สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด 38-44

 บทที่ 38 นักวิ่งตอนเช้า

โดย

Ink Stone_Fantasy

อนาโตลี่ไม่รู้เลยว่าจุดประสงค์ที่คุณซัลลิแวนผู้ลึกลับพาเขามาที่นี่คืออะไร


ตามความคิดของอนาโตลี่ สถานที่นี้ก็เป็นแค่บ้านคนธรรมดามากๆ หลังหนึ่งเท่านั้น แต่ว่าซัลลิแวนกลับถามเขาว่าหลังจากมาที่นี่แล้วนึกเรื่องอะไรออกบ้างหรือเปล่า


อนาโตลี่รู้ว่าที่ซัลลิแวนพูดนั้นเกี่ยวกับเรื่องที่เขาสูญเสียความทรงจำ


ในความรู้สึกของอนาโตลี่นั้นเขาไม่ได้ลืมอะไร แต่ไม่ว่าจากคำพูดและท่าทางของซัลลิแวน แล้วยังมีคำพูดบางอย่างของพระสังฆราช จนกระทั่งเรื่องที่ไม้กางเขนของเขาแตกไปกะทันหัน ล้วนทำให้การวิเคราะห์ตามเหตุผลของเขาได้ข้อสรุปว่า ‘เขาลืมเรื่องบางอย่างไปจริงๆ’


“ขอโทษครับ คุณซัลลิแวน ผมนึกอะไรไม่ออกเลย” อนาโตลี่ส่ายหน้า


ซัลลิแวนพยักหน้าเล็กน้อยเหมือนเป็นไปตามคาด “ไม่ใช่แค่คุณ แต่คนที่อาศัยอยู่ระแวกนี้ก็ยังไม่แน่ใจว่าใครอยู่ในบ้านหลังนี้”


อนาโตลี่พูดถามอย่างใคร่รู้ “แล้วใครอยู่ในบ้านหลังนี้กันล่ะครับ?”


ซัลลิแวนตอบช้าๆ “เป็นพ่อม่ายที่เลี้ยงลูกวัยสิบขวบคนหนึ่ง พวกเขาคงจะจากไปไม่กี่วัน เพราะว่าของกินบางอย่างในตู้เย็นยังไม่หมดอายุ แต่ว่า…”


เห็นซัลลิแวนพูดถึงตรงนี้แล้วหยุดลง อนาโตลี่เลยตั้งใจฟังกว่าเดิม


ตอนนี้ซัลลิแวนได้มองชาวบ้านที่อยู่ตรงหน้า เหมือนกับไม่แน่ใจอย่างไรอย่างนั้น “พวกเราหาร่องรอยของพ่อลูกคู่นี้ไม่เจอ…เหมือนกับละลายหายไปจากโลกมนุษย์อย่างนั้น”


อนาโตลี่ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ถ้าหากเป็นแค่คนธรรมดา จะเล็ดลอดสายตาของสำนักฝึกบาทหลวงไปได้ยังไงครับ”


“เกรงว่าจะไม่ใช่คนธรรมดา” ซัลลิแวนจ้องมาทางอนาโตลี่อย่างครุ่นคิด


ไม่รู้ว่าเข้าใจผิดไปหรือเปล่า


วินาทีที่ทั้งคู่สบตากัน อนาโตลี่เหมือนสัมผัส…ความหวาดกลัวบางอย่างได้จากสายตาของคุณซัลลิแวนคนนี้


“อนาโตลี่ ตามผมไปสำนักฝึกบาทหลวง” ซัลลิแวนพูดขึ้นทันที


แต่อนาโตลี่ผู้ที่เพิ่งจะจบจากสำนักฝึกบาทหลวง และเพิ่งถูกมอบหมายให้มาที่นี่ยังคงไม่เข้าใจอยู่มาก


ได้ยินแค่ซัลลิแวนพูดอย่างเฉยเมยว่า “ข้อจำกัดของผมค่อนข้างเยอะ อยู่ที่นี่ผมไม่อาจใช้พลังใดๆ ได้อย่างเต็มที่ ดังนั้นจึงทำได้แค่ไปสำนักฝึกบาทหลวงของพวกคุณ ที่นั่นมีเงื่อนไขที่ทำให้ผมสามารถใช้ได้อย่างเต็มที่”


อนาโตลี่กลับตะลึงไป เพราะเมื่อกี้ได้ยินซัลลิแวนพูดว่า…‘พวกคุณ’?



บาทหลวงที่จากไปสองคนไม่รู้เลย ว่ามีดวงตาคู่หนึ่งสังเกตพวกเขาอยู่หน้าประตูบ้านนี้ตลอด


นั่นคือลั่วชิวที่กำลังนั่งเลื่อนจอมือถืออยู่บนเก้าอี้หน้าประตูบ้านหลังนี้ตลอด โดยที่โยวเย่ไม่ได้อยู่ที่นี่ด้วย


แน่นอนว่าไม่ใช่ลั่วชิวตั้งใจไล่เธอไป แค่หลังจากที่เธอตื่นเช้ามาเตรียมอาหารเช้าเสร็จก็ออกไปซื้อของที่ซูเปอร์มาร์เก็ตเท่านั้นเอง


ลั่วชิวไม่ได้อยู่ในโรงแรมที่อยู่ในตอนแรก แต่หลังจากที่โอเล็กพาอันโตนิโอออกจากมอสโกไปอย่างเงียบๆ แล้ว เขาก็แอบย้ายมาที่นี่ซึ่งถือเป็นสถานที่พักผ่อนเงียบๆ ชั่วคราว


ไม่ได้บอกว่าโรงแรมที่คุณสาวใช้เตรียมไว้ไม่ดี


เขาแค่คิดว่าอยู่ที่นี่ได้บรรยากาศกว่านิดหนึ่ง ตัวอย่างเช่นเก้าอี้โยกหน้าประตูนี้ เอนตัวตรงนี้แล้วไม่อยากขยับตัวเลย แต่โรงแรมกลับให้ความรู้สึกแบบนี้ไม่ได้


ที่นี่ยังคงหลงเหลือความทรงจำแสนสุขของคามาลาอยู่


“พวกคุณ”


หลังจากที่สองบาทหลวงออกไปหมดแล้ว ลั่วชิวถึงได้เงยหน้ามองท้องฟ้ายามเช้านี้ ในสิ่งที่มนุษย์รู้ ข้างบนนั้นน่าจะมีอะไรอยู่


แต่ลั่วชิวผู้ที่เคยดูสมุดบัญชีเก่าของสมาคมแล้ว กลับเข้าใจดีว่าความจริงแล้วข้างบนนี้ไม่มีอะไรเลย


พวกมันมีอยู่ แต่ไม่ได้อยู่บนสวรรค์หรือในนรก


“สวรรค์…อีกสามปี”


ลั่วชิวบิดขี้เกียจ ลุกยืนขึ้นจากบนเก้าอี้


เขาใส่หูฟัง จากนั้นก็เตะรองเท้าของตัวเองเบาๆ แล้วก็วิ่งเหยาะออกไปยังถนนข้างนอกในบริเวณเล็กๆ นี้


เช้าแบบนี้เหมาะกับการวิ่งเหยาะมากจริงๆ


บนถนน ลั่วชิวก็พบคนที่เลือกออกมาวิ่งไม่น้อยเลยเช่นกัน ในชีวิตของคนที่ชอบกีฬาเหมือนจะเต็มไปด้วยไมตรีจิต


เขาพบคนทักทายด้วยวิธีที่หลากหลายไม่น้อยทั้งชายและหญิง บางทีพวกเขาอาจจะกำลังชื่นชมทิวทัศน์ตามถนน ทิวทัศน์พวกนี้ในสายตาของพวกเขาเป็นสีสันแบบไหนกันแน่?


ลั่วชิวไม่รู้


เขามีแนวคิดเรื่องของสี แต่สีทั้งหมดที่เขาเห็นเหมือนจะเป็นสีเดียวกัน พวกมันผสมปนเปอยู่ด้วยกัน เหมือนจะมีกฎแต่ก็ไม่มีกฎ


โลกทั้งใบเหมือนจะเปลี่ยนเป็นโลกสีขาวดำในความนึกคิด


เขาชะลอฝีเท้าลงทันที ค่อยๆ ลดความเร็วของตัวเองลงช้าๆ สุดท้ายก็มาหยุดอยู่ที่หน้าบ้านเก่าๆ หลังหนึ่ง


นั่นเป็นภาพวาดที่วาดอยู่นอกกำแพงบ้านคนอื่น…ควรจะบอกว่าเป็นวาดภาพบนกำแพงในที่สาธารณะน่าจะเหมาะกว่า


ไม่ได้สวยและไม่ได้สีมีสันสดใสดึงดูดสายตาผู้คนมากอย่างภาพวาดริมถนน ยิ่งไม่ใช่ภาพแนวเสียดสีสังคมที่สะท้อนความไม่พอใจต่อสังคมอย่างแรงกล้า และดึงดูดให้ผู้คนในสังคมเกิดความรู้สึกร่วมได้


มันแค่อยู่บนกำแพงสีน้ำตาล ใช้เส้นสีดำง่ายๆ มาประกอบเป็นภาพสเก็ตเมืองภาพหนึ่ง แต่เมืองนี้กลับไม่ได้วาดออกมาตามอัตราส่วนจริง


มันบิดเบี้ยวเหมือนกับภาพเมืองกลับหัวกลับหางในกระจกที่ส่องรูปบิดเบี้ยว ตึกอาคารที่ตรงดิ่งกลายเป็นลักษณะที่อ้วนใหญ่ ถนนที่เป็นระเบียบก็บิดเบี้ยว


ลั่วชิวยื่นมือลูบผ่านกำแพง จากนั้นก็ขยี้เบาๆ ด้วยนิ้วมือของตัวเอง…นี่ไม่เหมือนการใช้ดินสอถ่าน*วาด แต่เหมือนใช้ถ่านไม้มาวาดเลยมากกว่า


“มีช่วงเวลาหนึ่ง ผมจะตั้งใจผ่านมาที่นี่ทุกวัน”


ทันใดนั้นก็มีใครบางคนพูดขึ้นข้างหลังลั่วชิว ลั่วชิวหันหน้ามามอง ก็เห็นผู้ชายคนหนึ่งที่ใส่ชุดวิ่งหมวกแก๊ปและที่ปิดปาก


น่าจะเป็นชายวัยกลางคน


เขาดูแข็งแรงมากๆ


ลั่วชิวแค่มองแป๊บเดียวก็เงยหน้าขึ้นมา ถอยหลังไปสองก้าวให้ตัวเองสามารถมองเห็นภาพทั้งหมดนี้ได้ ตอนนี้ชายวัยกลางคนที่วิ่งอยู่ข้างหลังนี้ก็หยุดฝีเท้าอยู่ที่นี่เช่นกัน และก็เงยหน้ามองมอสโกที่บิดเบี้ยวอยู่บนกำแพงนี้เงียบๆ


เขาพูดขึ้นทันที “ภาพนี้ยังวาดไม่เสร็จ”


“ครับ” ลั่วชิวพยักหน้าเล็กน้อย


ผู้ชายพูดราวกับเสียดายนิดหน่อยว่า “น่าจะประมาณปีก่อนล่ะมั้ง?ผมเริ่มวิ่งช่วงเช้าอยู่แถวๆ นี้ บางครั้งจะเห็นวัยรุ่นคนหนึ่งวาดภาพอยู่ที่นี่ นั่นยังเป็นช่วงฤดูหนาว ภาพในความทรงจำของผมค่อนข้างชัดเจน เสื้อผ้าของเขาบางมาก สีหน้าก็แย่มากๆ เหมือนเป็นคนเร่ร่อน แต่เขาเหมือนไม่ได้รู้สึกหนาวเลยสักนิดเดียว เขาถือถ่านไม้อันหนึ่งเอาไว้ ตอนที่ผมเห็นภาพนี้ก็วาดตึกใหญ่ตึกหนึ่งออกมาได้แล้ว”


เขาเหมือนจะกำลังเล่าเรื่องราวที่น้อยนักจะแบ่งปันกับคนอื่น…แต่แบ่งปันกับคนแปลกหน้า


“ผมสังเกตเขาอยู่หลายวัน มีอยู่วันหนึ่งผมทนไม่ได้เลยเดินไปถามเขา” ตอนนี้ชายที่ใส่ที่ผ้าปิดปากและหมวกแก๊ปมองลั่วชิวคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “ผมถามเขาว่า หนาวขนาดนี้ทำไมนายไม่เผาถ่านในมือเพื่อรับไออุ่นล่ะ?”


“เขาว่ายังไงครับ?” ลั่วชิวพูดถามตามใจ


“เขาไม่ได้ตอบผม” ผู้ชายส่ายหน้า “แต่กลับถามคำถามผมกลับมาหนึ่งข้อ เขาบอกว่าคุณมีความฝันไหม?”


“ความฝัน?” ลั่วชิวราวกับกำลังใช้ความคิด


ผู้ชายเลยพยักหน้าเล็กน้อย “ใช่ ความฝัน…พูดตามจริงผมก็ไม่รู้ว่าตัวเองยังมีความฝันอยู่หรือเปล่า แต่ว่าต่อมาผมก็จะหาเวลามาวิ่งแถวๆ นี้อยู่ตลอด อย่างแรกก็เพื่อออกกำลังกาย อีกด้านหนึ่ง…ผมอยากมาลองดูเจ้านี้ว่าจะทนไปได้ถึงไหน”


เขาส่ายหน้า “เสียดาย สุดท้ายภาพนี้ก็วาดไม่เสร็จ ผมไม่ได้เจอเขามานานแล้ว แต่ว่าบางครั้งผมยังคงวิ่งมาที่นี่ คิดว่าบางทีจะได้เจอเจ้าหมอนี่ และจะลองมาดูภาพที่วาดไม่เสร็จที่นี่ให้เต็มที่สักหน่อย”


“มันมีจุดที่ทำให้คนหลงใหล” ลั่วชิวพูดยิ้มๆ


ผู้ชายก็พูดเสียงเบาๆ ว่า “ใช่แล้ว ดูเมืองบิดเบี้ยงที่วาดไม่เสร็จภาพนี้ มักจะให้ความรู้สึกบางอย่างที่แตกต่างไป เหมือนเตือนตัวผมเองอยู่ตลอดเวลาว่า…ผมไม่อาจให้ตัวเองใช้ชีวิตอยู่ในเมืองที่บิดเบี้ยวแบบนี้ ฮ่าๆ ผมพูดเรื่องน่าเบื่อซะแล้ว”


“ไม่เลยครับ” ลั่วชิวส่ายหน้า


ผู้ชายเริ่มวิ่งวอร์มอัพอยู่กับที่ เขายื่นมือออกมาตบบ่าของลั่วชิว “พ่อหนุ่มเป็นคนจีนล่ะสิ?ประเทศนี้ผมไปมาหลายครั้งแล้ว เป็นประเทศที่ใช้ได้เลยทีเดียว แต่ว่าคุณพูดภาษารัสเซียได้ดีขนาดนี้ ไม่ลองคิดมาอยู่หาความก้าวหน้าที่นี่ดูสักหน่อยเหรอ คนหนุ่มมักมีโอกาสเสมอ”


“ผมอยู่ที่ไหนก็เหมือนกันครับ” ลั่วชิวส่ายหน้าพูด


ผู้ชายอึ้งไป แต่ไม่ได้ใส่ใจความนัยของประโยคนี้ ก่อนพยักหน้าเล็กน้อย แล้ววิ่งเหยาะๆ จากไป แต่ว่าเขาวิ่งออกไปไม่นาน ข้างหลังก็มีรถเก๋งสีดำคันหนึ่งตามไปช้าๆ


ลั่วชิวหันตัวกลับไปมองภาพบนกำแพง


ความจริงนี่เป็นภาพที่ยูริเคยวาด แต่ที่ที่เขาอยู่ตอนนี้คือคฤหาสน์ดีคาปี้…บางทีอาจกำลังทักทายคุณแอนนาที่พากลับมาด้วยเมื่อคืนอยู่ล่ะมั้ง


“ความฝัน”


ดินสอถ่าน* ดินสอสำหรับการวาดรูป


บทที่ 39 ความผิดพลาดที่แก้ไขได้

โดย

Ink Stone_Fantasy

ในหัวนั้นมีภาพเหตุการณ์แย่ๆ ที่เธอต้องเจอแตกต่างกันไป ดูเหมือนว่าเธอจะได้รับการปฏิบัติราวกับเจ้าหญิง…นอกจากการได้เป็นอิสระ


แอนนาแหวกช่องเล็กๆ ตรงผ้าม่านมองดูบริเวณรอบๆ และตรงด้านล่างของห้องนี้เอง ชายสองคนกำลังยืนเฝ้ายามอยู่ เช่นเดียวกับด้านนอกประตูก็มีคนจับลูกบิดประตูอยู่เช่นกัน


เสื้อผ้าบนตัวเธอก็ถูกเปลี่ยนออกหมดไปรอบหนึ่งแล้วด้วยท่าทีที่แข็งกร้าวของสาวใช้ ยิ่งไปกว่านั้นพวกเธอยังเห็นทั่วทุกซอกทุกมุมบนตัวเธอแล้ว


แอนนาไม่สามารถติดต่อเยฟิมได้ และยิ่งไม่สามารถติดต่อกับโลกภายนอกได้ ดังนั้นสถานการณ์ของเธอในตอนนี้คือ ‘ถูกตัดขาด’


เธอไม่รู้ว่าเยฟิมเห็นหน้าตายูริชัดเจนผ่านกล้องเข็มกลัดที่เธอติดบนตัวหรือเปล่า ซึ่งตอนนี้มันถูกทำลายทิ้งไประหว่างทางมาคฤหาสน์แล้ว


ด้วยน้ำมือของตระกูลดีคาปี้ หรือจะบอกว่าด้วยน้ำมือของยูริ…แต่ว่า ด้วยฝีมือของยูริเหรอ?


เขาคงไม่ใช่แค่คนเร่ร่อนพเนจรข้างถนน จิตรกรผู้ระทมทุกข์ที่ไม่สมปรารถนา? ตัวตนที่แท้จริงของเขาน่าจะถูกตรวจสอบชัดเจนไปตั้งนานแล้วนี่


หรือว่าจะมีอะไรผิดพลาด?


ฉับพลันนั้นประตูก็เปิดออก แอนนาหันมาด้วยความระแวดระวัง เธอมองยูริที่เปิดประตูออก แล้วยืนจับกรอบประตูทั้งสองด้านอาไว้


เป็นยูริจริงๆ ด้วย


“พวกนายรออยู่ด้านนอก” ยูริหันกลับไปสั่ง


แอนนาเห็นว่าด้านนอกประตูยังมีบอดี้การ์ดอีกหลายคน พวกเขาพยักหน้าเล็กน้อย และไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่ตอนที่กวาดสายตามามองเธอนั้นดูไม่ค่อยเป็นมิตรนัก


ยูริปิดประตู


ตอนแรกเขายืนชิดประตูห้อง ไม่ได้เดินมา และไม่ได้พูดอะไรเช่นกัน เพียงแค่มองแอนนาอยู่เงียบๆ นี่ทำให้เธอเดาไม่ออกว่าเขาคิดจะทำอะไรกันแน่


“เมื่อคืนหลับสบายไหม?” ยูริยิ้มแล้วพูดว่า “นอกจากห้องของผมแล้ว ห้องนี้ก็น่าจะเป็นห้องที่ดีที่สุดห้องหนึ่งเลย”


แอนนาพยายามรักษาความสุขุมไว้เต็มที่ “ฉันคิดว่าคุณยูริเองก็คงไม่ค่อยคุ้นชินกับที่ใหม่เหมือนกันสินะคะ”


“คุณเรียกผมว่าคุณยูริ?” ยูริส่ายหน้า ดูเหมือนเขาจะนึกอะไรได้ ในที่สุดเขาก็ก้าวเดินไปยังมุมหนึ่งของห้อง ซึ่งก็คือ ‘ห้องแต่งตัว’


เขาเปิดตู้เสื้อผ้าตู้หนึ่งแล้วเลือกเสื้อผ้าที่อยู่ด้านใน พลางพูดไปเรื่อยเปื่อยว่า “แต่ผมก็ไม่ได้เปลี่ยนที่อยู่ไม่ใช่เหรอ? เมื่อคืนผมก็นอนหลับสบายดี มีสาวใช้แสนสวยสองคนคอยรับใช้…อืม ผมคิดว่าเมื่อคืนเป็นครั้งแรกที่ผมนอนหลับสบายที่สุดในช่วงนี้เลย”


“งั้นเหรอ? งั้นก็ยินดีกับคุณด้วยจริงๆ นะ” แอนนาเผชิญหน้าพูดกับยูริ


ทั้งสองคนอยู่ห่างกันแค่ระยะห่างจากขอบหน้าต่างถึงตู้เสื้อผ้าเท่านั้น แทบจะเป็นระยะห่างที่ไกลที่สุดที่พอจะหาได้ภายในห้องนี้ แอนนารวบมือทั้งสองไว้ด้านหลัง จากนั้นก็ดึงแปรงสีฟันอันหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อช้าๆ


ด้ามแปรงสีฟันหัก ส่วนหัวของด้ามแปรงที่หักนั้นฝนไว้จนแหลมคม นี่น่าจะเป็นสิ่งที่สนุกที่สุดที่แอนนาทำตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเลย และเป็นเรื่องที่ทำให้เธอรู้สึกปลอดภัยได้เล็กน้อย


ในที่สุดยูริก็เลือกเสื้อผ้าชุดหนึ่งออกมาจากตู้เสื้อผ้า เขาชูเสื้อผ้าขึ้นตรงหน้า แล้วมองแอนนา ก่อนยิ้มพูดว่า “ชอบชุดนี้ไหม?”


แอนนาขมวดคิ้ว “ดูท่าคุณอยากจะให้ฉันใส่มันนะ”


“คุณยังฉลาดเหมือนเดิมเลยนะ” ยูริมองชมเชยอีกฝ่าย เขาวางชุดลงบนเตียง แล้วไม่ได้พูดอะไรอีก ก่อนเดินตรงไปที่ประตู “อีกเดี๋ยวจะมีคนพาคุณออกมา หวังว่าถึงตอนนั้นแล้วคุณจะเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย…จริงสิ แล้วอย่าทำเรื่องโง่ๆ ล่ะ พูดตามตรงผมไม่อยากเห็นคุณถืออาวุธเลยจริงๆ”


เขาพูดพลางชี้ไปที่มุมหนึ่งของห้อง แล้วก็ชี้มาที่ดวงตาตนเอง


นี่ทำให้แอนนาเผลอนึกถึงเยฟิม…นั่นก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ชอบซ่อนตัวคอยสอดแนมทุกอย่างอยู่ในที่ลับ พอยูริเดินออกไปแล้ว แอนนาก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วยื่นมือออกไปแตะขอบหน้าต่าง


เธอเพิ่งมองดูชุดที่วางอยู่บนเตียง ฉับพลันก็มีสีหน้าไม่ดีเท่าไร…ความรู้สึกในตอนนี้มันช่างแย่เหลือเกิน


แต่ที่แย่ยิ่งกว่าก็คือ เธอเดาไม่ออกว่ายูริคิดจะทำอะไรกันแน่



“กินข้าวได้แล้ว”


ชายคนหนึ่งยกอาหารจานหนึ่งเดินเข้ามา ที่นี่คือห้องใต้ดินในคฤหาสน์ หรือเรียกว่าคุกคงจะเหมาะกว่าล่ะมั้ง? เยียร์เกอร์คิดในใจ


เกรงว่านี่จะไม่ใช่ประสบการณ์ที่น่าภาคภูมิใจนัก


ในตอนนี้เขาและวิคเตอร์ที่เป็นตำรวจถูกผู้มีอิทธิพลกลุ่มนี้จับขังไว้ที่นี่ แต่สิ่งที่แย่กว่านั้นก็คือ ชายที่ถืออาหารมาคนนี้ไม่ได้มุ่งหน้ามาทางพวกเขา


เขาแค่ส่งอาหารให้ยามอีกคนหนึ่งที่คอยเฝ้าพวกเขาอยู่ตลอดเท่านั้น


เยียร์เกอร์ไม่ได้กินอะไร หรือแม้กระทั่งดื่มน้ำเลยตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว…หิวมาก!


ผ้าที่ปิดปากของเขาอยู่ทำให้เขาพูดคุยกับวิคเตอร์ได้ไม่ถนัดนัก ถึงแม้วิคเตอร์จะอยู่ข้างๆ เขาก็ตาม


แต่ทั้งสองคนต่างถูกมัดติดไว้กับกำแพง


“ไม่ฆ่าสองคนนี้เหรอ?” คนที่มาส่งอาหารนั่งลงตามสบายแล้วถามเพื่อนร่วมงาน


เพื่อนร่วมงานยักไหล่ตอบว่า “เจ้านายบอกว่าให้เก็บเอาไว้ก่อน แต่คุณพ่อบ้านก็บอกว่าถ้าพวกเขาคิดจะหนีล่ะก็…”


เขาแสยะยิ้ม ใช้กริชที่อยู่ในมือค่อยๆ ทำท่าปาดไปที่ลำคอตนเองช้าๆ ราวกับว่าเขากำลังรอคอยเหตุการณ์แบบนั้นอยู่


มันเป็นเรื่องที่แย่ที่สุด ไม่มีอะไรแย่ไปกว่านี้แล้วจริงๆ! เยียร์เกอร์หรี่ตาลง…เขาคิดว่าตนเองยังไม่ค่อยเป็นผู้ใหญ่เท่าไร สมองของเขาแทบจะระเบิดด้วยความรู้สึกหวาดกลัวแล้ว


บางทีเขาน่าจะเรียนรู้จากคุณวิคเตอร์ที่ดูสงบเยือกเย็นให้เยอะๆ สักหน่อย เยียร์เกอร์มองไปทางวิคเตอร์โดยอัตโนมัติ เขากลับพบว่า…


วิคเตอร์ก้มหน้า…หลับ หลับไปแล้ว!??


บ้าเอ๊ย!


หิวชะมัดเลย!!


แต่เยียร์เกอร์นักสืบหนุ่มไม่รู้ว่า สิ่งที่เขาต้องเจอในตอนนี้อยู่ในสายตาสอดแนมของคนสองคน ซึ่งได้หลบหายไปอย่างรวดเร็วจากบานหน้าต่างเล็กๆ ที่พอจะสอดแนมได้ในห้องใต้ดินแห่งนี้


เพราะคฤหาสน์แห่งนี้ไม่เหมาะจะหยุดนิ่งอยู่ในที่แห่งใดแห่งหนึ่งนานๆ


หนึ่งในคนที่สอดแนมพูดอย่างเป็นกังวลว่า “เวร่า คุณคงไม่คิดจะขโมยรูปภาพออกมาจากที่นี่จริงๆ หรอกใช่ไหม?”


“ขโมย? ไม่…” คนสอดแนมอีกคนส่ายหน้า และพูดอย่างเฉยเมยว่า “ขโมยแล้วพวกเราก็อดเห็นน่ะสิว่าเจ้าของคฤหาสน์แห่งนี้มีแผนอะไรกันแน่?”


“จะว่าไปก็ใช่…รอผมด้วยสิ รอด้วย…” วิคก้าจำต้องรีบปิดปากตนเอง ด้วยกลัวว่าจะทำเสียงดัง แล้วรีบตามร่างที่เดินนำอยู่ข้างหน้าเขาอยู่ตลอด



“ท่านคะ คุณแอนนามาแล้วค่ะ”


“รู้แล้ว พวกเธอออกไปก่อนเถอะ” ยูริพยักหน้าสั่ง


“ค่ะท่าน”


ภายในห้องที่เปิดกว้าง เหลือเพียงยูริกับแอนนาสองคนเท่านั้น ยูริพิจารณาแอนนาที่สวมชุดใหม่แวบหนึ่ง แล้วยิ้มพลางพูดว่า “ชุดนี้เหมาะกับคุณมากจริงๆ”


แอนนาต่างกับยูริ เธอกำลังสำรวจทุกซอกทุกมุมในห้องนี้…แล้วในที่สุดเธอค่อยหันมองตรงหน้ายูริ


ขาตั้งวาดรูป พู่กัน ที่วางอยู่ทั้งหมดเป็นอุปกรณ์การวาดรูป…บนกระดาษนั้นได้วาดรูปไปบ้างแล้ว ดังนั้นเธอมองแวบเดียวก็เดาออกว่ายูริคิดจะวาดอะไรกันแน่


เธอขมวดคิ้ว แล้วเผลอพูดว่า “คุณก็จะประมูลขายภาพ ‘สุภาพสตรีนิรนาม’ เหมือนกัน…หรือคุณคิดจะวาดมันอีกภาพ!”


ยูริจับพู่กันขึ้นมาโดยไม่แม้แต่จะปรายตามองแอนนา เขาแค่กำลังจดจ่ออยู่กับการผสมสี เขาพูดอย่างเฉยเมยว่า “มาอยู่เป็นเพื่อนผมหน่อยสิ คุณทำให้ผมมีแรงบันดาลใจได้เสมอ ทำให้ผมรู้ว่าควรจะลงสีตรงไหนถึงจะเหมาะที่สุด ผมต้องทำเวลา โดยเฉพาะต้องดำเนินการตามขั้นตอนให้เป็นของเก่าแก่”


แอนนาพูดอย่างงงงัน “คุณจับฉันมา แค่ให้อยู่เป็นเพื่อนคุณวาดภาพ?”


ยูริมองแอนนา สีหน้าของยูริดูไม่ออกเลยว่ารู้สึกอย่างไรกันแน่ แอนนากำลังมองชายหนุ่มตรงหน้าที่เคยมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับเธอด้วยสายตาเย็นชา


ฉับพลันนั้นเธอก็รู้สึกไม่แน่ใจ


ยูริกลับใช้นิ้วแตะไปบนริมฝีปากของตัวเอง ทำท่าบอกว่าอย่าส่งเสียง “อย่าเพิ่งพูด อยู่เป็นเพื่อนผมเงียบๆ แบบนี้ก็พอ…สุดท้ายแล้วภาพนี้จะประมูลขายได้มากเท่าไรนั้น ทั้งหมดนี่ขึ้นอยู่กับคุณเลยนะ”


แอนนาเผยอปากเล็กน้อย เธอรู้สึกว่าตนเองได้ยินคำพูดที่คาดไม่ถึงที่สุดในชีวิต


เธอเม้มปาก ขณะเดียวกันก็ครุ่นคิดว่าคำพูดที่ยูริพูดมาทั้งหมดนั้นเป็นจริงหรือไม่ แล้วค่อยๆ เดินมานั่งลงตรงหน้าขาตั้งวาดรูป


ยูริหลับตาลงทันที มือซ้ายจับพู่กัน มือขวาถือจานสี


แต่แอนนาจำความเคยชินแบบนี้ก่อนที่เขาจะลงสีได้เป็นอย่างดี


ตอนที่ยูริหลับตา ตอนที่เริ่มขยับพู่กัน จู่ๆ แอนนากลับมีความรู้สึกบางอย่าง ถึงแม้ว่าเธอจะแค่นั่งอยู่ตรงนี้ แต่ดูเหมือนเธอจะไม่ได้อยู่ในสายตาของยูริเลย


ไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ เธอถึงรู้สึกเสียใจโดยที่ตัวเธอเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน…ราวกับว่า เธอเพิ่งถูกทอดทิ้ง




ในคฤหาสน์อันหรูหราใหญ่โต ยูริกำลังตวัดพู่กันที่ดีที่สุดราวกับไม่ได้สนใจอะไร


ภายในบ้านส่วนตัวที่เรียบง่าย เจ้าของสมาคมที่เพิ่งกลับมาจากวิ่งออกกำลังกายยามเช้าก็กำลังถือผ้าขี้ริ้วเช็ดบนภาพวาดที่ถูกทำลายไป


แน่นอนว่าตรงที่เช็ดคือกรอบภาพวาด ตรงที่สีละลายมาเลอะ ส่วนตรงภาพวาดนั้นยิ่งเช็ดก็น่าจะยิ่งแย่กว่าเดิมล่ะมั้ง


นี่คือภาพที่ถูกทำลายที่โรงแรมในคืนนั้น ไม่ว่าใครดูก็คงจะคิดว่าของที่ถูกทำลายไปแล้วแบบนี้ได้สูญเสียมูลค่าเดิมที่มันควรจะมีไปหมดแล้ว


แต่ถึงแม้จะเป็นแบบนั้น มูลค่าทางประวัติศาสตร์ของมันที่มีอยู่เดิมก็ไม่น่าจะหมดไปด้วยเหตุนี้ แต่มันไม่ใช่ของจริง ดังนั้นถึงได้ถูกทิ้ง


มันถูกเจ้าของเดิมทำลายอย่างไร้ปรานี โดนเจ้าของคนต่อมาทิ้งอย่างไม่แยแส หลังจากนั้นก็ถูกเจ้าของสมาคมเก็บกลับมาราวกับเก็บขยะที่บริเวณนอกลานจอดรถเมื่อคืน


“ถ้าไม่ใช่นักวาดภาพที่มีประสบการณ์มากกว่าสามสิบปีก็คงซ่อมไม่ได้สินะ”ลั่วชิวกำลังมองตรงที่เลอะเทอะที่เขายังไม่ได้แตะ แล้วก็มองผ้าขี้ริ้วที่อยู่ในมือตนเอง เขาส่ายหน้าหัวเราะกับตนเอง แล้วจึงบิดขี้เกียจ


แล้วเขาก็เลิกล้มวิธีโง่ๆ แบบนี้ จากนั้นก็ใช้มือลูบไล้เบาๆ ตรงที่ภาพสีน้ำมันถูกทำลาย


สีที่ถูกแอลกอฮอล์ทำให้ละลายปนกันเลอะเทอะพวกนั้นก็เริ่มแยกเป็นสีๆ เคลื่อนไหวทีละนิดราวกับว่าจะกลับคืนสู่จุดเดิมที่พวกมันควรจะอยู่


ตอนที่แอลกอฮอล์ซึ่งเดิมทีไม่ควรเลอะอยู่บนภาพนี้ ฉับพลันก็ได้แยกตัวออกมาจากภาพวาด แล้วไหลลงในแก้วที่วางอยู่ข้างๆ ภาพที่ถูกทอดทิ้งภาพนี้ก็ได้กลับสู่สภาพเดิมแล้ว


ลั่วชิวพิจารณา และพยักหน้าอย่างพอใจ


ความผิดพลาดที่แก้ไขได้


บทที่ 40 เริ่มต้น

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ยังไม่มีข่าวของแอนนาเหรอ?”


“ขอโทษครับท่าน สุดท้ายพวกเราเจอแค่ของสิ่งนี้…ที่ข้างถนนทางหลวงหมายเลขห้า” ลูกน้องหยิบเข็มกลัดติดเสื้ออันหนึ่งที่พังไปแล้วออกมา


ในอาคารสูงใหญ่ เยฟิมกำลังมองลูกน้องของตัวเอง เขาเป็นคนมีบุคลิกดีมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนกินข้าวเป็นเพื่อนนักการเมืองพวกนั้น ยิ่งรักษาบุคลิกให้อยู่ในระดับที่เรียกว่าคนมีการศึกษา แต่อยู่ในที่ส่วนตัว เขาคิดว่าไม่จำเป็นต้องรักษาบุคลิกแบบนี้เลยสักนิด


ดังนั้นเขาจึงสาดเหล้าในแก้วที่ยังดื่มไม่หมดใส่หน้าลูกน้องตรงๆ แล้วพูดด่า “เฮอะ! พวกขยะ!”


ลูกน้องเช็ดใบหน้าไร้ซึ่งความโกรธ แล้วพูดช้าๆ ว่า “ท่านครับ เมื่อคืนนี้แขกหลายคนได้ยินที่ยูริบอกว่าตัวเองเป็นคนตระกูลดีคาปี้ ท่านว่าพวกผมควรติดต่อตระกูลนี้เพื่อลองถามดูสักหน่อยไหมครับ ว่ามันเกิดเรื่องอะไรกันแน่?”


เยฟิมยังคงด่าต่อไป “ติดต่อพวกเขา? งานประมูลครั้งนี้จัดในนาม F&C แกให้ฉันไปติดต่อพวกเขา เท่ากับบอกคนอื่นว่าฉันก็คือคนขโมยภาพไม่ใช่หรือไง?”


“ท่านครับ ความหมายของผมคือ พวกเราใช้ชื่อของ ‘อิสระกับตัวตลก’ ติดต่อตระกูลดีคาปี้ได้ครับ”


“ไอ้งั่ง! คิดว่าตระกูลดีคาปี้เป็นใคร?แกคิดว่าเขาจะสนใจขโมยหรือยังไง?” เยฟิมเดินวนไปมาหน้าโซฟาอย่างโกรธเคือง


จู่ๆ ลิฟต์ด้านหลังก็เปิดออก แล้วผู้ชายคนหนึ่งก็เดินเข้ามา “ท่านครับ มีจดหมายฉบับหนึ่งส่งถึงท่านแต่ไม่ได้เขียนชื่อไว้ครับ”


“ใครส่งมากัน?” เยฟิมขมวดคิ้ว


“แค่เด็กคนหนึ่งครับ น่าจะไม่รู้เรื่องอะไรเหมือนกัน” ผู้ชายรีบพูดต่อ “บอกแค่ว่า ท่านต้องการของที่อยู่ด้านในนี้…พวกเราตรวจสอบดูแล้ว ข้างในไม่มีของอันตรายครับ”


เยฟิมหรี่ตาแล้วก็ไม่ได้รับจดหมายฉบับนี้มา แต่กลับพูดอย่างเฉยเมยว่า “แกเปิดมันออก ลองดูว่าข้างในมีอะไร”


ผู้ชายทำได้แค่เปิดจดหมายที่ใช้ครั่งประทับเอาไว้


“นี่คือ…จดหมายเชิญ” เขาอึ้งไปแล้วจึงเงยหน้ามองเยฟิม ก่อนพูดช้าๆ ว่า “เชิญท่านไปร่วมงานประมูลครับ”


เยฟิมตกใจ ตอนนี้เขาถึงได้คว้าจดหมายเชิญจากมือของลูกน้องมาดูอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ขมวดคิ้วแน่น


เขานึกถึงภาพที่เห็นผ่านกล้องในเข็มกลัดติดเสื้อของแอนนา ตอนท้ายเบลอมากจริงๆ เขามองเห็นไม่ชัด แต่กลับฟังทุกคำพูดของคนที่เรียกตัวเองว่ายูริได้อย่างดี


เขาจะประมูลภาพ ‘สุภาพสตรีนิรนาม’ ของแท้


เยฟิมยังไม่ได้คิดว่าอีกฝ่ายมีภาพนี้ได้อย่างไร สิ่งที่เขาคิดก็คือเจ้านี่ประกาศเรื่องประมูลต่อหน้าแขกทุกคนแล้ว เหมือนไม่มีความจำเป็นต้องส่งจดหมายเชิญมาอีก


แต่จดหมายเชิญดันถูกส่งมาที่นี่!


“พวกแกออกไปก่อน” เยฟิมสั่งอย่างไม่ใส่ใจ


จนกระทั่งลูกน้องสองคนจากไปแล้ว เขาถึงได้เดินขึ้นบันไดวนมาจนถึงข้างบนบ้านอย่างร้อนใจ เขากดปุ่มปุ่มหนึ่ง ทำให้ชั้นวางหนังสือตู้หนึ่งเปิดออกอัตโนมัติ ตรงนี้ยังมีประตูอีกบานซ่อนเอาไว้


เยฟิมใส่รหัสแล้วถึงเปิดประตูบานนี้ ที่นี่เป็นห้องสะสมของเก่าของเขา


ตอนที่เขามองดูภาพ ‘สุภาพสตรีนิรนาม’ ของแท้ที่ยังวางอยู่ที่นี่อย่างดี ถึงได้วางใจเล็กน้อย แต่ว่าจดหมายเชิญในมือเขา…


เขาอดคิดไปในทางที่เลวร้ายที่สุดไม่ได้ ‘คนตระกูลดีคาปี้รู้อะไรมาหรือเปล่า’


“ยูริ…ยูริ?” เยฟิมพึมพำกับตัวเอง


พวกนั้นไม่มีทางเห็นผู้สืบทอดตระกูลเพี้ยนๆ กับคนร่อนเร่ท้อแท้เป็นคนคนเดียวกันได้หรอก ชื่อซ้ำหรือว่าเป็นแค่เรื่องบังเอิญ


แอนนาบอกว่า ตอนที่เธอจัดการยูริที่ชานชาลา ก็พบว่าของกลางที่เขาบอกเป็นเพียงการโกหกต้มตุ๋นเท่านั้น…


“หรือว่าแอนนากำลังหลอกฉัน ยูริยังไม่ตายเหรอ…”


เยฟิมขมวดคิ้วมุ่น


จู่ๆ เขาก็คว้าโทรศัพท์ขึ้นมา กดหาเบอร์โทรหนึ่ง แล้วก็ยิ้มแย้ม “เฮ้ สหายเก่า ช่วงนี้เป็นยังไงบ้าง?”


“อ้อ เยฟิมเหรอ? ก็ไม่ยังไงหรอก ช่วงนี้เบื่อจะตายอยู่แล้ว นายก็รู้ว่าอาทิตย์ที่แล้วมีข่าวอื้อฉาวเรื่องการสมคบคิดระหว่างมาเฟียและนักการเมืองเผยแพร่อยู่บน VK เบื้องบนระเบิดใส่ฉันแทบทุกวัน! ช่วงนี้ภาพที่มีชื่อเสียงยังหายไปอีก…”


เสียงคนปลายสายโทรศัพท์เบาลงเล็กน้อย “ท่านประธานาธิบดีของพวกเราก็ออกคำสั่งแล้ว…สหาย ถ้ายังหาคนทำผิดทั้งสองคดีนี้ไม่เจอ แม้แต่ฉันก็จะกลายเป็นแพะรับบาป และได้ปลดเกษียณก่อนเวลานะ!”


เยฟิมถอนหายใจแล้วพูดว่า “ใช่สิ ข่าวอื้อฉาวอีกแล้ว แล้วภาพดังก็ถูกขโมยไป แล้วยังมีการฆ่ายิงกันที่สถานีรถไฟใต้ดิน ฉันเสียใจแทนนายจริงๆ”


“เดี๋ยวก่อนสหาย นายพูดว่าอะไร?ยิงกันที่สถานีรถไฟใต้ดินอะไร? ทำไมฉันไม่เคยได้ยินเรื่องนี้เลย?เกิดขึ้นเมื่อไหร่? ที่ไหน?”


เยฟิมอึ้งไป


ฉับพลันเขาก็หัวเราะเสียงดังลั่น บอกว่าความจริงตัวเองพูดผิดไป


“ยูริยังไม่ตายจริงๆ ด้วย…แอนนาหลอกฉัน!”


เขาหรี่ตาลง และกำลังแอบคิดอะไรบางอย่าง




วันงานประมูลครั้งที่สอง


บอกว่าเป็นงานประมูล แต่งานประมูลครั้งนี้ไม่ได้เป็นทางการเท่าไร เพราะจัดขึ้นในที่ส่วนบุคคลแบบนี้


หรือบอกได้ว่าเป็นเขตอิทธิพลของเขา


จัดงานประมูลในที่แบบนี้…ไม่ปลอดภัยเลยแม้แต่น้อย ถึงขนาดพูดได้ว่าเจ้าของที่นี่ หรือก็คือผู้สืบทอดตระกูลดีคาปี้คนนี้ไม่ได้จริงจังเลยแม้แต่น้อย


แต่เมื่อเจ้าของพาคนมาก็มองเห็นห้องนี้มีคนมารวมตัวกันไม่น้อยแล้ว


ครั้งนี้ยังคงเป็นงานเต้นรำหน้ากากเหมือนคืนนั้น…เพียงแค่กลิ่นอายไม่เหมือนกันเลย


เพราะแขกแทบจะทุกคนไม่ได้พาคู่ควงผู้หญิงมาด้วย แต่กลับพาบอดี้การ์ดมาเยอะกว่าเดิมหน่อย อีกทั้งส่วนมากยังเป็นพวกที่ฆ่าคนได้


ถึงแม้ทุกคนจะอำพรางหน้า แต่คนที่คุ้นเคยกันดี ก็คงจะเดาออกว่าอีกฝ่ายเป็นใคร


พวกนักสะสมยืนเรียงตัวอยู่ข้างนอกประตูคฤหาสน์ หลังจากนั้นไม่นาน ประตูเหล็กของคฤหาสน์นี้ก็เปิดออก แล้วคุณพ่อบ้านก็เดินออกมาอย่างสง่างาม


เขามองนาฬิกาพ็อกเก็ตของตัวเองแวบหนึ่ง แล้วจึงยิ้มเล็กน้อย “ยังไม่ถึงเวลา แต่ว่าดีใจมากที่ทุกท่านรักษาเวลาเช่นนี้ ถึงแม้จะน้อยกว่าคืนนั้นก็ตาม…ทุกท่านโปรดเข้ามาเถอะ คุณยูริมารอทุกท่านอยู่ด้านในนานแล้วครับ”


“รอเดี๋ยว! ผมจะพาคนของผมเข้าไปด้วย” ผู้ชายตัวผอมพูดอ้อมๆ


เอดการ์พูดพร้อมยิ้มน้อยๆ ว่า “แน่นอน คุณยูริเป็นคนที่เป็นประชาธิปไตยมากๆ จะไม่ทำให้ทุกท่านลำบากใจเด็ดขาด ทุกท่านเชิญตามสบาย หวังว่าทุกท่านจะควบคุมลูกน้องของพวกท่านได้ หากข้างในเกิดเหตุการณ์เหนือความคาดหมายอะไร จะไม่อยู่ในขอบเขตการชดเชยของพวกเรา”


เอดการ์ยืนนิ่งดูเจ้าพ่อแต่ละคนพาลูกน้องของตัวเองขับรถเข้าไปในคฤหาสน์เหมือนกับรูปปั้นไม่มีผิด


จนกระทั่งรถคันสุดท้ายเข้าไปในคฤหาสน์แล้ว เขาก็ยังคงยืนรออยู่ เพราะว่ายังไม่ถึงเวลา กฎของการรักษาเวลาก็เป็นสิ่งที่คนสูงวัยคนนี้เคารพอย่างเคร่งครัด


สิบนาทีสุดท้าย


รถม้าที่งามละเอียดอ่อนคันหนึ่งขับเข้ามาตรงทางเข้าคฤหาสน์ช้าๆ


ใช่แล้ว รถม้า


ผู้ชายที่ใส่หน้ากากตัวตลกลงจากรถมาก่อน จากนั้นก็ยื่นมือไปจูงคู่ควงลงมาจากในรถม้า ก่อนเดินมาหน้าเอดการ์ช้าๆ


“ไม่สายใช่ไหมครับ? ขอโทษด้วย ตอนแรกคิดอยากจะเช่ารถเก๋ง แต่พอเห็นรถม้าคันนี้แล้วก็อดเช่ามาไม่ได้”


บทที่ 41 ไฟสุมทรวง

โดย

Ink Stone_Fantasy

 


“ไม่สายครับ ทั้งสองท่านเป็นแขกสำคัญของท่านยูริ” เอดการ์ยิ้มน้อยๆ แล้วพูดว่า “ท่านเคยสั่งไว้ว่า ให้ผมคอยรับใช้พวกคุณก่อนงานเริ่มครับ”


“ขอบคุณครับ” ลั่วชิวพยักหน้าเล็กน้อย “งั้นก็เข้าไปกันเถอะครับ”


เอดการ์ก็พยักหน้าพูดว่า “รถม้าที่คุณผู้ชายคนนั้นขับมาวันนี้ เหมาะกับคฤหาสน์ของพวกเรามากเลยนะครับ”


“งั้นเหรอครับ?” ลั่วชิวยิ้มแล้วพูดว่า “คู่เต้นรำของผมเป็นคนเลือกทั้งหมดครับ ผมไม่ได้ชำนาญเรื่องนี้ แค่เห็นว่ารถม้านี่สวยดี แต่ไม่ได้เข้าใจเรื่องพวกนี้หรอกครับ”


เอดการ์อ้าปากค้างตกใจ มองคู่เต้นรำข้างกายคุณผู้ชายคนนี้แวบหนึ่ง ก่อนมองดูเวลา ยิ้มน้อยๆ แล้วพูดว่า “นี่ก็ได้เวลาสมควรแล้ว น่าจะไม่มีแขกมาแล้ว ทั้งสองท่านตามผมเข้าไปเถอะครับ”


แม้จะพูดแบบนี้ ทว่ารถเบนท์ลี่ย์มูซานสีดำไม่มีป้ายทะเบียนคันหนึ่งกลับแล่นเข้ามาช้าๆ แล้วหยุดลงในที่สุด


เอดการ์พูดด้วยความรู้สึกผิด “ที่แท้ยังมีแขกมาอีก ทั้งสองท่านกรุณารอสักประเดี๋ยวได้ไหมครับ”


“ไม่เป็นไรครับ”


เจ้าของร้านลั่วผู้มีความอดทนเป็นเลิศพูดอย่างช้าๆ


ตอนนี้ชายรูปร่างสูงใหญ่ที่สวมหน้ากากค้างคาวคนหนึ่งก็ลงมาจากรถ และยังเป็นก้าวพลาด…อีกก้าวหนึ่งด้วย?


ปลายจมูกสีแดงจากโรคโรซาเชีย*


ชายคนนี้รวบเสื้อส่วนหน้า เห็นเอดการ์เดินเข้ามาก็รีบถามว่า “งานประมูลเริ่มแล้วหรือยัง?”


“ยังครับ” เอดการ์ตอบอย่างสุภาพ


ชายคนนี้จึงพูดอย่างเฉยเมยว่า “งั้นก็พาผมเข้าไปสิ ผมไม่ชอบยืนตากแดด…”


ชายร่างสูงใหญ่คนนี้พูดพลางมองรถม้าที่จอดอยู่ข้างๆ แวบหนึ่ง เขาดูตกใจ จึงส่ายหน้าพลางหัวเราะเยาะ “ตระกูลดีคาปี้นี่ไม่ว่าคนแปลกๆ ยังไงก็เชิญมาหมดเลยจริงๆ ใช่ไหม? ย้อยยุคงั้นเหรอ?”


“ทั้งสองท่านนี้เป็นแขกคนสำคัญของท่านยูริครับ” เอดการ์พูดพลางยิ้มน้อยๆ “ในเมื่อคุณผู้ชายทนรอไม่ไหวแล้ว ก็ตามผมเข้าไปพร้อมกันเลยแล้วกันครับ”


วาทศิลป์หลอกตำหนิไม่เลวเลยจริงๆ…อย่างน้อยตอนนี้ชายร่างใหญ่ก็รู้สึกไม่สบอารมณ์


คำพูดเมื่อครู่ฟังดูเหมือนไม่มีปัญหาอะไร แต่ลองคิดให้ละเอียดแล้ว ที่จริงหมายความว่า ‘ผมมีหน้าที่พาพวกเขาไปโดยเฉพาะ ในเมื่อคุณบังเอิญมาถึงพอดี งั้นก็ตามเข้าไปพร้อมกันเลยแล้วกัน’…อะไรแบบนั้น


“เชอะ” ชายร่างใหญ่สบถแล้วพูดอย่างไม่ใส่ใจว่า “หวังว่าม้าพวกนี้จะไม่วิ่งสะเปะสะปะไปทั่วนะ”


พอผู้ชายคนนั้นขึ้นรถไปอีกรอบแล้ว ลั่วชิวก็ไม่ได้พูดอะไรอีก เขาเข้าไปในรถม้ากับโยวเย่เงียบๆ ความจริงวันนี้เขาก็แค่ลองผ่านมาดูงานประมูลนี้เท่านั้น


เจ้าของสมาคมไม่เคยลืม ว่าตนเองพาคุณสาวใช้มาเที่ยวที่นี่


นึกอยากลองนั่งรถม้าแบบนี้สักครั้ง ที่จริงครั้งที่แล้วตอนอยู่ในปราสาทโบราณท่ามกลางทุ่งดอกไม้ของโรมาเนีย ก็บังเอิญเห็นรถม้าที่มีตราประจำตระกูลเจ้าชายนักเสียบ จู่ๆ ก็นึกอยากลองนั่งดูสักครั้ง


นายท่าน อยากลองนั่งรถม้าดูสักครั้งไหมล่ะคะ?


ก่อนขึ้นรถแท็กซี่ คุณสาวใช้ที่จำคำพูดนั้นได้ก็เอ่ยถามเขา


หลังจากขึ้นรถม้ามาแล้ว คนบังคับรถม้าก็ดึงเชือกบังเหียน รถม้าค่อยๆ เคลื่อนเข้าสู่ตัวคฤหาสน์อย่างช้าๆ


ลั่วชิวมองโยวเย่แล้วพูดว่า “เจ้าคนอ้วนเมื่อกี้นี้ เธอคิดว่าเป็นยังไงบ้าง?”


โยวเย่ตอบเสียงเบาๆ ว่า “เขาน่าจะกังวลและว้าวุ่นใจเอามากๆ เลยค่ะ แต่รู้สึกว่าตัวเขาเองจะไม่รู้ตัว…อืม ความรู้ในการเตรียมตัวป้องกันรับมือโลกภายนอกก็มีไม่น้อย น่าจะเป็นพวกคุ้นเคยอยู่แต่ในที่ปลอดภัยมานาน พออยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคยก็ปรับตัวไม่ได้ ฉันคิดว่าเขาน่าจะมีเหตุผลจำเป็นให้ออกมาข้างนอกล่ะมั้งคะ”


ขณะที่พูดอยู่นี้ คุณสาวใช้ก็ถอดถุงมือลูกไม้ฉลุลายออก ฉับพลันไฟสีดำก็จุดขึ้นจากปลายนิ้ว


ของขนาดเท่ายุงตัวหนึ่งลอยออกไปจากหน้าต่างรถม้า หลังจากนั้นไม่นานก็ได้ยินเสียงระเบิดดังสนั่นขึ้นที่ด้านหลังรถม้า


รถเบนท์ลี่ย์สีดำคันนั้น…ยางรถระเบิดแล้ว


โยวเย่…คงเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้นมากเลยล่ะสิ?


ลั่วชิวยิ้มแล้วพูดว่า “แกล้งนิดหน่อยก็พอแล้วล่ะ คุณชายร่างท้วมคนนี้เป็นถึงเป้าหมายที่ลูกค้าของเราต้องการจัดการ พวกเราไม่ควรลิดรอนสิทธิอันรื่นรมย์ที่ลูกค้าพึงได้รับนะ”


คุณสาวใช้จึงค่อยๆ สวมถุงมือของตนเองอย่างเชื่อฟัง




สุดท้ายชายที่นั่งรถเบนท์ลี่ย์มา ก็จำต้องนั่งรถของคฤหาสน์ แต่สิ่งที่ทำให้เขาแปลกใจคือ เหมือนว่าเขาจะถูกพาไปที่แห่งหนึ่งซึ่งดูไม่เหมือนสถานที่ประมูลเลย แน่นอนว่า เขาเองก็ไม่คิดว่าตัวเขาเองจะมีอันตรายเลย


เพราะในคฤหาสน์นี้ไม่ได้ห้ามเขาพาลูกน้องตนเองมาด้วย


เพียงแต่ภายในห้องว่างเปล่าที่มีเพียงเขาและลูกน้องจำนวนหนึ่ง เมื่อเวลาผ่านไปกลับค่อยๆ ทำให้เขาเริ่มรู้สึกรำคาญ


“เสียงอะไรน่ะ?”


“นายครับ เหมือนจะเป็นเสียงวิดีโอคอลครับ” ลูกน้องคนหนึ่งเดินไปถึงด้านหน้าผนังห้อง แล้วเปิดโทรทัศน์ด้านบน


เก้าอี้ตัวหนึ่งปรากฏขึ้นบนจอ และมีคนนั่งหันหลังอยู่บนเก้าอี้นั้น


“คุณคือยูริแห่งตระกูลดีคาปี้?” ชายร่างใหญ่พูดเสียงเข้ม


“คุณเยฟิม สวัสดีครับ”


พูดเปิดประเด็น


เขาพูดต่อว่า “ช่วยเชิญลูกน้องของคุณไปรอด้านนอกได้ไหม? ผมอยากคุยกับคุณเป็นการส่วนตัวสักหน่อย…แน่นอนว่าถ้าคุณไม่ถือสาที่จะให้ลูกน้องของคุณได้ยินเรื่องลับของคุณ ผมก็จะไม่ถือสาเช่นกัน”


“พวกแกออกไปก่อน” เยฟิมขมวดคิ้ว และไม่สนใจคำเตือนของลูกน้อง


นับตั้งแต่อีกฝ่ายส่งจดหมายเชิญให้เขา ก็แสดงชัดเจนแล้วว่า…เจ้าของคฤหาสน์แห่งนี้ต้องมีเรื่องอยากพูดกับเขาแน่ๆ ดังนั้นก่อนเริ่มเจรจาเขาก็ต้องปลอดภัยแน่นอน


เขาไม่เคยคิดว่าการอยู่ในอาคารสูงที่เหมือนป้อมปราการจะปลอดภัยมากกว่า เพราะภัยคุกคามบางอย่างที่ไม่อาจรู้ได้กำลังล้อมรอบเขาอยู่


เขาจึงต้องพาตัวเข้ามาเสี่ยงสักครั้ง


“คุณลงทุนตั้งมากมายขนาดนี้ จุดประสงค์ก็เพื่อล่อผมมาที่นี่งั้นเหรอ” เยฟิมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง


ตอนนี้เขารู้สึกค่อนข้างแย่ ราวกับเดินอยู่ในหลุมพรางที่อีกฝ่ายขุดไว้ทีละก้าว…ขนาดเมื่อกี้นี้ยางรถยังระเบิดเลย ซวยจริงๆ!


“คุณเยฟิมเป็นคนฉลาดอย่างที่คิดไว้จริงๆ ถ้าอย่างนั้น ผมขอพูดตรงๆ เลยแล้วกัน…งานประมูลที่จะเริ่มขึ้น ผมจะยินดีถ้าคุณเยฟิมสามารถประมูลภาพมาได้”


“อะไรนะ?” เยฟิมอึ้งชะงักไป จนเผลอพูดซ้ำอีกครั้ง “อยากให้ผมประมูลภาพ ‘สุภาพสตรีนิรนาม’ เหรอ?”


“ไม่ๆๆ พูดให้ถูกก็คือคุณต้องประมูลภาพ ‘สุภาพสตรีนิรนาม’ ของปลอมมาให้ได้ ไม่ว่าคุณจะต้องใช้เงินเท่าไรก็ตาม คุณจะต้องประมูลมาให้ได้ และจะต้องจ่ายเต็มให้ครบภายในงาน อ้อ แน่นอนว่า นอกจากคุณแล้ว แขกคนอื่นๆ น่าจะไม่รู้ว่าภาพนี้เป็นของปลอม หรือถึงแม้ว่าพวกเขาจะสงสัยเรื่องนี้ แต่ก็ไม่แน่ว่าจะพิสูจน์ได้เหมือนกัน”


เยฟิมยิ้มเยาะแล้วพูดว่า “นี่คุณกำลังล้อผมเล่นใช่ไหม?”


“ที่ไหนกันล่ะครับ? เพราะผมลองคิดดู คุณเยฟิมต้องยินดีทำแบบนี้แน่…โดยเฉพาะคุณคงไม่ยินดีให้ทั้งโลกรู้ว่า คุณให้คนปลอมตัวเป็น F&C แล้วขโมยภาพของจริง ‘ขน’ออกมาจากพิพิธภัณฑ์แกลเลอรีหรอก…ใช่ไหม?”


“คุณมีหลักฐานอะไร?” เยฟิมพูดดูถูก


“หลักฐาน?”


เก้าอี้ค่อยๆ หมุนหันมาอย่างเชื่องช้า ในที่สุดเยฟิมก็เห็นใบหน้าที่แท้จริงของชายบนเก้าอี้ตัวนี้แล้ว แถมยังเห็นเขายิ้มเหมือนจะบอกว่า ‘เขานี่แหละหลักฐาน’


ยูริ!


จิตรกรยูริ!!


หัวใจของเยฟิมพลันเต้นระรัว


“แกนี่เอง!!” เยฟิมคาดไม่ถึงจนร้องเสียงหลง


ยูริที่อยู่ในจอพูดด้วยสีหน้าหยอกล้อว่า “คุณเยฟิม คุณเป็นคนที่ระมัดระวังตัวมากที่สุดเท่าที่ผมเคยพบมา…อย่างเช่น ผู้หญิงอย่างแอนนาที่คุณคิดว่าใช้งานได้ดีคนนี้ ก่อนที่คุณจะพบเธอก็ต้องให้คนตรวจสอบเธอด้วยวิธีต่างๆ ทุกครั้งเลยไม่ใช่เหรอ? แต่ใครใช้ให้คุณชอบขึ้นเตียงกับผู้หญิงคนนี้กันล่ะ? คุณไม่ควรให้เธอเข้าไปในป้อมปราการของคุณเลย”


“หญิงสารเลวนั่น…หักหลังฉันจริงๆ ด้วย” เยฟิมสบถ


เขาถอดหน้ากากค้างคาวบนใบหน้าออกอย่างเหลืออด ก่อนกัดฟันด้วยความเคียดแค้น พร้อมกับชี้ยูริที่อยู่ในจอ “หรือว่าพวกแกสองคนร่วมมือกันจัดการฉันตั้งแต่แรกแล้ว?”


“จำไว้ว่า คุณต้องประมูลภาพมาให้ได้” ยูริพูดอย่างเฉยเมยว่า “ยูริที่เหมือนคนเร่ร่อนคนนั้นเป็นแค่มดสำหรับคุณ คุณจะขยี้ให้ตายเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ตอนนี้ผมไม่ใช่แล้ว”


“ถ้าคุณไม่ประมูล ผมจะขยี้คุณให้ตาย”


หน้าจอเป็นสีดำในชั่วพริบตา


เยฟิมกวาดของทั้งหมดบนโต๊ะน้ำชาร่วงลงพื้นอย่างโกรธแค้น!!


“นายครับ เกิดเรื่องอะไรครับ?”


ลูกน้องได้ยินเสียงก็รีบผลักประตูเข้ามา สิ่งที่เห็นก็คือแววตาดุดันน่ากลัวของเยฟิม


“ออกไป ฉันอยากอยู่เงียบๆ สักพัก” เยฟิมสูดลมหายใจลึกๆ เฮือกหนึ่ง พูดเน้นเสียงหนักทุกคำ


โรคโรซาเชีย* เป็นโรคผิวหนังอักเสบ เรื้อรัง ที่เกิดที่หน้าของผู้ใหญ่ มีลักษณะจำเพาะคือ มีผิวหน้าแดง มีหลอดเลือดขยายตัว มีตุ่มแดง (Papule) มีตุ่มหัวหนอง (Pustule) หรือบางครั้งบางคราว มีการเจริญเติบโตของเนื้อเยื่อหน้า บริเวณด้านข้างจมูก เป็นสันนูนขึ้นมา


บทที่ 42 ตัวตลกกับตัวตลก

โดย

Ink Stone_Fantasy

ห้องพักผ่อนเพียงห้องเดียวย่อมจุแขกทั้งหมดไม่ได้ แน่นอนว่าแขกพวกนี้ก็ดูไม่ค่อยอยากคบค้าสมาคมกับคนอื่นๆ ในห้องเดียวกันนัก


ยังดีที่คฤหาสน์แห่งนี้กว้างมากพอ จะเตรียมห้องสักห้องไว้ให้แขกที่มาเยือนก็ไม่ใช่ปัญหาเลย


“จะทำแบบนี้จริงๆ เหรอ…”


วิคก้ายื่นมือไป คิดจะดึงเวร่าที่หมอบอยู่หน้าประตูห้องกลับไป ถึงแม้เขาจะรู้แก่ใจว่าโอกาสสำเร็จแทบเป็นศูนย์ก็ตาม


เธอเป็นสาวที่ชื่นชอบเสี่ยงอันตรายมาตั้งแต่เกิดนี่นะ…ถ้าใช้คำพูดที่รู้มาจากเว็บของประเทศทางฝั่งตะวันออกมาบรรยายก็คือ ‘ชอบรนหาที่ตาย’


เห็นได้ชัดว่าเวร่าไม่ฟัง แล้วเปิดประตูห้องไปเลย…วิคก้าวอร์มเสียงในลำคอทันที ตื่นเต้นกังวลอย่างที่สุด


“มีธุระอะไรหรือเปล่าครับ?”


ชายคนหนึ่งหน้าประตูพูดอย่างเฉยเมย “คุณผู้หญิงครับ การประมูลยังไม่เริ่ม หากคุณต้องการสิ่งใดก็บอกผมมาได้เลยครับ”


เวร่ายิ้มน้อยๆ แล้วเขยิบเข้าไปใกล้ชายที่เฝ้าอยู่หน้าประตู จากนั้นก็ใช้นิ้วมือเกี่ยวปกเสื้อตนเองลงมาเล็กน้อย “เหมือนมีตัวอะไรกัดฉันตรงนี้ ในคฤหาสน์ของพวกคุณมีแมลงแปลกๆ อะไรหรือเปล่า? ช่วยฉันดูหน่อยได้ไหมคะ?”


“คุณผู้หญิงครับ คฤหาสน์ของพวกเราไม่มีแมลงอะไรแบบนั้นหรอกครับ” ชายคนนั้นพูดโดยสายตาไม่วอกแวก “ผมคิดว่าถ้าคุณต้องการแบบนี้จริงๆ เพื่อนร่วมห้องของคุณน่าจะช่วยคุณได้นะครับ”


เวร่าพูดอย่างชื่นชมทันที “คุณเป็นผู้ชายที่ดีมากเลยนะคะ ฉันชักจะเริ่มชอบคุณซะแล้ว…งั้นก็ได้ ไม่เป็นไรแล้วค่ะ”


พูดจบ เวร่าก็ยักไหล่ แล้วหันกลับเข้าห้องไป


ในวินาทีที่ประตูปิดเรียบร้อย ชายที่เฝ้าประตูถึงหันกลับมาอย่างไม่ใส่ใจ แล้วมองดูทางเดินด้านนอกห้อง ทว่าวินาทีนั้นเอง เขากลับได้ยินเสียงฉึกเบาๆ เสียงหนึ่ง


แต่ไม่ทันให้เขาโต้ตอบกลับ เขาก็รู้สึกเหมือนถูกของแหลมบางอย่างแทงที่คอแล้ว แค่ในชั่วพริบตาเท่านั้น เขาก็รู้สึกโลกหมุน ยังไม่ทันส่งเสียงร้องดวงตาทั้งคู่ก็มืดสนิท แล้วล้มพับไปกองกับพื้น


ประตูถึงเปิดออกได้สำเร็จอีกครั้ง เวร่ารีบโผล่มาดูรอบๆ แวบหนึ่ง หลังจากนั้นก็ลากชายคนนั้นเข้ามาในห้อง ก่อนทำเสียงจุ๊ๆ พลางพูดว่า “ผู้ชายแสนดีมักเสียเปรียบ อุตส่าห์ยอมให้เอาเปรียบก็ไม่เอา จะโทษฉันได้ไงล่ะ?”


หลักๆ ก็เพราะ…เธอไม่มีหน้าอกเลยต่างหากล่ะ!!!


วิคก้ารีบมองดูเพดาน ไม่ได้พูดสิ่งที่คิดในใจออกมา


“อย่ามัวอึ้งอยู่ รีบเข้ามาเร็ว เปลี่ยนชุดกับเจ้าหมอนี่” เวร่าพูดพลางเงยหน้ามองวิคก้าที่เหม่อลอยไม่สนใจเรื่องตรงหน้า


หลังจากนั้นไม่นาน เมื่อวิคก้าเปลี่ยนชุดของชายคนนั้นเรียบร้อยแล้ว ก็แง้มประตูด้วยท่าทางลับๆ ล่อๆ แต่กลับถูกเวร่าผลักหลังไปทีหนึ่ง จนเขาเดินโซเซออกมา


ขณะเดียวกันเวร่าที่เปลี่ยนเป็นชุดหนังทั้งตัวแล้วก็ตบบ่าวิคก้า “รอให้งานประมูลเริ่มแล้ว นายก็หาวิธีถ่วงเวลาไว้นะ”


วิคก้าทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ทันทีพร้อมพูดว่า “คุณเวร่าที่เคารพครับ คุณคิดว่ายามทุกคนที่อยู่ด้านในคฤหาสน์นี้เห็นอีกฝ่ายบ่อยแค่ไหนกัน จะไม่รู้ว่าผมเป็นคนนอกเลยงั้นเหรอ?”


“นั่นมันก็เรื่องของนายแล้ว” สองมือของเวร่าจับแก้มของวิคก้าส่ายไปมาเล็กน้อย “ไม่งั้นทุกๆ เดือนฉันจะจ่ายเงินเดือนไปตั้งเยอะขนาดนั้นเพื่ออะไรกันล่ะ? ฉันเลี้ยงเพื่อนผู้หญิงไว้สามสี่คนยังดีกว่าเจ้าคนที่ชอบบั้นท้ายผู้ชายอย่างนายเลยจริงไหม?”


“นี่ดูถูกกันนี่!!! ผมจะ…ผมจะขอขึ้นเงินเดือน!!”


“ระวังหน่อย”


เวร่าพูดขึ้นเบาๆ หลังจากนั้นก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง แล้วสวมเซตหน้ากากตัวตลก เปิดหน้าต่างตรงระเบียงทางเดิน แล้วกระโดดโฉบออกไปด้านนอก




“ตัวตลก?”


ภายในห้องของตนเอง ยูริขมวดคิ้วมองดูภาพที่เกิดขึ้นตรงระเบียงทางเดินของคฤหาสน์…หลังจากนั้นก็มองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาตรงหน้าด้วยสีหน้าแปลกๆ


และยังสวมหน้ากากตัวตลกไว้ด้วย


ยูริไม่รู้ว่าเหตุผลคืออะไรกันแน่ แต่หลังจากเขาได้เป็นเจ้าของคฤหาสน์แห่งนี้ชั่วคราว ก็ได้ค้นพบเรื่องเรื่องหนึ่ง นั่นก็คือในห้องเจ้าของคฤหาสน์ตัวจริงมีหน้าจอที่มองเห็นได้ทั่วคฤหาสน์


ยูริไม่รู้ว่าคฤหาสน์แห่งนี้ซ่อนกล้องไว้เยอะขนาดไหนกันแน่ สิ่งเดียวที่เขารู้สึกได้ก็คือเจ้าของคฤหาสน์แห่งนี้ก็คือทายาทตระกูลดีคาปี้ตัวจริงคนนั้น และยังเป็นจอมสอดแนมด้วย


“อ้อ หรือว่าคนนี้ก็คือ F&C ตัวจริง?” ยูริขมวดคิ้ว “ที่แท้ก็เป็นผู้หญิงเองเหรอ? เธอตามมาถึงที่นี่ได้ยังไงกัน?”


“F&C ถูกโยนความผิดมาให้โดยไม่มีใครสามารถอธิบายได้ กลายเป็นหัวขโมยภาพวาดที่มีชื่อเสียงของโลก จะไม่ยอมอยู่เฉยๆ ให้ตัวเองถูกใส่ร้าย ก็เป็นเรื่องปกติไม่ใช่เหรอ” ลั่วชิวพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย


ยูริกัดฟันกรอด ทันใดนั้นเขาก็หรี่ตาจ้องชายที่มอบทุกสิ่งทุกอย่างให้เขา และยังช่วงชิงทุกอย่างไปจากเขาด้วย เขาพูดอย่างอึดอัดใจว่า “ผมเตรียมเรื่องสนุกๆ ไว้ให้คุณดู แต่ก็ไม่อยากให้ใครมาขัดจังหวะ”


“คุณคิดจะจัดการเธอเหรอครับ?” เจ้าของร้านลั่วถามขึ้นทันที


“มีปัญหาเหรอครับ?” ยูริพูดอย่างเฉยเมย


ลั่วชิวยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่มีปัญหาครับ…เพียงแต่ ให้ผมจัดการให้เป็นไงครับ? ผมจะพยายามไม่ให้เธอมาทำลายแผนที่คุณเตรียมไว้”


“โอ้? เจ้าของสมาคมผู้ลึกลับเริ่มสนใจสุภาพสตรีหน้ากากตัวตลกผู้นี้เสียแล้วหรือ?” ยูริพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ


คุณสาวใช้ก็พูดด้วยน้ำเสียงเฉยชาเช่นกัน “คุณยูริคิดว่าพวกเราบริการได้แค่คุณคนเดียวเท่านั้นหรือคะ? อย่าลืมนะคะ ว่าพวกเราให้สิ่งที่คุณต้องการไปแล้ว…”


แววตาของเธอชวนให้หนาวสะท้านไปถึงกระดูก เธอค่อยๆ พูดอย่างเชื่องช้า “เกรงว่าตอนนี้พวกเราจะเป็นเจ้าหนี้ของคุณนะคะ”


“พวกคุณอยากทำยังไงก็ตามสบายเลยครับ” ยูริส่ายหน้า


เขารีบหลบสายตาคู่นี้ แล้วลุกขึ้นทำเป็นกลบเกลื่อน พร้อมพูดอย่างร้อนรนว่า “ผมจะไปเตรียมตัวสักหน่อย ทั้งสองคนตามสบายนะครับ”



“สถานการณ์ทางนายเป็นยังไงบ้าง?”


เวร่าที่กำลังย่องอยู่ในคฤหาสน์ก้มหน้า ยกไมโครโฟนอันเล็กที่ติดไว้บนเสื้อขึ้นมาพูด


“ยังโอเคอยู่ครับ…ยังไม่มีคนผ่านมา แล้วสถานการณ์ทางคุณล่ะ?”


“ไม่มีปัญหา ฉันจำเส้นทางที่นี้ไว้หมดแล้วตอนสำรวจเส้นทางครั้งที่แล้ว” เวร่าพูดเสียงเบาๆ ว่า “ไว้ติดต่อกันใหม่”


เธอปิดการติดต่อ จากนั้นก็ปีนขึ้นมาบนระเบียงทางเดินประตูโค้งด้านบนอย่างปราดเปรียว แล้วหลบสาวใช้ในคฤหาสน์ที่กำลังเดินถือของผ่านมา


นี่เป็นประสบการณ์ที่ดีมากอย่างหนึ่งเลย ทุกครั้งเมื่อเผชิญหน้ากับสถานการณ์แบบนี้ ในขณะที่เดินอยู่ในสถานที่อันตรายเพียงลำพัง หัวใจก็จะเต้นเร็วและรู้สึกตื่นเต้น รวมทั้งความรู้สึกฮึกเฮิมที่เกิดจากต่อมหมวกไต* ทั้งหมดทำให้เธอรู้สึกหลงใหลจนยากจะถอนตัว


ถ้าบอกว่ามีคนกลายเป็นหัวขโมยเพราะขโมยจนติดเป็นนิสัย ถ้าอย่างนั้นน่าจะเป็นเพราะเหตุประมาณนี้เหมือนกันล่ะมั้ง?


เวร่าก็หมุนตัวหลบไปหลบมาอยู่ตรงนี้ไม่หยุด


เซลล์ทุกอนูบนร่างกายกำลังกระตุ้นให้เธอรีบปฏิบัติการ ความรู้สึกร้อนผ่าวด้านในผ้าคลุมหัวยิ่งทำให้เธอเหงื่อแตกท่วมตัวเหมือนตอนใกล้ถึงจุดสุดยอด


ยอดเยี่ยมเหลือเกิน


เธอเดินไปอย่างคล่องแคล่วภายในคฤหาสน์แห่งนี้โดยอาศัยความจำของตนเอง…ทว่ากำลังเดินๆ อยู่ก็ต้องหยุดลง


เธอจำต้องหยุดฝีเท้าลง เพราะเธอรู้สึกเหมือนเธอเดินผิดทางเสียแล้ว เพราะภาพสถานที่ตรงหน้ากับภาพในความทรงจำของเธอดูจะไม่ค่อยเหมือนกัน


เธอไม่ควรเดินมาทางนี้เลยต่างหาก!


มันผิดพลาดตรงไหนกันแน่? เวร่าอดหวนคิดทบทวนเส้นทางที่ตนเองเพิ่งเดินมาเมื่อครู่ไม่ได้ แต่ไม่ว่าเธอจะคิดทบทวนอย่างไร ดูเหมือนว่าจะหาจุดผิดพลาดไม่เจอเลย


นี่ทำให้เวร่ารู้สึกได้ถึงความผิดปกติทันที เธอเอาตัวชิดกำแพงโดยอัตโนมัติ และไม่ได้ตัดสินใจปฏิบัติการต่อในทันที แค่พิจารณาบริเวณรอบๆ โดยละเอียด


ตรงนี้เป็นระเบียงทางเดินด้านนอกตรงชั้นสองของคฤหาสน์ที่อยู่ใกล้สวนด้านนอก การออกแบบลักษณะวงแหวนทำให้คนที่เดินอยู่ตรงระเบียงมองเห็นสวนตรงกลางได้ แต่รอบระเบียงทางเดินไม่มีคนเดินอยู่เลย


ฉับพลันนั้นเวร่าก็รู้สึกเหมือนตัวเธอกำลังหงายหลัง…แล้วก็ทะลุเข้าไปในกำแพง?


ในวินาทีที่จะล้มหงายหลังไปนั้น เธอใช้สองมือยันตัวกับพื้น แต่กลับพบว่าตัวเธอไม่ได้ทะลุเข้าไปในกำแพง แต่บังเอิญชนประตูบานหนึ่งเปิดออก


เดี๋ยวก่อนนะ ที่เธอพิงไปเมื่อกี้คือประตู…ไม่ใช่กำแพงหรอกเหรอ?


แปะๆๆ


ฉับพลันนั้นเธอก็ได้ยินเสียงปรบมือดังขึ้น…ยังมีเสียงพูดด้วย “ฝีมือไม่เลวเลยนี่”


เวร่าหันขวับกลับมาทันที


เธอคุกเข่าข้างหนึ่งกับพื้น มือข้างหนึ่งค้ำบนพื้น ส่วนมืออีกข้างชูขึ้น นี่เป็นท่าหลังจากล้มแล้วพยุงตัวขึ้นมา


“อืม ท่าก็เท่มากเหมือนกันนะ”


“คุณเอง!”


แต่เธอแทบจะต้องส่งเสียงตกใจออกมาตามสัญชาตญาณ คนแปลกหน้าคนนี้ที่เธอพบในงานประมูล


ตัวตลกกับตัวตลก


ความรู้สึกฮึกเฮิมที่เกิดจากต่อมหมวกไต*คือความรู้สึกตื่นเต้นจากการหลั่งสารอะดรีนาลีนที่ต่อมหมวกไต


บทที่ 43 ราคาสูง

โดย

Ink Stone_Fantasy

เวร่าเริ้มสังเกตบริเวณรอบๆ ห้องนี้อย่างละเอียด


ด้วยเป็นเวลากลางวัน แสงส่องกำลังดี เธอจึงมองเห็นทุกรายละเอียดของห้องนี้ได้ชัดเจน…แล้วฉับพลันนั้นเอง เธอก็ได้ยินเสียงของคนลึกลับที่อยู่ตรงหน้านี้


“คุณเวร่า ถ้าออกจากหน้าต่างทางซ้ายมือไปแล้วเป็นสนามหญ้า พอหมุนตัวกลับไปก็เป็นถนน ตอนนี้ไม่มีคนพอดี น่าจะเหมาะให้หนีจากคฤหาสน์มากที่สุดแล้ว”


“ฉันไม่รู้ว่าคุณพูดอะไร เวร่า? เวร่าคือใคร?”


เสียงที่ดังออกมาจากหน้ากากตัวตลกสุขุมเรียบเฉย เพราะว่านี่เป็นเสียงที่ผ่านเครื่องแปลงเสียงในหน้ากาก


เหมือนกับคืนนั้นเป๊ะ


วันนี้คนลึกลับคนนี้ยังคงพูดเปิดเผยตัวตนของเธอตรงๆ ดังนั้นเธอจึงไม่ยอมให้ร่างกายของเธอเอียงไปทางซ้าย แต่กลับขยับไปทางขวาเล็กน้อย


“ออกไปทางขวาจะเป็นที่เลี้ยงหมาป่าของคฤหาสน์ คุณเวร่าคงคิดว่าผมกำลังหลอกคุณ?” เจ้าของสมาคมส่ายหน้าพูด “ผมไม่จำเป็นต้องหลอกคุณ”


“น่าตลกจริงๆ จะมีคนเชื่อคำพูดของคนประหลาดด้วยหรือ?”


“ก็ถูกครับ”


ลั่วชิวพยักหน้า “ตอนนี้ระหว่างเรายังไม่ถึงขั้นไว้ใจกันได้ งั้นแบบนี้เป็นไงครับ? ผมไม่อยากให้เกิดเรื่องไม่คาดฝันในงานประมูลครั้งนี้ เลยอยากเชิญคุณเวร่าออกไปจากที่นี่ หรือกลับไปที่ที่นั่งของคุณ และเป็นเพียงแขกธรรมดาคนหนึ่ง”


“ในเมื่อคุณพูดแล้วว่าพวกเราไม่ได้อยู่ในขั้นที่เชื่อใจกัน …” เวร่าหัวเราะเยาะ


เธอก้าวเท้าไปทางขวาทีละก้าว พร้อมกับพูดว่า “ทำไมฉันต้องทำตามความปรารถนาของคุณด้วย ทำไมคุณถึงอยากให้งานประมูลจะจัดได้ตามปกติ? คุณเกี่ยวข้องอะไรกับเจ้าของคฤหาสน์นี้กันแน่? เรื่องที่พวกคุณอยากทำคืออะไรกันแน่?”


“ขอโทษครับผมบอกเรื่องพวกนี้กับคุณไม่ได้”


ลั่วชิวพูดอย่างเฉยเมยว่า “คุณเวร่าถือซะว่าผมกำลังทำบริการหลังการขายแล้วกันครับ ดังนั้นหวังว่าคุณเวร่าจะไม่ทำให้ผมต้องลำบากใจนะครับ”


“อ้อ? งั้นเหรอ? แต่ว่าฉันน่ะ เอาแต่สร้างความลำบากใจให้คนอื่นมาตั้งแต่เด็กจนโต ดังนั้น…ขอโทษนะ!”


เวร่าพูดเร็วขึ้น ในขณะที่วิ่งพุ่งไปทางหน้าต่าง สองมือผลักบานหน้าต่างออกอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็กระโดดข้ามออกไป


ท่าทางคล่องแคล่วราวกับนักกีฬากระโดดน้ำ กระโดดลงมาจากกระดานสปริงบอร์ด


ลั่วชิวส่ายหน้ามองสาวใช้ของตัวเอง แล้วพูดอย่างแปลกใจว่า “ถ้าเมื่อกี้ฉันบอกให้เวร่าวิ่งไปทางขวา เธอว่าเวร่าจะวิ่งไปทางซ้ายหรือเปล่า?”


โยวเย่ยิ้มเล็กน้อยแล้วพูดว่า “ฉันว่าคุณผู้หญิงคนนี้คงไม่มีอารมณ์คิดเรื่องแบบนี้แล้วมั้งคะ”


ลั่วชิวเดินไปที่ริมหน้าต่างมองลงไปแล้วพูดเสียงเบาว่า “ฉันว่าก็จริง”



สมควรตาย ไอ้ชั่ว ทุเรศ…ห่วย**แตก!!


เวร่าด่าสาปแช่งซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่ได้


เป็นแบบนี้ไปได้ยังไง?


เห็นชัดๆ ว่าเลือกด้านขวา อย่างนั้นก็ควรจะต้องลงพื้นอย่างสวยงาม และออกไปได้สบายๆ สิ


แต่ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้?


ทำไมที่นี่ถึงเลี้ยงหมาป่าไว้จริงๆ ล่ะ


อีกทั้งไม่ใช่ตัวเดียว…แต่เป็นฝูงหมาป่าตัวใหญ่แปดตัว


ทั้งข้างหน้าข้างหลังทั้งซ้ายและขวา เห็นได้ชัดว่าพวกหมาป่าตัวใหญ่ที่ถูกฝึกมาเข้มงวดกำลังล้อมเธอไว้แล้ว!


พอเผชิญหน้ากับหมาป่าแปดตัว เวร่าก็เหงื่อแตก ใต้หน้ากากที่ร้อนอยู่แล้วก็เริ่มเปียกชื้น บางทีการต่อกรกับหมาป่าพวกนี้อาจเป็นการรนหาที่ตายไปพร้อมกัน และยังเป็นการเปิดโปงตัวเธอเองด้วย


เธอจำต้องเงยหน้าขึ้นมองหน้าต่างชั้นสองที่ถูกเธอผลักออก…มองดูเจ้าทุเรศนั่นทำท่าทางเหมือนดูเรื่องสนุก เธอยักไหล่แล้วพูดว่า “ฉันว่าพวกเราควรจะแก้ไขความไม่เชื่อใจกันสักหน่อยไหม?”


“กลับไปเถอะ” ลั่วชิวพูดเสียงเบา


หมาป่าดุร้ายทั้งแปดตัวเปลี่ยนเป็นแมวเชื่องทันที อีกทั้งไม่เห่าสักนิด ก่อนหันตัววิ่งจากไปอย่างรวดเร็ว น่าอัศจรรย์จนเวร่าเผลอหลุดพูดไปว่า “คุณเป็นคนฝึกสัตว์ในคณะละครสัตว์เหรอ?”


เจ้าของร้านลั่วกลับพูดขึ้นทันที “งานประมูลจะเริ่มแล้ว ถ้าคุณเวร่าไม่คิดจะออกไป งั้นไปร่วมงานเป็นเพื่อนผมเป็นไง?”


“ฉันมีทางเลือกด้วยเหรอ?” เวร่ายักไหล่


เธอถอดหน้ากากออกรับลม แล้วพูดว่า “ทำไมคุณถึงรู้ตัวตนของฉัน?”


“ผมว่า ถ้าเรื่องแค่นี้ยังไม่รู้ล่ะก็…”ลั่วชิวพูดเบาๆ ว่า “พวกเราก็ไม่มีคุณสมบัติรับใช้คุณเวร่าได้ ไปกันเถอะครับ ผมว่าก่อนเข้างานคุณเวร่าต้องเปลี่ยนกลับเป็นชุดเดิมเสียก่อน”


จากนั้นหน้าต่างชั้นสองฝั่งเดียวกันก็เปิดออก ตอนที่หน้าต่างเปิดออก เวร่าก็เห็นวิคก้าทำหน้าตาตื่นตกใจ


“นายกลับมาแล้ว? ไวขนาดนี้เลย?”


พอเห็นสีหน้าตกใจของวิคก้า เวร่าก็แหงนหน้ามองไปด้านบนทันที…ตอนนี้หน้าต่างชั้นบนปิดไปแล้ว


เกิดอะไรขึ้น?


เส้นทางที่เธอเพิ่งสำรวจมาก่อนหน้านี้หนึ่งวันเหมือนสับสนวุ่นวายไปหมด วกไปวนมาจนคาดไม่ถึงว่าเธอจะกลับมาที่จุดเริ่มต้นอีกแล้ว?


“ข้างบนมีอะไรเหรอ?”วิคก้ายื่นหน้ามามองไปบนอาคารพร้อมกัน


เวร่าสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วพูดว่า “กลับห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า พวกเราจะไปร่วมงานประมูลกัน”


“…”


จะว่าไป เธอออกไปทำอะไรกันแน่??


สีหน้าวิคก้าดูสับสน


เวร่าปีนเข้าหน้าต่างไป แล้วก็เดินเข้าไปในห้อง เธอเปลี่ยนเป็นชุดเดิมอย่างรวดเร็ว รูดซิปด้านหลังชุดกระโปรงไปพลาง มองดูตัวเองในกระจกไปพลาง แล้วเส้นทางในคฤหาสน์ทั้งหมดเริ่มจากทางห้องนี้ก็ปรากฏขึ้นในหัวของเธออีกครั้ง


เธอคิดว่าความจำของเธอดีมาก ถึงแม้คฤหาสน์หลังนี้จะใหญ่ แต่เธอก็มั่นใจการปะติดปะต่อภาพในหัวของเธอ


เวร่าเอามือทั้งสองยันอ่างล้างมือเอาไว้ ยื่นหน้าเข้าไปมองใกล้ๆ กระจก


จู่ๆ ดวงตาทั้งสองของเธอก็กลายเป็นทรงกรวย…สีฟ้า


“ฉันไม่ได้เดินผิดทางสักหน่อย…แต่ทำไมสถานที่จริงกับภาพที่นึกในหัวถึงต่างกันมากขนาดนี้”


ลึกลับมากเลย…เหมือนเป็นปริศนาที่ยากที่จะแก้ได้!


โอ้! สวรรค์ในฐานะที่เป็นนักมายากล เวร่าสาบานว่าตัวเองจะต้องไขความลี้ลับในสถานที่นี้ให้ได้


ฉับพลันนั้น เธอก็รู้สึกหน้ามืด สุดท้ายก็ฟุบอยู่บนอ่างล้างมือ เธอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ล้างหน้าล้างตา ให้จิตใจสงบลง


เธอรู้จักตัวเองดี เกรงว่าคงใช้สมองหนักเกินไป ด้วยเหตุนี้เธอจึงต้องเลิกใช้งานสมองหนักแบบนี้


แต่ตอนนี้ เธอกลับมีความคิดแปลกๆ ‘เทียบกับตัวเธอแล้ว หมอนั่นเหมือนนักมายากลมากกว่าเธออีก’




ณ ห้องที่ตกแต่งคล้ายกับวัง รูปแบบคล้ายงานเลี้ยงน้ำชา


“ขอโทษครับ ขอโทษ ผมมีเรื่องนิดหน่อย ทำให้ทุกท่านต้องรอนานเสียแล้ว”


ยูริเปิดเผยหน้าตาของตัวเองในโรงแรมไปเมื่อครั้งก่อนแล้ว แต่วันนี้ เขาก็ยังคงใส่หน้ากากครึ่งหน้าปกปิดใบหน้าเอาไว้อยู่ดี


ทว่าไม่มีคนสนใจการกระทำแบบนี้ของเขา เพราะว่ามีชายสองคนกำลังเคลื่อนสิ่งของที่คลุมด้วยผ้าสีขาวตามหลังยูริมา


หัวใจหลักของงานวันนี้…ของสิ่งนี้คืออะไรกัน เหมือนกับมีชีวิตจริงๆ เลย!


“เชื่อว่าทุกท่านจะต้องสงสัยแน่ๆ ว่าทำไมในมือผมถึงมีภาพ ‘สุภาพสตรีนิรนาม’ อยู่อีกภาพหนึ่ง” ยูริมองคนในงานอยู่ครู่หนึ่ง


เขามองเห็นเจ้าของสมาคมนั่งเงียบๆ อยู่ที่มุมหนึ่ง และยังมีคนเพิ่มมาอีกสองคน แต่เขาก็ไม่ได้สนใจเรื่องนั้น


เขาไม่มีเวลาครุ่นคิดเรื่องพวกนี้


วินาทีที่ผ้าขาวเปิดออก คนในงานแทบจะตะโกนออกมาเป็นเสียงเดียวกัน


“ไม่อยากเชื่อเลย”


ผู้ชายที่ดูมีอายุคนหนึ่งเดิมมาอยู่ด้านหน้ารูป กำลังสังเกตภาพอย่างลืมตัวด้วยแว่นขยายขนาดเล็กที่ถือไว้ในมือ


ถ้าด้านหน้านี้ไม่มีคนเฝ้าอยู่ เกรงว่าเขาคงคิดจะยื่นมือไปลูบผิวสัมผัสของมันแล้ว


“อะไรก็ปลอมกันได้ แต่มีแค่เทคนิคเดียวที่ไม่อาจหลอกคนได้…นี่คือภาพของแท้ของอีวาน นิโคล่าเยวิช’ ไม่ผิดแน่! ผมตามผลงานของเขามาเกือบจะครึ่งค่อนโลกแล้ว!! ผมดูไม่ผิดแน่นอน!”


“นี่ถึงจะเป็น ‘สุภาพสตรีนิรนาม’ ของจริง?”


“งั้นภาพที่โรงแรมเมื่อครั้งก่อน…”


“ไม่ใช่อยู่ในมือ F&C เหรอ? ทำไมตอนนี้มาปรากฏที่คฤหาสถ์ดีคาปี้? หรือว่า F&C เป็นคนของตระกูลดีคาปี้? แต่…คนที่อยู่ในโรงแรมคืนนั้น เป็นใครกันแน่?”


“สิ่งที่ผมสนใจมากกว่าก็คือ ราคาเริ่มต้นของภาพนี้คือเท่าไรกันแน่! พูดพล่ามให้น้อยๆ หน่อย วันนี้พวกเรามาเพื่อภาพนี้! ขอแค่มันเป็นของจริง เท่าไรผมก็ยินดีจ่าย!”


เอดการ์เห็นบรรยากาศในงานพอได้ที่แล้ว คราวนี้จึงลุกขึ้นยืนแล้วพูดเนิบๆ ว่า “ทุกคงทราบดีว่าภาพนี้ไม่อาจประเมินราคาได้ ดังนั้นมันมีค่าเท่าไรก็ไม่มีการกำหนดตายตัว ดังนั้นพวกเราจึงไม่ได้ตั้งราคาให้ หลังจากแขกคนแรกขานราคาก็จะเริ่มต้นงานประมูลอย่างเป็นทางการครับ”


คุณพ่อบ้านยิ้มเล็กน้อยแล้วพูดว่า “แน่นอน คนที่ให้ราคาเหนือกว่าทุกคนได้ จะเป็นเจ้าของใหม่ของภาพล้ำค่ามีชื่อที่ตกทอดมาหลายรุ่นภาพนี้ ทุกท่านยังลังเลอะไรกันครับ?”


“ผมให้หนึ่งล้าน!”


แขกค่อนข้างอ้วนท้วนซึ่งนั่งอยู่ตรงกลางก็เสนอราคามาตรงๆ ทุกสายตาหันไปหาเขาเป็นทางเดียวกัน ก่อนพูดเสริมอีกหนึ่งคำ “ยูโร…”


“คุณผู้ชายท่านนี้ให้หนึ่งล้านยูโรครับ” เอดการ์พยักหน้าเล็กน้อยแล้วพูดอย่างเฉยเมย “ครั้งที่หนึ่ง”


“ไม่ต้องลำบากขนาดนี้หรอก”


จู่ๆ ผู้ชายร่างใหญ่ที่อีกมุมหนึ่งก็ยืนขึ้นแล้วพูดเสียงทุ้มต่ำว่า “สองร้อยห้าสิบล้านยูโร ใครให้ราคาสูงกว่านี้ก็เอาภาพไปเลย!”


คนที่ใส่หน้ากากค้างคาวสีดำ…เยฟิมนั่นเอง


บทที่ 44 กลายร่างเป็นปีศาจ

โดย

Ink Stone_Fantasy

 


“สองร้อยห้าสิบล้าน!!”


“เจ้าบ้า!มีการประมูลอย่างนี้ที่ไหนกัน!”


“หรือคุณไม่รู้ ดูจากตอนนี้แล้ว ภาพวาดที่ตกลงขายในราคาสูงที่สุดในโลกมีเพียงภาพวาดของปิกัสโซที่ถึงหลักหนึ่งร้อยล้าน แถมยังเป็นเงินดอลล่าร์ด้วย!”


นี่เป็นราคาที่สูงกว่าการประมูลในครั้งนั้นถึงสองเท่าเลย คนที่พูดรับราคานี้ไม่ได้จริงๆ


ทว่าคนส่วนน้อยกลับรักษาอาการนิ่งเงียบไว้ ราวกับว่ากำลังลังเลอยู่


ตอนที่เอดการ์เกือบจะตะโกนนับครั้งที่สาม จู่ๆ ก็มีคนกัดฟันกรอด พูดอย่างเด็ดขาดว่า “สองร้อยห้าสิบเอ็ดล้านยูโร!”


“สองร้อยหกสิบล้านยูโร”


เยฟิมใช้น้ำเสียงนิ่งอย่างที่เขาเองก็คาดไม่ถึงเช่นกัน เขาเอ่ยตัวเลขที่เกือบจะเกินลิมิตของเขาออกมาอย่างช้าๆ ทำไมเขาต้องควักเงินก้อนโตขนาดนี้ด้วย? เขาน่าจะเอาเข้าบัญชีต่างหาก! แต่ตอนนี้กลับต้องควักเงินเสียเอง!


ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นคือ เขารู้อยู่แก่ใจว่าภาพนี้เป็นของปลอม! แต่ที่ซวยยิ่งกว่าคือ…ภาพวาดของแท้อยู่ในมือเขามานานแล้วเช่นกัน


“ถือว่าคุณแน่มาก! แต่หวังว่าคุณจะได้มาเก็บสะสมจริงๆ!ราคานี้คุณไม่มีทางขายต่อได้หรอก! อย่าลืมว่าของนี่เป็นสิ่งผิดกฎหมาย!” คนนั้นสบถออกมา


แต่เยฟิมที่คิดแต่จะรีบจัดการให้เสร็จๆ ไป ไม่คิดจะพูดให้ร้ายอะไรอีกฝ่ายลับหลัง ก็ลุกขึ้นยืน แล้วเอดการ์ก็เปล่งเสียงพูดประโยคสุดท้าย ‘สองร้อยหกสิบห้าล้านยูโร ครั้งที่สาม…ตกลงขาย!”


ได้ยินคำว่า ‘ตกลงขาย’ สองคำนี้ นอกจากรู้สึกปวดใจแล้ว เยฟิมกลับรู้สึกโล่งอกอย่างน่าประหลาด


“คุณผู้ชายท่านนี้ กฎของพวกเราคือจ่ายเงินก่อน แล้วค่อยรับของครับ” เอดการ์พูดอย่างเนิบช้า “คุณวางใจได้ โดยเฉพาะต่อหน้าแขกมากมายขนาดนี้ ตระกูลดีคาปี้ของพวกเราไม่ใช้อำนาจเหนือกฎหมายทำเรื่องเสื่อมเสียชื่อเสียงหรอกครับ”


“ก็หวังว่า” เยฟิมหัวเราะ “ไม่ให้จ่ายเช็ค แต่ให้โอนตรงจากบัญชีธนาคารออนไลน์เลยสินะ”


พูดไปเขาก็ล้วงรหัสไวไฟออกมาจากกระเป๋าเสื้อ


จ่ายสองร้อยหกสิบล้านยูโรเพื่อซื้อภาพที่รู้อยู่แก่ใจว่าเป็นของปลอม เขาคิดว่าตัวเขาต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ!



“โอนเข้าบัญชีมาเรียบร้อยแล้วครับ”


เอดการ์เดินมากระซิบข้างๆ หูยูริ


จากนั้นยูริก็พยักหน้าเล็กน้อย แล้วถือภาพเดินไปตรงหน้าเยฟิม พร้อมส่งภาพให้ถึงมือเขา “ถือให้ดีนะครับ ถ้าหล่นขึ้นมาจะไม่มีภาพจริงอีกแล้วนะครับ”


“ไม่ต้องมาเตือนผมหรอก” เยฟิมพูด


แต่ในตอนนั้นเอง ยูริก็ยื่นมือไปถอดหน้ากากค้างคาวบนใบหน้าเยฟิมอย่างรวดเร็ว


“นี่คุณจะทำอะไร!” เยฟิมตกใจ รีบถอยหลัง


ยูริกลับหรี่ตาเฉย พูดเสียงเรียบเฉยว่า “ไม่มีอะไร แค่อยากให้แขกทุกคนที่มาได้รู้จักคุณเท่านั้นเอง ว่าสุดท้ายแล้วใครได้รับภาพวาดล้ำค่านี้ไปกันแน่ จะได้ร่วมแสดงความยินดีพร้อมกันก็แค่นั้น ยินดีกับคุณด้วยนะครับ”


พูดไปยูริก็ยื่นมือออกมา


“แก…”


สีหน้าเยฟิมดูไม่พอใจทันที เพราะเขาได้ยิน ‘เสียงวิพากษ์วิจารณ์ของบรรดาแขก!’ อย่างชัดเจน


“เอ๊ะ นี่ไม่ใช่เยฟิมเหรอ? เศรษฐีใหม่คนนั้นที่มาจากเหมืองถ่านหินรัสปาสกาย่านี่…”


เห็นชัดเลยว่ามีแขกบางคนจำเขาได้แล้ว


เยฟิมรู้ดี น่ากลัวว่าไม่เกินวันนี้ สังคมผู้ทรงอิทธิพลทั่วทั้งมอสโกจะรู้ว่าภาพ ‘สุภาพสตรีนิรนาม’ อยู่ในมือเขา


แต่เขาก็ไม่คิดจะก่อเรื่องที่นี่ เขาจับมือยูริอย่างไร้อารมณ์ แต่กลับออกแรงมากเป็นพิเศษ แถมยังกัดฟันพูดเสียงทุ้มต่ำ “ผมประมูลภาพได้แล้ว คุณยังจะเล่นลูกไม้อะไรอีก?”


“ลูกไม้?” ยูริส่ายหน้า หัวเราะแล้วพูดว่า “ไม่มีลูกไม้อะไรนี่ครับ ผมแค่อยากให้คุณเยฟิมรับภาพวาดนี้ไปเท่านั้นเอง…และคุณก็ไม่ใช่ F&C ที่ใครๆ จะแสร้งเป็นได้ตามอำเภอใจอะไรแบบนั้น”


“แกแน่มากนะ”


เยฟิมแสร้งยิ้ม หลังจากนั้นก็ถือภาพวาดหันไปมองลูกน้องตนเอง แล้วกัดฟันพูดว่า “พวกเราไป!”


เยฟิมเดินนำลูกน้องเปิดประตูห้องนี้ออกไป บรรดาแขกที่เหลือถึงแม้จะรู้สึกได้ถึงบรรยากาศแปลกๆ แต่ถ้านี่เป็นปัญหาระหว่างเยฟิมเศรษฐีใหม่เหมืองถ่านหินรัสปาสกาย่ากับไอ้บ้าค้าอาวุธเถื่อนตระกูลดีคาปี้ ก็ไม่มีใครอยากเข้าไปยุ่งด้วยสักเท่าไร


“ทุกท่านครับ ผมให้คนเตรียมสุราและอาหารชั้นเลิศไว้ให้แล้ว แม้ว่าภาพจะประมูลขายไปแล้ว แต่ว่า…” ยูริยิ้มเล็กน้อยแล้วพูดว่า “ให้พวกเราได้จัดงานเลี้ยงเต้นรำชดเชยเมื่อหลายวันก่อนด้วยเถอะครับ”



แต่ในความเป็นจริง คนส่วนมากไม่ได้อยากอยู่ต่อ…คนที่อยู่ต่ออาจเพียงแค่คิดจะทำความรู้จักตระกูลดีคาปี้เท่านั้น ถึงอย่างไรมีมิตรเพิ่มมาคนหนึ่ง ก็ดีกว่ามีศัตรูเพิ่มมาคนหนึ่ง


สังคม ไม่ว่าจะในมุมสว่าง หรือในมุมมืดก็ต้องรู้จักเลือกสร้างสัมพันธ์กับผู้คน


“สองร้อยหกสิบล้านยูโร จิ๊ๆ” ตอนนี้เวร่าที่ดูงานประมูลจบแล้วก็จัดชายกระโปรงตนเอง พูดด้วยเสียงเรียบว่า “ราคาสูงมากแบบนี้นี่เอง มิน่าล่ะพวกคุณถึงไม่อยากให้งานประมูลเกิดเรื่องผิดพลาดอะไรขึ้น”


ถ้ารู้ว่าจะได้ราคาขนาดนี้ล่ะก็ หากเป็นเธอ เธอก็จะไม่ให้งานประมูลเกิดเรื่องผิดพลาดเหมือนกัน…เธอไม่ได้กระหายอยากได้เงินทองอะไรมากมาย แต่เธอก็ยอมรับว่า เงินทองเป็นอะไรที่ไม่เลวเลย ไม่มีใครรังเกียจว่ามันน้อยได้หรอก


คำพูดที่ว่าไว้หลังจากเงินมากพอระดับหนึ่งแล้ว เงินทองก็จะไม่ใช่เงินทองอีกต่อไป แต่เป็นแค่ตัวเลขธรรมดาๆ เท่านั้น ขอแค่มีกินมีใช้ก็พอแล้ว…คนที่พูดแบบนี้ก็แค่กำลังหลอกลวงประชาชนเท่านั้นเอง


ลองให้คนพวกนี้ไปใช้ชีวิตลำบากในสลัมดูสักหน่อยสิ? จากความหรูหราไปสู่ที่โกโรโกโส พวกเขาคงได้กลืนคำพูดของตนเองลงคอไปทั้งหมด


“คุณเวร่าจะอยู่ร่วมงานเลี้ยงต่อไหมครับ” เจ้าของร้านลั่วถามกลับ โดยเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปอีกเรื่องเลย


“ไม่ล่ะ ฉันไม่ชอบอยู่ร่วมกับพวกสร้างภาพ” เวร่าตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ตอนนี้ฉันยังไม่ได้ทำลายงานประมูลของพวกคุณ ฉันไปแล้วไม่ดีหรือไง?”


เธอพูดจริงทำจริง หลังจากพูดจบก็ลากวิคก้าเดินออกไป


แต่ที่ต้องรู้คือ ก่อนที่เวร่าจะหลบพ้นสายตาของคนคนนี้ไปได้ เธอรู้สึกกลัวจนตัวสั่นระริก เพราะสายตาที่มองด้านหลังของเธอราวกับงูเหลือมตัวหนึ่งที่จ้องจะกลืนกินคนอย่างไรอย่างนั้น


เธอเหงื่อชุ่มไปทั่วเรือนร่างโดยไม่ทันรู้สึกตัว


ในที่สุดหลังจากที่รถแล่นมาจอดแล้วเวร่าก็เดินขึ้นรถไป เธอกุมหัวใจตนเองเอาไว้แน่นทันที หอบหายใจเฮือกใหญ่ ราวกับโรคหืดหอบกำเริบ


“เวร่า คุณ…” วิคก้ามีสีหน้าร้อนใจทันที เขารีบร้อนควานหาขวดเล็กๆ อันหนึ่งในลิ้นชักตรงที่นั่งข้างคนขับ แล้วเทเม็ดยาเล็กๆ จำนวนหนึ่งออกมา


“จะกินเยอะไปไม่ได้…” เวร่ากลับผลักมือวิคก้าออก พยายามอดทนอย่างสุดความสามารถต่อสิ่งที่เกิดขึ้นในร่างกายจนเธอรู้สึกทรมาน “วันนี้ฉันแค่ใช้สมองหนักไปหน่อย…พักสักเดี๋ยวก็คงหาย รีบไปกันเถอะ…อาศัยช่วงที่ยังไม่มืด…คืนนี้พระจันทร์จะเต็มดวง…”




ห้องใต้ดินของคฤหาสน์…ในห้องใต้ดินที่วิคเตอร์และเยียร์เกอร์ถูกขังไว้


เยียร์เกอร์พยายามคิดอย่างหนักว่า ควรจะทำอย่างไรให้ตนเองหนีพ้นจากสถานที่เฮงซวยแบบนี้ได้ และในตอนนั้นเอง ประตูห้องใต้ดินก็เปิดออกอีกครั้งหนึ่ง


แต่คราวนี้ คนที่เปิดประตูก็ไม่ใช่คนมาส่งอาหาร…และไม่ได้มาแค่คนเดียวด้วย


พวกเขาเดินมาข้างๆ วิคเตอร์และปล่อยวิคเตอร์เสียอย่างนั้น แต่ขณะเดียวกันก็คุมตัวเขาไว้แน่น


วิคเตอร์ขมวดคิ้ว พูดเสียงเข้มว่า “พวกคุณคิดจะพาผมไปที่ไหนเนี่ย อีกอย่าง พวกคุณรู้ไหมว่ากำลังทำอะไรอยู่? นี่พวกคุณจะท้าทายตำรวจมอสโกอย่างพวกเราแบบโจ่งแจ้งเลยหรือไง!”


แต่พวกเขาเหมือนคนเป็นใบ้ ไม่คิดจะตอบคำถามวิคเตอร์สักคำ แค่คุมตัวเขาออกไปจากที่นี่อย่างป่าเถื่อน


พวกเขานำตัววิคเตอร์มาตรงหน้าเจ้าของคฤหาสน์คนปัจจุบัน ก่อนกดตัวเขานั่งลงตรงหัวโต๊ะสี่เหลี่ยมผืนผ้าด้านหนึ่ง


ส่วนยูริก็นั่งอยู่อีกฝั่งของโต๊ะและกำลังหั่นสเต็กเนื้อในจานอยู่


“ใจร่มๆ หน่อยคุณตำรวจ” ยูริเคี้ยวเนื้อชิ้นเล็ก จิบเหล้าหนึ่งอึก ก่อนยิ้มแล้วพูดว่า “ผมไม่ได้คิดจะทำร้ายคุณ”


“งั้นเหรอ? กักขังตำรวจเกินสี่สิบแปดชั่วโมง นี่คุณกำลังทำผิดกฎหมายอยู่นะ” วิคเตอร์หัวเราะเยาะ


ถึงแม้ว่าสถานการณ์ของเขาในขณะนี้ค่อนข้างย่ำแย่ แต่กลับมีคนพาเขามาที่โต๊ะอาหารนี่ ซึ่งโต๊ะอาหารแสดงให้เห็นเรื่องที่จะเกิดขึ้นต่อไป บางทีอาจเป็นเรื่องที่พอจะเจรจาตกลงกันได้


เขาต้องทำตัวเข้มขึ้นมาบ้างแล้ว ถึงจะเป็นต่อในการเจรจาที่จะเกิดขึ้นได้


“ผิดกฎหมาย?” ยูริส่ายหน้า เขาประสานมือทั้งสองไว้ด้วยกัน พูดด้วยสีหน้าเคารพว่า “คุณวิคเตอร์เข้าใจผิดแล้วครับ ผมคิดว่าผมเป็นพลเมืองดีคนหนึ่ง ส่วนเพราะอะไรนั้น? ย่อมเป็นเพราะว่าต่อไปนี้ผมจะบอกเบาะแสตามหาภาพ ‘สุภาพสตรีนิรนาม’ กลับมาไงครับ”


“อะไรนะ?” วิคเตอร์ขมวดคิ้ว…จู่ๆ เขาก็เดาไม่ได้ว่าหมอนี่คิดจะทำอะไรกันแน่


ฉับพลันนั้นยูริก็ตบมือ


เอดการ์ที่ยืนอยู่ข้างกายเขาตลอดก็หันหน้าเดินออกไป แล้วเปิดโปรเจคเตอร์ในห้องรับแขกอย่างเนิบนาบ


“ดูสิ ในนี้มีเรื่องสนุกๆ ด้วยนะครับ” ยูริยิ้มพูด


วิคเตอร์พยายามควบคุมอารมณ์ไว้อย่างมาก แล้วดูภาพที่ฉายจากโปรเจคเตอร์ เริ่มแรกเขาได้ยินเสียงที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้น


“อะไรนะ? คุณอยากให้ผมประมูลภาพมาให้ได้?”


“หญิงสารเลวนั่น…หักหลังฉันจริงๆ ด้วย!”


จู่ๆ ภาพก็ตัดไป ภายในห้องที่ผู้คนมากมายสวมหน้ากาก ภาพยังคงฉายแค่ชายที่สวมหน้ากากค้างคาวคนนั้น


เสียงของเขา


“…สองร้อยห้าสิบล้านยูโร ใครให้ราคาสูงกว่านี้ก็เอาภาพไปเลย!”


จนกระทั่งถึงภาพเหตุการณ์สุดท้าย หน้ากากค้างคาวที่ชายคนนี้สวมอยู่ก็ถูกถอดออก และในที่สุดก็เปิดเผยใบหน้าที่แท้จริงออกมา


“นี่…เยฟิม?” วิคเตอร์ขมวดคิ้วอย่างเสียไม่ได้


ที่เขารู้จักเยฟิมไม่ใช่เพียงเพราะเขาเป็นเศรษฐีคนหนึ่ง แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือ…เขายังเป็นนักการเมืองอีกด้วย


“คุณคิดจะทำอะไรกันแน่?”


“ผมจะให้หลักฐานพวกนี้กับคุณ หากคุณช่วยผมทำลายชื่อเสียงเยฟิมให้ย่อยยับ คุณก็จะหาภาพที่สูญหายไปได้เหมือนกัน จัดการครั้งเดียวก็ได้ความสำเร็จยิ่งใหญ่”


วิคเตอร์หัวเราะเยาะพูดว่า “คุณคิดจะยืมมือผมช่วยคุณขุดรากถอนโคนเยฟิม? คุณคิดว่าผมจะทำเรื่องสกปรกกับคุณงั้นเหรอ? ผมช่วยคุณ ก็ไม่ต่างกับจับสารเลวคนหนึ่งแล้วปล่อยให้สารเลวอีกคนลอยนวลน่ะสิ!”


“ถ้าอย่างนั้น ผมเกรงว่าคุณวิคเตอร์ หรือแม้กระทั่งคู่หูของคุณคงออกจากคฤหาสน์นี้ยากแล้วล่ะครับ…” ยูริพูดด้วยน้ำเสียงเสียดายเล็กน้อย “อ้อ จริงสิ คุณวิคเตอร์ คุณมีครอบครัวไหม? แบบพ่อแม่ ลูกเมีย อะไรแบบนี้?”


ป้าบ!!


สองมือวิคเตอร์ตบลงบนโต๊ะด้วยความโกรธ เขาลุกขึ้นยืนทันที แต่โดนชายสองคนที่อยู่ด้านหลังเขาจับเขากดให้นั่งลงอย่างป่าเถื่อน


จนเขาต้องขบกรามแน่นแล้วพูดว่า “แก ไอ้สารเลว!!!”


“ไม่ใช่ครับ…” ยูริส่ายหน้า พูดเสียงเบาๆ “ผมก็แค่คนสิ้นหวังที่กลายเป็นปีศาจเท่านั้นเอง…”

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม