หมอยาหวานใจท่านประธาน 378-385

 ตอนที่ 378 เวลาเปลี่ยน คนย่อมเปลี่ยน


 


 


ฟางจื่อชิวกัดริมฝีปากเบาๆ เมื่อมองตามหลังเฉวียนหมิงซึ่งเดินไปข้างหน้า ดวงตาฉายแววผิดหวังและไม่ยอมแพ้ แต่เธอเก็บความรู้สึกอย่างรวดเร็ว มีรอยยิ้มบนใบหน้าขณะที่เดินตรงไป


 


 


เฉวียนหมิงยังเป็นเฉวียนหมิงคนนั้น เหมือนคนเดิม เย่อหยิ่งและเย็นชา นี่จึงจะเป็นเขา คนที่ทำให้คนอื่นอดไม่ได้ที่จะอยากเอาชนะ อยากได้มาครอบครอง


 


 


คนแบบนี้ถ้าเกิดใจหวั่นไหว อีกฝ่ายต้องถูกชูไว้ใจกลางฝ่ามือแน่นอน เธออยากเป็นผู้หญิงคนนั้น ไม่สิ จะต้องเป็นผู้หญิงคนนั้นให้ได้ เขาต้องมีเธอเท่านั้น


 


 


เธอต้องเสียสละมากมายแค่ไหนเพื่อจะได้อยู่กับเขา มีเพียงเธอเท่านั้นที่รู้


 


 


“มากันแล้ว เชิญนั่ง เชิญนั่ง” ตาแก่ฟางดื่มชาอยู่ แล้วร้องเชิญทันทีเมื่อเห็นเฉวียนสือกับหลานชายเข้ามาในห้อง


 


 


“วันนี้เราถือโอกาสพบปะสังสรรค์กันตามสบาย ไม่มีคนนอก ทุกคนวางตัวตามสบายเลย” คำพูดเขามีความนัยว่านี่เป็นครอบครัวเดียวกัน ไม่จำเป็นต้องเกรงใจ


 


 


ฟางจื่อชิวยิ้มแล้วเดินมา “ปู่พูดถูก คุณปู่เฉวียน เฉวียนหมิงรีบนั่งค่ะ” จากนั้นก็ดึงเก้าอี้ออกให้นายท่านผู้เฒ่าอย่างเอาใจใส่ คล่องแคล่วและรู้จักวางตัว


 


 


นี่ดีกว่าตอนที่อีลั่วเสวี่ยพบเขาครั้งแรกมากมาย ฉลาดมีไหวพริบ สรุปแล้วเวลานี้อยู่ต่อหน้านายท่านผู้เฒ่า ดูอย่างไรฟางจื่อชิวก็น่าพอใจอย่างยิ่ง


 


 


หลานสะใภ้ที่เขาต้องการต้องเป็นแบบนี้ ไม่ใช่แบบเด็กสาวคนนั้น เอาแต่ตีหน้าเย็นชา เวลาพูดก็มักทำให้คนอื่นรู้สึกว่าสูงส่งกว่า ทำให้คนไม่พอใจ


 


 


จะอย่างไรเขาก็เป็นผู้อาวุโส ทำไมไม่อ่อนน้อมต่อเข้ามากกว่านี้


 


 


ถ้าอีลั่วเสวี่ยได้ยินคำพูดประโยคนี้ ต้องตอบเขาแน่นอน คำตอบคือทำไม่ได้ นี่นับว่าเห็นแก่หน้าเฉวียนหมิงแล้ว ถือว่าเธอให้ความเคารพอีกฝ่ายมากแล้ว ถ้าเปลี่ยนเป็นเมื่อก่อน ต่อให้เป็นคนที่มีอำนาจสูงสุด เธอก็ยังไม่ไว้หน้า


 


 


ในฐานะหมอปีศาจ บางทีสำหรับโลกนี้อาจไม่สลักสำคัญ แต่ที่โลกนั้น เป็นบุคคลที่คนในวงการนักเลงไม่กล้าบาดหมางด้วย เป็นคนที่ยืนมองดูคนอื่นจากที่สูงลงมา คุณจะให้เธอแหงนมอง จะเป็นไปได้หรือ


 


 


“เป็นจื่อชิวที่มีความกตัญญู เวลานี้ฉันเองก็อยากได้หลานสาวอย่างนี้ รู้จักดูแลเอาใจใส่ ไม่เหมือนเจ้าหนูนี่หรอก คอยยั่วโมโห” ขณะที่นายท่านผู้เฒ่าเฉวียนพูดชมฟางจื่อชิวก็ไม่ลืมที่จะชำเลืองมองหลานชายตนเอง


 


 


เขาไม่เชื่อว่าหลานชายจะฟังความนัยที่แอบแฝงอยู่ในคำพูดเหล่านี้ไม่ออก


 


 


“หรือว่าปู่คิดจะแต่งงานใหม่ แล้วมีอาให้ผม เสร็จแล้วก็มีอาหญิง?” เฉวียนหมิงหรี่ตา เหลียวมองปู่ตนเอง


 


 


คำพูดเขาทำให้นายท่านผู้เฒ่าที่กำลังยกชาบนโต๊ะขึ้นดื่มถึงกับผงะ มือสั่นจนน้ำชากระฉอกเปื้อนเสื้อ หน้าแดงทันที ไม่รู้ว่าโกรธหรืออาย


 


 


“เจ้าหนู ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง”


 


 


“ฮ่าฮ่า ฉันว่าข้อเสนอของเฉวียนหมิงดีมาก คุณลองดูได้นะ?” ตาแก่ฟางพูดอย่างมีความหมาย สีหน้าล้อเล่น ส่วนนายท่านผู้เฒ่าโมโห วางถ้วยชากลับลงไปบนโต๊ะ


 


 


เขามองดูหลานชายตนเองเห็นสีหน้าไร้ความรู้สึก “แกจะให้ปู่พูดอย่างไรดี” เขานึกอย่างไรก็นึกไม่ออกว่าหลานชายตนจะมาไม้นี้


 


 


ฟางจื่อชิวสั่นหัว “ปู่เฉวียนอย่าโมโหเลยค่ะ เฉวียนหมิงก็แค่อยากจะทำให้บรรยากาศคึกคักขึ้นเท่านั้นเอง เพียงแต่ไม่เจอกันหลายปี คิดไม่ถึงว่าเขาจะรู้จักพูดล้อเล่น หนูจำได้ว่าเขาไม่เคยเป็นอย่างนี้มาก่อน”


 


 


เฉวียนหมิงไม่แม้แต่จะมองฟางจื่อชิว เขานั่งเย็นชาอยู่กับที่ “เรื่องนี้ไม่แปลกหรอก เวลาเปลี่ยน คนย่อมเปลี่ยน ทำไมคุณถึงคิดว่าผมจะเป็นผมเมื่อก่อน?”


 


 


คำพูดย้อนถามนี้ทำให้ฟางจื่อชิวไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรดี ได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ ยกชาบนโต๊ะขึ้นดื่ม


 


 


ตาแก่ฟางกลอกตารอบหนึ่ง “เอาละ หลานสองคนไม่ต้องคิดถึงอดีตแล้ว กินข้าวก่อน กินข้าวก่อน มีอะไรจะพูดก็กินไปคุยไป มีเวลาถมเถไป”


 


 


 


 


ตอนที่ 379 ทำไมคุณเพียงคนเดียว


 


 


จากนั้นตาแก่ฟางจึงเหลือบมองพนักงานที่ยืนรออยู่ที่ข้างประตู ผงกหัวให้ อีกฝ่ายเข้าใจความหมายของเขา จึงผละไปทันที


 


 


ระหว่างการยกอาหารมาจัดวาง มีเพียงเฉวียนสือที่สอบถามฟางจื่อชิวไม่หยุด ถามสภาพที่เธออยู่ในต่างประเทศรวมทั้งแผนการของเธอเมื่อกลับมาแล้ว ดูเหมือนจะเป็นการถามแทนเฉวียนหมิง


 


 


ไม่สิ กลับเหมือนพ่อแม่สองฝ่ายกำลังดูตัวหาคู่ให้ลูกตนเอง สอบถามสภาพครอบครัวของอีกฝ่าย พยายามทำให้อีกฝ่ายชื่นชม ช่วยพูดคุยแทนลูกตนเองที่ไม่ชอบพูด


 


 


“ก็ดีค่ะ แต่คิดถึงทุกอย่างที่นี่ คิดถึงเพื่อนที่นี่” ขณะที่พูดคำว่าเพื่อน ไม่เพียงจะยกหางเสียงขึ้น ยังจงใจเหลือบมองเฉวียนหมิง


 


 


ราวกับจะบอกว่าเพื่อนที่เธอพูดถึงหมายถึงเฉวียนหมิง แต่เขาไม่รู้สึกรู้สา เหมือนไม่ได้ยิน ก้มหน้าเล่นมือถือ เขาเป็นถึงผู้กุมอำนาจบริหารเฉวียนกรุ๊ป อยู่ข้างนอกใส่ใจมารยาทมาก เวลานี้กลับทำตัวเหมือนคนชั้นล่าง


 


 


ฟางจื่อชิวรู้สึกไม่พอใจ แต่คิดว่าคงเพราะเธอพูดมากเกินไปทำให้เขารำคาญ จึงเปลี่ยนเรื่องพูด


 


 


ขณะที่นายท่านผู้เฒ่ามองเห็นท่าทีของเฉวียนหมิง ก็นึกโมโหในใจ แต่คิดว่าวันนี้เพิ่งผ่านเหตุการณ์แบบนั้น ก็เข้าใจดีว่าในใจเขาไม่พอใจ จึงพอจะเข้าใจได้


 


 


“กลับมาแล้วยังจะกลับไปอีกไหม?” ครู่หนึ่งนายท่านผู้เฒ่าก็อดถามไม่ได้


 


 


ฟางจื่อชิวเดิมตั้งใจจะอวดตัวเองต่อหน้าเฉวียนหมิง พอได้ยินจึงตอบไปตามตรง “ไม่ไปแล้วค่ะ อยากอยู่เป็นเพื่อนคุณปู่กับพ่อแม่ หนูเลยรับคำเชิญของโรงพยาบาลชั้นนำในเมือง ต่อจากนี้จะทำงานที่นี่ ไม่เช่นนั้นความผูกพันกับเพื่อนเมื่อก่อนก็คงจืดจางลงไป”


 


 


คำพูดนี้เหมือนทั้งจงใจและไม่จงใจพูดเตือนเฉวียนหมิง เพื่อนที่เธอเอ่ยถึงก็คือเขานั่นเอง


 


 


“อย่างนี้ก็ดีเหมือนกัน ฮ่าฮ่า จริงไหมเหล่าฟาง วันหลังยังมีเวลาอีกมากที่จะคุยอวดหลานสาวกับฉัน” เฉวียนสือหัวร่าร่า ราวกับฟางจื่อชิวเป็นหลานสาวตนเอง


 


 


ตาแก่ฟางเห็นเฉวียนหมิงไม่แสดงท่าทีอะไร สีหน้าก็ไม่พอใจ ฟางจื่อชิวเหลือบเห็นจึงรีบคีบอาหารให้เขา


 


 


“ปู่คะ จานนี้ปู่ชอบกิน ลองชิมหน่อย…”


 


 


 


 


ที่ร้านเสื้อผ้าแห่งหนึ่งไม่ไกลนัก อีลั่วเสวี่ยเพิ่งซื้อข้าวของไม่น้อย ถือไว้ในมือ เธอเดินออกมาจากห้องที่สว่างก็เดินเข้าไปในที่ร่ม คาดไม่ถึงว่าจะพบคนคนหนึ่ง


 


 


“ใครกัน เดินไม่รู้จักดูทาง รู้ไหมว่ารองเท้าคู่นี้แพงแค่ไหน?” เสียงก่นด่าดังขึ้น พอเห็นอีลั่วเสวี่ยก็แสดงสีหน้าดูถูก


 


 


“ลั่วเสวี่ย คุณนั่นเอง?” จากนั้นไม่รอให้ชายคนนั้นพูดอะไรอีก มีคนก้าวมายืนข้างหน้า ขวางชายที่กำลังจะพูด เขาคือหนานหลิวเฟิง


 


 


“คุณชายหนาน รู้จักเธอหรือครับ?” คนที่พูดรู้สึกร้อนตัว เหมือนตนเองทำผิดไป


 


 


หนานหลิวเฟิงขมวดคิ้ว “เธอเป็นเพื่อนผม ผู้จัดการโจว วันนี้คุยกันเท่านี้ก่อน วันหลังผมค่อยเชิญคุณกินข้าว”


 


 


“อ้อ ได้ได้ งั้นคุณชายหนาน ผมไปก่อนนะครับ” ชายคนนั้นอยากรีบไปให้พ้น พอพูดจบก็เผ่นไปเร็วยิ่งกว่ากระต่าย


 


 


เขาหยิบถุงใบหนึ่งที่ตกบนพื้นยื่นให้อีลั่วเสวี่ย “ลั่วเสวี่ย ทำไมมาอยู่ที่นี่คนเดียว เย็นมากแล้ว”


 


 


อีลั่วเสวี่ยยิ้มๆ “คุณชายหนานยังอยู่ที่นี่ได้ แล้วทำไมฉันจะอยู่ไม่ได้ อ้อ ขอบใจนะ ที่จริงฉันจัดการเองได้”


 


 


“ทุกครั้งที่คุณเจอผม ทำไมต้องทำตัวเป็นศัตรูด้วย? ผมยอมรับว่าเมื่อก่อนผมเป็นคนโง่ ทำเรื่องที่ทำให้คุณโกรธ ตอนนี้ผมขอโทษไม่ได้หรือไง?”


 


 


หนานหลิวเฟิงพูด สีหน้าจริงจัง


 


 


คงเพราะเมื่อครู่เขาช่วยเธอ ทำให้อีลั่วเสวี่ยไม่อาจเสียมารยาท ไม่สามารถฝืนทำอะไรตามอารมณ์


ตอนที่ 380 ทำไมถึงรังเกียจผม


 


 


“ไม่ต้องขอโทษหรอก ฉันไม่แคร์สักนิด” ใช่แล้ว พูดตรงไปตรงมาแบบนี้แหละ ก่อนหน้านี้ที่หนานหลิวเฟิงคอยตอแยเธอนั้น ก็แค่คนที่คิดว่าตัวเองไม่ชอบกินลูกกวาด ต่อมาพอกินไม่ได้ก็รู้สึกเสียดายเท่านั้นเอง


 


 


มุมปากหนานหลิวเฟิงกระตุก เธอไม่คำนึงถึงความรู้สึกของเขาแม้แต่น้อย ไม่แคร์ นั่นก็คือไม่ว่าเขาจะทำอะไร เธอไม่ได้ใส่ใจเลยหรือ?


 


 


“ข้าวของมากมายอย่างนี้ รถเธอล่ะ ผมช่วยคุณหิ้วไปที่รถเถอะ” หนานหลิวเฟิงพูดพลางจะยื่นมือออกไป ต้องการช่วยอีลั่วเสวี่ยถือของในมือ


 


 


อีลั่วเสวี่ยถอยหลังหนึ่งก้าว สั่นศีรษะ “ไม่ต้องหรอก ฉันไม่ได้ขับรถมา เดี๋ยวเรียกรถกลับเองได้” พูดจบก็เบี่ยงตัวหลบหนานหลิวเฟิงจะเดินผละไป


 


 


บังเอิญถือถุงหลายใบเกินไป ซ้อนกันแน่น มีใบหนึ่งขาดออก รองเท้าร่วงลงมาจากถุง


 


 


“ผมจะไม่ทำเรื่องที่ทำให้คุณรู้สึกลำบากใจ อีลั่วเสวี่ย ลืมเรื่องที่ไม่ดีเมื่อก่อนได้ไหม ผมไม่คาดหวังว่าตัวผมในใจคุณจะดีเหมือนเมื่อก่อน แต่อย่างน้อยก็อย่ามองผมเหมือนศัตรูเถอะ จะอย่างไรเราก็เป็นเพื่อนนักศึกษาร่วมสถาบัน”


 


 


อีลั่วเสวี่ยเม้มริมฝีปาก จ้องมองรองเท้าส้นสูงในมือหนานหลิวเฟิง แล้วเบนสายตาขึ้นข้างบน “ฉันพูดแล้ว เรื่องไม่ดีในอดีต ฉันไม่จำใส่ใจ ฉันไม่ใช่คนใจแคบแบบนั้น”


 


 


“งั้นคุณรับปากแล้วใช่ไหม?” หนานหลิวเฟิงรู้สึกดีใจ ขอเพียงไม่รังเกียจเขา ทุกอย่างสามารถชดเชยได้


 


 


“อืม” อีลั่วเสวี่ยพยักหน้า แม้การกระทำก่อนหน้านี้ของหนานหลิวเฟิงจะทำให้รู้สึกว่าเหมือนวัวหายล้อมคอก แต่ที่จริงเขาก็ไม่ได้ทำอะไรที่เป็นการทำร้ายเธอ แก้ความขัดแย้งระหว่างกันไม่ใช่เรื่องที่ทำไม่ได้


 


 


หนานหลิวเฟิงเผยรอยยิ้มที่หล่อเหลาออกมา คนที่รูปหล่ออย่างเขาทำให้สาวๆ ที่เดินผ่านยังต้องเหลียวมอง แต่เขาไม่ได่ใส่ใจ


 


 


“งั้นก็ตกลงกันตามนี้ จากนี้ไปเราเริ่มจาก…เพื่อนนักศึกษา ทำความรู้จักกันใหม่”


 


 


“ก็ได้”


 


 


“รถผมจอดอยู่ใกล้ๆ ผมจะส่งคุณกลับ ให้ผมช่วยหิ้วของ” หนานหลิวเฟิงยื่นมือออกมาอีกครั้ง


 


 


คราวนี้อีลั่วเสวี่ยไม่ปฏิเสธ บังเอิญเธอหิ้วของมากมายอยางนี้ไม่สะดวก เดิมคิดว่าออกมาจะเรียกแท็กซี่ ในเมื่อหนานหลิวเฟิงพูดเช่นนี้แล้ว ถ้าเธอยังปฏิเสธก็ออกจะเย่อหยิ่งเกินไป


 


 


เขาเป็นเพื่อนของหลานเย่หมิง ต่อไปยังต้องเจอหน้ากัน ถ้าเกิดบาดหมางกัน ย่อมไม่ดี ยังทำให้เธอดูเหมือนเป็นคนใจแคบ


 


 


“งั้นต้องขอบใจคุณแล้ว” อีลั่วเสวี่ยไม่ได้บอกปัด แล้วยื่นของส่วนหนึ่งให้หนานหลิวเฟิง เธอหิ้วเองส่วนหนึ่ง แล้วรู้สึกผ่อนคลายลงไม่น้อย


 


 


นี่ถ้าเป็นเมื่อก่อนเธอคงเอาของเก็บไว้ในแหวนแห่งมิติ ไม่ต้องเดือดร้อน แต่น่าเสียดายที่แถวนี้เต็มไปด้วยกล้องวงจรปิด ไม่เช่นนั้นเธอคงหาที่ที่จะเก็บข้าวของทั้งหมด


 


 


ดูแล้วในโลกนี้การที่ตนต้องซ่อนความสามารถไว้ทำให้รู้สึกรำคาญ


 


 


“ลั่วเสวี่ย ผมเรียกคุณว่าลั่วเสวี่ยได้ไหม?” หนานหลิวเฟิงชำเลืองตา มองดูอีลั่วเสวี่ยซึ่งยืนอยู่ข้างๆ ไม่พูดอะไร แสงไปส่องลงบนใบหน้าเธอ เป็นใบหน้าที่งดงามจนใครเห็นก็ไม่อยากละสายตาไป


 


 


ในใจหนานหลิวเฟิงรู้สึกเสียดาย เขานึกเสียใจที่ตอนนั้นมองไม่เห็นว่าเธอคือเพชรในตมแต่เนิ่นๆ ปล่อยให้คนอย่างเฉวียนหมิงคว้าเธอไป


 


 


อีลั่วเสวี่ยเม้มริมฝีปากเล็กน้อย แล้วพูดช้าๆ “ก็แล้วแต่คุณ” ชื่อเป็นการเรียกขานเท่านั้น ไม่สำคัญอะไร


 


 


“ลั่วเสวี่ย บอกหน่อยได้ไหมว่าทำไมคุณถึงรังเกียจผม ก่อนนี้…ก่อนนี้ดูเหมือนจะไม่ใช่แบบนี้” หนานหลิวเฟิงตัดสินใจแล้วว่าต้องพูดปัญหาที่ค้างคาใจออกมา


 


 


หลังจากได้รับคำตอบจากเธอ เขาจะได้คอยเลี่ยง ต่อหน้าเธอจะได้ไม่ทำเรื่องที่จะทำให้เธอไม่พอใจ ทำอย่างนี้จะช่วยให้เธอค่อยๆ รู้สึกดีต่อตนเอง


 


 


 


 


ตอนที่ 381 ลองเป็นเพื่อนกันไม่ดีหรือ


 


 


อีลั่วเสวี่ยหรี่ตา “เรื่อง…เรื่องก่อนหน้านี้ผ่านไปแล้ว จะไปเอ่ยถึงทำไม?” คนเราควรมองไปข้างหน้าไม่ใช่หรือ ถ้ามัวจมปลักอยู่กับอดีตจะมีประโยชน์อะไร


 


 


แต่ดูเหมือนถ้าหนานหลิวเฟิงไม่ถามก็คงไม่ยอมเลิกรา


 


 


“ผมอยากรู้” เขาเห็นแววตาเธอเปี่ยมด้วยความจริงใจ


 


 


อีลัวเสวี่ยชะงักเล็กน้อย แล้วหยุดเดิน “คุณอยากรู้หรือ? แม้ว่าความจริงโหดร้ายมากหรือ”


 


 


หนานหลิวเฟิงรู้สึกอึดอัด คิดในใจว่าต่อให้เป็นการแหนบแนมที่สุดทนเขาก็รับได้ “ใช่ คุณพูดมาเถอะ”


 


 


อีลั่วเสวี่ยยกมุมปากขึ้น “ไม่ต้องเครียดหรอก ฉันไม่พูดอะไรเหลวไหล จะพูดอย่างไรดีล่ะ เด็กสาวมากน้อยก็ต้องมีความปรารถนาที่งดงามในใจ แต่นั่นก็เป็นแค่คิดไปเอง ต่อมาจึงพบว่าไม่ใช่เป็นอย่างนั้น


 


 


ส่วนคุณ หลังจากที่รู้จักคุณ ฉันจึงพบว่าที่ฉันเห็นเป็นแค่เปลือกนอกของคุณ ทั้งยังแน่ใจว่าความสุขเล็กๆ เมื่อก่อนเป็นเพียงความทรงจำหนึ่งในช่วงวัยรุ่น เข้าใจหรือยัง?”


 


 


ดังนั้นจึงบอกว่าระหว่างพวกเขาเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ มีเพลงหนึ่งชื่อที่แท้ความรักหมดอายุได้ไม่ใช่หรือ ถ้าไม่ดูแลความรักให้ดีก็อาจหมดอายุได้ ยิ่งกว่านั้นระหว่างพวกเขาไม่ใช่ความรัก


 


 


พออีลัวเสวี่ยพูดจบ หนานหลิวเฟิงจึงยิ้มอย่างขมขื่น “งั้นก็หมายความว่าต่อมาที่ผมทำอะไรมากมายเพื่อแก้ไข ทำให้คุณรำคาญใช่ไหม?”


 


 


“จะพูดอย่างนั้นก็ได้ ที่ทำอย่างนั้นทำให้ฉันรู้สึกว่าคุณแพ้ไม่เป็น หนานหลิวเฟิง คุณไม่ควรเป็นอย่างนี้” แสงตะวันที่เธอเชื่อมั่นในสายตาเธอเมื่อก่อนนี้ ไม่ใช่คนที่คอยกวนใจคนอื่นไม่เลิก


 


 


เธอไม่รู้ว่าเมื่อคนคนหนึ่งหัวใจหวั่นไหวแล้ว เขาสามารถทำเรื่องที่ไม่กล้าทำหรือไม่อาจเกิดขึ้นได้ เพราะเขาทำในสิ่งที่คล้อยตามใจตัวเอง


 


 


“เฮ้อ คิดไม่ถึงว่าที่ผมทำก่อนหน้านี้ จะทำให้คุณดูแคลน” หนานหลิวเฟิงทุกข์ทรมานและว้าวุ่นใจ ผู้หญิงที่ตนชอบพูดถึงด้านลบของเขาอย่างไม่ปรานี


 


 


ความรู้สึกนี้ซับซ้อนมาก แต่กลับแอบดีใจเล็กๆ นี่แสดงว่าตนเองก็มีสถานะเช่นกัน ไม่งั้นเธอจะมองออกได้อย่างไร


 


 


“ที่ดูแคลนแต่ไหนแต่ไรไม่ใช่คนอื่น หนานหลิวเฟิง เราเป็นเพื่อนกันดีไหม จำเป็นต้องบาดหมางกันหรือ? หรือคิดว่าเป็นศัตรูกับฉันดีกว่า?”


 


 


หนานหลิวเฟิงตอบโดยไม่ต้องคิด “แนน่นอนว่าไม่ใช่ อย่างนี้…ก็ดีเหมือนกัน” ให้เขาปฏิเสธหรือ เลือกระหว่างการเป็นศัตรูกับเพื่อน แน่นอนว่าเขาต้องเลือกอย่างหลัง


 


 


“งั้นก็ดีแล้ว” อีลัวเสวี่ยเม้มริมฝีปาก เผยให้เห็นรอยยิ้ม แล้วเดินต่อไปข้างหน้า


 


 


หนานหลิวเฟิงมองเงาหลังของเธอ รีบเดินตามไป มาเดินอยู่ข้างเธอ เขาสังเกตได้ชัดเจนว่าอีลัวเสวี่ยไม่แสดงอาการต่อต้านตนเองออกมา


 


 


แสดงว่าเธอเป็นผู้หญิงที่ใจกว้าง ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่น ไม่แน่ว่าจะคุยกันดีๆ แบบนี้ได้


 


 


 


 


“ปู่ครับ ดึกแล้ว เราควรกลับได้แล้ว” เฉวียนหมิงมองดูนาฬิกาข้อมือตัวเอง แล้วมองดูนอกหน้าต่าง โคมไฟตามถนนสว่างจ้าแล้ว ในดวงตาฉายแววว่าหมดความอดทนแล้ว


 


 


ฟางจื่อชิวเหลือบมองปู่เธอ ทั้งสองยิ้มแล้วลุกขึ้น “ก็จริง อุตส่าห์เป็นวันสุดสัปดาห์ ควรจะพักผ่อน ไปด้วยกันเถอะค่ะ”


 


 


จากนั้นทั้งสี่ก็ออกจากห้อง ก่อนหน้านี้ฟางจื่อชิวจ่ายค่าอาหารแล้ว ทั้งหมดจึงเดินตรงไปนอกร้าน


 


 


เธอมองดูเฉวียนหมิงที่เอาสองมือสอดในกระเป๋ากางเกง เงาร่างที่สง่างามรวมทั้งสองขายาวที่เดินเหมือนคนปกติ ขาที่เรียวยาวประสานกับเงาร่างนั้น ช่างดูมีเสน่ห์


 


 


ดวงตาฟางจื่อชิวทอประกาย รีบเดินไปคล้องแขนเฉวียนหมิง


 


 


“ให้ปู่สองท่านกลับไป แล้วคุณเดินเล่นเป็นเพื่อนฉันเถอะ ฉันไม่ได้เห็นค่ำคืนที่สวยงามของเมืองเอฟนานแล้ว ก่อนนี้เราติววิชากันมักกลับค่ำ ได้เห็น”


ตอนที่ 382 เธอเป็นใคร


 


 


การรุกอย่างกะทันหันของฟางจื่อชิวทำให้เฉวียนหมิงผงะ อยากจะผละออก กลับพบว่าเธอเอาอกเข้ามาพิง ถ้าเขาดึงรั้งก็คงชนถูกตัวเธอ สีหน้าเฉวียนหมิงหมองคล้ำลงทันที


 


 


ร่างเขาแข็งทื่อขึ้นราวกับสัมผัสถูกสิ่งที่น่ารังเกียจ


 


 


เขาพูดเสียงกร้าว “ปล่อยมือ? ไม่งั้นอย่าหาว่าผมไม่ให้เกียรติคุณ!”


 


 


ทั้งคู่เสียงไม่เบา เฉวียนสือและตาแก่ฟางซึ่งเดินอยู่ข้างหน้าหยุดลงทันที หันมามองทั้งสอง


 


 


“จื่อชิว ปู่รู้ว่าหลานอยู่เมืองนอกค่อนข้างปล่อยตัวตามสบาย แต่คุณชายเฉวียนไม่ค่อยยุ่งกับผู้หญิง หลานต้องระวังภาพลักษณ์บ้าง” ตาแก่ฟางไม่เอ่ยเรื่องที่เฉวียนหมิงแต่งงานแล้วแม้แต่น้อย


 


 


เฉวียนหมิงสีหน้าเครียด กัดฟันกรอด เขาเผยอริมฝีปาก พูดอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “ผมขอพูดอีกครั้ง เอามือคุณออกไป!”


 


 


ฟางจื่อชิวรู้สึกน้อยใจทันที ราวกับสมัยที่เรียนมัธยมปลาย เธอบอกทุกคนว่าเฉวียนหมิงเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของเธอ แต่เขาไม่ยอมรับ ทำให้เธอถูกมองด้วยสายตากังขา


 


 


“ปู่พูดถูกค่ะ” ฟางจื่อชิวเชิดมุมปากขึ้น ปล่อยมือจากเฉวียนหมิงด้วยความกระอักกระอ่วนและน้อยใจ ดึงมือออกจากแขนเฉวียนหมิงอย่างช้าๆ


 


 


“ลั่วเสวี่ย รถผมอยู่ด้านนั้น ผม…” หนานหลิวเฟิงและอีลั่วเสวี่ยเดินมา ขณะที่กำลังจะพูด ก็พอดีเห็นฟางจื่อชิวดึงมือออกจากแขนเฉวียนหมิง


 


 


อีลั่วเสวี่ยมองเห็นฉากนี้แล้ว แววตาหมองลงทันที เธอไม่พูดอะไร


 


 


ขณะนั้นเอง เฉวียนหมิงเงยหน้าขึ้นพอดี เห็นอีลั่วเสวี่ยยืนเยื้องอยู่ไม่ห่างนัก “อาเสวี่ย ไม่ใช่อย่างที่คุณเห็นหรอก” เป็นเหมือนผู้ชายโง่ที่ตกอยู่ในความรัก เฉวียนหมิงทำได้เพียงอธิบายอย่างเซ่อซ่า


 


 


สีหน้าอีลั่วเสวี่ยเรียบเฉย ไร้รอยยิ้ม พอเธอได้ยินก็ยิ้มเล็กน้อย เดินมาหาเฉวียนหมิง เขาเองก็รีบเดินลงจากบันได ยื่นมือไปรับของจากเธอ


 


 


“เฉวียนหมิง เธอเป็นใคร?” สายตาอีลั่วเสวี่ยอยู่บนร่างฟางจื่อชิว น้ำเสียงราบเรียบ


 


 


ไม่เหมือนฉากในทีวีที่พอฝ่ายหญิงเห็นแฟนตัวเองกินอาหารกับผู้หญิงอื่นก็มีท่าทางตกอกตกใจ ลงมือทำร้ายหรือเอะอะโววายใส่อีกฝ่าย


 


 


ขณะนี้เจ้าลูกบอลเงินกำลังแอบบันทึกเรื่องทั้งหมดนี้ มันไม่พูดอะไร ในสถานีที่ใช้ทั่วไปของระบบปัญญาประดิษฐ์ขั้นสูงในดวงดาวที่ห่างไกล ลูกบอลเงินหมายเลข 748 กำลังถ่ายทอดสด ความคิดเห็นบนจอก็คือ “อะไรนี่ นี่มันผิดปกติจริงๆ ผู้หญิงคนนี้พิแศษมาก”


 


 


“ข้าเดาว่าผูหญิงตัวประกอบเดี๋ยวต้องอาละวาดแน่ เชื่อไหมล่ะ?”


 


 


ข้อความต่างๆ บนจอในเวลาถัดมา ล้วนบอกว่าเชื่อ


 


 


เฉวียนหมิงเห็นอีลั่วเสวี่ยไม่โมโหมาก ก็คลายความวิตกลง แม้แต่หนานหลิวเฟิงซึ่งอยู่ข้างๆ ก็ถูกมองข้ามไป


 


 


“ฉันชื่อฟางจื่อชิว เป็นเพื่อนเฉวียนหมิงตั้งแต่เล็ก สวัสดีจ๊ะ” คำพูดนี้ฟังแล้วเหมือนการประกาศสิทธิของตัวเองออกมา เป็นเพื่อนกันตั้งแต่เล็ก เพื่อนสมัยเด็กงั้นหรือ จะมีความหมายอะไร


 


 


แม้ในใจอีลั่วเสวี่ยจะขัดแย้งมาก แต่ยังคงมีรอยยิ้มบนใบหน้า “ที่แท้เป็นเพื่อนเล่นสมัยเด็ก น่าจะเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกับเฟิงฉี่ ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ”


 


 


เฟิงฉี่ ผู้หญิงคนนี้ถึงกับเอ่ยถึงเฟิงฉี่ เฉวียนหมิงถึงกับแนะนำเพื่อนเหล่านี้ให้เธอรู้จักงั้นหรือ ฟางจื่อชิวไม่รู้ว่าเป็นอีลั่วเสวี่ยรู้จักเฟิงฉี่ด้วยตนเอง


 


 


ฟางจื่อชิวได้ยินเช่นนี้ก็หรี่ตาลง ยิ้มอย่างมีมารยาท ไม่พูดอะไร


 


 


“จื่อชิว คุณกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่เห็นบอกผมสักคำ ผมจะได้ชวนเพื่อนมาต้อนรับ” ถึงตอนนี้หนานหลิวเฟิงเอ่ยปากพูดแล้ว


 


 


พอเขาพูด สายตาทุกคนก็มองมาที่เขา มองดูถุงข้าวของในมือเขารวมทั้งที่เฉวียนหมิงเพิ่งรับมาจากมือเธอ แววตาทุกคนแสดงอาการสงสัย


 


 


 


 


ตอนที่ 383 ถูกจับผิดแล้วยังทำเป็นอวดเก่ง


 


 


พอเห็นของในมือหนานหลิวเฟิง แล้วมองดูทิศทางที่อีลั่วเสวี่ยเดินมา เห็นได้ชัดว่าทั้งคู่มาด้วยกัน แววตานายท่านผู้เฒ่าหมองลงทันที รู้สึกโกรธ


 


 


แต่ขณะนี้อยู่ข้างนอก ถ้าแสดงออกรุนแรงเกินไป คนอื่นเห็นเข้าจะส่งผลสะเทือนในแง่ลบ เขาจ้องมองอีลั่วเสวี่ย จากนั้นก็ดึงสายตากลับ


 


 


“ฉันเพิ่งมาถึงบ่ายวันนี้ จริงสิหลิวเฟิง แฟนคุณหรือ?” ฟางจื่อชิวมองอีลั่วเสวี่ย สีหน้าเหมือนไม่รู้อะไรทั้งสิ้น ทำเป็นไม่เข้าใจกิริยาท่าทางระหว่างอีลั่วเสวี่ยกับเฉวียนหมิง


 


 


นายท่านผู้เฒ่าได้ยิน สีหน้าก็หมองคล้ำอยางสิ้นเชิง


 


 


มุมปากหนานหลิวเฟิงกระตุก ลำบากแทบแย่กว่าที่ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับอีลั่วเสวี่ยจะผ่อนคลายลงบ้าง อย่าให้ผู้หญิงคนนี้มาทำเสียเรื่อง


 


 


“ไม่ใช่ เธอเป็นเพื่อนนักศึกษาและเพื่อนผม บังเอิญเจอระหว่างทาง เห็นเธอหิ้วของมากมาย เลยช่วยถือมาให้เท่านั้นเอง” เฉวียนหมิงอยู่ด้วย เขาจึงไม่เอ่ยว่าจะส่งอีลั่วเสวี่ยกลับ


 


 


หากเป็นเมื่อก่อนเขาคงพูดไปแล้ว แต่ถ้าเป็นอย่างนั้น คำพูดเมื่อกี้ก็เท่ากับตบปากตัวเอง จะกลายเป็นศัตรูกับอีลั่วเสวี่ย


 


 


อีลั่วเสวี่ยพอใจกับท่าทีของหนานหลิวเฟิง ดูเหมือนหนานหลิวเฟิงจะเข้าใจที่เธอพูดแล้ว


 


 


“อ้อ งั้นหรือ? จริงด้วย เมื่อกี้ลืมถามชื่อคุณ ฉันชื่อฟางจื่อชิว สวัสดีค่ะ” ฟางจื่อชิวพูดพลางเดินลงจากบันได มาอยู่ตรงหน้าอีลั่วเสวี่ย แล้วยื่นมือออกไป


 


 


อีลั่วเสวี่ยฝืนยิ้ม ผู้หญิงคนนี้ช่างแสดงละครเก่งจริง


 


 


“อีลั่วเสวี่ย ภรรยาผมเอง อาเสวี่ย ผมแนะนำให้คุณรู้จักเป็นทางการ เธอคือเพื่อนนักเรียนม.ปลายของผม ฟางจื่อชิว” เฉวียนหมิงไม่รอให้อีลั่วเสวี่ยเอ่ยปากก็ชิงพูดก่อน


 


 


เดิมมีรอยยิ้มบนใบหน้าฟางจื่อชิว แต่ขณะนี้เหมือนถูกตบหน้าฉาดใหญ่ เมื่อกี้เธอยังบอกว่าเป็นเพื่อนเล่นกันตั้งแต่เล็ก อีลั่วเสวี่ยบอกว่าเป็นเพื่อนนักเรียน แต่พอมาถึงเฉวียนหมิงก็กลายเป็นเพื่อนนักเรียนมัธยมปลาย ลดระดับลงทุกครั้ง


 


 


พอเฉวียนหมิงพูดออกมา อีลั่วเสวี่ยรู้สึกเหมือนแสงตะวันสายหนึ่งส่องเข้าไปในหัวใจเธอ คนอย่างเขาไม่สันทัดในการแสดงออก แต่การปกป้องเธออย่างแข็งขันเช่นนี้ ประกาศฐานะของเธอต่อหน้าทุกคน เป็นการแสดงให้เห็นชัดว่าใจเขาอยู่ข้างเธอ


 


 


ส่วนที่ว่าทำไมเขาจึงมาอยู่ที่นี่ คิดดูแล้วน่าจะเป็นแผนของคุณปู่ตัวดีของเขา จะต้องใช้เรื่องตอนเที่ยงขู่เขาแน่นอน


 


 


“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ คุณฟาง” อีลั่วเสวี่ยพูดตอบ พลางดึงมือที่ฟางจื่อชิวกำลังจะชักกลับไป ทั้งสองจับมือกัน ประสานสายตากัน


 


 


แม้สีหน้าจะอ่อนโยน แต่สายตากลับเหมือนมีคลื่นใต้น้ำถาโถมขึ้น


 


 


หลังจากจับมือเบาๆ แล้วก็ปล่อยออก ทั้งสองเหมือนคนแปลกหน้าที่พบกันครั้งแรก ไม่มีความขัดแย้งอะไรกัน ยิ่งไม่มีความแค้น


 


 


แต่คนที่เข้าใจอะไรดีย่อมได้กลิ่นดินปืนบนตัวหญิงสาวทั้งสองคน อย่างเมื่อกี้ ทั้งสองปะทะกันเป็นครั้งแรก ไม่สิ น่าจะเป็นครั้งที่สอง ส่วนครั้งแรกเป็นตอนที่เธอบอกว่าเฉวียนหมิงเป็นเพื่อนเล่นกับเธอมาตั้งแต่เล็ก


 


 


เธอถูกอีลั่วเสวี่ยยิงกลับอย่างเงียบๆ ถือว่าเสมอกันแล้ว แต่ต่อมาด้วยการช่วยโจมตีอย่างเหนือชั้นของเฉวียนหมิง ทำให้ฟางจื่อชิวแพ้แล้ว


 


 


“คริคริ…” ฟางจื่อชิวหัวเราะเบาๆ แต่เป็นการหัวเราะอย่างไม่ยอมรับความพ่ายแพ้


 


 


ถึงตอนนี้นายท่านผู้เฒ่าเฉวียนทนดูไม่ได้แล้ว ที่ตนพาหลานชายมาก็เพื่อให้ทั้งคู่ได้อยู่ด้วยกัน แม้การพบหน้ากันครั้งแรกจะไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง แต่ปัญหาก็คือทั้งคู่รู้จักกันมาตั้งแต่เล็ก


 


 


เขาพอใจเด็กสาวคนนี้มาก เป็นคนมีความรู้และเหตุผล ทั้งสติปัญญาดี ที่สำคัญกว่าก็คือขณะนี้ยังเป็นหมอของโรงพบาลชั้นนำของเมือง มีความคิดละความรู้ติดมาจากเมืองนอกอีกด้วย


 


 


แล้วหลานชายเขาต้องการอะไร นั่นคือต้องการรักษาให้หาย มีสุขภาพแข็งแรง ฟางจื่อชิวจึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดของเขา


ตอนที่ 384 ให้เธอคอยชี้นิ้วหรือ


 


 


“ยายหนู ค่ำอย่างนี้แล้วทำไมยังอยู่ข้างนอก?” น้ำเสียงนายท่านผู้เฒ่าเฉวียนเย็นชา แกเดินช้าๆ มาตรงหน้าอีลั่วเสวี่ย


 


 


นายท่านผู้เฒ่าเฉวียนมองหนานหลิวเฟิงซึ่งยืนอยู่ข้างๆ เธอ รู้สึกขัดหูขัดตา ยังรู้สึกอึดอัดเหมือนตัวเองถูกหลอก นึกไม่พอใจแทนหลานชายตนเอง


 


 


เห็นได้ชัดว่าเสียงลือไม่ได้เกิดขึ้นลอยๆ ล้วนมีความเป็นมา ที่เห็นตรงหน้าเป็นหลักฐานที่ดีที่สุด


 


 


ผู้หญิงที่มีสามีแล้ว มีหรือที่ดึกดื่นยังมาเดินเตร่ตามถนน ยังมากับผู้ชายแปลกหน้าด้วย แย่จริงๆ! เวลานี้ยังมาทักทายสีหน้าระรื่น ถูกจับผิดแล้วยังอวดเก่งอีก อวดอะไรหือ


 


 


อีลั่วเสวี่ยรู้สึกจนใจเมื่อได้ยินน้ำเสียงของนายท่านผู้เฒ่าเฉวียน แต่คิดว่าถ้าอธิบายตอนนี้อาจจะทำให้สถานการณ์แย่ลง ทำให้เฉวียนหมิงเสียหน้า ไม่แน่ว่าหญิงสาวคนนั้นยังอาจจะแอบหัวเราะ


 


 


เธอไม่ใช่คนที่ให้ความสำคัญกับหน้าตา แต่ก็ต้องคำนึงถึงเฉวียนหมิงด้วย


 


 


เธอนิ่งไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงยิ้มแล้วตอบ “วันนี้ตอนที่ออกมาบังเอิญฉุกคิดขึ้นได้ว่าร้านเสื้อผ้าทางนี้มีสินค้าออกใหม่ แบบไม่เลว จึงแวะมาดูค่ะ


 


 


ยังซื้อเสื้อผ้าสำหรับรับฤดูใหม่ให้คุณปู่และเฉวียนหมิงด้วย คิดไม่ถึงว่าจะเดินซื้ออยู่จนเย็นขนาดนี้ นี่กำลังจะกลับก็บังเอิญเจอกับพวกคุณ”


 


 


“ซื้อเสื้อผ้าให้ฉันรึ เรื่องแบบนี้ให้คนระดับล่างทำก็ได้ เธอเป็นถึงคุณนายประธานของเฉวียนกรุ๊ป ทำไมต้องมาทำเรื่องพวกนี้ด้วยตัวเอง” แม้ในใจจะรู้สึกตื้นตันใจที่อีลั่วเสวี่ยซื้อเสื้อผ้าให้ตนก็ตาม


 


 


แต่พอนายท่านผู้เฒ่าคิดทบทวนแล้ว ก็รู้สึกว่าวันนี้ตนเองพูดต่อว่าเธอ เธอคงไม่สบายใจ จึงอยากซื้อของมาเอาใจตน สีหน้าจึงยิ่งแย่ลง เงินที่ใช้ก็เป็นเงินของพวกเขาเฉวียนกรุ๊ป มีหน้าอะไรมาพอใจ


 


 


บริษัทของครอบครัวตัวเองล้มไปแล้ว เธอจะมีเงินอะไร ไม่ต้องแสร้งทำตัวเป็นคนดีหรอก


 


 


คำพูดเฉวียนสือมีความนัยแฝงอยู่ นั่นคืออีลั่วเสวี่ยไม่สามารถออกหน้าในสังคมได้ ทำได้เพียงเรื่องที่คนระดับล่างทำ ทำให้ขายหน้า


 


 


พอเฉวียนสือพูดเช่นนี้ ฟางจื่อชิวจึงยิ้มออก “อาจเพราะลั่วเสวี่ยคิดว่าคนระดับล่างเลือกซื้ออาจจะไม่ถูกใจปู่เฉวียนและเฉวียนหมิงก็ได้ ก็ถือว่ามีความตั้งใจดีค่ะ”


 


 


“ใช่ ตั้งใจรอให้ฉันกับเฉวียนหมิงออกมาข้างนอก แล้วแวบออกมาเดินเที่ยวกับคนอื่น” พวกเขายืนอยู่ด้วยกัน พูดคุยเสียงไม่ดัง คนอื่นคิดว่าเพื่อนกำลังคุยกัน จึงไม่มีใครสนใจ


 


 


อีลั่วเสวี่ยได้ยินเช่นนั้นดวงตาฉายแววไม่พอใจออกมา เธอข่มความรู้สึกที่แสดงออกมาทางสายตา ขณะนี้กำลังโกรธจัด คิดว่าหมอปีศาจอย่างเธอจากอดีตจนถึงเดี๋ยวนี้ยังไม่เคยถูกลบหลู่เช่นนี้


 


 


สีหน้าเฉวียนหมิงแย่มาก แย่มากจริงๆ “ปู่ครับ ปู่พูดพอหรือยัง?”


 


 


“ยังเธอด้วย นี่เป็นเรื่องในครอบครัวเรา มีสิทธิอะไรมาคอยชี้นิ้ว!” ที่เขารำคาญเธอที่สุดก็คือ คิดว่าตัวเองเก่งคนเดียว สามารถตัดสินแทนเขาได้


 


 


แต่อีลั่วเสวี่ยต่างออกไป ดูเธอเหมือนไม่สนใจเรื่องอะไร แต่พอถึงคราวจำเป็นกับสามารถช่วยเขาแก้ปัญหาได้ ไม่ใช่อย่างฟางจื่อชิวที่สายตาดูถูกคนอื่น


 


 


พอตาแก่ฟางเห็นหลานสาวตนเองถูกตำหนิ ก็อดใจไม่อยู่ นับจากที่เจอหน้าปู่หลานสกุลเฉวียน เขาเห็นแก่หน้ามากพอแล้ว แต่ที่เขาได้รับกลับมา กลับเป็นเฉวียนหมิงไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา


 


 


“เฉวียนหมิง เธอพูดอะไร? ขอโทษจื่อชิวซะ!” ไม่เห็นผู้อาวุโสอย่างเขาอยู่ในสายตา กล้าอบรมหลานสาวเขาต่อหน้าต่อตา ถือดียังไง


 


 


“ผมรู้ดีว่าพูดอะไรอยู่ เป็นหลานท่านต่างหากที่ไม่รู้ว่าพูดอะไรอยู่ หรือไม่เคยได้ยินภาษิตที่ว่า ขุนนางตรงยากที่จะตัดสินเรื่องในครอบครัว พวกคุณไม่ใช่ขุนนางด้วยซ้ำ ถือดียังไงมายุ่งเรื่องครอบครัวผม ผมขอร้อง พวกคุณอย่างยุ่งได้ไหม?”


 


 


ขณะที่ตาแก่ฟางกำลังจะพูดอะไร ฟางจื่อชิวก็ดึงแขนปู่ตนเอง ห้ามไม่ให้เขาพูด


 


 


 


 


ตอนที่ 385 ดูสิ ใช้ได้หรือ


 


 


“เราไม่ได้คิดจะแทรกแซง เฉวียนหมิง คุณเข้าใจผิดแล้วค่ะ” จากนั้นก็พูดเบาๆ กับปู่ตน “ปู่คะ อย่าเพิ่งโมโห”


 


 


เป็นเพราะตาแก่ฟางห่วงหลานสาวของตน พอได้ยินเช่นนั้นก็ร้องหึออกมา รู้สึกผิดหวังที่ไม่เป็นไปดั่งใจ แล้วไม่พูดอะไรอีก


 


 


เฉวียนหมิงยิ้มเจื่อนๆ แม้ใบหน้าจะเย็นชามากแต่ยังมองออกว่าแฝงด้วยความเย้ยหยัน “ถ้างั้นผมคงเข้าใจผิดแล้ว อาเสวี่ย ปู่ มีอะไรเรากลับไปแล้วค่อยคุยกันครับ”


 


 


เมื่อเกิดเรื่องอย่างนี้ คนรอบข้างเริ่มชำเลืองมองแล้ว คนที่มากินอาหารที่นี่ล้วนเป็นคนในแวดวงสังคมชั้นสูง ถ้าทำอะไรขายหน้า ไม่รู้ว่าจะถูกลือกันออกไปอย่างไร


 


 


นายท่านผู้เฒ่าเฉวียนเองก็รู้สึกว่าเมื่อครู่ตนเองทำไม่เหมาะ จึงหันไปพูดกับตาแก่ฟาง “ดึกแล้ว เรากลับกันเถอะ วันหลังค่อยหาเวลาไปดื่มชาและเล่นหมากรุกกับคุณ”


 


 


“ฉันว่าไม่ต้องหรอก ระยะนี้งานยุ่ง ต้องไปที่อื่นสักพัก รอให้กลับมาก่อนแล้วค่อยว่าเถอะ” ตาแก่ฟางพูดจบก็ดึงแขนฟางจื่อชิวเดินผละไป


 


 


ฟางจื่อชิวยิ้ม “งั้นเฉวียนหมิง เราค่อยเจอกัน” น่าเสียดายที่พอเธอพูดจบ เฉวียนหมิงไม่ได้พูดตอบ


 


 


“อาเสวี่ย ผมส่งคุณกลับ” เฉวียนหมิงพูดพลางจะรับของจากมือหนานหลิวเฟิงมา แต่ตอนนี้เฉวียนสือมองดูแล้วก็โกรธสุดขีด


 


 


โทสะพลุ่งพล่านขึ้นจนรู้สึกเวียนหัว ร่างเขาเอนไปข้างหลัง อีลั่วเสวี่ยตาไว รีบเข้ามาพยุงเฉวียนสือ “คุณปู่ เป็นอะไรไปคะ?”


 


 


เธอยังคงจำท่าทีก่อนหน้านี้ของนายท่านผู้เฒ่าที่มีต่อเธอ แต่พอเห็นเขามีสภาพเช่นนี้ก็ยังห่วงใยทันที ส่วนความไม่พอใจก็สลายไป ชีวิตคนย่อมสำคัญ


 


 


หนานหลิวเฟิงเห็นว่าเกิดเรื่องด่วน จึงรับของจากมือเฉวียนหมิงไว้


 


 


“ปู่ครับ ปู่เป็นอะไรไป?” เฉวียนหมิงร้อนใจขึ้นมา รู้สึกตกใจจนทำอะไรไม่ถูก ปู่ตนไม่เคยเป็นเช่นนี้มาก่อน


 


 


ขณะที่อีลั่วเสวี่ยประคองเฉวียนสือได้ตรวจชีพจรอย่างรวดเร็ว แม้จะไม่ละเอียด แต่ก็รู้ว่าเขาโมโหจนธาตุไฟรุกเข้าหัวใจ ส่งผลให้เลือดลมติดขัดจึงมีอาการเวียนหัว บวกกับอายุมากแล้ว มากน้อยความดันโลหิตย่อมสูงบ้าง


 


 


“ไม่ต้องเรียกฉันว่าปู่ ฉันยังไม่ตายหรอก!” นายท่านผู้เฒ่าผลักมืออีลั่วเสวี่ยออก สีหน้าไม่พอใจ อย่าคิดว่าเธอทำแบบนี้แล้วเขาจะรู้สึกดีด้วย ไม่มีวันหรอก


 


 


เมื่อบวกกับสภาพของตัวเอง เฉวียนสือยิ่งอยากต้องการคนที่เข้าใจวิธีช่วยชีวิตยามฉุกเฉินมาอยู่ข้างตัวหลานชายของตน คิดๆ แล้วก็รู้สึกว่าฟางจื่อชิวเหมาะสม เพราะเธอเป็นหมอ


 


 


“ปู่ ถึงเวลานี้แล้วอย่าอวดเก่งเลย ผมจะพาปู่ไปตรวจที่โรงพยาบาล” เฉวียนหมิงพูดพลางประคองเขาไปที่รถ ถึงตอนนี้พวกบอดี้การ์ดเห็นแล้ว รีบตรงมาหาทันที


 


 


เฉวียนหมิงเดินไปสองสามก้าว ก็หันมามองอีลั่วเสวี่ยอย่างจนใจ


 


 


“วางใจเถอะค่ะ ฉันจัดการเองได้ เรื่องปู่สำคัญกว่า” อีลั่วเสวี่ยยิ้ม แสดงท่าทีว่าเธอเข้าใจ เธอเองก็ไม่ต้องการให้เฉวียนหมิงลำบากใจ


 


 


เฉวียนหมิงมองบอดี้การ์ดพยุงปู่ขึ้นรถ แล้วหันมามองหนานหลิวเฟิง เดินมาตบไหล่เขา “รบกวนคุณช่วยพาอาเสวี่ยไปส่งด้วย”


 


 


แม้ว่าการไหว้วานศัตรูหัวใจจะทำให้เขาไม่สบายใจ แต่เฉพาะหน้านี้มีเขาเท่านั้นที่พอจะไว้ใจได้ อีกอย่างวันนี้หนานหลิวเฟิงเอ่ยถึงความสัมพันธ์ระหว่างเขากับอาเสวี่ยชัดเจนแล้ว ทำให้เขารู้ว่าเจ้าหนุ่มคนนี้ไม่ใช่คนที่น่ารังเกียจแต่อย่างไร


 


 


“วางใจเถอะ ผมจะส่งลั่วเสวี่ยถึงบ้าน” หนานหลิวเฟิงรับประกัน


 


 


เฉวียนสือในรถได้ยินลางๆ รู้สึกว่าตนเองปวดหัวหนักขึ้น ไอ้หลานน่าโง่ ถึงกับทำอย่างนี้ นี่ไม่เท่ากับส่งอาหารไปถึงมือนักล่าหรือ น่าปวดหัว น่าปวดหัว


 


 


อีกอย่างทำอย่างนี้เหมาะแล้วหรือ หนานกรุปลงมือเล่นงานเฉวียนกรุ๊ป แล้วนี่จะพานายหญิงของเฉวียนกรุ๊ปไปส่ง อะไรกันนี่

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม