ลิขิตฟ้าชะตารัก 375-390

 ตอนที่ 375 ผิดที่ตรงไหน 


 


 


 


 


 


“เหอะ!” จวินฉางอวิ๋นสะบัดชายแขนเสื้อยาวด้วยความโกรธเคือง จ้องมองสองคนพ่อลูกแล้วจึงกัดฟันหมุนตัวเตรียมจะจากไป วันนี้เป็นเพราะคำสั่งของเสด็จย่าเขาจึงได้มายังจวนหลิงอ๋อง แต่กลับถูกสองพ่อลูกป่วนประสาทเช่นนี้น่ะหรือ? ช่างน่าอับอายยิ่งนัก ตัวเขาเป็นถึงองค์รัชทายาทแห่งต้าเยี่ยน แต่กลับโดนด่าทอจนเสียผู้เสียคนถึงเพียงนี้ 


 


 


นางกำนัลอาวุโสยืนรั้งอยู่ด้านนอก เมื่อเห็นสีหน้าโกรธเคืองของผู้เป็นนายก็ตกใจยิ่งนัก รีบเดินตามหลังเขาออกจากจวนไปในทันที 


 


 


เมี่ยวอวี้มองไปยังสองนายบ่าวที่จากไปด้วยความโกรธเคืองแล้วจึงค่อยเข้ามาในห้อง ก่อนจะทำความเคารพหลิงอ๋องพร้อมทั้งอวี้อาเหรา “บ่าวถวายบังคมท่านอ๋องและคุณหนูรองเพคะ” 


 


 


“ลุกขึ้นเถิด” หลิงอ๋องโบกชายแขนเสื้อเป็นเชิงอนุญาต 


 


 


“เสด็จพ่อเสด็จมาตั้งแต่เมื่อไหร่กันเพคะ” อวี้อาเหราหันไปทางหลิงอ๋อง เห็นเขาสวมเสื้อผ้าสง่างาม เสื้อตัวยาวหรูหราพลิ้วบางเหมือนสายลม เมื่อสวมอยู่บนร่างของเขาแล้วกลับไม่ทำให้ดูงดงามสุภาพ แต่สามารถสัมผัสได้ถึงเสน่ห์ของชายวัยกลางคน ทั้งท่วงท่าและลักษณะก็ยังดูสง่างามมีราศี 


 


 


“เป็นเมี่ยวอวี้ที่ไปเชิญพ่อมา” หลิงอ๋องส่งสายตาไปทางเมี่ยวอวี้ 


 


 


เมื่อเห็นอวี้อาเหรามองมา เมี่ยวอวี้ก็รีบยิ้มออกมาทันที “บ่าวเกรงว่าหากคุณหนูอยู่กับรัชทายาทนานกว่านี้จะถูกรังแกเอาได้ เช่นนั้นจึงรีบไปเชิญท่านอ๋องที่ห้องหนังสือ บ่าวทำเกินเรื่องไป ขอให้คุณหนูลงโทษด้วยเจ้าค่ะ” 


 


 


“เจ้ามีความผิดที่ใดกัน” อวี้อาเหราไม่โกรธเลยแม้แต่น้อย เป็นเพราะเมี่ยวอวี้เชิญหลิงอ๋องมาจึงทำให้นางคลายจากความโกรธไปได้ จวินฉางอวิ๋นเห็นว่าตัวเองเป็นองค์รัชทายาทแล้วอย่างไร? หากเป็นช่วงเวลาอื่น มองนางก็ยังไม่อยากจะมอง ไหนเลยจะมายืนคุยกับเขาเป็นนานสองนานเพียงนี้ 


 


 


เพราะต้องการที่ยั่วโมโหเขา นางจึงทำให้สร้อยไข่มุกเส้นนั้นขาดเสีย 


 


 


เมื่อเห็นหลิงอ๋องโกรธแทนนางเช่นนี้ ในใจของนางก็เป็นสุขยิ่งนัก 


 


 


เมี่ยวอวี้ได้ยินอวี้อาเหราพูดเช่นนี้แล้ว คงจะชื่นชมที่นางกล้าคิดกล้าทำ จึงยิ้มแย้มออกมาอีก “บ่าวขอบพระคุณคุณหนูเจ้าค่ะ” 


 


 


“อืม” อวี้อาเหราตอบรับอย่างพึงใจ เกิดรู้สึกหน้ามืดขึ้นมาเล็กน้อย จนร่างกายแทบจะยืนไม่อยู่จึงได้หงายหลังไป โชคดีที่หลิงอ๋องซึ่งยืนอยู่ด้านหลังได้ประคองนางเอาไว้ทันเวลา นางสูดลมหายใจเข้าไปเต็มปอด จึงค่อยยืนอย่างมั่นคง 


 


 


เมี่ยวอวี้รีบพูดขึ้น “เมื่อครู่นี้คุณหนูต้องต้อนรับท่านหญิงน้อยเซิ่นและองค์รัชทายาท ร่างกายคงเหนื่อยแล้วกระมัง รีบนอนพักผ่อนเถิดเจ้าค่ะ” 


 


 


“เจ้านี่ช่างไม่เห็นแก่ร่างกายของตัวเองเลย” หลิงอ๋องถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย ก่อนจะพยุงอวี้อาเหราไปยังเตียงนอนด้วยตัวเอง จากนั้นก็ขมวดคิ้วอย่างสงสัย “ท่านหญิงเซิ่นก็มาด้วยหรือ? ใช่ท่านหญิงน้อยแห่งจวนเซิ่นอ๋องหรือไม่” 


 


 


“ใช่แล้วเพคะ เสด็จพ่อ” อวี้อาเหราตอบ  


 


 


“นางมาที่จวนหลิงอ๋องด้วยเหตุใดกัน ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าอาเหรารู้จักนางด้วย” หลิงอ๋องทำท่านึก 


 


 


อวี้อาเหรานิ่งไป แล้วจึงตอบว่า “คงจะเป็นเพราะหลังจากที่เซิ่นซื่อจื่อกลับมาจากเมืองตะวันตกพร้อมกับลูกในครั้งก่อน ได้พบกับนางที่หน้าประตูเมืองพอดี เช่นนั้นจึงพากันไปทานอาหารที่หอจุ้ยเซียน พวกเราจึงรู้จักกันในตอนนั้น ภายหลังนางก็มาพบลูกเพราะเรื่องที่เกี่ยวกับเซิ่นซื่อจื่อน่ะเพคะ” 


 


 


“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ เซิ่นซื่อจื่อเป็นผู้มีพระคุณช่วยชีวิตลูกเอาไว้ ลูกจะต้องตอบแทนเขาให้ดี” หลิงอ๋องได้ยินนางพูดเช่นนี้แล้วก็ไม่นึกไถ่ถามอะไรให้มากความอีก อยู่พูดคุยอีกเพียงสองสามคำแล้วจึงจากไป 


 


 


เมื่อหลิงอ๋องไปแล้ว อวี้อาเหราจึงลุกขึ้นนั่งบนเตียง 


 


 


เมี่ยวอวี้เห็นนางทำเช่นนั้นจึงรีบเอ่ยถาม “คุณหนู เหตุใดถึงไม่นอนต่อเล่าเจ้าคะ” 


 


 


“ข้าไม่ง่วงแล้ว ความง่วงหายเป็นปลิดทิ้ง แต่ตอนนี้ท้องข้ากลับหิวขึ้นมาเสียนี่ เจ้าไปเตรียมอาหารให้ข้าเถิดไป” อวี้อาเหรานั่งอยู่บนเตียงอย่างเหนื่อยอ่อน แล้วเอนกายพิงหมอนด้วยความสบาย จากนั้นจึงค่อยสั่งความกับเมี่ยวอวี้ 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 376 ไม่ใช่ข้า แล้วเจ้าคิดว่าจะเป็นใคร 


 


 


 


 


 


อวี้อาเหรากึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง เพียงไม่นานนางก็เริ่มต้านทานความง่วงเอาไว้ไม่ไหว เผลอหลับไปยาวจนกระทั่งช่วงค่ำ 


 


 


นางลืมตาขึ้นมาอย่างสะลึมสะลือ ข้างกายเหมือนมีอะไรบางอย่างอยู่ เป็นความอุ่นร้อนที่มีความเหน็บหนาวแทรกอยู่ในนั้น กระทั่งได้กลิ่นหอมเย็นลอยเข้ามาในจมูก อวี้อาเหราสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ ในที่สุดก็ลืมตาขึ้นมาอย่างเต็มที่ 


 


 


ตรงหน้ากลับปรากฏเป็นแผ่นหลังของคนผู้หนึ่งกำลังนั่งอยู่ เงาร่างนั้นดูผอมบางยิ่งนัก ทว่ายามนี้อวี้อาเหรากลับกำลังกอดอีกฝ่ายเอาไว้ ยามที่กอดเข้าไปนั้นกลับไปไม่รู้สึกว่าอีกฝ่ายผอมบางเลยแม้แต่น้อย นางลังเลอยู่นาน ก่อนจึงค่อยผุดลุกขึ้นนั่ง เบิกดวงตากว้างขึ้นจ้องมองคนผู้นั้น “เจ้าเป็นใคร” 


 


 


ฉู่ป๋ายค่อยๆ ผินใบหน้าที่ราวกับภาพวาดกลับมาอย่างช้าๆ มุมปากยกโค้งขึนเป็นรอยยิ้มน้อยๆ “แม้แต่ข้าเจ้าก็จำไม่ได้แล้วหรือ” 


 


 


“เจ้าเองหรือ” คำถามของอวี้อาเหราราวกับไม่ได้ถามอีกฝ่าย แต่กลับเหมือนถามตัวเองเสียมากกว่า ไม่สิ น้ำเสียงของนางราวกับแน่ใจเสียเหลือเกิน 


 


 


“หากไม่ใช่ข้า แล้วเจ้ายังคิดว่าเป็นใครกัน” ฉู่ป๋ายมองสีหน้าแปลกใจของนาง แต่สีหน้าท่าทางของเขายังคงมั่นคงแน่วแน่ดังเดิม ราวกับไม่เห็นคำโบราณที่กล่าวไว้ว่า ‘ชายหญิงไม่ควรใกล้ชิด’ อยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย ทว่าสายตาก็ยังคงวนเวียนอยู่กับร่างของนาง นับตั้งแต่ใบหน้าถึงลำคอ ถึงไหปลาร้า ไปจนถึง… 


 


 


สายตาของเขาราวกับแผ่รังสีซอกซอนไปทั่ว มองทะลุร่างกายของนางเสียจนหมด 


 


 


อวี้อาเหราพลันยกมือขึ้นกอดอก แล้วจึงจ้องมองเขาอย่างดุดัน “เจ้ามองพอหรือยัง” 


 


 


“อืม ตอนที่เจ้านอนอยู่ ข้าก็มองทั้งที่ควรมองและไม่ควรมองจนพอแล้ว” ไม่คิดเลยว่าเขาไม่เพียงไม่สำนึกผิด แต่กลับจู่โจมหนักยิ่งขึ้น เขาพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม กล่าววาจาเช่นนี้ออกมาได้ก็ทำให้นางรู้สึกโกรธแทบตาย นางเหยียดริมฝีปากออกมาอย่างอารมณ์เสีย บนโลกนี้ก็มีผู้ชายที่หน้าไม่อายได้ถึงเพียงนี้ด้วยหรือ! 


 


 


มีสิ! ก็คนตรงหน้านางนี่อย่างไรเล่า! 


 


 


เมื่อสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ อวี้อาเหราจึงค่อยสงบลงบ้าง 


 


 


ฉู่ป๋ายเห็นนางโกรธจนแทบกระอัก เช่นนั้นจึงแก้คำพูดว่า “ข้าก็เห็นว่าตอนนี้เจ้าแต่งตัวไม่เรียบร้อยและดูทรุดโทรมต่างหาก” 


 


 


“เจ้า!” อวี้อาเหราแอบก่นด่าอยู่ในใจ จะกล่าววาจาเช่นนี้ต้องใช้เวลานานเลยหรือจึงจะกล่าวออกมาได้ ช่างน่าโมโหยิ่งนัก เมื่อนึกถึงเมื่อครู่นี้ที่นางยกมือขึ้นปิดหน้าอกแล้ว ทันใดนั้นนางก็เอามือลงอย่างโกรธๆ แล้วพยายามทำให้ตัวเองอยู่ในทีท่าที่ปกติที่สุด “เจ้ามาที่นี่ทำไมกัน” 


 


 


“แล้วเหตุใดข้าถึงมาที่นี่ไม่ได้” ฉู่ป๋ายกล่าวขึ้น น้ำเสียงฟังดูยียวน 


 


 


อวี้อาเหรามองเขานิ่งๆ เหตุใดวันนี้ถึงได้รู้สึกว่าเขาแปลกไปนะ ถามอะไรก็ต้องถามกลับ อีกอย่าง ท่าทีที่เขายิ้มออกมานั้นกลับทำให้ดูน่าหวาดกลัว นางชะงักไปนานจึงค่อยรู้ตัว “เจ้ามาทำไมกัน” 


 


 


“เหตุใดหรือ หรือว่าองค์รัชทายาทมาได้ แต่ข้ามาไม่ได้?” ทันใดนั้นฉู่ป๋ายก็ค่อยๆ ยื่นมือออกไปปัดบ่าของนาง ลอบดึงเสื้อของนางขึ้น ปกปิดกระดูกไหปลาร้าขาวผ่องราวหิมะที่ปรากฏออกมาให้เห็น ทั้งขาวทั้งเรียบลื่นงดงามอย่างยิ่ง แต่สายตาของเขาช่างมุ่งมั่น แม้ว่าเขาจะทำเช่นนี้แต่ก็ไม่ได้มีเจตนาจะล่วงเกินเลยแม้แต่น้อย ในทางกลับกันกลับราวกับกำลังสร้างผลงานศิลปะอันงดงามเสียมากกว่า 


 


 


อวี้อาเหรารู้สึกหัวสมองขาวโพลน นี่นางกำลังเปรียบเทียบร่างกายของตัวเองกับงานศิลปะอย่างนั้นหรือ 


 


 


นางมองสายตาที่ลุ่มลึกและห่างเหินของฉู่ป๋ายนิ่ง ดวงตาของเขาเหมือนกับวังน้ำวนที่มีชีวิต ที่สามารถดึงดูดให้คนตกลงไปได้ ดวงตาที่ส่องประกายดึงดูดสายตาราวกับดวงดาราเต็มนภา ทว่าในเวลาเดียวกันกลับไม่ได้ให้ความรู้สึกเหมือนดวงดาวที่อยู่สูงขึ้นไป แต่กลับเหมือนแสดงสว่างที่หลบซ่อนเอาไว้เสียมากกว่า 


 


 


เมื่อได้สติขึ้นมา นางก็ไม่รู้เลยว่าชายที่อยู่ตรงหน้ากำลังเล่นผมของนางอยู่ 


ตอนที่ 377 พูดให้ดีๆ 


 


 


 


 


 


“เจ้าปล่อยมือนะ” อวี้อาเหราที่ได้สติกลับคืนมาถลึงตาจ้องมองเขา 


 


 


ฉู่ป๋ายยิ้มเล็กน้อย แต่ยังทำเหมือนว่าไม่ได้ยินเสียงนางเข้ามาในหู ยังคงเล่นผมของนางตามอำเภอใจต่อไป เขาม้วนเส้นผมยาวของอวี้อาเหราด้วยนิ้วชี้จนมันกลายเป็นก้อนกลม เส้นผมสีดำห่อหุ้มนิ้วมือขาวเรียวของเขาเสียจนมิด เมื่อม้วนจนเต็มแล้วก็คลายออก แล้วก็ม้วนเข้ามาใหม่ 


 


 


อวี้อาเหราหมดคำจะเอ่ย “เจ้าอย่าเล่นได้ไหม โตเป็นผู้ใหญ่ถึงเพียงนี้แล้วนะ” 


 


 


“ไม่ได้” ฉู่ป๋ายตอบด้วยท่าทีจริงจังอยู่บ้าง 


 


 


“จริงสิ ร่างกายของเจ้าก็ยังไม่แข็งแรงเลยมิใช่หรือ เหตุใดถึงมาที่นี่ได้ หรือว่าต้องการหยกเลือด?” นางคร้านที่จะสนใจชายหนุ่มที่ทำตัวเป็นเด็กๆ ผู้นี้เต็มทีแล้ว เช่นนั้นอวี้อาเหราจึงเปลี่ยนเรื่องคุย 


 


 


“เช่นนั้นข้าก็จะถามเจ้าบ้าง วันนี้ที่เจ้าพบกับรัชทายาท เจ้าก็สวมเสื้อผ้าตัวนี้หรือไม่” ฉู่ป๋ายไม่ตอบแต่กลับถามนางกลับ หากมองเพียงสีหน้าของเขาแล้วก็ไม่อาจมองเห็นถึงสีหน้าท่าทีที่ไม่ปกติ ราวกับว่าเขากำลังถามถึงเรื่องธรรมดาๆ ทั่วไป น้ำเสียงของเขาไม่มีอะไรที่ผิดปกติ 


 


 


อวี้อาเหราชะงักไป จากนั้นก็ตีมือที่กำลังเล่นผมของนางอยู่ ก่อนเลิกคิ้วขึ้นสูง จากนั้นก็กลอกตามอง “เจ้าจะสนใจทำไมว่าข้าสวมเสื้อผ้าแบบไหน!” 


 


 


“พูดดีๆ” น้ำเสียงของฉู่ป๋ายเข้มขึ้นอยู่บ้าง ปล่อยให้นางตีไปแต่ก็ไม่ยอมปล่อยมือออกจากเส้นผมของนาง 


 


 


พูดดีๆ? อวี้อาเหราถูกประโยคแปลกประหลาดเช่นนี้ทำให้ชะงักงันไป นางนั้นก็บุ้ยปากแล้วกล่าวว่า “แน่นอนว่าข้าต้องสวมเสื้อตัวนี้ เจ้าก็คิดว่าคนป่วยหนักเช่นนี้จะเปลี่ยนเสื้อผ้าได้หรือ” 


 


 


มือที่จับเส้นผมของนางอยู่หยุดชะงักในทันที อวี้อาเหราจึงร้องออกมาด้วยความเจ็บ 


 


 


ชายผู้นี้คิดจะทรมานนางให้ตายหรืออย่างไรกัน?! ช่างร้ายกาจยิ่งนัก! 


 


 


ฉู่ป๋ายปรับสีหน้าให้เป็นปกติ ก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “ต่อไปก็แต่งตัวดีๆ ด้วย” 


 


 


“ข้าจะสวมเสื้อผ้าเช่นไรแล้วมันเกี่ยวอะไรกับเจ้า” อวี้อาเหรารำคาญ หรือนางจะแต่งตัวอย่างไรก็ต้องตามใจเขาหรือ จะเอาแต่ใจตัวเองเกินไปหรือเปล่า? ช่างน่าขันยิ่งนัก! สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปเป็นเย็นชา ส่องประกายรังสีความอันตรายไปทั่วห้อง นางจึงเปลี่ยนคำพูด “ข้ารู้แล้ว” 


 


 


แต่ไหนแต่ไรมานางก็ไม่ใช่คนดื้อรั้น สมควรจะพูดว่านางนั้นเป็นคนรู้ดีว่าเวลาไหนควรจะทำตัวเช่นไร เมื่อเห็นสีหน้าของฉู่ป๋ายแล้วก็รีบเปลี่ยนคำพูดทันที ทำให้เขาพออกพอใจ ไม่เหลือบคราบคนที่เคยควบคุมจวินฉางอวิ๋นเสียจนอยู่หมัดก่อนหน้านั้นแล้ว 


 


 


ฉู่ป๋ายเล่นผมของนางอย่างพึงพอใจต่อไป บางครั้งเขาก็ปรายตามองอวี้อาเหราที่กำลังเคลิบเคลิ้ม มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย เป็นรอยยิ้มที่หาได้ยากยิ่งนัก เขาไม่ใช่คนที่จะหัวเราะออกมาโดยง่าย แต่วันนี้เขากลับยิ้มแย้มหัวเราะออกมาหลายครั้ง คงจะเพราะถูกอกถูกใจจริงๆ 


 


 


“ที่ข้าถามเจ้าเมื่อครู่นี้เล่า” อวี้อาเหรานึกถึงเรื่องสำคัญขึ้นมาได้ จึงเอ่ยขึ้นเพื่อถามเขาอีกครั้ง 


 


 


ฉู่ป๋ายกล่าวว่า “ไม่ใช่เพราะหยกเลือดหรอก เพียงแต่ได้ยินว่าก่อนหน้านี้ฉู่เกอมาที่นี่หรือ” 


 


 


“ใช่” อวี้อาเหราลังเลเล็กน้อยแล้วจึงพยักหน้า 


 


 


“เจ้าก็สอนนางให้มาเกลี้ยกล่อมข้าอย่างนั้นหรือ” ฉู่ป๋ายจ้องมองนาง ใบหน้าหล่อเหลาไร้รอยราคีของเขาเผยให้นางเห็นอย่างเต็มที่ อวี้อาเหราถูกจ้องมองเช่นนี้ก็อดไม่ได้ที่จะตัวสั่น ก่อนจะก้มหน้าลงเงียบๆ พลางถอยหลังออก กระแอมไปเบาๆ “เจ้าอย่าเข้ามาใกล้ถึงเพียงนี้ได้หรือไม่” 


 


 


“ใกล้อย่างไรกัน” ทันใดนั้นฉู่ป๋ายก็เข้าใกล้ไปอีกนิด จนปลายจมูกแทบจะชนเข้ากับจมูกของนาง 


 


 


อวี้อาเหราตกใจเสียจนถอยไปด้านหลัง สีหน้าขาวซีดลงอย่างเห็นได้ชัด ทันใดนั้นใบหน้าก็แดงก่ำขึ้นมาในทันที ทั้งยังร้อนฉ่าเสียจนน่าตกใจ นางลอบกำหมัด พยายามที่จะสงบสติอารมณ์แล้วมองเขา เขาเป็นเหมือนดอกฝิ่นไม่มีผิด ที่ปล่อยกลิ่นหอมรัญจวนออกมา แต่กลับแฝงไปด้วยปริศนาที่อันตรายถึงชีวิต แต่นางก็ไม่มีทางเลือก จำต้องสูดดมเข้าไป 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 378 คนลามกหน้าหม้อ 


 


 


 


 


 


สวรรค์! นางรู้สึกราวกับกำลังจะหายใจไม่ออก นางสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ จากนั้นจึงค่อยรู้สึกดีขึ้นมาหน่อย 


 


 


ใจของนางที่เคยนิ่งสงบ ในยามนี้กลับถูกเขาโจมตีเสียจนเหมือนทหารแตกทัพแพ้พ่าย 


 


 


ฉู่ป๋ายชื่นชมใบหน้าแดงก่ำของนางเสียจนพอใจแล้ว เช่นนั้นจึงค่อยถอยหลังจากไป แต่แล้วก็ยังคงเล่นผมของนางต่อไป เอ่ยปากพูดเสียงเบาๆ กระทบใบหูของนาง “เจ้าคิดจะเกลี้ยกล่อมข้าอย่างไร” 


 


 


“ไม่ใช่เสียหน่อย เหตุใดข้าจะต้องเกลี้ยกล่อมเซิ่นซื่อจื่อด้วยเล่า” อวี้อาเหรายิ้มอย่างกระวนกระวาย นางปั้นยิ้มออกมาได้อย่างไรกัน แม้แต่นางเองก็ยังรู้สึกฝืนทน เมื่อเห็นฉู่ป๋ายมีสีหน้าไร้ความรู้สึก จึงทำได้แต่เพียงก้มหน้าแล้วพูดความจริงออกมา “ใช่แล้ว ข้าให้นางเกลี้ยกล่อมเจ้าให้บอกถึงวิธีการปลดกำไลหยกเลือดออก เรื่องอื่นข้าไม่ได้ทำเลยนะ” 


 


 


“เจ้าอยากปลดเอากำไลหยกเลือดออกถึงเพียงนี้เชียว?” ฉู่ป๋ายขมวดคิ้ว มองไม่ออกว่ากำลังอยู่ในอารมณ์ใดกันแน่ 


 


 


“แน่นอนสิ!” อวี้อาเหรารีบพยักหน้าลงอย่างแข็งขัน ไม่ได้สังเกตถึงสีหน้าที่หมองคล้ำลงเรื่อยๆ ของเขาเลยแม้แต่น้อย  


 


 


มุมปากของฉู่ป๋ายยกโค้งขึ้น “ถ้าเช่นนั้นข้าจะปลดออกให้เจ้าเอง” 


 


 


“เจ้าพูดจริงหรือ” อวี้อาเหรารู้สึกเหนือความคาดหมาย 


 


 


“จริงสิ” ฉู่ป๋ายพยักหน้าอย่างจริงจัง 


 


 


อวี้อาเหรายื่นมือไปหาเขาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “ดีเลย เจ้าก็รีบปลดออกเสียสิ” 


 


 


“แต่เจ้าก็รู้ดีว่าหยกเลือดนี้เป็นสมบัติล้ำค่า หากจะปลดออกก็คงต้อง…” ฉู่ป๋ายเงยหน้าขึ้นด้วยท่าทางมีนัยยะ จากนั้นก็มองนางด้วยแววตาจริงจัง ราวกับมีคำพูดที่ยากเหลือเกินที่จะพูดออกมา  


 


 


อวี้อาเหรารอไม่ไหว “มีอะไรก็รีบพูดมาเถิด อย่ามัวอมพะนำอยู่เลย” 


 


 


“อมพะนำ?” สีหน้าเรียบเฉยของฉู่ป๋ายยิ่งเข้มมากขึ้นไปอีก แต่เขาก็ไม่สนใจคำพูดของนาง ริมฝีปากบางของเขาเข้าไปใกล้ใบหูของนาง แล้วพูดต่อว่า “หากต้องการจะปลดออก จำต้องใช้การรวมกันของธาตุหยินและธาตุหยางจึงจะใช้ได้…” 


 


 


การรวมกันของธาตุหยินและธาตุหยาง?! การรวมกัน! 


 


 


“แค่กๆ” อวี้อาเหรากระแอมไอขึ้นมาทันที ผ่านไปนานก็ยังไม่ดีขึ้น หากเป็นหญิงสาวทั่วไปคงไม่ทราบว่าการรวมกันของธาตุหยินและธาตุหยางหมายความว่าอย่างไร แต่นางเล่าเป็นใครกัน? นางเป็นผู้ที่มาจากศตวรรษที่ 21 อันเป็นยุคแห่งข่าวสารข้อมูล เหตุใดจะไม่รู้ว่าการรวมกันของธาตุหยินและธาตุหยางหมายความว่าอย่างไร 


 


 


หยินหยางรวมตัว? คิดจะล้อนางเล่นอย่างนั้นหรือ? 


 


 


ทันใดนั้นสีหน้าของอวี้อาเหราก็เปลี่ยนไปเป็นแดงก่ำจนร้อนฉ่า หากนำไข่ไก่สดๆ มาวางไว้ตรงหน้าของนางในตอนนี้แล้วล่ะก็ จะต้องสุกอย่างรวดเร็วเป็นแน่ นางจ้องมองฉู่ป๋ายทั้งที่ใบหน้ายังคงแดงก่ำด้วยความอาย พูดไม่ออกแม้แต่ครึ่งคำ 


 


 


“เจ้ายังจะถอดมันออกอยู่หรือไม่? หากต้องการ แน่นอนว่าข้าคงฝืนใจยอมทำเพื่อเจ้า” ฉู่ป๋ายถามขึ้นมาอีกครั้ง น้ำเสียงเต็มไปด้วยความกล้ำกลืนและไร้เดียงสา แต่รุกเร้าถามเอาอย่างหนัก ราวกับหากไม่ได้ยินคำตอบจากนางก็ไม่ยอมหยุดยาม 


 


 


ฝืนใจกับมารดาเจ้าน่ะสิ! คำด่าทอมากมายปลิวว่อนอยู่ในหัวของอวี้อาเหรา ยังถือว่าไม่เป็นไร ที่เขาดึงเอาเรื่องมาใส่หัวนางในครั้งนี้ แต่ที่น่าสงสารที่สุดก็คือเวลานี้นางกลับกระโจนลงไปในแผนการของเขาเสียเต็มเปา! 


 


 


เจ้าเคยรู้สึกว่าตัวเองผ่านเรื่องซวยๆ ไปแล้ว แต่กลับพบว่ามีเรื่องที่เกินบรรยายรออยู่ข้างหน้าหรือไม่? 


 


 


ตอนนี้นางตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนั้น! 


 


 


“ต้องการหรือไม่” ฉู่ป๋ายมองเข้ามาในดวงตาของนางด้วยสายตาเปลือยเปล่าไร้ซึ่งสิ่งใดมาแต่งเติม 


 


 


“ไม่ต้องการ!” อวี้อาเหรามองมาที่เขาเหมือนคนปัญญาอ่อน ถามเรื่องลามกเช่นนี้ต่อหญิงสาวที่ยังไม่ออกเรือนแต่กลับทำสีหน้าเรียบเฉยไม่เปลี่ยนแปลง แม้ว่าจะเป็นในยุคปัจจุบันก็ตามที ก็ไม่มีชายหนุ่มปกติคนใดถามเรื่องเช่นนี้ขึ้นมาหรอก นอกเสียจากจะเป็นพวกเจ้าชู้ไก่แจ้ แต่ฉู่ป๋ายก็ไม่น่าจะเป็นพวกหน้าหม้อจอมลามกกระมัง? 


ตอนที่ 379 เจ้าชอบ 


 


 


 


 


 


ใบหน้าขาวนวลของฉู่ป๋ายเผยให้เห็นถึงรอยยิ้ม “เจ้าพูดเองนะ” 


 


 


“ใช่ ข้าพูดเอง” อวี้อาเหราพยักหน้าคล้อยตาม หากการที่จะถอดกำไลหยกเลือดจะต้องใช้การรวมตัวกันของธาตุหยินและธาตุหยางแล้ว ไหนเลยนางจะกล้า? หากจะต้องรวมร่างธาตุหยินและธาตุหยางกับใครสักคน นางยอมที่จะสวมกำไลหยกเลือดไปตลอดชีวิต! เพียงแค่คิด นางก็รู้สึกอึดอัดเสียแล้ว  


 


 


แล้วอยู่ดีๆ เขาจะนำกำไลหยกเลือดมาให้นางสวมทำไมกัน 


 


 


อวี้อาเหราลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนจะมองไปที่ร่างของเขา “ข้าได้ยินฉู่เกอพูดว่า โรคของเจ้าเป็นโรคเก่า หรือว่าเลือดของนางนั้นไม่อาจช่วยเจ้าได้อีกแล้ว” 


 


 


“ช่วยก็ช่วยได้อยู่หรอก แต่เพียงแค่ระงับเอาไว้เท่านั้น ตอนนี้ข้าสูญเสียพลังยุทธ์แห่งวิชาเผาไหม้ตัวตน ไม่อาจควบคุมตัวเองได้ หากเพียงอาศัยเลือดของเสี่ยวเกอก็คงไม่ใช่วิธีที่ดีนัก” ท่าทีของฉู่ป๋ายดูลังเล จากนั้นจึงค่อยพูดขึ้นมาด้วยท่าทีสบายๆ 


 


 


“ถ้าเช่นนั้นจะทำอย่างไร” อวี้อาเหรามองหน้าเขาอย่างพินิจ พยายามมองหาสีหน้าอย่างอื่นของเขา แต่จนแล้วจนรอดก็เห็นเพียงสีหน้าเรียบเฉย พูดขึ้นอย่างเยือกเย็นราวกับไม่ใช่เรื่องของตัวเอง แต่กำลังพูดถึงเรื่องของคนอื่น 


 


 


ฉู่ป๋ายส่ายหน้าอย่างเรียบเฉย “ไม่รู้เหมือนกัน” 


 


 


“ไม่รู้หรือ? นี่เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของเจ้า แต่เจ้ากลับพูดว่าไม่รู้หรือ” อวี้อาเหราอดไม่ได้ที่จะตื่นตระหนก เขาจะนิ่งเฉยไปหน่อยหรือไม่ 


 


 


สายตาของฉู่ป๋ายดูไม่ยี่หระ น้ำเสียงลอยแผ่วมาเหมือนหิมะเจือน้ำแข็ง “คนเราไม่ช้าก็เร็วล้วนแล้วแต่ต้องตาย เพียงแต่จะตายเร็วหรือตายช้าก็เท่านั้น ในเมื่อไม่อาจฝืนลิขิตฟ้า ไหนเลยจะต้องหาเรื่องอะไรให้ปวดหัวอีก” 


 


 


“หากเจ้าไม่ลองทำดูก่อน แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าสามารถฝืนลิขิตฟ้าได้หรือไม่” 


 


 


“เจ้าเชื่อข้าหรือ” อารมณ์ของฉู่ป๋ายชะงัก มองนางด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ สายตาจ้องมองนางอย่างสำรวจตรวจตรา หลังจากคิดอยู่นานจึงค่อยได้สติ แล้วหัวเราะออกมาเสียงเบา “เจ้าพูดได้ไม่เลวเลย หากไม่เคยทำมาก่อนแล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าเรื่องใดทำได้เรื่องใดทำไม่ได้ ในเมื่อเจ้าเชื่อว่าข้าทำได้ ข้าก็ย่อมเชื่อว่าตัวเองก็สามารถทำได้” 


 


 


อวี้อาเหราฟังคำของเขาด้วยความรู้สึกแปลกประหลาด แล้วพยักหน้ารับอย่างอึ้งๆ รู้สึกราวกับเรื่องที่เขาพูดนั้นเหมือนไม่ใช่เรื่องโรคกระหายเลือด แต่ภายในสายตาของเขา ราวกับถูกห้อมล้อมด้วยความรู้สึกแบบอื่น แต่เมื่อได้ยินเขาพูดเช่นนี้แล้วนางก็คิดว่าไม่เสียแรงที่สู้อุตส่าห์เปลืองแรงเกลี้ยกล่อมเขามาได้  


 


 


นิ้วมือเรียวยาวของฉู่ป๋ายนั้นยังคงไม่ขยับออกจากเส้นผมของนางแม้แต่น้อย เล่นผมนางมาได้ตั้งนาน เขาก็รู้สึกเสียดายถ้าไม่ได้เล่น อวี้อาเหราเห็นแล้วก็หมดคำจะเอ่ยอ้าง “เจ้าไม่มีผมหรืออย่างไร เหตุใดจะต้องมาลูบมาคลำผมของข้าเช่นนี้” 


 


 


“ข้าชอบ” ฉู่ป๋ายก้มหน้า น้ำเสียงแฝงไปด้วยแววขี้เล่น 


 


 


อวี้อาเหรานิ่งงัน “เจ้าชอบ แต่ข้าไม่ชอบนี่” 


 


 


“ถึงเจ้าไม่ชอบก็ไม่มีประโยชน์หรอก” ฉู่ป๋ายไม่สนใจสีหน้าไม่พอใจของนาง แต่พูดขึ้นโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้า 


 


 


อวี้อาเหราไม่รู้จะทำอย่างไร เขาไม่หือไม่อือเลยแม้แต่น้อย ยังคงดื้อดึงจะเล่นผมนางอยู่เช่นนั้น อีกทั้งยังทำราวกับเป็นเรื่องธรรมดาเสียเหลือเกินที่เล่นผมนางเช่นนี้ ไม่ได้เห็นว่ามันเป็นเรื่องไม่สมควร เมื่อลมหายใจของเขาเป่ารดกระหม่อมของนางก็ทำให้รู้สึกยากที่จะทานทน แต่เขาก็ทำตามใจชอบ นางจึงทำได้เพียงเปลี่ยนเรื่องคุย 


 


 


“ที่เจ้ามาหาข้าในตอนนี้เพราะเรื่องถอดกำไลหยกเลือดเช่นนั้นหรือ” 


 


 


“แน่นอนว่าไม่ใช่” ฉู่ป๋ายส่ายหน้า 


 


 


“แล้วเจ้ามาทำไมกัน” อวี้อาเหราเกิดความสงสัย ไม่รู้จริงๆ ว่าตอนนี้เขากำลังมาไม้ไหน ในวันที่อากาศหนาวเย็นถึงเพียงนี้ ยังอุตส่าห์ดั้นด้นมาจากจวนเซิ่นอ๋องที่ห่างไกล ตัวเขาเองก็ยังป่วยอยู่ หรือว่าว่างเกินไม่มีอะไรทำ? 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 380 ผ้าเช็ดหน้า 


 


 


 


 


 


ในเวลาเดียวกัน นางก็ยังพอเข้าใจนิสัยของฉู่ป๋ายอยู่บ้าง ว่าอีกฝ่ายนั้นจะไม่มีทางทำเรื่องอะไรก็ตามที่ไม่มีความหมายเด็ดขาด นางเชื่อว่าจุดหมายของเขานั้นไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้แน่ 


 


 


ฉู่ป๋ายชะงักไป ยิ้มขึ้นอย่างลังเลขณะที่พูด “ข้าจะทำอะไรได้ แค่ได้ยินว่าเจ้าป่วย เพราะอย่างนั้นจึงมาดูอาการของเจ้าเท่านั้น อย่างไรเสียพวกเราก็ถือว่ารู้จักกัน เพราะหากวันใดที่เจ้าป่วยจนตายขึ้นมา ก็เท่ากับว่าไม่ได้พบหน้ากันเป็นครั้งสุดท้ายมิใช่หรือ” 


 


 


“เจ้าน่ะสิถึงจะป่วยตาย!” อวี้อาเหราโกรธเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมาทันที ที่แท้เขาก็เป็นพวกปากสุนัขพูดอะไรไม่เป็นมงคล 


 


 


“จริงๆ แล้วข้าเพียงมาเพื่อส่งของบางอย่างให้กับเจ้าเท่านั้น หากเจ้าเห็นเจ้าจะต้องชอบแน่” ฉู่ป๋ายว่ายิ้มๆ แล้วค่อยพูดถึงหัวข้อหลัก ดึงผ้าเช็ดหน้าสีขาวสะอาดออกมาจากอกเสื้อ เห็นเป็นเพียงผ้าเช็ดหน้าธรรมดาไม่มีอะไรแปลกไปตรงไหน 


 


 


อวี้อาเหราเห็นแล้วก็เหยียดริมฝีปากออกอย่างเบื่อหน่าย “ข้ายังคิดว่าเซิ่นซื่อจื่อจะมอบของอะไรดีๆ มาให้ ที่แท้ก็เป็นเพียงผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งเท่านั้น เจ้าว่าข้าไม่เคยเห็นผ้าเช็ดหน้ามาก่อนหรืออย่างไร” 


 


 


“เจ้าอย่าเพิ่งรีบร้อน” ฉู่ป๋ายกางผ้าเช็ดหน้าสีขาวในมือออกจนเต็มผืน ขณะที่พูดว่า “เจ้าให้คนจุดเทียนมาหนึ่งเล่มเถิด” 


 


 


“เมี่ยวอวี้ เจ้าเอาเทียนเข้ามาเล่มหนึ่งเถิด” สีหน้าของอวี้อาเหรายังคงดูเหมือนไม่ค่อยสนใจนัก แต่ก็ร้องบอกให้เมี่ยวอวี้นำเทียนเข้ามา 


 


 


เมี่ยวอวี้ยกตะเกียงเข้ามา เมื่อฉู่ป๋ายรับเอาไปแล้ว ก็หันมาสั่งว่า “เจ้าออกไปคอยด้านนอกก่อน” 


 


 


หลังจากรอจนอีกฝ่ายออกไปแล้ว เขาจึงค่อยนำเทียนไปวางไว้บนโต๊ะ แล้วนำผ้าเช็ดหน้าสีขาวที่ถูกแผ่ออกไปวางเอาไว้บนเปลวเทียน จากนั้นจึงส่งให้อวี้อาเหรา “เจ้าลองดมดู แล้วบอกทีว่าได้กลิ่นอะไร” 


 


 


นางเหลือบมองอย่างสงสัย ก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปดมอย่างไม่แน่ใจนัก “มีกลิ่นไหม้ ช้าก่อน ราวกับมีกลิ่นอีกกลิ่นอยู่ด้านบน ราวกับได้กลิ่นมาก่อน แต่ลืมไปแล้วว่าคือกลิ่นอะไร” 


 


 


“นี่เป็นผ้าเช็ดหน้าของคนที่ทำร้ายเจ้าในวันนั้น” ฉู่ป๋ายเอ่ยปากขึ้นมาทันที 


 


 


“อะไรนะ” มือของอวี้อาเหราที่จับผ้าเช็ดหน้าอยู่ก็คลายออกทันที ผ้าเช็ดหน้าหล่นจากมือของนาง แล้วนางมองไปยังฉู่ป๋ายด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อ “เจ้าหมายถึงหญิงที่เกือบจะทำให้ข้าจบชีวิตคนนั้นน่ะหรือ เจ้าได้มันมาอย่างไรกัน” 


 


 


ตอนนั้นนางถูกขังเอาไว้ในห้อง สุดท้ายจึงค่อยถูกพวกต้าเว่ยช่วยออกมา หลังจากเกิดเรื่องนางก็ออกคำสั่งให้ตามหาหญิงผู้นั้น แต่ก็หาไม่พบแม้แต่เงา แม้แต่เบาะแสสักเล็กน้อยก็หาไม่พบ หากมีผ้าเช็ดหน้าตกอยู่ที่นั่นจริงๆ พวกต้าเว่ยก็คงหาพบไปแล้ว แต่ตอนนั้นกลับหาอะไรไม่พบเลย  


 


 


สิ่งที่น่าแปลกมากที่สุดก็คือ เวลาผ่านมานานถึงเพียงนี้ เหตุใดฉู่ป๋ายถึงหาพบได้? 


 


 


นางก้มลงไปเก็บผ้าเช็ดหน้าอีกครั้งด้วยท่าทีนิ่งเฉย ก่อนพิจารณาดูอย่างถี่ถ้วน ผ้าเช็ดหน้าผืนนี้คงจะอยู่มานานแล้ว แม้ว่าจะเก่าไปหน่อย แต่ก็ยังขาวสะอาดไร้รอยเปื้อน ไม่มีคราบสกปรกอะไรเลย เพียงแค่นี้ก็มองออกแล้วว่าวัสดุที่นำมาทำนั้นจะต้องเป็นของที่ดีเป็นอย่างมาก 


 


 


ฉู่ป๋ายมองไปยังผ้าเช็ดหน้า “กลิ่นของผ้าเช็ดหน้านั้น เป็นตอนที่เจ้าต้องยาพิษ ก่อนที่ข้าจะรักษาเจ้านั้นข้าก็เคยได้กลิ่นมาก่อน ดังนั้นจึงสามารถเดาได้ คงเป็นตอนที่หญิงผู้นั้นทำร้ายเจ้า ได้ทำผ้าเช็ดหน้าหล่นโดยไม่ได้ตั้งใจ เจ้ามองผ้านี่ให้ละเอียดอีกครั้งเถิด ดูว่ามีสัญลักษณ์อะไรอยู่หรือไม่” 


 


 


อวี้อาเหรารีบพลิกมาดูในทันที จึงค่อยเห็นว่าที่มุมหนึ่งของผ้าเช็ดหน้านั้นมีรอยสีทองแต้มอยู่ แต่ก็ไม่เหมือนรอยแต้ม เพราะรอยนั้นบางเบามาก หากไม่สังเกตดีๆ ก็จะแทบไม่เห็น ทันใดนั้นก็อดไม่ได้ที่จะสงสัย “สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับหญิงผู้นั้นหรือ อาจจะเป็นรอยหลังจากที่หล่นก็เป็นได้” 


ตอนที่ 381 ไม่อาจกลับคำ 


 


 


 


 


 


“แล้วเหตุใดจึงมีแต้มสีทองเพียงตรงมุม แต่ที่อื่นกลับสะอาดสะอ้าน แม้แต่รอยเปื้อนเล็กน้อยก็ไม่มี นั่นเป็นข้อสังเกตที่ควรจะคิดตาม จากที่ข้าเห็นผ้าผืนนี้เกิดรอยเลอะเทอะไม่ได้ง่ายๆ สีย้อมธรรมดาคงไม่อาจทำให้เกิดรอยแต้มได้แน่” ฉู่ป๋ายค้านคำพูดที่ไม่ค่อยไยดีของนางเมื่อครู่นี้ 


 


 


“เจ้าหมายความว่าอย่างไร” อวี้อาเหราเห็นว่าท่าทียามที่เขาพูดนั้นดูจริงจังขึ้นมา ทันใดนั้นก็เกิดลังเลใจขึ้น “เจ้าคงไม่ได้คิดที่จะตามหาตัวคนร้ายจากผ้าเช็ดหน้าผืนนี้หรอกใช่หรือไม่” 


 


 


“ไม่ผิด” ฉู่ป๋ายถอนสายตากลับมา แล้ววิเคราะห์ให้นางฟังอย่างละเอียด “ฝีมือการทำผ้าเช็ดหน้าผืนนี้ไม่เหมือนกับผ้าเช็ดหน้าธรรมดาๆ อีกฝ่ายจะต้องเป็นคนร่ำรวยสูงศักดิ์ อีกอย่างสีทองที่แต้มมานั้น เพียงมองดูก็รู้ว่าไม่ใช่สีธรรมดา หากพวกเราเพียงตามหาจากผืนผ้าและรอยแต้มนี้ไป ก็น่าจะรู้ตัวว่าคนร้ายเป็นใคร” 


 


 


“แต่หากฝั่งนั้นรู้ว่าเจ้ากำลังสืบหาโดยใช้ผ้าเช็ดหน้า นางก็คงจะเก็บสิ่งเหล่านี้เสียจนสะอาดหมดจดมิใช่หรือ? ถ้าเช่นนั้นก็ไม่เท่ากับว่าเจ้าทำเรื่องนี้โดยสูญเปล่าหรืออย่างไร” อวี้อาเหราอดไม่ได้ที่จะสอดปากขึ้นมาขัดความคิดของเขา 


 


 


“ที่เจ้าพูดมาก็มีเหตุผลอยู่ แต่ว่าเจ้าคิดว่าของพวกนี้จะถูกเก็บเสียจนเกลี้ยงได้หรือ หากนางต้องการจะกวาดล้างเสียจริงๆ เราก็คิดว่าจะต้องมีวิธีการมากมายที่จะค้นหาเบาะแสขึ้นมาได้ อีกอย่าง แม้ว่าจะหาเบาะแสเรื่องผ้าและสีแต้มไม่พบ แต่ก็ยังสามารถตรวจสอบพิษ เพราะพิษชนิดนี้หาได้ยาก เพราะฉะนั้นจึงสามารถสืบหาได้อย่างง่ายดาย” 


 


 


ยามที่ฉู่ป๋ายพูดนั้น สายตาก็ส่องสว่าง ราวกับเขาได้คิดแผนการทุกอย่างเอาไว้พร้อมสรรพแล้ว 


 


 


อวี้อาเหราเองก็พยักหน้าลง หากมีคนช่วยนางสืบเรื่องนี้ก็เท่ากับเบาแรงของนางได้มาก อีกทั้งยังสะดวกสบายกว่าจะให้นางส่งคนออกไปเองมากเลยทีเดียว คนของเขานั้นไม่ใช่คนที่มีฝีมือธรรมดาๆ ฝีมือในการสืบสวนเรื่องราวต่างๆ ก็ย่อมรวดเร็วเป็นธรรมดา 


 


 


“เจ้าชอบผ้าเช็ดหน้าผืนนี้หรือไม่” ฉู่ป๋ายกล่าวออกไป ดวงตาก็จ้องนางเขม็ง 


 


 


อวี้อาเหราพยักหน้า “หากเจ้าสามารถหาตัวคนร้ายที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ได้ แน่นอนว่าข้าก็ยิ่งชอบ” 


 


 


“ไม่ใช่สิ เหตุใดข้าต้องหาคนร้ายแทนเจ้าด้วย” ฉู่ป๋ายนิ่งไปครู่จึงค่อยตอบกลับมา 


 


 


อวี้อาเหราไม่ปล่อยให้เขาคิดอะไรอีก จึงรีบพูดขึ้นว่า “แต่เมื่อครู่นี้เจ้าเพิ่งจะตอบรับข้าเองนะ นึกจะกลับคำข้าก็ไม่ให้กลับแล้ว!” 


 


 


“เจ้าจะรีบร้อนทำไมกัน ข้ายังไม่ได้บอกเลยว่าข้าจะกลับคำ” ฉู่ป๋ายยิ้มเรื่อยๆ 


 


 


“เช่นนั้นก็ดี เพียงแต่…” อวี้อาเหราเห็นสีหน้าไม่ทุกข์ไม่ร้อนของเขา ในใจของนางก็นิ่งงัน 


 


 


ในใจของนางก็ยังคงสงสัยว่าอวิ๋นเซิ่นนั้นเป็นคนร้าย เพราะหญิงที่นางรู้จักในเมืองเฟิ่งเฉิงทั้งหมด มีเพียงนางเท่านั้นที่มีวรยุทธ์ ไม่ใช่สิ ตอนนี้ต้องนับฉู่เกอเป็นผู้มีวรยุทธ์ด้วย แต่นางเพิ่งจะกลับมาได้ไม่นาน ไม่น่าจะเป็นคนร้ายได้ และนางก็ไม่ได้มีเหตุจำเป็นที่จะปองร้ายอวี้อาเหราด้วย 


 


 


แต่นางก็มองเห็นมือของอวิ๋นเซิ่นด้วยตัวเองแล้วว่าไม่มีรอยกัด 


 


 


แล้วคนร้ายจะเป็นใครได้? 


 


 


ฉู่ป๋ายเห็นนางมีท่าทีลังเลใจ จากนั้นก็เอ่ยปากถามขึ้นตรงๆ “เจ้ายังคิดเรื่องอะไรอยู่หรือ” 


 


 


“ไม่มีอะไร” อวี้อาเหราส่ายหน้า ครั้งก่อนที่นางถูกฉู่ป๋ายปฏิเสธเรื่องอวิ๋นเซิ่นไปนั้น ก็ทำให้นางเกือบเสียคนไปแล้ว ครั้งนี้นางก็ไม่ถามออกไปให้โง่หรอก หากนางทำให้เขาหงุดหงิด ในใจของนางก็จะยิ่งหงุดหงิดเสียยิ่งกว่า 


 


 


นางเห็นว่าท้องฟ้าเริ่มที่จะมืดครึ้มลงแล้ว แต่ฉู่ป๋ายก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะกลับไปเลยแม้แต่น้อย 


 


 


นางจึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากถาม “เหตุใดเจ้าถึงไม่ไปเสียที?” 


 


 


“เจ้าก็รู้ ร่างกายของข้าไม่ค่อยแข็งแรง ตอนนี้มานั่งที่นี่เสียนาน แม้แต่ลุกขึ้นยืนข้ายังทำไม่ได้เลย” ฉู่ป๋ายแสร้งทำทีจริงจังขณะที่พูดขึ้น ทำให้อวี้อาเหราแสดงสีหน้าเคร่งขรึม เมื่อครู่นี้เขายังดูสบายดีอยู่เลย เหตุใดผ่านไปเพียงชั่วพริบตา… 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 382 ฝืนกิน 


 


 


 


 


 


“คุณหนู เซิ่นซื่อจื่อ ห้องครัวทำอาหารเย็นเสร็จแล้ว จะสั่งให้คนยกมาเลยหรือไม่เจ้าคะ” ในยามนั้นเอง เมี่ยวอวี้ก็เดินเข้ามา ในมือยกกาน้ำชาที่เพิ่งชงเสร็จใหม่ๆ มาด้วย ก่อนที่จะรินให้คนทั้งสอง 


 


 


“อืม ยกเข้ามาเลย” อวี้อาเหราลูบท้อง นางหิวข้าวเสียจะแย่ นอนมาเป็นวันๆ ตอนนี้นางจึงรู้สึกหิวขึ้นมาบ้าง เมื่อนึกถึงบุรุษที่อยู่ข้างกายนางก็หันไปถามอย่างเบื่อหน่าย “เจ้าจะอยู่กินด้วยกันหรือไม่” 


 


 


“อยู่” ฉู่ป๋ายตอบเพียงสั้นๆ 


 


 


อวี้อาเหราไม่ได้พูดอะไรออกมา ทำเพียงส่งสายตาให้เมี่ยวอวี้ ซึ่งนางเข้าใจได้ในทันที เช่นนั้นจึงสั่งให้คนไปยกอาหารเข้ามา 


 


 


แม้จะบอกว่าเป็นอาหารเย็น แต่ก็ไม่ต่างจากอาหารเช้าเท่าใดนัก อาหารการกินรสจืดชืด อวี้อาเหราเห็นแล้วก็นึกไม่อยากอาหาร ไหนเลยจะให้กินลงไปได้ นางจึงดึงสีหน้าไม่พูดไม่จา 


 


 


เมี่ยวอวี้เห็นสีหน้าเหม็นเบื่อของนางแล้วก็ถอนหายใจ “คุณหนู ทานหน่อยเถิดนะเจ้าคะ นี่เป็นอาหารที่ในครัวทำขึ้นเพื่อรักษาอาการป่วยของคุณหนู ดีต่อสุขภาพนะเจ้าคะ ทนอีกหน่อยก็จะได้ทานของทอดของมันแล้วเจ้าค่ะ” 


 


 


“แต่ข้าจะกินลงได้อย่างไร…” อวี้อาเหรานึกอยากจะบ่นแต่ก็อับจนหนทาง เรื่องแสร้งป่วยนี้เป็นความคิดของนางเอง ตอนนี้แม้ว่าจะต้องการทานของอร่อยๆ ก็ไร้หนทางแล้ว ใครอยากให้นางป่วยขึ้นมาจริงๆ เล่า? นางมาอยู่ที่นี่ได้เพียงสามสี่เดือนเท่านั้น แต่ก็ป่วยไปไม่รู้ตั้งกี่โรคแล้ว 


 


 


เมี่ยวอวี้ลอบยิ้ม เห็นท่าทีอึดอัดทำอะไรไม่ได้ของคุณหนูตัวเองแล้วก็รู้สึกว่าช่างน่าเอ็นดูเสียยิ่งนัก 


 


 


หลังจากอาหารขึ้นโต๊ะจนหมดแล้วนางก็เห็นว่ามีอาหารจานเนื้อที่ทำเพิ่มมาให้ฉู่ป๋ายอีกสองอย่าง อวี้อาเหราไม่อาจรักษาท่าทีสงบนิ่งได้อีกต่อไป และหากนางไม่ได้นั่งติดเก้าอี้เช่นนี้ นางก็คงจะลุกขึ้นเต้นแล้ว ชี้ไปยังอาหารที่ส่งกลิ่นหอมเตะจมูกและชวนน้ำลายไหลเหล่านั้นแล้วพูดกับเมี่ยวอวี้ด้วยท่าทีไม่พอใจ 


 


 


“เจ้าบอกให้ข้าฝืนกิน แต่เหตุใดเจ้าถึงปฏิบัติต่อเขาดีเช่นนี้?” 


 


 


“คุณหนูรองโปรดอภัยด้วยเจ้าค่ะ แต่เพราะเซิ่นซื่อจื่อไม่ได้ป่วย จึงสามารถทานอาหารพวกนี้ได้ อีกทั้งเขายังเป็นแขก พวกเราจวนหลิงอ๋องจึงไม่ควรต้อนรับอย่างขาดตกบกพร่องนะเจ้าคะ” เมี่ยวอวี้คีบผัดมะเขือม่วงใส่ถ้วยของนาง “อาหารจานผักเหล่านี้ก็อร่อยนะเจ้าคะ คุณหนูลองทานสักหน่อยเถิดเจ้าค่ะ” 


 


 


“ข้าไม่กิน” อวี้อาเหราสะบัดตะเกียบ นางไม่ใช่กระต่ายเสียหน่อย เหตุใดจะต้องกินผักด้วย 


 


 


ยิ่งเห็นบุรุษข้างกายทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อย นางก็ยิ่งไม่อยากอาหาร ไหนเลยนางจะทานข้าวได้ นางนึกอิ่มเสียแล้ว  


 


 


“คุณหนู….” เมี่ยวอวี้ไม่รู้จะทำอย่างไรกับนางที่แสนดื้อรั้น 


 


 


ฉู่ป๋ายนั่งอยู่ไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย ก่อนจะคีบหมูสามชั้นจากในจานยื่นไปตรงหน้าอวี้อาเหรา จากนั้นจึงยิ้มบาง “เจ้าอยากกินหรือ” 


 


 


“แน่นอนสิ” อวี้อาเหราตอบขึ้นมาอย่างไม่ลังเล 


 


 


จากนั้นจึงค่อยมองเขาอย่างสงสัย เหตุใดเขาถึงใจดียอมให้นางกินนะ? แต่เมื่อได้กลิ่นหอมที่เตะจมูก และยังเห็นเนื้อหมูอวบๆ สีสันน่าดึงดูดใจ นางก็ไม่อาจที่จะต้านทานความเย้ายวนนี้ได้ จึงยื่นหน้าไปกัดเนื้อ แต่ริมฝีปากกลับไม่ได้แตะเนื้อหมูพะโล้เลยแม้แต่น้อย เพราะเขาดึงมือกลับในฉับพลัน แล้วป้อนเนื้อชิ้นนั้นเข้าปากตัวเอง 


 


 


อวี้อาเหราโกรธจนสองแก้มนูนป่องออกมาทันที มองเขาอย่างโกรธเคือง แล้วก้มหน้าก้มตาทานผัดมะเขือม่วงในถ้วยของตัวเอง ไม่มีเนื้อเลยแม้แต่น้อย เมื่อทานเข้าไปก็ไร้ซึ่งรสชาติ แต่ฉู่ป๋ายที่นั่งข้างๆ กลับได้ทานของอร่อยๆ  


 


 


ราวกับนางแข็งแรงขึ้นมาแล้ว จากที่เป็นคนทานได้น้อย แต่วันนี้นางกลับทานได้มาก อาหารตรงหน้าแทบจะไม่เหลือ 


 


 


อวี้อาเหราทานตามใจอีกสองสามคำ จากนั้นก็วางตะเกียบลงบนโต๊ะ แล้วเตรียมที่จะลุกขึ้น 


ตอนที่ 383 ไม่กินแล้ว 


 


 


 


 


 


“เจ้าไม่กินแล้วหรือ” ฉู่ป๋ายเมียงมองนาง เมื่อเห็นท่าทีโกรธเคืองของนางแล้วก็หัวเราะออกมา หยุดตะเกียบไว้อีกทาง แล้ววางชามกับตะเกียบลง แล้วยื่นมือไปหยิบน้ำชาที่วางอยู่บนโต๊ะมาดื่ม จิบไปสักนิดเพื่อล้างความมันเลี่ยน 


 


 


“ไม่กินแล้ว!” อวี้อาเหราเห็นท่าทีสบายๆ ของเขาเช่นนี้ ก็สบถเสียงเย็นๆ ออกมา แล้วก้าวเท้าเข้าไปยังเตียงในห้อง ดึงผ้าห่มออก แม้แต่เสื้อตัวนอกก็ขี้เกียจถอด กลับนอนลงไปบนเตียงแล้วเตรียมนอน 


 


 


ฉู่ป๋ายถอนสายตาสำรวจกลับมา แล้วออกคำสั่งกับเมี่ยวอวี้ “เก็บอาหารเหล่านี้ไปเถิด” 


 


 


“เจ้าค่ะ” เมี่ยวอวี้หันไปเรียกสาวใช้สองสามคนเข้ามา 


 


 


และฉู่ป๋ายก็เดินเข้ามาทางเตียงนอน ดึงผ้าห่มออกด้วยท่าทีสบายๆ อย่างไม่รีบร้อน ลมเย็นทะลุเข้ามาในผ้าห่ม อวี้อาเหราหนาวจนต้องพ่นลมหายใจออกมา แล้วจ้องมองมองเขาตาถลน “เจ้าทำอะไรน่ะ” 


 


 


“เมื่อครู่เจ้าเพิ่งกินข้าวเสร็จ หากนอนเลยจะไม่ดีต่อกระเพาะ” ฉู่ป๋ายว่า น้ำเสียงเรียบๆ เคร่งขรึม 


 


 


อวี้อาเหราดึงผ้าห่มคืนมาห่ม แล้วปรายตามองเขาด้วยสีหน้าโกรธเคือง “เจ้ากินอิ่มแล้วก็พูดได้ซี แต่ข้ายังไม่อิ่มนี่” 


 


 


ฉู่ป๋ายหัวเราะเรียบๆ แล้วเสียงหัวเราะก็ค่อยๆ จางหายไป “ที่แท้เจ้าก็โกรธข้า แต่อาหารเหล่านี้เป็นเมี่ยวอวี้ที่ยกเข้ามา และข้านั้นเป็นแขกของจวนหลิงอ๋อง จะปล่อยให้ของพวกนั้นสูญเปล่าได้อย่างไร ก่อนหน้านี้เจ้าบอกเองมิใช่หรือว่าให้ข้ากินเยอะๆ หรือว่าก่อนหน้านี้เจ้าโกหกกันเล่า” 


 


 


“แน่นอนว่าไม่ได้โกหก” อวี้อาเหราโดนย้อนเข้าไปเช่นนี้ถึงกับไม่รู้จะพูดอย่างไร 


 


 


เขาพูดถูก เป็นเมี่ยวอวี้ที่ยกเข้ามา แม้ว่าจะไม่อยากทานแต่ก็ต้องทานเข้าไป แต่ทำไมนางไม่เห็นเขาดูว่าจะฝืนใจเลยแม้แต่น้อยเล่า ทำไมนางก็เห็นว่าเขาดูมีความสุขดี แม้ว่าเขาจะทานไม่หมดจนเหลือบ้างก็ไม่เห็นเป็นไร นางไม่เชื่อว่าเขาไม่รู้เรื่องนี้ ดังนั้นแล้วที่เขาพูดเช่นนี้มันน่าเชื่อถือหรือไม่เล่า? 


 


 


“แล้วยังเรื่องนี้ เจ้าเป็นธิดาเอกแห่งจวนหลิงอ๋อง แต่กลับแผลงฤทธิ์ต่อหน้าบรรดาสาวใช้ พวกนางจะไม่หัวเราะเยาะเจ้าลับหลังหรือ เจ้าว่าข้าพูดถูกหรือไม่” น้ำเสียงอ่อนโยนของเขาดังขึ้น 


 


 


น้ำเสียงของเขาเหมือนมีมนตร์เสน่ห์ แม้ว่าจะฟังดูเป็นคำตำหนิติเตียน แต่เมื่อพูดผ่านเสียงของเขาแล้ว ทันใดนั้นก็ฟังดูรื่นไหล ราวกับกำลังฟังเรื่องวิถีธรรมอยู่อย่างไรอย่างนั้น 


 


 


อวี้อาเหรานิ่งไป ไม่ได้พูดอะไร ท้องของนางยังกินไม่อิ่ม หากจะออกไปทานอาหารต่ออีกก็สงสารตัวเองที่เมื่อครู่สะบัดสะบิ้งเอาไว้มาก หากต้องออกไปจริงๆ ก็จะต้องถูกพวกเมี่ยวอวี้หัวเราะแน่ๆ และจะคิดว่านางเปลี่ยนใจเพราะคำพูดของฉู่ป๋ายหรือเปล่านะ 


 


 


“หากเจ้าไม่ยอมไป ก็พักผ่อนเสียเถิด” ฉู่ป๋ายไม่พูดอะไรมาก พูดทิ้งท้ายแล้วจึงจากไป จึงเห็นเมี่ยวอวี้ที่เก็บกวาดเสร็จเรียบร้อยแล้วเดินเข้ามา นางเงยหน้าขึ้นขณะที่เดินเข้ามาด้านใน “คุณหนูเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ” 


 


 


“เจ้าเข้าไปดูเองเถิด” ฉู่ป๋ายว่าจบแล้วก็หยุดฝีเท้าข้างกระถางไฟ ร่างทั้งร่างที่สวมชุดสีขาวดูงดงามองอาจ ทุกการกระทำและทุกคำพูดดูสงบเยือกเย็น เสื้อผ้าสีขาวนั้นเหมาะกับเขามากที่สุด 


 


 


องครักษ์หญิงเห็นเขาแล้ว ก็รีบหยิบเบาะรองนั่งมาวางบนเก้าอี้ทันที “เก้าอี้เย็น เซิ่นซื่อจื่อประทับบนนี้เถิดเจ้าค่ะ” 


 


 


“อืม” ท่าทีของฉู่ป๋ายเยือกเย็น ทำเพียงพูดว่า “อืม” เบาๆ ต่อท่าทีแข็งขันนั้น แม้แต่ใบหน้าก็ไม่เงยขึ้นมามอง 


 


 


เพียงคำพูดด้วยน้ำเสียงขึ้นจมูก กลับทำให้องครักษ์หญิงหน้าแดงก่ำ และยังราวกับตกอยู่ในความลุ่มหลง ชายหนุ่มที่นั่งอยู่เอ่ยถามขึ้นว่า “ห้องหนังสือของคุณหนูเจ้าอยู่ที่ใดกัน นำช้าไปชมหน่อยซี” 


 


 


“เจ้าค่ะ” องครักษ์หญิงจึงค่อยได้สติ แล้วเดินนำเขาเข้าไปยังห้องหนังสือที่อยู่ข้างๆ ระหว่างทางเดินที่ไม่ได้ไกลนั้น ใบหน้าของนางก็แดงก่ำเหมือนกุ้งต้มสุกไม่มีผิด 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 384 โจ๊กไข่เยี่ยวม้าใส่เนื้อแห้ง 


 


 


 


 


 


“เจ้าถอยไปเถิด” 


 


 


เมื่อนำทางมาถึงหน้าห้อง ฉู่ป๋ายก็มองไปยังใบหน้าเหนียมอายขององครักษ์ญิง สายตาเต็มไปด้วยความชืดชา น้ำเสียงยามพูดก็ยังเฉยเมยกว่ายามปกติ 


 


 


“เจ้าค่ะ บ่าวทูลลา” 


 


 


องครักษ์หญิงชะงัก สัมผัสได้ถึงสายตาอบอุ่นทว่าห่างเหินของเขาแล้ว ทันใดนั้นก็ก้มหน้าลงทันที ไม่กล้าที่จะมองอะไรอีก แม้สายตานั้นจะดูอบอุ่น ทว่าเมื่อจ้องมองอย่างลึกซึ้งแล้ว กลับค้นพบสายตาที่แฝงไปด้วยเข็มแหลมคอยทิ่มแทง พยายามที่จะไม่เผยให้เห็นถึงความไม่พอใจข้างใน 


 


 


ภายในห้อง เมี่ยวอวี้ได้ยกโจ๊กไข่เยี่ยวม้าใส่เนื้อแห้งมาให้อวี้อาเหรา เมื่อเปิดม่านไข่มุกเข้ามา ก็เห็นอวี้อาเหราหิวจนแทบจะทนไม่ไหว สายตาของนางจ้องมองนิ่งไปที่เพดาน ราวกับจะมองจ้องทะลุไปยังยอดหลังคาภายนอก ดูเหมือนกำลังคิดว่าควรจะออกไปหาอะไรทานที่ภายนอกดีหรือไม่ 


 


 


เมื่อได้กลิ่นหอมๆ ของโจ๊กแล้ว นางก็รีบลุกขึ้นนั่งบนเตียง สายตาจ้องมองไปยังโจ๊กที่เมี่ยวอวี้ยกมา ส่งกลิ่นหอมไปทั่วทั้งห้อง นางอดไม่ได้ที่จะลอบกลืนน้ำลาย แต่เมื่อเห็นเมี่ยวอวี้ก็รีบก้มหน้าลง ยกผ้าห่มขึ้นปกคลุมแล้วหลับตาลง 


 


 


เมี่ยวอวี้วางโจ๊กเอาไว้อีกทาง จากนั้นก็เรียกอวี้อาเหราด้วยความพยายามที่จะกลั้นยิ้ม “คุณหนู รีบลุกขึ้นมาทานอาหารเถิดเจ้าค่ะ บ่าวรู้ว่าท่านไม่ชอบทานสิ่งนั้น ดังนั้นจึงสั่งให้คนต้มโจ๊กใส่เนื้อแห้งไว้แล้ว ตอนนี้ต้มเอาไว้จนเรียบร้อยแล้ว หากยังไม่ทานอีกจะเย็นนะเจ้าคะ”  


 


 


“เหตุใดเจ้าไม่บอกให้เร็วกว่านี้” เมื่ออวี้อาเหรารู้ดังนั้นจึงค่อยลุกขึ้นจากเตียง แล้วมองโจ๊กไข่เยี่ยวม้าใส่เนื้อแห้งที่วางอยู่อย่างเร่งร้อน แล้วพยักหน้าอย่างพึงพอใจ “ยังดีที่เจ้ารู้ใจคุณหนูของเจ้า รู้ว่าจะต้องต้มโจ๊กมาให้ หากเจ้ายกมาเร็วกว่านี้ก็ดีอยู่หรอก” 


 


 


“อาหารเหล่านั้นเป็นท่านอ๋องรับสั่งเอาไว้ บ่าวไม่กล้าว่าหรอกว่าไม่ดี เมื่อครู่มีคนอื่นอยู่ จึงไม่อาจยกโจ๊กออกมาได้ มิเช่นนั้นคุณหนูคงจะโดนท่านอ๋องดุว่าเป็นแน่เจ้าค่ะ” เมี่ยวอวี้หัวเราะ แล้วค่อยๆ ยกโจ๊กขึ้นมา 


 


 


อวี้อาเหรารับโจ๊กมาแล้วก็ดื่มทันที เพราะตุ๋นมาเป็นเวลานานจึงนุ่มและลื่นคอนัก ทั้งๆ ที่เป็นเพียงโจ๊กไข่เยี่ยวม้าใส่เนื้อแห้งธรรมดา แต่ตัวนางในยามนี้ราวกับเป็นอาหารรสเลิศ ทานติดต่อกันสามถ้วยก็ยังทานได้ 


 


 


หลังจากทานจนอิ่มแล้ว เมี่ยวอวี้ก็ยกชาร้อนเข้ามาให้ 


 


 


แม้ว่าอวี้อาเหราจะชอบทานอาหารจานเนื้อ แต่ทุกครั้งที่ทานจนอิ่มแล้วก็มักรู้สึกเลี่ยน จะต้องดื่มชาร้อนสักถ้วยก่อนจึงจะหาย หลังจากดื่มชาแล้ว ทันใดนั้นก็นึกถึงเจาเอ๋อร์ที่พักรักษาตัวอยู่ในห้องมาตลอดนับตั้งแต่กลับมาจากตลาดมืด ไม่พบนางมาสองวันแล้ว 


 


 


ดังนั้นนางจึงถาม “เมี่ยวอวี้ อีกสักครู่เจ้าก็ยกโจ๊กไปให้เจาเอ๋อร์สักถ้วยเถิด” 


 


 


“หลังจากที่บ่าวตุ๋นโจ๊กเสร็จแล้วบ่าวก็ให้คนนำไปส่ง ได้ยินคนที่ไปส่งว่าเจาเอ๋อร์ทานได้อร่อยมาก เหมือนกับคุณหนูไม่มีผิด นางต้องทานถึงสองถ้วยจึงจะอิ่มเลยเจ้าค่ะ” เมี่ยวอวี้รีบตอบทันที 


 


 


“อย่างนั้นหรือ เจ้าทำได้ไม่เลวเลย” ยิ่งอวี้อาเหรามองเมี่ยวอวี้ก็ยิ่งพอใจ มีนางอยู่ก็ช่วยงานได้ไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดนางก็ช่วยคิดช่วยทำได้หมด 


 


 


“ขอบพระคุณคุณหนูที่กล่าวชม บ่าวขอตัวก่อนเจ้าค่ะ” 


 


 


ในยามที่เมี่ยวอวี้กำลังหันหลัง อวี้อาเหราก็เรียกนางเอาไว้ “เมื่อครู่นี้เจ้าเห็นเซิ่นซื่อจื่อหรือไม่ เขากลับไปหรือยัง” 


 


 


“บ่าวเห็นเซิ่นซื่อจื่อเจ้าค่ะ ท่านให้บ่าวเข้ามาดูคุณหนู ตอนนี้คิดว่าคงไปผิงไฟข้างนอกน่ะเจ้าค่ะ” หลังจากเมี่ยวอวี้ตอบแล้ว ก็ลอบมองนาง “แต่บ่าวไปดูให้คุณหนูดีหรือไม่” 


 


 


“ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวข้าจะไปดูเอง” อวี้อาเหราส่ายหน้า 


ตอนที่ 385 คิดเกินเลย 


 


 


 


 


 


เมื่อออกมาจากในห้อง อวี้อาเหราก็มองไปรอบๆ มองไม่เห็นฉู่ป๋ายอยู่ที่กองไฟเลยแม้แต่เงา จึงอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นอย่างสงสัย “เจ้าบอกว่าเขาผิงไฟอยู่ที่นี่มิใช่หรือ” 


 


 


“เมื่อครู่นี้อยู่ที่นี่จริงๆ นะเจ้าคะ” เมี่ยวอวี้มองไปทางบ่าวรับใช้หญิงที่ยืนรักษาการอยู่ที่หน้าประตูจึงเอ่ยถาม “เจ้าเห็นเซิ่นซื่อจื่อหรือไม่” 


 


 


องครักษ์หญิงผู้นี้คือบ่าวรับใช้หญิงที่อายม้วนขณะที่เดินไปส่งฉู่ป๋าย เมื่อได้ยินดังนั้นก็รีบตอบทันที “เซิ่นซื่อจื่อประทับอยู่ที่ห้องหนังสือน้อยของคุณหนูเจ้าค่ะ” 


 


 


ห้องหนังสือน้อยหรือ? อวี้อาเหราชะงักไป มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย “ไป ไปดูที่ห้องหนังสือกัน” 


 


 


ห้องหนังสืออยู่ด้านในของห้องนี้ อยู่ข้างๆ กันเท่านั้น อวี้อาเหราเดินไปยังห้องหนังสืออย่างคุ้นชิน ยังไม่ทันได้เข้าไป ก็เห็นฉู่ป๋ายเปิดหนังสือเล่มที่อยู่ในมือ เมื่อเห็นนางก็นิ่ง แล้วเลิกคิ้ว “เจ้าไม่นอนแล้วหรือ” 


 


 


เมื่อคิดถึงเหตุการณ์ก่อนหน้า ใบหน้าของอวี้อาเหราก็แดงก่ำ ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน จึงยืดคอทำเสียงแข็ง “เจ้าจะยุ่งทำไมว่าข้าจะนอนหรือไม่นอน” 


 


 


“ก็ใช่ ข้าไม่ยุ่งก็ได้ แต่ถ้าแค่ถามก็คงได้กระมัง” 


 


 


“…” 


 


 


คำพูดของฉู่ป๋ายประโยคเดียว ทำให้อวี้อาเหราไม่อาจตอบโต้ได้เลย 


 


 


พวกเขาเดินตามกันออกมาด้านนอก จึงได้เห็นองครักษ์หญิงผู้นั้นยืนคุมอยู่ในห้อง สายตาของฉู่ป๋ายมองสำรวจร่างกายของนางอยู่ครู่ 


 


 


“เซิ่นซื่อจื่อ คงจะไม่สนใจในตัวสาวใช้ของข้าหรอกใช่หรือไม่” สายตาของอวี้อาเหราแหลมคม จึงทันเห็นเหตุการณ์เมื่อครู่ นางหัวเราะเย็นๆ แม้แต่นางก็ยังรู้สึกว่าเสียงตัวเองนั้นเปลี่ยนไป 


 


 


เมื่อได้ยินนางพูดเช่นนี้ องครักษ์หญิงคนนั้นก็หน้าแดงขึ้นอีกครั้ง 


 


 


สายตาของอวี้อาเหราเปลี่ยนไปเป็นเย็นชา “เจ้านี่ชอบหน้าแดงนัก ข้าเห็นว่าเซิ่นซื่อจื่อก็พอใจในตัวเจ้า ข้าส่งเจ้าให้ท่านเลยเป็นอย่างไร” 


 


 


“คุณ…คุณหนู…” องครักษ์หญิงตกใจเสียจนตัวสั่น รีบคุกเข่าลงทันที “บ่าวมิกล้าเจ้าค่ะ” 


 


 


“ข้าเห็นว่าเจ้านั้นมีความกล้านัก ไม่เห็นจะไม่กล้าเหมือนที่ปากว่าเลย” อวี้อาเหราหัวเราะ น้ำเสียงของนางหากฟังแบบเผินๆ ก็ฟังดูสบายๆ แต่หากฟังอย่างตั้งใจแล้ว ก็จะได้ยินสำเนียงเย้ยหยัน และยังแฝงไปด้วยความเย็นชาไม่น้อย เหมือนกับใบมีดเย็นๆ ที่กรีดลงไปสู่ผิวเนื้อขององครักษ์หญิงทีละนิ้วๆ 


 


 


องครักษ์หญิงตกใจจนร่ำไห้โดยไร้เสียง 


 


 


ฉู่ป๋ายจึงหันมามองนาง “ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าเจ้าเป็นกังวลในเรื่องนี้แทนข้าตั้งแต่เมื่อไหร่” 


 


 


“ก็ข้ากลัวว่าเจ้าจะอายหากออกปากมาเองน่ะสิ” น้ำเสียงของอวี้อาเหราแฝงแววเย้ยหยันชัดเจน “เจ้าเองก็อายุไม่น้อยแล้ว กำลังอยู่ในวัยที่เลือดลมพลุ่งพล่าน มีเรื่องแบบนี้บ้างก็ไม่ใช่เรื่องน่าอายอะไร หากเจ้าต้องการสาวใช้คนนี้ก็เพียงเอ่ยปาก ข้าย่อมเข้าใจอยู่แล้ว” 


 


 


“เจ้าเข้าใจเรื่องนี้ดีเลยหรือ” ฉู่ป๋ายหรี่ตา สายตาเปลี่ยนไปจนยากเกินกว่าที่จะคาดเดา 


 


 


“ข้า…” อวี้อาเหรามองท่าทีของเขาในตอนนี้ ชะงักจนไม่อาจเตรียมคำพูดที่ตัวเองเตรียมเอาไว้ จนลิ้นแทบจะม้วนเป็นปมเมื่อถูกตัดบทเช่นนี้ ไม่สิ นางไม่ใช่ผู้ชายเสียหน่อย จะไปเข้าใจเรื่องบ้านี้ได้อย่างไรกัน? 


 


 


ยามที่ทั้งสองทำยังเงียบไม่พูดไม่จาอยู่นั้น องครักษ์หญิงก็พยายามรวบรวมความกล้า คุกเข่าลงแล้วก้มหน้าไปทางคนทั้งสอง “เป็นความผิดของบ่าวเอง บ่าวไม่ควรคิดเกินเลยต่อเซิ่นซื่อจื่อ ขอให้คุณหนูรองอภัยให้บ่าวด้วย บ่าวไม่กล้าแล้วเจ้าค่ะ” 


 


 


“เจ้าคิดเกินเลยเรื่องอะไร” อวี้อาเหราถามขึ้นอย่างไม่อ้อมค้อม 


 


 


“บ่าว…” องครักษ์หญิงหน้าร้อนฉ่าแดงเถือก ความรู้สึกเช่นนั้นจะให้พูดออกมาได้อย่างไรกัน 


 


 


อวี้อาเหราเลิกคิ้ว “คิดเกิดเลยเรื่องอะไร เจ้าพูดไม่ออกหรือ? เจ้านี่ช่างกล้าหาญนัก ท่านเป็นถึงเซิ่นซื่อจื่อ เจ้าจะดูถูกท่านหรืออย่างไร” 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 386 ช่วยไม่ช่วย 


 


 


 


 


 


“บ่าวไม่กล้าดูหมิ่นเซิ่นซื่อจื่อเจ้าค่ะ และยิ่งไม่กล้ามีความรู้สึกเกินเลยอะไรทั้งนั้น คุณหนูรอง ท่านต้องเชื่อบ่าวนะเจ้าคะ!” องครักษ์หญิงตกใจเสียจนคุกเข่าและโขกศีรษะ ศีรษะของนางแทบจะถูกกระแทกจนแตก เลือดสดๆ หยดลงสู่พื้น ร่างเล็กๆ อ่อนบางสั่นเทาไปหมด 


 


 


“เหตุใดข้าจะต้องเชื่อเจ้าด้วย” อวี้อาเหรากรอกตา เมื่อเห็นบ่าวรับใช้หญิงโขกศีรษะเสียงดังสนั่น ราวกับว่าจะโขกศีรษะไปเรื่อยๆ จนกล่านางจะยอมยกโทษให้ก็จะไม่ยอมหยุด นางอดทนดูไม่ได้ กำลังจะเอ่ยปากบอกให้นางลุกขึ้นยืน จึงกวาดสายตามองไปยังข้างกาย แม้ฉู่ป๋ายจะเห็นเหตุการณ์เช่นนี้แล้วก็ยังคงไม่มีท่าทีอะไรเช่นเดิม 


 


 


ใจของนางกระตุกทันที หันกลับไปมององครักษ์หญิงแล้วพูดว่า “เจ้าไร้มารยาทต่อเซิ่นซื่อจื่อ สมควรถูกลงโทษ แต่หากเจ้าขออภัยต่อเซิ่นซื่อจื่อ ให้ท่านนำเจ้ากลับไป เช่นนั้นข้าจะไม่โกรธเจ้า มิเช่นนั้น เจ้าคงรู้ว่าจะถูกลงโทษเช่นไร” 


 


 


“คุณ…คุณหนู?” องครักษ์หญิงหยุดร้องไห้ แล้วลอบมองไปยังฉู่ป๋าย 


 


 


เขาค่อยๆ หันกลับไปมองใบหน้าเปื้อนยิ้มของนางอย่างสำรวจตรวจตรา เป็นนานก็ยังไม่เปิดปาก 


 


 


“เป็นอะไรไปเล่า? หรือว่าเลือกไม่ได้ สาวใช้คนนี้ไม่เข้าตาเจ้าหรืออย่างไร” อวี้อาเหรายังไม่คลายความตั้งใจ เงยหน้าขึ้นไปมองตาของเขา ไม่ว่านางจะพูดอย่างไร ท่าทีของเขาก็ไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย ทั่วทั้งร่างของเขายืนนิ่งเหมือนรูปปั้นแข็ง ทั้งเย็นชาและนิ่งแข็ง 


 


 


หลังจากนิ่งไป ฉู่ป๋ายจึงเอ่ยปากขึ้น “เจ้าอยากรู้จริงๆ หรือว่าข้าจะทำอย่างไร” 


 


 


“อืม ใช่” อวี้อาเหราพยักหน้าอย่างมั่นใจ 


 


 


ใช่แล้ว นางอยากจะเห็นว่าเขาจะทำอย่างไรกับชีวิตน้อยๆ อ่อนแอ และอยากจะรู้ว่าเขาจะยังทำหน้าถือดีสูงส่งเช่นนี้อยู่หรือไม่ 


 


 


ฉู่ป๋ายเข้าใจเจตนาของนาง จึงส่งสายตาไปยังองครักษ์หญิง 


 


 


องครักษ์หญิงตกใจเสียจนเกือบจะตาย คุกเข่าลงอึกๆ อักๆ ไม่กล้าที่จะพูดอะไรมั่วๆ เมื่อเห็นสายตาของเขามองมา ทันใดนั้นนางก็ตาเบิกโพล่งอย่างใสซื่อ จากริมฝีปากที่เม้มแน่น ก็สามารถรับรู้ได้ถึงความหวาดกลัวและความตึงเครียด และยังแฝงความคาดหวังเอาไว้อีกด้วย 


 


 


ขอเพียงเขาเอ่ยปาก นางก็จะปลอดภัย 


 


 


ทว่า คำพูดของฉู่ป๋ายกลับทำให้คนที่อยู่ในเหตุการณ์นั้นเย็นสันหลังวาบ เพราะเขาพูดว่า “นางเป็นคนของจวนหลิงอ๋อง แล้วแต่คุณหนูรองจะจัดการเถิด” 


 


 


ความหมายก็เท่ากับว่า ความเป็นความตายขององครักษ์หญิงคนนี้ไม่เกี่ยวกับข้า 


 


 


ช่างเป็นความเย็นชาที่เหนือเกินกว่ามนุษย์จะสัมผัสได้ ช่างไม่เห็นหญิงสาวอ่อนแออย่างองครักษ์หญิงผู้นี้อยู่ในสายตา อวี้อาเหราตื่นตกใจ จดจ้องมองใบหน้างดงามด้านข้างของฉู่ป๋าย แม้แต่ในยามที่เขาพูด เขาก็แทบจะไม่มีอารมณ์อะไรเลย ราวกับกำลังพูดถึงดินฟ้าอากาศที่แสนดี ไม่เหมือนพูดเรื่องความเป็นความตายของคนอยู่เลย 


 


 


“คุณหนูรองไว้ชีวิตด้วย!” เมื่อองครักษ์หญิงได้ยินดังนั้น ก็ร้องไห้ออกมาอย่างไม่ปิดบังท่าทีลนลานของตัวเอง นึกอยากจะคว้าขาของอวี้อาเหรา แต่ถูกเมี่ยวอวี้กันตัวเอาไว้ จึงหันไปคว้าตัวฉู่ป๋าย เขาทำเพียงหลุบตาลงมอง ทว่าสายตากลับแฝงไปด้วยความโกรธเคือง สายตาเช่นนี้ ทำให้นางตกใจเสียจนนั่งลงกับพื้น 


 


 


“เป็นเจ้าพูดเองนะ หลังจากลงโทษแล้วเจ้าอย่าได้อยากได้นางก็แล้วกัน” สีหน้าของอวี้อาเหราเปลี่ยนกลับไปเช่นเดิม 


 


 


“อืม ข้ารับปาก” ฉู่ป๋ายยิ้มน้อยๆ แต่รอยยิ้มของเขากลับทำให้รู้สึกหนาวเย็นเป็นอย่างมาก 


 


 


อวี้อาเหราใช้สายตามองไปทางเมี่ยวอวี้ “สาวใช้ผู้นี้กำเริบไร้ความเคารพ เจ้าพานางไปลงโทษเอาเอง ไม่ต้องมาถามข้า” 


ตอนที่ 387 เจ้าด่าข้า 


 


 


 


 


 


“คุณหนู” หลังจากได้รับคำสั่งแล้วเมี่ยวอวี้ก็ชะงัก 


 


 


“ยังไม่รีบไปอีก” อวี้อาเหรามองนางด้วยสายตาร้อนรน 


 


 


อวี้อาเหราถอนสายตากลับมาอย่างพอใจ ลูบเสื้อผ้าที่องครักษ์หญิงผู้นั้นจับ แล้วหันไปยิ้มให้ฉู่ป๋าย “ข้าเคยคิดว่าเซิ่นซื่อจื่อจะมีเมตตาต่อสตรีบ้าง ไม่คิดว่าจะเด็ดขาดถึงเพียงนี้ สายตาจนหนทางขององครักษ์หญิงเมื่อครู่นี้ ไม่ทำให้เจ้าหมดความอดทนหรือ…” 


 


 


“เจ้าอยากพูดเรื่องอะไรกันแน่” ฉู่ป๋ายผินหน้ามามองนาง สายตาจ้องมองนางไม่ไหวติง 


 


 


อวี้อาเหราแสร้งทำท่าทีซื่อบริสุทธิ์ “ข้าเพียงขอความเมตตาแทนองครักษ์หญิงผู้นั้น” 


 


 


“ขอความเมตตา?” ฉู่ป๋ายหัวเราะเบาๆ “แต่เจ้าอย่าได้ลืมไป เมื่อครู่นี้เป็นเจ้าที่ออกปากเอง” 


 


 


“เจ้า” อวี้อาเหราถูกตอบกลับจนไปต่อไม่ถูก 


 


 


จากอารมณ์ของเขานั้นมองไม่ออกถึงความเปลี่ยนไปของอารมณ์ของเขาเลย แม้ว่าก่อนหน้านี้จะมีหญิงผู้หนึ่งถูกตัดสินชะตากรรม ก็ยังไม่มีสีหน้าสงสารเลยแม้แต่น้อย เขาช่างใจหินถึงเพียงนี้เชียวหรือ 


 


 


“เจ้าทำไม” ฉู่ป๋ายยื่นหน้าไปข้างหน้า ได้กลิ่นหอมโชยมาจากร่างของเขา ทั้งเย็นชื้นใจและงามสง่า 


 


 


“แค่กๆ” อวี้อาเหราถอยหลังไปด้านหลังหนึ่งก้าวโดยไม่ได้ตั้งใจ ช้อนตาขึ้นไปมองใบหน้าสง่างามของเขา ดั้งจมูกตั้งตรง ผิวขาวเนียนจนนางที่เป็นผู้หญิงยังไม่สู้ ทุกครั้งที่มอง หัวใจจะต้องเต้นเร็วขึ้น 


 


 


“เจ้าอะไรเล่า” เมื่อเห็นนางไม่ตอบ เขาก็ยิ่งยื่นหน้าเข้าไปใกล้อีกนิด แล้วถามประโยคเดิม 


 


 


อวี้อาเหรามองชายหนุ่มที่เข้าใกล้มาเรื่อยๆ หัวสมองก็ราวถูกตีจนยุ่งเหยิง ไม่รู้เลยว่าจะต้องทำตัวอย่างไรดี จริงๆ นึกอยากที่จะบอกให้เขาถอยห่างออกไปหน่อย แต่ด้านหลังของนางเป็นเก้าอี้หนึ่งตัว ทำให้นางล้มนั่งลงไป 


 


 


สายตาสบายๆ ของฉู่ป๋ายเหมือนดวงดาวในท้องนภา และยิ่งยามนี้ยิ่งระยิบระยับเป็นที่สุด 


 


 


ฉู่ป๋ายหัวเราะเสียงแผ่วขึ้นมา ยื่นมือออกไปลูบใบหน้าเห่อร้อนของนาง “ทำไมหน้าของเจ้าแดงก่ำถึงเพียงนี้ หรือเป็นเพราะข้าดูดีเกินไป” 


 


 


“เพ้ย” ผ่านไปนานนางจึงค่อยคืนสติ จ้องมองเขาด้วยสายตาโกรธเคือง สัมผัสได้ว่าถูกชายผู้นี้กล่นแกล้งอย่างเต็มที่ อวี้อาเหราลุกขึ้นจากเก้าอี้ แล้วค่อยดึงเขาไปยังเก้าอี้ 


 


 


ฉู่ป๋ายไม่ขัดขวางการกระทำของนางเลยแม้แต่น้อย กระแทกกายนั่งลงบนเก้าอี้ 


 


 


อวี้อาเหราวางมือทั้งคู่เอาไว้ที่เก้าอี้อย่างไร้ซึ่งคำพูด สายตากระทบลงที่ร่างของเขา เลิกคิ้วขึ้นแล้วยิ้มเล็กน้อย “ยกยอตัวเองว่าหน้าตาดี เจ้ายังมียางอายอยู่หรือไม่” 


 


 


“หน้าข้าจะหนาเท่าเจ้าได้หรือ” ฉู่ป๋ายไม่มีทีท่าเปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย แต่กลับหัวเราะเสียงเย็น ราวกับคนที่ถูกตรึงไว้บนเก้าอี้ไม่ใช่เขาอย่างไรอย่างนั้น 


 


 


อวี้อาเหราโกรธเคืองใหญ่โต “เจ้าด่าข้าหรือ” 


 


 


“ข้าไปด่าเจ้าตอนไหนเล่า” ฉู่ป๋ายถามอย่างใสซื่อ “ตอนนี้เป็นใครกันแน่ที่ตรึงร่างของข้าเอาไว้” 


 


 


“เป็นข้าเอง แล้วจะทำไม” อวี้อาเหราสบถเสียงเย็น นึกอยากจะรู้ว่าเขาจะว่าอย่างไร ตอนนี้ฉู่ป๋ายสูญเสียพลังยุทธ์ไปจนหมด ดูแล้วเหมือนจะผอมกว่านางหลายชั่ง และดูอ่อนแอกว่านางเสียอีก ความแค้นที่โดนรังแกก่อนหน้านี้ในที่สุดก็ได้เวลาเอาคืนแล้ว 


 


 


“แล้วสตรีที่ไหนเล่าตรึงร่างของบุรุษเอาไว้เช่นนี้” ฉู่ป๋ายถามกลับอีกครั้ง เมื่อเห็นนางเงียบไป จึงค่อยหัวเราะขึ้นมา “เพราะฉะนั้นแล้วเป็นเจ้าหรือข้ากันแน่ที่ไร้ยางอาย” 


 


 


“…” อวี้อาเหราเข้าใจความหมายของเขา จึงถอยหลังกลับไป เขากำลังล้อนางที่ทำตัวไม่เรียบร้อยหรืออย่างไร 


 


 


 


 


 


 ตอนที่ 388 ฉู่ป๋ายคนดี 


 


 


 


 


 


“ทำไมถึงไม่พูดเล่า หรือข้าพูดแทงใจดำเจ้า” ฉู่ป๋ายมองใบหน้าเล็กที่ห่อเ**่ยวลงด้วยความกระตือรือร้น 


 


 


ไม่ได้เพิ่มเติมเสริมแต่งใดๆ ทั้งๆ ที่อยู่ในภาวะอารมณ์ที่ผิดปกติ แต่เพราะเครื่องหน้าที่ไร้ที่ติ นางจึงดูช่างออดอ้อน ตอนนี้เพราะนางโกรธ คิ้วของนางจึงยกสูงขึ้นเล็กน้อย ทำให้ยิ่งดูขี้อ้อนมากยิ่งขึ้น 


 


 


อวี้อาเหราผลักเขาที่เข้ามาใกล้เรื่อยๆ แล้วสบถเสียงเย็น “เจ้าสิหน้าไม่อาย” 


 


 


“เจ้านี่ โดนพูดแทงใจดำก็ยังไม่ยอมรับ เมื่อครู่ยังพูดเก่งเป็นต่อยหอยอยู่เลยมิใช่หรือ ทำไมตอนนี้แม้แต่ครึ่งคำก็พูดไม่ออกเสียเล่า” ราวกับฉู่ป๋ายมองไม่เห็นแววตาโกรธเคืองในสายตาของนาง ยังคงนั่งยิ้มอยู่บนเก้าอี้ไม่ทุกข์ไม่ร้อน 


 


 


“เจ้า!” อวี้อาเหราโกรธจนนึกอยากจะยกหมัดขึ้นพุ่งเข้าใส่ใบหน้าของเขา แต่สติปัญญาก็ทำให้นางค่อยๆ สงบลง กัดริมฝีปากแล้วหันกลับไป “ข้าพูดไปก็สู้เจ้าไม่ได้อยู่ดี ขี้เกียจจะเถียงกับเจ้าแล้ว”  


 


 


เมื่อพูดจบแล้ว นางก็คิดจะเดินจากไป แต่แรงๆ หนึ่งหยุดนางไว้ 


 


 


จึงเห็นว่าฉู่ป๋ายดึงมือนางเอาไว้ ร่างทั้งร่างสั่นสะเทือน เหตุการณ์ตรงหน้าเกิดความเปลี่ยนแปลงในฉับพลัน เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง จึงรู้ว่านางนั้นมานั่งอยู่บนเก้าอี้เสียแล้ว และเขาได้เลียนแบบทีท่าของนางก่อนหน้านี้ ใช้สองมือวางเอาไว้ที่สองข้างของเก้าอี้ ล้อมตัวนางไว้บนเก้าอี้ไม่ให้ขยับตัวไปไหน 


 


 


อวี้อาเหราได้สติขึ้นมา อดไม่ได้ที่จะร้องออกมาด้วยความตกใจ “เจ้าจะทำอะไร” 


 


 


ในช่วงเวลาที่อวี้อาเหราตกอยู่ในสถานการณ์ที่สับสนนั้น ได้มองไปยังร่างของฉู่ป๋ายด้วยความแปลกใจ เมื่อถูกจ้องมองด้วยสายตาลึกซึ้ง จนทำให้นางรู้สึกเหมือนไม่เป็นตัวของตัวเอง ราวกับสายตาของเขาเต็มไปด้วยความสามารถในการสำรวจไม่จบไม่สิ้น จนเหมือนกำลังตรวจตราร่างเปลือยเปล่าของนาง 


 


 


สูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ นางก้มหน้าลง 


 


 


ทันใดนั้น มือข้างหนึ่งก็ดันใบหน้าของนางขึ้นมา อวี้อาเหราเปิดเปลือกตาขึ้น จึงพบว่าเขากำลังคว้าผมของนางหนึ่งปอยเอามาเล่น นางกลอกตาอย่างอับจนถ้อยคำ ถึงขนาดตรึงร่างของนางเอาไว้บนเก้าอี้เพื่อเล่นผมของนางหรือ 


 


 


เมื่อเห็นฉู่ป๋ายใช้มือพันเส้นผมของนางเล่นเงียบๆ ไม่ส่งเสียง อวี้อาเหราก็เข้าใจขึ้นมา เพราะแค่อยากเล่นผมของนางนั่นเองหรือ ทันใดนั้นอารมณ์ดีๆ ของนางก็ไม่มีเหลือ พยายามสะบัดตัวให้หลุดพ้นจากการเกาะกุมของนาง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเขามีแรงมหาศาลหรือเพราะนางมีแรงน้อยยเกินไป ไม่ว่านางจะขัดขืนเพียงใดก็ไม่เป็นผล  


 


 


ในที่สุดนางก็โมโห “เจ้าเป็นบ้าอะไร ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้!” 


 


 


“หากเจ้ายังเสียงดังอีก ไม่กลัวว่าเมี่ยวอวี้กับชิงอวิ๋นจะแห่เข้ามากันหรือไง” 


 


 


เพียงประโยคเดียวก็ทำให้อวี้อาเหราหยุดพูด ไม่กล้าร้องโวยวายอะไรอีก 


 


 


อวี้อาเหราเห็นว่าต่อต้านอย่างไรก็คงต้านไม่ไหว จึงทำเก็บกักความโกรธเอาไว้ เมื่อพูดออกมาก็กลายเป็นเสียงที่ฟังดูปลอบประโลม น้ำเสียงอ่อนโยนพูดขึ้นว่า “ฉู่ป๋ายคนดี เจ้าปล่อยข้าเถิด เจ้าเพียงอยากเล่นผมข้ามิใช่หรือ ข้าก็ให้เล่นแล้วไง แต่เจ้าเล่นกักตัวข้าเช่นนี้ข้าอึดอัดอยู่บ้างหรอก มือเท้าข้าแข็งไปหมดแล้ว” 


 


 


“หืม” คิ้วของฉู่ป๋ายกระตุกเล็กน้อย “เมื่อครู่เจ้าว่าอะไรนะ” 


 


 


“ปล่อยข้าหรือ” อวี้อาเหราชะงัก คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงออกปาก 


 


 


“ประโยคก่อนหน้านั้นสิ” ฉู่ป๋ายส่ายหน้า 


 


 


อวี้อาเหราเงียบไปครู่ “ฉู่ป๋ายคนดี” 


 


 


“อืม” ฉู่ป๋ายหัวเราะออกมา หัวเราะจนหน้าอกพองยุบเป็นจังหวะ มองสำรวจนางอย่างออกรสชาติ “หากเจ้าเรียกอีกสักครั้ง ข้าก็จะปล่อยมือ” 


 


 


“…ฉู่ป๋ายคนดี” ยามที่เรียก อวี้อาเหราก็ขนลุกไปทั่วร่าง นางเพียงพูดออกไปมั่วๆ เท่านั้น ทำไมเมื่อถึงปากของเขาแล้วจึงเปลี่ยนความรู้สึกไปเสียนี่ 


ตอนที่ 389 เรียกอีกครั้งสิ 


 


 


 


 


 


“อืม” ฉู่ป๋ายยอมรับออกมา 


 


 


อวี้อาเหรายิ่งบังเกิดความเบื่อหน่าย “ก็ข้าเรียกแล้วไง เจ้าปล่อยข้าเสียที” 


 


 


“แต่ข้าได้ยินไม่ชัดนี่ เจ้าเรียกอีกครั้งไม่ได้หรือ” ฉู่ป๋ายหัวเราะขึ้นมาเรื่อยๆ 


 


 


ได้ยินไม่ชัดหรือ อวี้อาเหราอยากจะหัวเราะ เจ้าผีตัวนี้คิดจะหลอกใครกัน เมื่อครู่นี้ยังได้ยินเขาตอบกลับมา หากได้ยินไม่ชัด ไหนเลยจะตอบรับออกมาได้ มันจะไม่แกล้งโง่อย่างโจ่งแจ้งเกินไปหรืออย่างไร 


 


 


นางเงียบไป ฉู่ป๋ายก็หัวเราะ “จะเรียกหรือไม่เรียก” 


 


 


“ไม่เรียก” อวี้อาเหราส่ายหน้าปฏิเสธ นางยังไม่โง่ถึงขนาดจะเรียกเขาอีกครั้งหรอก เพียงได้ยินนางก็รู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง หากเมี่ยวอวี้เข้ามาเห็นเข้า แม้นางจะโดดลงแม่น้ำฮวงโหวก็ล้างคาวไม่ออก[1]แน่ ในสายตาของนาง เจ้าหมอนี้ตั้งใจให้นางเรียกเขาเช่นนี้แน่ๆ 


 


 


“ถ้าอย่างนั้นข้าก็ไม่ปล่อย” มุมปากที่โค้งเป็นรอยยิ้มของฉู่ป๋ายค่อยๆ หายไป ก้มหน้าลงมองสำรวจนาง 


 


 


“ทำไมเจ้าช่าง…” เขาไม่แยแสอะไรทั้งนั้น อวี้อาเหราโกรธจนไม่รู้จะโกรธอะไร ในใจเกิดคิดอะไรขึ้นมา ทันใดนั้นนางก็จับศีรษะของตัวเองแล้วร้องออกมา “ปวดหัวเหลือเกิน ลมนี่ทำไมมันหนาวขนาดนี้ ข้าหนาวไปหมดแล้ว” 


 


 


ฉู่ป๋ายชะงัก ทันใดนั้นก็ปล่อยมือทันที “เจ้าไม่เป็นอะไรนะ” 


 


 


อวี้อาเหราใช้โอกาสนี้พุ่งออกมาจากอ้อมแขนของเขา เมื่อหนีออกมาได้ ก็ยิ้มขึ้นมาอย่างพออกพอใจ 


 


 


ในเวลาเดียวกัน สายตาของนางก็ฉายแววดุดัน กล้าแกล้งนางเช่นนี้ เขาช่างใจร้ายยิ่งนัก 


 


 


“เจ้าแสร้งทำหรือ” ฉู่ป๋ายเห็นสีหน้ายิ้มแย้มของนางแล้วก็เข้าใจขึ้นมา 


 


 


“เขาเรียกเป็นทหารไม่หน่ายอุบาย” อวี้อาเหราว่าเสียงเย็น 


 


 


ฉู่ป๋ายทำหน้ากินไม่เข้าคายไม่ออก “ข้าเห็นเจ้าเป็นเช่นนี้ก็ดีใจ ไม่เห็นว่าจะป่วยหนักตรงไหนเลย เอาอย่างนี้ดีกว่า ข้าจะไปบอกหลิงอ๋องแทนเจ้าเอง บอกว่าอาการป่วยของเจ้านั้นหายดีแล้ว ท่านคงคลายวิตกแล้วกระมัง” 


 


 


“ใครบอกว่าข้าหายดีแล้ว” อวี้อาเหราใจแป้ว กุมศีรษะแล้วแสร้งป่วย “ตอนนี้ข้าเวียนหัวขึ้นมาอีกแล้ว คงเพราะเจ้าเสียงดังแน่ๆ จนทำให้ข้าไข้กลับเช่นนี้ กลัวว่าจะป่วยหนักจนวิกฤตน่ะสิ” 


 


 


“เจ้าพาลมาถึงตัวข้าแล้ว…” ฉู่ป่ายยกมือที่กำเป็นหมัดหลวมๆ มาปิดปากแล้วไอออกมา 


 


 


 อวี้อาเหราโต้ว่า “เจ้าอยู่ที่นี่ทำให้ข้าไม่มีความสุข ยังทำให้ข้าเสียสุขภาพไปอีก” 


 


 


“ไม่เป็นไร แล้วแต่เจ้าเถิด ฝีมือการแพทย์ของเรานั้นมีชื่อเสียงลือเลื่องไปทั่วเมืองเฟิ่งเฉิง แม้ว่าเจ้าใกล้จะตาย ข้าก็ยังช่วยกลับมาได้ เหมือนกับที่ข้าช่วยฝังเข็มให้เจ้าสิบเข็มอย่างไรเล่า” ฉู่ป๋ายไม่ได้มีท่าทีตกใจแม้แต่น้อย แต่พูดออกมายาวๆ 


 


 


“เจ้านี่จริงๆ เลย จะไม่ทำให้คนอื่นอับจนถ้อยคำจะอกแตกตายหรือย่างไร” อวี้อาเหราไม่รู้จะพูดอะไร นางไม่อยากจะถูกฝังเข็มอีกแล้ว เพราะมันเจ็บมากจริงๆ 


 


 


เมื่อมองท้องฟ้าด้านนอก ก็เห็นว่ามืดครึ้มลงเยอะ จึงเลิกคิ้วแล้วมองไปที่เขา “เย็นถึงเพียงนี้แล้ว เจ้ายังไม่คิดจะกลับอีกหรือ” 


 


 


ฉู่ป๋ายมองไปด้านนอก แล้วจึงพยักหน้าคล้อยตาม “ควรจะกลับได้แล้ว” 


 


 


“ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็รีบไปเถิด” อวี้อาเหราฝืนยิ้ม 


 


 


ฉู่ป๋ายสงสัย “ทำไมข้ารู้สึกว่าเจ้ากำลังไล่ข้าอยู่กันนะ” 


 


 


“ไม่ใช่เสียหน่อย ข้ากลัวว่าฟ้าจะมืด แล้วเจ้าจะกลับไม่สะดวกต่างหาก ถนนตอนกลางคืนจะลื่นนัก” อวี้อาเหราฝืนยิ้มออกมา หากเขาไม่ใช่ซื่อจื่อแห่งจวนเซิ่นอ๋อง นางคงไม่เปลืองน้ำลายกับเขาถึงเพียงนี้หรอก คงจะโดนไล่ออกไปตั้งแต่เข้ามาในจวนแล้ว 


 


 


สองตาของฉู่ป๋ายจ้องมองนาง ดูราวกับมองทะลุถึงเจตนาของนาง แต่ก็เหมือนมองไม่ออก ในที่สุดก็ถอนสายตากลับมา น้ำเสียงอบอุ่นพูดขึ้นว่า “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็พักผ่อนเถิด ข้าขอกลับก่อน” 


 


 


พูดออกไปไม่นาน ก็หมุนตัวจากไป 


 


 


อวี้อาเหรามองแผ่นหลังผอมบางทว่าตรงแน่วของเขา สีหน้าของนางก็หม่นลง “เมี่ยวอวี้” 


 


 


 


 


 


[1] แม้โดดลงแม่น้ำฮวงโหวก็ล้างคาวไม่ออก อุปมาหมายถึงไม่ว่าทำอย่างไรก็ไม่อาจล้างมลทินให้ตัวเองได้ 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 390 ไล่ออกจากจวน 


 


 


 


 


 


เมี่ยวอวี้เข้ามาในห้อง “มีอะไรหรือเจ้าคะคุณหนู” 


 


 


“เมื่อครู่นี้เจ้าลงโทษเด็กสาวผู้นั้นอย่างไร” อวี้อาเหราจัดทรงผมที่ยุ่งเหยิงเพราะถูกฉู่ป๋ายเล่น แล้วนั่งลงบนเก้าอี้ข้างโต๊ะ จึงค่อยเงยหน้าขึ้นมองเมี่ยวอวี้ 


 


 


“บ่าว..” เมี่ยวอวี้มองนางด้วยสายตาระมัดระวัง ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “บ่าวไล่นางออกจากจวนไปแล้วเจ้าค่ะ” 


 


 


“บังอาจ!” เมื่อได้ยินดังนั้น อวี้อาเหราก็ร้องขึ้นมาอย่างดุๆ “นางไร้มารยาทต่อเซิ่นซื่อจื่อถึงเพียงนี้ ทำไมเจ้าจึงกล้าปล่อยนางไปโดยพลการ เจ้ากำลังทำเสียเรื่อง” 


 


 


“คุณหนูโปรดอย่างโกรธ บ่าวรู้ผิดแล้ว” เมี่ยวอวี้ทรุดตัวลง ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมา “บ่าวคิดว่าเพราะคุณหนูเป็นคนจิตใจดี อย่างไรก็คงไม่เอาชีวิตองครักษ์หญิงให้ตายเปล่าแน่ ดังนั้นบ่าวจึงบังอาจ ไล่นางออกไปแล้วเจ้าค่ะ” 


 


 


“เจ้านี่ช่างกล้านัก ริคิดแทนข้า เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าจะปล่อยตัวนาง” น้ำเสียงของอวี้อาเหรายิ่งดุดันมากยิ่งขึ้น 


 


 


“บ่าวขอบังอาจพูดสักคำ คุณหนูรอง หากท่านจะฆ่าองครักษ์หญิงผู้นั้นจริงๆ ก็คงไม่ให้บ่าวลงมือจัดการเสียตั้งแต่แรก และยิ่งคงจะไม่ถามเซิ่นซื่อจื่อให้ช่วยตัดสินใจ ดังนั้นบ่าวจึงเดาเอาเองว่า ท่านเพียงต้องการที่จะทราบว่าเซิ่นซื่อจื่อจะมีท่าทีต่อองครักษ์หญิงผู้นั้นอย่างไรเท่านั้น…” 


 


 


อวี้อาเหรามองนางนิ่งๆ ชั่ววินาทีนั้นไม่รู้ว่ากำลังอยู่ในอารมณ์โกรธเคืองหรือยินดีกันแน่ 


 


 


เมี่ยวอวี้คุกเข่าลงด้วยตัวสั่นเทา แล้วก้มหน้าลงติดกับพื้น 


 


 


ทันใดนั้นอวี้อาเหราก็หัวเราะออกมา ลุกขึ้นยืน แล้วพยุงนางขึ้นมาด้วยตัวเอง มุมปากคลี่เป็นรอยยิ้มบาง “เจ้าทำได้ถูกต้อง เดาใจของข้าได้อย่างละเอียดลออ มีคนฉลาดเฉลียวเช่นเจ้าอยู่ข้างกายคอยช่วยเหลือเช่นนี้ถือเป็นโชคของข้า รีบลุกขึ้นเถิด” 


 


 


“คุณหนูไม่โกรธข้าแล้วหรือ” เมี่ยวอวี้ชะงัก 


 


 


อวี้อาเหรากะพริบตา “หากข้าจะโทษเจ้าจริงๆ ไหนเลยข้าจะพูดให้มากความถึงเพียงนี้” 


 


 


“ก็จริงเจ้าค่ะ” เมี่ยวอวี้ชะงักแล้วก้มหน้าลง แม้ว่าจะอยู่กับอวี้อาเหราได้สิบกว่าวันเท่านั้น แต่ก็สามารถเดาใจของนางได้มากทีเดียว หากจะลงโทษจริงๆ ก็คงไม่พูดอะไรให้มากความเช่นนี้ 


 


 


อวี้อาเหราถอนสายตากลับมา “เจ้าเองก็รู้ แม้ว่าเจาเอ๋อร์จะหัวไวคล่องแคล่ว แต่ก็ไม่ได้ฉลาดเฉลียวเช่นเจ้า จะจัดการเรื่องในเรือนพักนี้ จำจะต้องหูตากว้างไกล ใช่แล้ว เมื่อครู่นี้เจ้าลงโทษเด็กคนนั้นอย่างไรหรือ” 


 


 


“เรียนคุณหนู หลังจากบ่าวขู่นางแล้ว ก็บอกว่าคุณหนูรองเห็นว่านางน่าสงสาร ไม่อาจฆ่านางได้ลง จึงขอให้เซิ่นซื่อจื่อให้อภัย ในท่านเห็นใจ ดังนั้นจึงละเว้นโทษ ส่งนางออกนอกจวนไปแล้วมอบเงินให้จำนวนหนึ่ง นางจึงจากไปพร้อมพร่ำขอบพระคุณเจ้าค่ะ” 


 


 


“ดีมาก” อวี้อาเหราพยักหน้าอย่างพึงพอใจ เมื่อทำเช่นนี้ก็จะไม่เกิดการผูกใจเจ็บ ทั้งยังได้ใส่ร้ายฉู่ป๋ายอีกต่างหาก เมื่อคิดได้ดังนี้ นางก็ยิ้มขึ้นมาอย่างพึงพอใจ 


 


 


เรื่องนี้ได้เมี่ยวอวี้ช่วยจัดการให้จนไม่หลงเหลือความแค้นใดๆ หากเป็นเจาเอ๋อร์ ก็คงไม่อาจทำให้เรื่องมาจนถึงจุดนี้ได้แน่ จากเรื่องนี้สามารถมองเห็นได้ถึงความฉลาดและความละเอียดอ่อนของเมี่ยวอวี้ที่สามารถเข้าใจความคิดของนางได้อย่างถูกต้องไม่บกพร่อง 


 


 


“ขอบพระคุณคุณหนูที่ชื่นชม นี่เป็นเรื่องที่บ่าวควรจะทำแล้วเจ้าค่ะ” เมี่ยวอวี้ก้มหน้า 


 


 


“เจ้าสมควรได้รับคำชมจากข้าแล้ว” อวี้อาเหราเผยรอยยิ้ม คิดอะไรขึ้นมาได้ก็เอ่ยถาม “ใช่แล้ว พวกชิงอวิ๋นไปไหนหรือ ทำไมข้าไม่เห็นพวกเขาเลย” 


 


 


“บอกว่าจะไปตามสืบเรื่องที่คุณหนูสั่งเอาไว้เจ้าค่ะ” เมี่ยวอวี้ตอบ 


 


 


อวี้อาเหราเท้าคางพลางขบคิด หรือว่า…หรือว่ากำลังไปสืบเรื่องของอนุรองกันนะ 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม