ชายาหยุดเย้าข้าเสียทีเถิด 380-387
ตอนที่ 380 ไม่อยากจากเซียวเหยี่ยนไป
“หมายความว่า สำนักอู๋จี๋กับคนในวังสมรู้ร่วมคิดกัน สำนักอู๋จี๋มีความสามารถจริงๆ น้องสาวของไทเฮาเป็นผู้คุมกฎของสำนักอู๋จี๋ คนที่อยู่เบื้องหลังคงไม่ใช่ไทเฮาหรอกนะเพคะ!”
หลิงอวี้จื้อสงสัยมู่หรงกวานเย่ว์อย่างมาก ไม่ว่าดูอย่างไร นางก็น่าสงสัยมากที่สุด ฮ่องเต้องค์ก่อนสวรรคต นางก็ก้าวขึ้นตำแหน่งไทเฮาอย่างราบรื่น จะเอาสร้อยข้อมือนี้ไปก็ไม่ใช่เรื่องยาก ทุกเรื่องล้วนโยงเข้ากับมู่หรงกวานเย่ว์ได้
“เป็นไปได้ แต่ยังไม่มีหลักฐานเพียงพอ ในนี้จะต้องมีแผนลับยิ่งใหญ่แน่นอน ต้องสืบเรื่องนี้ให้ละเอียด”
เซียวเหยี่ยนไม่ได้ข้อสรุป เขาเป็นคนใส่ใจเรื่องหลักฐาน หากไม่มีหลักฐานเพียงพอ เขาจะไม่สรุปผล
“อาเหยี่ยน สร้อยเส้นนี้เอาไว้ทำอะไรกันแน่”
ในที่สุดหลิงอวี้จื้อก็อดใจไม่ไหว เอ่ยถาม
“ในเมื่อเจ้ารู้ว่าสร้อยเส้นนี้สามารถเปล่งแสงได้เมื่อส่องกับแสงแดด เช่นนั้นจะต้องเคยเห็นสร้อยเส้นนี้แน่นอน อวี้จื้อ เจ้าบอกข้าก่อนว่าเจ้าเคยเห็นที่ใด”
เธอเค้นสมองคิดแล้วคิดอีก จึงได้เอ่ยปากอย่างตะกุกตะกักว่า
“เคยเห็นในฝันเพคะ”
พูดจบก็ก้มหน้าด้วยความรู้สึกผิด เหตุผลนี้ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังหลอกเด็กสามขวบ แต่ว่าคราวนี้เธอคิดเหตุผลอื่นไม่ออกจริงๆ
ใครจะไปรู้ว่าเซียวเหยี่ยนกลับเชื่อ
“อวี้จื้อ เจ้าฝันถึงมันได้ แสดงว่าเจ้ากับสมบัติชิ้นนี้มีสายสัมพันธ์กัน สร้อยข้อมือนี้เจ้าพกไว้ จงเก็บไว้อย่างระมัดระวัง อย่าให้ใครเห็นได้”
หลิงอวี้จื้อนึกไม่ถึงว่าเธอจะผ่านด่านไปได้แบบนี้ ได้ยินเซียวเหยี่ยนจะเอาสร้อยข้อมือให้เธอ ปฏิกิริยาแรกของเธอคือการปฏิเสธ เธอกลัวว่าตนเองใส่สร้อยข้อมือนี้แล้วจู่ๆ ก็จะกลับไปสู่ยุคปัจจุบัน หากเป็นสองสามเดือนก่อน เธอจะต้องยิ้มรับมาอย่างดีใจแน่นอน ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว เธอมีว่าที่สามี เธอไม่อยากจากเซียวเหยี่ยนไป
“อาเหยี่ยน อย่าให้ของสิ่งนี้แก่ข้าเลย ข้าไม่มีวิทยายุทธ หากทำหายไปจะทำอย่างไร ท่านเก็บรักษาไว้เองเถิด”
เซียวเหยี่ยนคิดสักครู่ก็ไม่ยืนกรานเช่นเดิมอีก หลิงอวี้จื้อไม่มีวิทยายุทธ์ ตอนนี้เจียงสือก็คงจะยังไม่รู้ว่าสร้อยข้อมือหายไปแล้ว เมื่อใดที่นางรู้ ต้องตามหาแน่นอน ถึงตอนนั้นก็จะเป็นอันตรายต่อหลิงอวี้จื้อ อย่างไรก็รอให้เรื่องทั้งหมดนี้จบสิ้นก่อนค่อยให้สมบัตินี้แก่หลิงอวี้จื้อ
“อาเหยี่ยน ท่านยังไม่บอกข้าเลยว่าสร้อยเส้นนี้เอาไว้ทำอะไรกันแน่”
เห็นหลิงอวี้จื้อสนใจเช่นนี้ เซียวเหยี่ยนก็พูดต่อ
“หินหยกบนสร้อยเส้นนี้เป็นหินอาตมัน กล่าวกันว่าหินอาตมันเป็นอัญมณีที่ตกทอดมาตั้งแต่ตอนฟ้าดินเพิ่งแยกจากกัน [1] ผ่านไปนับหมื่นปี มันดูดซับพลังจิตวิญญาณของฟ้าดินเอาไว้
ตำนานเล่าว่าผิงตี้ ฮ่องเต้องค์แรกของแผ่นดินใหญ่ ได้สร้อยข้อมือคู่นี้มาโดยมิได้ตั้งใจ น้ำที่เดิมทีท่วมรุนแรง กลับถูกควบคุมไว้ได้อย่างปาฏิหาริย์
ปัญหานี้เป็นปัญหารบกวนผิงตี้มาหลายปี ได้รับการแก้ไขไปได้เช่นนี้ ผิงตี้ยินดีปรีดายิ่งนัก ให้สำนักดาราศาสตร์ตรวจดูปรากฏการณ์บนท้องฟ้า จากการตรวจดูปรากฏการณ์บนท้องฟ้า ก็รู้ได้ว่าเป็นเพราะพรคุ้มครองจากหินอาตมัน ด้วยเหตุนี้หินอาตมันจึงถูกยกย่องให้เป็นสมบัติล้ำค่า
แคว้นอู๋ก็เริ่มมีฝนตกต้องตามฤดูกาล แคว้นมีกำลังเจริญรุ่งเรือง กลายเป็นแว่นแคว้นที่มีศักยภาพสูงที่สุดในแผ่นดินใหญ่
จวบจนปีหนึ่ง หินอาตมันถูกขโมยไป ดวงเมืองของแคว้นอู๋ก็ถึงจุดสิ้นสุด ถูกแคว้นอื่นทำลายสิ้น
ตั้งแต่นั้นมา หินอาตมันก็กลายเป็นสมบัติที่ฮ่องเต้แต่ละแคว้นแย่งชิงกัน มันตกเป็นของผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดเสมอ
หลังจากก่อตั้งแคว้นเว่ยตะวันตกเป็นต้นมา หินอาตมันก็ตกอยู่ในมือของแคว้นเว่ยตะวันตก แต่กลับไม่ระวังทำสร้อยข้อมือหายไปหนึ่งเส้น ตอนนั้นไท่จู่ [2] ฮ่องเต้ทรงกริ้วมาก จัดการทหารยามที่เฝ้าหินอาตมันทั้งหมด และสร้างคลังสมบัติหลังหนึ่งไว้เก็บหินอาตมัน”
ตอนที่ 381 เด็กโข่งเอย นอนเร็วไว
หลิงอวี้จื้อฟังอย่างตั้งใจ หินอาตมันจะมีฤทธิ์คุ้มครองดวงเมืองหรือไม่นั้นเธอไม่แน่ใจ แต่เธอยืนยันได้ว่า สร้อยข้อมือเส้นนี้ไม่ใช่สร้อยข้อมือธรรมดา และอาจมีพลังชั่วร้ายอยู่เล็กน้อยด้วย
จากที่เซียวเหยี่ยนพูด สร้อยข้อมือเส้นนี้สำคัญต่อแคว้นเว่ยตะวันตกมาก แล้วเหตุใดคนในวังผู้นั้นถึงได้มอบหินอาตมันให้เจียงสือได้ นี่เป็นเพียงองค์กรหนึ่งในยุทธภพ ชื่อเสียงใหญ่โตขนาดได้รับสมบัติที่มีอิทธิพลต่อดวงเมืองเสียที่ไหน ไม่กลัวแคว้นเว่ยตะวันตกจะพังพินาศหรืออย่างไร
คนโบราณเชื่อเรื่องพวกนี้มาก ตอนนี้ฮ่องเต้คือเฉินมั่วฉือ หากมู่หรงกวานเย่ว์มอบหินอาตมันให้เจียงสือแล้ว นางไม่กลัวว่าจะเป็นการทำร้ายลูกชายตนเองหรือ พอคิดเช่นนี้ เรื่องนี้ทำให้คนสับสนงงงวยจริงๆ
“อาเหยี่ยน ท่านเชื่อหรือไม่ว่าหินก้อนนี้จะมีอิทธิพลต่อดวงเมือง”
จู่ๆ หลิงอวี้จื้อก็ถามขึ้นมา
เซียวเหยี่ยนขยับร่างกายเล็กน้อย แล้วส่ายหน้า
“ข้าไม่เคยเชื่อคำพูดที่ไม่มีมูลความจริง โชคชะตาของประเทศจะขึ้นอยู่กับหินก้อนเล็กๆ ได้อย่างไร
หากกษัตริย์ไร้สติปัญญา จะมีหินอาตมันอีกเท่าใดก็ไร้ประโยชน์ ดวงชะตาของประเทศอยู่ในกำมือของกษัตริย์และเหล่าขุนนาง หากกษัตริย์ฉลาดรู้จักใช้คนให้เหมาะกับงาน ประชาชนก็ย่อมอยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข
ในทางกลับกัน หากกษัตริย์ไม่ประพฤติเยี่ยงกษัตริย์ ขุนนางไม่ประพฤติเยี่ยงขุนนาง ประชาชนก็ย่อมต่อต้าน ทุกคนต่างรู้จักหินอาตมัน ด้วยเหตุนี้หินอาตมันจึงเป็นสัญลักษณ์ของแคว้นที่มีอำนาจ หากมันมีพลังในการคุ้มครองจริง ข้าก็หวังว่ามันจะคุ้มครองเจ้า”
หลิงอวี้จื้อมองเซียวเหยี่ยนด้วยความชื่นชม ไม่รู้ทำไม รู้สึกว่าเขาหล่อมากตอนที่พูดเรื่องพวกนี้ ที่แท้เซียวเหยี่ยนเป็นพวกอเทวนิยม ทำอย่างไรดี เธอบ้าผู้ชายไปหน่อย
เห็นหลิงอวี้จื้อมองตนเองเช่นนั้น เซียวเหยี่ยนก็มิได้รู้สึกเขินเลย กลับชอบใจอย่างยิ่ง เอื้อมมือไปลูบหัวหลิงอวี้จื้ออย่างเอาใจ
“หินก้อนนี้มีอิทธิพลต่อดวงเมืองหรือไม่ข้าไม่แน่ใจ แต่ข้ามั่นใจว่า หินก้อนนี้ไม่ใช่ของธรรมดา มิเช่นนั้นเจียงสือคงไม่เก็บมันไว้ เจียงสือเชี่ยวชาญด้านมารมืดชั่วร้าย นางเอาสร้อยข้อมือนี้ไปคงไม่ทำเรื่องดีแน่”
“ดังนั้นสร้อยข้อมือนี้จะตกอยู่ในมือของเจียงสือไม่ได้ ตอนนี้ยังไม่สามารถยืนยันว่าคนที่แอบสมรู้ร่วมคิดกับเจียงสือเป็นใคร ของชิ้นนี้ก็ยังไม่สามารถส่งคืนวังหลวงได้เช่นกัน”
“ข้าสนับสนุนท่าน”
หลิงอวี้จื้อพูดพลางยิ้มตาหยี เธอเห็นเซียวเหยี่ยนพูดยาวขนาดนี้ จึงลุกขึ้นเทน้ำให้เซียวเหยี่ยนหนึ่งแก้ว
“อาเหยี่ยน ท่านดื่มน้ำแล้วพักผ่อนเสีย ข้าจะอยู่ข้างๆ เป็นเพื่อนท่าน”
“ตอนที่อยู่ซูโจว ข้าเคยได้ยินเจ้าบอกว่ามีเพลงกล่อมเด็ก อวี้จื้อ ข้าจะให้โอกาสเจ้าสักครั้ง ตอนนี้สามารถร้องให้ข้าฟังได้แล้ว”
“หา…”
หลิงอวี้จื้อเกาหัวแกรกๆ ความจำของเซียวเหยี่ยนดีเกินไปเสียแล้วมั้ง! หากเขาไม่พูดขึ้นมา เธอก็ลืมไปแล้วว่าตัวเองเคยพูดแบบนี้ เธอทำหน้าลำบากใจพลางพูดว่า
“นั่นเป็นเพลงที่แม่ร้องกล่อมลูกน้อยนะ ข้าร้องให้ท่านฟังคงไม่เหมาะกระมัง! ท่านจะไม่อึดอัดใจหรือ”
เซียวเหยี่ยนสนใจอย่างยิ่ง
“เจ้าเปลี่ยนเนื้อเพลงสักหน่อยก็ได้แล้ว”
“ก็ได้ ข้าจะลองดู”
เห็นแก่ที่เซียวเหยี่ยนบาดเจ็บ หลิงอวี้จื้อจึงฝืนใจตอบรับ
กระแอมให้คอโล่งแล้วเธอก็ร้องว่า
“เด็กโข่งเอย นอนเร็วไว ในฝันเจ้ามีข้าตามไป ยิ้มกับเจ้า เหนื่อยกับเจ้า มีข้าเฝ้าเคลียคลอ…”
ร้องถึงตรงนี้ หลิงอวี้จื้อก็กลั้นไม่ไหว ขำพรืดออกมา เธอกุมท้องเอาไว้
“ไม่ไหวแล้ว ข้าร้องต่อไม่ได้แล้ว … ฮ่าๆ อาเหยี่ยน ท่านรีบนอนเถิด…ฮ่าๆ …”
เห็นหลิงอวี้จื้อหัวเราะเช่นนี้ ตอนแรกเซียวเหยี่ยนรู้สึกมึนงง เพลงนี้มันน่าขันขนาดนี้เลยหรือ จากนั้นมุมปากของเขาก็ยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม หลับตาลง
เขาไม่รู้ว่าตอนที่หลิงอวี้จื้อร้องเพลงนี้นั้น ในสมองของเธอปรากฏภาพเซียวเหยี่ยนกำลังนอนอยู่ในเปลไกว อมจุกนมหลอกในปาก พอคิดถึงฉากนี้แล้วก็อยากหัวเราะ
——
[1] มาจากนิทานปรัมปราเกี่ยวกับความเชื่อเรื่องการสร้างโลกของจีน คนจีนโบราณเชื่อว่าเดิมโลกเป็นฟองไข่ทรงกลม ภายในไข่มียักษ์ตนหนึ่งชื่อผานกู่หลับใหลอยู่ วันหนึ่งผ่านกู่ตื่นขึ้นมาและฟักตัวออกมา ได้ดันส่วนบนของไข่ให้กลายเป็นสวรรค์หรือท้องฟ้า และด้านล่างกลายเป็นโลกหรือพื้นดิน ถือเป็นการกำเนิดโลก
[2] ไท่จู่ (太祖) เป็นคำเรียกฮ่องเต้คนแรกของแคว้น หรือผู้ก่อตั้งราชวงศ์
ตอนที่ 382 ชุนเหนียงฆ่าตัวตาย
มั่วชิงกับอู่จิ้นที่อยู่ข้างนอกได้ยินเสียงหัวเราะจากข้างใน ทั้งสองคนต่างก็ทำหน้างง
เรื่องอะไรที่ทำให้คุณหนูของพวกเขาหัวเราะมีความสุขขนาดนั้น และมีเพียงเธอเพียงผู้เดียวที่สามารถหัวเราะต่อหน้าเซียวเหยี่ยนได้อย่างไม่เกรงใจ ไม่มีรูปแบบ การหัวเราะเสียงดังเป็นข้อห้ามอย่างยิ่งสำหรับผู้หญิง หัวเราะเช่นนี้ดูไม่งาม
แต่เสียงหัวเราะนี้ ทำให้คนที่ได้ยินรู้สึกมีความสุข ทั้งสองคนต่างยิ้มออกมา แต่ไม่พูดอะไร
ตอนนี้เองชุนเหนียงกำลังอยู่ในห้อง ลังเลสักครู่ สุดท้ายก็ลุกขึ้นออกจากห้อง แอบออกไปจากเรือน อวิ๋นซั่วคอยเฝ้าสังเกตชุนเหนียงอยู่ตลอด เห็นชุนเหนียงออกจากเรือนไป จึงตามไปด้วย
ออกมาจากเรือนพักแล้ว ชุนเหนียงก็เดินไปตามถนนเล็กอย่างระมัดระวัง เดินมาถึงกระท่อมร้างหลังหนึ่ง เห็นได้ชัดว่ากระท่อมนี้ถูกทิ้งร้างมานานแล้ว หลังคามีรูใหญ่ ข้างในรกรุงรัง มีขยะกองสุมเป็นกองใหญ่
อวิ๋นซั่วที่ตามมาข้างหลังเริ่มอยากรู้ ชุนเหนียงมาทำอะไรที่นี่ตอนนี้ หรือว่าจะมาหาใคร
ชุนเหนียงหยิบหินเหล็กไฟออกมาจากอกเสื้อ นางคิดแล้วคิดอีก มีแต่วิธีนี้เท่านั้น นางตายไป ศพจึงจะตกไปอยู่ในมือของสำนักอู๋จี๋ไม่ได้ นางเคยเห็นนักรบไร้ชีพมาก่อน นางไม่อยากตายแล้วจะถูกใช้ประโยชน์เช่นนั้น
นางไม่อยากตาย และกลัวเจ็บด้วย แต่ตอนนี้นางถูกบังคับจนหมดหนทางไปแล้ว นอกจากจบชีวิตตนเองเสียก็คิดวิธีใดไม่ออกแล้ว
นางถือหินเหล็กไฟไว้ มือสั่นระรัวตลอดเวลา พอจะจินตนาการความเจ็บปวดที่จะตามมาได้ หวังเพียงอย่างเดียวว่าชาติหน้าอย่าได้พบเจอกับสำนักอู๋จี๋อีกเลย
รออยู่สักครู่ นางก็ใช้หินเหล็กไฟจุดฟางหญ้า ของเหล่านี้ติดไฟง่ายอยู่แล้ว แค่สัมผัสไฟ ก็เผาไหม้ทันที เปลวไฟขยายใหญ่ในพริบตา อุณหภูมิที่แผดเผาทำให้นางรู้สึกเจ็บ นางถอยหลังไปสามสี่ก้าวก็ทรุดนั่งลงกับพื้น น้ำตาไหลรินอย่างควบคุมไม่ได้ นางเช็ดน้ำตาไม่หยุด ยิ่งเช็ดก็ยิ่งเยอะ
อวิ๋นซั่วขวัญกระเจิง เขาคิดไม่ถึงว่าชุนเหนียงวิ่งมาที่นี่เพื่อฆ่าตัวตาย ซ้ำยังเลือกวิธีที่เจ็บปวดทรมานเช่นนี้ สตรีผู้นี้เป็นบ้าไปแล้วหรืออย่างไร
ไม่ได้ นางยังตายไม่ได้ สมุนไพรเซียนหลินจือยังอยู่ในมือนาง คิดถึงตรงนี้ อวิ๋นซั่วก็บุกเข้าไป คิดจะช่วยชีวิตชุนเหนียงออกมา
เมื่อเห็นอวิ๋นซั่วที่โผล่มาอย่างฉับพลัน ชุนเหนียงก็ตะลึงอย่างเห็นได้ชัด
“เจ้า…เจ้ามาได้อย่างไร”
“เจ้าบ้าแล้วหรือ อยู่ดีๆ หาเรื่องตายเพื่ออะไร รีบออกไปกับข้า ช้าอีกจะไม่ทันการ”
อวิ๋นซั่วพูดไปพลางก็ฉุดดึงชุนหนียงไปพลาง อยากดึงชุนเหนียงออกไป แต่ชุนเหนียงกลับยื้อไว้
“คุณชายน้อย เรื่องของข้าเจ้าไม่ต้องยุ่ง เจ้ารีบไป ขืนช้าอีก เจ้าก็จะไปไม่ได้เช่นกัน”
“มีเรื่องอะไรก็คุยกันดีๆ หาเรื่องตายเพื่ออะไร กว่าจะมีชีวิตไม่ง่ายเลย เจ้ารู้หรือไม่ว่าไฟเผาท่วมตัวทรมานเพียงใด เจ้าอยากเผาตัวเองให้กลายเป็นเถ้าถ่านจริงๆ หรือ”
อวิ๋นซั่วพูดเสียงดัง ฉุดดึงชุนเหนียงไม่ปล่อย คิดจะฉุดชุนเหนียงออกไป เดิมชุนเหนียงก็กลัวอยู่แล้ว คราวนี้รู้สึกถึงอุณหภูมิของเปลวเพลิง ในใจก็ยิ่งหวาดผวาไปใหญ่ ไม่ยื้อไว้อีก อยากออกไปกับอวิ๋นซั่ว
อวิ๋นซั่วสะดุดแท่งไม้บนพื้นเล็กน้อย ร่างกายของเขาโน้มไปข้างหน้า ปล่อยมือโดยไม่รู้ตัว จากนั้นได้ยินเสียงชุนเหนียงกรีดร้อง ชุนเหนียงล้มลงไปในกองเพลิง ถูกเปลวไฟห่อหุ้มทั้งตัว ความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสทำให้ชุนเหนียงกรีดร้องโหยหวน
“รีบไป รีบไป…”
อวิ๋นซั่วเหมือนถูกอะไรบางอย่างยึดร่างไว้ทั้งตัว สมองว่างเปล่า ได้ยินประโยคที่บอกให้รีบไปแล้ว เขาไม่ลังเล ยังคงบุกเข้าไปคว้ามือชุนเหนียงไว้ ทุ่มสุดกำลังพาชุนเหนียงวิ่งออกจากกองไฟ
เพิ่งออกมาได้ กระท่อมฟางด้านหลังก็พังครืนลงมา
เขาหยิบกิ่งไม้จากพื้นขึ้นมา ตีไปบนตัวชุนเหนียงอย่างเอาเป็นเอาตาย หมายจะดับไฟบนตัวชุนเหนียง
ตอนที่ 383 ไม่ควรทำกับตนเองเช่นนี้
ชุนเหนียงเจ็บปวดจนกลิ้งไปกลิ้งมากับพื้น ดวงตาของเขาแดงก่ำ หน้าผากมีเหงื่อเม็ดใหญ่ไหลลงมาไม่ขาด ในที่สุดก็ดับไฟบนตัวชุนเหนียงได้ เพียงแต่ทั้งตัวชุนเหนียงถูกไฟเผาจนดำเป็นตอตะโก หายใจรวยริน
อวิ๋นซั่วนั่งกับพื้นอย่างหมดแรง หอบหายใจเฮือกใหญ่ เหงื่อไหลหยดย้อยไม่ขาดสาย เพิ่งสัมผัสกับพื้น มือก็รู้สึกเจ็บแสบ
เขาเหลือบมองดูมือตนเอง เลือดเนื้อบนมือปะปนกัน กลายเป็นสีดำไปหมด เมื่อครู่ตอนช่วยชุนเหนียงเอาไว้ มือของเขาก็ถูกไฟไหม้ เพียงแต่บาดแผลนี้เมื่อเทียบกับความสะเทือนใจที่ได้รับเมื่อครู่ มันไม่มีค่าพอให้พูดถึง เขาไม่กล้ามองชุนเหนียงที่อยู่บนพื้นด้วยซ้ำ ก่อนหน้านี้ยังเป็นคนดีๆ อยู่ ครู่เดียวก็ถูกไฟคลอกจนจำไม่ได้
ชุนเหนียงยังมีลมหายใจอยู่ น้ำเสียงเบามาก
“คุณชายน้อย พอข้าตายแล้วโยนข้าเข้ากองไฟที อย่าให้เหลือแม้แต่ซาก ขอร้อง…ขอร้อง…”
“ทำไม”
อวิ๋นซั่วอายุยังน้อย มองชุนเหนียงอย่างเหม่อลอย
ตอนนี้ชุนเหนียงมีเวลาอธิบายเสียที่ไหน นางทนความเจ็บปวด เริ่มพูดไม่ชัด
“ขอร้อง…ต้องรับปากข้า…ต้อง…”
พูดยังไม่ทันจบชุนเหนียงก็สิ้นเสียงแล้ว อวิ๋นซั่วไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับชุนเหนียง ถึงดึงดันจะเผาร่างตนเองเป็นเถ้าถ่านให้ได้
เขายกมือขึ้นเช็ดเหงื่อ ในใจค่อนข้างรู้สึกผิด เมื่อครู่หากเขาไม่สะดุด ชุนเหนียงก็คงไม่ตาย ช่วงเวลาวิกฤติที่สุดนางยังไม่อยากให้เขาต้องมาลำบากไปด้วย คนที่มีมโนธรรมเช่นนี้ เหตุใดถึงต้องเลือกวิธีโหดร้ายมาลงโทษตนเอง หรือว่าหลิงอวี้จื้อทำอะไรนาง
อวิ๋นซั่วสันนิษฐานเช่นนี้ ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าเรื่องมันคงเป็นเช่นนั้น
เขาทำใจโยนชุนเหนียงเข้ากองไฟไม่ได้แน่ แต่ขุดหลุมหนึ่งหลุมแถวๆ กระท่อมฟาง แล้ววางชุนเหนียงลงไป ฝังกลบดีแล้ว เขาก็พูดขอโทษ
“ขอโทษนะ สุดท้ายข้าก็ช่วยเจ้าเอาไว้ไม่ได้ ข้าไม่ได้ตั้งใจจริงๆ พี่ชุนเหนียง ขอให้เจ้าไปดี เจ้าเป็นคนดี ไม่ควรทำกับตนเองเช่นนี้”
พูดจบก็โขกหัวคำนับแล้วจากไป การเคารพนี้ ถือเป็นการที่ตนเองกล่าวขออภัยชุนเหนียงแล้ว
เขาไปที่โรงหมอ พันแผลที่มือเรียบร้อยแล้วจึงกลับไป ด้วยเหตุนี้ตอนที่กลับไปฟ้าก็มืดแล้ว หลิงอวี้จื้อกำลังหาชุนเหนียง เจออวิ๋นซั่วที่ธรณีประตูพอดี จึงถามว่า
“อวิ๋นซั่ว เจ้าเห็นชุนเหนียงหรือไม่”
“ไม่ ข้าไม่เห็นเลย ชุนเหนียงหายไปหรือ”
อวิ๋นซั่วไม่ได้เล่าเรื่องที่เห็นในวันนี้ให้หลิงอวี้จื้อฟัง เขาคิดเป็นปฏิปักษ์กับหลิงอวี้จื้ออยู่แล้ว รู้สึกว่าหลิงอวี้จื้อบังคับให้ชุนเหนียงตาย
“ใช่สิ แปลกจริง ฟ้าก็มืดแล้ว ชุนเหนียงไปไหน”
หลิงอวี้จื้อค่อนข้างเป็นกังวล เธอกลัวว่าชุนเหนียงจะไปตกอยู่ในมือสำนักอู๋จี๋ เมื่อใดที่ตกอยู่ในมือพวกนาง เมื่อนั้นก็มีโอกาสรอดน้อย
จากนั้น เธอเห็นผ้าพันแผลบนมือของอวิ๋นซั่ว ถึงแม้ว่าจะซ่อนอยู่ในแขนเสื้อ แต่ผ้าพันแผลยังโผล่ออกมาเล็กน้อย เธอถามอย่างเป็นห่วง
“มือเจ้าเป็นอะไรไป เสื้อผ้าก็สกปรกขนาดนี้ เหตุใดถึงมีกลิ่นเหมือนมีกลิ่นไหม้ด้วย”
“ในตำบลมีบ้านหนึ่งโดนไฟไหม้ ข้าเข้าไปช่วย ไม่ระวังจึงไหม้มือ พี่สะใภ้ ข้ากลับห้องก่อนนะ”
อวิ๋นซั่วพูดจบก็รีบร้อนเดินไป
มู่หรงนี่อวิ๋นก็ออกไปหาชุนเหนียงข้างนอก กลับมาตอนนี้เช่นเดียวกัน เมื่อหลิงอวี้จื้อเห็นมู่หรงนี่อวิ๋น ก็เรียกคำหนึ่ง มู่หรงนี่อวิ๋นไม่สนใจเธอ เดินตรงไปข้างหน้า หลิงอวี้จื้อแปลกใจ มู่หรงนี่อวิ๋นเป็นอะไรไปอีกแล้ว วันนี้ทำไมทุกคนดูผิดปกติกันไปหมด
“นี่อวิ๋น ข้าทำอะไรผิดต่อเจ้าหรือไม่”
“ไม่นี่”
มู่หรงนี่อวิ๋นหยุดเดิน
ตอนที่ 384 ความลับตลอดชีวิต
“ข้าเรียกเจ้า เหตุใดเจ้าถึงเมินข้า”
“ไม่ได้ยิน”
มู่หรงนี่อวิ๋นอธิบายลวกๆ พอเห็นหลิงอวี้จื้อก็นึกถึงภาพที่เซียวเหยี่ยนจูบนาง รู้สึกรับไม่ได้เอามากๆ ถึงแม้ตนเองไม่ควรมีปฏิกิริยาเช่นนี้ แต่กลับควบคุมตนเองไม่ได้ นางเป็นผู้หญิงที่เขารัก เขาหวังว่านางจะมีความสุข แต่ก็หึงเช่นกัน
“เจ้าแกล้งทำน่ะสิ แต่ว่าวันนี้พวกเจ้าดูแปลกๆ กันไปนะ ไม่พูดไร้สาระแล้ว พวกเรามาเข้าประเด็นดีกว่า เจ้าหาชุนเหนียงเจอหรือไม่”
“ข้าไปหามาทั้งตำบลแล้ว หาชุนเหนียงไม่เจอ ข้าว่านางออกจากตำบลเถาหยวนไปแล้ว”
“หากนางจะไปจริงๆ ก็ต้องแจ้งพวกเราสิ ข้าแค่กลัวว่านางจะเกิดเรื่องเสียแล้ว นางคงไม่ถูกคนสำนักอู๋จี๋จับตัวกลับไปแล้วหรอกนะ”
มู่หรงนี่อวิ๋นเหมือนนึกอะไรออก พูดว่า
“ใช่แล้ว ตอนที่ข้าเพิ่งจะกลับมาได้ยินคนในตำบลพูดกันว่า ตอนบ่ายมีกระท่อมร้างหลังหนึ่งไฟไหม้
กระท่อมหลังนั้นถูกทิ้งร้างมานานแล้ว มิหนำซ้ำตำแหน่งที่ตั้งก็ค่อนข้างไกล เมื่อก่อนมีคนเคยผูกคอตาย ปกติไม่มีใครกล้าไป มีคุณปู่คนหนึ่งเล่าว่าได้ยินเสียงผู้หญิงกรีดร้องตะโกนแว่วๆ ข้าจะลองไปดูที่นั่น”
“ข้าไปกับเจ้าด้วย วันนี้อวิ๋นซั่วบอกว่าตนเองไปช่วยคนถูกไฟไหม้ หรือว่าเขาไปช่วยคนถูกไฟไหม้ที่นั่น พวกเราลองไปดูก่อน นี่อวิ๋น เจ้ารีบนำทางไป”
หลิงอวี้จื้อไม่มีใจจะกินข้าวแล้ว เซียวเหยี่ยนก็ยังไม่ตื่น อย่างไรเธอก็จะไปหาชุนเหนียง เห็นมู่หรงนี่อวิ๋นยังมีสีหน้าหงุดหงิด จึงพูดเร่ง
มู่หรงนี่อวิ๋นไม่พูดอะไรอีก เดินนำทางข้างหน้า มั่วชิงเดินตามหลังหลิงอวี้จื้อ สามคนมุ่งหน้าไปทางกระท่อมฟาง
“นี่อวิ๋น พวกเราก็รู้จักกันมานานแล้ว ข้ายังไม่เคยเห็นเจ้ามีท่าทางไม่สบายใจเลย มีอะไรกวนใจรีบบอกข้า ถึงแม้ว่าข้าช่วยไม่ได้ แต่ข้าก็ช่วยเจ้าบรรเทาทุกข์ได้นะ”
สิ่งที่กวนใจเขาก็มาจากนางนั่นแหละ นางจะมาช่วยเขาบรรเทาได้อย่างไร ช่างเถอะ พูดไปก็มีแต่จะกระทบความสัมพันธ์ของพวกเขา เรื่องนี้เกรงว่าจะต้องเป็นความลับไปตลอดชีวิต
“ข้าไม่ได้แตะผู้หญิงมานานแล้ว ข้าคิดถึงผู้หญิงแล้ว”
นี่อวิ๋นพูดส่งเดชอย่างจริงจัง
เมื่อนึกถึงความเจ้าสำราญของเขาเมื่อก่อน ตอนนี้เขาละความปรารถนาแล้วจริงๆ หลิงอวี้จื้อไอเล็กน้อย ตบหลังมู่หรงนี่อวิ๋นเบาๆ
“เจ้าอดทนอีกหน่อย รอให้แผลอาเหยี่ยนหายดี พวกเราก็กลับเมืองหลวง หรือว่าเจ้าจะกลับไปก่อน ตำบลเล็กๆ นี้มีแต่กุลสตรีที่ดี เจ้าอย่าไปทำให้เสียเลย”
มู่หรงนี่อวิ๋นไม่ส่งเสียงใด หลิงอวี้จื้อพุ่งไปข้างหน้าเขา พูดเสียงเบา
“หรือว่าเจ้าจะจัดการตัวเองก็ได้”
มู่หรงนี่อวิ๋นตะลึง
“เจ้าไปเรียนรู้มาจากไหน ท่านอ๋องสอนเจ้าหรือ”
หลิงอวี้จื้อปกป้องเซียวเหยี่ยนโดยสัญชาตญาณ
“เจ้าอย่าพูดจาเหลวไหลไร้สาระ ข้าฟังคนอื่นพูดมา ก็เท่านั้นแหละ!”
“ใครกันที่หน้าไม่อายเพียงนี้ คุยเรื่องเหล่านี้กับสตรีได้อย่างไร”
หลิงอวี้จื้อกระอักกระอ่วนใจสุดขีด ยิ้มแห้งๆ อย่างไม่เป็นธรรมชาติอย่างยิ่ง
“หยุด หยุด ถือเสียว่าข้าไม่เคยพูดอะไรแล้วกัน”
มู่หรงนี่อวิ๋นทำเสียงหึ และไม่ต่อหัวข้อสนทนานี้อีก เขารู้ว่าหลิงอวี้จื้อเป็นคนกล้าพูด แต่ก็นึกไม่ถึงว่าบางครั้งนางจะกล้าถึงเพียงนี้ เหมือนคนที่เคยปัญญาอ่อนมาเป็นสิบปีเสียที่ไหน
เพราะใกล้จะปีใหม่แล้ว บ้านคนจำนวนไม่น้อยแขวนโคมแดงเอาไว้ แสงโคมริบหรี่นี้ ทำให้ยังสามารถเห็นถนนชัดเจน ตำบลเล็กๆ นี้ก็ไม่ได้ใหญ่อยู่แล้ว ถามชาวบ้านสองสามคน ไม่นานก็เดินมาถึงกระท่อมฟาง
หลิงอวี้จื้อรวบเสื้อผ้าให้กระชับ
“ข้างนอกหนาวพอสมควรเลย พวกเจ้าหนาวหรือไม่”
“ข้าถอดเสื้อนอกให้เจ้า”
มู่หรงนี่อวิ๋นกำลังจะถอดเสื้อนอกให้หลิงอวี้จื้อ พอเห็นเขาจะถอดจริงๆ หลิงอวี้จื้อก็รีบห้าม
“เจ้าจะแก้ผ้าต่อหน้าประชาชีหรือ ข้าแค่ถามดู ไม่ได้หนาวถึงขั้นทนไม่ได้สักหน่อย เจ้ามองไปรอบๆ สิ!”
ตอนที่ 385 น่ากลัวยิ่งกว่าฉากในหนังสยองขวัญ
พูดจบหลิงอวี้จื้อก็มองไปรอบๆ มู่หรงนี่อวิ๋นรู้สึกเศร้าใจ หากเป็นเซียวเหยี่ยน นางก็คงไม่ปฏิเสธ ท่าทางนางดูเหมือนจะไม่ยี่หระใดๆ แต่ที่จริงรู้จักหลบหลีกเก่งมาก นอกจากเซียวเหยี่ยนแล้ว ก็ไม่เคยให้ใครเข้ามาใกล้ชิดจนเกินไป
“คุณหนู นี่เป็นถุงเครื่องหอมของชุนเหนียง”
มั่วชิงหยิบถุงเครื่องหอมมาจากดินข้างๆ ฝุ่นดินจับทั้งถุง น่าจะตกลงมาจากตัว
หลิงอวี้จื้อรับไป ปัดฝุ่นออก เธอจำถุงเครื่องหอมนี้ได้ เป็นถุงเครื่องหอมของชุนเหนียงจริงๆ นี่พิสูจน์ว่าชุนเหนียงเคยมาที่นี่ หรือว่าจะเกิดเรื่องกับนางจริงๆ
“ข้ารู้สึกว่าชุนเหนียงมีโอกาสตายมากกว่ารอด กระท่อมฟางหลังนี้เหลือเพียงเถ้าถ่าน เกรงว่าชุนเหนียงจะถูกฆ่าตายแล้ว”
หลิงอวี้จื้อมองกระท่อมตรงหน้าที่ถูกไฟไหม้เหลือแต่ซาก รู้สึกเสียใจ จู่ๆ เธอก็นึกถึงหนานเยียน ไฟอีกแล้ว ใครเป็นคนวางเพลิงกันแน่
หลิงอวี้จื้อกำถุงเครื่องหอมแน่น ยืนนิ่งไม่ขยับ มู่หรงนี่อวิ๋นยืนข้างๆ เธอ พูดเตือนว่า
“พวกเรากลับไปเถิด! ยิ่งดึกยิ่งหนาว เดี๋ยวจะเป็นหวัด”
ส่วนมั่วชิงมองดูรอบๆ อย่างระมัดระวัง ท่าทางตึงเครียดขึ้นมา พูดทักว่า
“คุณหนู คุณชายมู่หรง พวกท่านได้ยินเสียงอะไรหรือไม่ ข้าเกรงว่าเรือนหลังนี้จะมีปัญหา”
พอมั่วชิงทักแล้ว มู่หรงนี่อวิ๋นกับหลิงอวี้จื้อก็ตั้งใจฟัง หลิงอวี้จื้อเอามือปิดปากด้วยความตึงเครียด
“เสียงขุดดิน ที่นี่มีคนอื่นอยู่ด้วยหรือ”
มั่วชิงสังเกตเห็นว่ามุมกระท่อมมีกองดินเล็กๆ ดินยังใหม่ๆ อยู่ เห็นได้ชัดว่าเพิ่งกลบใหม่ นางเดาได้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น ตะโกนเสียงดัง
“คุณหนู คุณชายมู่หรง ไปเร็วเจ้าค่ะ”
เพิ่งจะสิ้นเสียงของมั่วชิง จู่ๆ กองดินตรงมุมนั้นก็มีหัวโผล่ออกมา
จากนั้นร่างทั้งร่างก็คลานออกมาจากในกองดินนั้น หลิงอวี้จื้อตกใจอ้าปากกว้าง ปิดปากตัวเองไว้แน่นเพื่อไม่ให้ตนเองส่งเสียงอะไรออกมา มันน่ากลัวยิ่งกว่าฉากสยองขวัญในหนังเสียอีก
เมื่อก่อนเห็นหลิงอวี้หรงกลายเป็นผีดิบเธอก็ตกใจจนแทบสำลัก คราวนี้สยองขวัญยิ่งกว่าครั้งนั้น เป็นคนที่ถูกไฟคลอกจนดำเป็นตอตะโก ถึงแม้ว่าจะถูกไฟคลอกจนจำไม่ได้ แต่หลิงอวี้จื้อก็มองออกจนได้ คนนั้นคือชุนเหนียง
นางคลานจากกองดินออกมาแล้ว ปากนางก็ส่งเสียงขู่ฟ่อ ลักษณะท่าทางน่ากลัวอย่างยิ่ง นางเดินตรงมาหาพวกเขา
เหตุใดชุนเหนียงถึงกลายเป็นเช่นนี้ คราวนี้เธอมั่นใจเต็มร้อยแล้ว ชุนเหนียงถูกคนสำนักอู๋จี๋ทำร้ายแน่นอน
นาทีนี้เธอเกลียดแค้นสำนักอู๋จี๋อย่างยิ่ง ทำร้ายหนานเยียนจนกลายเป็นแบบนั้นไม่พอ ตอนนี้ยังทำให้ชุนเหนียงเป็นแบบนี้อีก คนพวกนี้ทดลองทำเรื่องบ้าอะไรกัน ขนาดคนตายแล้วยังไม่เว้น
“คุณชายมู่หรง รบกวนท่านพาคุณหนูไป ที่นี่ข้าจัดการเอง”
มู่หรงนี่อวิ๋นสติกลับมา ยื่นมือออกไปคว้ามือหลิงอวี้จื้อไว้
“ไม่ต้องดูแล้ว อวี้จื้อ พวกเรารีบไป”
พูดจบก็ดึงมือหลิงอวี้จื้อเดินไปข้างหน้า หลิงอวี้จื้อรู้ว่าอยู่ต่อก็ช่วยอะไรมั่วชิงไม่ได้ รังแต่จะเป็นตัวถ่วง จึงไปกับมู่หรงนี่อวิ๋นก่อน
มั่วชิงชักกระบี่ยาวออกมาจากเอว ถึงแม้ว่าจะหักใจทำชุนเหนียงไม่ค่อยลง แต่ตอนนี้ชุนเหนียงไม่ใช่ชุนเหนียงแล้ว กระบี่ของนางจึงแทงเข้าไปกลางหัวใจของชุนเหนียง
ชุนเหนียงตายไปแล้ว แม้กระบี่จะแทงเข้าร่างแต่เลือดก็ไม่ไหลสักหยด ดูเหมือนชุนเหนียงจะไม่มีความรู้สึกเจ็บ ยื่นมือออกมากำกระบี่ของมั่วชิงเอาไว้ ออกแรงหัก กระบี่ยาวก็ถูกชุนเหนียงหักกลายเป็นสองท่อน
มั่วชิงหน้าเปลี่ยนสี นึกไม่ถึงว่าชุนเหนียงจะแรงเยอะเช่นนี้
เห็นชุนเหนียงพุ่งเข้ามา มั่วเช่นก็ลอยตัวขึ้นถีบชุนเหนียง ถีบนี้นางใช้แรงทั้งหมดที่มี แต่ชุนเหนียงกลับถอยหลังไปเพียงไม่กี่ก้าว แล้วพุ่งมาหามั่วชิงอีกครั้งทันที ร่างกายดูเหมือนจะมีพละกำลังที่ไม่มีวันใช้หมด
ตอนที่ 386 ชุนเหนียงกลายพันธุ์
มั่วชิงขมวดคิ้ว ถึงแม้ว่าวรยุทธ์ของนางจะไม่เลว แต่กระบี่ยาวในมือถูกชุนเหนียงหักเป็นท่อนอย่างง่ายดาย มิหนำซ้ำชุนเหนียงยังฆ่าไม่ตาย ตอนนี้นางมีเพียงมือเปล่า ต่อให้วรยุทธ์ดีสักแค่ไหนก็ปราบชุนเหนียงไม่ได้
นางวิเคราะห์อย่างละเอียด ลักษณะของชุนเหนียงไม่เหมือนโดนพิษนักรบไร้ชีพ หากโดนพิษนักรบไร้ชีพไม่น่าจะเก่งกาจขนาดนี้ จู่ๆ นางก็นึกถึงยาคืนชีพที่เจียงสือพยายามฝึกปรุงมาตลอด หรือว่าเอายาพวกนี้มาใช้กับชุนเหนียงแล้ว
ต่อสู้กันไปมาหลายครั้ง มั่วชิงก็ค่อยๆ ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ชุนเหนียงเตะทีเดียว มั่วชิงก็เข้าไปในกระท่อมฟาง มั่วชิงปวดแปลบทันใด ครู่เดียวก็ลุกขึ้นมาไม่ได้ ชุนเหนียงไม่ได้ทำอะไรมั่วชิงอีก แต่วิ่งออกจากกระท่อมฟางไป
หลิงอวี้จื้อกับมู่หรงนี่อวิ๋นวิ่งฉิวไปบนถนนใหญ่ หลิงอวี้จื้อลดความเร็วฝีเท้าลง หายใจหอบ นางเดินไม่ไหวแล้วจริงๆ
มู่หรงนี่อวิ๋นปล่อยมือ ยื่นมือไปตบหลังหลิงอวี้จื้อเบาๆ
“ดีขึ้นบ้างหรือยัง”
“ไม่ไหวแล้ว หากวิ่งต่ออีกข้าคงจะสิ้นลม พวกเราพักสักหน่อย ไม่รู้ว่าทางมั่วชิงจะเป็นอย่างไรบ้าง”
เหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดเต็มหน้าผากของหลิงอวี้จื้อ เธอไม่สนใจแล้วว่าพื้นจะสกปรกหรือไม่ นั่งลงบนพื้นทันที ก่อนนี้ยังรู้สึกหนาว ตอนนี้ร้อนจนแทบไฟลุก
มู่หรงนี่อวิ๋นมองไปรอบๆ มองไม่เห็นสิ่งผิดปกติใดๆ จึงนั่งลงข้างๆ หลิงอวี้จื้อ
เมื่อครู่ที่เขาดึงมือหลิงอวี้จื้อวิ่งหนีด้วยกัน ในใจบังเกิดความรู้สึกพึงพอใจขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้
นี่เป็นครั้งแรกที่เขามีโอกาสได้จับมือหลิงอวี้จื้อเช่นนี้ มือมีเหงื่อซึมแล้ว แต่ก็ไม่อยากปล่อย แค่อยากจะวิ่งเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ มีชั่วขณะหนึ่งถึงขนาดรู้สึกว่าหลิงอวี้จื้อเป็นของเขา เขากุมมือนางเอาไว้เช่นนี้ได้ตลอดไปไม่ปล่อย
“ชุนเหนียงไม่มีวิทยายุทธ์ ถึงแม้จะกลายเป็นนักรับไร้ชีพก็ทำร้ายมั่วชิงไม่ได้ ข้าจำได้ว่าพิษนักรบไร้ชีพสามารถแพร่ระบาดได้ มั่วชิงจำเป็นต้องจัดการชุนเหนียงให้สิ้น มิเช่นนั้นตำบลเถาหยวนจะลำบาก”
หลิงอวี้จื้อขมวดคิ้วกังวลใจ ความร้ายกาจของพิษนักรบไร้ชีพเธอเคยเห็นมานานแล้ว ตำบลเถาหยวนเป็นแค่ตำบลเล็กๆ ธรรมดาๆ หากมีคนโดนพิษนักรบไร้ชีพแล้ว เช่นนั้นตำบลเถาหยวนก็จะจบสิ้น
หากรู้ก่อนว่าจะทำให้ชาวบ้านที่นี่พลอยลำบากไปด้วย เธอก็คงไม่มาตำบลเล็กๆ แห่งนี้ ควรจะหาที่ๆ ไม่มีคนไปอาศัยอยู่สักพัก
ทำไมสำนักอู๋จี๋ถึงมีพิษนักรบไร้ชีพเยอะเช่นนี้ หรือว่าการศึกษาพิษปลุกเสกมันง่ายมาก นึกไม่ถึงว่าจะสามารถใช้ได้ตามอำเภอใจ
“พวกเรากลับไปก่อน ข้ากลัวว่ามั่วชิงจะรับมือชุนเหนียงไม่ไหว ให้อู่จิ้นไปช่วยอีกแรง”
หลิงอวี้จื้อจำได้ว่าเมื่อก่อน อู่จิ้นฟันฉับเดียวหลิงอวี้หรงก็หัวขาด ถึงแม้ว่าวิทยายุทธ์ของมั่วชิงจะอ่อนกว่าอู่จิ้นเล็กน้อย ก็มากเกินพอที่จะรับมือกับชุนเหนียง แต่เธอก็ยังคงไม่วางใจ
มู่หรงนี่อวิ๋นประคองหลิงอวี้จื้อลุกขึ้น สองคนเพิ่งจะลุกขึ้นยืนก็ได้ยินเสียงฟ่อๆ ใจหลิงอวี้จื้อมีลางสังหรณ์อันไม่เป็นมงคล นี่มันชุนเหนียงใช่ไหม
ชุนเหนียงกระโดดลงมาจากหลังคา การเคลื่อนไหวว่องไวมาก ปากดำมะเมื่อมนั้นมีเลือดไหล เป็นเลือดสีแดงสด หลิงอวี้จื้อมองชุนเหนียงด้วยความตกใจ หรือว่านางกัดคนแล้ว หรือว่ามั่วชิงเกิดเรื่องแล้ว จู่ๆ ชุนเหนียงก็เคลื่อนไหวได้ว่องไวขนาดนี้ ต่างกับท่าทางอุ้ยอ้ายของหลิงอวี้หรงโดยสิ้นเชิง จากภาพที่เห็นรู้สึกว่าจู่ๆ ก็กลายเป็นผู้มีฝีมือ
หรือว่านางไม่ได้โดนพิษนักรบไร้ชีพ หรือว่าพิษนักรบไร้ชีพถูกยกระดับแล้ว
ชุนเหนียงไม่พูดพร่ำทำเพลง พุ่งเข้าหาพวกเขา มู่หรงนี่อวิ๋นบังหลิงอวี้จื้อเอาไว้ ถีบชุนเหนียงหนึ่งครั้ง แต่ถีบครั้งนี้ทำอะไรชุนเหนียงไม่ได้เลย นางพุ่งเข้ามาอีกครั้งอย่างรวดเร็ว
ตอนที่ 387 ปกป้องด้วยชีวิต
หลิงอวี้จื้อเห็นชุนเหนียงจู่ๆ ก็กลายเป็นผู้มีฝีมือเก่งกาจ ยิ่งกังวลเรื่องความปลอดภัยของมั่วชิง เธอยืนอยู่อีกด้าน สายตาจ้องเขม็งไปที่มู่หรงนี่อวิ๋นและชุนเหนียง พูดเตือนว่า
“นี่อวิ๋น เจ้าต้องระวังตัวด้วย”
ตอนแรกมู่หรงนี่อวิ๋นคิดว่าชุนเหนียงจะรับมือง่าย ต่อสู้กันไปมาสองสามครั้งก็รู้ว่าตนเองคาดการณ์ผิด เขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของชุนเหนียง
ไม่ว่าอย่างไร เขาก็ต้องปกป้องหลิงอวี้จื้อ จะให้ชุนเหนียงทำหลิงอวี้จื้อบาดเจ็บไม่ได้ คิดถึงตรงนี้ มู่หรงนี่อวิ๋นก็ตะโกนพูดว่า
“อวี้จื้อ เจ้ารีบไปซะ เลี้ยวข้างหน้าก็ถึงเรือนพักของพวกเราแล้ว เจ้าต้องรีบวิ่งหน่อย”
เพิ่งสิ้นเสียงของเขาชุนเหนียงก็เตะเขากระเด็น ชนเข้ากับต้นไม้ใหญ่อย่างแรง จากนั้นก็ร่วงลงมาจากต้นไม้ทันที
ชุนเหนียงพุ่งไปทางหลิงอวี้จื้อ หลิงอวี้จื้อรู้ว่าตนเองหลบไม่ได้แล้ว ปิดตาลงทันที ปรากฏว่าไม่มีใครโดนตัวเธอ เปิดตาขึ้นมาถึงพบว่ามู่หรงนี่อวิ๋นกอดขาชุนเหนียงเอาไว้
มู่หรงนี่อวิ๋นกอดขาชุนเหนียงไว้แน่น ตะโกนด้วยกำลังทั้งหมดที่มี
“อวี้จื้อ รีบไป รีบไปซะ! มัวตะลึงอะไรอยู่ ไปเร็ว ท่านอ๋องยังรอเจ้าอยู่ เจ้ารีบไปหาท่านอ๋อง รีบไป!”
หลิงอวี้จื้อทิ้งมู่หรงนี่อวิ๋นไม่ได้ เซียวเหยี่ยนยังมีพวกอู่จิ้นกับแม่ทัพหลี่ ตอนนี้คงไม่เกิดเรื่องอะไร เธอทำให้มู่หรงนี่อวิ๋นพลอยลำบากไปด้วยไม่ได้ เธอเห็นแท่งไม้บนพื้น กำลังจะหยิบแท่งไม้บนพื้นขึ้นมา ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร ก็ต้องลองดูก่อน
จู่ๆ ชุนเหนียงก็ก้มตัวลง ยกมู่หรงนี่อวิ๋นขึ้นมาจากพื้นอย่างง่ายดาย
จากนั้นก็กัดไหล่มู่หรงนี่อวิ๋นหนึ่งที ออกแรงดึง เสื้อผ้าตรงไหล่ของเขาก็ฉีกขาด เผยให้เห็นผิวหนังภายใน จากนั้นก็กัดฉีกเนื้อของไหล่มู่หรงนี่อวิ๋นออกมา
มู่หรงนี่อวิ๋นได้แต่รู้สึกเจ็บปวดบริเวณไหล่ แต่อดทนไว้ไม่ส่งเสียงใดๆ
ชุนเหนียงกำลังจะฉีกกัดมู่หรงนี่อวิ๋นอีกครั้ง คราวนี้เป้าหมายคือคอของเขา
หลิงอวี้จื้อหยิบท่อนไม้ขึ้นมาจากพื้นทันที กำลังจะออกแรงทุบหัวชุนเหนียง
ชุนเหนียงหันขวับมองหลิงอวี้จื้อ ปล่อยมู่หรงนี่อวิ๋นลงอย่างไม่ไยดี พุ่งไปทางหลิงอวี้จื้ออีกครั้ง หลิงอวี้จื้อวิ่งไปข้างหน้าทันที แต่กลับสะดุดหินที่อยู่บนพื้นล้ม
ตาเห็นชุนเหนียงกำลังจะถึงตัวเธอแล้ว เธอจึงใช้มือปิดตาทันที ไม่อยากมองภาพเหตุการณ์ที่จะตามมา จากนั้นรู้สึกเหมือนมีอะไรตกลงบนตัวเธอ เธอเปิดตา เห็นกะโหลกศีรษะดำมะเมื่อมตกอยู่บนกระโปรงของตนเอง
กระเพาะอาหารบิดม้วนเป็นเกลียวคลื่น เธออาเจียนแห้งออกมา
อู่จิ้นยกกะโหลกศีรษะขึ้นมาจากตัวหลิงอวี้จื้อแล้วโยนไปข้างๆ ถามด้วยความเป็นห่วงว่า
“คุณหนู ไม่เป็นอะไรนะขอรับ!”
“ข้าไม่เป็นอะไร ท่านอ๋องเป็นอย่างไรบ้าง”
“ท่านอ๋องไม่เป็นอะไรขอรับ ตอนนี้ยังไม่ตื่น”
อู่จิ้นพูดอย่างเคารพนอบน้อม
นึกถึงมู่หรงนี่อวิ๋นขึ้นมาได้ หลิงอวี้จื้อก็ไม่ถามอะไรอีก รีบลุกขึ้นมาจากพื้น วิ่งไปหามู่หรงนี่อวิ๋น เขานอนเหยียดบนพื้น ชุนคลุมยาวสีแดงเข้มถูกชุนเหนียงฉีกทึ้งไม่เหลือทรง ผ้าบริเวณไหล่ขาดรุ่งริ่ง เผยให้เห็นแผลเลือดเนื้อปนกันเละเทะภายใน แผลที่ลึกที่สุดเห็นถึงกระดูก
“นี่อวิ๋น เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง พวกเรารีบกลับไปพันแผลกันเถิด”
หลิงอวี้จื้อพูดพลางก็จะยื่นมือไปประคองมู่หรงนี่อวิ๋น เห็นหลิงอวี้จื้อยื่นมือมา มู่หรงนี่อวิ๋นก็หลบทันที
“อย่าโดนตัวข้า อวี้จื้อ อยู่ห่างๆ ข้าหน่อย”
“ไม่เป็นอะไร สถานการณ์ของชุนเหนียงกับหลิงอวี้หรงไม่เหมือนกัน หลิงอวี้หรงเก่งขนาดนี้เสียที่ไหน”
หลิงอวี้จื้อลองพูดปลอบประโลมมู่หรงนี่อวิ๋น แต่ในใจรู้สึกเศร้าใจอย่างยิ่ง เรื่องแบบนี้เธอเคยประสบมาแล้วครั้งหนึ่ง ไม่อยากมีประสบการณ์เช่นนี้อีกเด็ดขาด
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น