ชายาหยุดเย้าข้าเสียทีเถิด 388-395

 ตอนที่ 388 ไม่ต้องหลอกตัวเองแล้ว


 


 


“เราต่างรู้ดีว่าข้าเป็นอะไร อวี้จื้อ เจ้าไม่ต้องหลอกตัวเองแล้ว


 


 


ถึงแม้จะตายเร็วไปหน่อย แต่ข้าก็ไม่ได้เสียดายอะไรมาก ชีวิตนี้นับว่าเกิดมาไม่เสียเปล่าแล้ว อะไรที่ควรกิน อะไรที่ควรใช้ อะไรที่ควรเห็น อะไรที่ควรรู้สึก ข้าก็ผ่านมาหมดแล้ว


 


 


สิ่งเดียวที่เสียดายก็คือไม่สามารถเห็นผู้หญิงที่ข้ารักได้อีกแล้ว แต่ข้ารู้ว่า นางจะมีชีวิตที่ดี อวี้จื้อ เจ้าไม่ต้องรู้สึกผิด เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า ข้าโชคไม่ดีเอง”


 


 


มู่หรงนี่อวิ๋นพยายามเหยียดปากเป็นรอยยิ้ม ยิ้มให้หลิงอวี้จื้อ


 


 


หลิงอวี้จื้อตาเริ่มแดง


 


 


“เจ้าอย่าพูดจาเหลวไหล เจ้าผ่านอะไรมาบ้าง ใครว่าไม่น่าเสียดาย น่าเสียดายชัดๆ นี่อวิ๋น เหตุใดเจ้าโง่เช่นนี้ กอดขาชุนเหนียงไว้ทำไม เห็นๆ อยู่ว่าเจ้าหลบไปได้ เจ้านี่โง่เง่าจริงๆ”


 


 


“ถ้าข้าหลบไปแล้ว นางก็ทำร้ายเจ้าได้สิ


 


 


อวี้จื้อ ข้าเป็นผู้ชาย จะทนเห็นเจ้าบาดเจ็บได้อย่างไร อีกอย่างสุดท้ายเจ้าก็ช่วยชีวิตข้าไว้ มิเช่นนั้นตอนนี้ข้าคงตายไปแล้ว พวกเราถือว่าหายกันแล้ว เจ้าห้ามรู้สึกผิดเด็ดขาด มิเช่นนั้นข้าจะไปปรโลกอย่างไม่สบายใจ”


 


 


มู่หรงนี่อวิ๋นอยากกอดหลิงอวี้จื้อเหลือเกิน แต่เขาไม่กล้า กลัวว่าเลือดบนตัวจะไปเปื้อนตัวหลิงอวี้จื้อ เขากลายเป็นเช่นนี้แล้ว เขายอมรับ แต่ไม่ว่าอย่างไร เขาก็จะไม่ทำให้หลิงอวี้จื้อได้รับอันตราย


 


 


อวิ๋นซั่วได้ข่าวก็ตามมาทันที เห็นศพไร้หัวบนพื้นก็เครียดขึ้นมาทันที นั่นไม่ใช่ชุนเหนียงหรอกหรือ นี่คือศพที่เขาฝังเองกับมือ เหตุใดถึงมาโผล่บนถนนใหญ่ได้


 


 


แล้วแผลบนตัวมู่หรงนี่อวิ๋นมาจากไหน แผลนั้นเหมือนโดนอะไรกัดทึ้ง หรือว่าเรื่องราวมันไม่เหมือนกับที่เขาคิด


 


 


หลิงอวี้จื้อก้มหน้า น้ำตาไหลรินหยดแหมะๆ


 


 


“เจ้าจะไม่เป็นอะไร นี่อวิ๋น พวกเรากลับไปก่อนนะ กลับไปแล้วค่อยคิดหาวิธี ตอนนี้สำนักอู๋จี๋ก็อยู่ที่นี่ จะบุกเข้าไปในสำนักอู๋จี๋อีกครั้งก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่”


 


 


หลิงอวี้จื้อยื่นมือไปอีกครั้ง จะประคองมู่หรงนี่อวิ๋นขึ้นมา


 


 


คราวนี้มู่หรงนี่อวิ๋นยังคงผลักไสหลิงอวี้จื้อเช่นเดิม


 


 


“ข้าไม่กลับไป อวี้จื้อ หากข้ากลายเป็นนักรบไร้ชีพจะทำให้ทุกคนลำบาก อู่จิ้น เจ้ายังยืนเหม่ออะไรอยู่ ยังไม่พาหลิงอวี้จื้อกลับไปอีก”


 


 


อู่จิ้นก็รู้ว่าเรื่องนี้ร้ายแรงนัก ตอนนี้มู่หรงนี่อวิ๋นไม่มีทางเลือกเหลือแล้ว แม้จะกลับไปได้แล้ว พวกเขาก็ไม่มีวิธีการใด ทำได้เพียงมองดูเขาพิษกำเริบกลายเป็นนักรบไร้ชีพต่อหน้าต่อตา


 


 


พอหนานเยียนตายไปแล้ว หลิงอวี้จื้อก็เศร้าใจอยู่นาน หากมู่หรงนี่อวิ๋นก็ตายเพราะเหตุนี้เช่นเดียวกัน เกรงว่าหลิงอวี้จื้อคงจะรับไม่ไหว มิตรภาพของทั้งสองคน นางเห็นจนเป็นที่ประจักษ์แล้ว


 


 


“พี่สะใภ้ เกิดอะไรขึ้นกันแน่”


 


 


“อวิ๋นซั่ว เจ้ากับข้าช่วยกันประคองนี่อวิ๋นขึ้นมาที พวกเรากลับไปก่อน อู่จิ้น เจ้าเผาศพของชุนเหนียงเถิด ตัดไฟเสียตั้งแต่ต้นลม ต้องทำเช่นนี้เท่านั้นชุนเหนียงถึงจะตายอย่างสงบจริงๆ”


 


 


หลิงอวี้จื้อเศร้าโศกเสียใจ แต่พยายามควบคุมตนเองไว้ให้น้ำเสียงของตนเองเป็นปกติ อวิ๋นซั่วพอจะเข้าใจได้บ้างแล้ว เขาเข้าไปช่วยหลิงอวี้จื้อออกแรงยกมู่หรงนี่อวิ๋นขึ้นมาจากพื้น


 


 


เห็นหลิงอวี้จื้อยืนกรานเช่นนี้ คราวนี้มู่หรงนี่อวิ๋นไม่ได้ต่อต้านอีก หากตนเองถูกจัดการไปอย่างนี้ หลิงอวี้จื้อรับไม่ได้แน่นอน พิษนี้ก็ไม่ได้ออกฤทธิ์เร็วขนาดนั้น เขากลับไปก่อน รอโอกาสเหมาะค่อยจากไปอย่างเงียบๆ


 


 


สองคนประคองมู่หรงนี่อวิ๋นขึ้นมา มั่วชิงเพิ่งจะตามมาอย่างรีบร้อน นางมองหาชุนเหนียงไปทั่วแต่ไม่เห็นตัวแล้ว คราวนี้มองเห็นศพของชุนเหนียง ใจที่เป็นกังวลก็ผ่อนคลายลง


 


 


จากนั้นนางมองเห็นแผลของมู่หรงนี่อวิ๋น ก็เข้าใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ไม่ได้ถามอะไรมากความ คิดในใจว่าจะไปรับตัวมู่หรงนี่อวิ๋นมาจากหลิงอวี้จื้อ


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 389 ไม่เสียใจภายหลัง แต่เสียดายอย่างยิ่ง


 


 


หลิงอวี้จื้อไม่ยอมปล่อยมือ มู่หรงนี่อวิ๋นทำหน้ารังเกียจพลางพูดว่า


 


 


“อวี้จื้อ เจ้าเตี้ยเกินไป ประคองข้าไม่สบายเลย ให้มั่วชิงมาประคองข้าเถิด”


 


 


เขากลัวว่าเลือดของตัวเองจะไปเปื้อนหลิงอวี้จื้อ จึงได้แต่อ้างเหตุผลเช่นนี้


 


 


เห็นตนเองโดนรังเกียจเช่นนี้ เมื่อคิดถึงว่าความสูงของตนเองกับของอวิ๋นซั่วก็แตกต่างกันมาก จึงยอมปล่อยมือแต่โดยดี แล้วไปเดินตามข้างหลัง


 


 


เมื่อกลับไปแล้ว พวกนางไม่ได้เชิญหมอมา มั่วชิงทำแผลเป็นอยู่แล้ว จึงพันแผลให้มู่หรงนี่อวิ๋นเอง


 


 


หลิงอวี้จื้อกับอวิ๋นซั่วเฝ้าอยู่ข้างๆ นึกถึงที่อวิ๋นซั่วบอกว่าไปช่วยคนจากไฟไหม้มาเมื่อช่วงหัวค่ำ หลิงอวี้จื้อก็ถามว่า


 


 


“อวิ๋นซั่ว เจ้าบอกความจริงมา วันนี้เจ้าเจอชุนเหนียงมาใช่หรือไม่”


 


 


เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว อวิ๋นซั่วก็ไม่ได้ปิดบังหลิงอวี้จื้อต่อ พูดว่า


 


 


“ข้าเจอนางมาจริงๆ วันนี้ข้าเห็นชุนเหนียงออกไปข้างนอกท่าทางลับๆ ล่อๆ ข้าจึงตามออกไปด้วย นึกไม่ถึงว่าชุนเหนียงจะเดินไปถึงกระท่อมฟางตามลำพัง ซ้ำยังจุดไฟเผากระท่อมฟางด้วย


 


 


ตอนแรกข้าคิดจะช่วยชีวิตชุนเหนียง ผลสุดท้ายช่วยนางออกมาไม่ได้ ข้าจึงฝังนางไว้ในเรือนหลังนั้น”


 


 


“ที่แท้เจ้าก็เป็นคนฝังนี่เอง ตอนที่อวี้จื้อสอบถามเจ้า เหตุใดเจ้าต้องปิดบัง มิน่าชุนเหนียงถึงฆ่าตัวตาย นางรู้ว่าตนเองโดนพิษนักรบไร้ชีพแน่นอน เพื่อไม่ให้ทุกคนพลอยเดือดร้อนจึงอยากจบชีวิตตนเองเสีย


 


 


พิษนักรบไร้ชีพแพร่ระบาดง่ายมาก เพียงมีแผลปริเล็กน้อย หากแตะโดนเลือดคนที่มีพิษปลุกเสกนี้ก็จะติดทันที อวิ๋นซั่ว เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้าเกือบทำให้คนทั้งตำบลเถาหยวนต้องตาย ยังดีที่พวกเราไปทันเวลา มิเช่นนั้นตำบลเถาหยวนจบเห่แน่”


 


 


มู่หรงนี่อวิ๋นพูด


 


 


อวิ๋นซั่วเองก็รู้สึกผิดมาก ก้มหน้าลงไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไร


 


 


มิน่าตอนที่ชุนเหนียงจะตายถึงขอร้องให้เขาโยนศพนางเข้ากองไฟ เขานึกว่าชุนเหนียงโดนขู่อะไรมา ไม่นึกเลยว่าเหตุผลเบื้องหลังจะเป็นเช่นนี้ไปได้ จะว่าไปแล้วเขานั่นแหละที่ทำร้ายมู่หรงนี่อวิ๋น เขานั่นแหละที่ไม่เชื่อหลิงอวี้จื้อ ถึงได้คาดเดาไปอย่างนั้น


 


 


“ขอโทษ…ตอนนั้นข้ากลัวเกินไป ดังนั้นจึงไม่กล้าพูด ข้านึกไม่ถึงจริงๆ ว่าชุนเหนียงตายแล้วจะกลายเป็นเช่นนี้”


 


 


อวิ๋นซั่วก้มหน้าลงต่ำมาก ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองหลิงอวี้จื้อกับมู่หรงนี่อวิ๋น


 


 


“เรื่องนี้ก็โทษอวิ๋นซั่วไม่ได้ ผู้ร้ายตัวจริงคือสำนักอู๋จี๋ องค์กรนี้ทุเรศเกินไปแล้ว”


 


 


เมื่อพูดถึงสำนักอู๋จี๋อีก หลิงอวี้จื้อก็ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน หนานเยียนตายเพราะพวกนาง เซียวเหยี่ยนก็บาดเจ็บเพราะพวกนาง


 


 


ตอนนี้มู่หรงนี่อวิ๋นก็มากลายเป็นเช่นนี้ แต่ในช่วงเวลานี้เธอทำอะไรสำนักอู๋จี๋ไม่ได้เลย องค์กรลัทธิมารนี้รากฐานมันหยั่งลึกเสียยิ่งกว่าที่เธอจินตนาการไว้ ไม่ใช่สำนักฝึกวิทยายุทธ์ธรรมดาทั่วไปในยุทธภพ


 


 


มั่วชิงพันแผลมู่หรงนี่อวิ๋นไปพลาง พูดไปพลาง


 


 


“คุณหนูเจ้าคะ เมื่อครู่ข้าตรวจดูสภาพชีพจรของคุณชายมู่หรงอย่างละเอียดแล้ว ชีพจรของเขาไม่มีจุดผิดปกติใดๆ ไม่มีสัญญาณของการโดนพิษ


 


 


หากโดนพิษนักรบไร้ชีพแล้ว บาดแผลก็จะเน่าเปื่อย และยังมีตุ่มพุพอง จะยืนยันเรื่องนี้ได้ ก็ต้องดูให้รู้ชัดก่อนว่าบริเวณแผลของคุณชายมู่หรงจะมีตุ่มพุพองหรือไม่ หากไม่มีอาการเหล่านี้ เช่นนั้นก็ยืนยันได้ว่าไม่ใช่พิษนักรบไร้ชีพเจ้าค่ะ”


 


 


คำพูดของมั่วชิงให้ความหวังอันยิ่งใหญ่แก่พวกเขา หลิงอวี้จื้อถามด้วยสีหน้าดีใจ


 


 


“จริงหรือ มั่วชิง มีความเป็นไปได้เช่นนี้จริงหรือ”


 


 


มั่วชิงพยักหน้าอย่างหนักแน่น


 


 


“ยืนยันว่าเป็นไปได้เจ้าค่ะ ชุนเหนียงไม่เหมือนนักรบไร้ชีพทั่วไป นักรบไร้ชีพมิได้เก่งกาจขนาดนี้ ข้ากลับนึกถึงความเป็นไปได้อีกอย่างหนึ่ง”


 


 


ได้ยินว่าตนเองอาจจะไม่ได้โดนพิษนักรบไร้ชีพ มู่หรงนี่อวิ๋นก็ลอบถอนหายใจ


 


 


ตอนนี้เขาไม่อยากตาย ก็เหมือนกับที่หลิงอวี้จื้อบอก หากเขาตายไปตอนนี้ ก็น่าเสียดายไปเสียทุกอย่าง อย่างเดียวที่รู้สึกคุ้มค่า ก็คือการตายเพื่อช่วยนาง เขารู้สึกว่าคุ้มค่าแล้ว เขาไม่เสียใจภายหลัง แต่เสียดายอย่างยิ่ง


ตอนที่ 390 ไม่ให้เจ้าตาย


 


 


“คงไม่ได้นึกถึงยาคืนชีพหรอกนะ!”


 


 


หลิงอวี้จื้อถามหยั่งเชิง


 


 


นางเคยได้ยินสาวใช้ที่สำนักอู๋จี๋พูดถึงยาคืนชีพเมื่อก่อนหน้านี้


 


 


ตอนนั้นรู้สึกแค่ว่าไม่มีทาง เรื่องทั้งหมดนั้นเป็นคำพูดที่ไม่มีมูลความจริง


 


 


ตอนนี้ในที่สุดก็เข้าใจว่าการฟื้นคืนชีพที่เจียงสือพูดถึงหมายถึงอะไร หากได้ชีวิตคืนมาในรูปแบบนี้ เช่นนั้นสู้นอนอยู่ในดินตลอดไปไม่ดีกว่าหรือ


 


 


เช่นนี้เรียกว่ามีชีวิตเสียที่ไหน อย่างนี้เรียกว่ากลายเป็นสัตว์ประหลาดชัดๆ ไม่ว่าใครก็ไม่อยากตายแล้วกลายเป็นแบบนี้เพื่อมีชีวิตอยู่ต่อไป


 


 


มั่วชิงพยักหน้า


 


 


“เป็นไปได้สูงเจ้าค่ะ ตอนที่ข้ายังไม่ออกจากสำนักอู๋จี๋ อาจารย์ก็เริ่มฝึกปรุงยาคืนชีพแล้ว พวกเรากลับไปสำนักอู๋จี๋คราวนี้ ข้าบังเอิญได้รู้จากปากสาวใช้ว่ายาคืนชีพยังปรุงไม่สำเร็จ ดูเหมือนจะขาดไปอีกนิดเดียว”


 


 


“หากเป็นเพราะยาคืนชีพจริง เจียงสือจะเอามาใช้กับชุนเหนียงได้อย่างไร หรือว่าเอานางมาเป็นหนูทดลอง”


 


 


หลิงอวี้จื้อยิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่ามีความเป็นไปได้ ตอนนี้เธอยืนยันได้เพียงอย่างเดียวว่าไม่ใช่นักรบไร้ชีพ เช่นนี้ใจถึงได้รับได้หน่อย มิเช่นนั้นเธอคงกระวนกระวายนั่งไม่ติด


 


 


“ชุนเหนียงจะเป็นหนูทดลองได้อย่างไร”


 


 


มู่หรงนี่อวิ๋นไม่เข้าใจความหมายของหลิงอวี้จื้อ ถามด้วยความอยากรู้


 


 


“หมายถึงวัตถุทดลองอย่างไรเล่า ใช่สิ คำว่าวัตถุทดลองเจ้าก็ไม่เข้าใจ เช่นนั้นอย่าถามดีแล้ว”


 


 


มั่วชิงลุกขึ้น หยิบผ้าไปเช็ดมือ


 


 


“คุณชายมู่หรง พันแผลเสร็จแล้ว ตอนค่ำนอนหลับพักผ่อนให้ดีๆ นะเจ้าคะ ท่านไม่เป็นอะไรแล้ว”


 


 


“รบกวนเจ้าแล้วมั่วชิง”


 


 


“ข้าสมควรทำ คุณชายมู่หรงไม่ต้องเกรงใจเจ้าค่ะ”


 


 


“เอาละ มั่วชิง เจ้ารีบไปพักผ่อนเถิด!”


 


 


มั่วชิงรู้ว่าพวกเขามีเรื่องพูดต่อ พยักหน้าแล้วออกไปก่อน


 


 


“พี่สะใภ้ พวกเจ้ายังไม่ได้ทานข้าวเย็น ข้าไปห้องครัวทำอะไรให้พวกเจ้ากินสักหน่อย”


 


 


อวิ๋นซั่วพูดจบก็ออกไป ก่อนนี้เขากับมู่หรงนี่อวิ๋นลับฝีปากกันเป็นประจำ พอเห็นมู่หรงนี่อวิ๋นกลายเป็นเช่นนี้แล้ว ซ้ำยังเกี่ยวข้องกับตนเองอีก เขาจึงมีท่าทีสุภาพกับมู่หรงนี่อวิ๋นขึ้นมากทีเดียว


 


 


“เจ้ารู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง”


 


 


เพื่อให้หลิงอวี้จื้อสบายใจ มู่หรงนี่อวิ๋นจึงทำหน้าผ่อนคลาย ยิ้มพลางพูดว่า


 


 


“ข้าไม่เป็นอะไรเลย อวี้จื้อ นึกไม่ถึงว่าเจ้าก็เป็นห่วงข้ามากเหมือนกัน”


 


 


“เจ้าเป็นเพื่อนสนิทของข้า เมื่อเจ้าลำบากข้าก็ไม่สามารถยืนนิ่งดูดายอยู่แล้ว อีกอย่างเจ้าได้รับบาดเจ็บก็เพราะข้า ข้าจะบอกเจ้าให้ เจ้าจะเป็นอะไรไปไม่ได้ มิเช่นนั้นต่อไปเวลาข้าเผากระดาษเงินกระดาษทอง ก็จะไม่เผาให้เจ้า”


 


 


“เจ้าไม่ต้องเผากระดาษให้ข้าหรอก หากข้าตายจริงๆ ข้าจะมาตามหลอกหลอนเจ้าทุกวัน”


 


 


มู่หรงนี่อวิ๋นพูดล้อเล่น


 


 


“ถุยๆ พูดแต่เรื่องอัปมงคล ยังหนุ่มยังแน่น ตายเตยอะไร นี่อวิ๋น เจ้าต้องรับปากข้า เจ้าจะต้องไม่เป็นอะไร หายากนักที่ข้าจะมีเพื่อนรักร่วมเป็นร่วมตายมาด้วยกัน หากเจ้าไม่อยู่ข้างกายข้าแล้วจริงๆ ข้าก็คงจะเหงามาก”


 


 


แววตาหลิงอวี้จื้อเต็มไปด้วยความกังวล ครั้งนี้เธอไม่ได้ล้อเล่น น้ำเสียงจริงจังมาก


 


 


มู่หรงนี่อวิ๋นไม่นึกว่าหลิงอวี้จื้อจะพูดกับเขาเช่นนี้ เขาไม่เคยคิดเลยว่าตนเองจะมีความสำคัญต่อใจของหลิงอวี้จื้อมากขนาดนี้ ในใจเขารู้สึกชอบมาก แต่ไม่ได้แสดงอาการออกมาทางสีหน้า


 


 


“มีท่านอ๋องอยู่กับเจ้า เจ้าจะเหงาได้อย่างไร เขาต้องดูแลเจ้าแน่นอน”


 


 


“เจ้าไม่เหมือนกับอาเหยี่ยน อาเหยี่ยนเป็นคนที่ข้ารัก เจ้าเป็นคนที่ข้าสนิท สนิทยิ่งกว่าพี่ชายของข้าอีกนะ เรื่องที่ข้าคุยกับอาเหยี่ยนไม่ได้ ข้าก็คุยกับเจ้าได้หมด นี่อวิ๋น ข้าอยากบอกขอบคุณเจ้ามาตลอด ขอบคุณที่เจ้ากลายเป็นเหมือนพี่น้องคนสนิทของข้า ข้ารู้สึกโชคดีมาก”


 


 


ใจของมู่หรงนี่อวิ๋นทั้งโศกเศร้าทั้งอิ่มเอม เขาไม่มีวันได้เป็นคนที่หลิงอวี้จื้อรัก ตำแหน่งของเขาก็คงเป็นได้เท่านี้กระมัง


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 391 สิ่งที่ควรเห็น ข้าก็เห็นหมดแล้ว


 


 


ได้เป็นคนสนิทกับนางตลอดไปก็ดี เช่นนี้จึงสามารถอยู่เคียงข้างนางได้อย่างเปิดเผย


 


 


เดิมทีเขาอยากถือโอกาสนี้บอกความในใจกับหลิงอวี้จื้อ เขากลัวว่าต่อไปจะไม่มีโอกาสพูดอีก


 


 


ตอนนี้เมื่อได้ยินคำพูดของหลิงอวี้จื้อ เขาก็ตัดสินใจว่าให้คำพูดเหล่านั้นย่อยสลายอยู่ในใจ กลายเป็นความลับ เช่นนี้คงเป็นบทสรุปที่ดีที่สุดของพวกเขาสองคน เขาไม่สามารถทำลายบทสรุปนี้ได้


 


 


“นั่นเพราะจื่อเฉิงทำหน้าที่พี่ชายไม่ดีพอ กลับไปแล้วข้าต้องต่อว่าเขาสักหน่อย บอกว่าน้องสาวเขายังดูถูกเขาเลย”


 


 


“เจ้ากล้ารึ”


 


 


หลิงอวี้จื้อถลึงตาใส่มู่หรงนี่อวิ๋น


 


 


มู่หรงนี่อวิ๋นหัวเราะเสียงดัง หัวเราะทีสะเทือนไปถึงแผล เขาจึงหัวเราะเบาลงทันที


 


 


“คำขู่ของเจ้าไม่มีผลต่อข้าหรอกอวี้จื้อ ข้าอยากนอนแล้ว เจ้ารีบไปอยู่เป็นเพื่อนท่านอ๋องเถิด ไปดูหน่อยว่าเขาตื่นหรือยัง


 


 


ก่อนหน้านี้เจ้าหนูอวิ๋นซั่วเหม็นหน้าข้ามาตลอด เดี๋ยวเขามาแล้ว ข้าจะต้องฉวยโอกาสนี้จัดการเขาสักหน่อย เจ้าเป็นพี่สะใภ้เขา ข้ากลัวเจ้าจะสงสาร รีบไปเถิด”


 


 


“จัดการได้ตามสบาย ข้าสนิทกับเจ้ามากกว่าอีก ข้าจะไปสงสารเขาทำไม จำไว้ว่ามีอะไรเรียกข้านะ พรุ่งนี้ข้าจะมาดูเจ้าใหม่”


 


 


หลิงอวี้จื้อก็อยากไปดูเซียวเหยี่ยนอยู่เหมือนกัน เขานอนนานขนาดนี้ ควรจะตื่นแล้ว


 


 


มู่หรงนี่อวิ๋นพยักหน้า โบกมือเป็นสัญญาณให้หลิงอวี้จื้อรีบไป


 


 


หลิงอวี้จื้อไปแล้ว มู่หรงนี่อวิ๋นถึงได้เงยหน้าขึ้นมาดูอย่างละเอียด บนฝ่ามือมีเส้นสีดำชัดเจนเส้นหนึ่งปรากฏขึ้นอย่างน่าประหลาด


 


 


เมื่อครู่ตอนที่เขากำลังคุยกับหลิงอวี้จื้อ เขาเหลือบเห็นโดยไม่ได้ตั้งใจ นึกว่าตนเองตาฝาด จึงรีบไล่หลิงอวี้จื้อออกไป เพื่อจะได้ดูให้ชัดๆ ว่ามือของตนเองเป็นอะไร


 


 


เดิมทีเขานึกว่าจะรอดพ้นทุกอย่างไปได้แล้ว ตอนนี้ดูท่าเขาคงไม่ได้โชคดีเช่นนั้น เพียงแต่เขาไม่รู้ว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้นกับตนเอง เส้นดำที่ปรากฏขึ้นอย่างฉับพลันนี้ไม่ใช่ลางดีแน่


 


 


หลิงอวี้จื้อกลับห้อง เซียวเหยี่ยนยังไม่ตื่น เธอมอมแมมไปทั้งตัว บนตัวยังมีรอยเลือดไม่น้อย เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เซียวเหยี่ยนเป็นห่วง เธอจึงเตรียมจะเปลี่ยนชุดใหม่ก่อน เพิ่งจะได้ใส่เสื้อชั้นใน จู่ๆ เซียวเหยี่ยนก็ลืมตาขึ้นมา


 


 


“อวี้จื้อ เจ้าทำอะไร”


 


 


เสียงของเซียวเหยี่ยนดังขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย หลิงอวี้จื้อตกใจจนมือสั่น เสื้อผ้าในมือหล่นพื้นหมด


 


 


“ท่านอย่าแอบดูข้านะ…ข้าขอใส่เสื้อให้เรียบร้อยก่อน”


 


 


หลิงอวี้จื้อพูดจาค่อนข้างตะกุกตะกัก เซียวเหยี่ยนตื่นขึ้นมาตอนนี้กระอักกระอ่วนใจจริงๆ เธอสวมเสื้อชั้นในแล้ว แต่ยังผูกไม่เสร็จ


 


 


“ให้ข้าช่วยเจ้าหรือไม่”


 


 


เซียวเหยี่ยนพิงหัวเตียง ถามด้วยใบหน้าเปี่ยมสุข


 


 


“ไม่ต้อง ไม่ต้อง ข้าทำเอง ท่านรีบหลับตาสิ อย่ามาแอบดู”


 


 


“สิ่งที่ควรเห็น ข้าก็เห็นหมดแล้ว”


 


 


หลิงอวี้จื้อไม่กล้าหันหน้าไป หันหลังให้เซียวเหยี่ยน


 


 


รู้สึกเหมือนข้างหลังมีแววตาที่เร่าร้อนแผดเผา หน้าเธอร้อนผ่าว ใจเต้นแรงเป็นพิเศษ ถึงแม้ว่าเธอจะเคยนอนร่วมเตียงเคียงหมอนกับเซียวเหยี่ยน แต่ตอนนั้นเธอเมาเหล้า จำอะไรไม่ได้เลย


 


 


คราวนี้สถานการณ์ไม่เหมือนกัน รู้เพียงแต่มือไม่ยอมฟังคำสั่ง ใจอยากจะรีบใส่เสื้อผ้าให้เสร็จให้เร็วที่สุด แต่มือดันไม่ยอมฟังคำสั่ง จะผูกเชือกอย่างไรก็ผูกไม่ได้สักที


 


 


หลิงอวี้จื้อเริ่มรำคาญแล้ว


 


 


“อาเหยี่ยน ท่านอย่ามองข้า รีบหลับตาเร็วเข้า”


 


 


“ข้าหลับตาอยู่ตลอด หากเจ้าไม่เชื่อ เจ้าหันมาดูได้”


 


 


ได้ยินคำนี้ หลิงอวี้จื้อก็ดูเหมือนจะหันไปตามสัญชาตญาณ พอหันไปแล้วก็เอามือตบหน้าผากหนึ่งที ทำไมตัวเองถึงเชื่อฟังแบบนี้ เซียวเหยี่ยนบอกให้เธอหันไป เธอก็ทำตามเงื่อนไขหันไปจริงๆ การกระทำเร็วกว่าใช้สมองคิด


 


 


เซียวเหยี่ยนเห็นหลิงอวี้จื้อทำหน้าแค้นใจ ก็หัวเราะเบาๆ จู่ๆ ก็ลุกขึ้นจากเตียง เดินมาตรงหน้าหลิงอวี้จื้อ


 


 


หลิงอวี้จื้อกล้ามองหน้าเซียวเหยี่ยนเสียที่ไหน ก้มหน้าลง


 


 


“คงคิดว่าข้าโง่มากสิ ต่อหน้าท่านแม้แต่เสื้อผ้าชุดเดียวยังใส่ไม่ได้ ข้ารู้สึกว่าตัวเองเหมือนคนปัญญาอ่อน”


ตอนที่ 392 เรื่องที่เจ้าทำไม่ได้ ข้าทำเอง


 


 


เซียวเหยี่ยนยื่นมือไปผูกเชือกให้หลิงอวี้จื้อ ทำอย่างอ่อนโยนและตั้งใจมาก ราวกับที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาเป็นสมบัติล้ำค่า น้ำเสียงอ่อนโยนหยดย้อยราวกับจะละลายกลายเป็นน้ำได้


 


 


“อวี้จื้อ ต่อไปเรื่องที่เจ้าทำไม่ได้ ข้าจะทำให้เจ้า”


 


 


หน้าหลิงอวี้จื้อแดงขึ้นไปอีก เงยหน้าขึ้น ใบหน้ามีรอยยิ้ม


 


 


“จริงหรือ”


 


 


“ข้าพูดจามีน้ำหนักและน่าเชื่อถือเสมอ”


 


 


“เรื่องนี้ท่านพูดเองนะ อาเหยี่ยน ข้าบอกท่านนะ เรื่องที่ข้าทำไม่ได้มีตั้งเยอะแยะ


 


 


ตอนแรกยังคิดอยู่ว่า ข้าจะต้องเรียนรู้การเป็นศรีภรรยาและมารดาที่ประเสริฐหรือไม่ ในเมื่อท่านพูดเช่นนี้แล้ว เช่นนั้นข้าก็ไม่ต้องเรียนแล้วสิ ต่อไปเรื่องเหล่านี้ข้าต้องรบกวนท่านแล้ว”


 


 


ดวงตาหลิงอวี้จื้อเป็นประกายระยิบระยับ ยิ้มร่ามองเซียวเหยี่ยน ใบหน้ายังแดงระเรื่อ ขนตายาวไหวกระพือ เซียวเหยี่ยนเริ่มใจลอย ยื่นมือออกไปประคองหน้าหลิงอวี้จื้อ ตอบรับเสียงต่ำ


 


 


“อยู่กับข้า เจ้าไม่ต้องเป็นศรีภรรยาและมารดาที่ประเสริฐ เจ้าแค่เป็นหลิงอวี้จื้อก็พอ”


 


 


หลิงอวี้จื้อตะลึง รู้สึกหวานชื่นอยู่ในใจ ตอนนี้เซียวเหยี่ยนพูดเก่งแล้ว พัฒนาการเร็วระดับเทพทีเดียว


 


 


เห็นเสื้อนอกของตนเองยังไม่ได้ผูกให้ดี ก็ร้องว้าย รีบหันกลับไปผูกเสื้อผ้าให้ดี เซียวเหยี่ยนถึงได้สังเกตเห็นเสื้อผ้าที่หลิงอวี้จื้อทิ้งไว้บนพื้นมีรอยเลือด สีหน้าขรึมทันที ถามว่า


 


 


“ข้างนอกเกิดเรื่องอะไรขึ้น”


 


 


หลิงอวี้จื้อหุบยิ้ม เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้เซียวเหยี่ยนฟังคร่าวๆ เมื่อเซียวเหยี่ยนได้ยินว่าสำนักอู๋จี๋ลงมือกับชุนเหนียง ก็รีบตรวจดูหลิงอวี้จื้อ ถามอย่างกังวล


 


 


“เจ้าคงได้รับบาดเจ็บกระมัง”


 


 


หลิงอวี้จื้อส่ายหน้า


 


 


“ข้าไม่เป็นอะไร แต่นี่อวิ๋น…”


 


 


“ไม่ต้องกังวล เขาไม่เป็นอะไรหรอก ถ้าโดนพิษนักรับไร้ชีพ เมื่อตายแล้วจะไม่กลายเป็นเช่นนุนเหนียง ชุนเหนียงไม่น่าจะโดนพิษนักรบไร้ชีพ แต่อาจจะเป็นไปได้ว่าเจียงสือปรุงยาคืนชีพได้แล้ว บางทีเจียงสืออาจจะยังไม่แน่ใจ จึงลองเอามาใช้กับชุนเหนียงก่อน ลองดูว่ายาคืนชีพของนางใช้ได้ผลหรือไม่”


 


 


“หากเป็นเช่นนี้ ก็ถือว่าไม่สำเร็จสิ ลักษณะของชุนเหนียงกับนักรบไร้ชีพไม่ได้แตกต่างกันสักเท่าไหร่ เจียงสือคืนชีพคนเช่นนี้เพื่ออะไร ข้าได้ยินสาวใช้ที่สำนักอู๋จี๋พูดว่า เมื่อก่อนเจียงสืออยากทำให้ท่านซีหนานอ๋องฟื้นคืนชีพ”


 


 


หลิงอวี้จื้อพูดจบก็ประคองเซียวเหยี่ยนกลับไปนอนบนเตียง เมื่อเอ่ยถึงบิดาของตนเอง แววตาเซียวเหยี่ยนก็มืดมน


 


 


“เจียงสือต้องการทำให้ท่านพ่อของข้าคืนชีพจริงๆ ทำเพื่อดูหมิ่นเขา ตอนนั้นท่านพ่อทำลายสำนักอู๋จี๋สิ้น นางเกลียดพ่อข้าเข้ากระดูกดำมาตลอด”


 


 


“นี่…นี่มันโรคจิตไปหน่อยแล้ว เช่นนี้ไม่ให้เกียรติคนตายเลย เจียงสือผู้หญิงคนนี้น่ากลัวเหลือเกิน อาเหยี่ยน อีกสองสามวันพวกเรากลับเมืองหลวงเถิด! ตอนนี้พอนึกถึงเจียงสือ ข้าก็รู้สึกขนลุกขนพองไปหมด”


 


 


เซียวเหยี่ยนพยักหน้า


 


 


“พวกเราควรกลับไปแล้วจริงๆ อย่ากลัว มีข้าอยู่ทั้งคน อีกสองสามวันจางผิงก็จะมาถึงแล้ว ถึงตอนนั้นสำนักอู๋จี๋ก็จะสลายหายไปจากโลกนี้อย่างสิ้นซาก และไม่ให้โอกาสให้พวกเขาได้กลับมาผงาดอีกแล้ว”


 


 


จางผิงก็เป็นแม่ทัพที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงคนหนึ่งของแคว้นเว่ยตะวันตก เคยเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเซียวเหยี่ยน ตอนนี้ตราพยัคฆ์อยู่ในมือเซียวเหยี่ยน เขาจะเกณฑ์ทหารมาก็ไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแค่ต้องใช้เวลาเท่านั้น หลิงอวี้จื้อรู้สึกโล่งใจ ลัทธิมารเช่นนี้ควรทำลายเสีย มิเช่นนั้นก็ยังไม่รู้ว่าจะทำอะไรนอกลู่นอกทางอีก


 


 


“อาเหยี่ยน ถึงตอนนั้นพวกท่านเตรียมใช้วิธีอะไรทำลายสำนักอู๋จี๋หรือ”


 


 


“แหกค่ายกลไม่ได้ ไฟสักกองก็เพียงพอ”


 


 


“เช่นนั้นพวกสาวใช้ในสำนักอู๋จี๋…”


 


 


หลิงอวี้จื้อมองเซียวเหยี่ยน เจตนาชัดเจนไปกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว


 


 


นั่นคือเธออยากถามเซียวเหยี่ยนว่า มีวิธีอะไรที่พอจะละเว้นสาวใช้เหล่านั้นได้บ้าง


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 393 ไม่ว่าท่านจะทำอะไรข้าล้วนสนับสนุน


 


 


เธอรู้ว่าสาวใช้สำนักอู๋จี๋ล้วนเป็นลูกสาวชาวบ้านธรรมดาๆ ทั้งหมดถูกหลอกมาหรือไม่ก็ถูกขายให้สำนักอู๋จี๋ เรียกได้ว่าไม่ได้ทำตามใจตนเอง หากวางเพลิง เช่นนั้นทุกคนก็ต้องตาย


 


 


เซียวเหยี่ยนเข้าใจความหมายของหลิงอวี้จื้อ พูดต่อว่า


 


 


“อวี้จื้อ ไม่ใช่ข้าไม่ยินดีจะละเว้นสาวใช้เหล่านั้น มีวิธีช่วยพวกนางออกมา ข้าย่อมช่วยพวกนาง หากไม่มี ก็ทำได้เพียงยอมสละพวกนาง หากปล่อยสำนักอู๋จี๋ไปเพราะพวกนาง เช่นนั้นสำนักอู๋จี๋ก็จะทำเรื่องชั่วช้าต่อไป ประชาชนเสียหายมากกว่าเดิม”


 


 


หลิงอวี้จื้อถอนหายใจเบาๆ คราหนึ่ง


 


 


“ข้าเข้าใจว่าต้องทำเพื่อส่วนรวมเป็นที่ตั้ง ข้ากับพวกนางเคยอยู่ด้วยกันมา ถึงแม้เวลาจะไม่นาน แต่พอนึกถึงแล้วยังหักใจทำไม่ลง พวกนางก็เป็นคนน่าสงสาร สำนักอู๋จี๋ควบคุมดูแลพวกนางเข้มงวดมาก หากไม่อยากตาย ก็ต้องเชื่อฟังแต่โดยดี”


 


 


เซียวเหยี่ยนตบหลังมือหลิงอวี้จื้อเบาๆ เขารู้ว่าหลิงอวี้จื้อไม่ชอบฆ่ากวาดล้างผู้บริสุทธิ์ เซียวเหยี่ยนก็ไม่ชอบ


 


 


เพียงแต่เมื่อก่อนที่เขาเป็นผู้นำกองทัพ เห็นความเป็นตายมามาก เคยชินกับการพิจารณาปัญหาต่างๆ จากภาพรวมตั้งนานแล้ว ชั่งน้ำหนักระหว่างประโยชน์กับโทษ เขาจะเลือกอย่างมีเหตุผล แทบจะไม่ถูกความรู้สึกทำให้ไขว้เขว สำหรับเขา ตัดไฟเสียตั้งแต่ต้นลมเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด


 


 


เมื่อรักหลิงอวี้จื้อแล้ว เขาพบว่าหัวใจที่แข็งเย็นก้อนนั้นเปลี่ยนเป็นอ่อนนุ่มขึ้นมาก มีความเอาใจใส่ และมีความโอนอ่อน มีปัญหาอะไรก็จะไตร่ตรองถึงความรู้สึกและความยินยอมของหลิงอวี้จื้อ ไม่ยอมทำเรื่องที่ทำให้หลิงอวี้จื้อลำบากใจและเสียใจ


 


 


การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ สำหรับเขาไม่ถือว่าเป็นเรื่องดี ถึงขั้นมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของเขา แต่เขากลับยิ้มรับความลำบาก


 


 


“ข้าเข้าใจ”


 


 


เซียวเหยี่ยนตอบรับ หลิงอวี้จื้อไม่ได้พูดอะไรอีก เธอไม่อยากทำให้เซียวเหยี่ยนลำบากใจ ความน่ากลัวของสำนักอู๋จี๋เธอประสบมาแล้ว เหลือองค์กรเช่นนี้เอาไว้ สำหรับชาวบ้านที่อยู่รอบๆ ถือเป็นหายนะแท้ๆ


 


 


“อาเหยี่ยน ไม่ว่าท่านจะทำอะไร ข้าก็ล้วนสนับสนุน”


 


 


เซียวเหยี่ยนยกมือขึ้นมา ลูบหัวหลิงอวี้จื้อ ประโยคนี้ทำให้ใจเขาอบอุ่น เขาถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน


 


 


“เจ้าง่วงหรือไม่ หากง่วงแล้วก็ขึ้นมานอนพักสักหน่อย”


 


 


หลิงอวี้จื้อส่ายหน้า


 


 


“ข้าไม่ง่วง แต่ท้องข้าหิวแล้ว อาเหยี่ยน ท่านนอนไปตั้งนาน ยังไม่ได้กินอะไรด้วย พวกเราทานอะไรกันสักหน่อย ท่านรอข้านะ ข้าจะไปเอาอาหารที่ห้องครัว”


 


 


หลิงอวี้จื้อพูดจบก็กำลังจะไป เซียวเหยี่ยนดึงมือหลิงอวี้จื้อไว้


 


 


“ให้อู่จิ้นไปเอาเถิด! เจ้าพักสักหน่อย”


 


 


เซียวเหยี่ยนพูดจบก็สั่งให้อู่จิ้นไปหยิบของกิน


 


 


หลิงอวี้จื้อเห็นเซียวเหยี่ยนจับมือตนเองไว้ตลอด ก็ยิ้มไม่พูดอะไร นึกไม่ถึงว่าเซียวเหยี่ยนจะติดเธอเช่นนี้ ราวกับเด็กๆ ไม่เหมือนตอนปกติที่สูงส่งและเย็นชาเลยแม้แต่น้อย แต่เธอชอบความรู้สึกนี้ เซียวเหยี่ยนที่เป็นเช่นนี้ มีเพียงเธอผู้เดียวที่ได้เห็น


 


 


ตอนนี้เอง มู่หรงนี่อวิ๋นที่นอนอยู่บนเตียงกลับนอนไม่หลับ กินอะไรส่งๆ ไปเล็กน้อย ก็ให้อวิ๋นซั่วออกไป เขาเอนหลังพิงหัวเตียง จ้องมองเส้นสีดำบนฝ่ามือของตนเอง ไม่รู้ว่าเส้นสีดำเส้นนี้หมายความว่าอย่างไร


 


 


ตอนนี้เองประตูห้องก็ถูกคนผลักออกมา ได้ยินเสียงดังขึ้น มู่หรงนี่อวิ๋นก็หันหน้าไปทางประตู จากนั้น มั่วชิงก็เดินเข้ามา


 


 


“คุณชายมู่หรง ดึกขนาดนี้แล้วต้องการพบข้ามีเรื่องอะไรหรือเจ้าคะ”


 


 


“หลิงอวี้จื้อไม่รู้ว่าเจ้ามาใช่หรือไม่”


 


 


มั่วชิงส่ายหน้า


 


 


“คุณหนูอยู่กับท่านอ๋องเจ้าค่ะ ไม่ทราบว่าข้าออกมาแล้ว”


 


 


ได้ยินว่าหลิงอวี้จื้อไม่รู้ว่ามั่วชิงมาหาเขา มู่หรงนี่อวิ๋นก็โล่งอก


 


 


เรื่องนี้เขาไม่อยากให้หลิงอวี้จื้อรู้ หากเขามีเภทภัยอะไรขึ้นมาจริงๆ ใจของหลิงอวี้จื้อคงอยู่ไม่สุขแน่ เขาชี้ม้านั่งข้างๆ


 


 


“มั่วชิง เจ้านั่งลงพูดเถิด!”


 


 


มั่วชิงนั่งลงตามที่บอก นางรู้ว่าการที่มู่หรงนี่อวิ๋นอยากพบนางในเวลานี้ต้องมีเรื่องอะไรอยากพูดแน่นอน ปกติมู่หรงนี่อวิ๋นเป็นคนเฮฮา และชอบพูดคุยล้อเล่น แต่ตอนนี้สีหน้าท่าทางของมู่หรงนี่อวิ๋นจริงจังมาก ราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน


ตอนที่ 394 อวี้จื้อ ข้าอยู่เป็นเพื่อนเจ้าได้ไม่นานนักแล้ว 


 


 


เขายื่นมือออกไป ครั้นมั่วชิงมองเห็นเส้นสีดำในมือของของมู่หรงนี่อวิ๋นแล้ว สีหน้าพลันเปลี่ยนทันที 


 


 


“คุณชายมู่หรง เส้นสีดำนี้ปรากฏขึ้นเมื่อใด” 


 


 


“สองชั่วยามก่อนนี้ มั่วชิง เจ้าคงรู้ใช่หรือไม่ว่านี่คืออะไร” 


 


 


“หากมีเส้นปรากฏขึ้นเช่นนี้ นั่นหมายความว่าโดนพิษดอกอวี้จี ดอกไม้ชนิดนี้ที่สำนักอู๋จี๋ปลูกไว้หนึ่งแปลงเล็กๆ น้ำของมันมีพิษร้ายแรง เมื่อใดเผลอโดนเข้าไม่ถึงสองชั่วยามก็จะตาย ซ้ำบนฝ่ามือจะมีเส้นสีดำเด่นชัดหนึ่งเส้น 


 


 


เส้นสีดำที่มือคุณชายมู่หรงยังไม่เด่นชัดมาก ตำแหน่งอยู่ที่ฝ่ามือเท่านั้น โดนพิษไม่แรง คงเป็นเพราะยาที่ชุนเหนียงกินมีดอกอวี้จี จึงทำให้คุณชายมู่หรงได้รับพิษมาด้วย” 


 


 


มู่หรงนี่อวิ๋นซักต่อ 


 


 


“เช่นนั้นแสดงว่ามีทางรอดใช่หรือไม่” 


 


 


มั่วชิงส่ายหน้าด้วยความเสียใจและเสียดาย 


 


 


“ถึงแม้คุณชายมู่หรงจะโดนพิษไม่แรงมาก แต่บนมือมีเส้นสีดำปรากฏแล้ว เมื่อเวลาล่วงเลยไป เส้นสีดำนี้ก็จะค่อยๆ ขยายออก 


 


 


เมื่อทั้งฝ่ามือถูกเส้นสีดำกลบจนมิด ก็ถึงจุดจบของชีวิต ดอกอวี้จีมีพิษร้ายแรงมาก หากกินแมลงจิ่วเซียงจะสามารถชะลอการขยายตัวของเส้นสีดำได้ แต่ก็ยังคงหยุดยั้งไว้ไม่ได้” 


 


 


มู่หรงนี่อวิ๋นเข้าใจความหมายของมั่วชิง ความหมายของมั่วชิงคือตนหมดทางรอดแล้ว ตอนที่มั่วชิงยังไม่มา เขายังกอดความคิดว่าจะมีโชคช่วย ตอนนี้มั่วชิงได้พิสูจน์ความจริงแล้ว เขากลับมีท่าทีสงบลง ถามว่า 


 


 


“ข้ายังมีเวลาอีกเท่าไร” 


 


 


“ตามปกติ น่าจะประมาณห้าปีเจ้าค่ะ หากกินแมลงจิ่วเซียง สามารถยืดเวลาได้อีกครึ่งปีถึงหนึ่งปี” 


 


 


มู่หรงนี่อวิ๋นยิ้มออกมา 


 


 


“นานกว่าที่ข้าคิดเอาไว้พอสมควร ข้านึกว่าตนเองจะเหลือเวลาอีกแค่เดือนสองเดือน 


 


 


มั่วชิง เจ้าต้องรับปากข้าเรื่องหนึ่ง เรื่องนี้บอกหลิงอวี้จื้อไม่ได้ หากนางรู้แล้ว ใจนางต้องอยู่ไม่สุขแน่ ข้าไม่อยากให้นางกังวลไม่มีความสุข เจ้าก็ถือเสียว่าคืนนี้ไม่ได้มาที่นี่” 


 


 


“คุณชายมู่หรง ท่านต้องการปิดบังคุณหนูจริงๆ หรือ” 


 


 


มั่วชิงรู้ว่ามู่หรงนี่อวิ๋นมีใจให้หลิงอวี้จื้อ เพียงแต่หลิงอวี้จื้อมีเซียวเหยี่ยนอยู่ข้างกายแล้ว 


 


 


นางไม่ใช่คนพูดมากมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ตอนนี้เห็นมู่หรงนี่อวิ๋นนึกถึงหลิงอวี้จื้อไปเสียทุกเรื่อง ใจนางก็รู้สึกซาบซึ้ง มู่หรงนี่อวิ๋นไม่เหมือนกับที่นางจินตนาการเอาไว้ เขาเป็นบุตรชายจากชนชั้นสูงที่ยึดมั่นความรักและภักดี ทำให้มุมมองเดิมของนางเปลี่ยนไปมากเช่นกัน 


 


 


“บอกนางก็รังแต่จะทำให้นางรู้สึกผิด อวี้จื้อควรจะร่าเริงแจ่มใส ข้าไม่อยากเห็นนางขมวดคิ้ว คนเราเกิดมามีชีวิตเดียว ใครก็มีวันนี้กันทั้งนั้น ข้าแค่ไปเร็วกว่าคนอื่นหน่อยก็เท่านั้น 


 


 


นับว่าท่านเทวดายังกรุณาข้า ยังเหลือเวลาให้ข้าอีกสักหน่อย ไม่ได้ให้ข้ารีบไปพบยมบาลทันที ข้าจะทุ่มเทกำลังทั้งหมดหาแมลงจิ่วเซียง ไม่ทิ้งโอกาสที่จะได้มีชีวิตต่ออีกสักวัน เรื่องนี้ถือว่าเป็นความลับระหว่างเรา เจ้าต้องรับปากข้านะ” 


 


 


มั่วชิงเห็นว่ามู่หรงนี่อวิ๋นตัดสินใจแล้ว จึงพยักหน้ารับปาก และจำเรื่องแมลงจิ่วเซียงเอาไว้ในใจ หากมีโอกาสหาแมลงจิ่วเซียงเจอ นางจะช่วยเอามาให้มู่หรงนี่อวิ๋น ถือว่าช่วยตอบแทนบุญคุณมู่หรงนี่อวิ๋นแทนหลิงอวี้จื้อ 


 


 


มู่หรงนี่อวิ๋นมีสีหน้าผ่อนคลาย ยิ้มพลางพูดว่า 


 


 


“เรื่องนี้ตกลงกันแล้วนะ มั่วชิง เจ้ากลับไปก่อนเถิด! เกรงว่าหลิงอวี้จื้อจะตามหาเจ้า ข้าไม่มีอะไรแล้ว” 


 


 


มู่หรงนี่อวิ๋นกลัวที่สุดว่าตนเองจะถูกพิษนักรบไร้ชีพ ภาพของหลิงอวี้หรงยังคงติดอยู่ในหัวไม่ไปไหน เขาไม่มีทางจินตนาการว่าตนเองกลายเป็นเช่นนั้น ตายไปไม่ว่า ยังทิ้งภาพติดตาไว้ให้หลิงอวี้จื้ออีก 


 


 


“คุณชายมู่หรง รีบพักผ่อนเถิดเจ้าค่ะ วางใจได้ ท่านมิได้โดนพิษปลุกเสก” 


 


 


มั่วชิงพูดจบก็ออกไปจากห้องของมู่หรงนี่อวิ๋น มู่หรงนี่อวิ๋นนอนลงไปบนเตียงใหม่ แบมืออีกครั้ง มองเส้นดำบนมือ 


 


 


อวี้จื้อ ข้าอยู่เป็นเพื่อนเจ้าได้ไม่นานนักแล้ว ก่อนข้าไปไม่แน่ว่ายังพอได้เห็นลูกของเจ้าเกิดมา อย่างนั้น ข้าก็คงไปได้อย่างสบายใจ  


 


 


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 395 โอกาสทำความดีความชอบชดใช้ความผิด 


 


 


ณ สำนักอู๋จี๋ 


 


 


เฟิงอิ๋นคุกเข่ากับพื้น เจียงสือโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ก่อนหน้านี้สะเพร่าถูกเซียวเหยี่ยนหลอก ทำได้เพียงมองเซียวเหยี่ยนออกจากเขาอวิ๋นเฟิงไปต่อหน้าต่อตา 


 


 


พวกเซียวเหยี่ยนออกไปจากสำนักอู๋จี๋แล้ว นางไม่มีทางบีบเซียวเหยี่ยนได้อีก ในเมื่อข้างกายเซียวเหยี่ยนยังมีกองทัพทหารที่ฝึกฝนมาอย่างดีอีกสองร้อยกว่าคน แม้ว่านางจะส่งมือดีจากสำนักอู๋จี๋ไป ก็ทำอะไรเซียวเหยี่ยนไม่ได้ 


 


 


ตอนนี้นางรู้มาว่ามีกองทัพคนและม้าทัพใหญ่มุ่งหน้ามาทางทิศของภูเขาอวิ๋นเฟิง อีกสองวันก็จะถึงตีนเขาอวิ๋นเฟิงแล้ว 


 


 


นางรู้ว่าตอนนี้สำนักอู๋จี๋อยู่ในสถานการณ์ล่อแหลม เซียวเหยี่ยนไม่คิดจะปล่อยสำนักอู๋จี๋ ประกอบกับนางรู้แล้วว่าสร้อยข้อมือหายไป หากเดาไม่ผิด สร้อยข้อมือคงอยู่ในมือเซียวเหยี่ยน 


 


 


ตอนนี้นางกับเซียวเหยี่ยนมาถึงจุดที่ต้องมีใครตายกันไปข้างหนึ่ง 


 


 


“ท่านอาจารย์โปรดอภัย ศิษย์เอาสมุนไพรเซียนหลินจือให้ชุนเหนียงแล้ว แต่นึกไม่ถึงว่าชุนเหนียงจะกินสมุนไพรเซียนหลินจือเสียเอง” 


 


 


เฟิงอิ๋นก้มหน้า ที่จริงตอนที่นางไปหาชุนเหนียงก็เข้าใจการตัดสินใจของชุนเหนียงแล้ว นางก็ไม่อยากให้เซียวเหยี่ยนตาย ถึงได้บอกเป็นนัยว่าถึงอย่างไรชุนเหนียงก็หนีไม่พ้น ตายแล้วไม่ต้องเหลืออัฐิเอาไว้ นึกไม่ถึงว่าเพลิงที่ชุนเหนียงก่อจะไม่ได้ไหม้ตนเองกลายเป็นเถ้าถ่าน 


 


 


ยังดีที่เซียวเหยี่ยนไม่เป็นอะไร มิเช่นนั้นที่นางเพียรพยายามอย่างหนักคงเสียเปล่า 


 


 


เจียงสือมีสีหน้าโมโห 


 


 


“ชุนเหนียงรักตัวกลัวตายมาตลอด แม้แต่นางก็ยังกล้าทรยศข้า เซียวเหยี่ยนมันเก่งกาจจริง นึกไม่ถึงว่าจะทำให้ชุนเหนียงเป็นห่วงเขาขนาดนี้ ต่อให้ตนเองตายก็ไม่ยอมเอาสมุนไพรเซียนหลินจือให้เซียวเหยี่ยน” 


 


 


“ก่อนนี้ชุนเหนียงไปเยี่ยมเซียวเหยี่ยนเป็นประจำ ไม่แน่อาจจะมีใจให้เซียวเหยี่ยน ถึงได้ยอมตายเพื่อเขา” 


 


 


เจียงสือจ้องเฟิงอิ๋นเขม็ง 


 


 


“ชุนเหนียงมีใจ้ให้เซียวเหยี่ยน แล้วเจ้าเล่า” 


 


 


“ศิษย์ยอมแพ้เรื่องเซียวเหยี่ยนไปโดยสิ้นเชิงแล้ว ไม่คิดถึงเขาอีกแล้ว ก่อนหน้านี้ศิษย์หน้ามืดตามัว ถึงได้เอาสมุนไพรเซียนหลินจือไปช่วยเซียวเหยี่ยน 


 


 


นึกไม่ถึง เขาไม่เพียงแต่ไม่แสดงความขอบคุณศิษย์ ยังไล่ให้ศิษย์ออกไปทันที ศิษย์มองคนผิดเอง เซียวเหยี่ยนไม่ควรค่าให้ศิษย์ไปทำอย่างนี้ อาจารย์โปรดอภัยศิษย์ด้วย เรื่องนี้ศิษย์ผิดไปแล้ว” 


 


 


เฟิงอิ๋นพูดจบก็โขกศีรษะอย่างแรง น้ำเสียงเจือความสำนึกผิด 


 


 


เจียงสือไม่พูดอะไร ห้องทั้งห้องเงียบสงัด นอกจากเสียงหายใจ ในห้องก็ไม่มีเสียงใดอีก จู่ๆ บรรยากาศก็ลดลงถึงจุดเยือกแข็ง ทำให้รู้สึกย่ำแย่อย่างยิ่ง สาวใช้ที่อยู่ข้างๆ รู้ว่าเจียงสืออารมณ์ไม่ดี แต่ละคนพากันก้มหน้า อยากจะกลายเป็นมนุษย์ล่องหนเสียเดี๋ยวนั้น 


 


 


เมื่อเจียงสือไม่พูดอะไร ในใจเฟิงอิ๋นก็ตุ้มๆ ต่อมๆ นางไม่รู้ว่าเจียงสือจะจัดการนางอย่างไร จะบอกว่าไม่กลัวก็โกหก เพียงแต่ตอนนี้นางไม่มีวิธีอื่นใดแล้ว ได้แต่รอ 


 


 


“เจ้าสำนึกผิดแล้วจริงๆ หรือ” 


 


 


“ก่อนหน้านี้ศิษย์ดื้อดึงไม่ยอมรับผิด ท่านอาจารย์โปรดอภัยศิษย์ด้วย ต่อไปศิษย์จะกตัญญูแทนคุณอาจารย์อย่างดี ไม่คิดเรื่องอื่นอีกแล้ว” 


 


 


เฟิงอิ๋นรับผิดอย่างจริงใจ หวังหว่าเจียงสือจะยอมปล่อยนางสักครั้ง 


 


 


“เซียวซู่ก็ไม่ใช่จะมีดีอะไร แล้วลูกชายเขาจะไปมีดีได้อย่างไร 


 


 


เฟิงอิ๋น เจ้าเป็นศิษย์รักของอาจารย์ เพื่อจะอบรมบ่มเพาะเจ้า ข้าทุ่มเทแรงกายแรงใจมาหลายปี กับเจ้า อาจารย์หวังไว้สูงมาก หากเจ้ารู้ผิดแล้ว อาจารย์ก็จะให้โอกาสเจ้าทำความดีความชอบชดใช้ความผิด” 


 


 


“ท่านอาจารย์จะสั่งการอะไรเจ้าคะ” 


 


 


เฟิงอิ๋นสอบถามอย่างเคารพนอบน้อม 


 


 


“อาจารย์ได้ข่าวมาว่า ทัพใหญ่ของเซียวเหยี่ยนจะมาถึงเขาอวิ๋นเฟิงในไม่ช้านี้ สำนักอู๋จี๋หลบหนีได้ยากแล้ว พวกเราต้องรีบออกไปจากเขาอวิ๋นเฟิง ก่อนไป พวกเราต้องกำจัดเซียวเหยี่ยนทิ้ง” 


 


 


เจียงสือแทบจะขบเขี้ยวเคี้ยวฟันขณะพูด เห็นได้ชัดว่าเกลียดเซียวเหยี่ยนเข้ากระดูกดำ 


 


 


ถึงแม้นางจะรู้ข่าวแล้ว สามารถหนีภัยครั้งนี้ไปก่อนได้ แต่เช่นนั้นสำนักอู๋จี๋ก็จะถึงจุดจบ ทุ่มเทอย่างหนักมาตั้งหลายปี ไม่ง่ายเลยกว่าจะก่อตั้งสำนักอู๋จี๋ขึ้นมาใหม่ ทำให้สำนักอู๋จี๋มีวันนี้ได้ ตอนนี้จะพังทลายอีกครั้งด้วยน้ำมือของลูกชายของเซียวซู่ 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม