บัลลังก์พญาหงส์ 378-404

ตอนที่ 378

 

คลื่นใต้น้ำ

พอรถม้าออกจากวังหลวง ถาวจวินหลันก็ถอนใจเฮือกใหญ่ จากนั้นเมื่อคิดว่าอีกสองวันจะได้ไปสวนแล้วก็ยิ่งรอคอยและยินดีมากกว่าเคย


ด้วยกลัวว่าซวนเอ๋อร์จะขยับตัวไปมาจนกดทับแผลของหลี่เย่ ถาวจวินหลันจึงให้แม่นมโจวพาซวนเอ๋อร์และหมิงจูไปนั่งรถม้าอีกคันหนึ่ง


ภายในรถม้ามีเพียงนางและหลี่เย่ หลี่เย่ก็เริ่มอยู่ไม่สุข ด้วยตอนที่อยู่ในวังหลวง สามีภรรยาทั้งสองคนแยกห้องนอนมาโดยตลอด ดังนั้นแม้ว่าปกติแล้วจะอยู่ด้วยกันทั้งวัน แค่ความเป็นจริงแล้วก็ไม่ได้ใกล้ชิดกันมากนัก


แน่นอนว่าหลี่เย่ก็ไม่กล้ากระโตกกระตากภายในรถม้ามาก เพียงแค่โอบถาวจวินหลันเอาไว้ ทั้งสองคนนั่งแนบชิดกันพูดคุยเรื่องส่วนตัวเท่านั้น มากไปกว่านั้นก็เป็นเพียงแค่การแอบหยิบแอบจับเล็กๆ น้อยๆ


ด้วยอยู่ภายในรถม้าที่เว้นจากแผ่นไม้ไปนั้นก็เป็นคนที่เดินตามท้องถนน ดังนั้นถาวจวินหลันจึงรู้สึกเขินอายอย่างมาก ในความขวยเขินก็ยังแฝงความตื่นเต้นเล็กน้อย ความรู้สึกเหล่านี้ทับซ้อนกันไปมาทำให้นางหน้าแดงก่ำทันที บนหน้าผากก็มีเหงื่อซึมออกมา แต่ก็กลัวว่าจะทับบาดแผลของหลี่เย่เข้า จึงไม่กล้าขยับมั่วซั่ว


หลี่เย่มั่นใจในเรื่องนี้ ดังนั้นท่าทางจึงดูอาจหาญอยู่หลายส่วน แล้วยังกล้ากัดติ่งหูของถาวจวินหลันที่ใส่ต่างหูไข่มุกอยู่ด้วย


“อ๊า” ถาวจวินหลันร้องเสียงดังออกมาอย่างอดไม่ไหว และคิดถึงสถานการณ์ตอนนี้จึงรีบหุบปาก คราวนี้นางไม่กล้าให้หลี่เย่ทำตามใจอีก จึงยืดแขนออกไปดันเขาเอาไว้ ปากก็เอ่ยโทษว่า “นี่อยู่บนถนนใหญ่อย่าเล่นอีกเลยเพคะ หากว่าคนอื่นได้ยินไปแล้วจะทำเช่นไร?”


หลี่เย่หัวเราะร้าย กดเสียงลงพูดข้างหูของนาง “กลัวอะไรหรือ? กลัวว่าใครจะเห็น? ขอแค่เจ้าไม่ส่งเสียงก็ไม่มีใครเห็นแล้ว” พอพูดจบก็บีบเอวของนางอย่างคิดแกล้ง


ถาวจวินหลันถูกลมหายใจร้อนของหลี่เย่รดใส่ก็รู้สึกว่าทั้งร่างร้อนรุ่มวิงเวียนขึ้นมา เลือดทั้งร่างกายเหมือนถูกดูดขึ้นไปที่ศีรษะ ใบหน้าแทบจะมีเลือดซึมออกมา อีกทั้งบริเวณอ่อนไวตรงเอวที่ถูกหลี่เย่บีบก็ยิ่งทำให้ทั้งร่างอ่อนยวบและจั๊กจี้ ทนไม่ไหวจนคิดอยากจะบิดตัวหนีออกไป


หลี่เย่ไฉนเลยจะยอมให้นางหลบเล่า? กลับโอบนางเอาไว้แน่นมากกว่าเดิม ไม่อนุญาตให้นางหนีไปอย่างบ้าอำนาจ


ถาวจวินหลันถูกเขาหยอกล้อจนแทบจะร้องไห้ออกมา “ทำไมท่านเป็นเช่นนี้…” องค์ชายรองที่เป็นดั่งเทพเซียนมาตลอดนั้น ยามนี้กลับเป็นเหมือนพวกอันธพาลอย่างไรอย่างนั้น น่าระอาเป็นที่ยิ่ง


“ข้าไม่ได้ทำเช่นนี้กับคนอื่นเสียหน่อย” หลี่เย่หัวเราะออกมาเสียงเบา “เจ้าเป็นภรรยาของข้า ข้าทำกับเจ้าเช่นนี้หรือว่ามีอะไรไม่เหมาะสมกัน?”


พอถาวจวินหลันมองดูท่าทางพูดฉอดๆ อย่างคิดว่าตนเองมีเหตุผลและท่าทีน่าระอาของเขาแล้ว นางก็ยื่นมือไปหมายจะหยิกเขา “แต่นี่อยู่บนถนนใหญ่! ไม่ได้อยู่ภายในจวน กลางวันแสกๆ เช่นนี้…” ยื่นมือออกไป แต่สุดท้ายก็ทำใจหยิกไม่ลงจึงหดมือกลับไปอีกครั้ง


หลี่เย่ยิ้มร้ายออกมา น้ำเสียงเบาลงเรื่อยๆ และแฝงความเกี้ยวพาราสีเอาไว้ “เช่นนั้นกลับจวนไปก็ทำได้อย่างนั้นหรือ?”


ถาวจวินหลันรู้สึกทำตัวไม่ถูก ไม่ใช่ความหมายนี้ แต่ก็กลัวว่าเขาจะทำเรื่องที่เยอะกว่านี้อีก จึงพยักหน้าอย่างเขินอายและไม่คิดถึงผลที่ตามมา


ที่จริงแล้วหลายวันมานี้หลี่เย่เบื่ออย่างยิ่ง ตอนแรกก็ยุ่งวุ่นวายเรื่องการแต่งงานของถาวจิ้งผิง แล้วยุ่งเรื่องการสืบสวน สุดท้ายก็ได้รับบาดเจ็บกะทันหัน ทั้งหมดทั้งมวลนี้พอคิดแล้วกลับกินเวลาไปกว่าครึ่งเดือน ดังนั้นวันนี้บนรถม้าได้กลิ่นหอมอบอวลที่มาจากตัวของถาวจวินหลัน เขาถึงทำเรื่องเช่นนี้อย่างทนไม่ไหว


แต่ไม่ว่าจะเป็นขั้นตอนหรือผลลัพธ์หลี่เย่ก็แสดงออกว่าพอใจอย่างมาก อย่างน้อยได้อาหารเรียกน้ำย่อยจานนี้ก็พอให้หายอยากไปได้บ้าง แม้จะบอกว่าพอกินอาหารเรียกน้ำย่อยแล้ว ใจของเขาก็แทบจะอดทนต่อไม่ไหวก็ตามที


ตอนที่หลี่เย่คิดจะกลับไปเรือนเฉินเซียงเพื่อจัดการชายารองของตนเอง กลับได้ยินเสียงดังเอะอะโวยวายมาจากด้านนอก


นอกจากเสียงกีบม้าที่เร่งรีบแล้ว ยังมีคนส่งเสียงตะโกนให้ระวังเสียงดัง และยังมีคนกรีดร้อง เสียงทั้งหมดนี้ผสมผสานเข้าด้วยกันจนคนที่ได้ยินรู้สึกใจไม่ดี


หลี่เย่โอบถาวจวินหลันให้เข้ามาใกล้ตามสันชาตญาณ


ถาวจวินหลันยังไม่ทันได้สติว่าเกิดอะไรขึ้น พลันรู้สึกว่ารถม้าถูกชนเข้าอย่างแรงทีหนึ่ง ทั้งร่างของนางกระเด็นกระดอนไปตามแรงสั่นของรถม้าอย่างควบคุมไม่ได้


ที่โชคดีก็คือรถม้าล้มไปทางด้านถาวจวินหลัน ดังนั้นหลี่เย่จึงไม่เป็นอะไร มีเพียงถาวจวินหลันที่หลังและไหล่กระแทกเข้ากับผนังรถม้า ฉับพลันนั้นนางก็รู้สึกปวดแสบปวดร้อน


แต่หลี่เย่ไม่ได้ถูกกระแทก นางกลับรู้สึกสบายใจ ไม่ได้รู้สึกว่าเจ็บปวดอะไร


เมื่อได้สติกลับคืนมา ถาวจวินหลันกำลังจะเอ่ยถามว่าเกิดอะไรขึ้น รถม้ากลับเพิ่มความเร็วกะทันหัน ด้วยไม่ได้ตั้งรับไว้ก่อน ถาวจวินหลันและหลี่เย่จึงกระเด็นหงายหลังไป


ครั้งนี้ถาวจวินหลันและหลี่เย่ส่งเสียงร้องด้วยความจุกพร้อมกัน การกระแทกครั้งนี้แม้จะเบากว่าครั้งที่แล้ว แต่ท่าทางที่ทั้งสองคนกระแทกนั้นไม่ถูกต้อง ต่างก็กระแทกถูกไหล่และมือ


ข้อมือของหลี่เย่ยังมีบาดแผล แม้ว่าตอนนี้บาดแผลจะสมานตัวเข้าหากันแล้ว แต่ก็ยังรับการกระแทกที่รุนแรงเช่นนี้ไม่ไหว ฉับพลันนั้นหลี่เย่ก็รู้สึกเจ็บบาดแผล แล้วความชื้นอุ่นๆ กระแสหนึ่งก็ทำให้เสื้อผ้าเปียก เขารู้ดีว่าแผลเปิดแล้ว


ถาวจวินหลันก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน ไหล่ทั้งสองข้างถูกกระแทก รู้สึกปวดแสบปวดร้อนไปหมด


หลี่เย่ไม่ถามสถานการณ์ของถาวจวินหลัน เขาก็ใช้มือข้างหนึ่งโอบป้องกันถาวจวินหลันไว้ด้วยสีหน้าดำคล้ำ “คิดว่าม้าที่ลากรถคงตกใจ” ด้วยแรงกระแทกที่รุนแรง ม้าของพวกเขาจะตกใจก็ถือเป็นเรื่องปกติ


ปกติแล้วม้าที่ตื่นตกใจจะออกแรงวิ่งเต็มกำลังอยู่ครู่หนึ่งถึงสงบลงได้ แต่ว่าตอนนี้พวกเขาอยู่บนถนนที่คนพลุกพล่านมากที่สุด ม้าวิ่งเช่นนี้ไม่ต้องพูดถึงว่าจะทำให้คนได้รับบาดเจ็บ รถม้าเองก็ชนเข้ากับของอย่างอื่นง่ายมากขึ้นเลย พูดแค่ว่าม้าจะรู้สึกตื่นตกใจอยู่ตลอดจนไม่สามารถสงบลงได้เองดีกว่า


ดังนั้นถึงพูดว่าสถานการณ์ของพวกเขาตอนนี้ไม่ค่อยดีนัก


ถาวจวินหลันหน้าซีดเผือด ไม่รู้ว่าเพราะเจ็บหรือว่าตกใจ นางเองก็สังเกตเห็นว่าแผลตรงข้อศอกของหลี่เย่เริ่มมีเลือดไหลออกมา ไม่จำเป็นต้องพูดในใจก็ต้องรู้สึกเป็นกังวลอย่างไม่สามารถเทียบได้อยู่แล้วเป็นแน่


แต่ในใจของนางรู้ดีถึงสถานการณ์ที่หลี่เย่พูด จึงรีบส่งเสียงออกไปถามคนบังคับรถม้าที่อยู่ข้างนอกทันที “มีวิธีหยุดหรือไม่!”


ด้านนอกไม่มีเสียงตอบรับแม้แต่น้อย


ถาวจวินหลันคิดว่าคนบังคับรถม้าไม่ได้ยินจึงส่งเสียงถามอีกรอบ แต่กลับถูกหลี่เย่ดึงเอาไว้ ทำท่าบ่งบอกไม่ให้นางเอ่ยพูดอีก “ไม่ต้องถามแล้ว คนขับรถม้าคงจะไม่อยู่แล้ว”


ถาวจวินหลันตะลึงไป สถานการณ์ในตอนนี้คนบังคับรถม้าไม่อยู่แล้วจะทำเช่นไร?


หลี่เย่กลับโซซัดโซเซจะลุกขึ้นออกไปนอกรถ ถาวจวินหลันรีบจับเขาเอาไว้ “นี่ท่านจะทำอะไร? ขาของท่านยังเจ็บอยู่เลยนะ!”


หลี่เย่หน้านิ่ง “ตอนนี้ไม่มีเวลามาสนใจเรื่องนี้แล้ว หากไม่หยุด วันนี้พวกเราสองคนต้องทิ้งชีวิตเอาไว้ที่นี่เป็นแน่!” รถม้าเหวี่ยงโยนไปมาเช่นนี้ หากถูกเทออกไป หรือว่าไปกระแทกกับอะไรเข้า พวกเขาคงจะต้องทิ้งชีวิตไว้ที่นี่


แน่นอนว่าเป็นไปได้ว่าม้าที่ตกใจอาจจะไปเหยียบคนจนเสียชีวิต หรือว่าไปชนคนจนเสียชีวิตได้เช่นกัน


ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์ใดก็เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่เรื่องดี อีกอย่างก็คือคงไม่สามารถปล่อยให้ม้าบ้าคลั่งวิ่งไปทั่วอยู่ตลอดได้ ที่นี่คือเมืองหลวง นี่เป็นถนนที่เจริญรุ่งเรือง คนพลุกพล่านมากที่สุด


“ข้าไปเอง ท่านนั่งอยู่นี่” ถาวจวินหลันดึงหลี่เย่เอาไว้แน่น ขัดขวางไม่ให้เขาออกไป


หลี่เย่นิ่งไป “เจ้าทำไม่ได้” รถม้าของพวกเขาใช้ม้าสองตัวและยังตกใจอยู่ ไม่มีทางที่ผู้หญิงบอบบางอย่างถาวจวินหลันสามารถบังคับได้ และยิ่งในสถานการณ์เช่นนี้ไม่แน่ว่าเมื่อคลานออกจากรถม้าไปก็อาจจะกระเด็นตกรถม้าไปได้ เขาจะปล่อยให้ถาวจวินหลันไปเสี่ยงอันตรายได้อย่างไรกัน?


“ถ้าเช่นนั้นพวกเราก็รออยู่ข้างในนี้” ถาวจวินหลันกัดฟันแน่น ตัดสินใจอย่างเห็นแก่ตัว “ไปชนคนอื่นพวกเราก็จ่ายค่าชดใช้ได้ เลี้ยงดูคนในครอบครัวแทนพวกเขาได้! แต่ท่านจะเป็นอะไรไปไม่ได้!”


หลี่เย่พูดอะไรไม่ออก มองดูท่าทีเด็ดเดี่ยวยึดมั่นของถาวจวินหลัน สุดท้ายแล้วก็พยักหน้า ก่อนใช้เท้าข้างที่ใช้งานได้ยันผนังรถม้าเอาไว้ พยายามไม่ให้ตนเองกระแทกเพราะว่ารถม้าที่เหวี่ยงไปมาอีก


ถาวจวินหลันกลับโอบเขาไว้ในอ้อมกอด เขาไม่สนใจมือข้างที่ได้รับบาดเจ็บ แผลเปิดเขาเพียงแค่รักษาให้ดีก็ได้แล้ว ขอแค่คนปลอดภัยก็เพียงพอ


ถาวจวินหลันจับของเพื่อยึดร่างตัวเองเอาไว้แม่นมั่น พยายามไม่ให้ตัวเองกระแทกหลี่เย่ แม้ว่าจะพยายามทำให้ตัวเองใจเย็น แต่ว่านางก็ยังหวาดกลัวมากอยู่ดี


“ขอแค่พวกเราไม่เป็นอะไรก็พอแล้ว แม้ว่าคนบังคับรถม้าจะโดนหวี่ยงตกไป แต่ย่อมต้องหาวิธีไล่ตามมาได้แน่นอน” เพื่อเป็นการปลอบใจตนเอง ถาวจวินหลันจึงฝืนยิ้มให้หลี่เย่ แต่กลับไม่รู้ว่าใบหน้าที่ซีดเผือดของนางยามนี้ได้บ่งบอกความคิดในใจของตนไปหมดแล้ว


หลี่เย่กลับรู้สึกสงบนิ่งจริงๆ เขาพยักหน้า พูดด้วยเสียงอ่อนโยน “อืม ไม่ต้องกลัว มีข้าอยู่ตรงนี้”


แม้ว่าหลี่เย่จะเป็นคนป่วย แม้ว่าสถานการณ์ตอนนี้จะย่ำแย่ถึงเพียงนี้ แต่เมื่อได้ยินคำพูดของหลี่เย่ที่ว่า “มีข้าอยู่ตรงนี้” แล้ว ถาวจวินหลันพลันวางใจไปไม่น้อย


หลี่เย่เม้มริมฝีปาก คิดอย่างเ**้ยมโหดว่า ไม่ว่าครั้งนี้จะเป็นเพราะอุบัติเหตุหรือมีคนตั้งใจ เขาก็ไม่มีทางออมมือเป็นแน่!


ความเป็นจริงแล้ว แม้สถานการณ์เคร่งเครียดเช่นนี้ หลี่เย่ก็คิดวิเคราะห์เรื่องนี้อย่างรวดเร็ว เขารู้สึกว่าเรื่องวันนี้บังเอิญเกินไป แต่ที่จริงแล้วก็น่าแปลก เพราะว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นตอนที่รถม้าของเขากำลังเดินทางผ่านทางนี้พอดี


ที่สำคัญที่สุดก็คือ คนบังคับม้ากลับไม่อยู่ แม้จะบอกว่าดูจากสถานการณ์แล้ว น่าจะถูกกระแทกจนร่วงตกรถม้าไป แต่หลี่เย่กลับรู้สึกเหมือนคนบังคับรถม้าแกล้งทำเป็นโดนกระแทกหล่นลงไปเอง


อย่างไรวันนี้รถม้าที่มารับพวกเขากลับก็เป็นของวังหลวง ไม่ใช่ของจวนตวนอ๋อง หากเป็นคนขับของจวนตวนอ๋องเหล่านั้น หลี่เย่กลับมีความเชื่อใจเป็นอย่างมาก อย่างน้อยแรงกระแทกเช่นนี้ก็คงไม่ทำให้คนบังคับรถตกลงไปเป็นแน่


ดังนั้นหลังจากที่รวมหลายอย่างประกอบเข้าด้วยกัน ในใจของหลี่เย่ก็ยิ่งคิดว่ามีคนยื่นมือเข้ามายุ่งเรื่องนี้


ถ้าไม่ใช่เพราะว่าสถานการณ์ตอนนี้เป็นอันตรายไม่เหมาะที่จะเผยรอยยิ้มออกมา ก็เกรงว่าเขาคงจะอดยิ้มเย็นไม่ได้ เขาเพิ่งออกจากวังหลวงมาก็บังเอิญพบเรื่องเช่นนี้ ช่างน่าบังเอิญเสียจริง!


แต่ไม่รู้ว่าเป็นใครที่อยากลงมือกับเขาอย่างอดรนทนไม่ไหวเช่นนี้?


และทางด้านฮ่องเต้ หากเสด็จพ่อที่เจ้าอารมณ์คนนั้นรู้เรื่องนี้เข้าจะโมโหมากเพียงใด?


ตอนที่รถเหวี่ยงไปมา หลี่เย่ก็คิดขึ้นได้ว่า ดูเหมือนว่าวันเวลาต่อจากนี้ไปคงไม่มีทางสงบเป็นแน่ คลื่นใต้น้ำพัดเข้ามาแล้ว ทำให้เกิดคลื่นยักษ์ใหญ่บนผิวน้ำ! เห็นได้ชัดว่าเขาจะหลบก็คงไม่พ้น ได้แต่เผชิญหน้า!


กลัวอย่างนั้นหรือ? หลี่เย่พ่นลมหายใจออกมา สายตาเย็นเยียบ

 

 

 


ตอนที่ 379

 

ช่วยเหลือ

ระหว่างที่โดนเหวี่ยงไปมา แม้ว่าถาวจวินหลันจะพยายามบังคับร่างกายให้อยู่นิ่ง แต่สุดท้ายแล้วก็ยังกระแทกเข้ากับหลี่เย่หรือผนังรถไปมาจนได้ แม้แต่ปิ่นที่ปักอยู่บนผมก็หลุดออกไปไม่น้อย หนึ่งในนั้นเป็นปิ่นหยกมรกตอันหนึ่งที่ถูกกระแทกแตกเป็นเสี่ยงๆ


แต่ยามนี้ไฉนเลยจะยังมาสนใจเรื่องเหล่านี้ได้? ถาวจวินหลันเพียงแค่หวังว่ารถม้าจะหยุดได้รวดเร็วถึงจะดี


แน่นอนว่าด้วยการเหวี่ยงไปมาอย่างรุนแรงนี้ สถานการณ์ของหลี่เย่เองก็ไม่ได้ดีไปมากกว่ากัน ไม่เพียงแค่แผลตรงข้อศอกเปิด มองดูเลือดที่ไหลออกมาแล้วกลับน่าสะพรึงกว่าตอนที่ได้รับบาดเจ็บเสียอีก สำหรับเขาแล้ว ตอนนี้ถือว่าโชคดีที่เอาไม้ค้ำไว้ตั้งแต่แรก ตอนนี้ขอเพียงแค่ไม่กระแทกแรงเกินไปหรือว่าออกแรงมากเกินก็ถือว่าไม่เป็นอะไร


หลี่เย่คิดว่าตั้งแต่ที่ม้าเริ่มตกใจ อย่างน้อยต้องวิ่งออกมาประมาณสองช่วงถนนแล้ว แต่ความเร็วไม่เพียงไม่ลดลง แต่กลับวิ่งชนมากยิ่งขึ้น เขาจึงรู้ว่าเรื่องเป็นเหมือนที่ตนคาดคิดเอาไว้ เกรงว่าม้าคงจะระงับสติตัวเองไม่อยู่ นอกจากจะวิ่งไปเรื่อยๆ จนออกจากประตูเมืองไปหรือว่ารอจนกว่าม้าจะเหนื่อยเท่านั้น อีกทั้งตอนนี้ม้าก็ลากรถไปอย่างไม่รู้ทิศรู้ทาง คิดว่าคงจะวิ่งเข้าไปในถนนเล็กๆ แล้ว


หลี่เย่ฟังเสียงเอะอะโวยวายข้างนอกก็อดหัวเราะขมขื่นไม่ได้ อะไรเรียกว่าหลังคารั่วในวันที่ฝนตกติดต่อกันเล่า? หมายความเช่นนี้อย่างไรเล่า หากเขาไม่ได้รับบาดเจ็บ คิดว่าตอนนี้คงควบคุมสถานการณ์ไว้ได้นานแล้ว ไม่ใช่ว่ารอให้คนมาช่วยเหลือเช่นนี้


ไม่รู้ว่าผ่านไปนานมากเพียงใด ฉับพลันรถก็สั่น พอกระแทกไปมาอีกครั้งแล้วก็ค่อยๆ หยุดลง


สภาพทั้งสองคนตอนนี้ดูไม่ได้เลย หลี่เย่ยังพอทน อย่างไรเสียบนร่างกายก็ไม่ได้มีเครื่องประดับอะไรมากมาย แต่กลับเป็นถาวจวินหลันที่ปิ่นบนศีรษะหล่นผมเผ้าหลุดกระจาย ไม่สามารถไปพบปะใครได้


แต่ยามนี้กลับไม่มีเวลามาสนใจอะไรมากขนาดนั้น ในใจของถาวจวินหลันเต็มไปด้วยความรู้สึกยินดีและผ่อนคลายหลังจากเอาชีวิตรอดจากมหันตภัยได้


เมื่อสติสัมปชัญญะเริ่มกลับมา ฉับพลันนางก็รู้สึกเจ็บไปทั้งร่างกาย โดยเฉพาะไหล่ทั้งสองข้าง นิ้วมือ และไหล่ที่ถูกกระแทก ส่วนปลายนิ้วเป็นเพราะออกแรงมากเกินไป แม้แต่เล็บก็หักงอ


ถาวจวินหลันไม่ทันได้สนใจตัวเอง พลิกร่างกายของหลี่เย่สำรวจดูอย่างละเอียด เห็นว่าเขาไม่เป็นอะไรมากถึงได้ฝืนยิ้มออกมา “ในที่สุดก็หยุดแล้ว” ถ้ายังไม่หยุดคิดว่าตัวนางเองคงจะทนต่อไปไม่ไหวเช่นกัน


นางพลันเป็นกังวลเมื่อคิดถึงซวนเอ๋อร์และหมิงจูได้ “ซวนเอ๋อร์และหมิงจูคงไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?”


หลี่เย่ก็กังวลเรื่องนี้เช่นเดียวกัน แต่เมื่อได้ยินถาวจวินหลันกังวลมาก ก็กดเสียงเบาปลอบโยนว่า “น่าจะไม่เป็นอะไร เมื่อครู่นี้ข้าคิดถึงเรื่องนี้อยู่เช่นกัน ไม่ได้ยินเสียงดังวุ่นวายมาจากข้างหลัง น่าจะเป็นรถม้าของพวกเราแค่คันเดียว”


ถาวจวินหลันถึงได้พยักหน้า แล้ววางใจไปได้


และตอนนี้ก็มีคนมาเคาะประตู เอ่ยถามว่า “ข้างในมีคนได้รับบาดเจ็บหรือไม่?” ฟังเสียงแล้ว ท่าทางอายุยังน้อย


ด้วยตอนนี้ถาวจวินหลันไม่สามารถพบคนได้ และหลี่เย่ก็ขยับไม่ได้ สุดท้ายแล้วก็เพียงแค่แง้มม่านออกและพูดว่า “ไม่ได้เป็นอะไรมาก ขอบคุณที่ช่วยเหลือ”


หยุดไปครู่หนึ่งเขาก็พูดขึ้นอีกว่า “ตัวข้าขยับไม่สะดวกเท่าไร ก็ให้เจ้าช่วยไปบอกประชาชนว่าจวนตวนอ๋องจะชดเชยค่าเสียหายให้ด้วยเถิด” และถามอีกว่า “ไม่ทราบว่าเจ้าสะดวกส่งข้ากลับจวนหรือไม่?”


ที่แสดงฐานะออกไปอย่างแรกก็ด้วยต้องการสร้างความยำเกรง อย่างที่สองก็เพื่อปลอบประโลม อย่างไรเมื่อเกิดเรื่องเช่นนี้ เกรงว่าคงก่อให้เกิดผลที่ตามมามากมาย อีกทั้งกลัวว่าจะมีคนมุ่งร้ายเอาเรื่องชดใช้นี้มาขอค่าชดเชยจนเป็นเรื่องใหญ่ ในเมื่อเป็นท่านอ๋องมีหรือที่ความเสียหายเท่านี้จะชดเชยไม่ได้? คนอื่นได้ยินว่ามีตำแหน่งก็จะรู้สึกวางใจไม่ใช่หรือไร?


แน่นอนว่า ข้อเสนอที่หลี่เย่บอกให้พาส่งกลับจวนก็ถือว่าเป็นการได้คืบจะเอาศอกอยู่เล็กน้อย แต่เพราะเวลานี้แข้งขาของเขาไม่สะดวกจริงๆ จึงยังถือว่าสมเหตุสมผล อีกทั้งเขาก็รู้สึกขอบคุณความกล้าหาญชาญชัยของชายหนุ่มคนนี้จริงๆ หวังว่าจะเชิญเข้าไปในจวนเพื่อตอบแทนให้ดีเสียหน่อย


คนผู้นั้นกลับไม่ลังเลแม้แต่น้อย ส่งเสียงรับคำเรื่องนี้ แต่เพราะไม่รู้ที่ตั้งของจวนตวนอ๋องจึงได้เอ่ยถามออกมาอีก


หลี่เย่บอกที่อยู่ไป และพูดขอบคุณอีกครั้งหนึ่ง


คนผู้นั้นรู้ตัวตนของหลี่เย่ก็ไม่เห็นว่าจะระมัดระวังตัว ตลอดทางกลับถามคำถามมากมาย ท่าทีดูรื่นเริง


“ตวนอ๋อง? ใช่ตวนอ๋องที่นำทัพออกไปปราบชนกลุ่มน้อยพื้นที่ราบสูงใช่หรือไม่ขอรับ?” หลังจากที่คนผู้นั้นกระโดดขึ้นหลังม้าค่อยๆ บังคับม้าให้เดินออกไปนั้นก็ส่งเสียงถามออกมา


หลี่เย่ก็ไม่วางท่า หัวเราะตอบว่า “พูดไม่ได้ว่านำทัพไปปราบศึก เพียงแค่ตามออกไปดูเท่านั้นเอง คนที่ออกทัพฆ่าข้าศึกนั้นไม่ใช่ข้าเสียหน่อย ล้วนแต่พึ่งบรรดาทหารกล้าทั้งนั้น”


ทันใดนั้นคนผู้นั้นก็หัวเราะออกมา “พูดเช่นนี้ก็ไม่ถูก ท่านอ๋องกล้าไปก็ถือว่าไม่ธรรมดาแล้วขอรับ จะต้องรู้ว่าผู้ชายตั้งมากมายที่ดูแล้วกล้าหาญ สุดท้ายก็เป็นแค่เพียงเต่าที่หดหัวอยู่ในกระดองเท่านั้นเอง!”


คนผู้นี้พูดจาตรงๆ ถาวจวินหลันฟังแล้วก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ แต่มือก็ไม่กล้าอยู่นิ่ง จัดการคลายผมของตัวเองออกอย่างรวดเร็ว ใช้มือสางผมและหวีอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็รวบผมขึ้นเป็นมวยที่ง่ายที่สุด ใช้ปิ่นทองปักให้อยู่ทรง มิเช่นนั้นอีกครู่หนึ่งจะไปพบหน้าใครไหวได้อย่างไร?


หลี่เย่เองก็หัวเราะ แต่ก็ยังเอ่ยเตือนอย่างปรารถนาดี “ผู้กล้าช่างกล้าหาญเสียจริง นี่ถือเป็นเรื่องดี แต่คำพูดนี้กลับไม่ดีถ้าจะกู่ร้องออกไปเสียงดัง จะต้องทำให้คนไม่พอใจเป็นแน่”


คนผู้นั้นนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ไม่ได้พูดเรื่องนี้อีก เพียงแค่ถามอีกว่า “ด้านนอกลือกันว่าท่านอ๋องเป็นใบ้ แต่ว่าวันนี้ดูแล้วก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้น ส่วนขาที่ไม่สะดวกนั้นเป็นเพราะว่าได้รับบาดเจ็บหรือว่าอย่างอื่นขอรับ?”


หลี่เย่หัวเราะ “เพราะว่าตอนเด็กๆ คอเคยได้รับบาดเจ็บมาก่อน ก่อนหน้านี้ก็พูดไม่ได้จริง แต่ว่าตอนนี้ได้เชิญท่านหมอที่มีชื่อเสียงมาบำรุงรักษาก็ค่อยๆ ดีขึ้นมาแล้ว ส่วนขาที่ไม่ค่อยสะดวกก็ด้วยได้รับบาดเจ็บไม่กี่วันก่อนหน้านี้”


หยุดไปครู่หนึ่งก็ถามว่า “ฟังสำเนียงของเจ้าเหมือนว่าจะไม่ใช่คนเมืองหลวงใช่หรือไม่?”


คนผู้นั้นตอบว่า “ข้ามาจากทางเหนือขอรับ จากนั้นก็ไปทางทิศใต้อีก ตอนนี้มาที่เมืองหลวงก็เพื่อดูว่าจะมีลู่ทางทำกินหรือไม่ ผู้ชายอกสามศอกคงจะไม่สามารถไร้ซึ่งชื่อเสียงไปได้ตลอดชีวิต”


เขาพูดอย่างหนักแน่น ถาวจวินหลันอดคิดชื่นชมในใจไม่ได้ จากที่นางดูแล้ว ผู้ชายควรจะเป็นเช่นนี้ ถึงจะไม่เสียชาติเกิด


หลี่เย่เองก็เอ่ยชื่นชมเช่นกัน


การพูดคุยไปตลอดทางทำให้ถึงประตูใหญ่ของจวนตวนอ๋องอย่างรวดเร็ว


ด้วยสภาพที่ดูไม่ได้ หลี่เย่จึงสั่งให้รถม้าขับเข้าไปภายในจวน


พอบ่าวรับใช้ช่วยหลี่เย่ลงมาจากรถแล้ว ถาวจวินหลันถึงได้ค่อยๆ ลงมาด้วยการพยุงจากบ่าวชรา พอลงมาจากรถม้าแล้วถึงได้สังเกตมองคนที่อยู่รอบข้างขึ้นมาตามสันชาตญาณ หนึ่งในนั้นมีชายหนุ่มอายุราวสิบแปดสิบเก้า รูปร่างสูงคนหนึ่งที่ดึงดูดความสนใจของนาง คนผู้นี้แต่งกายเรียบง่าย เสื้อผ้าที่ขาดแหว่งบางจุด มองดูแล้วรู้ได้ทันทีว่าไม่ใช่คนของจวนอ๋อง


ในตอนนั้นถาวจวินหลันก็เข้าใจทันที คิดว่าคนนี้คงเป็นคนที่ช่วยเหลือนางและหลี่เย่ จึงยิ้มน้อยๆ เพื่อขอบคุณ


แต่คนผู้นั้นไม่กล้ามองนาง หลุบตาลงเล็กน้อย แต่ก็ไม่เห็นว่าจะระมัดระวังตัว มองดูแล้วมีมารยาทรู้จักกาลเทศะใช้ได้


ถาวจวินหลันปล่อยให้หลี่เย่รับแขกต่อไป  ส่วนนางก็กลับเข้าเรือนใน อย่างแรกเพราะว่าสภาพไม่น่าดูในตอนนี้จำเป็นต้องจัดการให้ดี อย่างที่สองก็ต้องจัดการเรื่องนี้ให้เหมาะสม


ก่อนอื่นก็ต้องเตรียมเงินชดเชยค่าเสียหาย อย่างที่สองต้องจัดการต้นเหตุของเรื่องนี้ให้แน่ชัด แล้วยังมีคนบังคับรถม้าคนนั้นด้วย


ถาวจวินหลันยังคงจำคำพูดของหลี่เย่ได้อย่างแม่นยำ ต่อให้เป็นตัวนางเองก็เข้าใจเรื่องหนึ่ง นั่นก็คือคนบังคับม้าไม่มีเหตุผลที่จะหล่นไปอย่างง่ายดายเช่นนั้น อีกทั้งหลังจากนั้นแล้วก็ไม่หาวิธีไล่ตามมาอีก


แม้ว่าคนบังคับรถม้าจะเป็นคนของวังหลวง แต่ถาวจวินหลันก็ไม่คิดจะปล่อยไปง่ายๆ


เพิ่งเดินเข้าประตูรองยังไม่ทันถึงเรือนเฉินเซียง ถาวจวินหลันก็เห็นชิวจื่อยุ่งวุ่นวายเรื่องนี้เสียแล้ว


ยามนี้ชิวจื่อถูกนางดึงตัวไปให้อยู่กับซวนเอ๋อร์ และเข้าไปในวังหลวงด้วย ถาวจวินหลันเห็นชิวจื่อพลันวางใจขึ้นมา ชิวจื่อกลับมาอย่างปลอดภัย คิดว่าซวนเอ๋อร์และหมิงจูก็คงกลับมาอย่างปลอดภัยไร้กังวลเป็นแน่


ชิวจื่อไม่ทันทำความเคารพ เพียงสำรวจถาวจวินหลันอย่างละเอียด เห็นว่านางไม่ได้เป็นอะไรมาก ก็สบายใจทันที จากนั้นก็กดเสียงต่ำรายงานว่า “ข้าให้คนจับคนบังคับรถคนนั้นเอาไว้แล้วเจ้าค่ะ ข้อศอกที่ล้มจนบาดเจ็บนั้นข้าก็ให้คนเชิญหมอมาดูอาการแล้ว ยังไม่ได้ให้กลับไปวังหลวงเจ้าค่ะ”


ถาวจวินหลันมองชิวจื่ออย่างชื่นชม “ทำได้ดี” สมแล้วที่เป็นคนรอบรู้ของวังเต๋ออันในอดีต กระทำเรื่องใดๆ ก็รอบคอบอย่างที่คาดไว้


“จะต้องเชิญหมอหลวงมาดูอาการชายารองหรือไม่เจ้าคะ?” ชิวจื่ออมยิ้มน้อยๆ จากนั้นก็ถามอีก


ถาวจวินหลันยิ้มเย็น พูดว่า “จำเป็น ไม่เพียงแค่เชิญหมอหลวง แล้วยังต้องกระพือเรื่องนี้ให้ใหญ่โตอีกด้วย ยิ่งต้องตรวจดูท่านอ๋องให้ละเอียด อย่างไรก่อนหน้านี้ก็ได้รับบาดเจ็บมาด้วย”


หากเรื่องนี้มีคนวางแผนเอาไว้จริง จวนตวนอ๋องไม่ใช่ลูกพลับแก่ที่จะให้คนมาบีบปั้นไปไหนก็ได้!


ชิวจื่อเข้าใจความหมายของถาวจวินหลัน จึงรีบไปจัดการเรื่องนี้นทันที


ถาวจวินหลันกลับไปยังเรือนเฉินเซียง เปลี่ยนเสื้อผ้าและจัดการกับผมเผ้าเสียใหม่ ตอนที่เปลี่ยนเสื้อผ้า เพราะว่าไหล่เจ็บมาก จึงให้หงหลัวสังเกตดูอย่างละเอียด


หงหลัวมองเพียงแค่ครั้งเดียวก็ขมวดคิ้วแน่นทันที พลางกัดริมฝีปากอย่างรู้สึกเจ็บปวด ยามนี้ไหล่และหลังที่ขาวใสของถาวจวินหลันมีรอยบวมแดงตั้งมากมายเพียงใด มองดูจากสี เกรงว่าพรุ่งนี้คงช้ำม่วงเป็นวงกว้างแน่


พอหงหลัวช่วยทายาให้และใช้ผ้านุ่มสะอาดจัดการห่อนิ้วให้แล้ว ถาวจวินหลันถึงได้สังเกตเห็นดวงตาแดงก่ำของหงหลัว ทันใดนั้นก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ “เด็กโง่ นี่เจ้าเป็นอะไรไปเล่า”


หงหลัวกัดริมฝีปากว่ากล่าวอย่างขลาดกลัว “คนบังคับรถม้าน่าฆ่าให้ตายคนนั้น ไม่รู้ว่าบังคับรถอย่างไรกัน!”


“ได้รับบาดเจ็บเพียงเท่านี้ก็ถือว่าเป็นผลดีที่สุดแล้ว” ถาวจวินหลันยิ้มออกมา แล้วพูดด้วยเสียงเรียบ แต่แม้ว่าใบหน้าจะยิ้ม แต่ในดวงตากลับเย็นเยียบ


ยังดีที่หลี่เย่ไม่เป็นอะไร หากเป็นอะไรไป…


พอจัดการทุกอย่างเรียบร้อย ถาวจวินหลันก็พาคนออกเดินไปข้างนอก คนผู้นั้นช่วยเหลือนางและหลี่เย่ ดังนั้นไม่ว่าอย่างไรแล้วนางก็ควรไปขอบคุณ อีกทั้งหมอหลวงมาตรวจอาการให้หลี่เย่ นางเองก็อยากจะรู้ผลในทันที โดยเฉพาะอาการบาดเจ็บที่ข้อศอกของหลี่เย่ ยิ่งทำให้นางรู้สึกเป็นกังวลใจ ในตอนนั้นเลือดที่ไหลออกมาได้ย้อมแขนเสื้อไปกว่าครึ่ง

 

 

 


ตอนที่ 380

 

 เย็นชา

พอถาวจวินหลันเอ่ยขอบคุณด้วยตนเองแล้ว นางถึงรู้ว่าภายในระยะเวลาสั้นๆ นี้หลี่เย่ได้ตัดสินใจให้อีกฝ่ายอยู่รับใช้ข้างกายตนเอง


คนผู้สกุลเจียงชื่อว่าฟู่ เคยเรียนวิชาการต่อสู้มา ก่อนหน้านี้ยังเคยทำงานอยู่ที่โรงยามมาก่อน ครอบครัวมีแค่แม่เพียงคนเดียว ไม่มีคนอื่นอีก


ถาวจวินหลันถามเจียงฟู่ขึ้นว่า “เจ้ามาเมืองหลวงคนเดียวหรือว่าพามารดามาด้วย?”


เจียงฟู่ตอบออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ “มาเมืองหลวงพร้อมกันขอรับ แม้ว่าจะไม่มีปัญญา แม่ได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข แต่ก็ไม่อาจทิ้งให้แม่ทรมานอยู่ที่บ้านเดิมคนเดียวเป็นแน่”


“เจ้าบอกว่าบ้านเดิมเจ้าอยู่ที่ทางเหนือมิใช่หรือ?” ถาวจวินหลันแปลกใจว่าทำไมคนผู้นี้ถึงพูดคนละเรื่องคนละราวขึ้นมา


เจียงฟู่กระแอมออกมา “ต้นตระกูลของแม่ข้าอยู่ที่ทางใต้ขอรับ ตอนนั้นด้วยท่านป่วยถึงได้พาข้ากลับไปยังบ้านเดิม”


ถาวจวินหลันพยักหน้าเข้าใจ “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง” เมื่อพูดเช่นนี้ก็ถือว่าสมเหตุสมผลแล้ว แต่กลับคิดไม่ถึงว่าฐานะของเจียงฟู่จะมีปมเช่นเดียวกัน แน่นอนว่านางยิ่งรู้สึกนับถือแม่ของเจียงฟู่ เลี้ยงดูลูกชายให้โตขึ้นมาเพียงลำพังไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะดูจากตัวของเจียงฟู่แล้ว ที่บ้านคงไม่ได้ดีอย่างแน่นอน


“ในเมื่อมาพร้อมกัน ไม่สู้ข้าจัดการให้แม่ของเจ้าเข้ามาอาศัยที่นี่เสียเลย” ภายในจวนมีเรือนที่ให้บ่าวรับใช้อาศัยอยู่โดยเฉพาะ จะหาห้องให้พวกเขาสองห้องก็เป็นเรื่องง่าย อีกทั้งยังสะดวกต่อเจียงฟู่ในการจัดการเรื่องต่างๆ แทนหลี่เย่ “มิเช่นนั้นเจ้าออกไปทำเรื่องต่างๆ ปล่อยให้แม่เจ้าอยู่คนเดียวก็ลำบากเช่นเดียวกัน”


เมื่อพูดจบถาวจวินหลันก็มองไปยังเจียงฟู่อย่างจริงใจ ที่จริงแล้วต่อให้เจียงฟู่ไม่ได้ไปทำธุระแทนหลี่เย่ แค่เพียงแค่ช่วยเหลือพวกนางสองสามีภรรยาในวันนี้ นางก็จะต้องตอบแทนให้ดี รับเข้าจวนมาแล้วแน่นอนว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุด อย่างแรกการกินการใช้ของทั้งสองคนไม่จำเป็นต้องใช้เงิน อย่างที่สองก็มีคนคอยดูแล แน่นอนว่าต้องดี


เจียงฟู่ก็ไม่ใช่คนพิรี้พิไร เขายิ้มและทำความเคารพถาวจวินหลันกับหลี่เย่ ”ขอบพระคุณท่านอ๋องและพระชายา”


ถาวจวินหลันเม้มปากหัวเราะ “ข้าไม่ใช่พระชายา เจ้าเรียกข้าว่าชายารองถาวเถิด พระชายาสุขภาพไม่ค่อยดี รักษาตัวอยู่ตลอดไม่ค่อยได้ออกมาข้างนอกนัก”


เจียงฟู่เขินอายเล็กน้อย จากนั้นก็นิ่งเงียบไม่พูดไม่จา


พอดีว่าตอนนี้มีบ่าวรับใช้เข้ามารายงานว่าหมอหลวงมาถึงแล้ว


ถาวจวินหลันรีบให้คนไปต้อนรับหมอหลวงเข้ามา


หมอหลวงคนที่มาเป็นหมอหลวงที่เคยตรวจอาการหลี่เย่ตอนอยู่ในวังหลวงมาก่อน เป็นคนที่ฮ่องเต้สั่งมาโดยตรง วันนี้อากาศร้อน หมอหลวงก็มาอย่างเร่งรีบ บนหน้าผากจึงมีเหงื่อซึมออกมาให้เห็นแล้ว


ถาวจวินหลันถือโอกาสให้คนยกน้ำแกงบ๊วยออกมาสองสามถ้วย ในขณะที่หมอหลวงกำลังตรวจบาดแผลตรงข้อศอกที่จัดการแล้วของหลี่เย่ ของสิ่งนี้มีเตรียมพร้อมอยู่ในจวนตลอดเวลา เพียงแต่สิ่งที่เจ้านายกินและบ่าวรับใช้กินแตกต่างแค่ประณีตและแข็งกระด้างเท่านั้น


น้ำแกงบ๊วยที่เจ้านายกินได้เพิ่มของอย่างอื่นเข้าไป อย่างเช่นชะเอมเทศ กระเจี๊ยบ บ๊วยดำ ซานจา น้ำตาลกรวด เปลือกส้ม และหอมหมื่นลี้ เช่นนี้อร่อยที่สุด หากตอนที่ดื่มนั้นเติมน้ำแข็งบดเข้าไป รสชาติก็จะยิ่งดีขึ้น ของที่บ่าวกินนั้นวัตถุดิบน้อยกว่า แต่ว่ารสชาติก็ไม่ได้แตกต่างกันมากนัก


ช่วงฤดูร้อนได้ดื่มน้ำแกงบ๊วยสักชาม ไม่เพียงแค่เป็นการเรียกน้ำย่อย ยังสามารถช่วยคลายร้อนได้อีกด้วย นี่เป็นของที่ดีที่สุด


หมอหลวงสำรวจดูบาดแผลที่เลือดหยุดไหลแล้วอย่างละเอียด ถอนหายใจออกมา “บาดแผลตกสะเก็ดแล้ว ตอนนี้แผลเปิดอีกครั้งก็จะรักษายากมากขึ้น แต่เดิมนั้นบาดแผลใช้เวลาเพียงแค่เดือนเดียวก็จะหายเป็นปกติ แต่บาดแผลเปิดเช่นนี้เกรงว่าต้องใช้เวลาเดือนครึ่ง อีกทั้งอากาศร้อนเช่นนี้ก็จะต้องระมัดระวังเป็นอย่างมาก ไม่สามารถปล่อยให้ติดเชื้อได้ อีกทั้งจะต้องกินของที่บำรุงเลือดให้เยอะถึงจะดีขอรับ”


ถาวจวินหลันจำอย่างละเอียด


หมอหลวงดูบาดแผลที่ขาของหลี่เย่ ก็ถอนหายใจโล่งอก “ยังดีที่แผลตรงขาไม่ได้เคราะห์ซ้ำกรรมซัด มิเช่นนั้นเกรงว่าจะต้องพิการเสียแล้ว”


เมื่อหมอหลวงพูดเช่นนี้ แม้ว่ายามนี้หลี่เย่จะปลอดภัยไร้กังวล แต่ถาวจวินหลันก็ยังตกใจจนเหงื่อไหลซึมออกมา รู้สึกหวาดกลัวเป็นอย่างมาก


หลี่เย่มองไปยังถาวจวินหลันพลางกำชับหมอหลวงว่า “ไปดูอาการให้ชายารองถาวด้วยเถิด วันนี้เกรงว่านางคงถูกกระแทกจนได้รับบาดเจ็บแล้ว อีกทั้งยังตกใจด้วย”


หมอหลวงรีบตรวจดูอาการให้ถาวจวินหลัน ด้วยกลัวว่าจะกระแทกจนกระดูกหัก ดังนั้นหลังจากรู้ว่าไหล่โดนกระแทกแล้ว ก็ตรวจดูอาการกระดูกไหล่โดยการบีบเบาๆ ผ่านเสื้อผ้า


โชคดีที่ไม่ได้เป็นอะไรมาก จึงหยิบยาทาแก้บวมช้ำออกมากระปุกหนึ่ง และเขียนเทียบชาสงบใจให้สำรับหนึ่งแล้วนั้นหมอหลวงก็เก็บของเตรียมกลับไป


เวลานี้บ่าวรับใช้ก็ยกน้ำแกงบ๊วยมาพอดี ถาวจวินหลันจึงให้หมอหลวงดื่มน้ำแกงบ๊วยก่อนกลับ


หลี่เย่ถือโอกาสตอนที่ทุกคนกำลังดื่มน้ำแกงบ๊วยอยู่นั้น ยิ้มพลางพูดกับหมอหลวงว่า “อีกครู่หนึ่งกลับวังหลวงไปก็ขอให้หมอหลวงช่วยนำอาการของข้าไปรายงานให้เสด็จพ่อและไทเฮาทราบด้วย จะได้ให้พวกเขาคลายความกังวล ไม่ว่าอย่างไรบาดแผลนี้จะต้องรักษานาน แต่ก็ไม่ถือว่ารุนแรงนัก”


หมอหลวงเงยหน้ามองใบหน้าอบอุ่นและมีรอยยิ้มบางๆ แฝงอยู่ของหลี่เย่ ในใจก็อดรู้สึกเครียดไม่ได้ จากนั้นกลับยิ้มอย่างเคารพและพูดว่า “ข้าน้อยเข้าใจขอรับ”


หลี่เย่พยักหน้าอย่างพอใจ ก้มหน้าลงไปดื่มน้ำแกงบ๊วยต่อ


หมอหลวงก็ทำเช่นนี้เหมือนกัน แต่ในใจก็อดคิดไม่ได้ เกรงว่าตวนอ๋องจะไม่ได้ใจดี กลั่นแกล้งง่ายและอารมณ์ดีเหมือนที่ลือกันเอาไว้เป็นแน่


พอส่งหมอหลวงกลับไปแล้ว ถาวจวินหลันจึงสั่งให้คนไปรับแม่ของเจียงฟู่ และนางก็สั่งให้คนแบกหลี่เย่ไปเค้นถามคนบังคับรถม้าคนนั้น ก่อนหน้านั้นนางก็เอาเงินชดเชยต่างๆ ให้กับคนดูแลจวน ให้เขาจัดการเรื่องนี้อย่างเหมาะสมที่สุด ไม่อนุญาตให้มีคำว่ากล่าวตามมา


เรื่องเงินทองเป็นเรื่องเล็ก แต่ชื่อเสียงกลับไม่สามารถใช้เงินทองแลกคืนกลับมาได้


หลี่เย่เองก็คิดเช่นนี้


พอได้พบบขันทีที่เร่งม้า ถาวจวินหลันกับหลี่เย่ก็นั่งบนเก้าอี้ที่บ่าวชราจัดหามาให้ อมยิ้มมองขันทีที่หวาดกลัวจนตัวสั่น


ที่จริงแล้วที่ยังโดนจับมาพร้อมกันนั้นยังมีคนบังคับรถม้าตัวที่ตกใจไปก่อน คนๆ นั้นโดนมัดเอาไว้ตรงเสา ก้มหน้าก้มตาไม่เห็นว่าจะมีท่าทางหวาดกลัวสักเท่าไร


ถาวจวินหลันค่อยๆ เอ่ยปากถามว่า “พูดเถิด วันนี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่”


คนที่พูดก่อนก็คือคนบังคับรถม้าชื่อว่าไล่ต้าซึ่งถูกมัดเอาไว้ตรงเสา ไล่ต้าพูดว่า “ม้าของข้าไม่ระวังจึงเกิดอาการตกใจขึ้น แล้วก็กระแทกเข้ากับรถม้าของจวนท่าน ข้าพยายามบังคับอย่างสุดความสามารถแล้ว แต่ด้วยม้ามีแรงมากเกินไป ไม่สามารถควบคุมได้จริงๆ ขอรับ”


คำพูดนี้ช่างพูดอย่างง่ายดาย เพียงแค่สองสามประโยคก็ผลักความรับผิดชอบออกไปจากตนเองอย่างง่ายดาย ถาวจวินหลันฟังแล้วก็ยิ้มเย็นขึ้นมา “เจ้าเป็นคนของตระกูลใดกัน?” นางมองดูจากเสื้อผ้าของไล่ต้า และท่าทีไม่หวาดกลัวแม้แต่น้อย ก็รู้ว่าไล่ต้าคนนี้ไม่ใช้คนที่มาจากตระกูลเล็กๆ เป็นแน่ เกรงว่าเจ้านายที่อยู่เบื้องหลังจะต้องมีอำนาจอยู่บ้าง


“ข้าน้อยมาจากจวนเพ่ยหยางโหว วันนี้ที่บังคับรถม้านั้นแต่เดิมจะต้องไปรับฮูหยินสี่ แต่ใครจะคิดว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น” ไล่ต้าสีหน้าหมองคล้ำ เหมือนว่ารู้สึกโชคร้ายเป็นอย่างมาก


“อ้อ? จวนเพ่ยหยางโหวหรือ?” ถาวจวินหลันอดหัวเราะออกมาไม่ได้ แต่ในดวงตานั้นประกายเย็นเยียบ “พูดเช่นนี้ก็กลายเป็นว่าน้ำเชี่ยวปะทะวังพญามังกร คนกันเองทำร้ายกันเองเสียแล้ว”


ไล่ต้ามีท่าทีสงสัยไม่เข้าใจขึ้นมา


“คิดไม่ถึง ข้ากลับไปน้อยครั้ง บ่าวภายในจวนกลับไม่รู้จักคุณหนูเช่นข้าเสียแล้ว ที่เจ้าชนคือตวนอ๋อง เจ้ารู้บ้างหรือไม่?” ถาวจวินหลันพูดอย่างอ่อนโยนเป็นมิตร แต่มีเพียงแค่หงหลัวและหลี่เย่เท่านั้นที่มองออกว่าตอนนี้นางกำลังโกรธแค้นเป็นอย่างมาก


ไล่ต้าตกใจ จากนั้นก็รีบรับผิดในทันที “บ่าวสมควรตาย บ่าวมีตาหามีแววไม่ แม้แต่คุณหนูก็ยังมองไม่ออก! และยังชนเข้ากับตวนอ๋องอีกด้วย! ขอให้ท่านลงโทษเถิดขอรับ!”


“สมควรต้องลงโทษ จากที่ข้าดูแล้ว การกระทำของเจ้าไม่ได้เรื่อง ไร้ซึ่งประโยชน์ ลากคอลงไป โบยตีให้ตาย” ถาวจวินหลันค่อยๆ นั่งพิงพนักเก้าอี้ ท่าทีเย็นชาขึ้นมา คำพูดที่พูดออกมาก็ไร้ซึ่งอารมณ์


ทันใดนั้นไล่ต้าก็ตกใจจนมึนงงไป พอได้สติกลับคืนมาก็รีบตะโกนออกมาว่า “นายหญิงได้โปรดไว้ชีวิต! นายหญิงได้โปรดไว้ชีวิต! ไม่เห็นแก่หน้าพระสงฆ์ก็เห็นแก่หน้าพระพุทธเถิดขอรับ บ่าวเป็นคนของจวนเพ่ยหยางโหว! บ่าวไม่ได้ตั้งใจนะขอรับ!”


ถาวจวินหลันนั่งตัวตรงไม่ขยับ ค่อยๆ ยกถ้วยน้ำชาขึ้นมาจิบ พยักหน้าพลางพูดว่า “ชานี่ไม่เลว เป็นชาใหม่ของปีนี้”


หงหลัวหัวเราะ “เพิ่งเข้าจวนมาเมื่อวันก่อนเองเจ้าค่ะ”


หลี่เย่เองก็ชิมตามเช่นกัน ชมเชยว่า “ไม่เลวทีเดียว”


เจ้านายทั้งสองคนไม่ได้มีท่าทีจะปล่อยไล่ต้าไป แน่นอนว่าคนที่ต้องปลดเชือกลากไล่ต้าไปโบยตีจนตายนั้นก็ยิ่งไม่ลังเล


ไล่ต้าเห็นเช่นนี้สุดท้ายแล้วก็กัดฟันตะโกนออกมา “ข้าไม่ใช่บ่าวของจวนตวนอ๋อง พวกท่านจะจัดการข้าได้อย่างไร! ข้าไม่ยอมให้พวกท่านเห็นชีวิตคนเป็นผักปลาเช่นนี้!”


“ใช่ เจ้าไม่ใช่คนจวนตวนอ๋องของพวกข้า แต่ข้าถือว่าออกมาจากจวนเพ่ยหยางโหว หรือแม้แต่อำนาจจัดการกับบ่าวเช่นเจ้าสักคนจะไม่ได้เลยอย่างนั้นหรือ? แม้ว่าท่านพ่อและท่านแม่ของข้าอยู่ด้วย วันนี้ก็ต้องเป็นผลลัพธ์เช่นนี้” ถาวจวินหลันยิ้มเย็น ริมฝีปากขยับเล็กน้อย แต่กลับพูดคำพูดที่เยียบเย็นเช่นนี้


ไล่ต้าเกร็งไปทั้งตัว ดีดดิ้นหนีตาย บิดตัวไปมาพลางตะโกนเสียงดัง “ท่านเป็นนายหญิงอะไรกัน? ท่านก็เป็นแค่คนกำพร้าที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้า มาปลอมเป็นเจ้านายอะไรกัน? ข้าเป็นบ่าวที่ติดตัวมาตอนแต่งงานของโหวฮูหยิน! ท่านไม่มีสิทธิมาจัดการข้า หากท่านกล้าทำอะไรข้า ไม่เพียงแค่ไม่ไว้หน้าโหวฮูหยิน แม้แต่จวนเหิงกั๋วกงเองก็ไม่มีทางปล่อยท่านไปแน่!”


สุดท้ายหลี่เย่ก็ค่อยๆ เอ่ยปากออกมา แต่เมื่อเริ่มพูดกลับเย็นชาอย่างไร้ที่เปรียบ “ช่างเจ้าอารมณ์เสียจริง! ข้าอยากจะรู้นักว่าเหิงกั๋วกงจะมาเอาผิดกับข้าอย่างไร!”


ในตอนนั้นหลี่เย่ก็เรียกคนมาสั่ง “ไป ให้คนไปส่งข่าวที่จวนเหิงกั๋วกงและจวนเพ่ยหยางโหว บอกว่าข้าจะจัดการฆ่าบ่าวรับใช้ของพวกเขา ให้พวกเขาไปฟ้องศาลก็ได้ หรือจะส่งเรื่องไปที่วังหลวงก็ดี รีบไปจัดการให้เร็ว! ข้าจะรออยู่ที่จวน!”


ด้วยเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น หลี่เย่ก็ไม่ได้ให้คนจัดการฆ่าไล่ต้าในทันที เพียงแค่ให้มัดต่อไปเท่านั้น


ไล่ต้าถอนใจ รู้สึกว่าชีวิตน้อยๆ ของตนนี้รักษาเอาไว้ได้แล้ว พอได้สติกลับคืนมาก็รู้สึกว่าแข้งข้าของตนเองอ่อนแรง บวกกับอากาศที่ร้อนและเขาที่ดิ้นรนไปมาเมื่อครู่นี้ ทั้งร่างจึงเหนียวชื้นขึ้นมา อึดอัดอย่างพูดไม่ถูก


ถาวจวินหลันก็ไม่สนใจไล่ต้า เพียงแค่มองไปยังขันทีคนนั้น ยิ้มน้อยๆ


คราวนี้ไม่ต้องรอให้ถาวจวินหลันเอ่ยพูด ขันทีคนนั้นก็รีบเอ่ยปากพูดว่า “บ่าวสมควรตายๆ! ขอให้ท่านอ๋องและชายารองถาวได้โปรดไว้ชีวิตข้าน้อยด้วยเถิดขอรับ!” แต่กลับไม่พูดว่าทำไมตนเองสมควรตาย


ถาวจวินหลันจะมองลูกไม้ของขันทีไม่ออกเลยหรืออย่างไรกัน? นางจึงหัวเราะเสียงเย็น พูดออกมาอย่างไร้เยื่อใย “ในเมื่อเจ้าพูดว่าสมควรตาย ก็เห็นได้ชัดว่าเจ้าสมควรตายจริง ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ลากออกไปโบยตีให้ตายเสีย เห็นแก่ที่เจ้ารับผิดเอง ข้าจะมอบโลงให้เจ้าใบหนึ่งก็แล้วกัน!”

 

 

 


ตอนที่ 381

 

นางแม่มด

คำพูดของถาวจวินหลันทำให้ขันทีคนนั้นตกใจจนตัวสั่น ตกตะลึงพรึงเพริดพูดอะไรไม่ออกแม้แต่น้อย


ไม่เพียงแค่ขันที แม้แต่ไล่ต้าและบ่าวรับใช้ของจวนตวนอ๋องที่อยู่ข้างๆ ก็รู้สึกว่ามีไอเย็นพัดขึ้นมาจากปลายเท้าเช่นเดียวกัน ในใจของทุกคนในตอนนี้คิดได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ไม่ได้บอกว่าตวนอ๋องเป็นคนใจดีมีเมตตา ชายารองตวนอ๋องก็เป็นคนจิตใจงาม อารมณ์ดีมิใช่หรืออย่างไร? นี่เหมือนคนอารมณ์ดีหรืออย่างไรกัน?


โดยเฉพาะถาวจวินหลัน เกรงว่าตอนนี้ในสายตาของไล่ต้าและขันทีคนนั้นไม่ต้องพูดว่าอารมณ์ดี และยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องอ่อนหวาน เปี่ยมไปด้วยคุณธรรมเลย นี่เป็นภาพลักษณ์ของนางแม่มดแล้ว!


“ท่านอ๋องโปรดไว้ชีวิต ท่านอ๋องได้โปรดไว้ชีวิตข้าด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!” ขันทีตกใจจนหมอบกราบไปกับพื้น โขกหัวติดๆ กัน ร่างกายสั่นขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้ “แม้แต่ฮ่องเต้ก็ยังชื่นชมว่าท่านอ๋องอ่อนโยนและบริสุทธิ์ ท่านอ๋องจิตใจมีเมตตา ได้โปรดให้อภัยบ่าวเถิด แม้ว่าบ่าวจะทำงานไม่สมหน้าที่ แต่โทษก็ไม่ถึงขั้นตายนะพ่ะย่ะค่ะ!”


ถาวจวินหลันฟังอยู่ เพียงแค่ยิ้มเย็นออกมา ขันทีคนนี้ช่างรู้จักพูดจานัก ดูจากคำพูดนั่นดีมากเพียงใด? ใช่แล้ว มีบางครั้งที่ฮ่องเต่เอ่ยชมหลี่เย่ ถ้าหลี่เย่ไม่ได้มีจิตใจดีแล้วจะได้รับคำชมจากฮ่องเต้ได้อย่างไร? แล้วจะเหมาะสมกับชื่อเสียงที่มีมาตลอดได้อย่างไร?


“ท่านอ๋องได้โปรดให้อภัยข้าน้อยเถิด ข้าน้อยเองก็ได้รับผลพลอยมาจากไล่ต้า! ถ้าไม่ใช่เพราะเขากระแทกชนรถม้า ข้าน้อยเองก็จะไม่ตกจากรถม้า จนท่านอ๋องต้องพบเจออันตรายเช่นนี้!” ขันทีคนนั้นโขกหัวติดต่อกัน บนหน้าผากเริ่มมีเลือดซึมออกมาให้เห็น แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้แล้วเขาก็ยังสามารถเอ่ยข้ออ้างให้ตนเองได้อย่างตีหน้าซื่อ


ที่เอ่ยถึงไล่ต้าขึ้นมา และผลักความรับผิดชอบไปที่ไล่ต้านั้น จุดประสงค์คืออะไร? แค่เพียงต้องการเตือนหลี่เย่ว่าตัวต้นเรื่องเช่นไล่ต้ายังไม่ตายแล้วเขาจะตายได้อย่างไร? ไล่ต้าเป็นคนของจวนเพ่ยหยางโหว แต่เขาเป็นคนของวังหลวง ถ้าเทียบดูแล้วก็ไม่ใช่คนที่หลี่เย่จะมาจัดการได้ตามอำเภอใจ


แต่ว่าขันทีคนนั้นไม่ได้หัวรั้นเหมือนไล่ต้า  จึงไม่กล้าพูดหยาบคายออกมา


ถาวจวินหลันค่อยๆจิบชา ส่งยิ้มให้กับขันทีคนนั้นช้าๆ จากนั้นก็พูดว่า “ท่านอ๋องเป็นคนจิตใจดี เป็นมิตรอ่อนหวาน แต่ข้ากลับไม่ใช่ เจ้าทำงานไม่สมกับหน้าที่ทำให้ท่านอ๋องต้องตกอยู่ในอันตราย ข้ากลับไม่สามารถให้อภัยเจ้าได้ มิเช่นนั้นถ้าต่อจากนี้ไปทุกคนทำผิดเช่นเจ้าอีก และไม่ได้รับโทษเพราะนิสัยของท่านอ๋อง จนทุกคนต่างก็ไม่เกรงกลัว นั่นจะดีได้อย่างไร?”


หลี่เย่เบือนหน้ามองถาวจวินหลันทีหนึ่ง ไม่ได้พูดอะไรออกมาแต่กลับยิ้มออกมาแทน ความหมายนั้นดูออกไม่ยากว่าเห็นด้วยกับถาวจวินหลัน


ถาวจวินเองก็ยิ้มให้เช่นกัน พูดว่า “เรื่องนี้ท่านอ๋องต้องมอบให้ข้าจัดการถึงจะถูก มิเช่นนั้นแล้วแหกกฎไปต่อจากนี้ข้าจะดูแลบ้านได้ยากขึ้น”


คำพูดเพียงไม่กี่คำนี้พูดให้คนอื่นฟัง


อย่างที่คาดคิดเอาไว้ หลังจากที่หลี่เย่เพิ่งพยักหน้า คนที่อยู่รอบข้างล้วนมีท่าทีเปลี่ยนไปไม่มากก็น้อย มีเพียงบ่าวรับใช้ข้างกายถาวจวินหลันสองสามคนที่ยังนิ่งสงบอยู่ได้ ส่วนคนที่ไม่เคยมีความสัมพันธ์อันใดกับถาวจวินหลันมาก่อน ยามนี้กลับมีท่าทีหวาดกลัวขึ้นมาบ้างแล้ว


ถาวจวินหลันพอใจกับปฏิกิริยาเช่นนี้อย่างมาก


ขันทีคนนั้นถูกสายตาของถาวจวินหลันกดดันจนรู้สึกร้อนรน สุดท้ายก็ทุ่มออกไปสุดตัว รีบพูดว่า “บ่าวเป็นคนของวังหลวง ทำผิดแล้วก็ต้องได้รับการลงโทษจากผู้ดูแลภายในวัง มีฮ่องเต้และฮองเฮาเหนียงเหนียงลงโทษ!” แม้นความหมายในคำพูดนั้นจะไม่ได้พูดอย่างชัดเจน ว่าถาวจวินหลันไม่มีคุณสมบัตินั้น แต่ก็เห็นได้ชัดว่าหมายความเช่นนั้น


ถาวจวินหลันถอนหายใจออกมา “ดูท่าว่าวันนี้ข้าลงโทษพวกเจ้าจนตาย เจ้าคงไม่มีทางยินยอมพร้อมใจเป็นแน่ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ตัวข้าคงจะทำอะไรไม่ได้แล้ว”


ขันทีได้ยินคำพูดนี้ก็สบายใจขึ้นมาทันที


ถาวจวินหลันมองไปทางหลี่เย่


หลี่เย่รับคำพูดต่อว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ให้คนไปรายงานในวังหลวงเสียหน่อย ถามว่าตัวข้าสามารถจัดการคนผู้นี้ได้หรือไม่”


ถาวจวินหลันพยักหน้า “ตามความต้องการของท่านอ๋อง” ที่จริงแล้วต่อให้ไปถามก็มีผลลัพธ์เดียวกัน ขันทีที่คอยดูแลนั้นไม่มีทางยอมมีเรื่องกับจวนตวนอ๋องเพราะเรื่องนี้เป็นแน่ อย่างไรแล้วก็เป็นเพียงขันทีที่บังคับรถเท่านั้น ไฉนเลยจะคุ้มค่าให้สนใจ และเอาอนาคตของตัวเองเข้ามาเสี่ยงเล่า?


นอกจากคนผู้นี้มีคนคุ้มครองอยู่ อีกทั้งแน่นอนว่าต้องไม่ใช่ระดับขันทีดูแลรักษา บ่าวก็คือบ่าวยังจะข้ามหน้าเจ้านายได้อย่างนั้นหรือ? ต้องเป็นอย่างขันทีเป่าฉวนที่ดูแลรับใช้เบื้องหน้าฮ่องเต้ทุกวัน มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับฮ่องเต้ถึงจะมีอะไรแตกต่างออกไปบ้าง


ในเมื่อส่งคนไปถาม ถาวจวินหลันกับหลี่เย่ก็ไม่รีบร้อน ตัดสินใจนั่งรออยู่ที่เดิมไม่ไปไหน ถาวจวินหลันถือโอกาสตอนนี้ถามสถานการณ์ภายในจวน และจัดการเรื่องราวส่วนหนึ่ง


หลี่เย่กลับนั่งเกียจคร้านอยู่ที่เดิม เล่นน้ำเต้าเขียวใสที่สลักมาจากมรกต ดูท่าทีไม่ใส่ใจ แต่ในใจของถาวจวินหลันคิดว่า ความจริงแล้วไม่รู้ว่าคนนี้กำลังวางแผนอะไรอยู่


แค่เพียงเวลาสามกาน้ำชา เพ่ยหยางโหวฮูหยินก็ส่งลูกชายคนที่สี่หยางเจิ้นหนิงมาที่จวน


“พี่สี่” ถาวจวินหลันยิ้มพลางเดินเข้าไปต้อนรับ และให้หยางเจิ้นหนิงนั่งที่ของตนเอง “เพื่อเรื่องเล็กเท่านี้ยังต้องให้พี่สี่มาด้วยตนเอง ไม่สมควรเลยจริงๆ”


ก่อนที่หยางเจิ้นหนิงจะมาก็ได้รับการกำชับจากบิดามารดามาก่อนแล้ว ดังนั้นตอนนี้จึงยิ้มและแสดงจุดยืนของตนในทันใด “เรื่องนี้ท่านพ่อและท่านแม่รู้เรื่องแล้ว แค่เพียงบ่าวคนเดียวยังถือว่าตนเองเป็นคนของมารดาแล้วยังเอามาอวดดี แม้ว่าน้องจะไม่ฆ่าเขา แต่ส่งกลับไปที่จวนเพ่ยหยางโหวก็ต้องสั่งฆ่าอยู่ดี”


เมื่อหยางเจิ้นหนิงพูดออกมา ไล่ต้าพลันตัวสะท้าน แค่เอ่ยปากก็แฝงเสียงร่ำไห้ออกมา “คุณชายสี่ บ่าวไม่ได้ตั้งใจนะขอรับ! โทษของบ่าวไม่สมควรตายนะขอรับ! ม้าตกใจ บ่าวจะรู้ก่อนได้อย่างไร?”


ความหมายนั้นเห็นได้ชัดว่ากำลังโทษพวกเขาไม่แบ่งความผิดความถูก เห็นชีวิตคนเป็นผักเป็นปลา


ถาวจวินหลันยิ้มมองไปยังหยางเจิ้นหนิง แต่ไม่พูดอะไรออกมา


หยางเจิ้นหนิงกลับโมโหถลึงตาโต หัวเราะเสียงเย็นติดต่อกัน “คาดการณ์ไม่ได้อย่างนั้นหรือ ข้าถามเจ้าหน่อยว่าม้าที่ใช้ลากรถในจวนนั้นล้วนเป็นม้าที่ได้รับการฝึกมาจนเชื่องมิใช่อย่างนั้นหรือ?”


ไล่ต้าตะลึงไป “ขอรับ”


“ข้าถามเจ้าอีกครั้ง ทำไมม้าถึงได้ตกใจ?” หยางเจิ้นหนิงถามออกมาเสียงดัง


ไล่ต้าลดเสียงลง “โดนประทัดและก้อนหินที่เด็กคนหนึ่งปามาทำให้ตกใจขอรับ”


หยางเจิ้นหนิงยิ่งหัวเราะหนักขึ้น “แม้ว่าม้าในจวนจะตกใจ แต่ก็จะไม่วิ่งเตลิดไปจนไม่สามารถปลอบมันได้หรอกจริงหรือไม่? และยิ่งไม่บ้าคลั่งจนกระแทกเข้ากับรถม้าของจวนตวนอ๋องด้วยซ้ำไป! เพียงแค่ตกใจเพราะประทัดและก้อนหิน ถ้าเจ้าปลอบประโลมมันก็คงไม่หลุดการควบคุมเช่นนี้!”


หยางเจิ้นหนิงมาเพื่อแสดงจุดยืนอย่างแท้จริง มิเช่นนั้นคงไม่เฉียบคมและเอาความจริงออกมาตีแผ่อย่างไม่สนใจอย่างอื่น จะต้องรู้ว่าเมื่อขุดเรื่องนี้ขึ้นมา ถ้าเช่นนั้นก็ไม่มีโอกาสปิดบังเรื่องนี้อีกต่อไป


ไล่ต้าเป็นบ่าวที่เกิดในจวนโหว หากสืบพบปัญหาของเรื่องนี้ ผลลัพธ์ก็คาดเดาได้โดยไม่ต้องพูด ถ้าไม่สืบให้ชัดเจน จวนเพ่ยหยางโหวก็ไม่สามารถหลุดพ้นจากเรื่องนี้มิใช่หรือ?


ดังนั้นหยางเจิ้นหนิงเป็นเช่นนี้ อย่างแรกถือเป็นการเข้าร่วมกับหลี่เย่ อย่างที่สองก็เป็นการล้างความสงสัยของจวนเพ่ยหยางโหว อย่างไรคนที่มีตาก็มองออกอย่างแน่นอนว่าเรื่องนี้มีปัญหาแอบแฝงอยู่ ถ้าไม่สืบเรื่องนี้ให้แล้วจบ คนอื่นก็คงสงสัยจวนเพ่ยหยางโหวมิใช่หรือ?


หลี่เย่ยิ้มน้อยๆ พยักหน้าให้หยางเจิ้นหนิงเบาๆ อย่างไม่กระโตกกระตาก


ทันใดนั้นหยางเจิ้นหนิงก็สบายใจขึ้นมา ในความเป็นจริงแล้วก่อนเขาจะออกจากจวนมา เพ่ยหยางโหวได้กำชับเขาเพียงแค่เรื่องเดียว จะต้องทำให้หลี่เย่เชื่อพวกเขาและไม่อาจให้จวนเพ่ยหยางโหวแบกรับความผิดนี้เอาไว้ได้


ถาวจวินหลันเองก็ยิ้ม แต่กลับมองไล่ต้าอย่างเยียบเย็น “เจ้ายังจะแก้ตัวอีกหรือไม่?”


ไล่ต้ากลับไม่รู้ว่าจะแก้ตัวอย่างไร กัดฟันย้ำคำเดิม “บ่าวไม่ได้ตั้งใจ เรื่องราวไม่สามารถควบคุมได้จริงๆ ขอรับ! บ่าวไม่รู้เรื่อง!”


ไล่ต้ากัดฟันไม่ยอมรับ กลับทำให้รู้สึกจนปัญญา อย่างไรคนไม่ยอมรับก็คงเอาโทษไปสวมหัวไม่ได้ ไม่ว่าอย่างไรก็แลดูจะบ้าอำนาจไปเสียหน่อย


หยางเจิ้นหนิงไม่พูดอะไร มองไปที่ไล่ต้านิ่ง เหมือนกำลังคิดว่าสุดท้ายแล้วไล่ต้าจะปากแข็งไปได้นานถึงเพียงใด


ไล่ต้ากลับเหมือนไม่รู้เรื่องจริงๆ ตะโกนว่าไม่ผิดเพียงอย่างเดียว


ผ่านไปครู่หนึ่งถาวจวินหลันทนดูต่อไปไม่ไหว จึงค่อยๆ เอ่ยปากออกมา “ม้าของจวนตวนอ๋องที่ตกใจก็ถูกจับเอาไว้แล้วเช่นเดียวกัน บ่าวบอกข้าว่าก้นของม้าไม่เพียงแค่ถูกโบยจนเนื้อแตกเท่านั้น แล้วยังมีรอยแผลถูกของมีคมบางชนิดแทงอีกด้วย ไล่ต้า เจ้าต้องอธิบายอย่างละเอียดเสียแล้ว”


ใบหน้าของไล่ต้าซีดเผือดไร้สีเลือดในทันใด


หยางเจิ้นหนิงไม่รู้ว่ามีเรื่องนี้ด้วย ในตอนนั้นจึงหันไปมองถาวจวินหลัน สีหน้าค่อยๆ ฉายแววโมโหออกมา แม้ว่าก่อนหน้านี้เขาพูดอย่างฉอดๆ เต็มไปด้วยเหตุผล แต่สุดท้ายก็ยังหวังว่าไล่ต้าจะเพียงแค่ดื้อด้านแต่ไม่ได้ทำเรื่องที่สู้หน้าใครไม่ได้ มิเช่นนั้นแล้ว ไล่ต้าเป็นคนของจวนเพ่ยหยางโหว ไม่ว่าอย่างไรจวนเพ่ยหยางโหวก็ถือว่ามีโทษที่ดูแลคนได้ไม่ดี อีกทั้งเสียหน้าด้วย


ถาวจวินหลันลอบถอนหายใจ นางไม่อยากจะทำเช่นนี้แม้แต่น้อย แต่ไล่ต้ากลับหัวแข็งดื้อด้านมากเกินไป


ไล่ต้านิ่งไปครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็ตะโกนเสียงดังออกมา “ใครจะไปรู้ ว่าจวนตวนอ๋องลงมือเองหรือไม่!”


ถาวจวินหลันโมโหจนหัวเราะออกมา


หยางเจิ้นหนิงเองก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป อารมณ์โมโหกลายเป็นแค้นยกเท้าถีบในทันใด ถีบเข้าไปตรงหน้าอกของไล่ต้าอย่างจัง พูดอย่างเคียดแค้นว่า “เรื่องมาถึงตอนนี้เจ้ายังจะกล้าบิดพลิ้ว?! จวนตวนอ๋องจำเป็นต้องใส่ความบ่าวเช่นเจ้าหรืออย่างไร!”


ไล่ต้าไอออกมาสองสามที แทบจะมีเลือดผสมออกมาแต่กลับยังมองหยางเจิ้นหนิง พลางพูดแก้ตัวออกมาว่า “แต่บ่าวเป็นบ่าวของจวนเพ่ยหยางโหว! จวนตวนอ๋องจะใส่ความก็ไม่ใช่ตัวบ่าว!”


ถาวจวินหลันไม่พูดอะไรออกมา


หลี่เย่เองก็ก้มหน้าจิบชา ในตอนนี้ไม่ว่าเขาจะพูดอะไรก็ไม่เหมาะสมทั้งนั้น


หยางเจิ้นหนิงไม่คิดแม้แต่น้อย ยกเท้าถีบเข้าไปอย่างจัง “ข้ากลับไม่เคยได้ยินว่าลูกเขยจะใส่ร้ายพ่อตา” แม้จะบอกว่าถาวจวินหลันเป็นชายารอง แต่ก็สามารถพูดเช่นนี้ได้เหมือนกัน เพราะว่าเป็นบุตรสาวบุญธรรมจึงไม่สามารถเทียบกับบุตรสาวที่แท้จริงได้เท่านั้นเอง


แต่ในเวลานี้เห็นได้ชัดว่าไม่ยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดเอง และเมื่อหยางเจิ้นหนิงพูดเช่นนี้ก็มีความหมายว่าจะต้องการสานความสัมพันธ์กับหลี่เย่ให้ใกล้ชิดขึ้น แสดงออกว่าเขาไม่ได้สั่นคลอนเพราะคำพูดของไล่ต้า


ถาวจวินหลันโบกมือไปมา “ช่างเถิด ให้คนลากไล่ต้าไปจัดการโบยจนตายเลยเถิด บ่าวหัวดื้อเช่นนี้จะถามก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา”


หยางเจิ้นหนิงมองไปยังถาวจวินหลันใจกระตุกวูบขึ้นมา พูดอย่างโหดเ**้ยมว่า “ไล่ต้าเป็นเช่นนี้เห็นได้ว่าครอบครัวของเขาก็ไม่ใช่คนดีอะไร ตีให้ตายไปพร้อมกันเสียเลย! แม้จะโบยไม่ตายก็ให้ส่งไปทำงานที่เหมืองถ่าน!”


ส่งไปที่เหมืองถ่านกับโบยตีจนตายไม่ได้ต่างกัน อาจจะน่าสมเพชมากกว่าตายในทันใดเสียด้วยซ้ำไป ปกติแล้วถ้าไม่ได้ทำผิดใหญ่หลวงก็จะไม่มีการลงโทษเช่นนี้เป็นแน่

 

 

 


ตอนที่ 382

 

ชื่อเสียงไม่ดี

หยางเจิ้นหนิงพูดเช่นนี้ ทำเอาขาของไล่ต้าอ่อนแรงไป อีกทั้งใบหน้าประกายความโหดเ**้ยมออกมา “คุณชายสี่ ตั้งแต่ตระกูลข้าขอเข้ามาในตระกูลหยางของพวกท่าน ข้าทำเรื่องแทนพวกท่านไปตั้งเท่าไร? ท่านกลับไม่คิดถึงความสัมพันธ์เก่าก่อนเลยหรือ?”


ไม่พูดเรื่องนี้ยังดีเสียกว่า พอพูดแล้วหยางเจิ้นหนิงกลับโมโหยิ่งกว่าเดิม “เจ้ายังกล้าพูดเรื่องนี้อีกอย่างนั้นหรือ? แม้นตระกูลของพวกเจ้าจะเข้ามาในจวนเพราะติดจากการแต่งงานมา แต่คนที่ภักดีด้วยจริงๆ แล้วเป็นใคร? เจ้ากล้าพูดดังๆ หรือไม่?”


ไล่ต้าหลบหลีกไม่ยอมพูดอะไรออกมาอีก ผ่านไปครู่หนึ่งถึงได้ร้องขอว่า “คุณชายสี่ บ่าวตายไปยังไม่เท่าไร แต่ครอบครัวของบ่าวไม่มีโทษถึงตาย คุณชายสี่ได้โปรดเมตตา คุณชายสี่ได้โปรดเมตตาเถิดขอรับ!”


หยางเจิ้นหนิงเหลือบมองไล่ต้า และมองบ่าวรับใช้ของจวนตวนอ๋องที่ยืนอยู่รอบข้างวูบหนึ่ง


หลี่เย่ทำสัญลักษณ์ บ่งบอกให้ทุกคนออกไป


ถาวจวินหลันเองก็ตั้งใจเช่นนี้ ดังนั้นภายในช่วงเวลาสั้นๆ แม้แต่ขันทีที่มาจากวังหลวงคนนั้นก็ถูกควบคุมตัวออกไปเช่นเดียวกัน ภายในห้องเหลือแค่คนเพียงสี่คนเท่านั้น


“หากเจ้ายอมพูดว่าใครใช้ให้เจ้าทำ ข้าจะไว้ชีวิตครอบครัวของเจ้า” หยางเจิ้นหนิงค่อยๆ พูดออกมา ท่าทีจริงจัง “หากเจ้าไม่ยอมพูด ข้าจะทำให้ครอบครัวของเจ้าทั้งหมดไปรวมตัวกันในนรก”


ไล่ต้ารู้ดีอยู่แล้ว ว่าแต่เดิมหยางเจิ้นหนิงก็ไม่ใช่เจ้านายที่มีจิตใจงาม ในอดีตก็เคยไปคลุกอยู่ในสนามรบมาก่อน เมื่อก่อนฆ่าคนก็ไม่เห็นว่าจะใจอ่อนมืออ่อน


ไล่ต้าเหลือบมองหลี่เย่วูบหนึ่งด้วยหวาดระแวงเช่นเดียวกัน แม้ว่าท่านอ๋องคนนี้จะอมยิ้มจิบชาไม่ปริปากถามอยู่ตลอด แต่ก็รู้สึกเสมอว่าเขาเป็นคนที่น่ากลัวที่สุด


แน่นอนว่าการแสดงออกเยือกเย็นไร้เยื่อใยของถาวจวินหลันเมื่อครู่นี้ ก็ทำให้ใจของไล่ต้าหนาวเหน็บเช่นเดียวกัน


เห็นได้ชัดว่าคนที่เหลืออยู่ทั้งสามคนนี้ไม่ใช้เจ้านายที่จะสานสัมพันธ์ดีด้วยได้


สุดท้ายแล้วไล่ต้าก็ยอมเอ่ยปาก “หากข้าพูดไป คุณชายสี่จะรักษาสัญญาใช่หรือไม่?”


คราวนี้คนที่ออกปากรับประกันกลับเป็นหลี่เย่ “เจ้าวางใจ”


ไล่ต้าลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่กลับพูดคำพูดเหมือนจะถูก แต่แท้จริงนั้นผิดออกมา “จวนเพ่ยหยางโหวก็เป็นแค่เพียงสุนัขที่ถูกเลี้ยงมานานหลายปีเท่านั้น”


หยางเจิ้นหนิงหลุดโมโหในทันใด กำหมัดแน่นแล้วชกไปที่ไล่ต้าอย่างจัง


จากนั้นไล่ต้ากลับชิงกระทำก่อน ไม่รู้ว่าทำเรื่องอะไร ริมฝีปากกลับมีเลือดดำไหลลงมา ขาและเท้าชักกระตุกอยู่สองสามที ดวงตาเบิกโพรงตายคาที่ทันที


หยางเจิ้นหนิงทั้งตกใจและโมโห ถาวจวินหลันหัวเราะเสียงเย็น “ลงทุนมากเสียจริง” คิดไม่ถึงว่าไล่ต้ายังเป็นทหารที่ยอมพลีชีพ


“บ่าวที่หัวดื้อเช่นนี้ ควรสับให้เป็นชิ้นๆ! ให้พวกเขาไปรวมตัวพบหน้ากันที่นรกเถิด” หยางเจิ้นหนิงกล่าวอย่างเ**้ยมโหด


หลี่เย่กลับส่ายหัว “ในเมื่อเจ้ารับปากเขาแล้วก็จงไว้ชีวิตครอบครัวเขาไปเถิด เขาก็บอกเจ้าแล้วมิใช่หรือ?”


หยางเจิ้นหนิงขมวดคิ้วแน่น “เขาบอกข้าตั้งแต่เมื่อไร?”


ถาวจวินหลันอธิบายเสียงอ่อนโยน “แน่นอนว่าบอกพวกเราแล้ว เขาพูดว่าจวนเพ่ยหยางโหวก็เป็นเพียงแค่สุนัขที่ถูกเลี้ยงดูมานานเท่านั้น ความหมายก็คือสุนัขจะจงรักภักดีกับสุนัขได้อย่างไรกัน? ดังนั้นเจ้านายของไล่ต้าก็ต้องเป็นคนอื่นอย่างแน่นอน” ส่วนเจ้านายคนนี้จะเป็นใคร ไม่จำเป็นต้องบอก ทุกคนต่างก็รู้อยู่แก่ใจ


“ไล่ต้ากล้าทำเรื่องเช่นนี้ คิดว่าคงไม่ได้เป็นเพราะภักดีกับเจ้านายของตน เกรงว่าคงถูกข่มขู่ แต่เพื่อครอบครัวของตนเองถึงได้บอกพวกเราให้รู้ แน่นอนว่าต่อให้พวกเราปล่อยไป เขาก็ไม่มีทางไปรายงานเรื่องนี้ได้ เกรงว่าการที่พวกเราบังคับให้เขาพูดโดยใช้ตัวประกัน เขาถึงได้พลีชีพ” ถาวจวินหลันพูดสิ่งที่ตนเองวิเคราะห์อยู่ในใจออกมา จากนั้นก็หัวเราะขมขื่น “ฝ่ายตรงข้ามให้ยาพิษกับไล่ต้า เกรงว่าคงหมายความเช่นนี้เหมือนกัน”


หยางเจิ้นหนิงนิ่งไปครู่หนึ่งไม่พูดไม่จา จู่ๆ ก็มองไปทางหลี่เย่ “เรื่องนี้จวนเพ่ยพยางโหวของพวกข้าทำผิดต่อท่านอ๋อง เจิ้นหนิงต้องขออภัยท่านอ๋องด้วย”


หลี่เย่ยิ้มน้อยๆ สะบัดมือไปมา “กล่าวเช่นนี้หมายความอย่างไรกัน พวกเจ้าพลอยติดหางเลขไปด้วย และนี่แต่เดิมก็เป็นการแต่งงานกระชับความสัมพันธ์ มาแปลกหน้าเช่นนี้ได้อย่างไรกัน?”


หยางเจิ้นหนิงยิ้มแต่ก็ยังรู้สึกฝืนอยู่ดี สุดท้ายก็มองอย่างเคียดแค้นไปยังร่างของไล่ต้า ก่อนถอนใจออกมา “เรื่องนี้จวนเพ่ยหยางโหวจะต้องสืบให้แน่ชัดแน่นอน”


แม้ว่าจะพูดเล่นนี้  แต่ความจริงแล้วทุกคนต่างรู้กันดี ว่าเรื่องนี้คงสืบอะไรไม่พบเป็นแน่ ไล่ต้าตายไปแล้ว ไร้ซึ่งหลักฐาน แม้จะบอกว่าเหลือขันทีน้อยอยู่ แต่ต่อให้ขันทีน้อยคนนั้นถูกสั่งลงมา แต่ก็ไม่ใช่คนสำคัญอะไร พูดให้ชัดเจนก็คือเรื่องนี้สืบสาวไปแล้วจุดสำคัญก็ยังอยู่ที่ไล่ต้า


ดังนั้นเรื่องนี้คงสืบไม่พบความจริงเป็นแน่ ที่จริงแล้วต่อให้สืบพบ ไม่มีคนเป็นพยานแล้วใครจะเชื่อ? ไม่แน่ว่าจะถูกย้อนกลับมาเล่นงานด้วยซ้ำไป


หลี่เย่มองไปยังหยางเจิ้นหนิงที่รีบแสดงจุดยืนอย่างร้อนรน และไม่ได้ปริปากพูดอะไรออกมา


ภายในช่วงเวลาสั้นๆ ถาวจวินหลันก็ให้คนมายกไล่ต้าออกไป และเวลานี้ข่าวจากในวังหลวงก็มาถึงแล้วเช่นกันเป็นเพียง ขันทีน้อยคนหนึ่ง ในเมื่อหลี่เย่อยากจะจัดการ ก็ไม่ต้องส่งกลับไปที่วังหลวงอีก พูดง่ายๆ ก็คือจะเป็นตายอย่างไรก็แล้วแต่


หลี่เย่กวาดตามองขันทีน้อยที่ตัวสั่นงันงก ก่อนแย้มยิ้มอย่างเป็นมิตร


ถาวจวินหลันก็คลี่ยิ้มเช่นเดียวกัน “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ทำตามความตั้งใจแต่เดิมเถิด บ่าวไร้ประโยชน์เก็บเอาไว้ก็ใช้งานไม่ได้” ในเมื่อตั้งใจเล่นงานจวนตวนอ๋อง ต้องการปลิดขีพตวนอ๋อง เช่นนั้นก็อย่ามาหาว่านางใจร้าย!


ขันทีน้อยคิดไม่ถึงว่าถาวจวินหลันที่เป็นชายารองจะเจ้าอารมณ์ถึงเพียงนี้ ฉับพลันก็ตกใจจนทั้งร่างอ่อนแรง รีบตะโกนเสียงสูง “ข้าพูด ข้าจะพูดขอรับ!”


ถาวจวินหลันมองไปทางหลี่เย่วูบหนึ่ง เม้มปากยิ้ม หลี่เย่เองก็ยิ้มเช่นเดียวกัน


แต่สุดท้ายแล้ว สิ่งที่ขันทีน้อยพูดก็ไม่เห็นว่าจะมีประโยชน์อะไร ขันทีน้อยพูดว่าเขาไม่ได้ถูกใครสั่งมา แต่มีคนแอบส่งข่าวให้เขาว่าวันนี้เขาจะเกิดรื่อง ไม่แน่ว่าเขาเองก็จะต้องเอาชีวิตเข้าแลกเช่นเดียวกัน


หรือจะพูดว่าเรื่องนี้สืบหาอะไรไม่ได้แล้ว เรื่องเช่นนี้จะให้สืบอย่างไร? สืบไปทีละขั้นอย่างนั้นหรือ? นั่นคือวังหลวง ไม่ใช่จวนตวนอ๋อง


ถาวจวินหลันถอนหายใจออกมา มองไปยังขันทีน้อยวูบหนึ่ง สุดท้ายก็ยังพูดออกมาว่า “ด้วยเห็นแก่ตัวละทิ้งเจ้านาย บ่าวเช่นนี้เก็บเอาไว้ไม่ได้”


จิตใจดีถือเป็นเรื่องหนึ่ง อ่อนแอก็ถือเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ใจดีไม่ได้หมายความว่าอ่อนแอให้คนมารังแกได้ง่ายๆ ในสถานการณ์เช่นนั้นการที่คนบังคับรถละทิ้งรถของตนเองไปเพื่อหนีเอาชีวิตรอด ก็หมายความว่าหวังทำร้ายเจ้านาย ด้วยเป็นเพียงคนบังคับรถ เขาจึงไม่รู้ว่าผลลัพธ์ที่ตนเองหนีเอาตัวรอดเพียงลำพังเป็นอย่างไร แต่ต่อให้รู้ผลลัพธ์เขาก็ยังคงสนใจแค่ตนเอง นางรับเรื่องนี้ไม่ได้


ไล่ต้ายังมีครอบครัว แต่ขันทีคนนี้กลับอยู่เพียงลำพัง


แต่ก่อนที่จะโบยจนตาย ถาวจวินหลันก็ยังถามหลี่เย่ก่อน ว่าเขาอยากจะรายงานเรื่องนี้ให้ฮ่องเต้ทราบหรือไม่ หลี่เย่กลับส่ายหน้าปฏิเสธ “ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลา อีกทั้งเรื่องนี้ก็จัดการให้ชัดเจนไม่ได้ พวกเรารู้กันเองก็พอแล้ว”


ถาวจวินหลันเข้าใจความหมายของหลี่เย่ ไม่มีหลักฐานที่จับต้องได้ก็ถือเป็นการใส่ร้าย แม้ว่าตอนนี้จะเป็นเพราะฮ่องเต้ติดค้างจึงค่อนข้างลำเอียงเข้าข้างจวนตวนอ๋องอยู่เสียหน่อย แต่ก็คงไม่ถึงขั้นหน้ามืดตามัวหลงเชื่อเป็นแน่


อีกทั้งความสมดุลของอำนาจก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามใจชอบ ต่อให้เป็นฮ่องเต้ก็ต้องคำนึงถึงเรื่องนี้เช่นกัน


จวนเหิงกั๋วกงถืออำนาจเอาไว้มาก ในตอนนี้ยังไม่สามารถไปยุ่งได้ ถ้าไม่ใช่ถอนรากถอนโคน ก็ต้องอดทนรอจนมีโอกาส อย่างเดียวที่ไม่สามารถทำได้ก็คือแหวกหญ้าให้งูตื่น


ถาวจวินหลันกำชับหงหลัว “กระจายข่าวออกไป บอกว่าบ่าวชั่วทำงานไม่ได้เรื่อง และพูดหยาบไม่รู้จักผิด ถูกข้าโบยตีจนตาย ไม่จำเป็นต้องพูดยอมรับอะไรทั้งนั้น และไม่อนุญาตให้คนในจวนพูดเหลวไหล”


หงหลัวลังเลเล็กน้อย “แต่ถ้าเป็นเช่นนี้ กลับทำให้คนอื่นคิดว่าชายารองท่าน…”


“โหดเ**้ยมไร้เยื่อใย?” ถาวจวินหลันหัวเราะเยาะ ไม่สนใจแม้แต่น้อย “ถึงเวลาแล้วที่จะให้คนรู้ว่าจวนตวนอ๋องไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่จะมาหาเรื่องได้ง่ายๆ อีกทั้งโหดเ**้ยมไร้เยื่อใยแล้อย่างไร? ถ้าหากว่าไม่มาทำผิดกับข้า ข้าก็คงทำอะไรเขาไม่ได้ แต่หากเขามาทำผิดกับข้า น่อมต้องชดใช้กรรมที่ก่อเอาไว้”


เพื่อหลี่เย่ ซวนเอ๋อร์ และหมิงจู ต่อให้นางต้องโหดเ**้ยมกว่านี้ร้อยเท่าก็ไม่มีข้อแก้ตัวใดๆ หลี่เย่ไม่เป็นคนเลวไม่ได้ อย่างนั้นนางก็จะเป็นเอง


ไม่ว่าอย่างไรแล้วทำตัวเป็นคนจิตใจเ**้ยมเกรียม วิธีการเ**้ยมโหดก็ไม่ได้มีอะไรไม่ดี


อีกทั้งเป็นชายารองอ่อนแอได้ แต่เป็นแม่คนจะอ่อนแอไม่ได้เป็นอันขาด แล้วนางก็ไม่ได้อยากเป็นเพียงชายารองเท่านั้น เพื่ออนาคตนางก็ควรแข็งแกร่งกว่านี้


แต่เรื่องรถม้าของหลี่เย่ถูกทำให้ตกใจและได้รับบาดเจ็บนั้น สุดท้ายแล้วก็ยังแพร่กระจายไปทั่วเมืองหลวงจนกลายเป็นคลื่นลูกใหญ่ ภายในช่วงเวลาสั้นๆ คำคาดเดาต่างๆ ล้วนเกิดขึ้นครบ


ตกดึกคืนนั้น ฮ่องเต้และไทเฮาล้วนส่งคนมาดูอาการของหลี่เย่ และยังประทานของให้อีกมากมาย แม้แต่ฮองเฮาก็ยังให้คนเอาของบำรุงและอัญมณีจำนวนไม่น้อยมาให้


วันรุ่งขึ้นคังอ๋อง จวงอ๋องและอู่อ๋องก็นัดกันมาเยี่ยมเยียนหลี่เย่ แม้แต่องค์ชายเจ็ดก็แอบออกมาจากวังหลวงเช่นเดียวกัน


บวกกับองค์หญิงอีกสองสามองค์ และคนที่ไปมาหาสู่กัน ภายในช่วงเวลาสั้นๆ แขกภายในจวนตวนอ๋องก็มีมาอย่างไม่ขาดสาย


เพ่ยหยางโหวฮูหยินเองก็แวะมารอบหนึ่งเช่นเดียวกัน ขาดไม่ได้ที่จะเอ่ยขอโทษออกมา ไม่ว่าจะพูดเช่นไรล้วนเป็นจวนของพวกเขาที่สั่งสอนไม่ดี โดยเฉพาะเรื่องราวตอนนี้ไม่สามารถเปิดเผยได้ ก็ยิ่งทำให้คนพูดกระจายกันไปทั่ว


เห็นชัดว่าเพ่ยหยางโหวฮูหยินไม่พอใจกับเรื่องนี้เช่นกัน แอบพูดกับถาวจวินหลันว่า “ด้านนอกล้วนพูดว่าต่อจากนี้พวกเราทั้งสองครอบครัวคงจะแตกกันแล้ว”


ถาวจวินหลันยิ้มเล็กน้อย ปลอบประโลมเพ่ยหยางโหวฮูหยิน “ท่านอ๋องเคยพูดแล้ว พวกเราแต่งงานสานความสัมพันธ์ ไม่ว่าเมื่อไรคงไม่มีทางแตกแยกกันด้วยเรื่องเล็กเท่านี้เป็นแน่เจ้าค่ะ”


เพ่ยหยางโหวฮูหยินพลันแย้มยิ้ม “ตวนอ๋องเป็นคนใจกว้าง เมื่อพูดเช่นนี้ข้าก็วางใจ” หยุดไปครู่หนึ่งก็พูดออกมาอีกว่า “ใช่แล้ว อีกไม่นานซินหลันก็จะต้องออกเรือนแล้ว เจ้าเองก็ไม่ว่าง ข้าให้คนที่เชื่อใจได้ไปคอยช่วยองค์หญิงเก้าแล้ว อีกทั้งเจ้าเองก็เป็นบุตรสาวบุญธรรมของข้า ซินหลันก็ไม่ต่างกันมากนัก แม้ไม่ได้ถือว่าข้าเป็นแม่บุญธรรมอย่างชัดเจน แต่ข้าก็ยังเตรียมของสินสอดทองหมั้นเอาไว้ให้ชุดหนึ่ง”


เพ่ยหยางโหวฮูหยินพูดไปพลางหยิบหระดาษรายการสินสอดมาให้ถาวจวินหลัน


ถาวจวินหลันเองก็ไม่ปฏิเสธ เพียงแค่เอ่ยขอบคุณ รอยยิ้มของเพ่ยหยางโหวฮูหยินยิ่งกว้างขึ้นไปอีก จับมือของนางเอาไว้และพูดว่า “ในเมื่อเป็นครอบครัวเดียวกัน ทำไมพวกเรายังจะต้องแปลกหน้าต่อกันอีก?”


ถาวจวินหลันยิ้มรับคำ พอมีเวลาว่างแล้วถึงได้หยิบใบรายการสินสอดออกมาดู แล้วนางก็ออยิ้มไม่ได่ “จวนเพ่ยหยางโหวเสียหายครั้งใหญ่แล้ว” รายการสินสอดนี้เทียบกับของนางในตอนนั้นไม่ได้ แต่ก็ไม่ถือว่าน้อย เห็นความจริงใจของเพ่ยหยางโหวฮูหยินได้อย่างชัดเจน


ถาวจวินหลันวิเคราะห์กับหลี่เย่เป็นการส่วนตัว “ผ่านเรื่องนี้มาเกรงว่าจวนเหิงกั๋วกงและจวนเพ่ยหยางโหวคงจะต้องแตกแยกกันแล้ว” ไล่ต้าเป็นเด็กที่เกิดมาในจวนเหิงกั๋วกง มาถึงจวนเพ่ยหยางโหวเพียงไม่กี่สิบปีเท่านั้น เมื่อดูจากหน้าที่ของไล่ต้าแล้ว ก็รู้ว่าไม่ได้รับความสำคัญ เห็นได้ชัดว่าจวนเพ่ยหหยางโหวก็กีดกันจวนเหิงกั๋วกงมาตลอดไฝมิใช่อย่างนั้นหรือ? แต่คราวนี้จวนเหิงกั๋วกงกลับทำมากเกินไปแล้ว

 

 

 


ตอนที่ 383

 

เลวร้ายที่สุด

ตกดึก หลี่เย่ทำท่าทางราวกับว่าจะช่วยทายาให้ถาวจวินหลัน


ถาวจวินหลันไม่ยอม ทำหน้าเคร่งขรึมแล้วพูดว่า “ท่านเองก็บาดเจ็บถึงเพียงนี้ ยังไม่ยอมหยุดพักเสียหน่อย”


หลี่เย่เพียงแต่ยิ้ม “แค่มือเดียวก็ใช้ทายาได้ จะไปเหมือนกับสาวใช้พวกนั้นที่ไหนกันเล่า? ให้ข้าทาให้เจ้าเถิด เจ้าเองก็ช่วยทายาให้ข้าดีรึไม่? พวกเราช่วยกันทายาให้กัน”


ถาวจวินหลันเพียงแต่จับเสื้อไว้แน่นไม่ยอมปล่อย “ข้ารู้สึกไม่สบายใจ”


รอยยิ้มของหลี่เย่ยิ่งกว้างขึ้นไปอีก “เป็นสามีภรรยาอยู่กินกันมานานแล้ว ยังจะอายอะไรอีกรึ?”


พูดไปพูดมาสักพัก สุดท้ายถาวจวินหลันก็เถียงหลี่เย่ไม่ชนะ จึงได้แต่ค่อยๆ ปล่อยมือออกจากเสื้อผ้า เนื่องจากนางหันหลังให้หลี่เย่ ดังนั้นนางจึงไม่เห็นสีหน้าของหลี่เย่ตอนที่มองสีเขียวช้ำตรงไหล่ของนาง


หลี่เย่ทำหน้าเคร่งขรึมและเม้มปากในขณะที่ค่อยๆ ทายาให้ถาวจวินหลัน ถึงแม้ว่าจะทำหน้าเคร่งขรึม แต่น้ำหนักมือของเขาที่ทายาให้ถาวจวินหลันกลับนุ่มนวลเป็นอย่างมาก ด้วยกลัวว่าจะทำให้ถาวจวินหลันเจ็บ


เพียงแต่แผลที่บาดเจ็บเช่นนี้ ไม่ว่าน้ำหนักมือจะเบาอย่างไรก็ยังทำให้เจ็บได้อยู่ดี แต่ถาวจวินหลันกัดฟันไม่กล้าส่งเสียงออกมาก็เท่านั้น…นางรู้ดีอยู่แก่ใจว่าบาดแผลนั้นเป็นเช่นไร แล้วก็รู้ดีว่าหลี่เย่เห็นแล้วจะรู้สึกไม่สบายใจแน่นอน นางไม่อยากให้เขาต้องไม่สบายใจ จึงได้อดทนเอาไว้


จนกระทั่งทายาเสร็จ สวมใส่เสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว ถาวจวินหลันก็หันไปมองหลี่เย่ พอเห็นว่าสีหน้าของเขาไม่ดีนัก จึงยิ้มแล้วพูดว่า “สถานการณ์ในตอนนั้น หากไม่ใช่เป็นเพราะท่านปกป้องข้าเอาไว้ ข้าจะได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยเท่านี้รึ? อีกทั้ง คนเร่งม้าผู้นั้นก็ได้ถูกท่านลงโทษจนตาย ก็ถือว่าท่านแก้แค้นแทนข้าแล้ว”


กลับเป็นเขาที่บาดเจ็บหนักกว่า น่าเป็นห่วงมากกว่านาง เพียงแต่ในตอนนี้เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่เวลาที่สมควรจะพูด ดังนั้นนางจึงไม่ได้เอ่ยออกไป


หลี่เย่ถอนใจ “บาดเจ็บถึงเพียงนี้แล้ว ยังจะเรียกว่าดีอยู่ได้อย่างไร? เพียงแต่น่าโมโหที่ยามนี้ยังไม่สามารถหาวิธีแก้แค้นตัวคนบงการได้”


“จะต้องมีสักวันที่ทำได้” พอเก็บกระปุกยาเอาไว้ที่ตู้ตรงหัวนอนแล้ว นางก็เข้าไปในอ้อมกอดของหลี่เย่ แล้วปลอบเขาเสียงเบา “ตอนนี้ก็เพียงแค่ต้องอดทนก็เท่านั้น อีกทั้งเมื่อพวกเรารู้ตัวผู้บงการแล้ว ยังจะกลัวว่าไม่มีหนทางแก้แค้นได้รึ?”


หลี่เย่ได้ยินแล้วก็ยิ้มออกมาทันที “เจ้าพูดถูก” เพียงแต่รอยยิ้มกลับดูเย็นชา แววตาแฝงด้วยความร้ายกาจ “ข้าได้ยินมาว่าเหิงกั๋วกงเลี้ยงภรรยานอกสมรสเอาไว้ เพียงแต่ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ไม่กี่วันก่อนข้าให้คนไปสืบดูแล้ว เหิงกั๋วกงฮูหยินเป็นคนขี้อิจฉาริษยา ถึงแม้จะแก้แค้นไม่ได้ แต่ก็สร้างเรื่องวุ่นให้พวกเขาได้”


ที่สำคัญก็คือ เหิงกั๋วกงฮูหยินมีลูกชายเพียงคนเดียว ทั้งยังเป็นคนขี้โรค แต่ภรรยานอกสมรสผู้นั้นเพิ่งคลอดลูกชายฝาแฝดที่แข็งแรงให้เหิงกั๋วกง หงกั๋วกงได้ลูกชายเพิ่มอีกก็ดีอกดีใจและภูมิใจอย่างมาก


หากว่าเหิงกั๋วกงฮูหยินรู้ว่ายาของลูกชายตัวเองถูกคนใส่อะไรลงไป จะคิดเช่นไร?


อีกอย่างก็คือ ผู้ว่าการเมืองหลวงที่เหิงกั๋วกงเป็นคนแนะนำนั้น ไม่เพียงแต่ทำงานไม่ดี ทั้งยังน่าสงสัยว่าทุจริต แล้วเหิงกั๋วกงจะทำเช่นไร? ในใจค่อยๆ ครุ่นคิดเรื่องพวกนี้เป็นอย่างดีแล้ว อารมณ์หงุดหงิดในใจของหลี่เย่ก็ดีขึ้นไม่น้อย


ถาวจวินหลันพิงอยู่ที่ไหล่เขาพลันรู้สึกสบายใจขึ้น…นางยังรู้สึกกลัวจริงๆ ว่าเขาจะรู้สึกผิดเพราะเรื่องนี้อีก


“พวกเราพักเรื่องไปหลบร้อนที่นอกเมืองไว้ก่อนจะดีกว่า” ถาวจวินหลันพิงอยู่ที่อกของหลี่เย่ แล้วเอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมา “ตอนแรกคิดว่าหลังจากซินหลันแต่งงานแล้วพวกเราก็ค่อยออกเดินทาง แต่ว่าดูจากสถานการณ์แล้ว ไม่สู้พวกเราอยู่ในเมืองหลวง ไปอยู่นอกเมือง ถึงอย่างไรก็ไม่ปลอดภัยเท่าอยู่ในจวนอ๋อง”


หากว่าถูกทำร้ายหรือเกิด “อุบัติเหตุ” ใดๆ ขึ้นอีก นางก็คงจะรับไม่ไหวอีกแล้ว


หลี่เย่เองก็เข้าใจว่านี่เป็นสิ่งที่ดีที่สุด แต่ว่าก็ยังรู้สึกเสียดาย “พลาดครั้งนี้ไป ไม่รู้ว่าต้องรออีกเมื่อไรถึงจะมีเวลาและโอกาสเช่นนี้” รอจนกระทั่งอาการบาดเจ็บของเขาหายแล้ว เกรงว่าจะยิ่งยุ่งขึ้นอีก ยิ่งไม่มีเวลาดูแลถาวจวินหลันและจวนอ๋อง


ถาวจวินหลันหัวเราะเบาๆ แล้วพูดออกมาจากใจ “เพียงแค่ได้อยู่ด้วยกัน ไม่ว่าจะอยู่นอกเมืองหรือที่ใด ข้าก็รู้สึกดีทั้งนั้น”


หลี่เย่ได้ยินแล้วก็รู้สึกหวานซึ้งในใจ อดก้มหน้าลงมาจูบถาวจวินหลันไม่ได้ จากนั้นก็สูดหายใจเข้าเบาๆ “ข้าก็เช่นกัน”


หลี่เย่เดินเหินไม่สะดวก ดังนั้นจึงไม่ค่อยออกไปห้องหนังสือด้านนอกนัก มีอะไรก็จะให้คนเอามาที่ห้องหนังสือเล็กของเรือนเฉินเซียง แม้แต่เรื่องความเคลื่อนไหวใดๆ ข้างนอก เขาก็เรียกหวังหรูมาพูดกับเขาที่นี่


เวลาถาวจวินหลันคอยถวายการดูแลอยู่ข้างๆ ก็พอจะได้ยินมาบ้าง


วันนี้หวังหรูพูดถึงเรื่องเช้านี้ราชสำนักพูดคุยกันเรื่องผู้ว่าการเมืองหลวง


ถาวจวินหลันเองก็รู้สึกสนใจ…หลี่เย่เคยพูดว่า อยากให้ลูกศิษย์ของใต้เท้าเฉินเข้ามารับตำแหน่งนี้แทน ไม่รู้ว่าเรื่องนี้ไปถึงไหนแล้ว


แต่เห็นได้ชัดว่าเรื่องนี้ไม่มีทางทำเสร็จได้ภายในวันสองวัน หวังหรูพูดว่า ถึงแม้จะมีคนไปฟ้องร้องไม่น้อย แต่เนื่องจากคนของฝั่งเหิงกั๋วกงต่างช่วยกันพูดแก้ต่าง เรื่องนี้จึงทำได้เพียงแต่หยุดเอาไว้ก่อน


ส่วนฮ่องเต้นั้น ยังไม่มีท่าทีใดๆ


หลี่เย่คิดแล้ว ก็สั่งหวังหรู “เอาหลักฐานการทุจริตของผู้ว่าการส่งไปให้ตระกูลของภรรยาเอกเขา ข้าจำได้ว่าภรรยาเอกของผู้ว่าการคนนี้ถูกอนุฆ่าตายมิใช่รึ? ตั้งแต่นั้นมา เครือญาติก็กลายเป็นศัตรูกันไปแล้ว”


ถาวจวินหลันรู้สึกแปลกใจทันที แล้วถามอย่างประหลาดใจว่า “ผู้ว่าการเมืองหลวงผู้นี้ใจกล้าถึงเพียงนั้นเชียวรึ? ถึงได้กล้าหลงใหลอนุจนฆ่าภรรยาเอก?”


หลี่เย่หัวเราะอย่างเย้ยหยัน “ไม่เพียงเท่านั้น เขายังบังคับให้เด็กผู้ชายหน้าตาดีเป็นทาสบำเรอกามให้เขา จนเกือบจะทำให้เด็กตาย แต่ว่าเรื่องนี้เขาได้ปกปิดเอาไว้ ไม่มีใครกล้าทำให้เป็นเรื่องใหญ่ เรื่องหลงอนุจนฆ่าภรรยาเอกนั้นเป็นเรื่องเล็ก…เจ้าไม่รู้ว่า ตอนนี้ภรรยาเอกคนที่สองของเขาเป็นลูกสาวที่เกิดจากอนุของเหิงกั๋วกง”


สักพัก ก็พูดอย่างมีลับลมคมในว่า “ได้ยินว่า ก่อนหน้านี้ลูกชายของภรรยาเอกไม่ได้เป็นที่โปรดปราน เทียบกับลูกชายของอนุแล้ว เขายิ่งโปรดปรานลูกชายของอนุมากกว่า”


ถาวจวินหลันได้ยินแล้ว ก็อดโกรธขึ้นมาไม่ได้ “คนแบบนี้ช่างไร้คุณธรรมเกินไปแล้ว เป็นผู้ชายเป็นสามีได้อย่างไร? ช่างน่าไม่อายเสียจริง”


หลี่เย่เหมือนยังพูดไม่หมด จึงพูดต่ออีกว่า “คนนอกถึงขั้นลือกันว่า จริงๆ แล้วเรื่องที่ภรรยาเอกของผู้ว่าการถูกอนุฆ่าตายนั้น แท้จริงแล้วถูกผู้ว่าการวางยาพิษด้วยตัวเอง เพื่อสร้างความสัมพันธ์กับเหิงกั๋วกง”


ถาวจวินหลันรู้สึกประหลาดใจมาก เพียงแต่ก็ยังรู้สึกสงสัยเล็กน้อยว่านี่อาจจะไม่ใช่เรื่องจริง “ถึงอย่างไรก็เป็นเพียงแค่ข่าวลือ เพียงแต่…หากว่าเป็นเรื่องจริง ก็ดูน่ากลัวเกินไปหน่อย”


คนทั่วไปต่างรู้ว่า จิตใจของผู้หญิงร้ายกาจที่สุด แต่ในวันนี้พอดูไปแล้ว พอจิตใจของผู้ชายเลวร้าย ถึงจะเรียกว่าไร้หัวใจจริงๆ อย่างน้อยในโลกนี้ ภรรยาทำร้ายสามีก็มีไม่มาก ผู้หญิงที่ไม่รักลูกก็ยิ่งหาไม่ได้ แต่ผู้ชายคนนี้…


“เวลานี้ลูกชายจากภรรยาเอกของผู้ว่าการอายุสิบสี่ปี สอบติดราชการแล้ว แต่กลับไปล่วงเกินสาวใช้ในจวนจนสาวใช้คนนั้นทนความอับอายไม่ไหวฆ่าตัวตาย เขาถึงได้ถูกตัดชื่อออกไป” หลี่เย่เปิดเอกสารที่หวังหรูส่งมา แล้วก็ค่อยๆ พูดออกมาว่า “จริงๆ หลังจากที่เขาสอบราชการได้แล้ว ลูกชายของภรรยาเอกคนนี้ก็แอบสืบเรื่องการตายของแม่เขาอย่างเงียบๆ ปรากฏว่าไม่เพียงแต่เกิดเรื่องนี้ขึ้น แม้แต่คู่หมั้นที่เขาหมั้นหมายเอาไว้แต่เด็กก็ถอนหมั้นเขา”


ถาวจวินหลันขมวดคิ้ว แล้วก็อดเห็นใจไม่ได้ “เช่นนั้นต่อไปเขาจะทำอย่างไรได้? ไม่มีชื่อในราชการแล้ว อีกทั้งยังถูกถอนหมั้นด้วยเรื่องนี้ เกรงว่าต่อไปจะหาคู่แต่งงานด้วยยาก” เท่ากับว่าชีวิตนี้พังทลายไปแล้ว ไม่มีหวังอีกต่อไป


สักพัก นางก็อดพูดอย่างสงสัยไม่ได้ว่า “สาเหตุที่สาวใช้คนนั้นฆ่าตัวตายเป็นเพราะเขาจริงๆ หรือ?” ต้องรู้ด้วยว่า บ้านตระกูลใหญ่ทั่วไป เรื่องการเตรียมสาวใช้อุ่นเตียงให้คุณชายไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร กลับถือเป็นเรื่องธรรมดาอย่างมาก แม้ว่าคุณชายจะชื่นชอบตัวสาวใช้ผู้นั้นมากเพียงใด ก็ไม่จำเป็นต้องบีบบังคับ อีกทั้งพูดอย่างไม่น่าฟังล่ะก็ จะมีสาวใช้สักกี่คนฆ่าตัวตายเพราะได้รับความโปรดปรานจากเจ้านายกัน? ถึงแม้ว่าจะไม่ชอบ แต่ก็ไม่ถึงขั้นต้องทำเช่นนี้มิใช่หรือ?


หลี่เย่หัวเราะ “ที่น่าขันก็คือ สาวใช้ผู้นั้นกลับเป็นสาวใช้ที่ดูแลพ่อของเขาในห้องหนังสือ”


ถาวจวินหลันอ้าปาก แต่พูดอะไรไม่ออก สำหรับลูกชายแล้ว ไม่ว่าจะไม่เอาไหนเพียงใด ก็ไม่ถึงขั้นไปล่วงเกินผู้หญิงของพ่อมิใช่หรือ?


“พูดไปแล้ว เกรงว่ามีเงื่อนงำอยู่ไม่น้อย” สำหรับถาวจวินหลันแล้ว นางรู้สึกว่าคุณชายผู้นั้นดูเหมือนจะถูกใส่ร้าย “จะมีเรื่องน่าบังเอิญเช่นนั้นได้อย่างไร เพิ่งจะสอบราชการได้ไม่เท่าไหร่ ต่อมาก็เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น”


สักพักหัวใจของนางก็เต้นแรง แล้วก็ยิ้มออกมา “ท่านว่า หากว่าท่านช่วยคุณชายผู้นั้นสืบหาความจริงเสียหน่อยจะเป็นเช่นไร?”


หลี่เย่ยิ้มออกมาทันที “ข้าก็กำลังคิดเช่นนั้น”


เขาวางแผนกำจัดแขนขาของเหิงกั๋วกงคนหนึ่งให้ราบคาบ ในเมื่อลงมือแล้ว จะไม่มีทางปล่อยโอกาสให้อีกฝ่ายรอดกลับมาได้อีก อีกทั้งผู้ว่าการกับเหิงกั๋วกงสนิทสนมกันมากเช่นนี้ ถึงตอนนั้นไม่ว่าอย่างไรเหิงกั๋วกงก็จะได้รับผลกระทบไปด้วยมิใช่หรือ?


พอนึกถึงผลสำเร็จของเรื่องนี้แล้ว รอยยิ้มของหลี่เย่ก็ยิ่งกว้างขึ้นอีก


พอเห็นรอยยิ้มของหลี่เย่ ถาวจวินหลันก็รู้ว่าคุณชายผู้นั้นเป็นแสงสว่างส่องทาง นางจึงรู้สึกดีใจ แต่ว่าก็ยังคงพูดอย่างโกรธแค้นว่า “แต่ถึงอย่างไรผู้ว่าการคนนั้นก็เลวร้ายเกินไป เห็นได้ว่าผู้ชายไร้หัวใจ ไม่มีความเป็นคนเลยเสียจริง”


หลี่เย่กระแอมออกมา ท่าทางทำตัวไม่ถูก


ถาวจวินหลันหันไปหาเขาแล้วหัวเราะ “ข้าไม่ได้ว่าท่าน ท่านจะกระแอมทำไมกัน?”


หลี่เย่ยิ้มแหยๆ คิดในใจว่า จริงๆ แล้วเขาก็เป็นคนไร้หัวใจเช่นกัน หลิวซื่อ เจียงอวี้เหลียน และผู้หญิงคนอื่นในจวนตวนอ๋องก็เป็นเช่นนั้น เพียงแต่เขาไม่รู้สึกเสียใจ เขารู้ดีแก่ใจว่า ให้ความรักกับทุกคนถึงจะเรียกว่าทำร้ายคนอื่นอย่างร้ายกาจที่สุด หากหลิวซื่อไม่เป็นเช่นนั้นแต่แรก เขาก็ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น ส่วนเจียงอวี้เหลียนและผู้หญิงคนอื่นในจวนตวนอ๋อง หากไม่ใช่เพราะว่าเขาต้องรับผิดชอบ ก็เป็นเพราะเขาปฏิเสธไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางเลือก


อีกทั้งเขาไร้หัวใจเช่นนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่มีข้อดีมิใช่หรือ? อย่างน้อย พวกนางก็จะได้เข้าใจว่า แม้ว่าจะแก่งแย่งชิงดีกันไป พวกนางก็ไม่มีโอกาส นี่ก็ถือเป็นอีกหนึ่งวิธีให้ภายในเรือนอยู่กันอย่างสงบ


ถาวจวินหลันกลับไม่ได้คิดถึงเรื่องพวกนี้…ถึงอย่างไรสำหรับนางแล้ว หลี่เย่ก็เป็นสามีที่ดีจนหาจากที่ใดไม่ได้อีก โดยเฉพาะหลังจากได้ยินเรื่องสกปรกภายในจวนของผู้ว่าการเมืองหลวงแล้ว นางยิ่งรู้สึกว่าหลี่เย่เป็นผู้ชายที่หาได้ยากในโลกนี้ อย่างน้อยสำหรับนางแล้วก็เป็นเช่นนั้น


ส่วนคนอื่นก็ไม่เกี่ยวอะไรกับนาง ถึงขั้นว่าถ้าพูดจากใจจริง นางก็ยังหวังว่าหลี่เย่จะไม่ทำดีกับผู้หญิงคนไหน ในสายตาของเขามีแต่นางเพียงคนเดียวเท่านั้น


ผ่านไปอีกไม่กี่วัน งานแต่งงานของถาวซินหลันเข้ามาแล้ว แน่นอนว่าถาวจวินหลันต้องยุ่งวุ่นวายมากขึ้น อีกทั้งตอนนี้ ยังมีข่าวดีมาจากชายแดน ซินพานนำทหารเข้ารบกับข้าศึกจนได้รับชัยชนะ ถึงขั้นว่าตีเข้าไปภายในดินแดนแห่งทุ่งหญ้า จนสามารถจับผู้นำของพวกศัตรูมาได้


พอข่าวนี้แพร่ออกไปแล้ว เมืองหลวงก็คึกคักขึ้นมาทันที ต้องรู้ด้วยว่า กี่ปีมาแล้ว ที่ได้ทำการสู้รบกับดินแดนแทบทุ่งหญ้ามานาน แต่ไหนแต่ไรราชวงศ์นี้ก็ถูกโจมตีเพื่อแย่งชิงราชบัลลังก์มาโดยตลอด และไม่เคยได้รับชัยชนะอันยิ่งใหญ่เช่นนี้! ถึงอย่างไร ฝ่ายศัตรูก็ไม่ได้อยู่กับที่ คนแถบนั้นต่างท่องตระเวนไปเรื่อย ไม่มีที่อยู่อาศัยเป็นหลักเป็นแหล่ง!


บทที่ 384 ดึงดูดสายตา


ซินพานได้รับชัยชนะอันยิ่งใหญ่ในครั้งนี้ ก็จะต้องนำทหารกลับมาที่เมืองหลวง แน่นอนว่า การได้รับรางวัลใหญ่และได้เลื่อนขั้นนั้นก็เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้อย่างแน่นอน สำหรับคนที่แนะนำซินพานและเคยอยู่ชายแดนด้วยกันอย่างหลี่เย่แล้ว ก็พลอยได้รับความดีความชอบไปด้วย


อย่างน้อย ฮ่องเต้ก็รู้สึกว่าลูกชายคนรองของตัวเองมีความสามารถมากขึ้นไม่น้อย บวกกับโดยปกติแล้วหลี่เย่ไม่ได้มีความสามารถในการเรียนและการต่อสู้มากนัก ยิ่งทำให้เขารู้สึกว่าหลี่เย่เติบโตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น สำหรับคนเป็นพ่อแล้ว แน่นอนว่าก็ต้องรู้สึกภูมิใจ แล้วในฐานะฮ่องเต้ย่อมต้องรู้สึกพึงพอใจกับลูกชายที่มีความสามารถเช่นนี้


ส่วนจะไม่สบายใจหรือกังวลใจบ้างหรือไม่ กลับไม่มีใครรู้ได้แล้ว


แต่ถาวจวินหลันคิดว่าต่อให้ฮ่องเต้รู้สึกเช่นนี้จริงๆ ก็คงไม่ได้รู้สึกมากนัก ถึงอย่างไรก่อนหน้านี้หลี่เย่ก็มีท่าทีอ่อนโยนนอบน้อมและไม่มีความคิดกระหายอำนาจมาโดยตลอด เพียงแต่มีนิสัยเย็นชาไปบ้าง แต่เช่นนี้ ก็ไม่เหมือนกับคนที่กระหายในอำนาจและฐานะฮ่องเต้ ดังนั้นคิดว่าอย่างน้อยหลายคนก็น่าจะถูกท่าทีที่หลี่เย่แสดงออกมาโดยตลอดหลอกให้หลงเชื่อไปได้บ้าง


เดาว่าหลี่เย่ก็ไม่มีทางให้ใครสัมผัสถึงความคิดขึ้นเป็นใหญ่ในใจของเขาได้กระมัง? อย่างน้อยก็ก่อนที่เขาจะพร้อมอย่างเต็มที่


ส่วนความคิดของฮ่องเต้นั้น กลับแสดงออกมาได้เป็นอย่างดีจากของรางวัลที่ประทานให้ จวนอ๋องไม่ขาดแคลนเงินทองของมีค่าต่างๆ เลยแม้แต่น้อย แต่ก็เป็นการแสดงถึงเกียรติและศักดิ์ศรีมิใช่หรือ?


ที่สำคัญที่สุดก็คือ ครั้งนี้ ฮ่องเต้ทรงประทานบ้านพักที่มีบ่อน้ำพุร้อนให้หลี่เย่ บ้านพักแห่งนี้อยู่ใกล้กับพระราชวังฤดูร้อนมากที่สุด แต่นี่ไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้ผู้อื่นสนใจนัก เพียงแต่บ้านพักแห่งนี้ฮ่องเต้พระองค์ก่อนทรงประทานให้กับฮ่องเต้ในตอนที่พระองค์ยังทรงเป็นองค์รัชทายาท


เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ทำให้คนอดคิดกันไปต่างๆ ไม่ได้ ฮ่องเต้ในตอนนั้นทรงเป็นองค์รัชทายาท จะมีสิทธิพิเศษเช่นนี้ก็ถือเป็นเรื่องปกติ แต่หลี่เย่…ฮ่องเต้ทรงหมายความว่าอย่างไรกันแน่?


วันรุ่งขึ้นหลังจากทรงประทานให้ ฮ่องเต้ก็ทรงพระกาสะ คังอ๋องรีบเข้าวังไปถวายการดูแล คนไม่น้อยเห็นสีหน้าของคังอ๋องดูไม่ดีนัก ดูร้อนใจและไม่สบายใจเป็นอย่างมาก


พริบตาเดียว คนไม่น้อยก็เอ่ยปากชมว่าคังอ๋องเป็นคนกตัญญู


ข่าวนี้แพร่มาถึงหูของถาวจวินหลัน ก็ทำให้นางอดหัวเราะออกมาไม่ได้ทันที…ใครจะรู้ว่าที่ดูร้อนใจและไม่สบายใจนั้น สรุปแล้วเป็นเพราะฮ่องเต้หรือว่าเป็นเพราะหลี่เย่ได้รับบ้านพักที่มีน้ำพุร้อนนั่นกันแน่?


จริงๆ แล้วไม่เพียงแค่คนอื่นเท่านั้นที่คิดมาก ถาวจวินหลันเองก็คิดมากเช่นกัน รู้สึกกังวลใจเล็กน้อย แล้วก็อดแอบถามหลี่เย่ไม่ได้ “ฮ่องเต้ทรงทำเช่นนี้จะดึงดูดสายตาผู้อื่นมากเกินไปหรือไม่”


หลี่เย่กลับไม่กังวลใจ เพียงแต่ยิ้มบางๆ อย่างเป็นธรรมชาติ “กลัวอะไรรึ? ก็เพียงแค่บ้านพักหลวงหลังหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่ตำแหน่งองค์รัชทายาทเสียหน่อย หากว่ามีคนร้อนใจจะเป็นจะตายด้วยเรื่องนี้ เจ้าก็รอดูเรื่องสนุกได้เลย ความคิดของเสด็จพ่อ…ข้าพอจะเดาออกบ้าง อย่าได้กังวลไป”


อีกทั้ง เอาแต่ถ่อมตนอดทนก็จะถูกคนทำร้ายได้ ไม่สู้แสดงท่าทีออกมาเสียบ้าง ถ้าเป็นเช่นนี้ นางก็ไม่จำเป็นจะต้องลำบากเช่นนี้


ในเมื่อหลี่เย่พูดเช่นนี้ ถาวจวินหลันจึงไม่ถามต่ออีก พยักหน้ายิ้มแล้วพูดถึงเรื่องงานแต่งของถาวซินหลันแทน “จวนเพ่ยหยางโหวทำเช่นนี้ ไม่กลัวว่าจะเสียเปรียบเลยแม้แต้น้อย แต่ว่า หลังจากผ่านเรื่องนั้นมา ข้าเห็นว่าท่าทีของพวกเขาดูระแวดระวังมากยิ่งขึ้น ราวกับเกรงว่าพวกเราจะสงสัยพวกเขาอย่างนั้น”


“ถึงอย่างไรพวกเขากับฮองเฮาและเหิงกั๋วกงก็มีความสัมพันธ์กัน แน่นอนว่าต้องกลัวว่าพวกเราจะไม่เชื่อ” หลี่เย่ยิ้มบางๆ มองไปทางถาวจวินหลัน “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เจ้าทำให้เพ่ยหยางโหวฮูหยินมั่นใจก็พอ แล้วก็ควรเตือนพวกเขา ให้แบ่งแยกฝ่ายชัดเจน”


ถาวจวินหลันพยักหน้า “ต่อไปข้าจะไปมาหาสู่ให้บ่อยขึ้น พูดไปแล้ว จริงๆ จวนเพ่ยหยางโหวยังมีลูกสาวที่เกิดจากอนุอีกสองคน กู่ลิ่งจือคนนั้น…” หากว่ามีความสามารถเสียหน่อย คิดว่าจวนเพ่ยหยางโหวจะไม่มีทางไม่ยินดีอย่างแน่นอน


หลี่เย่ไม่ค่อยสนใจเรื่องภายในบ้านนัก จึงได้แต่ยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าจัดการเอาเถิด”


พริบตาเดียวก็มาถึงวันมงคลของถาวซินหลัน ก่อนหน้าหนึ่งวันถาวจวินหลันก็ได้ไปดูให้เรียบร้อย แล้วยังกำชับอีก ทั้งยังให้หมัวหมัวที่สอนองค์หญิงเก้าเรื่องบนเตียงระหว่างสามีภรรยามาสอนถาวซินหลัน พอรู้สึกว่าที่ควรเตรียมก็เตรียมจนครบแล้ว นางถึงได้กลับจวนตวนอ๋อง


เพียงแต่คืนนั้นนางพลิกตัวไปมานอนไม่หลับ…จริงๆ แล้วพูดได้ว่านางเป็นคนเลี้ยงดูถาวซินหลันจนโตมาเองกับมือ ตอนนี้ถาวซินหลันจะแต่งงานแล้ว นางรู้สึกใจหาย ทั้งยังรู้สึกเศร้าเล็กน้อย


พอนางฟังเสียงลมหายใจของหลี่เย่ เสียงลมพัดจากข้างนอก ความรู้สึกเศร้าใจนี้ก็ค่อยๆ เพิ่มมากขึ้น ดูเหมือนกับความทรงจำของนางจะเริ่มผุดออกมาทีละน้อย


ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเพียงใด หลังจากตื่นขึ้นมาแล้วนางกลับพบว่าดวงตาของตัวเองมีน้ำตาคลอ เรื่องที่ถาวซินหลันจะแต่งงานนั้น นอกจากความรู้สึกใจหายที่เด็กสาวตัวน้อยๆ ในวันนั้นโตเป็นสาวเต็มตัวแล้ว ก็ยังมีความรู้สึกกังวลใจ กลัวว่าถาวซินหลันกับเฉินฟู่จะไม่สมานฉันท์กัน กลัวว่านิสัยแข็งกร้าวของถาวซินหลันจะทำให้บรรดาพี่สะใภ้ไม่พอใจ แล้วยังกลัวว่าถาวซินหลันจะทำอะไรให้เฉินฮูหยินไม่พอใจ


ทั้งยังมีอีกเรื่องก็คือ หลังจากแต่งงานไปแล้ว ต่อไปโอกาสที่พวกนางทั้งสองคนจะได้เจอกันก็ยิ่งน้อยลง ถึงอย่างไรนางกับถาวซินหลันก็ไม่เหมือนกัน แต่งงานไปแล้วไม่เพียงแต่ต้องดูแลสามี ทั้งยังต้องดูแลพ่อแม่สามีอีกด้วย ออกจากเรือนไปไหนทีก็ดูไม่ง่าย ไม่เหมือนนางที่อิสระเช่นนี้


แต่ว่าพอคิดเช่นนี้แล้ว นางก็รู้สึกว่าตัวเองโชคดี…พ่อแม่สามีไม่ได้อยู่ด้วย ไม่จำเป็นต้องคอยดูแลทุกวันดังเช่นบ้านของคนธรรมดาทั่วไป ทั้งยังจะต้องถูกควบคุมอยู่ตลอด ยิ่งไม่ต้องกังวลว่าจะไม่ถูกกับบรรดาพี่สะใภ้น้องสะใภ้ ต้องเจอกันทุกวันต่างก็ไม่สบายใจ อย่างน้อยเทียบกับผู้หญิงทั่วไปแล้ว ก็ไม่รู้ว่านางได้รับอิสระมากกว่าตั้งเท่าไร


ในขณะที่กำลังคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ฉับพลันนั้นหลี่เย่ก็ขยับตัว แล้วโอบนางเข้าไปไว้ในอ้อมอก “เหตุใดยังไม่นอนอีก? พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้ามิใช่หรือ?”


ถาวจวินหลันตกใจ กล่าวด้วยท่าทีรู้สึกผิด “ทำให้ท่านตื่นแล้วหรือ?”


“นอนเถืด หากพรุ่งนี้ไม่มีแรงจะไม่ดีเอาได้” น้ำเสียงของหลี่เย่ฟังดูง่วงงุนและคลุมเครือ เหมือนกับว่าสติยังไม่ตื่นเต็มที่นัก “แม้จะแต่งงานออกไปแล้ว ก็ยังเป็นน้องสาวเจ้ามิใช่หรือ? นางได้ดี เจ้าก็ควรดีใจซี”


คำพูดนี้ทำให้ถาวจวินหลันรู้สึกสงบใจ คิดแล้วก็รู้สึกว่าตัวเองกังวลมากเกินไป อยู่ดีๆ จะรู้สึกเศร้าทำไมกัน จึงได้แต่รับคำ แล้วซบลงไปในอ้อมอกของเขา “อืม นอนเถิด”


หลังจากนั้น นางก็หลับไปอย่างรวดเร็ว โดยไม่ฝันอะไรเลยทั้งคืน วันรุ่งขึ้นถึงแม้จะนอนไม่พอนัก แต่ก็ถือว่าสดชื่นและมีเรี่ยวมีแรง


กลับเป็นหลี่เย่ที่ดูสีหน้าไม่ดีนัก เหมือนกับไม่ค่อยมีเรี่ยวแรง


ถาวจวินหลันยังคิดว่าเป็นเพราะเมื่อคืนทำให้เขาตื่น จึงรู้สึกผิดอย่างมาก แต่คิดไม่ถึงว่าหลี่เย่จะพูดว่า “อย่าลืมซี ตอนนี้ข้ายังบาดเจ็บอยู่ จะแสดงท่าทีสดชื่นเกินไปไม่ได้” อย่าลืมว่า วันนั้นเขาได้รับบาดเจ็บที่แผลแม  หากเขาแสดงท่าทีสบายดีเกินไป คนอื่นจะไม่สงสัยหรือ?


นี่ก็เพื่อถาวจวินหลัน…หากว่านางลงือฆ่าบ่าวไพร่ทั้งที่เขาไม่ได้เป็นอะไรเลยแม้แต่น้อย ชื่อเสียงของนางก็คงฉาวโฉ่ หากว่าเขาโดนทำร้ายจนบาดเจ็บหนัก คนอื่นย่อมคิดว่าเป็นเรื่องเหมาะสม


อีกทั้งตอนนี้ข้างนอกกำลังมีข่าวลือเกี่ยวกับเขา ว่ามีคนคิดอยากจะกำจัดเขามิใช่หรือ? อย่างนั้นเขาก็จะให้ความร่วมมือเสียหน่อย แสดงท่าทีว่าตัวเองดูน่าสงสารเหลือเกิน นี่ไม่ทำให้คนอื่นนิ่งรู้สึกว่าข่าวลือนั้นเป็นเรื่องจริงหรอกหรือ?


ถาวจวินหลันชะงักกึก แล้วก็เข้าใจความหมายของเขา จากนั้นก็อดหัวเราะเสียงดังไม่ได้ แล้วพูดอย่างตำหนิว่า “เกรงว่าท่านทำเช่นนี้ ว่าคังอ๋องคงถูกคนเอาไปวิพากษ์วิจารณ์อีกเป็นแน่”


หลี่เย่เลิกคิ้วเล็กน้อย แสดงท่าทีเห็นด้วย


ทั้งสองคนแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว ก็ขึ้นรถเดินทางไปบ้านตระกูลถาว ตอนนี้ข้างกายหลี่เย่นอกจากหวังหรูแล้วยังมี ทหารองครักษ์อีกคน หนึ่งในนั้นคือเจียงฟู่ หวังหรูรับผิดชอบเข็นเก้าอี้ไม้ของหลี่เย่ ส่วนอีกสองคนคอยอยู่ข้างๆ ซ้ายขวาเพื่อปกป้องหลี่เย่ไม่ห่างกายเลยแม้แต่วินาทีเดียว


อย่างเช่นตอนนี้ที่อยู่บนรถ หวังหรูเป็นคนคุมรถ ส่วนเจียงฟู่และทหารองครักษ์อีกคนก็ขี่ม้าประกบอยู่ข้างซ้ายขวา


ด้วยด้านหลังยังมีกองทหารองครักษ์อีก ถาวจวินหลันจึงสบายใจขึ้นไม่น้อย…


ตลอดทางมาจนถึงบ้านตระกูลถาว แน่นอนว่าหลี่เย่ถูกพาไปอยู่กับถาวจิ้งผิง ตอนนี้บาดแผลของถาวจิ้งผิงดูดีขึ้นมาบ้างแล้ว อย่างน้อยก็ไม่ต้องนอนพักรักษาตัวอยู่อย่างเดียว


องค์หญิงเก้ายืนอยู่ข้างๆ เม้มปากแล้วยิ้ม “พี่รองกับจิ้งผิงก็ถือว่าได้เป็นพี่น้องที่ร่วมความลำบากด้วยกันมาแล้ว ต่างก็ได้รับบาดเจ็บกันไม่น้อยเลยทีเดียว” ถึงแม้ว่าใบหน้าจะมีรอยยิ้ม แต่น้ำเสียงฟังดูขุ่นเคืองและสงสาร


ถาวจวินหลันยิ้มแล้วถอนใจ “มิใช่เช่นนั้นรึ? ปีนี้ก็ถือว่าเป็นปีที่ไม่ดีเท่าไร เดี๋ยวพวกเราไปไหว้พระที่วัดเสียหน่อย แล้วก็ทำพิธีปัดเป่าเสียด้วย”


องค์หญิงเก้าเห็นด้วยอย่างมาก ยิ้มแล้วพูดว่า “เช่นนั้นพวกเราก็ไปหลังช่วงงานแต่งของซินหลันกันเถิด ถือว่าเป็นการขอพรให้ปกปักษ์รักษาหมิงจูกับซวนเอ๋อร์ด้วย”


ถาวจวินหลันยิ้มรับคำ ทั้งสองคนพูดคุยกันไประหว่างทางเดินไปหาถาวซินหลันที่ห้องด้านใน


ถาวซินหลันแต่งหน้าแต่งตัวจนเกือบเสร็จเรียบร้อยดีแล้ว เสื้อผ้าเปลี่ยนเรียบร้อย ผมเผ้าก็จัดแต่งดีแล้ว หน้าก็แต่งแล้ว เหลือเพียงแค่มงกุฎหงส์ที่ยังไม่ได้ใส่เพราะว่าค่อนข้างหนัก


เนื่องจากเฉินฟู่สอบจองหงวนได้ ดังนั้นพระราชวังจึงประทานมงกุฎหงส์ให้ถาวซินหลันเป็นพิเศษ ก็ถือว่าเป็นเกียรติที่คนทั่วไปไม่อาจเอื้อม บวกกับผ้าคลุมหน้าที่ไทเฮาทรงประทานให้ ก็ถือว่าเป็นเกียรติอย่างมาก


ถาวจวินหลันมองอย่างพึงพอใจ แล้วก็พูดหยอกถาวซินหลันไปว่า “เจ้าลิงน้อยคนนี้ อย่าได้ยุกยิกไปมาเชียว มิเช่นนั้นหากมงกุฎหงส์หล่นขึ้นมาคงจะไม่น่าดูนัก”


วันนี้ถาวซินหลันดูเขินอายกว่าปกติ ถลึงตาใส่ถาวจวินหลันอย่างตำหนิ แต่กลับไม่กล้าพูดอะไรออกมา


ถาวจวินหลันจึงหัวเราะออกมาทันที “เจ้าเองก็มีวันนี้จนได้”


องค์หญิงเก้าที่ยืนอยู่ข้างๆ ยิ้มแล้วช่วยพูด “พี่หญิงอย่าล้อซินหลันอีกเลย”


ถาวจวินหลันทำเสียงจิ๊ๆ “มีพี่สะใภ้ก็ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว เจ้าดูสิว่านางปกป้องเจ้สเพียงใด”


ในตอนนี้ แม้แต่องค์หญิงเก้าเองก็หน้าแดงด้วยความเขินอาย


ถาวจวินหลันยอมรามือ แล้วกำชับถาวซินหลันอีกว่า “หลังจากนี้ต่อไป เจ้าจะต้องดูแลสามีและพ่อแม่สามีให้ดี และรักษาความสัมพันธ์ระหว่างพี่สะใภ้น้องสะใภ้ให้ดี เจ้าจำได้หรือไม่? แต่งงานแล้ว จะทำนิสัยเอาแต่ใจเหมือนเด็กๆ ไม่ได้อีก เจออะไรก็ต้องอดทนอดกลั้น”


ถาวซินหลันรับคำแต่โดยดี แต่อยู่ๆ ก็อ้ำอึ้งขึ้นมา พอนางเป็นเช่นนี้ ก็ไปสะกิดความคิดของถาวจวินหลันขึ้นมา สองพี่น้องต่างจับมือกันดวงตาแดงก่ำ


องค์หญิงเก้าซับน้ำตาเบาๆ ยิ้มแล้วพูดว่า “อย่าร้องไห้เชียวนะ ไม่เพียงแต่แต่งหน้าไปแล้วจะดูไม่งามเท่านั้น คนอื่นมาเห็นเขาจะคิดว่าพวกเราอาลัยอาวรณ์ซินหลันได้”


ถาวจวินหลันรีบเช็ดน้ำตา แล้วก็ได้ยินเสียงดังมาจากด้านนอกว่าขบวนของเจ้าบ่าวมาถึงแล้ว จึงพูดว่า “มา ข้าจะสวมมงกุฎหงส์ให้เจ้าเอง”


แม่สื่อที่ยืนอยู่ข้างๆ จึงยืนมงกุฎหงส์มาให้ถาวจวินหลัน ถาวจวินหลันรับมาแล้ว ก็ค่อยๆ สวมให้ถาวซินหลันอย่างเบามือ แล้วก็ใช้ปิ่นทองกลัดลงไปให้แน่น ก่อนยิ้มแล้วพูดว่า “เสร็จแล้ว พี่สาวหวังว่าต่อไปเจ้าจะมีวันเวลาที่งดงามรออยู่ ทั้งสามีภรรยาจับมือเคียงคู่กันไปจนแก่เถ้า”




บทที่ 385 เกี่ยวข้อง


อาจด้วยตอนที่ถาวจิ้งผิงแต่งงานเกิดเรื่องขึ้น ดังนั้นครั้งนี้พอถึงงานแต่งงานของถาวซินหลันแล้ว ถาวจวินหลันจึงรู้สึกไม่สบายใจ มองจนกระทั่งถาวซินหลันขึ้นเกี้ยวไปแล้ว นางถึงค่อยๆ ถอนใจโล่งอกได้


แม้ว่าบาดแผลของถาวจิ้งผิงจะยังไม่หายดี แต่ว่าก็ยังยืนยันให้ถาวซินหลันขี่หลังส่งออกจากบ้าน พอมองไปแล้วก็ชวนให้ทั้งเป็นกังวลและเจ็บปวดใจ ตอนแรกองค์หญิงเก้าไม่เห็นด้วย แม้แต่ถาวจวินหลันเองก็ไม่เห็นด้วยเช่นกัน แต่ว่าถาวจิ้งผิงกลับยิ้มและยืนยันที่จะทำ “มีน้องสาวเพียงคนเดียว แล้วก็มีโอกาสแค่เพียงครั้งนี้ ตอนแรกท่านพี่แต่งงานไปข้าก็ไม่มีโอกาสได้ให้นางขี่หลังออกจากบ้าน ครั้งนี้งานของน้องเล็ก ไม่ว่าอย่างไรก็จะพลาดไม่ได้”


ในเมื่อเขาพูดเช่นนี้แล้ว แน่นอนว่าใครต่างก็พูดห้ามอะไรไม่ได้อีก ยังดีที่เขาได้รับบาดเจ็บแค่ตรงอก หากไม่ไปรั้งดึงถูกตรงนั้น ก็ไม่ทำให้รอยแผลเปิดออกได้


หลังจากส่งถาวซินหลันขึ้นเกี้ยวแล้ว ถาวจวินหลันและองค์หญิงเก้าก็รีบขึ้นรถม้าตามไปข้างหลัง พวกนางทั้งสองคนเป็นตัวแทนคนจากบ้านแม่ไปส่งถาวซินหลันเข้าสู่บ้านใหม่ ที่ทำเช่นนี้ ก็เพื่อไม่ให้เจ้าสาวต้องกังวลหรือรู้สึกหวาดกลัวจนเกินไป ถึงอย่างไรมีคนสนิทคอยอยู่เป็นเพื่อนคงรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง


ส่วนหลี่เย่กับถาวจิ้งผิง ก็จะต้องตามไปเช่นกัน แต่ว่าจะไม่เข้าไปในเรือนด้านในเหมือนกับพวกนาง แต่จะอยู่ที่เรือนด้านหน้า ดังนั้นรถม้าจึงได้แบ่งเป็นสองขบวน


อีกทั้งถาวจวินหลันยังเดาว่าหลี่เย่กับถาวจิ้งผิงมีเรื่องที่ต้องพูดคุยกัน


พอเข้าบ้านตระกูลเฉินและทำพิธีการเสร็จเรียบร้อยแล้ว ถาวจวินหลันกับองค์หญิงเก้าก็เข้าไปที่เรือนใหม่ของถาวซินหลันพร้อมกัน


พอเข้าสู่เรือนใหม่ เห็นได้ชัดว่าถาวซินหลันดูระแวดระวังและตื่นกลัว ใบหน้าที่แดงก่ำทำอย่างไรก็ไม่หายไป…จริงๆ แล้ว หน้าของนางทาด้วยแป้งหนาๆ ทับจนมองไม่เห็นว่านางหน้าแดง แต่ว่าหูที่แดงก่ำกลับแสดงให้เห็นถึงความรู้สึกของนาง


องค์หญิงเก้าพูดเย้าหยอกว่า “ตอนนี้เจ้าเป็นสะใภ้บ้านตระกูลเฉินเต็มตัวแล้ว ต่อไปใครๆ ก็ต้องเรียกเจ้าว่าเฉินฮูหยินเล็กแล้ว”


ถาวซินหลันมององค์หญิงเก้าอย่างตำหนิ ความเขินอายแสดงออกมาอย่างเห็นได้ชัด


ถาวจวินหลันเองก็ควบคุมรอยยิ้มเอาไว้ไม่ได้ แล้วก็มองการตกแต่งของเรือนใหม่ รู้สึกว่าทุกอย่างดูเหมาะสมอย่างมาก อีกทั้งเมื่อครู่ตอนเดินทางเข้ามา ขนาดของเรือนก็ถือว่าไม่เลว มองไปแล้วเห็นได้ถึงความใส่ใจของบ้านตระกูลเฉิน นางก็รู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมาก


ครู่เดียวก็มีสาวใช้เข้ามารายงานว่า “ฮูหยินของเราจัดเตรียมอาหารส่งมาให้ฮูหยินสี่ องค์หญิงเก้าและพระชายารองถาวเจ้าค่ะ โดยเฉพาะฮูหยินสี่ จะปล่อยให้หิวอยู่ไม่ได้”


ถาวจวินหลันได้ยิน ก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้…คำพูดเช่นนี้ช่างเป็นตัวตนของเฉินฮูหยินจริงๆ


องค์หญิงเก้าเองก็หัวเราะ “ดูซี แม่สามีของเจ้าเอ็นดูเจ้ามากเพียงใด?”


ถาวซินหลันเขินอายเสียจนแทบเอาหัวมุดลงไปในเสื้อ


พอได้เวลาอันสมควรแล้ว ถาวจวินหลันกับองค์หญิงเก้าก็กลับออกมา ถึงแม้จะไม่วางใจ แต่จะอยู่ต่อไปเช่นนี้ก็ไม่ได้มิใช่หรือ?


ออกจากจวนเฉินมา ถาวจวินหลันกับหลี่เยขึ้นรถม้าแล้ว นางก็ได้กลิ่นเหล้าบางๆ จากตัวของหลี่เย่ นางจึงขมวดคิ้ว “ท่านดื่มเหล้ารึ? ท่านเป็นแผล ดื่มเหล้าเช่นนี้ได้อย่างไร?”


หลี่เย่ยิ้ม “ไม่เป็นไรหรอก ดื่มไปแค่สองแก้วเท่านั้น แล้วก็ไม่ใช่เหล้าแรงอะไรด้วย”


ถาวจวินหลันเองก็รู้ว่าดื่มเพียงเล็กน้อยไม่น่าจะเป็นอะไร แต่ว่าก็อดบ่นไม่ได้ “แม้ว่าจะไม่เป็นอะไร แต่ก็ไม่ควรดื่มอยู่ดี”


หลี่เย่เองก็ไม่โกรธ อีกทั้งรอยยิ้มยังอบอุ่นมากขึ้น “วันนี้เป็นวันมงคลของซินหลัน ทำไมถึงจะไม่ดื่มฉลองเสียหน่อยเล่า”


ถาวจวินหลันจึงไม่พูดอะไร พอคิดถึงเฉินฟู่กับถาวซินหลัน นางก็ค่อยๆ ถอนใจออกมา “วันนี้พวกเขาทั้งสองคนได้เป็นฝั่งเป็นฝาแล้ว ต่อไปข้าก็ไม่ต้องกังวลใจอะไรอีก” ถึงแม้ว่าควรจะดีใจ แต่ไม่รู้เหตุใดในใจของนางกลับรู้สึกอาลัยอาวรณ์และไม่สบายใจ


หลี่เย่มองแล้วยิ้ม ถึงแม้ว่าเขาจะไม่พูด แต่จากสายตาก็แสดงออกว่าเขาไม่เชื่อ


ถาวจวินหลันยิ้มแล้วตีเขา พอหยอกล้อกันเล่นเช่นนี้ ก็ทำให้อารมณ์ของนางดีขึ้นอย่างมาก พอกลับถึงเรือนได้เจอกับซวนเอ๋อร์และหมิงจู ความรู้สึกไม่สบายใจก็หายไป


วันที่สาม ถาวซินหลันก็พาเฉินฟู่กลับมาที่บ้าน แน่นอนว่าถาวจวินหลันเองก็ต้องไป แล้วยังไม่ไปเพียงคนเดียว นางพาซวนเอ๋อร์กับหมิงจูไปด้วย พูดไปแล้ว วันนี้เด็กทั้งสองคนนี้จะได้พบกับน้าเขยเป็นครั้งแรก


อาจด้วยเพิ่งแต่งงาน พอมองไปแล้วจึงรู้สึกว่าเฉินฟู่ดูแตกต่างจากปกติ ไม่ว่าเห็นใครก็มีใบหน้าเปื้อนยิ้ม อีกทั้งพูดเยอะขึ้น ถาวจวินหลันคิดในใจว่า เฉินฮูหยินเห็นเข้า คงจะต้องดีใจมากเป็นแน่


พอมองไปทางถาวซินหลัน ก็ยิ่งรู้สึกว่าท่าทางเหมือนผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว พอนางถูกมองเช่นนี้พลันเขินอาย


แต่ว่าถาวจวินหลันมองไปแล้วรู้สึกว่าเหมือนเป็นการแกล้งทำมากกว่า จึงยิ้มแล้วมองเย้าหยอดถาวซินหลัน เป็นอย่างที่คิด ถามซินหลันแกล้งแสดงท่าทีออกมาจริงๆ แล้วก็กรอกตามองถาวจวินหลันอย่างตำหนิ


ถาวจวินหลันจึงหัวเราะออกมาทันที “ดูท่าเจ้าจะใช้ความเขินอายไปในวันแต่งงานจนหมดเสียแล้ว”


ถาวซินหลันโกรธขึ้นมา “ท่านพี่ !”


เนื่องจากไม่มีผู้ใหญ่อยู่ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องรักษามารยาท บรรยากาศก็ดูสบายๆ อีกทั้งมีคนอยู่น้อย ดังนั้นจึงไม่ได้นั่งแยกโต๊ะ แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้โต๊ะเพียงตัวเดียวก็ยังนั่งไม่เต็ม ซวนเอ๋อร์กับหมิงจูยังเล็ก อีกคนยังให้แม่นมคอยป้อนข้าว ส่วนอีกคนกินนม จึงไม่ต้องนั่งโต๊ะ


หลี่เย่ก็ยิ้มแล้วมองถาวจิ้งผิงกับเฉินฟู่ “หากว่าอีกสองปีมีคนนั่งสองโต๊ะได้ คิดว่าคงจะคึกคักขึ้นมาก”


ถาวจวินหลันยิ้มแล้วรีบพูดเสริมทันที “เป็นอย่างที่ท่านว่าจริงๆ”


องค์หญิงเก้ากับถาวซินหลันต่างหน้าแดง ถาวซินหลันพยายามบังคับตัวเองให้สงบและเปลี่ยนเรื่องพูด “เรื่องการถูกลอบทำร้ายครั้งนั้น ตอนนี้สืบได้เบาะแสอะไรบ้างหรือ?”


พูดถึงเรื่องนี้ ท่าทีของทุกคนก็ดูเคร่งขรึมขึ้นมาทันที


ด้วยหลี่เย่เป็นคนสืบเรื่องนี้ ดังนั้นสายตาของทุกคนย่อมมองไปทางหลี่เย่โดยไม่ได้นัดหมาย เฉินฟู่เอ่ยปากถามออกมาว่า “ครั้งก่อนที่ท่านอ๋องถูกลอบทำร้าย เกี่ยวกับเรื่องนี้หรือไม่?”


หลี่เย่พยักหน้า มองไปทางถาวจวินหลัน จากนั้นก็พูดออกมาว่า “เกี่ยวข้องกัน แต่ว่าสาเหตุสำคัญก็ยังเป็นเพราะมีหนอนบ่อนไส้ หากว่าไม่เป็นเช่นนี้ เรื่องนี้คงตรวจสอบได้ผลไปนานแล้ว อีกทั้งยังมีเรื่องการเสียตำแหน่งของผู้ว่าการเมืองหลวง เรื่องนี้จึงสืบอะไรไม่ได้เลยแม้แต่น้อย แต่ว่า ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ ในใจของข้าก็พอจะเดาอะไรบางอย่างได้บ้างแล้ว”


เฉินฟู่ครุ่นคิดอยู่สักพัก มองหลี่เย่อย่างสงสัย จากนั้นก็พูดออกมาว่า “หรือว่าจะเกี่ยวกับผู้ว่าการเมืองหลวง?”


“แม้ว่าจะไม่เกี่ยวข้อง แต่เขาก็ต้องรู้เห็น” หลี่เย่หัวเราะอย่างเยือกเย็น “ไม่เช่นนั้น คนมากมายเช่นนี้ อยู่ๆ นักฆ่าจะหายไปได้อย่างไร?” พูดอย่างไม่น่าฟังล่ะก็ มีขุนนางใต้บังคับบัญชาของผู้ว่าการเมืองหลวงคนใดไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองหลวงอย่างละเอียดกัน? แต่กลับหานักฆ่าไม่พบ จะโกหกใครได้?


เฉินฟู่พยักหน้า “เป็นเช่นนั้นจริง แต่ว่าน่าเสียดายที่ไม่ได้อะไรเลย”


หลี่เย่ยิ้มบางๆ แล้วจิบชา “แต่เขาไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วคนของข้าได้ตามไปด้วย คนของเขาหายไป แต่คนของข้าไม่ได้หายไปด้วย”


เรื่องนี้ถาวจวินหลันไม่เคยได้ยินหลี่เย่พูดมาก่อน จึงรู้สึกตกใจทันที แล้วก็อดมองไปทางหลี่เย่ไม่ได้


หลี่เย่ค่อยๆ อธิบาย “ตอนที่คนของข้าตามไปถึงเรือนแห่งหนึ่ง คนก็กลับหายไปแล้ว”


ถาวจวินหลันใจเต้นแรงทันที หายไปหน้าเรือนนั้น นักฆ่าผู้นั้นเข้าไปหลบในเรือน หรือว่าถูกคนในเรือนนั้นสั่งสอนที่ทำงานพลาดกันแน่?


หลี่เย่รอจนทุกคนคาดเดากันไปแล้ว ถึงค่อยๆ พูดต่อว่า “เรือนนั้นไม่มีคนอาศัยอยู่ มีเพียงแค่คนงานแก่ๆ เฝ้าอยู่ไม่กี่คนเท่านั้น พอคนของข้าไปสอบถามแล้ว ต่างก็พูดว่าไม่ได้ยินการเคลื่อนไหวใดๆ ทั้งสิ้น แต่ว่าคนของข้าพบรอยเลือดสดๆ ที่พื้นตรงประตูด้านข้าง” ตอนนั้นนักฆ่าพวกนั้นก็ได้รับบาดเจ็บ ถึงอย่างไรทหารองครักษ์ของเขาก็ไม่ใช่คนด้อยฝีมือ


พอได้ยินหลี่เย่พูดเช่นนี้ ทุกคนต่างก็เข้าใจได้ทันที นักฆ่าคนนั้นจะต้องถูกคนเอาตัวไปซ่อนไว้อย่างแน่นอน


เฉินฟู่ถามถึงประเด็นสำคัญทันที “เจ้าของเรือนนั้นเป็นใครหรือ?”


“เมื่อก่อนเป็นเรือนนอกของเฝินหยางโหว ต่อมาเกิดเรื่องกับเฝินหยางโหวขึ้น ที่นั่นจึงร้างไป” หลี่เย่ทุบโต๊ะ ท่าทางดูเกรี้ยวกราด ถาวจวินหลันสังเกตเห็นว่า พอพูดถึงเฝินหยางโหว  ท่าทางของหลี่เย่ก็เปลี่ยนไปในทันที


เห็นได้ชัดว่า หลี่เย่ไม่ชอบเฝินหยางโหวนัก เพียงแต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใดกันแน่ หรือเป็นเพราะว่าเป็นบ้านทางฝั่งมารดาของฮองเฮา?


พอพูดถึงเฝินหยางโหว อีกคนที่สีหน้าเปลี่ยนไปก็คือองค์หญิงเก้า ถึงแม้ว่าองค์หญิงเก้าจะก้มหน้าลงไปเพื่อซ่อนความรู้สึกเอาไว้อย่างรวดเร็ว แต่ว่าถาวจิ้งผิงที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็รู้สึกได้ ก่อนยื่นมือออกมากุมมือขององค์หญิงเก้าเอาไว้แล้วตบเบาๆ เพื่อปลอบใจ


องค์หญิงเก้ามองถาวจิ้งผิง มือที่กำแน่นก็ค่อยๆ คลายออกมา สายตาดูสับสนมากยิ่งขึ้น


ในขณะเดียวกัน ถาวจวินหลันก็คิดได้ว่าองค์หญิงเก้าเกือบถูกฮองเฮาจับให้แต่งงานกับลูกชายของเฝินหยางโหว จึงอดหันไปมององค์หญิงเก้าไม่ได้ จากนั้นก็เอ่ยปากถามหลี่เย่ว่า “หรือจะเป็นการแก้แค้นส่วนตัว?”


หลี่เย่พยักหน้า แต่ก็พูดต่ออย่างรวดเร็ว “เพียงแต่อาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องบางอย่าง ไม่แน่ว่าอาจจะด้วยเหตุผลนี้ทั้งหมด ถึงอย่างไร จวนเฝินหยางโหวก็ไม่เหลืออะไรอีกแล้ว ไม่เหลือตำแหน่งใดๆ ในวังไม่มีใครรับราชการได้อีก แล้วเหตุใดจะต้องลงทุนทำเรื่องใหญ่โตเช่นนี้?”


ถาวจิ้งผิงกับเฉินฟู่พยักหน้าพร้อมกัน พริบตาเดียวบรรยากาศก็เงียบสงัด


ถาวจวินหลันเห็นพลันยิ้มแล้วพูดออกมาว่า “เอาล่ะๆ อยู่ดีๆ พูดเรื่องพวกนี้ขึ้นมาทำไมกัน? พูดเรื่องอื่นดีกว่า กินข้าวกันอย่างอารมณ์ดี หลังกินข้าวเสร็จแล้ว เดี๋ยวซินหลันกับฝูชิงยังต้องรีบกลับไปอีก”


จากนั้นทุกคนต่างก็ไม่พูดเรื่องนี้ขึ้นมาอีก บรรยากาศจึงกลับมาครื้นเครงเช่นเดิม


เพียงแต่เรื่องนี้ยังคงอยู่ในใจของถาวจวินหลัน คิดว่ากลับไปแล้วจะต้องถามหลี่เย่ให้ละเอียด เมื่อครู่ที่ท่าทีของเขาเปลี่ยนไป ทำให้นางรู้สึกเป็นกังวล


หลังจากรับประทานอาหารเสร็จแล้ว พวกผู้ชายต่างไปดื่มชากันในห้องหนังสือ พวกผู้หญิงนั่งคุยกันและกินผลไม้


ถาวจวินหลันถามถาวซินหลันว่า “บ้านตระกูลเฉินเป็นอย่างไรบ้าง?” ถึงแม้จะรู้ว่าเฉินฟู่ไม่มีทางทำไม่ดีต่อถาวซินหลัน แต่นางก็ยังอดถามออกไปไม่ได้


ถาวซินหลันพยักหน้า “ไม่ว่าพ่อสามีหรือแม่สามีต่างก็ดีกับข้าอย่างมาก นอกจากพี่สะใภ้ใหญ่ที่นิสัยไม่น่าคบหาเท่าไร ก็ไม่มีอะไรอื่นอีกเจ้าค่ะแม้ว่า ฝูชิงจะเงียบบ้าง แต่เขาก็ดีกับข้ามาก ทุกเรื่องต่างทำตามความต้องการของข้า”


พูดเช่นนี้ ถาวจวินหลันก็สบายใจได้ทันที ยิ้มแล้วพูดว่า “พี่สะใภ้ใหญ่ของเจ้าเกิดในตระกูลสูงส่ง อีกทั้งยังเป็นลูกสาวคนเดียว จึงมีนิสัยเอาแต่ใจไปบ้าง เจ้าไม่จำเป็นต้องไปเอาความอะไรกับนาง เจ้าเพียงแต่อยู่ในเรือนของเจ้าก็พอแล้ว ถึงอย่างไรแม่สามีของเจ้าก็ไม่มีทางทำไม่ดีกับเจ้า”


ถาวซินหลันพยักหน้า อยู่ๆ ก็พูดขึ้นมาว่า “พ่อสามีพูดกับข้าเรื่องช่วยรื้อคดีของท่านพ่อ เพียงแต่พูดว่าขาดพยานคนสำคัญที่ยังหาตัวไม่พบ”


ถาวจวินหลันไม่รู้เรื่องนี้ พอได้ยินแล้วก็นิ่งอึ้งไปในทันที




บทที่ 386 เรื่องที่ผ่านไปแล้ว


เรื่องการรื้อฟื้นคดีนั้นถึงแม้จะมีเบาะแสและมีความหวังแล้ว แต่ถาวจวินหลันก็ไม่ถือว่าร้อนใจอะไรนัก ถึงอย่างไรคนก็ตายไปแล้ว อีกทั้งยังรอมานานหลายปีเช่นนี้ แล้วยังจะใส่ใจเรื่องที่จะต้องรออีกหน่อยทำไมกัน?


กลับเป็นหลี่เย่ที่นางสนใจมากกว่า สำหรับนางแล้ว ในตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือลูกสาวลูกชายของนางทั้งสองคนกับหลี่เย่ ส่วนเรื่องรื้อฟืนคดีกลับอยู่ในลำดับหลังๆ


พูดไปแล้ว นางเองก็รู้สึกไม่อยากจะเชื่อ…ตอนแรกที่เพิ่งเกิดเรื่องขึ้นกับบ้านตระกูลถาว แม้แต่เวลาที่นางฝันนางก็ยังคงคิดถึงเรื่องนี้ แต่ในตอนนี้พอใกล้จะเป็นความจริงเข้าทุกที นางกลับไม่เห็นร้อนอกร้อนใจ ทว่ากลับรู้สึกนิ่งสงบ นางรู้ดีแก่ใจว่า ไม่ช้าก็เร็วชื่อขุนนางนักโทษของบ้านตระกูลถาวต้องถูกลบล้างออกไป


กลับถึงเรือนเฉินเซียงแล้ว ถาวจวินหลันก็ให้สาวใช้ทั้งหมดออกไป เพื่อที่นางจะได้สะดวกคุยกับหลี่เย่ ทั้งสองคนนั่งตรงข้ามกัน บนโต๊ะมีกาดินเผาต้มชาวางไว้ ตอนยังเป็นเด็ก นางเรียนเรื่องวิธีชงชามาโดยเฉพาะ พอวันนี้ต้องมาทำจริงๆ กลับรู้สึกไม่ค่อยคุ้นชินนัก หลี่เย่จึงต้องคอยเตือนนางอยู่ตลอดว่าทำอย่างไร


จนกระทั่งชงชากานี้เสร็จแล้ว ถาวจวินหลันถึงเอ่ยปากถาม “ท่านเกลียดเฝินหยางโหวมากเลยรึ? ข้าเห็นวันนี้ท่าทีของท่านดูไม่ดีนัก”


หลี่เย่ที่กำลังยกชาขึ้นมาพลันชะงักกึก จากนั้นก็ดื่มชาเงียบๆ พอวางแก้วชาลงแล้ว ก็ดูใจลอยไปเล็กน้อย แล้วถึงค่อยๆ พูดว่า “ตอนที่ข้าถูกวางยาพิษ เสด็จปู่สั่งให้คนไปสืบ สุดท้ายสืบพบว่า จวนเฝินหยางโหวเป็นคนลงมือทำ เฝินหยางโหวยังยอมรับว่า ด้วยเห็นข้าได้รับความรักความโปรดปราน จึงกลัวว่าข้าจะส่งผลกระทบต่อฐานะของคังอ๋อง ถึงได้ลงมืออย่างโหดเ**้ยมเช่นนี้”


ถาวจวินหลันได้ยินแล้วก็ชะงักไปทันที ด้วยนางตกใจอย่างมาก จึงอ้าปากจะเอ่ยอะไร แต่กลับไม่ได้พูดออกมา  หรืออาจจะพูดว่า นางไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี


ถึงแม้ว่าหลี่เย่จะเคยพูดถึงเรื่องถูกวางยาพิษมาก่อนบ้าง แต่กลับไม่เคยเอ่ยถึงจวนเฝินหยางโหวมาก่อน นางคิดมาโดยตลอดว่าฮองเฮาเป็นคนทำ อีกทั้งหลี่เย่ยังเกลียดฮองเฮามาโดยตลอดมิใช่หรือ? หรือว่า จริงๆ แล้วนางดูผิดไป?


ไม่ หากว่าเป็นฝีมือของเฝินหยางโหว จากอำนาจของจวนเฝินหยางโหวในตอนนี้แล้ว หลี่เย่คิดจะแก้แค้นก็ง่ายดายราวกับปอกกล้วย ไม่จำเป็นต้องปล่อยจวนเฝินหยางโหวมาจนถึงทุกวันนี้ นอกเสียจากว่า จวนเฝินหยางโหวเป็นเพียงแค่แพะรับบาป


“จวนเฝินหยางโหวรับผิดแทนฮองเฮาหรือ?” ถาวจวินหลันถามออกไปตรงๆ


หลี่เย่พยักหน้า แล้วยิ้มอย่างเย้ยหยัน “เกรงว่าหากตอนนั้นผู้ชายในจวนเฝินหยางโหวต้องถูกตัดหัวเพราะเรื่องนี้ พวกเขาก็ยอมทำเพื่อตำแหน่งฮองเฮาและองค์รัชทายาท จากนั้นก็รออีกไม่กี่ปี เพื่อที่พวกเขาจะได้รับผลประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่กว่านี้”


“จวนเฝินหยางโหวทำเรื่องโง่เขลาถึงเพียงนี้เชียวรึ? ถึงได้ยอมพนันกับเรื่องเช่นนี้?” ถาวจวินหลันรู้สึกสงสัย “อาจจะถูกฮองเฮาเอาเรื่องอะไรมาบีบบังคับก็เป็นไปได้? ไม่อย่างนั้น จะทำเช่นนี้ได้อย่างไร? ถึงอย่างไรก็ต้องแลกด้วยผู้ชายทั้งตระกูล และชีวิตคนมากมายถึงเพียงนั้น…”


“เรื่องนั้นก็ไม่อาจรู้ได้แล้ว” หลี่เย่หรี่ตาลง “แต่ว่าในตอนนั้นวังเหิงกั๋วกงทูลขออยู่หลายต่อหลายครั้ง ถึงได้รักษาตำแหน่งของจวนเฝินหยางโหวเอาไว้ได้ ช่วงไม่กี่ปีมานี้ ฮองเฮาก็ดูแลจวนเฝินหยางโหวเป็นพิเศษ”


“หากว่าท่านไม่ชอบจวนเฝินหยางโหวจริงๆ ท่านก็หาข้ออ้างมาถอนรากถอนโคนพวกเขาให้ได้ก็พอ” ถาวจวินหลันเห็นท่าทีของหลี่เย่แล้ว ก็ค่อยๆ ถอนใจเบาๆ “แม้ว่าจะไม่สามารถทำให้สำเร็จได้ภายในครั้งเดียว แต่ก็ยังดีที่พอจะทำให้ท่านรู้สึกดีขึ้นบ้าง”


หลี่เย่กลับยิ้มอย่างเย็นชา “ไม่ต้องรีบร้อน พวกเขาอยากจะได้ตำแหน่งที่ใหญ่กว่านี้ แต่ข้าก็ทำให้พวกเขาต้องรอจนแทบจะไม่เหลือความหวัง รอจนกระทั่งเสียใจที่ได้ทำเรื่องในตอนนั้นลงไป แล้วถึงจะค่อยๆ กำจัดพวกเขาออกไปให้สิ้นซาก ทำให้พวกเขาผิดหวังเร็วเกินไป ถือว่าเป็นการมีเมตตาต่อพวกเขา ต้องรู้ด้วยว่า หากยิ่งหวังมาก ความผิดหวังก็จะยิ่งมาก”


ถาวจวินหลันเข้าใจถึงข้อนี้ เพียงแต่ก็ยังขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วยื่นมือไปกุมมือของหลี่เย่เอาไว้ “ความแค้นนี้ต้องชำระให้ได้สักวัน เหตุใดท่านจะต้องฝังใจและทำให้ตัวเองไม่สบายใจอยู่เช่นนี้? ท่านเป็นเช่นนี้ จะทำให้คนอื่นสังเกตเห็นได้ หากท่านจะต้องลำบากมาหลายปีเช่นนี้ แค่เพียงความพินาศเล็กน้อยของพวกเขาก็ไม่ชดเชยให้ท่านรู้สึกดีขึ้นมาได้”


ไม่ใช่แค่นางรู้สึกไม่คุ้มค่า เพียงแค่เห็นหลี่เย่ต้องไม่สบายใจด้วยเรื่องนี้ นางก็รู้สึกว่าไม่เหมาะสมนัก


“ไม่ว่าอย่างไร พวกเราก็อยู่ของพวกเราไป อยู่ดีๆ จะเอาเรื่องพวกนี้มากระทบจิตใจเพื่ออะไรกัน?” ถาวจวินหลันพูดขอร้องด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน


พอหลี่เย่ถูกเตือนเช่นนี้ ฉับพลัน เขาก็รู้สึกตัวว่าช่วงนี้เขาร้อนอกร้อนใจมากเกินไปหน่อย อาจด้วยนับวันก็ยิ่งเข้าใกล้ชัยชนะมากยิ่งขึ้น เขาก็ยิ่งร้อนใจเรื่องการแก้แค้นมากยิ่งขึ้น ถึงขั้นว่าเรื่องพวกนี้มีผลกระทบต่อจิตใจแล้วเขาก็ยังไม่รู้ตัว


หลี่เย่ได้แต่หัวเราะอย่างขมขื่น “เป็นเพราะข้าควบคุมตัวเองไม่ดีเอง” หากวันนี้ถาวจวินหลันไม่เตือน เขาก็ไม่รู้ว่าเมื่อไรเขาถึงจะรู้ตัว


ถาวจวินหลันเห็นเขาเข้าใจความหมายของนางแล้ว ก็ค่อยๆ โล่งใจได้ ท่าทางจึงดูอ่อนโยนลง ยิ้มแล้วพูดว่า “ตอนนี้ท่านจะต้องพักรักษาบาดแผลอยู่ในจวน ก็พอดีที่จะได้ผักผ่อนฝึกสติ หากร้อนใจจนเกินไป จะผิดพลาดได้ง่าย” ไม่ว่าจะเรื่องแก้แค้น หรือเรื่องในราชสำนัก


หลี่เย่พยักหน้า “เจ้าพูดถูก”


คิดแล้วหลี่เย่ก็พูดต่ออีกว่า “จะว่าไป ต้องให้ซวนเอ๋อร์เข้าเรียนแล้ว เวลานี้ก็ค่อยๆ เริ่มได้แล้ว พอดีตอนนี้ข้ายังมีเวลา ไม่จำเป็นต้องไปไหว้วานคนอื่น”


ถาวจวินหลันครุ่นคิด พลางเติมชาให้หลี่เย่ “เพียงแต่ซวนเอ๋อร์ยังเล็กเกินไป ท่านสอนเขา เขาก็อาจจะยังไม่เข้าใจ”


“ไม่เป็นไร แค่ท่องกลอนทั่วไป ก็ถือว่าน่าสนุกอย่างมาก” หลี่เย่ให้ความสนใจกับเรื่องนี้มาก คิดแล้วก็ยิ้ม “ต่อไปเรื่องการเรียนของหมิงจู ก็มอบให้ข้าเป็นคนดูแล ต่อไปหมิงจูไม่จำเป็นต้องเรียนเรื่องการบ้านการเรือนมากนัก ถึงอย่างไรด้วยตระกูลของพวกเรา ลูกสาวไม่มีทางต้องแต่งกับคนธรรมดาทั่วไปอยู่แล้ว”


ถาวจวินหลันได้ยินก็อดหัวเราะไม่ได้ “พอเถิด หากว่าให้ท่านสั่งสอนหมิงจู เกรงว่าไม่ต้องพูดถึงเรื่องเป็นแม่บ้านแม่เรือน จะกลายเป็นม้าดีดกะโหลกก็คงไม่ผิดนัก”


ในขณะที่ทั้งสองคนกำลังพูดคุยกันอยู่ เจียงอวี้เหลียนกลับอุ้มลูกเข้ามา เหตุผลก็คือ อากาศร้อน พอดีเดินมาถึงตรงนี้ จึงได้เข้ามาขอชาดื่มสักแก้ว


พูดออกมาเช่นนี้แล้ว ถาวจวินหลันย่อมไม่รู้จะปฏิเสธอย่างไร ไม่อย่างนั้น จะดูเหมือนแม้แต่ชาแก้วเดียวก็ไม่มีน้ำใจ เช่นนี้ไม่เท่ากับใจแคบเกินไปหรอกหรือ? ดังนั้นถาวจวินหลันจึงได้แต่มองไปที่ชาที่นางชงไว้ ยิ้มแล้วพูดว่า “เพิ่งชงชาเอาไว้พอดี รีบเข้ามาเถิด ข้างนอกอากาศร้อน เดี๋ยวเซิ่นเอ๋อร์จะไม่สบายเอา”


พูดว่าอุ้มลูกออกมาเดินเล่น ถาวจวินหลันกลับไม่เชื่อนัก คำนวณดูจากเวลาที่หลี่เย่ไปเรือนชิวอี๋ นางก็เข้าใจทุกอย่างทันที เกรงว่าจะกลัวหลี่เย่ลืมเซิ่นเอ๋อร์ ดังนั้นจึงรีบอุ้มมากระชับความสัมพันธ์เสียหน่อยกระมัง?


หลี่เย่คิดแล้วก็สั่งสาวใช้ “ให้คนไปอุ้มหมิงจูกับซวนเอ๋อร์มา แล้วก็ไปอุ้มกั่วเจี่ยเอ๋อร์มาด้วย”


ถาวจวินหลันกลัวว่าเดี๋ยวสาวใช้จะไปอุ้มกั่วเจี่ยเอ๋อร์มาเพียงคนเดียวจริงๆ จึงรีบพูดเสริมไปว่า “เชิญจิ้งหลิงอี๋เหนียงมาด้วยเถิด”


เพิ่งพูดไม่ทันขาดคำ เจียงอวี้เหลียนก็อุ้มเซิ่นเอ๋อร์เข้ามา ถาวจวินหลันอดคิดไม่ได้ว่า เจียงอวี้เหลียนได้ยินที่นางพูดแล้วหรือไม่? หากได้ยินแล้ว จะคิดมากหรือไม่?


นางคิดเช่นนี้เพียงแค่วูบเดียวเท่านั้น…เจียงอวี้เหลียนจะคิดเช่นไร จริงๆ แล้วก็ไม่เกี่ยวอะไรกับนางทั้งนั้น หากเจียงอวี้เหลียนจะคิดมาก ก็ทำได้เพียงแต่ปล่อยให้นางคิดมากต่อไป จะให้นางไปอธิบายก็คงจะไม่ใช่เรื่องมิใช่หรือ?


ถาวจวินหลันหันไปยิ้มให้เจียงอวี้เหลียน แล้วพูดว่า “ไม่ได้เจอกันพักหนึ่ง เซิ่นเอ๋อร์ตัวโตขึ้นไม่น้อยเลย”


เจียงอวี้เหลียนเองก็คลี่ยิ้ม แต่ว่ากลับหันไปทางหลี่เย่ “ตอนนี้เซิ่นเอ๋อร์รู้ว่าใครเป็นใครแล้วเพคะ ดังนั้นหม่อมฉันจึงตั้งใจอุ้มมาถวายความเคารพท่านอ๋อง จะได้ไม่ทำให้เขาห่างเหินกับท่านอ๋องเพคะ”


เจียงอวี้เหลียนไม่ได้ปกปิดเลยแม้แต่น้อย นางพูดจุดประสงค์ของตัวเองออกมาอย่างชัดเจน ทำให้คนอื่นรู้สึกแปลกๆ และทำตัวไม่ถูกเล็กน้อย จากนั้นหลี่เย่ก็ยิ้มแล้วพยักหน้า “ต่อไปหากข้าอยู่ที่จวน มีเวลาข้าจะเข้าไปดูเขา ช่วงนี้เจ้าก็ให้คนอุ้มเขามาให้ข้าดูทุกวัน พอดีเซิ่นเอ๋อร์ หมิงจูและกั่วเจี่ยเอ๋อร์รุ่นราวคราวเดียวกัน จะได้เป็นเพื่อนเล่นกันได้”


หลี่เย่คิดเช่นนี้จริงๆ …เด็กสามคนที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกัน อยู่เป็นเพื่อนเล่นกันก็ไม่มีอะไรเสียหาย ถึงอย่างไรก็เป็นพี่น้องกันทั้งนั้น ตอนเด็กๆ อยู่เป็นเพื่อนเล่นด้วยกันบ่อยๆ ต่อไปโตมาแล้วจะได้สนิทสนมกลมเกลียวกัน


เขาไม่อยากให้ต่อไปลูกของเขาต้องห่างเหินกัน ถึงขั้นเห็นกันเองเป็นศัตรู ดังเช่นเขากับพี่ชายน้องชายของเขาในตอนนี้


เจียงอวี้เหลียนยิ้มแล้วรีบรับคำทันที “หม่อมฉันจะอุ้มเซิ่นเอ๋อร์มาทำความเคารพท่านอ๋องทุกวันเพคะ”


หลี่เย่คิดไม่ถึงว่าเจียงอวี้เหลียนจะอุ้มลูกมาด้วยตัวเองทุกวัน พอได้ยินแล้วก็หันไปมองถาวจวินหลันโดยไม่รู้ตัว เขาอ้าปากอยากจะอธิบาย แต่สุดท้ายก็ได้แต่เงียบไป ถึงแม้ว่าในใจของเขาจะไม่อยากเจอเจียงอวี้เหลียนนัก แต่ถึงอย่างไรเจียงอวี้เหลียนก็เป็นแม่ของเซิ่นเอ๋อร์ อีกทั้งให้เอาเซิ่นเอ๋อร์มาคนเดียว บางทีเจียงอวี้เหลียนอาจจะไม่วางใจ


ดังนั้น ก็เอาตามนี้เถิด ถึงอย่างไรเขาก็เพียงแค่ดูลูกทุกวันเท่านั้น แล้วก็จะไม่ให้เซิ่นเอ๋อร์อยู่นาน แล้วก็จะไม่อยู่ตามลำพังกับเจียงอวี้เหลียน


ถาวจวินหลันไม่ค่อยสบายใจ เพียงแต่นางก็ได้แต่พยายามฝืนเก็บไว้ในใจ นางรู้ดีว่า นี่เป็นเรื่องปกติอย่างมาก อีกทั้งนางยิ่งเข้าใจดีว่า หลี่เย่คิดอยากให้ลูกๆ ของเขาเป็นเพื่อนเล่นกันตั้งแต่เด็ก


พูดตามจริงแล้ว หากว่าซวนเอ๋อร์กับเซิ่นเอ๋อร์สนิทสนมกัน ต่อไปก็ไม่ใช่เรื่องที่ไม่ดี


เพียงแต่นางไม่อยากเจอเจียงอวี้เหลียน เพราะนางรู้ดีแก่ใจว่า เจียงอวี้เหลียนจะไม่มีทางปล่อยโอกาสจับหลี่เย่ให้หลุดไปแม้แต่ครั้งเดียว อีกทั้งนางอุ้มเซิ่นเอ๋อร์เข้ามาทุกวัน สำหรับเจียงอวี้เหลียนแล้ว ก็ถือว่านางมีโอกาสนับไม่ถ้วน


หลี่เย่จะไปที่เรือนชิวอี๋ก็ไม่เป็นอะไร นางยังไม่รู้สึกอึดอัดเช่นนี้ ที่สำคัญก็คือเจียงอวี้เหลียนจะต้องเข้ามาที่เรือนของนาง ทำให้นางรู้สึกรังเกียจและขยะแขยง


แต่ว่านางก็ได้แต่กดความรู้สึกพวกนี้ลงไป…ไม่ว่าจะเวลาใด นางกับหลี่เย่ก็ไม่มีทางอยู่ด้วยกันเพียงสองคนได้ ไม่ว่าต่อไปหลี่เย่จะอยู่ในตำแหน่งไหน ย่อมต้องเป็นเช่นนั้น เกรงว่าแม้แต่จะต้องเลี้ยงเอาไว้โดยไร้ประโยชน์ก็ต้องทำ


ถาวจวินหลันคิดอย่างไม่ค่อยพอใจว่า บางทีนางไม่ควรคิดจะหลีกหนีจากเรื่องพวกนี้ แต่นางควรจะพยายามเผชิญหน้าใช่หรือไม่? หรือบางทีจะทำเหมือนไม่รู้ไม่เห็นอะไรไป? ไม่อย่างนั้น ต่อไปนางควรจะทำตัวอย่างไรดี?


ด้วยนางใจลอย จึงไม่ได้ยินว่าเจียงอวี้เหลียนพูดอะไรอีก เห็นแต่ว่าหลี่เย่ยิ้มแล้วพยักหน้า ในใจยิ่งรู้สึกสับสน ทว่าเพียงครู่เดียว นางก็รวบรวมสติกลับมา หากนางรู้สึกไม่สบายใจเพราะเรื่องนี้ ก็ยิ่งทำให้เจียงอวี้เหลียนสมหวัง หากนางทะเลาะกับหลี่เย่เพราะเรื่องนี้อีก ก็ยิ่งสมตามความตั้งใจของเจียงอวี้เหลียน ดังนั้นนางจึงไม่เพียงแต่ต้องทำตัวให้เหมือนสบายใจ นางยังต้องยิ้มรับด้วย! เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว สุดท้ายคนที่ไม่สบายใจ ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นใครกันแน่!




บทที่ 387 สืบ


ถาวจวินหลันเรียกหลิวเอินเข้ามาในจวนอ๋อง แต่ไม่ได้บอกเรื่องนี้กับหลี่เย่…ถึงแม้ว่าเรื่องที่ส่งให้หลิวเอินไปสืบนั้น หลี่เย่จะต้องรู้ไม่ช้าก็เร็วนี้ แต่ก่อนที่จะได้รับข่าวที่แน่นอน นางก็ยังไม่คิดอยากจะบอกหลี่เย่


นางอยากช่วยหลี่เย่จัดการเรื่องต่างๆ ไม่เพียงแค่เรื่องทำให้เรื่องภายในของจวนอ๋องสงบเท่านั้น แต่นางอยากช่วยจัดการเรื่องต่างๆ เพื่อช่วยเหลือเขาให้มากกว่านี้


ตอนที่หลิวเอินถูกเรียกตัวมาก็รู้สึกงุนงงไปหมด ดังนั้นพอทำความเคารพแล้วจึงถามหยั่งเชิงออกมาว่า “ไม่ทราบว่าชายารองทรงเรียกข้าน้อยมา มีเรื่องอันใดหรือขอรับ?”


หลิวเอินรู้สึกว่าอาจด้วยตัวเองทำเรื่องให้เจ้านายไม่พอใจ ดังนั้นจึงดูมีท่าทีระแวดระวัง


ถาวจวินหลันเห็นท่าทีของหลิวเอินเป็นเช่นนั้น จึงได้แกล้งดุไปว่า “หากใครไม่รู้ คงคิดว่าข้ารังแกคนซื่ออย่างเจ้า”


หลิวเอินเห็นถาวจวินหลันพูดเช่นนี้ ก็รู้ได้ทันทีว่าตัวเองเดาผิดแล้ว จึงได้แต่ยิ้มแล้วรีบพูดออกมาว่า “ข้าน้อยแค่เกรงว่าจะไม่มีความสามารถ ไม่ได้ทำงานที่เจ้านายมอบหมายให้สำเร็จด้วยดีก็เท่านั้นขอรับ อีกทั้งไม่ว่าเจ้านายจะให้ข้าน้อยไปทำอะไร ข้าน้อยก็ยินดีทำทุกอย่าง แล้วจะเรียกว่าเจ้านายรังแกบ่าวได้อย่างไร?”


หลิวเอินไม่เคยบอกใครมาก่อน ว่าหากไม่ได้เป็นเพราะหลี่เย่ ไม่รู้ว่าป่านนี้เขาคงตายไปกี่ปีแล้ว ไม่แน่ว่าอาจกลายเป็นเถ้ากระดูกไม่เหลือแล้วก็ได้ เกรงว่าแค่บุญคุณนี้ ก็ทำให้เขาเต็มใจสละชีวิตเพื่อหลี่เย่ได้


ถาวจวินหลันไม่อยากพูดเรื่องไร้สาระมาก จึงหุบยิ้มเอ่ย “วันนี้ที่เรียกเจ้ามา ก็ด้วยมีเรื่องอยากให้เจ้าไปสืบให้ข้าหน่อย” สักพักก็พูดต่อว่า “แต่เรื่องนี้เจ้าจะยังบอกท่านอ๋องไม่ได้ รอจนกระทั่งข้ามั่นใจแล้วถึงค่อยบอก”


หลี่เย่ไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้ นางก็ไม่อยากให้หลี่เย่ต้องมาคิดถึงเรื่องไม่สบายใจพวกนี้ ดังนั้นจึงอดกำชับไม่ได้


พอพูดออกไปแล้ว แน่นอนว่าหลิวเอินก็รู้สึกงุนงงและไม่เข้าใจ แต่ว่าเขาเป็นคนเฉลียวฉลาด พอได้ยินว่าความหมายของถาวจวินหลันก็คือต่อไปจะบอกเรื่องนี้กับหลี่เย่ เขาก็รู้ได้ว่าปิดบังเอาไว้เพียงชั่วคราวเท่านั้น เรื่องนี้ไม่มีปัญหาอะไร ดังนั้นเขาจึงรับปากทันที


ถาวจวินหลันพยักหน้าอย่างพึงพอใจ แล้วพูดถึงแผนการของตัวเองออกมาว่า “ข้าอยากให้เจ้าไปสืบเรื่องของจวนเฝินหยางโหว หลังจากที่จวนเฝินหยางโหวจะหมดอำนาจลงแล้ว เหลือคนอยู่เท่าไร? และมีใครที่มีความสามารถเป็นพิเศษบ้าง เจ้าไปสืบมาให้ละเอียด แล้วก็นำมารายงานข้า”


เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องยาก หลิวเอินรับคำโดยไม่ได้ลังเลเลยแม้แต่น้อย สุดท้ายแล้วถึงแม้จะยังสงสัยว่าอยู่ๆ จะสืบเรื่องนี้ไปเพื่ออะไร แต่เขาก็เข้าใจแล้วว่าทำไมถึงต้องปิดบังหลี่เย่เอาไว้


หลิวเอินเองก็รู้สึกในใจว่า เรื่องนี้ปิดบังหลี่เย่เอาไว้จะดีกว่า ไม่อยากนั้นหากเขารู้เข้า เกรงว่าจะรู้สึกไม่สบายใจได้


ถาวจวินหลันมองออกว่าหลิวเอินดูสงสัย แต่กลับไม่ได้อธิบาย เพียงแต่พูดว่า “เจ้าไปสืบมาก็พอ ต่อไปเจ้าจะเข้าใจความหมายของข้าอย่างแน่นอน ถึงอย่างไรข้าก็ไม่มีทางทำร้ายจวนตวนอ๋องของพวกเรา”


หลิวเอินรับคำสั่งแล้วขอตัวออกไป พร้อมทั้งพูดว่า “ไม่เกินครึ่งวันก็รู้ผลได้อย่างแน่นอนขอรับ”


ถาวจวินหลันพยักหน้า “เช่นนั้นข้าจะรอคำตอบจากเจ้า เจ้าจะต้องไปสืบให้ชัดเจนว่ามีใครบ้าง ระหว่างพวกเขาใครกับใครมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ใครกับใครมีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีต่อกัน”


หลังจากหลิวเอินออกไปแล้ว ถาวจวินหลันก็ได้แต่รอเขาตอบกลับมา นางเองไม่ถึงกับรู้สึกร้อนใจ แล้วก็ไม่ได้ทำให้หลี่เย่รู้สึกสงสัยเลยแม้แต่น้อย เพียงแต่พูดว่าตัวเองไปจัดการเรื่องต่างๆ ในจวนอ๋องก็เท่านั้น ยังดีที่หลี่เย่ยุ่งอยู่กับการเล่นกับซวนเอ๋อร์ จึงไม่ได้สังเกตอะไรมากนัก


พูดไปแล้วก็น่าขัน พ่อลูกสองคนอายุห่างกันเช่นนี้ แต่ตอนนี้กลับเล่นอยู่ด้วยกัน หลี่เย่เล่นขี่ม้าไล่กับกระดานไม้เป็นเพื่อนซวนเอ๋อร์ โดยไม่รู้สึกรำคาญเลยแม้แต่น้อย เพื่อได้เล่นเป็นเพื่อนซวนเอ๋อร์แล้ว แม้แต่เวลาอ่านหนังสือของเขายังน้อยลงไปมาก


หงหลัวลอบพูดกับถาวจวินหลันว่า “ตอนแรกข้ายังคิดว่าท่านอ๋องทรงเอ็นดูหมิงจูมากกว่า แต่ตอนนี้ดูไปแล้วก็ทรงรักและเอ็นดูซวนเอ๋อร์เป็นอย่างมาก หากเป็นเช่นนี้ ต่อไปความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกคู่นี้ ใครก็จะเทียบไม่ได้เลยเจ้าค่ะ”


คำว่า “ใคร” นั้น ก็หมายถึงเซิ่นเอ๋อร์ ถาวจวินหลันรู้ดีแก่ใจ จึงยิ้มออกมา “เป็นเช่นนี้ไม่ดีหรอกรึ?” ถึงแม้ว่าเป็นลูกชายของหลี่เย่ด้วยกันทั้งนั้น แต่ถึงอย่างไรซวนเอ๋อร์กับหมิงจูก็เป็นลูกของนาง หลี่เย่รักลูกของนางมากกว่า  นางย่อมต้องรู้สึกดีใจ


สักพักก็พูดต่ออีกว่า “เรื่องนี้อย่าเอาออกไปพูดข้างนอก หากใครมาได้ยินเข้าจะรู้สึกไม่เหมาะไม่ควรเท่าไร” เรื่องดีใจก็อีกเรื่อง แต่ว่าเรื่องนี้ จะเอาออกไปแสดงให้คนอื่นเห็นไม่ได้


แน่นอนว่าหงหลัวเข้าใจเรื่องนี้เป็นอย่างดี จึงยิ้มแล้วรับคำ จากนั้นก็พูดขึ้นว่า “ช่วงไม่กี่วันมานี้ติงหมัวหมัวไม่ค่อยสบาย ชายารองจะให้ไปเชิญหมอมาตรวจอาการดูหน่อยดีรึไม่?”


ติงหมัวหมัวอายุมากแล้ว ตอนนี้ไม่ได้ถวายการดูแลอยู่ข้างกายนางอีกต่อไป ถึงแม้ว่าจะยังอยู่ในจวนอ๋อง แต่ก็ไม่ได้รับผิดชอบจัดการเรื่องใหญ่ใดๆ เพียงแต่อยู่พูดคุยเป็นเพื่อนชิงกูกูไปในแต่ละวันก็เท่านั้น


ถาวจวินหลันให้ความเคารพติงหมัวหมัวอย่างมาก ในตอนแรกหากไม่ได้ชิงกูกูและติงหมัวหมัวคอยเป็นปีกซ้ายขวาที่แข็งแกร่งให้นาง ตอนที่นางเข้าจวนอ๋องมาใหม่ๆ จะตั้งหลักรวดเร็วเช่นนั้นได้อย่างไร? อีกทั้งในตอนที่ยังไม่ได้เข้าจวนอ๋อง ติงหมัวหมัวก็ดีกับนางเป็นอย่างมาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่า ติงหมัวหมัวยังเคยถวายการดูแลหลี่เย่มาก่อน


เพียงแต่ถึงอย่างไรในตอนนี้แต่ละวันนางก็มีเรื่องต้องจัดการไม่น้อย ดังนั้นจึงยากที่จะไม่ละเลยติงหมัวหมัวไปบ้าง ตอนนี้พอได้ยินว่าติงหมัวหมัวล้มป่วย นางจึงตกใจอย่างมาก “ติงหมัวหมัวเป็นอะไรไปรึ? อาการหนักหรือไม่?”


“บอกว่าแน่นหน้าอกเจ้าค่ะ เป็นมาหลายวันแล้ว บอกให้นางออกไปหาหมอตรวจอาการเสียหน่อยก็ไม่ยอมไป น่าเป็นห่วงจริงๆ” ตอนนี้เรื่องเล็กเรื่องใหญ่ทุกอย่างในเรือนเฉินเซียง หงหลัวต่างเป็นคนจัดการ ดังนั้นนางจึงเข้าใจเรื่องพวกนี้ได้อย่างชัดเจน อีกทั้งหงหลัวก็ให้ความเคารพติงหมัวหมัวอย่างมาก ถึงอย่างไร นางก็เป็นคนที่ติงหมัวหมัวสั่งสอนมาเองกับมือ ถือว่าติงหมัวหมัวเป็นครูให้นางไปครึ่งหนึ่งแล้ว


ได้ยินหงหลัวพูดเช่นนี้แล้ว ถาวจวินหลันย่อมสั่งอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย “สั่งให้คนไปเชิญหมอฝีมือดีมาตรวจดูอาการของติงหมัวหมัว” สักพักก็พูดต่ออีกว่า “เช่นนี้ ต่อไปเว้นระยะสักหน่อย ก็ให้คนไปเชิญหมอมาคอยตรวจสุขภาพของติงหมัวหมัวกับชิงกูกู”


หงหลัวรับคำอย่างดีใจ แล้วก็พูดต่ออีกว่า “ข้าตัดสินใจส่งสาวใช้เล็ๆ ไปคนหนึ่ง เพื่อคอยดูแลติงหมัวหมัวโดยเฉพาะแล้วเจ้าค่ะ”


ถาวจวินหลันพยักหน้า แล้วมองหงหลัวอย่างชื่นชม “เจ้าทำดีมาก ติงหมัวหมัวอายุมากแล้ว มีหลายเรื่องที่ทำด้วยตัวเองไม่ไหวแล้ว ก็สมควรส่งสาวใช้สักคนไปคอยดูแลนาง”


พูดไปพูดมา ฉับพลันก็คิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “พูดไปแล้ว พวกเจ้าก็อายุไม่น้อยแล้ว ควรคิดถึงเรื่องใหญ่ในชีวิตได้เสียที เดี๋ยวเจ้าลองไปพูดเรื่องนี้กับพวกสุ่ยปี้ดู บอกว่าเป็นคำสั่งของข้า ถามพวกนางดูว่ามีคนในใจแล้วหรือไม่ หากว่ามีแล้วล่ะก็ ข้าจะเป็นธุระให้พวกนาง ไม่ว่าจะเป็นคนในจวนอ๋องหรือเป็นคนข้างนอกก็ได้ทั้งนั้น”


ถึงแม้ในตอนนี้สาวใช้พวกนี้จะใช้งานได้ดีมาก นางเองก็คุ้นชินกับสาวใช้พวกนี้ แต่ก็ไม่ใช่เหตุผลที่จะเก็บสาวใช้พวกนี้ไว้กับตัว ไม่ยอมไปจัดการเรื่องใหญ่ที่สุดในชีวิตของพวกนาง ดังนั้นแม้ว่าจะไม่อยากให้พวกนางออกไปถึงเพียงใด แต่เรื่องที่ควรทำก็ต้องเริ่มคิดจัดการได้แล้ว


แล้วก็พูดต่ออีกว่า “เจ้าเองก็ลองดูในจวนอ๋อง ว่ามีใครที่เหมาะสมจะเอามาค่อยๆ ฝึกฝนดูบ้างหรือไม่ อายุน้อยหน่อยก็ไม่เป็นไร สักสิบเอ็ดสิบสองก็ถือว่ารู้เรื่องรู้ความแล้ว ต่อไปจะได้ใช้งานได้นานหน่อย” หากเลือกคนที่อายุสิบห้าสิบหก ถึงแม้ว่าจะเรียนรู้งานได้เร็ว แต่ใช้งานได้ไม่ถึงสองปีก็จะต้องส่งออกไปแต่งงานแล้ว


พูดถึงเรื่องนี้ ใบหน้าของหงหลัวก็แดงระเรื่อขึ้นมา แต่ว่านางก็รวบรวมความกล้าแล้วกัดฟันแสดงความคิดของตัวเองออกมาว่า “ไม่ว่าอย่างไร บ่าวก็ไม่มีทางไปจากชายารอง ถึงแม้จะต้องแต่งงาน บ่าวก็จะเลือกคนที่เหมาะสมจากในจวนอ๋อง เพื่อต่อไปจะได้ถวายการดูแลชายารองต่อไปได้เจ้าค่ะ”


ถาวจวินหลันยิ้มแล้วมองไปทางหงหลัว “ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นคนซื่อสัตย์ แต่อย่างพูดอย่างตัดโอกาสตัวเองเช่นนี้เลย จะอยู่ดูแลข้างกายข้าหรือไม่ก็ไม่สำคัญ ขอแค่เจ้าอยู่อย่างมีความสุขก็พอแล้ว เรื่องแต่งงานเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตผู้หญิง พวกเจ้าเคยดูแลข้ามา ข้าก็หวังว่าพวกเจ้าจะได้อยู่อย่างมีความสุข”


ที่หงหลัวพูดออกมานั้นเป็นการรวบรวมความกล้าออกมาอย่างเต็มที่แล้ว พอได้ฟังถาวจวินหลันพูดเช่นนี้ กลับรู้สึกเขินอายจนพูดอะไรไม่ออก จึงหาขออ้างแล้วรีบขอตัวออกไป


ส่วนทางด้านหลิวเอินนั้น ก็ทำงานได้อย่างรวดเร็ว วันเดียวกันตอนบ่ายเข้าก็ได้เข้าจวนอ๋องมารายงาน


ถาวจวินหลันยังคงหาข้ออ้างต่างๆ เพื่อแอบพบกับหลิวเอิน


หลิวเอินไปสืบเรื่องของจวนเฝินหยางโหวมาอย่างชัดเจนทุกเรื่อง


ที่แท้แล้วในตอนนี้จวนเฝินหยางโหวแบ่งออกเป็นสองพวก…พวกแรกของพวกของลูกที่เกิดจากภรรยาเอก อีกพวกคือลูกที่เกิดจากอนุ พวกลูกที่เกิดจากภรรยาเอกก็คือฝั่งแม่ของฮองเฮา และเหิงกั๋วกงฮูหยินใหญ่ที่เกิดจากแม่เดียวกัน ส่วนพวกลูกของอนุ ก็คือน้องชายต่างมารดาของเหิงกั๋วกงฮูหยินใหญ่ที่เกิดจากอนุ ตอนที่เหิงกั๋วกงฮูหยินใหญ่อยู่ในจวนเฝินหยางโหว ยังไม่ออกเรือน ก็มักจะดูหมิ่นน้องชายที่เกิดจากอนุอยู่เสมอ แน่นอนว่าความสัมพันธ์จึงไม่ดีนัก


แต่ว่าในตอนนั้นกลับยังไม่ได้แยกกัน ถึงขั้นว่าจนถึงตอนที่เกิดเรื่องขึ้นกับจวนเฝินหยางโหว ก็ยังไม่แยกกัน ตอนที่แยกกันคือหลังจากที่เกิดเรื่องขึ้นกับจวนเฝินหยางโหวแล้ว ในตอนนั้นเนื่องจากฝั่งลูกของอนุเหลือผู้ชายอยู่น้อย เหลือเพียงแค่ลูกชายที่เกิดจากภรรยาเอกเพียงคนเดียวเท่านั้น แต่ก็มีอายุเพียงเจ็ดปี อีกทั้งสมบัติยังแบ่งให้แก่ลูกทางฝั่งอนุเพียงน้อยนิดเท่านั้น


ส่วนเรื่องที่ดินก็ไม่ได้แบ่งให้มากมายเท่าไร แค่แบ่งที่ของจวนเฝินหยางโหวออกไปให้ส่วนหนึ่งเท่านั้น


ที่น่าขันก็คือ เหิงกั๋วกงฮูหยินใหญ่รู้เรื่องนี้แล้ว กลับไม่ได้ร้องความเป็นธรรมแทนลูกทางฝั่งอนุเลยแม้แต่คำเดียว


ถาวจวินหลันฟังถึงตรงนี้แล้ว ก็อดถอนใจไม่ได้ “เด็กกำพร้ากับหญิงม่าย เกรงว่าคงจะมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ไม่ง่ายนัก”


หลิวเอินยิ้มแล้วพยักหน้า “ไม่ง่ายเลยจริงๆ ขอรับ ในเมืองหลวงแห่งนี้ หากไม่มีที่พึ่งก็ไม่มีทางอยู่รอดได้ คุณชายจากทางพวกฝั่งลูกอนุผู้นี้ก็ถือว่ามีความสามารถเป็นอย่างมาก อายุแค่สิบสี่ปีก็ช่วยพี่ชายตัวเองจัดการเรื่องต่างๆ แล้ว ถือว่าได้รับหน้าที่ดูแลจัดการเรือนไปกว่าครึ่ง เนื่องจากเป็นญาติกัน ดังนั้นจึงได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจ”


ถาวจวินหลันได้ยินแล้ว ก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ “หรือว่าเขาจะไม่โกรธเกลียดฝั่งพวกลูกภรรยาเอกบ้างเลยหรือ? ในตอนนั้นที่แยกกัน ก็ไม่ได้มีผลดีต่อพวกเขาเลย”


“ใช่ขอรับ ดังนั้นจึงทำให้คนอื่นต่างรู้สึกนับถือ ช่วงหลายปีมานี้ แม้ว่าเฝินหยางโหวจะลำบาก แต่เรื่องในจวนและเรื่องจัดการธุรกิจการค้าพวกนั้นจัดการได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่องเลยทีเดียว ทั้งหมดต่างเป็นการจัดการของคุณชายจากฝั่งพวกลูกอนุผู้นี้ทั้งหมด” หลิวเอินหรี่ตายิ้มแล้วถอนใจ ท่าทางดูอนาถใจ


ถาวจวินหลันครุ่นคิดอยู่สักพัก ยิ้มแล้วส่ายหน้า “ถึงอย่างไรหากเป็นข้า ก็คงไม่มีทางทำเช่นนี้ได้ อย่างดีที่สุดก็แค่ไม่ติดต่อไม่มีความสัมพันธ์ใดๆ กันอีกก็เท่านั้น หากว่าใจร้ายมากกว่านี้หน่อย คิดว่าคงยังจะคิดแก้แค้นอีกด้วยซ้ำ” ไม่คิดถึงความแค้นความบาดหมางในครั้งก่อนเช่นนี้ นางทำไม่ได้จริงๆ หรือบางทีอาจพูดได้ว่า คนธรรมดาทั่วไปไม่มีทางทำได้อย่างแน่นอน



บทที่ 388 ไปเยือนเพื่อหยั่งเชิง


ไม่ว่าผู้อื่นจะคิดเช่นไร โดยปกติแล้วก็ควรจะเป็นเช่นนี้ ถึงอย่างไรฝั่งลูกของอนุที่ชื่อจั่วเสี่ยนอวี้ก็ช่วยเหลือฝั่งลูกจากภรรยาเอกจั่วเสี่ยนหลินจัดการเรื่องต่าง ๆ มาโดยตลอด ไม่เพียงแค่เรื่องจัดการเรือนยังช่วยจัดการ เรื่องธุรกิจการค้าอีกด้วย อีกทั้งยังทำได้เป็นอย่างดี ทำให้คนที่ได้รู้เอ่ยชมไม่ขาดปาก


จั่วเสี่ยนอวี้คนนี้แต่งงานมีครอบครัวไปแล้ว ลูกชายของเขารุ่นราวคราวเดียวกับซวนเอ๋อร์ ทางบ้านของภรรยานั้นบรรพบุรุษก็เคยเป็นขุนนางที่มีชื่อเสียง ทั้งสองฝ่ายที่ตระกูลตกยากลำบากเช่นเดียวกัน จึงเข้าหากันได้โดยง่าย


แม้ว่าจั่วเสี่ยนหลินจะอายุมากกว่าจั่วเสี่ยนอวี้ ทว่าก็ยังไม่ได้แต่งงาน แต่กลับทำเรื่องน่ารังเกียจมากมายหลายเรื่อง…ไม่เพียงแต่เรื่องเลี้ยงเด็กผู้ชาย รักร่วมเพศแล้ว นิสัยใจคอก็ไม่ดีนัก หากบ่าวในเรือนทำความผิดอะไรต่อหน้าเขา หากไม่โบยจนตายก็จะถูกขายออกไป อีกทั้งถึงจะยังอายุน้อยเช่นนี้ ก็รู้จักใช้ยาอายุวัฒนะบำรุงร่างกายแล้ว เงินทองในจวนก็ใช้ราวกับสายน้ำไหล


ข้างนอกลือกันให้ทั่วว่า เงินทองที่จั่วเสี่ยนหลินใช้ในแต่ละปีนั้น สามารถเลี้ยงจวนเฝินหยางโหวได้อีกสักสิบจวนโดยไม่มีปัญหา


จั่วเสี่ยนหลินยังมีน้องสาวอีกสองสามคน ไม่ว่าจะเป็นน้องสาวที่เกิดจากลูกภรรยาเอกหรือลูกอนุต่างก็ได้แต่งงานไปกับตระกูลที่ค่อนข้างดี…เหิงกั๋วกงฮูหยินใหญ่ให้ความช่วยเหลือในเรื่องนี้ไม่น้อยเลย แต่ว่าของขวัญแต่งงานของน้องสาวเขานั้น จั่วเสี่ยนหลินยังแอบยักยอกเข้ากระเป๋าตัวเองไปไม่น้อย หลังจากน้องสาวของเขาแต่งงานออกไปแล้ว หากไม่มีธุระอะไร ต่างก็ไม่กลับมาที่บ้านแม่ของตัวเองเลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องความสนิทสนมระหว่างพวกเขา


ถาวจวินหลันได้ยินเรื่องพวกนี้แล้ว ก็อดจิ๊ปากไม่ได้ “ชื่อเสียงของจั่วเสี่ยนหลินถือว่าเลวร้ายเป็นอย่างมาก” ก็ไม่แปลกที่องค์หญิงเก้าจะยอมทำให้ฮองเฮาทรงกริ้วเสียยังดีกว่าจะยอมแต่งงานออกไป แล้วก็ไม่แปลกที่ตระกูลพอมีฐานะจะไม่ยินยอมยกลูกสาวให้แต่งงานกับจั่วเสี่ยนหลิน จนฮองเฮาถึงขั้นต้องเอามาโยนให้องค์หญิงเก้า


แน่นอนว่าไม่ใช่ว่าจั่วเสี่ยนหลินไม่เคยพูดเรื่องแต่งงาน ถึงขั้นว่าเขาพูดไปหลายรอบแล้ว รอบแรกเป็นเพราะเรื่องที่เขาแตกแยกกับคู่นอนผู้ชายจนเกือบฆ่าตาย รอบสองด้วยอีกฝ่ายรู้เรื่องที่เขาใช้ยาบำรุงกำลังยาอายุวัฒนะพวกนี้ ต่อจากนั้นมาก็อีกหลายต่อหลายครั้งที่เขาถูกปฏิเสธเพราะเหตุผลพวกนี้


ดังนั้น ในขณะที่จั่วเสี่ยนหลินยังตัวคนเดียวทั้ง ที่น้องชายของเขาเป็นพ่อคนแล้ว ก็ดูเหมือนจะกลายเป็นเรื่องน่าขันของคนทั่วไป


ถาวจวินหลันยิ้มแล้วนั่งครุ่นคิด ไม่รู้ว่าจั่วเสี่ยนหลินรู้สึกว่าตนเองถึงเวลาที่ควรจะต้องแต่งงานแล้วหรือไม่? ดังนั้น เขาจึงสนใจในตัวองค์หญิงเก้า? พอเป็นเช่นนี้แล้ว ก็มีความเป็นไปได้ จั่วเสี่ยนหลินเป็นคนอารมณ์รุนแรง เมื่อรู้ว่าองค์หญิงเก้ายอมแต่งงานกับคนที่ตระกูลล่มสลายยังดีกว่ายอมแต่งงานกับเขา พอโกรธขึ้นมาก็อาจจะส่งคนไปเอาชีวิตขององค์หญิงเก้าได้


บวกกับหลี่เย่เองก็พูดแล้วว่า ครั้งก่อนมือสังหารผู้นั้นหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยจากเรือนของจวนเฝินหยางโหว ก็ถือว่าเป็นการยืนยันข้อสงสัยของนาง


ดูท่าแล้วจั่วเสี่ยนหลินไม่เพียงแต่จะมีปัญหามาก อีกทั้งยังใจกล้าไม่น้อยเลยทีเดียว ถาวจวินหลันหัวเราะอย่างเยือกเย็น “เช่นนั้นในตอนนี้เขาได้พูดเรื่องแต่งงานอีกหรือไม่?” จั่วเสี่ยนหลินอายุไม่น้อยแล้ว บ้านตระกูลจั่วเองก็คงรอต่อไปอีกไม่ไหวแล้วเช่นกัน


หลิวเอินสืบมาอย่างละเอียด ดังนั้นพอถาวจวินหลันเอ่ยปากถามเรื่องนี้ขึ้น เขาจึงตอบออกมาได้ทันทีว่า “ได้ยินว่าเหิงกั๋วกงฮูหยินใหญ่ได้รับคุณหนูที่เกิดจากอนุของจวนเพ่ยหยางโหวไปเที่ยวที่จวนของตัวเองมาสองวัน พอดีกับที่วันนั้นเฝินหยางโหวเข้ามาส่งของให้เหิงกั๋วกงฮูหยินใหญ่พอดี”


ถาวจวินหลันเลิกคิ้วเล็กน้อย แล้วหัวเราะอย่างเย้ยหยัน “ถูกใจคุณหนูที่เกิดจากอนุทั้งสองคนของจวนเพ่ยหยางโหวเช่นนั้นรึ? ก่อนหน้านี้ไม่ใช่ว่าถูกใจแค่เพียงลูกสาวที่เกิดจากภรรยาเอกรึ? ตอนนี้ดูท่าแล้ว น่าจะร้อนใจจนลดคุณสมบัติไปแล้ว”


“จวนเพ่ยหยางโหวมีปฏิกิริยาอย่างไร?” ถาวจวินหลันถามต่อ


หลิวเอินส่ายหัว “ไม่มีปฏิกิริยาเช่นไรขอรับ ข่าวของจวนเพ่ยหยางโหวก็สืบได้ไม่ง่ายนัก บ่าวไม่กล้าทำให้ใหญ่จนเกินไป”


ถาวจวินหลันพยักหน้าแล้วมองเขาอย่างชื่นชม “ทำถูกแล้ว จะให้เรื่องนี้มาทำลายความสัมพันธ์อันดีระหว่างพวกเราทั้งสองจวนไม่ได้” ส่วนเรื่องท่าทีของจวนเพ่ยหยางโหวนั้น นางไปถามด้วยตัวเองได้


ในเมื่อคิดได้เช่นนี้แล้ว ถาวจวินหลันจึงเดินทางไปจวนเพ่ยหยางโหวเพื่อพบเพ่ยหยางโหวฮูหยินสักครั้ง แน่นอน แจ้งว่าเป็นการเดินทางกลับไปเยี่ยมบ้านแม่


ส่วนการที่อยู่ ๆ ถาวจวินหลันก็กลับมาเยี่ยมนั้น แน่นอนว่าเพ่ยหยางโหวฮูหยินรู้สึกแปลกใจ ทว่าก็ยังจัดงานเลี้ยงต้อนรับลูกสาวกลับมาเยี่ยมบ้านแม่


หลังจากถาวจวินหลันกับบรรดาสะใภ้พบหน้ากันแล้ว นางก็ยิ้มแล้วถามเพ่ยหยางโหวฮูหยินไปว่า “ทำไมถึงไม่เห็นน้องสาวอีกสองคนเจ้าคะ?”


เพ่ยหยางโหวฮูหยินชะงักไป คิดว่าถาวจวินหลันอยากพบลูกสาวที่เกิดจากอนุสองคนนั้น จึงยิ้มแล้วสั่งให้สาวใช้ไปตามตัวมา


ถาวจวินหลันพิจารณาดูทั้งสองคน จากนั้นก็อดยิ้มบาง ๆ ไม่ได้ “พริบตาเดียวก็กลายเป็นสาวกันแล้ว น้องสาวทั้งสองได้จัดการเรื่องแต่งงานแล้วหรือไม่เจ้าคะ?” ประโยคหลังนั้นนางเอ่ยปากถามเพ่ยหยางโหวฮูหยิน


เพ่ยหยางโหวฮูหยินชะงักไป มองไปทางคุณหนูทั้งสองคนที่ก้มหน้าลงอย่างเขินอาย แล้วส่ายหัวเบาๆ รู้สึกอึดอัดในใจ ทำไมถึงได้ถามคำถามเช่นนี้กะทันหัน?


ถาวจวินหลันเห็นว่าท่าทีของเพ่ยหยางโหวฮูหยินดูไม่เป็นธรรมชาติ เพียงแต่นางไม่ค่อยมั่นใจ จึงเอ่ยปากพูดออกไปว่า “น้องสาวทั้งสองอยู่ตรงนี้ก็จะเขินอายไปเสียเปล่า กลับไปที่เรือนก่อนเถิด”


นี่ถือเป็นการพูดให้คนอื่นออกไปก่อน เพ่ยหยางโหวฮูหยินดูเหมือนจะเดาออกแล้ว จึงยิ้มบางๆ แล้วมองไปทางคุณหนูสองคนนั้น “พวกเจ้าออกไปก่อนเถิด” พอทั้งสองคนออกไปแล้ว เพ่ยหยางโหวฮูหยินถึงพูดถึงความสงสัยในใจออกมา “คนเป็นพี่สาวอย่างเจ้า คิดอยากจะพูดเรื่องแต่งงานของน้องสาวตัวเองเช่นนั้นรึ?”


ถาวจวินหลันยิ้มแล้วพยักหน้า จากนั้นก็ส่ายหน้า รอจนกระทั่งเพ่ยหยางโหวฮูหยินรู้สึกงุนงงไปหมด นางถึงได้พูดออกมาว่า “ข้าได้ยินมาว่าบ้านตระกูลจั่วคิดอยากจะขอลูกสาวของจวนเพ่ยหยางโหว จึงตั้งใจจะมาถามเรื่องนี้ หากว่ายังไม่มี ข้าก็มีคนอยู่คนหนึ่ง อยากแนะนำให้กับท่านแม่เจ้าค่ะ”


ที่เรียกว่าท่านแม่นั้น แน่นอนว่าก็เพื่อแสดงความสนิทสนมระหว่างนางกับจวนเพ่ยหยางโหว


ใบหน้าของเพ่ยหยางโหวฮูหยินกลับแสดงความตกใจอย่างมาก “เรื่องนี้เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่รึ? ทำไมข้ากลับไม่รู้อะไรเลย?”


ถาวจวินหลันแสดงท่าทีแปลกใจออกมา แล้วมองไปทางเพ่ยหยางโหวฮูหยิน “จะเป็นไปได้อย่างไร? เรื่องนี้เป็นข่าวที่จวนเฝินหยางโหวเผยแพร่ออกมา น่าจะไม่มีทางผิดพลาด” แน่นอนว่าความจริงนั้นไม่เหมาะที่จะพูดออกไปตรง ๆ ดังนั้นนางจึงโกหกออกไปเช่นนี้ ส่วนเรื่องที่นางรู้เรื่องของจวนเฝินหยางโหวได้อย่างไรนั้น เห็นได้ชัดว่าไม่จำเป็นต้องอธิบายให้เพ่ยหยางโหวฮูหยินฟัง


อีกทั้งเห็นได้ชัดว่าตอนนี้เพ่ยหยางโหวฮูหยินไม่สนใจเรื่องนี้ ความคิดของนางนั้นถูกเรื่องที่ถาวจวินหลันพูดขึ้นมาดึงดูดไปจนหมดสิ้น


ไม่เพียงแต่เพ่ยหยางโหวฮูหยินแสดงสีหน้าตกใจ แม้แต่สะใภ้ทั้งสี่คนก็ยังแสดงอาการตกใจไม่แพ้กัน


ถาวจวินหลันมองไปที่ใบหน้าของทุกคน ใบหน้าของนางมีรอยยิ้มบางๆ สุดท้ายแล้วก็เลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจ “เหตุใดท่านแม่ถึงไม่รู้เรื่องนี้เจ้าคะ?”


เพ่ยหยางโหวฮูหยินรู้สึกตัว น้ำเสียงแสดงความมั่นใจ “เรื่องนี้จะต้องเป็นเรื่องโกหก! มิเช่นนั้นข้าจะไม่รู้เรื่องนี้ได้อย่างไร?”


ในตอนนั้นเองก็มีคนเอ่ยปากขึ้น น้ำเสียงแสดงถึงความสงสัย “ไม่ใช่เรื่องที่วันนั้นเหิงกั๋วกงฮูหยินใหญ่มาพาน้องหญิงทั้งสองคนไป…”


ถาวจวินหลันมองไปแล้ว คนที่เอ่ยปากพูดนั้นก็คือภรรยาของหยางเจิ้นหนิงลูกชายคนที่สี่ แล้วนางก็ลอบหัวเราะในใจคิดว่า ช่างเฉลียวฉลาดจริงๆ แค่ครู่เดียวก็เดาออกแล้ว


สีหน้าของเพ่ยหยางโหวฮูหยินเปลี่ยนเป็นโกรธทันที พูดจริงๆ แล้ว แม้ว่านางจะไม่ชอบลูกสาวที่เกิดจากอนุสองคนนั้นนัก แต่ก็ไม่ถึงขั้นจะเอาพวกนางทั้งสองมาเป็นที่ระบายอารมณ์ อีกทั้งเหิงกั๋วกงฮูหยินใหญ่ทำเช่นนี้ ก็แสดงว่าไม่ได้เห็นนางอยู่ในสายตา ท่าทีเช่นนี้ ทำราวกับไม่เห็นจวนเพ่ยหยางโหวอยู่ในสายตาอย่างไรอย่างนั้น นางรับไม่ได้จริงๆ


เพ่ยหยางโหวฮูหยินกำผ้าในมือแน่น เม้มปากไม่พูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว


ถาวจวินหลันนั่งดูอยู่ข้างๆ ยิ้มแล้วพูดเสริมไปว่า “จริง ๆ แล้วเครือญาติแต่งงานกันก็ไม่ใช่เรื่องไม่ดี เพียงแต่ข้าได้ยินมาว่าจั่วเสี่ยนหลินของจวนเฝินหยางโหวไม่ใช่คนที่พึงพาได้ ข้ารู้สึกไม่วางใจ จึงได้มาถามด้วยตัวเอง”


เพ่ยหยางโหวฮูหยินได้ยินชื่อเสียงของหนุ่มผู้นี้มาเป็นอย่างดี อีกทั้งเรื่องที่อยู่ ๆ ผู้ชายของจวนเฝินหยางโหวถูกฆ่าตายในคืนเดียวนั้น นางเองก็รู้ดีอยู่แก่ใจ จวนเฝินหยางโหวนั้นนอกจากคังอ๋องจะได้เป็นฮ่องเต้แล้ว ก็ไม่มีทางพลิกกลับมามีอำนาจได้อีกแล้ว ถึงขั้นว่า หากต่อไปคังอ๋องไม่ได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้…เช่นนั้นพวกเขาคงไม่มีอนาคตที่ดีเป็นแน่


เมื่อคิดเช่นนี้แล้ว เพ่ยหยางโหวฮูหยินก็มองไปทางถาวจวินหลันอย่างสับสน แล้วก็นิ่งเงียบอยู่สักพัก จากนั้นก็พูดอย่างมั่นใจว่า “เฝินหยางโหวไม่ใช่คนดี แม้ว่าผู้หญิงจากจวนเพ่ยหยางโหวจะไม่ได้แต่งงานไปตลอดชีวิต ก็ไม่มีทางยอมแต่งงานกับคนเช่นนั้นป็นแน่”


ที่เพ่ยหยางโหวฮูหยินพูดออกมาอย่างขึงขังเช่นนี้ ข้อแรกก็เพื่อแสดงท่าทีของตัวเอง ข้อสองก็เพื่อระบายอารมณ์โกรธออกมา


สักพัก เพ่ยหยางโหวฮูหยินก็สั่งลูกสะใภ้สี่ของตัวเอง “ไป ไปตามคุณหนูทั้งสองคนมา”


ถาวจวินหลันรู้ดีแก่ใจว่า เพ่ยหยางโหวฮูหยินจะต้องรู้เรื่องนี้อย่างชัดเจนให้ได้


แล้วก็เป็นอย่างที่คาดไว้ รอจนกระทั่งคุณหนูทั้งสองคนนั้นเข้ามาแล้ว เพ่ยหยางโหวฮูหยินก็เอ่ยปากถามอย่างตรงไปตรงมาว่า “ข้าจะถามพวกเจ้า ก่อนหน้านี้ตอนที่พวกเจ้าไปเป็นแขกที่จวนเหิงกั๋วกง มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นเป็นพิเศษหรือไม่?”


คุณหนูทั้งสองทำหน้างุนงง อีกทั้งยังถูกเพ่ยหยางโหวฮูหยินทำให้ตกใจจนเสียงสั่น “ท่านแม่ เกิดเรื่องอะไรขึ้นเจ้าคะ? หลังจากที่พวกเราไปถึงแล้ว ก็ได้แต่พูดคุยเป็นเพื่อนกับฮูหยินใหญ่เท่านั้น ไม่ได้เกิดเรื่องอะไรขึ้นเป็นพิเศษ”


“พวกเจ้าได้พบกับผู้ชายจากที่อื่นหรือไม่?” เพ่ยหยางโหวฮูหยินสูดหายใจเข้าลึกแล้วถาม โดยครั้งนี้ถามออกมาตรงๆ


คุณหนูทั้งสองคนหน้าแดง จากนั้นดวงตาก็เป็นประกายวาบ


ดูจากท่าทีเช่นนี้แล้ว เพ่ยหยางโหวฮูหยินจะยังไม่เข้าใจอะไรอีก จึงได้โกรธเป็นอย่างมาก “ได้เจอแล้วใช่หรือไม่?”


“ก็มีเพียงแค่เฝินหยางโหวเข้ามาเยี่ยมฮูหยินใหญ่เท่านั้น พวกเราหลบหลีกไม่ได้จึงทักทายกันไป” หนึ่งในนั้นพอเห็นว่าเพ่ยหยางโหวฮูหยินโกรธมาก จึงไม่กล้าปิดบังอะไรอีก รีบพูดเรื่องทั้งหมดรวมทั้งรายละเอียดต่างๆ ออกมาอย่างชัดเจน “ในตอนนั้นเฝินหยางโหวยังพิจารณาดูพวกเรา จากนั้นก็ออกไปพูดคุยตามลำพังกับฮูหยินใหญ่ด้วยเจ้าค่ะ หลังจากนั้นก็ไม่ได้พบกันอีกเลย”


เพ่ยหยางโหวฮูหยินสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อกดความโกรธลงไป แล้วพูดเนิบๆ ว่า “พวกเจ้าทั้งสองคนนับตั้งแต่วันนี้ไป ห้ามออกไปที่ใด อีก อยู่แต่ในเรือนเรียนหนังสือและเรียนงานเย็บปักก็พอ”


คุณหนูทั้งสองคนต้องมารับโทษทั้งที่ไม่ได้ทำผิดอะไร แต่พวกนางก็ไม่กล้าอธิบาย ได้แต่กลับออกไปด้วยความรู้สึกสงสัย


ต้องรู้ด้วยว่า โดยปกติแล้วเพ่ยหยางโหวฮูหยินไม่ถือว่าสนิทสนมกับพวกนางเท่าไหร่นัก แต่ก็ทำดีกับพวกนางมาโดยตลอด เทียบกับลูกสาวที่เกิดจากอนุจากบ้านอื่นแล้ว พวกนางก็ถือว่ามีวาสนา วันนี้พอเพ่ยหยางโหวฮูหยินทำเช่นนี้ก็ทำให้พวกนางทั้งสองคนไม่สบายใจขึ้นมาทันที ต่างก็รีบคิดว่าตัวเองทำอะไรผิดไป กลัวว่าจะทำให้ท่านแม่ใหญ่โกรธแล้วจะไม่เป็นผลดีอะไรต่อตัวพวกนางเอง


ส่วนที่พวกนางไม่รู้ก็คือ หลังจากผ่านเรื่องนี้ไปแล้ว เพ่ยหยางโหวฮูหยินก็ได้ตัดสินใจแล้วว่า “รีบหาคนที่เหมาะสม แล้วหมั้นหมายให้พวกนางทั้งสองคนเสีย”




บทที่ 389 เตือน


ถาวจวินหลันยิ้มบางๆ แล้วเอ่ยปากพูดออกมาในเวลาที่เหมาะสม “จริงๆ ข้ารู้จักคนผู้หนึ่ง ใช้ได้เลยทีเดียว ไม่รู้ว่าท่านแม่จะพอใจหรือไม่”


เพ่ยหยางโหวฮูหยินพยักหน้า ปรับสีหน้าท่าทางของตัวเองให้ดีแล้ว ก็พยายามทำท่าทีอ่อนโยนโดยไม่ให้หลงเหลือความโกรธอยู่บนใบหน้า “เจ้าลองพูดให้ข้าฟังเถิด” เพื่อเป็นการแสดงความสนิทสนม น้ำเสียงของเพ่ยหยางโหวฮูหยินจึงอ่อนโยนและฟังดูสบายๆ ทั้งสองคนพูดคุยกันเช่นนี้ ก็เหมือนกับทั้งคู่เป็นแม่ลูกกันจริงๆ


“ลูกศิษย์ผู้หนึ่งของใต้เท้าเฉิน ชื่อว่ากู่ลิ่งจือ ถึงแม้ชาติตระกูลจะไม่สูงส่งนัก แต่ก็ถือว่ามีชาติมีตระกูล ที่สำคัญก็คือนิสัยใจคอและความสามารถของเขาค่อนข้างดี ได้ยินท่านอ๋องทรงตรัสว่า ฮ่องเต้ทรงรู้สึกพอพระทัยในตัวเขา แต่ว่าก่อนหน้านี้เขาเคยแต่งงานมาแล้ว ตอนนี้อายุก็สามสิบกว่า ทั้งยังมีลูกชายอีกหนึ่งคน” ถาวจวินหลันมองเพ่ยหยางโหวฮูหยิน “จริงๆ แล้วไม่จำเป็นต้องเป็นลูกสาวของบ้านเราก็ได้ ที่ข้ามาพูดก็เพื่อต้องการให้ท่านแม่ช่วยข้าคิดว่า ยังมีลูกสาวตระกูลไหนเหมาะสมอีกบ้าง”


เพ่ยหยางโหวฮูหยินลังเล ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “หากว่าแค่เคยแต่งงานมาก่อนแล้วก็ช่างเถิด แต่นี่ยังมีลูกชายแล้ว จำต้องพูดว่า…”


ถาวจวินหลันเข้าใจความหมายของเพ่ยหยางโหวฮูหยิน จึงพยักหน้า “เช่นนี้หากแต่งงานไปจะต้องลำบาก ถึงอย่างไรเป็นแม่เลี้ยงก็ไม่ง่าย อีกทั้งเกรงว่าต่อไปจะเกิดเรื่อแย่งชิงสมบัติกันขึ้น แล้วก็เป็นเพราะเหตุนี้ กู่ลิ่งจือจึงหาคนที่เหมาะสมได้ยาก ข้าถึงคิดอยากจะช่วยเหลือเขาเจ้าค่ะ”


ถาวจวินหลันส่งสายตาให้เพ่ยหยางโหวฮูหยินแสดงความหมายว่า ‘ท่านน่าจะเข้าใจ’


เพ่ยหยางโหวฮูหยินเข้าใจทันที “เจ้าอยากได้ใต้เท้ากู่มาเป็นพวกด้วยวิธีนี้”


ถาวจวินหลันพยักหน้า กระซิบเสียงเบา “ช่วงนี้ไม่ใช่ว่าฮ่องเต้ทรงคิดอยากจะเปลี่ยนผู้ว่าการเมืองหลวงหรือเจ้าคะ? ข้ารู้สึกว่ากู่ลิ่งจือมีโอกาสได้เป็นสูงมาก ถึงอย่างไร ชื่อเสียงของใต้เท้าเฉินก็เป็นที่รู้กันทั่ว แล้วเขายังเป็นลูกศิษย์ที่ใต้เท้าเฉินภาคภูมิใจเป็นอย่างมาก”


ใต้เท้าเฉินได้รับความไว้วางใจมากมาแต่ไหนแต่ไร เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ทุกคนต่างยอมรับ ตอนนี้ลูกชายทั้งสามคนของใต้เท้าเฉินต่างก็มีตำแหน่งที่สำคัญ จึงไม่มีทางมาแย่งชิงตำแหน่งนี้อย่างแน่นอน แต่ว่าจากชื่อเสียงและความสามารถของใต้เท้าเฉินแล้ว หากลูกศิษย์ของเขาจะได้รับตำแหน่งนี้ไป ก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องแปลกอะไร


เพ่ยหยางโหวฮูหยินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายแล้วก็พยักหน้า “เรื่องนี้ให้เวลาข้าคิดทบทวนดูก่อน ถึงแม้ลูกสาวของจวนเราจะไม่ได้ แต่ข้าก็รู้จักกับตระกูลที่มีลูกสาวถึงวัยเหมาะแต่งงานมากมาย ถึงอย่างไรก็จะต้องมีสักคนที่เหมาะสม”


ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนี้ ก็รู้ได้ว่าเรื่องภรรยาของกู่ลิ่งจือเป็นอันเสร็จเรียบร้อย จึงยิ้มออกมา “ขอบคุณท่านแม่มากเจ้าค่ะ”


เพ่ยหยางโหวฮูหยินฝืนยิ้ม จากนั้นก็ถอนใจทันที “กลับเป็นข้าที่ต้องขอบใจเจ้า ไม่อย่างนั้นก็คงถูกคนอื่นเล่นงานโดยที่ข้าไม่รู้อะไรเลยแม้แต่น้อย”


ถาวจวินหลันเองก็ถอนใจเบาๆ “จริงๆ ที่ข้ามาในวันนี้ ข้ายังมีเรื่องอยากพูดคุยกับท่านแม่เป็นการส่วนตัว”


เพ่ยหยางโหวฮูหยินได้ยินแล้ว ก็สั่งให้สะใภ้ทั้งสี่คนออกไป “พวกเจ้าไปดูในครัวก่อน อากาศร้อนเช่นนี้บอกให้พวกเขาทำอาหารที่กินแล้วสดชื่นหน่อย อย่าใส่น้ำมันเยอะ เดี๋ยวจะมันเลี่ยนจนเกินไป”


พอทุกคนออกไปแล้ว เพ่ยหยางโหวฮูหยินจึงมองมาทางถาวจวินหลัน


ถาวจวินหลันค่อยๆ ถอนใจออกมาเบาๆ ทำท่าทีเคร่งขรึมแล้วพูดขึ้นว่า “ครั้งก่อนที่เกิดเรื่องใหญ่ขึ้น ถึงแม้ว่าจะเรียกให้ท่านพี่สี่มาแล้ว แต่ก่อนหน้าที่ท่านพี่สี่จะเข้ามา จริงๆ แล้วคนงานผู้นั้นก็พูดอะไรออกมาไม่น้อย ทุกคำพูดต่างทำให้อดคิดไม่ได้ว่าจวนเพ่ยหยางโหวเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง”


เพ่ยหยางโหวฮูหยินพลันทำหน้าเคร่งขรึม เพิ่งจะยกแก้วชาขึ้นมาก็วางลงไปทันที จากนั้นก็พูดอย่างโกรธแค้นว่า “พวกบ่าวสารเลว สมควรตายเสียจริง! ไว้ชีวิตเอาไว้ถึงทุกวันนี้ถือว่าเป็นอันตราย!”


ถาวจวินหลันเองก็คิดเช่นนั้น


“เช่นนั้นตวนอ๋อง…” ถึงแม้เพ่ยหยางโหวฮูหยินจะเข้าใจว่าตวนอ๋องไม่มีทางเชื่อ แต่ก็อดไม่สบายใจไม่ได้ หากเชื่อจริงๆ ไม่เท่ากับเกิดรอยแผลอยู่ในใจหรอกหรือ?


ถาวจวินหลันส่ายหน้าเล็กน้อย แต่กลับตั้งใจถามออกไปว่า “วันนี้ข้าขอให้ท่านแม่พูดความจริงกับข้า เรื่องนั้น ท่านแม่ไม่ได้มีส่วนรู้เห็นแม้แต่น้อยจริงๆ หรือเจ้าคะ?”


เพ่ยหยางโหวฮูหยินหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะทันที แล้วพูดด้วยความสัตย์จริง “เรื่องนั้นข้าไม่มีส่วนรู้เห็นเลยแม้แต่น้อย! จวนเพ่ยหยางโหวจะทำเรื่องเช่นนั้นได้อย่างไรกัน? เจ้าเป็นลูกสาวบุญธรรมของข้า แล้วข้าจะต้องทำร้ายเจ้าไปเพื่ออะไรกัน?”


“ตอนนี้อยู่ๆ ท่านอ๋องก็ทรงหายเป็นปกติ มีคนไม่น้อยเตรียมการจะลงมือทำเรื่องเลวร้าย พวกเราเองก็รู้สึกกลัวอยู่เช่นกัน” ถาวจวินหลันหัวเราะอย่างขมขื่น “แล้วก็มีคนไม่น้อยที่สร้างเรื่องว่าพวกเรากับฮองเฮาและคังอ๋องมีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีต่อกัน ช่างมีจิตใจต่ำช้าเหลือเกิน”


เพ่ยหยางโหวฮูหยินเลิกคิ้ว น้ำเสียงฟังดูขุ่นเคืองใจ “หรือว่าตวนอ๋องทรงสงสัยว่าพวกเรามีความคิดเช่นนี้?” สักพักก็รีบอธิบายว่า “แม้ว่าข้ากับฮองเฮาจะไม่ลงรอยกัน แต่ข้าก็ไม่กล้าทำเรื่องเสี่ยงเช่นนี้ แล้วยิ่งไม่มีทางเอาตัวเองไปสอดอยู่ตรงกลางมิใช่หรือ? เจ้าไม่รู้หรอกว่า ฮ่องเต้ทรงตำหนิท่านพ่อบุญธรรมของเจ้าไปแล้ว พวกเราเองก็เดือดร้อนไปไม่น้อยเช่นกัน หากว่าพวกเราเป็นคนลงมือทำจริงๆ แล้วทำไมพวกเราถึงต้องกลายเป็นเช่นนี้ด้วยรึ?”


ท่าทีร้อนอกร้อนใจของเพ่ยหยางโหวฮูหยิน ทำให้ถาวจวินหลันอดหัวเราะออกมาเบาๆ ไม่ได้ “ทำไมข้าจะไม่รู้? ท่านอ๋องเองก็ทรงเชื่อเช่นกัน ข้าแค่กลัวว่าหากเกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้นอีก ถึงตอนนั้นข้าก็ไม่รู้จะพูดอย่างไรแล้ว ไม่ใช่ว่าข้าต้องการยื่นมือมายุ่งเรื่องของฝั่งท่านแม่ แต่เป็นเพราะข้ารู้สึกว่าท่านแม่ควรจะตรวจสอบคนข้างกายของท่านแม่ให้ดี อย่าให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นอีก”


เพ่ยหยางโหวฮูหยินกัดฟัน “เป็นเช่นนั้น ตอนแรกข้าคิดอยู่ว่าจะแสดงจุดยืนที่แท้จริงออกมาไม่ได้ แต่ตอนนี้พอมองดูแล้ว หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าจะถูกคนรังแกจนไม่เหลืออะไรเลย!”


ตอนที่เพ่ยหยางโหวฮูหยินพูดออกมานั้น จำต้องพูดว่าน้ำเสียงมีความเสียใจอยู่ ต้องรู้ด้วยว่า ถึงอย่างไรนางก็เป็นคนของจวนเหิงกั๋วกง ที่นั่นเป็นบ้านแม่ของนาง จะตัดความสัมพันธ์กับบ้านแม่ของตัวเอง เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องที่ส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงจนไม่สามารถอธิบายได้ อีกทั้งถูกบ้านแม่ของตัวเองเล่นงานเช่นนี้ ก็ไม่ใช่เรื่องที่ชวนให้รู้สึกดีใจและสบายใจได้


ถาวจวินหลันรู้สึกว่า เหิงกั๋วกงฮูหยินใหญ่ก็ทำเกินไป ถึงแม้จะเป็นลูกสาวที่เกิดจากอนุ แต่ถึงอย่างไรก็ถือว่าเป็นคุณหนูของจวนเหิงกั๋วกง ไม่เพียงแต่ไม่ไว้หน้า แต่กลับทำเช่นนี้…ก็ไม่แปลกที่เพ่ยหยางโหวฮูหยินจะแปรพักตร์จากจวนเหิงกั๋วกง


แล้วก็ไม่แปลกที่ถึงแม้เพ่ยหยางโหวฮูหยินจะไม่ชอบลูกสาวที่เกิดจากอนุ แต่นางก็ปฏิบัติอย่างดีกับคุณหนูทั้งสองคนนั้นมาโดยตลอด


ถาวจวินหลันถอนใจ เรื่องที่นางพูดในวันนี้ ถึงแม้จะตั้งใจพูดเพื่อให้เพ่ยหยางโหวฮูหยินกับบ้านแม่แตกแยกกัน แต่หากไม่มีลม ควันไฟพวกนี้ก็ไม่มีทางโหมขึ้น เกรงว่าในใจของเพ่ยหยางโหวฮูหยินคงรู้สึกขุ่นเคืองและทุกข์ใจมาตั้งนานแล้ว


“ต่อไปท่านแม่อยู่ห่างจากจวนเฝินหยางโหวเอาไว้จะดีกว่า” ถาวจวินหลันเตือนอีกครั้ง “หากว่าต้องไปแปดเปื้อนเข้า ถึงตอนนั้นจะลบอย่างไรก็ลบออกไปไม่ได้ คนเลวอย่างเฝินหยางโหว ไม่ใช่ลูกเขยที่ดีแน่นอน อีกทั้ง ไม่แน่ว่าทางฝั่งฮองเฮา…” ก็อาจจะยื่นมาเข้ามายุ่ง ถึงตอนนั้นฮองเฮาทรงออกหน้าว่าจะเป็นแม่สื่อให้ แล้วใครจะกล้าปฏิเสธ


ท่าทีของเพ่ยหยางโหวฮูหยินดูเคร่งขรึมขึ้นมาทันที “ขอบใจเจ้ามากที่มาเตือน เรื่องนี้ข้าเข้าใจแล้ว”


ถาวจวินหลันพยักหน้า ต่อจากนั้นก็ไม่ได้พูดเรื่องวุ่นวายใจพวกนี้อีก ต่างเปลี่ยนเรื่องคุยและไม่มีใครเอ่ยถึงเรื่องนี้


เพียงแต่ตอนที่ถาวจวินหลันกลับมาถึงเรือนเฉินเซียงนั้น ถึงได้รู้ว่าเจียงอวี้เหลียนอยู่รับประทานอาหารที่เรือนเฉินเซียง


ตอนที่หงหลัวพูดเรื่องนี้ สีหน้าก็ปกปิดความรังเกียจเอาไว้ไม่อยู่


ถาวจวินหลันจิ้มไปที่ปลายจมูกของนาง “ท่าทีของเจ้าเช่นนี้อย่าให้ใครมาเห็นเอาได้”


หงหลัวพยักหน้ารับคำ แล้วยังขมวดคิ้วและถามว่า “ชายารองควรหาวิธีจัดการเสียหน่อย เป็นเช่นนี้ทุกวัน เห็นแล้วไม่สบายใจจริงๆ เจ้าค่ะ”


ถาวจวินหลันหัวเราะ “มีอะไรให้เจ้าไม่สบายใจกัน แดดร้อนเช่นนี้ นางอยากเดินมาไม่กลัวแดดเผาไม่กลัวเหนื่อยก็ตามใจนาง ข้าแค่รอดูละครสนุกๆ เท่านั้น” ถึงอย่างไรเจียงอวี้เหลียนก็ไม่กล้าทำอะไรโจ่งแจ้งจนเกินไป อีกทั้งสำหรับหลี่เย่แล้ว ที่เจียงอวี้เหลียนทำเช่นนี้ เขาอาจจะรำคาญเสียด้วยซ้ำ


เกรงว่าในใจของหลี่เย่คงจะไม่สบอารมณ์มานานแล้ว


เป็นดั่งที่คิด กลางคืนหลี่เย่ก็พูดเนิบๆ ว่า “ในเมื่อเสด็จพ่อทรงประทานบ้านพักที่มีน้ำพุร้อนให้ พวกเราก็ไปดูเสียหน่อยดีหรือไม่ ที่นั่นยังอยู่ใกล้กับวังหลวง ทหารรักษาความปลอดภัยก็แน่นหนา อีกทั้งยามนี้อากาศก็ค่อยๆ ร้อนบ้างแล้ว มีคนไม่น้อยวางแผนออกไปหลบร้อนกัน”


ถาวจวินหลันตั้งใจกลั่นแกล้ง จึงยิ้มแล้วถามเขาว่า “พวกเราไปกันแค่สองคนคงจะไม่คึกคักนัก สู้พาคนอื่นๆ ในจวนอ๋องไปด้วยกันดีหรือไม่? ถึงอย่างไรบ้านพักก็กว้างใหญ่ ไม่ต้องกลัวว่าที่จะไม่พอคนอยู่ ถือว่าจะได้พาทุกคนไปดูอะไรใหม่ๆ บ้าง”


หลี่เย่พูดอย่างหนักแน่นว่า “พวกเราไปกันแค่สองคนก็พอ พาซวนเอ๋อร์กับหมิงจูไปด้วย ก็ถือว่าคึกคักพอแล้ว หากว่าไม่ได้ ก็พาจิ้งหลิงกับถาวจือไปด้วย ส่วนเจียงซื่อก็ให้นางอยู่คอยดูแลจวนอ๋อง ปีหน้าข้าค่อยพานางไป ก็ถือว่ายุติธรรมแล้ว” ส่วนปีหน้าเขาจะมีเวลาว่างเช่นนี้หรือไม่ นั่นก็ไม่สามารถรู้ได้แล้ว


ถาวจวินหลันได้แต่ยิ้มแล้วไม่พูดอะไร มองหลี่เย่อย่างหยอกล้อ


หลี่เย่ถูกถาวจวินหลันมองจนรู้สึกไม่สบายใจ จึงถอนใจและยอมรับ “ช่างเถิด เจ้ายังไม่เข้าใจความหมายของข้าอีกหรือ? ที่นางมาเช่นนี้ดูไม่เหมาะสมนัก แต่ถึงอย่างไรนางก็เป็นแม่แท้ๆ ของเซิ่นเอ๋อร์ ข้าจะไม่ไว้หน้านางก็คงไม่ได้”


ถาวจวินหลันพยักหน้า และไม่พูดล้อเล่นต่อ “ที่นางทำเช่นนี้ดูไม่เหมาะสมจริงๆ แต่ว่าข้ากับนางต่างเป็นชายารอง ข้าจะไปว่ากล่าวอะไรนางไม่ได้ แยกตัวออกไปเช่นนี้ก็ดี จะได้ทำให้นางเข้าใจขึ้นมาบ้าง”


หลี่เย่พยักหน้า “ข้าเองก็คิดเช่นนี้”


ดังนั้นเรื่องไปพักผ่อนหลบร้อนจึงกำหนดตามนี้ ถาวจวินหลันรู้ดีว่า ที่หลี่เย่แยกตัวออกไปสักพักถือเป็นแผนการที่ดี อีกทั้งตอนนี้เขายังต้อง ‘ฟื้นฟูร่างกาย’ จึงต้องแสดงท่าทีให้ผู้อื่นดูเสียหน่อย


“เดาว่าหลังจากพวกเรากลับมาแล้ว พวกเราก็จะได้รับอะไรดีๆ อีกแล้ว” หลี่เย่ยิ้ม หรี่ตาลงราวกับจิ้งจอกที่กำลังวางแผนสักอย่าง


ถาวจวินหลันมองเขาอย่างงุนงง แต่เขากลับไม่ยอมอธิบาย “ถึงเวลาเจ้าก็จะรู้เอง”


ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ถาวจวินหลันจึงได้แต่ปล่อยให้ผ่านไป คิดอยู่สักพักก็ยิ้มแล้วพูดต่อว่า “เช่นนั้นเชิญองค์หญิงแปดและองค์หญิงเก้าไปด้วยดีหรือไม่ จิ้งผิงก็ต้องฟื้นฟูร่างกาย องค์หญิงเก้าก็เพิ่งจะหายดี หากเปลี่ยนบรรยากาศแล้วอาจจะอารมณ์ดีขึ้น แล้วก็จะยิ่งหายเร็วขึ้น”


หลี่เย่ครุ่นคิดอยู่สักพัก “ก็จัดการเช่นนี้เถิด แต่ไม่รู้ว่าน้องเขยแปดจะมีเวลาหรือไม่”


พระสวามีขององค์หญิงแปดทำงานอยู่กับฮ่องเต้ ถือว่าได้รับความไว้วางใจเป็นอย่างมาก โดยปกติแล้วจะมีเวลาว่างน้อยมาก


จากนั้นหลี่เย่ก็พูดต่อว่า “ในเมื่อจะออกไปสักพัก อย่างน้อยก่อนจะออกไปเจ้าก็ควรเข้าวังไปถวายพระพรไทเฮาแทนข้าเสียหน่อย จะได้ทำให้ผู้ใหญ่วางใจเรื่องอาการบาดเจ็บของข้า”


ถาวจวินหลันยิ้มแล้วรับคำ “พอดีข้าจะได้พาซวนเอ๋อร์ไปด้วย เกรงว่าไทเฮาคงคิดถึงซวนเอ๋อร์ ถึงอย่างไรก็จะต้องไปอยู่ที่นั่นสักพัก”


หลังจากปรึกษาหารือกันเรียบร้อยแล้ว ทั้งสองคนก็ตื่นเต้นดีใจขึ้นมา แม้แต่เรื่องจะเอาอะไรไปบ้างก็ปรึกษากันเป็นอันเรียบร้อย


พอทุกอย่างเตรียมพร้อมหมดแล้ว ถาวจวินหลันถึงสั่งให้คนแจ้งเรื่องนี้ออกไป…เพื่อเป็นการปกปิดและหลอกผู้อื่น นางยังพาอี๋เหนียงในจวนอ๋องไปด้วย




บทที่ 390 พอใจ

วันต่อมา ถาวจวินหลันก็ได้ยินว่าจวนเพ่ยหยางโหวปลดปล่อยทาสออกไปจำนวนหนึ่งเนื่องจากเป็นการทำบุญให้คุณชายน้อยที่ไม่สบาย ไม่เพียงแต่ปลดปล่อยจากการเป็นทาส อีกทั้งยังได้ให้เงินไปจำนวนหนึ่ง


ได้ยินเช่นนี้แล้ว ถาวจวินหลันยังจะต้องเดาอะไรอีก? นางเข้าใจได้ทันทีว่า เพ่ยหยางโหวฮูหยินได้ลงมือจัดการเรื่องต่างๆ แล้ว แต่ว่าจากมุมมองของนางนั้น ที่ทำเช่นนี้ถือว่าอ่อนโยนเป็นอย่างมาก หากว่าเป็นนางล่ะก็ ไม่แน่ว่าจะหาข้ออ้างเช่นนี้ ที่ทำเช่นนี้นั้น ข้อดีเพียงข้อเดียวก็คือถึงแม้ว่าจะตัดความสัมพันธ์กับจวนเหิงกั๋วกงแล้ว แต่ก็ไม่ถือว่าเป็นการทำอย่างน่าเกลียดจนเกินไป แล้วยังถือเป็นการเพิ่มชื่อเสียงด้านความมีเมตตาให้แก่จวนเพ่ยหยางโหวอีกด้วย


ถาวจวินหลันพูดกับหลี่เย่เรื่องพวกนี้ หลี่เย่ก็เดาสาเหตุได้ทันที “เกรงว่าเรื่องนี้เจ้าจะมีส่วนเกี่ยวข้อง”


แต่ว่าจวนเพ่ยหยางโหวทำเช่นนี้ หลี่เย่ก็ถือว่ารู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมาก…ก่อนหน้านี้ที่เขายังต้องปกปิดตัวเองไว้ ก็ไม่ได้รู้สึกอะไรกับท่าทีที่ไม่แสดงตัวอย่างชัดเจนว่าเป็นพวกไหนของจวนเพ่ยหยางโหว แต่ในตอนนี้ ท่าทีเช่นนั้นคงไม่พอแล้ว หากว่าจวนเพ่ยหยางโหวต้องการลงเรือลำเดียวกับเขาจริงๆ เช่นนั้นก็ต้องแสดงท่าทีที่ชัดเจนออกมา อย่างน้อยก็จะประจบและทำดีกับทั้งสองฝ่ายไม่ได้


ดังนั้นเรื่องที่จวนเพ่ยหยางโหวเลือกอยู่ข้างเขา แน่นอนว่าเขาย่อมรู้สึกดีใจอย่างมาก จวนเพ่ยหยางโหวถือเป็นมิตรที่มีกำลังมาก ไม่อย่างนั้น ฮองเฮาก็ไม่มีทางจับไว้ไม่ยอมปล่อยมาตลอดมิใช่หรือ?


โดยเฉพาะเมื่อคิดถึงความไม่พอใจของฮองเฮาแล้ว หลี่เย่ก็รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมากทันที ยิ้มแล้วพูดว่า “ในเมื่อคุณชายน้อยป่วย ข้าจำได้ว่าในจวนของเรามียาดีอยู่ไม่น้อย เจ้าเอาไปมอบให้เพื่อแสดงความเป็นห่วงเป็นใยเสียหน่อย”


ถาวจวินหลันยิ้มแล้วรับคำ วันต่อมาก็หายาที่ใช้ได้ออกมาหลายชนิด แล้วก็เดินทางไปจวนเพ่ยหยางโหว


เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าจะบังเอิญเช่นนั้น ตอนที่นางไปถึงก็พบกับเหิงกั๋วกงฮูหยินใหญ่พอดี


เหิงกั๋วกงฮูหยินใหญ่ยังคงมีท่าทีหยิ่งยโสไม่เปลี่ยน พอมองเห็นถาวจวินหลันแล้วก็พิจารณาเงียบๆ แล้วก็ไม่เอ่ยปากพูดอะไร


ถาวจวินหลันยังจำสายตาที่เหิงกั๋วหงฮูหยินใหญ่มองนางได้ ดังนั้นนางจึงไม่ชอบฮูหยินคนนี้ อีกทั้งนางยังรู้ดีแก่ใจ เหิงกั๋วกงฮูหยินใหญ่รอให้นางเอ่ยปากทักทายก่อน


ตามหลักแล้วหญิงสาวอายุน้อยอย่างนางควรเอ่ยปากขึ้นก่อน เกรงว่าหากเห็นแก่ฮองเฮา นางก็ควรเอ่ยปากทักทายขึ้นก่อนเพื่อให้เกียรติ


ถาวจวินหลันไม่มองไปที่ท่าทีชวนให้รังเกียจของเหิงกั๋วกงฮูหยินใหญ่ เพียงแต่เอ่ยปากอย่างเนิบๆ ว่า “วันนี้ฮูหยินใหญ่เข้ามาเยี่ยมหลานชายหรือเจ้าคะ? ช่างบังเอิญเหลือเกิน อากาศร้อนเช่นนี้ท่านยังมา แสดงว่ารักและเอ็นดูหลายชายคนนี้อย่างมากจริงๆ”


เหิงกั๋วกงฮูหยินใหญ่ขมวดคิ้ว อาจด้วยรู้สึกว่าถาวจวินหลันไม่มีมารยาท ท่าทีจึงดูเย็นชามากขึ้นไปอีก “ที่แท้ชายารองถาวก็ว่างถึงเพียงนี้ ทำไมไม่คอยดูแลตวนอ๋องอยู่ในจวนเล่า?”


ท่าทีหยิ่งยโสและน้ำเสียงเชิงตำหนิเช่นนี้ แสดงออกว่าไม่เห็นถาวจวินหลันอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย


ถาวจวินหลันไม่อยากต่อความยาวสาวความยืด จึงได้แต่ยิ้มบางๆ “ฮูหยินใหญ่ยังมาแล้ว ถึงแม้ว่าข้าจะยุ่งถึงแค่ไหนก็ต้องหาเวลามาให้ได้”


ในที่สุดเหิงกั๋วกงฮูหยินใหญ่ก็ทนความเรียบเฉยในน้ำเสียงของถาวจวินหลันไม่ไหว ส่งเสียงคำรามอย่างเย็นชาและแล้วพูดอย่างหงุดหงิดว่า “ถึงอย่างไรก็ยังไม่สมกับเป็นคนชั้นสูง” จากนั้นก็สะบัดตัวออกไป ท่าทางเช่นนี้ ยังดูสูงส่งมากกว่าฮองเฮาเสียอีก


ถาวจวินหลันถอนใจ แล้วก็ส่ายหน้า ดูท่าทางเหิงกั๋วกงฮูหยินใหญ่จะแสดงท่าทีหยิ่งยโสเช่นนี้จนเคยตัว ไม่มีท่าทีว่าจะเก็บอาการเอาไว้เลยแม้แต่น้อย ทว่าท่าทีสูงส่งยโสของนางเช่นนี้ คิดว่าคงทำให้ใครหลายคนไม่พอใจอยู่บ้างกระมัง?


แล้วก็ด้วยยังมีฮองเฮาอยู่ นางถึงได้ทำเช่นนี้ได้ หากสักวันหนึ่งฮองเฮาหมดอำนาจหรือไม่มีฮองเฮาแล้ว เหิงกั๋วกงฮูหยินใหญ่จะต้องตกที่นั่งลำบากอย่างแน่นอน คิดว่าคนที่นางทำให้ไม่พอใจนั้น จะต้องไม่ไว้หน้านางอย่างแน่นอน


แค่คิดถึงตอนนั้น ถาวจวินหลันก็รู้สึกว่าอดใจรอไม่ไหวแล้ว ในขณะเดียวกันนางก็หวังจากใจจริงว่า ฮูหยินใหญ่ท่านนี้จะอายุยืนยาวเสียหน่อย ไม่อย่างนั้นนางจะมีละครที่น่าสนุกให้ดูได้อย่างไรกัน?


แต่ว่า วันนี้ที่เหิงกั๋วกงฮูหยินใหญ่มา เกรงว่าจะมาเพื่อเอาความจวนเพ่ยหยางโหวกระมัง? แต่ไม่รู้ว่าเพ่ยหยางโหวฮูหยินจัดการกับเรื่องนี้เช่นไร? เหิงกั๋วกงฮูหยินใหญ่ไม่ใช่คนรับมือได้ง่ายๆ


คิดมาตลอดทางเดิน สุดท้ายแล้วถาวจวินหลันก็ค่อยๆ เดินตามหลังเหิงกั๋วกงฮูหยินใหญ่เข้าไปในเรือนด้านใน


กลับเป็นหงหลัวที่อดใจไม่ไหวแล้วเอ่ยปากถามขึ้นมา “ชายารองไปทำอะไรให้หรือเจ้าคะ? ถึงได้ทำท่าทีน่ารังเกียจเช่นนั้น”


สาวใช้ที่มาเดินนำทางจากจวนเพ่ยหยางโหวทำหน้าเห็นด้วย ถาวจวินหลันจึงอดหัวเราะออกมาไม่ได้ “มีอะไรน่ารังเกียจกัน? ข้าไม่มีความจำเป็นต้องประจบนาง กลับทำให้นางรู้สึกไม่พอใจ นางอยากไม่พอใจเองมิใช่รึ? อีกทั้งสำหรับผู้น้อยแล้ว ก็ควรจะแสดงท่าทีที่เหมาะสมของผู้น้อย” เพียงแต่น่าเสียดายที่ฮูหยินใหญ่คนนี้ไม่มีความเป็นผู้ใหญ่ที่เหมาะสม นางก็ไม่จำเป็นต้องไปทำความสัมพันธ์อะไรกับอีกฝ่าย


ตลอดทางเดินมาจนถึงเรือนด้านใน แต่กลับไม่เห็นเพ่ยหยางโหวฮูหยิน คนที่มาต้อนรับนาง ก็คือฮูหยินสี่


ถาวจวินหลันรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย “พี่สะใภ้สี่ ทำไมถึงไม่เห็นท่านแม่ล่ะเจ้าคะ?”


ฮูหยินสี่กระซิบเสียงเบา “ไม่ต้องถามแล้ว ท่านยายยังอยู่ ข้าจะพาเจ้าไปเดินเล่นที่อื่นก่อน เพื่อเป็นการหลบท่านยายใหญ่ ท่านแม่จึงแกล้งไม่สบาย”


ถาวจวินหลันเลิกคิ้ว อดหัวเราะไม่ได้ เพ่ยหยางโหวฮูหยินถูกบีบบังคับจนถึงขั้นต้องทำเช่นนี้แล้วหรือ?


เหมือนกับจะดูออกถึงความคิดของถาวจวินหลัน ฮูหยินสี่จึงถอนใจแล้วกระซิบเบาๆ “ถึงอย่างไรนางก็เป็นท่านแม่ใหญ่ของท่านแม่ ท่านแม่ของเราจะไม่เคารพนางไม่ได้ มีเพียงวิธีนี้เท่านั้น ที่จะทำให้หลบหน้าจากนางได้ ไม่อย่างนั้น จะไม่ถูกด่าว่าไม่กตัญญูหรือ?”


ไม่กตัญญู ถือเป็นความผิดที่ร้ายแรง เกรงว่าเพ่ยหยางโหวฮูหยินที่ในตอนนี้อายุมากจนเป็นย่าคนแล้ว ก็ยังคงทนรับคำด่านี้ไม่ไหว


“เช่นนั้นในเมื่อท่านแม่ป่วยแล้ว ตอนนี้ใครเป็นคนต้อนรับ?” ถาวจวินหลันคิด เกรงว่าเป็นใครไปต้อนรับก็คงไม่มีทางรับมือได้


ฮูหยินสี่ยิ้ม มีความเห็นอกเห็นใจอยู่ในนั้น “ยังจะมีใครอีก ก็พี่สะใภ้ใหญ่น่ะสิ พี่สะใภ้รองพี่สะใภ้สามก็คอยเตรียมช่วยเหลืออยู่ข้างๆ พวกนางยอมปล่อยข้า ข้าถึงได้มาหลบได้”


ถาวจวินหลันใจเต้น แล้วรู้สึกอยากรู้อยากเห็น จึงลากตัวฮูหยินสี่ไป “ไป พวกเราไปดูด้วยกันเถิด”


แน่นอนว่าฮูหยินสี่ไม่ยินดีไป จึงไม่ยอมขยับ แล้วอ้อนวอนว่า “โอ๊ย น้องสะใภ้ที่รักของข้า เจ้าอย่าบังคับข้าเลย ท่านยายใหญ่รับมือยากจะตายไป”


“กลัวอะไรรึ? ข้าเองก็เป็นแขก นางยังจะกล้าเล่นงานข้ารึ? อีกทั้งข้าเองก็ไม่ใช่คนที่ยอมให้ใครมาทำอะไรได้ง่ายๆ ” ถึงแม้ว่าเหิงกั๋วกงฮูหยินใหญ่จะเป็นแม้แท้ๆ ของฮองเฮา ก็ควรจะต้องแสดงความเคารพ แต่นางก็เป็นชายารองของท่านอ๋อง ตามลำดับฐานะแล้ว ก็ไม่ได้ต่างกันนัก เหิงกั๋วกงฮูหยินใหญ่จะเก่งกาจถึงเพียงใด ก็ไม่มีทางมาทำอะไรนางได้ หากนางมีเหตุผล เช่นนั้นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง


ถึงแม้ว่าผู้น้อยต้องให้ความเคารพผู้อาวุโส แต่ผู้อาวุโสก็ควรจะรักษาท่าทีที่ดีของผู้อาวุโสมิใช่หรือ?


ท่าทีของเหิงกั๋วกงฮูหยินเช่นนั้น ดูท่าแล้วไม่เหมือนกับผู้ใหญ่ที่น่าเคารพนับถือนัก ก็เพื่อไว้หน้าเท่านั้น แล้วยังจะต้องกลัวอะไรอีก?


“อีกอย่าง เจ้าไม่กลัวว่าพี่สะใภ้ทั้งสามจะรับมือไม่ไหวรึ มีพวกเราอยู่ ก็ยังดีที่พอจะช่วยเหลืออะไรได้บ้าง” ถาวจวินหลันพูดเสริมไปอีก เพื่อให้ฮูหยินสี่ไม่มีทางปฏิเสธได้


ฮูหยินสี่หวั่นไหวในใจ ถึงอย่างไรนางก็ยังรู้สึกกังวล ทั้งสองคนจึงหันหลังแล้วกลับเข้าไปด้านใน


ยังไม่ทันเข้าประตูไป ก็ได้ยินเสียงโกรธกรุ่นของเหิงกั๋วกงฮูหยินใหญ่ดังออกมา “หมายความว่าอย่างไร? คนเป็นแม่อย่างข้ามาถึงนี่แล้ว แม้แต่จะพบกับลูกสาวตัวเองเสียหน่อยก็ยังไม่ได้รึ?”


ถาวจวินหลันกับฮูหยินสี่สบตากัน จากนั้นก็ก้าวเข้าไป ยิ้มแล้วพูดเสียงดังว่า “เกิดอะไรขึ้นเจ้าคะ? ทำไมถึงได้ยินเสียงดังมาแต่ไกล?”


เหิงกั๋วกงฮูหยินใหญ่นั่งทำหน้าโกรธเกรี้ยวอยู่บนเก้าอี้ พอเห็นถาวจวินหลัน ก็ส่งเสียงคำรามเยือกเย็นอย่างรังเกียจ แล้วก็หันหน้าหนีไป


ถาวจวินหลันทำเหมือนไม่เห็น เพียงแต่มองไปทางพี่สะใภ้ใหญ่ “พี่สะใภ้ใหญ่ เกิดอะไรขึ้นรึ? อยู่ๆ ทำไมถึงทำให้ฮูหยินใหญ่โกรธถึงเพียงนี้? หากท่านแม่รู้เข้า จะลงโทษท่านได้”


พี่สะใภ้ใหญ่ยิ้มแหยๆ แล้วอธิบายอย่างอ่อนโยนว่า “ท่านแม่ป่วย ฮูหยินใหญ่จึงอยากมาดู แต่ข้ากลัวว่าจะติดโรคไปด้วย จึงไม่กล้าให้ฮูหยินใหญ่เข้าไปจริงๆ”


ถาวจวินหลันพยักหน้า แล้วพูดเห็นด้วยอย่างเสียงดัง “ก็ควรเป็นเช่นนั้นจริงๆ ฮูหยินใหญ่อายุมากแล้ว ร่างกายก็ไม่แข็งแรงเท่ากับหนุ่มสาวทั่วไป ก็ควรต้องระวังเรื่องนี้จริงๆ” สักพัก พอเห็นว่าเหิงกั๋วกงฮูหยินใหญ่อ้าปากจะพูดอะไรออกมา ก็ตั้งใจไม่ให้นางได้มีโอกาสนั้น แล้วก็พูดต่อไปอีกว่า “แต่ว่า ท่านแม่ป่วยหนักขนาดนั้นจริงๆ รึ? ถึงขั้นไม่กล้าพบหน้าใครเลยรึ?”


พี่สะใภ้ใหญ่ถอนใจ สีหน้าแสดงความเสียใจ “ตอนแรกไม่ใช่ว่าคุณชายน้อยป่วยหรอกหรือ ท่านแม่ไปดูมาสองสามครั้ง ใครจะคิดว่ายังป่วยตามไปด้วย อาการไม่ถือว่าหนักมาก แต่ก็ไม่ถือว่าเบา แล้วก็ด้วยเหตุนี้ ถึงไม่กล้าให้ฮูหยินใหญ่เข้าไปเยี่ยม”


ถาวจวินหลันเองก็ถอนใจตามไปด้วย “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ไม่กล้าให้ฮูหยินใหญ่เข้าไปเยี่ยมจริงๆ หากเกิดเรื่องไม่คาดคิด ใครต่างก็รับผิดชอบเรื่องนี้ไม่ไหวเป็นแน่”


เหิงกั๋วกงฮูหยินใหญ่นั่งฟังทั้งสองคนพูดอย่างเต็มปากว่าตัวเองสุขภาพไม่ดี แค่ไม่ระวังก็จะตายเอาได้ ก็ทำให้โกรธไม่น้อย จากนั้นก็ควบคุมเอาไว้ไม่ไหว แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชาว่า “ข้าไม่ใช่คนอ่อนแอเช่นนั้น เพียงแค่ลมพัดก็จะปลิวไปได้อย่างนั้นหรือ? นางตั้งใจจะหลบหน้าข้า หรือว่าป่วยจริงๆ พวกเจ้าเองรู้ดีอยู่แก่ใจ”


ถาวจวินหลันทำหน้าขรึม ขมวดคิ้วทำหน้าไม่เห็นด้วย “ฮูหยินใหญ่พูดอะไรหรือเจ้าคะ? มีใครที่ไหนแช่งตัวเองให้เจ็บป่วยเช่นนี้? ที่ไม่ให้ท่านไป ก็ด้วยเป็นห่วงท่าน เกรงว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับท่าน ทำไมท่านถึงพูดเช่นนั้นได้เจ้าคะ?”


เหิงกั๋วกงฮูหยินใหญ่ไม่ฟังเหตุผล เพียงแต่พูดอย่างแข็งกร้าวว่า “วันนี้ข้าจะนั่งรออยู่ตรงนี้ เมื่อไรข้าได้พบนาง ข้าถึงจะยอมกลับ!”


จำต้องพูดว่า ท่าทีเอาแต่ใจเหมือนเด็กของเหิงกั๋วกงฮูหยินใหญ่นั้นช่างน่าขัน ถาวจวินหลันถอนใจ แล้วโน้มน้าวด้วยเสียงอ่อนโยน “ฮูหยินใหญ่อย่าร้อนใจไปเลยเจ้าค่ะ ข้ารู้ว่าท่านเป็นห่วงท่านแม่ เอาอย่างนี้แล้วกัน ท่านก็พักอยู่ที่นี่ รอจนท่านแม่หายดีแล้วค่อยส่งท่านกลับไปดีหรือไม่เจ้าคะ? ถึงอย่างไรพี่สะใภ้ทั้งสี่ก็เป็นคนมีความสามารจะต้องดูแลท่านได้อย่างแน่นอน”


พี่สะใภ้ใหญ่ไม่รู้เรื่องอะไร แต่ก็ได้พยักหน้าแล้วพูดออกมาว่า “ฮูหยินใหญ่พักอยู่ที่นี่ คิดว่าท่านแม่จะต้องหายป่วยในเร็ววันอย่างแน่นอน”


“ใช่แล้ว คิดว่าท่านพ่อรู้เรื่องนี้เข้า ก็จะรู้สึกดีใจ พี่ชายทั้งสี่ก็จะต้องดีใจอย่างแน่นอน” ถาวจวินหลันยิ้มแล้วพูดว่า “ลูกเขยก็ถือว่าเป็นลูกชายไปครึ่งหนึ่ง พี่ชายทั้งสี่ก็เป็นหลานของท่าน พวกเขาจะต้องดูแลท่านเป็นอย่างดีแน่นอน”


เหิงกั๋วกงฮูหยินใหญ่แทบจะกระอักเลือดออกมา…อย่าคิดว่านางไม่รู้ความหมายของคำพูดพวกนี้ ฟังดูดีแต่ความหมายโดยนัยคือกำลังเตือนนางว่านี่เป็นบ้านของลูกเขยนาง ไม่ใช่จวนเหิงกั๋วกง! อีกทั้งยังเป็นลูกเขยที่เป็นสามีของลูกเลี้ยงนาง! 

 

 


ตอนที่ 391 ยอมแพ้

 

ต่อให้เป็นลูกเขยที่เป็นสามีของลูกสาวแท้ๆ ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่แม่ยายจะมาก่อเรื่องวุ่นวายในบ้านของลูกเขยได้ แล้วนับประสาอะไรกับบ้านของลูกเขยที่เป็นสามีของลูกเลี้ยง? อีกทั้งหากจะทำเช่นนี้จริงๆ ล่ะก็ ไม่เพียงแต่จะต้องเสียหน้าจวนเหิงกั๋วกงเท่านั้น แม้แต่ฮองเฮารู้เรื่องเข้า ก็จะต้องรู้สึกเสียหน้าไปด้วย


อีกทั้ง ลูกเขยถือว่าเป็นแขกที่มีฐานะสูงส่ง เมื่อลูกสาวแต่งงานออกไปแล้วก็จะกลายเป็นคนของบ้านอื่น เกรงว่าถึงแม้ตอนที่ยังไม่แต่งงานออกไปจะมีตบตีด่าว่าลูกสาวตัวเองอย่างไร เช่นนั้นก็ยังถือว่าเป็นคนของบ้านตัวเองอยู่ คนอื่นไม่มีสิทธิ์มายุ่ง แต่หลังจากแต่งงานออกไปแล้ว ก็ถือว่าเป็นคนของบ้านอื่น หากคิดอยากจะทำเหมือนเหมือนก่อน ก็ไม่มีสิทธิ์จะทำได้อีกต่อไปแล้ว


แม้ว่าเหิงกั๋วกงฮูหยินใหญ่จะเป็นคนมุทะลุไปหน่อย แต่ก็ไม่ถือว่าเป็นคนโง่ เรื่องที่ควรเข้าใจนางก็เข้าใจอยู่ ดังนั้นที่ทำท่าทีแข็งกร้าวอยู่เช่นนี้ ก็เพียงแค่อาศัยฐานะของตัวเองเท่านั้น แน่นอนว่า ที่สำคัญที่สุดก็คือจวนเพ่ยหยางโหวไม่ยอมอ่อนข้อให้ก็เท่านั้น


ในตอนนี้เห็นอยู่แล้วว่าจวนเพ่ยหยางโหวไม่ยอมอ่อนข้อให้ จะโวยวายต่อไปก็ไร้ประโยชน์ เหิงกั๋วกงฮูหยินใหญ่จึงได้แต่ปิดปากเงียบ


พี่สะใภ้ใหญ่ยังคงเอ่ยปากโน้มน้าวอย่างอ่อนโยน “ฮูหยินใหญ่อย่าโกรธไปเลยเจ้าค่ะ รอจนท่านแม่หายดีแล้ว จะต้องเดินทางไปหาท่านอย่างแน่นอน”


ฮูหยินรองยิ้ม “ใช่แล้วเจ้าค่ะ หากฮูหยินใหญ่มีอะไรต้องการสั่ง ก็เพียงแค่บอกกับพวกเราสะใภ้ทั้งสี่คนเท่านั้น พวกเราจะต้องช่วยท่านจัดการอย่างเต็มความสามารถแน่นอนเจ้าค่ะ”


คำพูดนี้กลับทำให้เสียเรื่องทันที พี่สะใภ้ใหญ่เห็นท่าไม่ดี จึงถลึงตามองฮูหยินรองอย่างหมดความอดทน แต่ไม่ว่าฮูหยินรองจะตั้งใจหรือไม่ คำพูดนี้ก็หลุดออกจากปากไปแล้ว จึงทำได้เพียงรับมือไปตามสถานการณ์เท่านั้น


ถาวจวินหลันถือโอกาสตอนยกชาขึ้นดื่มพิจารณาดูฮูหยินรอง ดูไปแล้วฮูหยินรองมีท่าทีเฉลียวฉลาด ในตอนนี้ถึงแม้ว่าจะยิ้มทำเป็นไม่รู้เรื่อง แต่ในแววตาก็สามารถมองแผนการในใจได้


เห็นได้ชัดว่า ฮูหยินรองคนนี้ ไม่ได้พูดออกไปโดยไม่ได้ตั้งใจจริงๆ


แต่ว่าเรื่องความขัดแย้งของสะใภ้ในจวนเพ่ยหยางโหว กลับไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับนาง ดังนั้นหลังจากนางครุ่นคิดอยู่สักครู่แล้ว ถาวจวินหลันก็ละสายตาแล้วมองไปทางเหิงกั๋วกงฮูหยินใหญ่อีกครั้ง


เหิงกั๋วกงฮูหยินใหญ่ได้โอกาสในตอนที่ฮูหยินรองพูดเช่นนี้พอดี จึงเอ่ยปากออกมาว่า “ข้ามีเรื่องเรื่องหนึ่งอยากถาม”


ไม่ต้องเดา ถาวจวินหลันก็รู้ว่าประโยคต่อไปของเหิงกั๋วกงฮูหยินจะพูดว่าอย่างไร ไม่ใช่เรื่องที่อยู่ๆ จวนเพ่ยหยางโหวก็ปลดปล่อยบ่าวออกไปหรือ แน่นอนว่า ที่สำคัญก็คือ ในบรรดาบ่าวที่ถูกปลดปล่อยไปจำนวนไม่น้อยเป็นบ่าวที่เพ่ยหยางโหวฮูหยินพามาจากจวนเหิงกั๋วกงตอนแต่งงาน


เป็นดั่งที่คิด เหิงกั๋วกงฮูหยินใหญ่เอ่ยปากถามว่า “ได้ยินว่าสองวันก่อนจวนของพวกเจ้าปลดปล่อยบ่าวออกไปไม่น้อยหรือ?”


พี่สะใภ้ใหญ่เดาไว้แต่แรก ดังนั้นจึงไม่ตกใจเลยแม้แต่น้อย แล้วตอบอย่างมีเหตุมีผลว่า “เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นจริงๆ เจ้าค่ะ คุณชายน้อยป่วย ท่านแม่จึงรู้สึกกังวลใจ เพื่อทำกุศลให้กับคุณชายน้อย จึงคิดที่จะทำเรื่องนี้ ยังไม่ทันเท่าไร ก็ได้ผลจริงๆ เจ้าค่ะ”


พูดเช่นนี้แล้ว เหิงกั๋วกงฮูหยินใหญ่ก็จะพูดอะไรออกมาอีกไม่ได้ ในตอนแรกนางอยากจะตำหนิเสียหน่อย แต่ก็ได้แต่กลืนคำพูดลงไปอย่างโกรธๆ นางมองไปทางพี่สะใภ้ใหญ่อย่างไม่พอใจ “ทำไมถึงปลดปล่อยบ่าวที่ติดตามแม่ของพวกเจ้าในตอนแต่งงานออกไปตั้งมากมายเช่นนั้น? พวกเขาทำอะไรไม่ดีตรงไหนหรือ?”


พี่สะใภ้ใหญ่รีบอธิบาย “ฮูหยินใหญ่ จะรังเกียจที่พวกเขาทำไม่ดีได้อย่างไรเจ้าคะ? ท่านแม่รู้สึกสงสารที่พวกเขาลำบากมานานหลายปี ถึงได้ตัดสินใจทำเช่นนี้! ต้องรู้ด้วยว่า ปลดปล่อยจากการเป็นบ่าว ลูกหลานของพวกเขาก็จะสามารถสอบราชการได้ ใครจะรู้ว่าต่อไปพวกเขาอาจจะสอบได้จองหงวนหรือติดข้าราชการก็เป็นได้ มิใช่หรือ? เพราะคิดถึงผลดีต่อพวกเขาต่างหากจึงทำเช่นนี้!”


ฮูหยินใหญ่หัวเราะเสียงเยือกเย็น รู้สึกไม่เชื่อ “พูดได้ฉะฉานดีจริงๆ เช่นนั้นทำไมบ่าวที่เกิดในเรือนเพ่ยหยางโหวถึงไม่ปลดปล่อยออกไป แต่กลับปลดปล่อยบ่าวที่ตามมาจากจวนเหิงกั๋วกงไปเล่า!”


น้ำเสียงที่พูดออกมานั้นแสดงถึงการตำหนิอย่างชัดเจน ท่าทีของพี่สะใภ้ใหญ่ดูเย็นชาลงไป น้ำเสียงไม่ได้ฟังดูอ่อนน้อมเหมือนเมื่อครู่ “ฮูหยินใหญ่พูดราวกับ ฮูหยินไม่ได้เห็นทีละคนๆ เสียหน่อย ทำไมถึงได้รู้ว่าท่านแม่ปลดปล่อยบ่าวที่ติดตามท่านแม่มาตอนแต่งงานเท่านั้น?”


มิใช่เช่นนี้จริงๆ หรอกหรือ? ไม่ว่าจะท่าทีเหมือนกับว่าเป็นผู้บงการจวนเพ่ยหยางโหว หรือว่าคำพูดที่แสดงความตำหนิติเตียน เห็นได้ชัดว่าต่างไม่ใช่เรื่องดีอะไรทั้งนั้น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการพูดอย่างบีบบังคับเช่นนี้


ถึงแม้ว่าจวนเพ่ยหยางโหวจะต้องพึ่งพาจวนเหิงกั๋วกง จะต้องพึ่งพาฮองเฮา แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่หมาจนตรอกที่ไม่มีเกียรติและศักดิ์ศรี อย่างน้อยในจวนเพ่ยหยางโหว ใครเป็นเจ้าของใครเป็นแขก ก็ต้องแบ่งแยกให้ชัดเจน


ถาวจวินหลันอดคิดในใจไม่ได้ว่า เหิงกั๋วกงฮูหยินใหญ่ทำเช่นนี้ ก็ไม่แปลกที่จวนเพ่ยหยางโหวจะไม่พอใจ แล้วก็ไม่แปลกที่เพ่ยหยางโหวและเพ่ยหยางโหวฮูหยินคิดอยากจะแยกตัวออกมา


“ไม่รู้ว่าฮูหยินใหญ่ไปได้ยินเรื่องพวกนี้มาจากที่ใดรึเจ้าคะ? ไม่ใช่ว่าถูกใครหลอกเอารึ?” ถาวจวินหลันหัวเราะเบาๆ แล้วพูดต่อว่า “ท่านแม่ทำความดีเพื่อสะสมบารมี ไม่ได้ทำเรื่องผิดเสียหน่อย เหตุใดฮูหยินใหญ่ต้องโกรธเช่นนี้ด้วยเล่า?”


เหิงกั๋วกงฮูหยินใหญ่ขมวดคิ้ว รู้สึกไม่พอใจอยู่นานแล้ว ในตอนนี้พอเห็นถาวจวินหลันพูดแทรกขึ้นมา ก็เอ่ยปากต่อว่าออกมา “นี่เป็นเรื่องของจวนเพ่ยหยางโหว ไม่ใช่เรื่องของจวนตวนอ๋อง ถึงแม้เจ้าจะเป็นลูกบุญธรรม แต่ลูกสาวที่แต่งงานออกไปแล้วก็เหมือนน้ำที่สาดออกไป เจ้ายังมีสิทธิ์พูดอะไรอีกหรือ?”


เหิงกั๋วกงฮูหยินใหญ่พูดอย่างไม่เกรงใจ แต่ถาวจวินหลันกลับไม่ใส่ใจ เพียงแต่ยิ้ม “ใช่แล้วเจ้าค่ะ ที่นี่เป็นจวนเพ่ยหยางโหว คนนอกอย่างข้าไม่ควรมีสิทธิ์ที่จะยื่นมือเข้ามายุ่งใดๆ ด้วยแต่แรก” พูดจบแล้ว นางก็มองไปทางเหิงกั๋วกงฮูหยินใหญ่ด้วยท่าทีคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม แล้วก็ขาดเพียงแค่ไม่ได้เอ่ยถามออกไปว่า ข้าเป็นคนนอก แล้วท่านเป็นคนในเช่นนั้นรึ?


เหิงกั๋วกงฮูหยินใหญ่โกรธเสียจนถลึงตาโพล่ง แต่กลับตอกกลับมาไม่ได้แม้แต่คำเดียว


“ถึงอย่างไรคนพวกนั้นก็มีความดีความชอบต่อจวนเหิงกั๋วกง จะไม่พูดอะไรเลยสักคำก็ปลดปล่อยพวกเขาไปเช่นนี้รึ?” เหิงกั๋วกงฮูหยินใหญ่ทำเหมือนกับไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้น แล้วตำหนิพี่สะใภ้ใหญ่ต่อไปอย่างดุดัน “นางทำอะไรไม่ถูกไม่ควร เจ้าเองก็ไม่คิดจะเตือนอย่างนั้นรึ? เช่นนี้ไม่เรียกว่าเย็นชาไร้หัวใจแล้วจะเรียกว่าอะไร? ต่อไปเช่นนี้จะทำให้คนยอมรับได้อย่างไรกัน?”


ถาวจวินหลันมองเหิงกั๋วกงฮูหยินใหญ่อย่างแปลกใจ จากนั้นก็หันหน้าไปถามหงหลัว “หากต่อไปเจ้ามีลูกมีหลาน แล้วข้าจะปลดปล่อยพวกเจ้าจากการเป็นบ่าว อีกทั้งยังให้เงินไปสร้างตัว เจ้าจะยินดีรึไม่? หรือว่าจะรู้สึกโกรธเกลียดข้า?”


หงหลัวเข้าใจความหมายของถาวจวินหลัน จากนั้นก็เบิกตาโพล่ง แล้วพูดว่า “หากว่าบ่าวเพียงคนเดียวก็ช่างเถิด บ่าวยินดีดูแลชายารองไปตลอดชีวิต แต่ว่าหากต่อไปบ่าวมีลูกมีหลาน บ่าวก็ไม่อยากให้ลูกหลานต้องมาเป็นบ่าวไปชั่วชีวิต หากว่าสามารถหลุดพ้นจากฐานะบ่าวได้ ไม่ต้องให้เงินทองบ่าวก็รู้สึกซาบซึ้งใจอย่างที่สุดแล้วเจ้าค่ะ บ่าวจะต้องสวดมนต์ขอพรให้ชายารองทุกวันแน่นอน”


ใครอคิดอยากจะเป็นบ่าวกัน? ชั่วชีวิตนี้ต้องต้อยต่ำกว่าคนทั่วไป ตอนแรกที่ต้องขายตัวเองเข้ามาเป็นบ่าว ก็เพราะไม่มีทางเลือก หากว่าในตอนนั้นมีทางเลือกทีดีกว่านี้ อยู่ๆ ใครจะคิดอยากเป็นบ่าวกัน? นอกเสียจากจะเป็นคนที่สมองมีปัญหา


ถาวจวินหลันพยักหน้า จากนั้นก็ไม่พูดอะไรมาก เพียงแต่มองไปทางเหิงกั๋วกงฮูหยินใหญ่แล้วยิ้มโดยไม่พูดอะไร


เหิงกั๋วกงฮูหยินใหญ่เหมือนถูกตบหน้าอีกครั้ง ทำให้ทำหน้าเคร่งขรึมลงไปในทันที สีหน้าก็แดงระเรื่อ ไม่ต้องพูดก็รู้ว่า ในใจรู้สึกเกลียดถาวจวินหลันเป็นที่สุด


ถาวจวินหลันกลับไม่สนใจ…นางเองก็รู้ดีว่านางกล้าบังอาจทำเช่นนี้กับเหิงกั๋วกงฮูหยินใหญ่ แม้ว่าเหิงกั๋วกงฮูหยินใหญ่จะไปฟ้องฮองเฮา นางก็ไม่กลัว


อีกอย่าง เรื่องนี้เป็นเพราะเหิงกั๋วกงฮูหยินใหญ่ไม่มีเหตุผล พูดไปแล้ว อย่างมากนางก็มีแค่ความผิดที่ถือว่าพูดจาไม่เหมาะสมก็เท่านั้น


ภายใต้ความพยายามของถาวจวินหลันและพี่สะใภ้ทั้งสี่ ในที่สุดเหิงกั๋วกงฮูหยินใหญ่ก็เดินสะบัดออกไปอย่างโกรธเกรี้ยว แน่นอนว่า นางไม่ได้พบกับเพ่ยหยางโหวฮูหยิน


หลังจากเหิงกั๋วกงฮูหยินกลับออกไปแล้ว ถาวจวินหลันก็ไปเยี่ยมเพ่ยหยางโหวฮูหยิน…เรื่องป่วยน่ะป่วยจริง เพียงแต่แค่เป็นหวัดธรรมดาด้วยอากาศเปลี่ยนก็เท่านั้น


หลังจากมาบอกท่าทีของหลี่เย่อย่างอ้อมๆ ให้เพ่ยหยางโหวฮูหยินได้รับรู้แล้ว ก็ถือว่างานที่ได้รับมอบหมายในครั้งนี้ของถาวจวินหลันเสร็จสมบูรณ์ เพียงแต่คิดถึงท่าทีของเหิงกั๋วกงฮูหยินแล้ว นางก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ “เกรงว่าเรื่องนี้จะยังไม่จบ ไม่รู้ว่าจวนเหิงกั๋วกงจะทำอะไรต่อ”


เพ่ยหยางโหวฮูหยินหัวเราะอย่างเย็นชา “กลัวอะไรไปเล่า? ในเมื่อนางไม่ไว้หน้าข้า แล้วทำไมข้ายังต้องไว้หน้านางด้วย?”


พอเห็นท่าทีเย็นชาของเพ่ยหยางโหวฮูหยินแล้ว ถาวจวินหลันก็เลิกคิ้วเล็กน้อย รู้สึกแปลกใจ เพียงแต่รู้สึกสงสัยในความน่าเชื่อถือของเรื่องนี้อยู่เล็กน้อย


ถึงอย่างไรเพ่ยหยางโหวฮูหยินก็ถูกกดมานานหลายปี เวลาเพียงไม่นาน เกรงว่าคิดอยากจะพลิกฐานะของตัวเองก็คงไม่ใช่เรื่องง่าย


แต่ว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่ถาวจวินหลันต้องมากังวลใจ ดังนั้นหลังจากนั่งอยู่สักพัก ถาวจวินหลันก็ลุกขึ้นแล้วขอตัวกลับออกมา


รอจนกระทั่งกลับถึงจวนอ๋องแล้ว ถาวจวินหลันก็เปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วไปเดินตามหาหลี่เย่ที่ดูซวนเอ๋อร์เล่นขี่ม้าอยู่ในสวนพอเห็นว่าสองพ่อลูกมีรอยยิ้มอยู่เต็มใบหน้า นางก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ นางยืนอยู่ข้างหลังหลี่เย่ที่มองดูซวนเอ๋อร์กำลังเล่นอย่างสนุกสนาน จากนั้นก็เอื้อมมือไปจัดหมวกที่เบี้ยวๆ ของหลี่เย่


หลี่เย่ถึงได้รู้สึกว่านางอยู่ตรงนั้น จึงยิ้มออกมา “กลับมาแล้วรึ?” พูดแล้วก็ยื่นมือไปหยิบดอกกุหลาบออกมาหนึ่งดอก “นี่ เมื่อครู่ซวนเอ๋อร์เพิ่งไปเจอมา ตั้งใจเก็บเอาไว้ให้เจ้าทัดโดยเฉพาะ”


ดอกไม้ดอกนั้นผ่านมือของซวนเอ๋อร์มาแล้ว เห็นได้ชัดว่าถูกทับจนแบนและเ**่ยวไปหมด อีกทั้ง ดอกไม้ดอกนั้นยังบานนานจนแทบจะโรยแล้ว จะเอามาทัดก็คงไม่เหมาะสมเท่าไรนัก


แต่ว่าในเมื่อเป็นน้ำใจและความตั้งใจของซวนเอ๋อร์ ถาวจวินหลันก็ยังรับมาด้วยความดีใจ ยิ้มแล้วเรียกซวนเอ๋อร์เข้ามา “ซวนเอ๋อร์ให้แม่รึ?”


ซวนเอ๋อร์พยักหน้า แล้วหัวเราะเสียงดัง “ทัดดอกไม้! สวย!”


ตอนนี้ดอกไม้ในสวนต่างผลิบานเป็นจำนวนมากแล้ว สาวใช้หลายคนได้เด็ดเอาไปประดับผมของตัวเอง คิดไม่ถึงว่าซวนเอ๋อร์เห็นแล้ว จะเกิดความคิดขึ้นมาว่าทัดดอกไม้นั้นดูสวยงาม


พอได้รับคำตอบจากซวนเอ๋อร์ รอยยิ้มของถาวจวินหลันก็ยิ่งหวานขึ้นไปอีก “เช่นนั้นซวนเอ๋อร์ก็ทัดให้แม่เถิด”


ซวนเอ๋อร์จึงค่อยๆ ลงจากรถม้ามา แล้วหยิบดอกกุหลาบไป หัวเราะแล้วทัดลงบนหัวของถาวจวินหลัน


หลี่เย่กลัวว่าซวนเอ๋อร์จะทำให้ผมของถาวจวินลันยุ่ง จึงได้ยิ้มแล้วจับมือของซวนเอ๋อร์ไว้ แล้วกุมมือเล็กๆ ของเขาช่วยทัดดอกกุหลาบที่ไม่ถือว่าสวยดอกนั้นไปบนหัวของถาวจวินหลัน แล้วยังยิ้มออกมา “สวยอย่างที่ว่าจริงๆ ”


ซวนเอ๋อร์ปรบมือเห็นด้วย


ถาวจวินหลันเด็ดดอกกุหลาบสีชมพูออกมาดอกนึง ยิ้มแล้วพูดว่า “ทัดดอกไม้แล้วสวย ซ่วนเอ๋อน์ทัดให้ท่านพ่อสักดอกเถิด”


ซวนเอ๋อร์จะรู้เรื่องพวกนี้ได้อย่างไร? พอได้ยินเช่นนั้นก็ยิ่งดีใจ และกระโดดขึ้นไปเกาะบนตัวหลี่เย่ทันที


ถาวจวินหลันมองหลี่เย่และยิ้มอย่างมีเล่ห์กล “ท่านอ๋องทรงอย่างทัดดอกไม้หรือไม่เพคะ?”


หลี่เย่กลับเอ่ยขึ้นมาอย่างเรียบเฉย “นักปราชญ์และผู้มีความรู้ในสมัยโบราณ ต่างก็ทัดดอกไม้กันทั้งนั้น ข้าไม่ติดขัดอะไร”


ถาวจวินหลันจับมือของซวนเอ๋อร์ไว้ แล้วทัดดอกกุหลาบสีสดใสดอกนั้นลงไปตรงหูของหลี่เย่ เพียงแค่มอง ก็รู้สึกว่าตาเบลอไปหมด…ผู้ชายทัดดอกไม้ ไม่ใช่เรื่องน่าขันเช่นนั้น อาจเป็นเพราะหลี่เย่หล่อเหลา เพียงแค่รอยยิ้มบางๆ ก็ทำให้ดูหล่อเหลา เพียงแค่มองก็ทำให้คนอดเกิดเป็นความรู้สึกว่าคนยังงามกว่าดอกไม้ไม่ได้ จนทำให้ดอกกุหลาบแสนสวยดอกนั้นดูเ**่ยวเฉาไปทันที 

 

 


ตอนที่ 392 เปลี่ยนแปลง

 

ไม่เพียงแต่ถาวจวินหลันเท่านั้นที่มองจนแทบไม่ละสายตา แม้แต่สาวใช้จำนวนไม่น้อยที่ถวายการดูแลอยู่ข้างๆ ก็มองไม่ละสายตาเช่นกัน…ถาวจวินหลันเห็นแล้วก็เริ่มเสียใจภายหลัง อยากจะยื่นมือไปหยิบดอกไม้ออกมา


แต่หลี่เย่กลับหันหน้าหนี ยิ้มแล้วพูดว่า “หากเอาออกจริงๆ ซวนเอ๋อร์จะรู้สึกเสียใจได้ ถึงอย่างไรก็ไม้ต้องออกจากบ้าน ไม่เป็นไรหรอก”


ถาวจวินหลันคิดแล้ว ในใจก็เกิดความคิดเรื่องน่าขันขึ้นมาได้ แล้วก็เด็ดดอกทับทิมออกมาอีกสองดอก แล้วให้ซวนเอ๋อร์ไปเสียบที่หูทั้งสองข้าง ยิ้มแล้วพูดว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ก็ทัดทั้งสองข้างไปเสียเลย”


จากนั้นก็แอบหัวเราะ ลดเสียงกระซิบไปที่ข้างหูของหลี่เย่ “ดูซี เหมือนสาวงามหรือไม่?”


หลี่เย่เองก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้เช่นกัน ซวนเอ๋อร์ดูงุนงงไม่รู้เรื่อง แต่ก็หัวเราะตามไปด้วยอย่างงงงัน


พริบตาเดียวบรรยากาศในสวนก็คึกคัก เสียงหัวเราะดังไปไกลจนถึงนอกสวน


ทั้งสามคนต่างเล่นสนุกกันอยู่สักพัก จนกระทั่งซวนเอ๋อร์เหนื่อยแล้ว ถาวจวินหลันจึงให้แม่นมอุ้มซวนเอ๋อร์ไปนอน แต่ตัวเองกลับดึงตัวหลี่เย่ไปเดินเล่นในสวนดอกไม้


“วันนี้ข้าถึงได้รู้ว่าอะไรเรียกว่าการกดขี่ที่แท้จริง” ถาวจวินหลันเดินไปก็พูดกับหลี่เย่ถึงเรื่องในวันนี้ไป “แค่เห็นท่าทีกดขี่บังคับเช่นนั้น หากว่าข้าเป็นเพ่ยหยางโหว เกรงว่าคงอดให้คนมาไล่นางออกไปไม่ได้”


หลี่เย่ได้ยินแล้ว ก็รู้สึกว่าน่าขันจนอดยกมุมปากขึ้นมาไม่ได้ จากนั้นก็พูดว่า “ก่อนฮองเฮาจะได้ขึ้นรับตำแหน่งฮองเฮา จริงๆ แล้วเหิงกั๋วกงฮูหยินใหญ่เป็นคนมีเหตุมีผลคนหนึ่ง แต่สองสามปีมานี้กลับชอบกดขี่และหยิ่งยโสถึงเพียงนี้ แต่ว่ากลับปฏิบัติเช่นนี้กับเพ่ยหยางโหวฮูหยินมาโดยตลอด หรืออาจจะพูดได้ว่ากดขี่มากกว่าเดิม”


ถาวจวินหลันหัวเราะอย่างเย้ยหยัน “ดูท่าแล้ว อำนาจคงทำให้คนหลงระเริงจริงๆ เพียงแต่ฮองเฮาทรงเฉลียวฉลาดเช่นนั้น เหตุใดถึงไม่ตักเตือนเสียหน่อยเล่า? ทำเช่นนี้ต่อไป ไม่ช้าก็เร็วคงทำให้ทุกคนโกรธเกลียดกันหมด”


หลี่เย่เลิกคิ้วเล็กน้อย “ถึงอย่างไรฮองเฮาก็อยู่แต่ในวังหลวง คนอื่นไม่พูด แล้วนางจะรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร? แล้วถึงแม้จะรู้แล้ว ถึงอย่างไรนางก็จะสั่งให้ขังท่านแม่ของนางเอาไว้ไม่ได้” เหิงกั๋วกงฮูหยินใหญ่ถือว่าเป็นผู้อาวุโสที่สุดในจวนเหิงกั๋วกง หากว่าคิดอยากจะควบคุมนาง เกรงว่าคงจะไม่ใช่เรื่องง่าย


ถาวจวินหลันยิ้ม “ปล่อยให้นางทำเช่นนี้ไปเถิด ถึงอย่างไรก็มีผลดีต่อพวกเราไม่น้อย” เหิงกั๋วกงฮูหยินใหญ่ยิ่งทำให้คนโกรธเกลียดเท่าไร ก็ยิ่งมีคนไม่อยากเข้าพวกกับพวกเขามากขึ้นเท่านั้น แล้วทีนี้พวกนางก็จะได้ลากคนมาเป็นพวกได้มากยิ่งขึ้น


หลี่เย่เองก็คิดเช่นนี้ ศัตรูของศัตรู ก็ถือว่าเป็นมิตร เรื่องนี้เป็นเรื่องที่มีมาแต่โบราณ


“แต่ว่าครั้งนี้ จวนเพ่ยหยางโหวตัดขาดกับจวนเหิงกั๋วกงโดยสิ้นเชิง” ถาวจวินหลันพูด “ฮองเฮาจะลงมือจัดการจวนเพ่ยหยางโหวหรือไม่?”


“ในตอนนี้ฮองเฮายังทำเช่นนั้นไม่ได้” หลี่เย่พูดอย่างมั่นใจด้วยเสียงเคร่งขรึม “อีกทั้งจวนเพ่ยหยางโหวกล้าทำเช่นนี้ ย่อมเตรียมวิธีป้องกันเอาไว้ดีแล้ว”


จวนเพ่ยหยางโหวไม่ใช่คนโง่ ในเมื่อจวนเพ่ยหยางโหวถูกบีบบังคับให้ต้องเลือกข้างกะทันหันเช่นนี้ หากว่าไม่ได้มีการเตรียมพร้อมเอาไว้เป็นอย่างดี จวนเพ่ยหยางโหวจะกล้าทำเรื่องให้ตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายหรือ? เห็นได้ชัดว่าไม่มีทาง


ดังนั้น จวนเพ่ยหยางโหวก็เพียงทำทุกอย่างไปตามสถานการณ์เท่านั้น ถือโอกาสครั้งนี้ออกจากการควบคุมของฮองเฮา จากนั้นก็จะได้มีชีวิตใหม่


ถาวจวินหลันคิดแล้ว ก็อดพยักหน้าไม่ได้ พูดเรื่องนี้กันมาตลอด บรรยากาศดูไม่ค่อยดีนัก ถาวจวินหลันจึงเปลี่ยนเรื่องคุย ยิ้มแล้วพูดว่า “คิดไม่ถึงว่าพวกเรายังมีโอกาสเดินเล่นในสวนด้วยกัน เช่นนั้นไปดูใบบัวที่เพิ่งงอกเสียหน่อยดีหรือไม่? หากมีที่กำลังงาม ก็เด็ดมาสักสองใบ จะได้เอามาต้มน้ำแกงดื่มได้”


ทั้งสองคนเดินเล่นมองทิวทัศน์ไปเรื่อยๆ เป็นช่วงเวลาว่างที่หาได้ยากยิ่งนัก


สุดท้ายทั้งสองคนก็กำหนดวันเดินทางไปบ้านพักในอีกสามวันให้หลัง


องค์หญิงเก้าจะเสด็จไปพร้อมกันด้วย องค์หญิงแปดตอบกลับมาช้า แต่ก็ได้ตอบตกลง ได้ยินว่าพระสวามีขององค์หญิงแปดลางานเพื่อการนี้โดยเฉพาะ ถึงแม้ว่าจะลางานไม่นาน แต่ก็ยังดีที่ได้มีเวลาว่างบ้างไม่กี่วัน


ก่อนออกเดินทาง ถาวจวินหลันก็พบกับหลิวเอินอีกครั้ง


ถาวจวินหลันกำชับหลิวเอินเรื่องหนึ่งว่า “ตอนที่พวกเราไม่อยู่ในเมืองหลวง เจ้าคอยสังเกตสถานการณ์ของจวนเพ่ยหยางโหวเอาไว้ให้มาก ไม่ว่าพวกเขาจะพูดคุยเรื่องแต่งงานกับใคร ก็จะต้องหาวิธีทำลายความคิดนี้ให้ได้ หากว่าเจอคนที่รู้เรื่องราวทั้งหมดแล้วยังยินยอม เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องขัดขวาง นอกเหนือจากนั้น ก็ให้ความสนใจจั่วเสี่ยนอวี้ให้มากหน่อย”


แน่นอนว่าหลิวเอินไม่มีทางปฏิเสธ


“นอกเหนือจากนั้น หากว่ามีการเคลื่อนไหวใดๆ ก็ให้คิดหาวิธีแจ้งข่าวกับพวกเราโดยเร็ว” ถึงแม้ปากจะกำชับออกไปเช่นนี้ แต่ถาวจวินหลันกลับรู้สึกว่าไม่น่าจะเกิดเรื่องใหญ่ใดๆ ขึ้น


หลังจากกำชับเรื่องพวกนี้แล้ว ก็ไม่มีเรื่องอะไรต้องสั่งอีก ถาวจวินหลันจึงให้หลิวเอินกลับไป


หลิวเอินกลับออกไปไม่นาน เจียงอวี้เหลียนก็เข้ามา ถาวจวินหลันรู้ว่าเจียงอวี้เหลียนมาเพราะเหตุใด…มิใช่เรื่องที่หลี่เย่ตัดสินใจไม่พานางไปด้วยหรอกหรือ


ดังนั้น ถาวจวินหลันจึงไม่ยอมพบหน้าเจียงอวี้เหลียน เพียงแต่ให้สาวใช้ไปบอกกับเจียงอวี้เหลียนว่า “ดูแลจวนอ๋องให้ดี อย่าทำเรื่องโง่เขลาโดยเด็ดขาด”


แน่นอนว่า คำพูดที่ให้เอาไปบอกกับนางไม่ได้พูดตรงๆ เช่นนี้ แต่กลับพูดอย่างอ้อมค้อม ทว่าความหมายก็เหมือนกัน


แค่คิดก็รู้ว่า หลังจากเจียงอวี้เหลียนได้ยินแล้วอารมณ์ของนางจะเป็นเช่นไร แต่ถึงโกรธแล้วจะทำอะไรได้? จะโกรธมากเพียงใดก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้


สุดท้ายแล้ว เจียงอวี้เหลียนก็อุ้มเซิ่นเอ๋อร์และร้องไห้ อะไรเรียกว่าความสิ้นหวัง? อะไรเรียกว่าความไม่ยุติธรรม? อะไรเรียกว่าความโกรธแค้น? ในพริบตานั้น เจียงอวี้เหลียนรู้สึกว่านางสัมผัสได้จนหมดแล้ว นางเคยคิดว่านางมีเซิ่นเอ๋อร์แล้ว ถึงแม้นางจะเทียบถาวจวินหลันไม่ได้ แต่ก็จะไม่ได้ต่างกันมากเท่าไร แต่คิดไม่ถึงว่า ถึงแม้จะมีเซิ่นเอ๋อร์แล้ว ท่าทีของหลี่เย่ก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง


เพียงแต่นางไม่ยอมรับ ทำไมผู้หญิงแซ่ถาวผู้นั้นถึงได้กุมหัวใจของหลี่เย่เอาไว้ได้? นางมีข้อด้อยตรงไหนกัน? หลี่เย่ไม่ชอบนาง นางก็พยายามเปลี่ยนแปลง นางเรียนรู้จากผู้หญิงแซ่ถาว ถึงขั้นยอมคุกเข่าเสียหน้าเพื่อไปประจบประแจง แต่ผลลัพธ์เป็นเช่นไร?


เจียงอวี้เหลียนร้องไห้โวยวายจนแทบขาดใจ สาวใช้ที่เฝ้าประตูอยู่ข้างนอกปิดปากเงียบ คิดในใจว่าช่วงนี้ต้องระวังตัวให้มาก อย่าทำให้ชายารองเจียงโกรธจะดีที่สุด มิเช่นนั้นเกรงว่าจะต้องเจ็บตัวอีกแล้ว


สักพัก เจียงอวี้เหลียนก็ค่อยๆ เช็ดน้ำตา แววตาหลงเหลือไว้แต่ความร้ายกาจ…ในเมื่อหลี่เย่ไม่หวั่นไหว เช่นนั้นนางก็ควรจะลองวิธีอื่นดูบ้าง เหมือนกับตอนนั้นที่นางหาวิธีขับไล่ผู้หญิงที่มายั่วยวนท่านพ่อของนาง!


เจียงอวี้เหลียนหัวเราะออกมาด้วยเสียงแหลมสูง ท่าทางเช่นนั้นดูแล้วช่างร้ายกาจนัก


อาจด้วยเซิ่นเอ๋อร์ตกใจ จึงได้ร้องไห้ออกมา


เจียงอวี้เหลียนรีบปลอบด้วยเสียงอ่อนโยน “เด็กดี อย่าร้องไห้ไปเลย อย่าร้องเลย แม่จะต้องหาวิธีทำทุกอย่างให้เจ้าอย่างดีที่สุด จะต้องไม่มีทางทำให้ใครมากดหัวเจ้าได้ ลูกแม่”


เสียงร้องไห้ของเซิ่นเอ๋อร์ค่อยๆ เงียบลงไป สุดท้ายแล้วก็เคลิ้มหลับไปอีกครั้ง เจียงอวี้เหลียนมองใบหน้าเล็กๆ ของเซิ่นเอ๋อร์ แล้วค่อยๆ ยิ้มอย่างเย็นชา ท่าทีดูโหดเ**้ยมอำมหิต


แน่นอนว่า เรื่องในเรือนชิวอี๋นั้นไม่มีใครรู้ ถาวจวินหลันกับหลี่เย่กำลังเก็บของกันอย่างสบายใจเพื่อเตรียมตัวเดินทาง นอกจากเรือนเฉินเซียงแล้ว เรือนอื่นๆ ก็ยังดีอกดีใจไปด้วย ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นโอกาสหาได้ยาก…ถึงแม้ว่าออกไปแล้วจะไม่ได้มีโอกาสใกล้ชิดกับหลี่เย่ แต่ก็ยังดีที่จะได้พักผ่อนอย่างสบายใจบ้างมิใช่หรือ?


ต้องรู้ด้วยว่า ผู้หญิงคนหนึ่งต้องการจะออกจากบ้าน โดยเฉพาะออกไปไกลเช่นนี้ ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ดังนั้นอยู่ๆ มีโอกาสจึงทำให้ทุกคนต่างดีใจเป็นอย่างมาก


รอจนกระทั่งถึงเวลาเดินทาง เจียงอวี้เหลียนก็ออกมาส่ง นางแต่งหน้าทาแป้งหนาๆ แต่ว่าถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ก็ไม่สามารถปกปิดใบหน้าโทรมๆ ของนางได้ก็เพียงเท่านั้น


เจียงอวี้เหลียนแอบโกรธ แต่กลับไม่ได้แสดงความโกรธออกมาอย่างเห็นได้ชัด กลับค่อยๆ เอ่ยปากออกมาว่า “ท่านอ๋องระวังตัวด้วยเพคะ ไปอยู่ที่อื่นพักผ่อนให้สบายใจ แต่ก็ต้องระวังบาดแผลด้วย เรื่องในจวนอ๋องที่มอบให้หม่อมฉัน หม่อมฉันจะจัดการทุกอย่างเป็นอย่างดีเพคะ”


ถาวจวินหลันยืนมองอยู่ข้างๆ ก็อดแปลกในเล็กน้อยไม่ได้ สุดท้ายแล้วก็อดคิดในใจไม่ได้ว่า เกิดเรื่องผิดปกติอะไรขึ้นกันแน่?


ไม่แปลกที่นางจะรู้สึกแปลกใจ…ถึงอย่างไรหากเป็นคนอื่นไม่ว่าใครก็จะต้องไม่พอใจอย่างแน่นอน เรื่องนี้ถือเป็นการหักหน้า เกรงว่าหากเป็นนางเจอเรื่องเช่นนี้ นางไม่มีทางโผล่หน้าออกมาอย่างแน่นอน แต่เจียงอวี้เหลียนกลับเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ครู่เดียวก็เข้าใจเรื่องทุกอย่างได้ จะไม่น่าแปลกใจได้อย่างไร?


อีกทั้งดูจากท่าทีของเจียงอวี้เหลียนแล้ว เห็นได้ชัดว่าเมื่อคืนนางไม่ได้นอน ถึงขั้นว่ายังผ่านการร้องไห้อย่างหนัก ดังนั้นถึงน่าแปลกใจมิใช่หรือ?


แต่ไม่ว่าจะพูดอย่างไร เจียงอวี้เหลียนไม่ก่อเรื่องวุ่นวายก็ถือเป็นเรื่องดี หลังจากตกใจอยู่ครู่หนึ่ง นางก็หันไปยิ้มให้เจียงอวี้เหลียน แล้วพูดว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เรื่องในจวนอ๋องก็มอบให้ชายารองเจียงแล้ว ข้าจะต้องดูแลท่านอ๋องเป็นอย่างดี เจ้าวางใจได้”


คำพูดนี้ถือเป็นการเอามีดกรีดลงไปบนหัวใจของเจียงอวี้เหลียนอย่างแรง ถาวจวินหลันตั้งใจทำเช่นนี้ พูดจบแล้ว นางยังจงใจจ้องไปที่เจียงอวี้เหลียนอยู่นาน


เจียงอวี้เหลียนกลับทำเหมือนไม่รู้ถึงความโอ้อวดนั้น และยิ้มออกมา พลางพูดอย่างจริงใจว่า “เช่นนั้นก็ต้องลำบากชายารองถาวแล้ว”


ตอนนี้ ไม่เพียงแต่ถาวจวินหลันที่รู้สึกแปลกๆ แม้แต่หลี่เย่เองก็ทำตัวไม่ถูก น้ำเสียงของเจียงอวี้เหลียนเช่นนี้ หมายความว่าอย่างไรกัน? ท่าทีเช่นนี้ ดูเหมือนกับเป็นสิ่งของอย่างไรอย่างนั้น หรือเป็นเพราะมีลูก จึงทำให้เจียงอวี้เหลียนกลายเป็นคนใจกว้างและมีคุณสมบัติของผู้หญิงดีขึ้นเช่นนี้


ถาวจวินหลันให้เจียงอวี้เหลียนกลับไปก่อน “เวลาก็ล่วงเลยมาแล้ว พวกเราจะไม่มัวรอช้าอยู่ ชายารองเจียงกลับไปก่อนเถิด”


ใบหน้าของเจียงอวี้เหลียนกระตุกเล็กน้อย สุดท้ายแล้วก็ไม่สามารถฝืนยิ้มออกมาได้


กลับเป็นถาวจือที่อยู่ๆ ก้าวมาข้างหน้า แล้วเอ่ยปากพูดขึ้นว่า “หม่อมฉันอยู่ที่นี่เพื่อช่วยเหลือชายารองเจียงดีกว่าเจ้าค่ะ เกรงว่าชายารองอยู่คนเดียวในจวน จะไม่มีคนให้พูดคุยด้วยเลยสักคน”


ถาวจวินหลันเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย…พูดราวกับว่า หรือว่าจะไม่มีสาวใช้หรือคนอื่นๆ อยู่ในจวนอ๋องอีก? หากว่ารู้สึกเบื่อจริงๆ ก็เชิญนักปราชญ์หญิงเข้ามาเล่านิทานอ่านหนังสือให้ฟังได้! จะต้องถึงขั้นนี้ที่ไหนกัน?


นางยิ้มแล้วมองเจียงอวี้เหลียน ถาวจวินหลันคิดในใจว่า ในเมื่อถาวจือไม่ยินยอมไป เช่นนั้นนางก็ไม่จำเป็นต้องบังคับ ดังนั้นจึงได้เอ่ยปากแล้วพูดขึ้นมาว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าก็อยู่ที่นี่เถิด ลำบากเจ้าที่มีน้ำใจเช่นนี้แล้ว”


ถาวจือยิ้ม แล้วเดินไปยืนข้างๆ เจียงอวี้เหลียน


เจียงอวี้เหลียนหันหน้าไปมองถาวจือ ท่าทีเคร่งขรึมขึ้นเล็กน้อย


แต่ถาวจวินหลันกลับไม่มีเวลามาสนใจเรื่องพวกนี้ นางจึงเดินออกประตูไปพร้อมกับหลี่เย่ จากนั้นต่างคนต่างก็ขึ้นรถมาเพื่อเดินทางไปยังประตูเมือง…พวกเขาทั้งสามครอบครัวจะเดินทางมาเจอกันที่ประตูเมือง หากไปช้าเกรงว่าคนอื่นจะต้องรอนาน 

 

 


ตอนที่ 393 เรื่องในบ้าน

 

ตลอดทางไปบ้านพัก ถาวจวินหลันได้แต่คิดถึงท่าทีของเจียงอวี้เหลียนอยู่ตลอด…นางตั้งใจพูดออกไปเช่นนั้นเพื่อยั่วโมโหเจียงอวี้เหลียน แต่วันนี้เจียงอวี้เหลียนกลับมีปฏิกิริยาตอบกลับที่ผิดปกติมากเกินไปหน่อย นางรู้สึกแปลกใจจริงๆ


หากเป็นเจียงอวี้เหลียนเมื่อก่อนพอได้ยินนางพูดเช่นนี้แล้ว ถึงแม้จะไม่โกรธเกรี้ยวเป็นอย่างมาก แต่ก็จะต้องรู้สึกไม่พอใจอย่างแน่นอน ไม่แน่ว่าอาจจะมองไปทางหลี่เย่เพื่อให้เขามอบความยุติธรรมแก่นางด้วยซ้ำ


แต่เจียงอวี้เหลียนในวันนี้ ไม่เพียงแต่ไม่แสดงความโกรธเกรี้ยวเป็นอย่างมาก ทั้งยังไม่มีความเสียใจหรือความรู้สึกทนไม่ได้ใดๆ ทั้งสิ้น แต่กลับทำเหมือนไม่รู้สึกรู้สา ถึงขั้นว่ายังคงยิ้มรับ น่าแปลกเหลือเกิน


เรื่องนี้จึงดูผิดปกติ ถาวจวินหลันอดคิดไม่ได้ว่า หรือเป็นเพราะเรื่องในครั้งนี้ทำให้เจียงอวี้เหลียนเสียใจมากเกินไป? จนนางดูมีท่าทีผิดปกติไปเช่นนี้?


แต่เรื่องนี้พลันหายไปจากความคิดของนาง ท่าทีที่เจียงอวี้เหลียนแสดงออกมานั้น ไม่เหมือนกับเสแสร้งแกล้งทำ แต่กลับดูเหมือนนางคิดแล้ว หรือว่าบางทีอาจพูดได้ว่านางไม่ใส่ใจอีกต่อไปแล้ว


ถาวจวินหลันรู้สึกไม่ค่อยสบายใจเล็กน้อย คิดในใจว่า ดูท่าแล้วต่อไปจะต้องคอยระวังเจียงอวี้เหลียนให้มาก จากท่าทีของเจียงอวี้เหลียนในวันนี้ ดูเหมือนกับว่าความคิดของนางจะไม่ง่ายดายอีกต่อไป


หลี่เย่เห็นว่าถาวจวินหลันกำลังครุ่นคิดบางอย่าง ก็พูดออกมาเหมือนกับไม่ใส่ใจว่า “กลัวอะไรไป ถึงแม้นางจะมีอำนาจถึงขั้นพลิกฟ้าพลิกแผ่นดินได้ นางก็ไม่มีทางทำอะไรในจวนตวนอ๋องได้อย่างแน่นอน”


ได้ยินเช่นนี้แล้ว ถาวจวินหลันก็เข้าใจทุกอย่างทันที..มิใช่เช่นนั้นหรอกหรือ? ถึงแม้ว่าเจียงอวี้เหลียนจะมีอำนาจมากเพียงใด แต่เจียงอวี้เหลียนก็ใช้อำนาจนั้นได้เพียงแค่ในจวนตวนอ๋องเท่านั้น แต่จวนตวนอ๋องแห่งนี้ นางกลับเป็นผู้กุมอำนาจเอาไว้ทั้งหมด


นางกุมอำนาจทุกอย่างในจวนตวนอ๋องไว้ในมือ แล้วนางยังจะต้องกลัวผู้หญิงเพียงแค่คนเดียวหรือ?


ด้วยถาวจวินหลันคิดเรื่องนี้กระจ่างแล้ว นางก็รู้สึกว่าตัวเองสดชื่นกระปรี้กระเปร่าทันที จากนั้นก็รู้สึกว่าเรื่องนี้ช่างน่าเบื่อ จึงหันไปมองหลี่เย่ที่นั่งหลับตาทำสมาธิราวกับไม่รู้สึกรู้สาใดๆ ทั้งสิ้น จากนั้นก็ยิ้มแล้วเสนอความคิดเห็นว่า “เช่นนั้นข้าไปนั่งพูดคุยกับองค์หญิงแปดองค์หญิงเก้าจะดีกว่า พวกท่านเป็นผู้ชายจะได้พูดคุยกัน”


หลี่เย่พยักหน้ารับคำ จากนั้นรถม้าก็หยุดลง พวกนางเปลี่ยนรถม้ากัน…การออกไปท่องเที่ยวครั้งนี้ พวกเขาต่างใช้รถม้าประจำตัวของตัวเอง ความหรูหรานั้นไม่ต้องพูดถึง ขนาดก็ถือว่ากว้าง อย่างน้อยผู้ชายสามคนหรือผู้หญิงสามคนนั่งอยู่ในรถคันเดียวกัน ก็ไม่มีทางเบียดเสียดกันอย่างแน่นอน


อีกทั้งบนรถม้าแต่ละคันต่างก็มีอาหารว่างและเหล้าเตรียมเอา อีกทั้งยังมีกาเอาไว้ต้มชา ถือว่าสะดวกสบายเป็นอย่างมาก


องค์หญิงแปดเสนอความคิดเห็นว่าอยากเล่นไพ่


องค์หญิงเก้าพูดว่า “ยังขาดอีกคน”


ถาวจวินหลันจึงเรียกจิ้งหลิงมา จิ้งหลิงกับองค์หญิงแปดองค์หญิงเก้ารู้จักกันมาก่อน ดังนั้นจึงไม่รู้สึกเคอะเขินและอึกอัด ก็พอดีทั้งสี่คนจึงนั่งเล่นไพ่ด้วยกัน


ทั้งสี่คนนั่งเล่นไพ่กันไปก็พูดคุยเรื่องซุบซิบต่างๆ ในเมืองหลวงกันไป ถึงแม้ว่าองค์หญิงแปดจะอยู่แต่ในจวนเพื่อพักรักษาตัว แต่เรื่องข่าวคราวต่างๆ ก็รู้ได้รวดเร็ว โดยส่วนมากแล้วนางจะเป็นคนพูด


อีกทั้งองค์หญิงแปดยังพูดเรื่องหนึ่งที่มีคนรู้จำนวนน้อยมาก “คิดว่าพวกเจ้าจะต้องไม่รู้เป็นแน่ ก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน อนุผู้หนึ่งในจวนคังอ๋องเกือบจะตายแล้ว”


ถาวจวินหลันและองค์หญิงเก้าต่างตกใจ “มีเรื่องเช่นนี้ด้วยรึ?” แต่ว่าหลังจากหายตกใจแล้ว ทั้งสองต่างรู้สึกเหมือนกันว่าตกใจเกินเหตุไปแล้ว


จวนคังอ๋องเป็นแบบไหนกัน? จะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกอะไร


“คนที่พูดถึงก็คืออนุที่ตั้งครรภ์ได้แปดเดือนผู้นั้น หากไม่ใช่เป็นเพราะนางยังมีบุญ เกรงว่าแม้แต่ลูกในท้องก็คงจะรักษาเอาไว้ไม่ได้” องค์หญิงแปดหัวเราะเสียงเยือกเย็น จากนั้นก็จั่วไพ่ไปหนึ่งใบ “พวกเราเองก็รู้จักนาง คนที่แต่ก่อนเป็นนางกำนัลถวายการดูแลอี๋เฟย ชื่อว่าอะไรนะ? สุดท้ายแล้วก็ได้กลายเป็นพระชายารองคังอ๋องคนนั้น”


สำหรับองค์หญิงแปดที่มีฐานะสูงส่งแล้ว จะไม่สนใจคนอย่างหยวนฉงหวาอยู่ในสายตาก็ถือเป็นเรื่องปกติ แต่ว่า ถาวจวินหลันกลับประหลาดใจไปสักพัก ไม่ใช่เป็นเพราะองค์แปดจำชื่อของหยวนฉงหวาไม่ได้ แต่เป็นเพราะองค์หญิงแปดพูดว่าก่อนหน้านี้หยวนฉงหวาอยู่ในวังหลวง เคยถวายการดูแลอี๋เฟย


หลังจากแปลกใจอยู่สักพัก ถาวจวินหลันก็ค่อยๆ คิดได้ว่า ใช่แล้ว ในตอนนั้นที่นางได้พบกับหลี่ว์หลิ่ว หลี่ว์หลิ่วยังไม่ได้สูญเสียลูกไปนั้น หยวนฉงหวาอยู่กับหลี่ว์หลิ่วและกลุ่มนางกำนัลของอี๋เฟย


เรื่องนี้ผ่านมานานหลายปีแล้ว นางจึงเกือบจะลืมทุกอย่างไปเสียหมด


จากนั้น นางก็อดยิ้มเย้ยหยันไม่ได้ ความสัมพันธ์ระหว่างคนพวกนี้ช่างซับซ้อนเสียจริง


องค์หญิงเก้ากลับพูดถึงประเด็นสำคัญขึ้นมา “ข้าจำได้ว่าหยวนซื่อคนนั้นตั้งครรภ์มิใช่หรือ? สุดท้ายจัดการกับนางเช่นไรรึ?”


องค์หญิงแปดยิ้ม แล้วยินดีที่จะอธิบายให้องค์หญิงเก้าฟังเป็นอย่างมาก “หยวนซื่อตั้งครรภ์ แน่นอนว่าไม่มีใครทำอะไรนางเป็นแน่ เพียงแต่ในตอนนี้นางถูกกักบริเวณอยู่ในเรือน ส่วนเรื่องการลงโทษนั้น คิดว่าต้องรอหลังจากนางคลอดลูกแล้ว แต่ไม่ว่าจะคลอดออกมาเป็นหญิงหรือชาย เด็กคนนั้นก็จะถูกยกให้เป็นลูกของพระชายาคังอ๋อง”


“คังอ๋องยินยอมรึ?” ถาวจวินหลันเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “เรื่องนี้ใครเป็นคนเสนอความเห็นรึ?”


“คังอ๋องจะใส่ใจผู้หญิงเพียงคนเดียวอย่างหยวนซื่อรึ? ก็แค่รับคำและยอมตกลงเท่านั้น เรื่องนี้ แน่นอนว่าพระชายาคังอ๋องเป็นผู้เสนอความคิดขึ้น แต่ว่าก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีใครคอยช่วยเหลืออยู่ข้างหลัง” องค์หญิงแปดพูดไป ก็มองไพ่ของตัวเองไป ท่าทีก็ยิ่งดูเย็นชาขึ้นเล็กน้อย “น่าเสียดายที่หยวนซื่อ ลำบากตั้งครรภ์ แต่กลับต้องยกลูกแท้ๆ ให้คนอื่นเสียเช่นนั้น”


ไม่ใช่เป็นการลำบากแทนคนอื่นรึ? ถาวจวินหลันยิ้ม ลำบากตั้งครรภ์ตั้งสิบเดือน แต่กลับเป็นการมีลูกแทนพระชายาคังอ๋อง แต่ตัวเองกลับต้องมาถูกลงโทษ


ตลอดชีวิตของหยวนฉงหวา ก็ถือว่าลำบากเป็นอย่างมาก คิดถึงนิสัยยโสโอหังของหยวนฉงหวา ถาวจวินหลันก็ยิ้มอีกครั้ง น่าเสียดายที่โชคชะตานั้นยากลำบากยิ่งนัก


พูดไปแล้ว นางเองก็ยังไม่เข้าใจว่าหยวนฉงหวาคิดอย่างไรกันแน่ เป็นคุณหนูผู้สูงศักดิ์อยู่ดีๆ กลับยอมทิ้งความสบายเพื่อเข้ามาเป็นนางกำนัลต่ำต้อย แล้วยังไม่ง่ายเลยที่จะได้ออกจากฐานะนางกำนัลเข้ามาเป็นชายารองที่จวนคังอ๋อง ทั้งยังตั้งครรภ์ แต่ทำไมสุดท้ายแล้วไม่เพียงแต่ไม่มีความดีความชอบ แต่กลับต้องขาดทุนอย่างย่อยยับเพียงนี้


“หยวนซื่อเรียกร้องของความเป็นธรรม แต่น่าเสียดายที่ไม่มีใครสนใจ” องค์หญิงแปดจิ๊ปาก จากนั้นก็จั่วไพ่ขึ้นมา แล้วก็ดีใจทันที “ชนะแล้ว!”


ถาวจวินหลันกับองค์หญิงเก้ามองไพ่อย่างดีแล้ว ก็ได้แต่หยิบเงินออกมา


องค์หญิงเก้าทำแก้มป่องแล้วบ่นอุบ “พี่หญิงแปดไม่ยอมอ่อนข้อให้ข้าเสียหน่อย”


องค์หญิงแปดยิ้ม “ยอมพนันแล้วก็ต้องรู้จักยอมแพ้ ไม่มีการอ่อนข้อให้อย่างแน่นอน”


ทุกคนต่างเล่นไพ่ไปแล้วพูดคุยเล่นกันไป เวลาจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว รอจนกระทั่งรถม้าหยุดลงตรงหน้าประตูบ้านพักแล้ว พวกนางกลับยังรู้สึกสนุกกันอยู่


ถาวจวินหลันยิ้มแล้วพูดว่า “หากพรุ่งนี้ไม่มีธุระอะไร พวกเราก็มาเล่นกันอีก”


ด้วยองค์หญิงแปดองค์หญิงเก้ามีบ้านพักอยู่บริเวณนี้ ดังนั้นจึงไม่ได้พักอยู่ด้วยกัน ต่างคนต่างไปพักที่บ้านพักของตัวเอง


ถาวจวินหลันเข้าไปในบ้านพักแล้ว ก็อดชื่นชมไม่ได้ “ช่างเป็นสถานที่ที่ดีเหลือเกิน”


หลี่เย่มีรอยยิ้มบางๆ “ครั้งนั้นที่เสด็จพ่อยังเป็นองค์รัชทายาท ทุกครั้งเมื่อถึงฤดูร้อนพวกเราก็จะมาอยู่ที่นี่ ตามเสด็จพ่อมาเพื่อมาหลบร้อนที่นี่ ทว่าสองสามปีมานี้งานราชการของเสด็จพ่อยุ่งมาก จึงไม่มีเวลามาหลบร้อนที่นี่อีกแล้ว แต่ก็ยังดีที่มีการทำความสะอาดอยู่ตลอด”


ตอนที่เขายังเด็ก ทุกปีก็จะตั้งตารอมาหลบร้อนที่นี่…ไม่เพียงแต่จะได้เปลี่ยนสถานที่ใหม่ๆ ทั้งยังมีที่เล่นที่ไม่เหมือนในวังหลวงอยู่มากมาย เช่น ปืนต้นไม้ไปจับรังนก หรือเวลาที่ทหารพาพวกเขาไปล่ากระต่ายในป่าเป็นต้น บางครั้งยังนึกสนุก และตกปลามาย่างกินก็มี


ทว่าต่อมาเขากลับชอบที่จะไปเดินเล่นในป่าเพียงคนเดียวเงียบๆ บางครั้งก็ยังปีนขึ้นไปบนยอดเขาเพื่อดูดวงอาทิตย์ขึ้น เป็นเพราะยืนอยู่บนยอดเขา เวลามองดวงอาทิตย์โผล่ออกมาช่างงดงาม ทำให้ผ่อนคลายและสบายใจ ราวกับว่าความกดดันทุกอย่างถูกแสงอาทิตย์ขับให้หายไปจนหมดสิ้น


แต่ในตอนนี้ เวลาที่มองภาพบรรยากาศอันคุ้นเคย เขากลับรู้สึกว่าของทุกอย่างยังคงเป็นเช่นเดิม แต่คนกลับไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว


เพียงแต่ความรู้สึกเสียใจนี้ เมื่อเขาก้มหน้าลงไปมองใบหน้าดีอกดีใจของซวนเอ๋อร์แล้ว ก็ค่อยๆ ละลายลงไปแล้วกลายเป็นรอยยิ้มอบอุ่นปรากฏขึ้นมาแทน เขาในตอนนั้นที่ทำเรื่องซุกซนอย่างการปีนต้นไม้ไปเก็บรังนกลงมา ยามนี้กลับมีลูกเสียแล้ว


แล้วซวนเอ๋อร์ก็จะเติบโตขึ้นอย่างมีความสุข ไม่มีทางต้องมาพบเจอความทุกข์อย่างที่เขาต้องเจอแน่นอน


พอจัดการทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง และจัดวางสัมภาระทุกอย่างแล้ว หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ ถาวจวินหลันก็เสนอความเห็นว่าให้ออกไปเดินเล่นในบริเวณบ้านพัก


นางเพิ่งเคยมาที่นี่ ดังนั้นถาวจวินหลันจึงอดตื่นตาตื่นใจไม่ได้ อยากออกไปเดินดูอย่างอดรนทนไม่ไหว


หลี่เย่รับคำอย่างยินดี จากนั้นทั้งสามคนจึงถือโอกาสไปเดินเล่นชมบ้านพักก่อนที่ดวงอาทิตย์จะลับขอบฟ้าไป ราวกับไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย


แล้วในตอนนี้ ฮ่องเต้ที่กำลังเสวยอาหารอยู่ในวังหลวงก็ฉุกคิดเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ จึงถามขันทีเป่าฉวนว่า “วันนี้ตวนอ๋องเดินทางไปบ้านที่มีน้ำพุร้อนแห่งนั้นรึ?”


ขันทีเป่าฉวนช่วยคีบอาหารให้ฮ่องเต้ไป แล้วก็ตอบคำถามไป “ทูลฮ่องเต้ เป็นเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ คาดว่าเวลานี้ก็คงจะเดินทางไปถึงแล้ว แล้วก็คงจะรับประทานอาหารเย็นเสร็จเรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ”


ฮ่องเต้นิ่งขรึมไปสักพัก จากนั้นก็ตรัสว่า “ส่งทหารองครักษ์ไปให้มากหน่อย จะต้องรับประกันได้ว่าปลอดภัย” แต่ฮ่องเต้กลับไม่ได้บอกว่าดูแลความปลอดภัยของใคร ทว่าขันทีเป่าฉวนก็รู้ดีแก่ใจ “พ่ะย่ะค่ะ บ่าวเข้าใจแล้ว”


“เป่าฉวน เจ้าคิดอย่างไรกับสถานการณ์ในช่วงนี้?” อยู่ๆ ฮ่องเต้ก็ถามขึ้นมาเช่นนี้


แล้วขันทีเป่าฉวนก็ต้องขาสั่นเพราะคำถามนี้ทันที สุดท้ายแล้วเขาก็ฝืนยิ้มแหยๆ “ฮ่องเต้ บ่าวจะเข้าใจเรื่องนี้ได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ?”


ถึงแม้ว่าจะเข้าใจ แต่มีดก็จ่ออยู่ที่คอของเขาแล้ว เขาไม่มีทางพูดอะไรออกมาได้ ถวายการดูแลฮ่องเต้จะต้องรู้ถึงฐานะของตัวเองเป็นสำคัญ รู้ว่าอะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ เช่น การพูดถึงเรื่องราชการ หรือว่าการพูดเพื่อให้ฮ่องเต้โอนเอียงความคิด ต่างก็ไม่สามารถทำได้ทั้งสิ้น


ไม่เช่นนั้นเขาก็จะเหลือหนทางแค่เพียงหนทางเดียว…นั่นก็คือตาย


เป่าฉวนครุ่นคิดอย่างหนักว่า ช่วงนี้ตัวเองทำอะไรให้ฮ่องเต้ทรงไม่พอพระทัยหรือไม่ ถึงได้ทรงเอ่ยถามหยั่งเชิงเขาเช่นนี้


“ข้าพูดถึงเรื่องราชโองการที่ข้าจะแต่งตั้งตวนอ๋อง” ฮ่องเต้ถอนใจออกมา ท่าทีดูเรียบเฉย “นี่เป็นเรื่องภายในบ้าน ไม่ใช่เรื่องของบ้านเมือง เจ้าพูดออกมาเถิด ไม่เป็นไร พูดผิดก็ไม่เป็นไรหรอก”


ดูท่าทีแล้ว ฮ่องเต้จะต้องให้เป่าฉวนแสดงความคิดของตัวเองออกมาให้ได้


เป่าฉวนมองฮ่องเต้อย่างลำบากใจ สุดท้ายก็กัดฟันแล้วพูดออกมาว่า “บ่าวคิดว่า เรื่องนี้ฮ่องเต้ทรงต้องตัดสินพระทัยเองพ่ะย่ะค่ะ ถึงอย่างไร เรื่องนี้หากพูดอย่างเป็นเรื่องใหญ่ก็ถือว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับราชสำนัก หากพูดว่าเป็นเรื่องเล็ก ก็เป็นเพียงแค่เรื่องในบ้านของฮ่องเต้เพียงเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 


ตอนที่ 394 แม่ลูก

 

คำตอบเช่นนี้ของขันทีเป่าฉวน ก็ถือว่าเป็นการใช้เล่ห์เหลี่ยมเล็กน้อย ไม่ถือเป็นการแสดงความคิดของตัวเองให้ชัดเจนแล้ว อีกทั้งยังถือว่าได้เตือนฮ่องเต้ หลังจากเกิดเรื่องขึ้นแล้วไม่ว่าใครจะสืบสาวหาความเช่นไร เขาก็ไม่ต้องรับผิดชอบกับเรื่องนี้มากนัก


แน่นอนว่าฮ่องเต้เข้าใจดี จึงส่วยหัวมองเป่าฉวนและยิ้มบางๆ ขันทีพวกนี้ทุกคนต่างมีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวกันทั้งนั้น


แต่จำต้องยอมรับว่า คำพูดของขันทีเป่าฉวนทิ่มแทงเข้าไปในใจของเขาพอดี ในราชสำนักมีคนไม่น้อยที่รู้สึกว่าเรื่องการแต่งตั้งชินอ๋องเป็นเรื่องใหญ่ในราชสำนัก นั่นก็ไม่ดีเช่นนี้ก็ไม่ได้ พูดไปพูดมาแล้วก็สรุปได้สั้นๆ ว่า ไม่เหมาะสม


สำหรับคนเป็นพ่อแล้ว อยากจะให้รางวัลและให้กำลังใจลูกชายของตัวเอง อยากจะชดเชยให้ลูกชายของตัวเองบ้าง ก็ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาทั่วไปอย่างที่สุด


พวกขุนนางที่ขัดค้านนั้น ก็แค่กลัวว่าหากแต่งตั้งเป็นชินอ๋องแล้ว จะส่งผลกระทบที่ตามมาอย่างยิ่งใหญ่ โดยเฉพาะผลกระทบที่เกิดกับคังอ๋องก็เท่านั้น ฮ่องเต้ทรงรู้เรื่องนี้ดีแก่ใจอย่างที่สุด แล้วก็ด้วยเข้าใจเป็นอย่างดี เขาถึงรู้สึกไม่พอใจ…ตัวเขาเองยังแข็งแรงดี แต่บรรดาขุนนางพวกนี้ต่างร้อนอกร้อนใจหาเจ้านายคนใหม่แล้ว เช่นนี้จะทำให้เขาสบายใจอยู่ได้อย่างไร?


โดยเฉพาะพวกเหิงกั๋วกง ที่เสนอความเห็นว่าสู้แต่งตั้งองค์รัชทายาทเสียก่อน แล้วค่อยแต่งตั้งชินอ๋องจะดีกว่า


ดูท่าทีแล้ว กำลังบีบบังคับเขาอย่างไรอย่างนั้น…ราวกับว่าหากเขาไม่ยอมแต่งตั้งคังอ๋องเป็นองค์รัชทายาท เช่นนั้นก็ไม่มีทางยอมให้แต่งตั้งชินอ๋อง


คิดเรื่องพวกนี้แล้ว สีหน้าของฮ่องเต้ก็เคร่งขรึมลงไปเล็กน้อย


ขันทีเป่าฉวนเห็นแล้ว ก็รีบพูดขึ้นว่า “ฮ่องเต้ พระพลานามัยทรงสำคัญที่สุด ไม่ว่าเรื่องอะไร ก็อย่าให้มีผลต่อการเสวยอาหารของพระองค์เลยพ่ะย่ะค่ะ”


ฮ่องเต้มองไปที่อาหารอันโอชะที่วางอยู่บนโต๊ะ แต่เขากลับรู้สึกไม่อยากอาหาร จึงได้ทิ้งตะเกียบลง “ไม่กินแล้ว ข้าจะไปเข้าพบไทเฮา”


ขันทีเป่าฉวนแอบดูสีหน้าที่ไม่ดีนักของฮ่องเต้ รีบรับคำแล้วโค้งตัวออกไปเตรียมเกี้ยว แน่นอนว่า เขารู้แก่ใจดี…ฮ่องเต้เสด็จไปวังของไทเฮาในตอนนี้ ก็ด้วยอยากจะถามความเห็นของไทเฮาเท่านั้น


จริงๆ แล้วนี่เป็นความเคยชินมาแต่ตั้งแต่เมื่อก่อน…ในตอนนั้นฮ่องเต้ยังเป็นองค์รัชทายาท เวลาที่ทรงพบเจอกับเรื่องอะไรที่ทรงคิดไม่ตก ก็จะเสด็จไปทูลถามความคิดของไทเฮา ทว่าตั้งแต่ทรงขึ้นครองราชย์ ความเคยชินนี้ก็หายไปนานมากแล้ว


ขันทีเป่าฉวนคิดได้ว่าเมื่อครู่ฮ่องเต้ทรงเสวยพระกระยาหารไปเพียงไม่กี่คำ จึงแอบสั่งกับขันทีเล็กๆ ที่จะไปทูลที่วังของไทเฮา “ทูลไทเฮาว่า ฮ่องเต้ยังไม่ได้เสวยพระกระยาหารกลางวัน”


ขันทีเล็กๆ รับคำสั่งแล้วออกไป ขันทีเป่าฉวนจึงทูลเชิญฮ่องเต้ให้ขึ้นเกี้ยว


ตอนนี้อากาศร้อนขึ้นทุกวัน ฮ่องเต้ทรงประทับอยู่ในเกี้ยว จิตใจก็รู้สึกหงุดหงิดร้อนรุ่ม บวกกบเรื่องในราชสำนักพวกนั้น ยิ่งทำให้อารมณ์ของฮ่องเต้ไม่ดีเข้าไปใหญ่


ดังนั้นพอเข้าไปในวังของไทเฮาแล้ว ไม่ว่าใครต่างก็ดูออกว่าอารมณ์ของฮ่องเต้ไม่ดีนัก


ไทเฮาไม่ทรงถาม เพียงแต่ยิ้มแล้วสั่งให้คนไปจัดอาหาร “เจ้ามาได้เวลาพอดี จะได้มาทานอาหารเป็นเพื่อนข้า”


ฮ่องเต้ได้ยินเช่นนั้นก็แสดงความเป็นห่วง “เหตุใดเวลานี้แล้วเสด็จแม่เพิ่งจะเสวยอาหารพ่ะย่ะค่ะ?”


“อากาศร้อน ข้าไม่ค่อยอยากอาหารนัก” ไทเฮาถอนใจ “อีกทั้งทานคนเดียวก็ไม่อร่อย ก่อนหน้านี้มีซวนเอ๋อร์ก็ยังดีหน่อย ตอนนี้เหลือแต่ข้าเพียงคนเดียว ก็เลยรู้สึกไม่คุ้นชิน”


“เช่นนั้นก็ให้ตวนอ๋องส่งซวนเอ๋อร์กลับเข้ามาอยู่ในวังหลวงเถิดพ่ะย่ะค่ะ” ฮ่องเต้ตรัส คิดอยู่สักพักก็พูดอีกว่า “มิเช่นนั้นก็ให้ส่งหมิงจูเข้ามาก็ได้ หรือว่าลูกๆ ของคังอ๋องก็ไม่เลว”


ไทเฮาหัวเราะ “ลูกสาวของคังอ๋องสุขภาพไม่แข็งแรงนัก หากคลอดคนใหม่ออกมาเป็นชาย แล้วข้ารับเข้ามาเลี้ยงดู เกรงว่าฮองเฮาจะไม่พอใจ ตอนนี้ซวนเอ๋อร์นับวันยิ่งโตขึ้น ให้ตวนอ๋องคอยสั่งสอนเขาก็ดีแล้ว จะรับเข้ามาก็ไม่เหมาะ ส่วนหมิงจูก็ยังเล็กมาก คงไม่เหมาะสมนัก”


ฮ่องเต้คิดอยู่สักพัก “เช่นนั้นหลังจากอี๋เฟยคลอดแล้ว ก็เอาลูกของอี๋เฟยมาให้เสด็จแม่คอยเลี้ยงดูเถิด อี๋เฟย…”


ถึงแม้ว่าสุดท้ายแล้วจะไม่ได้พูดออกมาตรงๆ ว่าอี๋เฟยมีอะไรไม่เหมาะสม แต่ความหมายจากคำพูดนั้นก็แสดงออกมาอย่างชัดเจนแล้วว่า ฮ่องเต้ทรงรู้สึกว่าอี๋เฟยไม่เหมาะเลี้ยงลูกเอง


ไทเฮาคิดแล้ว ก็พยักหน้าเอ่ยว่า “เช่นนั้นก็ได้” จากนิสัยของอี๋เฟย ไม่มีทางเลี้ยงดูลูกให้เป็นคนดีได้ อีกทั้งหากว่าอี๋เฟยเลี้ยงดูด้วยตัวเอง ต่อไปก็จะเพิ่มอำนาจให้ฮองเฮาอีก ตอนนี้บรรดาองค์ชายในวังหลวงก็มีเพียงไม่กี่คน หากถูกฮองเฮาลากไปเป็นพวกอีก ก็คงไม่ใช่เรื่องดีนัก


ทั้งสองคนทานอาหารเสร็จแล้ว ไทเฮาก็ยิ้มถามว่า “เหตุใดถึงมาเวลานี้หรือ?”


ฮ่องเต้ครุ่นคิดเงียบๆ สักพัก สุดท้ายแล้วก็เอ่ยปากถามไทเฮาถึงเรื่องที่เพิ่งถามขันทีเป่าฉวนเมื่อครู่


แน่นอนว่าไทเฮาไม่ต้องคิดมากอย่างเป่าฉวน ดังนั้นหลังจากนิ่งเงียบไปสักพักก็เอ่ยาว่า “ข้าเองก็เห็นนิสัยและความดีของตวนอ๋อง เจ้าเองก็รู้จักนิสัยเขาเป็นอย่างดี ต้องถูกเอาเปรียบต้องถูกทำร้าย จนเขาไม่สามารถพูดได้ ตั้งแต่นั้นมา เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่กับเขา นิสัยของเขาก็ยิ่งเงียบขรึมมากขึ้น เพียงแต่มีเรื่องเดียวที่ไม่เคยเปลี่ยนไปเลยก็คือความกตัญญู ครั้งก่อนที่เขาไปรบ เจ้าเองก็น่าจะเคยได้ยินเรื่องข่าวลือในเมืองหลวง แต่หลังจากตวนอ๋องกลับมาแล้ว เขาก็ไม่เคยบ่นเลยสักคำ อีกทั้งครั้งนี้…เขาเพิ่งจะกลับมาพูดได้ ยังไม่ทันพูดได้คล่องแคล่วนัก ก็มีคนนั่งไม่ติดเสียแล้ว แต่เขาเคยบ่นหรือไม่? ก็ไม่เคย”


สักพัก หลังจากมองดูท่าทีของฮ่องเต้แล้ว ไทเฮาก็พูดต่อว่า “ถึงขั้นว่าหลังจากสืบเรื่องทุกอย่างจนรู้ผลแล้ว เขายังไม่เคยเอ่ยปากถามเจ้า เขายอมให้เพื่อที่เจ้าจะได้ไม่ต้องลำบากใจ”


ฮ่องเต้ถอนใจ ท่าทางดูรู้สึกผิด “ตวนอ๋องรู้ความ เป็นเพราะลูกไร้ความสามารถพ่ะย่ะค่ะ” สำหรับคนที่เป็นฮ่องเต้ จะต้องมายอมรับว่าตัวเองไร้ความสามารถนั้นถือว่าเป็นเรื่องไม่ง่ายเลย ตอนที่ฮ่องเต้พูดเช่นนี้ออกมานั้น น้ำเสียงฟังดูสลดใจ


ไทเฮามองฮ่องเต้อย่างเมตตา “ถึงอย่างไรเจ้าก็เพิ่งขึ้นครองราชย์ได้ไม่นาน ยังไม่มั่นคงนัก แต่เรื่องนี้ก็เป็นความผิดของเจ้าเองจริงๆ ตอนแรกเสด็จพ่อของเจ้าก็เตือนเจ้าแล้วว่า เอาญาติของฝั่งภรรยาเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องราชสำนักไม่ใช่เรื่องดี ตอนนั้นที่เสด็จพ่อของเจ้ากดอำนาจของตระกูลกู้ลงไปก็ด้วยเหตุนี้”


แน่นอนว่า การที่ตระกูลกู้หมดอำนาจลงไปนั้น นอกเหนือจากที่ฮ่องเต้องค์ก่อนกดอำนาจลงแล้ว ก็มีสาเหตุมาจากการที่บ้านตระกูลกู้มีบุตรและผู้สืบทอดสกุลยาก จนถึงรุ่นของกุ้ยเฟยแล้ว ก็เหลือเพียงแค่บุตรชายที่เกิดจากอนุเพียงคนเดียว ในบรรดาอนุที่มากมาย กลับมีลูกชายที่เกิดจากอนุเพียงคนเดียว ถึงแม้จะพูดได้ว่ายังมีคนสืบสกุล แต่ถึงอย่างไรลูกที่เกิดจาดอนุกับลูกที่เกิดจากภรรยาเอกก็ไม่เหมือนกัน ดังนั้นจึงค่อยๆ ห่างเหินกันไป


สำหรับไทเฮาแล้ว แม้ว่าจะไม่ได้เป็นสายเลือดโดยตรงของตัวเอง ห่างกันอยู่หลายชั้น ก็อดยื่นมีไปช่วยเหลือไม่ได้ จนกลายเป็นเรื่องที่ทำให้ผู้อื่นเอามาพูดกันว่า นางตั้งใจยึดอำนาจเอาไว้


ฮ่องเต้พยักหน้า… “เป็นความผิดของลูกเองพ่ะย่ะค่ะ” เพียงแต่สถานการณ์ในตอนนั้น เขาเองก็ต้องพึ่งพาอำนาจทางฝั่งแม่ของไทเฮา ดังนั้นจะพูดว่าเสียใจคงเป็นไปไม่ได้ หรือหากมีความเสียใจ ก็คงไม่มากนัก


“ทหารในมือของจวนเหิงกั๋วกงมีอยู่ไม่น้อย แล้วผู้ที่อยู่ในตำแหน่งสำคัญก็มีอยู่ไม่น้อยเช่นกัน” ไทเฮาพูดกับฮ่องเต้อย่างแฝงนัย


ฮ่องเต้พยักหน้า “ลูกเข้าใจพ่ะย่ะค่ะ” อำนาจของจวนเหิงกั๋วกงมีมากจนเกินไป ในตอนนี้ถึงได้กล้าบีบบังคับเขาแล้ว ถึงขั้นเริ่มชักจูงให้เขาทำตามความต้องการ


“คังอ๋องก็ไม่เลว ถึงแม้ว่าจะดูธรรมดาเกินไปหน่อย แต่ก็ถือว่าอยู่ในกฎระเบียบและเหมาะสม ทั้งยังเป็นลูกชายคนโตที่เกิดจากภรรยาเอก แล้วก็มีความกตัญญูต่อผู้ใหญ่ เพียงแต่มีข้อเดียวที่ข้ากลับไม่ชอบ…เขาปฏิบัติต่อน้องชายของเขา ไม่ถือว่ามีความโอบอ้อมอารีนัก” ไทเฮาเอ่ยปากชมก่อน จากนั้นก็พูดถึงข้อเสียของเขาออกมา


ฮ่องเต้นิ่งขรึมไป


“ตอนที่ยังไม่ได้แต่งตั้งเป็นท่านอ๋องยังอยู่ในวังหลวงนั้น ตวนอ๋องถูกทำร้ายจนบาดเจ็บ ไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้ แต่กลับไม่เคยคิดจะขัดขวาง เพียงแค่ดูจากข้อนี้ เขาก็ไม่ใช่พี่ชายใหญ่ที่ดีนัก เจ้าเองก็รู้ว่า ตอนนั้นฮ่องเต้พระองค์ก่อนทรงลำเอียงรักตวนอ๋อง เขาเองก็ต้องเสียใจอยู่ไม่น้อย แต่ตวนอ๋องเองก็ต้องได้รับความลำบากจากเรื่องนี้อย่างมหันต์เช่นกัน” พูดถึงเรื่องที่ผ่านมาแล้ว แววตาของไทเฮาก็แสดงความโกรธออกมาเล็กน้อย แววตาที่ดูอ่อนโยนเมื่อครู่นั้นก็ดูแข็งกร้าวขึ้นไม่น้อยเช่นกัน


ฮ่องเต้ยิ่งนิ่งขรึมขึ้นไปอีก เขารู้เรื่องของตวนอ๋องดี ที่ในตอนนั้นเขาไม่สนใจ ข้อแรกก็ด้วยเรื่องพวกนั้นไม่ใช่เรื่องร้ายแรงนัก ข้อสองก็ด้วยเขาอยากจะสังเกตดูบรรดาลูกชายของเขา ข้อสามก็ด้วยโกรธไปก็ทำอะไรไม่ได้ ข้อสี่ก็ด้วยกลัวว่าหากตัวเองให้ความสนใจหลี่เย่เกินไปแล้วจะยิ่งทำให้หลี่เย่ยิ่งเป็นอันตรายมากยิ่งขึ้น


หลังจากที่เขาสังเกตลูกชายของเขาแล้ว จึงทำให้เขาไม่โปรดปรานจวงอ๋องและอู่อ๋องขึ้นมา ดังนั้นที่เขาไม่ค่อยสนใจลูกชายทั้งสองคนนี้ ไม่ใช่เพียงเพราะตระกูลของแม่พวกเขาไม่สำคัญ


ส่วนเรื่องที่จะแต่งตั้งชินอ๋องหรือไม่นั้น ไทเฮาหลุบตาลงแล้วพูดว่า “ในเมื่อปล่อยให้อยู่อย่างเรียบง่ายแล้วก็ยังไม่สามารถรับรองความปลอดภัยของตวนอ๋องได้ เช่นนั้นคนเป็นย่าอย่างข้าก็ขอเอ่ยปากเรียกร้องเกียรติและศักดิ์ศรีให้แก่เขา เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว อย่างน้อยหากเกิดอะไรขึ้นกับเขาก็ถือว่ายังให้เกียรติเขาบ้าง”


ฮ่องเต้มองฮองเฮาอย่างแปลกใจ


ไทเฮาถอนใจ แล้วพูดว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ก็จะได้เป็นการดึงดูดความสนใจให้เจ้าได้อีกด้วย”


ฮ่องเต้กำลูกหินที่ถือเอาไว้ในมือแน่น จากนั้นก็มองไปทางไทเฮาอยู่พักใหญ่โดยไม่พูดอะไรออกมา


ไทเฮาเองก็ไม่พูดอะไรออกมาเช่นกัน


สองแม่ลูกนั่งอยู่ในห้องเงียบๆ เวลานี้ดวงอาทิตย์ค่อยๆ คล้อยลงมา แสงอาทิตย์สาดส่องเข้ามาทางหน้าต่าง ส่องลงมาตรงพื้น


เวยทั้งสองแม่ลูกพูดคุยกันเป็นการส่วนตัว ดังนั้นจึงไม่มีคนอื่นๆ คอยถวายการดูแล ทั้งสองคนนั่งอยู่อย่างเงียบๆ เช่นนี้ บรรยากาศในห้องจึงเงียบสนิท


“เวลาก็ล่วงเลยมามากแล้ว ฮ่องเต้ยังไม่กลับไปทำงานราชการอีกหรือ?” ในที่สุดไทเฮาก็เอ่ยปากทำลายความเงียบ


ฮ่องเต้รู้สึกตัว แล้วมองไปทางไทเฮาอย่างสับสน สักพักถึงพูดออกมาอย่างตะกุกตะกักว่า “เสด็จแม่ไม่ได้ทรงรักตวนอ๋องมากที่สุดหรือพ่ะย่ะค่ะ?”


ไทเฮาหัวเราะออกมา “แต่เจ้าเป็นลูกชายที่ข้าอุ้มท้องมานานถึงสิบเดือน”


ฮ่องเต้นิ่งอึ้งไปสักพัก สุดท้ายก็ยิ้มออกมา “ลูกขอตัวกลับก่อน อากาศนับวันยิ่งร้อนขึ้น หากเสด็จแม่ทนไม่ไหว เช่นนั้นปีนี้ลูกไปหลบร้อนนอกวังเป็นเพื่อนเสด็จแม่ดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”


“หากว่าเจ้าไม่มีเวลาก็ช่างเถิด ถึงอย่างไรเรื่องราชการก็ต้องมาก่อน” ไทเฮาพยักหน้าแล้วหัวเราะ


ฮ่องเต้พูดต่อย่างไม่ลังเลว่า “ไม่มีเรื่องเร่งด่วนอะไรพ่ะย่ะค่ะ ถึงแม้จะไปอยู่บ้านพัก ก็ทำงานราชการได้เช่นกัน เพียงแค่เปลี่ยนสถานที่เท่านั้น”


ไทเฮาได้ยินก็พยักหน้ารับคำ “เช่นนั้นก็ดี ถึงอย่างไรก็ไม่ได้ออกไปหลายปีแล้ว ปีนี้ออกไปพักผ่อนหย่อนใจเสียหน่อยก็ดีเหมือนกัน”


ฮ่องเต้เรียกขันทีเป่าฉวนเข้ามา “เจ้าให้คนไปเตรียมการ ฤดูร้อนปีนี้ข้าจะย้ายไปวังฤดูร้อน”


ขันทีเป่าฉวนแปลกใจเล็กน้อย แต่ก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก ยิ้มแล้วพูดว่า “ฮ่องเต้ควรออกไปพักผ่อนบ้างพ่ะย่ะค่ะ พวกบ่าวเองก็จะพลอยได้มีวาสนาไปด้วย”


สำหรับคนที่ถวายการดูแลฮ่องเต้อย่างใกล้ชิด จริงๆ แล้วบางครั้งขันทีเป่าฉวนยังเป็นห่วงฮ่องเต้มากกว่าบรรดาพระสนมเสียอีก ถึงอย่างไร หากเกิดอะไรกับฮ่องเต้จริงๆ บรรดาพระสนมต่างก็ยังได้เลื่อนขั้นเป็นไท่เฟยหรืออาจไปถือศีลอยู่วัดได้ แต่คนที่ถวายการดูแลอย่างใกล้ชิดส่วนมากจะต้องตายตามไปด้วย


ดังนั้นหากขันทีเป่าฉวนอยากมีชีวิตอยู่ยืนยาวกว่านี้ เช่นนั้นก็จะต้องอยากให้ฮ่องเต้มีชีวิตที่ยืนยาวกว่านี้เสียหน่อย จริงๆ แล้วถึงแม้จะไม่ต้องตายตามฮ่องเต้ แต่หากว่าฮ่องเต้สวรรคตแล้ว พวกเขาเองก็หมดอนาคตเช่นกัน ถึงอย่างไรฮ่องเต้พระองค์ใหม่ก็ไม่มีทางใช้คนของฮ่องเต้องค์ก่อนอย่างแน่นอน ผลัดเปลี่ยนแผ่นดินใหม่ก็เปลี่ยนขุนนางใหม่


เรื่องข่าวการเสด็จไปพระราชวังฤดูร้อนในปีนี้ได้แพร่ออกไปอย่างรวดเร็ว จึงทำให้คนจำนวนไม่น้อยเตรียมการลงมือทำเรื่องไม่ดีกันแล้ว 

 

 


ตอนที่ 395

 

ตอนที่เรื่องการแปรพระราชฐานไปพระราชวังฤดูร้อนมาถึงหูของถาวจวินหลัน นางย่อมรู้สึกแปลกใจ นางมองไปทางหลี่เย่ที่นั่งอยู่ข้างๆ และพูดอย่างไม่เข้าใจว่า “ไม่ใช่ว่าไม่ได้ออกไปวังฤดูร้อนมานานหลายปีแล้วรึ? เหตุใดปีนี้ถึงได้คิดจะเสด็จไปกะทันหัน?”


หลี่เย่คิดถึงเรื่องราชโองการลับที่ตัวเองเห็นก่อนหน้านี้ก็ยิ้ม “อาจด้วยได้ยินเรื่องที่พวกเราออกมาหลบร้อน คงคิดอยากออกมาบ้างเท่านั้น” จริงๆ แล้ว ก็แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนแล้วว่าฮ่องเต้ทรงหงุดหงิดใจ จึงอยากเสด็จออกมาพักผ่อนเสียบ้าง


ถาวจวินหลันพยักหน้า “แต่ว่าปีนี้อากาศก็ร้อนเร็วกว่าปีก่อนๆ” ในตอนนี้เพิ่งจะผ่านเทศกาลไหว้บ๊ะจ่างไปก็ร้อนถึงเพียงนี้ รอจนถึงเดือนหกแล้ว ไม่รู้ว่าจะร้อนเพียงใด


“รอฝนตกลงมาสักครั้งก็จะดีขึ้นแล้ว” หลี่เย่วางหมากลงไปกระดานไป จากนั้นก็ยิ้มแล้วพูดไป “ถึงตาเจ้าแล้ว”


ถาวจวินหลันมองไปที่กระดานหมาก แล้วก็มองเห็นว่าพอหลี่เย่วางหมากลงไปบนกระดานแล้วหมากสีดำก็ล้อมไปเป็นวง นางจึงเอ่ยขึ้นอย่างไม่พอใจ “เหตุใดเมื่อครู่ข้าถึงไม่ทันเห็น” ฉับพลันนางก็ไม่สนใจเรื่องเมื่อครู่ แล้วมาปวดหัวกับการคิดหาวิธีรับมือกับหมากกระดานนี้


หลี่เย่เองก็ไม่เร่ง เพียงแต่ยิ้มแล้วยกแก้วชาขึ้นมาจิบ จากนั้นก็ดื่มด่ำกับรสชาติของชา แล้วก็ค่อยๆ หยิบของว่างขึ้นมาชิม ตั้งแต่ได้รับแต่งตั้งเป็นท่านอ๋องแล้วออกมาอยู่นอกวังหลวง เขาก็ไม่เคยใช้เวลาว่างและสบายใจเช่นนี้มานานแล้ว ดังนั้นเขาจึงรักษาโอกาสที่จะได้อยู่ว่างๆ และสบายใจเช่นนี้เป็นพิเศษ


ถาวจวินหลันคิดไปคิดมาแล้ว ถึงอย่างไรก็ไม่มีทางชนะได้ สุดท้ายแล้วจึงแกล้งทำเป็นเบี่ยงเบนความสนใจของเขา “ใช่ซี ข้าจำได้ว่าช่วงเช้ามีมะเขือม่วงสดๆ ส่งมา กลางวันนี้ทำอะไรกินหน่อยดีหรือไม่? ข้าลงมือทำเอง อืม ช่วงบ่ายนี้ท่านอยากกินอาหารว่างอะไร? ขนมถั่วเขียว? กินคู่กับน้ำบ๊วยเย็น แล้วก็นมตุ๋นดีหรือไม่?”


นมตุ๋นเย็นทำง่ายมาก กินเข้าไปแล้วจะสัมผัสกับความนุ่มละมุนลิ้น บวกกับผลไม้แช่อิ่มกรอบๆ โรยด้วยกากน้ำตาลและดอกไม้ ทั้งน่ากินและอร่อย ทั้งยังช่วยคลายร้อนได้ดี ครั้งก่อนหลี่เย่เคยกินไปแล้ว ก็ชื่นชอบเป็นอย่างมาก


หลี่เย่จะไม่รู้ได้อย่างไรว่าถาวจวินหลันตั้งใจเบี่ยงเบนความสนใจของเขาอยู่? เขาทำได้เพียงแกล้งทำเป็นมองไม่เห็นว่าถาวจวินหลันค่อยๆ แอบเปลี่ยนตำแหน่งหมากบนกระดานสองตัว แล้วก็ยิ้มและพูดว่า “เอาตามนั้นเถิด” อากาศร้อนๆ เช่นนี้หากได้กินนมตุ๋นเย็นๆ สักถ้วย ก็ดีมากเลยทีเดียว ที่สำคัญก็คือถาวจวินหลันลงมือทำด้วยตัวเอง


ถาวจวินหลันยิ้มแล้วหยิบหมากขึ้นมาใหม่อีกตัว ตั้งใจทำเป็นครุ่นคิดอยู่นาน จากนั้นก็ค่อยๆ วางหมากลงไป ด้วยตั้งใจจะโกง ดังนั้นนางจึงไม่กล้าแก้ไขอะไรมาก ได้แต่เพียงแก้สถานการณ์ที่นางกำลังจะเป็นฝ่ายแพ้เท่านั้น


นางคิดว่าจริงๆ แล้วหลี่เย่ไม่เห็น แต่นางไม่รู้เลยว่าหลี่เย่เห็นแล้วแค่แกล้งทำเป็นไม่เห็น จากนั้นก็ต่อสู้กับนางอยู่อีกสักพัก สุดท้ายถึงแม้นางจะโกงไปแล้ว แต่ก็ทำได้เพียงแค่ยืดระยะเวลาความพ่ายแพ้ไปก็เท่านั้น


ดังนั้นเมื่อครั้งนี้นางเห็นว่าตัวเองกำลังจะแพ้ ถาวจวินหลันจึงยอมแพ้ไปเสียดื้อๆ แต่สุดท้ายนางก็ยังไม่ยอมรับ จึงได้กรอกตาใส่หลี่เย่ แกล้งทำเป็นโกรธ บ่นว่า “ต่อไปข้าจะไม่เล่นหมากกับท่านอีกแล้ว ข้าเล่นทีไรก็แพ้ทุกครั้ง น่าเบื่อจริงๆ”


หลี่เย่ไม่โกรธ แต่กลับพยักหน้าอย่างเรียบเฉย “เช่นนั้น ครั้งหน้าข้าจะยอมให้เจ้าชนะสักครั้ง”


ถาวจวินหลันอึ้งไป จากนั้นทั้งรู้สึกขบขันและโกรธ ก่อนพูดอย่างโมโหว่า “มีใครทำเช่นท่านกัน?” พูดออกมาอย่างมั่นอกมั่นใจเช่นนี้ ไม่เท่ากับคิดว่านางไม่มีวันชนะเขาได้นอกเสียจากเขาจะยอมให้หรอกรึ?


อีกทั้งพูดเช่นนี้ เขาเองไม่รู้สึกว่าหลงตัวเองเกินไปหน่อยหรือ? ไม่มีความถ่อมตัวเลยรึ?


หลี่เย่เห็นถาวจวินหลันมีท่าทีเช่นนี้ รอยยิ้มก็ยิ่งกว้างขึ้นไปอีก สุดท้ายแล้วเขาก็เก็บหมากลง “พวกเราไปในครัวกันเถิด” ด้วยไม่มีเรื่องอะไรต้องทำ ดังนั้นเวลาที่ถาวจวินหลันยุ่งอยู่ในครัว หลี่เย่ก็จะคอยยืนดูอยู่ข้างๆ


ถาวจวินหลันเหนื่อยใจอยู่หลายต่อหลายครั้ง ยังดีที่ห้องครัวมีขนาดใหญ่พอ อีกทั้งยังไม่ได้มีเพียงแค่ส่วนเดียว ไม่เช่นนั้นหลี่เย่จะยืนอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร? ถึงแม้จะไม่ได้ทำอาหาร แต่เวลาที่ควันจากกาน้ำร้อนพุ่งออกมา ห้องครัวก็เหมือนกับอยู่ในซึ้งนึ่ง


ดังนั้นห้องครัวจึงถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน ห้องด้านหลังจะเป็นห้องที่มีเตา ส่วนห้องด้านหน้าจะไม่มีเตา เอาไว้เพื่อเตรียมวัตถุดิบโดยเฉพาะ


ถาวจวินหลันกรอกตาใส่หลี่เย่ แล้วบ่นอย่างกรุ่นโกรธ “ทุกครั้งที่ข้าแพ้ ท่านจะต้องทำเช่นนี้ตลอด”


หลี่เย่นิ่งเงียบไปสักพัก จากนั้นก็เลิกคิ้วเล็กน้อยอย่างขบขัน “ข้าคิดว่าเรากำลังพนันกันอยู่เสียอีก?”


ถาวจวินหลันนิ่งอึ้งไป สุดท้ายแล้วก็ได้แต่ทำท่าโกรธ นางค้นพบแล้วว่า พอหลี่เย่ว่างงานเช่นนี้ เขากลับยิ่งชอบแกล้งหยอกนางมากขึ้น


ทั้งสองคนเข้าไปในห้องครัวด้วยกัน ถาวจวินหลันค้นหาวัตถุดิบที่ต้องใช้ เจอต้นหน่อไม้อ่อนตะกร้าหนึ่ง จึงแย้มยิ้มทันที “หน่อไม้อ่อนนี้เอามาผัดกับเนื้ออร่อยอย่างมาก ทั้งในวังหลวงและในจวนอ๋องจะมีแต่หน่อไม้ธรรมดาทั่วไปเท่านั้น หน่อไม้อ่อนเช่นนี้ไม่เคยส่งเข้ามาก่อน หน่อไม้อ่อนแบบนี้ถึงจะเป็นหน่อไม้ที่อร่อยที่สุด”


ต้นหน่อไม้อ่อนชนิดนี้จะมีในช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิต้นฤดูร้อนเท่านั้น ขนาดรวมเปลือกหน่อไม้ด้วยแล้วก็ยังใหญ่เพียงแค่เพียงนิ้วโป้งมือเท่านั้น ส่วนที่ใหญ่มากก็จะใหญ่กว่านิ้วโป้งเพียงเล็กน้อย ยังไม่ใหญ่เท่านิ้วมือสองนิ้ว รอจนกระทั่งปลอกเปลือกออกไปแล้ว ก็ยิ่งเหลือขนาดเล็กลงไปอีก หน่อไม้ชนิดนี้จะมีสีเขียวอ่อน มองไปแล้วชวนให้รู้สึกสดชื่น


พอหั่นเป็นชิ้นแล้วเอาไปต้มเพื่อให้หมดรสขมแล้ว ก็จะคงไว้ซึ่งความสด จากนั้นก็ใส่น้ำมัน เนื้อหมูชิ้นเล็กๆ เป็นลูกเต๋า ขิงและกระเทียมบวกกับซอสถั่ว และใส่หน่อไม้อ่อนเป็นขั้นตอนสุดท้าย รอจนกระทั่งได้กลิ่นหอมของต้นหน่อไม้อ่อนโชยมา ก็ยกขึ้นใส่จานได้


ครั้งนั้นถาวจวินหลันไปเที่ยวที่บ้านในชนบทกับท่านพ่อ ถึงได้ลองกินอาหารชนิดนี้เพียงแค่ไม่กี่ครั้ง แต่นางกลับไม่เคยลืมรสชาติแสนอร่อยนั้นเลย เห็นได้ชัดว่ารสชาตินั้นอร่อยมากจริงๆ


หลี่เย่เห็นถาวจวินหลันพูดอย่างตื่นเต้น เขาเองก็รู้สึกสนอกสนใจเช่นกัน…ถึงแม้ว่าส่วนมากจะดูท่าทางของนางมากกว่าตั้งใจฟัง แต่นี่ก็ไม่ใช่ปัญหามิใช่หรือ? นี่ก็ถือว่าต่างคนต่างชอบในแบบของตัวเอง


ถึงแม้จะมีแม่ครัว แต่ในเมื่อถาวจวินหลันลงมือทำด้วยตัวเองแล้ว สำหรับนางแล้ว ลงมือทำด้วยตัวเองยิ่งมีความหมายมากกว่า ถึงอย่างไรโอกาสที่จะมีเวลาเช่นนี้ก็มีน้อยมาก รีบถือโอกาสในตอนนี้ใช้ชีวิตดั่งเช่นคู่สามีภรรยาแบบชาวบ้านทั่วไป ก็ถือว่าได้ลองเปลี่ยนวิธีชีวิตใหม่ๆ บ้าง


ทำเรื่องพวกนี้ไม่ถือว่าเหนื่อย ดังนั้นหลี่เย่จึงไม่ได้ห้าม จริงๆ แล้วการใช้ชีวิตแบบนี้เขาเองก็รู้สึกสงบและสบายใจเช่นกัน การดูแลซึ่งกันและกันเช่นนี้ ทำให้เขาหลงใหลและอยากให้เป็นเช่นนี้ต่อไป…ถึงอย่างไร หลังจากผ่านช่วงเวลานี้ไป และกลับไปเมืองหลวงแล้ว เขาก็ต้องกลับไปเป็นตวนอ๋อง ส่วนถาวจวินหลันก็ต้องกลับไปเป็นชายารองตวนอ๋อง เรื่องวุ่นวายต่างๆ มีให้จัดการไม่น้อย จะมีเวลามาอยู่อย่างสบายใจเช่นนี้ได้อย่างไรกัน?


แน่นอนว่า เวลาที่พวกเขาใกล้ชิดกันเช่นนี้ คนอื่นๆ ก็ไม่ได้เข้ามารบกวนอย่างรู้หน้าที่…จิ้งหลิงชินกับเรื่องนี้แล้ว ส่วนกู่อวี้จือก็สั่งให้คนคอยกันนางเอาไว้ พอหลายๆ ครั้งไป กู่อวี้จือเองก็ ‘รู้หน้าที่’ ไปเอง


แต่ว่าการใช้ชีวิตของพวกเขาเช่นนี้นั้น กลับทำให้องค์หญิงแปดองค์หญิงเก้ารู้สึกอิจฉา จนถึงขั้นพยายามทำตาม แต่พวกองค์หญิงไม่เคยเรียนเรื่องพวกนี้ ดังนั้นจึงไม่มีทางลงมือทำด้วยตัวเองได้ทั้งหมด ได้แต่ให้คนคอยช่วยบอกแล้วลงมือทำเองในขั้นตอนสุดท้ายก็เท่านั้น


ไม่อย่างนั้น องค์หญิงทั้งสองคนนี้จะต้องลงมือหยิบมืดขึ้นมาหั่นผักด้วยตัวเองหรือ? เกรงว่ายังไม่ทันจะหยิบมีดก็คงถูกคนแย่งไปเสียก่อนแล้ว แม้แต่พระสวามีของทั้งสองคนก็ไม่ยอมให้องค์หญิงทั้งสองทำเรื่องพวกนี้ หากว่าถูกมีดบาดขึ้นมา แล้วจะทำเช่นไร?


ถาวจวินหลันกลับเสนอความเห็น ว่านางจะเข้าครัวแล้วเชิญองค์หญิงทั้งสองพร้อมกับพระสวามีมาร่วมรับประทานอาหารด้วยกัน แต่หลี่เย่กลับปฏิเสธเรื่องนี้ทันที แล้วพูดอย่างมีเหตุมีผลว่า “หากพวกนางเห็นว่าเจ้าเก่งถึงเพียงนี้ แล้วรู้สึกว่าตัวเองไร้ความสามารถ จนดื้อดึงจะเรียนให้ได้ขึ้นมา แล้วเกิดบาดเจ็บจะทำอย่างไร?”


จริงๆ แล้ว ในใจของหลี่เย่กลับคิดว่า หากซวนเอ๋อร์ไม่ได้เป็นลูกของเขา แม้แต่ซวนเอ๋อร์ก็อย่าคิดจะมาทำให้ถาวจวินหลันต้องเหนื่อย เพียงแค่ทำให้เขากินแค่คนเดียวก็พอแล้ว คนอื่นไม่เกี่ยว


ถาวจวินหลันไม่รู้เรื่องนี้ จึงคิดว่าก็เป็นอย่างที่ว่าจริงๆ ต่อจากนี้ไปเวลาอยู่ต่อหน้าองค์หญิงแปดองค์หญิงเก้านางจะไม่พูดถึงเรื่องเข้าครัวอีกแล้ว แม้แต่องค์หญิงแปดองค์หญิงเก้าจะมาขอให้นางสอน นางก็จะบอกให้ล้มเลิกความตั้งใจไปว่า “เหตุใดฐานะอย่างพวกเราต้องลงมือด้วยตนเองเล่า? ก็แค่ทำเล่นๆ ไป เพื่อความสนุกสนานเท่านั้น”


องค์หญิงแปดองค์หญิงเก้าคิดว่าถาวจวินหลันทำเช่นนั้นจริงๆ จึงไม่ได้คิดจะลงมือทำอาหารด้วยตัวเองอีก ทำให้พระสวามีของทั้งสองโล่งใจได้ หลังจากรู้เรื่องราวทั้งหมดแล้ว ก็ได้แต่รู้สึกขอบคุณและซาบซึ้งในตัวถาวจวินหลัน แล้วก็เอ่ยปากชมต่อหน้าหลี่เย่ ส่วนหลี่เย่ได้แต่นิ่งเงียบไม่พูดอะไร ดูไปแล้วมีท่าทีให้คนอื่นเดาได้ยากว่ากำลังคิดอะไร


เพียงแต่วันเวลาที่สุขสงบเช่นนี้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ไม่นานองค์หญิงแปดและพระสวามีก็จะต้องเดินทางกลับเมืองหลวง ยังดีที่องค์หญิงเก้าและจิ้งผิงยังอยู่ต่ออีกสักพัก แต่ว่าทุกวันต่างก็มีแผนเดินทางออกไปเยี่ยมเยียนคนนั้นคนนี้


ไม่รู้ว่าเป็นเพราะน้ำพุร้อนช่วยฟื้นฟูสุขภาพได้จริงๆ หรือเป็นเพราะหมอหลวงรักษาเก่ง บาดแผลของหลี่เย่จึงหายไวขึ้นมาก บาดแผลที่แขนก็เหลือเพียงแค่รอตกสะเก็ดและค่อยๆ สมานกัน


แม้แต่ที่ขาก็ค่อยๆ ถอนไม้ค้ำได้ภายในระยะเวลาครึ่งเดือน ถึงแม้จะไม่กล้าใช้แรงมาก แต่อย่างน้อยก็สะดวกสบายขึ้นเป็นอย่างมาก


วันนี้หลี่เย่เสนอความคิดว่าจะออกไปแช่น้ำพุร้อน บอกว่าเรื่องบาดแผลไม่มีปัญหาอะไรแล้ว การแช่น้ำพุร้อนยังช่วยให้เลือดลมไหลเวียนดี จะเป็นผลดีแก่แผลที่บาดเจ็บ


แน่นอนว่าถาวจวินหลันไม่เชื่อ แต่ก็ห้ามหลี่เย่ไม่ได้ นางจึงได้แต่ถามหมออย่างละเอียดรอบคอบแล้ว หลังจากมั่นใจว่าไม่มีปัญหาอะไร ถึงได้ยอมตกลง


เนื่องจากขายังใช้การไม่ถนัด ดังนั้นหลี่เย่จึงได้แต่นั่งอยู่ในบ่อน้ำพุ อีกทั้งมือยังต้องวางอยู่บนไม้กระดาน เพื่อไม่ให้แผลที่บาดเจ็บโดนน้ำ


ที่สำคัญที่สุดก็คือ ยังต้องมีคนคอยดูแลอยู่ข้างๆ ถึงจะดีที่สุด


หลี่เย่กลับไม่ยอมเรียกหวังหรูมาถวายการดูแล เพียงแต่มองมาทางถาวจวินหลัน ถึงแม้จะไม่ได้เอ่ยปาก แต่ความหมายก็ถือว่าชัดเจนอย่างมาก


แน่นอนว่าถาวจวินหลันเขินอายและไม่ยอม แต่หลี่เย่ก็ยังคงดึงดัน อีกทั้งยังพูดจาโน้มน้าวเสียจนนางกังวลว่าหวังหรูจะดูแลได้ไม่ดี จึงไปดูแลด้วยตัวเอง


แต่ว่าถึงแม้ว่าจะรับคำแล้ว แต่นางกลับทำข้อตกลงกับหลี่เย่ก่อน ห้ามทำเรื่องอื่นนอกเหนือจากการแช่น้ำพุร้อนเป็นอันขาด เพียงแต่อนุญาตให้แช่น้ำพุร้อนเท่านั้น


หลี่เย่รับคำ แต่ว่ากลับมีรอยยิ้มเล็กๆ ที่มุมปากและดวงตาที่เจ้าเล่ห์ กลับทำให้ถาวจวินหลันใจเต้นไม่เป็นจังหวะทันที


แล้วก็เป็นอย่างที่คิด ถาวจวินหลันคาดเดาไม่ผิดเลยจริงๆ


คำพูดที่สัญญากันเอาไว้ หลี่เย่ไม่ได้ปฏิบัติตามเลยแม้แต่ข้อเดียว แล้วยังละเมิดกฎไปหลายข้อ


รอจนกระทั่งแช่น้ำพุร้อนเสร็จแล้ว ถาวจวินหลันไม่เพียงแต่รู้สึกสบายตัว กลับรู้สึกเหนื่อยเพลียอีกทั้งยังปวดเมื่อยไปทั้งตัว ส่วนหลี่เย่กลับมีท่าทีสดชื่น


ขณะที่ทั้งสองกำลังพักผ่อนกันอย่างสบายใจนั้น ในเมืองหลวงกลับเกิดเรื่องบางอย่างขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบตามมาไม่น้อย ถึงขั้นว่าค่อยๆ เกิดผลกระทบมาถึงพวกเขาแล้ว 

 

 


ตอนที่ 396 แต่งตั้งองค์รัชทายาท

 

เหิงกั๋วกงถวายราชโองการด้วยตัวเอง เรื่องการแต่งตั้งคังอ๋องขึ้นเป็นองค์รัชทายาท บรรดาขุนนางต่างเห็นด้วย อีกทั้งเสียงต่างก็มากขึ้นทุกครั้งเวลาเข้าว่าราชการ วันต่อมาตอนว่าราชการ ก็มีการเรียกร้องเช่นนี้อีกครั้ง


ในที่สุดฮ่องเต้ก็ตบโต๊ะทนไม่ไหวแล้ว พร้อมทั้งจ้องมองบรรดาขุนนางด้วยสายตาเย็นชาและลุกวาบเป็นไฟอยู่นาน สุดท้ายก็เอ่ยอย่างเย็นชาว่า “ข้าเคยพูดแล้วว่า เรื่องนี้ข้าจะเป็นคนตัดสินใจเอง พวกเจ้าไม่ต้องสนใจเรื่องนี้อีก!”


ความหมายที่พูดออกไป ก็คือบอกให้บรรดาขุนนางพวกนี้หุบปาก


แต่เห็นได้ชัดว่าเหิงกั๋วกงไม่คิดเช่นนั้น เขาไม่เพียงแต่ไม่ยอมหุบปาก แต่กลับก้าวไปข้างหน้าแล้วเอ่ยปากออกมาว่า “ฮ่องเต้ทรงพิจารณาด้วยพ่ะย่ะค่ะ! การแต่งตั้งองค์รัชทายาทจะทำให้บ้านเมืองสงบขึ้น! ยิ่งแต่งตั้งองค์รัชทายาทเร็วเพียงใด ก็ยิ่งรวบรวมจิตใจของราษฎรได้เร็วเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ! ก่อนหน้านี้ฮ่องเต้พระองค์ก่อนทั้งสามพระองค์ หลังจากขึ้นครองราชย์แล้วก็แต่งตั้งองค์รัชทายาทในทันที! แสดงให้เห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งพ่ะย่ะค่ะ!”


ความหมายที่พูดออกมา ก็คือหากไม่แต่งตั้งองค์รัชทายาท จิตใจของราษฎรก็จะไม่สงบ พูดเช่นนี้ก็หมายความว่าแต่งตั้งองค์รัชทายาทถึงจะทำให้จิตใจของราษฎรสงบได้ เช่นนั้นไม่เท่ากับหมายความว่าฮ่องเต้ไม่สามารถทำให้ราษฎรอยู่อย่างสงบสุขได้รึ!


ฮ่องเต้กริ้วจนหน้าเขียว อดถามออกไปอย่างตำหนิไม่ได้ว่า “ข้าไม่รู้มาก่อนเลยว่า ข้าไร้ความสามารถถึงเพียงนี้! ข้าอยากถามเหิงกั๋วกงว่า ข้าทำไม่ดีตรงที่ใดรึ? ถึงไม่สามารถรวบรวมจิตใจของราษฎรได้?”


ครู่หนึ่งสายตาก็กวาดไปทางขุนนางทุกคนในตำหนัก ฮ่องเต้หัวเราะออกมาอย่างเยือกเย็น “ข้าไม่รู้ว่า คังอ๋องได้ใจจากราษฎรไปมากเช่นนี้ พวกเจ้าบอกข้าสิว่า คังอ๋องทำอะไรไปบ้าง ถึงได้ใจของราษฎรไปเช่นนี้? เขานำทหารออกไปรบเพื่อความสงบของประเทศ หรือว่าเขาเก่งกาจทั้งบู๊บุ๋นและแผนการปกครองประเทศเช่นนั้นรึ? หรือว่า เขาเก่งเรื่องการหาพรรคพวกมาคอยช่วยเหลือกันแน่?!”


นี่พูดได้ว่าเป็นการต่อว่าและตำหนิ พอพูดถึงเรื่องการหาพรรคพวกเช่นนี้ พวกที่ร้องขอให้แต่งตั้งองค์รัชทายาท ต่างก็มีเหงื่อผุดขึ้นมาบนหน้าผากกันเป็นแถว


ทว่าก็มีคนไม่น้อยที่ไม่หวาดกลัว เพียงแต่ยืนนิ่งเฉย เหิงกั๋วกงเองก็เป็นหนึ่งในนั้น


พริบตาเดียวคนจำนวนมากภายในห้องพลันเงียบกริบ


ส่วนฮ่องเต้กลับค่อยๆ เอ่ยปากตรัสออกมาว่า “ข้าเคยพูดแล้วว่า ข้าจะไม่พูดเรื่องนี้ เหิงกั๋วกงรู้ดีแต่ก็ยังขัดคำสั่ง ข้าควรลงโทษเจ้าเช่นไร?”


เพียงแค่พูดถึงเรื่องรับโทษ หากเป็นคนอื่นจะต้องรีบคุกเข่ายอมรับความผิดทันที อีกทั้งยังต้องขอร้องให้ฮ่องเต้ทรงประทานอภัยที่ตัวเองทำผิดไป แต่เหิงกั๋วกงกลับยังอยู่อยู่ที่เดิมอย่างไม่เกรงกลัว ทั้งยังไม่เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจ แต่กลับโต้แย้งด้วยเสียงอันดัง “เรื่องนี้กระชั้นชิดเข้ามาทุกทีแล้ว ฮ่องเต้จะทรงยืดเวลาต่อไปอีกไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ!”


ฮ่องเต้หัวเราะอย่างเย้ยหยัน “กระชั้นชิดเข้ามาทุกทีแล้วรึ?”


“หากไม่แต่งตั้งองค์รัชทายาท นับวันก็ยิ่งทำให้ราชสำนักสั่นคลอนพ่ะย่ะค่ะ! และยิ่งมีคนไม่น้อยก่อเรื่องเลวร้ายขึ้น เพื่อวางแผนทำการใหญ่พ่ะย่ะค่ะ! แต่งตั้งองค์รัชทายาทในเร็ววัน เพื่อตัดโอกาสนี้ไปเสียให้หมดสิ้น ถึงจะสามารถทำให้บ้านเมืองสงบได้พ่ะย่ะค่ะ!” วันนี้เหิงกั๋วกงดูเหมือนขุนนางผู้ภักดีที่ยอมสละตัวเองเพื่อประเทศชาติ ทุกอย่างที่พูดดูมีเหตุมีผลและจริงจัง


เหิงกั๋วกงทำเช่นนี้ ก็มีคนไม่น้อยที่เห็นด้วย แต่เห็นได้ชัดว่าจำนวนลดลงกว่าตอนแรกอยู่มาก


ฮ่องเต้หรี่ตาลงเล็กน้อย “ทำเรื่องเลวร้ายรึ? เหิงกั๋วกงพูดถึงใครกัน?”


เหิงกั๋วกงอึ้งไป แต่กลับเอ่ยชื่อออกมาตรงๆ ไม่ได้ เพียงแค่พูดว่า “องค์ชายที่เป็นผู้ใหญ่แล้วมีอยู่มาก หากว่ายังไม่แต่งตั้งองค์รัชทายาท เกรงว่า…”


“ข้ามีลูกชายอยู่แค่ไม่กี่คน ตอนนี้ที่โตเป็นหนุ่มก็มีเพียงแค่สี่คนเท่านั้น เหิงกั๋วกง สรุปว่าเจ้าหมายถึงใครกันแน่?” ฮ่องเต้กลับไม่ยอมให้ทุกอย่างคลุมเครือต่อไปเช่นนี้ จึงบีบบังคับให้ยอมปริปากพูดออกมา


เหิงกั๋วกงกัดฟัน “ตวนอ๋อง จวงอ๋อง อู่อ๋อง ต่างก็มีความสามารถและมีพวกพ้อง โดยเฉพาะตวนอ๋องที่มีความดีความชอบมากที่สุด อีกทั้งยังได้รับความรักและเมตตาจากฮ่องเต้กับไทเฮาเป็นอย่างมาก หากเวลาผ่านไปนานกว่านี้ เกรงว่าอาจจะได้รับความรักมากจนเกิดความคิดเป็นอื่นไปได้พ่ะย่ะค่ะ”


พูดไปพูดมา คนที่เหิงกั๋วกงกลัวก็มีเพียงแค่หลี่เย่เท่านั้น


เรื่องนี้ ฮ่องเต้ทรงทราบแต่แรก ทว่าก็บีบบังคับให้เหิงกั๋วกงพูดยอมออกมาวันนี้ จากนั้นเขาก็พูดขึ้นอย่างไม่ร้อนอกร้อนใจว่า “ได้รับความรักมากเกินไปรึ? เกิดความคิดเป็นอื่นไปได้รึ? ในเมื่อเป็นลูกชายของข้าทั้งนั้น เช่นนั้นก็จะต้องเป็นคนที่มีความสามารถและคู่ควร! คังอ๋องสู้น้องชายของตัวเองไม่ได้ แล้วเขาจะโทษคนอื่นได้รึ?”


ตอนที่ฮ่องเต้ตรัสออกมา น้ำเสียงฟังดูเขร่งขรึม ไม่สนใจว่าคำพูดนี้จะเกิดผลกระทบเช่นไรเลย หรือบางที เหมือนคิดไม่ถึงว่าจะมีผลกระทบอะไรเกิดขึ้นอย่างนั้น


แต่สำหรับคนที่อยู่ในฐานะฮ่องเต้แล้ว ฮ่องเต้ย่อมรู้ว่าทุกคำพูดของตัวเองมีความสำคัญมากเพียงใด ถึงขั้นก่อให้เกิดลมพายุลูกใหญ่เลยมิใช่หรือ? ดังนั้นจะบอกว่าไม่รู้ เช่นนั้นก็คงโป้ปด แต่จะบอกว่าคิดไม่ถึง เช่นนั้นก็ไม่มีทางเป็นไปได้แน่นอน


ดังนั้นจึงพูดได้เพียงข้อเดียวว่า ตั้งใจพูด


ฮ่องเต้มองบรรดาขุนนางทั้งหลายหน้าเปลี่ยนสี มุมปากของเขาพลันยกสูงขึ้นเล็กน้อย เขาตั้งใจพูดเพื่อให้เกิดผลลัพธ์เช่นนี้จริงๆ


“ทว่าตั้งแต่โบราณมา ต่างก็ตั้งแต่งตั้งลูกชายที่เกิดจากภรรยาเอกและลูกชายคนโตพ่ะย่ะค่ะ!” เหิงกั๋วกงได้ยินคำพูดของฮ่องเต้แล้วเห็นว่าไม่เข้าที จึงร้อนใจทันที พูดเร็วขึ้นและน้ำเสียงก็ยังแหลมสูงขึ้นไม่น้อย “อีกทั้งคังอ๋องเป็นคนมีคุณธรรมและมีเมตตา รู้อะไรควรไม่ควร ทำเรื่องต่างๆ ได้อย่างเหมาะสมทุกประการจนหาข้อผิดพลาดไม่ได้! คังอ๋องเหมาะสมที่จะเป็นองค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ!”


“เรื่องการแต่งตั้งใครเป็นองค์รัชทายาท ข้าเคยบอกแล้วว่า ข้าจะตัดสินใจเอง!” ฮ่องเต้หุบยิ้ม แล้วแสดงเจตนาของตัวเองให้ชัดเจนอีกครั้ง สุดท้ายยังจ้องไปทางเหิงกั๋วกงด้วยสายตาคมกริบ “เหิงกั๋วกง หากเจ้ายังทำเช่นนี้ ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าเอาไว้แน่!”


ฮ่องเต้เอาจริงแล้ว เหิงกั๋วกงเองก็รู้สึกกลัวอยู่เล็กน้อย ลังเลอยู่สักพัก สุดท้ายก็ไม่กล้าเอ่ยปากพูดอะไรอีก


ฮ่องเต้เห็นเช่นนั้น ก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ จากนั้นก็โบกๆ มือ “จบการว่าราชการ!” พูดจบแล้วก็ลุกขึ้นแล้วสะบัดแขนเสื้อเดินออกไปทันที


ขุนนางทุกคนต่างมองหน้ากันไปมา แล้วก็พากันถอนใจค่อยๆ ลุกขึ้น กรูกับออกจากตำหนักใหญ่


เหิงกั๋วกงก็ทำได้เพียงแค่ออกไปก่อนเท่านั้น โดยทีสีหน้าไม่ดีนัก


ขุนนางขั้นห้าคนหนึ่งเข้ามาประจบประแจง “ท่านกั๋วกงอย่าโมโหไปเลย ฮ่องเต้ก็แค่ทรงกริ้วไปชั่วครู่เท่านั้น ถึงอย่างไรท่านก็เป็นพระอนุชาของฮองเฮา อีกทั้งยังมีความดีความชอบอยู่มาก ถึงอย่างไรฮ่องเต้ก็ไม่มีทางหักหน้าท่านได้หรอก”


เหิงกั๋วกงกำลังโกรธอยู่ จะอยากฟังคำพูดไร้สาระพวกนี้ที่ไหน? พอเห็นว่าอีกฝ่ายยิ้มอย่างประจบประแจง ก็ยิ่งรู้สึกหงุดหงิดใจทันที จึงยื่นมือออกมาผลัก “ไสหัวไป!”


สำหรับตำแหน่งอันดับหนึ่งอันดับสองในราชสำนัก แน่นอนว่าเหิงกั๋วกงไม่จำเป็นต้องไว้หน้าขุนนางขั้นห้าผู้นี้


ทว่าทำหยาบคายเช่นนี้ก็ดูออกจะเกินไปหน่อย


ขุนนางขั้นห้าผู้นั้นถูกผลักจนเซถลาไป เกือบจะประคองตัวเอาไว้ไม่อยู่แล้วล้มลงไปกองกับพื้น แต่หลังจากประคองตัวได้แล้วกลับไม่กล้าแสดงอาการโกรธเลยแม้แต่น้อย ได้แต่เดินตามกลุ่มคนออกไปด้วยใบหน้าแดงก่ำ


เหิงกั๋วกงกลับถึงจวนด้วยความโกรธ จากนั้นก็สั่งให้ฮูหยินของตัวเองไปที่จวนคังอ๋อง


หลังจากที่พระชายาคังอ๋องได้พบกับน้าสะใภ้แล้ว ก็รีบร้อนเข้าวังไปเข้าเฝ้าฮองเฮา


แต่ว่า นั่นก็เป็นเรื่องต่อไป อีกด้านหนึ่งฮ่องเต้กลับสู่ห้องบรรทมของตัวเองด้วยความโกรธ ขณะที่นางกำนัลกำลังถวายการรับใช้ในการเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ ฮ่องเต้กลับทนความหงุดหงิดในใจเอาไว้ไม่ได้ กระชากหมวกทองของตัวเองแล้วเขวี้ยงลงไปบนโต๊ะอย่างแรง จากนั้นก็พูดอย่างเกรี้ยวโกรธว่า “จะต้องมีสักวัน ที่ข้าต้องอดพูดหยาบคายไม่ได้!”


นางกำนัลผู้นั้นตกใจจนตัวสั่นเทิ้ม ขันทีเป่าฉวนเองก็ตกใจจนสะดุ้งเช่นกัน เขามองเห็นหมวกทองใบนั้นที่ตอนนี้บิดเบี้ยวไปหมด แต่เขากลับไม่มีเวลามาสนใจเรื่องนี้ ได้แต่รีบเข้าไปปลอบให้ฮ่องเต้ทรงหายกริ้ว “ฮ่องเต้อย่ากริ้วไปเลยพ่ะย่ะค่ะ ปล่อยให้พวกเขาคุ้มคลั่งไปสักพักเถิดพ่ะย่ะค่ะ”


ฮ่องเต้หัวเราะเสียงเยือกเย็น “ใช่แล้ว ข้าจะทำให้พวกเขาคุ้มคลั่งไปสักพัก ข้าจะคอยจับตามองเอาไว้ให้ดี ว่าเขาจะสามารถคุ้มคลั่งได้ถึงแค่ไหนกันเชียว!”


ยังมีอีกคำที่ฮ่องเต้ไม่ได้ตรัสออกมา เขาอยากดูว่า สรุปว่าคนที่เป็นฮ่องเต้อย่างเขามีอำนาจ หรือว่าเหิงกั๋วกงมีอำนาจกันแน่!


รอจนกระทั่งเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว ฮ่องเต้ทรงนิ่งเงียบอยู่สักพักก็รับสั่งว่า “เอาตราประจำตัวข้ามา ข้าจะเขียนราชโองการ!”


ขันทีเป่าฉวนตกใจ ในใจก็คาดเดาไปอย่างงุนงง แต่ว่าสุดท้ายเขากลับไม่กล้าเอ่ยปากถามออกไป แล้วก็ไม่กล้าแสดงอาการใดๆ ทางสีหน้าเลยแม้แต่น้อย เพียงแต่รับคำเนิบๆ แล้วก็รีบร้อนออกไปจัดเตรียมของ


ฮ่องเต้ประทับอยู่บนโต๊ะทรงงานและครุ่นคิดเรื่องราชโองการนี้


หลังจากเขียนราชโองการเสร็จอย่างรวดเร็วด้วยความคล่องแคล่ว รอจนกระทั่งตอนหยุดพู่กันลง อารมณ์ของเขาก็ดีขึ้นไม่น้อย จากนั้นก็กวักๆ มือ ฮ่องเต้ถึงขั้นเผยรอยยิ้มออกมา “ประทับตรา”


ขันทีเป่าฉวนรีบหยิบตราประทับหยกส่งให้ฮ่องเต้อย่างระมัดระวัง


ฮ่องเต้ทรงรับตราประทับหยกเอาไว้ในมือ จากนั้นก็เอาไปประทับกับสีแดง แล้วกดลงไปบนพระราชโองการนั้น หลังจากที่พระราชโองการฉบับนี้ได้ประทับตราลงไปแล้ว ก็ถือว่ามีผลโดยสมบูรณ์


ขันทีเป่าฉวนมองไปที่พระราชโองการที่ตอนนี้น้ำหมึกยังไม่ทันแห้ง ในใจก็รู้สึกกังวลแทนใครบางคนขึ้นมา แต่ว่าที่มากกว่านั้นก็คือความรู้สึกเย็บวาบที่ขึ้นมาจากเท้า เกรงว่าแผ่นดินนี้จะต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นแล้ว  ต่อไปคงจะไม่สงบเช่นนี้อีก


แน่นอนว่า ขันทีเป่าฉวนรู้ดีแก่ใจ เพียงแค่เขาเกาะฮ่องเต้ที่เปรียบดังต้นไม้ใหญ่เอาไว้ให้แน่น เขาก็ไม่มีวันตกต่ำไปได้


พอเก็บตราประทับเรียบร้อย และน้ำหมึกบนพระราชโองการแห้งแล้ว ขันทีเป่าฉวนก็ถามฮ่องเต้อย่างระมัดระวัง “ฝ่าบาท พระราชโองการฉบับนี้จะให้ประกาศออกไปเมื่อไรพ่ะย่ะค่ะ?”


ฮ่องเต้ครุ่นคิดอยู่สักพัก จากนั้นก็ยิ้มออกมา “ตอนนี้นั่นแหละ หลังจากให้คนคัดลอกราชโองการฉบับนี้แล้วเจ้าก็ขี่ม้าเร็วไปมอบราชโองการนี้ให้กับตวนอ๋องด้วยตัวเอง บอกตวนอ๋องว่า หลังจากกลับเมืองหลวง เขาก็จะได้เปลี่ยนฐานะเป็นชินอ๋องแล้ว!”


ฮ่องเต้ทรงตรัสถึงเนื้อหาในพระราชโองการตรงๆ เช่นนี้ ขันทีเป่าฉวนก็โล่งใจขึ้นเล็กน้อย แล้วก็ฉีกยิ้มออกมา “บ่าวไปครั้งนี้ เกรงว่าจะต้องได้รางวัลไม่น้อยเลยพ่ะย่ะค่ะ!”


ฮ่องเต้หัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “เจ้าไปครั้งนี้ ก็สมควรได้รับรางวัลแล้ว!” สักพัก ท่าทีก็ดูเคร่งขรึมลงไป แล้วพูดเสียงเบาว่า “เจ้าเอาคำของข้าไปบอกเขาด้วย บอกตวนอ๋อง ต่อไปจะต้องระวังตัวให้มาก! ไม่ว่าในเวลาใด ความปลอดภัยของเขาถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุด!”


ฮ่องเต้ตรัสว่าสำคัญ ขันทีเป่าฉวนก็ไม่กล้าทำลวกๆ รีบรับคำสั่งของหนักแน่น แล้วก็ถามขึ้นว่า “จะต้องเชิญตวนอ๋องกลับเมื่อหลวงในทันทีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ? บ้านพักแห่งนั้นถึงแม้จะไม่เลว แต่ถึงอย่างไรทหารคุ้มกันก็ยังน้อยเกินไป”


ฮ่องเต้ก็ทรงกังวลใจเรื่องนี้ แต่ว่าคิดแล้วก็ส่ายหัว “เจ้าพาคนไปอีกสักกลุ่มหนึ่งก็พอ แล้วก็ไม่ต้องให้พวกเขากลับมา ให้พวกเขาคอยดูแลตวนอ๋อง” รอจนกลับมาถึงเมืองหลวงแล้ว เกรงว่างานของตวนอ๋องคงมีไม่น้อย อีกทั้งให้เขาได้พักผ่อนอย่างสบายใจบ้าง จะได้รักษาบาดแผลที่บาดเจ็บให้หาย


อีกไม่นานเขาเองก็จะออกจากวังไปพระราชวังฤดูร้อนเช่นกัน สถานการณ์ในตอนนั้นก็คงดีขึ้นมาก


หลังจากรับสั่งเสร็จแล้ว ฮ่องเต้ก็หัวเราะแล้วรับสั่งว่า “ไป รีบไปวังหย่งโซ่ว! นำข่าวนี้ไปทูลไทเฮา ให้ไทเฮาทรงดีพระทัย”


ขันทีเป่าฉวนยิ้มรับคำ แล้วพูดว่า “ไทเฮาทรงทราบเรื่องนี้แล้ว คิดว่าจะต้องดีพระทัยอย่างมากเป็นแน่พ่ะย่ะค่ะ ถึงตอนนั้นหากทรงอารมณ์ดี ไม่แน่ว่าบ่าวก็อาจจะได้รางวัลอีกพ่ะย่ะค่ะ!”


ฮ่องเต้หัวเราะเสียงดัง “บ่าวคนนี้ วันๆ ได้แต่คิดถึงเรื่องพวกนี้!” 

 

 


ตอนที่ 397 ยึดอำนาจ

 

หลังจากคัดลอกพระราชโองการและประกาศออกไปทั่วราชสำนักแล้ว ขันทีเป่าฉวนก็รีบเดินทางออกไป


ส่วนในเมืองหลวงก็เกิดคลื่นกระทบลูกใหญ่จากพระราชโองการฉบับนี้ ตั้งแต่โบราณมา ถึงแม้จะพูดได้ว่าองค์ชายและพระนัดดาจะไม่ได้มีมากนัก แต่ถึงอย่างไรก็มีไม่น้อย แต่ในบรรดาองค์ชายและพระนัดดานั้น ตั้งแต่เกิดจนตายคนที่จะได้แต่งตั้งเป็นชินอ๋อง ก็ถือว่ามีน้อยและหากได้ยากเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งยังหนุ่มแน่นเหมือนหลี่เย่ก็ยิ่งมีให้เห็นน้อยไปอีก


แน่นอนว่า ที่สำคัญที่สุดก็คือ ตอนนี้ในบรรดาองค์ชาย อยู่ๆ ตวนอ๋อง…ไม่ใช่ซี ตวนชินอ๋อง ยามนี้ถือว่าตวนชินอ๋องมีฐานะสูงกว่าองค์ชายคนอื่นๆ ในพริบตา กลายเป็นคนที่มีฐานะสูงส่งที่สุด


อีกทั้งท่าทีเช่นนี้ ดูเหมือนเป็นการเตือนทุกคนว่าในบรรดาเลือดเนื้อเชื้อไขมากมายของฮ่องเต้ คนที่สำคัญที่สุดก็คือลูกชายคนรอง หากหลี่เย่ยังเป็นใบ้ก็แล้วไป ถึงอย่างไรก็ไม่มีทางสืบราชสมบัติได้ ยังไม่จำเป็นต้องคิดอะไรมาก แต่ตอนนี้…


ความเชื่อใจและความลำเอียงรักของฮ่องเต้นี้ ยิ่งยากจะรับประกันความแน่นอนของตำแหน่งผู้สืบทอดราชสมบัติ ก่อนหน้านี้คังอ๋องเป็นลูกชายคนโตที่เกิดจากภรรยาเอก ดูเหมือนว่าทุกคนต่างคิดว่าเรื่องการสืบทอดราชบัลลังก์ของคังอ๋องนั้นราบรื่นไร้อุปสรรค แต่ในตอนนี้…อีกทั้งฮ่องเต้ยังได้ตรัสต่อหน้าขุนนางทุกคนแล้วว่า ใครมีความสามารถและเหมาะสมก็จะเป็นของผู้นั้น


คำพูดนี้หมายความอย่างไร? หมายความว่า ไม่ว่าจะเป็นลูกที่เกิดจาดภรรยาเอก หรือลูกชายคนโต ก็ไม่ได้มีสิทธิพิเศษไปมากกว่าใคร คำพูดนี้ฟังไปแล้ว ไม่ว่าใครต่างก็รู้สึกว่าฮ่องเต้ทรงกำลังให้การสนับสนุนหลี่เย่


ดังนั้นจึงเริ่มมีคนนั่งไม่ติดแล้ว


เช่นคังอ๋อง เช่นเหิงกั๋วกง เช่น…ฮองเฮา


ในเมื่อฮ่องเต้ไม่ทรงคิดจะปิดบังเรื่องนี้ ฮองเฮาก็ย่อมรู้เรื่องนี้ จริงๆ แล้ว ตอนที่ฮ่องเต้เสด็จไปเข้าเฝ้าไทเฮา ฮองเฮาเองก็ทรงทราบดี…เป็นฮองเฮามานานหลายปีเช่นนี้ หากไม่มีฝีมือใดๆ เลย จะยังถือว่าเป็นฮองเฮาได้อย่างไร?


ในคืนนั้นฮองเฮาก็ทรง “โรคเก่ากำเริบ” วันต่อมาแน่นอนว่าพระชายาคังอ๋องและแม้แต่เหิงกั๋วกงฮูหยินก็อดเข้ามาช่วยกันถวายการดูแลไม่ได้


แน่นอนว่าเรื่องนี้ไม่มีทางปกปิดเอาไว้ได้ ฮ่องเต้ทรงรับรู้เรื่องนี้อย่างรวดเร็ว


หลังจากนิ่งเงียบไปสักพัก ฮ่องเต้ก็หัวเราะออกมาอย่างเยือกเย็น “ในเมื่อฮองเฮาสุขภาพไม่ดีเช่นนี้ เรื่องในวังหลวงทั้งหมดก็มอบให้ซูเฟยและจิ้งเฟยดูแลแทนไปเถิด ให้ฮองเฮารักษาสุขภาพให้ดี ไม่ต้องกังวลเรื่องพวกนี้อีก”


ซูเฟยและจิ้งเฟย เป็นแม่ของจวงอ๋องและอู่อ๋อง ส่วนที่ฮ่องเต้ทรงตรัสออกมา ก็คือการต้องการตัดอำนาจในมือของฮองเฮา


ถึงอย่างไร สำหรับฮองเฮาแล้วหากถูกยึดอำนาจที่มีอยู่ในมือ เช่นนั้นฮองเฮาผู้นั้นก็เป็นแค่เพียงตำแหน่งที่ว่างเปล่าเท่านั้น


“บอกซูเฟยและจิ้งเฟย หากว่ามีเรื่องอะไรที่ไม่เข้าใจหรือตัดสินใจไม่ได้ ก็ไม่ต้องไปรบกวนฮองเฮา ให้ไปเข้าเฝ้าขอความคิดเห็นจากไทเฮาก็พอ” ฮ่องเต้ครุ่นคิดอยู่สักพัก สุดท้ายก็ตรัสเช่นนี้ แต่แล้วก็ยังรู้สึกเป็นห่วงสุขภาพของไทเฮา จึงตรัสออกมาอีกว่า “แต่ก็ห้ามพวกนางไปรบกวนความสงบของไทเฮามากนัก”


หลังจากรับสั่งเรียบร้อยแล้ว ฮ่องเต้ก็ลูบๆ หนวดของตัวเอง แล้วยิ้มอย่างเยือกเย็น จากนั้นก็คิดว่า ตอนนี้ขันทีเป่าฉวนจะเดินทางไปถึงบ้านพักและพบกับเจ้ารองแล้วหรือยัง?


จริงๆ แล้ว ตอนนี้ขันทีเป่าฉวนเดินทางไปถึงประตูบ้านพักแล้ว กำลังรอหลี่เย่ออกมารับพระราชโองการ


ตอนที่ได้ยินว่ามีพระราชโองการ ถาวจวินหลันกับหลี่เย่กำลังพาซวนเอ๋อร์ไปเล่นและให้อาหารปลาอยู่ข้างอ่างปลา พอได้ยินคนเข้ามารายงาน ปฏิกิริยาแรกของถาวจวินหลันคือไม่มีทางเป็นไปได้ จากนั้นนางก็รู้สึกงุนงง พระราชโองการที่ส่งมาตอนนี้ เป็นเรื่องอะไรกันแน่?


ต่อมา นางก็หันไปมองทางหลี่เย่ หลี่เย่มีท่าทีเรียบเฉย ทำให้ความรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อยของนางค่อยๆ หายไป นางเองก็รู้สึกนิ่งสงบขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกเช่นกัน


นางพาซวนเอ๋อร์กับหมิงจู และเรียกจิ้งหลิงกับกู่อวี้จือออกมา คนในบ้านพักทั้งหมดออกมารวมตัวกัน ทุกคนในบ้านต่างรีบร้อนออกมารับพระราชโองการ


ตัดเด็กที่ยังไม่รู้เรื่องอะไรออกไป ตัดหลี่เย่และถาวจวินหลันออกไปแล้ว คนอื่นๆ ต่างมีหน้าตาแปลกใจ อีกทั้งยังมีความกังวลใจอยู่เล็กน้อย


ถาวจวินหลันกวาดสายตาไปทางอีกสองคน แล้วกระซิบเบาๆ “ทำท่าทีให้สงบลงหน่อย มิเช่นนั้นใครเห็นเข้าจะเอาไปเป็นเรื่องขันได้ อีกทั้งคงไม่ใช่เรื่องร้ายอะไร” ขอแค่ไม่ใช่เรื่องร้ายก็พอแล้ว


พอเห็นขันทีเป่าฉวนยืนยิ้มอยู่ตรงนั้น ถาวจวินหลันก็ยิ่งมั่นใจว่า จะต้องเป็นเรื่องดีอย่างแน่นอน แต่ว่าตอนนี้จะมีเรื่องดีอะไรกัน? ประทานรางวัลรึ? ประทานรางวัลไม่จำเป็นต้องมีพระราชโองการ หรือว่า…


คิดถึงเรื่องนี้แล้ว หัวใจของถาวจวินหลันก็เต้นแรงขึ้น ในใจทั้งรู้สึกดีใจและกังวลใจ


ขันทีเป่าฉวนยิ้มแล้วจะย่อตัวลงคำนับหลี่เย่…ทว่ากลับถูกประคองตัวไว้


หลี่เย่ยิ้ม “กงกงไม่ต้องพิธีรีตองมากหรอก ประกาศราชโองการก่อนเถิด หลังจากประกาศราชโองการแล้ว ข้าขอเชิญกงกงดื่มชาสักจอก”


ขันทีเป่าฉวนรับกล่าวขอบพระทัย จากนั้นก็ทำท่าทางจะอ่านพระราชโองการ…โต๊ะและแผ่นรองเข่าก็เตรียมเอาไว้อย่างดีแล้ว


พอหลี่เย่พาทุกคนนั่งคุกเข่าลงไปแล้ว ขันทีเป่าฉวนก็ค่อยๆ กางพระราชโองการออก แล้วเริ่มอ่าน


พระราชโองการค่อนข้างยาว ทำให้คนฟังต่างมึนหัว แต่จริงๆ แล้วความหมายก็ง่ายมาก นั่นก็คือตวนอ๋องมีคุณธรรมอันดีงาม อีกทั้งยังทำประโยชน์ให้แก่ราชสำนัก เพื่อเป็นรางวัล จึงแต่งตั้งให้เป็นชินอ๋อง ต่อจากนี้ไปให้เปลี่ยนจวนตวนอ๋องเป็นจวนตวนชินอ๋อง


ดังนั้นในเวลาเดียวกัน พระชายาตวนอ๋อง ก็ให้เปลี่ยนเป็นพระชายาตวนชินอ๋อง ฐานะสูงขึ้นอีกหนึ่งขั้น แน่นอนว่า ฐานะของถาวจวินหลันและคนอื่นๆ ก็สูงขึ้นตามหลี่เย่ไปด้วยเช่นกัน


หลังจากอ่านพระราชโองการจบแล้ว หลี่เย่ก็นำทุกคนน้อมรับราชโองการ ขันทีเป่าฉวนแย้มยิ้มพร้อมกับส่งพระราชโองการให้หลี่เย่ จากนั้นก็ประสานมือคารวะและแสดงความยินดี “บ่าวขอแสดงความยินดีกับตวนชินอ๋องด้วยพ่ะย่ะค่ะ”


หลี่เย่ยิ้มอย่างอารมณ์ดี “ขอบคุณกงกง นี่เป็นเรื่องดี ข้าจะไม่เชิญกงกงดื่มเสียหน่อยไม่ได้แล้ว”


จริงๆ แล้ว ขันทีเป่าฉวนเดินทางมาประกาศราชโองการไกลเช่นนี้ เวลาก็เกือบเย็นแล้ว ถึงอย่างไรวันนี้ก็จะต้องให้ขันทีเป่าฉวนอยู่ค้างแรมที่นี่ ในเมื่อต้องอยู่ค้างแรมที่นี่ ก็จะขาดงานเลี้ยงไปไม่ได้


ถาวจวินหลันลุกขึ้นยิ้ม “ท่านอ๋องพากงกงไปดื่มชาและนั่งพักเสียก่อนเถิดเพคะ ข้าจะเข้าไปสั่งงานในครัว”


หลี่เย่ยิ้มแล้วรับคำ มองไปทางขันทีเป่าฉวนและผายมือ “กงกง เชิญ”


ขันทีเป่าฉวนถูกทำดีด้วยจนตกใจและรีบปฏิเสธ “เชิญท่านอ๋องเสด็จนำเถิดพ่ะย่ะค่ะ บ่าวจะเดินตามท่านอยู่ข้างหลัง”


ซวนเอ๋อร์จำขันทีเป่าฉวนได้ ดิ้นจะลงจากแม่นมที่อุ้มเขาไว้ จากนั้นก็วิ่งไปเกาะที่ขาของขันทีเป่าฉวน “เสด็จปู่!”


ขันทีเป่าฉวนรีบคุกเข่าลงแล้วอุ้มซวนเอ๋อร์เอาไว้ ก่อนอธิบายว่า “ฮ่องเต้ไม่ได้เสด็จมาพ่ะย่ะค่ะ คุณชายน้อยซวนเอ๋อร์คิดถึงฮ่องเต้รึ? บ่าวจะกลับไปทูลฮ่องเต้ ฮ่องเต้ต้องทรงดีพระทัยอย่างแน่นอน”


รองเท้าของซวนเอ๋อร์ทำให้เสื้อผ้าที่สะอาดของขันทีเป่าฉวนเป็นรอยเท้า หลี่เย่มองเห็นแล้ว ก็ขมวดคิ้วดุ “ซวนเอ๋อร์ ลงมา”


ขันทีเป่าฉวนกลับรีบโบกมือ “ไม่เป็นไรพ่ะย่ะค่ะ ไม่เป็นไร คุณชายน้อยซวนเอ๋อร์ยอมให้บ่าวอุ้ม ถือว่าบ่าวมีวาสนาพ่ะย่ะค่ะ” คิดแล้วก็หยิบถุงเล็กๆ ออกมาจากอกเสื้อ ยิ้มแล้วพูดว่า “นี่เป็นขนมที่ฮ่องเต้ทรงประทานให้บ่าว คุณชายน้อยซวนเอ๋อร์ลองชิมดูเถิดพ่ะย่ะค่ะ”


ซวนเอ๋อร์ไม่เกรงใจ ที่สำคัญก็คือเขาคุ้นเคยกับคนในวังหลวงเป็นอย่างดี ไม่รู้สึกเป็นคนแปลกหน้าเลย มืออ้วนๆ ของเขายื่นออกมาล้วงเข้าไปในถุงเล็กๆ ใบนั้นแล้วหยิบขนมออกมากิน


แต่ก่อนกินนั้นเขายังหยิบให้ขันทีเป่าฉวนหนึ่งลูก พอเห็นว่าขันทีเป่าฉวนกินเข้าไปแล้ว เขาถึงเอาใส่ปากของตัวเอง


ขันทีเป่าฉวนอดหัวเราะออกมาไม่ได้ “คุณชายน้อยซวนเอ๋อร์ช่างความจำดีจริงๆ อยู่ในวังหลวงไม่ว่าจะกินอะไรก็ต้องให้คนอื่นกินก่อนเสมอ พอเห็นว่าไม่เป็นไรแล้วถึงให้เขากิน”


หลี่เย่ทำท่าทีเคร่งขรึมต่อไปไม่ไหว ก็หัวเราะออกมาเช่นกัน บางครั้งซวนเอ๋อร์ก็ทำอะไรให้คนอดแปลกใจไม่ได้เหมือนกัน…เด็กอายุเท่านี้ กลับรู้เรื่องถึงเพียงนี้ บางครั้งก็ไม่ใช่เรื่องเฉลียวฉลาดใดๆ เลยสักนิด เรื่องพวกนี้มีเพียงแค่เด็กเท่านั้นที่ทำได้ จึงชวนให้รู้สึกขบขัน


“กงกงอย่าตามใจเขาจนเกินไป” หลี่เย่มองไปทางซวนเอ๋อร์ ยิ้มแล้วพูดว่า “ตอนนี้นิสัยก็เกเรอยู่แล้ว เกรงว่าต่อไปโตขึ้นจะกลายเป็นนักเลงเอาได้”


ขันทีเป่าฉวนไม่คิดเช่นนั้น “คุณชายน้อยซวนเอ๋อร์ยังเด็กนัก บ่าวจำได้ว่าตอนท่านอ๋องยังเด็ก ท่านซุกซนเอาแต่ใจมากกว่านี้เสียอีก เหตุใดวันนี้ไม่เห็นกลายเป็นนักเลงเล่า?”


พอเห็นว่าขันทีเป่าฉวนรักและเอ็นดูซวนเอ๋อร์จากใจจริง หลี่เย่ก็ยิ้มและไม่พูดอะไรต่อ ในใจกลับยิ่งรู้สึกแปลกใจ ดูเหมือนว่าคนที่ไม่ชอบซวนเอ๋อร์จะมีน้อยจริงๆ


แต่พอคิดกลับไปอีกทีก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องธรรมดา เด็กนั้นไร้เดียงสาและน่ารัก ไม่มีอะไรซับซ้อน จึงทำให้คนรู้สึกชื่นชอบขึ้นมาได้ง่ายๆ อีกทั้งซวนเอ๋อร์ยังมีนิสัยร่าเริง จึงทำให้คนรู้สึกชื่นชอบได้ง่าย


หลังจากเล่นกับซวนเอ๋อร์อยู่สักพัก ขันทีเป่าฉวนก็ส่งซวนเอ๋อร์ให้แม่นมอุ้มไป ยิ้มแล้วหันไปพูดกับหลี่เย่ว่า “จริงๆ แล้วบ่าวไม่ได้มาเพียงเพื่อประกาศราชโองการเท่านั้น แต่บ่าวยังได้รับคำสั่งจากฮ่องเต้ให้เอาคำพูดมาบอกกับท่าน”


หลี่เย่ชะงัก จากนั้นก็เข้าใจถึงความหมาย “พวกเราไปนั่งคุยและดื่มชากันในห้องหนังสือดีกว่า”


แน่นอนว่า ขันทีเป่าฉวนไม่ยอมให้คนอื่นได้ยินคำพูดที่เขาต้องการบอกอย่างแน่นอน จึงได้ยิ้มและเดินตามหลี่เย่เข้าไปในห้องหนังสือ หลี่เย่ชงชาแล้ว ก็เชิญให้ขันทีเป่าฉวนนั่งลง ส่วนตัวเขาก็เตรียมตัวคุกเข่าลงเพื่อฟังคำสั่งจากฮ่องเต้


ขันทีเป่าฉวนกลับรั้งตัวหลี่เย่ไว้ ยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่ถือว่าเป็นคำสั่งลับหรอกพ่ะย่ะค่ะ แค่ถือว่าเป็นการกำชับเท่านั้น ท่านไม่ต้องทำให้เป็นพิธีรีตองเช่นนั้นหรอกพ่ะย่ะค่ะ”


หลี่เย่ยิ้ม จากนั้นก็นั่งมองขันทีเป่าฉวน รอให้ขันทีเป่าฉวนเอ่ยปากพูด


ขันทีเป่าฉวนกล่าวตามคำพูดของฮ่องเต้ สุดท้ายแล้วก็แสดงความคิดเห็นของตัวเองอย่างแฝงนัย “ฮ่องเต้ทรงเป็นห่วงท่านอย่างมาก ไม่เพียงแต่กำชับท่านอ๋อง แต่ยังทรงส่งทหารมาอารักขาท่านอ๋องเพิ่มอีกหนึ่งกลุ่มด้วยพ่ะย่ะค่ะ”


ทหารองครักษ์กลุ่มหนึ่งมีเพียงแค่สิบกว่าคนเท่านั้น แต่ที่สำคัญก็คือ คนจำนวนสิบกว่าคนนี้ผ่านการคัดเลือกมาเป็นอย่างดี อีกทั้งยังผ่านการฝึกฝนมาอย่างหนัก แน่นอนว่า ที่สำคัญที่สุดก็คือความหมายในนั้น…ทหารพวกนี้เป็นทหารองครักษ์ของฮ่องเต้ ในตอนนี้มอบให้หลี่เย่ ไม่ว่าจะมองอย่างไรต่างก็แสดงถึงความหมายบางอย่าง


หลี่เย่กะพริบตาปริบๆ แล้วปฏิเสธไปทันที “นั่นเป็นทหารองครักษ์ของเสด็จพ่อ จะมาอยู่ข้างกายข้าได้อย่างไร? เชิญกงกงพาพวกเขากลับไปเถิด นี่ถือเป็นการทำผิดกฎระเบียบ”


ขันทีเป่าฉวนหัวเราะ “ในเมื่อฮ่องเต้ทรงเอ่ยปากแล้ว เรื่องนี้จึงไม่ใช่เรื่องล้อเล่นอย่างแน่นอน ท่านอย่าคิดมากเลยพ่ะย่ะค่ะ ฮ่องเต้ทรงทำไปก็เพื่อความปลอดภัยของท่านเท่านั้น อีกทั้งในเมื่อท่านอ๋องอยากปฏิเสธ เช่นนั้นสู้กลับไปทูลฮ่องเต้ที่เมืองหลวงด้วยตัวท่านเองไม่ดีกว่าหรือพ่ะย่ะค่ะ?” 

 

 


ตอนที่ 398 ช่วยเหลือ

 

ถาวจวินหลันเข้าไปสั่งให้ในครัวจัดโต๊ะอาหารสำหรับงานเลี้ยงใหญ่ แล้วนางยังถึงขั้นลงมือทำน้ำแกงด้วยตัวเอง นี่เป็นน้ำแกงที่นางเตรียมเอาไว้ให้หลี่เย่โดยเฉพาะ…ในเมื่อจัดงานเลี้ยงขึ้น แน่นอนว่าจะขาดการดื่มเหล้าไปไม่ได้ ดังนั้นจึงทำน้ำแกงแก้เมาเตรียมเอาไว้เสียก่อน ดีกว่าพอถึงเวลาที่ต้องใช้แล้วไม่มี


ส่วนทหารองครักษ์ที่ขันทีเป่าฉวนพามาด้วยนั้น ถาวจวินหลันก็สั่งให้คนจัดการให้เรียบร้อย และจัดโต๊ะอาหารส่งออกไปให้ นอกเหนือจากนั้น ยังได้ให้คนจัดถุงอั่งเปาที่มีเงินและทองส่งไปมอบให้คนละหนึ่งถุง


แน่นอนว่า คนในบ้านพักก็ได้รับรางวัลเช่นกัน หนึ่งคนได้รางวัลเป็นเงินหนักหนึ่งตำลึง บวกกับผ้าเนื้อดีหนึ่งพับ ถึงอย่างไรการได้รับการแต่งตั้งเป็นชินอ๋องก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เรื่องแบบนี้ แน่นอนว่าจะต้องเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่ หากไม่ใช่เป็นเพราะอยู่ที่บ้านพัก เกรงว่าในตอนนี้นางคงจะต้องครุ่นคิดถึงเรื่องการเชิญญาติและเพื่อนสนิทมาร่วมงานเลี้ยงแล้ว


ถึงอย่างไร มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น ก็จะปล่อยให้เป็นไปอย่างเงียบๆ ไม่ได้มิใช่หรือ? ต้องจัดงานให้คึกคักเสียหน่อย ถือว่าเป็นเรื่องจำเป็นต้องทำ ถึงแม้ว่าจะไม่อยากออกหน้าออกตา แต่ถึงอย่างไรก็จะต้องกัดฟันออกหน้าออกตาแล้ว ช่วยไม่ได้ เพราะนี่ถือว่าเป็นเรื่องจำเป็นต้องทำ


ด้วยหลี่เย่ต้องคอยต้อนรับขันทีเป่าฉวน ดังนั้นถาวจวินหลันจึงเตรียมโต๊ะอาหารไว้ในเรือนด้านหลังอีกโต๊ะเพื่อที่นางและกู่อวี้จือกับจิ้งหลิงจะได้ร่วมฉลองด้วยกัน


เทียบกับความดีใจของพวกบ่าวที่ไม่รู้เรื่องมากแล้ว ใบหน้าของจิ้งหลิงกับกู่อวี้จือต่างก็มีความกังวลแสดงออกมาเล็กน้อย


ถาวจวินหลันมองออก แต่นางกลับทำเป็นไม่เห็นอะไร เรื่องนี้ถึงแม้นางจะพูดอะไรออกไปก็ไม่มีประโยชน์ เรื่องที่ต้องเกิดก็ต้องเกิด เรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว ก็ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้


แต่ทว่าถาวจวินหลันก็ยังพูดเตือนทั้งสองคนขึ้นมาเหมือนกับว่าไม่มีอะไร “ต่อไปหากไม่มีธุระอะไร พวกเจ้าก็พยายามอย่าออกจากจวนอ๋อง นอกเหนือจากนั้นคนที่ไม่รู้พื้นหลังเป็นอย่างดี ก็อย่าเอามาไว้ข้างกาย หากรู้สึกว่าคนผู้นั้นมีอะไรผิดปกติ ก็ให้ส่งออกไปนอกจวนอ๋องจะดีที่สุด” เรือนเฉินเซียงนั้นนางไม่กังวล แต่นางกังวลเรือนของผู้อื่นมากกว่า


ถึงแม้ว่าหลี่เย่จะไปเรือนอื่นน้อยครั้งมาก แต่ถึงอย่างไรเพื่อไว้หน้าแล้วก็จะต้องไปบ้างเป็นบางครั้ง ถึงแม้ว่าจะไปเพื่อนั่งอยู่สักพักก็เท่านั้น


“อีกทั้ง อย่าพูดอะไรเรื่อยเปื่อย เรื่องอะไรที่รู้ก็เก็บเอาไว้ในใจ เรื่องที่ไม่รู้ก็อย่าคาดเดามั่วซั่ว” ถาวจวินหลันถอนใจเล็กน้อย “ไม่ว่าอย่างไร นี่ก็เป็นเรื่องดี พวกเจ้าควรจะดีใจซี ไม่อย่างนั้นหากใครมาเห็นเข้า จะรู้สึกว่าพวกเจ้าไม่ประสงค์ดีเอาได้”


กู่อวี้จือและจิ้งหลิงต่างออกมาจากวังหลวง ย่อมเข้าใจความหมายของเรื่องพวกนี้ได้เป็นอย่างดี จึงต่างรับคำ


ตกดึกรอจนหลี่เย่กลับมาแล้ว ถาวจวินหลันก็เอาน้ำแกงแก้เมาให้หลี่เย่ดื่ม แล้วก็ช่วยอาบน้ำให้เขา…ในตอนนี้หลี่เย่จะอาบน้ำเองก็ไม่สะดวกเท่าไรนัก จึงต้องมีคนคอยช่วยเขา


ตอนอาบน้ำนั้น หลี่เย่กลับไม่ทำอะไรรุ่มร่ามเหมือนที่ผ่านมา แต่นั่งทำหน้านิ่งขรึม


ถาวจวินหลันเห็นแล้ว ก็รู้ว่าขันทีเป่าฉวนต้องพูดอะไรอย่างแน่นอน นางจึงรู้สึกแปลกใจ หลังจากควบคุมตัวเองอยู่สักพัก สุดท้ายก็ทนไม่ไหวถามออกไปว่า “มีเรื่องอะไรรึ?”


“เสด็จพ่อมอบทหารองครักษ์ให้ข้า” หลี่เย่ไม่ปิดบังนาง แล้วพูดต่อ “บอกว่าเพื่อดูแลความปลอดภัยของข้า”


ถาวจวินหลันรู้ถึงความเย้ยหยันในน้ำเสียงของเขา หลังจากนิ่งเงียบอยู่สักพักก็เอ่ยปากพูดออกมาว่า “นี่เป็นเรื่องดี…ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ต่อไปไม่ว่าท่านจะไปที่ใด จะทำอะไรก็จะปลอดภัยอย่างมาก”


“แต่ข้างกายข้าก็จะมีคนคอยสอดแนมเพิ่มขึ้นอีกไม่น้อย” สีหน้าของหลี่เย่ดูเย็นชา “เมื่อเป็นเช่นนี้ ต่อไปไม่ว่าข้าจะทำอะไร ต่างก็อยู่ในสายตาของเขาทั้งหมด” พูดตรงๆ ก็คือ ฮ่องเต้ทรงทำเช่นนี้ ไม่แน่ว่าอาจเป็นเพราะไม่เชื่อใจเขา


ถาวจวินหลันไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี สักพักถึงได้พูดโน้มน้าวว่า “ถึงอย่างไรพระองค์ก็เป็นเสด็จพ่อของท่าน อีกทั้งพระองค์ยังเป็นฮ่องเต้” สักพักก็รู้สึกว่าคำพูดของตัวเองดูล่องลอยไม่มีน้ำหนักมากเกินไป จึงพูดต่ออีกว่า “เป็นเช่นนี้ก็ดี นอกจากจะได้ปกป้องความปลอดภัยของท่านแล้ว ยังใช้โอกาสนี้เพิ่มความเชื่อใจจากฮ่องเต้มากขึ้นได้มิใช่รึ? เพียงแค่พวกเราไม่ทำเรื่องอะไรที่ไม่ควรทำ ฮ่องเต้ต้องเข้าใจความคิดของพวกเราอย่างแน่นอน”


หลี่เย่ขมวดคิ้ว “แต่มีเรื่องบางอย่างที่ต่อไปจะไม่สะดวกแล้ว” เช่นเรื่องความเคลื่อนไหวบางอย่างที่เป็นความลับ เรื่องพวกนี้ไม่สามารถทำได้อีก เมื่อเป็นเช่นนี้ ถึงแม้จะบอกว่าเขายิ่งมีฐานะสูงส่งขึ้น แต่จริงๆ แล้วกลับเป็นการถูกควบคุม


“ถึงอย่างไรพวกเขาก็ไม่มีทางตามท่านเข้ามาในเรือนด้านในได้” ถาวจวินหลันหัวเราะเบาๆ “หากท่านอ๋องเชื่อใจข้า ข้าก็เป็นคนกลางที่คอยจัดการเรื่องต่างๆ ได้ ยืมมือของผู้หญิงในเรือนด้านในคอยส่งข่าว เรื่องนี้เกรงว่าฮ่องเต้คงคิดไม่ถึงอย่างแน่นอน”


ถึงอย่างไร ในบ้านทั่วๆ ไป เวลาที่ผู้ชายทำเรื่องอะไรลงไปก็ไม่มีทางเอามาบอกกับหลี่เย่ทั้งหมด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรียกผู้หญิงเข้ามายุ่งกับเรื่องนี้ แต่จำต้องพูดว่า ใช้ผู้หญิงส่งข่าวถือว่าเป็นเรื่องสะดวกอย่างมาก


เนื่องจากคนอื่นต่างก็คิดไม่ถึง ย่อมไม่มีทางสงสัย แล้วถึงแม้ว่าจะสงสัย แต่ก็สืบหาอะไรไม่ได้


ท่าทีของหลี่เย่ดูเปลี่ยนไปเล็กน้อย หลังจากครุ่นคิดอยู่สักพักก็ค่อยๆ หัวเราะออกมาเบาๆ “นี่ถือเป็นวิธีปกปิดผู้อื่นอย่างดีที่สุด” ผู้หญิงที่อยู่แต่ในเรือน จะมีใครมาสนใจ? อีกทั้ง ในตอนนี้ถาวจวินหลันจะต้องคอยดูแลเรื่องภายในของจวนอ๋องอยู่ทุกวัน จะต้องเจอกับผู้หญิงที่ช่วยนางจัดการเรื่องต่างๆ อยู่ไม่น้อย หากใช้วิธีนี้ส่งข่าวก็ถือว่าง่ายดายเลยทีเดียว


ถาวจวินหลันได้ยินเขาพูดเช่นนี้ ก็รู้ว่าเขาคิดบางอย่างได้แล้ว จากนั้นก็อดยิ้มออกมาไม่ได้…สำหรับนางการที่ช่วยเหลือเขาได้บ้าง ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่นางดีใจที่สุด


“หลิวเอินคอยดูแลเรื่องกิจการค้าขาย ถึงอย่างไรก็จะต้องเข้ามาในจวนอ๋องบ่อยๆ อยู่แล้ว” หลี่เย่คิดแล้ว ก็รู้สึกว่าเลือกคนที่เหมาะสมได้แล้ว “อีกทั้งเขายังเป็นคนละเอียดรอบคอบ ไม่ต้องกลัวว่าเขาจะทำอะไรผิดพลาด อีกทั้ง เขาเองก็เคยช่วยข้าจัดการเรื่องต่างๆ อยู่ไม่น้อย ตอนนี้มอบเรื่องนี้ให้เขา ข้าเองก็วางใจ อีกทั้งเขายังเป็นขันที จะเข้าออกเรือนด้านในก็ถือว่าสะดวก”


“ท่านจัดการให้ดีเถิด ส่วนที่เหลือก็มอบให้ข้า” ถาวจวินหลันพูดอย่างมั่นใจ


หลี่เย่พยักหน้า แล้วก็ครุ่นคิดอยู่ในใจ รอจนกระทั่งคิดไปสักพัก ฉับพลันก็คิดอย่างหนึ่งได้ แล้วก็เอ่ยปากถามถาวจวินหลันไปว่า “ตอนนี้ได้รับแต่งตั้งเป็นชินอ๋องแล้ว อย่างไรก็จะต้องเข้าวังไปขอบพระทัย เพียงแต่ตอนนี้พวกเรายังอยู่ที่บ้านพัก เจ้าว่า พวกเราควรรีบกลับไปเมืองหลวงดีรึไม่?”


ถาวจวินหลันชะงัก แม้แต่มือที่คอยเอาน้ำลูบบนตัวของหลี่เย่ก็ชะงักกึก ขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่สักพัก นางถึงพูดออกมาว่า “หากไม่เข้าวังไปขอบพระทัย ก็แสดงให้เห็นว่าพวกเราไม่รู้จักกฎระเบียบ แล้วยังยโสโอหัง แต่ระยะทางก็ไกล อีกทั้งท่านยังบาดเจ็บ…หากว่ารีบร้อนกลับไปเช่นนี้ ก็จะทำให้คนอื่นรู้สึกว่าพวกเราเป็นพวกเห็นแก่ได้จนเกินไป”


“เกรงว่าจะมีใครคอยจ้องจับผิดเอาได้” หลี่เย่พูดเสริม


ถาวจวินหลันพยักหน้า “ถือว่าเป็นเรื่องที่ตัดสินใจยาก”


หลี่เย่ถอนใจ “เป็นเรื่องยากจริงๆ เมื่อครู่ข้าถามขันทีเป่าฉวน แต่ขันทีเป่าฉวนเป็นคนเอาตัวรอดเก่ง จึงไม่ยอมปริปากแสดงความเห็นแม้แต่น้อย”


ถาวจวินหลันเลิกคิ้ว “เขาช่วยท่านมาไม่ใช่แค่ครั้งเดียว เรื่องนี้ก็น่าจะแสดงความคิดออกมาเสียหน่อย”


“เรื่องนี้ เขาจะเลือกแทนข้าได้อย่างไร?” หลี่เย่หัวเราะอย่างเย้ยหยัน “ขันทีพวกนี้ แต่ละคนต่างเจ้าเล่ห์และรู้จักเอาตัวรอดกันทั้งนั้น”


ถาวจวินหลันเข้าใจเป็นอย่างดี “ถึงอย่างไรสภาพในวังหลวงก็เป็นเช่นนั้น ใครจะไม่กลัวตายกันเล่า? ใครจะอยากสละชีวิตตัวเองกัน? จะระแวดระวังตัวก็ถือว่าเป็นเรื่องสมควรแล้ว โดยเฉพาะข้ารู้สึกว่าคนอย่างพวกเขานี่แหละ ถึงเป็นคนที่มองทุกอย่างได้อย่างทะลุปรุโปร่งที่สุด” ต้องประจบประแจงใคร ต้องจงรักภักดีกับใคร พวกเขาต่างรู้ดีแก่ใจยิ่งกว่าใคร แน่นอนว่า ใครเป็นคนที่ดูแล้วมีอนาคตมากที่สุด สายตาของพวกเขามองออกได้อย่างชัดเจน


หลี่เย่พยักหน้า แล้วสลัดเรื่องพวกนี้ออกไป “ขันทีเป่าฉวนยังบอกข้าอีกเรื่อง…เสด็จพ่อยึดอำนาจการจัดการฝ่ายในของฮองเฮาแล้วมอบให้เสด็จแม่ของจวงอ๋องและอู่อ๋อง”


ถาวจวินหลันนิ่งเงียบไปสักพัก แล้วพูดอย่างมั่นใจ “เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ฐานะของจวงอ๋องและอู่อ๋องก็ถือว่าสูงขึ้น ท่านว่าต่อไปฮ่องเต้จะทรงสนพระทัยพวกเขาทั้งสองคนมากขึ้นหรือไม่?”


หลี่เย่พยักหน้า “หากไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง คิดว่าจะต้องเป็นเช่นนั้น”


เขาและถาวจวินหลันต่างเดาความคิดของฮ่องเต้ออก ทำลายความไม่เท่าเทียมในตอนนี้ แล้วกดอำนาจของฝ่ายฮองเฮาลง แน่นอนว่า ในนั้นก็รวมถึงคังอ๋องอีกด้วย


“เหิงกั๋วกงเสนอให้แต่งตั้งคังอ๋องขึ้นเป็นองค์รัชทายาท เสด็จพ่อทรงปฏิเสธ แต่เหิงกั๋วกงกลับกล้าแสดงท่าทีบีบบังคับต่อหน้าขุนนางทั้งหลาย เสด็จพ่อทรงกริ้วเป็นอย่างมาก” หลี่เย่เอาเรื่องที่ขันทีเป่าฉวนเล่าให้ฟังมาประติดประต่อกัน “เสด็จพ่อทรงเขียนราชโองการแต่งตั้งข้าเป็นชินอ๋อง จากนั้น โรคเก่าของฮองเฮาก็กำเริบ แล้วเสด็จพ่อก็ทรงยึดอำนาจการดูแลฝ่ายในจากฮองเฮา”


ถาวจวินหลันรู้สึกใจเต้น “ท่านว่า ฮ่องเต้ทรงตั้งใจเช่นนี้หรือไม่?”


หลี่เย่ขมวดคิ้ว “ทำไมรึ?”


“อำนาจของเหิงกั๋วกงมีมาก ที่สำคัญก็มาจากฮองเฮาและคังอ๋อง ตอนนี้ฮ่องเต้ทรงกริ้วเหิงกั๋วกง ทรงอยากกดอำนาจของจวนเหิงกั๋วกง วิธีที่ง่ายที่สุดก็คือกดอำนาจของฮองเฮาไปก่อน เพื่อเป็นการเตือน ส่วนฮองเฮานั้นเกรงกลัวท่านมาโดยตลอด โดยเฉพาะหลังจากที่ท่านกลับมาพูดได้ ท่านว่า หลังจากฮองเฮาทรงทราบว่าท่านได้รับแต่งตั้งเป็นชินอ๋องแล้วจะมีท่าทีเช่นไร? คิดว่าจะต้องนั่งไม่ติดอย่างแน่นอน ส่วนฮองเฮายังไม่ทันได้ลงมือทำอะไร ฮ่องเต้ก็ทรง…เป็นการวางแผนมาอย่างดีแล้ว อีกทั้งท่านยังเป็นเหยื่อล่อชั้นดีที่ให้ฮองเฮาไม่พอพระทัยจนลงมือทำเรื่องเลวร้ายได้ แน่นอนว่า ท่านเป็นเครื่องมือทำให้ทุกอย่างวุ่นวาย”


ยิ่งถาวจวินหลันพูดมากขึ้นเท่าไร รอยยิ้มเย้ยหยันบนใบหน้าของหลี่เย่ก็ยิ่งชัดเจนมากขึ้นเท่านั้น พอถาวจวินหลันพูดจบแล้ว ใบหน้าเย้ยหยันของหลี่เย่ก็ควบคุมเอาไว้ไม่อยู่ “ใช่ซี ผลประโยชน์ของเรื่องนี้มีมากมายมหาศาล ตอนนี้ดูไปแล้ว ตำแหน่งชินอ๋องของข้า ก็มีประโยชน์ขึ้นมาไม่น้อยเลย”


“ท่านอายุน้อยเช่นนี้ หากพูดตามจริงล่ะก็ จะได้มาง่ายๆ ได้อย่างไร?” เพื่อทำให้บรรยากาศผ่อนคลายมากขึ้น ถาวจวินหลันจึงแกล้งพูดล้อเล่นไปว่า “ไม่ต้องพูดถึงว่าท่านยังอายุไม่ถึงสามสิบ เกรงว่าท่านอายุสี่สิบกว่าแล้ว ก็อาจจะไม่ได้รับตำแหน่งชินอ๋องนี้ด้วยน่ะซี”


พอพูดเช่นนี้แล้ว หลี่เย่ก็หัวเราะออกมาทันที “ใช่น่ะซี ถือว่าข้าได้ผลประโยชน์แล้ว เจ้าว่า เวลานี้บรรดาพี่ชายน้องชายของข้าจะรู้สึกเช่นไร?”


“คังอ๋องจะต้องนั่งไม่ติดเป็นแน่ ส่วนจวงอ๋องและอู่อ๋อง จะต้องอิจฉาอย่างแน่นอน” ถาวจวินหลันหัวเราะแล้วหรี่ตาพูดด้วยท่าทีเยาะเย้ย


หลี่เย่หัวเราะออกมา “ไม่เพียงแต่อิจฉา เกรงว่าคงไม่ยอมรับ แต่ไหนแต่ไรสองคนนั้นก็ไม่เห็นพี่รองที่ไร้ค่าเช่นข้าอยู่ในสายตา รู้สึกว่าพวกเขาต่างดีกว่าข้าไปเสียทุกอย่าง”


“ช่วยไม่ได้ ใครบอกให้พวกเขารักตัวกลัวตาย ไม่กล้าออกไปรบกันเล่า?” ถาวจวินหลันหัวเราะอย่างเย้ยหยัน “ถึงแม้ว่าฮ่องเต้ทรงอยากจะแต่งตั้งพวกเขา ถึงอย่างไรก็จะต้องมีเหตุผลมิใช่หรอกรึ? พวกเขาวันๆ เอาแต่เที่ยวเล่นสนุก พวกเขาทำอะไรบ้าง?”


ถาวจวินหลันไม่ชอบจวงอ๋องและอู่อ๋องมาแต่ไหนแต่ไร…ตั้งแต่ที่อยู่ในวังหลวง บางทีสาเหตุอาจด้วยคำพูดพวกนั้นที่องค์ชายเจ็ดพูดออกมา ถึงได้ทำให้นางรู้สาเหตุจริงๆ ที่หลี่เย่ต้องได้รับบาดเจ็บในครั้งนั้น


สำหรับนางแล้ว ไม่ว่าหลี่เย่จะเป็นเช่นไร ก็เป็นพี่รองของพวกเขา ทำแบบนี้กับพี่น้องของตัวเอง…ดูออกจะไร้คุณธรรมมากเกินไปหน่อย

 

 

 


ตอนที่ 399 เคราะห์ซ้ำกรรมซัด

 

สุดท้ายแล้วหลี่เย่ก็ตัดสินใจไม่รีบกลับไปเมืองหลวงในทันที…ดูท่าทีแล้วเกรงว่าสถานการณ์ของเมืองหลวงตอนนี้น่าจะวุ่นวาย อีกทั้งฮองเฮาเพิ่งถูกยึดอำนาจไป และยังถูกฮ่องเต้รับสั่งให้ ‘รักษาตัวให้ดี’ เกรงว่าตอนนี้เหิงกั๋วกงคงจะเป็นหมาจนตรอก ไม่ว่าเรื่องอะไรก็สามารถทำได้


ตอนนี้ร่างกายของเขายังบาดเจ็บอยู่ ในเมื่อยังไม่สามารถเข้าร่วมการว่าราชการได้ ก็ไม่สามารถกุมอำนาจอะไรได้ อีกทั้งยังไม่สามารถเคลื่อนไหวอะไรได้มากนัก ดังนั้นสู้เขาหลบอยู่ที่นี่ก่อนเสียดีกว่า


ที่สำคัญที่สุดก็คือ อย่างช้าต้นเดือนหกฮ่องเต้ก็จะแปรพระราชฐานไปพระราชวังฤดูร้อนแล้ว รวมๆ แล้วตอนนี้ก็เหลือเวลาเพียงแค่ครึ่งเดือน ถึงรีบร้อนกลับไปก็ไม่ทันการ


ส่วนเหตุผลนั้น…ตอนนี้เขากำลังบาดเจ็บ นั่นก็ถือว่าเป็นข้ออ้างที่ดีมากแล้ว


ด้วยกลับไปเมืองหลวงไม่ทัน ดังนั้นหลี่เย่จึงเขียนหนังสือถวายให้ฮ่องเต้เพื่อขอพระราชทานอภัยโทษ แล้วให้ขันทีเป่าฉวนช่วยนำกลับไปเมืองหลวงแทนเขา แล้วเพื่อเป็นการไถ่โทษ เขาจึงขอรับหน้าที่จัดการซ่อมแซมและทำความสะอาดพระราชวังฤดูร้อน ถึงอย่างไรก็ไม่ได้เสด็จมานานหลายปีแล้ว ก็ยากไม่ให้เกิดความทรุดโทรม ดังนั้นเขาจึงช่วยจัดการเสียหน่อย เรื่องนี้ไม่ถือว่าเป็นงานใหญ่ แต่ก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยเสียทีเดียว


แน่นอนว่า เรื่องรับหน้าที่ซ่อมแซมนี้ ก็เพื่อเวลาที่ฮ่องเต้เสด็จมาถึงแล้ว ตัวเองจะได้มีเหตุผลเข้าไปขอบพระทัยฮ่องเต้ด้วยตัวเองได้อย่างเหมาะสม


พอฮ่องเต้เห็นหนังสือที่หลี่เย่ส่งมาเพื่อขอพระราชทายอภัยโทษแล้ว ก็ไม่ได้โกรธแต่อย่างใด แต่กลับสั่งคนประทานของไปให้มากมาย…กว่าครึ่งในนั้นเป็นของที่มอบให้แก่ลูกของหลี่เย่ทั้งสองคน ส่วนกั่วเจี่ยเอ๋อร์นั้น กลับไม่มีวาสนาได้รับ


ถึงอย่างไรซวนเอ๋อร์ก็เป็นลูกชายคนโตของหลี่เย่ อีกทั้งตอนเด็กๆ ยังเติบโตอยู่ในวังหลวง ความสัมพันธ์จะใกล้ชิดมากกว่าผู้อื่นก็ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา ส่วนหมิงจูกลับได้รับอภิสิทธิ์พิเศษด้วยหน้าตาคล้ายคลึงกับกุ้ยเฟยที่เสียชีวิตไปแล้ว


ดังนั้นกั่วเจี่ยเอ๋อร์กับเซิ่นเอ๋อร์จึงไม่ได้รับอะไรเลย


องค์หญิงแปดส่งคนเอาของมามอบให้ถาวจวินหลัน ในขณะเดียวกันก็นำข่าวจากในเมืองหลวงมาบอกนางอีกด้วย…เช่นเรื่องที่เหิงกั๋วกงฮูหยินใหญ่ไปอาละวาดที่จวนเพ่ยหยางโหวอีกครั้ง โดยครั้งนี้ก็ยังคงไม่ได้พบหน้าเพ่ยหยางโหวฮูหยินเหมือนเดิม หลังจากเหิงกั๋วกงฮูหยินใหญ่กลับจวนไปแล้วก็โกรธมากเสียจน ‘ล้มป่วย’ แต่ครั้งนี้จวนเพ่ยหยางโหวกลับเย็นชาอย่างมาก เพียงแค่ส่งคนไปมอบของให้ก็ถือว่าจบเรื่องแล้ว


อีกทั้งเรื่องอนุที่ถูกทำร้ายของจวนคังอ๋องผู้นั้น สุดท้ายแล้วโชคร้ายต้องคลอดลูกก่อนกำหนด แต่กลับตายทั้งแม่และลูก โดยเด็กที่กำลังจะคลอดออกมานั้นเป็นผู้ชาย คังอ๋องที่อารมณ์ไม่ดีอยู่แล้วจึงยิ่งโมโหมากเข้าไปใหญ่ พอดื่มเหล้าเข้าไปแล้วไม่รู้ว่าอย่างไรถึงได้ไปหาหยวนฉงหวา พออารมณ์หงุดหงิดก็ลงไม้ลงมือตบตีหยวนฉงหวา สรุแหยวนฉงหวาก็รักษาเด็กในท้องเอาไว้ไม่ได้ แล้วที่ยิ่งทำให้คังอ๋องหงุดหงิดใจมากขึ้นอีกก็คือ เด็กในท้องของหยวนฉงหวา ก็เป็นเด็กผู้ชายเช่นกัน


เรื่องนี้ดูเหมือนจะทำให้คังอ๋องทนไม่ไหว อีกทั้งยังต้องถูกฮ่องเต้และไทเฮาตำหนิ จึงทำให้เขาเองก็ ‘ป่วย’ กะทันหัน


ส่วนเรื่องหลักฐานที่ผู้ว่าการเมืองหลวงทุจริตนั้นก็ถูกถวายให้ฮ่องเต้ แล้วเรื่องที่ผู้ว่าการเมืองหลวงละเลยลูกชายคนโตเพื่อต้องการยกยอภรรยาที่มาจากจวนเหิงกั๋วกง ทั้งยังทำร้ายภรรยาเอกของผู้ว่าการเมืองหลวงจนตายนั้นก็ถูกเปิดเผยออกมาด้วยเช่นกัน


เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ขุนนางที่คัดค้านความคิดเรื่องการเปลี่ยนผู้ว่าการเมืองหลวงของฮ่องเต้ ต่างก็เงียบกริบไม่กล้าส่งเสียงเรียกร้อง


ฮ่องเต้ทรงลงมือจัดการราวกับสายฟ้าฟาด ถือโอกาสตอนนี้แต่งตั้งกู่ลิ่งจือขึ้นเป็นผู้ว่าการเมืองหลวงแทน จากนั้นก็ตำหนิจวนเหิงกั๋วกง ว่าไม่อบรมสั่งสอนสตรีให้ดี และรับสั่งให้เหิงกั๋วกงตั้งใจสั่งสอนคนในตระกูล


แน่นอนว่า ในเมื่อต้องอารมคนในจวนให้ดี เช่นนั้นงานที่รับผิดชอบอยู่ในมือก็จะต้องมอบให้คนอื่นจัดการแทนบางส่วน ถึงแม้นี่จะไม่ใช่การทำลายอำนาจของจวนเหิงกั๋วกงไปเสียทีเดียว แต่ก็ถือเป็นการส่งสัญญาณให้คนทั่วไปได้รู้ว่า ข้ากดอำนาจของจวนเหิงกั๋วกงลงแล้ว! ทางที่ดีที่สุดพวกเจ้าควรอยู่ให้ห่างจากจวนเหิงกั๋วกง!


ในพริบตาเดียว ประตูใหญ่ของจวนเหิงกั๋วกงก็เงียบเหงาไม่มีแขกผ่านไปมา แตกต่างจากเมื่อก่อนราวฟ้ากับเหว


เหิงกั๋วกงเองก็ ‘ป่วย’ กะทันหัน


ถาวจวินหลันเล่าเรื่องพวกนี้ให้หลี่เย่ฟัง หลี่เย่กลับหัวเราะ “ป่วยจริงที่ไหนกันเล่า เกรงว่าจะรู้สึกเสียหน้าจนไม่กล้าพบใครเสียมากกว่า”


ถาวจวินหลันอดหัวเราะตามไม่ได้ แล้วพูดอย่างโกรธแค้นว่า “สมน้ำหน้า”


หลี่เย่เหลือบตาไปมองหยกสีเขียวเข้มรูปแตงโมที่เขาเพิ่งได้รับมาใหม่ แล้วก็รู้สึกพึงพอใจอย่างมาก แม้แต่น้ำเสียงก็ฟังดูสบายๆ มากยิ่งขึ้น “เจ้าคอยดูเถิด ป่วยก็คงป่วยได้ไม่นาน เกรงว่าสถานการณ์เช่นนี้ เขาจะกล้าป่วยนานรึ? ก็แค่เสแสร้งแกล้งทำเท่านั้น”


อีกทั้ง ไม่แน่ว่าเหิงกั๋วกงอาจคิดลงมือทำอะไรกับตวนชินอ๋องอย่างเขาในเร็ววันนี้ก็เป็นไปได้


“ซินพานใกล้จะเดินทางกลับมาแล้ว ไม่รู้ว่าครั้งนี้เสด็จพ่อจะประทานตำแหน่งไหนให้เขา” หลี่เย่ค่อยๆ หรี่ตาลงเล็กน้อย แล้วสำรวจหยกรูปแตงโมชิ้นนั้น ยิ้มแล้วพูดว่า “ชิ้นใหญ่ขนาดนี้ไม่ได้พบเห็นบ่อยนัก”


“เอาไปเก็บไว้ให้ดีเถิด หากซวนเอ๋อร์เห็นเข้า เกิดสนใจอยากเอาไปเล่นขึ้นมา แตกแล้วก็คงไม่ดีนัก” ถาวจวินหลันบ่นอย่างหมดความอดทน “ของมีค่าบนชั้นวางของในห้องข้า ถูกเขาเล่นจนแตกไปสามชิ้นแล้ว ตอนนี้ข้าไม่กล้าวางของมีค่าอะไรเอาไว้อีก”


ไม่เพียงแต่ของมีค่าที่วางอยู่บนชั้นวางของเท่านั้น ทั้งยังมีปิ่นปักผมของนาง ก็ถูกซวนเอ๋อร์เล่นจนพังไปหลายชิ้น อีกทั้งปิ่นปักผมรูปหงส์ของนางก็ถูกซวนเอ๋อร์หักปีกหงส์ออกไปหนึ่งข้าง แล้วช่างมือที่ทำงานละเอียดเช่นนี้ก็หาได้ยาก ดังนั้นจะเอาไปซ่อมก็ไม่รู้ว่าจะเอาไปซ่อมที่ไหน


แล้วที่น่าเป็นห่วงที่สุดก็คือ เกรงว่าเขาจะเล่นจนไม่ทันระวังแล้วทำให้ตัวเองบาดเจ็บ


หลี่เย่รู้นิสัยของซวนเอ๋อร์ดี จึงไม่กล้าวางไว้ตรงนั้น แล้วก็สั่งให้คนไปเก็บเอาไว้ให้ดี แล้วก็เปลี่ยนเป็นรูปฉางเอ๋อที่ทำจากแก้วมาวางไว้แทน ถึงแม้ว่านี่จะไม่ใช่ของธรรมดาทั่วไป แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ถือว่าเป็นของมีค่าราคาแพง


ทั้งสองคนพูดถึงคังอ๋องอีกครั้ง “คังอ๋องอยากได้ลูกชายแทบตาย แต่ตอนนี้กลับสูญเสียไปสองคน เกรงว่าเขาคงหงุดหงิดใจอย่างมาก อีกทั้งตอนนี้เหลืออนุที่ตั้งครรภ์อีกเพียงแค่คนเดียว ไม่รู้ว่าเวลานี้จะดูแลดีเพียงใด”


หลี่เย่หัวเราะ “พระชายาคังอ๋องลงมือลงแรงไปไม่น้อย แต่ว่าพระชายาคังอ๋องคงคิดไม่ถึงว่าหยวนซื่อจะเสียลูกไป”


ถาวจวินหลันหัวใจเต้นแรง “ท่านหมายความว่า เรื่องอนุผู้นั้นพระชายาคังอ๋องลงมือทำรึ? แต่ถึงอย่างไรเด็กคลอดออกมาแล้วก็ต้องอยู่ใต้ชื่อของพระชายาคังอ๋องมิใช่รึ แล้วเหตุใดนางถึงต้องทำเช่นนั้น?”


“เป็นชื่อของพระชายาคังอ๋องแล้วอย่างไร ถึงอย่างไรก็ไม่สู้เป็นลูกแท้ๆ ของตัวเอง อนุผู้นั้นเป็นคนที่คังอ๋องโปรดปราน ถึงแม้พอคลอดลูกออกมาแล้วพระชายาคังอ๋องจะเอาลูกไป แต่อนุผู้นั้นก็ยังอยู่ ลูกของหยวนฉงหวาต่างหากถึงจะเป็นเด็กที่พระชายาคังอ๋องต้องการ เนื่องจากหยวนฉงหวาเชิญหมอหลวงมาตรวจตั้งนานแล้วว่าเป็นลูกชาย” หลี่เย่เล่าเรื่องที่ตัวเองรู้ให้ถาวจวินหลันฟัง น้ำเสียงมีความเย้ยหยันอยู่ในนั้น “พระชายาคังอ๋องไม่อยากให้คังอ๋องมีลูกมาก จะเป็นอันตรายต่อฐานะของนาง แต่ใครจะรู้เล่าว่าที่นางทำทุกอย่างลงไปนั้น กลับคว้าน้ำเหลว”


ถาวจวินหลันถอนใจ พระชายาคังอ๋องเป็นคนมีแผนการลึกซึ้ง เพียงแต่สุดท้ายนางกลับไม่ได้อะไรเลย ทำให้อดถอนใจไม่ได้จริงๆ


“ฮองเฮาทรงทราบเรื่องนี้แล้ว เกรงว่าจะทรงกริ้วอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว อีกทั้งเกรงว่าจะต้องไม่พอใจในตัวพระชายาคังอ๋องแน่นอน” เรื่องน่าอนาถใจก็เป็นอีกเรื่อง แต่นางกลับคิดถึงผลกระทบที่จะเกิดจากเรื่องนี้ได้ “ครั้งนี้พระชายาคังอ๋องไม่ได้ผลประโยชน์อะไรแล้วยังขาดทุนอีกต่างหาก”


“ท่านว่า หากใครคนไปสืบเรื่องนี้จนรู้แล้วว่าหยวนฉงหวาถูกใส่ร้าย จะเป็นเช่นไร?” ถาวจวินหลันเลิกคิ้วแล้วยิ้ม ดวงตาเป็นประกาย


หลี่เย่พูดอย่างมั่นใจ “เช่นนั้นก็ยิ่งจะทำให้คังอ๋องเสียใจมากยิ่งขึ้น”


“เช่นนั้นท่านมีวิธีหรือไม่?” แน่นอนว่าถาวจวินหลันไม่มีความสามารถพอทำเรื่องพวกนี้ แต่นางคิดว่าหลี่เย่จะต้องมีอย่างแน่นอน


หลี่เย่หัวเราะเบาๆ “ฮูหยินรับสั่งมาได้เลย” พูดจบก็ยิ้มอย่างร้ายกาจแล้วมองมา “แต่ว่าฮูหยินต้องมีสิ่งตอบแทนเสียหน่อยก็เท่านั้น”


ไม่จำเป็นต้องทำอะไร เพียงแต่มองสายตาที่น่ากลัวนั้น ถาวจวินหลันก็รู้สึกเขินอายทันที…


เวลาที่พวกเขาอยู่กันสองคน นับวันหลี่เย่ยิ่งไม่รักษาท่าทีมากยิ่งขึ้น ทุกครั้งยิ่งทำให้นางทนไม่ไหว แต่ว่านี่ก็ทำให้รู้สึกว่าความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาทั้งสองคนลึกซึ้งยิ่งขึ้นและเข้าใจกันมากขึ้น


ถาวจวินหลันแอบหวังในใจว่า หากเป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ นางเองก็ยินดี


เพียงแต่นี่ก็เป็นเพียงแค่ฝันกลางวันของนางเท่านั้น นางรู้ดีแก่ใจว่า วันเวลาพวกนี้ยิ่งน้อยลงไปทุกวัน หลังจากกลับไปเมืองหลวงแล้ว หรือเมื่อฮ่องเต้เสด็จมาพระราชวังฤดูร้อนแล้ว วันเวลาเช่นนี้ก็ถึงคราวต้องสิ้นสุดลง


ส่วนต่อไปนั้น…หากคิดอยากจะมีเวลาว่างเช่นนี้ เกรงว่าจะไม่ง่ายแล้ว


เนื่องจากความรู้สึกที่เหมือนกับทุกวันจะเป็นวันสุดท้ายนี้ ทำให้ถาวจวินหลันปล่อยตัวเองให้สบายๆ มากขึ้น หลี่เย่สัมผัสได้แล้ว ก็ปฏิบัติตามนาง เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ทั้งสองคนกลับรู้สึกยิ่งมีความสุขมากขึ้น


วันนี้ **บและกล่องใส่ของที่วังหลวงส่งมานั้นได้มาถึงพระราชวังฤดูร้อนแล้ว ถาวจวินหลันกับหลี่เย่จึงต้องออกไปช่วย พอจัดการเรื่องพวกนี้เสร็จเรียบร้อย ก็ได้ยินข่าวว่า อีกห้าวันฮ่องเต้ก็จะเสด็จมา


หลี่เย่จึงเริ่มยุ่งขึ้นมาทันที


รอจนถึงวันที่ฮ่องเต้จะเสด็จมา ถาวจวินหลันกับหลี่เย่ก็ตื่นแต่เช้า หลังจากแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยก็ออกไปรออยู่ที่พระราชวังฤดูร้อน ในตอนที่ได้รับแต่งตั้งเป็นชินอ๋องก็ยังไม่ได้กลับไปขอบพระทัยฮ่องเต้ในทันที ครั้งนี้หากไม่กระตือรือร้นเสียหน่อย ก็คงไม่มีอะไรจะพูดแล้ว


ระหว่างรอฮ่องเต้เสด็จมาถึง ถาวจวินหลันก็รู้สึกสงสัยเป็นอย่างยิ่งว่าฮ่องเต้จะพาบรรดาพระสนมคนไหนมาบ้าง แน่นอนว่า ฮองเฮาไม่มีทางได้ตามเสด็จมาอย่างแน่นอน


นอกจากฮ่องเต้และพระสนมฝ่ายใน จวงอ๋องและอู่อ๋องก็ยังเสด็จมาด้วย


เนื่องจากคังอ๋อง ‘ป่วย’ ย่อมไม่ได้ตามเสด็จมา ได้แต่พักรักษาตัวอยู่ที่เมืองหลวง


นอกจากนั้น องค์หญิงแปดก็เสด็จมาด้วยเช่นกัน คนอื่นๆ ที่มีบ้านพักอยู่ในบริเวณนี้ ต่างก็ตามเสด็จมาด้วยหลายคน


สถานที่ที่เคยเงียบสงบมาโดยตลอด ในตอนนี้ก็คึกคักทันที


ถาวจวินหลันรู้สึกว่า การมาถึงของหญิงสูงศักดิ์พวกนี้ ทำให้อากาศดูเหมือนจะมีกลิ่นหอมบางๆ ของแป้งทาหน้าลอยขึ้นมาทันที แม้แต่ร้านค้าต่างๆ ในบริเวณนี้ก็มีมากขึ้นด้วย


ถาวจวินหลันจึงพูดล้อเล่นกับหลี่เย่ “หากปีหนึ่งเสด็จมาที่นี่บ่อยๆ คนค้าขายพวกนี้คงมีเงินจนล้นกระเป๋าเป็นแน่”


หลี่เย่หัวเราะ “จะเสด็จมาหลายครั้งหน่อยก็ไม่มีปัญหาอะไร คนตระกูลสูงศักดิ์พวกนี้ต่างมีเงินทองเหลือใช้ จะได้เอามาหมุนเวียนให้คนธรรมดาทั่วไปบ้าง”


ถาวจวินหลันหัวเราะแล้วกรอกตาใส่เขา “คนพวกนั้นมาได้ยินท่านพูดเช่นนี้เข้า จะไม่ตกใจจนตาแทบถลนออกมาเลยรึ?”


ขณะกำลังพูดกันอยู่นั้น รถม้าของฮ่องเต้ก็มาถึงแล้ว ถาวจวินหลันกับหลี่เย่สบตากัน แล้วรีบเข้าไปต้อนรับ…ตอนนี้ใครต่างก็ไม่กล้าทำอะไรโดยไม่ระมัดระวัง โดยเฉพาะในตอนนี้ที่ฐานะเปลี่ยนไปแล้ว 

 

 


ตอนที่ 400 คำพูดแฝงความหมาย

 

ฮ่องเต้ไม่รอให้หลี่เย่ถวายคำนับ ได้แต่ยิ้มแล้วโบกๆ มือ “ช่างเถิด เจ้าบาดเจ็บอยู่ ไม่จำเป็นต้องมีพิธีรีตองมากนัก”


ตอนที่พูดออกมานั้น ถาวจวินหลันไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามอง แต่นางก็สัมผัสถึงสายตาของคนรอบข้างที่แปลกไปได้


หลี่เย่ยังคงยืนกรานถวายการคำนับ


ถึงแม้ว่าฮ่องเต้จะไม่ได้ตรัสอะไรออกมา แต่ว่าท่าทีก็เห็นได้ชัดว่าทรงพึงพอใจ


ซวนเอ๋อร์ก็ก้าวมาข้างหน้าเพื่อถวายคำนับเช่นกัน “เสด็จปู่!”


พอเห็นซวนเอ๋อร์ รอยยิ้มของฮ่องเต้ก็ปรากฏออกมาทันที รีบก้าวลงมาจากรถม้าอย่างรวดเร็ว แล้วอุ้มซวนเอ๋อร์ขึ้นมา ยิ้มแล้วตรัสว่า “ซวนเอ๋อร์สบายดีหรือไม่?”


ซวนเอ๋อร์ยิ้มแฉ่งจนเห็นฟันครบทุกซี่อย่างชัดเจน “สบายดี”


ปู่หลานพูดคุยกันไปมาอยู่สักพัก ขันทีเป่าฉวนก็เตือนฮ่องเต้ว่า “แดดแรงเช่นนี้หากถูกแดดเผาจะไม่ดีนักพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทเสด็จเข้าไปในห้องก่อนดีกว่า”


ฮ่องเต้กวาดตามองไปรอบๆ เห็นคนอื่นยืนตากแดดกันอยู่สักพักแล้ว ก็หัวเราะออกมาอย่างอ่อนโยนทันที “ข้าผิดเอง” พูดจบก็อุ้มซวนเอ๋อร์แล้วเดินเข้าไปในห้อง


หลี่เย่รีบพูดขึ้นว่า “เสด็จพ่อทรงให้ซวนเอ๋อร์เดินด้วยตัวเองจะดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้เขาตัวหนักมากแล้ว อุ้มอยู่เช่นนี้จะไม่สะดวกนัก”


“ไม่เป็นไร ข้ายังไม่แก่จนถึงขั้นว่าแม้แต่ซวนเอ๋อร์ก็ยังอุ้มไม่ไหว” ฮ่องเต้ตรัสออกมาเช่นนี้ แล้วก็ไม่ยอมปล่อยซวนเอ๋อร์ให้ลงเดินด้วยตัวเอง แต่คำพูดที่ตรัสออกมานั้น…ก็อาจจะมีความหมายแฝงซ่อนอยู่


ถาวจวินหลันรู้สึกว่า ฮ่องเต้ทรงไม่อยากให้คนอื่นคิดว่าเขาชราภาพ…หรือบางทีอาจพูดได้ว่าทรงไม่อยากยอมรับความจริง ใช่ซี ใครจะอยากยอมรับว่าตัวเองแก่กันล่ะ?


แต่ว่าพอมองไปที่ไรผมสองข้างที่ในตอนนี้เป็นสีขาวอย่างชัดเจนแล้ว ถาวจวินหลันก็รู้สึกว่าฮ่องเต้ก็แค่ทรงหลอกตัวเองและคนอื่นเท่านั้น


จวงอ๋องและอู่อ๋องก้าวมาข้างหน้า จวงอ๋องพิจารณาดูหลี่เย่แล้ว ก็พูดหยอกล้อว่า “ดูท่าแล้วน้ำพุร้อนคงช่วยฟื้นฟูสุขภาพได้ดีจริงๆ ตอนนี้ดูท่าทีของพี่รองแล้วไม่เลวเลย”


หลี่เย่เหลือบมองไปทางจวงอ๋องที่ยิ้มอย่างเสแสร้ง มุมปากมีรอยยิ้มบางๆ อย่างอ่อนโยน “ทุกวันไม่ต้องออกไปวุ่นวายข้างนอก วันๆ เอาแต่อยู่อย่างสุขสบายในเรือน ก็ต้องฟื้นฟูเร็วแน่นอน เพียงแต่พูดไปแล้วข้าก็รู้สึกผิดเช่นกัน”


จวงอ๋องหลุดแสดงความอิจฉาออกมาเล็กน้อย “ข้าอิจฉาพี่รองจริงๆ ที่ได้มีเวลาว่างเช่นนี้”


รอยยิ้มของหลี่เย่ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง อีกทั้งยังไม่มีอารมณ์โกรธหรือความรู้สึกใดๆ เลยแม้แต่น้อย “เช่นนั้นรึ? แต่ข้าไม่หวังอยากให้เจ้าเป็นเช่นข้า ถึงแม้ว่าได้อยู่ว่างๆ เช่นนี้จะเป็นเรื่องดี แต่ได้รับบาดเจ็บเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องดีนัก ข้ายอมยุ่ง แต่สุขภาพร่างกายแข็งแรงจะดีกว่า ตอนนี้ข้าอยากเป็นเหมือนพวกเจ้าที่ได้ช่วยแบ่งเบาภาระของเสด็จพ่อบ้าง”


ถาวจวินหลันมองไปทางฮ่องเต้ที่อยู่ข้างหน้าราวกับไม่ได้ยินอะไร…ขณะที่ลูกชายของเขากำลังพูดจาอย่างมีความหมายแฝงเช่นนี้ ฮ่องเต้กลับทรงไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ทั้งสิ้น แต่ในใจจะคิดเช่นไรก็ไม่อาจรู้ได้


จวงอ๋องกำลังอ้าปากราวกับจะพูดอะไรต่อ แต่อู่อ๋องกลับพูดแทรกเสียก่อน หัวเราะแล้วพูดว่า “บาดแผลของพี่รองเป็นอย่างไรบ้างแล้ว? ข้ายังมีกระดูกเสืออยู่ เดี๋ยวข้าจะให้คนไปเอามามอบให้พี่รอง หวังว่าพี่รองจะหายบาดเจ็บในเร็ววัน พวกเราพี่น้องจะได้ช่วยกันแบ่งเบาภาระของเสด็จพ่อ!”


อู่อ๋องพูดออกมาอย่างจริงใจ จึงดึงดูดความสนใจจากฮ่องเต้ได้ ฮ่องเต้มองไปทางอู่อ๋องอย่างชื่นชม แล้วพูดว่า “พวกเจ้าพี่น้องรักใคร่กลมเกลียวกันเช่นนี้ ข้าก็ดีใจ”


นี่เป็นการให้กำลังใจหลี่เย่ ว่าระหว่างพวกเขาพี่น้องจะต้องรักใครกลมเกลียวกัน พี่ชายต้องรักและเมตตาน้องชาย ส่วนน้องชายต้องให้ความเคารพพี่ชาย


จวงอ๋องสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ทว่าจากนั้นก็พูดไปตามน้ำ “พี่รองรักษาตัวให้ดี รอจนหายดีแล้ว พวกเราพี่น้องไปดื่มเหล้ากันเสียหน่อย!”


หลี่เย่ยิ้มแล้วขอบคุณน้ำใจของน้องชายทั้งสองคน จากนั้นก็มองไปทางอู่อ๋องแล้วพูดว่า “กระดูกเสือนั้นไม่จำเป็น ตอนนี้บาดแผลของข้าก็ใกล้หายดีแล้ว ใช้ของพวกนี้ก็ถือว่าเสียดายของเปล่าๆ ข้าจำได้ว่าหัวเข่าของเสด็จพ่อปวดอยู่บ่อยๆ ไม่สู้ให้หมอหลวงบดกระดูกเสือมาเป็นยาประคบให้เสด็จพ่อ”


ถาวจวินหลันลอบยกนิ้วให้หลี่เย่ในใจ หลี่เย่ใช้วิธียืมมือคนอื่นทำความดีความชอบให้ตัวเองได้อย่างงดงามจริงๆ


พอมองไปที่หน้าของอู่อ๋องที่ชะงักไปเล็กน้อย แล้วมองไปทางหลี่เย่ที่ยังคงมีรอยยิ้มอ่อนโยนเช่นเดิม ก็ดูต่างกันราวฟ้ากับเหวทันที จำต้องพูดว่า การรักษาท่าทีที่อ่อนโยนและอบอุ่นมานานหลายปีเช่นนี้ พอเสแสร้งแกล้งทำเช่นนี้ ผู้อื่นจึงหาข้อติไม่ได้เลยทีเดียว


เทียบกับเขาแล้ว ไม่ว่าจวงอ๋องหรืออู่อ๋อง ต่างก็ไม่มีผู้ใดสู้ได้ เพียงแค่ท่าทีที่แสดงออกมาทางใบหน้า จวงอ๋องและอู่อ๋องก็ควรต้องกลับไปเรียนมาใหม่สักสองปี


ฮ่องเต้กลับไม่คิดว่าหลี่เย่จะรู้เรื่องนี้ จึงมองไปทางหลี่เย่อย่างแปลกใจ จากนั้นก็ถามว่า “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้ามีอาการป่วยเช่นนี้?”


อาการป่วยนี้ นอกจากหมอหลวงแล้ว ก็มีเพียงแค่ขันทีเป่าฉวนที่รู้


“นี่เป็นอาการที่เกิดขึ้นตั้งแต่ที่เสด็จพ่อยังทรงเป็นองค์รัชทายาท ตอนไปล้มที่ทางเหนือ ตอนนั้นอากาศยังเหน็บหนาว จึงต้องรักษาตัวอยู่นาน อีกทั้งตอนฤดูหนาวข้ายังได้กลิ่นยาทาจากตัวของเสด็จพ่อ ทั้งเวลาที่เสด็จยังก้าวอย่างลำบาก ดังนั้นข้าจึงรู้เรื่องนี้พ่ะย่ะค่ะ” หลี่เย่ยิ้มแล้วอธิบาย แล้วยังถอนใจเอ่ย “แต่น่าเสียดาย นี่เป็นโรคที่เป็นมาหลายปี ยาอะไรก็ได้แต่เพียงเบาเทาอาการไปเท่านั้น ไม่อย่างนั้นลูกจะต้องไปเสาะหาหมอฝีมือดีมารักษาอาการของเสด็จพ่อให้ได้พ่ะย่ะค่ะ”


พอได้ยินหลี่เย่อธิบายอย่างมีเหตุมีผลเช่นนี้ ฮ่องเต้ก็แสดงความซาบซึ้งใจออกมาทันที “เจ้าเป็นคนละเอียดรอบคอบอีกทั้งยังกตัญญู”


ตอนที่ฮ่องเต้พูดออกมา น้ำเสียงก็แสดงความซาบซึ้งใจและดีใจอย่างไม่เสแสร้งเลยแม้แต่น้อย


ถาวจวินหลันคิดแล้ว หากเป็นตัวนางเอง เกรงว่าก็คงรู้สึกซาบซึ้งใจอย่างที่สุดเช่นกัน…ความสัมพันธ์ของพ่อลูกในราชวงศ์นั้นไม่สนิทสนมกันนัก อีกทั้งยังไม่ได้อยู่ด้วยกันทุกวัน ต่างคนต่างไม่รู้เรื่องของกันก็เป็นเรื่องธรรมดา หลี่เย่มีความคิดเช่นนี้ ก็ถือว่าหาได้ยากจริงๆ


ในขณะเดียวกัน ถาวจวินหลันก็สังเกตเห็นมือของอู่อ๋องที่ซ่อนอยู่ในเสื้อเล็ดลอดออกมา เห็นเพียงมือที่กำแน่นจนจนนิ้วมือเป็นสีเขียว เส้นเลือดปูดออกมาจนแทบระเบิด เห็นได้ชัดว่า อู่อ๋องไม่พอใจเป็นยิ่งที่หลี่เย่ใช้วิธียืมมือของเขาเพื่อรับความดีความชอบ


ถาวจวินหลันรู้สึกกังวลใจเล็กน้อย…หลี่เย่ทำเช่นนี้ก็ถือเป็นการทำให้จวงอ๋องและอู่อ๋องไม่พอใจ หากทั้งสองคนนี้แอบทำอะไรขึ้นมา…ถึงแม้จะบอกว่าไม่กลัว แต่ก็ไม่สู้ระวังไว้


ในใจยิ่งคิดว่าต่อไปจะต้องห้ามหลี่เย่ไว้หน่อย จะทำเช่นนี้ต่อไปไม่ได้


สำหรับผู้หญิงอย่างนางแล้ว แน่นอนว่าถาวจวินหลันจะตามฮ่องเต้อยู่ตลอดไม่ได้ ดังนั้นนางจึงรีบเดินตามไปทางเรือนพักของไทเฮาอย่างรวดเร็ว


คนที่เดินไปด้วยกันก็ยังมีองค์หญิงแปดและองค์หญิงเก้า


ส่วนพระสนมคนอื่นๆ เนื่องด้วยต้องจัดการเรื่องที่พักของตัวเอง ดังนั้นไทเฮาจึงรับสั่งให้พวกนางไปที่เรือนของตัวเองก่อน


ไทเฮายิ้มแล้วพูดกับพวกนาง “ดูแล้วซวนเอ๋อร์จะดำขึ้นเล็กน้อย มองไปมองมาก็ยิ่งดูแข็งแรงขึ้นจริงๆ”


ถาวจวินหลันประคองไทเฮาให้ประทับลงบนเก้าอี้ยาว พลางอธิบายว่า “เขาไม่ยอมนอนกลางวันเลยเพคะ ได้แต่ห่วงเล่น ทุกวันนี้เริ่มรู้จักการละเล่นหลายอย่างแล้ว ตอนกลางวันแดดร้อนๆ ก็ไม่กลัว ออกไปดูการละเล่นพวกนี้ทุกวันเพคะ”


ไทเฮาขมวดคิ้ว “ควรให้เขาได้นอนกลางวันถึงจะถูก แดดร้อนเช่นนี้ยังวิ่งเล่นอยู่ ระวังเดี๋ยวจะเป็นไข้แดดเอาได้”


“เรื่องนั้นไม่มีปัญหาเพคะ ตอนกลางวันหากไม่ได้นอน ตอนกลางคืนก็จะนอนยาวและหลับสนิทขึ้นเพคะ หม่อมฉันให้คนคอยดูเขาไม่ให้วิ่งกลางแดด จะให้วิ่งเล่นอยู่ใต้ร่มของต้นไม้และให้เขาดื่มน้ำแกงถั่วเขียวทุกวันอีกด้วยเพคะ” เกรงว่านั่งอยู่เช่นนี้จะเมื่อย ถาวจวินหลันจึงยัดหมอนอิงให้ไทเฮาพิง แล้วถึงเดินออกมา


องค์หญิงเก้าเม้มปากแล้วยิ้ม “ในสายตาของไทเฮามีแต่เหลนอย่างซวนเอ๋อร์เท่านั้น ไม่มีหลานสาวอย่างพวกข้าอยู่ในสายตา ช่างน่าเสียใจเสียจริง”


ไทเฮาถลึงตาใส่องค์หญิงเก้า หัวเราะแล้วแกล้งหยอกไปว่า “เจ้าก็รีบมีเหลนให้ข้าสักคนซี เจ้าจะได้ไม่ต้องน้อยใจ อายุขนาดนี้แล้ว ยังรู้จักอิจฉาหลานอีกรึ?”


องค์หญิงแปดก็หยอกองค์หญิงเก้าด้วยเช่นกัน


ไทเฮาทอดพระเนตรองค์หญิงแปดอย่างสงสาร แล้วตรัสว่า “เจ้าเองก็รักษาตัวให้ดี เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน หากว่าสามีของเจ้ากล้าพูดอะไรล่ะก็ ขอแค่มาบอกข้า ข้าจะจัดการให้เจ้าเอง”


องค์หญิงแปดตกใจ แล้วค่อยๆ ก้มหน้าลงไป “สามีของข้าไม่ได้พูดอะไรเพคะ เพียงแต่ข้ายังทำใจไม่ได้ก็เท่านั้น”


ถาวจวินหลันคิดถึงลูกขององค์หญิงแปดแล้ว ก็รีบพูดขึ้นมาทันที “เจ้ายังอายุน้อย หลังจากรักษาตัวให้หายดีแล้วจะต้องมีข่าวดีแน่นอน แล้วเจ้าจะร้อนใจไปทำไมกัน?”


องค์หญิงแปดเก็บความเสียใจเอาไว้ แล้วหัวเราะเบาๆ “เช่นนั้นข้าก็ขอให้คำพูดของเจ้าเป็นจริงในเร็ววัน”


แล้วก็พูดถึงเรื่องอาการ “ป่วย” ของฮองเฮา องค์หญิงเก้ายังอายุน้อย จึงพูดออกมาว่า “ครั้งนี้ฮองเฮาเสด็จมาไม่ได้ ช่างน่าเสียดาย ทรงประชวรได้บังเอิญจริงๆ ”


ท่าทีของไทเฮาไม่เปลี่ยนแปลง จากนั้นก็เอ่ยขึ้นมาว่า “ช่างบังเอิญจริงๆ แต่ว่าก็ไม่ต้องกังวลไปหรอก ต่อไปก็ยังมีโอกาส”


พอเห็นท่าทีไม่อยากพูดมากของไทดฮา ทุกคนย่อมเปลี่ยนเรื่องคุยกันอย่างรู้หน้าที่


“ครรภ์ของอี๋เฟยใหญ่เช่นนั้นแล้ว เหตุใดถึงยังตามเสด็จมาเล่าเพคะ? นั่งรถม้ามาก็เหนื่อย สำหรับหญิงตั้งครรภ์อย่างนางถือว่าอันตรายมาก” ถาวจวินหลันคิดถึงท้องของอี๋เฟยที่ตอนนี้ใหญ่จนเท่ากับลูกแตงโม ก็รู้สึกไม่ค่อยเข้าใจนัก


“จะให้อยู่ในวังหลวงฮ่องเต้ก็ไม่วางใจ จึงให้มาด้วยกัน อีกทั้งเรื่องการคลอดก็ต้องแปดเดือนขึ้นไป ถึงตอนนั้นก็กลับไปเมืองหลวงแล้ว ไม่ได้เป็นปัญหา อีกทั้งตอนนี้ครรภ์ของนางก็ผ่านสามเดือนไปแล้ว ถือว่าครรภ์แข็งแรงดี” ไทเฮายิ้มแล้วอธิบาย แล้วก็ดูมีความคาดหวัง “ไม่รู้ว่าจะมีหลานชายให้ข้าเพิ่มสักคนหรือไม่” สักพักก็พูดต่อว่า “ถึงแม้ว่าจะเป็นหลานสาวก็ดีเหมือนกัน ถึงอย่างไรหลายปีมานี้วังหลวงก็ไม่ได้มีสมาชิกเพิ่มมานานแล้ว”


“ข้าเห็นว่าท้องของอี๋เฟยแหลมๆ ดูท่าแล้วน่าจะเป็นบุตรชายเพคะ” ถาวจวินหลันคิดถึงตอนที่นางตั้งครรภ์ซวนเอ๋อร์ แล้วพูดว่า “เหมือนกับตอนที่ข้าตั้งครรภ์ซวนเอ๋อร์ ตอนที่ข้าตั้งครรภ์หมิงจูนั้นท้องเล็กกว่าซวนเอ๋อร์ แล้วยังกลมกว่าเล็กน้อย”


ถึงแม้ว่านี่จะเป็นคำพูดโกหก ก็ถือว่าทำให้ไทเฮาทรงดีพระทัย


ไทเฮาทรงดีพระทัยจริงๆ อารมณ์ก็ดูเหมือนจะดีขึ้นไม่น้อย


องค์หญิงเก้ายังไม่เคยตั้งครรภ์ จึงแสดงท่าทีหวาดกลัวออกมาเล็กน้อย “เพียงแต่ท้องนั้นดูใหญ่เกินไปหน่อย เวลามองแล้วข้ารู้สึกกลัว จึงไม่กล้าเข้าใกล้มากนัก”


ไทเฮาเห็นว่าองค์หญิงเก้ามีท่าทีเช่นนี้ จึงหัวเราะออกมา “ท้องของนางก็ใหญ่เกินไปจริงๆ ในเมื่อเจ้ากลัวก็ไม่ต้องเข้าใกล้” ที่ไทเฮาไม่ได้พูดก็คือ ท้องใหญ่เช่นนี้ เวลาคลอดคงจะลำบากอย่างมาก


แต่คิดถึงคงทำให้องค์หญิงแปดและองค์หญิงเก้าที่ไม่เคยคลอดลูกตกใจได้ จึงไม่ได้พูดออกไป


พวกนางนั่งพูดคุยเป็นเพื่อนไทเฮาอยู่สักพัก ถาวจวินหลันเห็นว่าไทเฮาอ่อนเพลีย จึงเอ่ยว่า “ไทเฮาทรงงีบสักพักเถิดเพคะ ยังอีกนานกว่าจะถึงเวลาอาหารเย็น ถึงตอนนั้นข้าค่อยปลุกพระองค์เพคะ”


นั่งรถม้ามาทั้งวันทำให้ไทเฮาอ่อนเพลียจนทนไม่ไหวจริงๆ จึงงีบลงไป


องค์หญิงแปดเสนอความเห็นว่าให้เดินเล่นในวังฤดูร้อน…ในเมื่อที่นี่ถูกเลือกให้เป็นวังฤดูร้อน แน่นอนว่าทิวทัศน์จะต้องดีเลยทีเดียว


ถาวจวินหลันไม่เคยเดินเล่นในวังฤดูร้อน จึงรู้สึกแปลกใจ อีกทั้งตอนนี้ก็ไม่มีอะไรทำจริงๆ ดังนั้นพวกนางจึงเดินออกจากเรือนที่พักของไทเฮา พูดคุยและเดินเล่นในสวนของวังฤดูร้อน 

 

 


ตอนที่ 401 โง่เขลา

 

ทิวทัศน์ของวังฤดูร้อนใช้ได้เลยทีเดียว พวกนางเดินเล่นกันช้าๆ โดยที่ไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย


องค์หญิงแปดตาไว “นั่นไม่ใช่อี๋เฟยรึ?”


ถาวจวินหลันหันไปมองตามทางที่องค์หญิงแปดชี้ไป พิจารณามองคนที่นั่งอยู่ในศาลาริมน้ำคนเดียวอย่างดี จากนั้นก็พยักหน้า “น่าจะเป็นอี๋เฟยจริงๆ” เกรงว่าในวังฤดูร้อนแห่งนี้ คนที่ตั้งครรภ์คงจะมีแค่อี๋เฟยเพียงคนเดียวเท่านั้น ดังนั้นจึงมองออกอย่างง่ายดาย


“เหตุใดถึงไม่มีคนติดตามเล่า?” องค์หญิงเก้ามองไปแล้วก็รู้สึกงุนงง


เป็นเช่นนั้นจริงๆ ข้างกายของอี๋เฟยไม่มีสาวใช้คอยถวายการดูแลเลยแม้แต่คนเดียว อี๋เฟยนั่งอยู่คนเดียว ไม่รู้ว่ากำลังนั่งเหม่อหรือกำลังทำอะไร


ถาวจวินหลันมองไปทางองค์หญิงแปดองค์หญิงเก้า แล้วถามว่า “เข้าไปทักทายหน่อยดีหรือไม่?” ถึงอย่างไรหากเป็นนาง นางก็ไม่อยากเข้าไป


องค์หญิงแปดองค์หญิงเก้าลังเลอยู่สักพัก สุดท้ายก็ส่ายหัวปฏิเสธ ถึงอย่างไรก็ไม่สนิทกัน ไปแล้วก็แค่ทักทายธรรมดาทั่วไปไม่กี่คำ ไม่รู้ว่าจะไปทำไมกัน


ถาวจวินหลันมองดูเส้นทางสักพัก “เช่นนั้นพวกเราก็เดินอ้อมไปทางป่ากันเถิด”


พวกนางยังไม่ทันได้เดินไปไกล ก็ได้ยินอี๋เฟยร้องเสียงแหลมขึ้น


พวกนางรีบหันไปมองทางอี๋เฟย กลับเห็นว่าอี๋เฟยล้มลงไปกองกับพื้นตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ มือของนางยังกุมท้องเอาไว้


เห็นเช่นนี้แล้ว พวกนางต่างก็ไม่กล้าเดินไปไหน รีบเดินเข้าไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น ถาวจวินหลันเดินไปหัวใจก็เต้นแรง แล้วคิดไปว่า หากเกิดอะไรกับอี๋เฟย ถึงแม้ว่าเรื่องนี้จะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับพวกนาง แต่ถึงอย่างไรพวกนางก็โชคร้ายจริงๆ ไม่แน่ว่าก็อาจต้องโดนหางเลขไปด้วย


พอเดินเข้ามาใกล้ เสียงร้องโอ๊ยๆ ของอี๋เฟยก็ทำให้ทุกคนหนักใจทันที เพียงแต่ตอนนี้มองไม่เห็นนางกำนัลจากวังของอี๋เฟยเลยแม้แต่คนเดียว ถาวจวินหลันจึงทำได้แค่หันหน้าไปบอกให้องค์หญิงเก้าสั่งคนไปตามหมอหลวงมา แล้วก็สั่งให้หงหลัวรีบไปตามคนมา ส่วนนางและองค์หญิงแปดก็ก้าวไปข้างหน้า และประคองอี๋เฟยขึ้นมานั่งบนเก้าอี้


อี๋เฟยจับท้องของตัวเองอยู่ตลอด สีหน้าดูเจ็บปวดจนซีดเผือด


“รู้สึกเป็นอย่างไรบ้างเพคะ?” ถาวจวินหลันรู้สึกกังวลใจ รีบถามออกไป นางกลัวว่าอี๋เฟยจะแท้งลูก จากอายุครรภ์ของอี๋เฟยแล้ว หากแท้งคงเป็นเรื่องใหญ่จริงๆ


อี๋เฟยเห็นว่าองค์หญิงเก้าสั่งคนไปตามหมอหลวง จึงรีบตะโกนออกไปว่า “เชิญหมอหลวงซู! เขาเป็นคนตรวจชีพจรของข้ามาโดยตลอด!”


องค์หญิงเก้าพยักหน้า “ไปเชิญหมอหลวงซูมา” ตอนนี้เชิญหมอหลวงที่รู้อาการของอี๋เฟยมา เห็นได้ชัดว่าเป็นเรื่องดีที่สุด


ถาวจวินหลันเห็นว่าอี๋เฟยยังมีแรงเช่นนี้ นางจึงค่อยๆ โล่งใจได้…ดูท่าแล้วน่าจะกระทบถึงครรภ์เพียงเล็กน้อย การแท้งน่าจะเป็นไปได้ยาก


“เหตุใดอี๋เฟยถึงมาเดินอยู่คนเดียวเพคะ? นางกำนัลของท่านเล่า?” ถาวจวินหลันคิดถึงสถานการณ์น่าตกใจเมื่อครู่ จึงอดพูดมากไม่ได้ “ตอนนี้อี๋เฟยทรงตั้งครรภ์อยู่ ต้องระวังให้มากนะเพคะ อย่างน้อยก็ควรมีคนอยู่ด้วยสักสองคนถึงจะถูก”


อี๋เฟยกุมท้องไว้ เวลานี้ไม่ร้องโอดโอยแล้ว เพียงแต่ค่อยๆ ชักมือกลับจากมือของถาวจวินหลัน แล้วจ้องถาวจวินหลันด้วยดวงตาลุกวาว “ชายารองถาวอย่าจุ้นจ้านให้มากนัก”


ถาวจวินหลันคิดไม่ถึงว่าอี๋เฟยจะพูดเช่นนั้น จึงชะงักไปสักพักถึงค่อยๆ รู้สึกตัว หลังจากหัวเราะอย่างเย็นชาแล้วนางก็ถอยออกไปหนึ่งก้าว และจัดกระโปรงของตัวเองที่ยับยู่ยี่ให้ดีและพูดว่า “หม่อมฉันจุ้นจ้านเกินไปจริงๆ ขออี๋เฟยทรงอภัยด้วยเพคะ!”


สักพักก็พูดต่ออีกว่า “ในเมื่ออี๋เฟยไม่อยากให้หม่อมฉันจุ้นจ้าน เช่นนั้นหม่อมฉันขอตัวก่อนเพคะ”


อี๋เฟยเม้มปากไม่พูดอะไร ดูท่าทางแล้วไม่พอใจนัก


องค์หญิงแปดกับองค์หญิงเก้ามองหน้ากัน ไม่รู้ว่าอี๋เฟยเป็นอะไรไป ฉับพลันถึงได้พูดกับถาวจวินหลันเช่นนี้ ถึงแม้จะบอกว่าอี๋เฟยตั้งครรภ์อยู่ จะทำอะไรเกินไปไม่ได้ แต่องค์หญิงแปดกับองค์หญิงเก้าเองก็รู้สึกไม่พอใจอย่างมาก เป็นคนอย่างไรกันถึงได้ทำเช่นนี้ หากรู้แต่แรก พวกนางควรเดินหนีไปเสียตั้งแต่แรก ไม่สนว่านางจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร


องค์หญิงเก้าทำหน้าขรึม แล้วพูดว่า “พี่หญิงรอข้าด้วย ข้าจะไปกับท่าน”


องค์หญิงแปดจะไปก็ไม่ได้ จะอยู่ก็ไม่ดี คิดแล้วก็ยืนอยู่ที่นี่…จะออกไปหมดทุกคนก็คงไม่ดีนัก มิเช่นนั้นหากเกิดอะไรขึ้นจริงๆ ก็คงลำบากแล้ว


เพียงแต่พอได้ยินคำพูดของอี๋เฟยเมื่อครู่ องค์หญิงแปดก็ไม่ไปเข้าใกล้อีก ได้แต่ยืนรอให้คนมาอยู่ข้างๆ …แน่นอนว่า พอมีคนมา นางก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ตรงนี้แล้ว


แน่นอนว่าถาวจวินหลันเองก็ไม่กล้าเดินไปไกล แค่เดินออกมาแล้วเลี้ยวไปรออยู่อีกมุมหนึ่งเท่านั้น ในเมื่อออกมาด้วยกัน ถึงแม้ในตอนนี้องค์หญิงแปดจะยังอยู่ตรงนั้น แต่นางจะเดินกลับไปโดยไม่รอก็ไม่ได้มิใช่หรือ?


องค์หญิงเก้าขมวดคิ้วแล้วบ่น “อี๋เฟยเป็นอะไรกันแน่?”


ถาวจวินหลันไม่รู้สึกโกรธ กลับยิ้มและปลอบองค์หญิงเก้า “เหตุใดจะต้องรู้สึกไม่พอใจเพราะคนเช่นนางด้วยเล่า? ไม่เห็นต้องเก็บมาใส่ใจ นางอยากทำเช่นนั้นก็ปล่อยให้นางลำบากไปเถิด ต่อไปพวกเราไม่ต้องไปยุ่งเรื่องนี้อีกก็พอ”


องค์หญิงเก้าพยักหน้า “เป็นเช่นนั้นจริงๆ”


ถาวจวินหลันกลับคิดในใจว่า อี๋เฟยเป็นเช่นนี้ ไม่แปลกที่นางไม่ได้รับความโปรดปรานนัก เพียงแต่ไม่รู้ว่าเวลานางอยู่ต่อหน้าฮ่องเต้จะเป็นเช่นนี้หรือไม่


“แต่พูดไปแล้วก็แปลก อยู่ๆ จะล้มลงไปได้อย่างไรกัน” องค์หญิงเก้าพูดอย่างไม่เข้าใจ “หรือว่าตอนลุกขึ้นแล้วทรงตัวไม่อยู่?”


ถาวจวินหลันมององค์หญิงเก้าแล้วยิ้ม “นางว่าเราไปจุ้นจ้านเรื่องของนางแล้ว แล้วเจ้ายังจะไปคิดเรื่องนี้ทำไมอีก? ไม่ว่าจะล้มลงไปได้อย่างไรก็ไม่ใช่เรื่องที่พวกเราต้องกังวลใจ”


องค์หญิงเก้าคิดแล้วก็เป็นเช่นนั้นจริง พอคิดถึงท่าทางของอี๋เฟย นางก็อดส่งเสียงฮึดฮัดอย่างเย็นชาไม่ได้


ครู่เดียวองค์หญิงแปดก็เดินมา พอเห็นพวกนางทั้งสองคนก็บ่นว่า “พวกเจ้าทั้งสองคนเดินหนีหายไป แล้วปล่อยข้าไว้คนเดียวจนข้าไม่รู้จะทำตัวเช่นไร! ช่างใจร้ายเหลือเกิน!”


ถาวจวินหลันรีบเอ่ยปากขอโทษ “เป็นเพราะข้าไม่ดีเอง”


องค์หญิงแปดโบกๆ มือ “ข้าไม่ได้โทษท่าน แต่ว่าข้าดูแล้ว เหมือนกับว่านางจะไม่ชอบท่านนัก ท่านเคยไปทำอะไรให้นางไม่พอใจหรือ?”


แน่นอนว่าถาวจวินหลันรู้สึกงุนงงไปหมด “จะเป็นไปได้อย่างไรกัน? นางอยู่ในวังฝ่ายใน ส่วนข้าอยู่นอกวังหลวง ถึงแม้ว่าจะเข้าวังก็แค่ไปเข้าเฝ้าไทเฮากับฮองเฮาเท่านั้น ที่รู้จักก็ด้วยเมื่อก่อนเคยเจอสองสามครั้งเท่านั้น ครั้งนั้นองค์หญิงเก้ายังเป็นคนแนะนำให้ข้ารู้จักอยู่เลย”


องค์หญิงเก้าคิดถึงเรื่องครั้งนั้นได้ “เป็นเช่นนั้นจริงๆ อีกทั้งถึงแม้ว่าจะมีเรื่องไม่พอใจส่วนตัวก็ไม่ควรพูดเช่นนั้น”


ในวังหลวง ต่อให้มีความโกรธแค้นกันมากเพียงใด แต่ภายนอกก็ต้องไม่แสดงออกมาให้เห็นแม้แต่น้อย ทว่ากลับต้องแสดงออกอย่างสนิทสนม มีที่ไหนเป็นเช่นนี้?


องค์หญิงแปดครุ่นคิดแล้วก็เห็นด้วย ส่ายหัวแล้วยิ้มแหยๆ “เช่นนั้นก็ยิ่งไม่รู้ว่าเหตุใดถึงเป็นเช่นนี้”


“บางทีอาจจะไม่ชอบที่ข้าพูดมากก็เป็นได้” ถาวจวินหลันหัวเราะอย่างเย้ยหยัน จากนั้นก็เปลี่ยนเรื่องคุย “เอาเถิด เลิกพูดเรื่องนี้กันดีกว่า ใกล้ถึงเวลาที่พวกเราต้องกลับกันแล้ว เดี๋ยวอีกสักครู่ยังต้องถวายการดูแลไทเฮาตอนเสวยอาหารเย็นอีก”


จากนั้นทั้งสามคนจึงได้เดินกลับไป กลับไปเป็นเวลาเหมาะสมพอดี หลังจากปลุกไทเฮาแล้ว ก็ถวายการดูแลไทเฮาล้างหน้าและหวีผม จากนั้นก็เตรียมตัวเสวยอาหารเย็น ส่วนอีกด้านหนึ่งก็มีคนเข้ามาทูลรายงานกับไทเฮาเรื่องอี๋เฟย “ครรภ์ของอี๋เฟยกระทบกระเทือน ตอนนี้ฝ่าบาทเสด็จไปดูแล้วพ่ะย่ะค่ะ”


ไทเฮาตกใจ แล้วก็ถามย้ำอีกรอบ “เหตุใดอยู่ๆ ก็กระทบกระเทือนถึงครรภ์ได้? เป็นเพราะนั่งรถม้ารึ?”


“เป็นเพราะล้มพ่ะย่ะค่ะ” คนที่มาทูลรายงานรีบอธิบายต่ออย่างรวดเร็ว “หมอหลวงตรวจดูอาการแล้วบอกว่าอาการค่อนข้างหนักพ่ะย่ะค่ะ อาจต้องคลอดก่อนกำหนด”


ถาวจวินหลันคิดไม่ถึงว่าจะรุนแรงถึงเพียงนี้ นางจึงเลิกคิ้วเล็กน้อย แล้วสบตากับองค์หญิงแปดองค์หญิงเก้า


ขันทีคนนั้นพูดต่ออีกว่า “ยังดีที่องค์หญิงแปดองค์หญิงเก้าเดินผ่านมาให้ความช่วยเหลือไว้ทัน มิเช่นนั้นไม่รู้ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร อี๋เฟยรับสั่งให้บ่าวมาขอบพระทัยองค์หญิงแปดองค์หญิงเก้าเป็นพิเศษพ่ะย่ะค่ะ”


ไทเฮาหันไปมององค์หญิงแปดองค์หญิงเก้าแล้วพยักหน้า “เรื่องนี้ข้ารู้แล้ว เจ้ากลับไปเถิด บอกให้อี๋เฟยรักษาเนื้อรักษาตัวให้ดี”


พอขันทีผู้นั้นกลับออกไปแล้ว ไทเฮาก็มองมาทางถาวจวินหลันอย่างแปลกใจ “พวกเจ้าสามคนออกไปด้วยกันมิใช่รึ เหตุใดถึงมีแต่เจ้าแปดเจ้าเก้าที่ได้พบกับอี๋เฟยเล่า?”


ถาวจวินหลันจะพูดความจริงไปก็ไม่เหมาะนัก จึงได้แต่ปกปิดเรื่องนี้ “ข้าเดินตามอยู่ข้างหลัง แล้วเลี้ยวไปผิดทาง จึงแยกกับพวกนางไปเพคะ”


พูดเช่นนี้ก็ถือว่าพอผ่านไปได้ ไทเฮาก็ไม่ได้ซักถามอะไรมาก พยักหน้าแล้วไม่ถามเรื่องนี้อีก จากนั้นก็ถอนใจ “ไม่รู้ทำไมอยู่ๆ ถึงล้มลงไปได้?”


องค์หญิงแปดส่ายหัว “ตอนที่ข้าเห็นก็ล้มลงไปกองกับพื้นแล้วเพคะ แต่ไม่รู้ว่าล้มลงไปได้อย่างไร อี๋เฟยไม่ได้บอก พวกเราเองก็ไม่ได้ถามเพคะ”


เป็นเพราะเรื่องนี้ จึงทำให้ไทเฮาไม่เจริญอาหารนัก เสวยอาหารเข้าไปได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น


พอถวายการดูแลไทเฮาเสร็จแล้ว พวกถาวจวินหลันทั้งสามคนจึงร่วมทานอาหารด้วยกัน จากนั้นต่างคนก็ต่างลากลับเรือนของตัวเอง


พอมาถึงประตูของวังฤดูร้อน พวกหลี่เย่ทั้งสามคนก็รออยู่ตรงหน้าประตูแล้ว


ถาวจวินหลันกับหลี่เย่ที่แต่งงานกันมานานแล้วไม่รู้สึกอะไร แต่กลับได้แกล้งหยอกล้อองค์หญิงแปดองค์หญิงเก้า “พระสวามีช่างเอาใจใส่ดีเหลือเกิน รีบกลับไปเถิด มิเช่นนั้นพระสวามีจะบ่นเอาได้”


องค์หญิงแปดหัวเราะแล้วส่ายหัว แต่ไม่ได้พูดอะไรต่อ ส่วนองค์หญิงเก้าเพิ่งแต่งงานได้ไม่นาน จึงทำท่าเขินอายจนตัวม้วน แต่ว่าก็รู้สึกได้ถึงความหวานซึ้ง


องค์หญิงแปดและองค์หญิงเก้าพักอยู่ไกล จึงต้องนั่งรถไป ส่วนเรือนของถาวจวินหลันกับหลี่เย่อยู่ข้างๆ จึงไม่ต้องรีบร้อนนัก ค่อยๆ เดินกลับไปก็ได้…แต่เนื่องจากไม่อยากให้หลี่เย่เหน็ดเหนื่อยมากนัก ดังนั้นถึงแม้ว่าตอนนี้เขาจะเดินเหินด้วยตัวเองได้แล้ว แต่ก็ยังคงให้เขานั่งบนเก้าอี้


ถาวจวินหลันให้หวังหรูเดินตามอยู่ข้างหลัง ส่วนนางก็เข็นหลี่เย่อยู่ข้างหน้า


ทั้งสองคนเดินไปพูดคุยกันไป ท่ามกลางบรรยากาศในยามค่ำที่มีดาวเต็มท้องฟ้า ชวนให้รู้สึกอบอุ่นขึ้นมา


“เรื่องครรภ์ของอี๋เฟยกระทบกระเทือนนั้น เสด็จพ่อทรงกังวลเป็นอย่างมาก” อยู่ๆ หลี่เย่ก็พูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา แต่แฝงไปด้วยความเย้ยหยัน “แม้แต่เรื่องงานราชการก็ทรงละทิ้งไปกว่าครึ่งวัน”


โดยหนึ่งในนั้นยังมีเรื่องราชการด่วนอีกหนึ่งฉบับ จำต้องพูดว่า ในสายตาฮ่องเต้แล้ว เด็กในท้องของอี๋เฟยมีความสำคัญอย่างมาก


ถาวจวินหลันก้มลงไปมองหมวกหยกขาวของหลี่เย่ แล้วหัวเราะออกมา “ทำไมรึ หรือว่าท่านรู้สึกอิจฉาแล้ว?”


หลี่เย่ส่ายหัว แล้วพูดเสียงเบา “ก็แค่กังวลเท่านั้น ทำเรื่องเช่นนี้ ดูออกจะ…” เห็นได้ชัดว่าดูโง่เขลาเกินไปหน่อย


ถาวจวินหลันเข้าใจความหมายของหลี่เย่ดี แต่กลับไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่ถอนใจ “ดูเหมือนว่าฮ่องเต้จะทรงชราภาพขึ้นมาก จากตอนที่ข้าพบกับพระองค์ครั้งแรกที่วังเต๋ออันกับในตอนนี้ เปลี่ยนไปราวกับคนละคน” 

 

 


ตอนที่ 402

 

ตอนนี้พอมาคิดถึงช่วงที่ยังอยู่วังเต๋ออัน ถาวจวินหลันก็รู้สึกราวกับอยู่คนละโลกอย่างไรอย่างนั้น


ถึงแม้ฮ่องเต้ในตอนนั้นจะไม่ถือว่ายังหนุ่ม แต่ก็ไม่ถือว่าแก่ อีกทั้งความน่าเกรงขามที่มีนั้น ทำให้คนไม่กล้าสบตา แต่ถึงแม้ฮ่องเต้ในตอนนี้จะยังน่าเกรงขาม ทว่าไม่เท่ากับในตอนนั้นอีกต่อไปแล้ว กลับกลายเป็นความหม่นหมองและอมทุกข์เพิ่มขึ้นมา


สักพัก ถาวจวินหลันก็พูดเสริมว่า “มีลูกตอนแก่ จะให้ความสำคัญมากหน่อยก็ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา”


หลี่เย่กลับไม่พูดอะไรออกมาอีก


ถาวจวินหลันพูดเรื่องทั่วไปต่ออีกสักพัก แล้วก็คิดถึงเรื่องระหว่างหลี่เย่กับจวงอ๋องและอู่อ๋องเมื่อตอนกลางวันได้ จึงถามออกไปว่า “ท่านแสดงท่าทีกับจวงอ๋องและอู่อ๋องเช่นนี้ พวกเขาจะรู้สึกไม่พอใจหรือไม่?”


“หากว่าพวกเรารักใคร่กลมเกลียวกันจริง เช่นนั้นแหละถึงจะถือว่าเป็นปัญหา” หลี่เย่หัวเราะ แล้วก็ไม่อธิบายใดๆ เพียงแต่พูดว่า “เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องกังวลใจไป ข้ารู้ขอบเขตดี”


ในเมื่อหลี่เย่พูดเช่นนี้แล้ว ถาวจวินหลันก็เชื่อใจเขา


วันต่อมาหลี่เย่ออกไปตามเสด็จฮ่องเต้ ตอนกลับมานั้น สีหน้าดูไม่ดีอย่างมาก


แน่นอนว่าถาวจวินหลันรู้สึกงุนงงไปหมด จึงถามออกไปอย่างเป็นห่วง “เป็นอะไรไปรึ? มีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นเช่นนั้นรึ?”


“ซินพานถูกลอบฆ่าระหว่างเดินทาง เป็นตายเช่นไรก็ยังไม่รู้” หลี่เย่โพล่งออกมา และตบโต๊ะดังๆ และพูดอย่างโกรธแค้น “จะต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับจวนเหิงกั๋วกงเป็นแน่!”


ถาวจวินหลันตกใจ จากนั้นก็ถลึงตาใส่เขา “ไม่กลัวเจ็บมือรึ!” นางไม่รู้ว่าจะปลอบหลี่เย่อย่างไร…ซินพานเป็นนักรบที่หลี่เย่ปั้นเองกับมือ นางเข้าใจดีว่าหลี่เย่ตั้งใจจะให้ซินพานเป็นคนคุมทหาร อีกทั้งความสำเร็จของซินพานในครั้งนี้ เขาเองก็ได้รับความดีความชอบไปด้วย ตอนนี้เกิดเรื่องขึ้นกับซินพาน ไม่เพียงแต่เป็นการตัดอนาคตของเขาเท่านั้น อีกทั้งยังจงใจจะหักหน้าเขาอีกด้วย


นักรบที่ป้องกันตัวเองจากการถูกลอบฆ่ายังทำไม่ได้ เช่นนั้นยังถือว่าเป็นนักรบได้หรือ?


“ท่านส่งคนไปสืบแล้วหรือไม่” สุดท้ายแล้วถาวจวินหลันก็ได้แต่พูดเช่นนี้ แต่ถึงอย่างไรก็ดูไร้ประโยชน์เกินไปหน่อย นางถกแขนเสื้อของหลี่เย่ขึ้น แล้วตรวจสอบบาดแผลบนแขนของเขาอย่างละเอียด จากนั้นก็พูดว่า “ท่านร้อนใจไปก็ไม่มีประโยชน์ เรื่องก็เกิดขึ้นแล้ว หากว่าโกรธจนทำลายสุขภาพของตัวเอง ก็จะยิ่งทำให้คนอื่นสะใจมากขึ้น ตอนนี้ท่านควบคุมอารมณ์โกรธ แล้วคิดหาทางเอาคืนเช่นไรดีกว่า”


“ตอนนี้ขุนนางหนุ่มในราชสำนักก็มีน้อยนัก อำนาจของเหิงกั๋วกงก็ครอบครองไปมากกว่าครึ่ง เหลือเพียงแค่ไม่กี่คนเท่านั้น ซินพานเป็นหนึ่งในนั้นที่โดดเด่นมากที่สุด เพียงแต่ฐานะชาติตระกูลไม่สูงส่งเท่าไรนัก ถึงไม่ได้รับความสำคัญมาโดยตลอด” หลี่เย่ค่อยๆ ถอนใจ ท่าทางดูเคร่งขรึม “หากว่าเกิดเรื่องกับซินพาน ต่อไปเกรงว่าขุนนางหนุ่มผู้อื่นจะทำอะไรก็คงพะวงหน้าพะวงหลังเพิ่มมากขึ้น”


หากแม้แต่คนใต้อำนาจของเขายังปกป้องไม่ได้ ต่อไปใครจะกล้าเข้าร่วมกับเขา? หลี่เย่สูดหายใจเข้าลึกๆ พยายามกดความรู้สึกโกรธที่ทะลักออกมาจากในใจ


ถึงแม้ว่าถาวจวินหลันจะรู้สึกเช่นเดียวกัน แต่ความรู้สึกที่มากกว่านั้นก็คือไม่รู้จะทำเช่นไร “ท่านก็รู้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายต้องการตัดโอกาสของท่าน แต่นี่ก็เป็นเรื่องที่ทำอะไรไม่ได้”


คิดแล้ว นางก็รู้สึกว่าตัวเองช่วยเหลืออะไรไม่ได้จริงๆ นางจึงไม่พูดอะไรต่อ ลุกขึ้นแล้วสั่งให้สาวใช้ยกน้ำบ๊วยใส่น้ำแข็งเข้ามา แล้วยังกำชับอีกว่าให้ใส่น้ำแข็งมากหน่อย


ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือให้หลี่เย่สงบจิตสงบใจ มีเพียงแค่การสงบสติอารมณ์เท่านั้น ถึงจะทำให้คิดหาวิธีรับมือออกมาได้ และนี่ก็เป็นเพียงสิ่งเดียวที่นางทำเพื่อหลี่เย่ได้ตอนนี้


หลี่เย่ดื่มน้ำบ๊วยเย็นเข้าไปสองแก้ว อารมณ์ก็ค่อยๆ สงบลง พอส่งถ้วยให้ถาวจวินหลันเอาไปเก็บ เขาก็พูดขึ้นว่า “เจ้าสั่งให้คนไปตามจิ้งผิงมาคุยกับข้าหน่อย”


ถาวจวินหลันรู้ว่าหลี่เย่ต้องการจะปรึกษากับถาวจิ้งผิง จึงคิดว่านี่เป็นความคิดที่ดี อย่างน้อยก็มีคนให้ปรึกษาหารือ ดีกว่ามืดบอดอยู่คนเดียวเช่นนี้ จากนั้นนางก็รีบสั่งให้คนไปตามจิ้งผิงและภรรยามาทั้งคู่


เพื่อเป็นการปกปิดคนอื่น จึงบอกไปว่าเรือนของพวกนางมีผลไม้สดๆ ส่งมาใหม่ อยากให้พวกเขามาลองชิม


ทว่าที่เรือนของพวกนางก็มีผลไม้สดส่งมาจริงๆ ทั้งองุ่นและลูกท้อ


ถาวจวินหลันสั่งให้คนเอาผลไม้ไปล้าง จานหนึ่งส่งไปที่ห้องหนังสือ อีกจานก็เหลือไว้ให้ตัวเองและองค์หญิงเก้ากิน


ไม่นานถาวจิ้งผิงและองค์หญิงเก้าก็เดินทางมาถึง ถาวจิ้งผิงได้แค่ทักทาย จากนั้นก็ถูกหลี่เย่ลากเข้าไปในห้องหนังสือ


องค์หญิงเก้าสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง จึงมองไปทางถาวจวินหลัน “พี่หญิง เกิดอะไรขึ้นรึ?”


“เจ้ารู้จักซินพานใช่หรือไม่? ซินพานถูกลอบฆ่าระหว่างเดินทางกลับเมืองหลวง เป็นตายเช่นไรก็ยังไม่รู้” ถาวจวินหลันถอนใจ แล้วเล่าเรื่องนี้ให้องค์หญิงเก้าฟัง


ถึงแม้ว่าองค์หญิงเก้าจะเป็นผู้หญิง แต่ก็เติบโตจากในวังหลวง พอได้ยินแล้วก็รู้ใจความสำคัญได้ทันที “เช่นนั้นจะมีผลกระทบต่อพี่รองหรือไม่?”


ถาวจวินหลันพยักหน้า “ซินพานเป็นคนที่พี่รองของเจ้าปั้นเองกับมือ ตอนนี้เกิดเรื่องกับเขา จะต้องมีผลกระทบต่อพี่รองของเจ้าอย่างแน่นอน อีกทั้งนี่ถือเป็นการหักหน้ากันเกินไปหน่อย”


องค์หญิงเก้าพยักหน้า ขมวดคิ้วและครุ่นคิดอยู่สักพัก “เรื่องนี้ใครเป็นคนทำกันแน่? ซินพานเป็นคนที่ทำประโยชน์ให้แก่ราชสำนัก อีกทั้งยังเป็นทหารที่เป็นที่รักของประชาชน นี่ไม่ได้เป็นเพียงการลอบฆ่าคนสำคัญของราชสำนักเท่านั้น อีกทั้งยังเป็นการทำให้ประชาชนโกรธแค้นอีกด้วย แม้แต่เสด็จพ่อเอง คิดว่าก็คงทรงกริ้วไม่น้อย”


หลี่เย่ยิ้มแหยๆ “ถึงแม้จะไม่มีหลักฐาน แต่คนที่ลงมือทำเช่นนั้นได้จะเป็นผู้ใด? เพียงแค่คิดก็รู้แล้ว”


องค์หญิงเก้านิ่งขรึมไปทันที สักพักถึงได้พูดว่า “คนเลวทรามน่ารังเกียจ”


ถาวจวินหลันหยิบองุ่นส่งให้องค์หญิงเก้า “พอเถิดๆ ไม่ต้องพูดเรื่องพวกนี้แล้ว ปล่อยให้พวกผู้ชายเขากังวลใจกันไปเถิด พวกเรากินผลไม้ดื่มชาก็พอ”


องค์หญิงเก้าเองก็รู้ดีว่าเรื่องนี้นางช่วยอะไรไม่ได้ ดังนั้นจึงสลัดเรื่องนี้ออกจากหัวไป หยิบลูกท้อขึ้นมาแล้วกัดลงไป จากนั้นก็ขมวดคิ้วขึ้นมาทันที “ทำไมถึงเปรี้ยวเช่นนี้!”


ถาวจวินหลันหัวเราะแล้วพูดว่า “รสชาติก็เป็นเช่นนี้แหละ ของในวังหลวงเป็นผลไม้ที่ปลูกเป็นพิเศษ ย่อมต้องมีรสชาติดี ถึงแม้ของพวกนี้จะไม่ได้หวานมาก แต่ก็ใช้ได้ ถือว่ามีรสชาติไปอีกแบบ”


องค์หญิงเก้ากัดไปอีกสองคำ เพื่อให้รู้รสชาติ แต่ว่าหลังจากกินหมดไปหนึ่งลูกก็ไม่กล้ากินต่ออีก ถ้ากินของพวกนี้มากไปจะไม่ดีต่อสุขภาพ


“เจ้าลองชิมองุ่นนี้ดูซี” ถาวจวินหลันส่งจานองุ่นสีขาวให้ “ได้ยินว่าเป็นของใหม่ที่นำมาจากเมืองทางตะวันตก”


องค์หญิงเก้าชิมไปหนึ่งเม็ด ก็รู้สึกราวกับว่าความหวานจะละลายเข้าไปถึงในหัวใจ จากนั้นก็พยักหน้า “ไม่เหมือนกับองุ่นพันธุ์ของพวกเราจริงๆ เพียงแต่หวานเกินไปหน่อย”


ทั้งสองคนพูดคุยกันเรื่องทั่วไปสักพัก เพียงแต่รู้สึกไม่ค่อยมีอารมณ์คุยนัก สุดท้ายแล้วก็ค่อยๆ เงียบไป ทั้งคู่ต่างไม่อยากหาเรื่องคุยต่อไปอีก ดังนั้นจึงได้แต่ต่างคนต่างเงียบ


หงหลัวที่ยืนอยู่ข้างๆ รู้สึกแปลกๆ จึงเรียกให้คนยกของว่างมา ยิ้มแล้วเสนอความเห็นว่า “เช่นนั้นเรียกจิ้งหลิงอี๋เหนียงมาเล่นไพ่ด้วยกันดีหรือไม่เจ้าคะ? ไม่อย่างนั้นเล่นหมากก็ไม่เลว หรือจะปักผ้าปักดอกไม้ นั่งอยู่เฉยๆ เช่นนี้ แม้แต่บ่าวเองก็ยังรู้สึกเบื่อเลยเจ้าค่ะ!”


ถาวจวินหลันได้ยินก็อดหัวเราะไม่ได้ “สาวใช้คนนี้ จุ้นจ้านเรื่องของข้าจริงๆ แต่ว่าที่เจ้าเสนอความคิดมานั้นก็ไม่เลว แต่ไม่ต้องไปเรียกคนอื่นมาหรอก ยกกระดานหมากมา ข้ากับองค์หญิงเก้าจะวางหมากกัน”


จากนั้นพวกนางก็นั่งเล่นหมากกันฆ่าเวลาตลอดทั้งบ่าย แล้วก็ให้ทั้งสองสามีภรรยาอยู่รับประทานอาหารเย็นด้วยกัน แล้วถึงได้ให้พวกเขากลับไป


รอจนกระทั่งส่งสองสามีภรรยากลับไปแล้ว ถาวจวินหลันถึงพิจารณาดูหลี่เย่อย่างดี เห็นว่าเขายังคงหน้านิ่วคิ้วขมวด แต่ก็ไม่ได้ดูกังวลเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว นางจึงได้รู้ว่าหลังจากการปรึกษาหารือกันตลอดทั้งบ่าย ไม่ถือว่าทำไปโดยเปล่าประโยชน์


ตกดึกตอนเข้านอน หลี่เย่กับถาวจวินหลันนอนอยู่บนเตียงด้วยกัน หลี่เย่เอ่ยขึ้นว่า “เรื่องนี้สามารถถวายฎีกาขึ้นไปได้ เรื่องเช่นนี้ ช่างทำให้คนรู้สึกกลัวจริงๆ ”


“จะถวายฎีกาได้อย่างไร?” ถาวจวินหลันไม่ค่อยเข้าใจเท่าไรนัก


“มีคนคิดทำการกบฏ” น้ำเสียงของหลี่เย่เคร่งขรึมอยู่ในความมืด ดูเหมือนกับว่าทุกคำมีน้ำหนักและหนักแน่น แต่ดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องที่เขาพูดยากลำบากจริงๆ


ถาวจวินหลันพูดซ้ำ “มีคนคิดทำการกบฏรึ?” มีคนคิดทำการกบฏ…ถึงแม้ว่าซินพานจะมีความดีความชอบอยู่มาก แต่ก็ไม่ถึงขั้นนั้นมิใช่รึ? อีกอย่าง ตอนนี้ฮ่องเต้ทรงต้องการจะใช้คน จะไม่มีทางทำเช่นนี้เป็นแน่


“เพียงแค่ทำให้ทุกคนให้ความสนใจในเรื่องนี้ก็เท่านั้น ข้ากลัวว่าสุดท้ายแล้วเรื่องนี้จะไม่ได้รับความยุติธรรม ข้าจึงโหมเรื่องนี้ให้เป็นเรื่องใหญ่ เพื่อลากทุกคนเข้ามาในเรื่องนี้ ถึงจะได้สืบเรื่องนี้ให้กระจ่าง และจะได้แก้แค้นแทนซินพานได้” น้ำเสียงของหลี่เย่ยังคงเคร่งขรึมดังเดิม แต่ฟังแล้วดีกว่าก่อนหน้านี้เป็นอย่างมาก


ถาวจวินหลันครุ่นคิดเรื่องแผนการนี้โดยละเอียดแล้ว สุดท้ายก็พบว่า หากจัดการเรื่องนี้เช่นนี้ ถือว่าเป็นทางที่ดีที่สุดแล้ว หลี่เย่เพียงคนเดียวไม่สามารถสืบทุกอย่างให้กระจ่างได้ ดังนั้นจึงต้องยืมอำนาจของฮ่องเต้ ส่วนฮ่องเต้นั้น อาจด้วยแรงกดดันและการถูกบีบบังคับ สุดท้ายแล้วจึงทำให้ไม่มีทางจัดการกับเรื่องนี้ได้


ดังนั้น มีเพียงแค่ต้องลากฮ่องเต้เข้ามาเกี่ยวด้วยเท่านั้น ถึงจะทำให้เรื่องนี้ง่ายขึ้น


แต่ว่า…ถาวจวินหลันก็คิดบางอย่างขึ้นได้ “ช่วงนี้มีเรื่องการลอบสังหารบ่อยขึ้น ดูเหมือนว่าจะเป็นฝีมือของคนคนเดียวกันที่บงการ”


หลี่เย่ชะงักจนหยุดหายใจไป จากนั้นก็ค่อยๆ กลับมาเป็นปกติ เพียงแค่เอ่ยปากออกมาน้ำเสียงก็ฟังดูสนุกขึ้นมา “เจ้าพูดไปแล้ว ข้าก็เห็นว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ เรื่องการลอบสังหารนั้น ช่วงนี้ดูออกจะมีบ่อยครั้งเกินไปหน่อย ครั้งแรกยังพอว่า ยังไม่ชัดเจนเท่าไรนัก แต่ครั้งที่ลอบสังหารข้าและครั้งนี้ที่ลอบสังหารซินพาน กลับดูชัดเจนเป็นอย่างมาก นักฆ่าก็ยังถูกฝึกฝนมาเป็นอย่างดี”


ถาวจวินหลันพยักหน้า “เป็นเช่นนั้นจริงๆ คิดไปแล้ว พวกเขาจะต้องเป็นพวกเดียวกันอย่างแน่นอน”


“ที่สำคัญที่สุดก็คือ การฝึกฝนนักฆ่านั้นไม่ใช่เรื่องง่าย คำนวณเวลาดูแล้ว นักฆ่าที่ลอบสังหารข้ากับที่ลอบสังหารซินพานคงเป็นคนละกลุ่มกัน เจ้าว่า พวกเขาฝึกฝนนักฆ่าเอาไว้มากมายเช่นนี้เพื่ออะไรกัน?” น้ำเสียงของหลี่เย่ฟังดูหนักแน่น “พวกเขาวางแผนจะทำอะไรกันแน่?”


คำพูดของหลี่เย่ทำให้ถาวจวินหลันอดรู้สึกหนาวสะท้านไม่ได้ รู้สึกเพียงแค่ตรงคอของนางมีลมเย็นวาบเข้ามาปะทะ แล้วก็อดซุกตัวลงไปในอกของหลี่เย่ไม่ได้ จากนั้นนางถึงได้เอ่ยปากขึ้นว่า “เกรงว่าพวกเขาคงคิดจะใช้วิธีนี้กวาดล้างฝ่ายตรงข้ามไปให้หมดสิ้น อย่างเช่นท่าน ที่ไม่สามารถหาข้อผิดพลาดหรือจุดอ่อนใดๆ ได้ จึงมีเพียงแค่วิธีนี้”


“มีครั้งแรกก็ต้องมีครั้งต่อๆ ไป” วิธีนี้ถือเป็นวิธีที่มีผลสำเร็จมากที่สุด ไม่ว่าจะกดลงไปเท่าไร อีกฝ่ายก็ยังมีทางพลิกกลับมาตั้งตัวได้ แต่หากใช้วิธีถอนรากถอนโคนเช่นนี้ ทำให้อีกฝ่ายหายไปจากโลกใบนี้…ถึงจะเป็นวิธีที่ทำให้วางใจได้มากที่สุด


“ท่านขวางทางของพวกเขา ดังนั้นพวกเขาจึงต้องกำจัดท่าน หากว่ามีสักวัน ที่ฮ่องเต้ขวางทางของพวกเขา…” ถาวจวินหลันรู้สึกหนาวสะท้าน แล้วพูดไม่ออก ถึงแม้เรื่องนี้จะดูเกินความเป็นจริง แต่นางกลับรู้สึกมีลางสังหรณ์แปลกๆ ว่าเรื่องนี้อาจเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้มากที่สุด


หลี่เย่นิ่งขรึมไปพักใหญ่ สุดท้ายแล้วก็ถอนใจออกมา “นอนเถิด เรื่องนี้มีข้าอยู่ เจ้าไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น” 

 

 


ตอนที่ 403 พูดมาก

 

เป็นเพราะอยู่ๆ ก็คิดเรื่องเช่นนั้นขึ้นมา ทำให้ถาวจวินหลันไม่สบายใจ อารมณ์ของนางจึงผิดปกติไปหลายวัน


แน่นอนว่าหลี่เย่สัมผัสได้ แต่ก็ไม่มีวิธีอธิบายให้ถาวจวินหลันเข้าใจ จึงทำได้แค่เพียงรอให้นางเข้าใจด้วยตัวเอง


แต่ว่าเรื่องแบบนี้ จะคิดเข้าใจได้ง่ายๆ เช่นนั้นรึ? ถาวจวินหลันไม่เพียงแต่กังวลเรื่องหลี่เย่ แต่นางยังเป็นห่วงซวนเอ๋อร์และยังเป็นห่วงน้อยชายน้องสาวของนาง


อาจด้วยหงุดหงิดใจ ถาวจวินหลันจึงรู้สึกว่าอากาศปีนี้ร้อนยิ่งกว่าปีที่ผ่านๆ มา


วันนี้นางพาซวนเอ๋อร์ออกไปถวายพระพรไทเฮา ไทเฮากลับเป็นไข้แดด ท่าทางดูอ่อนเพลียไม่มีเรี่ยวแรง อาการดูแล้วไม่ดีนัก


อาจด้วยกังวลว่าซวนเอ๋อร์จะพลอยไม่สบายไปด้วย ไทเฮาจึงกำชับถาวจวินหลันว่า “ให้ซวนเอ๋อร์ดื่มน้ำแกงถั่วเขียวเยอะๆ หากว่าเขาไม่ยอมกิน ก็ให้ชงชาที่มีฤทธิ์เย็นให้เขาดื่ม ปีนี้อากาศร้อน ตอนนี้เข้ากลางปีแล้วฝนยังไม่ตก อากาศจึงอบอ้าวจนทนไม่ไหว เจ้าจะต้องใส่ใจเป็นอย่างมาก ตวนอ๋องเองก็ด้วย เจ้าจะต้องให้เขากินของที่มีฤทธิ์เย็นและดับร้อน”


ความเป็นห่วงเป็นใยของไทเฮานี้ ถาวจวินหลันได้แต่ยิ้มแล้วรีบรับคำ “ไทเฮาวางพระทัยเถิดเพคะ ข้าไม่มีทางละเลยเรื่องพวกนี้แน่นอน”


จางหมัวหมัวถวายการดูแลให้ไทเฮาเสวยโอสถ แล้วก็พูดแทรกด้วยความกังวลใจเช่นกัน “ตอนนี้ถึงกลางปีแล้วฝนก็ยังไม่ตก น้ำในบ่อคงแห้งไปไม่น้อย พวกเรายังถือว่าได้อยู่ แต่ไม่รู้ว่าบริเวณที่แห้งแล้งจะเป็นเช่นไรบ้าง”


ไทเฮาถอนใจ แล้วสวดมนต์ จากนั้นก็เอ่ยขึ้นเพียงแค่ว่า “หวังว่าฝนจะตกลงมาในเร็ววัน ประชาชนจะได้อยู่อย่างสุขสบาย”


ถาวจวินหลันรู้ว่าไทเฮาทรงกังวล…หากฝนยังไม่ยอมตกลงมาเช่นนี้ จะต้องประสบกับภัยแล้งอย่างแน่นอน พอแห้งแล้งก็ไม่มีผลผลิตทางการเกษตร แต่ประชาชนทั้งหลายต่างใช้ของพวกนี้ในการเลี้ยงชีวิตและครอบครัว หากว่าเกิดปัญหาใดๆ ขึ้นจริง แค่คิดก็รู้ว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร


หากว่าเกิดภัยแล้งขึ้นจริง บางทีปีนี้อาจยังไม่รู้สึกอะไร แต่ฤดูใบไม้ผลิปีหน้า หรือบางทีอาจไม่ต้องรอถึงฤดูใบไม้ผลิ ผลกระทบก็จะตามมาแล้ว…ไม่มีผลผลิตทางการเกษตรแล้วประชาชนจะกินอะไร? ไม่มีอะไรกิน หากไม่หิวตายก็ต้องคิดหาวิธีจะหาของกินมาให้ได้ ถึงตอนนั้น ไม่แน่ว่าอาจเกิดนักเลงเกลื่อนเมือง หรืออาจไปเป็นโจรกันหมด


เรื่องนี้สำหรับราชสำนักแล้ว เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่เรื่องดี


“ไม่แน่ว่าพรุ่งนี้ฝนอาจตกลงมาแล้วก็ได้เพคะ” ถาวจวินหลันหัวเราะ เพื่อปลอบใจไทเฮา “ไม่เช่นนั้น รอไทเฮาทรงหายประชวรแล้ว ก็ให้นักบวชมาทำพิธีขอพรก็ได้เพคะ”


ไทเฮาพยักหน้า “ก็ทำได้แค่เพียงเท่านี้แล้ว” หากว่าเป็นภัยที่เกิดจากฝีมือคน ราชสำนักยังมีวิธีรับมือ แต่นี่เป็นภัยธรรมชาติ นอกจากการเตรียมรับมือแล้ว ยังทำอะไรได้อีก? ก็มีเพียงแค่สวดมนต์ขอพรทางนี้ทางเดียวเท่านั้น


จากนั้นไทเฮาก็มองไปทางถาวจวินหลัน แล้วพูดว่า “เจ้าเตรียมการแทนข้าไปก่อน รอข้าหายดีแล้วข้าจะกินเจเพื่อขอพรด้วยตัวเอง”


“เช่นนี้ข้าจะกินเจกับไทเฮาด้วยเพคะ” ถาวจวินหลันพยักหน้า แล้วก็ไม่ปฏิเสธ อีกทั้งยังพูดเสริมไปเช่นนี้ อารมณ์ของไทเฮาไม่ดีนัก ในตอนนี้หากสามารถหาวิธีที่จะทำให้ไทเฮาคลายความกังวลใจลงไปบ้าง ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว ส่วนเรื่องจะได้ผลหรือไม่…นั่นก็มิอาจรู้ได้แล้ว


หลังจากกลับมาจากเรือนที่พักของไทเฮา ถาวจวินหลันที่กังวลใจอยู่แล้ว ก็ยิ่งดูกังวลมากขึ้นไปอีก


แน่นอนว่าเรื่องนี้นางได้พูดกับหลี่เย่ แล้วยังถามเขาว่า “ไม่น่าถึงขั้นว่าเกิดภัยแล้งกระมัง?”


หลี่เย่ส่ายหัว ท่าทีดูเคร่งขรึม “เรื่องนี้รับประกันไม่ได้…หากฝนยังไม่ตกลงมา ก็มีโอกาสสูงมากที่จะเกิดภัยแล้ง หลิวเอินส่งข่าวมาบอกว่า ทางเหอเป่ยมี่ท่าทีว่าจะประสบภัยแล้งแล้ว พืชต่างๆ เริ่มแห้งตาย แดดยังแรงมาก น้ำบาดาลที่ขุดขึ้นมาก็เริ่มแห้งเหือด”


ถาวจวินหลันได้ยิน ก็รู้สึกหนักใจขึ้นมาทันที “เช่นนั้นราชสำนักพอมีวิธีบ้างหรือไม่?”


“เกรงว่าคงไม่มีวิธีที่ดีมากนัก…” หลี่เย่หัวเราะอย่างขมขื่น ท่าทางดูไม่รู้ควรทำเช่นไร “หากว่าเกิดภัยพิบัติขึ้นจริง ก็ทำได้เพียงแค่ส่งเสบียงอาหารไปบรรเทาทุกข์ก็เท่านั้น” เรื่องขาดน้ำนั้นราชสำนักเองก็ทำอะไรไม่ได้ เรื่องน้ำ ไม่เหมือนกับของอื่นๆ น้ำไม่มีวิธีขนส่งไปได้ แล้วจะทำเช่นไร?


ถาวจวินหลันถอนใจ “ไทเฮาเองก็กำลังเป็นทุกข์เพราะเรื่องนี้ แต่ว่าเรื่องนี้ราชสำนักควรเตรียมตัวไว้แต่เนิ่นๆ ”


สีหน้าของหลี่เย่ยิ่งแสดงความอึดอัดใจมากขึ้นไปอีก เขาพูดว่า “ช่วงกี่วันมานี้ เสด็จพ่อถูกอี๋เฟยรั้งตัวไว้ ข้าเองไม่ได้พบเขาเลย ได้แต่เพียงช่วยตรวจราชโองการต่างๆ เท่านั้น”


ถาวจวินหลันคิดไม่ถึงว่าเรื่องจะเป็นเช่นนี้ จึงร้องตกใจ “หา เพิ่งเกิดเรื่องกับซินพาน ฮ่องเต้ก็ไม่ควรจะ…อีกทั้งตั้งแต่ฮ่องเต้ขึ้นครองราชย์ ก็ทรงงานหนักมาโดยตลอด ทำไมถึงได้…” ทำไมถึงได้เห็นเรื่องพวกนี้สำคัญกว่าเรื่องบ้านเมืองไปได้?


หลี่เย่หัวเราะอย่างขมขื่น “เป็นเพราะเหตุนี้ ถึงได้ทำให้รู้สึกว่าไม่เหมาะสมนัก”


“หรือบางทีฮ่องเต้กำลังหยั่งเชิงพวกท่าน?” หัวใจของถาวจวินหลันเต้นแรง แล้วคิดได้ว่า “ไม่เช่นนั้นพระองค์จะเรียกให้ท่านเข้าร่วมในเรื่องราชสำนักหรือช่วยตรวจดูราชโองการก็ไม่เหมาะสมนัก”


หลี่เย่ครุ่นคิดอยู่ในใจสักพัก สุดท้ายก็พยักหน้าอย่างเคร่งขรึม “พูดเช่นนี้ ก็มีความเป็นไปได้”


“ฮ่องเต้ไม่ใช่คนมักมากในกามารมณ์ อีกทั้งอี๋เฟยไม่ได้รับความโปรดปรานมาแต่ไหนแต่ไร ทั้งตอนนี้ยังตั้งครรภ์ ไม่มีเหตุผลให้รั้งตัวฮ่องเต้เอาไว้ ดังนั้นดูแล้วเหมือนเป็นข้ออ้าง” ถาวจวินหลันวิเคราะห์อย่างละเอียด แล้วพูดต่อว่า “หากที่ข้าเดาเป็นเรื่องจริง เช่นนั้นท่านก็ควรจะต้องระวังให้มากขึ้น” สักพัก ก็พูดต่ออีกว่า “แต่ว่า ท่านเองก็ควรหาโอกาสไปเตือนพระองค์เรื่องนี้”


ข้อแรกเพื่อแสดงความห่วงใย ข้อสองเพื่อแสดงความจงรักภักดี


ตัดความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกออกไปแล้ว หลี่เย่กับฮ่องเต้ก็มีความสัมพันธ์เป็นขุนนางกับกษัตริย์ ดังนั้น บางครั้งนางคิดว่าก็ควรทำตามหน้าที่ที่ขุนนางต้องปฏิบัติต่อฮ่องเต้ จะพูดถึงความสัมพันธ์ในครอบครัวเพียงอย่างเดียว…จริงๆ แล้ว ความสัมพันธ์ในครอบครัวของราชวงศ์นั้นช่างเบาบางนัก


แน่นอนว่าหลี่เย่เข้าใจความหมายของถาวจวินหลัน จากนั้นจึงพยักหน้าแล้วรับคำ ยิ้มแล้วพูดว่า “ตอนนี้ข้าถือว่าเข้าใจแล้วว่าอะไรที่เรียกว่าภรรยาที่คอยช่วยเหลืออยู่ข้างหลัง”


ถาวจวินหลันถูกเขาแกล้งหยอกเช่นนี้ ก็รู้สึกเขินอาย แล้วมองเขาอย่างตำหนิ “พูดอะไรไร้สาระ? หากใครมาได้ยินเข้า จะไม่หัวเราะจนฟันหลุดรึ? อีกทั้งยังเป็นเพียงแค่ความคิดของผู้หญิงเท่านั้น เพียงพูดเปะปะไป จะเอาไปคิดเป็นเรื่องจริงจังไม่ได้”


“ข้ากลับรู้สึกว่าเจ้าแข็งแกร่งกว่าผู้ชายพวกนั้นด้วยซ้ำไป” หลี่เย่หัวเราะ แล้วไม่ปกปิดน้ำเสียงแสดงความภูมิใจของตัวเองเลยแม้แต่น้อย “แม้แต่พวกหญิงสาวจากตระกูลสูงศักดิ์ที่อบรมสั่งสอนบ่มเพาะมาเป็นอย่างดี ข้าก็ไม่เห็นว่าจะสู้เจ้าได้เลย”


ถาวจวินหลันฟังแล้วรู้สึกว่ายิ่งไปกันใหญ่ จึงลุกขึ้นและไม่สนใจเขา ก่อนเดินออกไปยกน้ำแกงเข้ามา “ส่วนไทเฮานั้น ท่านเองก็ควรไปเยี่ยม ปลอบใจไทเฮาว่าอย่างทรงกังวลไปเลย”


หลี่เย่ได้ยินก็ถอนใจ “ไทเฮาทรงกังวลใจเรื่องราษฎร”


ทั้งสองคนพูดคุยเรื่องทั่วไปสักพัก แล้วก็รับประทานอาหารเย็น พวกเขาเคยชินที่จะไปเดินเล่นด้วยกันในสวนหลังทานอาหารเย็นเสร็จแล้ว เพียงแต่ตอนนี้ฝนยังไม่ตก ถึงแม้ว่าฟ้าจะมืดลงแล้ว แต่ลมที่พักมาก็ไม่ได้ให้ความเย็นนัก กลับเป็นความรู้สึกร้อนอบอ้าว


“หากว่าฝนตก เกรงว่าคงตกหนักเป็นแน่” หลี่เย่ลองนับนิ้วดูแล้ว ก็พูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมเล็กน้อย


“เฮ้อ” ถาวจวินหลันถอนใจตามไปด้วย “ฝนตกตามฤดูกาลมานานหลายปี ปีนี้กลับเป็นอะไรไป?”


แต่ว่าจริงๆ คิดไปแล้วก็ไม่แปลก…ผ่านไปช่วงหนึ่ง ก็จะต้องเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น ราวกับเป็นการกำหนดของสวรรค์อย่างไรอย่างนั้น


“กรมพยากรณ์ถวายหนังสือเรื่องการทำพิธีขอฝนมาแล้ว เพียงแต่ต้องให้เสด็จพ่อออกหน้า อย่างไรก็จะต้องเดินทางกลับไปเมืองหลวง ไม่แน่ว่าถึงตอนนั้นพวกเราก็ไม่มีโอกาสได้อยู่ที่นี่ต่อแล้ว” หลี่เย่พูดด้วยท่าทีเสียใจเล็กน้อย “ไม่ง่ายเลยที่จะได้มีเวลาว่างพาเจ้าออกมาปลดปล่อยเช่นนี้ แต่กลับมีเรื่องนั้นเรื่องนี้ไม่หยุด”


ถาวจวินหลันเม้มปากแล้วหัวเราะ คิดถึงก่อนหน้านี้ที่ได้ใช้ชีวิตอย่างว่างๆ และสบายใจ หากจะพูดว่าไม่คิดถึงเวลาช่วงนั้นก็คงโกหก เพียงแต่จะคิดถึงเช่นไร วันเวลาพวกนี้ก็ต้องผ่านไป อะไรที่ควรจะเกิดก็ต้องเกิด ดังนั้นสุดท้ายแล้วนางจึงพูดขึ้นเพียงว่า “เป็นอะไรไปเล่า? ก่อนหน้านี้ไม่ได้พักผ่อนไปตั้งหลายวันแล้วรึ? เรื่องนี้จะโทษท่านได้อย่างไร? อีกทั้ง พวกเรายังมีเวลาอีกทั้งชีวิต จะมาสนใจเวลาเล็กน้อยพวกนี้ไปเพื่ออะไร?”


หลี่เย่ได้ยินแล้ว ก็รู้สึกหวานซึ้งในใจ แล้วก็พูดว่า “ใช่ซี พวกเรายังมีเวลาอีกทั้งชีวิต” ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องรีบร้อนในตอนนี้


ทั้งสองคนพูดคุยกันไป แล้วก็เดินช้าๆ อิงแอบกันไปมา ทำให้เกิดเป็นความรู้สึกอบอุ่น


วันนี้ถาวจวินหลันได้เล่นหมากกับองค์หญิงแปดองค์หญิงเก้า ฉับพลันองค์หญิงแปดก็พูดอะไรบางอย่างขึ้นมาจนทำให้ถาวจวินหลันถึงกับรู้สึกไม่เข้าใจขึ้นมา “พี่สะใภ้รองอย่าคิดมากไปเลย ก็แค่คนชั่วคิดทำเรื่องเลวๆ เท่านั้น ปล่อยนางไปก่อน รอนางคลอดแล้ว พวกเราค่อยหาวิธีแก้แค้น”


ถาวจวินหลันชะงักไปทันที ไม่เข้าใจความหมายที่องค์หญิงแปดพูดมา จึงค่อยๆ พูดว่า “อะไรรึ?”


องค์หญิงแปดรู้สึกตัว ใบหน้าเต็มไปด้วยความแปลกใจ “พี่สะใภ้รองไม่รู้เรื่องนี้รึ?”


ถาวจวินหลันรู้ว่าองค์หญิงเก้าเสียใจที่พูดเรื่องนี้ออกมา นางพลันใจเต้นและรู้ได้ทันทีว่าเรื่องที่องค์หญิงแปดพูดจะต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่นอน อีกทั้งยังมีส่วนเกี่ยวข้องกับนางอีกด้วย พอเอามาปะติดปะต่อกับเรื่องคลอดลูก นางจึงเอ่ยปากถามไปว่า “อี๋เฟยทำอะไรรึ?”


องค์หญิงแปดมองถาวจวินหลันอย่างทำตัวไม่ถูก แล้วกลับไม่ยอมพูดอะไรออกมา “เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องดีอะไรนัก พี่สะใภ้รองอย่ารู้เลยจะดีกว่า”


องค์หญิงเก้ามองไปทางองค์หญิงแปด ท่าทีดูครุ่นคิด


องค์หญิงแปดก้มหน้า จึงมองไม่เห็นสายตาที่องค์หญิงเก้ามองมา


ถาวจวินหลันเห็นว่าองค์หญิงแปดไม่ยอมพูด จึงหันไปทางองค์หญิงเก้า “เจ้ารู้เรื่องนี้หรือไม่?”


องค์หญิงเก้าส่ายหัว “จิ้งผิงยังบาดเจ็บอยู่ ข้าเองก็ไม่ได้ออกไปที่ใด จะรู้เรื่องพวกนี้ได้อย่างไร? ถามพี่หญิงแปดเอาเถิด” สุดท้ายแล้วก็โยนไปให้องค์หญิงแปด ทั้งยังพูดล้อเล่นว่า “พี่หญิงแปดทำเช่นนี้ก็เกินไปจริงๆ ตั้งใจพูดเพื่อล่อให้อยากรู้รึ?”


องค์หญิงแปดทำหน้าไม่ถูก “ข้าคิดไม่ถึงว่าพี่สะใภ้รองจะไม่รู้เรื่องนี้ ข้าเห็นว่าพี่สะใภ้รองทำท่าทางกังวลใจ เลยคิดว่านางไม่สบายใจเพราะเรื่องนี้ แต่กลับคิดไม่ถึงว่า…เป็นเพราะข้าไม่ดีเอง”


“เอาล่ะ รีบพูดมาเถิด ไม่อย่างนั้นต่อไปข้าจะไม่พูดกับเจ้าแล้ว” ถาวจวินหลันหัวเราะแล้วเร่ง “เจ้าก็รู้ว่าข้าชอบคนตรงไปตรงมา เจ้าจะทำตัวแปลกๆ เช่นนี้ไปทำไมกัน?”


องค์หญิงแปดเห็นว่าพูดจนถึงขั้นนี้แล้ว หากนางยังไม่ยอมพูดก็คงไม่ดีนัก จึงได้ถอนใจเอ่ยว่า “ท่านไม่รู้หรอกว่า อี๋เฟยพูดอะไรไม่ดีกับเสด็จพ่อ จึงทำให้เสด็จพ่อเรียกตัวพี่รองไปตำหนิเพราะเรื่องนี้”


ถาวจวินหลันรู้สึกหัวใจหนักอึ้ง จากนั้นก็ถามเนิบๆ ว่า “ฮ่องเต้ตำหนิท่านอ๋องเรื่องอะไรรึ?” 

 

 


ตอนที่ 404 แก้แค้น

 

องค์หญิงแปดถอนหายใจออกมา พูดว่า “สรุปแล้วว่าทางด้านอี๋เฟยพูดอะไรก็ไม่มีใครรู้ แต่เสด็จพ่อบอกว่าพี่รองไม่ให้เขาโปรดปรานแต่เพียงคนเดียว และให้พี่รองบังคับคนที่อยู่ในเรือน ไม่อนุญาตให้คนในเรือนเย่อหยิ่งลำพองใจเพียงเพราะว่าได้รับการแต่งตั้งเป็นชินอ๋อง”


ที่จริงแล้วจากคำพูดที่ฮ่องเต้ว่ากล่าวหลี่เย่ ก็พอคาดเดาได้ว่าแท้จริงแล้วอี๋เฟยพูดอะไร


หลังจากที่ถาวจวินหลันได้ยินแล้ว ก็หัวเราะเสียงเย็นทันที “ข้ากลับไม่รู้เลยว่าข้าเย่อหยิ่งลำพองตนตั้งแต่เมื่อใดกัน”


องค์หญิงเก้าเองก็มีท่าทีแค้นเคืองต่อความไม่เป็นธรรม


องค์หญิงแปดกลับถอนหายใจออกมาอีกครั้ง “ไม่รู้ว่าเสด็จพ่อเชื่อได้อย่างไร ท่าทีของไทเฮาตอนนี้ก็ไม่ค่อยดีนักและยังไม่รู้เรื่องนี้ หากรู้เรื่องเข้าคงจะต้องโกรธเคืองเป็นแน่”


ในใจของถาวจวินหลันคิดว่าต่อให้ไทเฮาโกรธแล้วจะเป็นอย่างไร? สุดท้ายแล้วในตอนนี้อี๋เฟยก็ตั้งครรภ์อยู่ถือว่ามียันต์คุ้มครองตนอย่างดี ไม่สามารถทำอะไรได้ อีกทั้งไทเฮาก็ไม่ได้โกรธแทนนาง แต่เป็นหลี่เย่ต่างหาก


“ตอนที่ฮ่องเต้ตรัส ยังมีคนอื่นอยู่อีกหรือไม่?” ตอนนี้ถาวจวินหลันกังวลเรื่องนี้มากที่สุด หากพูดต่อหน้าคนจำนวนมากก็ถือว่าหักหน้ากัน เกรงว่าต่อจากนี้อำนาจของหลี่เย่คงจะได้รับผลกระทบเป็นแน่


ถาวจวินหลันรู้สึกโกรธเคืองการกระทำเช่นนี้ของอี๋เฟยเล็กน้อย แต่หลังจากนั้นก็เริ่มสับสน นางไปทำอะไรไม่ดีกับอี๋เฟยกันแน่? ถึงกับทำให้อี๋เฟยตั้งตัวเป็นปฏิปักษ์ต่อนางอย่างไม่เหลือที่ให้ยืนเช่นนี้?


องค์หญิงแปดส่ายหน้า “ไม่มีใครอยู่หรอก เห็นได้ชัดว่าเสด็จพ่อก็ไว้หน้าพี่รองอยู่บ้าง”


ถาวจวินหลันหัวเราะเสียงเย็น นิ่งคิดอยู่ในใจไม่ได้พูดอะไรออกมา หากไว้หน้าหลี่เย่จริง เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องพูดต่อหน้าคนอื่น ตักเตือนกันเป็นการส่วนตัวจะไม่เหมาะสมกว่าหรืออย่างไร? เห็นได้ชัดว่าฮ่องเต้เองก็มีความคิดอื่นแอบแฝงเช่นกัน


ภายในช่วงเวลาสั้นๆ ก็คิดได้ว่าหลี่เย่ไม่ได้บอกเรื่องนี้กับตน นางยิ่งรู้สึกไม่พอใจมากขึ้น แน่นอนว่านางเข้าใจว่าที่หลี่เย่ไม่ยอมบอกนางก็ด้วยกลัวนางโทษตนเองและโมโหเคือง แต่เมื่อคิดว่าหลี่เย่ต้องแบกรับเรื่องนี้คนเดียวเงียบๆ นางก็รู้สึกขอโทษและเจ็บปวดหัวใจ


“พี่สะใภ้รองไม่จำเป็นต้องแค้นเคืองไป” องค์หญิงแปดปลอบประโลมต่อไป “พูดไปแล้วก็เพราะว่าเสด็จพ่อไม่เข้าใจท่าน อีกทั้งมีคนตั้งใจหาเรื่องถึงได้เป็นเช่นนี้”


ถาวจวินหลันกดความไม่พอใจลงไป แล้วยิ้มอย่างฝืดเคืองพลางพยักหน้า เรื่องนี้แม้ว่านางจะเคืองแค้นแล้วจะเป็นอย่างไรกัน? อย่างไรก็คงไม่สามารถไปหาฮ่องเต้เพื่ออธิบายเรื่องนี้ให้ชัดเจนได้


ด้วยอากาศที่ร้อนขึ้นเรื่อยๆ อารมณ์ของไทเฮาก็ยิ่งไม่ดีมาก แม้ว่าจะเสวยโอสถไปแล้วก็ไร้ประโยชน์ ตอนนี้ทุกคนต่างก็เริ่มเป็นกังวล อายุของไทเฮาก็มากแล้ว หากเป็นเช่นนี้ต่อไปร่างกายคงจะรับไม่ไหวเป็นแน่ อีกทั้งนี่ก็เป็นเหมือนกับสัญลักษณ์อย่างหนึ่ง เตือนให้ทุกคนรู้ว่าไทเฮามีร่างกายโรยราไปตามกาลเวลา


นอกจากถาวจวินหลัน องค์หญิงแปด และองค์หญิงเก้าแล้ว พระชายาจวงอ๋องและพระชายาอู่อ๋องก็ต้องเข้าไปดูแลรับใช้ทุกวันเช่นเดียวกัน โดยที่ตามบรรดาพระสนมทั้งหลายไป ถ้าไม่มีเรื่องสำคัญอะไรก็จำจะต้องมาทุกวันสักครั้งหนึ่ง


ฮ่องเต้เองก็ต้องพาบรรดาลูกชายสองสามคนมาด้วยทุกวัน


กลับเป็นซวนเอ๋อร์และหมิงจูที่อายุน้อยเกินไป ไทเฮากลัวว่าทั้งสองพี่น้องจะติดโรคจึงไม่อนุญาตให้เข้ามาแม้แต่ก้าวเดียว


ในที่สุดวันนี้จางหมัวหมัวก็ทนไม่ไหว ฉวยโอกาสยามฮ่องเต้เสด็จมา แอบขอร้องกับฮ่องเต้ว่า “เสวยโอสถก็ไม่เห็นผลเพคะ ไม่สู้เชิญคนมีฝีมือมาดูเสียหน่อยเล่าเพคะ? ไม่แน่ว่าอาจจะมีคนทำของใส่อยู่ก็เป็นได้”


แต่ไหนแต่ไรมาฮ่องเต้ก็ไม่ชอบเรื่องมนต์ดำอะไรอยู่แล้ว แต่เมื่อเห็นไทเฮาที่นอนอยู่กับเตียงผ่ายผอม อิดโรย และสมาธิสั้นลงทุกวัน ฮ่องเต้ก็นิ่งไปครู่ใหญ่ สุดท้ายก็ตอบตกลง


เรื่องนี้มอบให้กับจิ้งเฟยเป็นคนจัดการ ซูเฟยและจิ้งเฟย คนหนึ่งนั่งประจำการอยู่ที่วังหลวง อีกคนหนึ่งตามฮ่องเต้มาที่พระราชวังฤดูร้อนเพื่อหลบร้อน


เรื่องนี้ถาวจวินหลันก็รู้เรื่อง จึงอดพูดกับหลี่เย่ไม่ได้ ใครจะรู้ว่าหลี่เย่กลับถามอย่างสนใจ ถาวจวินหลันจึงพูดให้ฟังอย่างละเอียด


หลี่เย่ฟังจบก็เหมือนว่าคิดอะไรอยู่บางอย่าง “พูดเช่นนี้ดูมีเหตุผลอยู่บ้าง ขอแค่เกิดผลดีก็คงจะดี”


ถาวจวินหลันเองก็หวังว่าไทเฮาจะหายดีในเร็ววัน แล้วก็ถอนหายใจออกมา “หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น” หยุดไปครู่หนึ่งก็ฉุกคิดขึ้นได้ แล้วมองหลี่เย่ด้วยสายตาเป็นประกาย


หลี่เย่สัมผัสได้ จึงขมวดคิ้วเล็กน้อย “ทำไมหรือ?”


ถาวจวินหลันลังเลอยู่ครู่หนึ่งและพูดว่า “ที่จริงข้ารู้แล้ว ว่าอี๋เฟยพูดเรื่องไม่ดีเกี่ยวกับข้า ทำให้ฮ่องเต้ว่ากล่าวตักเตือนท่าน”


หลี่เย่นิ่งไป จากนั้นก็พูดว่า “ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร อย่าคิดมากไปเลย”


ถาวจวินหลันคาดเดาถึงปฏิกิริยาของเขาได้ก่อนแล้ว ก็รู้สึกจนปัญญาเล็กน้อย เพียงพูดออกมาอย่างโมโหว่า “ข้ากลับไม่ได้ใจกว้างถึงเพียงนั้น เรื่องนี้ข้าจะต้องหาวิธีแก้แค้นเป็นแน่”


หลี่เย่กลับคิดไม่ถึงว่าถาวจวินหลันจะพูดเช่นนี้ ภายในช่วงเวลาสั้นๆ ก็รู้สึกแปลกใจจนพูดไม่ออก ผ่านไปครู่หนึ่งถึงถามว่า “เจ้าตั้งใจจะแก้แค้นเช่นไร?” แต่เดิมนั้นเขายังไม่คิดจะสนใจอี๋เฟย แต่ในเมื่อถาวจวินหลันคิดมากเช่นนี้จะลงมือก่อนก็ไม่ถือว่าผิดอะไร


ถาวจวินหลันเม้มปากยิ้ม มองดูท่าทีเช่นนี้ของหลี่เย่ก็รู้ว่าเขาวางแผนจะคล้อยตามนางสักครั้งหนึ่ง จึงยิ้มและพูดออกมาว่า “ท่านว่าไทเฮาเป็นเช่นนี้ด้วยมีคนคิดทำร้าย ฮ่องเต้จะทำเช่นไรเล่า? ด้านหนึ่งเป็นไทเฮา อีกด้านหนึ่งก็เป็นอี๋เฟยที่ตั้งครรภ์อยู่…”


หลี่เย่ขมวดคิ้วเล็กน้อย มองถาวจวินหลันอย่างตกใจ พูดตามจริงแล้วเขาไม่เคยคิดถึงวิธีเช่นนี้มาก่อน ที่จริงมานั่งคิดอย่างละเอียดแล้ว ก็ถือว่าเป็นวิธีที่ดีทีเดียว อย่างน้อยยังไม่ทันออกศึกก็ได้ชัยชนะมาครอบครองแล้ว และทำให้คนอื่นสืบหาร่องรอยได้ยาก ที่สำคัญกว่านั้นก็คือไม่ได้ทำร้ายอี๋เฟย แต่ทำให้อี๋เฟยไม่สามารถดิ้นรนไปที่ไหนได้อีก


“อี๋เฟยยิ่งไม่เข้าท่ามากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว” หลี่เย่พยักหน้า พูดออกมาอย่างช้าๆ “เรื่องนี้เจ้าไม่อาจไปลงมือเองได้ ข้าจะจัดการให้”


ถาวจวินหลันรู้นัยแฝงในคำพูดของเขา เหมือนว่าอี๋เฟยไม่ได้ทำเพียงแค่เรื่องนี้เรื่องเดียวเท่านั้น จึงรีบถามว่า “อี๋เฟยยังทำอะไรอีกหรือ?”


“เดี๋ยวคังอ๋องเองก็จะตามมาที่พระราชวังฤดูร้อน” หลี่เย่พูดกระชับได้ใจความ “ข้าคิดว่าอาจจะเป็นเพราะว่ามีคนไปพูดอะไรดีๆ ต่อหน้าเสด็จพ่อ” สำหรับคนที่พูดคำพูดเหล่านี้นั้น ในตอนนี้คิดมาคิดไปก็มีเพียงแค่อี๋เฟยเพียงคนเดียวเท่านั้นที่มีความสามารถทำเช่นนี้ได้


ถาวจวินหลันได้ยินก็ขมวดคิ้วในทันใด ถ้วยชาที่ยกขึ้นมาก็ต้องวางลงไปใหม่ “เพื่อเรื่องการแต่งตั้งองค์รัชทายาท ฮ่องเต้จะต้องไม่ชอบใจคังอ๋องซี ทำไมถึง…หากมีคนขอร้อง แต่ก็ไม่รู้ว่าไปพูดว่าอะไรถึงได้มีผลเช่นนี้”


คิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่น่าเชื่อถือ หรือว่าฮ่องเต้จะเลอะเลือนเสียแล้ว? เพิ่งจะกดฮองเฮาลงไปได้ จากนั้นก็ยังมีหน้าตายิ้มแย้ม พูดจาอ่อนโยนกับคังอ๋อง นี่ไม่ใช่ว่าทำให้เรื่องที่ทำไปก่อนหน้านี้กลายเรื่องไร้ประโยชน์หรือ?


พูดได้แค่เพียงว่าอี๋เฟยมีความกล้าดี


ก่อนหน้านี้ถาวจวินหลันรู้สึกเพียงแค่ว่าฮ่องเต้ไม่ได้เหมือนคนที่หลงมัวเมาในกามารมณ์ แต่ตอนนี้ดูแล้วเหมือนนางจะประเมินฮ่องเต้สูงเกินไป ไม่เพียงแค่ประเมินฮ่องเต้สูงเกินไป และยังประเมินอี๋เฟยต่ำเกินไปอีกด้วย อี๋เฟยช่างมีความสามารถมากจริงๆ


จะต้องรู้ว่าอี๋เฟยเคยถูกฮองเฮาวางแผนเล่นงานมาก่อน จนทำให้ฮ่องเต้ไม่ชอบใจ แต่เพียงแค่พริบตาเดียวไม่เพียงแค่ตามเสด็จมาที่พระราชวังฤดูร้อน แล้วยังพูดจาเป่าหูฮ่องเต้ได้อีกด้วย


“หากเป็นเช่นนั้นจริง คงถึงเวลาต้องจัดการอี๋เฟยให้ดีแล้ว” ถาวจวินหลันพูดอย่างเคร่งเครียด รู้สึกว่าเรื่องนี้ควรต้องให้ความสำคัญแล้ว


หลี่เย่พยักหน้า เก็บความคิดของตนเองที่ว่าจะวางเรื่องนี้ไปก่อน และพิจารณาเรื่องนี้อย่างละเอียดว่าควรจะจัดการเช่นไร


“แต่ไม่อาจให้คนอื่นโยงมาถึงพวกเราได้นะเพคะ” ถาวจวินหลันกดเสียงต่ำลงหลายส่วนตามสันชาตญาณ พูดเรื่องเช่นนี้มักจะรู้สึกใจฝ่ออยู่เสมอ หวาดกลัวว่ามีคนจะรู้ หยุดไปครู่หนึ่งก็เริ่มคิดแผนร้าย ยิ้มและพูดว่า “ตอนนี้จิ้งเฟยเป็นคนจัดการเรื่องนี้ สามารถโยนไปไว้ที่ตัวนางได้” ตอนแรกที่จวงอ๋องและอู่อ๋องปฏิบัติเช่นนั้นต่อหลี่เย่ ในตอนนี้ก็ควรเรียกดอกเบี้ยกลับคืนมาซี แน่นอนว่านางไม่ได้พูดประโยคสุดท้ายออกมา


หลี่เย่เหลือบมองถาวจวินหลันวูบหนึ่ง แล้วอดหัวเราะออกมาไม่ได้ “นี่ถือเป็นความคิดที่ดี” ในใจกลับคิดว่า หรืออู่อ๋องและจิ้งเฟยจะเคยทำอะไรให้ถาวจวินหลันไม่พอใจมาก่อนเช่นกัน? หากเป็นเช่นนั้นจริง ก็ไม่ต้องเกรงใจที่จะลงมือให้มากกว่าเดิมเสียหน่อย


ถาวจวินหลันกรอกตามองเขา คิดสวดมนต์อยู่ในใจ “อมิตาพุทธ ข้าทำผิดศีลเสียแล้ว”


หลี่เย่หัวเราะทันที “เจ้าเชื่อพระพุทธเจ้าตั้งแต่เมื่อไรกัน?”


ถาวจวินกลันมีท่าทีจริงจัง “หลายวันก่อนหน้านี้ได้ช่วยไทเฮาคัดหนังสือสวดมนต์ จึงเริ่มเชื่อบ้างบางส่วนเพคะ”


พอพูดถึงไทเฮา อารมณ์ของหลี่เย่ที่แต่เดิมไม่ดีอยู่แล้วพลันเศร้าหมอง “ไม่ว่าจะเป็นเช่นไรก็หวังว่าไทเฮาจะมีพระอาการดีขึ้นก่อน”


ถาวจวินหลันก็คิดเช่นนี้ นอกจากไทเฮาจะช่วยเหลือหลี่เย่ได้แล้ว ก็ยังมีความเอ็นดูต่อซวนเอ๋อร์


แม้ว่าในใจของนางจะไม่มั่นใจ แต่นางก็ยังคงยิ้มและปลอบหลี่เย่ “ไทเฮามีบุญบารมีสูงส่ง จะต้องมีเทพคอยปกปักรักษาอยู่เป็นแน่ จะต้องหายดีเป็นปกติแน่เพคะ วันข้างหน้ายังต้องคอยดูซวนเอ๋อร์โตอีก”


คำพูดดีๆ ใครก็ชอบฟัง แม้ว่าในใจหลี่เย่จะยังมีห่วง แต่ริมฝีปากก็ยังยกยิ้มขึ้นมาน้อยๆ


ทางด้านสามีภรรยาทั้งสองคนจะเป็นเช่นไรไม่จำเป็นต้องพูดถึงอีก ทางด้านเมืองหลวงนั้น คังอ๋องกลับเตรียมเก็บสัมภาระเพื่อออกเดินทางไปตากอากาศ


แต่เดิมพระชายาคังอ๋องอยากตามไปเช่นเดียวกัน แต่เพราะลูกสาวคนโตล้มป่วย ดังนั้นจึงรั้งตัวคอยดูแล เมื่อคิดดูแล้วจึงเลือกอนุภรรยาสองคนที่อายุน้อย หน้าตางดงามและยังว่านอนสอนง่ายให้ตามไป “ได้พวกเจ้าไปเป็นเพื่อนท่านอ๋อง ข้าเองก็สบายใจ”


คังอ๋องกลับโบกมือปฏิเสธ “คราวนี้ไปเพื่อไถ่โทษและแสดงความกตัญญู จะเอาอนุภรรยาไปสองคนทำไมกัน? ไม่เอาไป ไม่เอาไปแม้แต่คนเดียว จำเอาไว้ ข้าไม่อยู่ในจวน เจ้ากับทางด้านจวนเหิงกั๋วกงก็อย่าไปมาหาสู่กันให้บ่อยนัก”


พระชายาคังอ๋องครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง พยักหน้า “ยังคงเป็นท่านอ๋องที่คิดรอบคอบนัก ข้าเป็นเพียงผู้หญิงไม่รู้เรื่องอะไรแม้แต่น้อย”


คังอ๋องเหลือบมองพระชายาคังอ๋อง ถูกคำพูดนั้นกระแทกใจจนรู้สึกอบอุ่น อดหัวเราะอย่างเย่อหยิ่งไม่ได้ “เจ้าเพียงแค่จัดการเรื่องราวภายในจวนให้ดีก็พอ เรื่องโลกภายนอกยังมีบรรดาผู้ชายเช่นพวกข้าอยู่”


พระชายาคังอ๋องอมยิ้มมองไปยังคังอ๋องอย่างอบอุ่น และช่วยจัดการเสื้อผ้าให้คังอ๋อง “การไปครั้งนี้ ท่านอ๋องจะต้องลำบากไม่น้อยแล้ว”


เมื่อคิดถึงสถานการณ์เวลานี้ ท่าทีของคังอ๋องก็บิดเบี้ยวกะทันหัน นิ้วมือกุมเข้าหากันแน่น ผ่านไปครู่หนึ่งก็พูดอย่างเคียดแค้นว่า “ปกติแล้วบรรดาน้องชายที่แสนดีของข้าก็ดูเหมือนกับแกะ ทว่าเวลานี้กลับกลายเป็นหมาป่ากันไปหมด! เห็นได้ชัดว่าตอนแรกไม่ควรเมตตาต่อพวกเขา แต่ควรถอนรากถอนโคน! เบื้องหลังก็เช่นกัน ตอนแรกก็ควรลงมือ เมื่อได้ลงมือทำแล้วทำไมถึงไม่ทำให้ถึงที่สุด? เหลือเชื้อโรคเอาไว้จนถึงตอนนี้”


พระชายาคังอ๋องได้ยิน พลันหยุดการกระทำตอนนี้ แล้วรู้สึกจนปัญญาขึ้นมาหลายส่วน ดวงตาหลุบลงแอบซ่อนแววดูถูกในสายตาของตนเอาไว้

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม