ชายาเคียงหทัย 38-50.1

 38 


เมื่อเยี่ยหลีและเยี่ยเจินไปถึงเรือนของเยี่ยอิ๋งนั้น เยี่ยอิ๋งกับหวังซื่อกำลังง่วนอยู่กับการเลือกเครื่องประดับที่วางอยู่บนโต๊ะอย่างละลานตา เมื่อเห็นทั้งคู่เดินจับจูงกันเข้ามา เยี่ยอิ๋งดูประหลาดใจเล็กน้อย ทว่าสามารถกลบเกลื่อนได้อย่างรวดเร็ว นางอมยิ้มแล้วยืนขึ้นต้อนรับ “พี่ใหญ่ พี่สาม พวกท่านมาด้วยกันได้อย่างไร”  


 


 


เยี่ยเจินยิ้ม “ข้าได้ยินว่าน้องสี่กำลังยุ่ง ข้าเลยไปนั่งคุยอยู่กับน้องสามเสียก่อน แล้วพอดีน้องสามคิดจะมาหาเจ้า พวกเราก็เลยมาด้วยกัน”  


 


 


เยี่ยอิ๋งยิ้มน้อยๆ “พี่ใหญ่พูดอันใดเช่นนั้น อิ๋งเอ๋อร์จะไปยุ่งอันใดได้ พี่ใหญ่ พี่สาม รีบนั่งลงเถิด” 


 


 


           เยี่ยหลีที่ตามหลังทั้งสองคนเลิกคิ้วขึ้นอย่างนึกสนุก นี่เป็นครั้งแรกที่นางเห็นเยี่ยอิ๋งพูดคุยกับพี่น้องโดยไม่มีท่าทีถือตัวให้เห็น โดยเฉพาะกับพี่สาวน้องสาวบุตรสาวภรรยารองที่นางนึกดูถูกมาตลอด ดูท่าฮูหยินผู้เฒ่าคงจะฝีมือดีไม่น้อย ในช่วงเวลาอันสั้นสามารถทำให้เยี่ยอิ๋งเปลี่ยนแปลงไปได้ถึงเพียงนี้  


 


 


           เยี่ยเจินเองก็ไม่ชินกับการต้อนรับขับสู้อย่างสนิทสนมของเยี่ยอิ๋งเช่นกัน นางมองเยี่ยอิ๋งอยู่หลายคราก่อนยอมให้นางพาเดินเข้าไปด้านใน เยี่ยเจินทำความเคารพหวังซื่อ “คารวะท่านแม่” 


 


 


           “ฮูหยิน” เยี่ยหลีทำความเคารพแกนๆ 


 


 


           หวังซื่อมองกิริยาตามสบายของเยี่ยหลีแล้วก็ได้แต่นึกเข่นเขี้ยวในใจ ถึงแม้นางจะได้เลื่อนขึ้นมาเป็นภรรยาเอกหลายปีแล้ว ทว่าเยี่ยหลีกลับไม่เคยเอ่ยปากเรียกนางว่าท่านแม่เลยแม้แต่ครั้งเดียว ถึงแม้นางจะไม่นึกอยากให้บุตรสาวของสวีซื่อเรียกนางว่าท่านแม่ แต่บุตรสาวของภรรยาเอกที่แท้จริงของจวนนี้มีเยี่ยหลีเพียงคนเดียว การที่นางไม่เคยเรียกตนว่าท่านแม่นี้ ทำให้หวังซื่อรู้สึกว่านางเป็นนายหญิงของบ้านแต่เพียงในนามเท่านั้น ก่อนหน้านี้นางเคยพูดคุยเรื่องนี้กับนายท่านอยู่บ้าง แต่มิรู้ด้วยเหตุอันใด ไม่ว่านางจะชักแม่น้ำมากี่สาย นายท่านก็ไม่เคยให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เลย และไม่เคยบังคับเยี่ยหลีให้เปลี่ยนวิธีการเรียกขานนางด้วย 


 


 


           “ท่านแม่ อิ๋งเอ๋อร์มีเรื่องพูดคุยกับพี่ใหญ่และพี่สาม ท่านยังมีเรื่องต้องทำอีกมาก รีบไปจัดการเถิดเจ้าค่ะ” เยี่ยอิ๋งจับแขนหวังซื่ออย่างออดอ้อน  


 


 


หวังซื่อมองบุตรสาวคนงามของนางด้วยแววตารักใคร่และภาคภูมิใจ นางดูมีความสุขขึ้นทันที ไม่ว่าอย่างไรสุดท้ายนางก็ชนะแล้วมิใช่หรือ บุตรสาวของนางคนหนึ่งเป็นพระสนมอยู่ในวัง อีกคนเป็นชายาเอกของหลีอ๋อง ส่วนบุตรชายของนางก็จะได้เป็นประมุขตระกูลเยี่ยในอนาคต ส่วนสวีซื่อนั่นก็ตายไปตั้งนานแล้ว บุตรสาวในอุทรของนางก็เพียงได้แต่งงานกับท่านอ๋องที่พิกลพิการเท่านั้น ลูกเลี้ยงนางแต่ละคนก็คงได้แต่แต่งออกไปเป็นเมียรอง  


 


 


“เอาเถิด พวกเจ้าพี่น้องค่อยๆ คุยกันเถิด ด้านหน้าจวนยังมีเรื่องให้ต้องจัดการไม่น้อย แม่ออกไปก่อนแล้วกัน”  


 


 


พี่น้องทั้งสามคนต่างลุกขึ้นยืนส่งหวังซื่อ จากนั้นเยี่ยอิ๋งรีบดึงเยี่ยเจินและเยี่ยหลีให้นั่งลง มองทั้งคู่อย่างรู้สึกผิด “พี่สาม พี่ใหญ่ ก่อนหน้านี้อิ๋งเอ๋อร์มิได้ความ ละเลยพี่สาวทั้งสองไม่น้อย ท่านพี่ทั้งสองเป็นผู้ใหญ่ใจกว้าง ขออย่าได้ถือโทษโกรธอิ๋งเอ๋อร์เลยนะเจ้าคะ”  


 


 


เมื่อได้ยินเช่นนี้ เยี่ยเจินหันมองเยี่ยหลีด้วยความสงสัย ทว่าใบหน้ายังคงแต้มยิ้ม “น้องสี่พูดอันใดเช่นนั้น พี่น้องตระกูลเดียวกันมาพูดเรื่องถือโทษไม่ถือโทษไปไย อีกหน่อยพี่ยังต้องพึ่งพาเจ้าด้วยซ้ำ” 


 


 


           เยี่ยอิ๋งฉีกยิ้มกว้าง “ท่านย่าพูดถูก พวกเราต่างเป็นพี่น้องตระกูลเดียวกัน สมควรช่วยเหลือซึ่งกันและกันเป็นธรรมดา พี่ใหญ่อย่าได้พูดเรื่องพึ่งพาอะไรนี่เลย” 


 


 


           เยี่ยหลีนั่งฟังทั้งสองคนพูดคุยเล่นกัน ในใจก็รู้ว่าเยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าสั่งสอนสิ่งใดให้เยี่ยอิ๋งบ้าง แต่การที่เยี่ยอิ๋งยอมรับฟังคำสั่งสอนของเยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าทำให้นางประหลาดใจไม่น้อย แน่นอนว่านางเชื่อประโยคหนึ่งที่กล่าวว่า เปลี่ยนแม่น้ำเปลี่ยนภูเขายังง่ายกว่าเปลี่ยนสันดานคน ต่อให้เยี่ยอิ๋งรับฟังคำสั่งสอนของเยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าจริง แต่ก็มิอาจเปลี่ยนนิสัยจากหน้ามือเป็นหลังมือได้ภายในชั่วระยะเวลาสั้นนี้แน่นอน เห็นที…หลายวันมานี้คงมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นโดยที่นางไม่รู้เป็นแน่ 


 


 


           พลบค่ำ ภายในจวนเจ้ากรมที่สมควรสงบเงียบกลับยังจุดไฟอย่างสว่างไสวเพื่อเตรียมการสำหรับงานแต่งงานในวันพรุ่ง แม้แต่บ่าวในเรือนชิงอี้เซวียนของเยี่ยหลีก็พลอยตื่นเต้นไปด้วย จะว่าไปเรื่องที่คุณหนูสี่จะแต่งเข้าตำหนักหลีอ๋องก็นับเป็นงานมงคลใหญ่ บ่าวน้อยใหญ่ในจวนต่างได้รับการตกรางวัลกันไปคนละไม่น้อย  


 


 


           เยี่ยหลีให้บ่าวรับใช้ออกไปพัก ส่วนนางหยิบหนังสือเล่มที่ยังอ่านไม่จบมานั่งอ่านตามปกติ พร้อมหยิบพู่กันขึ้นมาขีดๆ เขียนๆ เป็นครั้งคราว มิรู้เวลาผ่านไปนานเท่าไร เสียงขนย้ายข้าวของที่ดังแว่วมาฟังดูไกลออกไปทุกที  


 


 


เยี่ยหลีนวดหน้าผากอย่างเหนื่อยอ่อน หลังที่ตั้งตรงอยู่บนเก้าอี้ค่อยๆ อ่อนยวบลงจนเอนไปข้างหนึ่ง เปลือกตาทั้งสองข้างหนักอึ้งอย่างอ่อนล้า เยี่ยหลีกะพริบตาน้อยๆ แต่มิอาจต้านความง่วงงุนที่เข้าครอบงำได้ จนค่อยๆ หลับตาลงในที่สุด ภายในห้องที่เย็นเยียบและเงียบสงัด มีเพียงเสียงลูกไฟดังขึ้นเป็นครั้งคราวเท่านั้น 


 


 


           ผ่านไปพักใหญ่ มีเงาดำลอบเข้ามาในเรือนชิงอี้เซวียน ดูคล้ายจะรู้จักทางหนีทีไล่ในจวนเป็นอย่างดี ด้วยสามารถหลบหลีกสายตาของบ่าวเฝ้ายามของจวนเข้ามาได้ ก่อนกระโดดข้ามกำแพงเข้ามายังเขตเรือนหลังแล้วหายลับไปในความมืดอย่างรวดเร็ว  


 


 


ภายในเรือนชิงอี้เซวียน ในห้องที่เย็นเยียบไม่มีร่องรอยของนายหญิงเจ้าของห้องให้เห็นอีก เหลือเพียงหนังสือที่เปิดอยู่ตกอยู่ข้างโต๊ะหนังสือเท่านั้น         


 


 


            


 


 


นอกเขตเมืองหลวง 


 


 


           ใต้เงามืดของต้นไม้ มีเงาตะคุ่มๆ ของผู้ที่กำลังแบกร่างหลบหลีกต้นไม้เข้ามา จนเมื่อเห็นบุรุษร่างใหญ่ยืนคอยอยู่ จึงค่อยหยุดลง 


 


 


           “เจ้ามาช้า” ชายหนุ่มในเงามืดพูดเสียงขรึม 


 


 


           “ไม่ เจ้ามาเร็วเองต่างหาก” ชายหนุ่มชุดสีดำพูดขำๆ น้ำเสียงมีร่องรอยของความเหนื่อยหอบ พร้อมส่งสายตาเย้าแหย่ให้ชายหนุ่มที่ตนมองเห็นหน้าไม่ชัดเจน “ข้าได้ยินว่าคุณหนูสี่ตระกูลเยี่ยเป็นสาวงามอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวง ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะไม่สนใจสาวงามอันดับหนึ่ง แต่กลับมาเสียเงินลักพาตัวคุณหนูสามที่ไร้ซึ่งความสามารถและความงามผู้นี้ หรือว่า…จริงๆ แล้วคุณหนูสามต่างหากที่เป็นสาวงามที่แท้จริง เมื่อครู่ข้ามัวแต่รีบมาเลยยังไม่ทันดูให้ชัด ยามนี้ดูไปแล้วก็ไม่เลวเลย” พูดพร้อมกับนำร่างที่ตนแบกอยู่วางลง โน้มตัวไปจัดเรือนผมบนใบหน้าของร่างที่ยังหลับใหลมิได้สติ 


 


 


           “พอแล้ว! เจ้าไปได้แล้ว” ชายหนุ่มในมุมมืดพูดเสียงเรียบ น้ำเสียงเริ่มเจือแววโกรธ 


 


 


           บุรุษชุดดำยักไหล่พูดยิ้มๆ “ถ้าเช่นนั้นขอให้เจ้าโชคดี” พูดจบก็ไม่รอช้า วางร่างหญิงสาวลงกับพื้นทั้งตัว ยักไหล่เล็กน้อยก่อนหายตัวไปตามเงาไม้ทันที 


 


 


           บุรุษในเงามืดยืนสำรวจร่างหญิงสาวอยู่พักหนึ่งก่อนเดินออกมาจากเงาไม้ ภายใต้ท้องฟ้ามืดสลัวเผยให้เห็นใบหน้าหล่อเหลาที่ถมึงทึง เขาจ้องร่างของหญิงสาวบนพื้นเขม็ง สีหน้าโหดเ**้ยม “เยี่ยหลี อย่าโทษว่าข้าใจร้ายเลย หากจะโทษก็ต้องโทษว่าเจ้าโชคไม่ดีเอง ต่อให้เจ้าเป็นคนที่ข้าไม่ต้องการ ก็จะให้ม่อซิวเหยาเอาไปมิได้!”  


 


 


สิ้นเสียง เขาก็ยื่นมือเข้าไปดึงชายเสื้อของหญิงสาว ครั้นปลายนิ้วแตะโดนเสื้อเท่านั้น โลกทั้งโลกกลับมืดดับลงพร้อมความรู้สึกเจ็บที่ท้ายทอย ร่างของเขาฟุบลงกับพื้น  


 


 


หญิงสาวที่เดิมสลบไสลอยู่นั้นลืมตาขึ้น ไม่มีอาการมึนงงเลยแม้แต่น้อย นางผลักร่างที่เอนมาทางนางให้ล้มไปอีกทางหนึ่ง แม้จะมีเสียงล้มลงไปกระแทกกับอะไรสักอย่างที่พื้น ทว่านางหาได้สนใจไม่ 


 


 


           เยี่ยหลีค่อยๆ จัดการเครื่องแต่งกายของตนให้เรียบร้อย ก่อนหันไปมองร่างของชายหนุ่มที่ล้มอยู่กับพื้นด้วยสายตาผิดหวัง ยามที่นางรับรู้ถึงความผิดปกติของกลิ่นกำยานในห้อง นางคิดอยู่แล้วว่าคงมีผู้ใดคิดอยากทำร้ายนาง ที่แท้เป็นม่อจิ่งหลีนี่เอง เหตุผลในการลงมือก็ช่างปัญญาอ่อนเหลือเกิน 


 


 


เยี่ยหลีเดินวนรอบร่างม่อจิ่งหลีรอบหนึ่ง ครุ่นคิดอย่างจริงจังเป็นครั้งแรกว่า ฮ่องเต้ทรงเลี้ยงดูหลีอ๋องผู้นี้จนสติไม่ดีไปแล้วหรือไร นางคิดอยู่พักหนึ่งแต่เมื่อมิได้คำตอบก็ไม่อยากเสียเวลาคิดอีก นางหยิบเชือกที่ดูไม่สะดุดตาออกมาจากแขนเสื้อ แล้วมัดร่างบนพื้นอย่างตั้งใจ 


 


 


           เยี่ยหลีมองผลงานการมัดบุรุษผู้นั้นของตนแล้วพยักหน้าด้วยความพอใจ อย่าได้ดูถูกว่าเชือกที่นางนำมาดูไม่แข็งแรงสะดุดตาเชียว เพราะหากพูดถึงความแข็งแรงและความแน่นหนาแล้วนับว่าอยู่ในระดับดีมาก พละกำลังคนธรรมดาไม่มีทางทำให้ขาดได้ นอกเสียจากม่อจิ่งหลีจะมีกำลังภายในเหมือนตัวละครในตำนานเท่านั้น และด้วยฝีมือการผูกเงื่อนของตนแล้ว เยี่ยหลียิ่งวางใจเข้าไปอีกว่าหากม่อจิ่งหลีไม่มีวิชาหดกระดูก ก็คงได้แต่รอให้มีคนมาช่วยเขาเท่านั้น  


 


 


เพียงแต่ไม่รู้ว่าที่ม่อจิ่งหลีคิดทำเรื่องน่าอับอายเช่นนี้จะให้องครักษ์ติดตามมาด้วยหรือไม่ แต่ดูจากสถานการณ์ยามนี้แล้ว คาดว่าไม่น่าให้ผู้ใดตามมาด้วย ขอให้เขาไปทันงานสมรสในวันพรุ่งก็แล้วกัน เยี่ยหลีคิดอย่างไม่ใคร่ใส่ใจ ก่อนจากไปนางเตะร่างที่ไร้สติเพื่อระบายโทสะเสียทีหนึ่ง แล้วจึงค่อยเดินกลับไปตามทางที่ตนจดจำไว้


39


    “อา…อาเหยา เมื่อครู่ข้าเห็นอะไรน่ะ” 


 


 


           ผ่านไปครู่ใหญ่ ภายใต้เงามืดของต้นไม้ก็แว่วเสียงพูดตะกุกตะกักดังขึ้น พร้อมเงาของคนสามคนที่เดินออกมาจากหลังต้นไม้ ภาพลักษณ์คุณชายเจ้าสำราญของเฟิ่งจือเหยาพังทลายลงอีกครั้ง ตาโตอ้าปากค้างมองบุรุษเคราะห์ร้ายที่สลบแน่นิ่งอยู่กับพื้น 


 


 


           ม่อซิวเหยามองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างเฉยเมย พูดเสียงเรียบว่า “ก็อย่างที่เจ้าเห็นนั่นละ” 


 


 


           “คุณชายอย่างข้าดึกดื่นไม่นอน รีบแจ้นออกมาเป็นเพื่อนเจ้า ด้วยเกรงว่าจะเกิดเรื่องกับคุณหนูสามตระกูลเยี่ย! แต่ดูเหมือนคนที่จะเกิดเรื่องกลายเป็นอีกคนเสียมากกว่า” หากไม่เพราะยังคิดจะรักษาภาพลักษณ์ของตนไว้บ้าง เฟิ่งจือเหยาคงได้กรีดร้องอย่างหญิงสาวไปแล้ว ดูสิว่าเมื่อสักครู่เขาเห็นอะไร  


 


 


พอเขาได้รับข่าวว่าจะเกิดเรื่องกับเยี่ยหลี เขาก็รีบผละจากอ้อมอกสาวงามในยามดึกดื่นค่ำคืน ที่ไหนได้กลับได้มาเห็นเยี่ยหลีทำท่าใดไม่รู้ล้มม่อจิ่งหลีให้ลงไปนอนแน่นิ่งโดยที่ตัวเขาเองยังแทบมองไม่ทันด้วยซ้ำ จะว่าม่อจิ่งหลีโง่ก็โง่อยู่หน่อยๆ แต่อย่างน้อยเขาก็เป็นถึงบุรุษรูปงามมากความสามารถที่หาได้น้อยนักในเมืองหลวงเชียวนะ เขาเดินเข้าไปหาม่อซิวเหยาก่อนเดินวนรอบร่างที่ไม่ได้สติตามแบบเยี่ยหลี เฟิ่งจือเหยายกมือขึ้นเท้าคางอย่างเบื่อหน่าย “ยามนี้พวกเราจะทำอย่างไรกันดี” 


 


 


           “จับโยนลงหนองน้ำทางด้านโน้นไปเสีย” ม่อซิวเหยาพูดโดยไม่แม้แต่จะขมวดคิ้ว 


 


 


           “นั่นมันหนองน้ำเย็นนะ ประเดี๋ยวเขาก็ตายหรอก” เฟิ่งจือเหยาเอ่ยขัดอย่างไม่จริงจังนัก 


 


 


           “เสื้อผ้าก็ถอดออกด้วยแล้วกัน” ม่อซิวเหยาพูดต่อเรียบๆ  


 


 


           “เกรงว่าจะมิได้ ฝีมือการผูกเงื่อนของชายาในอนาคตของเจ้าช่างร้ายกาจนัก” เฟิ่งจือเหยายอบตัวลงคุกเข่ากับพื้นพร้อมพิจารณาเงื่อนที่มัดม่อจิ่งหลีอยู่ “อาเหยา อีกหน่อยเจ้าอย่าไปทำอันใดให้คุณหนูสามตระกูลเยี่ยโกรธเข้านะ สตรีนี่ช่างน่ากลัวจริงๆ” เฟิ่งจือเหยาคิดอยู่พักใหญ่ก็คิดไม่ตกว่าหากเป็นตนโดนมัดไว้เช่นนี้จะหลุดออกมาได้อย่างไรหากไม่มีคนมาช่วย “แต่จะว่าไป ฝีมือของนางก็น่าศึกษาอยู่ไม่น้อย” 


 


 


           “อาจิ่น” 


 


 


           “ขอรับ ท่านอ๋อง” ชายหนุ่มที่ยืนเข็นรถอยู่ด้านหลังม่อซิวเหยาขานรับ เดินมาแบกร่างบนพื้นก่อนเดินลึกเข้าไปในป่า ไม่นานก็มีเสียงคล้ายของขนาดใหญ่หล่นลงน้ำดังมาให้ได้ยิน ใครบางคนคงโดนโยนลงน้ำไปแล้ว  


 


 


เฟิ่งจือเหยากระทืบเท้าอย่างอดรนทนไม่ได้ “อาเหยา เจ้าจะสอนเขาจนเสียเด็กเอานะ ถ้าม่อจิ่งหลีจมน้ำตายไปจะทำอย่างไร” หากมีท่านอ๋องในเมืองหลวงเสียชีวิต แล้วยังเป็นถึงท่านอ๋องที่เป็นอนุชาร่วมอุทรฮ่องเต้ด้วยแล้ว คงมิใช่เรื่องเล็กเป็นแน่  


 


 


ม่อจิ่งหลีมองมือของตนที่วางอยู่บนที่เท้าแขน ก่อนพูดขึ้นเสียงเรียบว่า “อาจิ่นรู้ว่าอะไรควรมิควร” 


 


 


           อะไรควรมิควรหรือ ในหัวของอาจิ่นมีเรื่องควรมิควรด้วยหรือ เฟิ่งจือเหยากระทืบเท้าอีกทีหนึ่งก่อนรีบเดินตามไปดูอย่างไม่รู้จะพูดอันใด 


 


 


           ม่อจิ่งหลีถูกคนโยนลงน้ำไปโดยหงายหน้าขึ้น ลำตัวช่วงบนโผล่พ้นน้ำขึ้นมาเกยอยู่กับริมหนองน้ำ จุดสำคัญเลยคือเชือกที่ผูกเขาไว้มีเชือกเส้นยาวยื่นออกมา ชายเชือกอีกด้านผูกอยู่กับต้นไม้ที่อยู่ข้างหนองน้ำนั้น เพื่อให้แน่ใจว่าร่างของม่อจิ่งหลีจะไม่ตกลงไปในหนองน้ำอย่างแน่นอน เขารู้อะไรควรมิควรจริงเสียด้วย 


 


 


           “อาจิ่นเอ๋ย ข้าจะไปส่งท่านอ๋องของเจ้ากลับตำหนักก่อน เจ้าอยู่ที่นี่คอยดูไว้ พอฟ้าใกล้สว่างก็ไปทำให้คนที่เขาพามาด้วยตื่นเสีย อย่าให้เขาแช่น้ำจนตายไปจริงๆ เล่า” 


 


 


           อาจิ่นขมวดคิ้วเข้ม ลังเลเล็กน้อยก่อนพยักหน้ารับ  


 


 


เฟิ่งจือเหยามองไปทางม่อจิ่งหลีด้วยความเห็นใจเล็กน้อย ก่อนเดินโบกพัดในมือกลับไปหาม่อซิวเหยาด้วยความพอใจ 


 


 


           “อาเหยา ข้าประหลาดใจกับชายาในอนาคตของเจ้าคนนี้จริงๆ เสียแล้ว” เฟิ่งจือเหยาเดินกลับไปทางเดิม  


 


 


ม่อซิวเหยายังคงนั่งอยู่ใต้เงาไม้ ภายใต้ความมืดสลัวยังพอมองเห็นว่าสีหน้าเขาไม่สู้ดีนัก แต่มิอาจรู้ได้ว่าเขาคิดอะไรอยู่  


 


 


           ม่อซิวเหยาเงยหน้าขึ้น พูดเสียงเรียบว่า “สมควรกลับกันได้แล้ว” 


 


 


           เฟิ่งจือเหยามองม่อซิวเหยาด้วยความประหลาดใจ “ปล่อยเขาไปง่ายๆ เช่นนี้หรือ”  


 


 


อย่าได้คิดเชียวว่าม่อซิวเหยาที่หลายปีมานี้พักรักษากายรักษาใจจะกลายเป็นคนใจเย็น ผู้ที่รู้จักนิสัยเขาดีจริงๆ ย่อมรู้ดีว่าม่อซิวเหยาแต่ไหนแต่ไรมามิใช่คนมีเมตตาแต่อย่างใด  


 


 


สายตาอ่อนโยนของม่อซิวเหยาฉายแววเย็นชา “วันพรุ่งเป็นงานสมรสใหญ่ของจิ่งหลี หากเกิดอันใดขึ้นกับเจ้าบ่าวคงน่าหดหู่เกินไป”  


 


 


เฟิ่งจือเหยาคิดแล้วก็ได้แต่ทอดถอนใจ “ข้ายังคิดว่าเจ้าไม่อยากให้ม่อจิ่งหลีกับตระกูลเยี่ยผูกสัมพันธ์กันเสียอีก เจ้าอย่าลืมนะว่าหากเขาแต่งกับเยี่ยอิ๋งจริงๆ เจ้ากับเขาก็จะกลายเป็น…” สามีของน้องภรรยา ช่างมิใช่ความสัมพันธ์ที่น่ารื่นรมย์เลยแม้แต่น้อย  


 


 


ม่อซิวเหยาส่งเสียงเหอะเบาๆ ออกแรงที่มือเล็กน้อยเปลี่ยนทางเก้าอี้รถเข็นให้ออกจากป่าไป  


 


 


เฟิ่งจือเหยาเลิกคิ้วยกไหล่ก่อนเดินตามไป ไม่รู้ว่าวันพรุ่งในงานสมรสจะเกิดเหตุการณ์น่าสนุกใดขึ้นอีกบ้าง ดีที่สุดคงเป็นการรีบไปจับจองที่นั่งเพื่อรอชมละครสนุกๆ ฉากหนึ่ง 


 


 


           “แล้วจะให้ทำอย่างไรกับคนที่จับคุณหนูเยี่ยมาดี” 


 


 


           “จับตัวมาให้ได้ แล้วนำมือกับขาอย่างละข้างส่งไปเป็นของขวัญวันแต่งงานให้ม่อจิ่งหลี” 


 


 


 


 


 


           ถึงแม้ประตูเมืองหลวงจะปิดไปนานแล้ว แต่เยี่ยหลีก็เสียพละกำลังไปเพียงเล็กน้อย ก่อนจะกลับมายังจวนเจ้ากรมได้ก่อนฟ้าสาง เมื่อปีนเข้าห้องของตนแล้ว ชิงซวงและชิงอวี้ก็รีบออกมารับทันที หน้าตาร้อนใจของพวกนางเปลี่ยนเป็นสบายใจราวยกภูเขาออกจากอก  


 


 


ชิงอวี้ยกน้ำชามาให้เยี่ยหลีด้วยสีหน้าท่าทางปกติ เหมือนว่าการที่คุณหนูที่ปกติเรียบร้อยสง่างามของตนปีนหน้าต่างห้องเข้ามาอย่างเชี่ยวชาญต่อหน้าต่อตานั้น ไม่ทำให้นางงุนงงเลยแม้แต่น้อย  


 


 


ชิงซวงลูบหน้าอกตนเองก่อนถอนหายใจแรง “คุณหนูกลับมาเสียที ชิงซวงเป็นห่วงแทบแย่เจ้าค่ะ”  


 


 


เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ “มีคนตามข้าไปด้วย มีอันใดน่าเป็นห่วงกัน จริงหรือไม่ ชิงหลวน” 


 


 


           นอกหน้าต่างมีเงาร่างหนึ่งกระโดดลงมาเบาๆ ร่างนั้นก็คือชิงหลวนที่มาจากตระกูลสวีพร้อมๆ กับชิงอวี้นั่นเอง ชิงหลวนยกมุมปากขึ้นยิ้มเล็กน้อย “คุณหนูเก่งเหลือเกินเจ้าค่ะ ชิงหลวนตามมาตั้งนานยังไม่มีผู้ใดรู้เลย ผู้ใดจะไปรู้ว่ามิอาจปิดคุณหนูได้”  


 


 


เยี่ยหลียิ้ม “ที่จริงข้าก็ไม่รู้หรอก เพียงแต่ข้าคล้ายจะได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ที่คุ้นจมูกมาตลอดทาง คนที่จับข้าไปนั่น…กลิ่นเครื่องหอมจากตัวเขาแรงไม่น้อยจึงดมไม่ได้กลิ่น”  


 


 


ชิงหลวนก้มหน้าลงอย่างผิดหวัง คิดในใจว่าต่อไปจะไม่ใช้เครื่องหอมใดๆ อีกแล้ว อันที่จริงเครื่องหอมที่นางใช้นั้นกลิ่นเบาบางมากแล้ว คนทั่วไปไม่น่าจะได้กลิ่น แต่ผู้ใดใช้ให้เยี่ยหลีมีสัมผัสที่ไวกว่าคนทั่วไปอยู่หลายส่วนกันเล่า 


 


 


           “พอข้าไปแล้วในป่ามีเรื่องน่าสนุกใดเกิดขึ้นอีกหรือไม่” เยี่ยหลีนั่งลงดื่มชาที่เพิ่งต้มใหม่ 


 


 


           ชิงหลวนปีนหน้าต่างเข้ามาตามอย่างเยี่ยหลี ยิ้มพร้อมกล่าวว่า “ผู้นั้น…ถูกจับโยนลงหนองน้ำที่อยู่ในป่าลึกเข้าไปเจ้าค่ะ” 


 


 


           “ติ้งอ๋องหรือ” 


 


 


           “คุณหนูช่างหลักแหลมนัก” ชิงหลวนหัวเราะอย่างอารมณ์ดี คิดไปถึงภาพที่ตนเห็นคนถูกจับมัดไว้กับต้นไม้ข้างหนึ่งก่อนถูกจับโยนลงหนองน้ำไปอย่างน่าสงสาร ชิงหลวนถึงได้รู้สึกว่าที่ตนเป็นกังวลวันนี้มิได้เป็นกังวลไปเปล่าๆ เชื่อได้ว่าคุณชายใหญ่ก็คงชมชอบข่าวนี้ไม่น้อย “บ่าวยังเห็นว่ามีคนตามท่านติ้งอ๋องมาอีกคนด้วยนะเจ้าคะ ดูจะสนิทสนมกันไม่น้อย” 


 


 


           เยี่ยหลีเลิกคิ้วพลางมองชิงหลวน ชิงหลวนจึงช่วยไขความกระจ่างให้ว่า “เป็นคุณชายเฟิ่งซานผู้เลื่องชื่อแห่งเมืองหลวงเจ้าค่ะ”  


 


 


เยี่ยหลีไม่คิดเลยว่าเฟิ่งจือเหยาจะมีความสัมพันธ์ใดๆ กับม่อซิวเหยา แต่นี่ช่วยอธิบายได้ดีว่าเหตุใดในงานบุปผานานาพรรณ เฟิ่งจือเหยาจึงได้ดูให้ความสนใจนางเป็นพิเศษ 


 


 


           “ที่แท้ท่านติ้งอ๋องก็ไปช่วยคุณหนูไว้เช่นกันหรือเจ้าคะ คุณหนูได้พบท่านติ้งอ๋องหรือไม่เจ้าคะ” ชิงซวงกะพริบตาปริบก่อนถามด้วยความสงสัย 


 


 


           เยี่ยหลีส่ายหน้า ยามนั้นนางรู้เพียงว่าในป่ามิได้มีเพียงนางคนเดียวและพอจะเดาได้ว่าเป็นผู้ใด ทว่านางมิได้คิดจะออกมาพบหน้าอยู่แล้ว จึงมิใคร่สนใจแต่อย่างใด ในเมื่อม่อซิวเหยาไม่ได้ให้คนมาขวางชิงหลวนไว้ คงรู้ถึงความตั้งใจของนางเป็นแน่ ทำงานร่วมกับคนฉลาดนี่ไม่ต้องพูดมากให้เปลืองน้ำลายเลย ดีจริงเชียว 


 


 


           เยี่ยหลีหยิบหยกออกมาโยนให้ชิงหลวน “เอาไปให้พี่ใหญ่ดูทีว่าพอจะสืบหาเจ้าของหยกชิ้นนี้ได้หรือไม่” 


 


 


           ชิงหลวนรับมาไว้ในมือ ยิ้มอย่างสาแก่ใจ “เช่นนั้นบ่าวคงต้องเร่งมือหน่อย ท่านติ้งอ๋องคิดจะนำมือและเท้าของคนผู้นั้นอย่างละข้างส่งไปเป็นของขวัญวันแต่งงานให้ท่านหลีอ๋องเจ้าค่ะ หากมิใช่เพราะเขาหลบหนีได้ไว เกรงว่าคืนนี้เขาคงโชคไม่ดีเสียแล้ว” 


 


 


           “วิชาตัวเบาของเขาไม่เลวเลย หากยังทันการณ์ก็ให้รั้งตัวเขาไว้ก่อน บางทีเขาอาจช่วยข้าจัดการบางเรื่องได้” แต่หากช้าไปก็คงทำอันใดมิได้ นางมิได้คิดว่าผู้ที่เข้ามาลักพาตัวหญิงสาวที่ไร้ความผิดคนหนึ่งในยามวิกาลเช่นนี้จะเป็นคนดีแต่อย่างใด เพียงแต่คนผู้นั้นรู้ทั้งรู้ว่านางยังมีสติอยู่ แต่กลับนำนางไปมอบให้ม่อจิ่งหลีโดยไม่เอ่ยเตือนม่อจิ่งหลีแม้สักคำ ดูจะเป็นคนที่น่าสนใจไม่น้อย แน่นอนว่าที่เป็นได้มากกว่านั้นก็คือ ม่อจิ่งหลีเคยล่วงเกินอะไรบุรุษผู้นี้ไว้โดยไม่รู้ตัว 


 


 


           ชิงอวี้ที่ยืนอยู่อีกด้านหนึ่ง มองคนนั้นทีคนนี้ที ก่อนเอ่ยถามสีหน้าประหลาดใจ “งานสมรสวันพรุ่งจะยังเป็นไปตามกำหนดหรือไม่เจ้าคะ” 


 


 


           ชิงหลวนโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ “คงไม่มีอันใดหรอก ข้าได้ยินคุณชายเฟิ่งจือเหยาสั่งองครักษ์ของท่านติ้งอ๋องว่าให้คนของท่านหลีอ๋องไปช่วยนายของเขาก่อนฟ้าสว่าง”  


 


 


ชิงอวี้พยักหน้า “ถ้าเช่นนั้นคุณหนูก็รีบพักผ่อนเสียแต่ยามนี้ดีกว่าเจ้าค่ะ วันพรุ่งหากสีหน้าคุณหนูไม่สดชื่นจะทำให้ผู้อื่นเข้าใจผิดได้” 


 


 


           ชิงซวงพยักหน้าเร็วๆ อย่างเห็นด้วย นางเองก็ไม่อยากให้ผู้ใดมาฉวยโอกาสทำลายชื่อเสียงของคุณหนูได้อีก 


 


 


           “…” 


 


 


           จะไม่มีผู้ใดคิดเลยหรือว่าการจัดงานแต่งงานก็เป็นเรื่องที่กินกำลังมากเหมือนกัน หากวันพรุ่งเจ้าบ่าวเกิดเป็นลมหรืออะไรขึ้นมา…เยี่ยหลีคิดโดยไม่รู้สึกผิด ก่อนเปลี่ยนเสื้อผ้าเข้านอนตามที่เหล่าสาวใช้แนะนำ


40


  จวนเจ้ากรม 


 


 


           ที่จวนวันนี้มีผู้คนเข้าออกกันอย่างพลุกพล่านตั้งแต่เช้า เยี่ยหลีพร้อมด้วยเยี่ยซานและเยี่ยหลินมานั่งเป็นเพื่อนสนทนากับเยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าอยู่ที่เรือนหรงเล่อถัง  


 


 


ขณะที่เรือนของเยี่ยอิ๋งวุ่นวายกันตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง หวังซื่อรำคาญว่าเยี่ยหลินกับเยี่ยซานเกะกะ และยิ่งเกรงว่าเยี่ยหลีจะฉวยโอกาสสร้างเรื่องให้ตน จึงมิให้พวกนางอยู่เป็นเพื่อน แต่กลับพาหลานสาวสองสามคนจากบ้านฝั่งมารดาของตนมาอยู่เป็นเพื่อนเยี่ยอิ๋งแทน 


 


 


           แน่นอนว่าเยี่ยหลียินดียิ่งนัก นางมาคารวะฮูหยินผู้เฒ่าแต่เช้าตรู่แล้วรั้งอยู่เป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่าไปด้วยเลย เพราะถึงอย่างไรวันนี้นางคงไม่สามารถอยู่ที่เรือนชิงอี้เซวียนตามลำพังได้อยู่ดี มิเช่นนั้นคงตกเป็นขี้ปากคนไม่น้อย 


 


 


           ใบหน้าของเยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าเต็มไปด้วยความปลื้มปริ่ม ยามพบปะผู้คนก็ดูเป็นกันเองขึ้นมาก เยี่ยหลินและเยี่ยซานไม่ปล่อยให้โอกาสเช่นนี้หลุดมือไป รีบเข้ามากล่าววาจาเอาอกเอาใจกันยกใหญ่ ขณะที่เยี่ยหลีนั้นนั่งจิบชาอยู่เงียบๆ ในใจคิดวางแผนว่าวันนี้จะไปร่วมชมละครด้วยดีหรือไม่ 


 


 


           รอจนใกล้ถึงยามเที่ยงวัน คิ้วสีดอกเลาของเยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าค่อยๆ ขมวดเข้าหากันก่อนหันไปสั่งการบ่าวรับใช้ว่า “พวกเจ้าออกไปดูที คณะที่จะมารับตัวเจ้าสาวมาถึงแล้วหรือยัง” 


 


 


           ผ่านไปเพียงครู่บ่าวที่ออกไปดูก็รีบร้อนกลับเข้ามารายงานพลางปาดเหงื่อไปด้วยว่า “ฮูหยินผู้เฒ่า…คณะรับตัวเจ้าสาวยังมาไม่ถึงเลยเจ้าค่ะ” 


 


 


           ใบหน้ายิ้มแย้มของเยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าเปลี่ยนเป็นบึ้งตึงทันใด อีกไม่นานก็จะเลยยามอู่[1]แล้ว การมารับตัวเจ้าสาวในยามบ่ายไม่เป็นมงคลเอาเสียเลย 


 


 


           “ท่านหลีอ๋องคงจะมิได้ทิ้งพี่สี่ไปอีกคนหรอกกระมัง” เยี่ยซานที่อายุน้อยที่สุดพูดขึ้น 


 


 


           “ซานเอ๋อร์!” มารดาของเยี่ยซานตกใจจนหน้าขาวซีด 


 


 


           “บังอาจ! วันนี้เป็นวังมงคลใหญ่ของน้องสี่ พูดจาไร้สาระเช่นนี้ได้อย่างไร ยังไม่รีบออกไปอีก!” เยี่ยหลีพูดเสียงเข้ม อาศัยจังหวะที่เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่ายังไม่ทันหันมาว่ากล่าว รีบส่งสายตาไปทางเยี่ยซานคราหนึ่ง  


 


 


เยี่ยซานขยับปากคล้ายอยากพูดอะไรอีก เยี่ยหลินที่อยู่ใกล้ๆ รีบเข้าไปดึงแขนนางกับมารดาของนางออกไปอย่างรวดเร็ว 


 


 


           “ซานเอ๋อร์อายุยังน้อย ไม่รู้จักระวังคำพูดคำจา เป็นเพราะหลีเอ๋อร์อ่อนการอบรม ขอท่านย่าอย่าได้โกรธเคืองนางเลยเจ้าค่ะ” เยี่ยหลีมองเยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าพร้อมเอ่ยขอโทษเสียงเบา 


 


 


           “คุณหนูสามพูดถูก คุณหนูหกเป็นน้องเล็ก การพูดจาอาจพลาดพลั้งไปบ้าง ยังดีที่ในนี้มีแต่พวกเรากันเอง ขอให้ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นแก่ที่วันนี้เป็นวันมงคลใหญ่ของคุณหนูสี่ อย่าได้โกรธนางเลยนะเจ้าคะ” จ้าวอี๋เหนียงรีบลุกขึ้นมาช่วยพูด ด้วยเพราะนางกำลังตั้งครรภ์ จึงมีเก้าอี้จัดให้นั่งเป็นกรณีพิเศษ  


 


 


เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าไม่มีกะจิตกะใจไปถือสาหาความอันใดเยี่ยซาน นางเพียงโบกมือแล้วกล่าวว่า “ไปเชิญนายท่านมาที แล้วก็ให้ใครไปดูอีกทีด้วย” บ่าวทั้งหลายเมื่อรู้ว่าฮูหยินผู้เฒ่าอารมณ์ไม่ดี จึงไม่กล้าพูดมาก ต่างรีบรับคำแล้วออกไปทำหน้าที่ของตน 


 


 


           บรรยากาศภายในหรงเล่อถังเต็มไปด้วยความอึมครึม เยี่ยหลียังคงนั่งหลังตรงจิบชาเงียบๆ  


 


 


จ้าวอี๋เหนียงที่นั่งอยู่อีกด้านส่งสายตามาทางเยี่ยหลีโดยมิให้ผู้ใดทันสังเกตเป็นระยะๆ ทว่านางพบว่าสีหน้าของเยี่ยหลีไม่แสดงอารมณ์ใดๆ เสมือนหนึ่งไม่มีอันใดเกิดขึ้น จ้าวอี๋เหนียงเองก็เดาไม่ออกว่าเรื่องในวันนี้เกี่ยวข้องกับคุณหนูสามด้วยหรือไม่  


 


 


เยี่ยหลีดูจะรู้สึกได้ถึงสายตาที่ส่งมาของจ้าวอี๋เหนียง จึงเงยหน้าขึ้นมองตอบนางปราดหนึ่ง แต่ด้วยสายตาที่ไม่สื่อความหมายใดของเยี่ยหลี ทำให้จ้าวอี๋เหนียงรู้สึกเย็นวาบในใจ ได้แต่พยักหน้าให้เยี่ยหลีน้อยๆ ก่อนเอนศีรษะไปพิงพนักเก้าอี้แล้วหลับตาลงพักผ่อน 


 


 


           นี่ก็เลยยามอู่มาแล้ว บ่าวที่สั่งให้ไปเฝ้าที่หน้าประตูก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะกลับมา ดูคล้ายว่าหลีอ๋องคงจะมารับตัวเจ้าสาวสายเป็นแน่แล้ว เจ้ากรมเยี่ยพร้อมด้วยหวังซื่อเดินหน้าตั้งกันเข้ามา เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่ามองจ้องบุตรชายและสะใภ้ก่อนเอ่ยถามเสียงแข็งว่า “นี่มันเรื่องอันใดกัน พวกเจ้าไปถามจนได้ความมาหรือยัง”  


 


 


สีหน้าของเจ้ากรมเยี่ยหมองคล้ำ ตอบเสียงหนักๆ ว่า “ท่านแม่ใจเย็นก่อนเถิด บ่าวที่ส่งไปถามความกลับมารายงานแล้วว่า ทางตำหนักหลีอ๋อง…เริ่มออกเดินขบวนมาแล้วขอรับ” 


 


 


           “เริ่มเดินขบวนมาแล้ว” เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าโกรธจัดจนต้องยิ้มออกมา ชี้หน้าเจ้ากรมเยี่ยแล้วต่อว่าเสียหลายประโยค “มีบุตรสาวบ้านใดแต่งงานแล้วฝ่ายเจ้าบ่าวลืมมารับตัวตามฤกษ์ดีกันบ้าง พ้นวันนี้ไป ตระกูลเยี่ยของพวกเราคงได้กลายเป็นขี้ปากให้ผู้คนหัวเราะเยาะกันทั้งเมืองหลวง! ตำหนักหลีอ๋องทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร ยังไม่ทันแต่งสะใภ้เข้าบ้าน ก็ตบหน้าตระกูลเยี่ยของพวกเราเสียแล้ว” 


 


 


           เจ้ากรมเยี่ยขมวดคิ้วหน้าเครียด “หรืออาจเกิดเรื่องที่ทำให้ล่าช้าขอรับ” 


 


 


           เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าส่งเสียงเหอะหนักๆ “มีเรื่องใดที่สำคัญกว่าการรับตัวเจ้าสาวอีกหรือ” 


 


 


           เจ้ากรมเยี่ยถึงกับพูดไม่ออก เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าเองก็ได้แต่ถอนใจหนักๆ ยาวๆ วันนี้ตำหนักหลีอ๋องมารับตัวเจ้าสาวช้าก็เป็นเรื่องที่หน้าขันพอแล้ว ไม่ว่าอย่างไร ต่อให้นางโกรธสักเพียงใดก็จะต้องส่งเยี่ยอิ๋งออกจากจวนไปให้ได้ มิเช่นนั้นชื่อเสียงของเยี่ยอิ๋งคงป่นปี้ไม่มีเหลือ  


 


 


เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าหันไปถลึงตาใส่หวังซื่อ “มัวยืนอึ้งอยู่ไย รีบไปดูสิว่าอิ๋งเอ๋อร์เตรียมพร้อมแล้วหรือไม่ คณะรับตัวเจ้าสาวมาถึงแล้วรีบส่งอิ๋งเอ๋อร์ออกไปทันที” ยามนี้หวังซื่อก็ไม่มีแก่ใจมานั่งทำท่าทางน่าสงสารหรือโกรธเคืองอีกแล้ว รีบตอบว่า “เตรียมพร้อมเรียบร้อยนานแล้วเจ้าค่ะ รอเพียงมาคำนับลาฮูหยินผู้เฒ่าเท่านั้นก็ออกจากจวนได้เลยเจ้าค่ะ”  


 


 


เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าส่งเสียงเหอะคราหนึ่งแล้วไม่ได้พูดอันใดอีก 


 


 


           รอจนมีบ่าวมารายงานว่าคณะรับตัวเจ้าสาวใกล้มาถึงจวน ก็เกือบเลยยามเว่ย[2]เสียแล้ว บ่าวและหมัวมัวข้างกายเยี่ยอิ๋งประคองนางเข้ามายังหรงเล่อถังเพื่อมาคำนับลาฮูหยินผู้เฒ่า ถึงแม้ใบหน้าจะได้รับการแต่งเติมอย่างประณีตงดงาม ทว่าเยี่ยหลีนั่งอยู่ใกล้พอที่จะเห็นสีหน้าขาวซีดภายใต้แป้งที่บดบังอยู่ ขอบตามีรอยแดงอยู่ไม่น้อย ก่อนหน้านี้เยี่ยอิ๋งคงร้องไห้เสียยกหนึ่งแล้วเป็นแน่ ก็ไม่แปลกแต่อย่างใด เจ้าสาวที่กำลังจะออกเรือนไปก็ต้องร้องไห้กันทั้งนั้นมิใช่หรือ  


 


 


เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าประคองเยี่ยอิ๋งขึ้นมาด้วยตนเอง พร้อมเอ่ยสั่งสอนและเตือนสตินางอีกเล็กน้อย จากนั้นเยี่ยอิ๋งหันไปคำนับเจ้ากรมเยี่ยและหวังซื่อ แล้วจึงนำผ้าปิดหน้าปิดลงมาพร้อมมีคนช่วยประคองนางออกไปยังห้องโถงใหญ่ของจวนเยี่ย  


 


 


เยี่ยหลีเองก็ลุกขึ้นเดินตามเจ้ากรมเยี่ยและหวังซื่อออกไปด้วยเช่นกัน 


 


 


            


 


 


ห้องโถงจวนเยี่ย 


 


 


           ม่อจิ่งหลีสวมชุดเจ้าบ่าวลายมังกรสี่เล็บ[3]สีแดงสด ใบหน้าที่หล่อเหลาเป็นทุนเดิมมาวันนี้ดูคมเข้มขึ้นไปอีก ทว่าเยี่ยหลีมองออกว่าภายใต้สีหน้าที่เย็นชานั้นแฝงความแข็งกระด้างกว่าปกติ แล้วยังสีหน้าขาวกว่าปกติกับใต้ตาดำคล้ำนั่นอีก ทำให้เยี่ยหลีที่เบื่อหน่ายจากการนั่งรอมาตลอดเช้ากลับอารมณ์ดีขึ้นอย่างประหลาด นางกล้าเอาตำแหน่งจ้วงหยวนของพี่ใหญ่นางเป็นประกันเลยว่า ม่อจิ่งหลีจะต้องแต่งหน้ามาอย่างแน่นอน 


 


 


           ดูเหมือนม่อจิ่งหลีจะสังเกตเห็นเยี่ยหลีที่อยู่ในชุดสีม่วงอ่อนที่เดินตามหลังเจ้ากรมเยี่ยและหวังซื่อเข้ามาอย่างรวดเร็ว นัยน์ตาจึงเป็นประกายวาบ สายตาที่ลุกเป็นไฟนั้นมองข้ามแม้แต่เจ้าสาวของตนเอง 


 


 


           เจ้ากรมเยี่ยกระแอมคราหนึ่งด้วยความไม่พอใจ ม่อจิ่งหลีจึงจำต้องเลื่อนสายตาของตนมายังเจ้ากรมเยี่ยพร้อมยอบกายคารวะ “ข้ามาช้า ขอท่านพ่อตาโปรดอภัยด้วย” 


 


 


           หากเขาไม่กล่าวถึงเรื่องนี้ก็คงปล่อยผ่านไป แต่เมื่อกล่าวแล้วก็ทำให้เจ้ากรมเยี่ยนึกโกรธติดหมัด น้ำเสียงที่เอ่ยจึงเต็มไปด้วยความมึนตึง “มิกล้า ขอเพียงต่อไปท่านอ๋องคอยดูแลอิ๋งเอ๋อร์เป็นอย่างดีก็พอ” 


 


 


           ม่อจิ่งหลีรู้ตนว่าผิดจึงได้แต่รีบเอ่ยรับคำ พร้อมสัญญาว่าจะดูแลเยี่ยอิ๋งเป็นอย่างดี แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นกลับพบสีหน้าอมยิ้มของเยี่ยหลี จึงได้คิดไปถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตนเมื่อคืน เขาแทบอยากจะถลาเข้าไปฉีกเยี่ยหลีให้เป็นชิ้นๆ นับแต่เล็กจนโต มีแต่เขาที่เป็นฝ่ายกลั่นแกล้งผู้อื่น นอกจากม่อซิวเหยาในกาลก่อนแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่ตนถูกผู้อื่นกระทำจนน่าสังเวชเช่นนี้  


 


 


เขาได้สติตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง พบว่าตนถูกมัดแล้วจับโยนลงหนองน้ำ ทว่าไม่ว่าเขาจะตะโกนเรียกสักเพียงใด กว่าองครักษ์ที่เขาให้หลบอยู่ในป่าจะมาเจอตัวเขาก็ยามที่ฟ้าสว่างเสียแล้ว ถึงแม้นี่จะใกล้เข้าเดือนห้า แต่น้ำในหนองน้ำนั้นกลับเย็นเยียบตลอดทั้งปี กว่าจะรอคนมาพบ เขาก็หนาวสั่นจนแทบจะขยับไม่ไหวแล้ว 


 


 


องครักษ์พาเขาไปดื่มน้ำขิงพร้อมยาไล่ความหนาวที่เรือนอีกหลังอย่างทุลักทุเลเต็มที พออาการเริ่มดีขึ้นก็รีบเร่งเดินทางกลับเข้าเมืองหลวง แบกเอาร่างที่อ่อนระโหยโรยแรงของตนมารับตัวเจ้าสาว ทว่าก็ยังไม่ทันฤกษ์อยู่ดี เมื่อเปรียบเทียบสภาพตนกับเยี่ยหลีแล้ว เยี่ยหลีที่นั่งยิ้มอย่างสบายอารมณ์อยู่นี้ สภาพดีเสียจนตนนึกเข่นเคี้ยวเขี้ยวฟันในใจ 


 


 


           ข้าไม่มีทางปล่อยเจ้าไปแน่! สายตาม่อจิ่งหลีเต็มไปด้วยความเคียดแค้นใจ 


 


 


           เยี่ยหลีเบ้ปากน้อยๆ นางไม่เหลือความหวังต่อสติปัญญาของม่อจิ่งหลีอีกแล้ว จึงส่งสายตาตอบกลับไปว่า ข้ารอท่านอยู่! 


 


 


           เยี่ยหลีไม่ได้ทันสังเกตว่า ในขณะที่นางแลกเปลี่ยนสายตากับม่อจิ่งหลีอยู่นั้น สำหรับผู้อื่นที่มองมาแล้วตีความกันไปคนละเรื่องเลยทีเดียว หวังซื่อที่ยืนอยู่ข้างเยี่ยอิ๋งเห็นสายตาที่ทั้งคู่ส่งให้กันโดยตลอด สายตาที่เหลือบลงต่ำมีความแค้นเคืองซ่อนอยู่ 


 


 


 


 


 


[1] ยามอู่ หมายถึง ช่วงเวลา 11.00-13.00 น. 


 


 


[2] ยามเว่ย หมายถึง ช่วงเวลา 13.00-15.00 น. 


 


 


[3] มังกรสี่เล็บ เป็นลายสัญลักษณ์ของเชื้อพระวงศ์ชั้นสูง หรือขุนนางระดับสูง 


41

เมื่อส่งตัวเยี่ยอิ๋งออกจากจวนไปแล้ว สิ่งที่นางสมควรทำก็ทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว เยี่ยหลีจึงมิใคร่สนใจสายตาทุกคู่ที่ส่งมาทางนางอีก นางหมุนตัวกลับเรือนชิงอี้เซวียนไปอย่างอารมณ์ดี 


 


 


           เพียงก้าวเข้าไปในห้องหนังสือ ฝีเท้าเยี่ยหลีก็ชะงักลงทันที ก่อนหันไปสั่งการว่า “ชิงหลวนอยู่คอยรับใช้ข้า ส่วนคนอื่นๆ ออกไปพักได้”  


 


 


ถึงแม้ชิงซวงและคนอื่นๆ จะนึกสงสัย แต่พวกนางรู้ดีว่าเยี่ยหลีไม่ชอบให้มีคนรายล้อมมากนัก และอาจเป็นได้ว่ามีธุระที่อยากสั่งชิงหลวนเพียงลำพัง พวกนางจึงโค้งกายก่อนออกจากห้องไป  


 


 


           ชิงหลวนยืนสงบนิ่งอยู่ข้างประตูรอให้คุณหนูเอ่ยปากสั่งการ  


 


 


เยี่ยหลีเดินไปหยุดที่ข้างหน้าต่าง สายตาสำรวจรอบห้องหนังสือก่อนไปหยุดอยู่ที่ห้องข้างห้องหนังสือที่มีผ้าม่านกั้นอยู่พร้อมพูดเสียงเบาว่า “ยังไม่ออกมาอีกหรือ” 


 


 


           ไม่มีความเคลื่อนไหวใดเกิดขึ้นในห้องหนังสือ ในมือของชิงหลวนมีประกายของเหล็กแหลมเล็กๆ สองชิ้นปรากฏขึ้น สายตาที่ปกติดูสุภาพอ่อนโยนมายามนี้กลับฉายไอสังหารออกมาให้เห็น 


 


 


           ผ่านไปครู่หนึ่งก็ยังคงไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ เกิดขึ้น เยี่ยหลีขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ ก่อนโยนของในมือขนาดประมาณไข่นกพิราบไปทางม่านโปร่งบางนั้น ควันขาวหนาตาพวยพุ่งขึ้น ไม่นานก็ปรากฏร่างร่างหนึ่งขึ้นหลังควันขาวที่พุ่งตัวมาทางเยี่ยหลีอย่างรวดเร็ว จนเมื่อร่างนั้นพุ่งมาเกือบถึงหน้าต่าง อยู่ดีๆ ก็กลับอ่อนยวบลงไปนอนพังพาบกับพื้นโดยมีเหล็กแหลมเรียวเล็กจ่ออยู่ที่แผ่นหลัง ตรงหน้าเขาไร้เงาเยี่ยหลีให้เห็น  ไม่รู้ว่าเยี่ยหลีขยับไปยืนทางด้านหลังห่างไปเพียงเล็กน้อยตั้งแต่เมื่อใด 


 


 


           “ไม่นึกเลยว่าคุณหนูเยี่ยจะฝีมือดีเช่นนี้ ข้าขอยอมแพ้” บุรุษผู้นั้นยิ้มขื่น ทิ้งร่างลงกับพื้นอย่างมิอาจฝืนได้อีก 


 


 


           สีหน้าเยี่ยหลียังคงเป็นปกติ “ยังห่างชั้นกับท่านอีกมาก เพียงแต่เมื่อข้าได้ประสบเหตุการณ์ดังเช่นเมื่อคืน ข้าจึงคิดว่าเตรียมพร้อมไว้หน่อยก็ไม่เสียหายอะไร” 


 


 


           ชายหนุ่มผู้นั้นเลิกคิ้วขึ้นเสมือนไม่ได้มีคนกำลังจ่ออาวุธอยู่ที่หลังของตน เขาแย้มยิ้มให้เยี่ยหลี “เจ้ารู้ว่าเมื่อคืนเป็นข้าหรือ คงมิใช่ว่า…พอเกิดเรื่องเมื่อคืนแล้วเจ้าถึงมีใจประหวัดคิดถึงข้าไม่รู้ลืมเข้ากระมัง” แม้แต่เยี่ยหลียังต้องยอมรับว่าชายหนุ่มตรงหน้าหล่อเหลายิ่งนัก แตกต่างจากเฟิ่งจือเหยาที่รูปงามตามแบบฉบับทั่วไป สีหน้าเขาดื้อรั้นพร้อมจงใจหว่านเสน่ห์ใส่นาง หากเป็นหญิงสาวทั่วไปคงโกรธหรือเขินอายจนหน้าแดงแล้วปิดหน้าเดินหนีไปแล้ว ทว่าน่าเสียดายที่เยี่ยหลีมิใช่หญิงสาวทั่วไปเหล่านั้น  


 


 


“ข้าว่าสิ่งที่ท่านควรเป็นกังวลมิใช่ข้า แต่เป็น…ของที่อยู่ข้างหลังท่านมากกว่า เชื่อข้าสิ หากออกแรงกดลงไปอีกเพียงสามส่วน ถึงแม้จะไม่ถึงแก่ชีวิต แต่ข้ารับรองได้ว่าท่านจะได้ใช้ชีวิตอยู่แต่บนเตียงไปชั่วชีวิต” เพื่อเป็นการยืนยันคำพูดของเยี่ยหลี ปลายแหลมของเหล็กนั้นทิ่มเข้าหาตัวเขาเพิ่มอีกเล็กน้อย ความเจ็บแปลบจากปลายแหลมค่อยๆ แผ่จากแผ่นหลังไปทั่วตัว สีหน้าของชายหนุ่มผู้นั้นเปลี่ยนไปเล็กน้อย ฝืนยิ้มแล้วกล่าวว่า “คุณหนูสามตระกูลเยี่ยคงไม่คิดจะฆ่าคนปิดปากกระมัง” 


 


 


           เยี่ยหลีส่ายหน้า ใบหน้าอันงดงามปรากฏรอยยิ้มที่น้อยครั้งนักจะได้เห็น แต่กลับทำให้ชายหนุ่มที่พื้นรู้สึกเย็นวาบที่สันหลัง “การฆ่าคนปิดปากไม่ใช่เรื่องที่คุณหนูผู้ดีมีตระกูลสมควรทำ ดังนั้นข้าจึงคิดจะจับท่านส่งให้ผู้อื่น ได้ยินมาว่ามีคนกำลังต้องการตัวท่านอยู่ไม่น้อย ท่านว่าข้าส่งตัวท่านไปให้ติ้งอ๋องดี หรือส่งไปให้หลีอ๋องดีเล่า” 


 


 


           ชายหนุ่มผู้นั้นร้องขอชีวิตกับเยี่ยหลีด้วยใบหน้าบิดเบี้ยว หากเขาตกไปอยู่ในมือของติ้งอ๋องคงถูกตัดแขนตัดขาเป็นแน่ และหากตกไปอยู่ในมือของหลีอ๋อง ดูจากที่ใครบางคนยังยืนข่มขู่เขาได้อย่างเป็นปกติแล้ว หลีอ๋องคงต้องให้เขาชดใช้ด้วยชีวิตเป็นแน่ “คุณหนูสาม ข้าก็แค่คนทำงานแลกเงินคนหนึ่ง อีกอย่าง ถือว่าข้าได้ช่วยเจ้าไว้เช่นกันมิใช่หรือ เจ้าจะมีเมตตาไว้ชีวิตข้าสักครั้งไม่ได้เชียวหรือ”  


 


 


เยี่ยหลีหมุนตัวเดินไปนั่งสบายๆ บนเก้าอี้ตัวหนึ่ง พูดยิ้มๆ ว่า “ท่านช่วยข้าหรือ มิใช่ว่าม่อจิ่งหลีเคยล่วงเกินท่านไว้ ท่านจึงคิดอยากเอาคืนหรอกหรือ” 


 


 


           ในเมื่อการร้องขอไม่เป็นผล ชายหนุ่มผู้นั้นจึงจำต้องหุบยิ้ม พูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “ถือเสียว่าข้าติดหนี้บุญคุณคุณหนูสามครั้งหนึ่ง ได้หรือไม่” 


 


 


           เยี่ยหลีเท้าคางยิ้มอ่อน “เรื่องนี้…หนี้บุญคุณของคุณชายเฟิงเย่ว์แห่งหอชิงเฟิงหมิงเย่ว์ ต่อให้ท่านกล้าติดหนี้ แต่ข้าคงมิกล้าให้ท่านชดใช้หรอก” หอชิงเฟิงหมิงเย่ว์ หอนางโลมอันดับหนึ่งในใต้หล้า คุณชายเฟิงเย่ว์ นามหานหมิงเย่ว์ โจรเด็ดดอกไม้ที่ขึ้นชื่อเรื่องเด็ดดอกไม้เป็นว่าเล่น หากผูกมิตรกับเขาก็ถือเป็นการทำลายชื่อเสียงตนเองจนสิ้น 


 


 


           สีหน้าของชายหนุ่มเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง จ้องเยี่ยหลีแล้วกล่าวว่า “เครื่องประดับหยกของข้าอยู่ที่เจ้าใช่หรือไม่” คนที่รู้ว่าคุณชายเฟิงเย่ว์กับนายใหญ่แห่งหอชิงเฟิงหมิงเย่ว์เป็นคนคนเดียวกันนั้นมีน้อยจนนับคนได้ “ข้าไม่ยักรู้ว่าคุณหนูสามตระกูลเยี่ยแห่งจวนเจ้ากรม ชายาเอกในอนาคตของติ้งอ๋องจะเก่งกาจเพียงนี้”  


 


 


การที่นางสามารถนำหยกจากตัวเขาไปได้โดยที่เขาไม่ทันรู้ตัวนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย หานหมิงเย่ว์นึกสงสัยยิ่งนักว่าที่ตัวเขาเข้าเมืองหลวงในคราวนี้มิได้ตรวจตราวันแดงวันดำให้ดีเสียก่อนหรือไร ในคราแรกเพียงนึกสนุกจึงรับงานลักพาตัวแม่นางคนหนึ่งให้หลีอ๋องเท่านั้น ไม่นึกว่าคุณหนูลูกผู้ดีที่ดูไร้พิษสงนี้จะกลายเป็นบุปผาพิษไปเสียได้  


 


 


เดิมทีคิดเพียงจะหยอกล้อหลีอ๋องที่ไม่เคยเห็นผู้ใดอยู่ในสายตาผู้นั้นเล่นสักหน่อย เล่นไปเล่นมากลับพาตนเองเข้าไปอยู่ในนั้นด้วยเสียได้ เมื่อเขาออกจากป่าผืนนั้นได้ไม่ถึงครึ่งชั่วยามดี ก็ถูกคนสะกดรอยตาม จากนั้นไม่ถึงสองชั่วยามคนที่สะกดรอยตามเขาจากหนึ่งคนก็เพิ่มเป็นสองคน พอฟ้าสว่างไม่เท่าไร คนของม่อจิ่งหลีก็สะกดรอยตามเขาด้วยอีกคนหนึ่ง 


 


 


           เยี่ยหลีเพียงยิ้มมิได้กล่าวอะไรพลางมองชายหนุ่มรูปงามตรงหน้าอย่างใจเย็น  


 


 


ในที่สุดหานหมิงเย่ว์ก็ยกมือยอมแพ้ “คุณหนูสามตระกูลเยี่ย ทำอย่างไรเจ้าถึงจะยอมปล่อยข้าไป” 


 


 


           “เมื่อข้าจำเป็น ให้ข้ายืมสายข่าวของหอชิงเฟิงหมิงเย่ว์ใช้เสียหน่อยเป็นพอ” เยี่ยหลีเอ่ยข้อเสนอของตน 


 


 


           หานหมิงเย่ว์ตาเป็นประกายทันที “ข้าไม่เข้าใจที่คุณหนูเยี่ยกล่าว” 


 


 


           “หอนางโลม โรงสุรา เป็นแหล่งรวบรวมข่าวสารที่ใหญ่ที่สุด ข้าเดาว่า…เทียนอี้เก๋อกับท่านคงมีความสัมพันธ์กันไม่น้อย ใช่หรือไม่” เทียนอี้เก๋อ สำนักข่าวที่ลึกลับที่สุดที่อยู่ได้ด้วยการขายข่าว เพียงแต่กระทำกันอย่างลับๆ ทำให้คนที่ต้องการค้นหาสำนักข่าวนี้จำนวนไม่น้อยต้องยอมแพ้และล่าถอยไป 


 


 


           “คุณชายหานลุกขึ้นได้แล้ว หากข้ากะเวลาไม่ผิด ยาน่าจะหมดฤทธิ์แล้ว” เยี่ยหลีเอ่ยเตือนชายหนุ่มที่ยังคงนอนอย่างหมดเรี่ยวหมดแรงอยู่ที่พื้นด้วยสีหน้าและน้ำเสียงราบเรียบ  


 


 


หานหมิงเย่ว์ดูไม่เก้อเขินที่ถูกจับได้ ขยับกายลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าสบายๆ พร้อมปัดฝุ่นที่ไม่มีอยู่จริงออกจากตัว ก่อนยกมือคารวะเยี่ยหลี “คุณหนูสามช่างหลักแหลมเสียจนทำให้ข้าประหลาดใจ” คุณหนูธรรมดาๆ ผู้หนึ่งถึงขนาดคาดเดาได้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างหอชิงเฟิงหมิงเย่ว์กับเทียนอี้เก๋อ ช่างน่าประหลาดใจเสียจริง “เครื่องประดับหยกนั่นข้าขอยกให้คุณหนูสาม หากคุณหนูสามต้องการสิ่งใดขอให้คนถือหยกชิ้นนั้นมาหาข้า เชื่อว่าด้วยความสามารถของคุณหนูสามคงรู้ว่าจะหาข้าได้ที่ใด” 


 


 


           เยี่ยหลีพยักหน้ารับอย่างไม่เกรงใจ “เช่นนั้นข้าขอขอบคุณท่านมาก ข้าจะขอให้ติ้งอ๋องส่งของอย่างอื่นไปกำนัลหลีอ๋องเอง” 


 


 


           หานหมิงเย่ว์ยิ้มขื่นให้เยี่ยหลี “เจ้าไม่กลัวว่าข้าจะตระบัดสัตย์หรือ” 


 


 


           เยี่ยหลียังคงยิ้มน้อยๆ “นั่นก็นอกเสียจากว่าท่านอยากให้คนทั้งใต้หล้ารู้ว่าคุณชายเฟิงเย่ว์กับหอชิงเฟิงหมิงเย่ว์มีความสัมพันธ์กันเช่นไร ท่านค่อยๆ ไปเถิด ข้าไม่ส่ง” 


 


 


           “ข้าลา” 


 


 


           ชิงหลวนเก็บเหล็กแหลมกลับคืน มองหานหมิงเย่ว์ที่หายออกไปทางหน้าต่าง ขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ “คุณหนู ให้เขาไปง่ายๆ เช่นนี้หรือเจ้าคะ” 


 


 


           เยี่ยหลีลุกขึ้นยืนข้างหน้าต่าง สายตาจ้องไปยังตำแหน่งที่ร่างของหานหมิงเย่ว์หายไป “เจ้าคิดว่าเขาเป็นเจ้าของหอชิงเฟิงหมิงเย่ว์จริงๆ หรือ” 


 


 


           “มิใช่หรือเจ้าคะ” 


 


 


           เยี่ยหลีจับหยกในมือเล่น “ข้าเดาว่ามิใช่ แต่เชื่อว่าเขามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับหานหมิงเย่ว์ตัวจริงไม่น้อย หากจะมีเรื่องกับหานหมิงเย่ว์เพียงเพราะเขา คงไม่คุ้มค่า” 


 


 


           “คุณหนูสามตระกูลเยี่ยช่างหลักแหลมนัก” น้ำเสียงกลั้วหัวเราะพร้อมรอยยิ้มเกียจคร้านดังลอยมาจากด้านนอก  


 


 


เยี่ยหลีเงยหน้าขึ้นยิ้มมองเฟิ่งจือเหยาที่ไม่รู้ว่ามายืนอยู่ใต้ชายคาตั้งแต่เมื่อใด “คุณชายเฟิ่ง การมาโดยไม่เชิญมิใช่วิสัยของสุภาพบุรุษ”  


 


 


เฟิ่งจือเหยาโบกพัดในมืออย่างผึ่งผาย เสมือนหนึ่งตนไม่ได้อยู่ในห้องของหญิงสาว แต่กำลังอยู่ในงานเลี้ยงที่มีสายตาผู้คนจำนวนมากจับจ้องอยู่กระนั้น “ฝีมือและการวิเคราะห์ของคุณหนูสามทำให้ข้ายอมก้มหัวให้แต่โดยดี หานหมิงเย่ว์ไม่ใช่คนที่จะเอาเปรียบได้ง่ายๆ เลย”  


 


 


เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ “ข้าไม่เคยเอาเปรียบใคร เชื่อว่าคุณชายหานก็คงคิดเช่นเดียวกัน แต่ที่คุณชายเฟิ่งซานใช้วิชาตัวเบาลอบเข้าจวนเจ้ากรมโดยไม่ให้ผู้ใดรู้เช่นนี้ น่าจะมีฝีมือเทียบเท่ากับคุณชายเฟิงเย่ว์ได้กระมัง” 


 


 


           เส้นเลือดที่หน้าผากเฟิ่งจือเหยาเต้นตุบๆ พยายามอย่างยิ่งที่จะให้ตนเองดูผึ่งผาย “ติ้งอ๋องเชิญให้คุณหนูสามไปร่วมงานสมรสของหลีอ๋องด้วยกัน” 


 


 


           เยี่ยหลีเลิกคิ้ว “ติ้งอ๋องจะไปร่วมงานหรือ” นางจำได้ว่าตั้งแต่เกิดเรื่องนั้นขึ้น ม่อซิวเหยาก็ไม่ออกไปให้ธารกำนัลพบเห็นอีกเลย 


 


 


           เฟิ่งจือเหยายิ้ม “ต่างกรรมต่างวาระ เดิมทีเขาก็ไม่คิดจะไปหรอก ได้ยินว่าเพิ่งตัดสินใจเมื่อเช้านี้ คงไม่ทำให้คุณหนูสามผิดหวังกระมัง” 


 


 


           เยี่ยหลีกะพริบตาปริบๆ เข้าใจความหมายที่เฟิ่งจือเหยาสื่อมาทันที จึงพยักหน้าแล้วกล่าวว่า “ลำบากคุณชายเฟิ่งซานมาส่งข่าวแล้ว” 


 


 


           “ข้าจะรอเจ้ามาตามเวลานัด” 


42

 ตามธรรมเนียมแล้วในงานแต่งงานของน้องสาว หากเยี่ยหลีมิได้อยู่ในขบวนส่งตัวก็ไม่จำเป็นต้องไปร่วมงาน แต่ในเมื่อม่อซิวเหยาถึงขนาดให้คุณชายสามตระกูลเฟิ่งมาส่งข่าวแล้ว เยี่ยหลีเชื่อว่าจะต้องมีละครฉากเด็ดให้ได้ชมอย่างแน่นอน อีกอย่าง นางเองก็มีเรื่องหานหมิงเย่ว์ที่จะต้องพูดคุยกับคู่หมั้นของนางเช่นกัน การสื่อสารที่ดีย่อมมีประโยชน์ต่อความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกัน  


 


 


           เยี่ยหลีเปลี่ยนไปใส่ชุดที่เหมาะกับวาระโอกาสก่อนให้คนไปรายงานฮูหยินผู้เฒ่า นางยังไม่ทันออกจากจวนก็มีบ่าวมารายงานว่าติ้งอ๋องมารอรับคุณหนูสามอยู่ที่หน้าจวน  


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่ารู้ดีว่าม่อซิวเหยาไม่สะดวกที่จะลงมานัก จึงมิกล้ารั้งนางไว้นาน รีบให้เยี่ยหลีออกไปกับม่อซิวเหยา 


 


 


           เมื่อออกจากประตูใหญ่จวนเยี่ยแล้ว ก็พบรถม้าที่มีตราสัญลักษณ์ของตำหนักติ้งอ๋องจอดอยู่ที่หน้าประตู อาจิ่น องครักษ์หนุ่มข้างกายม่อซิวเหยาเมื่อเห็นเยี่ยหลีเดินออกมาก็รีบออกมาต้อนรับทันที “อาจิ่นคารวะพระชายาขอรับ” 


 


 


           เยี่ยหลีรู้สึกประดักประเดิดอยู่บ้าง ถึงแม้จะเป็นการพบหน้ากันเพียงครั้งที่สอง ทว่าเยี่ยหลีก็มองออกว่าบุรุษที่ชื่ออาจิ่นนี้ยามปกติมิใช่คนหัวไวแต่อย่างใด นางจึงเพียงพยักหน้ารับพลางกล่าวว่าลำบากเจ้าแล้ว ก่อนก้าวขึ้นรถม้าไป 


 


 


           บนรถม้า ม่อซิวเหยากำลังนั่งพิงผนังรถม้าพลางก้มหน้าอ่านหนังสือเล่มหนึ่งอยู่ ครั้นเห็นเยี่ยหลีก้าวขึ้นรถม้ามาจึงวางหนังสือเล่มนั้นลง พร้อมยิ้มให้น้อยๆ “นั่งสิ เมื่อคืนเจ้าตกใจหรือไม่”  


 


 


เยี่ยหลีก้าวขึ้นไปนั่งฝั่งตรงข้ามกับเขา แล้วยิ้มตอบ “ข้าไม่เป็นอันใดมากเพคะ ลำบากท่านต้องรีบไปช่วยแล้ว”  


 


 


ม่อซิวเหยาคล้ายนึกถึงเรื่องน่าสนุกขึ้นมาได้ รอยยิ้มน้อยๆ ที่อยู่บนใบหน้าจึงดูจริงใจขึ้นหลายส่วน “โชคดีที่ข้ารีบไป มิเช่นนั้นข้าคงไม่รู้ว่าชายาของข้ามีฝีมือเช่นนั้น”  


 


 


เยี่ยหลียักไหล่อย่างไม่ใคร่ใส่ใจ นางมิได้สนใจว่าม่อซิวเหยาจะเห็นบางมุมที่แท้จริงของนาง เพราะถึงอย่างไรอีกหน่อยทั้งสองคนก็จะเป็นสามีภรรยากันอยู่แล้ว มีหลายเรื่องที่ต่อให้อยากปิดบังก็คงปิดได้ไม่มิด “ฝีมือข้าอ่อนด้อยนัก ท่านอ๋องคงเห็นว่าน่าขันแล้ว” 


 


 


           ม่อซิวเหยาขมวดคิ้วน้อยๆ “พวกเราจะเรียกขานกันว่าท่านอ๋องกับชายาเช่นนี้หรือ” 


 


 


           เยี่ยหลีเงยหน้าขึ้นสบตาเขาด้วยความไม่เข้าใจ “เช่นนั้นสมควรเรียกขานกันอย่างไรเพคะ ท่านพี่ นายท่าน สามี สวามี” ยังไม่ทันพูดจบดี เยี่ยหลีก็รู้สึกขนลุกเสียแล้ว ยามปกติได้ยินคนอื่นเรียกขานกันก็มิได้รู้สึกผิดปกติอะไร ทว่าเมื่อต้องเรียกเองกับปากแล้วเหตุใดจึงรู้สึกขัดปากเช่นนี้ หากต้องเรียกขานอย่างที่นางว่าแล้ว เยี่ยหลียอมเรียกตามคนทั่วไปว่าท่านอ๋องและชายาเสียยังจะดีกว่า 


 


 


           ม่อซิวเหยาหัวเราะ “เจ้าเรียกชื่อข้าก็ได้” 


 


 


           “ม่อ…ซิวเหยาหรือ” 


 


 


           “ซิวเหยา” ม่อซิวเหยาช่วยแก้ให้ “ข้าเรียกเจ้าว่าอาหลีได้หรือไม่” 


 


 


           เยี่ยหลีพยักหน้า โชคดีที่เขาไม่ขอเรียกนางว่าหลีเอ๋อร์ พูดตามจริง นอกจากผู้อาวุโสเรียกนางแล้ว นางไม่คุ้นชินกับการมีคนมาเรียกอย่างสนิทสนมเช่นนั้นเลยจริงๆ 


 


 


           “ข้าปล่อยคนเมื่อวานไป ท่านว่าอะไรหรือไม่” เยี่ยหลีเอ่ยถามพร้อมสบตาม่อซิวเหยาตรงๆ 


 


 


           ม่อซิวเหยาส่ายหน้า ยิ้มสบายๆ “ไม่เป็นไร ในเมื่อเจ้าไม่ถือสาหาความก็ให้แล้วกันไปเถิด ถึงอย่างไรหานหมิงเย่ว์ก็มิใช่ผู้ที่สมควรล่วงเกินนัก” 


 


 


           เยี่ยหลีเลิกคิ้ว “ดูเหมือนท่านจะไม่แปลกใจเลยที่เขามีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับหานหมิงเย่ว์” 


 


 


           “เมื่อครั้งข้ายังเด็ก เคยมีไมตรีกับหานหมิงเย่ว์อยู่บ้าง” 


 


 


           เยี่ยหลีเข้าใจแล้ว หากเป็นคนที่ม่อซิวเหยายอมรับว่าเคยมีไมตรีด้วยแล้ว คาดว่าคงมิใช่การสานไมตรีกันธรรมดา 


 


 


           “ท่านอ๋อง ถึงตำหนักหลีอ๋องแล้วพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


           ระหว่างที่ทั้งคู่สนทนากันเรื่อยเปื่อยนั้น รถม้าก็มาถึงหน้าตำหนักหลีอ๋องพอดี ทั้งสองคนต่างมิใช่คนที่สนทนาเก่ง แต่เยี่ยหลีกลับพบว่าการพูดคุยกับม่อซิวเหยานั้นไม่น่าเบื่อเลย 


 


 


           “อาหลี” 


 


 


           เยี่ยหลีลุกขึ้นเตรียมตัวลงจากรถม้า ก็ได้ยินม่อซิวเหยาเรียกนาง 


 


 


           เยี่ยหลีหันหน้ากลับไปมองเขาด้วยความสงสัย ม่อซิวเหยามองตอบนางนิ่งๆ “เจ้าเตรียมพร้อมแล้วจริงหรือ” 


 


 


           “ต้องเตรียมอะไรด้วยหรือเพคะ” คิ้วเรียวของเยี่ยหลีเลิกขึ้นเล็กน้อย นึกไม่ออกว่าตนลืมเรื่องอันใดไปหรือเปล่า 


 


 


           ม่อซิวเหยาอึ้งงันไป มุมปากยกยิ้มขึ้นเพียงน้อยนิด ก่อนพูดเสียงเบาว่า “ไม่มีอะไร เจ้าลงไปเถิด” 


 


 


           การที่ติ้งอ๋องมาร่วมงานด้วยตนเอง แน่นอนว่าตำหนักหลีอ๋องมิอาจเพิกเฉยได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งติ้งอ๋องไม่ออกงานสังคมให้ผู้คนพบเห็นมาเป็นเวลากว่าแปดปี การมาร่วมงานเสกสมรสของหลีอ๋องด้วยตนเองเช่นนี้ถือเป็นการให้เกียรติหลีอ๋องอย่างมาก  


 


 


หากเรียงตามลำดับราชนิกุลแล้ว ติ้งอ๋องที่อายุไล่เลี่ยกับหลีอ๋องนั้นมีตำแหน่งสูงกว่าหลีอ๋องอยู่หนึ่งขั้น ดังนั้นไม่เพียงหลีอ๋องเอง แม้แต่ราชนิกุลคนอื่นที่มาร่วมงานในวันนี้ยังต้องออกมาต้อนรับติ้งอ๋องด้วยตนเองเช่นกัน 


 


 


ตำหนักติ้งอ๋องมิได้มาอย่างยิ่งใหญ่เพื่อสำแดงยศศักดิ์ใดๆ ภายใต้สายตาทุกคู่ที่จับจ้อง ผู้ที่ลงจากรถม้าเป็นคนแรกคือสตรีในชุดสีม่วงอ่อน บนชุดสีม่วงอ่อนนั้นปักลวดลายกอบัวอย่างงดงาม ผมสลวยเพียงรวบเอาไว้หลวมๆ ประดับเครื่องประดับที่ทำจากเพชรพลอยรูปผีเสื้อประหนึ่งกำลังโบยบิน มองเพียงด้านข้างก็ทำให้ผู้คนเห็นใบหน้างดงามของนาง  


 


 


จากนั้นองครักษ์สองนายได้เข้าไปเลิกม่านรถม้าออก พร้อมกับยกม่อซิวเหยาพร้อมเก้าอี้รถเข็นลงมาอย่างเบามือ ม่อซิวเหยากวาดสายตามองผู้คนที่รอต้อนรับอยู่หน้าตำหนักหลีอ๋องด้วยสายตาเรียบเฉย ก่อนเบือนหน้าไปทางเยี่ยหลีพร้อมกับยื่นมือให้นาง 


 


 


           เยี่ยหลียกมือขึ้นจับมือม่อซิวเหยาอย่างว่าง่าย อาจิ่นที่ยืนอยู่ด้านหลังค่อยๆ เข็นรถเข้าประตูตำหนักหลีอ๋องไป 


 


 


           “อะแฮ่ม…คารวะติ้งอ๋อง” 


 


 


           ในที่สุดก็มีคนได้สติ เขาหันไปมองหลีอ๋องที่กำลังจ้องติ้งอ๋องที่ค่อยๆ ใกล้เข้ามาอย่างเอาเป็นเอาตาย ผู้ที่ได้สติก่อนกระแอมขึ้นเบาๆ ทีหนึ่งเพื่อเตือนให้ผู้เป็นเจ้าภาพเอ่ยต้อนรับแขก 


 


 


           “คารวะติ้งอ๋อง” 


 


 


           “วันนี้เป็นวันเสกสมรสของหลีอ๋อง ทุกท่านไม่ต้องมากพิธี” ม่อซิวเหยาพูดด้วยน้ำเสียงอบอุ่น ก่อนหันไปยิ้มให้ม่อจิ่งหลี “จิ่งหลี ยินดีกับเจ้าด้วย” 


 


 


           “ขอบคุณมาก!” ม่อจิ่งหลีจ้องเยี่ยหลีที่ยืนอยู่ข้างๆ ม่อซิวเหยาด้วยสายตาโกรธแค้น ก่อนกัดฟันเอ่ยขอบคุณ 


 


 


           ม่อซิวเหยาเลิกคิ้ว “ไม่เชิญพวกเราเข้าข้างในหรือ” 


 


 


           ม่อจิ่งหลีเพียงขยับตัวไปด้านข้างเพื่อเชื้อเชิญคนทั้งคู่ให้เข้าไปข้างในโดยไม่เอ่ยคำใด  


 


 


ม่อซิวเหยาดูจะเข้าใจนิสัยของม่อจิ่งหลีเป็นอย่างดี จึงหันไปยิ้มให้เยี่ยหลี “พวกเราเข้าไปกันเถิด”  


 


 


เยี่ยหลียกมุมปากขึ้นยิ้มเล็กน้อย พยักหน้าตอบโดยไม่พูดจา เดินเข้าประตูใหญ่ตำหนักหลีอ๋องไปพร้อมม่อซิวเหยา หางตาทันเห็นเฟิ่งจือเหยาที่ยืนหลบมุมหนึ่งที่ไม่สะดุดตา เห็นเขายืนยิ้มมองทั้งสามคนที่หน้าประตูแล้ว ช่างเป็นรอยยิ้มที่…น่าตีเสียจริง 


 


 


           เมื่อเข้ามาในตำหนักหลีอ๋อง เสียนเจาไท่เฟยมารอต้อนรับที่ห้องโถงใหญ่ด้วยตนเองเช่นกัน เมื่อเห็นม่อซิวเหยาเข้ามาพร้อมเยี่ยหลี สายตาของนางทอประกายขึ้นเล็กน้อย ก่อนยิ้มแล้วยืนขึ้นอย่างรวดเร็ว “งานเสกสมรสของหลีเอ๋อร์ ยากนักที่ซิวเหยาจะยอมมาร่วมงานด้วยตนเอง ช่างเป็นเกียรติแก่ตำหนักหลีอ๋องยิ่งนัก ดูซิวเหยากับชายาในอนาคตของเจ้าออกจะชอบพอกันไม่น้อย ไว้ถึงวันเสกสมรสของพวกเจ้า ข้าจะต้องส่งของขวัญชิ้นใหญ่ไปให้พวกเจ้าด้วยเป็นแน่”  


 


 


ม่อซิวเหยาพยักหน้าเล็กน้อย ใบหน้าครึ่งที่ไม่มีสิ่งใดปกปิดเต็มไปด้วยความเคารพและอ่อนโยน “ขอบพระทัยไท่เฟยที่ทรงดำริถึง ถึงเวลานั้นซิวเหยาจะรอรับเสด็จไท่เฟยและจิ่งหลีแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”  


 


 


เยี่ยหลียืนนิ่งเงียบอยู่ข้างม่อซิวเหยา มิได้เอ่ยประสมโรงใดๆ ไม่รู้เพราะเหตุใด นับแต่ได้พบหน้าเสียนเจาไท่เฟยคราวที่แล้ว ไท่เฟยที่ดูอ่อนโยนและใจดีท่านนี้ ทำให้นางรู้สึกว่าต้องระวังตัวขึ้นหลายส่วน 


 


 


           “ในนี้ไม่มีใครอื่น คุณหนูสามเชิญนั่งเถิด” ระหว่างที่เสียนเจาไท่เฟยสนทนากับม่อซิวเหยานั้น นางก็ยังไม่ลืมหันมาทักทายเยี่ยหลี  


 


 


เยี่ยหลีเอ่ยขอบพระทัยเบาๆ ก่อนนั่งลงที่เก้าอี้ข้างม่อซิวเหยา ทว่าโชคไม่ดีกลับเป็นเก้าอี้ตัวที่ตั้งอยู่ตรงข้ามม่อจิ่งหลีพอดี ไม่ต้องเงยหน้าขึ้นมองก็รับรู้ได้ว่าม่อจิ่งหลีส่งสายตาเจ็บแค้นมาให้ตน การที่ถูกคนจับจ้องภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ชวนให้เยี่ยหลีรู้สึกหัวเสียขึ้นหลายส่วน ผู้ที่กำลังจะเข้าพิธีวิวาห์สมควรจะยุ่งจนหัวหมุนมิใช่หรือ เหตุใดม่อจิ่งหลีถึงได้ว่างจนมีเวลามานั่งฟังคนเขาคุยกันอยู่ที่นี่ได้ 


 


 


           “เอ๊ะ จิ่งหลีเป็นกระไรไป เหตุใดถึงจ้องคุณหนูสามตระกูลเยี่ยไม่วางตาเช่นนั้น” เสียงแหลมบาดหูของสตรีนางหนึ่งในห้องโถงดังขึ้น  


 


 


เยี่ยหลีขมวดคิ้วหันไปมองเจ้าของเสียงนั้น ในห้องโถงนี้มีคนนั่งกันอยู่เพียงเจ็ดแปดคน แต่ผู้ที่จะมานั่งเป็นเพื่อนเสียนเจาไท่เฟยได้ย่อมมิใช่คนธรรมดา อย่างน้อยก็มิใช่คนที่บุตรสาวจากจวนเจ้ากรมอย่างเยี่ยหลีจะริอ่านล่วงเกินได้ ผู้ที่พูดนั้นกำลังเบิกนัยน์ตาเรียวมองสำรวจเยี่ยหลีอยู่เช่นกัน เจ้าของเสียงสวมชุดปักลายหงส์ทำจากผ้าไหมลายโบตั๋น ดูก็รู้ว่ามีฐานะไม่ธรรมดา เพียงถ้อยคำของนางประโยคเดียวสามารถทำให้ผู้คนที่กำลังให้ความสนใจม่อซิวเหยาหันมาสนใจเยี่ยหลีทันที สตรีนางนั้นไม่คิดปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไป นัยน์ตาคมรูปหงส์มีประกายเย็นเยียบ หัวเราะน้อยๆ แล้วกล่าวเสียงแหลมว่า “พูดไปพูดมาข้าก็ลืมไปเลยว่า คุณหนูสามตระกูลเยี่ยคืออดีตคู่หมั้นของจิ่งหลีมิใช่หรือ” 


 


 


           “สงสัยจิ่งหลีคงจะประหลาดใจกับเจ้าของตำแหน่งสตรีมากความสามารถอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวงเป็นแน่ ทุกท่านที่นั่งอยู่ที่นี่ก็ประหลาดใจเช่นเดียวกันมิใช่หรือ” ม่อซิวเหยาเอ่ยน้ำเสียงราบเรียบ ฟังดูนุ่มนวลไม่เจือความโกรธขึ้งใดๆ ทว่ากลับทำให้ทุกคนรู้สึกได้ว่าเขากำลังปกป้องคู่หมั้นของเขาอยู่  


 


 


           เยี่ยหลีก้มหน้าลง จ้องมองมือของตนที่ถูกมือใหญ่ที่ค่อนข้างเย็นเกาะกุมไว้ 


 


 


           “ติ้งอ๋องพูดถูกทีเดียว คุณหนูสามตระกูลเยี่ยช่างเหมาะกับคำว่าคมในฝักที่แท้จริง นึกย้อนไปแล้วเยี่ยฮูหยินก็เป็นคนนิ่งๆ เงียบๆ เช่นนี้เช่นกัน แต่ความสามารถและความฉลาดหลักแหลมของนาง พวกเรายังจำกันได้จนถึงทุกวันนี้” ฮูหยินผู้เฒ่าผมขาวที่นั่งเก้าอี้ตัวแรกสุดเอ่ยพร้อมหัวเราะเสียงใส สายตาที่มองเยี่ยหลีเต็มไปด้วยความเอื้อเอ็นดู  


 


 


เยี่ยหลียิ้มตอบน้อยๆ “ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวชมเกินไปแล้วเจ้าค่ะ ความสามารถของท่านแม่ เยี่ยหลีมิอาจเทียบเท่าได้ ขอเพียงได้อย่างท่านแม่เพียงหนึ่งหรือสองส่วนเยี่ยหลีก็พอใจแล้วเจ้าค่ะ”  


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าพยักหน้าด้วยความชื่นชม “ช่างเป็นเด็กสาวที่ถ่อนตนเสียจริง” 


 


 


           “ท่านนี้คือฮูหยินผู้เฒ่าแห่งจวนฮว่ากั๋วกง” ม่อซิวเหยาเอ่ยแนะนำให้เยี่ยหลีฟังเบาๆ 


 


 


           เยี่ยหลีถึงได้รู้ว่าที่แท้ท่านผู้นี้คือท่านย่าของเทียนเซียงนั่นเอง 


 


 


           จากนั้นม่อซิวเหยาค่อยๆ แนะนำทุกท่านที่นั่งอยู่ให้เยี่ยหลีรู้จักทีละคน เป็นไปอย่างที่นางคิดไว้หากมิใช่ขุนนางหรือภรรยาของขุนนางระดับสูงแล้ว ล้วนเป็นเชื้อพระวงศ์ด้วยกันทั้งสิ้น ส่วนสตรีในชุดผ้าไหมที่เอ่ยปากพูดเป็นคนแรกนั้นคือท่านน้าของหลีอ๋องกับฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน นามองค์หญิงเจาเหริน และเป็นมารดาบังเกิดเกล้าของท่านหญิงหรงหวา  


 


 


เมื่อนึกไปถึงท่าทางถือดีและไม่เห็นหัวผู้ใดของท่านหญิงหรงหวาในงานบุปผานานาพรรณวันนั้นแล้ว เยี่ยหลีก็ได้แต่ถอนใจแล้วคิดว่าสมกับเป็นแม่ลูกกันจริงๆ เพียงแต่นางไม่รู้ว่าที่องค์หญิงเจาเหรินดูเป็นปฏิปักษ์กับนางอย่างชัดเจนเช่นนี้ด้วยเรื่องอันใด คงมิใช่เพราะเรื่องของท่านหญิงหรงหวาหรอกกระมัง 


 


 


           ในขณะที่ม่อซิวเหยากำลังแนะนำผู้คนให้เยี่ยหลีรู้จักอยู่นั้น บรรดาคนที่นั่งอยู่ก็กำลังพิจารณาคุณหนูสามตระกูลเยี่ยที่ถูกหลีอ๋องถอนหมั้นแล้วถูกจับคู่กับติ้งอ๋องเงียบๆ ในใจ การที่ติ้งอ๋องพานางมาทำความรู้จักกับกลุ่มผู้ดีมีตระกูลและมีอิทธิพลมากที่สุดในต้าฉู่ด้วยตนเองเช่นนี้ บอกได้ทันทีว่าติ้งอ๋องให้ความสำคัญกับนางเพียงใด ดังนั้นนอกจากสีหน้าบูดบึ้งยิ่งกว่าเดิมของม่อจิ่งหลีแล้ว บรรยากาศในห้องโถงก็เป็นไปด้วยดีและมีไมตรีจิตต่อกัน 


43

   “เยี่ยหลี!” 


 


 


           ภายในสวนดอกไม้ตำหนักหลีอ๋อง ระหว่างที่ฮว่าเทียนเซียงเดินจูงมือเยี่ยหลีไปคุยไปอยู่นั้น อยู่ดีๆ ก็มีคนรูปร่างใหญ่โตคนหนึ่งพุ่งออกมาขวางทางไว้  


 


 


           “ท่านอ๋อง ไม่รู้ว่าท่านมีเรื่องอันใดหรือ?” ฮว่าเทียนเซียงเอาตัวขวางหน้าเยี่ยหลี เงยหน้าเรียวเล็กและงดงามของนางขึ้นถามม่อจิ่งหลี ตั้งแต่วันที่เกิดเรื่องที่ภัตตาคารฉู่เซียงเก๋อ ความรู้สึกดีๆ ที่ฮว่าเทียนเซียงมีต่อหลีอ๋องก็ลดลงฮวบฮาบลงจนใกล้จะติดลบเข้าไปทุกที เมื่อเห็นม่อจิ่งหลีปรากฏตัวข้างหน้าพวกตนด้วยใบหน้าที่ไม่เป็นมิตรแล้ว สัญชาตญาณนางบอกได้ทันทีเลยว่าเขาต้องการหาเรื่องเยี่ยหลี  


 


 


           ม่อจิ่งหลีขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ “ข้าไม่ได้อยากคุยกับเจ้า” ฮว่าเทียนเซียงตอบกลับอย่างไม่เกรงใจว่า “ยามนี้ท่านอ๋องสมควรต้อนรับแขกอยู่มิใช่หรือ ในสวนดอกไม้ยามนี้มีสุภาพสตรีจากจวนต่างๆ อยู่มากมาย หากท่านอ๋องมาอยู่เสียเช่นนี้จะเป็นการไม่สมควร ต่อให้ท่านอ๋องไม่สนใจชื่อเสียงของตน ก็ขอให้ท่านรักษาชื่อเสียงของผู้อื่นบ้างเถิด” 


 


 


           “ข้ามีเรื่องจะคุยกับเยี่ยหลี เจ้าหลบไป” ม่อจิ่งหลีตอบกลับอย่างรำคาญใจ 


 


 


           “ท่านมีอันใดก็รีบพูดมาเถิด หลีเอ๋อร์นางได้ยินที่ท่านพูด” ฮว่าเทียนเซียงตอบ 


 


 


           ม่อจิ่งหลีหรี่ตาลงอย่างคุกคาม “ข้าบอกให้หลบไป!” 


 


 


           ฮว่าเทียนเซียงกำลังจะพูดต่อ แต่ถูกเยี่ยหลีจับเอาไว้ก่อน “เทียนเซียง เจ้าไปดูว่าพวกมู่หรงมากันหรือยังก่อนแล้วกัน อีกประเดี๋ยวข้าตามไป” 


 


 


           “แต่ว่า…” ฮว่าเทียนเซียงส่งสายตาไปทางม่อจิ่งหลีอย่างเป็นกังวล  


 


 


เยี่ยหลียิ้ม “วางใจเถิด พอซิวเหยาคุยกับฮว่าฮูหยินผู้เฒ่าเสร็จแล้วเขาจะมาหาข้าเอง”  


 


 


ครั้นฮว่าเทียนเซียงได้ยินเช่นนี้ ก็กะพริบตาใส่เยี่ยหลีอย่างล้อเลียน พร้อมหยอกนางว่า “ซิว…เหยาหรือ…ดี ดี เช่นนั้นข้าไปหามู่หรงก่อนนะ เจ้า…ระวังตัวด้วย” พูดจบยังได้หันไปถลึงตาขู่ม่อจิ่งหลีด้วยเสียอีกทีหนึ่ง ก่อนหันมาโบกมือให้เยี่ยหลีแล้วหมุนตัวเดินจากไป  


 


 


เมื่อเห็นท่าทีคล้ายเด็กของฮว่าเทียนเซียงแล้ว ในใจเยี่ยหลีรู้สึกทั้งขบขันทั้งขอบคุณนาง ฮว่าเทียนเซียงเป็นคุณหนูที่รู้ว่าอะไรควรไม่ควร หากมิใช่เพื่อปกป้องตนแล้ว นางไม่มีทางแสดงท่าทีก้าวร้าวต่อม่อจิ่งหลีเช่นนั้นแน่นอน  


 


 


สีหน้าบึ้งตึงของม่อจิ่งหลีขณะที่มองฮว่าเทียนเซียงเดินจากไปนั้นบูดบึ้งเสียจนแทบจะรีดน้ำหมึกออกมาได้อยู่แล้ว 


 


 


           รอจนร่างของฮว่าเทียนเซียงลับหายไปที่มุมหนึ่งของสวนดอกไม้ เยี่ยหลีจึงหุบรอยยิ้มบนใบหน้าของตนลงแล้วหมุนตัวไปเผชิญหน้ากับม่อจิ่งหลี “ท่านอ๋องมีเรื่องอันใดจะพูดหรือ” 


 


 


           “เยี่ยหลี เจ้านี่ใช้ได้เลยนะ!” ม่อจิ่งหลีกัดฟันพูด 


 


 


           เยี่ยหลีมองสำรวจม่อจิ่งหลีหัวจรดเท้ารอบหนึ่ง น้ำเสียงยังคงนุ่มนวลเช่นเดิม “ข้าไม่เข้าใจว่าท่านอ๋องพูดเรื่องอันใด” 


 


 


           “เหอะ! เรื่องเมื่อคืนเจ้าคิดว่าข้าจะปล่อยผ่านไปเช่นนี้หรือ” ม่อจิ่งหลีมองจ้องเยี่ยหลีพร้อมยิ้มอย่างมาดร้าย 


 


 


           “ข้าคิดว่า…ท่านอ๋องไม่มีสิทธิ์พูดเช่นนั้นเสียมากกว่า” เป็นเขาที่จ้างคนให้มาลักพาตัวนางไปทำมิดีมิร้าย แต่ยามนี้กลับทำเหมือนเป็นนางที่ทำผิดต่อเขาเสียอย่างนั้น โลกนี้นี่มันอันใดกัน เยี่ยหลีอดนึกสงสัยไม่ได้ 


 


 


           “หรือเจ้าคิดอยากแก้แค้นข้า” ม่อจิ่งหลีเอ่ยวาจาเย้ยหยัน 


 


 


           เรื่องนั้นไม่จำเป็นหรอก มิใช่เรื่องใหญ่อันใดเพราะข้าแก้แค้นไปตั้งแต่ตอนที่เกิดเรื่องแล้ว “หากท่านอ๋องไม่มีเรื่องอื่น เยี่ยหลีขอตัวก่อน” 


 


 


           “หยุดนะ!” ม่อจิ่งหลีพูดด้วยความโกรธขึ้ง เขาจับมือเยี่ยหลีพลางผลักนางไปหลังภูเขาจำลอง  


 


 


           เยี่ยหลีหลุบตาลงมองมือที่จับข้อมือของตนอยู่ด้วยสีหน้าไม่พอใจ “ท่านอ๋อง ท่านช่วยระวังกิริยาด้วย!” 


 


 


           “ระวังกิริยาหรือ” ม่อจิ่งหลียิ้มอย่างไม่ใส่ใจ “เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใคร ก็แค่สตรีที่ข้าไม่ต้องการ เจ้าคิดว่าแค่เจ้าแต่งกับม่อซิวเหยาก็ดีแล้วเช่นนั้นหรือ เจ้าว่า…หากยามนี้มีใครผ่านมาเห็นเข้า เจ้าจะยังมีหน้าแต่งกับม่อซิวเหยาหรือไม่ หรือจะพูดอีกอย่างก็คือ แม้แต่คนไร้สมรรถภาพอย่างม่อซิวเหยาก็คงนึกรังเกียจเจ้าเช่นกันกระมัง” 


 


 


           นัยน์ตาใสกระจ่างที่เปิดอยู่ครึ่งหนึ่งมีแววมุ่งร้าย “ท่านอ๋อง ท่านโปรดปล่อยข้าด้วย” 


 


 


           “ข้าไม่ปล่อยแล้วเจ้าจะทำไม” ม่อจิ่งหลียิ้มอย่างมุ่งร้าย สายตาที่มองสตรีแบบบางตรงหน้าราวสายตาที่กำลังมองนกตัวน้อยที่ถูกขังอยู่ในกรง ทว่าน่าเสียดายที่เขาไม่รู้ว่า สตรีตรงหน้าที่ดูอ่อนแอและแบบบางผู้นี้ ภายในคือนกเหยี่ยวที่สามารถจิกกัดคนได้  


 


 


มุมปากของเยี่ยหลียกขึ้นเล็กน้อย “จะทำไมหรือ จะทำเช่นนี้อย่างไร!” มืออีกข้างที่เป็นอิสระอยู่คว้าเข้าที่แขนของม่อจิ่งหลีอย่างรวดเร็ว ออกแรงเพียงเล็กน้อยก็สร้างความเจ็บปวดให้เจ้าของแขนได้อย่างล้นเหลือ ม่อจิ่งหลียังไม่ทันตั้งตัวก็ถูกคนจับทุ่มลงไปกองกับพื้นเสียแล้ว โชคร้ายไปกว่านั้นคือที่ที่ทั้งสองคนยืนอยู่นั้นเป็นตีนภูเขาจำลอง ท้ายทอยของม่อจิ่งหลีจึงกระแทกเข้ากับตีนภูเขาจำลองจนหมดสติไป  


 


 


เยี่ยหลีมิได้คาดคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น จึงหยุดมือที่หมายจะโจมตีต่อลงทันที นางโน้มตัวลงไปสำรวจสภาพของม่อจิ่งหลี เมื่อเห็นว่ามิได้มีอันตรายร้ายแรงใดจึงยืดตัวขึ้น ก่อนยกเท้าขึ้นเตะม่อจิ่งหลีสองสามทีเพื่อระบายความโกรธของตน อาชีพเก่าของนางทำให้นางคุ้นเคยกับกายภาพของร่างกายมนุษย์เป็นอย่างดี นางรู้ดีว่าจะทำให้คนคนหนึ่งเจ็บปวดอย่างมากโดยที่ไม่ทิ้งร่องรอยไว้ได้อย่างไร 


 


 


ครั้นนางพอระงับความโกรธของตนได้แล้ว เยี่ยหลีก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ การที่นางทำหลีอ๋องสลบในตำหนักหลีอ๋องเช่นนี้ช่างไม่ใช่เรื่องดีเอาเสียเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งวันนี้เป็นวันเสกสมรสของหลีอ๋อง ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นเรื่องยากที่จะอธิบาย เยี่ยหลีเหลือบมองใครบางคนที่สลบเหมือดอยู่กับพื้น ก่อนก้าวข้ามสิ่งกีดขวางนั้นออกไปราวไม่มีอะไรเกิดขึ้น 


 


 


เมื่อออกมาจากภูเขาจำลอง เดินเลี้ยวโค้งมาอีกสองโค้งก็เห็นฮว่าเทียนเซียงและมู่หรงถิงเดินเข้ามาพร้อมกันด้วยสีหน้าเป็นกังวล เมื่อเห็นเยี่ยหลีเดินมาก็รีบเดินเข้าไปหาทันที “อาหลี เจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่ หลีอ๋องทำอะไรเจ้าหรือไม่” มู่หรงถิงรีบร้อนเข้ามาจับมือเยี่ยหลี 


 


 


เยี่ยหลียิ้ม “เจ้าก็เห็นว่าข้าปลอดภัยดีมิใช่หรือ กลางวันแสกๆ เช่นนี้เขาจะกล้าทำอันใดข้า” 


 


 


           มู่หรงถิงหัวเราะเขินๆ “ข้าคิดไปไกลเอง แต่อย่างไรเจ้าห่างๆ หลีอ๋องไว้หน่อยก็ดีนะ” 


 


 


           ฮว่าเทียนเซียงพยักหน้าอย่างเห็นด้วย ก่อนเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย “เหตุใดพวกเจ้าคุยกันเสร็จเร็วนักเล่า” 


 


 


           เยี่ยหลีคลายมือออกจากกัน “อันที่จริงก็มิได้มีเรื่องอันใดต้องคุยกันอยู่แล้ว” 


 


 


           “อย่าพูดถึงคนที่ทำให้เสียอารมณ์พรรค์นั้นเลย พวกเราไปนั่งจิบชากันดีกว่า น่าอิจฉาเจิงเอ๋อร์จริงๆ ใต้เท้าฉินไม่เคยบังคับนางให้ไปงานที่นางไม่อยากไปเลย” 


 


 


           จากนั้นพิธีเสกสมรสก็เริ่มพิธีตามกำหนดเวลา งานวิวาห์ที่เต็มไปด้วยความประดักประเดิดจากการที่เจ้าบ่าวไปรับตัวเจ้าสาวไม่ทันฤกษ์มงคล ดูคล้ายจะคาดหวังตอนจบที่งดงามได้ ทว่านั่นต้องมองข้ามสีหน้าหลีอ๋องที่ดูเหมือนไปร่วมงานศพมากกว่างานแต่งให้ได้เสียก่อนนะ 


 


 


           เยี่ยหลีที่นั่งข้างฮว่าเทียนเซียงสบตากับม่อซิวเหยาที่มีแววขบขัน จากนั้นเขาเลื่อนสายตาไปยังม่อจิ่งหลีที่กำลังเดินถือผ้าแดงผูกปมคู่กับเยี่ยอิ๋งเข้ามา ดวงตายิ่งมีแววขบขันมากขึ้นอีก ดูเหมือนทันใดนั้นเองเยี่ยหลีรู้ทันทีว่าม่อซิวเหยารู้ถึงเรื่องที่เกิดขึ้นกับม่อจิ่งหลีเมื่อช่วงบ่ายแล้ว ทว่าเมื่อเยี่ยหลีเห็นสายตาของม่อซิวเหยา นางกลับรู้สึกว่าเรื่องราวทั้งหลายคงยังไม่จบลงเพียงเท่านี้ 


 


 


           ดังนั้นเมื่อพิธีดำเนินไปได้ครึ่งทาง เจ้าพิธีกำลังขานให้สามีภรรยาทั้งสองทำความเคารพซึ่งกันและกัน ยามนั้นเองก็ได้ยินเสียงดังโครมพร้อมกับร่างของเจ้าบ่าวฟุบลงกับพื้น เยี่ยหลีไม่ตกใจเลยแม้แต่น้อย แต่กลับรู้สึกว่าที่แท้ก็เรื่องนี้เอง ในยามนั้นเยี่ยหลีนึกมั่นใจทันทีว่าม่อจิ่งหลีคงไม่อยากจัดพิธีวิวาห์อีกเลยตลอดชีวิตนี้ ผู้ใดก็ตามที่ก่อนและหลังงานวิวาห์ไม่ถึงสิบสองชั่วยามดีกลับเป็นลมล้มพับไปถึงสามครั้งเช่นนั้น คงจะรู้สึกระแวงในการจัดงานวิวาห์อย่างแน่นอน 


 


 


           “เหตุใด…เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้” มู่หรงถิงตกใจจนถึงกับเหวอไป 


 


 


           ฮว่าเทียนเซียงเองก็ตาโตอ้าปากค้างอยู่เช่นกัน “นี่มัน…” นางเองก็ไม่รู้จะพูดเช่นใดดี ว่าตามจริงนางเริ่มสงสารเยี่ยอิ๋งเข้าเสียแล้ว มารับตัวเจ้าสาวยามเลยฤกษ์มงคลไปแล้วก็ช่างเถิด นี่เจ้าบ่าวมาเป็นลมระหว่างพิธีเสกสมรสอีก… 


 


 


           “เฮ้อ…อาหลี สุขภาพของหลีอ๋องช่างอ่อนแอเหลือเกิน โชคยังดี…” 


 


 


           ทุกคนในงานต่างพากันตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เสียนเจาไท่เฟยตั้งสติได้ก่อนจึงรีบสั่งให้คนนำตัวเจ้าบ่าวไปส่งยังห้องหอ อีกด้านก็ให้คนไปเชิญหมอหลวงมาดูอาการ ถึงเจ้าบ่าวจะเป็นลมไปแล้ว แต่งานเลี้ยงยังคงดำเนินต่อไป เพียงแต่แขกเหรื่อทั้งหลายต่างกินอาหารกันอย่างไม่รู้รสแล้ว บรรดาฮูหยินต่างพากันคาดเดาถึงสาเหตุของการเป็นลมของหลีอ๋อง ในใจคิดว่าวันพรุ่งในเมืองหลวงคงจะมีข่าวใหม่ล่าสุดให้ได้พูดถึงกันอย่างครึกโครมเป็นแน่ 


 


 


           เยี่ยหลีนึกประมวลผลต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากการที่ตนทำให้ม่อจิ่งหลีเป็นลมไปเมื่อยามบ่ายวันนี้ ครั้นเห็นว่าผลของมันมิได้ร้ายแรงอันใดจึงวางใจเพลิดเพลินไปกับอาหารรสเลิศกับฮว่าเทียนเซียงและมู่หรงถิง ก่อนสายตาจะเหลือบไปเห็นใครบางคนที่นั่งยิ้มระรื่นอยู่ที่มุมหนึ่งซึ่งไม่สะดุดตาคน และคนผู้นั้นยกจอกสุราส่งมาทางตน นางจึงพยักหน้าน้อยๆ เป็นการตอบรับ พิธีเสกสมรสครานี้…สนุกจริงๆ ด้วย 


44

    “คุณหนู ฮูหยินมาเจ้าค่ะ” 


 


 


           ภายในเรือนชิงอี้เซวียนที่ตกแต่งอย่างโอ่อ่าและดูสบายตา ชิงสยาเดินเข้ามารายงานขณะที่เยี่ยหลีกำลังนั่งทิ่มๆ แทงๆ เข็มกับด้ายลงบนผ้าในมือ 


 


 


           เยี่ยหลีวางผ้าปักในมือลงก่อนเงยหน้าขึ้น “เหตุใดนางจึงว่างมาที่นี่ได้อีก”  


 


 


นับแต่เกิดเรื่องวุ่นวายในงานแต่งงานของเยี่ยหลีเมื่อสองวันก่อน หวังซื่อก็ยุ่งจนหัวหมุนไปหมด สองวันมานี้ยังมีข่าวเรื่องเด็กในท้องจ้าวอี๋เหนียงมีชะตาไม่ต้องกับเยี่ยอิ๋งและเยี่ยหรงเสียอีก ทำให้นางเป็นเดือดเป็นร้อนหนักขึ้น  


 


 


เจ้ากรมเยี่ยเองก็ลำบากใจไม่น้อย ด้วยด้านหนึ่งก็เป็นบุตรสาวที่เพิ่งกลายเป็นชายาหลีอ๋องกับบุตรชายเพียงคนเดียว อีกด้านหนึ่งก็เป็นอนุที่ตนโปรดปรานเป็นที่สุดกับบุตรชายในครรภ์ ผู้ใดสำคัญกว่ากันนั้นเจ้ากรมเยี่ยย่อมรู้ดีแก่ใจ เพียงแต่เมื่อเห็นจ้าวอี๋เหนียงร่ำไห้น้ำตาเป็นสายเลือดเช่นนั้น ก็อดเห็นใจมิได้ ทั้งยังมิอาจตัดใจให้ขาด มิหนำซ้ำวันรุ่งขึ้นหลังจากเยี่ยอิ๋งแต่งงาน ระหว่างที่เยี่ยหรงนั่งรถม้ากลับไปยังสำนักศึกษาก็เกิดตกใจขึ้นมาจนถึงขั้นนอนซมไปถึงสองวัน ทำให้หวังซื่อยิ่งคร่ำครวญหนักเข้าไปอีก 


 


 


           หวังซื่อเดินเข้ามาด้วยใบหน้าที่เป็นมิตรอย่างน้อยครั้งนักจะได้พบเห็น น่าเสียดายก็เพียงเยี่ยหลีมิใช่ลูกของอนุเล็กๆ ที่ต้องคอยสังเกตสีหน้าของนาง และนางก็มิใช่เด็กน้อยผู้น่าสงสารที่ไม่เข้าใจเรื่องเข้าใจเรื่องราวอันใด นางจึงเพียงลุกขึ้นทำความเคารพพอเป็นพิธีเท่านั้น “น้องสี่จะกลับบ้านครั้งแรกหลังแต่งงาน แล้วเหตุใดฮูหยินจึงมีเวลามาที่นี่ได้”  


 


 


ใบหน้าหวังซื่อแต่งแต้มด้วยรอยยิ้มที่นางคิดว่าเป็นมิตรที่สุด “ตำหนักติ้งอ๋องเลือกวันได้แล้วและจะนำของมาหมั้นหมายในอีกสองวันนี้ วันแต่งงานของหลีเอ๋อร์ใกล้เข้ามาทุกที ข้าจึงมาดูว่ายังมีอันใดที่ยังจัดเตรียมไม่เรียบร้อยหรือไม่” 


 


 


           เยี่ยหลีเชิญหวังซื่อให้นั่งลง “หลินหมัวมัวกับแม่นมคอยช่วยดูแลจัดการให้อยู่ ท่านน้าสะใภ้และท่านอาสะใภ้ก็ได้มาช่วยตรวจดูอยู่หลายรอบ ไม่น่ามีปัญหาอันใด ลำบากฮูหยินต้องเป็นห่วงแล้ว” 


 


 


           รอยยิ้มบนใบหน้าของหวังซื่อหุบลงทันที สำหรับนางแล้วคำพูดของเยี่ยหลีเหมือนเป็นการติติงว่านางไม่ทำหน้าของแม่ใหญ่อย่างไรอย่างนั้น แต่อันที่จริงเยี่ยหลีมิได้มีเจตนาจะสื่อความเช่นนั้นเลย เพราะสำหรับนางแล้ว นางไม่คิดว่าหวังซื่อมีหน้าที่มาคอยจัดการเรื่องการแต่งงานให้ตนแม้แต่น้อย ขอเพียงไม่ทำให้กันและกันเสียหน้านางก็พอใจแล้ว 


 


 


           “อันที่จริง…ที่ข้ามาวันนี้ด้วยมีเรื่องอยากปรึกษาหลีเอ๋อร์สักหน่อย” หวังซื่อรีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติโดยเร็ว ก่อนหันมองเยี่ยหลีด้วยความกระตือรือร้น 


 


 


           คิ้วเรียวของเยี่ยหลีเลิกขึ้นเล็กน้อย สบตาหวังซื่อด้วยความสงสัย 


 


 


           หวังซื่อถอนหายใจยาว “หลีเอ๋อร์คงได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นในสองสามวันนี้บ้างแล้ว นั่นมิใช่เพราะคนที่เป็นภรรยาเอกและเป็นแม่ใหญ่อย่างข้าไม่อยากผ่อนปรน แต่บุตรของจ้าวซื่อนั่นมีชะตาชงกับลูกๆ สายหลักของตระกูลเยี่ยจริงๆ วันก่อนข้าไปขอให้ไต้ซือวัดสุ่ยอวิ๋นช่วยตรวจดู ท่านว่าชาติก่อนบุตรของจ้าวซื่อมีความแค้นกับตระกูลของพวกเรา เกิดมาก็เพื่อทำลายตระกูลเยี่ยของพวกเรา เจ้าว่า…นับแต่มีข่าวเรื่องนางตั้งครรภ์ บ้านของพวกเราก็มีแต่เรื่อง แต่นายท่านก็ยังปกป้องนางอยู่…” 


 


 


           เยี่ยหลีรับฟังหวังซื่อพร่ำบ่นเรื่องที่นางไม่พอใจจ้าวซื่อและเจ้ากรมเยี่ยด้วยท่าทีสงบนิ่ง หวังซื่อตั้งใจพูดเรื่องบุตรของจ้าวซื่อมีชะตาไม่ต้องกับลูกหลานสายหลักของตระกูลเยี่ย หากพูดถึงลูกสายหลักแล้ว จะมีผู้ใดที่เป็นลูกสายหลักโดยแท้จริงไปกว่าเยี่ยหลีอีกหรือ หากนางมิได้รู้อยู่แล้วและไม่เชื่อเรื่องเหล่านี้ เป็นคนอื่นเมื่อเห็นเยี่ยอิ๋งแต่งงานไปแล้วโชคไม่ดีเช่นนี้ คงนึกเกลียดจ้าวซื่อและบุตรในท้องของนางไม่น้อย 


 


 


           “ฮูหยินหมายความว่าอย่างไรหรือ ไม่ว่าอย่างไรเด็กคนนั้นก็เป็นสายเลือดตระกูลเยี่ย และเป็นน้องแท้ๆ ของหลีเอ๋อร์ ท่านพ่อย่อมต้องรักใคร่เป็นธรรมดา” เยี่ยหลีโยนคำถามกลับไปให้หวังซื่ออย่างนิ่มนวล หากมิใช่เพราะจ้าวซื่อระวังตัวอย่างดีจนหวังซื่อหาโอกาสลงมือไม่ได้ นางจะมาปรึกษาตนถึงที่นี่ได้อย่างไร หากเยี่ยหลีตกหลุมพรางช่วยนางออกความเห็น แล้วหากเกิดอันใดขึ้นในภายหลัง นางคงต้องรับน้ำเน่านั้นมาไว้กับตัวอย่างไม่ต้องสงสัย  


 


 


           หวังซื่ออึ้งไป กัดฟันฝืนยิ้ม “ไม่ว่าอย่างไร เกรงว่าเด็กนั่น…เรื่องอิ๋งเอ๋อร์ทำให้ตระกูลเยี่ยแทบไม่เหลือหน้าเหลือตาแล้ว หากงานแต่งงานของหลีเอ๋อร์เกิดเรื่องใดขึ้นอีก หน้าตาของตระกูลเราคงไม่เหลือแล้วจริงๆ” 


 


 


           เยี่ยหลีก้มหน้าลงพร้อมยิ้มน้อยๆ “เรื่องนี้ข้าคงมิอาจให้ความเห็นได้ ฮูหยินไปปรึกษาท่านพ่อและท่านย่าจะดีกว่า เกิดเป็นลูกผู้หญิง เมื่อแต่งงานออกไปต้องเชื่อฟังสามี อีกอย่าง…งานแต่งงานของหลีเอ๋อร์ก็มิมีเรื่องหน้าตาให้ต้องพูดถึง” เมื่อแต่งงานออกเรือนไปก็ต้องเปลี่ยนไปใช้แซ่ม่อ ต่อให้เด็กคนนั้นชะตาเป็นภัยต่อใครจริง ก็ต้องเป็นคนที่ยังใช้แซ่เยี่ยอยู่มิใช่หรือ 


 


 


           เมื่อเห็นเยี่ยหลีนิ่งเป็นทองไม่รู้ร้อนเช่นนี้ หวังซื่อจึงรู้ทันทีว่าเรื่องคงไม่เป็นอย่างที่นางหวังไว้ นางจึงแกล้งทำทีพูดปลอบใจเยี่ยหลีเล็กน้อย ก่อนกำผ้าเช็ดหน้าในมือแน่นเสียจนแทบเสียรูปแล้วเดินจากไป 


 


 


           “คุณหนู หวังซื่อคนนี้ช่างร้ายกาจนัก คุณหนูอย่าตกหลุมพรางนางเข้าเชียวนะเจ้าคะ” เมื่อลับร่างหวังซื่อ หลินหมัวมัวและเว่ยหมัวมัวก็รีบเดินออกมาจากห้องด้านในทันที ก่อนเว่ยหมัวมัวจะพูดด้วยความโกรธ 


 


 


           เยี่ยหลีเลิกคิ้วขึ้นพลางยิ้ม “แม่นมมองเจตนาของนางออกหรือ” 


 


 


           เว่ยหมัวมัวตอบ “จะมีเรื่องอันใดอีกเล่าเจ้าคะ ตัวนางคิดอยากทำร้ายจ้าวอี๋เหนียง แต่กลับลากคุณหนูให้มาช่วยออกหน้า หากคุณหนูเป็นคนหูเบาเชื่อตามที่นางพูดเข้าจริง อีกหน่อยคงได้พูดกันว่าบุตรสาวเข้าไปยุ่มย่ามกับเรื่องในเรือนของบิดา ปฏิบัติต่อภรรยารองและบุตรภรรยารองอย่างไร้ศีลธรรมและไร้เมตตาธรรม มีแต่จะทำลายชื่อเสียงของคุณหนูนะเจ้าคะ”  


 


 


หลินหมัวมัวอมยิ้มก่อนพูดปลอบเว่ยหมัวมัวว่า “น้องอย่าเพิ่งร้อนใจไป ข้าเห็นว่าลึกๆ คุณหนูทราบดีว่าต้องทำอย่างไร”  


 


 


เยี่ยหลีพยักหน้า “หวังซื่อไม่มีทางปล่อยจ้าวอี๋เหนียงไปแน่นอน เพียงแต่ช่วงนี้เรื่องในจวนมากนัก นางคงยังหาโอกาสลงมือมิได้เท่านั้น”  


 


 


หลินหมัวมัวดูมีความกังวลในใจ “ความหมายของคุณหนูคือจะช่วยจ้าวอี๋เหนียงคนนั้นหรือเจ้าคะ”  


 


 


เยี่ยหลีส่ายหน้า “จะเรียกว่าช่วยคงมิได้ เรียกว่าต่างคนต่างได้ประโยชน์จะดีกว่า ช่วงที่ผ่านมาจ้าวอี๋เหนียงก็ช่วยข้าไว้ไม่น้อย อีกอย่าง ข้าเห็นว่าฮูหยินอบรมสั่งสอนหรงเอ๋อร์จนเขาไม่ค่อยได้เรื่องได้ราวเท่าไร ถึงอย่างไรอีกหน่อยตระกูลเยี่ยก็ยังต้องมีคนคอยจุดธูปกราบไหว้”  


 


 


หลินหมัวมัวเอ่ยต่อว่า “เกรงว่าอีกหน่อยจ้าวอี๋เหนียงจะคิดการณ์ใหญ่น่ะสิเจ้าคะ” 


 


 


           เยี่ยหลียิ้มพลางโบกมือ “หากนางเป็นคนฉลาดจริงคงรู้ว่าข้ากับนางไม่มีผลประโยชน์ที่ขัดต่อกัน” 


 


 


           หลินหมัวมัวหยุดคิดเล็กน้อยก่อนยิ้มออก “คุณหนูช่างคิดได้รอบคอบจริงเจ้าค่ะ บ่าวคิดมากไปเอง” 


 


 


           เยี่ยหลีอมยิ้มพร้อมส่ายหน้า “ข้าอายุยังน้อย ย่อมมีเรื่องที่ข้าคิดไปไม่ถึง อีกหน่อยคงต้องให้หมัวมัวและแม่นมคอยช่วยเอ่ยเตือนด้วย” 


 


 


           เย็นวันนั้น ไม่รู้ว่าหวังซื่อไปพูดอีท่าไหนจนเจ้ากรมเยี่ยยินยอมให้ส่งจ้าวอี๋เหนียงกลับไปอยู่บ้านเดิมตระกูลเยี่ย แน่นอนว่าจ้าวอี๋เหนียงร้องไห้อ้อนวอนอยู่พักใหญ่ อี๋เหนียงอีกสองสามคนที่เหลืออยู่ในจวนเมื่อเห็นท่าทีคร่ำครวญของจ้าวอี๋เหนียงเช่นนี้ต่างก็รู้สึกทนดูไม่ได้ ด้วยรู้ดีว่าบ้านเดิมของตระกูลเยี่ยมิใช่เรือนหลังโตที่มีอันจะกินอะไร มิหนำซ้ำยังเป็นเรือนที่อยู่ในเขตปิ้งโจวใกล้ชายแดนทางตะวันตกเฉียงใต้ของต้าฉู่ ที่ไม่เพียงเป็นพื้นที่แร้นแค้น ทว่ายังอยู่ห่างไกลจากเมืองหลวงเป็นพันลี้อีกด้วย นับแต่เจ้ากรมเยี่ยเข้ามารับตำแหน่งในเมืองหลวงและรับฮูหยินผู้เฒ่ามาอยู่ด้วยกันเป็นต้นมา ตระกูลเยี่ยก็ไม่เคยกลับบ้านเดิมอีกเลย  


 


 


หลายปีก่อนแม้แต่โถงบรรพบุรุษก็ย้ายมาอยู่ที่จวนในเมืองหลวงเช่นกัน ดังนั้นที่ปิ้งโจวจึงเหลือเพียงเรือนหลังเก่ากับที่ดินอีกเล็กน้อยให้คนของตระกูลคอยดูแลเท่านั้น อย่าว่าแต่เรื่องจ้าวอี๋เหนียงกลับไปแล้วจะได้อยู่อย่างสุขสบายหรือไม่เลย แค่นางเดินทางไปทั้งๆ ที่ตั้งครรภ์อย่างนี้จะเอาชีวิตรอดได้หรือไม่นับเป็นบททดสอบหนึ่งแล้ว 


 


 


           สีหน้าเจ้ากรมเยี่ยเองก็ดูอดรนทนไม่ได้เช่นกัน แต่ไม่ว่าจะเห็นอนุแสนรักคนนี้ร่ำไห้อ้อนวอนอย่างไรก็ยังไม่ยอมใจอ่อน  


 


 


เยี่ยหลีมองสีหน้าของจ้าวอี๋เหนียงที่ค่อยๆ เปลี่ยนจากเสียใจเป็นหมดหวังนิ่งๆ ถึงแม้นางจะมีความสามารถด้านการเล่นละครอยู่บ้าง แต่ก็ยังมีความจริงใจอยู่ลึกๆ ความไร้เยื่อไยของเจ้ากรมเยี่ยคงทำให้จ้าวอี๋เหนียงปวดใจไม่น้อยทีเดียว 


 


 


           “ท่านพ่อ” เมื่อเยี่ยหลีเห็นนางคร่ำครวญมาพอสมควรแล้ว จึงเริ่มเอ่ยปาก “เรื่องที่ปิ้งโจวอยู่ห่างไกลออกไปเท่าไรยังไม่ต้องพูดถึง แต่เส้นทางที่ต้องเดินทางไปนั้นยากลำบากนัก แม้แต่คนปกติทั่วไปเองก็ใช่ว่าจะรับไหว แล้วยิ่งจ้าวอี๋เหนียงกำลังตั้งครรภ์เช่นนี้” 


 


 


           สีหน้าเจ้ากรมเยี่ยเปลี่ยนไปเล็กน้อย หันมองทางเยี่ยหลีแล้วกล่าวว่า “เช่นนั้นหลีเอ๋อร์มีความเห็นอย่างไร” 


 


 


           เยี่ยหลีหลุบตาลงเล็กน้อย “ในเมื่อฮูหยินตั้งใจส่งจ้าวอี๋เหนียงไปอยู่นอกเมือง แล้วเหตุใดจำเพาะจะต้องเป็นที่ปิ้งโจวเล่าเจ้าคะ หากระหว่างทางเกิดเหตุอันใดขึ้น…ยามนี้เจาอี๋ทรงพระครรภ์โอรสของฮ่องเต้อยู่ด้วย พวกเราสมควรช่วยนางสั่งสมบุญถึงจะถูกนะเจ้าคะ” 


 


 


           หวังซื่อหน้าซีดลงทันที ในใจโกรธจนอกแทบแตก เหตุใดเยี่ยหลีจึงหาว่าตนตั้งใจ ซ้ำยังพูดจาแช่งบุตรสาวหัวแก้วหัวแหวนกับหลานของนางอีก 


 


 


           เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าขมวดคิ้วมุ่น “เช่นนั้นหลีเอ๋อร์เห็นว่าเป็นที่ใดจึงเหมาะหรือ” 


 


 


           เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ “เรื่องโชคชะตานั้นถึงแม้มิอาจไม่เชื่อ แต่ก็มิอาจเชื่อได้ทั้งหมด เพราะไม่ว่าอย่างไรบุตรในท้องของจ้าวอี๋เหนียงก็เป็นลูกหลานตระกูลเยี่ยของพวกเรา หากผู้อื่นรู้เข้าคงหาว่าตระกูลเยี่ยไม่ไยดีเลือดเนื้อเชื้อไขของตน ส่วนเรื่องจะให้จ้าวอี๋เหนียงไปอยู่ที่ใดนั้น ท่านพ่อกับท่านย่าคงใคร่ครวญกันไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ” 


 


 


           เจ้ากรมเยี่ยมองเยี่ยหลีด้วยท่าทีตรึกตรอง ก่อนเอ่ยถามเสมือนถามความเห็นว่า “ตระกูลเรามีเรือนหลังเล็กอยู่ที่อวิ๋นโจวหลังหนึ่ง อากาศที่อวิ๋นโจวก็ดีต่อสุขภาพ เช่นนั้นส่งจ้าวอี๋เหนียงไปอยู่ที่อวิ๋นโจวเจ้าว่าอย่างไร?” 


 


 


           “สุดแล้วแต่ท่านพ่อกับท่านย่าเจ้าค่ะ” 


 


 


           เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่ามองจ้าวอี๋เหนียงอย่างใคร่ครวญอยู่พักหนึ่ง ก่อนหันมายิ้มให้เยี่ยหลี “ที่ท่านพ่อเจ้าว่านั้นไม่เลวเลย อวิ๋นโจวเป็นสถานที่ที่อุดมไปด้วยความรู้ ผลิตบัณฑิตออกมาไม่น้อย ไม่แน่ว่าอาจช่วยบรรเทาชะตาของเด็กคนนี้ได้” 


 


 


           เยี่ยหลีตอบรับด้วยความเคารพ “ท่านย่าพูดถูกเจ้าค่ะ ขอเพียงตระกูลเยี่ยดี พวกเราก็จะพลอยดีไปด้วยมิใช่หรือเจ้าคะ” ชะตาหรือ เด็กที่ยังไม่ทันได้เกิดจะมีชะตาได้อย่างไรกัน 


 


 


           เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าพยักหน้าด้วยความพอใจ เอ่ยชมเยี่ยหลีที่มองการณ์ไกล “หลีเอ๋อร์ช่างรู้เรื่องรู้ราวดีจริง เมื่อเป็นเช่นนี้เรื่องนี้ก็จัดการตามนี้แล้วกัน” 


 


 


           จ้าวอี๋เหนียงที่คุกเข่าอยู่กลางห้องโถงหันไปมองใบหน้าไม่สบอารมณ์ของหวังซื่อปราดหนึ่ง ก่อนหันไปคารวะเยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าด้วยความเคารพ “บ่าวขอบพระคุณที่ฮูหยินผู้เฒ่ากรุณาเจ้าค่ะ ขอบพระคุณนายท่านและคุณหนูสามที่กรุณาเจ้าค่ะ” 


 


 


           เยี่ยหลียิ้มเล็กน้อย “จ้าวอี๋เหนียงรีบลุกขึ้นเถิด นี่เป็นความกรุณาของท่านย่าและท่านพ่อเท่านั้น พวกเราเป็นผู้น้อยย่อมต้องเชื่อฟังพวกท่านเท่านั้น อี๋เหนียงไปครานี้ระยะทางยาวไกลนัก ต้องระมัดระวังให้มาก หากน้องชายคลอดออกมาแล้วหวังว่าอี๋เหนียงจะคอยอบรมดูแลอย่างดี อย่าให้ความเมตตาของท่านย่าและท่านพ่อต้องเสียเปล่า” 


 


 


           จ้าวอี๋เหนียงรีบพยักหน้ารับ “บ่าวขอบคุณที่คุณหนูเอ่ยเตือนเจ้าค่ะ” 


45

      “บ่าวขอบคุณคุณหนูสามที่ช่วยชีวิตเจ้าค่ะ” 


 


 


           จ้าวอี๋เหนียงที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้าเยี่ยหลีสวมเสื้อผ้าเรียบง่ายช่างแตกต่างกับความเย้ายวนในวันวานนัก  


 


 


           เยี่ยหลียกมือขึ้นเป็นสัญญาณให้ชิงหลวนประคองนางให้ยืนขึ้น ก่อนเอ่ยเสียงเรียบว่า “เมื่อไปถึงอวิ๋นโจวแล้วเจ้าไม่ต้องเป็นกังวลไป จะมีคนคอยจัดการทุกอย่างให้เจ้าเอง” 


 


 


           จ้าวอี๋เหนียงพยักหน้า “บ่าวเชื่อในสัจจะของคุณหนูสามเจ้าค่ะ บ่าวจะยึดมั่นปฏิบัติตามสัญญาที่ได้ให้ไว้อย่างดี จะเลี้ยงดูบุตรคนนี้อย่างดีเจ้าค่ะ” จ้าวอี๋เหนียงก้มหน้าลงพลางเอามือลูบหน้าท้องที่ยังคงแบนราบ สีหน้าเต็มไปด้วยความอ่อนโยนและรักใคร่ อีกหน่อยเด็กคนนี้จะเป็นทุกอย่างในชีวิตของนาง  


 


 


เยี่ยหลีพยักหน้า ก่อนหันไปสั่งชิงซวงที่ยืนอยู่ข้างๆ “ไปหยิบตั๋วเงินห้าร้อยตำลึงมาให้จ้าวอี๋เหนียง เอาไว้เป็นค่าใช้จ่ายระหว่างทาง”  


 


 


ชิงซวงรับคำพร้อมไปทำตามคำสั่ง จ้าวอี๋เหนียงมองเยี่ยหลีด้วยความซาบซึ้งใจ จวนเยี่ยทั้งหมดอยู่ภายใต้การควบคุมของหวังซื่อ แน่นอนว่ารวมถึงเรื่องต่างๆ ในบ้านด้วย หวังซื่อตัดค่าใช้จ่ายของนางจนกลายเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว ถึงแม้ตัวนางจะลอบเก็บเงินไว้บ้างแต่ก็ไม่มากนัก ทั้งจวนนี้นอกจากฮูหยินผู้เฒ่ากับนายท่านแล้ว ก็มีเพียงคุณหนูสามผู้นี้ที่สามารถนำเงินจำนวนมากขนาดนี้ออกมาใช้ได้ จ้าวอี๋เหนียงรู้ดีว่าถึงแม้คุณหนูสามจะมิใช่คนที่เป็นกันเอง แต่หากเชื่อฟังนางแล้ว ก็นับได้ว่านางเป็นคนที่สามารถพึ่งพาอาศัยและไว้ใจได้คนหนึ่ง “ขอบคุณคุณหนูสามที่เมตตาเจ้าค่ะ” 


 


 


           “เมื่อไปถึงที่นั่นแล้วจะมีคนช่วยดูแลเรื่องความปลอดภัยของเจ้าและลูกเอง หากท่านพ่อยังอยู่ นางคงไม่กระทำการใดอย่างเปิดเผยนัก แต่หากเจ้าอยากอยู่ที่นั่นอย่างสบายก็คงขึ้นอยู่กับฝีมือของตัวเจ้าเองแล้ว” เยี่ยหลีเอ่ยเตือนเสียงเรียบ เพราะถึงอย่างไรเรือนหลังนั้นก็มิใช่เรือนของนาง หากจ้าวอี๋เหนียงมีฝีมือสักหน่อย สามารถกุมอำนาจไว้ได้ก็จะดีกับลูกของนางไม่น้อย 


 


 


           จ้าวอี๋เหนียงนิ่งอึ้งไป ในใจนึกประหวั่นที่เยี่ยหลีอ่านความคิดของตนออก ทว่าในเมื่อนางพูดออกมาเช่นนี้แล้วย่อมหมายความว่าตระกูลสวีคงจะช่วยหนุนหลังนางอยู่บ้าง ขอเพียงนางมีฝีมือมากพอที่จะกุมอำนาจภายในเรือนที่อวิ๋นโจวให้อยู่ในมือได้ ที่นั่นก็จะกลายเป็นที่ที่นางและลูกสามารถใช้ชีวิตกันได้อย่างสงบสุข เมื่อคิดเช่นนี้ จ้าวอี๋เหนียงจึงรีบของคุณเยี่ยหลีอีกครั้ง ในใจนึกเคารพนับถือเยี่ยหลีเพิ่มขึ้นไปอีก 


 


 


           “คุณหนู ตำหนักติ้งอ๋องนำของหมั้นมาแล้วเจ้าค่ะ” ชิงอวี้เดินเข้ามารายงานด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ฮูหยินผู้เฒ่ากับนายท่านให้มาเชิญคุณหนูให้รีบออกไปเจ้าค่ะ” 


 


 


           เยี่ยหลีพยักหน้า แต่เมื่อเห็นสีหน้าประหลาดของชิงอวี้ จึงเลิกคิ้วถาม “ยังมีเรื่องอันใดอีกหรือ?” 


 


 


           ใบหน้ายิ้มแย้มของชิงอวี้ดูลังเลเล็กน้อย เหลือบมองเยี่ยหลีก่อนพูดว่า “ท่านหลีอ๋องกับคุณหนูสี่ก็กลับมาเช่นกันเจ้าค่ะ” วันนี้เป็นวันที่เยี่ยอิ๋งกลับบ้านเดิมเป็นครั้งแรกหลังจากแต่งงานพอดี ไม่รู้ว่าตั้งใจหรือว่าบังเอิญจริงๆ วันที่คุณหนูสี่กลับบ้านกับวันที่คุณหนูสามมีของมาหมั้นหมายกลับเป็นวันเดียวกันเสียได้ 


 


 


           เยี่ยหลีเองก็อึ้งไปเล็กน้อย นางเกือบลืมไปแล้วว่าเยี่ยอิ๋งจะกลับมาวันนี้ “เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือไม่” 


 


 


           ชิงอวี้แบะปาก “ท่านหลีอ๋องกับท่านติ้งอ๋องมาถึงเกือบพร้อมกันเลยเจ้าค่ะ หนำซ้ำเขายังทำหน้าบึ้งตึงเหมือนใครไปติดเงินเขาอยู่สักหมื่นตำลึงอย่างนั้น ซวยจริงๆ!” 


 


 


           “บังอาจ” เยี่ยหลีต่อว่าเรียบๆ ชิงอวี้กะพริบตาปริบๆ นางฟังดูก็รู้ว่าคุณหนูมิได้นึกโกรธที่นางพูดเช่นนั้นจริงๆ จึงแลบลิ้นน้อยๆ อย่างขี้เล่น ก่อนยกมือขึ้นปิดปากแล้วเดินหลบออกไป 


 


 


           ชิงซวงนำถุงเงินสีเรียบมาส่งให้เยี่ยหลี เยี่ยหลีหันไปยื่นถุงเงินพร้อมกับแผ่นจี้ทองส่งให้กับมือจ้าวอี๋เหนียง “นี่ถือเสียว่าเป็นของที่ข้าให้น้องชายก็แล้วกัน ถึงตอนนั้นข้าคงไม่ได้ไปส่งอี๋เหนียงด้วย” 


 


 


           จ้าวอี๋เหนียงขอบตาแดงทันที แต่เมื่อนึกได้ว่าวันนี้เป็นวันที่ตำหนักติ้งอ๋องนำของมาหมั้นหมายจึงจำต้องกลั้นน้ำตาไว้แล้วเอ่ยลาเยี่ยหลี พร้อมนำของทั้งหมดเดินออกไป 


 


 


           เยี่ยหลีหันกลับมา “ไปเถิด ไปพบท่านย่ากัน” 


 


 


           ด้วยในตำหนักติ้งอ๋องไม่มีผู้ใดที่ถือว่าอาวุโสกว่าม่อซิวเหยาโดยแท้จริง ม่อซิวเหยาจึงตั้งใจไปเชิญสองผู้อาวุโสที่เป็นที่นับหน้าถือตาอย่างมากของเมืองหลวงมาช่วยเป็นผู้ใหญ่ให้ คนหนึ่งเป็นคนที่เยี่ยหลีเคยพบมาก่อนหน้านี้ครั้งหนึ่ง นั่นคือท่านผู้อาวุโสซูเจ๋อ ส่วนอีกท่านหนึ่งคือบิดาของฮองเฮาองค์ปัจจุบัน ฮว่ากั๋วกงผู้เฒ่า ทั้งสองท่านนี้ถือได้ว่าเป็นผู้อาวุโสที่มีบทบาทสำคัญของเมืองหลวง จึงทำให้เจ้ากรมเยี่ยหน้าชื่นตาบานเป็นที่สุด 


 


 


           รายการของหมั้นยาวเหยียดที่ตำหนักติ้งอ๋องส่งมานี้ ง่ายต่อการทำให้ผู้คนนึกย้อนไปถึงของหมั้นจากตำหนักหลีอ๋องเมื่อคราวที่แล้ว อันที่จริง ณ ตอนนั้นก็ดูว่ามากพอสมควรทีเดียว ทว่าเมื่อเทียบกันแล้วกลับทำให้รู้สึกว่าตำหนักหลีอ๋องขาดความจริงใจไม่น้อย ดังนั้นเจ้ากรมเยี่ยจึงเชื้อเชิญท่านผู้อาวุโสซูเจ๋อเข้ามาด้านในด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเป็นที่สุด ส่วนฮว่ากั๋วกงผู้เฒ่าและติ้งอ๋องนั่งสนทนากันอยู่ที่ห้องหนังสือ เยี่ยอิ๋งกับม่อจิ่งหลีที่มาถึงในเวลาไล่เลี่ยกันจึงเหมือนถูกเพิกเฉยไปโดยปริยาย 


 


 


           “หลีเอ๋อร์คารวะท่านย่า คารวะฮว่าฮูหยินผู้เฒ่า คารวะฮูหยินทุกท่านเจ้าค่ะ” เมื่อเยี่ยหลีก้าวเข้ามาในหรงเล่อถัง เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่ากับฮว่าฮูหยินผู้เฒ่ากำลังสนทนากันอย่างออกรส ด้านข้างยังมีฮูหยินที่นางคุ้นหน้าตามาร่วมพูดคุยด้วย ส่วนม่อจิ่งหลี เยี่ยอิ๋งและหวังซื่อนั้น นั่งอยู่อีกด้านหนึ่งด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก หวังซื่อและเยี่ยอิ๋งนั้นดูไม่รู้ว่าจะเข้าร่วมบทสนทนาอย่างไร ส่วนสีหน้าของม่อจิ่งหลีดูจะทำให้คนอื่นไม่กล้าชวนเขาคุย 


 


 


           “หลีเอ๋อร์รีบเข้ามาเร็ว ทุกท่านดูหลานสาวของข้าคนนี้สิ พอใช้ได้หรือไม่” เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าโบกมือเรียกเยี่ยหลีอย่างสนิทสนม ดวงตาที่เริ่มขุ่นมัวเต็มไปด้วยความยินดีและเอื้อเอ็นดู เสมือนหนึ่งเยี่ยหลีเป็นหลานสาวหัวแก้วหัวแหวนที่นางรักใคร่เป็นที่สุดกระนั้น  


 


 


เยี่ยหลีเดินขึ้นไปข้างหน้าอย่างว่าง่าย “ท่านย่า” ฮว่าฮูหยินผู้เฒ่าดึงเยี่ยหลีให้นั่งลงข้างนางอย่างยินดี “ฮูหยินผู้เฒ่าอย่าได้ถือสาว่าผู้เฒ่าอย่างข้าแย่งหลานสาวท่านเลยนะ ข้าเห็นคุณหนูสามคนนี้แล้วรู้สึกเอ็นดูนางนัก ไม่แปลกใจเลยที่เจ้าเด็กเทียนเซียงบ้านข้าบ่นอยากจะมาหาคุณหนูสามอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน”  


 


 


เยี่ยหลียิ้ม “ฮูหยินผู้เฒ่าชมเกินไปแล้ว หลีเอ๋อร์เองก็คิดถึงเทียนเซียงเช่นกันเจ้าค่ะ” ฮว่าฮูหยินผู้เฒ่าพยักหน้าติดต่อกันหลายที “เด็กดี ท่าทางเหมือนท่านแม่ของเจ้าจริงเสียด้วย มิน่าเจ้าเด็กซิวเหยาที่ไม่ยอมออกไปที่ใดอยู่หลายปี ถึงได้ตั้งใจไปเชิญนายท่านผู้เฒ่าบ้านข้าให้ช่วยมาเป็นผู้ใหญ่นำของหมั้นมาให้” 


 


 


           เยี่ยหลีก้มหน้าลง ใบหน้างามเริ่มซับสีเลือด ก่อนตอบเสียงเบาว่า “ฮว่ากั๋วกงผู้เฒ่าไม่ยุ่งเรื่องเหล่านี้มาหลายปี ไปรบกวนท่านเช่นนี้ หลีเอ๋อร์…” 


 


 


           ฮว่าฮูหยินผู้เฒ่าลอบพยักหน้าน้อยๆ ถึงแม้จะเขินอายแต่ยังคงรักษากิริยามารยาทให้สง่างามและตอบโต้ได้อย่างเป็นธรรมชาติเช่นนี้ มิใช่สิ่งที่คุณหนูทั่วไปจะทำได้ สตรีเช่นนี้จะสามารถควบคุมเรื่องในตำหนักที่มากมายมหาศาลของตำหนักติ้งอ๋องได้ นางตบบ่าเยี่ยหลีด้วยความรักใคร่  


 


 


“เรื่องแค่นี้จะอะไรกันเชียว นายท่านผู้เฒ่ายามนี้ก็ว่างอยู่มิได้ทำอันใดเป็นกิจจะลักษณะ ย่อมอยากเป็นธุระช่วยจัดการเรื่องการแต่งงานของเด็กๆ เป็นธรรมดา แล้วซิวเหยาก็เป็นคนที่พวกเราเห็นมาตั้งแต่เล็กจนโต…”  


 


 


ดูคล้ายฮว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะนึกถึงสภาพของม่อซิวเหยาในปัจจุบันได้จึงถอนใจยาวออกมาเฮือกหนึ่ง ก่อนกำชับเยี่ยหลีว่า “อีกหน่อยพวกเจ้าก็จะเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว ต้องใช้ชีวิตด้วยกันให้ดีนะ…” 


 


 


           เยี่ยหลีแสร้งเขินอาย ก้มหน้ารับคำเบาๆ ในใจได้แต่ยิ้มรับทั้งน้ำตา 


 


 


           เหมือนฮว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะนึกได้ว่าตนหลงลืมคู่ข้าวใหม่ปลามันคู่หนึ่งไป จึงหันไปยิ้มให้ม่อจิ่งหลี “ข้ายังไม่ทันได้แสดงความยินดีกับหลีอ๋องและชายาหลีอ๋องเลย ไทเฮาและเสียนเจาไท่เฟยต่างตั้งพระเนตรรออุ้มพระนัดดามานานแล้ว คิดว่าอีกไม่นานท่านทั้งสองคงสมใจปรารถนา”  


 


 


เมื่อฮว่าฮูหยินผู้เฒ่าพูดขึ้นมา ทุกคนต่างรีบหันไปแสดงความยินดีกับม่อจิ่งหลีและเยี่ยอิ๋ง สีหน้าของม่อจิ่งหลีนั่นช่างเย็นชาเสียจนทำให้ทุกคนนึกกลัว ต่อให้ก่อนหน้านี้คิดอยากแสดงความยินดีก็ไม่กล้าเปิดปาก พอฮว่าฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยปากก่อนเช่นนี้ จึงทำให้ทุกคนรีบกล่าวแสดงความยินดีตามไปด้วย  


 


 


ม่อจิ่งหลีมองทุกคนด้วยสีหน้าเฉยชา ทว่ามิอาจไม่เห็นแก่หน้าฮว่าฮูหยินผู้เฒ่าได้ จึงจำใจพยักหน้ารับอย่างแกนๆ 


 


 


           เยี่ยหลีนั่งอยู่ข้างฮว่าฮูหยินผู้เฒ่าในมุมที่เห็นสีหน้าของเยี่ยอิ๋งได้อย่างชัดเจนพอดี นางประหลาดใจไม่น้อย เพราะถึงแม้ในวันแต่งงานจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นบ้าง แต่เรื่องทั้งหมดล้วนไม่เกี่ยวข้องกับเยี่ยอิ๋งเลยแม้แต่น้อย ดูจากความรักใคร่ชอบพอที่ม่อจิ่งหลีมีต่อเยี่ยอิ๋งแล้ว น่าจะมีแต่ดีกับนางมากยิ่งขึ้นด้วยเพราะรู้สึกผิดต่อนาง ทว่าสีหน้าของทั้งสองคนในยามนี้ช่างไม่เหมือนกับคู่แต่งงานใหม่ที่รักใคร่ชอบพอกันเสียเลย  


 


 


           หวังซื่อเองก็สีหน้าไม่สู้ดีเท่าไรเช่นกัน คงด้วยเพราะสีหน้าเยี่ยอิ๋งในยามนี้ดูจะปกปิดความเศร้าสร้อยไว้ไม่มิดเอาเสียเลย ยังดีที่นางรู้กาลเทศะ จึงมีเพียงสีหน้าบึ้งตึงแต่มิได้แสดงอาการใดๆ ออกมา 


 


 


           “ท่านติ้งอ๋องมาแล้วเจ้าค่ะ” 


 


 


           ด้านหน้าประตูมีเสียงสาวใช้เอ่ยรายงานดังเข้ามา เจ้ากรมเยี่ยเดินเข้ามาพร้อมกับฮว่ากั๋วกงผู้เฒ่า ท่านผู้อาวุโสซูเจ๋อ และม่อซิวเหยา ยังไม่ทันเดินเข้าประตูมาดี เสียงหัวเราะก้องกังวานของฮว่ากั๋วกงผู้เฒ่าก็ลอยเข้ามาก่อนตัวเสียแล้ว “ฮ่าๆ ข้ารอมาเสียหลายปี ในที่สุดก็จะได้ดื่มเหล้ามงคลของติ้งอ๋องเสียที ลำบากเล็กน้อยจะเป็นไรไป ถือโอกาสมาดูด้วยว่าชายาติ้งอ๋องในอนาคตเป็นอย่างไร เหตุใดจึงทำให้เด็กสาวบ้านข้าเอ่ยยกย่องชื่นชมได้” 


 


 


           “อาหลีอายุยังน้อย ท่านกั๋วกงผู้เฒ่าอย่าได้ทำให้นางตกใจไป” น้ำเสียงเรียบๆ แต่อบอุ่นของม่อซิวเหยาเจือแววขบขัน 


 


 


           “เด็กดี ยังไม่ทันถึงวันมงคลใหญ่ก็รู้จักปกป้องภรรยาเสียแล้ว” 


 


 


           ภายในห้องโถงที่เงียบสงบ ฮว่าฮูหยินผู้เฒ่าอมยิ้มกระทุ้งเยี่ยหลีน้อยๆ “นายท่านผู้เฒ่าตระกูลข้าเป็นคนขวานผ่าซาก หลีเอ๋อร์อย่าถือสาเลย”  


 


 


เยี่ยหลีอมยิ้มพร้อมส่ายหน้า ก่อนหันมองไปทางหน้าประตูก็เห็นคนที่เดินนำเข้ามา ถึงแม้อายุจะล่วงเลยเข้าวัยเจ็ดสิบกว่าปีจนผมและหนวดเคราเป็นสีขาวไปหมดแล้ว แต่กลับเดินเหินได้อย่างกระฉับกระเฉง เดิมทีเยี่ยหลีก็เป็นลูกหลานครอบครัวทหารคนหนึ่ง เมื่อได้เห็นท่านผู้เฒ่าผู้นี้ก็รู้ได้ทันทีว่าท่านจะต้องใช้ชีวิตกว่าครึ่งอยู่ในสมรภูมิรบอย่างแน่นอน จึงรู้สึกดีต่อท่านผู้นี้ขึ้นมาอย่างไม่รู้สาเหตุ 


46-1

“หลีอ๋องและชายาก็อยู่ที่นี่ด้วยหรือ คารวะท่านอ๋อง คารวะชายา” ฮว่ากั๋วกงผู้เฒ่ากวาดสายตามองทุกคนในห้องรอบหนึ่ง ก่อนหยุดมองเยี่ยหลีเล็กน้อย แล้วหันไปคารวะม่อจิ่งหลีและเยี่ยอิ๋ง 


 


 


           ม่อจิ่งหลีพยักหน้ารับ เลื่อนสายตาไปจับจ้องม่อซิวเหยาที่ตามหลังฮว่ากั๋วกงผู้เฒ่าเข้ามา ขมวดคิ้วแล้วกล่าวว่า “กั๋วกงผู้เฒ่านี่คือ” 


 


 


           ฮว่ากั๋วกงลูบเคราสีดอกเลาของตนเบาๆ ก่อนยิ้มอย่างอารมณ์ดีกว่าปกติว่า “ข้ามาเป็นพ่อสื่อให้ซิวเหยาน่ะพะย่ะค่ะ เป็นผู้ใหญ่นำของมาหมั้นหมาย เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่า ท่านรีบมาดูเร็วเข้าว่าของหมั้นเหล่านี้จวนเยี่ยยังมีอันใดไม่พอใจหรือไม่ หากขาดเหลือสิ่งใดจะได้รีบเรียกให้คนไปนำมาเสริมให้เรียบร้อย”  


 


 


เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่ามองรายการของหมั้นผ่านๆ มาแล้วรอบหนึ่ง ยังจะกล้าไม่พอใจได้อย่างไร นางรีบยิ้มเต็มหน้า “ของที่กั๋วกงผู้เฒ่ากับท่านซูจัดเตรียมมาด้วยตนเองจะขาดตกบกพร่องได้อย่างไรเจ้าคะ” พูดจบก็หันไปยื่นใบรายการให้เยี่ยหลี  


 


 


เยี่ยหลีเพียงมองผ่านๆ ก่อนหันไปยื่นให้ชิงหลวนที่ยืนอยู่ด้านข้าง ยิ้มน้อยๆ แล้วกล่าวว่า “ลำบากท่านกั๋วกงและผู้อาวุโสซูแล้ว” 


 


 


           ฮว่ากั๋วกงมองพิจารณาเยี่ยหลีครู่หนึ่ง ก่อนหันไปยิ้มพร้อมพยักหน้าให้ม่อซิวเหยา “ตระกูลเยี่ยช่างสั่งสอนบุตรสาวได้ดีจริงๆ ซิวเหยาเจ้ามีวาสนาแล้ว” 


 


 


           ม่อซิวเหยาเหลือบมองเยี่ยหลีปราดหนึ่ง อมยิ้มแต่ไม่ได้พูดอะไร 


 


 


           ซูเจ๋อก็ยิ้มอย่างเห็นด้วย “กั๋วกงผู้เฒ่ากล่าวถูกแล้ว คุณหนูสามเก่งกาจทั้งด้านโคลงกลอน เขียนพู่กัน และวาดภาพ ถือว่าโดดเด่นในหมู่คุณหนูทั้งหลายในเมืองหลวง ตระกูลเยี่ยช่างสั่งสอนได้ดีจริงๆ” 


 


 


           หลังจากพูดเยินยอกันครู่หนึ่ง ฮว่าฮูหยินผู้เฒ่ายกเรื่องที่สมควรให้ทั้งคู่ทำความรู้จักมักคุ้นเพื่อสร้างความรู้สึกที่ดีต่อกันก่อนการแต่งงานโดยให้หนุ่มสาวทั้งสองออกไปคุยกันด้านนอก เมื่อออกมานอกหรงเล่อถังแล้ว เยี่ยหลีและม่อซิวเหยามองหน้ากันอย่างไม่รู้จะพูดอันใดดี ได้แต่ยิ้มให้กัน 


 


 


           “มา ข้าเข็นให้” เยี่ยหลีเดินไปด้านหลังม่อซิวเหยาจะเข้าไปเข็นรถแทนอาจิ่น อาจิ่นลังเลเล็กน้อยและยังไม่ยอมปล่อยมือโดยทันที จนม่อซิวเหยายกมือขึ้น “อาจิ่น เจ้าออกไปก่อนเถิด” หนุ่มน้อยมองหน้าเยี่ยหลีด้วยความประหลาดใจ ก่อนแสดงท่าทางเคารพนางอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน จากนั้นจึงปล่อยที่จับเก้าอี้รถเข็นให้เยี่ยหลีเข้ามาทำหน้าที่แทนตน แล้วหมุนกายเดินหายไปจากสายตาทั้งสองคนทันที 


 


 


           เยี่ยหลีค่อยๆ เข็นรถไปตามทางเดินราบเรียบมุ่งหน้าไปยังสวนดอกไม้  


 


 


ม่อซิวเหยาหันหน้ามาเล็กน้อยก่อนพูดเสียงเบาว่า “ถ้าเจ้าเหนื่อยก็หยุดเข็นได้นะ อันที่จริง…ข้าเข็นเองได้” 


 


 


           “ข้ารู้ แต่ท่านก็สมควรรู้ว่าข้ามิใช่คุณหนูตระกูลผู้ดีที่แบบบางเช่นนั้น” เยี่ยหลีพูดยิ้มๆ เก้าอี้รถเข็นตัวนี้ทำมาอย่างดี ไม่จำเป็นต้องออกแรงเข็นมากสักเท่าใดเลย และเยี่ยหลีเชื่ออย่างสนิทใจว่าต่อให้ไม่มีคนคอยเข็นให้ ม่อซิวเหยาก็สามารถเข็นเก้าอี้รถเข็นให้เคลื่อนไปได้ดังใจตนอย่างแน่นอน มิเช่นนั้นเขาคงไม่ไล่คนรู้ใจข้างกายไปแน่  


 


 


           พอได้ยินเยี่ยหลีกล่าวเช่นนี้ ม่อซิวเหยากระแอมเบาๆ คล้ายนึกอันใดขึ้นมาได้ ก่อนหัวเราะออกมาเบาๆ “ช่วงนี้ระวังตัวหน่อย จิ่งหลีคนนี้นิสัยเสียเรื่องอื่นยังพอว่า แต่เจ้าคิดเจ้าแค้นเป็นที่สุด จะว่าแค่มองหน้าก็สามารถหาเรื่องเอาคืนได้เลยทีเดียว ยามนี้เขาเจ็บแค้นเจ้าอยู่หลายเรื่อง คงไม่ปล่อยไปง่ายๆ เป็นแน่” 


 


 


           เยี่ยหลีพยักหน้า ก่อนพูดขึ้นอย่างอับจนปัญญาว่า “ข้าไม่เข้าใจจริงๆ ว่าข้าไปทำอันใดให้เขาไม่พอใจเข้า” 


 


 


           แววขบขันในนัยน์ตาม่อซิวเหยาเจือแววเยาะหยัน “หากหลังจากเจ้าโดนถอนหมั้นแล้วเจ้ามีอาการผิดหวังเสียใจ ท้อแท้จนไม่อยากมีชีวิตอยู่บ้าง เขาคงไม่ทำอันใดเจ้าหรอก ดีไม่ดี…อาจมีเหตุผลให้เขาคิดชดเชยให้เจ้าเสียด้วยซ้ำ”  


 


 


เยี่ยหลีไม่รู้จะว่าอย่างไร “เช่นนั้น ที่เขาจ้องเล่นงานข้าเช่นนี้ก็เป็นเพราะข้าไม่มีอาการดังที่เขาอยากให้เป็นอย่างนั้นหรือ” 


 


 


           “เป็นเช่นนั้นเอง” 


 


 


           “….” ช่างน่าตีเสียจริง! 


 


 


           ครั้นเดินมาถึงโต๊ะม้าหินข้างสระบัว เยี่ยหลีจึงหยุดเดิน “นั่งพักที่นี่หน่อยแล้วกัน” อากาศช่วงต้นเดือนห้า ทำให้ในสระบัวมีเพียงสีเขียวอร่ามเท่านั้น ทว่ากลับทำให้คนที่พบเห็นรู้สึกสดชื่นอย่างบอกไม่ถูก บรรดาสาวใช้ที่คอยตามรับใช้ยกน้ำชาและขนมเข้ามาให้ก่อนล่าถอยออกไปอย่างรู้งาน เหลือเพียงชิงซวงและสาวใช้อีกสองสามคนยืนระวังคอยรับใช้อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลนัก  


 


 


ม่อซิวเหยาอมยิ้ม “บ่าวข้างกายเจ้าดูใช้ได้กันทุกคน สาวใช้คนนั้นคือคนที่อยู่นอกเมืองคืนนั้นหรือ ฝีมือไม่เลวเลย” 


 


 


           เยี่ยหลีหันไปมองชิงหลวนที่กำลังพูดคุยกับชิงซวง ก่อนพูดอย่างเขินๆ ว่า “ชิงหลวนและชิงอวี้เป็นบ่าวที่มาพร้อมกับท่านลุงใหญ่ มีเพียงชิงซวงคนเดียวที่ติดตามข้ามาตลอด” นางไม่ได้อธิบายโดยละเอียดว่าคนใดคือชิงอวี้ คนใดคือชิงซวง แต่เชื่อว่าม่อจิ่งหลีคงพอรู้เรื่องบ่าวข้างกายของนางคร่าวๆ อยู่แล้ว  


 


 


ม่อซิวเหยายิ้มแล้วกล่าวว่า “ที่แท้ก็เป็นคนตระกูลสวีนี่เอง มิน่าเล่า แต่สายตาของอาหลีก็ดีไม่แพ้กัน เช่นนี้อีกหน่อยเมื่อเจ้าไปอยู่ที่ตำหนักติ้งอ๋องแล้วข้าคงไม่ต้องห่วงอีก” 


 


 


           เยี่ยหลีขมวดคิ้ว “นี่ท่านคงไม่ได้จะพูดกับข้าเรื่องงานในตำหนักติ้งอ๋องในอนาคตกระมัง” ให้นางจัดการทหารหน่วยพิเศษที่มีฝีมือไม่ธรรมดานั้นมิใช่ปัญหา หรือกองพลทหารทั้งกองนางก็สามารถทำได้ แต่หากจะให้นางจัดการเรื่องกิจการและงานต่างๆ ของตำหนักท่านอ๋อง ต่อให้ช่วงนี้นางจะได้ร่ำเรียนและฝึกฝนมาพอประมาณก็ยังอดนึกหวั่นใจไม่ได้ 


 


 


           ท่าทีลังเลของเยี่ยหลีดูจะสร้างความบันเทิงใจให้ม่อซิวเหยาไม่น้อย แววขบขันในดวงตาของเขาจึงเพิ่มขึ้น “เจ้าเป็นนายหญิงแห่งตำหนักติ้งอ๋องในอนาคต จึงพูดเรื่องในตำหนักให้เจ้ารับรู้ไว้ก่อนเล็กน้อย ถึงเวลาเจ้าจะได้จับต้นชนปลายถูก มีอะไรไม่ถูกต้องหรือ” 


 


 


           “ไม่มีเพคะ” เยี่ยหลีส่ายหน้า หลักการตัวอยู่ตำแหน่งใดก็ต้องทำหน้าที่นั้น นางพอเข้าใจ “หวังว่าข้าจะไม่ทำให้ตำหนักติ้งอ๋องเละไม่เป็นท่า” 


 


 


           “ข้าเชื่อใจในตัวอาหลี” ม่อซิวเหยากล่าวพลางยิ้มน้อยๆ 


 


 


           เยี่ยหลีเลิกคิ้วอย่างไม่ใส่ใจ “เพื่อความเชื่อใจของท่าน ดูเหมือนข้าจะไม่มีเหตุผลให้บิดพลิ้วได้เลยสินะ” ในใจลึกๆ เยี่ยหลีชอบความรู้สึกเช่นนี้ อันที่จริงนางกับม่อซิวเหยาปฏิบัติต่อกันไม่เหมือนคู่สามีภรรยาที่ยังไม่แต่งงานกัน กลับเหมือนเพื่อนกันเสียมากกว่า ทั้งคู่ต่างเข้าใจความคิดของกันและกัน และรู้ดีถึงขีดจำกัดของกันและกัน ถึงแม้ยามนี้ความผูกพันยังไม่ลึกซึ้งนัก ทว่าเมื่อมีปฏิสัมพันธ์ต่อกันแล้วกลับเป็นธรรมชาติเสียยิ่งกว่าคู่สามีภรรยาที่วิวาห์กันแล้วเสียอีก ถึงแม้พวกเขาอาจมีเพียงความสัมพันธ์ฉันสหายไปตลอดชีวิต และถึงแม้พวกเขาอาจเป็นคนในครอบครัวของกันและกันในสักวันหนึ่ง แต่จะมีผู้ใดบอกเรื่องในภายภาคหน้าได้ นั่นเป็นเรื่องที่น่าติดตามมิใช่หรือ 


 


 


           “สภาพข้ายามนี้ ไม่เหมาะที่จะไปทำความเคารพท่านสวีและใต้เท้าสวีสักเท่าไร หวังว่าผู้อาวุโสทั้งสองจะไม่ถือสา” ม่อซิวเหยาวางถ้วยชาในมือลง มองเยี่ยหลีด้วยสายตารู้สึกผิด 


 


 


           “ท่านลุงใหญ่รู้ถึงสถานการณ์ของตำหนักติ้งอ๋องในยามนี้ดี อีกอย่างพวกท่านก็ไม่ได้เป็นคนยึดถือธรรมเนียมประเพณีเหล่านั้น เพียงแต่…ดูคล้ายคราวที่แล้วพี่ใหญ่พูดว่าได้ไปเยือนตำหนักติ้งอ๋องมามิใช่หรือเพคะ” เยี่ยหลีมองเขาด้วยความสงสัย ในใจนึกอยากรู้อย่างยิ่งว่าคุณชายที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายบัณฑิตอย่างสวีชิงเฉินจะจับผิดและแสดงความไม่พอใจน้องเขยในอนาคตอย่างไรบ้าง 


 


 


           ม่อซิวเหยาได้แต่ยิ้มแห้งๆ อย่างไม่ใคร่ใส่ใจ “ไม่ได้พบเขาเสียหลายปี คุณชายสวียังคงงามสง่าน่านับถือเช่นเคย” 


 


 


           “คารวะท่านอ๋อง คารวะชายาหลีอ๋อง” ณ ปากทางเดินที่ไม่ใกล้ไม่ไกล ชิงหลวนและชิงซวงยืนขวางทางทั้งสองคนอยู่ 


 


 


           ม่อจิ่งหลีหัวเราะเสียงเย็น “ทำไม ทางเส้นนี้ข้าเดินไม่ได้หรือ” 


 


 


           ชิงหลวนและชิงซวงเหลือบมองหน้ากัน ทางเดินเส้นนี้ไปได้เพียงสระบัวเท่านั้น ข้างหน้าไม่มีทางเดินไปสู่ส่วนอื่น เห็นชัดว่าหลีอ๋องเห็นว่าคุณหนูของพวกตนกับติ้งอ๋องนั่งคุยกันอยู่ที่นี่ แต่ก็ยังจะไปทางนี้ มิใช่คิดจะไปหาเรื่องหรือ ชิงซวงกำลังจะเปิดปากพูด ก็ได้ยินเสียงม่อซิวเหยาแว่วมาเสียก่อน “เชิญหลีอ๋องและชายาหลีอ๋องเข้ามาเถิด” ทั้งสองคนจึงได้ก้มศีรษะลงพร้อมเอ่ยด้วยความเคารพ “เชิญท่านอ๋องและพระชายาเพคะ” 


 


 


           ม่อจิ่งหลีส่งเสียงเหอะ ก่อนเร่งฝีเท้าเดินไปยังโต๊ะม้าหินข้างสระบัว ขณะที่เยี่ยอิ๋งกัดมุมปากพลางเดินตามเขาด้วยความน้อยใจ 


 


 


           ม่อจิ่งหลียืนอยู่ข้างโต๊ะ สายตามองต่ำลงมายังเยี่ยหลี  


 


 


เยี่ยหลีขมวดคิ้ว รู้สึกไม่พอใจสายตาโจมตีที่ส่งมานั้น 


 


 


           “หลีอ๋อง นั่งสิ” ม่อซิวเหยาเอ่ยเชิญเรียบๆ พร้อมยื่นมือไปให้เยี่ยหลี เยี่ยหลีให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ยื่นมือไปให้เขาจับก่อนเขยิบไปนั่งข้างม่อซิวเหยา ยกเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามให้ม่อจิ่งหลีและเยี่ยอิ๋ง  


 


 


ม่อจิ่งหลีนั่งลงเรียบร้อยแล้ว เยี่ยอิ๋งถึงได้เดินมาถึงที่ทั้งสามคนอยู่พร้อมอาการหอบน้อยๆ ดูว่าฝีเท้ารีบร้อนของม่อจิ่งหลีมิใช่ความเร็วที่สตรีตัวเล็กๆ แบบบางอย่างเยี่ยอิ๋งจะเดินตามทันได้ 


 


 


           “พี่สาม ติ้งอ๋อง” เยี่ยอิ๋งเอ่ยทักขึ้นเบาๆ  


 


 


           เยี่ยหลีพยักหน้าพลางยิ้มน้อยๆ “น้องสี่ นั่งก่อนสิ หลายวันมานี้เป็นอย่างไรบ้าง” 


 


 


           เยี่ยอิ๋งหลุบตาลงเล็กน้อย ก่อนตอบเสียงเบาว่า “ลำบากพี่สามเป็นห่วงแล้ว น้องสบายดีทุกอย่างเจ้าค่ะ” 


 


 


           เยี่ยหลีพยักหน้า เมื่อได้ยินเยี่ยอิ๋งพูดเช่นนี้นางจึงไม่ถามต่ออีก ถึงแม้ท่าทางของเยี่ยอิ๋งจะดูไม่สบายดีอย่างที่นางว่าสักเท่าใด แต่เยี่ยหลีเองก็ไม่ได้นึกเป็นห่วงเยี่ยอิ๋งด้วยใจจริง แต่หากเยี่ยอิ๋งเกิดร่ำไห้คร่ำครวญกับนางขึ้นมาจริงๆ นางก็คงไม่รู้จะทำเช่นใดอยู่ดี 


 


 


           ม่อจิ่งหลีส่งเสียงเหอะออกมาอีกครั้ง “แน่นอนว่าอิ๋งเอ๋อร์ย่อมสบายดีทุกอย่าง แต่ที่ไม่รู้คือช่วงนี้หลีเอ๋อร์สบายดีหรือไม่” เยี่ยหลีเลิกคิ้ว หันไปมองม่อซิวเหยาคราหนึ่งก่อนยิ้มแล้วกล่าวว่า “ขอบคุณท่านอ๋องที่เป็นห่วง หลายวันมานี้อาจยุ่งจัดการเรื่องต่างๆ บ้าง แต่ทุกอย่างเรียบร้อยดีเพคะ” 


 


 


           ม่อจิ่งหลีหน้าตึงไปทันที มองจ้องเยี่ยหลีนิ่งอยู่เป็นนาน ก่อนหันไปพูดกับม่อซิวเหยาว่า “ตัวข้ามีเรื่องอยากคุยกับคุณหนูสามตระกูลเยี่ยเป็นการส่วนตัวสักหน่อย” 


 


 


           เยี่ยหลีอดรู้สึกขบขันในใจไม่ได้ อันที่จริงนับแต่เมื่อครั้งพบม่อซิวเหยาเป็นครั้งแรกนางก็ได้รู้ว่า ม่อจิ่งหลีชอบแสดงอำนาจต่อหน้าม่อซิวเหยาเป็นที่สุด เช่นว่า หากอยู่ต่อหน้าม่อซิวเหยา ม่อจิ่งหลีจะชอบเชิดคางขึ้นมองผู้อื่นด้วยสายตาดูถูกมากกว่าธรรมดา อันที่จริงเยี่ยหลีอยากบอกกับเขาว่า ตัวม่อซิวเหยานั้นนั่งอยู่บนเก้าอี้รถเข็น โดยมากมักเห็นเพียงรูจมูกของเขาอยู่แล้ว ดังนั้นน้อยครั้งนักที่ม่อซิวเหยาจะเงยหน้าขึ้นมองเขา  


 


 


ยังมีอีกอย่าง ทุกครั้งที่เขาพูดจากับม่อซิวเหยา มักแทนตัวเองว่าตัวข้า ประหนึ่งทำให้ตนดูสูงกว่าเขาขั้นหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น แต่อันที่จริง ทุกคนต่างรู้กันดีกว่า ถึงแม้ม่อจิ่งหลีจะเป็นโอรสของฮ่องเต้องค์ก่อน และเป็นอนุชาร่วมอุทรของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน หากเขาไม่คิดกำจัดพี่ชายตนเองแล้วตั้งตนขึ้นเป็นฮ่องเต้แล้ว ถึงอย่างไรยศศักดิ์ของเขาก็จะต่ำกว่ายศอ๋องขั้นหนึ่งของติ้งอ๋องอยู่ดี 


 


 


           “อิ๋งเอ๋อร์ขอตัวก่อน เชิญท่านอ๋องกับพี่สาวคุยกันตามสบายเพคะ” เยี่ยอิ๋งลุกยืนขึ้นทำตามที่ม่อจิ่งหลีต้องการเป็นคนแรก ถึงแม้สายตาของนางที่มองเยี่ยหลีจะเต็มไปด้วยแววต่อว่าจนแทบจะรีดออกมาเป็นพิษได้อยู่แล้วก็ตาม เยี่ยอิ๋งเห็นสายตาและท่าทางฝืนทนและไม่เต็มใจของเยี่ยอิ๋งที่เดินจากไปแล้ว ในใจก็ได้แต่ถอนใจเบาๆ  


 


 


ช่วงเวลาสั้นๆ เพียงสองสามวัน เยี่ยอิ๋งจากเดิมที่เป็นคุณหนูลูกผู้ดีที่เต็มไปด้วยความทระนงตนได้กลายเป็นสะใภ้ที่เต็มไปด้วยความขุ่นเคืองใจไปแล้วหรือ ดูท่าว่าม่อจิ่งหลีคงมิได้รักชอบเยี่ยอิ๋งอย่างที่คนว่ากันเสียแล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดม่อจิ่งหลีถึงได้ยอมขัดราชโองการที่ฮ่องเต้องค์ก่อนทิ้งไว้เพื่อสมรสกับเยี่ยอิ๋งกันนะ จะด้วยเพราะความหุนหันพลันแล่นจริงหรือ 


 

 

 


ตอนที่ 46-2

 

“ม่อซิวเหยา!” เมื่อเห็นม่อซิวเหยาและเยี่ยหลียังคงนิ่งเฉยต่อคำพูดของตน ม่อจิ่งหลีจึงขู่เสียงต่ำด้วยความโกรธ 


 


 


    “จิ่งหลี เจ้าสมควรเรียนรู้เรื่องกฎระเบียบให้ดีเสียหน่อยนะ!” ม่อซิวเหยาจ้องหน้าบึ้งตึงของม่อจิ่งหลีนิ่ง  


 


 


พลังอำนาจที่มองไม่เห็นกดทับตนทำให้ม่อจิ่งหลีทนไม่ได้ “ฮ่องเต้มีพระราชานุญาตให้เจ้าพูดกับตัวข้าเช่นนี้หรือ หือ”  


 


 


    เมื่อเทียบกันแล้ว สีหน้าบึ้งตึงของม่อจิ่งหลีกับสีหน้านิ่งสงบของม่อซิวเหยาที่ครึ่งหนึ่งอยู่ใต้หน้ากาก ม่อซิวเหยากลับดูเป็นมิตรกว่าไม่รู้กี่ส่วน แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ ม่อจิ่งหลีกลับโกรธตนเองที่รู้สึกกลัวชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าอย่างบอกไม่ถูก ซึ่งทำให้เขารู้สึกทั้งโกรธทั้งอาย และยิ่งไม่กล้าเชื่อตนเองเอาเสียเลย  


 


 


    ความทรงจำสุดท้ายของเขากับม่อซิวเหยานั้นย้อนไปเมื่อแปดเก้าปีก่อน ในยามนั้นฐานะของพวกเขาคล้ายคลึงกันมาก พวกเขาเกิดในตระกูลสูงส่งที่สุดของต้าฉู่ พวกเขามีพี่ชายเช่นเดียวกัน พี่ชายของเขาคือฮ่องเต้ ส่วนพี่ชายของม่อซิวเหยาคือติ้งอ๋อง พวกเขาไม่จำเป็นต้องสืบทอดยศศักดิ์ ไม่มีภาระหน้าที่ใดๆ ต่อให้กินดื่มเที่ยวเล่นไปวันๆ ก็ยังมีเสื้อผ้าไหมดีๆ ใส่ มีอาหารรสเลิศกินตลอดชีวิต ติดก็แต่ไม่ว่าเรื่องใดม่อซิวเหยามักเก่งกาจกว่าเขาเสมอ!  


 


 


เขาจึงรู้สึกไม่ถูกชะตากับม่อซิวเหยามาโดยตลอด ในขณะที่เขาอุตสาหะพากเพียรอ่านหนังสืออย่างเอาเป็นเอาตายด้วยอยากให้เสด็จพ่อเอ่ยชื่นชมนั้น ม่อซิวเหยากลับได้รับสายตาชื่นชมยินดีจากทุกคนรวมถึงเสด็จพ่อของเขาด้วย หรือในขณะที่เขานึกลำพองใจในความเก่งกาจด้านบู๊ของตนอยู่เงียบๆ นั้น ม่อซิวเหยากลับกวาดล้างสนามรบได้สำเร็จ ช่วยเสริมความยิ่งใหญ่ของชื่อเสียงเทพแห่งสงครามผู้ไม่เคยพ่ายแพ้ให้แก่ตำหนักติ้งอ๋อง  


 


 


ครั้งที่พวกเขายังเยาว์ เขาชังน้ำหน้าม่อซิวเหยานัก แต่ไม่เคยนึกกลัวเขาเลย หากรู้สึกไม่ถูกชะตาก็ต่อยตีกันสักยกหนึ่ง ต่อให้แพ้ก็ไม่เป็นไร เพราะคงมีสักวันที่เขาสามารถเอาชนะได้ เพียงแต่…เขาไม่นึกเลยว่า แปดปีให้หลังที่เขาจัดให้ม่อซิวเหยาเป็นคนไร้สมรรถภาพนั้น เขา…จะนึกกลัวขึ้นมาได้! 


 


 


           อับอายขายหน้ายิ่งนัก! 


 


 


           “ท่านอ๋อง” เยี่ยหลีขมวดคิ้วมองสีหน้าบูดบึ้งและโกรธเกลียดของม่อจิ่งหลี ไม่นึกสงสัยเลยว่าหากไม่ได้อยู่ที่นี่และมิใช่คนผู้นี้ ม่อจิ่งหลีคงได้เข้าไปฉีกทึ้งคนตรงหน้าให้แหลกเป็นชิ้นๆ เสียแล้ว “ท่านอ๋องมีเรื่องอันใด เชิญพูดออกมาได้เลยเจ้าค่ะ ข้ากับซิวเหยาไม่มีเรื่องอันใดที่พูดให้กันฟังไม่ได้” 


 


 


           “ไม่มีเรื่องอันใดที่พูดให้กันฟังไม่ได้หรือ” ม่อจิ่งหลีอารมณ์เย็นลงอย่างรวดเร็ว ก่อนเปลี่ยนสีหน้าเป็นเย้ยหยัน “เยี่ยหลี เจ้าแน่ใจหรือ” 


 


 


           เยี่ยหลีมองเขาอย่างไม่เข้าใจ ม่อจิ่งหลีดูจะคิดว่าตนเองถือไพ่เหนือกว่านาง  


 


 


“เช่นนั้นเรามาพูดเรื่องคืนก่อนวันแต่งงานของตัวข้ากับเรื่องที่เกิดในวันแต่งงานหน่อยเป็นไร” 


 


 


           เยี่ยหลีมองเขาด้วยความเห็นใจ บุรุษผู้นี้ช่างไม่รู้เลยว่าที่ตัวเขาต้องอับอายขายหน้าเพราะเป็นลมล้มไปในวันเสกสมรสนั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับม่อซิวเหยาด้วย “วันเสกสมรสหรือเพคะ ท่านอ๋องจะพูดถึงตอนที่ท่านเป็นลมจนดำเนินพิธีต่อไม่ได้หรือ มายามนี้…เยี่ยหลีคงได้แต่แสดงความเสียใจ” และเห็นใจอย่างสุดซึ้ง 


 


 


           “เยี่ยหลี!” ม่อจิ่งหลีมองหญิงสาวตรงหน้าที่ดูไม่รู้สึกผิดและเห็นใจตนอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “ตัวข้าทำพิธีไม่เรียบร้อยแล้วไม่สมใจเจ้าหรือ” 


 


 


           เยี่ยหลีรู้สึกคับค้องใจขึ้นมาทันที “ท่านอ๋อง ที่ท่านพูดหมายความว่าอย่างไร ถึงแม้เยี่ยหลีกับน้องสี่จะไม่ลงรอยกันอยู่บ้าง แต่ไม่ได้โกรธเกลียดกันจนถึงขั้นสาปแช่งให้นางทำพิธีแต่งงานไม่สำเร็จนะเพคะ ท่านอ๋องกล่าวเช่นนี้ถือเป็นการใส่ร้ายเยี่ยหลี จะให้ข้า…ให้ข้ามีหน้าไปพบน้องสี่ได้อย่างไร”  


 


 


คิดจะเสี้ยมให้ม่อซิวเหยากับนางผิดใจกันหรือ ลูกไม้ของม่อจิ่งหลียังไม่เด็ดพอหรอกนะ เยี่ยหลีแสร้งทำสีหน้าน่าสงสาร มองม่อจิ่งหลีด้วยความน้อยอกน้อยใจ แสดงบทบาทคุณหนูที่ถูกใส่ร้ายได้อย่างสมบูรณ์แบบ 


 


 


           ม่อซิวเหยาที่เดิมทีคิดจะเปิดปากช่วยพูดแก้สถานการณ์ให้เยี่ยหลีกลับมองสตรีงดงามตรงหน้าอย่างสบายอารมณ์ แม้แต่ตัวเขาเองยังอดนึกอยากปรบมือชื่นชมกับการแสดงอันยอดเยี่ยมของนางเลย ดูท่าเขาคงไม่จำเป็นต้องเอ่ยแนะนำอะไรเยี่ยหลีเสียแล้ว ตัวนางสามารถรับมือกับทุกสถานการณ์ได้ดีกว่าที่เขาคาดคิดไว้เสียอีก  


 


 


ในขณะที่ม่อซิวเหยาคิดในใจอยู่นั้น ม่อจิ่งหลีกำลังจะอ้าปากระเบิดอารมณ์ออกมาอีกครั้ง ม่อซิวเหยาถึงได้เปิดปากกล่าวว่า “อาหลีไม่จำเป็นต้องเสียใจเช่นนี้ ไม่ว่าคนอื่นจะว่าอย่างไร ตัวข้าเชื่อใจอาหลีเสมอ” 


 


 


           เยี่ยหลีหลุบตาลงต่ำ ก่อนเอ่ยเสียงแผ่วเบาว่า “แค่ซิวเหยาเชื่อใจในตัวข้า ข้าก็ดีใจอย่างยิ่งแล้ว มิเช่นนั้น…ข้าคงไม่รู้จะทำอย่างไรดี” 


 


 


           “เยี่ยหลี เจ้านี่ช่าง!” ม่อจิ่งหลีพูดทิ้งท้ายไว้เท่านี้ ก่อนสะบัดกายเดินออกไปอย่างรวดเร็วราวกับลมหอบ 


 


 


           เยี่ยหลียักไหล่อย่างไม่ใคร่ใส่ใจพลางถอนหายใจเฮือกหนึ่ง คนอย่างม่อจิ่งหลีเพียงล่วงเกินเขาเข้าหน่อยเดียว เป็นได้จดจำเพื่อแก้แค้นจนตายทีเดียว นอกเสียจากจะยอมลงให้เขาด้วยการนำของขวัญไปขอขมาต่อหน้า ให้เขาได้พูดจาจิกกัดจนเป็นที่พอใจเท่านั้น หากเพียงยอมให้เฉยๆ เขาไม่มีทางพอใจ แต่เขาคนนี้กลับมีภูเขาลูกใหญ่โตอย่างฮ่องเต้และไทเฮาองค์ปัจจุบันหนุนหลังอยู่เสียนี่ “ดูเหมือนข้าจะสร้างศัตรูให้ท่านเสียแล้ว” 


 


 


           “ไม่หรอก เขากับข้าไม่เคยญาติดีกันมาก่อนอยู่แล้ว” ม่อซิวเหยาพูดเรียบๆ 


 


 


           เยี่ยหลีกะพริบตาปริบๆ “พอเล่าให้ฟังได้หรือไม่เพคะ” 


 


 


           “สมัยเด็ก เขาเอาหนังสือการบ้านของข้าไปซ่อน ทำให้ข้าถูกเสด็จพ่อต่อว่า ข้าจึงทำให้เขาถูกฮ่องเต้องค์ก่อนโบย โตมาหน่อยเขาสงสัยว่าข้าไปเกี้ยวพาสตรีทีเขาชอบพออยู่ จึงให้คนมาวางยาในสุราของข้า สุดท้ายเป็นเขาที่ได้กินสุราจอกนั้นเสียเอง ในการประลองด้านบู๊ครั้งหนึ่ง ข้าไม่ทันระวังถีบเขาตกเวทีประลอง วันต่อมาข้าถูกคนฝีมือดีจากวังหลวงสิบกว่าคนดักตีหัว สิบวันให้หลังข้ากับเฟิ่งจือเหยาจึงจับตัวเขาไปแขวนไว้บนกิ่งไม้ในเมืองหลวง อืม…แล้วคนที่เขาชอบมาเห็นเข้าพอดี” 


 


 


           “ที่แท้ก็…แค้นฝังลึก” เยี่ยหลีไม่รู้จะพูดอะไร ถึงแม้จะเคยได้ยินมาบ้างว่าสมัยเป็นเด็กหนุ่มม่อซิวเหยาเก่งกาจและเจิดจรัสเพียงใด แต่เมื่อเห็นชายหนุ่มที่ดูสงบนิ่งและสุภาพอย่างปัจจุบันแล้ว ก็ยากที่จะจินตนาการได้ว่าม่อซิวเหยาก็มีช่วงเวลาที่ซุกซนและร้ายกาจเช่นเดียวกัน 


 


 


           “เฟิ่งจือเหยาบอกข้าว่า ในวันเสกสมรสนั้น เขาไปพบหลีอ๋องสลบอยู่หลังภูเขาจำลองในสวนดอกไม้ของตำหนักหลีอ๋อง” เมื่อคนขัดจังหวะไม่อยู่แล้ว ม่อซิวเหยาจึงอมยิ้มมองเยี่ยหลีพร้อมเอ่ยถาม 


 


 


           เยี่ยหลียิ้มอย่างเป็นธรรมชาติ “ดูเหมือนม่อจิ่งหลีจะล่วงเกินคนไว้ไม่น้อย” นางยืนยันได้เลยว่าในวันนั้นไม่มีผู้ใดเห็นว่านางลงมือกับม่อจิ่งหลี ถึงแม้จะเป็นเฟิ่งจือเหยาก็คงเป็นเพียงการคาดเดาเท่านั้น สายตาม่อซิวเหยามีแววขบขัน เขาพยักหน้า “เป็นเช่นนั้นจริงๆ เพียงแต่…ถึงแม้จิ่งหลีจะเป็นคนไม่มีสมองเท่าไร แต่ท่านที่อยู่ในวังสองท่านกับเสียนเจาไท่เฟยมิใช่คนไร้สมอง ดังนั้น…” 


 


 


           เยี่ยหลีพยักหน้าอย่างใคร่ครวญ “ข้าเข้าใจแล้ว” คนในวังสองท่านกับเสียนเจาไท่เฟยนั้นนับได้ว่าไต่เต้าขึ้นมาจากการจัดการสนมหลายสิบคนและโอรสอีกสิบกว่าคน แน่นอนว่าย่อมมิอาจเทียบได้กับท่านอ๋องอย่างม่อจิ่งหลีที่มีแต่คนปกป้องมาตลอด หากทำให้พวกเขาขัดหูขัดตาเกินไปย่อมไม่เป็นผลดี มีแต่ผลเสีย เยี่ยหลีก้มศีรษะนิ่งคิดอยู่พักหนึ่ง ก่อนพูดว่า “ข้าเกรงก็แต่ว่า…จะถูกคนจับตามองแล้วน่ะสิ” 


 


 


           ม่อซิวเหยามองไปทางสาวใช้ที่ยืนอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลอย่างใช้ความคิด ก่อนพยักหน้าเล็กน้อย “ไม่ว่าผู้ใด พวกเขาคงมิอาจวางใจได้ มิใช่เพราะพวกเขาคิดจัดการเจ้า เพียงแต่พวกเขาจับตามองเจ้าได้ง่ายกว่าเท่านั้นเอง ก่อนงานแต่งงานของพวกเรา คนในวังคงหาข้ออ้างเรียกให้เจ้าเข้าไปพบ ถึงเวลานั้น…นำสาวใช้ที่ชื่อชิงอวี้ไปกับเจ้าด้วยก็แล้วกัน”  


 


 


เห็นเยี่ยหลีมองเขาด้วยความสงสัย ม่อซิวเหยาจึงเอ่ยอธิบายเบาๆ ว่า “คุณชายใหญ่สวีเคยบอกข้าว่า สาวใช้คนนี้พอมีฝีมือทางการแพทย์อยู่บ้าง” 


 


 


           เยี่ยหลีจึงได้เข้าใจ ยกมือขึ้นนวดหว่างคิ้วเบาๆ พลางพยักหน้า  


 


 


ม่อซิวเหยาอมยิ้มขณะรินชาร้อนให้นาง “ปวดหัวเสียแล้วหรือ” 


 


 


           เยี่ยหลีพยักหน้าตอบตามจริง “ข้ารู้สึกว่าตนเองไม่คุ้นชินกับเรื่องพวกนี้เอาเสียเลย” การคิดวางแผนจัดการกันไปมาเช่นนี้ ช่างน่าปวดหัวเหลือเกิน คนพวกเนี้ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยกันบ้างหรือไร 


 


 


           “ขอโทษด้วย” ม่อซิวเหยามองนางนิ่ง 


 


 


           เยี่ยหลีโบกมือ ก่อนพูดอย่างไม่ใคร่ใส่ใจ “ข้าเดาว่าต่อให้ฮ่องเต้ไม่ทรงจับข้าหมั้นหมายกับท่าน ก็คงทรงจับข้าให้หมั้นหมายกับผู้ที่เขาไม่ชอบหน้าอยู่ดี”  


 


 


เบื้องหลังของตระกูลสวีไม่ธรรมดาเกินไป ไม่ว่าจะจับคู่นางกับผู้ใดฮ่องเต้ก็คงมิอาจวางใจทั้งสิ้น ดูอย่างคุณชายของตระกูลสวีแต่ละเป็นตัวอย่าง สวีชิงเฉินที่อายุปาเข้าไปยี่สิบสองปีแล้วยังไม่ได้แต่งงานและยังไม่ได้หมั้นหมายกับผู้ใดเป็นตัวเป็นตน ฮ่องเต้ก็ไม่เคยคิดจะจับคู่เขาให้หมั้นหมายกับผู้ใด นางถึงกับนึกสงสัยว่าฮ่องเต้คงคิดอยากให้สวีชิงเฉินไม่ต้องแต่งงานเลยตลอดชีวิตนี้ หรือต่อให้ได้แต่งงานก็ขอให้ได้แต่งกับคุณหนูตระกูลใหญ่ที่ไม่มีอำนาจใดๆ มีเพียงชื่อเสียงลอยๆ อย่างสวีชิงเจ๋อเป็นใช้ได้ หรือไม่เช่นนั้น ก็ให้แต่งงานกับองค์หญิงสักองค์  


 


 


เมื่อคิดได้เช่นนี้ เยี่ยหลีจึงเงยหน้าขึ้นถามว่า “ยามนี้ในวังมีองค์หญิงที่ยังไม่ออกเรือนหรือไม่เพคะ” 


 


 


           ม่อซิวเหยาพยักหน้า “พระธิดาองค์สุดท้องในฮ่องเต้พระองค์ก่อน องค์หญิงหลินหลาง กับพระธิดาองค์โตในฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน องค์หญิงฟางเฟย ปีนี้ชันษาสิบสองปีแล้ว ทำไมหรือ” 


 


 


           เยี่ยหลีส่ายหน้า หวังว่านางจะคิดมากไปเอง คงเป็นไปได้ยากที่สวีชิงเฉินจะได้แต่งงานกับเด็กสาวที่อายุเพียงสิบสองปี แต่ว่ายังมีสวีชิงปั๋วกับสวีชิงเหยียน… 


 


 


           เพียงเห็นสีหน้าของเยี่ยหลี ม่อซิวเหยาก็เดาได้ทันทีว่านางกำลังคิดอันใดอยู่ จึงพยักหน้า “ปีนั้นฮ่องเต้หรือแม้แต่ฮ่องเต้องค์ก่อนเคยตรัสว่าจะยกองค์หญิงให้สมรสกับสวีชิงเฉินจริง แต่ท่านชิงอวิ๋นปฏิเสธไป”  


 


 


การที่ตระกูลสวีไม่แต่งงานกับราชนิกุลสาวนั้นถือเป็นตัวอย่างพิเศษของตระกูลใหญ่แห่งแผ่นดินต้าฉู่ เพราะหากแต่งไปแล้วนั่นก็เท่ากับว่าต่อแต่นี้ไปจะไม่เกี่ยวข้องใดๆ กับอำนาจและราชสำนักอีก จะได้ก็แต่เพียงขึ้นชื่อว่าเป็นราชบุตรเขยและได้ใส่เสื้อผ้าดีๆ มีอาหารรสเลิศกินเท่านั้น ซึ่งนับเป็นฝันร้ายของชายหนุ่มตระกูลใหญ่ที่มีอุดมการณ์และความทะเยอทะยานโดยแท้  


 


 


ทว่าก็มีตระกูลใหญ่ที่มีอำนาจจำนวนไม่น้อยที่ยินดีให้บุตรชายสายหลักคนรองที่ไม่มีสิทธิ์ในการสืบทอดตระกูลแต่งงานกับองค์หญิง เพราะนั่นหมายความว่าสายเลือดของตระกูลจะหลอมรวมเข้ากับสายเลือดของราชวงศ์ และนั่นจะนำมาซึ่งความเมตตาของฮ่องเต้และความมีชื่อเสียงของตระกูล แต่ตระกูลสวีที่รุ่งเรืองมาถึงสองรัชสมัยและกินเวลาหลายนับร้อยปีนั้นปฏิเสธที่จะแต่งงานกับองค์หญิงมาแล้วอย่างน้อยห้าครั้ง นับแต่ร้อยปีก่อนที่ประมุขตระกูลสวีได้ตั้งกฎของตระกูลขึ้นว่าห้ามบุตรชายตระกูลสวีแต่งงานกับเชื้อพระวงศ์เป็นอันขาด ต่อให้เป็นบุตรชายสายรองก็ไม่ได้เด็ดขาด ดังนั้น ราชนิกุลทั้งหลายจึงไม่หาเรื่องใส่ตัวด้วยการยกเรื่องจะให้องค์หญิงแต่งงานกับตระกูลสวีขึ้นมาอีก 


 


 


           “ในวังคงรู้เรื่องที่พวกท่านลุงใหญ่เข้าเมืองกันมาแล้วสินะเพคะ” เยี่ยหลีเอ่ยถาม 


 


 


           ม่อซิวเหยาพยักหน้า “ถึงแม้จะบอกว่าเป็นการเข้าเมืองส่วนตัว แต่ท่านหงอวี่ก็ไม่ได้ตั้งใจปิดการเดินทางครั้งนี้ไว้เป็นความลับ เรื่องเช่นนี้หากจะสืบกันจริงๆ ก็คงปิดไม่ได้ เจ้ากรมเยี่ยจงรักภักดีต่อฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน หากปิดบังไป รังแต่จะทำให้เคลือบแคลงใจเปล่าๆ” 


 


 


           เยี่ยหลียิ้ม “ที่ท่านพูดมามีเหตุผลนัก กลับไปข้ายังต้องไปคารวะท่านลุงใหญ่ และมีหลายเรื่องที่อยากขอคำแนะนำจากท่านพอดี” 


 


 


           “ฝากความเป็นห่วงจากข้าไปให้ท่านหงอวี่ด้วย” 

 

 

 


ตอนที่ 46-3

 

ณ เรือนฟังอี๋ของหวังซื่อ เยี่ยอิ๋งซบอยู่กับอกของหวังซื่อ ร้องไห้คร่ำครวญอย่างน่าสงสาร หวังซื่อโบกมือให้สาวใช้ในห้องหลบออกไป นางกอดบุตรสาวแนบอกด้วยความปวดใจ “อิ๋งเอ๋อร์ ลูกเป็นอันใดไป เพิ่งแต่งงานได้ไม่เท่าไร เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ หรือว่าท่านอ๋องรังแกอะไรลูก”  


 


 


เยี่ยอิ๋งเงยหน้าขึ้นมองสีหน้าที่ทั้งรักทั้งเป็นห่วงของท่านแม่ ยิ่งร้องไห้ด้วยความเศร้าโศกเสียใจหนักขึ้น “ฮือๆ…ท่านแม่ อิ๋งเอ๋อร์เป็นทุกข์นัก…” 


 


 


           “ลูกเป็นอันใดกันแน่ หรือหลีอ๋องรังแกลูกจริงๆ คนดี ไม่ต้องกลัวไปนะ ประเดี๋ยวพวกเราไปบอกท่านพ่อของเจ้ากัน ท่านพ่อรักลูกที่สุด ต้องช่วยลูกออกหน้าเป็นแน่” หวังซื่อรีบเอ่ยปลอบ 


 


 


           “เยี่ยอิ๋งเช็ดน้ำตาพร้อมกล่าวว่า “ท่านพ่อจะช่วยอันใดได้ ท่านจะกล้าทำอันใดตำหนักหลีอ๋องหรือ คราแรกที่ตำหนักหลีอ๋องนำของมาหมั้นแบบส่งๆ ท่านยังไม่ว่าอันใดสักคำ! ท่านพ่อไม่ได้รักลูกหรอก” 


 


 


           หวังซื่อไม่รู้จะพูดเช่นใดดี ที่ว่าของหมั้นจากตำหนักหลีอ๋องน้อยไปนั้นก็เมื่อนำมาเปรียบกับของตำหนักติ้งอ๋องที่เตรียมมาอย่างยิ่งใหญ่นั่นต่างหาก ของหมั้นที่เสียนเจาไท่เฟยเป็นคนตระเตรียมด้วยตนเองถึงอย่างไรก็มิอาจทำให้ตำหนักหลีอ๋องเสียหน้าได้ อีกอย่าง ยามนั้นเยี่ยอิ๋งเองก็ดูพอใจดี เพียงนางเห็นว่าตำหนักติ้งอ๋องให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ถึงขนาดไปเชิญฮว่ากั๋วกงกับท่านผู้อาวุโสซูมาเป็นผู้ใหญ่หมั้นหมายให้ เยี่ยอิ๋งจึงรู้สึกว่าตนเสียหน้าที่สู้เยี่ยหลีไม่ได้ก็เท่านั้น 


 


 


           ถึงแม้ในใจหวังซื่อเองก็รู้สึกไม่สบายใจเท่าไร แต่ก็ยังรู้ว่าอะไรสมควรไม่สมควร จึงได้แต่ลูบหลังเยี่ยอิ๋งที่กำลังร่ำไห้สะอึกสะอื้นเบาๆ  


 


 


“เด็กโง่ เรื่องนี้จะโทษท่านพ่อเจ้าได้อย่างไร ของหมั้นจากตำหนักหลีอ๋องไม่ได้มีอันใดไม่เหมาะสม เจ้าเองก็รู้ดีมิใช่หรือ ต่อให้มีอันใดไม่เหมาะสมจริง ท่านพ่อกับท่านย่าของเจ้าจะปล่อยให้เจ้าออกเรือนไปทั้งอย่างนั้นได้อย่างไร เพียงแต่ฤกษ์แต่งงานของนังเด็กเยี่ยหลีนั่นกำหนดไว้หลังเจ้า ตำหนักติ้งอ๋องก็ต้องรักษาหน้าด้วยการจัดของหมั้นให้นางมากกว่าของเจ้าหน่อยเท่านั้น เจ้าลองคิดดูดีๆ สิ นอกจากของหมั้นพวกนั้นแล้วนางมีอะไรอีก หลีอ๋องเป็นพระอนุชาร่วมอุทรของฮ่องเต้ เก่งกาจทั้งด้านบุ๋นและบู๊ รูปร่างหน้าตาก็ไม่เป็นสองรองใครในเมืองหลวง ส่วนติ้งอ๋องนั้นทุกวันนี้ก็เป็นเพียงท่านอ๋องที่อยู่ว่างๆ ไร้ทั้งอำนาจและบารมี แล้วยังต้องนั่งเก้าอี้รถเข็น หนำซ้ำใบหน้าก็เสียโฉม ไม่ว่าด้านใดเจ้าก็ดีกว่านางทั้งนั้นมิใช่หรือ” 


 


 


           เยี่ยอิ๋งกัดปากอมชมพูดของตนอย่างน่าสงสาร ก่อนกล่าวเสียงเบาว่า “แต่ว่า…ในตำหนักของท่านอ๋องมีอนุอยู่แล้วตั้งหลายคนนะเจ้าคะ” 


 


 


           หวังซื่ออึ้งไป รีบเปลี่ยนเป็นยิ้มก่อนกอดเยี่ยหลีแนบออก “เด็กโง่ ในเรือนบุรุษคนใดบ้างที่ไม่มีสตรีหลายคน เจ้าต้องจำไว้ว่าเจ้าต่างหากคือชายาเอกแห่งหลีอ๋อง เจ้าดูสิ ตระกูลพวกเราเองก็มีสตรีอยู่หลายคนเหมือนกัน แล้วเป็นอย่างไร ก็ถูกแม่จัดการจนอยู่ในโอวาทแม่กันหมดมิใช่หรือ มา เจ้าเล่าให้แม่ฟังดีกว่าว่า หลายวันมานี้เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” 


 


 


           เมื่อพูดถึงชีวิตข้าวใหม่ปลามันของเยี่ยหลี จะใช้คำว่าน่าสงสารก็คงอธิบายออกมาได้ไม่หมด ในวันเสกสมรส เจ้าบ่าวมารับตัวช้ากว่าฤกษ์มงคล ในระหว่างพิธีเจ้าบ่าวเป็นลมไปอีกก็ยังไม่เท่าไร หลังจากม่อจิ่งหลีเป็นลมไปและถูกพาตัวเข้าห้องหอแล้ว ก็ได้เชิญหมอหลวงมาดูอาการและจัดการให้ดื่มยา ทว่าก็ยังไม่ฟื้น  


 


 


           เจ้าสาวหมาดๆ อย่างเยี่ยอิ๋งจำต้องเปิดผ้าคลุมหน้าออกด้วยตนเอง อย่าว่าแต่ร่วมหอเลย แม้แต่เวลาพักผ่อนสักเล็กน้อยก็ยังไม่มี ต้องรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าแต่งหน้าแต่งตัวออกไปทำความเคารพเสียนเจาไท่เฟย  


 


 


เสียนเจาไท่เฟยไม่ชอบสะใภ้คนนี้เป็นทุนเดิม ยิ่งเห็นเยี่ยอิ๋งแต่งหน้ามาหนา แต่ก็ยังมิอาจบดบังสีหน้าไม่พอใจของตนไว้ได้ เยี่ยอิ๋งจึงถูกต่อว่าทันที เริ่มตั้งแต่วิจารณ์การแต่งเนื้อแต่งตัว กิริยามารยาททุกอย่างอย่างไม่มีชิ้นดี และที่ทำให้นางทนไม่ได้ที่สุดคือคนที่เสียนเจาไท่เฟยนำมาเปรียบกับนางก็คือคนที่เยี่ยอิ๋งเกลียดที่สุดอย่างเยี่ยหลี  


 


 


จากเดิมที่เยี่ยอิ๋งมั่นใจในตนเองเต็มที่ เมื่อได้ฟังเสียนเจาไท่เฟยพูดถึงเยี่ยหลีว่าวันวานนางมีกิริยาท่าทางงามสง่าเพียงใด ส่วนเยี่ยอิ๋งนั้นไม่ระวังกิริยาและสะเพร่าเพียงใด เยี่ยหลีพูดจามีหลักการ ส่วนเยี่ยอิ๋งนั้นไม่รู้จักอะไรสมควรไม่สมควร ในที่สุดเยี่ยอิ๋งทนไม่ได้และเถียงกลับไป ทำให้เสียนเจาไท่เฟยโกรธจนลมแทบออกหู เมื่อนางนำน้ำชามาคารวะก็ให้นางคุกเข่าอยู่อย่างนั้นนานกว่าครึ่งเค่อ[1] จนสุดท้ายม่อจิ่งหลีรอจนทนไม่ได้จึงให้เยี่ยอิ๋งลุกขึ้น  


 


 


หากเป็นเยี่ยหลีแล้ว คงได้พูดกับเยี่ยอิ๋งว่า เด็กน้อยผู้น่าสงสาร เจ้าตกหลุมพรางของเสียนเจาไท่เฟยเสียแล้ว นางตั้งใจข่มเหงเจ้าต่างหาก เสียนเจาไท่เฟยอยู่ในวังมาหลายสิบปีประหนึ่งเป็นปลาในน้ำ จะโกรธง่ายเช่นนั้นได้อย่างไร ดูก็รู้ว่านางจับจุดอ่อนของเยี่ยอิ๋งได้และจี้ได้ถูกจุด จึงถือโอกาสทำให้เยี่ยอิ๋งโกรธ หรือจะพูดอีกอย่างก็คือตั้งใจสำแดงอิทธิฤทธิ์ให้นางเห็น 


 


 


           หากเรื่องโชคร้ายของนางจบลงเพียงเท่านี้ เยี่ยอิ๋งคงไม่อะไรเท่าไร เพียงแต่นางทนปรนนิบัติเสียนเจาไท่เฟยกินอาหารเช้าเสร็จและกลับเรือนของตนแล้ว กลับต้องมาพบกับหญิงสาวสี่ห้าคนที่แต่งกายสวยสดงดงาม ทั้งหน้าตาจิ้มลิ้มกันทุกคนกำลังยืนรอตนอยู่ เยี่ยอิ๋งก็แทบจะกระอักเลือดออกมาเสียให้ได้  


 


 


เยี่ยอิ๋งไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า ม่อจิ่งหลีมีอนุก่อนแต่งงานแล้วถึงห้าคน แล้วนางยังมิอาจจัดการใดๆ กับอนุเหล่านี้ได้ ด้วยกว่าถ้าพวกนางมิใช่คนที่เสียนเจาไท่เฟยประทานก็เป็นคนที่ไทเฮาประทาน ไม่เป็นบุตรสาวสายหลักของข้าราชการชั้นผู้น้อย ก็เป็นบุตรสาวสายรองของข้าราชการระดับสูง  


 


 


เยี่ยอิ๋งคิดถึงถ้อยคำที่ท่านย่าสั่งสอนตนอยู่ตลอดเวลา จึงใช้ความพยายามอย่างเต็มที่ในการข่มอารมณ์โกรธของตนลงแล้วรับการคารวะจากหญิงสาวเหล่านั้น ครั้นกลับเข้าห้อง สิ่งที่รอนางอยู่มิใช่สามีที่แสนอ่อนโยน แต่กลับเป็นหัวหน้าพ่อบ้านและเหล่าพ่อบ้านที่ถือสมุดบัญชีเล่มหนายืนรออยู่  


 


 


เยี่ยอิ๋งเป็นสตรีมากความสามารถด้านดนตรี หมากล้อม เขียนอักษร และวาดภาพก็จริง แต่นั่นไม่ได้หมายความว่านางจะเชี่ยวชาญด้านการจัดการและบัญชีของครัวเรือน นางเคยนึกรังเกียจธรรมเนียมโบราณเหล่านี้ที่ทำลายความสง่างามของตน ทว่าสีหน้าขมวดคิ้วพร้อมเบ้ปากของคนดูแลเรื่องราวในตำหนักของเสียนเจาไท่เฟยที่มองนางนั้น ทำให้นางรู้สึกว่าตนโง่เป็นครั้งแรก  


 


 


สองวันให้หลังที่นางยังไม่ทันเข้าใจบัญชีที่ดูจะไม่มีวันจบสิ้นได้อย่างละเอียด เสียนเจาไท่เฟยกลับบอกนางอย่างเลือดเย็นว่า อีกหน่อยนางไม่ต้องยุ่งเรื่องบัญชีพวกนี้แล้ว เยี่ยอิ๋งโล่งใจเป็นที่สุด ทว่าก็รู้ดีว่านางได้สูญเสียอำนาจในการจัดการเรื่องภายในตำหนักหลีอ๋องแล้ว 


 


 


           เมื่อได้ยินเยี่ยอิ๋งเล่าจบ สีหน้าหวังซื่อดูไม่ดีเอาเสียเลย หากเยี่ยอิ๋งไม่มีอำนาจจัดการตำหนักหลีอ๋อง เช่นนั้นตำแหน่งชายาหลีอ๋องก็เป็นเพียงตำแหน่งลอยๆ เท่านั้น เป็นครั้งแรกที่หวังซื่อรู้สึกผิดหวังที่ตนรักและตามใจบุตรสาวคนนี้มากเกินไป หากตนสั่งสอนนางให้มากหน่อยตั้งแต่แรก นางคงไม่เจอปัญหาเช่นนี้ แต่ที่หวังซื่อไม่เข้าใจก็คือ สำหรับเสียนเจาไท่เฟยแล้ว ไม่ว่าจะอบรมสั่งสอนมากน้อยเพียงใด หรือต่อให้เป็นนางไปด้วยตนเองก็ไม่เป็นผล เพราะเยี่ยอิ๋งไม่ได้ถูกวางตัวไว้ให้มีอำนาจอย่างที่ประมุขหญิงแห่งตำหนักอ๋องสมควรมีแต่แรกแล้ว  


 


 


           “เช่นนั้น…หลีอ๋องว่าอย่างไรบ้าง” หวังซื่อดึงมือเยี่ยอิ๋งพลางเอ่ยถาม 


 


 


           เยี่ยอิ๋งปาดน้ำตา “ท่านอ๋องบอกว่าไท่เฟยสงสารที่ลูกอายุยังน้อยจึงช่วยลูกจัดการเรื่องในตำหนักไปก่อน รออีกสองปีเมื่อมีบุตรแล้ว และข้าได้เรียนรู้จนพอใช้ได้แล้วค่อยส่งต่อให้ลูกดูแลก็ยังไม่สายเจ้าค่ะ” 


 


 


           นัยน์ตาหวังซื่อเป็นประกายทันที “ถูกแล้ว เด็กน้อย ท่านอ๋องพูดถูกแล้ว อิ๋งเอ๋อร์ ลูกสมควรมีบุตรชายสายหลักคนโตให้ท่านอ๋องตามที่ท่านว่า ลูกต้องจำไว้ว่า ต้องเป็นบุตรชายสายหลักคนโตเท่านั้น อย่าให้สตรีพวกนั้นคลอดสายเลือดของท่านอ๋องได้ก่อนเจ้าเป็นอันขาด”  


 


 


เยี่ยอิ๋งตกใจ มองหวังซื่อด้วยความลังเล หวังซื่อจึงกล่าวเสียงเบาว่า “เด็กดี เจ้าไม่ต้องกลัวไป แม่จะบอกเจ้าเองว่าต้องทำอย่างไร เจ้าเป็นชายาเอกของหลีอ๋อง การคลอดบุตรชายสายหลักให้ท่านอ๋องเป็นเรื่องที่ถูกที่ควรอยู่แล้ว ฉะนั้นสตรีเหล่านั้นจึงไม่มีสิทธิ์ที่จะตั้งครรภ์ก่อนเจ้า เข้าใจหรือไม่” เมื่อเห็นความเลือดเย็นในแววตาของหวังซื่อ ทำให้เยี่ยอิ๋งพยักหน้ารับอย่างรวดเร็วทันที หวังซื่อจึงค่อยยิ้มออกมาด้วยความพอใจ ดึงเยี่ยอิ๋งให้นั่งลงก่อนอธิบายให้นางฟัง 


 


 


           สองแม่ลูกคนหนึ่งสอน คนหนึ่งฟัง ขณะที่กำลังพูดคุยกันอย่างออกรสอยู่นั้น สาวใช้ที่ยืนอยู่หน้าประตูก็เข้ามารายงานว่านายท่านมาแล้ว 


 


 


 


 


 


 


 


 


[1] หนึ่งเค่อ เท่ากับสิบห้านาที 

 

 

 


ตอนที่ 46-4

 

หวังซื่อดีใจยิ่ง จับมือเยี่ยหลีพร้อมยิ้มว่า “ลูกดูสิ ท่านพ่อของเจ้าถึงอย่างไรก็ยังเป็นห่วงเจ้า” นางรีบดึงเยี่ยอิ๋งให้ลุกขึ้นยืนต้อนรับเจ้ากรมเยี่ย


 


 


เมื่อเจ้ากรมเดินเข้ามาเห็นเยี่ยอิ๋งอยู่ด้วยก็นิ่งอึ้งไป ก่อนพูดว่า “อิ๋งเอ๋อร์ เหตุใดจึงมาอยู่ที่นี่”


 


 


เยี่ยอิ๋งก้มหัวลงด้วยความเสียใจ “อิ๋งเอ๋อร์กลับมาบ้าน ก็ต้องเข้ามาพูดคุยกับท่านแม่ที่นี่สิเจ้าคะ ท่านพ่อคิดว่าลูกสมควรอยู่ที่ใดกัน”


 


 


เจ้ากรมเยี่ยขมวดคิ้วเล็กน้อย อดเหลือบมองเยี่ยอิ๋งอีกทีไม่ได้ เขารู้สึกว่าหลายวันที่ไม่ได้พบหน้าบุตรสาวของตน ดูคล้ายว่านางจะเปลี่ยนไปไม่น้อย จึงสรุปเอาเองว่านางออกเรือนไปและกลายเป็นผู้ใหญ่แล้ว จึงไม่ได้ถามอะไรให้มากความอีก


 


 


           รอจนเจ้ากรมเยี่ยนั่งลงและยกน้ำชามาให้เรียบร้อยแล้ว หวังซื่อถึงได้เอ่ยถามว่า “ท่านพี่ไม่อยู่คุยเป็นเพื่อนฮว่ากั๋วกงกับผู้อาวุโสซู แต่มาเสียที่นี้ด้วยเหตุอันใดหรือเจ้าคะ”


 


 


           เจ้ากรมเยี่ยตอบว่า “กั๋วกงผู้เฒ่ากับผู้อาวุโสซูดื่มเหล้าในงานเสร็จและกลับไปแล้ว ข้าจะมาปรึกษากับเจ้าเรื่องสินเดิมของหลีเอ๋อร์”


 


 


หวังซื่อเริ่มสังหรณ์ใจไม่ดี “สินเดิมของหลีเอ๋อร์หรือ มิใช่ว่าจัดเตรียมเรียบร้อยดีแล้วหรือเจ้าคะ ท่านพี่เห็นว่ายังมีปัญหาอันใดอีกหรือ”


 


 


เจ้ากรมเยี่ยพยักหน้า เหลือบมองเยี่ยอิ๋งที่นั่งอยู่อีกด้าน “ข้าปรึกษากับท่านแม่แล้ว เห็นว่าสินเดิมของเยี่ยหลีสมควรเพิ่มบ้านเข้าไปอีกสองหลัง เรือนอีกหนึ่งหลัง ร้านค้าอีกสองห้อง และเงินอีกแปดพันตำลึง”


 


 


           “อะไรนะ!” หวังซื่อร้องเสียงแหลม อีกนิดก็จะปัดถ้วยชาตรงหน้าเสียแล้ว ขณะที่เยี่ยอิ๋งก็มองเจ้ากรมเยี่ยด้วยสีหน้าเหมือนไม่อยากเชื่อ


 


 


           เจ้ากรมเยี่ยขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ “นี่เป็นความตั้งใจของฮูหยินผู้เฒ่า”


 


 


           หวังซื่อพยายามอย่างเต็มที่ไม่ให้ตนกรีดร้องออกมา นางจับจ้องเจ้ากรมเยี่ยด้วยดวงตาแดงก่ำ “เหตุใดกัน เย่ว์เอ๋อร์กับอิ๋งเอ๋อร์เป็นบุตรสาวสายหลักเช่นเดียวกัน เป็นหลานแท้ๆ ของฮูหยินผู้เฒ่า ฮูหยินผู้เฒ่าจะไม่เลือกที่รักมักที่ชังเกินไปหน่อยหรือเจ้าคะ เย่ว์เอ๋อร์อยู่ในวังยังไม่เท่าไร แต่นี่อีกหน่อยจะให้อิ๋งเอ๋อร์อยู่ในตำหนักหลีอ๋องด้วยฐานะเช่นไร”


 


 


เจ้ากรมเยี่ยพูดด้วยความรำคาญว่า “เจ้าพูดจาไร้สาระอันใด เรื่องสินเดิมของอิ๋งเอ๋อร์เป็นเช่นไรเจ้าก็รู้ดีแก่ใจ เจ้าเพิ่มสินเดิมเข้าไปอีกเท่าไรคิดว่าข้ากับฮูหยินผู้เฒ่าไม่รู้หรือ”


 


 


หวังซื่อพูดเสียงเบาอย่างขัดใจว่า “ของหลีเอ๋อร์ก็มีเพิ่มเข้าไปเช่นกันมิใช่หรือเจ้าคะ คราวคุณหนูใหญ่ออกเรือนไป สินเดิมยังไม่ได้เศษที่นางได้เลยด้วยซ้ำ”


 


 


           เจ้ากรมเยี่ยเอ่ยเสียงเย็นว่า “สินเดิมที่ท่านแม่ของหลีเอ๋อร์ทิ้งไว้ให้เจินเอ๋อร์หายไปที่ใดเจ้าไม่รู้หรือ อีกอย่าง สินเดิมของหลีเอ๋อร์ส่วนมากก็เป็นของที่ท่านแม่ของนางทิ้งไว้ให้ทั้งนั้น เป็นของที่มาจากตระกูลสวี แต่ของอิ๋งเอ๋อร์เป็นของตระกูลเยี่ยทั้งสิ้น!”


 


 


           “ท่านพี่…” หวังซื่อมองเจ้ากรมเยี่ยด้วยสีหน้าเจ็บปวด ร่างกายดูโอนเอนคล้ายจะทรงตัวไม่อยู่ “ข้ารู้อยู่แล้ว…ว่าท่านพี่ดูถูกข้ามาโดยตลอด ก็เพราะตระกูลเดิมของข้ายากจน ไม่ร่ำรวยเหมือนตระกูลพี่สาว…” ยังไม่ทันพูดจบ หวังซื่อก็ร่ำไห้จนน้ำตาหยดเป็นสาย “ฮือๆ…ถ้าข้ารู้เช่นนี้แต่แรกว่าจะทำให้บุตรสาวของข้าถูกท่านพี่ดูถูกด้วยเช่นนี้ ข้า…สู้ข้าตายไปเสียแต่แรกยังดีเสียกว่า…”


 


 


           “เจ้าพูดจาเหลวไหลอันใดกัน!” เมื่อเห็นภรรยาของตนร้องไห้ด้วยความเจ็บปวดเช่นนี้ เจ้ากรมเยี่ยก็ใจอ่อนลงทันที คิดถึงว่าช่วงนี้ตนเพิกเฉยนางด้วยเรื่องของจ้าวซื่อ จึงจำใจเอ่ยขึ้นอย่างช่วยไม่ได้


 


 


           หวังซื่อน้ำตารื้นพลางมองเจ้ากรมเยี่ยด้วยสายตาต่อว่า “หรือว่าเมื่อครู่ท่านพี่ไม่ได้ดูถูกข้า”


 


 


           เจ้ากรมเยี่ยตอบว่า “อยู่ดีๆ อย่าคิดอันใดเหลวไหลเช่นนี้ ข้าดูถูกเจ้าเมื่อไรกัน”


 


 


           หวังซื่อจึงได้หยุดร้องไห้ มองเจ้ากรมเยี่ยด้วยความซาบซึ้งใจ “ปี้เอ๋อร์รู้ว่าถึงอย่างไรท่านพี่ก็จะดีกับปี้เอ๋อร์เสมอ”


 


 


           เจ้ากรมเยี่ยเหลือบมองเยี่ยอิ๋ง ฝืนส่งเสียงอืมตอบรับ


 


 


เยี่ยอิ๋งที่นั่งอยู่อีกด้านดูคล้ายกำลังคิดอะไรอยู่ นางเองก็ตกใจกับมารยาที่ท่านแม่ของตนใช้มัดใจท่านพ่ออยู่เหมือนกัน ถึงแม้นางอยู่ในเหตุการณ์และเห็นว่าที่ท่านแม่ทำท่าทางเขินอายราวสาวน้อยแรกแย้มเช่นนี้ จะรู้สึกรับไม่ได้อยู่บ้าง แต่ที่ชัดเจนเลยคือท่านพ่อแพ้ทางนางที่เป็นเช่นนี้ ภาพเมื่อครั้งที่ฮูหยินใหญ่ยังอยู่นั้นนางจำได้ดี จะว่าเยี่ยอิ๋งคิดและพยายามจะรักษาท่าทางให้ได้อย่างฮูหยินใหญ่ก็ว่าได้ ดังนั้นนางจึงไม่เข้าใจมาตลอดว่าเหตุใดท่านพ่อถึงรังเกียจสตรีที่งดงามและมากความสามารถเช่นฮูหยินใหญ่ แต่กลับนึกรักใคร่เอ็นดูท่านแม่ของตน บางครานางถึงกับคิดว่าตนกำลังพยายามในทางที่ผิดอยู่หรือไม่ ครั้นโตขึ้น นางเป็นที่ชื่นชมในหมู่คุณหนูแห่งเมืองหลวงและเห็นสายตาชื่นชมจากเหล่าบุรุษที่ส่งมาทำให้นางเข้าใจว่านางไม่ได้วางตนผิด


 


 


           “ท่านพี่ เช่นนั้น…เรื่องสินเดิมของหลีเอ๋อร์…”


 


 


           เจ้ากรมเยี่ยขมวดคิ้ว “นี่เป็นเรื่องที่ฮูหยินผู้เฒ่าตัดสินใจแล้ว ถ้าเจ้ามีความเห็นเป็นอื่นก็ไปบอกฮูหยินผู้เฒ่าเองก็แล้วกัน” ถึงแม้เรื่องส่วนตัวในจวน เขาจะไม่ค่อยได้เรื่องได้ราวเท่าไร แต่กับเรื่องที่เป็นงานเป็นการแล้วยังนับว่าพอได้เรื่องได้ราวอยู่บ้าง จึงรีบอ้างฮูหยินผู้เฒ่าขึ้นมาเป็นเกราะกำบังทันที


 


 


           แน่นอนว่าหวังซื่อไม่กล้าไปถามเยี่ยฮูหยินผู้เฒ่า หากนางกล้าท้าทายเยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าจริง หลายปีมานี้นางคงหาทางจัดการแม่สามีแก่ๆ ที่ชอบใช้จมูกมองนาง แล้วยังชอบบงการโน่นนี่ไปนานแล้ว


 


 


           เมื่อเห็นทั้งภรรยาและบุตรสาวต่างน้อยใจแต่ไม่กล้าเอ่ยปากเช่นนี้ เจ้ากรมเยี่ยจึงได้แต่ถอนใจ “เจ้าก็เห็นอยู่ว่าของหมั้นที่ตำหนักติ้งอ๋องส่งมาเป็นอย่างไร ถึงแม้จะมีสินเดิมของมารดานางช่วยเอาไว้ ทำให้คนนอกดูไม่ออก แต่ตระกูลใหญ่ที่ร่ำรวยและมีอำนาจในเมืองหลวงตระกูลใดบ้างที่ไม่รู้ที่มาที่ไป หากมีข่าวไม่ดีแพร่ออกไป ตระกูลเยี่ยของพวกเราคงไม่ต้องอยู่เป็นผู้เป็นคนในเมืองหลวงกันพอดี”


 


 


ละโมบของหมั้นมากมายของบ้านบุตรเขย แต่กลับไม่ยอมควักสินเดิมให้ติดตัวไปอย่างเหมาะสม คงได้ถูกคนวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างสนุกปาก


 


 


           หวังซื่อคิดถึงรายการของหมั้นที่ยาวเป็นหางว่าวของตำหนักติ้งอ๋องแล้ว นางจำต้องยอมรับว่าถึงแม้ตำหนักติ้งอ๋องจะถดถอยลงมากก็จริง ทว่ายังคงเป็นตระกูลใหญ่ที่มีกิจการใหญ่โตและมีพื้นเพร่ำรวยมหาศาลทีเดียว


 


 


           “หากเรื่องนี้แพร่ออกไป คนที่ดูไม่ดีมิใช่ตำหนักติ้งอ๋องหรือหลีเอ๋อร์ แต่จะเป็นตระกูลเยี่ยของพวกเรา รวมถึงเจาอี๋ในวังด้วย” เจ้ากรมเยี่ยพูดต่อ


 


 


           เพียงพูดถึงเยี่ยเจาอี๋ที่อยู่ในวัง สีหน้าหวังซื่อก็หวั่นไหวทันที เพียงแต่เมื่อคิดว่าจะต้องควักเงินออกไปทีเดียวหลายหมื่นตำลึงเช่นนั้นก็ให้รู้สึกเจ็บปวดในใจยิ่งนัก เมื่อตรึกตรองได้พักหนึ่ง จึงพูดด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “ท่านพี่และฮูหยินผู้เฒ่าไตร่ตรองรอบคอบแล้ว เป็นข้าที่คิดไม่รอบคอบเอง ขอท่านพี่อย่าได้ถือโทษเลยเจ้าค่ะ จัดการตามที่ท่านพี่ว่าเถิด ยามนี้ข้าก็ไม่มีกะจิตกะใจจะจัดการเรื่องเหล่านี้แล้ว”


 


 


           เจ้ากรมเยี่ยได้ฟังเช่นนี้ ก็หันมองนางด้วยความประหลาดใจทันที “เพราะเหตุใดหรือ มีเรื่องอันใดเกิดขึ้นกับอิ๋งเอ๋อร์หรือ”


 


 


           หวังซื่อดึงเยี่ยอิ๋งเข้ามา พร้อมเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นภายในตำหนักหลีอ๋องให้ฟังโดยละเอียด เมื่อเจ้ากรมเยี่ยได้ฟังก็อดนึกโกรธจนลมออกหูไม่ได้ เยี่ยอิ๋งอาจดูไม่ออกว่าเสียนเจาไท่เฟยตั้งใจจะยึดอำนาจในการจัดการตำหนักคืน แต่มีหรือที่หวังซื่อและเจ้ากรมเยี่ยจะดูไม่ออก ใครกันจะเคยได้ยินว่าสะใภ้แต่งเข้าไปวันแรกก็ต้องจัดการเรื่องบัญชีภายในบ้านเสียแล้ว ไม่เพียงเท่านั้น สองวันให้หลังก็ตัดสินเสียแล้วว่าเยี่ยอิ๋งไม่เหมาะกับการจัดการเรื่องในตำหนัก แม้แต่แม่สามีที่ร้ายกาจที่สุดยังไม่ทำถึงขนาดนี้เลย


 


 


           “จะรังแกกันเกินไปแล้ว! ข้าจะไปพบหลีอ๋อง เขาจะต้องให้คำอธิบายแก่ตระกูลเยี่ยของพวกเราให้จงได้!” เจ้ากรมเยี่ยกล่าวด้วยความโกรธ


 


 


           เยี่ยอิ๋งรีบเข้ามาดึงเจ้ากรมเยี่ยไว้ไม่ให้ออกไป เจ้ากรมเยี่ยขมวดคิ้ว “อิ๋งเอ๋อร์ นี่เจ้าทำอันใด” เยี่ยอิ๋งพูดเสียงต่ำว่า “ท่านพ่อ เรื่องนี้พักไว้ก่อนเถิดเจ้าค่ะ ท่านอ๋องรับปากไท่เฟยแล้ว หากท่านไปพูดยามนี้ก็รังแต่จะทำให้ท่านอ๋องไม่พอพระทัย” เมื่อได้ร่ำไห้ไปยกหนึ่ง และหวังซื่ออธิบายให้นางฟังแล้ว เยี่ยหลีจึงเข้าใจทันทีว่าที่พึ่งของนางในยามนี้มีเพียงม่อจิ่งหลีเท่านั้น ดังนั้นจึงมิอาจทำให้เขาไม่พอใจ


 


 


           “จะให้เรื่องแล้วไปแล้วเช่นนี้หรือ” เจ้ากรมเยี่ยเอ่ยถาม เมื่อเทียบม่อซิวเหยาที่ดูสุภาพมีมารยาทกับม่อจิ่งหลีที่ดูท่าทางไม่เห็นหัวผู้ใดแล้ว เจ้ากรมเยี่ยยิ่งรู้สึกไม่พอใจบุตรเขยคนนี้เข้าไปใหญ่ เหตุใดติ้งอ๋องจำต้องอยู่ในฐานะเช่นนี้ด้วย เจ้ากรมเยี่ยคิดด้วยความเสียดาย


 


 


           “อิ๋งเอ๋อร์จะคิดหาทางก่อนเจ้าค่ะ หากไม่ไหวจริงๆ จะขอให้ท่านพ่อช่วยออกหน้าให้อีกทีนะเจ้าคะ”


 


 


           เจ้ากรมเยี่ยถอนหายใจแผ่วเบา พูดกับบุตรสาวด้วยความสงสารว่า “เอาเถิด ถึงแม้หลีอ๋องจะเป็นโอรสแท้ๆ ของไทเฮา แต่พวกเราก็ไม่จำเป็นต้องเกรงกลัวเขาเพียงนั้น ฮ่องเต้มิใช่ผู้ที่ไม่รับสั่งกันด้วยเหตุด้วยผล หากไม่ไหวจริงๆ พวกเราค่อยกราบทูลขอให้ฮ่องเต้ช่วยออกพระพักตร์ให้ก็แล้วกัน ก่อนกลับเตรียมเงินให้อิ๋งเอ๋อร์ไปใช้หน่อยก็แล้วกัน”


 


 


           “เจ้าค่ะ ข้าขอบคุณท่านพี่แทนอิ๋งเอ๋อร์ด้วยเจ้าค่ะ”

 

 

 


ตอนที่ 47-1

 

        การคาดการณ์ของม่อซิวเหยาแม่นยำนัก หลังจากวันที่นำของไปหมั้นหมายได้เพียงสองวันก็มีคนมาถ่ายทอดบัญชาของเยี่ยเจาอี๋ว่ามีความประสงค์จะพบหน้าน้องสาม ให้เชิญน้องสามเข้าวัง ทว่าคนที่อยากเจอนางจริงๆ คือผู้ใดนั้น เยี่ยหลีย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจ สมัยที่ยังอยู่บ้านเดียวกัน เยี่ยเย่ว์กับนางไม่ได้ไม่ถูกกันจนถึงขั้นรู้กันไปทั่ว แต่ที่แน่ๆ คือไม่ได้ดีไปกว่ากับเยี่ยอิ๋งแน่นอน ทว่าน่าเสียดายที่เยี่ยเย่ว์ยังเป็นเพียงเจาอี๋ แต่สำหรับเยี่ยหลีที่ยังไม่ได้เป็นชายาติ้งอ๋องอย่างเป็นทางการนั้นมิอาจปฏิเสธบัญชาของนางได้ นางจึงจำต้องถือคำสั่งกลับเรือนของตนเพื่อไปเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าที่เหมาะสม พร้อมนำชิงหลวนและชิงอวี้ติดตามขันทีที่มาถ่ายทอดบัญชาเข้าวังไป


 


 


           เมืองหลวงของฉู่อยู่ทางตอนเหนือของแผ่นดินต้าฉู่ วังหลวงตั้งตระหง่านอย่างใหญ่โตและโอ่อ่า เพียงลงจากรถม้าบรรยากาศแห่งความยิ่งใหญ่ก็รอต้อนรับทันที แตกต่างจากบ้านผู้ดีมีตระกูลทั่วไปที่ตกแต่งอย่างประณีตงดงาม ด้วยในวังนี้เต็มไปด้วยกลิ่นอายของความยิ่งใหญ่และกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา


 


 


           มังกรห้าเล็บที่ถูกแกะสลักยึดครองพื้นที่ล้อมรอบเสาหินอยู่นั้น ประหนึ่งกำลังย้ำเตือนคนทั้งใต้หล้าถึงอำนาจแห่งฮ่องเต้ที่มิอาจขัดขืน ไม่ว่าผู้ใดที่มาที่นี่เป็นครั้งแรกย่อมนึกประหวั่นพรั่นพรึงถึงความโอ่อ่าตระการตา แต่สำหรับเยี่ยหลีที่เคยเห็นสถาปัตยกรรมที่สูงเป็นร้อยฉื่อ* และโบราณสถานอันยิ่งใหญ่ของทั้งต้าฉู่และแคว้นอื่นๆ มาจนชินตาแล้วนั้นเพียงนึกชื่นชมในใจเท่านั้น


 


 


           เยี่ยหลีลงจากรถม้าที่หน้าประตูวัง ก่อนเดินตามขันทีนำทางเข้าวังไป ระหว่างทางคอยมองสำรวจบรรยากาศโดยรอบของวังหลวงโดยมิให้ผู้ใดล่วงรู้ พร้อมพยายามจดจำตำแหน่งที่อยู่ของตนเองไปด้วย


 


 


           หลังจากเดินผ่านประตูวังชั้นแล้วชั้นเล่า ในที่สุดก็มาหยุดอยู่ที่หน้าตำหนักหรูหราหลังหนึ่ง เยี่ยหลีเงยหน้าขึ้นมองป้ายเหนือประตูเขียนว่า ตำหนักเหยาหวา เยี่ยหลีจำได้ว่าเยี่ยเย่ว์พำนักอยู่ในตำหนักเหยาหวานี้เอง


 


 


           “คุณหนูสามตระกูลเยี่ยโปรดรอสักครู่ พวกเราขอเข้าไปรายงานก่อน” ขันทีนำทางเอ่ยเสียงแหลม


 


 


           เยี่ยพลีหยักหน้า “เชิญกงกง**ตามสบาย”


 


 


           ขันทผู้นั้นหายเข้าไปรายงาน แต่ไม่ได้กลับออกมาอย่างรวดเร็ว เยี่ยหลียืนรออยู่เกือบชั่วธูปหนึ่งดอก*** ก็ยังไม่เห็นผู้ใดเดินออกมา


 


 


ชิงอวี้เอ่ยถามเสียเบาว่า “คุณหนู นี่เจาอี๋ทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรเจ้าคะ!”


 


 


ชิงหลวนรีบเอ่ยต่อว่า “อย่าพูดมากไป คุณหนูยังไม่ว่าอะไรเลย เจ้าจะพูดมากไปใย”


 


 


ชิงอวี้เองรู้ดีว่าสถานที่เช่นวังหลวงไม่เหมือนอยู่บ้านที่สามารถพูดอะไรได้ตามใจ จึงกะพริบตาปริบๆ อย่างรู้สึกผิด แล้วปิดปากเงียบไม่กล้าพูดอันใดอีก


 


 


           เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ “ใจเย็นๆ ไม่ต้องรีบร้อน”


 


 


ชิงหลวนมีท่าทีลังเลเล็กน้อย มองซ้ายมองขวาก่อนพูดขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “คุณหนู หรือว่าเจาอี๋…”


 


 


เยี่ยหลียิ้มพร้อมส่ายหน้า “เยี่ยเจาอี๋ไม่ใช้ลูกไม้ตื้นๆ เช่นนี้หรอก”


 


 


ชิงอวี้และชิงหลวนต่างฉลาดด้วยกันทั้งคู่ เมื่อได้ฟังเยี่ยหลีกล่าวเช่นนี้ก็เข้าใจทันที ทั้งคู่จึงหุบปากลงและไม่กล้าพูดอันใดอีก กับอีแค่ยืนรอเท่านั้น พวกนางคนหนึ่งฝึกวิชาบู๊ ส่วนอีกคนก็ศึกษาวิชาแพทย์มาตั้งแต่เด็ก ไม่ใช่คนอ่อนแอที่โดนลมนิดลมหน่อยไม่ได้สักหน่อย


 


 


           ผ่านไปอีกกว่าครึ่งเค่อ ก็ยังคงไม่มีคนออกมาจากตำหนักเหยาหวา แต่กลับมีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งเดินมาเข้าแทน ดูจากรูปขบวนก็รู้ได้ว่าต้องเป็นชนชั้นสูงแน่นอน พวกเยี่ยหลีทั้งสามคนหลบฉากออกไปยืนข้างๆ เพื่อไม่ให้ชนเข้ากับขบวนที่เดินมา กลุ่มคนคณะนั้นเดินมาถึงหน้าประตูตำหนักเหยาหวาในเวลาอันสั้น นางกำนัลและขันทีกลุ่มใหญ่เดินล้อมหน้าล้อมหลังสตรีสองนางที่แต่งตัวตามแบบสาวชาววังเข้ามา สตรีทั้งสองหยุดอยู่หน้าเยี่ยหลี


 


 


สตรีที่อยู่ในชุดสีฟ้ามองสำรวจเยี่ยหลีด้วยความสนใจ “เอ๋ คุณหนูท่านนี้หน้าตาไม่คุ้นเลย เหตุใดจึงมายืนอยู่ที่นี่ได้เล่า”


 


 


เยี่ยหลีจำต้องเดินขึ้นหน้ามาทำความเคารพ “บุตรสาวคนที่สามแห่งเจ้ากรมอากร เยี่ยหลีคารวะพระสนมทั้งสองเพคะ”


 


 


           “ที่แท้ก็ชายาติ้งอ๋องในอนาคตนี่เอง พวกเราคงมิกล้ารับการคารวะหรอก” สตรีในชุดชาววังอีกนางหนึ่งรีบเอ่ยขึ้น ก่อนยกมือขึ้นปิดปากยิ้ม “คุณหนูสามตระกูลเยี่ยเหตุใดจึงมายืนอยู่ที่นี่ได้ มาเยี่ยมเยี่ยเจาอี๋หรือ”


 


 


           เยี่ยหลียิ้มพร้อมพยักหน้า “ข้าได้รับบัญชาจากเจาอี๋ให้มาเข้าเฝ้าเพคะ”


 


 


           “ถ้าเช่นนั้นพวกเราเข้าไปด้วยกันเลยก็แล้วกัน” สตรีในชุดสีฟ้าพูดพร้อมเข้ามาจับมือเยี่ยหลี


 


 


เยี่ยหลีอมยิ้ม “เยี่ยหลีเพิ่งเข้าวังครั้งแรก ไม่รู้กฎระเบียบ หากเจาอี๋ยังไม่เรียกให้เข้าไปพบก็ยังมิกล้าเข้าไปเจ้าค่ะ พระสนมทั้งสองอย่างได้เสียเวลาเลย อย่างไรเยี่ยหลีก็ขอขอบพระทัยอีกครั้งเพคะ”


 


 


ทั้งสองหันมองหน้ากัน ก่อนสตรีในชุดสีชมพูจะเอ่ยขึ้นว่า “ถ้าเช่นนั้นพวกเราเข้าไปกันก่อนก็แล้วกัน พี่เจาอี๋กำลังตั้งครรภ์จึงอ่อนเพลียง่าย เกรงว่านางจะหลับไปแล้วพวกบ่าวไม่กล้ารบกวนเป็นแน่ คุณหนูสามรอสักครู่ก็แล้วกัน”


 


 


           “ขอบพระทัยเพคะ”


 


 


           “คุณหนู เหตุใดพวกเราถึงไปตามพวกนางเข้าไปเล่าเจ้าคะ” ชิงอวี้ถามขึ้นเสียงเบา ไม่รู้ว่านางคิดไปเองหรือเปล่า แต่นางรู้สึกว่าเส้นทางนี้ดูจะมีคนเดินผ่านไปผ่านมามากกว่าตอนที่พวกนางเพิ่งมาถึงไม่น้อย


 


 


           เยี่ยหลีหันหน้าไปมองนาง ถามกลั้วหัวเราะ “เจ้าว่าถ้าพวกเราตามเข้าไปจะโดนไล่ออกมาหรือไม่”


 


 


           “คง…ไม่กระมังเจ้าคะ” ชิงอวี้พูดด้วยความไม่แน่ใจ หากคุณหนูตระกูลเยี่ยถูกไล่ออกมา แน่นอนว่าย่อมเสียหน้า แต่เยี่ยเจาอี๋เองก็คงไม่ได้ดีไปกว่ากันเท่าไร


 


 


           “นี่…ทางนี้ ทางนี้…”


 


 


           เยี่ยหลีหันไปตามเสียง ตรงพุ่มไม้ห่างจากกำแพงตำหนักไปไม่ไกล มีศีรษะเล็กๆ ศีรษะหนึ่งโผล่หน้าออกมายิ้มตาหยีให้นางพร้อมกวักมือเรียก เยี่ยหลีมองซ้ายมองขวา ก่อนยกมือชี้ตนเอง เด็กสาวที่ซ่อนตัวกว่าครึ่งอยู่ในพุ่มไม้พยักหน้าให้นาง “เดินมาซิ”


 


 


           “คุณหนู”


 


 


           เยี่ยหลีโบกมือ ก่อนค่อยๆ เดินเข้าไปหา “เจ้าคือชายาในอนาคตของท่านอาติ้งอ๋องหรือ” เด็กสาวหน้าตาจิ้มลิ้ม อายุประมาณเจ็ดแปดขวบนั่งยองอยู่ในพุ่มไม้ รวบผมไปมวยก้อนกลมอย่างน่ารัก มีไข่มุกเป็นประกายประดับอยู่บนศีรษะ เสื้อผ้าที่ได้รับการตัดเย็บมาอย่างประณีตปักลายหงส์สีทอง เห็นได้ชัดว่าฐานะของเด็กคนนี้น่าจะไม่ธรรมดา


 


 


           “ใช่แล้ว ท่านเป็นใครกันเล่า”


 


 


           “ข้าไม่บอกเจ้าหรอก” เด็กน้อยถลึงตาเป็นประกายใส่เยี่ยหลี ก่อนยิ้มตาหยีมองนาง


 


 


           เยี่ยหลีไม่ได้ใส่ใจ เพียงยิ้มแล้วกล่าวว่า “เช่นนั้นท่านรู้จักติ้งอ๋องหรือ ท่านเคยเจอเขาหรือ โกหกไม่ใช่วิสัยของเด็กดีนะ ผู้ใดล้วนรู้ว่าติ้งอ๋องไม่ออกไปไหนมาไหนมาหลายปีแล้ว น่าจะนานสักเท่าอายุของท่านได้”


 


 


           เด็กคนนั้นมองนางด้วยสายตาดูแคลน “ข้าไม่เคยเห็นแล้วจะได้ยินคนอื่นเขาพูดกันไม่ได้หรือ พี่เซียงเซียงเล่าให้ข้าฟังหรอก ท่านอาติ้งอ๋องเก่งด้านบู๊ที่สุด ฉลาดที่สุด หล่อเหลาที่สุด และเก่งกาจที่สุดด้วย ข้าโตไปจะแต่งงานกับเขา!”


 


 


           “พี่เซียงเซียงหรือ”


 


 


           เยี่ยหลีมองเด็กสาวที่พูดด้วยสีหน้าจริงจังแล้วอดยิ้มออกมาไม่ได้ แต่นางไม่อยากทำร้ายจิตใจอันบอบบางของเด็กน้อย “ท่านรู้หรือไม่ว่าติ้งอ๋องอายุเท่าไรแล้ว รอกว่าท่านโต เขาคงแก่มากแล้ว ถึงยามนั้นก็จะมีคนที่เก่งด้านบู๊กว่า ฉลาดกว่า หล่อเหลากว่า และเก่งกาจกว่าเขา แล้วท่านจะทำอย่างไร”


 


 


           หือ เด็กน้อยคนนั้นอึ้งไป “เช่นนั้น…เช่นนั้นสมควรทำอย่างไร ไม่ ไม่ เจ้าหลอกข้า เจ้าอยากแต่งกับท่านอาติ้งอ๋องถึงได้หลอกข้า!”


 


 


           “ข้าไม่ได้หลอกท่าน ท่านดูสิว่ายามนี้ข้าโตกว่าท่านเยอะใช่หรือไม่ ท่านต้องโตให้ได้เท่าข้าเสียก่อนถึงจะแต่งงานได้ ถึงตอนนั้นข้าก็คงแก่แล้ว ติ้งอ๋องแก่กว่าพวกเราทั้งคู่เสียอีก ท่านว่าถึงยามนั้น…”


 


 


           เด็กน้อยถอนหายใจด้วยความผิดหวัง “ถึงยามนั้นท่านอาติ้งอ๋องคงแก่กว่าท่านตาเสียอีก หากข้าแต่งงานกับเขาคงถูกท่านพี่หญิงหัวเราะเยาะเป็นแน่ เอาเถิด ข้ายกท่านอาติ้งอ๋องให้เจ้าก็ได้”


 


 


           เยี่ยหลีกลั้นยิ้ม พยักหน้าอย่างยินยอมรับไว้ “เพคะ ขอบพระทัยองค์หญิง”


 


 


           “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าเป็นองค์หญิง”


 


 


           เยี่ยหลีกะพริบตาปริบ “หม่อมฉันไม่เพียงรู้ว่าท่านเป็นองค์หญิงเท่านั้น แต่ยังรู้ว่าเป็นองค์หญิงพระองค์ใดด้วย”


 


 


           “ข้าไม่เชื่อ เจ้าไม่เคยพบข้าเสียหน่อย”


 


 


           เยี่ยหลียิ้มอ่อน “หม่อมฉันเดาว่าท่านคือพระธิดาในฮองเฮา องค์หญิงฉางเล่อใช่หรือไม่เพคะ”


 


 


           องค์หญิงน้อยเอียงคอมองเยี่ยหลีอยู่พักใหญ่ ก่อนพยักหน้า “เอาเถิด ข้าเชื่อที่พี่เซียงเซียงบอกก็ได้ เจ้าฉลาดอย่างที่พี่เขาว่าจริงๆ ข้าจะฝืนใจยอมเป็นเพื่อนกับเจ้าแล้วกัน”


 


 


           เมื่อเห็นเด็กหญิงตัวน้อยพยายามทำท่าทำทางให้เหมือนผู้ใหญ่และให้ดูมีความเป็นองค์หญิงแล้ว เยี่ยหลีก็ได้แต่ฉีกยิ้มกว้าง “เพคะ ขอบพระทัยองค์หญิงที่ทรงชื่นชม องค์หญิง ท่านเสด็จมาที่นี่ได้อย่างไร แล้วยัง…อืม” เยี่ยหลีชี้นิ้วไปยังพุ่มไม้ที่องค์หญิงซ่อนตัวอยู่


 


 


องค์หญิงฉางเล่อบิดตัวไปมาอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนหลบอยู่ในพุ่มไม้ต่อไป “ข้าได้ยินมาว่าตระกูลเยี่ยมีแต่บุตรสาวงามๆ เยี่ยเจาอี๋กับเยี่ยอิ๋งที่เพียงลมพัดก็จะปลิวนั่นได้ชื่อว่าเป็นหญิงสาวที่งามเลิศ ดังนั้นข้าเลยจะมาดูเสียหน่อยว่าหญิงสาวตระกูลเยี่ยล้วนเป็นสาวงามกันทุกคนจริงหรือไม่ ยามนี้ข้ายอมรับว่าเจ้าดูแล้วถูกชะตากว่าเยี่ยเจาอี๋และเยี่ยอิ๋ง พอจะเรียกว่างามก็ได้ ข้าเดาว่าเจ้ายังต้องรออีกนานทีเดียว ว่าอย่างไร ไปเที่ยวเล่นกับข้าหรือไม่เล่า”


 


 


           เยี่ยหลีไม่เข้าใจ “ท่านรู้ได้อย่างไรว่าต้องรออีกนาน”


 


 


           องค์หญิงฉางเล่อเบ้ปาก “เสด็จแม่รับสั่งว่าสตรีในวังหลวงอยู่กันว่างๆ ไม่มีอันใดทำจึงพยายามหาเรื่องผู้อื่น หากไม่ถูกใจผู้ใด พอคนผู้นั้นมาคารวะก็จะให้รอนานอีกนิด คุกเข่านานอีกหน่อย พวกนางชอบทำกันเช่นนี้เป็นที่สุด แต่เจ้าวางใจได้ เสด็จแม่ข้าไม่ทรงทำเช่นนั้นแน่นอน”


 


 


           เยี่ยหลีอมยิ้ม ไม่ตอบอันใด


 


 


องค์หญิงฉางเล่อจ้องนางด้วยความไม่พอใจ “เจ้าจะไปเที่ยวเล่นกับข้าหรือไม่”


 


 


           เยี่ยหลีส่ายหน้าอย่างไม่เต็มใจ “หม่อมฉันยังต้องรอให้เยี่ยเจาอี๋เรียกเข้าเฝ้าเพคะ ท่านก็รู้ว่าหากนางเรียกพบหม่อมฉันแล้ว แต่หาหม่อมฉันไม่เจอ หม่อมฉันจะลำบาก อีกอย่าง…มีคนมาแล้วเพคะ”


 


 


           องค์หญิงฉางเล่อมองออกไปข้างนอกแล้วรีบหดศีรษะกลับเข้าไปทันที “หลิ่วกุ้ยเฟยมาแล้ว ไม่ต้องบอกว่าพบข้านะ นางน่ารำคาญที่สุดแล้ว”


 


 


เยี่ยพลีพยักหน้า ซ้ำยังช่วยนางจัดพุ่มไม้ให้เข้าที่ดังเดิม “รู้แล้วเพคะ ท่านรีบเสด็จกลับเถิด อย่าให้ฮองเฮาทรงเป็นห่วง” เมื่อจัดพุ่มไม้เรียบร้อยแล้ว เยี่ยหลีจึงยืนขึ้นแล้วเดินกลับไปยืนข้างชิงหลวนและชิงอวี้ พร้อมรอให้คณะที่ดูยิ่งใหญ่กว่าก่อนหน้านี้เดินมาถึง


 


 


 


 


 


 


* ฉื่อ มาตรวัดของจีนสมัยโบราณ 1 ฉื่อ เท่ากับ 30.7 เซนติเมตร


 


 


** กงกง สรรพนามเรียกขันทีในวัง


 


 


*** ระยะเวลาธูปหนึ่งดอก เท่ากับประมาณ 5 นาที

 

 

 


ตอนที่ 47-2

 

    กลิ่นหอมของดอกไม้อ่อนๆ ลอยมาแต่ไกล สตรีในชุดผ้าไหมฝูหรงสีเหลืองห่านเดินมาท่ามกลางนางกำนัลและขันทีกลุ่มใหญ่ เรือนร่างอรชรในชุดสาวชาววังพอดีตัวขับให้เห็นเรือนร่างงดงามอย่างชัดเจน ผิวขาวผ่องประหนึ่งหิมะ ปากเล็กจิ้มลิ้มดูมีเสน่ห์ถึงเจ็ดส่วนผสมกับความเยือกเย็นสามส่วน ช่วงนี้เยี่ยหลีได้พบสาวงามมากมายนัก ทั้งฉินเจิงที่งามสง่าดั่งดอกกล้วยไม้ ฮว่าเทียนเซียงที่อ่อนช้อยดั่งดอกโบตั๋น และองค์หญิงซีสยาที่โดดเด่นดั่งดอกท้อ แต่หลิ่วกุ้ยเฟยผู้นี้กลับงามดั่งดอกแพร์ ขาวบริสุทธิ์อย่างมีเสน่ห์ ดูแบบบาง ทว่ากลับมีความเยือกเย็นที่ดูสูงส่งเกินเอื้อม


 


 


           “เจ้าคือเยี่ยหลีหรือ” หลิ่วกุ้ยเฟยหยุดยืนหน้าเยี่ยหลี ก่อนเอ่ยถามเสียงเรียบ


 


 


           “ใช่แล้วเพคะ คารวะหลิ่วกุ้ยเฟย” เยี่ยหลียอบกายลงทำความเคารพ


 


 


           คิ้วดั่งใบหลิวของหลิ่วกุ้ยเฟยเลิกขึ้นเล็กน้อย “เจ้าน่าจะยังไม่เคยเข้าวังมาก่อนใช่หรือไม่ เหตุใดจึงรู้ว่าข้าเป็นใคร”


 


 


           เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ “หลายปีก่อนที่ฮ่องเต้ทรงทำพิธีบวงสรวงบูชาสวรรค์ หม่อมฉันมีวาสนาได้ชื่นชมความงามของพระสนมจึงจำได้เพคะ”


 


 


           หลิ่วกุ้ยเฟยอึ้งไปเล็กน้อย พูดกึ่งถอนหายใจว่า “นั่น…น่าจะเมื่อห้าหกปีก่อนได้แล้วกระมัง ตอนนั้นเจ้าคงอายุยังน้อยแต่ก็ยังจำได้”


 


 


           “พระสนมมีความงามโดดเด่นเหนือผู้ใด ย่อมทำให้คนที่ได้พบเห็นยากจะลืมเพคะ” เยี่ยหลีเอ่ยพลางยิ้มน้อยๆ


 


 


           “เจ้านี่น่าคบหากว่าพี่รองของเจ้าหน่อยนะ แล้วเหตุใดจึงมายืนอยู่ที่นี่ เข้าไปพร้อมข้าเลยแล้วกัน เยี่ยเจาอี๋คงผล็อยหลับไปกระมัง ถึงได้ปล่อยให้ชายาติ้งอ๋องในอนาคตต้องมายืนรอหน้าตำหนักเช่นนี้” หลิ่วกุ้ยเฟยเอ่ยเรียบๆ ด้วยน้ำเสียงที่ไม่ยินยอมให้นางปฏิเสธ


 


 


เยี่ยหลีนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนยอบกายลงเอ่ยว่า “เช่นนั้นเชิญพระสนมก่อนเพคะ”


 


 


 


 


           ภายในตำหนักเหยาหวา เมื่อเยี่ยเย่ว์เห็นเยี่ยหลีเดินเข้ามาพร้อมหลิ่วกุ้ยเฟยก็อึ้งไป


 


 


หลิ่วกุ้ยเฟยมองนางนิ่ง “พี่เห็นว่าคุณหนูสามตระกูลเยี่ยรออยู่ที่หน้าประตู จึงเชิญนางเข้ามาพร้อมกัน น้องคงไม่ว่าพี่มากเรื่องใช่หรือไม่” ถึงแม้จะกล่าวเช่นนั้น แต่สีหน้าหลิ่วกุ้ยเฟยกลับดูไม่กลัวว่านางจะถือโทษเอาเสียเลย


 


 


เยี่ยเย่ว์ยกมุมปากฝืนยิ้ม “พี่กุ้ยเฟยพูดอะไรน่าขันเช่นนั้น ต้องโทษที่ช่วงนี้น้องจิตใจไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว มักลืมนั่นลืมนี่อยู่บ่อยครั้ง หากพี่ไม่พาน้องสามเข้ามา คงลำบากน้องสามอีกนานทีเดียว เป็นเพราะบ่าวอย่างพวกเจ้า เหตุใดถึงไม่เอ่ยเตือนข้า!” ดวงตาหงส์ที่อ่อนหวานและมีเสน่ห์จ้องเหล่านางกำนัลและขันทีในตำหนัก จากนั้นในตำหนักก็เต็มไปด้วยเสียงขออภัยทันที


 


 


           หลิ่วกุ้ยเฟยขมวดคิ้วน้อยๆ อย่างนึกรำคาญใจ “เอาเถิดน้อง เจ้าลืมก็แล้วไปเถิด จะทรมานบ่าวไพร่ไปไย คุณหนูสามก็คงไม่โทษเจ้าเช่นกัน ใช่หรือไม่”


 


 


           เยี่ยหลีจึงจำต้องเอ่ยตามน้ำไปว่า “กุ้ยเฟยรับสั่งอันใดเช่นนั้นเพคะ หม่อมฉันรอเพียงไม่นานเท่านั้น มีเหตุอันใดให้ต้องถือโทษกันเพคะ”


 


 


           เยี่ยเย่ว์จึงค่อยยิ้มออก จับมือเยี่ยหลีให้เดินมานั่งตรงข้ามตน ก่อนยิ้มแล้วเอ่ยว่า “น้องสามไม่ค่อยชอบออกไปไหน ตั้งแต่ข้าเข้าวังมาก็ไม่ได้พบหน้าน้องสามอีกเลย ในที่สุดวันนี้ก็ได้พบเสียที ไม่ได้พบหน้ากันปีสองปี น้องสามโตเป็นสาวงามกว่าแต่ก่อนมาก ที่บ้านเป็นอย่างไรบ้าง”


 


 


เยี่ยหลีตอบคำถามนางไปเรื่อยๆ ขณะที่เยี่ยเย่ว์ถามเรื่องทางบ้านกับนางไปเรื่อยๆ เช่นกัน


 


 


เยี่ยหลีตอบคำถามของนางด้วยความเคารพ ที่น่าแปลกคือดูเหมือนหลิ่วกุ้ยเฟยจะไม่รับรู้ว่านี่เป็นการพบปะพูดคุยกันระหว่างพี่น้องบ้านเดียวกัน จึงนั่งฟังเฉยอยู่ด้วย ถึงแม้จะไม่มีโอกาสให้นางเข้าร่วมวงสนทนาด้วยเลย แต่นางก็ไม่นึกใส่ใจแม้แต่น้อย เพียงนั่งยิ้มอย่างเยือกเย็นอยู่เท่านั้น ดูเยี่ยเย่ว์จะชินกับหลิ่วกุ้ยเฟยเสียแล้ว จึงไม่คิดจะเชิญนางให้หลบไปหรือคิดจะดึงเยี่ยหลีให้หลบไปคุยกันสองคน


 


 


           “งานแต่งงานของน้องสี่ ข้ามิอาจไปร่วมงานด้วยได้ นางกับหลีอ๋องดีต่อกันหรือไม่” เยี่ยเย่ว์ลูบหน้าท้องที่นูนออกมาน้อยๆ ของตน พร้อมอมยิ้มถามเยี่ยหลี


 


 


           เยี่ยหลีนึกไปถึงสีหน้าเซื่องซึมของเยี่ยอิ๋งในวันที่นางกลับเรือนซึ่งไม่ดีเอาเสียเลย แต่นางก็ไม่คิดจะนำมาเล่าให้เยี่ยเย่ว์ฟัง จึงเพียงอมยิ้มก่อนตอบว่า “น้องสี่กับหลีอ๋องเป็นคู่ข้าวใหม่ปลามันย่อมดีต่อกันเป็นธรรมดาเพคะ หม่อมฉัน…ช่วงนี้เองก็ยุ่งไม่น้อย จึงไม่ค่อยมีเวลาคุยกับน้องสี่สักเท่าไร”


 


 


เยี่ยเย่ว์รู้ดีอยู่แล้วว่าเยี่ยหลีกับเยี่ยอิ๋งนั้นไม่ค่อยถูกกันจึงไม่ได้ใส่ใจนัก เพียงดึงมือเยี่ยหลีมากุมไว้ก่อนยิ้มให้นาง “พี่น้องบ้านเดียวกันทั้งนั้น เมื่อเจ้าแต่งงานไปแล้วคงไม่เหมือนตอนอยู่บ้านที่จะพบหน้าพูดคุยกันเมื่อไรก็ได้ แต่ก็น่าจะไปมาหาสู่กันได้ไม่ยาก ข้าอยู่ในวังก็จนใจ พวกเจ้าพี่น้องอยู่กันข้างนอกก็ดีจะได้คอยช่วยเหลือกันได้ อย่าให้ท่านพ่อท่านแม่ต้องเป็นกังวลใจ เจ้าว่าใช่หรือไม่”


 


 


           เยี่ยพลีพยักหน้า “พระสนมพูดถูกทีเดียวเพคะ”


 


 


           ขณะที่พี่น้องทั้งสองกำลังพูดคุยเรื่องในจวนเยี่ยอยู่นั้น ก็มีนางกำนัลเดินเข้ามารายงานว่าไทเฮามีรับสั่งให้คุณหนูสามตระกูลเยี่ยเข้าเฝ้า เยี่ยเย่ว์อึ้งไปเล็กน้อย ก่อนหันมายิ้มให้เยี่ยหลี “ในเมื่อไทเฮารับสั่งให้เจ้าไปเข้าเฝ้า น้องสามก็รีบไปเถิด ไทเฮาทรงเปี่ยมไปด้วยพระเมตตาและพระทัยดีต่อผู้น้อยเป็นที่สุด น้องสามไม่ต้องกลัว พี่…ยามนี้ไม่สะดวกนัก คงไม่ได้ไปเป็นเพื่อนเจ้า”


 


 


เยี่ยหลีพยักหน้า มองนิ้วมือเรียวอวบที่ได้รับการดูแลอย่างดีของเยี่ยเย่ว์ที่ลูบขึ้นลงเบาๆ บริเวณหน้าท้อง ก่อนเอ่ยเรียบๆ ว่า “ขอบพระทัยพระสนมที่รับสั่งเตือน เช่นนั้นหม่อมฉันขอตัวก่อน”


 


 


เยี่ยเย่ว์ยิ้ม “น้องสามค่อยๆ ไปเถิด ใครก็ได้ไปส่งน้องสามแทนข้าที”


 


 


           “น้องสาว ข้ากำลังจะไปคารวะไทเฮาอยู่พอดี ข้าไปพร้อมคุณหนูสามเลยก็แล้วกัน” หลิ่วกุ้ยเฟยพูดพร้อมยืนขึ้น


 


 


           เยี่ยเย่ว์พยักหน้า “เช่นนั้นขอรบกวนพี่หลิ่วกุ้ยเฟยแล้ว”


 


 


           หลิ่วกุ้ยเฟยพยักหน้ารับเรียบๆ “คุณหนูสาม พวกเราไปกันเถิด”


 


 


           เยี่ยหลีเดินตามหลิ่วกุ้ยเฟยออกมาจากตำหนักเหยาหวา ก่อนเบือนหน้าไปมองประตูของตำหนักที่ได้รับการตกแต่งอย่างหรูหรางดงาม ทว่ายามที่มีคนมารายงานว่าไทเฮามีรับสั่งให้นางเข้าเฝ้านั้น หากนางไม่ได้ตาฝาด ดูเยี่ยเย่ว์จะตื่นตกใจไม่น้อย แต่หลิ่วกุ้ยเฟยนั้นเล่า…หลิ่วกุ้ยเฟยเดินนำหน้าผู้คนไปโดยไม่สนใจผู้ใด จนถึงตอนนี้เยี่ยหลียังดูไม่ออกว่าหลิ่วกุ้ยเฟยเป็นมิตรหรือเป็นศัตรู นางพาตนเข้าตำหนักเหยาหวาแล้วยังไปเข้าเฝ้าไทเฮาเป็นเพื่อนนางอีกอย่างนั้นหรือ


 


 


เยี่ยหลีกล้ารับประกันว่าหากหลิ่วกุ้ยเฟยไม่ได้นั่งอยู่ที่นั้นด้วย เยี่ยเย่ว์คงไม่พูดคุยกับนางเพียงเรื่องที่คุยกันในวันนี้อย่างแน่นอน แต่หากจะว่าหลิ่วกุ้ยเฟยเป็นมิตรกับนางแล้ว…อย่าว่าแต่พวกนางไม่เคยพบหน้ากันมาก่อนเลย เพียงดูจากสีหน้าเรียบนิ่งหยิ่งยโสที่ไม่ปกปิดความดูแคลนนั่นแล้ว ก็ทำให้เยี่ยหลีมิอาจเชื่อได้อยู่ดี เยี่ยหลียักไหล่อย่างคิดไม่ตก ได้แต่เดินตามไปเงียบๆ คนในวังนี่ช่างน่าปวดหัวเสียจริงเชียว…


 


 


           ตำหนักที่ไทเฮาพำนักอยู่นั้นอยู่ทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือของวังหลวง เมื่อเปรียบเทียบอาณาบริเวณของตำหนักเหยาหวากับหอทองคำที่หรูหราอลังการนี้แล้ว จะเห็นถึงฐานะอันสูงส่งของพระมารดาของฮ่องเต้องค์นี้ได้เป็นอย่างดี


 


 


           “ตำหนักจางเต๋อเป็นตำหนักที่ฮ่องเต้มีรับสั่งให้สร้างเพื่อถวายไทเฮาโดยเฉพาะหลังจากที่พระองค์ทรงขึ้นครองราชย์แล้ว” หลิ่วกุ้ยเฟยผินหน้ามาบอกเยี่ยหลีเรียบๆ ระหว่างยืนรอเรียกเข้าเฝ้าอยู่หน้าตำหนักจางเต๋อ “อีกอย่าง อย่าไปฟังที่พี่สาวเจ้าพูดจาเหลวไหลนั่น ไทเฮาไม่ใช่คนใจดีอะไร เจ้าระวังตัวด้วย”


 


 


เยี่ยหลียกมุมปากขึ้นยิ้ม “ขอบพระทัยที่พระสนมเอ่ยเตือนเพคะ”


 


 


หลิ่วกุ้ยเฟยส่งเสียงเหอะเบาๆ ก่อนสะบัดชายแขนเสื้อเดินนำเข้าตำหนักจางเต๋อไป


 


 


           เยี่ยหลีที่เดินตามหลังมา ถึงแม้สีหน้าเรียบเฉยไม่ตื่นตระหนก แต่ในหัวกลับคิดไปต่างๆ นานาไม่รู้กี่ตลบ ถึงแม้จะเข้าวังชั่วระยะเวลาไม่นาน แต่ความแปลกประหลาดของวังหลวงแห่งนี้กลับเกินความเข้าใจของนางไปมากทีเดียว ได้ยินว่าฮ่องเต้องค์นี้ได้ไทเฮาช่วยให้ขึ้นนั่งบัลลังก์ จนไทเฮาได้ชื่อว่าเป็นเสียนเฟยผู้ปราดเปรื่อง แต่หลิ่วกุ้ยเฟยที่เป็นพระสนมคนโปรดของฮ่องเต้กลับไม่มีท่าทีเคารพไทเฮาเลยแม้แต่น้อย แล้วยัง…เงยหน้าขึ้นมองป้ายใต้ชายคาที่เป็นลายพู่กันตวัดเป็นตัวหนังสือสองตัวนั่น จางเต๋อ ที่หมายถึงคุณงามความดีเป็นที่ประจักษ์ หวังว่าฮ่องเต้คงจะเขียนมันด้วยความเต็มใจอย่างแท้จริง


 


 


           “หม่อมฉันเยี่ยหลีถวายบังคมฝ่าบาท ถวายบังคมไทเฮาเพคะ” เมื่อเข้าไปในตำหนักแล้ว เห็นบุรุษรูปร่างสูงสง่าคนหนึ่งอยู่ในชุดเหลืองอร่าม สีหน้าเยี่ยหลีมีแววประหลาดใจเล็กน้อย ก่อนยอบกายลงทำความเคารพอย่างรวดเร็ว


 


 


           “ลุกขึ้นได้ ฉางเอ๋อร์ เจ้ามาได้อย่างไร” ม่อจิ่งฉีเหลือบมองเยี่ยหลีทีหนึ่ง ก่อนหันไปมองหลิ่วกุ้ยเฟยที่ยืนอยู่ข้างเยี่ยหลีอย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งลุกขึ้นเดินลงจากที่ประทับมาจับมือหลิ่วกุ้ยเฟย


 


 


หลิ่วกุ้ยเฟยส่งเสียงเหอะเบาๆ ก่อนพูดขึ้นเรียบๆ ว่า “ทำไมหรือเพคะ หรือฝ่าบาทเห็นว่าหม่อมฉันมาถวายพระพรไทเฮาไม่ได้”


 


 


ม่อจิ่งฉีถอนหายใจ พูดเสียงนุ่มว่า “เจ้าก็รู้ว่าข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น”


 


 


           “ฝ่าบาท!” น้ำเสียงเจือแววดุดันและไม่พอใจดังมาจากที่ประทับ


 


 


เยี่ยหลีเหลือบมองโดยไม่ทันให้ผู้ใดรู้ ครั้งยังสาว ไทเฮาจะต้องเป็นสตรีที่สะคราญโฉมมากเป็นแน่ ถึงแม้นางจะเป็นพี่สาวของเสียนเจาไท่เฟย แต่รูปลักษณ์ของไทเฮากลับดูอ่อนเยาว์กว่าเสียนเจาไท่เฟยเสียอีก ดวงตารูปหงส์ในยามนี้กลับทำให้ผู้คนรู้สึกเกรงกลัวอย่างบอกไม่ถูก แต่เยี่ยหลีเห็นว่าครั้งยังสาว สายตาคู่นี้จะต้องงามและเปี่ยมเสน่ห์มากอย่างแน่นอน


 


 


           ณ ตอนนั้น ไทเฮาไม่สังเกตเห็นนางเลย นางเพียงส่งสายตาอันดุดันไปยังหลิ่วกุ้ยเฟยเท่านั้น ในแววตาคู่นั้นยังสัมผัสได้ถึงแววอาฆาตด้วย เห็นได้ชัดว่าไทเฮาไม่โปรดหลิ่วกุ้ยเฟยอย่างยิ่ง


 


 


           “เสด็จแม่” ม่อจิ่งฉีขมวดคิ้วมุ่น จับมือหลิ่วกุ้ยเฟยให้เดินไปยังหน้าที่ประทับ “เสด็จแม่ ฉางเอ๋อร์จะมาถวายพระพรเสด็จแม่ คงพบกับคุณหนูสามตระกูลเยี่ยเข้าพอดีพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


           ไทเฮาเอ่ยเสียงเรียบ “ถวายพระพรหรือ หาได้ยากจริงๆ ที่วันนี้หลิ่วกุ้ยเฟยนึกได้ว่าจะมาถวายพระพรข้า”


 


 


           “เสด็จแม่ ท่านก็รู้ว่านับแต่ฉางเอ๋อร์คลอดจิ้งเอ๋อร์ นางก็สุขภาพไม่ค่อยดีมาโดยตลอดนะพ่ะย่ะค่ะ” ม่อจิ่งฉีสีหน้าลำบากใจเล็กน้อย แต่ยังคงยืนหยัดที่จะปกป้องหลิ่วกุ้ยเฟยไม่แปรเปลี่ยน


 


 


เยี่ยหลีเหลือบมองสีหน้าบึ้งตึงของไทเฮาแล้วชวนให้นางรู้สึกเห็นใจไม่น้อย อุตส่าห์คลอดโอรสออกมาสองคน รอจนฮองเฮาของอดีตฮ่องเต้สิ้นพระชนม์แล้วตนได้ขึ้นเป็นฮองเฮา ทุ่มเทแรงกายแรงใจหนุนโอรสของตนให้ขึ้นเป็นฮ่องเต้ ส่วนตนเองนั่งเป็นไทเฮาก็สมควรที่จะเสพสุขได้แล้ว ผู้ใดเลยจะรู้ว่าโอรสองค์เล็กสติปัญญาไม่ค่อยได้ความก็ช่างเถิด แต่โอรสองค์โตที่ได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้กลับได้ภรรยาแล้วลืมมารดาไปเสีย


 


 


           “เสด็จแม่ ท่านไม่ได้รับสั่งว่าประสงค์จะพบคุณหนูสามตระกูลเยี่ยหรือพ่ะย่ะค่ะ พวกเรามาดูกันว่าชายาที่เลือกให้ซิวเหยาเป็นอย่างไร ดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” เมื่อเห็นสีหน้าไทเฮาไม่ดีเอามากๆ ม่อจิ่งฉีจึงรีบเปลี่ยนเรื่อง


 


 


           เยี่ยหลีสะอึกไป ฝ่าบาท นี่พระองค์จะลากให้ผู้อื่นมารับเคราะห์แทนหรือ


 


 


           แล้วไทเฮาก็เบนสายตามาทางเยี่ยหลีอย่างรวดเร็ว ในใจเยี่ยหลีตัดสินใจว่าเชื่อคำพูดของหลิ่วกุ้ยเฟยจะดีกว่า เพราะเพียงสายตาที่มองนางก็เป็นสายตาที่คนธรรมดายากจะรับมือแล้ว

 

 

 


ตอนที่ 47-3

 

“เจ้าคือเยี่ยหลีหรือ” ผ่านไปครู่ใหญ่ ไทเฮาจึงได้มีรับสั่งถาม 


 


 


           เยี่ยหลีหลุบตาลงต่ำด้วยท่าทีเคารพ “กราบทูลไทเฮา หม่อมฉันคือเยี่ยหลีเพคะ” 


 


 


           ไทเฮาขมวดคิ้ว “เงยหน้าขึ้นให้ข้าดูหน่อยซิ” 


 


 


           เยี่ยหลีเงยหน้าขึ้นตามรับสั่ง ให้ไทเฮาและฮ่องเต้พิจารณานางได้อย่างเต็มที่ 


 


 


           “สมัยก่อนข้าเคยพบหน้าท่านแม่ของเจ้าหลายครั้ง หลานสาวตระกูลสวีไม่ใช่ใครที่ไม่กล้าแม้แต่จะพาออกหน้าออกตาจะมาเทียบได้จริงๆ น่าเสียดาย…” น่าเสียดายอันใดนั้นไทเฮาไม่ได้เอ่ยออกมา และแน่นอนว่าไม่มีใครคิดหาเรื่องใส่ตัวอยากจะเอ่ยถาม  


 


 


หางตาของเยี่ยหลีเหลือบเห็นสีหน้าหลิ่วกุ้ยเฟยที่นั่งอยู่ข้างฮ่องเต้ดูไม่สู้ดีนัก จึงนึกสงสัยในใจว่า ไทเฮาคงไม่ได้ตีวัวกระทบคราดถึงหลิ่วกุ้ยเฟยหรอกกระมัง เพราะถึงอย่างไรบุตรสาวของเสนาบดีหลิ่วก็คงไม่ได้มีฐานะที่ไม่อาจเชิดหน้าชูตาได้อย่างแน่นอน 


 


 


           “หลีเอ๋อร์ของข้าไม่ได้เรื่องได้ราว เรื่องก่อนหน้านี้คุณหนูเยี่ยอย่าได้ถือสาหาความเลย” นัยน์ตาดุรูปหงส์ของไทเฮาจับจ้องเยี่ยหลีโดยไม่ขยับไปไหน 


 


 


           เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ “ไทเฮารับสั่งเกินไปแล้วเพคะ เป็นเพราะหม่อมฉันกับหลีอ๋องไม่มีวาสนาต่อกัน ยังดีกว่าสมรสกันไปแล้วค่อยมารู้ว่าไม่ชอบพอกัน หลีอ๋องกล่าวเรื่องนี้ขึ้นมาก่อนมีแต่ดีกับทั้งตัวท่านอ๋องเองและตัวเยี่ยหลีเพคะ หม่อมฉันขอบพระทัยยิ่ง” 


 


 


           “อ้อหรือ เช่นนั้นเรื่องที่เกิดขึ้นในงานเสกสมรสของหลีเอ๋อร์ คุณหนูเยี่ยมีความเห็นอย่างไรบ้าง” 


 


 


           “เรื่องนี้…เป็นเรื่องส่วนตัวของท่านอ๋อง หม่อมฉันมิบังอาจคาดเดาเพคะ” 


 


 


           “หากข้ายืนยันให้เจ้าพูดความเห็นของเจ้าเล่า” ไทเฮาเอ่ยถาม 


 


 


           “หม่อมฉันเห็นว่า…คงเพราะท่านหลีอ๋องตื่นเต้นกับการเสกสมรสมาก คืนก่อนวันงานจึงพักผ่อนไม่เพียงพอกระมังเพคะ” เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ อย่างใสซื่อ มองตอบไทเฮาด้วยสายตากึ่งกลัวกึ่งไม่กลัว “ท่านอ๋องกับน้องสี่มีใจชอบพอต่อกัน ทั่วทั้งเมืองหลวงต่างรู้กันดี ในเมื่อจะได้สมหวังดั่งใจแล้ว ท่านอ๋องย่อมตื่นเต้นเป็นธรรมดาเพคะ” 


 


 


           “คุณหนูเยี่ย ข้าได้ยินมาว่าช่วงก่อนหน้านี้เจ้ากล่าวหาว่าหลีอ๋องซื้อของแล้วไม่จ่ายเงินจึงเรียกเก็บเงินจากเขาไปไม่น้อยหรือ” อยู่ดีๆ หลิ่วกุ้ยเฟยที่นั่งอยู่อีกด้านก็เอ่ยกลั้วหัวเราะ 


 


 


           บรรยากาศภายในตำหนักดูจะเย็นลงไม่น้อย เยี่ยหลีกะพริบตาปริบๆ อย่างทำอะไรไม่ถูก สีหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด “หม่อมฉันไม่ได้ความ ขอไทเฮาและฝ่าบาทได้โปรดอภัยโทษให้หม่อมฉันด้วยเพคะ หม่อมฉัน…ตั้งแต่ท่านแม่เสียชีวิตไปก็น้อยนักที่จะออกไปไหนมาไหน เมื่อได้จัดการงานเป็นครั้งแรกจึงทำอะไรไม่ถูกไม่ควรไปบ้าง แต่หลังจากเกิดเรื่องท่านย่าได้อบรมหม่อมฉันแล้ว หม่อมฉันได้ให้คนนำเงินเหล่านั้นไปคืนให้ที่ตำหนักหลีอ๋องพร้อมกับขออภัยท่านอ๋องแล้วเพคะ เพียงแต่…” คนที่นำเงินไปให้ถูกไล่ออกมา จากนั้นเยี่ยหลีจึงมอบเงินให้คนที่นำเงินไปคืนสองร้อยตำลึงเพื่อปลอบขวัญ ส่วนเงินที่เหลือก็เก็บเข้ากระเป๋าตนเองอย่างสบายใจ 


 


 


           เรื่องนี้เดิมทีเป็นม่อจิ่งหลีที่ทำไม่ถูก แต่ด้วยเป็นเชื้อพระวงศ์จึงไม่กล้ากล่าวโทษได้อย่างเต็มปาก เมื่อเห็นสีหน้าตกใจและเสียใจของเยี่ยหลี ม่อจิ่งฉีจึงได้แต่ถอนใจเบาๆ ส่งสายตาเตือนหลิ่วกุ้ยเฟย ก่อนเอ่ยปลอบว่า “เอาเถิด เรื่องนี้เป็นเพราะจิ่งหลีคิดไม่รอบคอบเอง ไม่ใช่ความผิดของคุณหนูเยี่ยหรอก เสด็จแม่ก็ไม่ได้ทรงดำริว่าเป็นความผิดของเจ้า” 


 


 


           เยี่ยหลีเอ่ยขอบพระทัยด้วยความยินดี “หม่อมฉันขอบพระทัยในพระเมตตาของฝ่าบาทและไทเฮาเพคะ” 


 


 


           ไทเฮาพยักหน้าเรียบๆ “เอาเถิด ข้าไม่ได้คิดจะถามหาความผิดจากเจ้า เตรียมเก้าอี้ให้คุณหนูเยี่ยนั่งเถิด” 


 


 


           นางกำนัลสองนางยกเก้าอี้เซรามิกออกมาวางด้านหลังเยี่ยหลี เยี่ยหลีเอ่ยขอบพระทัยก่อนนั่งลงเพียงสองในสามส่วนของเก้าอี้ด้วยความระมัดระวัง ในใจไม่นึกซาบซึ้งที่ไทเฮาประทานเก้าอี้ให้ตนนั่งเลยแม้แต่น้อย หากเลือกได้นางยอมยืนต่อไปยังจะดีเสียกว่า เมื่อนั่งลงแล้วไม่เพียงทำให้คนที่อยู่ต่ำกว่ารู้สึกตัวเล็กลงไปไม่น้อยแล้ว ทว่ายังกระทบต่อมุมมองอย่างมากด้วย อีกอย่าง ท่านั่งของคุณหนูลูกผู้ดีนั้นยังกินแรงมากกว่าการยืนย่อขาเสียอีก เพราะอย่างน้อยการยืนย่อขายังอาศัยแรงจากสองขาช่วยได้ แต่การนั่งอย่างอกผายไหล่ผึ่งเช่นนี้ คนที่ไม่ได้ฝึกมาตั้งแต่เด็กอย่างนางจึงได้แต่สวดมนต์อ้อนวอนขอให้ตนอย่าตกจากเก้าอี้เลย 


 


 


           “คุณหนูเยี่ย ท่านชิงอวิ๋นสบายดีหรือไม่” ม่อจิ่งฉีมองเยี่ยหลีด้วยสายตาพินิจพิจารณา 


 


 


           เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ “ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงเป็นห่วง ท่านลุงบอกว่าสุขภาพของท่านตายังถือว่าแข็งแรงอยู่เพคะ” 


 


 


           ม่อจิ่งฉียิ้ม “ไม่ต้องตื่นเต้นเช่นนั้นหรอก สมัยนั้นข้าได้ชื่นชมความสง่างามของท่านชิงอวิ๋นเองกับตา นึกไปก็รู้สึกคิดถึงไม่น้อย เพียงแต่ไม่มีโอกาศได้พบเขาหลายปีแล้ว”  


 


 


เยี่ยหลีก้มศีรษะลงด้วยความเสียใจ “ตั้งแต่ท่านแม่จากไป หม่อมฉันก็ไม่ได้พบหน้าท่านตามาหลายปีแล้วเช่นกันเพคะ หม่อมฉันมิอาจดูแลท่านตาแทนท่านแม่อย่างใกล้ชิดได้ หม่อมฉันรู้สึกละอายต่อความรักความเอ็นดูที่ท่านตามีให้เหลือเกินเพคะ” 


 


 


           “อ้อ วันเสกสมรสของคุณหนูเยี่ยกับติ้งอ๋อง ท่านชิงอวิ๋นคงไม่พลาดที่จะมาร่วมงานสมรสของหลานสาวเพียงคนเดียวกระมัง” 


 


 


           “ท่านตาอายุมากแล้ว มิอาจทนความเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางไกลได้ เกรงว่าคงไม่มีโอกาสได้เห็นหม่อมฉัน…แต่ท่านตาได้ให้ท่านลุงใหญ่เข้าเมืองมาเป็นผู้ใหญ่แทนแล้ว เท่านี้หม่อมฉันก็ดีใจมากแล้วเพคะ” 


 


 


           แววตาม่อจิ่งฉีมีประกายเล็กน้อย “อ้อ ท่านหงอวี่เข้าเมืองมาแล้วหรือ เช่นนั้น…คุณชายใหญ่สวี…” 


 


 


           เยี่ยหลียังคงยิ้มแย้มเป็นปกติ “พี่ใหญ่กับพี่ชายคนอื่นๆ ก็เข้าเมืองมาด้วยเช่นกันเพคะ ท่านลุงไม่ได้มีตำแหน่งติดตัว จึงไม่ได้จัดการต้อนรับอะไรให้เอิกเกริกเพคะ” 


 


 


           ม่อจิ่งฉีหัวเราะเสียงใส “แต่ไหนแต่ไรมาตระกูลสวีไม่ชื่นชอบชื่อเสียงจอมปลอม แต่ชมชอบความโปร่งใส เพียงแต่ท่านหงอวี่นับได้ว่าเป็นอาจารย์ผู้มีพระคุณของข้า เข้าเมืองครานี้ข้าไม่มีโอกาสไปต้อนรับถือว่าเสียมารยาทยิ่งนัก”  


 


 


เยี่ยหลีรีบเอ่ยว่ามิกล้า แต่ในใจกลับไม่คิดเช่นนั้น ท่านลุงใหญ่เพียงได้รับบัญชาจากฮ่องเต้องค์ก่อนให้ช่วยชี้แนะการเรียนของฮ่องเต้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น แล้วจะไปเป็นอาจารย์ผู้มีพระคุณของเขาเมื่อไรกัน อีกอย่าง หากเขามีใจต้อนรับจริง คงไปต้อนรับเสียนานแล้ว นางไม่เชื่อว่าม่อจิ่งฉีไม่รู้จริงๆ ว่าท่านลุงใหญ่เข้าเมืองมาตั้งแต่เมื่อใด 


 


 


           ม่อจิ่งฉีดูจะไม่คิดอยู่ในหัวข้อสนทนานี้นาน เขามองเยี่ยหลีแล้วกล่าวว่า “คุณหนูเยี่ยเป็นผู้ชนะในงานบุปผานานาพรรณปีนี้ใช่หรือไม่ แม้แต่ท่านหญิงหรงหวายังเอ่ยชื่นชมคุณหนูเยี่ยให้ไทเฮาฟังหลายครั้ง ไม่รู้ว่าคุณหนูเยี่ยจะให้ข้ากับไทเฮาชื่นชมเป็นบุญตาได้หรือไม่” เขาไม่เปิดโอกาสให้เยี่ยหลีได้ปฏิเสธ เพียงโบกมือขึ้น ก็มีนางกำนัลและขันทีช่วยกันยกโต๊ะสลักลวดลายดอกไม้ออกมาวาง บนโต๊ะมีกระดาษ พู่กันและแท่นหมึกวางอยู่พร้อม 


 


 


           “หม่อมฉันทำให้เสียสายพระเนตรแล้วเพคะ” 


 


 


           เยี่ยหลียืนอยู่หลังโต๊ะหนังสือ ยกพู่กันขึ้นวาดภาพ ในใจนึกต่อว่าฮ่องเต้เป็นร้อยรอบ นางไม่เข้าใจเอาเสียเลยว่าเหตุใดฮ่องเต้ในยุคสมัยนี้จึงเห็นการจับตัวคนมานั่งเขียนกลอนให้ตนดูเป็นเรื่องน่าสนุก เพราะไม่ใช่ทุกคนที่ชื่นชอบการแต่งโคลงกลอน และยิ่งไม่ใช่ทุกคนที่จะมีความสามารถในด้านนี้ หากบังเอิญถูกฮ่องเต้เรียกเข้าเฝ้า แล้วแต่งโคลงกลอนไม่ออกจะทำอย่างไร 


 


 


           เยี่ยหลีวาดรูปดอกกล้วยไม้ตามแบบฉบับขึ้นมาภาพหนึ่ง พร้อมยกโคลงกลอนที่ท่านตาเคยแต่งเพื่อชื่นชมความงามของดอกกล้วยไม้ขึ้นมาบทหนึ่ง สิ่งเดียวที่พอจะชื่นชมได้ว่าโดดเด่นน่าจะเป็นตัวอักษรที่นางเขียน นางเห็นสายตาของคนที่รับไปค่อยๆ เปลี่ยนจากพินิจพิจารณาเป็นประหลาดใจ แล้วค่อยเปลี่ยนเป็นผิดหวัง เยี่ยหลียืนอยู่หลังโต๊ะหนังสือด้วยท่าทีเคารพอย่างไม่ใส่ใจ รอให้ฮ่องเต้วิจารณ์งานของตน 


 


 


           “ดอกกล้วยไม้หรือ กลอนบทนี้เป็นของท่านชิงอวิ๋นใช่หรือไม่” หลิ่วกุ้ยเฟยขมวดคิ้วถาม 


 


 


           เยี่ยหลีตอบอายๆ ว่า “หม่อมฉันไม่ถนัดเรื่องการแต่งโคลงกลอน ขอฝ่าบาทโปรดอภัยด้วยเพคะ” 


 


 


           สายตาหลิ่วกุ้ยเฟยมีแววดูถูก เหลือบมองภาพก่อนกล่าวว่า “ตัวอักษรของคุณหนูเยี่ยเขียนได้ไม่เลวเลยทีเดียว” 


 


 


           ไทเฮานานๆ ทีจะเห็นด้วยกับคำชมของหลิ่วกุ้ยเฟย ยามนี้ผลงานในงานบุปผานานาพรรณของเยี่ยหลีเข้ามาอยู่ในวังแล้ว ภาพนั้นไม่นับว่างดงามโดดเด่น เพียงเป็นไปตามแบบฉบับที่สมควรจะเป็นเท่านั้น ทว่าในส่วนของกลอน…ทั้งสามท่านที่นั่งอยู่ในตำหนักนึกสงสัยพร้อมกันว่ากลอนโบตั๋นที่แสนไพเราะบทนั้นไม่ใช่ฝีมือของเยี่ยหลี เพราะตระกูลสวีไม่ใช่ตระกูลที่มีอะไรมาก จะมีมากก็แต่เพียงทายาทที่มีความสามารถเท่านั้น เพียงหาใครก็ได้มาเขียนกลอนแทนเยี่ยหลี นางก็ย่อมเป็นคนที่มีความสามารถขั้นสูงแน่นอน หากแต่งกลอนได้เช่นนั้นก็ไม่นับว่าเป็นเรื่องแปลกอันใด “ตัวอักษรของคุณหนูเยี่ยไม่เลวเลยจริงๆ” 


 


 


           เยี่ยหลีรับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าความสนใจที่ทั้งสามท่านมีต่อนางนั้นลดน้อยลงอย่างมากทีเดียว ถึงแม้นางไม่ค่อยเข้าใจว่าเหตุใดคนโบราณถึงได้คิดว่าดนตรี หมากล้อม เขียนอักษร และวาดภาพเป็นสิ่งที่แสดงถึงความสามารถและความชาญฉลาดของคน แต่อย่างน้อยผลที่ออกมาในครานี้กลับไม่ส่งผลเสียต่อนางเลย 


 


 


           เรื่อยไปจนถึงยามบ่าย ไทเฮาจึงได้ให้คนส่งเยี่ยหลีออกนอกวัง ระหว่างนั้นนางใช้ฝีมือในการเขียนอักษรของนางคัดลอกบทสวดมนต์ให้ไทเฮาเล่มหนึ่ง และด้วยเพราะไม่มีผู้ใดคิดถึงว่านางสมควรไปบอกลาเยี่ยเจาอี๋ที่ตำหนักเหยาหวาเสียก่อน และเยี่ยหลีเองก็เกรงใจไม่อยากรบกวนไทเฮาให้ต้องส่งคนออกไป จึงทำเป็นว่าลืมนึกไปเช่นกัน 


 


 


           นางกำนัลยกของรางวัลที่ฮ่องเต้ ไทเฮา และหลิ่วกุ้ยเฟยประทาน พร้อมออกมาส่งเยี่ยหลีนอกวัง จนเมื่อขึ้นนั่งบนรถม้าของตนแล้ว เยี่ยหลีถึงได้ค่อยๆ ผ่อนถอนหายใจ ระบายความอึดอัดในใจมากว่าครึ่งค่อนวันออกมา 


 


 


           “คุณหนู พักก่อนเถิดเจ้าค่ะ สีหน้าท่านดูไม่ดีเลย” ชิงอวี้ยื่นมือออกไปตรวจชีพจรของเยี่ยหลี พร้อมพูดขึ้นเบาๆ  


 


 


           ชิงหลวนเอ่ยอย่างไม่รู้จะพูดอะไรดีว่า “คุณหนูเข้าวังครั้งแรกคงตื่นเต้นไม่น้อย น่าเสียดายที่พวกเราเข้าไปตำหนักของไทเฮาด้วยไม่ได้ จึงมิอาจเข้าไปเป็นเพื่อนคุณหนู” 


 


 


           ชิงอวี้หัวเราะน้อยๆ “เจ้าเข้าไปก็มีแต่จะตื่นตระหนกเสียเอง อย่าเข้าไปสร้างความลำบากให้คุณหนูเพิ่มเลย” 


 


 


           เยี่ยหลีหลับตาพิงรถม้าพักผ่อน พร้อมกับทบทวนเรื่องราวต่างๆ ในวันนี้ที่เกิดขึ้นในวังหลวง ช่วงที่อยู่ในวังได้แต่ระมัดระวังตัวอย่างดี มีหลายอย่างที่ไม่มีเวลาขบคิดให้รอบคอบ ฮ่องเต้ ไทเฮา หลิ่วกุ้ยเฟย…ดูเหมือนทุกคนจะเป็นปกติดี แต่คล้ายจะมีความสัมพันธ์ซับซ้อนที่ปกปิดไว้มิให้ผู้อื่นรับรู้ ส่วนอีกคน เยี่ยเย่ว์… 


 


 


           ไม่สิ! 


 


 


           เยี่ยหลีลืมตาขึ้นทันที จนชิงหลวนและชิงอวี้ต่างตกใจไปด้วย “คุณหนู ทำไมหรือเจ้าคะ” 


 


 


           “รถม้าวิ่งไม่ถูกทาง!” เยี่ยหลีเอ่ย ยังไม่ทันสิ้นเสียงดี ก็มีเสียงฟึ่บดังขึ้น พร้อมกับธนูยาวดอกหนึ่งพุ่งเข้ามาในรถม้า 


 

 

 


ตอนที่ 48-1

 

  ณ ตรอกอันห่างไกลแห่งหนึ่งในเมืองหลวง มีรถม้าคันหนึ่งจอดนิ่งอยู่ คนขับรถม้าไม่รู้หายตัวไปอยู่ที่ใดแล้ว และไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรที่บริเวณโดยรอบถูกคนล้อมปิดไว้ บุรุษคนที่เป็นหัวหน้าอยู่ในชุดสีเทาดูไม่สะดุดตา ผมยาวรุ่ยลงมาปิดหน้าปิดตาไปแล้วครึ่งหนึ่ง ใบหน้าอีกครึ่งหนึ่งที่โผล่พ้นออกมาดูแข็งกร้าวและเ**้ยมโหด นัยน์ตาข้างนั้นส่งสายตาเกลียดชังออกมาได้อย่างชวนขนลุก ถึงแม้ยามนี้ดวงตะวันยังไม่ตกดีและยังคงมีแสงสาดส่องให้ความอบอุ่นลงมาบ้าง แต่แสงตะวันที่สาดส่องไปทางบุรุษผู้นั้นกลับชวนให้รู้สึกเหน็บหนาวเข้าไปถึงกระดูก 


 


 


           “ออกมา!” เสียงดุดันของบุรุษผู้นั้นดังขึ้น ผ่านไปครู่ใหญ่ภายในรถม้ายังคงไร้ความเคลื่อนไหว บุรุษผู้นั้นดูจะอดทนรอไม่ไหว เขายิ้มเย็นก่อนพูดขึ้นว่า “หากยังไม่ออกมาอีกข้าจะยิงเกาทัณฑ์เข้าไปแล้วนะ ข้ารู้ว่าคนข้างในไม่ได้ตาย ไสหัวออกมาดีๆ เถิด” 


 


 


           ผ่านไปอีกครู่หนึ่ง สาวใช้ท่าทางสะอาดสอ้านเลิกผ้าม่านขึ้นด้วยความกล้าๆ กลัวๆ ก่อนไถลตัวลงจากรถม้า จากนั้นก็มีหญิงสาวหน้าตาดีประคองหญิงสาวหน้าตางดงาม แต่สีหน้าขาวซีดลงมาจากรถม้า บนไหล่ขวาของหญิงสาวผู้นั้นมีเกาทัณฑ์ดอกหนึ่งปักอยู่ ส่วนมือซ้ายของนางที่กุมไหล่ไว้นั้นเป็นสีแดงฉานไปหมด “พวกเจ้า…พวกเจ้าเป็นผู้ใดกัน” 


 


 


           บุรุษตาเดียวหัวเราะเสียงเย็น สายตาเ**้ยมเกรียมนั้นฉายแววโหดร้าย “นี่คือชายาของติ้งอ๋องในอนาคตหรือนี่ ชีวิตคนพิการอย่างเจ้าม่อซิวเหยานั่นไม่เลวเลยทีเดียว เหลือชีวิตอยู่เพียงครึ่งเดียวแล้วยังจะมีสตรีที่งดงามเช่นนี้ยอมแต่งงานกับมันอีก!” 


 


 


           ชิงหลวนออกมายืนขวางหน้าปกป้องคนทั้งสองทางด้านหลังเอาไว้ “เจ้ารู้ดีว่าพวกเรามีฐานะเช่นใดแล้วยังกล้าเสียมารยาทเช่นนี้อีกหรือ” 


 


 


           บุรุษตาเดียวยิ้มอย่างโหดเ**้ยม “ผู้อื่นกลัวม่อซิวเหยา แต่ข้าไม่กลัว จะว่าไป…ยามนี้ในเมืองหลวงยังมีผู้ใดกลัวเขาอีกหรือ” 


 


 


           เยี่ยหลีจ้องตอบบุรุษผู้นั้น “ท่านมีความแค้นกับติ้งอ๋อง หรือตระกูลสวี หรือตระกูลเยี่ยกันแน่” 


 


 


           บุรุษตาเดียวอึ้งไป ก่อนเปลี่ยนเป็นหัวเราะบ้าคลั่งอย่างรวดเร็ว “สตรีของม่อซิวเหยาหรือ น่าสนใจดีนี่! ข้าไม่มีทั้งความแค้นกับม่อซิวเหยา และไม่มีความแค้นกับตระกูลสวีและตระกูลเยี่ย เจ้าคิดว่าอย่างไร”  


 


 


เยี่ยหลีตอบ “เช่นนั้นก็คงได้รับผลประโยชน์จากผู้อื่น เพื่อมาหาเรื่องข้า เจ้ารับเงินมาเท่าไร ข้าให้เจ้าเพิ่มอีกเท่าหนึ่ง” 


 


 


           “เจ้า” บุรุษตาเดียวมองประเมินเยี่ยหลี ประหนึ่งกำลังพิจารณาความน่าเชื่อถือในถ้อยคำของนาง “ข้ารับเงินคนมาสองหมื่นตำลึงเพื่อเอาชีวิตเจ้า เจ้าจ่ายไหวหรือ” 


 


 


           เยี่ยหลีพยักหน้า “เจ้าปล่อยพวกข้าไป แล้วข้าจะให้เจ้าสี่หมื่นตำลึง” 


 


 


           “ข้าจะเชื่อเจ้าได้อย่างไร” บุรุษตาเดียวหรี่ตาลงพร้อมมองจ้องเยี่ยหลี ไม่ว่าจะเป็นผู้ใด เงินจำนวนสี่หมื่นตำลึงก็สามารถทำให้ใจสั่นได้ทั้งสิ้น สายตาของคนที่รายล้อมอยู่ถึงกับเริ่มสั่นไหว แต่หากบุรุษตาเดียวยังไม่มีคำสั่ง พวกเขาก็มิกล้าจะกระทำการใดโดยพลการ  


 


 


เยี่ยหลีเอ่ยเรียบๆ ว่า “หากเจ้าไม่เชื่อ ก็ปล่อยสาวใช้ข้าให้ไปนำเงินมาให้เจ้าก็ได้ รับเงินแล้วค่อยปล่อยตัวไป ทั้งสองฝ่ายต่างไม่เสียประโยชน์ อีกอย่าง…ข้าว่าเจ้าไม่ได้คิดจะฆ่าข้า ข้าเพียงขอให้เจ้าอย่าทำร้ายพวกข้า” 


 


 


           หางตาของบุรุษตาเดียวกระตุกขึ้น ก่อนจ้องหน้าเยี่ยหลีแล้วกล่าวว่า “เจ้าคิดว่าข้ามิกล้าฆ่าเจ้าหรือ” 


 


 


           “หากเจ้าคิดจะฆ่าข้าจริง เมื่อสักครู่เจ้าแค่ยิงเกาทัณฑ์มั่วซั่วให้ถูกพวกข้าตายไปก็ได้แล้ว” 


 


 


           “ดี สตรีของม่อซิวเหยาแตกต่างจากสตรีทั่วไปจริงๆ! เจ้า! กลับไปเอาเงินมา หากบอกให้ผู้ใดล่วงรู้ หรือพอถึงเวลาและสถานที่นัดหมายแล้วไม่นำเงินมาให้ข้าละก็ เตรียมรับศพคุณหนูของพวกเจ้าได้เลย” 


 


 


           ชิงอวี้ที่ถูกชี้หน้ารีบส่ายหน้าโดยแรง “ข้าไม่ไป! ให้คุณหนูเป็นคนไปแล้วทิ้งพวกเราไว้” 


 


 


           บุรุษตาเดียวยิ้มเย็น “พวกเจ้าคิดว่าข้าจะเชื่อว่าชีวิตของสาวใช้สองคนมีค่าพอสำหรับเงินจำนวนนั้นหรือ” 


 


 


           ชิงอวี้กัดฟันตอบว่า “คุณหนูของพวกเราบาดเจ็บ ข้าพอรู้วิชาแพทย์อยู่บ้าง ให้ชิงหลวนเป็นคนไปเอาก็แล้วกัน” 


 


 


           “ไม่ได้บาดเจ็บร้ายแรงอันใด หากเจ้าไปเร็วมาเร็วยังกลับมาช่วยรักษาบาดแผลให้คุณหนูของเจ้าได้ รีบไสหัวไปเสีย!” 


 


 


           “ชิงอวี้ เจ้ารีบไปก่อน” เยี่ยหลีเอ่ยสั่งเสียงเบา  


 


 


ชิงอวี้กัดริมฝีปากพร้อมพยักหน้าหนักๆ “ชิงหลวน ดูแลคุณหนูให้ดีด้วย” 


 


 


           ชิงหลวนพยักหน้า หมุนตัวไปประคองเยี่ยหลีแทนชิงอวี้ บุรุษตาเดียวมองชิงอวี้ที่วิ่งโซซัดโซเซออกไปแล้วก็ชี้ไปยังชายสองคนข้างกายตน “ตามสาวใช้นั่นไป แล้วเอาเงินกลับมา ส่วนพวกเจ้า…จะเดินไปเองดีๆ หรือจะให้ใครมาเชิญพวกเจ้าไป” 


 


 


           “พวกข้าเดินไปเอง” 


 


 


           พวกนางถูกลักพาตัวเสียแล้ว เยี่ยหลีมองสถานการณ์ตรงหน้าอย่างไม่รู้จะทำเช่นไรดี แน่นอนว่า ที่โจรกลุ่มนี้สามารถลักพาตัวชายาติ้งอ๋องในอนาคตจากเมืองหลวงที่อยู่ใต้ฝ่าพระบาทของโอรสสวรรค์เช่นนี้เป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ใจอย่างยิ่ง แล้วกลุ่มคนขนาดนี้ยังสามารถเดินทางด้วยความรวดเร็วออกนอกเมืองหลวงมายังภูเขาสูงที่มีหุบเหวลึกซึ่งอยู่ห่างจากเมืองหลวงเป็นร้อยลี้เช่นนี้ได้อีก แน่แล้วว่าพวกนางถูกโจรป่าลักพาตัวมา เพราะที่นี่คือรังโจรป่า 


 


 


           อาจเป็นเพราะเยี่ยหลีมีค่าตัวถึงสี่หมื่นตำลึง ทำให้พวกนางไม่ถูกจับโยนลงคุกใต้ดินที่อยู่ในป่าลึก แต่ถูกจับมาขังไว้ในห้องเล็กๆ ที่ซอมซ่อห้องหนึ่ง จนเมื่อประตูถูกลงกลอนเรียบร้อยแล้ว ชิงหลวนจึงรีบเอาหูแนบประตูเพื่อฟังเสียงความเคลื่อนไหวด้านนอก ก่อนเดินเข้ามาหาเยี่ยหลีพร้อมเอ่ยเสียงเบาว่า “คุณหนู พวกเราออกจากเมืองหลวงมาไกลเพียงนี้ ชิงอวี้จะหาพวกเราเจอหรือไม่เจ้าคะ” 


 


 


           เยี่ยลงลดมือที่กุมหัวไหล่ขวาลง พร้อมใช้มือดึงเกาทัณฑ์ดอกนั้นออกมา เกาทัณฑ์ดอกนั้นเสียบเข้าระหว่างอกขวากับซอกรักแร้ ซึ่งไม่ได้ทำให้เยี่ยหลีบาดเจ็บแม้แต่น้อย สีแดงที่ไหลอาบเสื้อผ้านั้นเป็นเพียงผงสีชาดกับยาจากขวดที่ชิงอวี้พกติดตัวไว้เท่านั้น “พวกมันไม่ได้คิดจะให้ชิงอวี้กลับมาอยู่แล้ว เพียงเสียดายเงินสี่หมื่นตำลึงนั่นเท่านั้น”  


 


 


ชิงหลวนอึ้งไป “คุณหนูจะบอกว่า…พอพวกมันได้เงินแล้วก็จะฆ่าปิดปากเช่นนั้นหรือเจ้าคะ”  


 


 


เยี่ยหลีพยักหน้า ก่อนอมยิ้มปลอบใจชิงหลวน “เจ้าวางใจเถิด สองคนนั่นมิใช่คู่ปรับของชิงอวี้ นางไม่เป็นอันใดหรอก”  


 


 


สีหน้าของชิงหลวนยังคงเป็นกังวลไม่น้อยไปกว่าเดิม เหลือบมองคุณหนูของตนอย่างไม่รู้จะทำเช่นไร นางเป็นห่วงชิงอวี้ที่ไหนกัน ที่นางเป็นกังวลคือพวกนางจะพ้นจากภัยร้ายครานี้ไปได้เช่นไรต่างหาก นายท่านกับคุณชายใหญ่ฝากความปลอดภัยของคุณหนูไว้ที่พวกนาง ยามนี้คุณหนูถูกพวกโจรจับตัวไว้ พวกนางกลับช่วยเหลือไม่ได้ ช่างไร้ประโยชน์เสียจริง! 


 


 


           “พวกมันมีกันมากเกินไป มิใช่ความผิดของพวกเจ้าหรอก” เยี่ยหลีเอ่ยยิ้มๆ “ช่วยข้าพันแผลเถิด” 


 


 


           ชิงหลวนพยักหน้า ก้มหน้าลงฉีกแขนเสื้อตัวในที่สะอาดออกมา “พันแผล” ให้เยี่ยหลี พร้อมถามว่า “คุณหนูรู้หรือไม่ว่าผู้ใดที่คิดร้ายต่อพวกเราเจ้าคะ จะใช่ฮูหยินหรือไม่เจ้าคะ” 


 


 


           เยี่ยหลีส่ายหน้า “ช่วงนี้เงินของนางตึงมืออยู่แล้ว ไม่น่าเป็นไปได้ที่จะควักเงินสองหมื่นตำลึงเพื่อให้คนมาลักพาตัวข้า แล้วยังจับได้ง่ายเกินไปด้วย” ที่สำคัญที่สุดคืออีกฝ่ายไม่ได้คิดอยากเอาชีวิตนาง เช่นนั้นหากอีกฝ่ายไม่กลัวนางแก้แค้น ก็คืออีกฝ่ายเป็นคนที่นางคาดไม่ถึง จึงมิอาจแก้แค้นได้ ดังนั้นจึงไม่น่าเป็นหวังซื่อ 


 


 


           ชิงหลวนขมวดคิ้ว “แต่ว่าคุณหนูไม่เคยล่วงเกินผู้ใดนี่เจ้าคะ” 


 


 


           เยี่ยหลีนิ่งคิดเงียบๆ ลักพาตัวนางมา แต่ไม่คิดเอาชีวิตนาง เช่นนั้น…หากข่าวที่นางโดนโจรจับตัวไปแพร่ออกไป ชื่อเสียงของนางคงย่อยยับไม่มีชิ้นดี “งานแต่งงาน” 


 


 


           “อะไรนะเจ้าคะ” 


 


 


           “มีคนอยากให้งานแต่งงานระหว่างข้ากับติ้งอ๋องไม่ราบรื่น” เยี่ยหลีเอ่ยเรียบๆ 


 


 


           “หลีอ๋อง!” ชิงหลวนเอ่ยด้วยความแค้นเคือง 


 


 


           เยี่ยหลีส่ายหน้า “เป็นไปได้ แต่ก็ไม่แน่นัก” ต่อให้ม่อจิ่งหลีโง่เขลาสักเพียงใดก็น่าจะรู้ว่าหากเกิดเรื่องขึ้นกับนาง คนแรกที่ม่อซิวเหยาจะไปหาก็คือเขา 


 


 


           “เช่นนั้น…ยามนี้พวกเราจะทำอย่างไรกันดีเจ้าคะ หรือให้ชิงหลวนเปิดประตู แล้วคุณหนูอาศัยจังหวะนี้หนีไป” 


 


 


           เยี่ยหลีส่ายหน้า ที่นี่ห่างจากเมืองหลวงอย่างน้อยๆ ก็หนึ่งร้อยลี้ หากเป็นอย่างที่นางคาดเดาจริงว่าที่ทำเช่นนี้เพราะเรื่องงานแต่งงานระหว่างนางกับติ้งอ๋อง เกรงว่าเพียงนางก้าวพ้นจากเมืองหลวง ข่าวที่นางโดนลักพาตัวไปคงแพร่กระจายไปทั่วแล้ว หากมีเพียงนางคนเดียวที่ต้องหนีไปจากรังโจรนี้คงไม่ยากนัก แต่ต่อให้นางกลับไปยามนี้ก็เกรงว่าคงไม่ได้ช่วยอันใด เช่นนั้นไม่สู้อยู่ที่นี่ อาจมีเรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้นก็เป็นได้ “พักก่อนแล้วกัน สายอีกหน่อยค่อยว่ากัน” 


 


 


           “เจ้าค่ะ คุณหนู” 


 


 


            


 


 


           ณ ตำหนักติ้งอ๋อง 


 


 


           “ท่านอ๋อง!” พ่อบ้านของตำหนักติ้งอ๋องเข้ามาด้วยความรีบร้อน เมื่อได้พบหน้าม่อซิวเหยายังไม่ทันคารวะก็รีบพูดว่า “ท่านอ๋อง เกิดเรื่องใหญ่แล้วพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


           ม่อซิวเหยารีบเงยหน้าขึ้น “เกิดเรื่องอันใด” 


 


 


           “เมื่อสักครู่มีบ่าวมารายงานว่า อยู่ดีๆ ข้างนอกก็มีข่าวว่าคุณหนูสามตระกูลเยี่ยถูกโจรเด็ดดอกไม้จับตัวไปพ่ะย่ะค่ะ…” สายตาที่เปลี่ยนเป็นเย็นชาขึ้นกะทันหันทำให้พ่อบ้านถึงกับหยุดถ้อยคำของตนลง และอดไม่ได้ที่จะรู้สึกขนลุก ก่อนมองชายหนุ่มที่นั่งหลังตรงอยู่บนเก้าอี้รถเข็นด้วยความกล้าๆ กลัวๆ “ท่านอ๋อง…” 


 


 


           ม่อซิวเหยาหลับตาลง ก่อนลืมขึ้นอีกครั้งอย่างรวดเร็ว “เกิดอันใดขึ้น” 


 


 


           “บ่าวเองก็ไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้นพ่ะย่ะค่ะ พวกบ่าวออกไปจัดการเรื่องซื้อของที่ต้องใช้ในงานมงคลของท่านอ๋อง ก็ได้ยินข้างนอกลือกันเช่นนี้ไปทั่วแล้ว พวกนั้นรู้สึกไม่ค่อยดีจึงรีบกลับตำหนักมารายงานบ่าวพ่ะย่ะค่ะ บ่าวมิกล้าให้เสียเวลามากไปกว่านี้ จึงได้…”  


 


 


ม่อซิวเหยายกมือขึ้นตัดบทเขา “ส่งคนไปดูที่จวนเจ้ากรมประเดี๋ยวนี้ว่าอาหลีกลับมาแล้วหรือไม่ แล้วให้อีกกลุ่มหนึ่งไปสืบหาร่องรอยหลังอาหลีออกจากวัง รวมทั้งสถานการณ์ภายในวังด้วย!” 


 


 


           “พ่ะย่ะค่ะ บ่าวจะไปประเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ!” พ่อบ้านมิกล้ารั้งรอแม้สักนิด รีบหมุนกายเดินออกจากประตูแล้ววิ่งหายไปตามทางเดินอย่างรวดเร็ว 


 


 


           “อาจิ่น ส่งข่าวให้เฟิ่งซานรู้ ไม่ว่าจะใช้วิธีการใดก็ตาม ข้าไม่อยากได้ยินข่าวลือเช่นนี้ในเมืองหลวงอีก” ภายในห้องหนังสือที่เงียบสงบ ม่อซิวเหยาเอ่ยเรียบๆ แต่น้ำเสียงที่เจือแววอาฆาตนั้นกลับทำให้คนฟังขนลุกโดยไม่รู้ตัว 


 


 


           “พ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


           “ท่านอ๋อง” พ่อบ้านที่เพิ่งหายออกไปกลับมาปรากฏตัวอีกครั้งที่หน้าประตู 


 


 


           “มีอะไร” 


 


 


           “คุณชายใหญ่สวีเพิ่งให้คนส่งจดหมายมา ขอเชิญท่านอ๋องรีบไปยังเรือนหลังเล็กของตระกูลสวีพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


           ม่อซิวเหยาหลุบตาลง “ข้ารู้แล้ว”

 

 

 


ตอนที่ 48-2

 

เรือนหลังเล็กตระกูลสวี 


 


 


           ณ ลานหลัก ชิงอวี้นั่งเอนอยู่บนเก้าอี้อย่างหมดแรง แขนเสื้อด้านซ้ายถูกฟันขาดเป็นแนวยาว เลือดสีแดงเข้มไหลอาบแขนเสื้อครึ่งหนึ่ง บนพื้นมีร่างชายสองคนที่บุรุษตาเดียวส่งมาติดตามนางสลบไสลไม่ได้สติอยู่  


 


 


           สวีหงอวี่นั่งหน้าขรึมอยู่ ณ ตำแหน่งประธาน ด้านข้างมีสวีหงเยี่ยนและสวีชิงเฉินนั่งอยู่ ส่วนสวีชิงเจ๋อและคนอื่นๆ ยืนอยู่อีกด้านหนึ่ง สีหน้าของทุกคนดูไม่ดีเอาเสียเลยอย่างที่คิดไว้ “ข่าวลือข้างนอกเป็นอย่างไรบ้างแล้ว” สวีหงอวี่เอ่ยถามเสียงเข้ม 


 


 


           สวีหงเยี่ยนตอบว่า “มีคนตั้งใจปล่อยข่าวออกไป ถ้าตามที่ชิงอวี้บอก ช่วงเวลาที่หลีเอ๋อร์ถูกลักพาตัวไปกับช่วงเวลาที่ข่าวแพร่ออกไปนั้นห่างกันไม่ถึงหนึ่งชั่วยามดี จากนั้นก็ลือกันไปทั่วเมืองหลวงแล้ว” 


 


 


           “ข้าส่งคนออกไปค้นหาทั่วเมืองหลวง เพียงแต่…เกรงว่ายามนี้หลีเอ๋อร์คงไม่อยู่ในเมืองหลวงแล้ว” สวีชิงเฉินขมวดคิ้วพูดขึ้น 


 


 


           “เมืองอันยิ่งใหญ่ภายใต้ฝ่าพระบาทของโอรสสวรรค์ กลับมีคนจำนวนมากเช่นนั้นจับสตรีตัวเล็กๆ สองคนไปได้ องครักษ์ในเมืองหลวงนี่กินอะไรเป็นอาหารกันแน่” สวีชิงเฟิงพูดด้วยความโกรธเกรี้ยว 


 


 


           สวีชิงเฉินขมวดคิ้ว “เรื่องนี้ไว้ค่อยว่ากันทีหลัง ไอ้สองคนนี้ทำอย่างไรก็ไม่ตื่นหรือ” 


 


 


           ชิงอวี้ตอบว่า “บ่าวให้ยาเฉินเซียงจุ้ยไป อีกเพียงหนึ่งเค่อก็น่าจะได้สติแล้วเจ้าค่ะ” เดิมทีนางคิดจะนำทั้งสองคนกลับมายังตระกูลสวี แต่นึกไม่ถึงว่าหนึ่งในนั้นกลับอ่านแผนของนางออก จึงคิดฆ่านางปิดปากด้วยความโกรธ นางจึงจำต้องใช้กำลังและเสียเวลาไปไม่น้อยกว่าจะทำให้ทั้งสองคนสลบได้ จากนั้นจึงรายงานให้คุณชายใหญ่รู้ ทว่านึกไม่ถึงว่าช่วงเวลาเพียงเท่านี้ที่ตนเสียไป ข่าวเรื่องที่คุณหนูถูกลักพาตัวไปกลับกระจายไปทั่วเมืองหลวงเสียแล้ว 


 


 


           “ในเมื่อทำอย่างไรก็ไม่ตื่น ก็ยกให้เป็นหน้าที่ข้าก็แล้วกัน” เสียงเรียบๆ เสียงหนึ่งดังมาจากหน้าประตู ทุกคนต่างหันไปมอง เห็นม่อซิวเหยาในชุดสีอ่อนนั่งอยู่บนเก้าอี้รถเข็นมองร่างชายสองคนที่ไม่ได้สติด้วยสีหน้าเฉยชา ด้านหลังมีอาจิ่นเข็นรถเข้ามาให้ 


 


 


           “ท่านอ๋อง” ทุกคนต่างลุกขึ้นยืน ม่อซิวเหยายกมือขึ้น “เรื่องงานสำคัญกว่า พิธีการพวกนี้ช่างมันเถิด อาจิ่น” 


 


 


           “พ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋อง” อาจิ่นเดินขึ้นหน้า ก่อนยกมือขวาขึ้นสะบัดจนเกิดเสียงลมดังขึ้น พลันนั้นมีแส้เส้นหนึ่งปรากฏในมือ ปลายแส้มีเหล็กแหลมเล็กๆ เสียบอยู่เป็นประกายสะท้อนแสงเทียน 


 


 


           “เผียะ…” แส้เส้นยาวสะบัดลงบนตัวคนที่นอนไม่ได้สติอยู่ที่พื้น สิ้นเสียงแส้ก็เห็นเหล็กแหลมที่ปลายแส้ทิ่มทะลุผ่านเสื้อผ้าลงไปถึงเนื้อข้างใต้ ภายใต้สายตาตื่นตะลึงของทุกคน อาจิ่นสะบัดแส้ลงไปอีกครั้งอย่างไม่ไยดี “เผียะ…” 


 


 


           “เผียะ…” 


 


 


           ฟาดแส้ลงไปได้ไม่เกินห้าที ก็มีเสียงคร่ำครวญด้วยความเจ็บปวดดังมาจากพื้น หนึ่งในนั้นลืมตาขึ้นมาก่อน สิ่งที่รอต้อนรับสายตาเขาก็คือแส้เส้นยาวที่ลอยมาประหนึ่งงูพิษ “อ้าก!” 


 


 


           “เผียะ…” 


 


 


           “อ้าก อ้าก…” 


 


 


           “ช่วยด้วย ให้อภัยข้า ไว้ชีวิตข้าด้วย อ้าก…อ้าก!” 


 


 


           ม่อซิวเหยานั่งพิงเก้าอี้รถเข็น สีหน้ายังคงเฉยชา “บอกข้ามา คนที่พวกเจ้าจับตัวไปอยู่ที่ใด” 


 


 


           “ไม่…ข้าไม่รู้ ท่านอ๋องไว้ชีวิตด้วย…ท่านอ๋องไว้ชีวิตด้วยเถิด!” 


 


 


           “เผียะ…” 


 


 


           “อ้าก เจ็บ…พอแล้ว ท่านอ๋องไว้ชีวิตด้วย ข้าไม่รู้จริงๆ…” 


 


 


            “ยามนี้ข้าเพียงอยากรู้ที่อยู่ของคนที่พวกเจ้าจับตัวไป พูดออกมาแล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า” ม่อซิวเหยาใช้สายตานิ่งเรียบกดดันคนที่อยู่ที่พื้น  


 


 


แต่คนที่ถูกเขาจ้องกลับตัวสั่นงันงกอย่างอดไม่อยู่ ก่อนครวญครางออกมาว่า “ข้าน้อย…ข้าน้อยไม่รู้จริงๆ”  


 


 


ม่อซิวเหยาพยักหน้า “ข้าชื่นชมในความซื่อสัตย์ของเจ้า หวังว่าความซื่อสัตย์ของเจ้าจะทำให้เจ้ามีชีวิตอยู่ต่อไปได้” ล้อรถเข็นค่อยๆ ขยับพาเขามาอยู่ข้างๆ คนบนพื้น  


 


 


อีกฝ่ายกลั้นใจฝืนทนความเจ็บปวดจากผิวหนังที่ปริแตก มองจ้องคนที่ใกล้ตนเข้ามาเรื่อยๆ แววตาเต็มไปด้วยความยินดียิ่ง ในขณะที่ม่อซิวเหยาค่อยๆ เข้าใกล้เขานั้น เขายันตัวขึ้นจากพื้นพุ่งเข้าหาม่อซิวเหยาทันที  


 


 


ทว่าคนที่อยู่บนรถเข็นดูจะว่องไวกว่าอย่างเห็นได้ชัด เมื่อเข้าใกล้จนเกือบจะถึงตัวแล้วชายคนนั้นกลับร่วงลงกับพื้นทันที เห็นเพียงม่อซิวเหยาที่ใช้วิชาประหลาดเอามือจิ้มไปทั่วตัวชายผู้นั้นด้วยความรวดเร็ว จากนั้นก็ได้ยินเสียงฉึกๆ ที่ทำให้คนขนหัวลุกดังขึ้นพร้อมกับเสียงร้องโหยหวน ร่างที่ก่อนหน้านี้พุ่งเข้ามาอย่างดุดัน ยามนี้ล้มลงข้างเก้าอี้รถเข็นด้วยสภาพที่ไม่ต่างจากเศษผ้าเก่าๆ ขาดๆ กองหนึ่ง  


 


 


ม่อซิวเหยารับผ้าเช็ดหน้าที่อาจิ่นส่งให้มาเช็ดมือข้างขวาที่เมื่อสักครู่จิ้มเข้าไปที่ร่างของชายคนนั้นพลางเอียงคอมองชายที่กองอยู่กับพื้น “ยามนี้เจ้าจะยอมตอบคำถามของข้าได้หรือยัง” 


 


 


           สายตาทุกคู่จับจองไปที่ร่างที่คล้ายกองผ้าร่วงกับพื้น ช่างเหมือนเอามากๆ จริงๆ เดิมทีเขามีรูปร่างสูงใหญ่สมชายชาตรี แต่กลับถูกวิธีที่แปลกประหลาดอย่างมากเล่นงานเสียจนตัวหงิกงอ หดเหลือเพียงก้อนก้อนหนึ่ง ประหนึ่งกระดูกทั่วร่างถูกทำให้หายไปในพริบตากระนั้น กลายเป็นร่างอ่อนปวกเปียกกองอยู่ที่พื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง ทว่าที่ทำให้คนขนลุกยิ่งกว่าก็คือ คนคนนั้นยังมีชีวิตอยู่ 


 


 


           สวีชิงเหยียนที่อายุน้อยที่สุด เมื่อได้เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าก็อดรู้สึกหนาวยะเยือกขึ้นมาไม่ได้ จึงหลบไปแอบอยู่ข้างสวีชิงเฟิงโดยไม่มีผู้ใดทันเห็น ยามนี้ต่อให้อยู่กับพี่สี่ก็ไม่รู้สึกปลอดภัยขึ้นแม้แต่น้อย ในบรรดาพี่น้องผู้ชายของเขา มีพี่สามนี่แหละที่มีฝีมือดีที่สุด 


 


 


           คนที่เดิมสลบไสลไม่ได้สติตัวสั่นเทา “ไว้…ไว้ชีวิต…ท่านอ๋องไว้ชีวิต…” 


 


 


           “คนที่พวกเจ้าจับตัวไปอยู่ที่ใด” ม่อซิวเหยาเอ่ยถาม 


 


 


           “ไม่อยู่ในเมืองหลวงแล้ว ลูกพี่…ลูกพี่ พอจับตัวได้ก็พาออกนอกเมืองหลวงไปแล้ว…” 


 


 


           “ไปอยู่ที่ใด” 


 


 


           “ฮือๆ…ข้าไม่รู้จริงๆ ลูกพี่บอกว่ารังโจรของพวกเราไม่ปลอดภัย สุดท้ายจึงเปลี่ยนไปเป็นอีกที่หนึ่ง ข้า…ข้าไม่เคยไป…” ชายชาตรีร่างกายบึกบึนถูกขู่ให้กลัวเสียจนต้องร้องไห้คร่ำครวญออกมา ช่างน่าอดสูยิ่งนัก 


 


 


           “เช่นนั้นก็บอกมาว่าก่อนหน้านี้พวกเจ้าอยู่ที่ใด” 


 


 


           “นอกเมืองหลวง…ห่างไปหกสิบลี้บนยอดเขาเฮยอวิ๋น ฮือๆ…ท่านอ๋องไว้ชีวิตด้วย…” 


 


 


           “จับพวกมันส่งให้เฟิ่งซาน ลองดูว่ายังเค้นอะไรได้อีกหรือไม่ รีบไปเตรียมพร้อมประเดี๋ยวนี้ ข้าจะออกนอกเมืองหลวง” 


 


 


           “พ่ะย่ะค่ะ” อาจิ่นเก็บแส้เส้นยาวกลับมา แล้วใช้มือลากสองคนนั้นออกไปคนละข้าง ร่างกายแบบบางของเด็กหนุ่มกลับลากบุรุษที่ตัวโตกว่าตนเป็นเท่าได้โดยที่ดูคล้ายไม่ต้องออกแรงเลยแม้แต่น้อย ฝีเท้ามั่นคงประหนึ่งลอยออกไปกระนั้น 


 


 


            


 


 


           ภายในห้องซอมซ่อ เยี่ยหลีและชิงหลวนต่างหลับตาลงพักผ่อน คนหนึ่งนอนอยู่บนเตียง ส่วนอีกคนนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวเล็กข้างเตียง ถึงแม้จะหลับตาอยู่ แต่สีหน้าของชิงหลวนยังคงดูผิดหวังและไม่สบายใจ แอบลืมตาขึ้นมองเยี่ยหลีที่นั่งเอนหลังพิงกำแพงพักผ่อนอยู่บนเตียง ชิงหลวนเอ่ยเสียงเบาว่า “คุณหนู ท่านนอนลงพักผ่อนเสียหน่อยเถิดเจ้าค่ะ ชิงหลวนจะคอยระวังให้เอง” 


 


 


เยี่ยหลีลืมตาขึ้นมองนางแล้วยิ้มให้น้อยๆ “ให้พักอีกครึ่งชั่วยาม แล้วคืนนี้เจ้าจะต้องหาทางหนีไปจากที่นี่”  


 


 


ชิงหลวนตาโตด้วยความตกใจ “ได้อย่างไรกันเจ้าคะ หากจะไปก็ต้องให้คุณหนูไปก่อน ชิงหลวนรู้ดีว่าคุณหนูมิใช่สตรีแบบบางไร้เรี่ยวแรง ชิงหลวนจะช่วยคุณหนูกันคนพวกนั้นเอาไว้ คุณหนูหนีออกไปได้แน่เจ้าค่ะ” 


 


 


           เยี่ยหลีส่ายหัว “เจ้าออกไปแล้วข้าไม่เป็นอันใดหรอก แต่หากข้าหายตัวไป พวกมันจะต้องฆ่าเจ้าเป็นแน่” 


 


 


           “เช่นนั้นไม่ได้เจ้าค่ะ บ่าวจะทิ้งคุณหนูไว้คนเดียวไม่ได้” ชิงหลวนเอ่ยยืนยันเสียงแข็ง 


 


 


           เยี่ยหลีมองนางด้วยสายตาแน่วแน่ “รอให้เจ้ากลับไปแล้วตามคนกลับมาช่วยข้า ดูท่าทางพวกมันไม่มีความยำเกรงเช่นนี้ ที่ที่พวกเราอยู่น่ากลัวจะหาเจอไม่ง่ายนัก” 


 


 


ชิงหลวนมึนงงไปหมดแล้ว นางมองเยี่ยหลีอย่างสับสน ดูคล้ายคำสั่งที่ได้ยินจากคุณหนูจะเป็นทางเลือกที่ถูกต้องที่สุด แต่ไม่รู้ว่าเหตุใดนางถึงรู้สึกไม่สะบายใจเอาเสียเลย  


 


 


เยี่ยหลีอมยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่ต้องกังวลไป ข้าคือคุณหนูมิใช่หรือ พี่ใหญ่ให้พวกเจ้าเชื่อฟังข้า หรือว่าเจ้าคิดจะขัดคำสั่งข้า” 


 


 


           “คุณหนู…” ชิงหลวนทำอะไรไม่ถูก ได้แต่น้ำตาคลอมองเยี่ยหลี 


 


 


           เยี่ยหลีมองนางแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ชิงหลวนคนดี คืนนี้เจ้าจะต้องไปจากที่นี่ให้ได้ เป็นได้ว่าหลังจากนี้…จะได้พบคนที่คิดไม่ถึง” 


 


 


           “คุณหนู!” ชิงหลวนมองเยี่ยหลีด้วยความตื่นตระหนก 


 


 


           “คนดี ไม่ต้องกลัวไป คุณหนูอย่างข้าย่อมมีวิธีเอาตัวรอดของตนเอง เจ้ารีบลงจากเขาไปขอความช่วยเหลือ เจ้าอยากให้พวกเรารีบกลับบ้านมิใช่หรือ” เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ หลอกล่อนาง  


 


 


ในที่สุดชิงหลวนก็พยักหน้าด้วยสีหน้าหนักอึ้ง 


 


 


           “ปัง!” 


 


 


           ประตูห้องถูกคนถีบเข้ามาจากด้านนอก ชิงหลวนทะลึ่งตัวขึ้นขวางหน้าเยี่ยหลีพร้อมจ้องขู่บุรุษร่างกายกำยำสองคนที่จู่ๆ ก็พุ่งเข้ามา “พวกเจ้าคิดจะทำอันใด” 


 


 


           บุรุษคนที่อยู่ข้างหน้าใช้สายตาแทะโลมจ้องมองเยี่ยหลีที่ชิงหลวนยืนขวางอยู่ ก่อนเอ่ยยิ้มๆ ว่า “นี่คือคุณหนูสามตระกูลเยี่ยคนนั้นหรือ คนที่เป็นสตรีมากความสามารถของเมืองหลวงปีนี้ และเป็นคู่หมั้นของติ้งอ๋องเช่นนั้นหรือ” 


 


 


           คนที่ตามเขามาดูจะเป็นลูกกระจ๊อก เพียงยิ้มแล้วพูดเสริมว่า “ท่านรองหัวหน้าพูดถูกแล้วขอรับ หญิงคนนี้ก็คือคุณหนูที่ท่านหัวหน้าใหญ่พากลับมาขอรับ” 


 


 


           รองหัวหน้าผู้นั้นยกมือขึ้นถูกันก่อนยิ้มอย่างมีเลศนัย “พี่ใหญ่หมายความว่าอย่างไรกัน เอาแม่นางที่สวยสดงดงามสองคนมาขังไว้ในห้องเช่นนี้เพื่ออันใด” 


 


 


           เจ้าลูกกระจ๊อกอึ้งไป นึกถึงเรื่องที่ลูกพี่ใหญ่ของตนสั่งเอาไว้จึงรีบพูดว่า “ท่านรองหัวหน้า หญิงงามสองคนนี้แตะต้องไม่ได้นะขอรับ” 


 


 


           รองหัวหน้าส่งเสียงเหอะออกมา “เข้ามาในเขตภูเขากุ่ยอวิ๋นของข้าแล้วยังจะมีผู้ใดที่แตะต้องไม่ได้อีกหรือ” 


 


 


           “คุณ…คุณหนูนางนี้มีมูลค่าถึงหกหมื่นตำลึงเชียวนะขอรับ ท่านหัวหน้าใหญ่สั่งไว้ โดยเฉพาะคุณหนูท่านนั้น แตะต้องไม่ได้เป็นอันขาดขอรับ” 


 


 


           “หกหมื่นตำลึงหรือ” ตาเล็กหนูของรองหัวหน้าเป็นประกายทันที ส่อให้เห็นถึงแววตาแห่งความโลภ สายตาของเขากวาดไปทั่วร่างเยี่ยหลีอีกครั้ง จากนั้นเปลี่ยนมามองยังร่างของชิงหลวน ก่อนยิ้มเอ่ย “เอาเถิด เห็นแก่เงินหกหมื่นตำลึง ข้าจะปล่อยพวกนางไปก่อน ส่วนสาวใช้คนนี้ให้ตกเป็นของข้าก็แล้วกัน ถึงแม้จะงามสู้คนนั้นไม่ได้ แต่ก็ดีกว่าพวกหน้าตาประหลาดในรังถมถืด” พูดจบก็พุ่งตัวมาทางชิงหลวนทันที 


 


 


           “ชิงหลวน ลงมือ!” 


 


 


           เยี่ยหลีลุกขึ้นด้วยความรวดเร็ว แล้วอ้อมตัวชิงหลวนและรองหัวหน้าที่พุ่งตัวเข้ามาก่อน จัดการลูกกระจ๊อกที่อยู่ด้านหลังจนสลบเหมือด  


 


 


ชิงหลวนเองก็ไม่รอให้เสียเวลา ร่างเล็กๆ ที่ดูแบบบางกลับมีกำลังวังชาอย่างคาดไม่ถึง นางพุ่งหมัดเข้าที่กลางลำตัวของอีกฝ่าย ก่อนหมุนตัวไปทางด้านหลัง ยกมือขึ้นสับลำคอ ร่างชายหนุ่มสูงใหญ่กำยำก็อ่อนระทวยลงไปกองกับพื้น ไม่ทันแม้แต่จะส่งเสียงเหอะออกมาสักแอะ เยี่ยหลีที่อยู่ทางด้านหลังรีบปิดประตูลงอย่างรวดเร็ว 


 


 


           “คุณหนู” 


 


 


           เยี่ยหลีพยักหน้าอย่างชื่นชม สาวใช้ตัวเล็กๆ ผู้นี้มีความสามารถซ่อนอยู่ไม่น้อยทีเดียว “เอาละ อย่าเสียเวลาเลย จำทางลงจากเขาได้หรือไม่”  


 


 


ชิงหลวนนึกย้อนคร่าวๆ ก่อนพยักหน้า เมื่อยามที่ขึ้นเขามา ถึงแม้โจรพวกนั้นจะปิดตาพวกนางไว้ แต่กลับมองข้ามชิงหลวนที่ผ่านการฝึกฝนมาเป็นอย่างดีไป นางมีประสาทหูไม่ธรรมดา ถึงแม้จะจำไม่ได้ทั้งหมดแต่ทิศทางคร่าวๆ นางย่อมจำได้  


 


 


เยี่ยหลีเอ่ยว่า “ข้าเดาว่ารังนี้คงเพิ่งสร้างใหม่ ไม่ว่าจะเป็นพวกค่ายกลหรือการป้องกันอันใดคงยังไม่แข็งแรงนัก เจ้าระวังตัวหน่อยก็แล้วกัน ไปเถิด” 


 


 


           “คุณหนูระวังตัวด้วยเจ้าค่ะ” 


 


 


           เยี่ยหลีพยักหน้า ยืนยันว่าจะระวังตัวเป็นอย่างดี เมื่อส่งชิงหลวนออกไปแล้วจึงหันกลับไปมองคนสองคนที่ยังคงนอนแผ่หลาอยู่กับพื้น โค้งตัวลงพลางดึงปิ่นที่อยู่บนศีรษะก่อนนำไปแทงยังจุดที่ไม่สะดุดตาสองสามที จึงได้กลับไปนั่งหลับตาพักผ่อนบนเตียงอีกครั้ง 

 

 

 


ตอนที่ 48-3

 

เยี่ยหลีนั่งนิ่งอยู่บนเตียง หูทั้งสองข้างคอยฟังความเคลื่อนทางด้านนอก รังโจรบนภูเขาในยามค่ำคืนเช่นนี้ช่างเงียบสงัด ดูคล้ายชิงหลวนคงไม่ถูกใครพบเข้า ในใจเยี่ยหลีค่อยๆ สบายใจขึ้น วิชาตัวเบาที่สามารถสะกดรอยตามคุณชายเฟิงเย่ว์ได้สำเร็จคงพอเชื่อถือได้อยู่ ขอเพียงไม่ถูกพบภายในครึ่งชั่วยาม เพียงครึ่งชั่วยามก็เพียงพอที่จะให้ชิงหลวนหลบหนีไปจากภูเขากุ่ยอวิ๋นหรือกุยอวิ๋นนี่ได้แล้ว 


 


 


           “ปัง!” ประดูของห้องซอมซ่อถูกถีบเปิดจากด้านนอกอีกครั้ง บานประตูที่ไม่ได้แข็งแรงนักเริ่มแกว่งไปมาอย่างทุลักทุเล 


 


 


           บุรุษตาเดียวเข้ามาก่อน เมื่อเห็นร่างที่อยู่กับพื้นและเยี่ยหลีที่ยังคงนั่งสงบนิ่งอยู่บนเตียงแล้วก็อึ้งไปพักหนึ่ง ที่น่าแปลกใจคือเขาไม่ได้แสดงความโกรธเกรี้ยว เพียงโบกมือเรียกคนให้เข้ามาลากร่างที่อยู่บนพื้นออกไปเท่านั้น 


 


 


           “ดูเหมือนข้าจะประมาทเจ้าเกินไปหน่อย สาวใช้คนนั้นเล่า” บุรุษตาเดียวจ้องหน้าเยี่ยหลีพร้อมเอ่ยถาม 


 


 


           เยี่ยหลีนึกถอนใจในใจอย่างช่วยไม่ได้ นางถูกพบเข้าเสียแล้ว หวังว่าชิงหลวนจะลงจากเขาไปได้อย่างปลอดภัย “เจ้าก็เห็นแล้วมิใช่หรือว่านางหนีไปแล้ว”  


 


 


ดวงตาเ**้ยมเกรียมของบุรุษตาเดียวหรี่ลงด้วยความสงสัย “เหตุใดเจ้าจึงไม่ไปกับนางด้วย หรือว่าสาวใช้ทรยศเจ้านายหนีไปแล้ว เป็นเพียงสาวใช้แต่กลับหนีออกจากรังไปได้อย่างไร้ร่องรอย ช่างน่าประหลาดใจนัก” 


 


 


           เยี่ยหลีมองตอบเขา “แค่โจรกลุ่มหนึ่ง แต่กลับลักพาตัวสตรีสองคนจากใต้ฝ่าพระบาทของโอรสสวรรค์ประหนึ่งไร้การคุ้มกัน ก็ทำให้ข้าประหลาดใจมากเช่นกัน” 


 


 


           บุรุษตาเดียวส่งเสียงเหอะเบาๆ “คนที่ข้าส่งให้ตามสาวใช้ของเจ้าไปนำเงินมาจนถึงยามนี้ก็ยังไม่กลับมา เจ้าว่าจะเกิดเรื่องขึ้นกับพวกเขาหรือไม่” 


 


 


           เยี่ยหลีส่ายหน้าอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว 


 


 


           “ดูท่าสาวใช้ของเจ้าคนนั้นคงจะฝีมือดีไม่น้อย บางทีนางอาจลงเขาไปขอให้คนมาช่วยแล้วก็เป็นได้ เจ้าว่าก่อนที่จะมีคนมาช่วยเจ้าต้องทำเช่นไรจึงจะรักษาชีวิตของเจ้าไว้ได้” บุรุษตาเดียวจ้องมองหญิงสาวที่นั่งนิ่งตรงหน้าด้วยสายตามาดร้าย  


 


 


เยี่ยหลียกมือขึ้นประคองหัวไหล่ข้างที่พันแผลเอาไว้อย่างดีด้วยท่าทีไม่ใคร่ใส่ใจ ก่อนพูดว่า “บางทีเจ้าน่าจะลองคิดที่จะรับเงินจากข้าก้อนหนึ่งแล้วไปจากที่นี่ให้ไกลเสีย ข้าคิดว่าลูกน้องของเจ้าที่ยังไม่กลับมาสองคนนั้นน่าจะเป็นเพราะพวกมันคิดทำมิดีมิร้ายกับสาวใช้ของข้า ในเมื่อเจ้ารู้แล้วว่าสาวใช้ของข้าเป็นคนมีฝีมือ ก็น่าจะพอเดาได้ว่าอีกคนหนึ่งก็น่าจะมีฝีมือพอกัน ดังนั้น การค้าของเราอาจจะยังพอเจรจากันได้” 


 


 


           “ดูเหมือนคุณหนูเยี่ยจะถนัดในการใช้เงินแก้ปัญหาสินะ” บุรุษตาเดียวเอ่ยแดกดัน 


 


 


           เยี่ยหลีส่ายหน้า “เจ้าไม่ได้รับเงินผู้อื่นมาเพื่อสร้างความลำบากให้ข้าหรอกหรือ ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ได้หมายจะซื้อชีวิตข้า เช่นนั้นข้าคิดว่าเจ้าสำเร็จลุล่วงตามเป้าหมายแล้ว เชื่อว่าไม่ต้องรอให้ถึงวันพรุ่ง ทั่วเมืองหลวงคงได้เล่าลือกันไปทั่วแล้วว่าคุณหนูสามตระกูลเยี่ยถูกโจรลักพาตัวไป ส่วนข้าก็เพียงเสียเงินนิดหน่อยเพื่อไม่ให้ข้าได้รับความเสียหายเข้าจริงๆ เจ้าเองก็ไม่ถือว่าทำผิดจากที่ตกลงกับอีกฝ่ายไว้ ยิงเกาทัณฑ์ดอกเดียวได้นกถึงสองตัว เหตุใดจึงจะไม่ได้เล่า” 


 


 


           “ฟังดูมีเหตุผล” 


 


 


           “มีคนเคยบอกข้าว่า ปัญหาที่ใช้เงินแก้ได้นั้นล้วนมิใช่ปัญหา ครั้งนี้ข้าไม่เบี้ยวเจ้าแน่ ขอเพียงพ้นภัยครานี้ไปได้ข้าจะมอบเงินให้เจ้าทันที ข้าจะวางเงินมัดจำให้เจ้าก่อนก็ยังได้” เยี่ยหลีเอ่ยยิ้มๆ 


 


 


           “หากข้าไม่ตอบตกลงเล่า” บุรุษตาเดี่ยวหรี่ตา 


 


 


           เยี่ยหลียังคงเอ่ยเสียงเรียบว่า “หากข้าตายไป ตระกูลเยี่ย ตระกูลสวี และตำหนักติ้งอ๋องจะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อล้อมจับเจ้า แต่หากข้ายังมีชีวิตอยู่ ข้าอาจคิดใช้สมบัติของข้าทั้งหมด หรือบางทีอาจรวมถึงสินเดิมจากตระกูลสวีและของหมั้นจากตำหนักติ้งอ๋องมาเป็นเงินรางวัลก็เป็นได้ คนใต้หล้าจะตามฆ่าเจ้าเพื่อเงินค่าหัว ข้าไม่เอาชีวิตเจ้าหรอก ขอเพียงได้เห็นดาบของเจ้า ข้าจะให้ทันทีหนึ่งพันตำลึง เจ้าคิดว่าจะมีสักกี่คนที่รับงานนี้” 


 


 


           มุมปากของบุรุษตาเดียวกระตุกเล็กน้อย “ช่างร้ายกาจนัก แต่ก่อนอื่นเจ้าจะต้องหาข้าให้พบเสียก่อน” 


 


 


           รอยยิ้มของเยี่ยหลีคลี่กว้างขึ้น “คนของเทียนอี้เก๋อติดหนี้ชีวิตข้าครั้งหนึ่ง” 


 


 


           รอยยิ้มล้อเลียนบนใบหน้าของบุรุษตาเดียวหุบฉับลงทันที สีหน้าเ**้ยมเกรียมของเขาค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเข้มขึ้น ถึงแม้ใบหน้าจะยังคงเป็นใบหน้าที่น่ากลัวเช่นเดิม ทว่าพริบตานั้นกลับดูมีรังสีแห่งความเป็นผู้นำขึ้นหลายส่วน 


 


 


           “ไม่เสียแรงที่เป็นสตรีของม่อซิวเหยา ช่างแตกต่างจากหญิงสาวทั่วไปนัก” 


 


 


           เยี่ยหลียิ้มขื่น “เพียงเพื่อรักษาชีวิตเท่านั้น เจ้าจะยอมเผยโฉมหน้าที่แท้จริงหรือไม่ พูดตามตรง ข้าไม่ค่อยชอบพูดกับคนที่ใส่หน้ากากสักเท่าไร”  


 


 


บุรุษตาเดียวจ้องหน้านางด้วยความประหลาดใจ “เจ้าดูออกหรือ ข้าคิดว่าฝีมือแปลงโฉมของข้าทำได้เหมือนจริงแล้วเสียอีก”  


 


 


เยี่ยหลีตอบว่า “อาจเป็นเพราะข้าอ่อนไหวกับเรื่องพรรค์นี้ก็เป็นได้ ข้าคิดว่าหน้ากากหนังคนกับหนังคนจริงๆ ยังมีความแตกต่างกันอยู่บ้าง ใช่หรือไม่” 


 


 


           บุรุษตาเดียวยกมือขึ้นลูบหน้าตนเองด้วยความรังเกียจ “เวลากระชั้นเกินไป อารามรีบร้อนจึงได้ของชั้นเลว ในเมื่อเจ้ารู้แล้วว่ามีคนคิดอยากทำลายชื่อเสียงของเจ้า แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่าเงื่อนไขที่เสนอมาคืออะไร”  


 


 


เยี่ยหลีหันมองเขา “ยินดีรับฟัง” 


 


 


           บุรุษตาเดียวเดินไปนั่งอีกฟากหนึ่ง มองเยี่ยหลีด้วยสายตาล้อเลียน “อีกฝ่ายบอกให้ข้า…ทำลายชื่อเสียงของเจ้า ฟังให้ดี ทำ ลาย เจ้า” 


 


 


           สายตาเยี่ยหลีเย็นชา “เป็นสตรีสินะ” 


 


 


           บุรุษตาเดียวเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ  


 


 


เยี่ยหลีขมวดคิ้ว “มีเพียงสตรีเท่านั้นที่ชอบใช้วิธีการเช่นนี้จัดการกับสตรีด้วยกัน” 


 


 


           บุรุษตาเดียวยักไหล่ “ข้าไม่มีทางบอกเจ้าว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ใด เจ้าไม่กลัวหรือ” 


 


 


           เยี่ยหลีจ้องตอบเขาตรงๆ ขณะใช้ความคิดเล็กน้อย “เจ้าไม่คิดจะทำเช่นนั้นมิใช่หรือ” 


 


 


           ชายหนุ่มพยักหน้าพลางหัวเราะเสียงใส “มิอาจไม่ยอมรับว่าม่อซิวเหยาช่างมีสายตาแหลมคมนัก อย่างน้อยก็ดีกว่าเจ้าทึ่มม่อจิ่งหลีนั่นมากนัก ข้าไม่คิดทำเช่นนั้นแน่ เพราะถึงอย่างไรข้าคงไม่คิดจะกระตุกหนวดม่อซิวเหยาเพื่อเงินไม่กี่หมื่นตำลึงนั่นหรอก” 


 


 


           “เจ้ารู้จักม่อซิวเหยา” เยี่ยหลีพูดขึ้น 


 


 


           บุรุษตาเดียวไม่ปฏิเสธ เขายืนขึ้นก่อนกล่าวว่า “ยามนี้พวกเราไปกันได้แล้ว คุณหนูสามตระกูลเยี่ย พวกเราไปเอาเงินที่ข้าสมควรได้กันเถิด จากนั้นค่อยส่งท่านกลับจวน ท่านเห็นอย่างไรบ้าง ข้าเดาว่าอีกสักหนึ่งหรือสองชั่วยาม ม่อซิวเหยาก็คงมาถึงแล้ว ที่นี่ไม่ปลอดภัย”  


 


 


เยี่ยหลีลุกขึ้นยืนตามเขาอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนเอ่ยถามว่า “แล้วคนที่รังนี้ของเจ้าจะทำอย่างไร” บุรุษตาเดียวหันมาส่งรอยยิ้มบิดเบี้ยวให้นาง “เจ้าคงไม่คิดว่าข้าเป็นหัวหน้าโจรจริงๆ หรอกนะ เจ้าวางใจได้ ถึงแม้ข้าจะมิใช่หัวหน้าโจร แต่พวกในรังโจรนี้ต่างก็เป็นพวกโจรที่กระทำแต่เรื่องชั่วช้ากันทั้งนั้น ตกอยู่ในมือของม่อซิวเหยาก็ถือว่าพวกมันโชคไม่ดีก็แล้วกัน” 


 


 


           “หัวหน้ารังโจรที่เป็นบุรุษตาเดียวคงไม่ได้ถูกเจ้าฆ่าไปแล้วกระมัง” เยี่ยหลีเดินไปเดินมาตามชายหนุ่มในห้องซอมซ่อที่จัดอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ระหว่างทาง โจรที่เดินลาดตระเวนอยู่ต่างก็เข้ามาทำความเคารพบุรุษตาเดียวผู้นั้น ครั้นเห็นเยี่ยหลีเดินตามเขามาต่างก็ส่งยิ้มกักขฬะให้เหมือนกันโดยมิได้นัดหมาย “คนคุ้มกันที่นี่ดูไม่เท่าไรจริงๆ ด้วย มิน่าชิงหลวนถึงได้ไม่ทำให้ใครในรังนี้แตกตื่นเลย” 


 


 


           “แม้แต่เรื่องนี้เจ้าก็ยังรู้หรือ ไม่เท่าไรจริงอย่างที่เจ้าว่า หากไม่มีข้าคอยช่วยเหลือ อาศัยแค่เจ้าทึ่มพวกนี้คงถูกจับตั้งแต่ยังออกไปไม่พ้นเขตเมืองหลวง” บุรุษตาเดียวเสริมว่า “เจ้าคนละโมบโลภมากนั่นยามนี้หลับอุตุอยู่ในห้องของเขาโน่น เพราะคิดอยากฮุบเงินรางวัลทั้งหมดไว้เอง ข้าหาเงินเองมาโดยตลอดจนผู้อื่นไม่มีเงินให้หา รอให้ม่อซิวเหยามาถึงก็พอดีให้พวกมันรับผิดชอบไป เจ้าว่าความคิดนี้เป็นอย่างไรบ้าง” 


 


 


           เยี่ยหลีพยักหน้าอย่างไม่ใคร่ใส่ใจนัก ก่อนมองถนนที่ยิ่งเดินยิ่งดูห่างไกล “พวกเราออกไปทางนี้หรือ” 


 


 


           ชายหนุ่มพยักหน้า “เจ้าวางใจได้ ขอเพียงข้าได้รับเงินเรียบร้อย จะส่งเจ้ากลับตระกูลเยี่ยอย่างปลอดภัยแน่” ในขณะที่เขาจะยกมือขึ้นไปปลดค่ายกลก็มีเสียงแปลกประหลาดแว่วมาจากเขาทางด้านล่าง เยี่ยหลีสีหน้ายังคงเดิม แต่สีหน้าของบุรุษตาเดียวกลับเปลี่ยนไป ก่นด่าเสียงต่ำว่า “บ้าเอ๊ย! เหตุใดเขาถึงมาเร็วเช่นนี้” พูดจบก็ล้มเลิกความตั้งใจที่จะไปทางเดิม แล้วดึงเยี่ยหลีให้ออกวิ่งไปอีกทางหนึ่งสุดชีวิต 


 


 


           “พวกเราไม่ไปทางลับแล้วหรือ” 


 


 


           ชายหนุ่มว่า “ไปทางลับไม่ปลอดภัย อีกอย่างมันอ้อมเกินไป ไม่แน่ว่าอาจถูกขวางได้” เมื่อฟังเสียงที่ดังใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ทว่าภายในรังโจรกลับยังไม่มีความเคลื่อนไหวใด ดูท่าว่าผู้ที่มาล้วนเป็นยอดฝีมือทั้งสิ้น พวกโจรกระจอกที่อยู่ในรังคงไม่ทันเห็นแม้แต่เงาของพวกเขาเป็นแน่ ชายหนุ่มลากเยี่ยหลีให้วิ่งไปทางหลังเขา “ด้านหลังเขายังมีถนนอีกเส้นหนึ่ง ถึงแม้จะอันตรายไปสักหน่อย แต่สามารถลงทางหุบเขาไปได้เลย ม่อซิวเหยาหาไม่เจอภายในเวลาอันสั้นแน่” 


 


 


           “แต่ว่าข้า…” เยี่ยหลีเอ่ย 


 


 


           “วางใจได้ วิชาตัวเบาข้าเก่งพอตัว ต่อให้มีเจ้าอีกคนก็สามารถพาลงไปด้วยได้” 


 


 


           “แต่ว่าข้าคิดจะเบี้ยวเจ้าต่างหาก!” เยี่ยหลีเอ่ยยิ้มๆ 

 

 

 


ตอนที่ 49-1

 

 ริมหน้าผาอันเงียบสสงบ ดวงจันทร์เสี้ยวลอยอยู่บนฟ้าไม่ใกล้ไม่ไกลนัก สายลมเอื่อยเฉื่อยพัดผ่านยอดเขาที่มีโลหิตนองเป็นสาย ร่างของชายหนุ่มที่มีตาข้างเดียวนอนแผ่อยู่บนหน้าผาอย่างหมดแรง สีหน้าและแววตาเต็มไปด้วยความสำนึกผิด “คุณหนูเยี่ย เจ้าทำเช่นนี้ไม่โหดร้ายไปหน่อยหรือ”  


 


 


เยี่ยหลีนั่งสบายๆ อยู่ข้างกายเขา มือดึงผ้าเปื้อนผงสีแดงบนหัวไหล่ออกแล้วโยนลงหน้าผา ก่อนยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ “เจ้าเองก็มิใช่บุรุษที่ขาวสะอาด ข้าไม่รู้สึกผิดหรอก” จะทำเช่นไรนั้นไม่สำคัญ สำคัญที่ผลลัพธ์ต่างหาก 


 


 


           “อย่าขยับ” ปลายมีดบางคบกริบกดลงบนเส้นชีพจรที่ลำคออย่างไม่แรงไม่ค่อยจนเกินไปนัก “ข้าไม่แนะนำให้เจ้าทำอะไรโดยไม่คิดหน้าคิดหลังให้ดีเสียก่อน หากเจ้ายังคิดการณ์ไม่รอบคอบ เพียงข้ากรีดลงไปอีกครึ่งชุ่น* ต่อให้เป็นปรมาจารย์เซียนก็ช่วยเจ้าไม่ได้” 


 


 


           “ช่างเป็นยาพิษที่แปลกประหลาดนัก ข้าถามเจ้าได้หรือไม่ว่าเจ้าใช้ยาพิษใดกับผู้มีพระคุณของเจ้า” ชายหนุ่มผู้นั้นล้มเลิกความตั้งใจที่จะเดินลมปราณเพื่อระงับพิษไว้ชั่วคราว อันที่จริงสภาพของเขาในยามนี้มิอาจเดินกำลังภายในได้เลยแม้แต่น้อย 


 


 


           เยี่ยหลีส่ายหน้า “ความลับ แต่เรื่องที่เจ้าเรียกตนเองว่าผู้มีพระคุณนั้น คงต้องคุยกันอีกไม่น้อย จะว่าไปยามนี้ข้าอารมณ์ไม่ดีเอามากๆ เสียด้วย” 


 


 


           “ถือเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ฟังสตรีมากความสามารถอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวงระบายความในใจเช่นนี้” ชายหนุ่มพูดยิ้มๆ เพียงแต่เมื่อมองควบคู่กับท่าทางที่น่าสะพรึงกลัวนั่นแล้ว ช่างให้ความรู้สึกน่าขันนัก  


 


 


           เยี่ยหลีขมวดคิ้ว “ตั้งแต่ข้าได้รับการจับคู่กับติ้งอ๋อง ดูคล้ายภัยสารพัดรูปแบบจะเข้ามาหาข้าไม่หยุดหย่อน ไม่ว่าจะเป็นถูกทดสอบ จับตามอง หาเรื่อง และแน่นอนแม้กระทั่งการลักพาตัว” 


 


 


           “ในเมื่อวุ่นวายเช่นนี้ สู้หนีไปกับข้าไม่ดีกว่าหรือ เจ้าว่าอย่างไร” 


 


 


           แพขนตายาวของเยี่ยหลีขยับขึ้นลงเล็กน้อย “ข้าไม่สนใจรับบทเป็นคุณหนูลูกผู้ดีในละครบัณฑิตมากความสามารถกับคุณหนูผู้เลอโฉมหรอกนะ อีกอย่าง ข้าเดาว่าในละครพวกนั้นคงลืมกล่าวถึงท่านพ่อท่านแม่และญาติพี่น้องของคุณหนูนั่นว่าจะทำอย่างไรต่อไป จะทำอย่างไรกับเรื่องชื่อเสียง พวกเขาจะใช้ชีวิตกันต่ออย่างไร หากบัณฑิตผู้นั้นหนีไปกับคุณหนูคนอื่นอีกแล้วจะทำอย่างไร” 


 


 


           ชายหนุ่มมองนางด้วยความผิดหวัง ผ่านไปครู่ใหญ่จึงได้กล่าวว่า “เจ้านี่ช่างคิดมากเสียจริง ในละครต่างก็บอกว่าบัณฑิตผู้นั้นสุดท้ายจะสอบได้เป็นจ้วงหยวนและกลายเป็นผู้ดีมีอันจะกินทั้งสิ้น ส่วนท่านพ่อท่านแม่ของคุณหนูก็จะให้อภัยในที่สุด ญาติทั้งหลายจะต้องอิจฉา พี่น้องจะต้องริษยา ที่สำคัญที่สุดคือ สุดท้ายบัณฑิตหนุ่มกับคุณหนูผู้เลอโฉมจะอยู่ด้วยกันอย่างรักใคร่ไปจนแก่จนเฒ่ามิใช่หรือ”  


 


 


เยี่ยหลีส่ายหน้า “บทสุดท้ายของละครเพียงบอกว่า จบบริบูรณ์ อยู่ด้วยกันอย่างรักใคร่ไปจนแก่เฒ่าซึ่งเป็นเรื่องที่คนส่วนใหญ่คิดต่อกันไปเองต่างหากเล่า” 


 


 


           ชายหนุ่มลองใคร่ครวญอย่างถี่ถ้วน ดูเหมือนไม่มีละครหรือนิยายเล่มใดเขียนถึงตอนที่บัณฑิตและคุณหนูอยู่ด้วยกันอย่างรักใคร่ไปจนแก่เฒ่าและมีลูกหลานเต็มบ้านเลยจริงๆ เสียด้วย 


 


 


           “เอาเถิด ยายเฒ่า ต้องทำอย่างไรเจ้าถึงจะยอมปล่อยข้าไปหรือ” ดูคล้ายเขาจะรู้แล้วว่าการพูดจาอ้อมค้อมกับเยี่ยหลีนั้นไม่มีประโยชน์ จึงเลือกเอ่ยถามนางตรงๆ  


 


 


           “บอกข้ามาว่าผู้ใดที่คิดอยากทำร้ายข้า” เยี่ยหลีเองก็ไม่อ้อมค้อมเช่นกัน ถามสิ่งที่นางอยากรู้ออกไปทันที 


 


 


           “หากข้าไม่พูดแล้วจะเป็นอย่างไร” 


 


 


           ปลายมีดที่เย็นเฉียบครูดไปตามลำคอเขาเบาๆ ขนบริเวณลำคอตั้งชันขึ้นมาทันที “เจ้าวางใจเถิด ข้าไม่ใช้มีดแทงเจ้าหรอก ข้าจะ…ผลักเจ้าลงไปเลย” เยี่ยหลีเหลือบมองหุบเหวที่ลึกลงไปจนมองไม่เห็นก้นบึ้งแล้วยิ้มน้อยๆ 


 


 


           สู้เจ้าเอามีดแทงข้าเสียเลยไม่ดีเสียกว่าหรือ ชายหนุ่มได้แต่ยิ้มเหมือนอยากร้องไห้ “ไม่ได้ เรื่องนี้ข้าพูดไม่ได้จริงๆ” 


 


 


           “พูดได้สิ” 


 


 


           “ข้ารับปากไว้แล้ว เป็นบุรุษเสียชีพอย่างเสียสัจ ต่อให้เจ้าแทงข้าจนตายข้าก็ไม่พูด” ชายหนุ่มเอ่ยด้วยความแน่วแน่  


 


 


เยี่ยหลีมองประเมินเขาอยู่ครู่ใหญ่ เลิกคิ้วกล่าวว่า “เอาเถิด ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นข้าขอดูใบหน้าที่ซ่อนอยู่ใต้หน้ากากนี้หน่อยก็แล้วกัน” 


 


 


           “คุณหนูเยี่ย เจ้าปล่อยข้าไปยามนี้ แล้วข้าจะถือว่าข้าติดหนี้บุญคุณเจ้าได้หรือไม่” ชายหนุ่มต่อรอง 


 


 


           “ถ้อยคำนี้ฟังคุ้นหูอย่างไรชอบกล เพียงแต่เจ้าคิดว่าข้าจะเชื่อถ้อยคำคนที่ข้าไม่รู้แม้แต่ชื่อและฐานะอย่างนั้นหรือ ต่อให้เจ้าติดหนี้บุญคุณข้าร้อยครั้ง แต่ข้าหาตัวเจ้าไม่เจอจะไม่เสียเปล่าหรือ” เยี่ยหลีกระชับมีดสั้นในมือ พร้อมเล็งไปยังเส้นชีพจรของบุรุษผู้นั้นนิ่ง ส่วนมืออีกข้างจับหน้ากากหน้าตาอัปลักษณ์นั่น “คุณหนูเยี่ย ในตัวข้ามีตั๋วเงินสองหมื่นตำลึง เจ้านำมันไปได้เลยถือเป็นค่าปลอบขวัญให้เจ้า แล้วเรื่องในวันนี้ถือว่าหายกันได้หรือไม่” 


 


 


           เยี่ยหลียังคงไม่หยุดมือ เพียงเอ่ยเรียบๆ ว่า “เจ้าคิดว่าข้าเป็นคนเช่นเจ้าที่ยอมแลกชีวิตเพื่อเงินหรือ หากครั้งนี้หายกันไป ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าจะไม่มีครั้งหน้าอีก” 


 


 


           ชายหนุ่มเงียบไปครู่ ก่อนเอ่ยว่า “ข้าไม่รู้ว่านางจะยังมีครั้งต่อไปอีกหรือไม่ แต่ข้ารับประกันได้เลยว่าข้าจะไม่สร้างความลำบากให้คุณหนูเยี่ยอีกเป็นอันขาด ได้หรือไม่” เขารับรู้ได้ว่ามือของเยี่ยหลีชะงักไปเล็กน้อย ชายหนุ่มจึงรีบเอ่ยเสริมว่า “ข้าสัญญาว่าจะไม่สร้างความลำบากให้คุณหนูเยี่ยอีก เรื่องนี้เจ้าบอกม่อซิวเหยาได้เลย เขารู้ว่าข้าเป็นใคร และรู้ว่าคำพูดข้าเชื่อถือได้หรือไม่”  


 


 


ปลายมีดเย็นเฉียบที่จ่ออยู่ที่คอค่อยๆ ถูกเอาออกไป ก่อนเยี่ยหลีจะลุกยืนขึ้น “ข้าเชื่อเจ้าก็ได้” 


 


 


           “ยาถอนพิษเล่า” 


 


 


           “ไม่มี ยานี้เป็นยาที่ชิงอวี้ให้ข้ามา ถึงแม้จะทำให้เจ้าใช้กำลังภายในไม่ได้ แต่จากตรงนี้ลงไป ใช้วิชาตัวเบาไม่ได้ก็คงไม่มีปัญหากระมัง” เยี่ยหลีพูดพร้อมยิ้มน้อยๆ  


 


 


           ชายหนุ่มกัดฟันกรอด แต่เสียงฝีเท้าที่ดังใกล้เข้ามาทำให้เขาไม่มีเวลาต่อปากต่อคำกับเยี่ยหลีอีก ทำได้เพียงรีบลุกขึ้นยืนเตรียมลงจากหน้าผาโดยวิธีที่ไม่เคยใช้มาก่อน ทว่าน่าเสียดาย เขาช้าไปเพียงก้าวเดียว ก่อนน้ำเสียงเย็นเยียบดังลอยมาจากทางเดินอีกเส้นหนึ่ง “หานหมิงเย่ว์…” 


 


 


           บุรุษในชุดสีอ่อนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้รถเข็นค่อยๆ ปรากฏตัวขึ้นที่ปากทางเดินเล็กๆ คนเข็นรถเข็นด้านหลังเขายังคงเป็นชายหนุ่มมาดนิ่งในชุดสีน้ำตาล ถึงแม้ทางเส้นนี้จะเป็นทางเดินบนภูเขาที่ไม่ราบเรียบนัก แต่สีหน้าเขาดูประหนึ่งไม่ได้ออกแรงเลยแม้แต่น้อย  


 


 


สีหน้าม่อซิวเหยาที่นั่งอยู่บนรถเข็นราบเรียบดุจสายน้ำ สายตาที่จ้องไปยังบุรุษตาเดียวผู้นั้นเต็มไปด้วยความเย็นชาและนิ่งสงบ เพียงแค่ถูกเขามอง บุรุษตาเดียวผู้นั้นก็รู้สึกเกร็งไปทั้งร่าง คล้ายถูกความเย็นทำให้ตัวแข็งไปกระนั้น ทำได้เพียงหัวเราะอย่างขมขื่นและมองลงไปยังหน้าผาที่ห่างจากตนเพียงสองก้าว 


 


 


           “อาหลี เจ้าเป็นอันใดหรือไม่” ม่อซิวเหยาเหลือบมองเยี่ยหลี สายตาดูอบอุ่นขึ้นเล็กน้อย เมื่อเห็นเขามองมา เยี่ยหลีจึงเก็บมีดสั้นลงด้วยท่าทีสบายๆ ก่อนเดินเข้าไปหาพร้อมรอยยิ้มขอโทษ “ขออภัยด้วย ข้าทำให้ท่านต้องเป็นห่วงแล้ว” 


 


 


           นัยน์ตาม่อซิวเหยาเป็นประกายก่อนขมวดคิ้วเล็กน้อย สุดท้ายทำเพียงถอนหายใจแผ่วเบา “เจ้าเหนื่อยแล้ว พวกเรากลับไปแล้วค่อยคุยกันก็แล้วกัน” 


 


 


           เยี่ยหลีเองก็รู้สึกว่าสถานการณ์ยามนี้ไม่เหมาะกับการพูดคุยนัก จึงพยักหน้าเห็นด้วยกับความคิดของม่อซิวเหยา กลุ่มคนที่ตามหลังม่อซิวเหยากับอาจิ่นมานั้น มีหญิงสาวคนหนึ่งส่งเสื้อคลุมให้เยี่ยหลี เยี่ยหลียิ้มบางให้ ถึงแม้นางจะไม่หนาว แต่ก็รับเสื้อคลุมตัวนั้นมาคลุมไว้แต่โดยดี 


 


 


           “หานหมิงเย่ว์ เจ้าจะบอกข้าได้หรือไม่ว่าเหตุใดเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่” นัยน์ตาดุคมของม่อซิวเหยาจ้องชายหนุ่มที่ยืนอยู่ริมหน้าผาพลางเอ่ยถาม 


 


 


           “ข้าปลอมตัวเช่นนี้แล้วเจ้ายังดูออกอีกหรือ” ชายหนุ่มได้แต่ถอนหายใจ ยกมือขึ้นลูบข้างใบหน้าของตน ก่อนดึงหน้ากากหนังบนใบหน้าออก เผยใบหน้าหล่อเหลาที่เต็มไปด้วยความผิดหวังอย่างมิอาจปกปิด  


 


 


           เมื่อได้ยินม่อซิวเหยาเอ่ยชื่อหานหมิงเย่ว์ เยี่ยหลีเพียงเลิกคิ้วเล็กน้อยเท่านั้น จนเมื่อบุรุษผู้นั้นดึงหน้ากากของตนออกเผยให้เห็นใบหน้าหล่อเหลา นางจึงไม่ตกตะลึงสักเท่าไร ใบหน้านี้มีความคล้ายคลึงกับคุณชายเฟิงเย่ว์ที่พบเมื่อหลายวันก่อนถึงแปดส่วน เพียงแต่ใบหน้านั้นดูแพรวพราว ดึงดูดใจคนแบบบุรุษเจ้าชู้ แต่ใบหน้านี้ดูซื่อตรงกว่ามาก สีหน้าเลิกคิ้วขึ้นพลางยิ้มน้อยๆ เช่นนี้ดูเป็นธรรมชาติและมีเสน่ห์ยิ่งนัก 


 


 


           “ฮ่าๆ ซิวเหยา พวกเราไม่ได้เจอกันเสียหลายปี ไม่คิดเลยว่าจะมาเจอกันอีกครั้งในสถานการณ์เช่นนี้ ช่าง…น่าเสียดายจริงๆ” ชายหนุ่มผู้หล่อเหลาถึงแม้จะอยู่ในชุดโจรป่าโกโรโกโส แต่ก็ยังคงดูสง่างามประหนึ่งบุตรชายของผู้ดีมีอันจะกิน แต่สีหน้ากะลิ้มกะเหลี่ยนั้นกลับให้ความรู้สึกแปลกๆ “พอข้าได้ยินว่าเจ้าจะแต่งงาน ข้าก็รีบเดินทางไกลมาอวยพรเจ้าทันที แต่ดูเหมือนเจ้ายังคงไม่ยินดีต้อนรับสหายเก่าเหมือนเดิมนะ” 


 


 


           “การอวยพรของเจ้าคือการลักพาตัวคู่หมั้นข้าหรือ” เสียงทุ้มต่ำของม่อซิวเหยาฟังดูรื่นหู ทว่าเยี่ยหลีที่ยืนอยู่ด้านหลังเขากลับกระชับเสื้อคลุมของตนเข้าหากันโดยไม่รู้ตัว 


 


 


           “เข้าใจผิดแล้ว” หานหมิงเย่ว์พูดด้วยสีหน้าขมขื่น “ก่อนหน้านี้ข้าไม่รู้ว่าคนที่ข้าต้องลักพาตัวเป็นคู่หมั้นของเจ้านี่นา แต่ในเมื่อรับงานมาแล้วหากทำไม่สำเร็จ ชื่อเสียงและหน้าตาของหานหมิงเย่ว์จะเอาไปไว้ที่ใด ข้าพยายามทำให้เสียหายน้อยที่สุดแล้ว ยามนี้ข้าทำงานเสร็จเรียบร้อยแล้ว คู่หมั้นของเจ้าปลอดภัยเป็นปกติดี” หนำซ้ำข้ายังถูกนางรังแกอีก คนที่เสียประโยชน์คือข้าต่างหากเล่า 


 


 


           “คนที่ให้เงินเจ้าเป็นใคร” ม่อซิวเหยาเอ่ยถามขณะจ้องหน้าเขา 


 


 


           “ข้าบอกไม่ได้” หานหมิงเย่ว์ยิ้มอย่างจนปัญญา 


 


 


           ม่อซิวเหยาหัวเราะเสียงเย็น “หานหมิงเย่ว์ หากเพื่อเงินแล้ว นอกจากน้องชายของเจ้า เจ้ายังมีอันใดที่ไม่กล้าขายอีกหรือ” 


 


 


           หานหมิงเย่ว์ถอนหายใจยาว สีหน้าลำบากใจขึ้นไปอีก มองหน้าม่อซิวเหยาก่อนตอบว่า “ถึงอย่างไรก็ยังมีบางอย่างที่อย่างไรก็ขายไม่ได้อยู่บ้าง อีกอย่าง คราวนี้หมิงซีก็ถูกพวกเจ้าจัดการไปหนักไม่น้อย ซิวเหยา เรื่องคราวนี้ถือเสียว่าเห็นแก่ข้า ไม่สืบสาวเอาความแล้วได้หรือไม่ ข้ารับรองได้ว่าจะไม่มีครั้งหน้าอีก”  


 


 


สีหน้าม่อซิวเหยาเฉยชายิ่งกว่าเดิม หานหมิงเย่ว์กระทืบเท้าพลางพูดว่า “รายได้ปีนี้หนึ่งในสิบส่วนของเทียนอี้เก๋อ ข้าจะยกให้พี่สะใภ้เป็นค่าทำขวัญก็ได้!” 


 


 


           “หานหมิงเย่ว์ เจ้าตื่นตูมเกินไปแล้ว” ม่อซิวเหยายกมือขึ้นจับหน้ากากบนหน้าตนก่อนพูดเรียบๆ  


 


 


           หานหมิงเย่ว์นิ่งอึ้งไป สีหน้าเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง เขาลืมไปได้อย่างไรว่าม่อซิวเหยารู้จักเขาดีเกินไป หากเขาไม่แสดงท่าทีตื่นตูมเช่นนี้ออกไป ม่อซิวเหยาคงไม่รู้เป้าหมายได้ง่ายเช่นนั้น “ซิวเหยา เห็นแก่ที่ข้าช่วยเจ้า…” 


 


 


           “ไปเสีย” เมื่อมองสีหน้าร้องขอความเห็นใจของหานหมิงเย่ว์นิ่งอยู่พักหนึ่ง ม่อซิวเหยาจึงได้พ่นสองคำนั้นออกมา 


 


 


           หานหมิงเย่ว์ยิ้มแย้มยินดีต่อถ้อยคำที่ไร้มารยาทนั้น “ภายในสามวันข้าจะนำของขวัญไปส่งให้ที่จวนของพี่สะใภ้แน่!” 


 


 


           คำตอบของม่อซิวเหยา คือการยกมือไปทางด้านหลังเล็กน้อย “เฮยอวิ๋นฉี ยิงได้!” 


 


 


           กลุ่มคนในชุดดำที่ยืนล้อมเป็นครึ่งวงกลมพร้อมโพกศีรษะด้วยผ้าดำนั้น ไม่รู้จับคันธนูขึ้นตั้งแต่เมื่อไร ก่อนจะง้างและยิง… 


 


 


           หานหมิงเย่ว์ทำอันใดไม่ได้นอกจากพุ่งตัวกระโดดลงหน้าผาไป “ม่อซิวเหยา เจ้าโหดเ**้ยมนัก!” 


 


 


           เสียงร้องโหยหวนของหานหมิงเย่ว์ขาดหายไปในหน้าผา เยี่ยหลีกะพริบตาปริบๆ ก่อนก้มลงมองม่อซิวเหยา เริ่มไม่แน่ใจว่าเมื่อสักครู่หานหมิงเย่ว์ยังซ่อนวิชาใดไว้อีกหรือไม่ เพราะต่อให้นางในช่วงที่มีสภาพร่างกายดีที่สุด หากตกลงไปจากตรงนี้ก็คงมิอาจรอดปลอดภัยได้  


 


 


ราวกับม่อซิวเหยาจะรู้ถึงความสงสัยของนาง จึงอธิบายว่า “หานหมิงเย่ว์ทำการใดมักคิดเผื่อไว้เสมอ เขาคงมีผ้าแขวนไว้ด้านล่าง ตกลงไปไม่ตายหรอก”  


 


 


เยี่ยหลีขมวดคิ้ว ที่แท้ที่เมื่อสักครู่ที่นางขู่ว่าจะจับเขาโยนลงไปนั้นไม่มีผลเลยแม้แต่น้อย การที่เราไม่เข้าใจศัตรูอย่างถ่องแท้ ทำให้ง่ายต่อการเกิดข้อผิดพลาดจริงๆ เสียด้วย รู้เขารู้เรารบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง เชื่อกลยุทธ์พิชัยสงครามไว้ไม่เสียหลาย 


 


 


           “กลับกันเถิด” ม่อซิวเหยายื่นมือออกไปพลางเอ่ยเบาๆ 


 


 


           “ดีเพคะ” 


 


 


 


 


 


* ชุ่น มาตรวัดของจีนสมัยโบราณ 1 ชุ่น เท่ากับ 3.3 เซ็นติเมตร 

 

 

 


ตอนที่ 49-2

 

เรือนหลังเล็กในจวนสวี กว่าจะให้ท่านลุงทั้งสองกับลูกพี่ลูกน้องทั้งห้าออกไปได้นั้นไม่ง่ายเลย ด้านหนึ่งเยี่ยหลีรู้สึกว่าการรับมือกับคนหลายคนเช่นนี้ช่างน่าปวดหัวเหลือเกิน ทว่าในขณะเดียวกัน ในใจนางก็รับรู้ได้ถึงความอบอุ่นและความยินดีที่มีญาติพี่น้องคอยเป็นห่วงเป็นใย


 


 


           ม่อซิวเหยานั่งมองหญิงสาวที่นั่งเงียบอยู่ตรงข้ามตนนิ่ง เขาเพิ่งรู้สึกว่าเขาไม่รู้จักคู่หมั้นของเขาคนนี้เอาเสียเลย อันที่จริงคู่หมั้นของเขาปีนี้อายุยังไม่ถึงสิบหกปีดีด้วยซ้ำ แต่กลับมีความแน่วแน่ เด็ดขาด และสุขุมอย่างน่าตกใจ ตัวเขาเมื่ออายุสิบห้ากำลังทำอันใดอยู่นะ น้อยครั้งนักที่ม่อซิวเหยาจะหวนนึกถึงกาลก่อน ทว่าเมื่อได้เห็นท่าทางยิ้มเรื่อยๆ ของหญิงสาวตรงหน้าแล้ว กลับทำให้เขารู้สึกว่าการคิดถึงอดีตมิใช่เรื่องน่าเจ็บปวดอีกต่อไป


 


 


           เขาเมื่ออายุสิบห้าสิบหกปี เป็นช่วงที่อารมณ์พลุ่งพล่านและเต็มไปด้วยความคึกคะนองในวัยหนุ่ม ได้แต่เที่ยวห้ออาชาไปทั่วเมืองหลวง หยิบโหย่งและมัวเมาในกามรส ทั่วทั้งใต้หล้ามีผู้ใดไม่รู้บ้างว่าสมัยนั้นคุณชายเล็กแห่งตำหนักติ้งอ๋องมากความสามารถและเจิดจรัสเพียงใด ทั่วทั้งใต้หล้ามีผู้ใดไม่รู้บ้างว่าแม่ทัพเล็กแห่งตำหนักติ้งอ๋องกวาดล้างแผ่นดินทางใต้ได้ตั้งแต่อายุยังน้อยประหนึ่งเทพก็มิปาน ต่อให้อยู่ท่ามกลางสมรภูมิรบที่เต็มไปด้วยกลิ่นคาวโลหิต เขายังคงองอาจและบ้าระห่ำ


 


 


ทว่าหญิงสาวนางนี้ อายุเพียงสิบห้าปี แต่กลับต้องเผชิญกับเหตุการณ์ที่สตรีน้อยคนนักจะได้ประสบในช่วงชีวิตหนึ่ง มารดาวายชนม์ตั้งแต่อายุยังน้อย ถูกถอนหมั้น ถูกมารดาเลี้ยงวางแผนใส่ร้าย ชื่อเสียงเสียหาย ถูกบังคับให้ออกเรือนกับผู้ที่ทุกคนล้วนเกรงกลัว ถูกลอบทำร้าย ถูกลักพาตัว แต่ดูคล้ายจะไม่เคยเห็นนางตื่นตกใจจนทำอะไรไม่ถูกเลย อย่างเหตุการณ์ที่นางเจอในวันนี้ เมื่อผ่านพ้นมาได้แล้วนางกลับไม่ได้ร้องไห้คร่ำครวญหรือแสดงความโกรธเคืองแต่อย่างใด กลับยิ้มให้เขาน้อยๆ พร้อมเอ่ยขอโทษ และพูดว่าทำให้ท่านเป็นกังวลแล้วเท่านั้น หากเปลี่ยนเป็นเขาในอายุเท่านี้ไม่มีทางที่จะยังเย็นอยู่ได้เช่นนี้เป็นแน่ ม่อซิวเหยาได้แต่นึกถอนใจเงียบๆ


 


 


           “อาหลี เรื่องวันนี้ข้าต้องขอโทษเจ้าด้วย” ผ่านไปครู่ใหญ่ ม่อซิวเหยาจึงได้เอ่ยเสียงเบา


 


 


           เยี่ยหลีเงยหน้าขึ้นมองเขาแล้วยิ้มให้ “เรื่องเช่นนี้ใช่ว่าท่านจะควบคุมได้ และข้าเองก็สะเพร่าเกินไป เพียงแต่…วันพรุ่งในเมืองหลวงคงจะ…เกรงว่าจะพลอยทำให้ชื่อเสียงของตำหนักติ้งอ๋องต้องเสื่อมเสียไปด้วย”


 


 


           ม่อซิวเหยามองนางด้วยสายตานิ่งลึกยากจะคาดเดา “เรื่องตำหนักติ้งอ๋อง ข้าว่าอย่างไรก็อย่างนั้น ขอเพียงเจ้าไม่เสียใจทีหลังเท่านั้น”


 


 


           เยี่ยหลีกะพริบตาปริบๆ เข้าใจทันทีว่าเขาหมายความเช่นไร เรื่องในตำหนักติ้งอ๋อง เขาว่าอย่างไรก็อย่างนั้น ดังนั้นไม่ว่าชื่อเสียงของนางจะเปลี่ยนไปเช่นไรก็จะไม่กระทบต่อการแต่งงานของพวกเขา หมายความเช่นนี้ใช่หรือไม่ นางเอียงคอคิดเล็กน้อย ก่อนยิ้มให้อย่างไม่รู้จะทำเช่นไรว่า “ข้าว่าหากข้านึกเสียใจภายหลัง…ชาตินี้คงไม่ได้แต่งงานอีกแล้ว เช่นนั้นสู้…ลองสักตั้งไม่ดีกว่าหรือ”


 


 


           มุมปากของม่อซิวเหยาค่อยๆ ยกขึ้นในองศาที่พบเห็นได้น้อยนัก “เช่นนั้นย่อมดีที่สุด ข้าก็รู้สึกว่าหากเจ้านึกเสียใจทีหลังแล้วละก็ ชั่วชีวิตข้านี้คงยากที่จะหาชายาที่เหมาะสมได้อีกเช่นกัน”


 


 


           เยี่ยหลีมองพลางยิ้มให้เขา “ในเมื่อท่านอ๋องไม่รังเกียจ เช่นนั้นพวกเราก็มาร่วมมือกันเถิด”


 


 


           เมื่อได้มองหญิงสาวที่นั่งอยู่ข้างหน้าต่างหันมายิ้มให้ตนพลางบอกว่าพวกเรามาร่วมมือกันเถิดแล้ว จิตใจม่อซิวเหยาหวั่นไหวขึ้นโดยพลัน ภายใต้แสงเทียน ใบหน้าของหญิงสาวที่ขาดสีเลือดไปเล็กน้อย เมื่อต้องแสงเทียนแล้วกลับทำให้ใจเต้นอย่างบอกไม่ถูก ม่อซิวเหยาดึงตนเองออกจากความรู้สึกเมื่อครู่อย่างรวดเร็ว ก่อนยกมือขึ้นจับหน้าผาก “ภายในสองวันนี้หานหมิงเย่ว์คงนำของมาส่งให้เจ้าเป็นแน่ เจ้ารับไว้โดยไม่ต้องสนใจเขาก็แล้วกัน”


 


 


           เยี่ยหลีเอ่ยด้วยความตกใจ “เขาจะยกรายได้หนึ่งในสิบของเทียนอี้เก๋อให้ข้าจริงหรือ” เทียนอี้เก๋อเป็นสำนักข่าวที่ใหญ่ที่สุดในต้าฉู่ รายได้จากการขายข่าวแต่ละปี ต่อให้เป็นเพียงหนึ่งในสิบส่วนก็คงมากอย่างน่าตกใจเป็นแน่


 


 


           ม่อซิวเหยาพยักหน้า มองเยี่ยหลีที่คล้ายอยากพูดต่อ แต่หยุดไว้


 


 


           เยี่ยหลียิ้ม “เรื่องวันนี้คงไม่ต้องพูดถึงแล้ว เพราะถือว่าท่านตอบรับข้อเสนอของหานหมิงเย่ว์ไปแล้ว ถึงแม้จะยังไม่แน่ใจในอำนาจที่แท้จริงของเทียนอี้เก๋อกับหอชิงเฟิงหมิงเย่ว์ แต่ข้าก็ไม่นึกอยากเป็นศัตรูกับเขาสักเท่าไร เพียงแต่แค่ครั้งนี้เท่านั้น หากอีกหน่อยคนผู้นั้นเกิดทำอันใดขึ้นมาอีกแล้วเขามาตกอยู่ในมือข้าอีกครั้ง ข้าจะไม่รับการขอร้องอีก”


 


 


           “แน่นอน” หลังนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ม่อซิวเหยามองเยี่ยหลีอย่างจริงจังก่อนรับปาก “ในเมื่ออาหลีไม่นึกเสียใจภายหลัง อีกหน่อยเจ้ากับข้าก็ถือว่าเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน ไม่ว่าผู้ใดคิดทำร้ายอาหลี ถือเป็นศัตรูกับข้าด้วย”


 


 


           เยี่ยหลีพยักหน้าพลางยิ้มน้อยๆ ไม่พูดจา ดวงจันทร์เสี้ยวนอกหน้าต่างค่อยๆ เคลื่อนคล้อยลงมาตามแนวหลังคา หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองจันทร์ข้างแรมที่อยู่บนฟากฟ้า ใบหน้างดงามถูกแสงจันทร์อ่อนๆ อาบไล้ ชายหนุ่มบนเก้าอี้รถเข็นที่นั่งอยู่ด้านหลังนางจ้องมองเรือนร่างแบบบางอย่างใจลอย สายตาอบอุ่นปกคลุมไปด้วยแสงบางอย่างที่ยากจะอธิบาย


 


 


 


 


           ณ จุดรวมพลลับของเทียนอี้เก๋อในสถานที่แห่งหนึ่งในเมืองหลวง หานหมิงเย่ว์ในสภาพยับเยินล้มเข้าไปในห้องจนทำให้ผู้ที่อยู่ในห้องถึงกับตกใจ


 


 


           “พี่ใหญ่ ท่านเป็นอะไรไป” คุณชายเฟิงเย่ว์ที่ทำให้บิดามารดาของคนนับไม่ถ้วนแค้นใจจนนึกอย่างถลกหนังและทำให้คุณหนูลูกผู้ดีมีตระกูลหลงใหลมานักต่อนักนั้นตกใจอย่างยิ่ง รีบพุ่งตัวไปรับร่างที่ซวนเซของพี่ชายตนไว้


 


 


หานหมิงเย่ว์โบกมือไปมา ปล่อยให้น้องชายประคองไปนั่งบนฟูกที่อยู่อีกด้านหนึ่ง ยิ้มขื่นแล้วกล่าวว่า “ไปกระตุกหนวดเสือเข้าเสียแล้ว” ถึงแม้เขาจะเคยชินกับการเตรียมพร้อมรับมือไว้ทุกด้าน ทว่าการกระโดดลงมาจากหน้าผานั้น ไม่ว่าจะระวังให้ดีอย่างไรก็ยังถูกกิ่งไม้ที่ยื่นออกมาทิ่มแทงจนเกิดแผลทั้งภายในและภายนอกทั่วตัว เขาไม่นึกขุ่นเคืองใจใดในเรื่องนี้ เพราะทุกคนต่างรู้จักกันและกันดี ม่อซิวเหยาเองก็ถือว่ายั้งมือไม่น้อย มิเช่นนั้นเหตุใดเกาทัณฑ์จากหน่วยเฮยอวิ๋นฉีจึงยิงไม่ถูกคนที่ไร้กำลังภายในเลยเล่า


 


 


           “เอ๋ พี่ใหญ่ ท่านพบคุณหนูสามตระกูลเยี่ยแล้วหรือ” หานหมิงซีจับชีพจรของหานหมิงเย่ว์ก่อนถามด้วยความตกใจ


 


 


           หานหมิงเย่ว์ฝืนตัวลุกขึ้นนั่ง หรี่ตามองน้องชายของตน “เจ้ารู้ได้อย่างไร ที่เจ้าไปทำให้ม่อซิวเหยาโกรธคราวนี้ อย่าบอกนะว่าเพราะเรื่องคุณหนูเยี่ยคนนี้เช่นกัน”


 


 


           หานหมิงซีลูบจมูกอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ฝืนยิ้มกว้าง “พี่ใหญ่…คือว่า คราวที่แล้วที่ข้าเสียท่าให้เยี่ยหลี ก็เพราะยาตัวนี้ แล้วก็…ข้าติดหนี้บุญคุณนางครั้งหนึ่ง พี่ใหญ่อย่าไปหาเรื่องนางอีกได้หรือไม่”


 


 


           หานหมิงเย่ว์หัวเราะเสียงเย็น “เจ้าจะเอาเทียนอี้เก๋อไปทดแทนบุญคุณหรือ”


 


 


           หานหมิงซีซบหน้ากับฝ่ามืออย่างละอาย “คือว่า…นางฉลาดมาก ข้าไม่ได้พูดอันใดเลย แต่นางกลับเดาได้ว่าเทียนอี้เก๋อมีความสัมพันธ์กับหอชิงเฟิงหมิงเย่ว์ นางยังเอาเครื่องประดับหยกของข้าไปด้วย ข้าเลยไม่มีทางเลือก”


 


 


           “นั่นเป็นเครื่องประดับหยกของข้า! เอามา เก็บไว้กับเจ้าก็ไม่รู้ว่าจะไปสร้างเรื่องใดขึ้นมาอีก” หานหมิงเย่ว์ยื่นมือออกมา


 


 


หานหมิงซีไม่กล้าบิดพลิ้ว จึงจำใจยอมคืนเครื่องประดับหยกชิ้นนั้นไป ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ได้สนใจหอชิงเฟิงหมิงเย่ว์หรือเทียนอี้เก๋ออยู่แล้ว ที่เขาเอาเครื่องประดับหยกของพี่ชายติดตัวไปก็เพียงนึกสนุกเท่านั้น “พี่ใหญ่ ท่านบาดเจ็บมากหรือไม่ ประเดี๋ยวข้าจะไปเชิญหมอให้”


 


 


           ครั้นเห็นสีหน้าของน้องชายที่เอาแต่เล่นสนุกไปวันๆ ดูเต็มไปด้วยความกังวลเช่นนั้น สีหน้าของหานหมิงเย่ว์จึงอ่อนลง ก่อนเอ่ยเสียงเบาว่า “มิใช่เรื่องใหญ่ เพียงเดินกำลังภายในไม่ได้ ไม่ต้องไปเชิญหมอมาหรอก มีแขกมาหรือไม่”


 


 


สีหน้าหานหมิงซีขรึมลงทันที ก่อนส่งเสียเหอะออกมาคราหนึ่ง “มีหญิงสาวคนหนึ่งมาหาท่านเมื่อบ่าย ข้าไล่นางไปแล้ว”


 


 


           “หมิงซี…”


 


 


           หานหมิงซีเดินไปเดินมาในห้องด้วยความร้อนใจ “พี่ใหญ่ พวกเรากลับชายแดนใต้แล้วไม่ต้องยุ่งกับเรื่องพวกนี้ได้หรือไม่ คราวที่แล้วข้าเพียงล้อเล่นกับเยี่ยหลีนิดเดียว ม่อซิวเหยาเกือบตัดแขนตัดขาข้าทิ้งเสียแล้ว ต่อให้ท่านเป็นเจ้าของเทียนอี้เก๋อก็จริง แต่ท่านอย่าลืมว่าเขาเป็นถึงติ้งอ๋อง ท่านไม่เสียดายชีวิตตนเองไม่พอ ยังอยากจะเสียเทียนอี้เก๋อไปด้วยหรือ”


 


 


หานหมิงเย่ว์ขยับริบฝีปากเหมือนอยากพูดอะไรสักอย่าง ทว่ายังไม่ทันได้พูดออกมาก็ถูกหานหมิงซีขัดขึ้นเสียก่อน “อย่ามาพูดว่าพวกพี่เป็นสหายกัน สหายบ้าอะไร! ต่อให้เป็นสหายกันจริงก็ไม่สมควรแตะต้องสตรีของสหาย ท่านคิดว่าข้าเป็นบุรุษชอบเด็ดดอกไม้แล้วจะไม่มีขีดจำกัดหรือ อีกอย่างท่านอย่าลืมว่าแต่ก่อนพวกท่านเคยทำอะไรไว้กับเขา! เหตุใดท่านถึงยังกล้าไปยั่วโมโหเขาอีก”


 


 


           “หมิงซี…เจ้าโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว” หานหมิงเย่ว์มองน้องชายที่เดินไปมาในห้องอย่างร้อนใจ ไม่เหลือคราบชายหนุ่มขี้เล่นที่ไม่สนใจสิ่งใดอยู่เลย


 


 


           หานหมิงซีหน้าแดง ส่งเสียงเหอะแล้วหมุนตัวเดินออกจากห้องไป “ข้าจะไปเรียกสตรีคนนั้นเข้ามา!” เมื่อเห็นร่างของน้องชายหายไปหลังประตูแล้ว หานหมิงเย่ว์ขมวดคิ้วยกมือขึ้นจับหน้าอกของตนที่ยังรู้สึกเจ็บ ไม่รู้เพราะเหตุใดถ้อยคำของหานหมิงซีเมื่อครู่ที่บอกว่าอย่าลืมว่าแต่ก่อนพวกพี่เคยทำอะไรเขาไว้สะท้อนไปมาอยู่ในหัว สายตาของหานหมิงเย่ว์มืดครึ้มไปเล็กน้อย ในใจได้แต่ถอนหายใจแผ่วเบา “ของที่จะส่งไปวันพรุ่ง…เพิ่มเข้าไปอีกส่วนหนึ่งก็แล้วกัน”

 

 

 


ตอนที่ 49-3

 

“เหตุใดเจ้าจึงอยู่ในสภาพนี้” เสียงต่ำของสตรีแว่วมาจากหน้าประตู หานหมิงเย่ว์เงยหน้าขึ้นมอง หญิงสาวที่ปรากฏหน้าประตูสวมชุดสีดำตัวโคร่งปกปิดเรือนร่างงดงามเอาไว้ ใบหน้าถูกผ้าสีดำปกปิดไว้อย่างมิดชิดเช่นกัน เหลือเพียงดวงตาเย็นเยียบที่มีประกายเลือดเย็นและไม่พอใจเท่านั้น


 


 


           “เจ้าก็เห็นแล้วมิใช่หรือ เจ้าคิดว่าม่อซิวเหยารับมือได้ง่ายอย่างนั้นหรือ” หานหมิงเย่ว์ลุกขึ้นเอ่ยเรียบๆ


 


 


           หญิงสาวในชุดดำเพียงส่งเสียงเหอะเย็นชา “งานที่ข้าให้เจ้าทำเรียบร้อยดีหรือไม่”


 


 


           เพล้ง! ถ้วยชาในมือของหานหมิงเย่ว์แตกลงเป็นการตอบรับ น้ำชาใสค่อยๆ ไหลลงมาตามนิ้วมือ “ข้ามิใช่ขี้ข้าเจ้า! ระวังคำพูดของเจ้าด้วย!”


 


 


           แววตาของหญิงสาวมีประกายขุ่นเคือง แต่นางข่มอารมณ์ของตนไว้ได้อย่างรวดเร็ว เอ่ยเสียงต่ำว่า “ข้าทำไม่ถูกเอง หมิงเย่ว์ เรื่องคืนนี้…”


 


 


           “ทำสำเร็จหรือไม่แล้วอย่างไร ถึงอย่างไรเรื่องที่เยี่ยหลีถูกจับตัวไปก็แพร่ไปทั่วแล้วมิใช่หรือ ถือว่าเป็นไปตามเป้าหมายที่เจ้าวางไว้แล้ว” หานหมิงเย่ว์เอ่ย


 


 


           “เจ้าทำไม่สำเร็จหรือ!” เสียงของหญิงนางนั้นแหลมสูงทันที “ข้าอยากให้เจ้าทำลายนางเสีย!”


 


 


           หานหมิงเย่ว์ยกมือลูบลำคออย่างไม่ใส่ใจ ในใจยิ้มขื่น ทำลายนางหรือ โชคดีที่เขาไม่คิดทำเช่นนั้นจริงๆ มิเช่นนั้นเกรงว่าคนที่ถูกทำลายจะเป็นเขาเอง คุณหนูสามตระกูลเยี่ยนั่นไม่ได้ไร้พิษสงอย่างหน้าตาเลยแม้แต่น้อย ไม่รู้เพราะเหตุใด หานหมิงเย่ว์จึงไม่คิดจะบอกเรื่องนี้ให้หญิงตรงหน้าล่วงรู้


 


 


           “ข้าให้เจ้าที่เป็นเจ้าของเทียนอี้เก๋อ ชายหนุ่มรูปงามอันดับหนึ่งแห่งชายแดนใต้เป็นคนลงมือ ก็ถือว่าเป็นบุญของนางแล้ว เหตุใดเจ้าจึงไม่ทำ” หญิงผู้นั้นพูดอย่างขุ่นเคืองใจ


 


 


           “พอที!” หานหมิงเย่ว์เอ่ยเสียงเย็น “เหตุใดเจ้าถึงไม่ถามว่าข้าบาดเจ็บได้อย่างไร อาการเป็นอย่างไรบ้าง เจ้าคิดว่าหากข้าลงมือกับเยี่ยหลีจริง คืนนี้ข้าจะมีชีวิตรอดกลับมาได้หรือ”


 


 


           “ข้า…” หญิงผู้นั้นสงบลงทันที ดูจะรับรู้แล้วว่าเมื่อครู่ตนเสียมารยาทไป จึงมองเขาด้วยสายตาขอโทษ ก่อนพูดเสียงอ่อนโยนว่า “เหตุใดเจ้าจึงไปคนเดียวเล่า หากพาคนไปด้วยหลายคนหน่อย ต่อให้ม่อซิวเหยามีหน่วยเฮยอวิ๋นฉีไปด้วยก็ไม่แน่ว่าจะทำให้เจ้าบาดเจ็บได้ สถานการณ์ในยามนี้ ทำให้เขามิอาจเคลื่อนพลเฮยอวิ๋นฉีจำนวนมากได้”


 


 


สีหน้าเย็นเยียบของหานหมิงเย่ว์อ่อนลงตามน้ำเสียงนุ่มนวลของนาง ก่อนเอ่ยเสียงเรียบว่า “เพราะข้ามิอาจพาเทียนอี้เก๋อไปตกที่นั่งลำบากด้วยได้ นี่เป็นเรื่องส่วนตัวระหว่างเจ้ากับข้า แน่นอนว่าข้าต้องจัดการด้วยตนเอง เจ้าก็จัดการเองแล้วกัน อีกหน่อยเรื่องที่เกี่ยวกับเยี่ยหลี เจ้าไม่ต้องมาหาข้าอีก ข้าช่วยเจ้าไม่ได้อีกแล้ว”


 


 


           “เพราะเหตุใด”


 


 


           “เพราะหากมีครั้งหน้า ซิวเหยาจะต้องฆ่าข้าเป็นแน่ ข้าเป็นคนทำการค้า แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่คิดจะท้าทายฟางเส้นสุดท้ายของตระกูลม่อ เจ้าไปเถิด ระวังตัวด้วย” พูดจบ หานหมิงเย่ว์เอนตัวกึ่งนั่งกึ่งนอนลงบนฟูกพร้อมหลับตาลง ไม่สนใจหญิงชุดดำหน้าประตูอีก


 


 


ทว่าหญิงชุดดำดูจะมีเรื่องอยากพูดอีก แต่เมื่อมองกิริยาประหนึ่งปฏิเสธของชายหนุ่มที่นอนหน้าขรึมอยู่บนฟูกแล้ว ก็ได้แต่กล้ำกลืนถ้อยคำที่อยากพูดของตนลง ก่อนส่งเสียงเหอะเบาๆ แล้วกล่าวว่า “เช่นนั้นเจ้าพักผ่อนเถิด ข้ากลับก่อน”


 


 


           ครั้นหมุนตัวเดินออกจากประตู ก็ปะทะกับสายตามึนตึงของชายหนุ่มที่มีใบหน้าละม้ายหานหมิงเย่ว์ที่ยืนอยู่ใต้ต้นไม้ไม่ใกล้ไม่ไกลที่จ้องนาง “เจ้าไม่ต้องมาที่นี่อีกแล้ว ประเดี๋ยวพวกเราก็จะกลับชายแดนใต้กันแล้ว”


 


 


           หญิงชุดดำเอียงตัวไปมอง นัยน์ตาคู่งามเบิกโตขึ้นเล็กน้อย ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงไม่ใคร่ใส่ใจว่า “ว่างมากก็ไปหาดอกไม้เด็ดเล่นเถิด อย่ามายุ่งไม่เข้าเรื่องเลย ข้าไม่อยากให้หมิงเย่ว์มาบอกข้าว่าน้องชายเขาหายไปอีกคน”


 


 


สีหน้าหานหมิงซีขรึมลง ก่อนเปลี่ยนเป็นยิ้มเย็น “พอดีเลย ข้ากำลังอยากเห็นว่าตัวอะไรที่ทำให้พี่ชายข้าหลงใหลจนเสียสติเช่นนี้” วิทยายุทธของคุณชายเฟิงเย่ว์เป็นเช่นไร น้อยคนนักที่จะรู้ แต่วิชาตัวเบานั้นไม่ได้มีไว้ให้คนที่ไม่มีอันใดทำพูดโอ้อวดเฉยๆ ชายหนุ่มที่เดิมยืนอยู่ใต้ต้นไม้สะบัดชายเสื้อเพียงเล็กน้อยก็ลอยหายไปจากใต้ต้นไม้ทันที พริบตาเดียวกลับมายืนอยู่ข้างกายสาวชุดดำพลางยื่นมือออกไปหมายจะจับผ้าสีดำที่บดบังใบหน้านางไว้


 


 


“บังอาจ!”


 


 


           “หมิงซี หยุดประเดี๋ยวนี้!” ที่หน้าประตู หานหมิงเย่ว์มองทั้งสองคนที่กำลังประมือกันอยู่ด้วยสีหน้าบึ้งตึง “ปล่อยนางไป”


 


 


           “เหอะ!” หานหมิงซีสะบัดมือลงด้วยความโกรธเกรี้ยว ก่อนกระโดดหายไปบนหลังคาด้วยท่วงท่าอ่อนช้อย


 


 


หานหมิงเย่ว์ส่งสายตาเตือนหญิงชุดดำที่อยู่ในลานบ้าน “อย่าไปยั่วโมโหหมิงซี”


 


 


           “หึหึ ถ้าเขาไม่ยั่วข้า ข้าจะไปยั่วโมโหเขาได้อย่างไร หมิงเย่ว์ ถึงอย่างไรเขาก็เป็นน้องชายของเจ้า พวกเราเป็นสหายกันมิใช่หรือ” หญิงสาวหัวเราะเสียงต่ำ


 


 


           ปัง! หานหมิงเย่ว์เดินถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ก่อนปิดประตูดังปังใส่หน้านาง


 


 


           “หาน หมิง เย่ว์!” หญิงชุดดำอึ้งไป ก่อนร้องเรียกด้วยความโกรธ แล้วเห็นแสงเทียนในห้องดับลงอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนคนในห้องเตรียมตัวเข้านอนแล้ว จึงส่งเสียงเหอะเบาๆ ก่อนหมุนตัวเดินออกจากลานบ้านที่มืดมิดและเงียบสงบ


 


 


           เมื่อสตรีชุดดำเดินออกมาจากประตูลานบ้านที่ไม่สะดุดตาแล้ว ก็มีชายชุดดำสองสามคนเดินเข้ามาหานางทันที “คุณหนู”


 


 


           หญิงสาวพยักหน้าก่อนเอ่ยเรียบๆ ว่า “กลับกันเถิด”


 


 


           หัวหน้าของชายชุดดำดูออกว่าหญิงสาวอารมณ์ไม่ค่อยดีสักเท่าไร จึงไม่กล้าทำอันใดมาก เพียงโบกมือขึ้น ทุกคนต่างคุ้มกันหญิงสาว ก่อนกระโดดหายไปท่ามกลางความมืดมิดอย่างรวดเร็ว


 


 


           “ฟุบ…”


 


 


           เกาทัณฑ์ขนนกดอกหนึ่งพุ่งแหวกอากาศมาด้วยความเร็วสูง หัวหน้าของชายชุดดำรีบชักดาบออกมาหมายจะยกขึ้นขวางเกาทัณฑ์นั้น ทว่าเกาทัณฑ์ดอกนั้นกลับขวางได้ไม่ง่ายเช่นนั้น เมื่อรู้สึกถึงแรงกระทบที่ตัวดาบ มือที่ถือดาบอยู่ก็ชาไร้ความรู้สึกทันที เกาทัณฑ์ขนนกครูดไปกับตัวดาบก่อนแหวกผ่านต่อไปยังหญิงชุดดำทางด้านหลังที่เขาคุ้มกันอยู่


 


 


           “หา!”


 


 


           “คุณหนู!”


 


 


           เกาทัณฑ์ขนนกพุ่งเฉียดใบหน้าของหญิงสาวไปปักแน่นที่กำแพงข้างทางไม่ใกล้ไม่ไกลนัก หญิงชุดดำหันกลับไปมองเกาทัณฑ์ที่ปักลึกเข้าไปในกำแพงไม้ถึงสามส่วนแล้ว ร่างกายพลันอ่อนแรงจนเกือบล้มพับลงไป ห่างไปเพียงเสี้ยวเดียวเท่านั้น เกาทัณฑ์ดอกนั้นต่อให้ไม่พุ่งปักสมองของนาง ก็คงทำให้นางเสียโฉมไปแล้ว


 


 


           “คุณหนู” คนที่อยู่ข้างๆ รีบเข้าไปประคองนางอย่างรวดเร็ว หญิงผู้นั้นยกมือขึ้นก่อนสะบัดแขนออก เงื้อมือตบใบหน้าของชายชุดดำ “พวกไร้ประโยชน์!” ชายชุดดำก้มหน้าลง สายตายังคงนิ่งเรียบเป็นปกติ


 


 


           “เฟิ่งจือเหยา!” เสียงหัวเราะสดใสลอยมาจากหลังคาที่ห่างไปไม่ไกลนัก เพียงหญิงสาวเงยหน้าขึ้นก็เห็นเฟิ่งจือเหยาในชุดสีแดงสะดุดตานั่งอย่างสบายอารมณ์อยู่บนหลังคาและกำลังมองนางที่อยู่ด้านล่างที่กำลังโกรธจัด เฟิ่งจือเหยาเลิกคิ้วเรียวงามขึ้นเล็กน้อย มือซ้ายยกคันธนูขึ้นโบกให้นางดู


 


 


“เฟิ่งจือเหยา เจ้าช่างกล้านัก!” หญิงสาวกัดฟันพูด


 


 


           “ตายแล้ว ข้ากลัวจริงเลย ดึกดื่นค่ำคืนเช่นนี้ข้าเอาธนูออกมายิงคนชุดดำที่เดินทางอย่างหลบๆ ซ่อนๆ เช่นนี้คงไม่ผิดกฎหมายกระมัง ไม่แน่ว่าใต้เท้าฉินยังต้องขอบคุณข้าที่ออกแรงช่วยรักษาความปลอดภัยภายในเมืองหลวงให้ด้วยนะ เจ้าว่าจริงหรือไม่”


 


 


           “สังหารมันเสีย!” นิ้วเรียวของหญิงสาวชี้ไปบนหลังคา น้ำเสียงเต็มไปด้วยความอาฆาตแค้น เพียงคิดถึงเกาทัณฑ์ดอกที่ยิงมาเมื่อครู่ นางก็แทบอยากจะเข้าไปขยี้ชายหนุ่มที่แสนหยิ่งยโสตรงหน้าให้แหลกเป็นผุยผง


 


 


           “เชอะ เห็นว่าพวกมากกว่าข้าหรือ กลัวเจ้าแย่แล้ว” เฟิ่งจือเหยาโบกมือไปทางด้านหลังอย่างเกียจคร้าน บนหลังคามีกลุ่มชายชุดดำเหมือนกันปรากฏตัวขึ้นอย่างเงียบเชียบ เพียงแต่ในมือของทุกคนต่างถือคันธนูอยู่กันคนละคัน พร้อมง้างคันธนูขึ้นเล็งกลุ่มคนที่อยู่บนถนนแคบๆ ด้านล่าง


 


 


หญิงชุดดำโกรธจัดจนตาแทบลุกเป็นไฟ กัดฟันพูดด้วยน้ำเสียงหยิ่งผยองว่า “เฟิ่งจือเหยา เจ้ากล้าฆ่าข้าหรือ”


 


 


           เฟิ่งจือเหยาส่ายหน้าด้วยความเสียใจ “ข้ามิกล้า”


 


 


           เมื่อได้ฟังคำตอบของเขา ทำให้หญิงสาวผู้นั้นมั่นใจอย่างเต็มที่ เชิดคางขึ้นกล่าวว่า “ในเมื่อไม่กล้า เจ้าก็ไสหัวไปไกลๆ เสีย!”


 


 


           เหอะ! ข้าเกลียดผู้หญิงที่ไม่เห็นผู้ใดอยู่ในสายตาเป็นที่สุด! สายตาชั่วร้ายของเฟิ่งจือเหยาฉายแววเลือดเย็น ยกมือขึ้นง้างและยิงธนูออกไปอย่างรวดเร็ว เกาทัณฑ์อีกดอกพุ่งเฉียดร่างของหญิงสาวไปปักอยู่ที่ข้างเท้านาง


 


 


           “เฟิ่งจือเหยา!”


 


 


           เฟิ่งจือเหยามองนางด้วยสายตาเกียจคร้านระคนเหยียดหยามกว่าหญิงสาวเสียอีก “ไม่ต้องเรียกแล้ว ต่อให้เจ้าเรียกอีกข้าก็ไม่หลงรักเจ้าหรอก มีคนอยากให้ข้ามาเตือนเจ้าสักหน่อยว่าอย่าได้ทำเรื่องไร้สาระวุ่นวายเช่นนี้อีก มิเช่นนั้น ลูกธนูในคืนนี้จะไม่ปักกำแพงอีกเป็นแน่ ต่อให้เจ้าไม่เชื่อฝีมือธนูของข้า แต่ก็ไม่สมควรนึกสงสัยในฝีมือของพวกเขา” เฟิ่งจือเหยายกมือขึ้นชี้ไปยังกลุ่มชายชุดดำที่ยืนตรงนิ่งไม่ขยับแม้ลมจะพัดแรงสักเท่าใด พร้อมเอ่ยเรียบๆ


 


 


           “ไม่…เป็นไปไม่ได้…” หญิงชุดดำมองจ้องกลุ่มชายชุดดำที่ยืนอยู่หลังเฟิ่งจือเหยาด้วยความตื่นตะลึง เขาจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร…


 


 


           “เฟิ่งจือเหยา เจ้ากล้าเคลื่อนพลหน่วยเฮยอวิ๋นฉีเป็นการส่วนตัว!”


 


 


           “เชอะ พวกหลอกตนเอง” เฟิ่งจือเหยาลุกขึ้นนั่งอย่างหมดความอดทน “เอาเป็นว่าเจ้าจำที่ข้าเตือนไว้ให้ดีก็พอ เผื่อคราวหน้าเจ้าเสียโฉมหรือเป็นอันใดไปจะได้ไม่โทษว่าข้าไม่เตือน”


 


 


           หญิงชุดดำหลุบตาลงไม่พูดจา เฟิ่งจือเหยาเองก็ไม่มีอารมณ์มานั่งตอแยนางสักเท่าไร จึงหันไปพูดกับกลุ่มคนทางด้านหลังว่า “ทำเรื่องที่สมควรทำให้เสร็จ แล้วพวกเจ้าก็แยกย้ายเถิด”


 


 


           “ฟุบ…ฟุบ…”


 


 


           เสียงแหวกอากาศดังขึ้น พร้อมกับร่างที่ล้อมรอบหญิงสาวค่อยๆ ล้มลงกับพื้นทีละคน เหลือเพียงหัวหน้าที่จับดาบมั่นเตรียมพร้อมรับการโจมตีด้วยความตื่นกลัว แต่ในใจเขารู้ดีว่า ยามนี้มือที่จับดาบของเขาไม่มีแรงเหลืออยู่เลยเพราะเกาทัณฑ์ดอกนั้น หากมีเกาทัณฑ์พุ่งมาอีกดอก ตัวเขาคงขวางไว้ไม่ได้และคงหลบไม่ได้เช่นกัน


 


 


           “เฟิ่งจือเหยา เจ้าใช้คนจากหน่วยเฮยอวิ๋นฉีตามอำเภอใจเช่นนี้ ไม่กลัวคนในวังจะรู้เข้าหรือ” ในที่สุดหญิงนชุดดำก็กล่าวออกมา


 


 


           เฟิ่งจือเหยายิ้มพลางโบกมือ “เจ้ากลับไปคิดให้ดีเสียก่อนเถิดว่าจะอธิบายเรื่องที่คนข้างกายเจ้าหายตัวไปพร้อมๆ กันหลายคนเช่นนี้อย่างไร”


 


 


           หญิงสาวไม่ได้พูดอะไรอีก นำองครักษ์ที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวหายไปจากถนนที่ปลอดคนเส้นนี้ พอนางจากไป กลุ่มชายชุดดำบนหลังคาก็หายไปท่ามกลางความมืดมิดอย่างรวดเร็วเช่นกัน


 


 


เฟิ่งจือเหยาหมุนตัวลงจากหลังคาก่อนหลุบตัวเข้าไปยังหน้าต่างห้องห้องหนึ่งที่เปิดค้างไว้ครึ่งบาน มองชายหนุ่มที่นั่งหลังตรงอยู่ในห้องก่อนยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ “เป็นอย่างไรบ้าง คุณชายใหญ่สวีพอใจหรือไม่”


 


 


           สวีชิงเฉินนั่งนิ่งอยู่ข้างหน้าต่างเช่นเดิม ด้านหน้าของเขามีกาสุราพร้อมจอกสองใบวางอยู่ เขายกมือขึ้นรินสุราลงในจอกทั้งสองใบ ก่อนวางกาสุราลงแล้วหันไปยิ้มให้เฟิ่งจือเหยา “ขอบคุณท่านอ๋องแทนข้าด้วย”

 

 

 


ตอนที่ 50-1

 

ข่าวลือเรื่องคุณหนูสามตระกูลเยี่ย ชายาติ้งอ๋องในอนาคตถูกโจรลักพาตัวไปนั้น เรียกได้ว่าสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งเมืองหลวง ตั้งแต่เยี่ยหลีถูกจับไปได้ไม่ทันไรข่าวลือนี้แพร่ไปทั่วเมืองหลวงแล้ว ยิ่งพยายามปิดเท่าไรก็ยิ่งแพร่กระจายรุนแรงและรวดเร็วขึ้นเท่านั้น ดังนั้น ทั้งตระกูลเยี่ย ตระกูลสวี และตำหนักติ้งอ๋องต่างไม่มีใครออกมาแสดงท่าทีใดๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้  


 


 


จนวันรุ่งขึ้นเมื่อเยี่ยหลีนั่งรถม้ากลับมาจากคฤหาสน์ตระกูลสวีพร้อมด้วยของรางวัลที่ได้รับพระราชทานมาจากในวัง โดยมีคุณชายสองและคุณชายสามตระกูลสวีเป็นผู้พากลับมาส่งยังบ้านตระกูลเยี่ยนั้น จึงทำให้ผู้คนเริ่มไม่แน่ใจกับข่าวลือดังกล่าว เพราะทุกคนที่ได้เห็นคุณหนูสามตระกูลเยี่ยทั้งโดยบังเอิญและตั้งใจ ต่างเห็นว่าไม่ว่าจะสีหน้าหรือสภาพร่างกายของนางล้วนดูเป็นปกติดีทุกอย่าง ไม่เหมือนคนเพิ่งผ่านการถูกลักพาตัวมาหมาดๆ เลยแม้แต่น้อย และแม้แต่สีหน้าของคุณชายตระกูลสวีทั้งสองคน โดยเฉพาะคุณชายสามที่ได้ชื่อว่าเป็นคนที่ใจร้อนและเก็บอารมณ์ไม่อยู่ที่สุด ก็ยังมีสีหน้าเป็นปกติไม่ต่างไปจากเดิม หรือว่าข่าวเสียๆ หายๆ ที่เกิดขึ้นเมื่อวานจะเป็นเพียงข่าวลือเท่านั้น  


 


 


เยี่ยหลีนั่งฟังชิงซวงเล่าเรื่องที่คนข้างนอกวิพากษ์วิจารณ์ไปเรื่อยๆ อย่างไม่ใส่ใจ แต่ในใจกลับนึกขัน ที่พี่สามออกมาให้ผู้คนเห็นหน้าด้วยสีหน้าท่าทางที่สงบนิ่งเช่นนี้ได้ เป็นเพราะเมื่อวานเขาได้เอาความโกรธกว่าครึ่งไปลงยังพวกโจรที่ตาไร้แววนั่นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว  


 


 


นึกไปถึงเรื่องเมื่อคืน ระหว่างที่ลงจากภูเขามาพร้อมม่อซิวเหยา รังโจรบนภูเขานั้นคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นคาวเลือด แล้วยังท่าทางอาฆาตแค้นของพี่สามนั่นอีก เยี่ยหลีนึกเชื่อทันทีว่า ตระกูลสวีที่มีแต่บัณฑิตมารุ่นต่อรุ่นนี้คงจะมีนักรบสายบู๊เกิดขึ้นเป็นแน่แล้ว ม่อซิวเหยาจัดการกับโจรพวกนั้นเช่นไร เยี่ยหลีไม่คิดที่จะสอบถาม เพราะไม่ว่าโจรกลุ่มนั้นจะเป็นโจรที่ร่อนเร่เข้ามาในเมืองหลวง หรือจะเป็นโจรที่มีภูมิลำเนาอยู่ในเมืองหลวงก็ตาม การที่มีกลุ่มคนเช่นนี้น้อยลงอย่างไรก็ถือเป็นเรื่องดี 


 


 


“คุณหนูสามตระกูลเยี่ย” 


 


 


เสียงใสของชายหนุ่มดังขึ้นจากนอกหน้าต่าง ชิงหลวนรีบชักกระบี่หันไปทางชายหนุ่มที่โผล่มาที่หน้าต่างทันที  


 


 


เยี่ยหลีอมยิ้มก่อนกดมือชิงหลวนให้ลดอาวุธลง แล้วหันไปเอ่ยทักทายว่า “คุณชายหาน สบายดีหรือ” ชายที่ปรากฏขึ้นที่หน้าต่างคือหานหมิงเย่ว์ โจรลักพาตัวที่เพิ่งแยกกันเมื่อวาน  


 


 


หานหมิงเย่ว์ยิ้มขื่น “คุณหนูสามเห็นสภาพข้าเช่นนี้แล้ว ถือว่าดีหรือ” เมื่อครู่ที่เข้ามาในเรือนส่วนนี้เขารู้สึกถึงสายตาที่จับจ้องมาจากมุมมืด ไม่สงสัยเลยว่าหากตนเกิดผลีผลามกระทำการใดไป เจ้าของเทียนอี้เก๋ออย่างเขาคงได้สิ้นชื่อจากโลกนี้ไปอย่างไร้ร่องรอยเป็นแน่ 


 


 


หานหมิงเย่ว์หยิบกล่องไม้แกะสลักออกมาจากแขนเสื้อก่อนวางลงบนขอบหน้าต่าง “สิ่งนี้ให้คุณหนูสามเป็นค่าปลอบขวัญ และถือเป็นของขวัญแสดงความยินดีสำหรับงานสมรสของคุณหนูสามและซิวเหยาด้วย วันงานข้าไม่แน่ใจว่าจะได้มาทันดื่มเหล้ามงคลของท่านทั้งสองหรือไม่” 


 


 


เยี่ยหลีพยักหน้าทั้งที่ยังไม่ได้เปิดกล่องดู แล้วเอ่ยถามว่า “คุณชายหานเตรียมจะไปจากเมืองหลวงแล้วหรือ” 


 


 


หานหมิงเย่ว์ยิ้ม “ช่วงนี้ข้าประสบเรื่องที่ทำให้เสียขวัญอยู่ไม่น้อย อยู่ที่เจียงหนานทำให้ข้าสบายใจมากกว่า หากมีเวลาข้าขอเชิญคุณหนูสามกับซิวเหยามาที่เจียงหนาน ข้าจะเป็นเจ้าบ้านคอยต้อนรับดูแลอย่างดี”  


 


 


เยี่ยหลียิ้ม “คุณชายหานพูดเช่นนี้ทำให้ข้ารู้สึกละอายยิ่งนัก”  


 


 


หานหมิงเย่ว์เลิกคิ้วขึ้น “เช่นนั้น…เรื่องที่เข้าใจผิดกันก่อนหน้านี้ ถือว่าเลิกแล้วต่อกันได้หรือไม่”  


 


 


สายตาเยี่ยหลีเปลี่ยนไปเล็กน้อย ก่อนยิ้มแล้วกล่าวว่า “เรื่องเข้าใจผิดระหว่างข้ากับท่านถือว่าเลิกแล้วต่อกัน ส่วนเรื่องเข้าใจผิดระหว่างท่านกับม่อซิวเหยาก็เป็นเรื่องของพวกท่านแล้ว”  


 


 


หานหมิงเย่ว์รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่ก็รู้ดีว่าตนคงไปบังคับอะไรใครไม่ได้ ขณะเดียวกันก็รู้สึกชื่นชมเยี่ยหลีที่รู้ว่าอะไรควรไม่ควร เขาจึงไม่รั้งอยู่ต่อไป ยกมือขึ้นคารวะแล้วกล่าวว่า “เช่นนั้นวันนี้ ข้าน้อยขอลาก่อน” 


 


 


“ขอให้เดินทางปลอดภัย ข้าขอไม่ส่ง” 


 


 


รอจนหานหมิงเย่ว์จากไปแล้ว ชิงหลวนจึงได้เดินไปหยิบกล่องที่วางอยู่บนขอบหน้าต่างพร้อมพูดด้วยความไม่พอใจว่า “คุณหนูไปเกรงใจคนพรรค์นั้นทำไมกันเจ้าคะ”  


 


 


เยี่ยหลีหมุนตัวลงนั่ง “เมื่อวานเขาก็เกรงใจพวกเรามากแล้ว” เยี่ยหลีรู้ดีว่า หากไม่ใช่เพราะหานหมิงเย่ว์นึกถึงความสัมพันธ์ระหว่างตนกับม่อซิวเหยา พวกนางคงไม่มีโอกาสรอดกลับมาอย่างปลอดภัยครบสามสิบสอง จะว่าหานหมิงเย่ว์เกรงม่อซิวเหยานางยังพอเชื่อ แต่หากจะว่าหานหมิงเย่ว์กลัวม่อซิวเหยาจริงๆ ละก็ นางไม่นึกเชื่อในข้อนี้ 


 


 


“ถ้าไม่ใช่เพราะเขา คุณหนูจะ…พวกคนข้างนอกนั่นยังพูดกันเรื่องที่คุณหนูถูกลักพาตัวไปกันอยู่เลยนะเจ้าคะ ลือกันไม่น่าฟังทั้งนั้น…” ชิงหลวนไม่คิดว่าหานหมิงเย่ว์ปฏิบัติต่อพวกนางด้วยความเกรงใจแม้สักกระผีก หากไม่ใช่เพราะเขา คุณหนูจะถูกคนอื่นวิจารณ์เสียๆ หายๆ ให้ได้หัวเราะเยาะกันทั้งเมืองได้อย่างไร  


 


 


เยี่ยหลีเอ่ยเรียบๆ ว่า “หากไม่ใช่เขาก็เป็นไปได้ที่จะเป็นคนอื่น แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะบังเอิญรู้จักกับติ้งอ๋องนะ” เยี่ยหลีพูดพร้อมรับกล่องจากชิงหลวนมาเปิดดู นางประหลาดใจไม่น้อย ในกล่องมีตัวเงินปึกใหญ่วางอยู่เป็นระเบียบ เป็นตั๋วทองหนึ่งหมื่นตำลึงสองใบ แล้วยังมีตั๋วเงินหนึ่งพันตำลึงอีกสิบกว่าใบ  


 


 


ชิงหลวนเห็นเข้ายังอดร้องขึ้นด้วยความตกใจไม่ได้ “คุณหนู…นี่…” 


 


 


เยี่ยหลีเลิกคิ้วขึ้นสีหน้าดูลำบากใจไม่น้อย ตั๋วเงินสองหมื่นตำลึงเท่ากับเงินกว่าสองแสนตำลึง เงินจำนวนมากเช่นนี้แม้แต่เยี่ยหลีก็รู้สึกไม่สบายใจที่จะรับไว้ ข้างๆ ตั๋วเงินยังมีเครื่องประดับหยกขาวคู่หลงเฟิ่งวางอยู่ เพียงดูจากคุณภาพของหยกก็รู้แล้วว่าต้องมีมูลค่าไม่ธรรมดาแน่นอน เยี่ยหลีนิ่งคิดไปเล็กน้อย ก่อนปิดกล่องลงอีกครั้งแล้วยื่นส่งให้ชิงซวง “เตรียมตัวที ข้าจะไปตำหนักติ้งอ๋อง” 


 


 


ชิงซวงยกประคองกล่องนั้นอย่างระมัดระวัง เมื่อสักครู่นางได้เห็นเช่นกัน ตั้งแต่เกิดมานางยังไม่เคยเห็นเงินจำนวนมากเช่นนั้นมาก่อนเลย ฮือๆๆ ช่างน่ากลัวเสียจริงๆ… 


 


 


“เจ้าค่ะ คุณหนู” 


 


 


“อาหลี! อาหลี…” เสียงมู่หรงถิงดังเข้ามาตั้งแต่นางยังเดินมาไม่ถึงประตู  


 


 


เยี่ยหลีฉีกยิ้ม พร้อมลุกขึ้นออกไปต้อนรับ ฉินเจิง ฮว่าเทียนเซียง รวมถึงฉินอวี่หลิง น้องสาวท่านฉินมู่ ผู้ว่าการเมืองหลวงที่เคยพบหน้ากันเพียงครั้งเดียวก็มาเยี่ยมนางพร้อมกันด้วย  


 


 


มู่หรงถิงเดินนำหน้าเข้ามาในห้องก่อน จับมือเยี่ยหลีแล้วถามขึ้นว่า “อาหลี เจ้าไม่เป็นอันใดใช่หรือไม่”  


 


 


เยี่ยหลีฉีกยิ้มกว้าง “หากข้าเป็นอันใดจะมายืนอยู่ที่นี่ได้อย่างไร พวกเจ้ามากันได้อย่างไรหรือ” 


 


 


ฉินเจิงปิดปากยิ้มน้อยๆ “ถิงเอ๋อร์ไปลากข้ากับเทียนเซียงให้มาหาเจ้าด้วยกันแต่เช้า ข้าบอกนางแล้วว่าเจ้าไม่ได้เป็นอะไร แต่นางก็ยังดื้อดึงว่าไม่วางใจ อย่างไรก็จะมาหาเจ้าให้ได้ ระหว่างทางพวกเราพบคุณหนูอวี่หลิงเข้า จึงมาพร้อมกันเสียเลย”  


 


 


มู่หรงถิงกอดเยี่ยหลีไว้พร้อมกับชูกำปั้นขึ้นโบกไปมา “อย่าให้ข้ารู้เชียวว่าคนที่ปล่อยข่าวลือไร้สาระพวกนั้นเป็นใคร ข้าจะจัดการให้แม้แต่พ่อแม่เขายังจำหน้าไม่ได้เลย คอยดู! ทำเกินไปแล้วจริงๆ แย่กว่าเจ้าบ้าเหลิ่งเฮ่าอวี่นั่นเป็นหมื่นเท่า!” ทุกคนต่างอดหัวเราะออกมาไม่ได้  


 


 


เยี่ยหลีอมยิ้มพูดกับฉินอวี่หลิงว่า “คุณหนูฉิน ขอบใจท่านมากที่ตั้งใจมาเยี่ยมข้า” 


 


 


ฉินอวี่หลิงยิ้มอายๆ “อันที่จริง…ข้าจะมาขอโทษคุณหนูเยี่ยแทนพี่ชายของข้า พี่ข้ามาดูแลจวนว่าการของเมืองหลวงได้ไม่เท่าไรก็เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ทำให้ชื่อเสียงของคุณหนูเยี่ย…” 


 


 


เยี่ยหลีส่ายหน้า ดูจากสีหน้าของฉินอวี่หลิงก็รู้เลยว่านางได้รับมอบหมายจากฉินมู่ให้มาเยี่ยมด้วยตนเอง ความจริงแล้วจะไปโทษฉินมู่ผู้ว่าการเมืองหลวงก็คงไม่มีเหตุผลนัก เพราะแม้แต่ชาติที่แล้วของนางที่วิทยาการก้าวไกลกว่านี้แต่เรื่องที่คนกระทำความผิดกลับไม่เคยลดน้อยลงเลย นับประสาอะไรกับสมัยนี้ที่กำลังความสามารถของคนมีจำกัด จะให้ดูแลอย่างทั่วถึงได้อย่างไร 


 


 


“ใต้เท้าฉินประหนึ่งบิดามารดาของราษฎรในเมืองหลวง มุ่งมั่นทำเพื่อราษฎรจนได้ชื่อว่าตัดสินคดีอย่างไม่ไว้หน้าใคร เรื่องนี้ก็เป็นแค่ข่าวลือไร้สาระเท่านั้น คุณหนูฉินอย่าได้เก็บมาใส่ใจเลย ข่าวลือเช่นนี้ขึ้นอยู่กับผู้รับ หากไม่ไปใส่ใจคนพวกนั้นก็คงเบื่อและเลิกลือกันไปเอง” 


 


 


เมื่อได้ยินเยี่ยหลีกล่าวเช่นนี้ ฉินอวี่หลิงก็สบายใจขึ้นมาก ตั้งแต่เล็กจนโตนางกับพี่ชายพึ่งพากันและกันประหนึ่งชีวิต ถึงแม้พี่ชายนางจะไม่ได้พูดออกมา แต่นางรู้ดีว่าเรื่องคราวนี้เกี่ยวพันไปถึงตำหนักติ้งอ๋อง จวนเจ้ากรม และตระกูลสวี พี่ชายของตนเป็นเพียงผู้ว่าขั้นสาม ซ้ำตระกูลฉินก็ไม่มีใครคอยหนุนหลัง หากพลาดพลั้งไปเพียงนิดก็มีโอกาสถูกลากลงไปตายแทนได้  


 


 


“ขอบคุณเจ้ามาก คุณหนูเยี่ย” 


 


 


ฮว่าเทียนเซียงยิ้ม “คุณหนูฉิน ท่านไม่ต้องขอบคุณนางแล้วล่ะ คนชั้นต่ำพวกนั้นลับหลังนึกริษยาอาหลี จึงอยากทำลายชื่อเสียงของนาง ใต้เท้าฉินก็คงมิอาจจัดการปากของทุกคนได้มิใช่หรือ อาหลี เจ้าแต่งตัวเช่นนี้ กำลังเตรียมตัวจะออกไปไหนหรือ” ฮว่าเทียนเซียงสังเกตเห็นการแต่งเนื้อแต่งตัวของเยี่ยหลี จึงได้เอ่ยปากถามขึ้น “พวกเราคงไม่ได้มาผิดเวลากระมัง” 


 


 


“เมื่อครู่คิดจะไปตำหนักติ้งอ๋องสักหน่อย แต่ไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอันใด ไว้ค่อยไปก็ได้” เยี่ยหลีตอบ 


 


 


“อ้อ” มู่หรงถิงนึกบางสิ่งขึ้นได้ก่อนยิ้มอย่างมีเลศนัย “ที่แท้อาหลีของพวกเราก็สนิทสนมกับติ้งอ๋องถึงเพียงนั้นแล้วสินะ”  


 


 


เยี่ยหลีกลอกตามองอย่างไม่เห็นขันด้วย มู่หรงถิงถามกลั้วหัวเราะอย่างไม่ใส่ใจว่า “เหตุใดต้องไปตำหนักติ้งอ๋องด้วยตัวเองด้วยเล่า ส่งจดหมายไปเชิญติ้งอ๋องออกมาไม่ง่ายกว่าหรือ จะได้ให้พวกประสงค์ร้ายปากมากพวกนั้นรู้กันด้วยว่า ต่อให้พยายามเพียงใดก็ไม่อาจแยกอาหลีกับติ้งอ๋องออกจากกันได้!”  


 


 


ฉินอวี่หลิงมองมู่หรงถิงด้วยความสงสัย “คุณหนูมู่หรงทราบว่าใครเป็นคนทำหรือ” 


 


 


“เรียกข้าว่ามู่หรงก็ได้” ก่อนพูดด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยมว่า “จะมีใครอีกเล่า ก็คงเป็นหลีอ๋องที่ไม่อยากเห็นอาหลีได้ดีเป็นแน่ ชั่วชีวิตข้ายังไม่เคยพบเคยเห็นบุรุษที่ไหนใจแคบเช่นเขามาก่อนเลย ช่างเหมาะสมกับเยี่ยอิ๋งยิ่งนัก!” 


 


 


เยี่ยหลีเงียบไป ครั้งนี้ม่อจิ่งหลีถูกเข้าใจผิดเสียแล้ว แต่ใครใช้ให้ตัวเขาหย่อนศีลธรรมจนทำให้ผู้อื่นนึกสงสัยได้ง่ายเช่นนี้เล่า สามคนที่เหลือมองหน้ากันไปมา แต่เมื่อได้เห็นสีหน้ามั่นอกมั่นใจของมู่หรงถิง กอปรกับความแค้นระหว่างม่อจิ่งหลีกับเยี่ยหลีแล้ว จึงทำให้ทุกคนต่างเห็นด้วยกับการคาดเดาของมู่หรงถิง แม้แต่ฉินอวี่หลิงยังทำหน้าเหมือนไม่อยากเชื่อว่าหลีอ๋องจะเป็นคนเช่นนั้นได้ 


 


 


เรื่องที่หลีอ๋องพื้นอารมณ์เสียนั้น ไม่ใช่เรื่องที่เป็นความลับในหมู่ชนชั้นสูงในเมืองหลวง แต่หากมีใครได้ลองสังเกตดีๆ แล้วจะพบว่า ภายหลังงานสมรสท่านหลีอ๋องที่ควรจะดื่มด่ำกับชีวิตข้าวใหม่ปลามันกลับอารมณ์ไม่ดียิ่งกว่าก่อนงานสมรสเสียอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งวันนี้ที่เขาออกจากตำหนักแต่เช้า เขาได้ยินเสียงผู้คนวิพากษ์วิจารณ์เรื่องของเยี่ยหลีซึ่งควรจะทำให้เขารู้สึกยินดีอย่างที่สุด แต่กลับพบว่าระหว่างทางมักมีคนส่งสายต่างแปลกๆ มาที่เขาทั้งโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจ หรือไม่เมื่อเห็นเขาผ่านมาก็จะรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปเป็นเรื่องอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกันเลย แม้แต่ตอนที่ไปนั่งจิบชาในโรงน้ำชายังรู้สึกได้ถึงสายตาแอบจ้องมองมาโดยที่ไม่รู้ว่าเขาสังเกตเห็น เกิดเรื่องกับเยี่ยหลี คนที่ควรถูกหัวเราะเยาะ คนที่ควรถูกมองด้วยสายตาเช่นนั้นควรเป็นม่อซิวเหยาถึงจะถูก! เหตุใดเขาจึงรู้สึกประหนึ่งว่าทุกคนกำลังหัวเราะเยาะเขาอยู่กระนั้น 


 


 


คนในเมืองหลวงโดยมากยังถือว่าใจดี เมื่อพวกเขาเห็นม่อจิ่งหลีผ่านมา ถึงแม้จะรู้ว่าทำอะไรน้องชายแท้ๆ ของฮ่องเต้ผู้นี้ไม่ได้ จึงเพียงส่งสายตาดูแคลนไปให้เขาแทน เหอะ! คนอะไร ถอนหมั้นคนเขาไปอย่างไม่มีเหตุผลแล้วก็ช่างเถิด นี่ยังทนเห็นเขาได้ดิบได้ดีไม่ได้อีก ก่อนหน้านี้ทำชื่อเสียงเขาเสียหายยังไม่เท่าไร แต่มาตอนนี้ยังมาปล่อยข่าวลือเสียๆ หายๆ เช่นนี้อีก หากเป็นหญิงสาวลูกคนธรรมดาทั่วไปก็ไม่เท่ากับบังคับให้นางไปตายหรอกหรือ คนประเภทนี้ ต่อให้เป็นพระญาติของฮ่องเต้อย่างไรก็ถือได้ว่าเป็นคนสารเลว! 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม