หมอยาหวานใจท่านประธาน 386-393

 ตอนที่ 386 ที่แท้เป็นอย่างนี้เอง 


 


 


ไม่คิดก็แล้วไป พอคิดทำให้ยิ่งน่าโมโห สุดท้ายเฉวียนสือไม่อยากมองอีลั่วเสวี่ยแล้ว จึงเบือนหน้าไปทางอื่น 


 


 


ลูกบอลเงิน “ปัดโธ่ ตาแก่คนนี้ ข้าอยากทุบหัวจริงๆ ในหัวมีแต่ขี้เลื่อย โง่ชะมัด น่าจะส่งคนอย่างนี้ไปดัดแปลงแก้ไขที่ดาวของพวกเรา” 


 


 


อีลั่วเสวี่ยยิ้มๆ ไม่พูดอะไร คนอายุเกินครึ่งร้อยแล้ว อ้อ ไม่สิ ตาแก่อายุใกล้เจ็ดสิบแล้ว ยิ่งแก่ก็ยิ่งเหมือนเด็ก มีคำกล่าวที่ว่า พอคนอายุหกสิบสี่การกระทำและความคิดจะเริ่มถอยหลังกลับ 


 


 


เธอถือว่าเขาเป็นเด็กงอแงก็สิ้นเรื่อง ขืนถือสามากเกินไป คนที่อึดอัดไม่ใช่เธอหรือไง 


 


 


ฝ่ายนั้นต้องการให้เธอรู้สึกอึดอัด โกรธขึ้ง สุดท้ายเป็นฝ่ายตีจากเฉวียนหมิงไปเอง ทำอย่างนี้ก็จะบรรลุเป้าหมายของเขา น่าเสียดายที่เธอไม่ได้เป็นแบบนั้น 


 


 


“ลั่วเสวี่ย อย่าคิดมาก ให้ผมพาคุณไปส่งเถอะ” หนานหลิวเฟิงเห็นอีลั่วเสวี่ยยืนนิ่งเงียบอยู่ข้างๆ ยังยิ้มเจื่อนๆ ก็รู้สึกสงสารเธอ 


 


 


ถ้าเป็นเขา จะไม่ยอมให้เธอต้องทุกข์อย่างนี้ แต่น่าเสียดายที่หนานหลิวเฟิงไม่รู้ว่าต่อให้ขณะนี้คนที่ยืนอยู่ข้างตัวอีลั่วเสวี่ยจะเป็นเขา แต่ไม่แน่ว่าเขาจะทำได้ดีกว่าเฉวียนหมิง 


 


 


นิสัยประหลาดของนายท่านผู้เฒ่าเฉวียนทำให้น่าโมโห แต่อย่างน้อยเขาก็ยังดีกว่าแม่ของตน ตั้งแต่แรกแม่เขาก็ดูถูกอีลั่วเสวี่ยซึ่งเป็นเพียงลูกบุญธรรมของบริษัทเล็กๆ 


 


 


ยิ่งกว่านั้นตอนนั้นที่เธอพูดก็ไม่เกรงใจนัก ขณะที่ผู้หญิงเป็นสัตว์โลกที่ใจแคบที่สุด ทันทีที่ไม่ชอบใคร ย่อมอยากมากที่จะเปลี่ยนแปลงความคิด 


 


 


อีลั่วเสวี่ยตื่นจากภวังค์ แล้วพยักหน้า “อืม ได้” 


 


 


หนานหลิวเฟิงนั่งบนรถ มองดูที่นั่งข้างคนขับที่ว่างเปล่า รู้สึกใจโหวงๆ ที่แท้เธอยังคาใจ จึงจงใจทิ้งระยะห่างระหว่างกัน คงไม่อยากให้ถูกเข้าใจผิด  


 


 


อีลั่วเสวี่ยนั่งอยู่ในเงามืดอย่างนิ่งเงียบ มองเห็นสีหน้าเธอในความมืดไม่ชัด แตหนานหลิวเฟิงรู้สึกได้ว่าเธออารมณ์ไม่ดีนัก 


 


 


“อยากฟังเรื่องฟางจื่อชิวไหม?” หนานหลิวเฟิงคิดๆ ไม่รู้ว่าจะคุยอะไรจึงยกเรื่องนี้ขึ้นมาเริ่มต้น คิดดูแล้ว เธอเองก็คงอยากรู้ 


 


 


ก่อนที่เธอยังไม่ทำพิธีแต่งงานกับเฉวียนหมิง เขายังคงมีโอกาส เขาจะช่วงชิง บางทีอาจจะอยู่ในขั้นตอนนี้ ถ้าเธอรู้ว่าเขายังชอบเธอ สำหรับเขาแล้วย่อมดีกว่า เมื่ออยากให้เธอรู้สึกดีต่อเขา ก็ต้องคอยช่วยเธอ 


 


 


อีลั่วเสวี่ยแปลกใจ “คุณเองก็มีความสัมพนธ์กับเธอดีไม่ใช่หรือ?” 


 


 


หนานหลิวเฟิงยิ้มพลางสั่นหัว “ไม่หรอก กิจการของฟางกรุ๊ปไม่ค่อยเหมือนกับบริษัทผมและบริษัทของเฉวียนหมิง ทางเราเป็นบริษัททางการค้า ทางการแทรกแซงน้อยมาก ส่วนพวกเขาเป็นวิสาหกิจของรัฐ รัฐบาลร่วมหุ้นด้วย จึงมีลักษณะต่างกัน” 


 


 


จากนั้นหนานหลิวเฟิงก็เริ่มร่ายยาว คุยเรื่องเกี่ยวกับฟางจื่อชิว 


 


 


ฟางจื่อชิวเป็นนักเรียนรุ่นเดียวกับเฉวียนหมิงและมั่วเฉินเซวียน สมัยมัธยมปลายเรียนโรงเดียวกัน แต่อยู่คนละห้อง ตอนนั้นเฉวียนหมิงขยันมา กอยู่มัธยมปลายก็เริ่มสัมผัสกับกิจการของครอบครัวแล้ว ยังต้องเรียนกวดวิชา จึงต้องการวลามากขึ้น 


 


 


เขาเป็นคนที่ไม่ยอมแพ้ นอกเวลาเรียนยังไปเรียนกวดวิชา เรียนล่วงหน้าและเสริมความรู้ ถึงตอนนี้จึงรู้จักกับฟางจื่อชิวซึ่งอยู่อีกห้องหนึ่ง เธอยังไปเรียนกวดวิชาที่เดียวกับเขา 


 


 


ดังนั้นก่อนนี้ตอนกลางคืนเธอกับเฉวียนหมิงจึงได้เห็นเมืองเอฟยามราตรี พูดให้น่าฟังหน่อย ก็แค่หลังจากวุ่นวายมาทั้งวันก็ได้ดูโคมไฟริมถนนและทัศนียภาพของเมืองยามค่ำคืนที่ช่วยให้ผ่อนคลายบ้าง 


 


 


“ต่อมาอีกเฉวียนหมิงประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ เขาจึงไม่ไปโรงเรียนกวดวิชาแล้ว ปู่เฉวียนจ้างครูมาสอนเขาที่บ้าน สอนแบบตัวต่อตัว ส่วนฟางจื่อชิวย่อมไม่ไปร่วม คงสักครึ่งปีต่อมาก็ถึงเวลาสอบเข้ามหาวิทยาลัย” 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 387 ที่นี่เป็นบ้านคุณ 


 


 


จากนั้นฟางจื่อชิวก็ไปต่างประเทศ ถึงตอนนี้ผ่านมาห้าปีแล้ว ไม่รู้ว่าทำไมกลับมา ยังได้รับเชิญไปเป็นหมอที่โรงพยาบาลชั้นนำของเมืองเอฟด้วย 


 


 


มีข่าวลือว่าที่ฟางจื่อชิวไปเรียนแพทย์ที่ต่างประเทศก็เพื่อเฉวียนหมิง เพื่อรักษาเขา คงเพราะครึ่งปีมานี้มีข่าวว่าเฉวียนหมิงเดินเหินเป็นปกติ คนที่นั่งเก้าอี้เข็นมาห้าปียืนขึ้นแล้ว จึงกลับมาดูให้รู้แน่ 


 


 


อีลั่วเสวี่ยกลอกตา ในสมองนึกถึงที่ลี่ลี่เคยพูดว่าคุณน้าจื่อชิว เวลานี้ลี่ลี่อายุแปดเก้าขวบ ตอนนั้นสามสี่ขวบจึงไม่แปลกที่จะจำฟางจื่อชิวได้“ 


 


 


“งั้นเธอกับกับเฉวียนหมิงมีการติดต่อกันไหม?” ที่เธอถามเช่นนี้รู้สึกว่าตัวเองไม่ต่างจากเด็กสาวทั่วไป แต่ตอนนี้เพื่อนชายเธอมาพบกับอดีตเพื่อนหญิง เธอย่อมต้องสนใจ 


 


 


แน่นอน ที่เธอไม่ใส่ใจมาก่อน เพราะผู้หญิงคนนั้นไม่ปรากฏตัว เฉวียนหมิงเองก็ไม่เอ่ยถึง เมื่อเธอไม่เห็นก็ย่อมไม่กังวลใจ 


 


 


หนานหลิวเฟิงยิ้ม “แน่นอนว่าไม่มี คุณได้ยินมาจากไหนหรือ ถ้าเฉวียนหมิงเคยติดต่อกับฟางจื่อชิว คุณจะไม่รู้ข่าวเลยหรือ?” 


 


 


สองครอบครัวนี้ไม่ใช่คนธรรมดา ตอนนั้นถ้ามีเรื่องแบบนั้น สองครอบครัวคงไม่นิ่งเงียบแบบนี้หรอก สำหรับคนอย่างพวกเขา ไม่มีเรื่องการริรักในวัยเรียน 


 


 


“ไม่มีอะไร ฉันถามไปอย่างนั้นเอง” เดิมเธอไม่ได้ใส่ใจ แต่วันนี้ตัวละครเอกของเรื่องปรากฏตัวขึ้นแล้ว ยังท้าทายเธอด้วย ยังไงก็ต้องทำความเข้าใจอีกฝ่ายบ้าง 


 


 


ไม่เช่นนั้นจะวางแผนรับมือได้อย่างไร ได้ยินว่าเด็กสาวของโลกนี้ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เมื่อเทียบกับโลกของพวกเขาแล้ว การแย่งชิงผู้ชายมีกลอุบายมากมาย 


 


 


หนานหลิวเฟิงได้ยินแต่ไม่ได้พูดต่อ 


 


 


“เลี้ยวซ้ายที่แยกหน้า พอถึงไฟแดงค่อยเลี้ยวขวา…” ขณะที่หนานหลิวเฟิงเตรียมขับรถตรงไปที่คฤหาสน์ของเฉวียนหมิง อีลั่วเสวี่ยจึงบอกทางเขาให้ไปอีกทางหนึ่ง 


 


 


ไม่ไปบ้านเฉวียนหมิง เธอย้ายออกมาแล้วจริงๆ หนานหลิวเฟิงรู้สึกดีใจ แต่ก็นึกสงสัยขึ้นมาทันที ถนนสายนี้ดูเหมือนมีบ้านคนอาศัยอยู่ไม่มาก ที่ที่เธออาศัย อยู่ทางนี้งั้นหรือ 


 


 


แต่หลังจากขับไประยะหนึ่ง หนานหลิวเฟิงก็พบว่าสองข้างทางไม่มีอาคารเลย ดูแล้วออกห่างจากเขตเมืองแล้ว ดูเหมือนจะมีทะเลสาบกับสวนสาธารณะ 


 


 


“ลั่วเสวี่ย คุณจำทางผิดหรือเปล่า?” หนานหลิวเฟิงชะลอความเร็วรถลง แล้วจอดรถที่ข้างทาง หันมามองอีลั่วเสวี่ย 


 


 


ตอนนี้อีลั่วเสวี่ยกำลังคิดปัญหาบางอย่าง พอเห็นรถจู่ๆ ก็จอด จึงแปลกใจ พอได้ยินเจ้าลูกบอลเงินทวนคำพูดของหนานหลิวเฟิง เธอจึงยิ้ม “ไม่ผิดหรอก ขับต่อไปข้างหน้า อยู่ข้างหน้าไม่ไกลแล้ว” 


 


 


หนานหลิวเฟิงได้ฟังเช่นนั้นก็ขับรถไปต่อ 


 


 


พอถึงทางแยก อีลั่วเสวี่ยบอกให้เขาเลี้ยงขวา แล้วเข้าสู่ถนนที่มีคนเดินน้อยมาก ไปข้างหน้าเล็กน้อยก็เห็นคฤหาสน์หลังหนึ่ง ข้างหน้าเป็นประตูเหล็กบานใหญ่ 


 


 


“ถึงแล้ว จอดรถเถอะ” ถึงบ้านแล้ว อีลั่วเสวี่ยเปิดประตูรถเดินออกมา เปิดท้ายรถหยิบข้าวของของตนเอง 


 


 


หนานหลิวเฟิงมีความรู้สึกเหมือนรู้ทีหลัง “ลั่วเสวี่ย ที่นี่บ้านคุณหรือ?” เขารู้ว่าอีลั่วเสวี่ยมีบ้านสองหลัง หลังหนึ่งคือที่เคยเป็นบ้านสกุลอี อีกหลังคือคฤหาสน์ของเฉวียนหมิง แต่คิดไม่ถึงว่าเธอจะอาศัยอยู่ที่นี่ 


 


 


อีลั่วเสวี่ยพยักหน้า แล้วพูดแหย่เล่น “แน่นอน ถ้าไม่ใช่บ้านฉัน ฉันจะมาที่นี่ทำไม?” 


 


 


ยามประตูห่างออกไปจำอีลั่วเสวี่ยได้ รู้ว่าวันนี้เธอไม่ได้ขับรถออกไป จึงวิ่งมาช่วยเธอถือของทันที 


 


 


“คุณหนูใหญ่ ผมช่วยถือของครับ” 


 


 


“ขอบใจนะ” 


 


 


อีลั่วเสวี่ยแบ่งของในมือครึ่งหนึ่งให้เขา แล้วหันมาหาหนานหลิวเฟิง “วันนี้ต้องขอบใจที่คุณส่งฉันกลับบ้าน” 


ตอนที่ 388 คุณพลาดอะไรไปกันแน่


 


 


บอกว่าขอบใจ แต่ไม่ได้พูดว่าเชิญเขาเข้าไปนั่งสักครู่ ในใจหนานหลิวเฟิงรู้สึกเสียดาย แต่วันนี้สามารถส่งอีลั่วเสวี่ยกลับบ้าน สำหรับเขาแล้วเป็นความคืบหน้าที่ใหญ่มาก


 


 


ต้องรู้ว่าถ้าเป็นเมื่อก่อน เธอจะไม่พูดกับเขาด้วยซ้ำ เวลานี้เป็นความคืบหน้าที่ดีมาก อย่างน้อยตอนนี้เขาก็รู้ว่าเธอพักที่ไหน บางทีหลิ่วเฟยอวิ๋นไม่แน่ว่าจะรู้


 


 


พอหนานหลิวเฟิงคิดเช่นนี้ก็อารมณ์ดีขึ้นมากทันที แล้วบังเอิญที่หลิ่วเฟยอวิ๋นไม่รู้จริงๆ มีเพียงหลิ่วเฟยซวงและเหอเย่ว์ที่รู้ว่าเวลานี้อีลั่วเสวี่ยพักอยู่ที่นี่


 


 


“ไม่ต้องขอบใจหรอก เราเพื่อนกันไม่ใช่หรือ เอาละ ไม่พูดแล้ว คุณรีบเข้าไปเถอะ ตอนค่ำอากาศเย็น คุณยังสวมเสื้อผ้าน้อยด้วย” หนานหลิวเฟิงมีท่าทีเป็นสุภาพบุรุษและมีมารยาทมาก ครั้งนี้เขาทำตัวได้อย่างน่าพอใจ


 


 


เขาพูดจบก็กลับเข้าไปในรถ ถอยรถ แล้วเลี้ยวขับออกไปอย่างชำนาญ


 


 


อีลั่วเสวี่ยยิ้มที่มุมปาก ถือของเดินไปที่คฤหาสน์ มไม่ได้สนใจหนานหลิวเฟิงซึ่งขับรถออกไปอย่างช้าๆ


 


 


เขามองผ่านกระจกหลัง เห็นยามเปิดประตูบานเล็กรับอีลั่วเสวี่ยเข้าไป จากนั้นจึงปิดประตู แล้วไปเปิดประตูรถที่อยู่ด้านในของประตูเหล็ก วางข้าวของไว้ในรถ


 


 


จากนั้นก็เห็นอีลั่วเสวี่ยนั่งในรถคันนั้น ถูกส่งไปยังคฤหาสน์ที่เห็นลางๆ ใต้ร่มไม้ จากประตูใหญ่ไปถึงคฤหาสน์ มีการใช้รถรับส่ง ช่างหรูหราโอ่อ่าจริงๆ


 


 


ตอนนี้นึกดูแล้ว หนานหลิวเฟิงจึงเข้าใจแล้วว่าทำไมอีลั่วเสวี่ยแม้จะไม่ทำตัวเด่น แต่บนตัวเธอจึงมีกลิ่นไอคนชั้นสูงหนักมาก ที่แท้เป็นเพราะความเคยชินที่บ่มเพาะขึ้นจากสภาพแวดล้อมเช่นนี้นี่เอง


 


 


ดังนั้นเธอจึงสีหน้าไม่เปลี่ยนไม่ว่าจะเผชิญกับสถานการณ์อย่างไร ทั้งหมดนี้เป็นเพราะสายตาเธอสูงมาก ดังนั้นบรรดาคนที่มีชื่อเสียงในงานเลี้ยง สำหรับเธอแล้วก็แค่นั้นเอง


 


 


เป็นไปได้มากว่าเธอคงคิดว่าก่อนหน้านี้ตนเองชอบเด็กสาวที่ใสบริสุทธิ์น่ารัก จึงแสดงออกแบบนั้นตลอดมา แต่หลังจากที่รู้ว่าตนเองไม่สนใจเธอ เธอจึงกลับมาเป็นตัวของตัวเอง ซีรีย์ทางทีวีก็แสดงเรื่องทำนองนี้ไม่ใช่หรือ


 


 


ในดวงตาหนานหลิวเฟิงฉายความรู้สึกเสียดายออกมา แล้วเหยียบคันเร่งขับรถแล่นทะยานออกไป ทั้งหมดนี้มีเพียงลูกบอลเงินสังเกตเห็น แต่มันไม่ได้ใส่ใจ


 


 


“หนานหลิวเฟิงเอ๋ยหนานหลิวเฟิง คุณพลาดอะไรไปกันแน่!” คุณพลาดเด็กสาวแสนดีที่ชอบคุณ อีกทั้งฝ่ายนั้นอาจจมีฐานะและความสามารถเหนือกว่าคุณ


 


 


ถนนที่ว่างเปล่าไร้ผู้คนทำให้เขารู้สึกใจโหวงเหวง ยิ่งหดหู่


 


 


“ฉันจะไม่ยอมแพ้!” หนานหลิวเฟิงเม้มริมฝีปากแน่น ขณะนี้เขาคาดหวังว่านายท่านผู้เฒ่าเฉวียนจะไม่ให้อภัยอีลั่วเสวี่ย เป็นแบบนี้ต่อไป เขาก็จะมีโอกาสที่จะแสดงความสามารถให้เธอเห็น


 


 


หนานหลิวเฟิงในสภาพจิตใจเช่นนี้ค่อยๆ หายลับไปในความมืดของราตรีกาล


 


 


“คุณหนูใหญ่ กลับมาแล้ว กินข้าวหรือยัง ถ้ายังไม่ได้กิน ผมจะไปอุ่นให้ กลัวว่ากลางคืนคุณจะหิว จึงเตียมอาหารไว้ให้” อาเหมาเห็นอีลั่วเสวี่ยหิ้วของมากมายเข้ามา ก็รีบมาช่วยรับของแล้วเอ่ยถาม


 


 


อีลั่วเสวี่ยรู้สึกถึงความห่วงใยที่คุ้นเคย ทำให้ความอึดอัดใจผ่อนคลายลงมาก ทำให้เธอยิ่งตระหนักว่าบ้านตัวเองอบอุ่นที่สุด แม้ว่านี่จะเป็นบ้านที่เกิดขึ้นภายหลัง แต่ดีมาก ดีมากจริงๆ


 


 


เธอไม่รู้ว่า ที่ดีกว่ายังอยู่ภายหลัง


 


 


“งั้นคงต้องรบกวนอาเหมาแล้วค่ะ พออาพูดขึ้น ฉันก็รู้สึกหิวขึ้นมาทันที” ที่จริงบ่ายวันนี้เธอกินอะไรบ้าง แต่เพราะเดินซื้อของจนเพลิน ไม่ทันรู้ตัวท้องฟ้าก็มืดแล้ว


 


 


อาเหมายิ้มร่า วางข้าวของทั้งหมดไว้ข้างโซฟา “ได้เลย คุณหนูใหญ่รอเดี๋ยว ผมจะไปยกมาให้”


 


 


 


 


ตอนที่ 389 คุณหนูใหญ่ ผมอยากร้องไห้


 


 


ที่จริงอาเหมาใส่อาหารไว้ในกล่องเก็บความร้อน อีกทั้งเขาเองก็เพิ่งกินเสร็จเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน ตอนเที่ยงวันนี้เมื่อโทรหาอีลั่วเสวี่ย เขาผ่านโลกมามาก สังเกตเห็นความผิดปกติบางอย่าง


 


 


โดยเฉพาะตอนที่วางสาย เขาได้ยินเสียงร้องหึลางๆ เขารู้ว่าเป็นเสียงใคร ที่นายท่านผู้เฒ่าเฉวียนไม่ยอมรับคุณหนูใหญ่บ้านตนนั้น เขาพอได้ยินมาบ้าง


 


 


เขาไม่เข้าใจ คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลอวิ๋นแท้ๆ ฝ่ายนั้นไม่พอใจอะไร คุณหนูใหญ่ของพวกเขาไม่ดีตรงไหน เขาไม่เชื่อว่าในเมืองเอฟจะหาหญิงสาวที่ดีกว่านี้ได้


 


 


แต่น่าเสียดายว่าอาเหมาไม่รู้ว่าที่จริงนายท่านผู้เฒ่าเฉวียไม่รู้ว่าอีลั่วเสวี่ยเวลานี้เป็นลูกสาวของอวิ๋นเว่ย ไม่งั้นเขาจะกล้าไม่ยอมรับเธอหรือ ต่อให้ไม่ชอบ ก็ไม่กล้าแสดงออกอย่างเปิดเผย


 


 


“ยังคงเป็นอาเหมาที่ดีต่อฉัน จริงสิ อาเหมา อาบอกว่าพ่อวานให้คนเอาของมาให้ฉัน เป็นอะไรหรือคะ?” ของสำคัญอะไรหรือ ถึงต้องโทรบอกเธอล่วงหน้า


 


 


อาเหมาในครัวยิ้มๆ ไม่พูดอะไร ถึงตอนนี้ประตูห้องรับแขกที่ไม่ห่างเปิดออก จ้าวจวินเดินหาวหวอดออกมา


 


 


“คุณหนูใหญ่ คุณกลับมาจนได้ ผมรอคุณนานแล้ว ต้องขอโทษด้วย นั่งรถมารู้สึกเพลีย เลยงีบหลับไป” จ้าวจวินลูบท้ายทอย ยิ้มร่าสีหน้าซื่อๆ


 


 


มุมปากอีลั่วเสวี่ยกระตุก แล้วเหลือบมองอาเหมาที่เดินออกมาจากครัว “อย่าบอกนะว่าของที่พ่อส่งมาให้ฉันก็คืออาจ้าว?” เรื่องนี้เหลือเชื่อเกินไป


 


 


“เรื่องนี้คุณหนูใหญ่คงต้องถามอาจ้าวของคุณเอง” อาเหมาวางชามตะเกียบและน้ำแกงชามหนึ่งลง ยิ้มแล้วเดินไปที่ครัว


 


 


ถึงตอนนี้จ้าวจวินเดินยิ้มร่ามา “ถ้าส่งคนมาได้ พี่อวิ๋นคงอยากส่งตัวเองมาแทบแย่แล้ว ฉันหรือ ไม่มีบุญวาสนาอย่างนั้นหรอก ฉันก็แค่ทำหน้าที่เป็นกระดาษห่อของ เอาของมาให้เธอ”


 


 


พูดแล้วก็เหมือนเล่นกล ไม่รู้ว่าเขาหยิบกล่องสีชมพูออกมาจากไหน บนกล่องยังผูกโบว์ด้วย ดูราวกับกล่องของขวัญสำหรับเด็ก


 


 


“ฮ่าฮ่า พูดแล้วเธออาจจะไม่เชื่อ นี่เป็นของที่พี่อวิ๋นหาคนทำให้คุณหนูใหญ่อย่างเธอโดยเฉพาะ” จ้าวจวินพูดจบก็ก้มตัวเล็กน้อย ใช้สองมือยื่นให้ ท่าทางราวกับคนรับใช้ยื่นของสำคัญให้


 


 


อีลั่วเสวี่ยยิ้มอย่างจนใจเมื่อเห็นท่าทางของเขา “พวกอา ถือฉันเป็นคุณหนูใหญ่สมัยโบราณที่ร้ายกาจไปแล้วหรือ?” พูดพลางยื่นมือไปรับกล่องไว้


 


 


จ้าวจวินหัวเราะร่า “เป็นคุณหนูใหญ่ไม่ผิดหรอก แต่ถ้าใครบังอาจพูดว่าร้ายกาจล่ะก็ สงสัยต้องถูกลงโทษให้วิ่งรอบสนาม ทั้งยังไม่ต่ำกว่าสี่ร้อยรอบด้วย”


 


 


“พ่อฉันลงโทษพวกอาอย่างนี้เป็นประจำหรือ?” อีลั่วเสวี่ยนั่งลง วางกล่องไว้บนโต๊ะ หยิบการ์ดบนกล่องมาอ่าน เป็นลายมือที่อวิ๋นเว่ยเขียนเอง ตัวหนังสือแข็งแกร่งและฉวัดเฉวียน ยังแฝงด้วยความเที่ยงตรง


 


 


“ใช่แล้ว สองสามอาทิตย์ก่อนหน้านี้ ฉันก็ถูกลงโทษ” ก็แค่นินทาอีลั่วเสวี่ยนิดหน่อยเท่านั้น เขาไม่ได้เอารูปให้ดูก็ยังถูกลงโทษ พูดขึ้นมาก็ยังหงุดหงิด


 


 


พออีลั่วเสวี่ยอ่านการ์ดที่อวิ๋นเว่ยเขียนก็รู้สึกหัวใจอบอุ่น อวิ๋นเว่ยทำตัวได้สมกับที่เป็นพ่อจริงๆ แล้วได้ยินที่จ้าวจวินบ่น เธอวางการ์ดในมือลงแล้วลงมือเปิดกล่อง


 


 


“ฉันรู้สึกสงสารที่อาจ้าวถูกลงโทษจังค่ะ สำหรับเรื่องนี้ฉันอยากพูดคำหนึ่งนั่นคือสงสารแต่ช่วยอะไรไม่ได้ค่ะ”


 


 


จ้าวจวินงุนงง “คุณหนูใหญ่ อาอยากร้องไห้”


 


 


“อาเหมา”


 


 


“คุณหนูใหญ่ มีอะไรหรือครับ?”


 


 


“ช่วยเตรียมกระดาษเช็ดหน้าให้อาจ้าวหน่อยค่ะ เขาบอกว่าเขาอยากร้องไห้”


 


 


อาเหมาชะงัก แล้วมองดูจ้าวจวินด้วยความสงสาร “ฉันว่าคงไม่ต้องหรอก ใช่ไหมเสี่ยวจ้าว ซ้ายมือคุณยังมีกล่องหนึ่ง ใช้หมดแล้วันค่อยเอาให้”


 


 


จ้าวจวิน “…” เวลานี้เขาไม่อยากร้องไห้แล้ว เพราะถึงจะอยากร้องแต่ไม่มีน้ำตา


ตอนที่ 390 พ่อเธอให้เธอ


 


 


“คุณหนูใหญ่ ผมอยากพาคุณไปเล่นงานคนอื่น” จ้าวจวินอึดอัดอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยขึ้น


 


 


อีลั่วเสวี่ยหยุดมือลงทันที “เพราะอะไรคะ? อยากพาฉันไปเล่นงานใคร”


 


 


จ้าวจวินตอบโดยไม่ต้องคิด “แน่นอนว่าย่อมเป็นพี่น้องพวกนั้นของฉัน เวลาได้ดีก็แบ่งปันกัน พอถูกเล่นงานก็ต้องถูกเล่นงานร่วมกันจึงจะยุติธรรม” ไม่งั้นจะแสดงให้เห็นความผูกพันอย่างลึกซึ้งในหมู่พี่น้องได้อย่างไร


 


 


“ที่อาพูด ไม่มีอะไรผิด” ใช่แล้ว มีเหตุผลมาก ไม่มีอะไรผิด


 


 


ถึงตรงนี้อีลั่วเสวี่ยเปิดกล่องออก ของในกล่องห่อด้วยผ้าอ่อนนุ่มสีดำ พอแกะออก ก็เห็นปืนขนาดเล็กกระทัดรัดกระบอกหนึ่งวางนิ่งอยู่ในกล่อง


 


 


ตัวปืนเป็นสีเงิน ใหญ่ขนาดเท่าฝ่ามือเธอ เล็กระทัดรัดมาก ด้ามปืนยังสลักเป็นเกล็ดหิมะสองดอกใหญ่เล็กไม่เท่ากันกำลังร่วงลงมา ไม่มีสี เป็นเนื้อเดียวกับปืน ถ้าไม่ดูอย่างละเอียดจะมองไม่เห็น


 


 


“เกล็ดหิมะที่ปลิวร่วงลงมา ก็คือลั่วเสวี่ย ดูไม่ออกเลยว่าพ่อของเจ้าคนนี้จะเป็นคนที่เจ้าความคิดอย่างนี้” ลูกบอลเงินถอนหายใจ มันไม่เข้าใจความรู้สึกของมนุษย์ ทั้งๆ ที่ไม่ใช่ลูกแท้ๆ แต่ก็ยังรักอย่างสุดหัวใจ


 


 


แต่บางคนเป็นพ่อลูกกันแท้ๆ ยังมีความรักต่อกันไม่ถึงครึ่งของพ่อลูกคู่นี้


 


 


อีลั่วเสวี่ยหยิบปืนขึ้นมา เล็งไปที่หน้าต่าง เหมาะมือมาก น้ำหนักยังเบาด้วย ไม่เทอะทะและหนักอย่างปืนที่เธอเคยหยิบจับ


 


 


จ้าวจวินเห็นอีลั่วเสวี่ยชอบก็รีบพูดว่า “ท่านแม่ทัพบอกว่าให้คุณลองดู ถ้ารู้สึกว่าตรงไหนต้องปรับแก้ อาจะเอากลับไปแก้ไขแล้วค่อยเอามาให้”


 


 


นี่เป็นอาวุธ ไม่ใช่ใครก็เอามาให้ได้ ถ้าอยากเอาติดตัว ก็ต้องแสดงบัตรประจำตัว รวมทั้งใบทะเบียนปืนด้วย


 


 


อีลั่วเสวี่ยดึงปืนกลับมาด้วยความพอใจ เก็บปืนกลับลงไปในกล่อง “ไม่ต้องหรอกค่ะ เหมาะมือมาก จริงสิ อาจ้าว ก่อนนี้พ่อฉันบอกว่าไม่ใช่จะหาปืนมาได้ง่ายๆ นี่นา?”


 


 


เดิมทีเป็นเพราะอยากรู้อยากเห็นในของสิ่งนี้ เพราะครั้งก่อนอำนาจทำลายล้างของปืนทำให้เธอตกใจ ถ้าใช้ประสานกับพลังทิพย์จะใช้ได้ดีกว่ากระบี่ แต่ตอนนั้นเธอขอจากอวิ๋นเว่ยแต่เขาไม่ตกลง ต่อมาเลยเลิกคิด


 


 


หลังจากนั้นเจ้าลูกบอลเงินบอกว่าในร้านมีของที่เทคโนโลยีสูงกว่า แต่เธอรู้สึกว่าไม่จำเป็น แต่กลับคิดไม่ถึงว่าผ่านไปนานเช่นนี้พ่อเธอกลับหาปืนมาให้เธอกระบอกหนึ่ง น่าจะทำขึ้นจากวัสดุพิเศษด้เวย


 


 


“แน่นอนว่าไม่ง่าย อาวุธแต่ละกระบอกของเรามีเลขทะเบียน ทั้งยังต้องมีคุณสมบัติที่จะพกปืนด้วย สำหรับของคุณหนูใหญ่ ท่านแม่ทัพอนุญาตให้เป็นพิเศษ ครั้งก่อนมีคนบุกมาถึงที่นี่ไม่ใช่หรือ


 


 


ท่านแม่ทัพบอกว่าเธอต้องป้องกันตัว ลงแรงไปไม่น้อยจึงได้รับใบอนุญาต ดังนั้นจากนี้ไปเธอใช้ให้ถูกต้องก็ไม่มีปัญหา นี่เป็นใบอนุญาต เก็บไว้ให้ดีละ” พูดจบก็ยื่นใบอนุญาตให้อีลั่วเสวี่ย


 


 


คนมากมายอยากได้ใบอนุญาตพกปืนแบบนี้ แต่ถ้าไม่ใช่เจ้าหน้าที่ในตำแหน่งย่อมไม่ได้รับอนุญาต ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงที่อีลั่วเสวี่ยไม่เคยฝึกและไม่ใช่เจ้าหน้าที่ พูดได้ว่าอวิ๋นเว่ยต้องลงแรงไม่น้อยจึงทำสำเร็จ


 


 


อีลั่วเสวี่ยมองดูปืนในกล่องอีกครั้ง รู้สึกตื้นตันใจมาก เธอย่อมรู้ว่าโลกนี้ต่างกับโลกที่เธอเคยอยู่ ในโลกนี้ถ้าจะพกพาอาวุธอย่างถูกกฎหมาย ต้องผ่านการตรวจสอบหลายชั้น จึงรู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณของอวิ๋นเว่ยมาก


 


 


เมื่ออีลั่วเสวี่ยรับกระดาษบางๆ แผ่นนั้นมา กลับรู้สึกหนักนับพันชั่ง เพราะเปี่ยมด้วยความรักของพ่อที่อวิ๋นเว่ยมีต่อเธอ


 


 


“เอาละคุณหนูใหญ่ ควรจะกินได้แล้ว อาหารเย็นชืดแล้ว” อาเหมายิ้มเมื่อเห็นอีลั่วเสวี่ยมองปืนในกล่องจนเหม่อ แล้วอดไม่ได้ที่จะพูดเตือน


 


 


“ใช่ใช่ รีบกินซะ ดูแลสุขภาพให้ดี ถ้าพี่อวิ๋นรู้ว่าเพราะเรื่องนี้ทำให้เธอกินข้าวดึกไป ฉันต้องโดนเฉ่งแน่” จ้าวจวินพูดล้อเล่น


 


 


 


 


ตอนที่ 391 แกสองคนหย่ากัน


 


 


อีลั่วเสวี่ยพยักหน้า พับใบอนุญาตพกปืนเก็บไว้ที่พื้นกล่อง เดิมที่วันนี้ไม่สบายใจ แต่เพราะการได้รับความเอาใจใส่เหล่านี้ ทำให้ความทุกข์ใจจางหายไป ตื้นตันใจจนอยากจะร้องไห้


 


 


เป็นความจริงที่ว่าจากชาติก่อนจนถึงชาตินี้ นอกจากอาจารย์ที่ดีต่อเธอแล้วไม่มีใครดีต่อเธอเลย คนส่วนหนึ่งถ้าไม่หลีกห่างเธอ ก็เคียดแค้นเธอ หวาดกลัวเธอหรือไม่ก็เสแสร้ง ไม่มีใครจริงใจ


 


 


“ขอเพียงคุณหนูใหญ่ชอบก็พอแล้ว ท่านแม่ต้องดีใจแน่ แล้วเธอค่อยหาเวลาโทรไปบอกเขาหน่อย เขาต้องดีใจแน่นอน” จ้าวจวินอธิบาย


 


 


“แน่นอนว่าชอบ แต่ดึกอย่างนี้พ่อคงพักผ่อนแล้ว พรุ่งนี้ฉันค่อยโทรหาท่านค่ะ” อีลั่วเสวี่ยยกน้ำแกงขึ้นซดสองสามคำ จากนั้นจึงกินอาหาร


 


 


อย่าว่าไป เธอหิวจริงๆ


 


 


บางทีอาจจะมีคนพูดว่าเธอใจดำ นายท่านผู้เฒ่าเฉวียนโมโหจนต้องเข้าโรงพยาบาล แต่เธอยังสามารถกินดื่มที่นี่ได้ ไม่รู้ร้อนรู้หนาว ที่จริงเธอรู้ว่านายท่านผู้เฒ่าไม่ได้ป่วยหนัก


 


 


ขอเพียงพักผ่อนหน่อยก็จะไม่เป็นไร ตัวเองโมโหตัวเองชัดๆ ต่อจากนี้ถ้าไม่มีใครไปทำให้แกโมโหก็พอแล้ว รับประกันว่าจะกลับมาคึกคักได้เหมือนเดิม พรุ่งนี้ก็จะเหมือนคนปกติแล้ว


 


 


“ติงตัง” ขณะที่อีลั่วเสวี่ยกินข้าวเสร็จ เสียงเตือนในมือถือก็ดังขึ้น เธอเปิดดู เป็นเฉวียนหมิงตอบที่เธอถามไป


 


 


เมื่อกี้หมอมาแล้ว ให้ยาลดความดันกับปู่ ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้ว ไม่ต้องห่วง


 


 


อีลั่วเสวี่ยตอบไปว่าดี บอกว่าตัวเองไม่ไปหา ไม่งั้นอาจทำให้นายท่านผู้เฒ่าไม่พอใจ จากนั้นเฉวียนหมิงตอบกลับว่าให้เธอพักผ่อนให้ดี อย่าคิดมาก


 


 


จ้าวจวินกะพริบตา ท่าทางแปลกใจ “คุณหนูใหญ่ ใครส่งข้อความมาให้หรือ?”


 


 


“ลองทายดูค่ะ?” อีลั่วเสวี่ยยิ้ม แล้วหยิบกล่องพร้อมใบอนุญาต เดินขึ้นชั้นบนอย่างสบายอารมณ์ ทิ้งอาเหมาและจ้าวจวินที่ยังงุนงงอยู่ที่เดิม


 


 


“ดูแล้วคุณหนูใหญ่จะชอบของขวัญที่ท่านแม่ทัพมอบให้” จ้าวจวินพูดอย่างใช้ความคิด


 


 


อาเหมาพยักหน้าเป็นเชิงเห็นด้วย เมื่อกี้เขาเห็นคุณหนูใหญ่บ้านตนท่าทางซาบซึ้งจนน้ำตาคลอ


 


 


 


 


อีกด้านหนึ่งนายท่านเห็นเฉวียนหมิงก้มหน้าส่งข้อความก็เดาออกทันทีว่าส่งไปให้ใคร ทำให้เริ่มโมโห ยังปวดหัวขึ้นมาอีก จนร้องครางออกมา


 


 


“ปู่ครับ เป็นอะไรไป ไม่สบายที่ไหน ผมจะไปตามหมอมาดู?” เฉวียนหมิงท่าทางเครียด ไม่มีเวลาดูว่าอีลั่วเสวี่ยได้รับข้อความหรือยัง ลุกขึ้นมาอยู่ที่ข้างเตียงนายท่านผู้เฒ่าทันที


 


 


นายท่านผู้เฒ่าร้องหึอย่างหยิ่งผยองแล้วเบือนหน้าหนี “ในสายตาแกยังมีปู่คนนี้หรือ ไปหาเมียแกซะ จะเอาปู่ไว้ทำไม”


 


 


เฉวียนหมิงจนปัญญา “ปู่ พักผ่อนให้ดีๆ สุขภาพสำคัญมากครับ” ในเมื่อปู่ไม่อยากให้เอ่ยถึงอาเสวี่ย ตอนนี้จะไม่เอ่ยถึง


 


 


“อยากให้ปู่พักผ่อนดีๆ ง่ายมาก รับปากปู่เรื่องหนึ่ง” นายท่านผู้เฒ่าพูดเสียงเบา


 


 


“ปู่บอกมาเถอะครับ ขอเพียงผมทำได้ ผมต้องทำให้แน่” เฉวียนหมิงมองดูปู่อย่างจริงจัง แววตาเปี่ยมด้วยความห่วงใย


 


 


ดวงตานายท่านผู้เฒ่าฉายแววความดีใจออกมา แต่อดกลั้นไว้ หันหน้ามาพูด “งั้นแกสองคนหย่ากันซะ ถ้าเธอไม่ทำให้ปู่โมโห อาการก็ดีขึ้นเอง”


 


 


พอคำพูดหลุดออกมา สีหน้าเฉวียนหมิงที่เดิมดูผ่อนคลายลงก็หมองลงทันที เขาพูดกับปู่อย่างชัดถ้อยชัดคำ “ที่ปู่เรียกร้องอย่างนี้ ผมทำไม่ได้ ปู่พูดเรื่องอื่นดีกว่าครับ”


 


 


ถ้าเป็นคนอื่นพูดอย่างนี้ เขาคงต้องด่าอีกฝ่ายอยากร้องไห้ก็ร้องไห้ไม่ออก แต่ขณะนี้คนที่พูดเป็นปู่ตนเอง เขาจึงทำได้เพียงข่มโทสะในใจ เวลานี้อีกฝ่ายยังเป็นคนป่วยด้วย


 


 


“ทำไม่ได้ งั้นเมื่อกี้แกก็หลอกปู่เล่นใช่ไหม น่าโมโหจริงๆ!” นายท่านผู้เฒ่าพูดจบก็ตบอกตัวเอง ท่าทางไม่พอใจมาก


ตอนที่ 392 ผมดูแลเอง 


 


 


แต่แววตาเฉวียนหมิงเคร่งขรึมมาก “ที่หลานบอกว่ารับปากปู่ทุกเรื่องนั้น อะไรก็ได้ ยกเว้นเรื่องนี้เท่านั้นที่ทำไม่ได้ ทำไม่ได้เด็ดขาด!” 


 


 


เขาตามหาเธอมานานมาก ยังรออยู่แสนนาน คอยดูแลเธออย่างเอาใจใส่ เวลานี้ความรักของทั้งคู่นับว่ามีความคืบหน้าแล้ว เขาไม่ยอมให้เรื่องใดหรือใครมายุ่งด้วย 


 


 


ในนี้รวมถึงปู่ตนเองด้วย ถึงจะเป็นปู่แท้ๆ ก็ตาม ไม่ ต่อให้พ่อแม่เขาฟื้นขึ้นมายืนอยู่ตรงหน้า เขาก็ไม่เปลี่ยนใจ ไม่เด็ดขาด! 


 


 


นายท่านผู้เฒ่าได้ฟังน้ำเสียงของเฉวียนหมิงก็โกรธจนตัวสั่น กำหมัดแน่น แต่คิดไม่ถึงว่าเพราะตัวเองเคลื่อนไหวมากเกินไปทำให้เข็มน้ำเกลือรั่ว หลังมือบวมขึ้นทันที เลือดเริ่มไหลย้อนเข้าไปในเข็มน้ำเกลือ 


 


 


“แกออกไป ปู่ไม่อยากพูดอะไรกับแกแล้ว ออกไปซะ!” 


 


 


เฉวียนหมิงเหลือบเห็นพอดี คิ้วขมวดทันที เขาคว้ามือปู่ไว้ “ผมรู้ว่าปู่อารมณ์ไม่ดี แต่ไม่ควรเอาสุขภาพมาล้อเล่น อย่าขยับครับ เข็มน้ำเกลือรั่วแล้ว” 


 


 


เขาพูดพลางกดปุ่มสัญญาณ จะให้พยาบาลมาเปลี่ยนเข็มน้ำเกลือใหม่ 


 


 


“มีอะไรหรือคะ?” พยาบาลเข้ามาในห้อง ท่าทางเหมือนรู้สึกรำคาญ แต่พอเห็นคนรูปหล่ออย่างเฉวียนหมิง ก็หน้าแดงผ่าวทันที คอยชำเลืองมองเขา 


 


 


เฉวียนหมิงไม่ได้ใส่ใจพยาบาลสาวแม้แต่น้อย “เข็มรั่วแล้ว เปลี่ยมืออีกข้างเถอะ” 


 


 


พยาบาลเบ้ปากแต่ไม่พูดอะไร วางของที่ถือมาลงบนชั้น แล้วลงมือทำอย่างระมัดระวัง 


 


 


“นายน้อย นายท่านผู้เฒ่าเป็นอะไรหรือครับ?” ถึงตอนนี้เหล่าเกาก็มาถึงอย่างรีบร้อน มองดูเฉวียนสือด้วยสีหน้าห่วงใย เขาได้รับโทรศัพท์จึงรู้ว่าทั้งสองคนอยู่ที่โรงพยาบาลแล้ว 


 


 


เดิมเขายังคิดว่านายน้อยของตนเกิดปัญหา คิดไม่ถึงว่ากลับเป็นนายท่านผู้เฒ่า พอรู้สาเหตุเขาก็รู้สึกจนปัญญา ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดี นายหญิงน้อยของตนเป็นผู้หญิงที่น่ารัก ทำไมนายท่านผู้เฒ่าถึงไม่ชอบเธอนะ 


 


 


“ไม่ตายหรอก!” ไม่รอให้เฉวียนหมิงพูด นายท่านผู้เฒ่าพึมพำออกมาด้วยไม่พอใจ 


 


 


เฉวียนหมิงจนใจทำได้เพียงนิ่งเงียบ ในเวลาแบบนี้ไม่อาจยั่วโมโหปู่ได้ขาด 


 


 


มุมปากเหล่าเกากระตุก ได้แต่ยืนเงียบๆ อยู่ข้างๆ ดูแล้วนายท่านผู้เฒ่าไม่ได้อาการหนักอะไร ก็แค่อยากหาที่เงียบสงบ ยังอยากหาข้ออ้างเพื่อให้ทั้งสองคนแยกกัน 


 


 


“ปู่ครับ พักผ่อนให้ดี ผมอยู่ข้างนอก มีอะไรเรียกได้ครับ” เฉวียนหมิงพูดจบก็เดินออกไปจากห้อง แม้พวกเขาจะมาอย่างกะทันหัน แต่เพราะเป็นห้องผู้ป่วยระดับสูงจึงมีเตียงว่าง 


 


 


พอนายท่านผู้เฒ่าเห็นเฉวียนหมิงออกไปก็อ้าปากหวอ สุดท้ายก็ไม่พูดอะไร หันหน้าไปทางอื่นอย่างทะนงตน เหมือนกำลังงอน 


 


 


เหล่าเกาส่ายหน้าอย่างจนใจ นายท่านผู้เฒ่ายิ่งเหมือนเด็กมากขึ้นทุกที เอาแต่ใจตัวเอง 


 


 


“เสร็จแล้วค่ะ หลอดเลือดคนป่วยค่อนข้างเปราะ ถ้าขยับอาจจะรั่วได้ง่าย ถ้ามีเรื่องอะไรก็ให้ญาติไปแจ้งได้ค่ะ” พยาบาลซึ่งเดิมทีรู้สึกรำคาญ พอได้ยินคำสนทนาก็มีท่าทีนอบน้อมขึ้นทันที 


 


 


ห้องผู้ป่วยแบบนี้ถ้าพอมีเงินจ่ายก็เข้ามาพักรักษาตัวได้ แต่ที่เรียกขานว่านายน้อยนายท่านผู้เฒ่าแบบนี้ ต้องเป็นครอบครัวที่ร่ำรวยเป็นพิเศษแน่นอน จะทำให้ไม่พอใจไม่ได้ 


 


 


“ครับ รบกวนคุณแล้ว” เหล่าเกาพูดตอบอย่างสุภาพ 


 


 


อาจเพราะนายท่านผู้เฒ่าวุ่นวายไม่หยุด คงเหนื่อยแล้ว หันหน้าไปไม่นานก็เริ่มนอนหลับ เหล่าเกาเห็นเช่นนั้นก็ช่วยห่มผ้าให้แล้วเดินย่องออกจากห้อง 


 


 


เฉวียนหมิงนั่งไขว่ห้างอยู่ที่โถงทางเดินนอกห้อง คนป่วยและญาติที่เดินไปมารอบๆ รวมทั้งนางพยาบาลซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามพากันมองมาทางนี้ ยังกระซิบกระซาบกันด้วย 


 


 


เขาเป็นเหมือนเจ้าชาย ไม่ว่าจะนั่งอยู่ที่ไหนก็เหมือนนายแบบที่คนดูแล้วไม่รู้สึกเบื่อ 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 393 กินของเขาแล้วย่อมใจอ่อนลง 


 


 


เฉวียนหมิงเห็นเหล่าเกาเดินออกมาก็ถามทันที “ปู่เป็นยังไงบ้าง?” เขาเองก็อารมณ์ไม่ดี แต่ยังไงอีกฝ่ายก็เป็นปู่ของตน เลี้ยงดูเขามาตั้งแต่เล็กจนโต 


 


 


เหล่าเกาค้อมตัวเล็กน้อยแล้วนั่งลง “หลับไปแล้ว นายน้อย เรื่องราวเป็นอย่างไรหรือครับ ทำไมนายท่านผู้เฒ่าถึงมาเข้าโรงพยาบาล ต้องโทรเรียกหมอหมิงมาไหมครับ?” 


 


 


เฉวียนกรุ๊ปมีการไปมาหาสู่กับหลิงเป่าถังของสกุลเฟิง ถือว่ามีความร่วมมือกัน 


 


 


เฉวียนหมิงสั่นหัว “ไม้ต้องวุ่นวายหรอก ไม่ใช่ป่วยหนักอะไร” ก็แค่โมโหจนอาการป่วยกำเริบ ทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น จำเป็นต้องกลับไปค่อยๆ พักฟื้น แล้วค่อยตามหมอหมิงมาตรวจ 


 


 


เหล่าเกาเหลือบมองนาฬิกาข้อมือ “นายน้อย คุณกลับไปพักเถอะ ทางนี้มีผมอยู่ก็พอ ตอนนี้ดึกมาแล้ว” 


 


 


“ไม่ ฉันจะเฝ้าที่นี่ ถ้าฉันไปปู่จะยิ่งโมโห อีกอย่างฉันเองก็ไม่วางใจ…”  


 


 


ข้อแรกเพราะกลัวว่าพอปู่ตื่นขึ้นแล้วไม่เห็นเขา ก็จะรู้สึกน้อยใจ  


 


 


ข้อสองเขาเองก็เป็นห่วงจริงๆ ปู่ตนอายุมากแล้ว บวกกับสภาพของตนเอง มีเวลาแสดงความกตัญญูไม่มากแล้ว สามารถอยู่เป็นเพื่อนปู่บ้างก็ควรทำ 


 


 


เหล่าเกาเห็นเช่นนั้น จึงไปหาเตียงพับและผ้าห่มมาให้ เฉวียนหมิงกับเหล่าเกาจึงนอนเฝ้าที่โรงพยาบาล 


 


 


วันรุ่งขึ้นอีลั่วเสวี่ยตุ๋นน้ำแกงไก่เอามาให้ที่โรงพยาบาล ให้เฉวียนหมิงเอาไปให้นายท่านผู้เฒ่า ส่วนตัวเธอกลับไป 


 


 


“ใครเอาน้ำแกงมาให้?” นายท่านผู้เฒ่าขยับจมูกทันทีเมื่อได้กลิ่นหอมโชยมา ตาจ้องไปที่กล่องอาหารเก็บความร้อน พร้อมกับท้องส่งเสียงร้องประสานรับแล้ว 


 


 


เฉวียนหมิงเม้มปาก “ผมให้เหล่าเกาไปซื้อมา จะชิมไหมครับ?” เดิมเขาคิดจะบอกว่าอีลั่วเสวี่ยทำมาให้ แต่คิดว่าพูดแบบนั้นแล้วปู่คงจะทำตัวดื้อรั้นไม่ยอมกิน 


 


 


“แกว่าไงล่ะ? ไม่รู้จักเอาใจใส่เลย ฉันคิดว่ายังไงหลานสาวก็คงดีกว่า รู้จักดูแล หึ!” พอพูดเช่นนี้ก็นึกถึงอีลั่วเสวี่ยขึ้นมา ตนเองมาอยู่ที่นี่ ไม่เห็นมาเยี่ยมบ้าง 


 


 


“อืม ปู่พูดอะไรก็ถูกหมด” เฉวียนหมิงตอบอย่างเลี่ยงๆ แล้วยกน้ำแกงและโจ๊กมาวางบนหัวเตียง ยื่นชามน้ำแกงไปให้ก่อน ปู่ของตนมีอาการร้อนใน กินอาหารเหลวก่อนจะดีกว่า 


 


 


พอนายท่านผู้เฒ่ากินเสร็จก็เริ่มก่อกวน “ยายหนูนั่นล่ะ? ทำให้ปู่โมโหจนเป็นอย่างนี้ แต่กลับไม่มาเยี่ยมฉันบ้าง” เขานั่งเอนพิงวางท่าราวกับฮ่องเต้ 


 


 


ถึงตรงนี้เหล่าเกาเดินเข้ามา พอได้ยินก็มองเฉวียนหมิงด้วยความแปลกใจ หรือนายน้อยของตนไม่ได้บอกว่าน้ำแกงนี้นายน้อยหญิงเอามาให้ 


 


 


นายท่านผู้เฒ่าเห็นเฉวียนหมิงไม่ตอบก็ขมวดคิ้ว แล้วเปลี่ยนเรื่องพูด “เหล่าเกา ไปซื้อน้ำแกงมาจากไหน อร่อยจริงๆ เดี๋ยวบอกให้ฉันรู้หน่อย ฉันจะไปลองชิมอาหารอื่นของร้านนี้” 


 


 


เหล่าเกากลอกตา สีหน้าแปลกใจ “น้ำแกง? นายท่านครับ ผมไม่ได้ซื้อน้ำแกงนี่ หรือนายน้อยไม่ได้บอกท่าน?” 


 


 


“เขาบอกว่าคุณเป็นคนซื้อ” นายท่านผู้เฒ่าพึมพำ แล้วรู้สึกแปลกใจ หันไปพูดกับเฉวียนหมิง “แกไม่ได้พูดความจริงกับฉัน!” 


 


 


ดวงตาเฉวียนหมิงฉายแววเจ้าเล่ห์ออกมา เชิดมุมปากขึ้นเล็กน้อย “ครับ น้ำแกงนี่อาเสวี่ยตุ๋นมาให้ ปู่คิดว่าเราสองคนเฝ้าอยู่ที่นี่จะมีเวลาไปตุ๋นหรือ อีกอย่างร้านข้างนอกจะทำได้ถึงขั้นนี้หรือ?” 


 


 


เขาเองยังนึกอิจฉา ตนเองยังยากที่จะได้กินอาหารฝีมือของอาเสวี่ย  


 


 


เหมือนคำกล่าวที่ว่ากินของเขาแล้วย่อมใจอ่อนลง ตอนนี้นายท่านผู้เฒ่าคงไม่สามารถคายของที่กินลงไปแล้วออกมาได้จริงไหม? ใบหน้าเขาแดงเรื่อ เบนหน้าไปทางอื่น ทำเป็นมองโน่นมองนี่ เหมือนไม่ได้ยินที่หลานชายตนเองพูด 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม