่างแสงที่สุด ไม่ได้เป็นที่นิยมเสียเท่าไหร่ แต่สำหรับสีม่วงดอกไลแอคถูกยกให้เป็นที่สุดของสีม่วง ส่วนสีม่วงอ่อนๆ ที่คล้ายควันหมอกเช่นนี้ แม้ว่าจะตัดออกมาได้ แต่ก็เกรงว่าจะไม่มีคุณภาพที่คู่ควรนัก


 


 


 


 


[1] เจี่ย เป็นแซ่หนึ่งของคนจีน ซึ่งพ้องเสียงกับว่าคำว่าปลอม


 

 

 


ส่วนที่ 4

 

ตอนที่ 7.2

 

 มีดด้ามเดียวเผยสีเขียว

 


 


 


 


เมื่อมองทะลุเข้าไปในหินหยกอยู่หลายครั้ง ซีเหมินจินเหลียนก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา หินหยกก้อนนี้มีบางสิ่งที่เหนือความคาดหมาย ตอนที่เธอกำลังจะวางมือลงนั้นเอง สีเขียวมรกตของหยกก็สะท้อนมาที่นัยน์ตาของเธอ 


 


 


มีสองสี สีผสมของสีม่วงและเขียวหรือ? แต่ว่าโลกใบนี้ก็ช่างกลั่นแกล้งกันเกินไปนัก สีเขียวนี้ห่างจากควันสีม่วงพอสมควร ตรงกลางของพวกมันมีหินที่หนาแน่นขวางกั้นอยู่มวลหนึ่ง 


 


 


อีกทั้งสีเขียวนี่ก็ยังอยู่ใกล้กับผิวหยกมาก เรียกได้ว่าอยู่ใกล้กับเส้นลายหยกที่มองไม่ค่อยชัดเส้นนั้น อีกสักครู่เมื่อผู้อาวุโสเจี่ยมาเช็ดหิน ในไม่ช้าเขาคงจะได้เห็นสีเขียวนั่นแล้ว ถึงแม้สีเขียวจะอ่อนไปสักหน่อย ไม่จัดอยู่ในหมวดสีเขียวสดใส แต่ทว่าก็ใสสะอาด ความอิ่มน้ำและความชุ่มชื้นมีค่าไล่เลี่ยกัน 


 


 


อีกทั้งขนาดยังมีความเท่ากันกับสีของควันม่วง 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนแอบส่ายหน้าเล็กน้อย ถ้าหากสองสีนี้อยู่ด้วยกันแล้ว ตอนผ่าหยกถึงแม้จะเป็นชนิดหยกแบบกระจกใส ขายในราคาสองร้อยล้านน่าจะไม่มีปัญหา แต่ตอนนี้ถึงเอาทั้งสองชิ้นผ่าออกมาด้วยกัน อย่างมากสุดก็แค่ไม่ขาดทุน 


 


 


นี่ก็นับว่าคุ้มทุนแล้ว แต่เมื่อซีเหมินจินเหลียนกลับมาย้อนคิด การพนันหินหยกนั้น เดิมทีหากพนันสิบครั้งโอกาสที่จะแพ้มีเก้าครั้งก็ถือเป็นเรื่องธรรมดา เมื่อเสมอพนันไม่ได้พ่ายแพ้ก็ถือว่าสวรรค์เมตตามากพอแล้ว ส่วนคนที่สวรรค์ประทานพลังพิเศษมาให้แบบเธอ นั่นก็ถือเป็นคนละเรื่องกัน 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนปิดไฟฉายในมือ ก่อนจะพยุงตัวเองขึ้นมาจากหินหยกก้อนนั้น 


 


 


ประธานเฉินอมยิ้มแล้วถามขึ้นว่า “คุณซีเหมิน คุณคิดว่าเป็นอย่างไรบ้างครับ” 


 


 


“ลายหยกไม่ค่อยชัดเจนค่ะ สีของหยกก็ไม่กระจ่างชัดเท่าไหร่นัก แต่โดยรวมแล้วก็นับว่าไม่เลวเลยทีเดียว” ซีเหมินจินเหลียนยิ้มตอบ เธอเพียงแค่บอกความจริงไปอย่างคร่าวๆ ส่วนที่เหลือเธอเลือกที่จะไม่พูดดีกว่า 


 


 


แต่ว่าอีกเดี๋ยวผู้อาวุโสเจี่ยก็จะมาผ่าหยกแล้ว ที่จริงไม่ต้องพูดคลุมเครือก็ได้ 


 


 


“ผู้อาวุโสเจี่ยมาแล้ว!” ท่ามกลางเจ็ดคนนั้น ก็มีคนหนึ่งพูดขึ้นมา ประตูทางเข้าปรากฏชายกลางคนอายุราวๆ หกสิบปีเดินเข้ามาพร้อมกันกับวัยรุ่นหน้าตาดีคู่หนึ่ง 


 


 


สายตาของซีเหมินจินเหลียนจับจ้องไปที่ร่างกายของหลินเสวียนหลาน ชั่วพริบตาก็เปลี่ยนไปมองทางอื่น เขาก็มาด้วยหรือ? แถมหลินเสวียนหลานกำลังจับมือของลู่เฟยอวี๋อยู่ด้วย 


 


 


จ่านป๋ายได้แต่มองหลินเสวียนหลาน และมองประเมินไปที่ลู่เฟยอวี๋ชั่วขณะ กระซิบถามซีเหมินจินเหลียนไปว่า “ผู้หญิงคนนั้น ก็คือคู่หมั้นของหลินเสวียนหลานนี่ครับ?” 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนนิ่งงันไป จากแฟนก็กลายเป็นคู่หมั้นแล้ว? แต่ทันใดนั้นเธอก็เข้าใจขึ้นมาว่า จ่านป๋ายจงใจถามเธอ เพื่อที่จะบอกเธอว่าการหมั้นของหลินเสวียนหลานกับลู่เฟยอวี๋เป็นความจริง 


 


 


จ่านป๋ายเป็นคนที่ชอบแอบติดตามชีวิตของคนอื่น เพราะอย่างนั้นเขาก็รู้มากกว่าที่เธอรู้อย่างแน่นอน 


 


 


“พวกเราก็มาดูหยกกัน ไม่ได้มาดูคู่หมั้นของใครสักหน่อย” ซีเหมินจินเหลียนก้มหน้าก้มตาลง ขนตายาวๆ ของเธอปกปิดร่องรอยของความเจ็บปวดภายในดวงตาเอาไว้ หลังจากนั้นสายตาของเธอก็ตกไปอยู่ที่ผู้อาวุโสเจี่ย ผู้อาวุโสเจี่ยมีอายุราวๆ หกสิบ ท่าทางกระฉับกระเฉง สีหน้าดูมีชีวิตชีวาเป็นอย่างมาก 


 


 


เสื้อผ้าการแต่งกายของเขาดูธรรมดาทั่วไป ดูอย่างไรก็ไม่เหมือนคุณปู่ข้างบ้านเลยแม้แต่น้อย มองไม่ออกเลยสักนิดว่าลักษณะอย่างเขาแล้วจะเป็นราชาแห่งการพนันหินหยก 


 


 


ชั่วขณะที่หลินเสวียนหลานมองเห็นซีเหมินจินเหลียนนั้น เขาก็รู้สึกทำตัวไม่ถูกอยู่บ้าง แม้แต่แผ่นหลังยังแข็งทื่อไปเสียหมด จับมือของลู่เฟยอวี๋อย่างกระอักกระอ่วน 


 


 


ลู่เฟยอวี๋จงใจเหลือบมองเขาเล็กน้อย หลินเสวียนหลานจึงเข้าใจเจตนาของเธอ เขาทำได้ดีที่สุดแค่ถอนหายใจในใจอย่างหมดหนทาง หรือเขาจะต้องเดินในทางที่ต้องพึ่งคนอื่นแบบนี้ต่อไปอย่างนั้นเหรอ? 


 


 


“ขอโทษที่ทำให้ทุกคนต้องรอนานนะ!” ผู้อาวุโสเจี่ยทักทายผู้คนพร้อมหัวเราะน้อยๆ 


 


 


ผู้อาวุโสเจี่ยก็ไม่พูดจาชักแม่น้ำทั้งห้าให้ทุกคนลำบากใจอีก เพราะเขารู้ดีแก่ใจว่าทุกคนที่มาที่นี่ล้วนแต่เป็นเพราะว่าหินหยกก้อนนั้น เขาพาลูกน้องจากโรงงานแปรรูปหยกมาช่วยยกหินก้อนยักษ์นั่นขึ้นไปที่เครื่องผ่าหยก 


 


 


ถือว่าเหนือความคาดหมายของซีเหมินจินเหลียน ผู้อาวุโสเจี่ยใช้เวลาไม่นานและเสียพละกำลังในการขัดหินไม่มากเลย อีกทั้งยังวาดลายเส้นลงไปที่หินก้อนมหึมานั่น จากนั้นก็เชื่อมต่อแหล่งไฟฟ้า กดปุ่มสวิตซ์การทำงานของเครื่องผ่าหยกนี้ 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนเห็นทักษะฝีมือของเขาในการใช้เครื่องตัดหินหยกแล้ว สมาธิของเธอก็จดจ่ออยู่ที่ตำแหน่งที่เขาตัดหิน ทันใดนั้นเธอรู้สึกจากใจเลยว่าชายผู้ที่เรียกว่าราชาแห่งการพนันหินคนนี้ ชื่อเสียงคำล่ำลือของเขาเห็นทีจะเป็นความจริง  


 


 


มีดยังคงทำการตัดอย่างต่อเนื่อง ถ้าเธอจำไม่ผิดตำแหน่งนั้นน่าจะเป็นทางที่หยกสีเขียวอยู่ เพียงลงมีดครั้งเดียวก็จะเผยสีเขียวออกมา…  


 


 


ถ้าเป็นเธอที่ผ่าหยกนั้น ข้างในของเนื้อหยกก็ยังคงเป็นแบบเดิมอย่างนั้นไม่เปลี่ยนแปลงแน่ แต่นี่ผู้อาวุโสเจี่ยใช้เพียงแค่การลงมีดเพียงครั้งเดียวก็ไม่มีการสูญเปล่าแต่อย่างใด ผ่าเพียงครั้งก็เผยให้เห็นสีเขียวด้านใน อีกทั้งยังไม่ทำให้เนื้อหยกนั้นชำรุดเสียหายแม้แต่น้อย 


 


 


จนกระทั่งซีเหมินจินเหลียนนึกสงสัยว่า ผู้อาวุโสท่านนี้แท้จริงแล้วมีพลังมองทะลุเหมือนกับเธอหรือเปล่า ไม่อย่างนั้นทำไมถึงได้ตัดด้วยมีดเพียงแค่ครั้งเดียวแต่กลับตรงจุดอย่างนี้ล่ะ? 


 


 


ใบมีดของเครื่องตัดหินหยกเคล้ากับเสียงครืดๆ ของหินที่ดังขึ้น ทำให้จิตใจของผู้คนที่มาดูอยู่ที่นี้ควบคุมตัวเองไม่ได้จนต้องลุกยืนขึ้นมา ซีเหมินจินเหลียนรู้ถึงผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้น เธอจึงไม่ได้มีความรู้สึกกังวลใจเหมือนคนเหล่านั้น แต่สิ่งที่เธอให้ความสนใจยิ่งกว่าก็คือกองของเศษหินหยกที่อยู่ในมุมห้อง 


 


 


นับตั้งแต่ที่เธอเริ่มมาพนันหยก ดูเหมือนว่าเธอจะได้งานอดิเรกพิเศษติดมาอย่างหนึ่ง เมื่อเห็นหินหยกแล้วก็มักจะอดไม่ได้ที่จะพุ่งตัวเข้าไปดู 


 


 


แต่อย่างไรเธอก็ยังไม่รู้ว่าใครเป็นเจ้าของโรงงานแปรรูปหยกแห่งนี้ แม้ว่าเธอจะรู้ แต่อย่างไรเขาก็เปิดโรงงานแปรรูป เศษหินหยกที่กองอยู่ข้างๆ เครื่องตัดหินหยกนั้น ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเขาต้องเตรียมตัดแบ่งต่ออีกเป็นแน่ 


 


 


ที่เจียหยางแห่งนี้ ร้านทำธุรกิจเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์แปรรูปจากหยกมีเยอะไปเสียแล้ว เนื้อหยกที่มีคุณภาพดีหน่อยถูกตัดแบ่งไปขายทำผลิตภัณฑ์ ไม่มีใครจะโง่เง่ายินดีที่จะให้คนอื่นได้กำไรสูงหรอก 


 


 


ส่วนการปฏิบัติต่อคนอื่น แน่นอนว่าเธอไม่สามารถที่จะบุ่มบ่ามไปดูหินหยกของพวกเขาได้ ดังนั้นสิ่งที่เธอทำได้ก็คือดูเพียงชั่วประเดี๋ยวก็พึงพอใจแล้ว 


 


 


ขณะเดียวกันใบมีดของเครื่องผ่าหยกก็ได้หยุดหมุนลง ผู้อาวุโสเจี่ยเดินเข้าไปดู พลางยื่นสองนิ้วที่ถูกรมควันสีเหลืองค่อยๆ เปิดเผยให้เห็นเนื้อของแผ่นหยกออกมา 


 


 


ผู้คนที่มาดูก็อดไม่ได้ที่จะไปล้อมรอบ ทันใดนั้นก็ไม่รู้ว่ามีเสียงของใครที่ตะโกนออกมาว่า “เห็นสีเขียวแล้ว!” 


 


 


ใช่! เห็นสีเขียวแล้ว ผู้อาวุโสเจี่ยดูแล้วไม่น่าจะใช่คนขี้งกสักเท่าไหร่ เพียงมีดด้ามเดียวก็สามารถตัดแบ่งรอยเปิดผนึกถึงสิบเซนติเมตร แถมความหนายังหนาถึงสองเซนติเมตร สีเขียวของหยกก็ลอยปรากฏให้เห็น 


 


 


ผู้อาวุโสเจี่ยกวักน้ำขึ้นมาราดลงไปข้างบนเนื้อหยก ทำให้สีของหยกยิ่งดูสดใสน่าดึงดูดมากขึ้น 


 


 


“ยินดีด้วยนะครับ ผู้อาวุโสเจี่ย เพียงแค่มีดเล่มเดียวก็เผยให้เห็นสีเขียวแล้ว ไม่เสียชื่อที่เป็นราชาแห่งการพนันหยกจริงๆ!” เสียงของผู้ที่มีรอยกระบนใบหน้าชิงพูดขึ้นมา “เพียงแต่ไม่รู้ว่าหินหยกของผู้อาวุโสเจี่ยชิ้นนี้จะเปลี่ยนมือหรือไม่” 


 


 


ผู้อาวุโสเจี่ยได้ยินดังนั้นก็เผยรอยยิ้มพูดว่า “คืนนี้ผมเรียกพวกคุณมาก็เพราะว่าอยากจะขายหยกก้อนนี้น่ะ แต่พวกคุณคงรู้กฎของผมอยู่แล้วใช่ไหม เดิมทีจะต้องผ่าหยกออกให้หมดก่อน ถึงจะขายออกไปได้” 


 


 


ผู้คนที่ได้ยินเช่นนั้นก็ไม่รู้จะพูดอะไรออกมาดี ผู้อาวุโสเจี่ยประเมินหินหยกชิ้นนั้นอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง คิ้วสีขาวบางย่นลึกเข้าด้วยกัน 


 


 


เพียงแค่เปิดช่องรอยตัดออกมาให้เห็น ข้างในของเนื้อหินนี้อาจจะมีแต่เส้นลายหยกหนึ่งเส้น นอกจากนี้การวิเคราะห์ของเขาในครั้งแรกคือจัดอยู่ในตรงกลางระหว่างประเภทชนิดน้ำแข็งกับชนิดกระจก แต่ในตอนนี้เป็นแค่ชนิดน้ำแข็งเท่านั้น ไม่สามารถตอบสนองความต้องการตามที่เขาคิดไว้ในครั้งแรก 


 


 


ต่อจากนี้จะผ่าหินอย่างไรต่อไป การลงมือคงลำบากอยู่บ้าง วิธีที่ปลอดภัยที่สุดคือการค่อยๆ เจียระไนผิวของหินหยกออก หลังจากนั้นก็ค่อยดูตามสถานการณ์แล้วจึงใช้มีดผ่า 


 


 


แต่ว่านี่ก็เป็นวิธีที่โง่ที่สุด เพราะต้องเสียเวลาและพลังงานเป็นอย่างมาก หินหยกก้อนใหญ่มหึมาขนาดนี้คงไม่ได้หลับไม่ได้นอนกันทั้งคืนแน่ ปัญหาที่เผชิญอยู่ตอนนี้ก็คือชั้นของสีเขียวบนพื้นผิวมันแทรกซึมเข้าไปเท่าไหร่ ถ้าเป็นเพียงแค่เปลือกสีเขียวเปล่าๆ เช่นนั้นก็คงจะแย่น่าดู 


 


 


ผู้อาวุโสเจี่ยหยิบบุหรี่ออกมาจากกระเป๋าของเขาหนึ่งมวน ก่อนจะปล่อยควันให้กระจัดกระจายไปรอบๆ สุดท้ายแล้วเขาก็นำมันคาบเข้าไปในปากของตัวเอง จุดไฟสูบเข้าไปลึกๆ เต็มปอด 


 


 


จากนั้นทุกคนก็พร้อมใจที่จะจุดบุหรี่ด้วย บรรยากาศที่น่าสำลักควันบุหรี่ได้เริ่มต้นขึ้น ซีเหมินจินเหลียนรีบถอยออกไปด้านหลังในทันที ภายในจมูกของเธอมีกลิ่นฉุนของยาสูบ จึงอดที่จะขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อยไม่ได้ 


 


 


“จินเหลียน ถ้าเช่นนั้นพวกเรากลับกันก่อนดีไหมครับ” จ่านป๋านเห็นท่าทีของเธอแล้วก็รู้สึกกระวนกระวายใจและเป็นห่วงอย่างมาก 


 


 


“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เดี๋ยวก็ชินเอง!” ซีเหมินจินเหลียนยิ้มตอบเขา โรงงานแปรรูปหยกค่อนข้างใหญ่พอสมควร อีกเดี๋ยวควันก็น่าจะหายไปเอง พวกเขาคงไม่สำลักควันไปแบบนี้ตลอดหรอก 


 


 


นอกจากนี้เธอก็เข้าใจว่า เวลาที่ผู้ชายกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างนั้น มักจะเคยชินกับการคาบบุหรี่ นี่ไม่ถือว่าเป็นเรื่องที่ร้ายแรงอะไร เพราะอย่างไรเธอก็ไม่สามารถทำให้คนอื่นคล้อยตามเธอได้อยู่แล้ว ส่วนอีกทางฝั่งหนึ่งก็มีเรื่องที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น ลู่เฟยอวี๋ก็ขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย เธอใช้มือเล็กๆ ขาวๆ ของเธอป้องไปที่จมูก 


 


 


แต่หลินเสวียนหลานกลับแกล้งทำมึนเป็นเหมือนมองไม่เห็นอะไร เขาสูบบุหรี่อย่างหนักหน่วง แต่เขาก็ไม่สูบบุหรี่ไม่ใช่เหรอ? ซีเหมินจินเหลียนรู้สึกสงสัยขึ้นมา… 


 


 


“เสี่ยวป๋าย คุณสูบบุหรี่หรือเปล่า” จู่ๆ ซีเหมินจินเหลียนก็ถามขึ้นมาอย่างกะทันหัน 


 


 


“หืม? เมื่อครู่ผมก็ทิ้งไปแล้วล่ะ ไม่อย่างนั้นคุณคงได้ไล่ผมออกไปแน่” จ่านป๋ายยิ้ม 


 


 


“ไปให้พ้นเลยค่ะ!” ซีเหมินจินเหลียนแสร้งดุเขา แต่ภายในใจกลับรู้สึกดี เธอถูกจ่านป๋ายล้อเสียแล้ว  


 


 


เมื่อผู้อาวุโสเจี่ยสูบบุหรี่เสร็จแล้ว เขาก็ตัดสินใจใช้เท้าขยี้ก้นบุหรี่อย่างเต็มแรง พร้อมเรียกลูกน้องให้พาหินหยกก้อนนั้นเปลี่ยนด้านจัดตำแหน่งให้มั่นคง ก่อนจะวาดเส้นลงไป แล้วตัดตามลายหยกเส้นนั้นไปเรื่อยๆ 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนประทับใจที่ผู้อาวุโสเจี่ยมีความเด็ดขาดและกล้าหาญในการผ่าหยกเช่นนี้ แต่ในใจของเธอก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี ถ้าขืนยังผ่าต่อไปผู้อาวุโสเจี่ยคงต้องพบความผิดหวังเข้าแน่ๆ ลายหยกเส้นนั้นไม่ได้สวยงามอย่างที่เขาคิดไว้เลย… 

 

 

 


ส่วนที่ 4

 

ตอนที่ 8.1

 

 เดิมพันหินเท่ากับเดิมพันชีวิต

 


 


 


 


ผู้คนที่เหลือกลับรู้สึกแปลกใจ ปกติแล้วหากผ่าหินแล้วเผยสีเขียวออกมาให้เห็น ถ้าหากไม่รีบเปลี่ยนมือมาขายให้ผูอื่นในราคาที่ดี ก็จะค่อยๆ ขัดผิวจากด้านข้างของสีเขียว เพื่อดูว่าสีเขียวมีความตื้นลึกหนาบางอยู่เท่าไหร่ จากนั้นค่อยคิดอีกทีว่าจะตัดออกมาอย่างไร 


 


 


ในตอนนี้การผ่าหินของผู้อาวุโสเจี่ยเผยสีเขียวออกมาแล้ว เขาเริ่มนำร่องมาจากสีเขียวที่อยู่รอบๆ และลงใบมีดซ้ำลงไปอีกครั้ง เขาก็ไม่เกรงกลัวเลยว่าใบมีดจะตัดสีเขียวออกไปจนหมด? การเดิมพันหินแต่เดิมที่สืบทอดมา ด้วยใบมีดเล่มหนึ่งก็สามารถทำให้เปลี่ยนสถานะในสังคมว่าจะกลายเป็นคนยากจนหรือมหาเศรษฐีได้ภายในชั่วคืนหนึ่ง นี่จึงถือว่าเป็นช่วงเวลาที่สำคัญ 


 


 


แน่นอนว่าผู้ที่ถูกผู้อาวุโสเจี่ยเชิญมาดูการตัดหินในครั้งนี้ย่อมเป็นนักธุรกิจค้าขายอัญมณีจากหลากหลายแห่ง ถึงพวกเขาจะไม่รู้จักกัน แต่ทุกคนก็รู้ว่าผู้อาวุโสเจี่ยคือราชาแห่งการเดิมพันหินตามชื่อเสียงที่ร่ำลือเอาไว้ แต่เขาก็ไม่ได้อยู่ภายใต้บริษัทเครื่องประดับอัญมณีแห่งไหน พูดได้ว่าการเดิมพันหินเป็นงานอดิเรกส่วนตัวล้วนๆ 


 


 


นอกจากนี้ทุกครั้งหลังจากที่เขาเดิมพันผ่าหินเสร็จนั้น หากชนะก็สามารถนำไปขายทอดสู่ตลาดได้ต่อ ถึงกระนั้นแน่นอนว่าเขาต้องเก็บหยกพวกนั้นไว้เป็นทรัพย์สมบัติส่วนตัวไว้บ้าง 


 


 


ครั้งนี้ผู้อาวุโสเจี่ยเรียกพวกเขามาหาก็เพื่อที่ว่า หลังจากผ่าหินเสร็จแล้วก็เตรียมตัวที่จะขายต่อทันที ดังนั้นถึงผู้คนจะไม่เข้าใจกระบวนการตัดหินของเขาสักเท่าไหร่ แต่ในใจกลับเต็มเปี่ยมไปด้วยความคาดหวังและรอคอยเป็นที่สุด พวกเขาเฝ้ารอให้รีบตัดออกมาเพื่อดูเนื้อข้างในว่ามีหยกอยู่เท่าไหร่กัน 


 


 


ถึงจะจัดอยู่ในประเภทชนิดน้ำแข็งมรกต แม้ว่าสีเขียวจะไม่ถึงกับเข้มเด่นชัด แต่วัตถุดิบของหยกชนิดนี้ก็อยู่ในประเภทของหายาก ถ้าหากสามารถขายแบบก้อนใหญ่ได้ แน่นอนย่อมเป็นสิ่งที่ดีกว่า 


 


 


    


 


 


ตามเสียงใบมีดของเครื่องตัดหินที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่นั้น ทำให้จิตวิญญาณของผู้ชมถูกปลุกขึ้นมาอีกครั้ง เพียงชั่วขณะโรงงานแปรรูปหยกก็เงียบสงัดขึ้นมา 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนกลับรู้สึกประหลาดใจ คนพวกนี้จะกังวลใจไปทำไมกัน ถ้าหากเป็นผู้อาวุโสเจี่ยที่กังวลใจ เธอก็พอจะเข้าใจได้ เพราะนี่คือเนื้อหินหยกมูลค่าถึงแปดสิบล้าน เมื่อตัดต่อไปคงพ่ายแพ้ย่อยยับเป็นแน่ เพียงแต่ว่านักธุรกิจอัญมณีเหล่านี้ต่างพากันยืดชูคอจดจ่อทุกลมหายใจ 


 


 


เมื่อคิดดูแล้ว เธอก็หาเหตุผลมาอธิบายได้ นี่ต่างเป็นผลประโยชน์ร่วมกันทั้งนั้น ถ้าจะกังวลใจย่อมไม่แปลก 


 


 


เดิมทีเธอนั้นยากจน แต่เมื่อหลังจากที่รวยเพียงชั่วข้ามคืนแล้ว เธอก็คิดแต่ว่าเงินทองเป็นเพียงแค่สัญลักษณ์ๆ หนึ่ง สำหรับการใช้ความสุขเพลิดเพลินไปกับสิ่งของวัตถุภายนอกนั้น ไม่ได้ดึงดูดเธอแม้แต่เพียงนิดเดียว แต่สิ่งที่ดึงดูดเธอกลับกลายเป็นอัญมณีหยกนั่นเอง 


 


 


ก็แค่เล่นกับหิน แถมยังสิ้นเปลืองเงินอีก เมื่อคิดเช่นนั้นแล้วซีเหมินจินเหลียนคิดได้ว่าเธอไม่ได้มีเงินมากมายอะไร ครั้นตอนที่ซื้อหินหยกห้าชิ้นมาจากบ้านของชายชรา ทำให้เธอสูญเสียเงินไปถึงหนึ่งร้อยกว่าล้า 


 


 


แถมนี่ยังเป็นเพียงแค่บ้านหลังเดียวที่นายหน้าเหลาหลี่พาพวกเราไปดูสินค้าอีก ถ้าหากเธอไปสักหลายๆ หลังแล้วละก็…ซีเหมินจินเหลียนนึกแล้วก็หัวเราะอย่างขมขื่น เธอก็คงจะไม่มีโอกาสไปร่วมงานประมูลหยกเป็นแน่ ทำได้ดีที่สุดคือกลับบ้าน เพราะถึงจะไปเธอก็ไม่มีเงินอยู่ดี อีกทั้งได้ยินว่างานประมูลหยกนั้นช่างดุเดือดเสียมาก เป็นการทำลายล้างล้างกระเป๋าเงินอย่างไม่มีสิ้นสุด 


 


 


ตอนที่ซีเหมินจินเหลียนกำลังคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยอยู่นั้นเอง ใบมีดของเครื่องผ่าหยกก็หยุดเคลื่อนไหวลง ผู้อาวุโสเจี่ยเดินเข้าไปดู ภายในความช่วยเหลือของลูกน้องวัยหนุ่มสาวก็สามารถทำให้หินหยกชิ้นนั้นแยกออกมาจากกันจนได้ 


 


 


หินหยกที่แยกออกมาจากการตัด ด้านบนของก้อนหนึ่งมีลวดลายคล้ายกับเส้นผมสีเขียวอยู่เล็กน้อย ส่วนอีกก้อนหนึ่งมีความหนายาวประมาณยี่สิบเซนติเมตร บนนั้นมีลายเส้นเส้นหนึ่งของสีเขียวหยกปรากฏอยู่ 


 


 


ดูจากสีหน้าของผู้อาวุโสเจี่ยแล้วก็ดูไม่ค่อยจะสู้ดีนัก ตอนนี้หินหยกสีเขียวก้อนยักษ์ถูกตัดผ่ากลางออกมา แต่ว่าผลลัพธ์ที่ตัดออกมานั้นกลับไม่ได้เป็นอย่างที่คิดไว้ ถ้าหากมีเพียงแค่ชนิดน้ำแข็งสีเขียวมรกตอ่อน พนันไว้เลยว่านี่ยังคืนทุนที่เขาซื้อมาไม่ได้เลย 


 


 


ผู้ชมทั้งหมดต่างมีสีหน้าที่แตกต่างกัน ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาทั้งหมดก็ต่างตั้งใจเพื่อที่จะมารับหินหยกนี้ เมื่อเผยให้เห็นสีเขียวออกมาก็ถือว่าดีพอแล้ว ที่เหลือก็มาดูกันต่อว่าใครจะรับหยกน้ำแข็งสีเขียวมรกตอ่อนนี้ไป 


 


 


ในเวลาเพียงไม่ช้าผู้อาวุโสเจี่ยก็สามารถผ่าหยกออกมาได้อย่างหมดเปลือก ความยาวยี่สิบเซนติเมตร ความหนาประมาณหกเซนติเมตร ความลึกก็เท่าๆ กันห้าถึงหกเซนติเมตร 


 


 


“ผู้อาวุโสเจี่ย คุณต้องการที่จะขายหยกก้อนนี้ใช่ไหมครับ” ประธานเฉินในตอนนี้ ถึงลักษณะเขาจะดูเหมือนเป็นแค่ลุงพุงโตขี้เมาคนหนึ่ง แต่ความเร็วของเขากลับไวกว่าใครๆ จู่ๆ รีบชิงถามไปก่อน 


 


 


ผู้อาวุโสเจี่ยพยักหน้า ประธานเฉินยังไม่ทันได้ตั้งตัวพูดอะไรต่อ คนที่ใบหน้าเป็นรอยกระก็พูดราคาขึ้นมา “ยี่สิบล้าน!” 


 


 


ประธานเฉินได้แต่กัดฟันกรอดมองชายผู้นั้น เขาแทบที่จะพุ่งเข้าไปต่อยสักหมัดให้หายปากซ่า แต่ก็ยังคงเก็บอาการพูดต่อ “ยี่สิบสองล้าน!” 


 


 


“ยี่สิบสามล้าน!” มีเสียงคนผู้หนึ่งดังออกมาท่ามกลางผู้คน 


 


 


“ยี่สิบห้าล้าน!” เหนือความคาดหมายของซีเหมินจินเหลียน หลินเสวียนหลานเป็นคนพูดขึ้นมา 


 


 


ประธานเฉินไม่ได้เอ่ยปากคัดค้านอะไร ส่วนผู้มีรอยกระบนใบหน้าคนนั้นก็เช่นกัน เมื่อผู้อาวุโสเจี่ยเห็นว่าไม่มีใครพูดอะไรอีก เขาก็เลยรีบปิดราคา “ถ้าอย่างนั้นก็ตกลง หินหยกก้อนนี้เป็นของคุณหลิน…” 


 


 


“สามสิบล้าน!” ชายร่างอ้วนแซ่เหอมองไปที่หลินเสวียนหลานแบบเย็นยะเยือก ก่อนจะแค่นลมหายใจออกมา 


 


 


หลินเสวียนหลานชักสีหน้าไม่พอใจ นี่เป็นหยกที่น้ำงามเลยทีเดียว ถึงแม้จะเทียบไม่ได้กับคุณภาพของหยกชนิดกระจกใส สีไม่ค่อยดึงดูดเท่าไหร่ เป็นเพียงสีเขียวอ่อนธรรมดาเท่านั้น แต่ถ้าทำให้ดีและใช้วัสดุชิ้นดีแล้วละก็ สามารถทำเป็นกำไลได้อย่างสบาย ราคาสามสิบล้านถือว่าไม่แพง 


 


 


เพียงแต่ บ้านตระกูลหลินไม่มีเงินนี่น่ะสิ! 


 


 


ครั้งนี้ไม่มีใครเพิ่มราคาหยกน้ำแข็งสีเขียวอ่อนก้อนนั้น ถ้าอย่างนั้นเจ้าของก็ตกไปเป็นของชายร่างอ้วนแซ่เหอ ชายร่างอ้วนแซ่เหอปรึกษากับผู้อาวุโสเจี่ยอยู่พักหนึ่ง ตอนนี้เป็นเวลากลางคืนคงจะต้องรอพรุ่งนี้ถึงจะไปโอนเงินให้ที่ธนาคารได้ 


 


 


ผู้อาวุโสเจี่ยไม่มีความเห็นแต่อย่างใด เพียงแต่ครั้งนี้เขาเสียเดิมพันจากหยกก้อนนี้ไป แถมยังยอมขาดทุนไปเพื่อขายให้กับชายร่างอ้วนแซ่เหอ 


 


 


“ลำบากพวกคุณที่คืนนี้พากันมาดูชายแก่อย่างผมผ่าหยกแล้ว!” ผู้อาวุโสเจี่ยพูดต่อหน้าทุกคน 


 


 


ผู้ชมที่ได้ยินเช่นนั้นก็พากันทอดถอนใจอย่างเสียดาย ต่างคนต่างคิดว่าแม้อยู่ต่อไปคงไม่มีอะไร เช่นนั้นจึงค่อยๆ ทยอยกันออกไปจากที่นี่ ประธานเฉินอยากจะออกไปพร้อมกับซีเหมินจินเหลียน แต่เมื่อเห็นเธอกับจ่านป๋ายอยู่ด้วยกัน มองเห็นความรักของพวกเขาฟุ้งกระจายไปทั่วอณูนั้น ตนจะไปเป็นก้างขวางคอทำไมกัน ดีที่สุดทำได้แค่ทักทายเธอก่อนจากไปและออกไปพร้อมกับชายร่างอ้วนแซ่เหอและประธานหม่า ส่วนกลุ่มคนเจ็ดคนนั้นก็ได้พากันออกไปแล้ว 


 


 


ทางด้านหลินเสวียนหลาน เขาก็พยายามหาโอกาสเพื่อพูดคุยกับซีเหมินจินเหลียน แต่ทว่าลู่เฟยอวี๋กลับตามติดแนบกายเขาตลอด แถมข้างกายของซีเหมินจินเหลียนยังมีจ่านป๋ายคอยยืนอยู่… 


 


 


ท้ายที่สุดเขาจึงทำได้แค่ออกไปแบบไร้จิตวิญญาณ วันนี้ถูกคนอื่นตัดหน้าการซื้อหยกน้ำแข็งก้อนนั้นไป ภายในใจก็รู้สึกอึดอัดยิ่งนัก แถมเขายังเข้าใจกว่าทุกคนดีว่าสถานการณ์บ้านตระกูลหลินตอนนี้ต้องการหินหยกชนิดนี้เป็นอย่างมาก 


 


 


เมื่อมองดูคนอื่นๆ ออกกันไปหมดแล้ว ผู้อาวุโสเจี่ยจึงถอนหายใจออกมา แต่เมื่อเห็นซีเหมินจินเหลียนกับจ่านป๋ายยังคงอยู่ก็รีบเดินเข้าไปหาที่ข้างกายของเธอแล้วพูดว่า “คุณผู้ชายท่านนี้คงเป็นมือใหม่สินะครับ?” ทุกคนมักจะคิดว่าจ่านป๋ายเป็นนักพนันหิน ผู้อาวุโสเจี่ยเองก็เช่นกัน 


 


 


“ผมชื่อจ่านป๋ายครับ ส่วนนี่เพื่อนของผม ซีเหมินจินเหลียน!” จ่านป๋ายรีบพูดแก้ตัว เมื่อสักครู่เขาอยากจะพาซีเหมินจินเหลียนออกไปจากที่นี่ แต่เธอพูดแค่ว่าให้รอก่อน 


 


 


ไม่ว่าจะเรื่องอะไรจ่านป๋ายฟังแต่คำพูดของเธอ เมื่อเธอบอกให้รอ เขาก็จะรอ 


 


 


“ผู้อาวุโสเจี่ยไม่คิดที่จะผ่าหยกแล้วเหรอคะ” ซีเหมินจินเหลียนถามกลับไปอย่างรวดเร็ว 


 


 


 “หือ?” ผู้อาวุโสเจี่ยสงสัยแล้วถามว่า “คุณผู้หญิงล้อผมเล่มแล้ว ผมเสียเดิมพันไปไม่รู้เท่าไหร่ คุณดูสิหินราคาแปดสิบล้าน แต่ขายออกไปได้เพียงแค่สามสิบล้านเท่านั้น เงินห้าสิบล้านนั้นหายไปราวสายน้ำ ผมคงแก่แล้วล่ะครับ สายตาถึงไม่ดีแล้ว” 


 


 


“อย่าคิดอย่างนั้นสิคะ!” ซีเหมินจินเหลียนยิ้มน้อยๆ พลางสางผมที่อยู่บนหน้าอกของเธอ “ตอนที่คุณยังไม่มา ฉันก็ได้ดูหินก้อนนั้นแล้ว ดูยังไงมันก็เหมือนจะเป็นสีของหินผสม…” 


 


 


ผู้อาวุโสได้ยินแล้วตกใจเล็กน้อยจ้องมองไปยังซีเหมินจินเหลียน รีบพยักหน้าพูดต่อว่า “ตอนแรกที่ผมซื้อหินนี้มาก็เพราะเห็นว่ามีสีสองสีอยู่ในนั้น คิดน่าจะเป็นสีผสม แต่พอตัดออกมาแล้วกลับไม่เป็นอย่างที่คิดไว้ การเดิมพันหินบอกอะไรแน่นอนไม่ได้เลย อ๋อ จริงสิ ทำไมคุณซีเหมินถึงรู้เรื่องการเดิมพันหินดีขนาดนี้ล่ะ” 


 


 


 “เธอต่างหากครับที่เล่นหินหยก ส่วนผมแค่มาเป็นเพื่อนเท่านั้น” จ่านป๋ายตอบกลับ 


 


 


“เป็นอย่างนี้นี่เอง ผมไม่ค่อยพบเจอผู้หญิงที่เล่นหินหยกเท่าไหร่นัก” ผู้อาวุโสเจี่ยยิ้ม 


 


 


“ผู้หญิงนี่แหละที่ชอบหยก!” ซีเหมินจินเหลียนตอบ 


 


 


“อืม!” ผู้อาวุโสเจี่ยพยักหน้าถอนหายใจไปยกหนึ่ง 

 

 

 


ส่วนที่ 4

 

ตอนที่ 8.2

 

 เดิมพันหินเท่ากับเดิมพันชีวิต

 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนคิดแล้วคิดอีกเดินไปที่ข้างๆ หยกก้อนนั้นแล้วพูดกับผู้อาวุโสว่า “ผู้อาวุโส พูดตามตรงนะคะ ในใจของฉันยังมีความสงสัยอัดแน่นอยู่มากมาย หรือพวกเราจะเอาเศษหินที่เหลือทั้งหมดมาลองเจียระไนตัดให้เล็กลงดูสักนิดหน่อย? คุณลองคิดดู นี่ยังมีชิ้นใหญ่อยู่นะ?”


 


 


“จะว่าไปหนูก็พูดถูก” แววตาของผู้อาวุโสเจี่ยส่องแสงสุกสกาวขึ้นมาทันใด ได้แต่พยักหน้าอย่างเห็นด้วย “เวลานี้ถ้าหากรีบเข้านอนก็เกรงว่าจะเร็วไป ถ้าเช่นนั้นพวกเรามาตัดให้หมดเลยดีไหม คิดซะว่าเหมือนหั่นก้อนเต้าหู้ให้เป็นชิ้นๆ ก็แล้วกัน”


 


 


ซีเหมินจินเหลียนได้ยินที่ผู้อาวุโสพูดก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา ผู้อาวุโสเจี่ยตะโกนเรียกลูกน้องในร้านให้พาหินก้อนสีขาวนวลที่เหลืออยู่นั้นขึ้นไปบนเครื่องตัดหิน ตรงกลางวาดเส้นลงไป กดปุ่มสวิตซ์พร้อมเริ่มการลงมือตัด


 


 


ซีเหมินจินเหลียนเห็นเช่นนั้น ในใจก็แอบคิดว่า ‘แย่แล้ว’ ผู้อาวุโสที่บุ่มบ่ามใช้มีดตัดเข้าไปตรงกลางแบบนี้ ถ้าหากมีดนั้นตัดหยกสีควันม่วงติดออกมาแล้วล่ะก็ ถึงจะเป็นแค่การลงมีดครั้งเดียวก็สามารถทำให้หยกสีควันม่วงก้อนนั้นตัดออกเป็นสองส่วนได้


 


 


ช่างน่าเสียดาย! ซีเหมินจินเหลียนแอบคิดอยู่ในใจ แต่ว่าเธอทำได้เพียงแค่มองเท่านั้น ถ้าจะส่งสัญญาณลับๆ คอยเตือนผู้อาวุโสเจี่ยก็เกรงว่าจะดูไม่เหมาะสม ดูจะเกินเลยไปหน่อย ถ้าหากเธอไปเตือนเขาว่าควรจะลงมีดไปทิศทางไหน เขาคงคิดได้ว่าเธอดูถูกฝีมือเขา


 


 


การที่แนะนำผู้อาวุโสเจี่ยให้นำหินที่เหลือมาตัดนั้นก็เป็นเพียงคำพูดลอยๆ เท่านั้น เขาจะตัดหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับเขา แต่ผู้อาวุโสเจี่ยพูดเองว่าเขาก็สนใจหินก้อนนี้และคิดว่าเป็นสีผสมของหินหยก จนยอมจ่ายด้วยเงินมากมายถึงเพียงนี้ ถ้าเธอแนะนำไปสักหน่อยคงจะไม่ทำให้ผู้อาวุโสเจี่ยลำบากใจหรอก


 


 


ใบมีดของเครื่องผ่าหยกส่งเสียงออกมา หินก้อนนั้นถูกแบ่งออกมาเป็นสองชิ้น ลูกน้องของเขารีบเข้าไปแยกออกจากกัน


 


 


“แม่หนูรีบเข้ามาดูนี่สิ!” ผู้อาวุโสเจี่ยหันมาทางเธอและเรียกให้เธอเข้าไปดู


 


 


ที่จริงเขาไม่จำเป็นต้องเรียกเธอเข้าไปเลย เพราะเธอเป็นคนเดินเข้ามาเองตั้งแต่แรกอยู่แล้ว พื้นผิวของหินหยกน้ำแข็งสีควันม่วงทั้งสองชิ้นนี้ แต่ละอันมีขนาดห้าถึงหกเซนติเมตร


 


 


ผู้อาวุโสเจี่ยยื่นมือสาดน้ำลงไปบนหินนั้นเล็กน้อย เพื่อที่ล้างผงเศษหินที่อยู่บนนั้นให้สะอาดหมดจด ทำให้สีม่วงอ่อนยิ่งดึงดูดเย้ายวนใจคนมากขึ้น


 


 


“สาดน้ำไปแล้วสีก็ยังอ่อนไปหน่อยอยู่ดี!” ผู้อาวุโสเจี่ยถอนหายใจเฮือกยาว


 


 


“ฉันว่ามันสวยมากนะคะ” ซีเหมินจินเหลียนแสดงถึงความพึงพอใจ นี่เป็นครั้งแรกที่เธอกำลังเห็นการตัดหินสีม่วงออกมา แม้ว่าสีจะอ่อนไปหน่อย ชนิดความโปร่งแสงของหยกน้ำแข็งน้อยมากเมื่อเทียบกับชนิดของหยกกระจก แต่อย่างไรสีม่วงอ่อนกลับเหมือนแต่งเติมสีสันทวีคูณเพิ่มขึ้น


 


 


“พวกเราลองตัดออกมาให้หมดดีไหม?” ผู้อาวุโสเจี่ยมองดูปฏิกิริยาของเธอ เพียงแค่นี้เธอก็ดูสดใสร่าเริง ถึงแม้สีม่วงจะถูกตัดผ่ากลางออกมา ขอแค่ไม่มีผลกระทบเสียหายอะไรก็ไม่มีอะไรที่ไม่เหมาะสม


 


 


แถมการขายหยกสีม่วงทอดสู่ตลาดออกไป ถ้าขายได้ในราคาดีไม่แน่อาจสามารถถอนทุนคืนที่แพ้เดิมพันหินครั้งนี้ไป ขอแค่ไม่แพ้เดิมพันก็ถือว่าคุ้มแล้ว คิดเท่านี้เขาก็ค่อนข้างพึงพอใจ


 


 


แต่สิ่งสำคัญอีกอย่างก็คือ อย่างน้อยก็พิสูจน์ว่าสายตาอันเฉียบแหลมยังใช้ได้อยู่ หินก้อนนี้มีสีสองสีผสมกันอยู่ เพียงแต่ว่าระหว่างกลางของสีเขียวและสีม่วงมีหินก้อนใหญ่คั่นพวกเขาเอาไว้


 


 


เพียงคิดเท่านี้ ผู้อาวุโสเจี่ยก็ทำตัวไม่ถูกไม่รู้ว่าตนจะร้องไห้หรือยิ้มสู้ดี ใครจะคิดว่าจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับหยกก้อนนี้


 


 


ด้วยกระบวนการเจียระไนหินของผู้อาวุโสเจี่ย ในไม่ช้าก็เปิดเผยให้เห็นหยกสีควันม่วงก้อนเล็กใหญ่สองชิ้นออกมาสู่สายตาของคนที่มองอยู่


 


 


ซีเหมินจินเหลียนอดไม่ได้ที่จะหยิบหยกก้อนเล็กขึ้นมา ตรวจเช็คอย่างละเอียดทุกอณู ในใจแอบคิดว่าสีม่วงชนิดนี้ถือว่าไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่อะไร แต่ถ้าทำเป็นเครื่องประดับ สีอาจจะอ่อนไปเสียหน่อย ถ้าเข้มเหมือนกับสีม่วงดอกไลแอคคงจะดีไม่น้อยเลย?


 


 


“แม่หนูชอบไหม?” ผู้อาวุโสถาม


 


 


ซีเหมินจินเหลียนได้แต่พยักหน้า ใครจะไม่ชอบหยกกันล่ะ?


 


 


“ชิ้นเล็กอันนี้ฉันยกให้ ส่วนชิ้นใหญ่นั้นฉันขอเก็บไว้ละกัน” จู่ๆ ผู้อาวุโสเจี่ยก็กล่าวขึ้นมา


 


 


ซีเหมินจินเหลียนเมื่อได้ยินดังนั้นก็พลันตกใจ รีบร้อยส่ายหน้าปฏิเสธว่า “ไม่ได้นะคะไม่ได้ อยู่ดีๆ ฉันจะรับของขวัญที่มีค่ามหาศาลอย่างนี้มาจากคุณโดยที่ไม่ได้ทำอะไรเลยได้ยังไงกันละคะ”


 


 


“ไม่ได้ทำอะไรกัน” ผู้อาวุโสเจี่ยได้ฟังคำของเธอก็พูดขึ้นอย่างไม่ยินดีว่า “ถ้าหากแม่หนูไม่เตือน ฉันคงทำให้หยกก้อนนี้สูญเปล่าไปต่อหน้าต่อตาเสียแล้ว จะผ่าจนเจอหยกก้อนนี้ได้อย่างไรกัน เอาอย่างนี้ละกัน พรุ่งนี้ตอนเช้าฉันจะเอาหยกพวกนี้ไปให้เจ้าของโรงงานแปรรูปหยก คนแก่อย่างฉันตาก็ฟ่าฟางแล้ว สมองก็ไม่ดีอย่างก่อนหนานี้ ใครจะไปคิดว่าหยกที่เหลือมาจากการตัดหยกสีเขียวออกไปจะแอบซ่อนเร้นหยกสีม่วงอยู่”


 


 


ซีเหมินจินเหลียนทำได้แค่ยิ้มบางๆ แต่ภายในใจของเธอสับสนเหลือเกิน หรือว่าวัสดุข้างในของหินหยกหนึ่งก้อนจะสามารถพบได้แค่หยกชนิดเดียวล้วนๆ?


 


 


ความรู้ในเรื่องการเดิมพันหินของเธอทั้งหมดนั้นมาจากการดูกระทู้สนทนาบนโลกออนไลน์ ไม่ใช่ความรู้ในแง่ถูกหลักเทคนิคอะไร ในความจริงทุกครั้งที่มีการเดิมพันหยกเกิดขึ้น เธอก็จะใช้พรสวรรค์ในการตรวจสอบ ทุกครั้งเธอจะดูส่วนประกอบของหยกอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้วจึงไปหาความรู้จากในหนังสือมายืนยัน แต่นั่นก็ยังมีข้อจำกัดอยู่


 


 


“แม่หนูกลับไปแล้วจะหาคนทำเป็นเครื่องประดับไว้ใส่เองหรือจะขายออกไป มันก็ดีทั้งคู่ไม่ใช่เหรอ!” ผู้อาวุโสเจี่ยยิ้มมุมปาก


 


 


ซีเหมินจินเหลียนได้แต่ปฏิเสธ ไม่ว่าจะพูดอะไรก็ไม่อาจจะรับของที่มีค่าเช่นนี้ได้ เธอและราชาแห่งการเดิมพันหินในเมืองผู้นี้แทบจะไม่รู้จักอะไรกันเลย


 


 


ท้ายที่สุดผู้อาวุโสเจี่ยมีอาการโกรธชักสีหน้าใส่เล็กน้อย จ่านป๋ายถึงส่งสายตาหันไปทางซีเหมินจินเหลียน ส่วนเธอนั้นรู้เจตนาที่เขาสื่อจึงตอบตกลงรับหยกสีควันม่วงก้อนนั้นไว้


 


 


ผู้อาวุโสเจี่ยเห็นท่าทีเช่นนั้นก็เริ่มเผยยิ้มออกมาอีกครั้งแล้วพูดว่า “แม่หนูอย่าไปเลียนแบบตามพวกคนขี้งกเลย ต้องใจกว้างหน่อย นี่ก็แค่หินเสียๆ ก้อนหนึ่งเท่านั้นเอง”


 


 


“ถ้าหินก้อนนี้เป็นหินเสียๆ เกรงว่าบนโลกนี้คงไม่มีสิ่งของอะไรที่มีค่าอีกแล้วล่ะค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนซ่อนยิ้ม พูดตามตรงว่าผู้อาวุโสเจี่ยท่านนี้มีนิสัยใจคอที่น่าสนใจดีเหมือนกัน


 


 


ผู้อาวุโสเจี่ยได้ยินดังนั้นก็หัวเราะดังฮ่าๆ ออกมา ทำให้เธอต้องพลันหันไปมอง “แม่หนูมากับฉันหน่อยเถอะ!”


 


 


ซีเหมินจินเหลียนกับจ่านป๋ายได้ยินเช่นนั้นรู้สึกประหลาดใจจึงรีบตามขึ้นไป เมื่อไปถึงภายในโรงงานแปรรูปหยกก็พบว่าเป็นเพียงโกดังเล็กๆ หลังหนึ่ง เพื่อที่จะได้เห็นสีของหยกอย่างชัดเจน ผู้อาวุโสเจี่ยจึงเปิดไฟชี้ไปให้พวกเขาทั้งสองดู “พวกคุณว่าหยกพวกนี้สวยไหม?”


 


 


ซีเหมินจินเหลียนกับจ่านป๋ายพยักหน้าอย่างพร้อมใจกัน ดูจากส่วนประกอบที่ตัดแล้วของหินหยกกับหินธรรมดาแทบที่จะไม่ต่างกันเลย ถึงจะมีสีของเปลือกหินที่ไม่ค่อยจะสวยเท่าไหร่ก็เถอะ


 


 


ผู้อาวุโสเจี่ยสีหน้ายิ้มแย้มแล้วพูดว่า “หยกที่คุณถือในมือของคุณก้อนนั้น ถ้าจะพูดมันก็คือหยกราคาหลายสิบล้านดีๆ นั่นเอง คนที่ไม่เข้าใจจะคิดว่าเป็นก้อนหินธรรมดาก้อนหนึ่ง ที่จริงแล้วหยกที่มีราคานั้นกลับเป็นหยกที่แตกต่างจากอันอื่น ไม่มีใครสนใจมัน มันก็เหมือนหินที่ไม่มีชื่อเสียงเลอค่าอะไร เมื่อรู้สึกหิวก็ไม่ได้อิ่มท้อง รู้สึกหนาวก็ไม่สามารถคลายหนาวได้”


 


 


ซีเหมินจินเหลียนฟังแล้วเหมือนถูกกระแสไฟฟ้าช็อตเธอไปชั่วขณะ เธอคิดไตร่ตรองความหมายของผู้อาวุโสเจี่ย สิ่งที่เขาต้องการจะสื่อนั่นก็คือ ความแน่วแน่ เธอพยักหน้าพร้อมพูด “เข้าใจแล้วค่ะ!”


 


 


“การเดิมพันหยกก็คือการเดิมพันชีวิต สิ่งที่สำคัญก็คือจิตใจต้องไม่เปลี่ยนแปลง!” ผู้อาวุโสเจี่ยยังพูดอีกว่า “คนอื่นตั้งฉายาให้ฉันว่าเป็นราชาแห่งการเดิมพันหิน หนูคิดว่าฉันมีความสามารถพิเศษลี้ลับอะไร ถึงทำให้ชนะเดิมพันได้ แต่ไม่รู้ในสิ่งที่ฉันรู้ ผู้คนชอบคิดว่าหินก้อนหนึ่งไม่ได้มีค่าราคาอะไร แต่นี่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับหินเลย แต่ขึ้นอยู่กับคนนี่ล่ะ ความเป็นจริงเวลาที่ฉันเดิมพันหยกก็ล้วนมาจากใช้ความรู้สึกทั้งนั้น”


 


 


ซีเหมินจินเหลียนรู้สึกงงงวย ความรู้สึก? เดิมพันโดยใช้ความรู้สึกทำให้เขากลายเป็นราชาแห่งการเดิมพันหินอย่างนั้นเหรอ? ถ้าหากเป็นคำพูดที่มาจากคนอื่นพูดออกมาเธอคงจะไม่เชื่ออย่างแน่นอน แต่ผู้อาวุโสที่อยู่ข้างหน้าเธอตอนนี้เขากลับเป็นคนที่ไม่ธรรมดา…


 


 


ผู้อาวุโสเจี่ยเห็นเธออึ้งค้างไม่พูด จึงถอนหายใจออกมาแล้วส่ายหัวพูดแทน “ฉันแก่แล้ว มองอะไรก็ไม่แตกฉานหรอก!”


 


 


ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้าตอบรับ ใช่แล้ว บนโลกใบนี้ใครจะสามารถมองข้ามชื่อเสียงสองพยางค์นี้กันล่ะ? ผู้อาวุโสเจี่ยก็เหมือนกัน ถึงเขาจะจับมีดมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง ผ่านร้อนผ่านหนาวมาเท่าไหร่ แต่เมื่อแพ้เดิมพันจิตใจก็ย่อมจะได้รับผลกระทบกระเทือนเป็นธรรมดา ใครจะไปคิดว่าเศษหยกที่เหลือในนั้นจะยังคงมีหยกซ่อนอีกอยู่ข้างใน..?


 


 


สำหรับสิ่งที่ผู้อาวุโสพูดกับเธอนั้น อาจจะเป็นเรื่องที่ทำยากหน่อย แต่เป็นสิ่งที่นักเดิมพันต้องรู้ว่าอย่าเป็นคนที่จิตใจโลเล เมื่อเข้าไปสู่ในวงการเดิมพันแล้ว ท้ายที่สุดก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะพบเจอกับชะตากรรมที่จะเกิดขึ้น


 


 


ซีเหมินจินเหลียนเข้าใจขึ้นบ้างแล้ว เธอได้แต่พยักหน้าเห็นด้วย เธอใช้แต่พรสวรรค์คอยช่วยอยู่ตลอด ขอแค่พรสวรรค์ไม่สูญหายไป เธอก็ไม่มีทางแพ้เดิมพันเป็นแน่


 


 


“คืนนี้แม่หนูช่วยฉันไว้ได้มากทีเดียว ฉันก็คงไม่ใจจืดใจดำแล้วล่ะ!” ผู้อาวุโสเจี่ยชี้ไปที่กองของหินหยกพวกนั้น “หวยหยกพวกนี้หนูสนใจไหม ถ้าสนใจก็เอาไปสักหน่อยเถอะ  พวกนี่เป็นของที่เพื่อนเก่าแก่ของฉันสะสมมาสิบกว่าปีแล้วล่ะ”


 


 


ผู้อาวุโสเจี่ยรู้ดีแก่ใจ การที่เขาเข้าไปในอยู่ในแวดวงคนมีชื่อเสียง คำพูดเมื่อสักครู่และคำพูดที่เขาพูดให้ซีเหมินจินเหลียนฟังก็ไม่อาจเทียบได้กับการสรุปบทเรียนที่ตัวเองได้เรียนรู้การเดิมพันหยกในหลายปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ซีเหมินจินเหลียนไม่รู้ว่าเพียงเพราะคำพูดที่ไม่ได้ตั้งใจของเธอทำให้ผู้อาวุโสเจี่ยตัดสินใจที่จะลงจากบัลลังก์ทองของตัวเอง ไม่เดิมพันหยกอีกต่อไปแล้ว


 


 


การเดิมพันหินก็เหมือนเดิมพันชีวิต เขาแก่แล้ว เขาไม่เหมาะสมกับเกมที่น่าตื่นเต้นเช่นนี้อีกแล้ว!


 


 


“แค่ได้ดู ก็ดีมากแล้วล่ะค่ะ!” ซีเหมินจินเหลียนได้ยินเช่นนั้นก็ดีใจอย่างที่สุด เมื่อครู่เธอมัวแต่สนใจเศษของหยกที่กองอยู่ที่โรงงาน แต่สิ่งที่อยู่ในโกดังนี้กลับดีกว่าเสียอีก

 

 

 


ส่วนที่ 4

 

ตอนที่ 9.1

 

 หินลึกลับ

 


 


 


 ผู้อาวุโสเจี่ยกล่าวด้วยรอยยิ้มอย่างสดใส “ลองดูไปก่อน ถ้าสนใจชิ้นไหนอยากจะรับกลับไปก็ต่อราคากันได้นะ!”


 


 


“ถ้าอย่างนั้นต้องขอขอบคุณท่านผู้อาวุโสเจี่ยแล้วค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนพูดขอบคุณไม่หยุดปาก


 


 


ผู้อาวุโสเจี่ยเห็นเธอได้แต่พยักหน้าอยู่อย่างนั้นก็หันตัวกลับไปทางประตูแล้วเดินออกไป กำชับกับจ่านป๋ายว่า “ถ้าแม่หนูเลือกเสร็จแล้วก็มาเรียกฉันได้เลยนะ ฉันจะไปตัดหยกอยู่ข้างนอก”


 


 


จ่านป๋ายพยักหน้าเป็นการตอบรับ ซีเหมินจินเหลียนเห็นจ่านป๋ายออกไปแล้ว ภายในใจก็เบ่งบานขึ้น เธอเดินตรวจสอบดูอย่างทั่วๆ ข้างในโกดังไม่ได้ใหญ่มาก ตั้งวางหินหยกอย่างสะเปะสะปะไม่เป็นที่เป็นทาง แต่สิ่งที่ทำให้เธอประหลาดใจก็คือหยกพวกนี้ถึงจะผ่านการเดิมพันมาทั้งหมด แต่ก็มีบางส่วนที่เหมือนจะใช้ได้เลยทีเดียว


 


 


ซีเหมินจินเหลียนเลือกบางก้อนที่ดูเหมือนจะเข้าท่าออกมา แต่ยังคงขมวดคิ้วอยู่ไม่คลาย เมื่อสักครู่ที่ผู้อาวุโสเจี่ยบอกว่าหินพวกนี้คือของสะสมส่วนตัวของเพื่อนเขา แต่เมื่อเธอดูหินพวกนั้น มีอยู่ชิ้นหนึ่งแสดงได้ชัดว่าเป็นหินที่ถูกทำให้เก่า


 


 


ถ้าจะพูดให้ถูกต้องก็คือได้จากการผ่านการโกงมา เมื่อเบิกตามองอย่างละเอียด เธอก็มองได้อย่างชัดเจนว่ามีรอยร่องของการถูกตัดออกมาก่อน จากนั้นถูกโปะทับให้ติดกัน


 


 


การทำให้หินหยกดูเก่านั้นเป็นเรื่องที่ง่ายมาก หลังจากเปิดแล้วต้องติดโปะทับ เมื่อพูดถึงคนสมัยนี้เรียกได้ว่าเป็นเรื่องที่ทำได้ง่ายราวกับเสกนิ้ว การที่ทำให้ดูเก่านั้นเพียงแค่วางลงไปในเศษทรายแล้วกลิ้งไปกลิ้งมา จากนั้นเก็บไว้สิบกว่าปี ก็ดูร่องรอยแทบไม่ออก


 


 


ซีเหมินจินเหลียนคิดว่าเจ้าของโรงงานแปรรูปหยกคงถูกหลอกมาอย่างนับครั้งไม่ถ้วน การที่เขารับมันมาจากที่อื่นและไม่ได้ดูลักษณะเนื้อของหยก แล้วจะไปรู้ได้อย่างไรว่าถูกย้อมแมว?


 


 


ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้สนใจอะไร ตอนนี้เธอมองหินไปสิบก้อนแต่กลับไม่มีสักก้อนที่ทำให้รู้สึกพึงพอใจ แทบไม่ต้องพูดถึงหยกชนิดแก้วกระจก แม้แต่ชนิดน้ำแข็งยังไม่มีเลย…


 


 


ช่างมันเถอะ ลองดูอีกสักสองก้อน ถ้ายังไม่พอใจอีกก็จะกลับบ้านไปนอนก่อนแล้ว


 


 


ซีเหมินจินเหลียนคิดอยู่ในใจ เมื่อความง่วงเข้ามาก็อดไม่ได้ที่จะหาวหวอดอยู่หลายครั้ง ยืดมือกดไปที่ผิวหินสีเขียวเหลืองของหยกก้อนหนึ่ง ในไม่ช้าผิวสีเขียวเหลืองก็ได้จางหายไปในสายตาของเธอ พื้นผิวไม่หนามากเพียงแค่หนึ่งเซนติเมตรครึ่ง แสดงให้เห็นถึงความใสบริสุทธิ์เหมือนแก้วที่ขัดจนวาววับ


 


 


“หยกชนิดแก้วกระจก ไม่มีสี?” ซีเหมินจินเหลียนขมวดคิ้ว


 


 


ด้านหนึ่งก็มัวแต่คิด อีกด้านหนึ่งก็ตรวจสอบเนื้อหินหยกก้อนนี้ พื้นผิวไม่มีอะไรผิดปกติ ความยาวประมาณสี่สิบเซนติเมตร ความหนาและความกว้างดูเหมือนจะสามสิบเซนติเมตร ถ้าหากเป็นหยกชนิดแก้วไร้สีจริงๆ ก็นับว่าไม่เลวเลยทีเดียว ผู้หญิงยุคนี้ยิ่งชื่นชอบเครื่องประดับหยกสีใสอยู่ด้วย


 


 


แต่ว่าเมื่อดูต่อไปอีกหน่อย ซีเหมินจินเหลียนก็อุทานออกมาด้วยน้ำเสียงตกใจในทันที มือเธอก็อ่อนยวบลง ถอยหลังสะดุดขาตัวเองพันไปหมด


 


 


“ซีเหมิน…” ผู้ที่ยืนรออยู่ด้านนอกอย่างจ่านป๋าย เมื่อได้ยินเสียงตกใจของเธอก็รีบร้อนวิ่งเข้ามายื่นมือประคองตัวเธอไว้ เห็นได้ชัดว่าสีหน้าของเธอซีดเผือก สายตาจ้องเขม็งไปที่หินหยกสีเขียวเหลืองก้อนนั้น แล้วรีบร้อนถามว่า ‘’คุณเป็นอะไรไปครับ?”


 


 


ปากก็พูดออกไป แต่จ่านป๋ายอดไม่ได้ที่จะมองตามสายตาของเธอไปเช่นกัน เมื่อมองดูหินหยกสีเขียวเหลืองก้อนนั้นแล้วก็ได้แต่มองไปมองมา เพราะเขาไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น หินหยกก้อนนี้ก็เหมือนหินหยกก้อนอื่นๆ ในสายตาของเขาแล้วพวกมันก็คือหิน


 


 


“จินเหลียน…จินเหลียน…” จ่านป๋ายเรียกเธอครั้งแล้วครั้งเล่า


 


 


ซีเหมินจินเหลียนเมื่อเรียกสติกลับคืนมาแล้ว เธอก็ยังคงมึนงงอยู่แล้วพูดว่า ”เสี่ยวป๋าย คุณออกไปก่อน ฉันขอดูอีกสักหน่อย!”


 


 


“จินเหลียน ถ้าเหนื่อยแล้วก็พอก่อนเถอะครับ” จ่านป๋ายพูดขึ้นอย่างเป็นห่วงเป็นใย เขาดูออกว่าซีเหมินจินเหลียนน่าจะตกใจกับอะไรบางอย่าง แต่ภายในโกดังหลังนี้ไม่ถึงกับใหญ่มาก มีเพียงแค่ลมที่พัดผ่านมาทางช่องลมของประตู แม้แต่กระจกสักบานก็ไม่มี…


 


 


นอกจากห้องจะเต็มไปด้วยหินหยกแล้ว ก็ไม่เห็นจะมีสิ่งของอะไรที่สามารถทำให้เธอตกใจได้เลย? อันที่จริงความกล้าของเธอก็ไม่ได้น้อย ตอนที่เขาเลือดอาบเปื้อนไปทั้งตัวก็ไม่ได้ทำให้เธอตกใจอะไร แต่ทำไมหินในโกดังนี้ทำให้เธอตกใจได้?


 


 


“ไม่ ฉันจะดูต่ออีกหน่อยค่ะ!” ซีเหมินจินเหลียนปฏิเสธ


 


 


“ถ้าอย่างนั้นก็ได้ครับ” จ่านป๋ายได้แต่พยักหน้าแล้วก็กลับไปยืนที่หน้าประตูเช่นเดิม


 


 


ซีเหมินจินเหลียนค่อยๆ เดินไปหาหินหยกผิวสีเขียวเหลืองก้อนนั้น เมื่อไปยืนอยู่ตรงหน้าแล้วเธอก็ย่อตัวลงมายื่นมือไปสัมผัสผิวของหินก้อนนี้ ทรายละเอียดมาก ไม่เสียแรงเป็นหยกชนิดแก้วกระจกที่ถูกฝังมา ดูแล้วไม่มีร่องรอยที่เคยถูกทำการตัดหรือผ่ามาก่อน หินก้อนนี้ไม่ได้ถูกย้อมแมว…


 


 


เหมือนกับเนื้อหินก้อนอื่น หยกก้อนนี้มีแค่เส้นลายหยกที่ไม่ค่อยชัดเพียงเส้นเดียว สีของหยกเบาบาง พื้นผิวดูเหมือนจะไม่ค่อยดี ถึงจะเป็นหยกชนิดแก้วกระจกใสไร้สีก็เถอะ


 


 


มือขวาของเธอสัมผัสลงไปอีกครั้ง พลังความร้อนบางเบาแทรกผ่านเข้าไป ผิวของสีเขียวเหลืองได้จางหายไปอีกครั้ง หนึ่งเซนติเมตรโดยประมาณ ชนิดแก้วกระจกไร้สี เสมือนแก้วคริสตัลที่ละเอียดอ่อนและใสสะอาด ความอิ่มน้ำที่เพียงพอ การซึมผ่านของน้ำสูงมาก คล้ายกับแก้วกระจกก็ไม่ปาน


 


 


ไม่สิ ซีเหมินจินเหลียนรู้สึกว่าภายในหยกเหมือนจะเป็นคริสตัลธรรมชาติใสบริสุทธิ์


 


 


ถึงจะเตรียมใจเอาไว้บ้าง แต่การเผชิญหน้ากับสิ่งนั้นมันเป็นสิ่งที่น่ากลัว แล้วยังจะทำให้ซีเหมินจินเหลียนตกใจกลัวจนหน้าซีดเซียว สิ่งนั้นมันคืออะไรกันแน่?


 


 


ไม่นานซีเหมินจินเหลียนก็พยุงตัวเองขึ้นมายืนเป็นปกติ เดินล้อมรอบหินก้อนนั้นไปมาถึงสองรอบ ในใจคร่ำครวญอยู่ ด้วยเทคโนโลยีสมัยนี้ น่าจะสามารถสร้างของปลอมย้อมแมวที่เหมือนขนาดนี้ได้…


 


 


แต่อย่างไรหินก้อนนี้ก็ต้องเป็นหินหยกปลอมแน่ๆ


 


 


“เป็นอะไรกันแน่?” ซีเหมินจินเหลียนพูดพึมพำอยู่คนเดียว แต่ทันใดนั้นเธอก็ตัดสินใจที่จะนำหินหยกก้อนนี้กลับไปเพื่อที่จะผ่าดูว่าข้างในมีอะไรอยู่กันแน่


 


 


“เสี่ยวป๋าย รบกวนคุณไปหาผู้อาวุโสเจี่ยที” ซีเหมินจินเหลียนบอกจ่านป๋าย


 


 


“ครับ” จ่ายป๋ายตอบรับอย่างทันควัน จากนั้นไม่นานผู้อาวุโสเจี่ยก็รีบเดินลนลานเข้ามา แล้วพูดว่า “แม่หนูสนใจก้อนไหนหรือ”


 


 


“ก้อนนี้ค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนชี้ไปที่หินหยกก้อนนั้น


 


 


“ถ้าก้อนนี้ราคาสองแสนหยวน!”  ผู้อาวุโสเจี่ยสีหน้าเต็มไปด้วยความแปลกใจ พร้อมตีราคาออกมา


 


 


“ตกลงค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนไม่แม้แต่ต่อรองราคา จ่านป๋ายจึงหยิบเงินสดออกมาจากกระเป๋าเป้ข้างใน เตรียมตัวสำหรับการซื้อขาย


 


 


ผู้อาวุโสเจี่ยแปลกใจว่าทำไมเธอถึงได้พกเงินสดก้อนโตมา จึงยิ้มข่มแล้วพูดว่า “คุณซีเหมินพกเงินสดออกไปครั้งนอกด้วยเหรอครับ”


 


 


“วันนี้พวกเราเตรียมจะไปถนนหยกเพื่อรับสินค้าน่ะครับ เลยหยิบเงินสดติดตัวมาสักหน่อย ราคาไม่ได้มากมายอะไร เงินสดเลยสะดวกกว่าครับ” จ่านป๋ายอธิบาย


 


 


“อืม!”  ผู้อาวุโสเจี่ยเห็นเงินก้อนโตนั่นที่ใส่อยู่ในซองธนาคารที่ยังไม่ได้ถูกแกะก็ขี้เกียจที่จะนับ ได้แต่พยักหน้าพูดว่า “แม่หนูสนใจก้อนไหนอีกไหม”


 


 


ซีเหมินจินเหลียนส่ายหน้า ถึงแม้จะยังดูหินหยกไม่หมด แต่เธอก็ไม่มีกระจิตกระใจที่จะดูต่อแล้ว หินหยกผิวสีเขียวเหลืองก้อนนี้ทำให้เธอตกใจเป็นอย่างมาก


 


 


จ่านป๋ายออกเช่ารถมาหนึ่งคัน เมื่อพนักงานสองคนมาช่วยกันขนย้ายหินหยกก้อนนั้นขึ้นไปบนรถ เมื่อรถขับออกไปจากโรงงานแปรรูปหยกแล้ว ซีเหมินจินเหลียนยืนอยู่ด้านนอกสูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่ สีหน้าค่อยๆ ดีขึ้นมาบ้างแล้ว เธอกับจ่านป๋ายกลับโรงแรมไปด้วยกันแล้วยังกำชับซ้ำแล้วซ้ำเล่าให้จ่านป๋ายดูแลหินหยกก้อนนั้นไว้ให้ดี


 


 


ในตอนนี้เธอแทบจะทนไม่ไหวอยากจะให้จ่านป๋ายพาหินก้อนนั้นรีบส่งกลับไปที่เซียงไฮ้ จากนั้นล็อคใส่ไว้ในตู้เซฟนิรภัยให้รู้แล้วรู้รอด


 


 


จ่านป๋ายไม่เข้าใจ จึงถามเธอขึ้นว่า “หินหยกก้อนนี้เนื้อดีเหรอครับ”


 


 


“ไม่รู้เหมือนกัน!” ซีเหมินจินเหลียนส่ายหน้าพร้อมเอนตัวลงไปที่โซฟาใหญ่ กินไอศกรีมจับเลี้ยง พร้อมนวดขมับที่มีอาการปวดหัวนิดหน่อย คิดอยู่ตลอดว่าข้างในของหินก้อนนั้นมีอะไรกันแน่?


 


 


“คุณไม่รู้ แต่ก็ซื้อมาเนี่ยนะ?” จ่านป๋ายส่ายหัวยิ้มเฝื่อน


 


 


“ลักษณะของหยกก้อนนั้นดูแปลกๆ” ซีเหมินจินเหลียนอมยิ้ม “แต่ว่าการเดิมพันหยกก็ไม่ใช่ว่าจำเป็นจะต้องชนะตลอด ในเมื่อมันแปลกเลยลองซื้อกลับมาตัดเล่นๆ น่ะค่ะ”


 


 


“ฮ่าๆ!” จ่านป๋ายได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มออกมา “ถ้าหากคนที่เดิมพันหยกคิดแบบคุณก็ดีสิครับ”


 


 


“ผู้อาวุโสเจี่ยก็พูดไม่ใช่เหรอคะว่าการเดินพันหยก ต้องใช้ความรู้สึก!”


 


 


“สิ่งที่ผู้อาวุโสพูดคุณก็เชื่องั้นเหรอครับ?”


 


 


“เขาคือราชาแห่งการเดิมพันหยกนะ!”


 


 


“จี๊…” จ่านป๋ายแสดงถึงความดูหมิ่น “ถ้าอย่างนั้นคุณก็เป็นเจ้าหญิงแห่งวงการหยก ใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ องค์หญิง?”


 


 


“คุณก็ล้อเลียนฉันเหรอ?” ซีเหมินจินเหลียนพุ่งตัวขึ้นมาทำท่าจะตีเขา แต่เสี่ยวป๋ายก็หลบหลีกตั้งหลักได้ทันก่อน ทั้งสองคนต่างไล่ตีกันไป

 

 

 


ส่วนที่ 4

 

ตอนที่ 9.2

 

หินลึกลับ

 


 


 


ในโรงงานแปรรูปหยก หลังจากที่ซีเหมินจินเหลียนกลับไปแล้ว ผู้อาวุโสเจี่ยก็เดินออกมาพร้อมกับชายชราในชุดเผ่า[1]สีฟ้าไพลิน ถ้าหากซีเหมินจินเหลียนอยู่จะต้องตกใจที่เห็นเป็นอย่างแน่ เพราะผู้อาวุโสเจี่ยคนนี้เดินออกมาพร้อมกับชายชราที่เธอเคยซื้อหินไป    


 


 


  “เธอ…เลือกหินก้อนนั้นไปหรือ?” ชายชราไพล่สองมือไว้ด้านหลัง สายตาว่างเปล่าจ้องไปที่หลอดไฟในโรงงานแปรรูป พร้อมหัวเราะแห้งๆ เล็กน้อย


 


 


“อาจารย์…” ผู้อาวุโสเจี่ยถาม “หินก้อนนั้นคือหยกสีเขียวจัดหรือ?”


 


 


“สีเขียวจัด?” ชายชรายิ้มแห้งพลางส่ายหน้า “มีตำนานเล่าขานมาว่า เทพไม่อาจทำลายหยกได้แม้แต่นิ้วเดียวก่อนที่จะตัดออกมา ใครจะไปรู้? ฉันกลับรู้สึกแปลกใจ หินมีตั้งมากมายกลับไม่เลือก ทำไมเธอถึงไปเลือกหินที่ธรรมดาแบบนั้น?”


 


 


“หรือว่าหินหยกก้อนนั้นจะมีอะไรอยู่?” ผู้อาวุโสเจี่ยถาม


 


 


“เธอก็ไม่ได้ถูกขนานนามว่าเป็นราชาแห่งการเดิมพันเหรอไง” ชายชราหัวเราะยิ้มเยาะ “เธอก็เคยดูมาแล้ว มีอะไรที่พิเศษหรือเปล่าล่ะ?”


 


 


“ผม…อาจารย์! หยุดล้อผมได้แล้ว!” ผู้อาวุโสเจี่ยหน้าแดงขึ้นมา หินหยกก้อนนั้นลักษณะดูเหมือนหินธรรมดาทั่วไป ดูไม่ออกว่าเป็นอะไรหรอก จากที่เขาคาดการณ์คือเป็นหินเก่าแก่ก้อนหนึ่ง แต่ก็ไม่รู้ว่าจัดอยู่ในประเภทไหน


 


 


ถึงลายหยกจะมีแค่เส้นเดียวแถมยังไม่ค่อยชัดเจนนัก สีของหยกก็มีไม่ค่อยเท่าไหร่ ถึงจะเขียวแต่ก็ไม่ใช่เขียวเข้มอะไร อาจจะเป็นสีเขียวตายด้านก็ได้


 


 


สิ่งเดียวที่คุ้มค่าในการเดิมพันไม่ใช่แค่พื้นผิวที่ละเอียด แต่เป็นชนิดแก้วต่างหาก หากทว่าชนิดแก้วไร้สีในสองปีนี้ก็เป็นเรื่องประเด็นร้อนขึ้นมา ถ้าหากวางไว้ในยี่สิบปีก่อนคงไม่มีใครเลือกที่จะทิ้งไว้ข้างถนน


 


 


ชายชราไม่พูดอะไรอีก เพียงแค่เงยหน้าขึ้นอย่างงงงวย สักพักถึงพูดว่า “เสียวเจี่ย เธอลองพูดมาสิ ถ้ามีหินหยกมากมายอยู่ตรงหน้าเธอ เธอจะเลือกหินก้อนนั้นหรือไม่?”


 


 


ผู้อาวุโสเจี่ยคิดแล้วคิดอีก ท้ายที่สุดส่ายหัวพูด “อาจารย์ ศิษย์ไม่เลือกหินก้อนนั้นอย่างแน่นอน ลักษณะหินไม่ค่อยดีนัก การที่จะเดิมพันชนะก็ดูจะยาก”


 


 


“ใช่!” สีหน้าของชายชรากลับมาเป็นเช่นเดิมปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “ถ้าเป็นฉัน ฉันก็ไม่เลือกหินก้อนนั้น”


 


 


“อาจารย์ หรือว่าหินก้อนนั้นจะมีประวัติความเป็นมาอะไรหรือครับ” ผู้อาวุโสเจี่ยถามอย่างสงสัย วันนี้เขาและซีเหมินจินเหลียนเรียกว่าโชคชะตานำพาให้เจอกัน ถึงแม้จะไม่ใช่โชคชะตานำพา แต่พรุ่งนี้เขาก็ต้องคิดหาวิธีไปหาเจ้าหญิงแห่งวงการหยกให้ได้ โดยให้นายหน้าพาเธอมาดูสินค้า เพื่อให้เธอเห็นหยกอีกก้อนให้ได้


 


 


หินหยกก้อนนั้นคือสิ่งที่ชายชราตั้งใจที่แฝงไปในหมู่หินหยกอื่นๆ เขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมชายชราถึงทำแบบนั้น แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรออกมา เพียงแค่รอรับคำสั่งจากเขาให้พาซีเหมินจินเหลียนไปดูสินค้า


 


 


แต่สิ่งที่น่าแปลกใจก็คือมีหินหยกตั้งมากมายเรียงอยู่ตรงหน้า แต่ซีเหมินจินเหลียนกลับไม่เลือก เธอกลับไปเลือกหินหยกก้อนนั้น แถมลักษณะของหินหยกก็ไม่ได้ดีอะไร หรือว่าในหินนั้นจะมีความลับอะไรอยู่?


 


 


“หินก้อนนั้นดูมีอายุเก่าแก่ เป็นหินที่อาจารย์ของฉันทิ้งไว้” ชายชราพูดโทนน้ำเสียงเย็นยะเยือก


 


 


สิ่งที่ปรมาจารย์เหลือไว้? ผู้อาวุโสเจี่ยตกใจ เขาไม่เข้าใจในสิ่งที่ผู้อาวุโสหูพูด เมื่อย้อนกลับไปตอนที่ตนเองเข้ามาในสายอาชีพนี้ ก็เป็นเพราะว่าสนใจเงินทองจากการเดิมพันหินมิใช่หรือ? เพราะอย่างนั้นเลยเตร็ดเตร่ไปทั่วทุกที่เรื่อยๆ จนมาเดิมพันถึงที่เมืองเจียหยาง และซื้อหินหยกที่โรงงานแปรรูปหยกนี้


 


 


จากนั้นเรื่องมันก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิดไว้ เขาแพ้เดิมพัน แม้จะกลับไปยังที่ที่เขามาก็ไม่มีแม้แต่เงิน


 


 


ถ้าหากไม่ใช่เพราะว่าเจอชายชราผู้นี้ เขาก็คงไม่มีชื่อที่ขนานนามว่าราชาแห่งการเดิมพันมาจนถึงทุกวันนี้หรอก เขาคงจะตายไปตั้งนานแล้ว


 


 


“อาจารย์…” ผู้อาวุโสเจี่ยเริ่มพูดออกมา


 


 


ชายชราส่ายมือปัด” ฉันบอกไปหลายครั้งแล้ว ฉันไม่ใช่อาจารย์ของเธอ”


 


 


“แต่ว่า…” ผู้อาวุโสเจี่ยกำลังจะพูด แต่ชายชราก็หันหลังเดินออกไป


 


 


ผู้อาวุโสเจี่ยถอนหายใจอยู่หลายครั้ง ชายชราสอนให้เขาดูหินและเดิมพันหินอยู่หลายครั้ง แต่อาจารย์กลับไม่รับเขาเป็นศิษย์ ที่จริงชายชราก็อายุห่างจากเขาไม่มากแต่ว่าสำหรับเขาแล้ว ชายชราผู้นี้เป็นผู้มีพระคุณ เขาไม่เพียงแต่ช่วยเหลือแถมยังให้ทรัพย์สมบัติแก่เขา ทำให้เขาประสบความสำเร็จจนถึงทุกวันนี้


 


 


 เช้าวันถัดมา ซีเหมินจินเหลียนลุกขึ้นเพราะได้ยินเสียงซ่าๆ ของฝนกระทบมาที่หน้าต่าง เมื่อเดินไปที่หน้าต่างจึงรู้ว่าฝนตกจริงๆ ถึงแม้จะไม่ได้ตกหนักมาก แต่อากาศแบบนี้ก็ไม่ควรที่จะออกไปไหน


 


 


เธอถอนหายใจเฮือกหนึ่งแล้วกลับไปนั่งลงบนเตียง อากาศแบบนี้แต่ไม่ได้ไปดูหินหยก ถ้าอย่างนั้นหาอะไรทำดีนะ เมื่อคิดไปได้สักพักโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมา ซีเหมินจินเหลียนคิดว่าน่าจะเป็นจ่านป๋ายโทรมานัดเธอกินข้าวเช้า แต่เมื่อมองไปยังเบอร์ที่โทรมากลับเป็นหลินเสวียนหลาน


 


 


คิ้วขมวดเข้าหากัน เขามีเรื่องอะไรกันถึงโทรหาเธอแต่เช้า?


 


 


เมื่อกดปุ่มรับสาย เสียงปลายสายก็แว่วเข้ามา “จินเหลียน?”


 


 


“อืม พี่หลินมีธุระอะไรเหรอคะ”


 


 


“เรื่องเมื่อวาน ผมขอโทษด้วยนะ” หลินเสวียนหลานไม่รู้จะเริ่มต้นพูดอย่างไรดี เมื่อวานคนที่เสียเปรียบก็คืออารองกับอาสะใภ้ แต่ว่านั่นก็เป็นความผิดที่พวกเขาทั้งสองคนก่อขึ้นมาเอง เขาไม่จำเป็นต้องขอโทษเธอ


 


 


“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนยิ้มออกมา ทำไมต้องขอโทษเธอด้วย ดูเหมือนว่าเมื่อวานเป็นจ่านป๋ายต่างหากที่ทำให้พวกเขาดูพ่ายแพ้เหมือนคนโง่


 


 


“ผมอยู่ที่ห้องอาหารข้างล่าง ไม่รู้ว่าเจ้าหญิงแห่งวงการหยกจะให้เกียรติมากินข้าวเช้าด้วยกันได้หรือเปล่าครับ?” หลินเสวียนหลานเอ่ยปาก


 


 


ซีเหมินจินเหลียนฟังเขาพูดหยอกเหย้าด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ แก้มก็ขึ้นสีแดงอย่างไม่มีสาเหตุ ด้วยเพราะรู้สึกกระอักกระอ่วนอยู่บ้างจึงอยากจะปฏิเสธ แต่พอกลับมาคิดดูอีกครั้ง เธอก็พูดด้วยเสียงกลั้วหัวเราะขึ้นว่า “งั้นก็ดีเลยค่ะ ฉันก็กำลังหิวอยู่พอดี!”


 


 


“อืม ผมจะรอคุณอยู่ที่ห้องอาหารด้านล่างนะครับ!” หลินเสวียนหลานดีใจ “เดี๋ยวเจอกันนะครับ”


 


 


ซีเหมินจินเหลียนวางโทรศัพท์แล้วไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ล้างหน้าหวีผมเรียบร้อยก็เดินไปเคาะประตูที่ห้องจ่านป๋าย ไม่ช้าเขาก็เดินมาเปิดประตู เมื่อเห็นเธอจึงพูดไปว่า “เมื่อคืนนอนดึก ทำไมวันนี้ถึงไม่นอนพักอีกสักหน่อยละครับ ผมคิดว่าตอนสิบโมงจะค่อยไปปลุกคุณอยู่เลย”


 


 


“เปลี่ยนเสื้อผ้า พวกเราลงไปกินข้าวกัน มื้อนี้มีคนเลี้ยง!”


 


 


“ใครครับ?” จ่านป๋ายถามอย่างสงสัย “หลินเสวียนหลานเหรอ”


 


 


ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้า จ่านป๋ายดีใจขึ้นมาอย่างไม่รู้สาเหตุ “ถ้าอย่างนั้นคุณรอผมสักสองนาทีนะครับ” หลินเสวียนหลานเลี้ยงข้าวเธอ แต่เธอกลับพาเขาไป นี่นับว่าเป็นเรื่องที่ดีไม่น้อยเลย


 


 


เพราะฉะนั้นจ่านป๋ายจึงรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว ก่อนจะจูงมือซีเหมินจินเหลียนลงไปด้านล่างด้วยกัน


 


 


เมื่อหลินเสวียนหลานเห็นจ่านป๋ายกับเธอเดินลงมาด้วยกัน ในใจก็รู้สึกเจ็บปวดแต่ก็เชิญให้พวกเขาทั้งคู่นั่ง “นั่งก่อนสิครับ”


 


 


จ่านป๋ายใช้โอกาสนี้ขยับเก้าอี้ให้ซีเหมินจินเหลียนนั่ง จากนั้นเรียกพนักงานบริการเข้ามา จ่านป๋ายไม่รอให้หลินเสวียนหลานพูด เขาก็พูดพร่ำเมนูขึ้น “น้ำเต้าหู้ ปาท่องโก๋ ซาลาเปาไส้ผัก แล้วก็…”


 


 


อาหารเช้าของซีเหมินจินเหลียน เธอชอบกินน้ำเต้าหู้ ซาลาเปาและปาท่องโก๋ ส่วนซาลาเปาเธอก็กินแต่ไส้ผัก เธอไม่ชอบกินเนื้อสักเท่าไหร่ เธอคอยย้ำกับตัวเองว่า เธอคือผู้หญิงสวย เธอต้องลดน้ำหนัก


 


 


อ๋อ ลดน้ำหนัก เป็นประเด็นที่ฮ็อตฮิตของผู้หญิงสมัยนี้เลยก็ว่าได้ จ่านป๋ายเข้าใจได้ แต่ว่าเขาก็ยังคงสงสัยว่า เธออยากจะลดความอ้วน หรือว่าชอบกินซาลาเปาไส้ผักกันแน่?


 


 


ถ้าหากอยากจะลดความอ้วนจริงๆ เมื่อไปถนนของกิน ร้านปิ้งย่างมากมาย เธอก็กินมาหมดทุกร้าน..


 


 


หลินเสวียนหลานทำได้แค่ยิ้ม แต่ก็ไม่ได้พูดจาโต้ตอบอะไร ความจริงตั้งแต่ตอนที่เขาเห็นจ่านป๋ายกับซีเหมินจินเหลียนเดินมาด้วยกัน เขาก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรแล้ว


 


 


ซีเหมินจินเหลียนไม่เห็นลู่เฟยอวี๋ ก็รู้สึกแปลกใจเลยจงใจถามไปว่า “พี่หลิน แฟนของพี่ล่ะคะ”


 


 


“อยู่กับอาสะใภ้น่ะ” เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ หลินเสวียนหลานก็เริ่มแสดงอาการยิ้มอย่างขมขื่นออกมา แล้วรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันที “จินเหลียน ได้ยินมาว่าเมื่อคืนหลังจากที่พวกเรากลับไป ผู้อาวุโสเจี่ยก็ผ่าหยกอีกเหรอครับ ไม่คิดเลยว่าจะผ่าออกมาเป็นหยกชนิดน้ำแข็งสีควันม่วง”


 


 


ซีเหมินจินเหลียนอึ้งไปเล็กน้อย แต่เมื่อคิดดูแล้ว ในวงการพนันหยก ไม่ว่าใครชนะเดิมพัน ใครที่ผ่าหยกออกมา ข่าวแบบนี้ย่อมแพร่งพรายออกมาอย่างรวดเร็วอยู่แล้ว แถมตอนนั้นนอกจากเธอ ผู้อาวุโสเจี่ยและจ่านป๋ายที่อยู่ด้านนอก ยังมีลูกน้องที่ลงมืออีกสองคน แม้เธอไม่รู้จักลูกน้องสองคนนั้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะไม่รู้จักเธอ หากข่าวกระจายออกไปก็ถือเป็นเรื่องธรรมดา


 


 


อีกอย่างผู้อาวุโสเจี่ยก็เป็นคนพูดเองว่าเขาจะขายหยกน้ำแข็งสีควันม่วงออกไป เช่นนี้แล้วหากทุกคนจะรู้เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้


 


 


“ใช่แล้วค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้า


 


 


“ผมได้ยินมาว่าคุณเป็นคนแนะนำให้ผู้อาวุโสเจี่ยผ่าหยกต่อ หลังจากเมื่อผู้อาวุโสเจี่ยผ่าหยกน้ำแข็งสีควันม่วงออกมาแล้วถึงได้ยกหินให้คุณ?” หลินเสวียนหลานเสมือนฝ่ายซักถามข้อมูล


 


 


ซีเหมินจินเหลียนได้แต่พยักหน้า นี่ก็ถือว่าไม่ได้เป็นความลับอะไร การที่ผู้อาวุโสเจี่ยมอบหยกน้ำแข็งสีควันม่วงให้เธอ ก็ยังมีคนนอกอยู่ในนั้นด้วย เรื่องนี้คงไม่อาจปิดบังได้ ข่าวคงกระจายออกมาแล้ว


 


 


“จินเหลียน หยกน้ำแข็งสีควันม่วงก้อนนั้น คุณจะขายหรือเปล่า” หลินเสวียนหลานใช้ความกล้าได้อายอดเปิดประเด็นถาม


 


 


 


 


[1] ชุดเผ่า เป็นชุดสไตล์จีนโบราณ เป็นชุดตัวยาวคล้ายๆ กี่เพ้าของผู้หญิง แต่เป็นของผู้ชาย

 

 

 


ส่วนที่ 4

 

ตอนที่ 10

 

สิทธิในการตัดสินใจ

 


 


 


 


นิ้วมือเรียวยาวของซีเหมินจินเหลียนกำลังเล่นเส้นผมยาวสลวยที่อยู่ตรงหน้าอกของเธอ จะขายให้เขาดีไหมนะ? เงินที่ติดตัวมาก็มีไม่มากแล้ว หยกน้ำแข็งสีควันม่วงนี้ไม่ใช่สินค้าระดับเกรดดีอะไร แต่สำหรับนักธุรกิจหยกแล้วก็เป็นโอกาสยากที่จะได้หยกแบบนี้ไปครอบครอง เธอไม่ต้องออกตัวขายเองและไม่ต้องกลัดกลุ้มในเรื่องราคา 


 


 


ขอแค่เธอปริปากพูดออกมา ประธานเฉินและชายร่างอ้วนแซ่เหอรวมถึงคนอื่นๆ คงจะต้องมาแย่งสินค้าเป็นแน่ จากเมื่อวานที่ผู้อาวุโสเจี่ยผ่าหยกน้ำแข็งสีเขียวอ่อนออกมาก็รู้เลยว่าหยกน้ำแข็งนั่นตราบใดที่สีค่อนข้างใสบริสุทธิ์ไม่มีสีปะปนอะไร ความอิ่มน้ำเพียงพอ ก็ไม่ต้องกังวลถึงผู้ซื้อ 


 


 


“จินเหลียน…” หลินเสวียนหลานเรียกเธอเบาๆ 


 


 


“อ้อ…” ซีเหมินจินเหลียนดึงสติกลับมาพูดว่า “ยี่สิบล้านค่ะ!” 


 


 


หลินเสวียนหลานพยักหน้าตอบตกลง ราคายี่สิบล้านนี้ถือว่าสมเหตุสมผล ไม่มีอะไรจะต้องพูด แถมได้ยินมาว่าเช้าวันนี้หินในมือของผู้อาวุโสเจี่ยใหญ่กว่าของซีเหมินจินเหลียนอยู่ไม่มากเท่าไหร่ ถูกบริษัทอัญมณีทางเหนือซื้อไปครอบครองด้วยราคาสูงถึงสี่สิบล้าน 


 


 


“จินเหลียน ผมขอดูก่อนได้ไหมครับ?” หลินเสวียนหลานถาม 


 


 


“แน่นอนค่ะ ไม่ได้มีกฎที่ไม่ให้ผู้ซื้อดูสินค้านี่คะ” ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้าเบาๆ ขณะนั้นพนักงานเสิร์ฟก็นำอาหารเช้าเข้ามาพอดี จ่านป๋ายพูดขึ้นว่า “จินเหลียน คุณกินก่อนเถอะครับ เดี๋ยวผมไปที่ตู้นิรภัยหยิบหยกก้อนนั้นออกมาเอง” 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนกินข้าวเช้าไปได้แค่สองคำ จ่านป๋ายก็เดินกลับเข้ามาพร้อมกับหยกที่หยิบออกมา เขาใช้กระดาษหนังสือพิมพ์เก่าๆ ห่อเอาไว้ จ่านป๋ายยื่นหยกสีควันม่วงไปให้ซีเหมินจินเหลียน จากนั้นเธอก็รับไป ก่อนจะแกะกระดาษออกแล้วจึงนำหยกสีควันม่วงส่งไปให้หลินเสวียนหลาน 


 


 


หลินเสวียนหลานเดินออกมาจากโต๊ะอาหาร แล้วหยิบขึ้นมาดูอย่างละเอียด ความอิ่มน้ำมีเพียงพอ ถึงแม้สีจะอ่อนไปหน่อย แต่ข้อดีอยู่ตรงที่เป็นหยกน้ำแข็ง มีความเหนียวเล็กน้อย สีม่วงอ่อนควันหมอกย่อมเป็นที่นิยมในหมู่สาววัยรุ่น เมื่อทำเป็นเครื่องประดับขายออกมา คงจะขายได้ราคาราวๆ สามสิบล้าน พอจะทำกำไรได้อยู่สักสิบล้าน 


 


 


“เดี๋ยวผมโทรศัพท์ไปโอนเงินสักครู่นะครับ” หลินเสวียนหลานยิ้มเบาๆ แล้ววางหินหยกสีควันม่วงไว้ รีบยืนขึ้นเดินออกไปโทรศัพท์ข้างนอก 


 


 


จ่านป๋ายรีบนำกระดาษหนังสือพิมพ์ห่อกลับเข้าไป ห้องอาหารคนเยอะซะด้วย อีกทั้งเจียหยางที่แห่งนี้ล้วนมีแต่คนรู้จักการเล่นหยก เลยต้องระวังเป็นพิเศษเพื่อไม่ให้มีปัญหาอะไรเกิดขึ้น 


 


 


ไม่นานหลินเสวียนหลานก็เดินกลับมา ยิ้มแหะๆ เข้ามานั่งตรงข้ามกับซีเหมินจินเหลียน จ่านป๋ายก็นั่งลงเช่นกัน เมื่อทั้งสามกินข้าวเช้าเสร็จแล้วก็นั่งพักกันต่อสักหน่อย ซีเหมินจินเหลียนอดไม่ได้ที่จะสงสัย ทำไมโอนเงินไปตั้งนานแล้ว เธอถึงยังไม่ได้รับข้อความแจ้งจากธนาคาร 


 


 


เมื่อหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูอยู่หลายครั้ง ก็ไม่มีข้อความเข้ามา เธอคิ้วย่นเข้าหากันอย่างไม่ได้ตั้งใจ นี่เป็นแค่การซื้อขายเพียงยี่สิบล้านแต่ไม่ได้รับเงิน ตามหลักแล้วเธอก็ไม่สามารถให้หยกนั่นแก่หลินเสวียนหลาน 


 


 


ถึงแม้ว่าเธอเคยจะแถมกำไลหยกแก้วสีเขียวราคาถึงหลายสิบล้านออกไป แต่การแถมกับการขายก็เป็นคนละเรื่องกัน จะต้องทำการซื้อขายอย่างเสร็จสมบูรณ์ 


 


 


“จินเหลียน คุณเป็นอะไรไป?” จ่านป๋ายถาม 


 


 


“พี่หลินคะ ฉัน…” ซีเหมินจินเหลียนไม่รู้ว่าจะเริ่มพูดอย่างไรว่าถึงตอนนี้เธอก็ยังไม่ได้รับข้อความแจ้งมาจากธนาคาร 


 


 


หลินเสวียนหลานเป็นคนฉลาด เห็นดังนั้นเขาก็เข้าใจทันที แล้วพูดว่า “คุณลองโทรศัพท์ไปสอบถามเถอะครับ” 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนตอบรับ โทรศัพท์ต่อสายตรงไปหาธนาคาร ตอนนี้เธอเปิดบัญชีธนาคารซึ่งแตกต่างจากเดิม ธนาคารเลยเลือกปฏิบัติต่อผู้ใช้บริการที่มีเงินฝากออมทรัพย์ขนาดใหญ่อย่างดีเยี่ยม เรียกได้ว่าดูแลขั้นสูงสุดไปเลย 


 


 


เพราะฉะนั้นเมื่อต่อสายไปยังธนาคารติดแล้ว ซีเหมินจินเหลียนจึงถามเรื่องเงินยี่สิบล้านที่ไม่ได้เข้าบัญชี พนักงานธนาคารให้ความช่วยเหลือและบริการเธอเป็นอย่างดี ทั้งยังบอกเธอว่าเงินไม่ได้เข้าบัญชีตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แถมยังให้สัญญารับปากอีกว่าถ้าหากมีเงินเข้ามาเมื่อไหร่ จะรีบส่งข้อความแจ้งไปหาเธอทันที 


 


 


“พี่หลินคะ…” ซีเหมินจินเหลียนไม่กล้าที่จะมองไปที่หลินเสวียนหลาน พูดไปก็แปลกเหมือนกัน การซื้อขายในวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นคนซื้อมาหรือขายออกไป ก็ไม่เคยเกิดเหตุการณ์ผิดพลาดแบบนี้มาก่อน ปกติแล้วไม่ต้องรอนานอีกฝ่ายจะโอนเงินเข้ามาทันที ส่วนเธอก็จะรับข้อความแจ้งเตือนเข้ามา 


 


 


การที่ทำธุรกิจค้าอัญมณีได้นั้นต้องเป็นผู้มีเงินมั่งคั่ง ธนาคารจึงแทบที่จะจุดธูปกราบไหว้บูชา สำหรับลูกค้าประเภทนี้แล้วย่อมมาก่อนเสมอ ดูแลอย่างดี นอกจากนี้ถ้าเงินก้อนใหญ่หากจะเข้าหรือออกจากบัญชี พนักงานธนาคารก็ไม่อาจจะปล่อยปละละเลยในการทำงานได้  


 


 


หลินเสวียนหลานเห็นเช่นนั้นก็คิ้วขมวดเข้าหากัน แต่ยังคงมีรอยยิ้มที่อบอุ่นพูดขึ้นมาว่า “ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมโทรไปเร่งอีกครั้ง ธนาคารคงจะยุ่งเลยยังไม่ได้โอนเงินให้” 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนได้แต่พยักหน้าหงึกหงัก หลินเสวียนหลานจึงโทรไปหาธนาคารอีกครั้ง ครั้งนี้สีหน้าของเขาซีดเผือดดูไม่สู้ดีสักเท่าไหร่ แม้แต่นิ้วมือยังมีอาการสั่นระริก 


 


 


“เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ / ครับ” ซีเหมินจินเหลียนและจ่านป๋ายถามขึ้นพร้อมกัน 


 


 


“ที่ธนาคารไม่ได้โอนเงิน เป็นเพราะ…คุณปู่เคยสั่งไว้ ถ้ายอดเกินจำนวนที่กำหนดให้โอน ต้องผ่านการยืนยันจากคุณปู่ก่อน” หลินเสวียนหลานกระซิบบอก 


 


 


“หา? งั้นก็หมายความว่า…คุณหลินจะขอระงับการซื้อหยกสีควันม่วงกับพวกเราใช่ไหมครับ” จ่านป๋ายตั้งใจถาม 


 


 


หลินเสวียนหลานส่ายหน้า ก่อนจะรีบผงกหัวตอบรับทันที ซีเหมินจินเหลียนเห็นท่าทีของเขาเลยยิ้มปลอบใจว่า “พี่หลินอย่าโกรธเลยนะคะ คุณปู่หลินคงเพียงแค่อยากดูให้ดีๆ เท่านั้น ไม่อย่างนั้นพี่ลองโทรไปถามคุณปู่ดูสักหน่อยไหมคะ” 


 


 


หลินเสวียนหลานลุกขึ้นเดินออกไปจากห้องอาหารด้านนอก ซีเหมินจินเหลียนเล่นช้อนตักซุปอยู่ จ่านป๋ายเลยกระซิบถามเธอว่า “คุณรู้ไหมว่าทำไมเขาถึงโกรธขนาดนี้?” 


 


 


“ฉันจะไปรู้ได้ยังไง” ซีเหมินจินเหลียนกลอกตาบน เห็นว่าไม่มีใครอยู่แถวนี้จึงกระซิบไปว่า “ฉันไม่ได้มีพลังอ่านใจคนนี่คะ” 


 


 


จ่านป๋ายยิ้ม “การมาเจียหยางครั้งนี้ก็ไม่ใช่ความคิดของเขาหรอกครับ แต่เป็นไอ้หมอนั่นที่ถูกผมต่อยจนหน้าบวมเป็นหัวหมูต่างหาก ผมว่านะความคิดนี้คงไม่ใช่ของผู้เฒ่าหลินหรอก แต่เป็นของเจ้าหัวหมูนั่นแหละ” 


 


 


“เป็นเขาเหรอคะ?” ซีเหมินจินเหลียนถาม 


 


 


“จะไม่ใช่ได้ยังไง!” จ่านป๋ายคิดไปคิดมา “คุณลองคิดดูสิว่าผู้เฒ่าหลินอายุขนาดนี้แล้ว เขาคงจะอยู่ได้อีกไม่นานหรอก ตามหลักการแล้วทรัพย์สมบัติย่อมตกเป็นของพ่อของหลินเสวียนหลาน ถูกไหมครับ?” 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้า ไม่ว่าจะอดีตหรือปัจจุบัน ทรัพย์สมบัติย่อมมักจะยกให้ลูกก่อนเสมอ 


 


 


“สำหรับหุ้นเล็กๆ น้อยๆ ในมือของผู้เฒ่าหลิน ไหนจะบริษัทนี้อีก คนโง่นั่นคงจะร้อนตัวบ้างเป็นธรรมดา” จ่านป๋ายยังพูดต่อว่า “เขาจะปล่อยโอกาสให้หลินเสวียนหลานพิสูจน์ความสามารถให้เห็นได้อย่างไรกัน?” 


 


 


 “อย่างเขาน่ะเหรอ?” ซีเหมินจินเหลียนแม้จะไม่ได้รู้จักสนิทสนมกับบ้านตระกูลหลิน แต่หลินเจิ้งกับหวังเซียงฉินสามีภรรยาคู่นั้นทำเรื่องไม่ค่อยน่าเชื่อถือเท่าไหร่ ผู้เฒ่าหลินก็รู้อยู่แก่ใจถึงไม่ยอมยกบริษัทให้อยู่ในกำมือของคนพวกนี้ 


 


 


“ผู้เฒ่าหลินมีลูกตอนแก่แล้ว เลยรักเขามาก!” จ่านป๋ายได้แต่ส่ายหน้า “ส่วนหลินเสวียนหลานก็ช่างเถอะ ถึงนิสัยจะดูอ่อนแอไปหน่อย ไม่สามารถขยายดินแดนได้ แต่ก็ยังถือว่าปกป้องได้ ส่วนหลินเจิ้งถ้าทรัพย์สมบัติของบ้านว่านกว้านตกอยู่ในมือของเขา เชื่อเถอะไม่ถึงสามปีรับรองล้มละลายแน่ จินเหลียนพวกเรามาพนันกันหน่อยไหมละครับ?” 


 


 


 “ผู้เฒ่าหลินยังไม่ตาย แต่ถึงจะตายไป ก็ไม่แน่ว่าจะยกทรัพย์สมบัติให้หลินเจิ้งหรอก” ซีเหมินจินเหลียนพูด 


 


 


“อันนี้ก็…” จ่านป๋ายมองไปรอบๆ เมื่อเห็นหลินเสวียนหลานยังไม่เดินเข้ามาถึงพูดขึ้นว่า “สุดท้ายบ้านตระกูลหลินจะให้ทรัพย์สมบัติแก่ใคร ก็ไม่แน่ว่าจะขึ้นอยู่กับผู้เฒ่าหลินหรอกนะครับ” 


 


 


“แล้วอย่างนั้นจะขึ้นอยู่กับใครได้อีกล่ะคะ” ซีเหมินจินเหลียนสงสัย 


 


 


“คุณไง!” จ่ายป๋ายแซว 


 


 


“ไปให้พ้นหน้าฉันเลยนะ!” ซีเหมินจินเหลียนไม่ได้มีความแปลกใจอะไร เธอกำลังตั้งใจฟังอยู่ คิดไม่ถึงว่าสุดท้ายจ่านป๋ายจะแกล้งเธอเพื่อความสนุกของเขา “ที่คุณอยากโดนต่อยหรือไง?” 


 


 


“ผมยินดีให้คุณใช้ความรุนแรงกับผมเลยครับ!” จ่านป๋ายพูดอย่างเจ้าเล่ห์ 


 


 


“นี่คุณ…” ซีเหมินจินเหลียนได้ยินก็รู้สึกทั้งโกรธทั้งอยากจะหัวเราะ เธอไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับเขาคนนี้ดี 


 


 


“โอเคๆๆ ผมไม่เล่นแล้วๆ” จ่านป๋ายรีบพูด “พูดไปแล้วก็ตอนนี้บ้านตระกูลหลินมีปัญหาเรื่องเงินทอง ถ้าใครช่วยให้ตระกูลหลินข้ามผ่านวิกฤตครั้งนี้ไปได้ คนนั้นล่ะครับก็จะเป็นผู้นำตระกูลหลินคนต่อไป ทีนี้เข้าใจแล้วหรือยังครับ?” 


 


 


“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับฉันกัน” ซีเมินจินเหลียนส่ายหัว เธอไม่เข้าใจเรื่องอะไรแบบนี้ 


 


 


“ตอนนี้สิ่งที่ตระกูลหลินกำลังขาดมากที่สุดก็ไม่ใช่เงินหรอกครับ!” จ่านป๋ายเตือนอีกครั้ง 


 


 


“หยก?” ซีเหมินจินเหลียนได้สติกลับมาอีกครั้ง ถ้าหากบ้านตระกูลหลินขาดหยกจริง เธอก็มีสิทธิในการตัดสินใจ สำหรับเธอนั้น เธอขาดทุกสิ่ง แต่สิ่งที่ไม่ขาดก็คือหยก 


 


 


“คุณดูไม่จริงจังกับหยกแก้วสีเขียวมรกต มันเป็นสิ่งที่มีค่าเชียวนะ!” จ่านป๋ายเห็นเธอกำลังเก็บสินค้าอยู่ที่โรงเก็บของใต้ดิน เขารู้ว่าเธอไม่มีอะไร แต่ยังมีหยกแก้วสีเขียวมรกตก้อนใหญ่เก็บไว้อยู่ในตู้นิรภัยของห้องใต้ดิน 


 


 


 นอกจากนี้สายตาในการเดิมพันของซีเหมินจินเหลียนช่างดีจริงๆ ครั้งนี้เธอรับซื้อหินหยกไว้หลายชิ้นด้วยกัน ถ้าพระเจ้ารู้คงจะไม่มาตัดหยกลักษณะดีที่นี้หรอกนะ?  


 


 


“อย่างเช่นหยกสีควันม่วงก้อนนี้ คุณคงไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ แต่ว่าคนอื่นต้องการที่จะแย่งซื้อมัน” จ่านป๋ายหยิบหินก้อนนี้ไว้ในมือพลางพูดว่า “อัญมณีน่ะ เป็นสิ่งที่ทำเงินได้ดีอีกอาชีพเลยล่ะ” 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนฟังเขาอย่างเงียบๆ จ่านป๋ายเห็นเธอไม่พูดอะไรก็ส่ายหัวพูดต่อไปว่า “ถ้าคุณไม่ขายหยกก้อนนี้ให้กับหลินเสวียนหลาน เขาก็คงไม่มีหวังอะไรแล้ว ผู้เฒ่าหลินไม่ได้ชอบเขาสักเท่าไหร่” 


 


 


“ในเมืองเจียหยางนี้ไม่มีอะไรเลยนอกจากหยก จะเดิมพันทั้งตัวหรือครึ่งหนึ่ง แม้กระทั่งก้อนหยกก็มี แล้วเขาจะกลัวอะไรอีก?” ซีเหมินจินเหลียนส่ายหัว 


 


 


 “ไร้สาระหน่า!” จ่านป๋ายรีบตัดบทสนทนาของเธอ “การเดิมพันไม่ใช่ว่าทุกคนจะชนะได้นะ ผมกล้ารับรองว่าบ้านตระกูลหลิน พวกเขามีแต่อยากชนะไม่อยากแพ้ เพราะฉะนั้นนี่เป็นเหตุให้เจ้าหัวหมูนั่นตั้งใจมาถึงเมืองเจียหยาง เขาเพียงแค่อยากถือโอกาสการประมูลหยกครั้งนี้ ซื้อหยกในราคาที่ถูก แต่ถึงจะซื้อในราคาทุนที่สูง กำไรน้อยไปหน่อย แต่ก็ชนะมาอย่างปลอดภัย 


 


 


 ซีเหมินจินเหลียนเข้าใจในจุดนี้ ทั้งหลินเสวียนหลานและผู้อาวุโสจู้ สายตาของพวกเขาล้วนไม่ธรรมดา แต่การพนันหินคือพนันสิบแพ้เก้า ถึงจะชื่อว่าเทพเจ้าก็ยังไม่สามารถคาดเดาได้ว่าข้างในหินมีอะไรอยู่ ท้ายที่สุดมีหยกอยู่หรือไม่นั้น ต้องใช้ประสบการณ์จากสายตาที่สั่งสมมา บางครั้งอาจจะต้องใช้โชคลาภเข้ามาช่วยอีกต่างหาก ยกเว้นซะแต่เหมือนกับเธอที่สามารถมองทะลุหยกได้ ไม่เช่นนั้นโอกาสการแพ้เดิมพันก็มีสิทธิเกิดได้สูงมากทีเดียว 


 


 


“ผู้ที่มาร่วมประมูลหยกที่เจียหยาง ส่วนมากล้วนเป็นนักธุรกิจค้าอัญมณีจากหลายท้องที่ เป้าหมายของพวกเขาคือหยก ถึงพวกเขาตัดหินและเดิมพันชนะในตอนนั้น แต่พวกเขาก็ไม่คิดที่จะขาย ดังนั้นหนทางของบ้านตระกูลหลินนอกจากจะซื้อหินหยกจากร้านขายหินแล้ว อาจจะซื้อจากผู้ที่เดิมพันหินเป็นงานอดิเรก” จ่านป๋ายพูดอีกครั้ง 

 

 

 


ส่วนที่ 4

 

ตอนที่ 11

 

 เห็นว่าฉันตายไปแล้วหรืออย่างไร?

 


ซีเหมินจินเหลียนถอนหายใจออกมายกใหญ่ เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ทำให้เธอคิดไม่ถึง เธอคิดมาตลอดว่าขอแค่มีเงินอยู่ในกำมือ ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีเงินที่จะซื้อหยกเกรดดีๆ 


 


 


“ถึงแม้อัญมณีจะราคาแพงหูฉี่ แต่นั่นก็เป็นเพราะว่ามันเป็นสิ่งที่หายาก ยิ่งหาซื้อยากเท่าไหร่ก็ยิ่งเป็นสิ่งที่คุ้มค่าในการยอมจ่าย” จ่านป๋ายเผยยิ้มออกมา นี่เป็นความจริง ไม่ว่าจะเป็นหยก เพชร หรือจะเป็นเงินทองต่างก็ไร้ประโยชน์ คุณค่าของมันอยู่แค่ในจิตใจของคน 


 


 


ในใจของซีเหมินจินเหลียนได้แต่ครุ่นคิด ใช่แล้ว เพราะอัญมณีมีน้อยถึงเป็นของที่มีค่า ต่อไปนี้ถ้าหากมีหยกเนื้องามอยู่ในมือเธอ เธอก็จะไม่รีบร้อนขายออกไปอีก เก็บสินค้าไว้ก่อน พอได้ราคาดีก็ค่อยขายทอดสู่ตลาด ถ้าหากแห่ขายออกไปหมดที่เดียว อาจส่งผลทำให้ตลาดอิ่มตัวได้ อีกทั้งความต้องการของสินค้าคงจะน้อยลงตามไปด้วย สุดท้ายแล้วสินค้าก็ย่อมไม่มีค่าแก่การซื้อ จนส่งผลทำให้หยกราคาตก 


 


 


“ที่คุณพูดมาก็มีเหตุผล!” ซีเหมินจินเหลียนเห็นด้วยกับสิ่งที่เขาพูด 


 


 


“จินเหลียน ถ้าผมเป็นคุณ ผมจะไม่ขายหยกให้บ้านตระกูลหลินเด็ดขาด!” 


 


 


“หืม? ทำไมเหรอ” ซีเหมินจินเหลียนยังคงไม่เข้าใจ 


 


 


“เพื่อที่เราจะได้ซื้อหลินซื่อจิวเวอรี่อย่างไงล่ะครับ?” 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนยิ้มอย่างขมขื่น การซื้อบริษัทหลินซื่อจิวเวอรี่ แม้จะพูดง่าย แต่ก็ใช่ว่าจะทำได้ง่ายนัก ถึงบ้านตระกูลหลินใกล้จะล้มละลาย แต่ก็ยังมีรากฐานคอยค้ำจุน เพราะว่าบ้านตระกูลหลินทำธุรกิจมาหลายปีแล้ว หากจะพูดว่าล้มลงแล้วก็จะล้มลงไปตามที่พูดจริงๆ ก็คงจะไม่ใช่แน่? ยิ่งไปกว่านั้น ถึงบ้านตระกูลหลินจะล้มละลายไปจริงๆ แต่คนที่จ้องทำลายตระกูลหลินก็ไม่ได้มีแค่เธอคนเดียวแน่ๆ  


 


 


เธอเป็นแค่ผู้หญิงบอบบาง อาศัยตัวอยู่คนเดียวที่เมืองเซี่ยงไฮ้ ไม่มีใครเป็นที่พึ่งพาและคอยสนับสนุน แล้วจะให้เอาอะไรไปแข่งกับคนอื่นได้ล่ะ? 


 


 


“ฉันทำตามที่คุณว่าก็ได้” ซีเหมินจินเหลียนยังพูดต่ออีกว่า “เพียงแต่ว่าถ้าเงินเข้ามา ฉันก็ไม่สามารถปฏิเสธได้หรอกนะ” ระหว่างที่เธอพูดอยู่นั้น มือของเธอก็เล่นกระดาษห่อหนังสือพิมพ์เก่าๆ ที่ห่อหยกสีควันม่วงนั้นไว้อยู่ 


 


 


“เขาไม่มีเงินหรอก คุณวางใจได้เลย” จ่านป๋ายพูดด้วยความมั่นใจ 


 


 


“ความจริงแล้วพี่หลินก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร” ซีเหมินจินเหลียนค่อยๆ ถอนหายใจออกมาเบาๆ แต่ก่อนหลินเสวียนหลานเป็นคนพาเธอไปที่ร้านเถ้าแก่โจว บอกเธอเกี่ยวกับเรื่องราวของการเดิมพันหินต่างๆ ถึงจะเป็นเพียงแค่ความรู้เล็กน้อยที่เธอแทบจะไม่ได้อะไรเลยก็ตาม 


 


 


แต่ว่าในส่วนลึกของหัวใจ เธอก็ยังรู้สึกขอบคุณเขา ส่วนเรื่องหยกสีควันม่วงในวันนี้ ขอแค่เขาจ่ายเงินมา เธอก็เต็มใจที่จะขายให้ 


 


 


จ่านป๋ายได้ยินดังนั้นก็ทำได้แค่ยิ้ม ความจริงหลินเสวียนหลานก็ไม่ได้แย่อะไร เพียงแต่…ผู้เฒ่านั่นกับหลินเจิ้งก็ไม่ใช่คนที่ดีอะไร บางเรื่องแม้แต่หลินเสวียนหลานเองก็แทบที่จะไม่รู้ 


 


 


“ถ้าอย่างนั้นผมเอาหยกไปเก็บก่อนแล้วกันนะครับ คุณกลับห้องไปพักผ่อนก่อน สองสามวันมานี้คุณก็คงเหนื่อยแย่แล้ว” จ่านป๋ายพูด 


 


 


“ก็ได้” ซีเหมินจินเหลียนลุกขึ้นยืน เห็นว่าหลินเสวียนหลานยังไม่เข้ามา อีกทั้งข้างนอกฝนก็ยังไม่หยุดตก อากาศแบบนี้คงออกไปไหนก็ไม่สะดวก ทำได้แค่กลับห้องไปนอนดูโทรทัศน์เท่านั้น 


 


 


จ่านป๋ายห่อหินหยกสีควันม่วงด้วยความระมัดระวังแล้วจึงใส่กลับไปที่ตู้เซฟของโรงแรม คิดไม่ถึงว่าจะบังเอิญเจอกับประธานเฉินกับประธานหม่า เลยทักทายกันไปตามมารยาท 


 


 


“คุณจ่านป๋าย คุณซีเหมิน มารับประทานข้าวเช้ากันเหรอครับ” ประธานเฉินถาม 


 


 


“พวกเรากินเสร็จแล้วค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนรีบตอบกลับไป 


 


 


“คุณจ่านป๋าย ในมือของคุณใช่หยกสีควันม่วงของเมื่อวานหรือเปล่าครับ” ประธานหม่าถามออกไป 


 


 


“ใช่ครับ” 


 


 


“พวกเราขอดูได้ไหมครับ?” ประธานเฉินถาม 


 


 


“แน่นอนอยู่แล้วค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนพูดไป พลางบอกจ่านป๋ายเป็นนัยๆ ว่าให้หาโต๊ะว่างๆ สำหรับนั่ง จ่านป๋ายจึงนำหินหยกควันสีม่วงก้อนนั้นไปวางไว้บนโต๊ะ 


 


 


ประธานเฉินสำรวจเป็นคนแรก เขาเปิดกระดาษหนังสือพิมพ์เก่าที่ห่อเอาไว้ออกมา จากนั้นใช้มือสัมผัสลงไปที่เนื้อผิว ก่อนจะอุทานออกมาว่า “เป็นของดีอย่างที่คิดไว้จริงๆ!” 


 


 


ประธานหม่ารับช่วงต่อจากเขา สำรวจอยู่ครู่หนึ่งจึงถามไปว่า “คุณซีเหมิน หยกสีควันม่วงของคุณก้อนนี้ จะเก็บไว้ทำเครื่องประดับใส่เองหรือคิดที่จะขายเหรอครับ” 


 


 


“ฉันก็คิดที่จะขายค่ะ แต่ว่ามีคนจองไว้ก่อนแล้วนะคะ” ซีเหมินจินเหลียนรีบชิงพูดขึ้น ในเมื่อหลินเสวียนหลานยังไม่ได้บอกว่าเขาจะไม่ซื้อ เธอก็ไม่สามารถที่จะขายให้ใครก่อนได้ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องมิตรภาพอะไร แต่เป็นเรื่องของความเป็นมนุษย์ที่ควรพูดคำไหนคำนั้น 


 


 


“ใครกันครับที่เป็นคนโชคดีได้ไป” ประธานเฉินถามพลางส่ายหัวถอนหายใจออกมาไม่หยุด 


 


 


“ประธานเฉินยังพอจะมีโอกาสนะครับ” จ่านป๋ายตอบ 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนรีบหันไปมองเขาครู่หนึ่ง แต่กลับเห็นรอยยิ้มสดใสโต้ตอบกลับมา ทำให้ซีเหมินจินเหลียนหมดคำพูด ทำได้แค่ส่ายหัวยิ้มออกไป คนคนนี้จะทำอย่างไรกับเขาดีนะ คอยแต่เป่าหูเธอไม่ให้ขายให้กับบ้านตระกูลหลินเพื่ออะไรกัน? ถึงแม้คิดจะเปิดบริษัทจิวเวอรี่จริงๆ แต่ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องซื้อของตระกูลหลินนี่น่า 


 


 


“อ้อ?” ประธานเฉินไม่เข้าใจ 


 


 


“คือแบบนี้ครับ…” จ่านป๋ายเริ่มแจกแจง “เมื่อคุณหลินเห็นสินค้าจึงตั้งใจที่จะซื้อ เพียงแต่ว่า…” พูดไปเขาก็ตั้งใจถอนหายใจออกมา 


 


 


“ที่แท้เป็นแบบนี้นี่เอง!” ประธานเฉินยิ้มออกมา “งั้นก็ได้ครับ พวกเราจะรอ ถ้าหากว่าคุณหลินไม่ซื้อ พวกเราก็มาเจรจาราคากันเป็นอย่างไรครับ?” 


 


 


 


 


 


 


 


 


ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้า กำลังพูดขึ้น แต่ประธานหม่ายิ้มแล้วชิงพูดออกไปก่อน “นั่นคุณหลินนี่ครับ?” 


 


 


ข้างนอก หลินเสวียนหลานกำลังเดินเข้ามา สีหน้าของเขาดูไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่นัก เมื่อเห็นประธานเฉินและประธานหม่านั่งอยู่กับซีเหมินจินเหลียน เขาก็ขมวดคิ้วเข้าหากันทันที แต่ก็ยังเดินเข้าไปหา 


 


 


“พี่หลิน เป็นอย่างไรคะ” ซีเหมินจินเหลียนถามต่อ “คุณปู่หลินว่าอย่างไรบ้าง” 


 


 


“คือ…” หลินเสวียนหลานไม่รู้จะพูดอย่างไร แต่ก็ยังมีความกล้าพอที่จะพูดออกมา “จินเหลียน ผมสามารถติดเงินคุณไว้ก่อนได้ไหมครับ?” 


 


 


“ได้อย่างไรกันครับ!” จ่านป๋ายไม่ได้หันไปมองซีเหมินจินเหลียน เขาชิงพูดออกไปก่อนว่า “หยกสีควันม่วงในราคายี่สิบล้านแบบนี้ ถึงคุณหลินกับคุณซีเหมินจะรู้จักคุ้นเคยกัน แต่ก็ไม่สามารถพูดจะติดเงินไว้ก่อนก็ติดกันได้แบบนี้นะครับ อีกอย่างหยกก้อนนี้ก็ยังเป็นที่ต้องการของคนอื่นอีกมากมาย สามารถขายออกไปได้ง่ายๆ แบบไม่ต้องกังวลใจอะไรเลย” 


 


 


หลินเสวียนหลานได้แต่ถอนหายใจออกมาเบาที่สุด เขาหันหน้าไปขอร้องความเมตตาจากซีเหมินจินเหลียน ส่วนซีเหมินจินเหลียนเกือบจะใจอ่อนตอบตกลง แต่ยังฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าถ้าครั้งนี้ช่วยเขาไว้ แล้วครั้งหน้า? ครั้งต่อๆ ไป และไหนจะอนาคตอีกล่ะ? คงจะไม่ต้องยกหยกให้แก่บ้านตระกูลหลินไปแบบไม่มีเงื่อนไขอย่างนั้นเหรอ? 


 


 


เธอรับประกันได้เลยว่า ถ้าวันนี้เธอยกหยกก้อนนั้นให้กับหลินเสวียนหลานไป ก็เท่ากับว่าเธอก็ไม่อยากได้เงินอะไรแล้ว นอกจากนั้นถ้าเริ่มมีครั้งแรก ครั้งต่อไปถ้าหลินเสวียนหลานปริปากเอ่ยออกมา เธอก็ไม่รู้จะปฏิเสธอย่างไรดี 


 


 


“พี่หลิน…” ซีเหมินจินเหลียนข่มใจพูดต่อไป “พี่ก็รู้ว่าฉันไม่ใช่คนที่มีฐานะอะไร การมาที่เจียหยางครั้งนี้ ก็ซื้อหยกมาพอสมควร ฉันอยากจะไปงานประมูลหยกต่อ แต่ว่าฉันก็ไม่มีเงินเหมือนกัน ฉันก็หวังที่จะได้เงินจากการขายหยกสีควันม่วงชิ้นนี้มาเป็นเงินต่อยอดต่อไปนะคะ” 


 


 


“ก็ได้ครับ” หลินเสวียนหลานถอนหายใจเฮือกใหญ่ “รอผมมีเงินแลว ถ้าหากคุณมีหยกเนื้องามที่อยากจะขายอีก ก็อย่าลืมบอกผมด้วยนะครับ” 


 


 


“ตกลงค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนรับปาก 


 


 


“คุณซีเหมิน!” ประธานเฉินและประธานหม่าพูดออกมาพร้อมกัน “ในเมื่อคุณหลินไม่ซื้อแล้ว อย่างนั้นคุณจะขายหยกสีควันม่วงก้อนนี้ให้กับเราได้หรือเปล่าครับ” 


 


 


“แน่นอนอยู่แล้วค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนตอบ “เมื่อสักครู่ฉันตกลงขายให้คุณหลินในราคายี่สิบล้าน ถ้าพวกคุณต้องการ ฉันก็จะขายให้ในราคานี้ค่ะ” 


 


 


ประธานเฉินมองประธานหม่า ประธานหม่าจึงยิ้มกรุ้มกริ่มแล้วพูดว่า “ประธานเฉิน คุณก็ยอมสักครั้งไม่ได้หรือ?” 


 


 


“ก็ได้ คุณและผมต่างเป็นพี่น้องกัน จะต้องเกรงใจอะไร!” ประธานเฉินกล่าว 


 


 


ประธานหม่ามัวแต่ขอโทษอยู่นั่น จากนั้นจึงถามเลขบัญชีธนาคารของซีเหมินจินเหลียน โทรศัพท์ต่อสายไปหาธนาคารให้โอนเงินทันที ไม่นานซีเหมินจินเหลียนก็ได้รับข้อความแจ้งเตือนเข้ามาจากธนาคาร 


 


 


ต่อมาโทรศัพท์ของเธอก็ดังขึ้น เป็นเบอร์ของธนาคารโทรมาหาเธอด้วยน้ำเสียงนิ่มนวลและเกรงใจ พร้อมรายงานว่าเงินของเธอได้เข้าบัญชีแล้ว ซีเหมินจินเหลียนจึงส่งหยกก้อนนั้นไปให้ประธานหม่า พร้อมหยิบกระดาษปากกามาเขียนเบอร์โทรศัพท์ของเธอให้แก่เขา 


 


 


ประธานหม่าพึงพอใจเป็นอย่างมาก จึงรีบจดเบอร์ของเธออย่างว่องไว พร้อมกับแลกเบอร์โทรศัพท์ของเขาให้เธอเช่นกัน อาชีพการเดิมพันหยกนี้ วงการช่างใหญ่โตนัก นักธุรกิจค้าขายอัญมณีแม้จะไม่น้อย แต่ทุกคนกลับขาดวัตถุดิบจากหยก การมีเบอร์โทรศัพท์เอาไว้ก็ถือเป็นการเพิ่มหนทางให้กับตัวเอง 


 


 


สายตาของหลินเสวียนหลานได้แต่มองหยกก้อนนั้นที่ตกไปอยู่ในมือของประธานหม่าอย่างเงียบๆ ในใจได้แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมเรื่องถึงเป็นแบบนี้ไปได้? แต่นี่ก็โทษซีเหมินจินเหลียนไม่ได้ ที่จ่านป๋ายพูดก็ถูก ของราคายี่สิบล้าน ไม่ใช่จะพูดว่าติดเงินก็จะติดได้… 


 


 


“จินเหลียน เที่ยงนี้คุณว่างไหมครับ” หลินเสวียนหลานถาม 


 


 


“หืม? ทำไมเหรอคะ” ซีเหมินจินเหลียนไม่เข้าใจ 


 


 


“ขอผมเลี้ยงข้าวคุณได้ไหม” หลินเสวียนหลานพูด การประมูลหยกครั้งนี้คงต้องฝากความหวังไว้ที่เธอ การคาดเดาของคุณปู่ถือว่าถูกต้อง เธออาจจะเป็นศิษย์ฝ่ายใต้ เพียงแต่ว่าแผนเดิมของเขามีการเปลี่ยนแปลงนิดหน่อย 


 


 


“พี่หลิน พี่เลี้ยงข้าวเช้าฉันไปแล้วนะคะ ยังจะเลี้ยงข้าวเที่ยงอีกเหรอ ไม่ใช่ว่าจะเลี้ยงมื้อเย็นอีกนะคะ หรือพี่คิดจะเลี้ยงฉันทั้งวันด้วยหรือเปล่าคะ” ซีเหมินจินเหลียนพูดจาล้อเขา “ถ้าอย่างนั้นฉันเลี้ยงข้าวเที่ยงพี่ดีไหมคะ พี่ดูสิข้างนอกฝนตกแบบนี้ คงไม่หยุดเร็วๆ นี้แน่ ถ้าอย่างนั้นก็กินที่นี้ก็แล้วกันนะคะ?” 


 


 


หลินเสวียนหลานคิดดูแล้ว ก็เห็นด้วยกับเธอ ในส่วนของประธานหม่ากับประธานเฉินส่งสายตาสื่อกันพลางลุกขึ้นยืน “พรุ่งนี้เป็นงานประมูลแล้ว อากาศในวันนี้เกรงว่าไม่ได้ออกไปไหนแน่ๆ ช่างเถอะ พวกเราก็กลับห้องไปดูโทรทัศน์ดีกว่า” 


 


 


จากนั้นทั้งคู่ก็ออกไป แต่จ่านป๋ายยังคงนั่งนิ่งไม่ขยับไปไหน ซีเหมินจินเหลียนไม่อยากจะนั่งต่ออีกแล้วจึงลุกขึ้นไปบอกลาหลินเสวียนหลาน พวกเขานัดเวลาไว้สิบเอ็ดโมงครึ่งค่อยเจอกัน 


 


 


เมื่อซีเหมินจินเหลียนและจ่านป๋ายเดินแยกออกไปแล้ว รอยยิ้มที่อยู่บนใบหน้าของหลินเสวียนหลานก็พลันหายไป ในขณะกำลังหันหลังจะกลับห้องตัวเอง สายตาก็เห็นลู่เฟยอวี๋เข้าอย่างจัง 


 


 


“คิดจะเลี้ยงข้าวยัยดอกบัวทอง[1]หรือ?” ลู่เฟยอวี๋หน้านิ่งพูดจากระแทกแดกดัน 


 


 


อารมณ์เบิกบานของหลินเสวียนหลานได้ถูกทำลายลงแล้ว เมื่อได้ยินคำพูดของเธอเช่นนั้นจึงหันหลังเดินหนีไปขึ้นลิฟต์อย่างไม่สนใจ จนลู่เฟยอวี๋รีบเดินจ้วงๆ มาขวางทางเขาเอาไว้ 


 


 


“เฟยอวี๋ คุณจะทำอะไร” หลินเสวียนหลานได้แต่ระงับใจให้สงบลงมาเพื่อที่จะคุยกับเธอ 


 


 


“คุณคิดว่าทำอะไรล่ะ?” ไม่ช้าเสียงของลู่เฟยอวี๋ก็สูงขึ้นมาหลายเดซิเบล “ฉันเป็นคู่หมั้นของคุณนะ แต่คุณกลับทิ้งฉันไปนัดกินข้าวกับผู้หญิงคนอื่น คุณคิดเห็นว่าฉันตายไปแล้วหรือยังไง?” 


 


 


 “ตลอดเวลาที่ผ่านมา ผมไม่เคยคิดว่าคุณเป็นคู่หมั้นของผม!” หลินเสวียนหลานใช้ความอดทนขั้นสูงสุดที่จะพูดกับเธอ พร้อมทิ้งคำพูดเย็นชาฟาดหน้าแล้วเดินจากไป 


 


 


เพียงแต่ว่าเมื่อลิฟต์เปิดออกมา หลินเสวียนหลานก็แทบจะทำตัวไม่ถูก เมื่อเห็นจ่านป๋ายยืนพิงอยู่ในลิฟต์อย่างขี้เกียจ กวักมือเรียกเขาให้เข้ามา 


 


 


 ภายใต้ความงุนงงของหลินเสวียนหลาน เขาก็ยังก้าวเท้าข้างหนึ่งเดินเข้ามาในลิฟต์ ส่วนสีหน้าของลู่เฟยอวี๋ยังตกใจจนซีดเผือด แต่เมื่อเห็นหลินเสวียนหลานกำลังหนีจึงตามเข้าไปด้วย ไม่นึกเลยวันนี้ความเร็วของลิฟต์เหมือนจะปิดเร็วกว่าทุกทีถึงสิบเท่า ถ้าเธอไม่ถอยหลังออกไปก่อน ป่านนี้จมูกเธอคงจะโดนหนีบไปแล้ว… 


 


 


 


 


 


 


 


 


[1] ดอกบัวสีทอง ชื่อของซีเหมินจินเหลียน 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม