บุปผาเคียงบัลลังก์ 374-381

 ตอนที่ 374 ความตั้งใจของหรงจิง 


 


 


เซียงฉือเล่านิทานอย่างเชื่องช้าด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลอย่างยิ่งฟังดูอืดอาด เรื่องที่เล่าก็มหัศจรรย์พันลึก ไม่ต้องคิดเยอะ และยังเป็นนิทานที่ยาวยิ่งอีกด้วย 


 


 


หรงจิงไม่เคยฟังนิทานเช่นนี้มาก่อนจึงรู้สึกสนใจมาก เขาหลับตาลงแล้วตั้งใจฟังนางเล่า 


 


 


เซียงฉือยิ่งเล่าก็ยิ่งคึกคัก ร้อยเรียงเรื่องราวโดยไม่ต้องอาศัยการร่าง 


 


 


ดีที่หรงจิงยังไม่เคยฟังนิทานก่อนนอนมาก่อน ถึงจะรู้สึกว่ามีหลายจุดที่เป็นไปไม่ได้ แต่เขาก็มีมารยาทพอที่จะไม่ขัดและไม่พูดออกมา ยังคงฟังเซียงฉือใช้เสียงลึกลับเล่านิทานต่อไปอย่างเงียบๆ 


 


 


“เพราะมีคนจำนวนมากต้องการจะรู้ชื่อและความเป็นมาของเขา ดังนั้นทุกคนจึงล้อมวงกันคิดจะคัดเลือกใครสักคนให้ไปถามท่านเซียนคนนั้น แต่พอถึงวันคัดเลือกคน บรรดาผู้เฒ่าหนวดเคราขาวเช่นกันทั้งหลาย ต่างพากันเกี่ยงยอมกันและปรารถนาจะมอบโอกาสให้แก่คนอื่น” 


 


 


“ในที่สุด ท่านเซียนคิดจะไปจากที่นั่นแล้ว แต่ชาวบ้านในที่นั้นยังไม่รู้ชื่อของเขา ทั้งไม่รู้ว่าเขากำลังจะปลีกตัวจากไป แต่แล้วมีเด็กน้อยคนหนึ่งวิ่งออกไป ถามกับท่านเซียนเคราขาวว่า ‘ท่านปู่เคราขาว ทุกคนอยากถามว่าท่านชื่ออะไร ท่านบอกกับพวกเราได้ไหม’ เสียงไร้เดียงสานั้นทำลายความเงียบในหมู่บ้าน เมื่อมีเด็กน้อยถามขึ้นก่อน คนอื่นๆ จึงได้ถามตาม” 


 


 


เมื่อเซียงฉือเล่ามาถึงตรงนี้หรงจิงเริ่มเกิดความง่วงแล้ว แต่เขาก็ยังยิ่งต้องการรู้เรื่องที่จะเกิดขึ้นต่อไป แต่เซียงฉือกลับหยุดเล่า นางย่องไปยังข้างเตียงหรงจิง กลั้นลมหายใจแล้วยื่นเข้าไปใกล้ แล้วพิจารณาดูอย่างถี่ถ้วน 


 


 


“น่าจะหลับแล้วนะ” 


 


 


เสียงของเซียงฉือเบาอย่างยิ่ง นางเตรียมจะหอบผ้าห่มหนีออกไป 


 


 


ขณะก้มหน้ายิ้มเตรียมผละออกมาก็ถูกหรงจึงดึงแขนเสื้อไว้ 


 


 


“ท่านเซียนชื่ออะไร” 


 


 


เซียงฉือถูกหรงจิงจับไว้ก็ตกใจลนลาน ยังดีที่เขาเอ่ยปากถาม มิเช่นนั้นนางคงต้องสะบัดเท้าวิ่งหนีเป็นแน่ หรงจิงยังคงหลับตาเพียงพึมพำถามออกมาเท่านั้น 


 


 


เซียงฉือต้องลอบร้องแย่แล้ว เพราะรู้ว่าไม่อาจจะเลี่ยงไม่เล่านิทานต่อไปอีกได้ 


 


 


นางคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดเบาๆ ที่ข้างกายหรงจิงว่า 


 


 


“ไม่ได้ยิน” 


 


 


หรงจิงฟังคำนั้นแล้วคิ้วก็กระตุกขึ้น เขาใช้มือซ้ายจับแขนเซียงฉือ ใช้พลังหลายส่วนอุ้มเซียงฉือขึ้นมาบนเตียง ใช้มือข้างหนึ่งโอบร่างนางไว้ 


 


 


ให้ใบหูของนางแนบกับริมฝีปากเขา ใช้ระดับเสียงใกล้เคียงกับเมื่อครู่พูดว่า 


 


 


“เจ้าเด็กต๊อง รีบบอกมาว่าเซียนคนนั้นชื่ออะไร พูดออกมาแล้วข้าจะปล่อยเจ้าไปนอน” 


 


 


เซียงฉือได้ยินเขาพูดเช่นนั้น ลมหายใจอุ่นร้อนรินรดที่ข้างหูนาง นางรู้สึกว่าหูตลอดจนใบหน้าของตนร้อนผะผ่าว 


 


 


ร่างของเซียงฉือถูกหรงจิงรัดไว้จนขยับตัวไม่ได้ แต่ถึงจะปล่อยให้นางได้ขยับทว่าตอนนี้นางตะลึงไปแล้ว นับวันหรงจิงยิ่งใจกล้ากับนางมากขึ้น แต่เมื่อนางได้ยินคำพูดของหรงจิงจึงกัดริมฝีปากตอบไปว่า 


 


 


“เสียงที่ถามของเด็กน้อยคนนั้นเบาเกินไป ส่วนเสียงพูดของคนอื่นๆ ก็จ้อกแจ้กจอแจเกินไป ท้ายที่สุดท่านเซียนฟังได้ไม่ชัดเจนจึงได้พูดออกไปคำหนึ่งว่า ไม่ได้ยิน!” 


 


 


“จากนั้นเกิดเสียงฟิ้วขึ้นแล้วเหาะจากไป” 


 


 


เซียงฉือชะงักลงก่อนจะพูดต่อว่า 


 


 


“นี่ก็คือนิทานเรื่องท่านเซียนไม่ได้ยิน” 


 


 


หรงจิงเมื่อฟังแล้วก็หัวเราะลั่นออกมา แขนที่โอบเซียงฉือก็ยิ่งรัดแน่นขึ้น 


 


 


เซียงฉือไม่กล้าขัดขืน แต่ใจเต้นโครมคราม และเริ่มหวาดกลัวขึ้นมา 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 375 ใจกล้ามาจากไหน 


 


 


ในความมืด หรงจิงมองดูดวงตาของเซียงฉือ สายตาทั้งสี่ประสานกัน หัวใจของเซียงฉือระทึกเสียจนแทบจะกระโดดออกมา 


 


 


หรงจิงเอาแต่จ้องมอง สายตาหวาดหวั่นของเซียงฉือกะพริบไหว เขาจ้องตานางอยู่เช่นนั้นด้วยความสนใจและเปี่ยมความจริงใจ 


 


 


“เจ้าเด็กต๊อง ข้าแต่งตั้งให้เจ้าเป็นนางสนมดีไหม จะได้คอยปรนนิบัติอยู่ข้างกายข้า เล่านิทานให้ข้าฟังทุกคืน เป็นอย่างไร” 


 


 


เซียงฉือถูกเขาถามเข้าเช่นนี้ก็ตกใจจนตอบไม่ถูก เมื่อหรงจิงพูดจบ เซียงฉือก็เห็นริมฝีปากของเขาใกล้เข้ามา ยิ่งใกล้เข้ามาเรื่อยๆ 


 


 


นางหวาดกลัวจนต้องหลับตา คนคนนี้เป็นฮ่องเต้ นางไม่สามารถขัดขืน ไม่อาจปฏิเสธได้ 


 


 


เซียงฉือปลอบตัวเอง แต่น้ำตาเจ้ากรรมก็ไหลออกมาแล้ว 


 


 


ถึงแม้นางจะอดกลั้นสุดกำลัง แต่พอหรงจิงเผลอก็ผลักเขาออก แล้วไถลจากตัวเขาลงไปบนพื้น คุกเข่าโขกศีรษะ 


 


 


“ฐานะและสถานะของหม่อมฉันไม่คู่ควรปรนนิบัติรับใช้ฝ่าบาทเพคะ หม่อมฉันจะรีบไปทูลเชิญพระสนมสักพระองค์หนึ่งให้มาปรนนิบัติฝ่าบาทเดี๋ยวนี้…” 


 


 


เซียงฉือลนลานโขกศีรษะต่อเนื่อง ทั้งกระเสือกกระสนคิดจะออกไป หรงจิงถูกเซียงฉือผลักออก เขาตกตะลึงก่อนจะบันดาลโทสะ 


 


 


“กลับมา!” 


 


 


เซียงฉือไม่กล้าขยับเท้าอีกแม้แต่ลมหายใจก็แทบจะหยุดชะงัก น้ำตาที่ขังอยู่หางตาตอนนี้ทะลักหลั่งไหลออกมา 


 


 


น้ำตากลิ้งร่วงหล่นลงราวไข่มุก เซียงฉือไม่กล้าขัดคำสั่งฮ่องเต้จึงถอยกลับมาอย่างว่าง่าย แล้วไปคุกเข่าอยู่แทบเท้าหรงจิง 


 


 


“ฝ่าบาท หม่อมฉันผิดไปแล้ว หม่อมฉันสำนึกผิด…” 


 


 


หรงจิงโกรธจริงๆ ไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนปฏิเสธเขามาก่อน และเขาก็ไม่เคยควบคุมตัวเองไม่ได้เช่นนี้มาก่อนเช่นกัน แต่ไม่ว่าเขาจะเป็นอย่างไรการที่เซียงฉือปฏิเสธเขานั้นเป็นเรื่องจริง 


 


 


ข้าราชสำนักสตรีแต่อดีตมาก็เป็นสตรีของฮ่องเต้ นอกจากฮ่องเต้จะประทานให้กับข้าราชบริพารแล้ว เมื่ออยู่ในวังก็คือหนึ่งในสาวงามสามพันคนในฝ่ายในของหรงจิง 


 


 


เซียงฉือเป็นข้าราชสำนักสตรีงานอักษรแต่ถึงกับกล้าปฏิเสธเขาบนเตียง ไม่ว่าจะเป็นผู้ชายทั่วไปหรือเป็นฮ่องเต้ก็ตาม ย่อมไม่อาจกล้ำกลืนความโกรธนี้ลงได้ 


 


 


“สำนึกผิด เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้าทำอะไร เจ้าถึงกับกล้าปฏิเสธข้า” 


 


 


น้ำเสียงของหรงจิงเย็นเยียบเสียดกระดูก เขาโกรธจริงๆ เขารักความฉลาดเฉียบแหลมของเซียงฉือ แต่เขาก็ชอบนาง ซึ่งควรจะเป็นวาสนาของนางแต่นางกลับปฏิเสธ 


 


 


แล้วคืนนั้นในห้องอักษรในตำหนักจู้เซียงของซูเฟย นางกลับมีท่าทีเขินอายด้วยความเสน่หา ผู้หญิงคนนี้ช่างเปลี่ยนแปลงง่ายดายจริงๆ 


 


 


เซียงฉือคุกเข่าอยู่บนพื้นศีรษะโขกกับอิฐดังโป๊กๆ หรงจิงได้ยินแล้วยิ่งหงุดหงิดรำคาญใจ 


 


 


เขาจับนางแล้วดึงเข้าแนบอก 


 


 


“บอกข้ามา ทำไมเจ้าปฏิเสธข้า ตั้งแต่วันแรกที่เจ้าเข้าวังก็เป็นคนของข้าแล้ว ใครให้ความกล้ากับเจ้าเช่นนี้ หรือว่าใครทำให้เจ้าปฏิเสธข้า เจ้า…” 


 


 


ดวงตาเฉียบคมคู่นั้นของหรงจิงมองเข้าไปในดวงตาวาววับของเซียงฉือ เขามองเห็นความหวาดหวั่นและกังวล นางรู้อยู่เต็มอกว่าการปฏิเสธเขาจะต้องลงเอยอย่างไร แต่นางก็ยังทำเช่นนี้ 


 


 


นางทำเช่นนี้เพราะเหตุใด… 


 


 


“ฝ่าบาท หม่อมฉันยังอยู่ระหว่างไว้ทุกข์ ทั้งกระดูกของท่านปู่ก็ยังไม่ทันเย็น ฝ่าบาททรงรับปากหม่อมฉันแล้วว่าจะให้หม่อมฉันได้ไว้ทุกข์ให้ท่านปู่นี่เพคะ” 


 


 


เซียงฉือพรั่งพรูออกมาทั้งเสียงและน้ำตา ตอนนี้สมองนางสะท้านเลื่อนลั่นคิดเหตุผลอะไรไม่ออกในชั่วขณะ  ได้แต่ใช้คำอธิบายนี้ เพื่อทำให้หรงจิงสงบเย็นลงก่อนแล้วค่อยพูดจา 


 


 


ดวงตาคู่นั้นของหรงจิง เขาหรี่จนหางตายาวยืด เซียงฉือเห็นแล้วจิตใจยิ่งรัดแน่นขึ้น 


 


 


ใจของนางราวถูกแขวนอยู่กลางอากาศ แขวนอยู่เช่นนั้นแม้ไม่ตายแต่ก็หวาดกลัวสุดประมาณ 


 


 


“ไว้ทุกข์? เจ้าคิดว่าแค่นี้ก็จะตบตาข้าไปได้หรือ” 


 


 


น้ำเสียงหรงจิงอบอุ่นขึ้นเล็กน้อย เซียงฉือจึงค่อยวางใจลงได้บ้าง 


ตอนที่ 376 ความคิดเซียงฉือ 


 


 


หรงจิงดึงเซียงฉือไว้ทำให้นางต้องมองเขา แต่ยิ่งเขาสบตานางก็ยิ่งรู้สึกร้อนรุ่ม 


 


 


ใช่ว่าเขาจะไม่มีความคิดแต่งตั้งเซียงฉือเป็นสนมมาก่อน เขาถึงขนาดคิดราชทินนามสำหรับนางไว้เสร็จสรรพ แต่ต้องเลิกล้มไป เพราะนอกจากสถานะของนางแล้วก็เป็นเพราะว่าหากเซียงฉือเป็นสนมขึ้นมาจริงๆ ก็จะไม่สามารถอยู่เคียงข้างกายเขาได้ทุกวัน ไม่อาจเป็นข้าราชสำนักสตรีงานอักษรได้อีก 


 


 


เพราะเขาเริ่มไม่สามารถห่างจากนางได้อีกแล้ว 


 


 


เซียงฉือมีความรู้ความสามารถ ความงามของนางหากเป็นสนมเพียงจัดว่าดีพอใช้ ไม่ได้มีความงามถึงขั้นชวนตะลึง ยังด้อยกว่าจินกุ้ยเฟยกับซูเฟยอีกระดับ 


 


 


แต่ทว่ากิริยาก้มหน้าทำงานใช้ความคิดนั้น ชวนให้จิตใจหวั่นไหว 


 


 


สายตาเซียงฉือแลมองท่าทีของหรงจิง ความลังเลเพียงเล็กน้อยของเขาทำให้จิตใจนางมั่นคงขึ้น เอ่ยปากออกไปด้วยเสียงสั่นน้อยๆ 


 


 


“ฝ่าบาท ขอโปรดทรงฟังความลำบากใจของหม่อมฉัน ให้โอกาสหม่อมฉันได้ชี้แจงด้วยเถิดเพคะ” 


 


 


หรงจิงคลายมือออก สุดท้ายร่างของเซียงฉือก็ร่วงลงไปบนพื้น นางกึ่งนั่งกึ่งคุกเข่า กิริยาทึ่มทื่อน่ารัก 


 


 


หรงจิงยืดตัวนั่งมองดูนาง พูดขึ้นเย็นชาว่า 


 


 


“ข้าจะฟังดูว่าเจ้าจะพูดอะไร” 


 


 


เซียงฉือฟังอย่างไม่ยินดียินร้าย นางขมวดคิ้วใคร่ครวญเรื่องที่ตนต้องการจะแสดงออกไป เมื่อเรียบเรียงคำพูดได้แล้วจึงเอ่ยปาก 


 


 


“ฝ่าบาท เมื่อครู่ที่หม่อมฉันแสดงกิริยาเช่นนั้นเป็นเพราะหม่อมฉันคิดจะไว้ทุกข์ให้กับท่านปู่จริงๆ หม่อมฉันไม่ได้โง่งม เพียงแต่ว่าฝ่าบาท ถึงหม่อมฉันจะอยู่ในวังไม่นานนัก แต่เพราะได้เห็นรายงานของใต้เท้าเหอ ทำให้รู้ว่าเป็นความผิดของหม่อมฉันเองที่ทำให้ท่านปู่ถึงแก่ความตาย หม่อมฉันตำหนิติโทษตัวเองอย่างหนัก” 


 


 


“แต่ว่าตอนนี้ชีวิตหม่อมฉันไม่ได้เป็นชีวิตของตัวเองแล้ว แต่เป็นชีวิตที่ฝ่าบาทพระราชทานให้ หม่อมฉันจึงไม่กล้าคิดจะตาย และคิดจะรักษาร่างกายที่ยังมีประโยชน์นี้ไว้เพื่อทดแทนพระกรุณาของฝ่าบาทเพคะ” 


 


 


เซียงฉือก้มคารวะ คำพูดเหล่านี้เป็นคำพูดจากใจจริงของนางโดยไม่มีสิ่งใดเจือปน เซียงฉือเอ่ยอ้างรายงานใต้เท้าเหอ และว่าตนเองเป็นคนทำร้ายท่านปู่จนถึงแก่ความตาย ในตอนนั้นใจของหรงจิงก็สะท้านขึ้น 


 


 


เขามองออกว่าเซียงฉือมีส่วนอยู่ในนั้น ทั้งยิ่งเข้าใจความรู้สึกเช่นนั้นอย่างแจ่มชัด เขาไม่ได้ยับยั้ง ยังคงฟังคำพูดของนางต่อไป 


 


 


เซียงฉือลุกขึ้นพูดกับหรงจิงต่อว่า 


 


 


“ฝ่าบาท ที่หม่อมฉันกราบทูลมานี้คือเหตุผลที่ทำให้หม่อมฉันไม่อาจไม่ปฏิเสธพระองค์เพคะ อีกทั้งยังเป็นเหตุผลที่หม่อมฉันจะกราบทูลต่อไปว่าภายหน้าหม่อมฉันก็ยังคงจะปฏิเสธฝ่าบาทเช่นกันเพคะ” 


 


 


หรงจิงได้ฟังดังนั้นคิ้วก็เลิกคิ้ว ผู้หญิงคนนี้ถูกเขาตามใจจนเหลิงไปแล้วจริงๆ ต่อไปภายหน้ายังจะปฏิเสธเขาอีกเช่นนั้นหรือ ดูท่านางคงจะเบื่อชีวิตแล้วจริงๆ 


 


 


ท่าทางของหรงจิงค่อยๆ เย็นเยือกขึ้น เขาสามารถปลดปล่อยผู้หญิงคนหนึ่งได้ แต่จะไม่ยอมให้ผู้หญิงคนหนึ่งมาล้อเขาเล่น มาทำให้ฮ่องเต้อย่างเขาไร้ตัวตนเช่นนี้ได้ 


 


 


ถึงแม้เซียงฉือจะสัมผัสถึงลมเย็นเยือกเบื้องหน้าได้ แต่นางยังคงเงยหน้า พูดอย่างองอาจว่า 


 


 


“ฝ่าบาท การที่หม่อมฉันปฏิเสธพระองค์เป็นเพราะหม่อมฉันปรารถนาจะอยู่ข้างพระวรกายนานๆ เพคะ หม่อมฉันมีความละโมบ ไม่ต้องการจะเป็นเหมือนสตรีฝ่ายในทั้งหลายที่เป็นดั่งนกกาเหว่า เฝ้ารอให้ฝ่าบาทเสด็จไปโปรด รอคอยให้ฝ่าบาทเสด็จไปพบพวกนางอยู่ทุกวัน” 


 


 


“หม่อมฉันไม่ปรารถนาจะเป็นดั่งสตรีพวกนั้น และหม่อมฉันในลักษณะเช่นนั้นก็ไม่ใช่เซียงฉือที่พระองค์โปรดเช่นกันเพคะ” 


 


 


ดวงตาเซียงฉือมีแววจริงใจและตัดสินใจ หรงจิงมองเห็นด้วยตาและหวั่นไหวอยู่ภายในใจ 


 


 


“เจ้าหมายความว่าอย่างไร ซูเฟยแต่เดิมก็เป็นข้าราชสำนักสตรีงานอักษรของข้า ตอนนี้ข้าก็ยังโปรดปรานนางอยู่มิใช่หรือ เหตุผลของเจ้านี่ฟังไม่ขึ้น” 


 


 


หรงจิงพูดออกมาด้วยท่าทางร้ายกาจ เซียงฉือยิ้มอย่างเย้ยหยันตนเอง 


 


 


“ซูเฟยทรงมีพระสิริโฉมงดงาม มีศิลปะการร่ายรำเป็นเลิศ ทั้งยังสามารถสร้างความพอพระทัยให้ฝ่าบาทได้ดีที่สุด ดังนั้นตลอดระยะเวลาหลายปีมานี้จึงยังได้รับพระกรุณามิเสื่อมคลาย ทว่าในด้านนี้หม่อมฉันไม่สามารถเทียบกับซูเฟยได้แม้เพียงน้อยนิดเพคะ” 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 377 ปฏิเสธ 


 


 


เซียงฉือหัวเราะเยาะตนเองก่อนจะพูดต่อ 


 


 


“ฝ่าบาททรงทราบว่าหม่อมฉันไม่รู้จักการแย่งชิงเพื่อเป็นคนโปรดทั้งยังแย่งไม่เป็นอีกด้วยเพคะ” 


 


 


“ฝ่าบาทก็ยังทรงทราบอีกว่าเหตุการณ์ครั้งก่อนนั้นทำให้จินกุ้ยเฟยเกลียดแค้นหม่อมฉันเข้ากระดูก ถ้าหากหม่อมฉันเป็นพระสนมแล้วจะสามารถรอดพ้นจากจินกุ้ยเฟยไหมเพคะ” 


 


 


“ย่อมไม่สามารถ ดังนั้นจึงมีเพียงหนทางตายสายเดียวเพคะ ฝ่าบาททรงประสงค์ให้หม่อมฉันไปตายหรือเพคะ” 


 


 


หรงจิงมองดูเซียงฉือ มองดูท่าทางของนางนิ่งด้วยความดุร้าย 


 


 


“หากฝ่าบาททรงมีพระประสงค์เช่นนั้น มิสู้ให้หม่อมฉันตายด้วยพระหัตถ์ของพระองค์…” 


 


 


เซียงฉือยืดคอออกไป นางหลับตายิ้มอย่างจนใจ นางไม่รู้ว่าหรงจิงจะทำอะไร 


 


 


หากไม่ใช่เพราะวันนี้นางหักหาญปฏิเสธหรงจิงทำให้เขาถูกกระทบใจอย่างแรงแล้ว นางคงใช้วิธีการที่นุ่มนวลกว่านี้เพื่อทำให้หรงจิงยอมถอย แต่ในตอนนี้นางไม่อาจหลีกเลี่ยงวิธีนี้ ส่วนจะได้ผลหรือไม่ หรือจะสำเร็จงดงามเพียงไร ก็ต้องดูการแสดงของเซียงฉือในขณะนี้ว่าสมบทบาทแค่ไหน 


 


 


หรงจิงเห็นอากัปกิริยานางเช่นนั้นก็ใคร่ให้นางได้สมปรารถนาจริงๆ จึงรวบคอนางไว้แน่น บีบเค้นจนใบหน้านางแดงขึ้นมา 


 


 


เซียงฉือเบิกตาโพลงด้วยท่าทีหวาดกลัวต่อความตาย ด้วยความเสียดายชีวิต มือของนางกุมมือหรงจิง นิ้วมือและฝ่ามือนั้นเย็นเฉียบ ความเย็นนั้นทำให้มือของหรงจิงชะงักลง 


 


 


มุมปากเซียงฉือผุดรอยยิ้มเยือกเย็น 


 


 


“คืนความปรารถนาดีน้ำตานอง หากเราสองพบกันก่อนคงจะดี…” 


 


 


เซียงฉือพูดจบ น้ำตาก็ร่วงจากหางตาทั้งสองข้างลงบนมือหรงจิง นางหลับตา เพราะขาดอากาศตาจึงเหลือกแล้วหมดสติไป 


 


 


หรงจิงปล่อยมือจากคอเซียงฉือทันใด เขาอุ้มนางแล้วร้องเรียกอย่างลนลาน 


 


 


“เซียงฉือ เซียงฉือ เจ้าอย่าตายนะ ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าตาย!” 


 


 


“ข้าเป็นฮ่องเต้ เป็นโอรสสวรรค์อย่างแท้จริง ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าตาย!” 


 


 


คำพูดของเซียงฉือทำให้หรงจิงตื้นตันใจ แต่ตอนนั้นเขาลงมือหนักเกินไป ไม่รู้เลยว่าแทบจะเอาชีวิตของเซียงฉือไปแล้วจริงๆ 


 


 


พอเขาคลายมือเซียงฉือก็เริ่มหายใจ ลมหายใจเอื่อยอ่อนค่อยๆ เป็นปกติขึ้น หรงจิงตื่นกลัวจริงๆ เขาเพิ่งรู้สึกตัวว่าตนเองหวาดกลัวว่าเซียงฉือจะจากเขาไปได้ขนาดนี้ 


 


 


“หากเราสองพบกันก่อนคงจะดี” 


 


 


“ข้าปล่อยเจ้า ข้าปล่อยเจ้า…” 


 


 


คำพูดนุ่มนวลอย่างจนใจประโยคนั้นเขาเข้าใจดี แต่ใจนั้นยังคงมีความไม่ยินยอม ทว่าเซียงฉือพูดไว้ไม่ผิด จินกุ้ยเฟยถึงกับกล้าส่งคนไปฆ่าปู่ของนาง และหากนางไม่มีเขาคอยคุ้มครอง ออกพ้นประตูตำหนักเจิ้งหยางไปเมื่อไร เกรงว่าเขาคงจะไม่ได้พบนางอีกแล้ว 


 


 


แผนการความคิดชั่วร้ายทั้งหลายในฝ่ายใน เขาที่เป็นฮ่องเต้เพียงแต่ไม่ต้องการไปดู ไม่ใช่เขาจะไม่เห็น เขารู้ดีว่าจินกุ้ยเฟยทำอะไรไว้บ้าง แต่เขาไม่พูด ไม่ได้มีเหตุผลอื่นใด แต่เพียงเพราะจินกุ้ยเฟยก็คือจินกุ้ยเฟยเท่านั้นเอง 


 


 


สุดท้ายแล้วเขายังคงต้องยอมเลิกรา ปล่อยให้เซียงฉือเป็นข้าราชสำนักสตรีของเขาต่อไป ข้าราชสำนักสตรีธรรมดาๆ คนหนึ่ง 


 


 


หรงจิงเองก็เคยเป็นมังกรหลับ ก่อนที่จะถึงเวลาทะยานขึ้นฟ้า พวกมันจะขดตัวนอนอยู่ในทะเลลึก รอคอยโอกาสเมื่อได้สั่งสมความพร้อมแล้ว 


 


 


และนี่ก็เป็นจุดที่เขาชื่นชอบเซียงฉือและเห็นความสำคัญของนาง นางกับเขาล้วนรู้วิธีเก็บซ่อนความสามารถและความทะเยอทะยานของตนเองเช่นเดียวกัน 


 


 


เพียงแต่ความทะเยอทะยานของเซียงฉือมีเพียงน้อยนิด นางคิดเพียงต้องการมีชีวิตที่ดีอยู่ในวังนี้ ง่ายๆ เพียงเท่านี้เอง 


 


 


เพียงให้นางได้ทำอะไรบ้างเล็กน้อยก็จะสามารถอยู่ได้อย่างสงบสุขต่อไป 


 


 


หรงจิงมองดูใบหน้าขาวซีดของเซียงฉือแล้วทอดถอนใจแผ่วเบา 


 


 


“เจ้าเด็กต๊อง เจ้าชนะแล้ว” 


ตอนที่ 378 กระดานหมากหยก 


 


 


เซียงฉือพอได้ยินคำพูดของหรงจิงก็ยิ้มน้อยๆ ขณะที่ก้มหน้าอยู่ แล้วเก็บรอยยิ้มอย่างรวดเร็ว นางกัดริมฝีปากมองดูหรงจิง แล้วทำความเคารพอย่างสงบ 


 


 


“ฝ่าบาท ดึกมากแล้ว หม่อมฉันขอทูลลาออกไปก่อนนะเพคะ” 


 


 


อวิ๋นเซียงฉือพูดจบก็ลุกขึ้นเดินออกไปทางนอกตำหนัก ส่วนหรงจิงในขณะนั้นก็ไม่ได้รั้งนางไว้ เขาหมุนกายลงนอนแล้วห่มผ้าผ่ม 


 


 


ดวงตาเย็นเยือกที่แหงนมองด้านบนเตียงค่อยๆ ปิดลง 


 


 


คืนนี้คนทั้งสองต่างนอนไม่หลับ เซียงฉือเพราะความกลัวเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา ส่วนหรงจิงนั้นหนาวเหน็บออกมาจากใจ 


 


 


เขาเป็นถึงฮ่องเต้แต่ไม่กล้าเข้าใกล้หญิงที่ตนพึงใจ เพียงเพื่อความปลอดภัยของนาง 


 


 


ตอนนี้หรงจิงเข้าใจมากขึ้นแล้วว่าเพราะเหตุใดฮ่องเต้จึงได้โดดเดี่ยว นั่นเพราะเขาจำเป็นต้องเก็บตัวเองไว้บนหอคอยงาช้าง ไม่อาจแสดงออกทั้งในสิ่งที่ชอบหรือไม่ชอบ 


 


 


ฮ่องเต้ควรที่จะสูงส่งลึกล้ำสุดประมาณ การเคลื่อนไหวของเขาในสายตาของผู้มีเจตนาร้าย จะกลายเป็นคมมีดที่จะจู่โจมคนที่เขาทะนุถนอม 


 


 


เขารู้และเข้าใจมาตั้งแต่เล็กแล้วว่า การอยู่ในวังนั้น เขาถูกกำหนดไว้แล้วว่าจะต้องโดดเดี่ยว 


 


 


ผ่านไปหนึ่งคืนราวกับไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น เพราะพอเริ่มเช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น ทั้งคู่ก็เป็นเหมือนดั่งวันปกติ เพียงแต่ห่างเหินกันไปกว่าเดิมบ้าง 


 


 


เซียงฉือยังคงเป็นข้าราชสำนักสตรีที่หรงจิงรักและเชื่อถือ นางทำงานอย่างละเอียดรอบคอบและนอบน้อม และมักจะสร้างความสะดวกสบายยิ่งขึ้นให้หรงจิงได้อย่างเหมาะเจาะ แต่ปฏิสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งคู่ลดน้อยลงเป็นอันมาก 


 


 


ฤดูใบไม้ผลิผ่านไปย่างเข้าฤดูใบไม้ร่วง ความร้อนในหน้าร้อนกำลังค่อยๆ ผ่านไป ยามเช้าและค่ำของนครอวิ๋นหยางเมืองหลวงแห่งนี้เริ่มรู้สึกได้ถึงความหนาวแห่งสารทฤดู เพียงพริบตาเดียวเดือนเก้าก็ผ่านไปเกือบครึ่งแล้ว ถึงแม้ช่วงกลางวันอากาศยังคงร้อนอบอ้าวอยู่บ้าง แต่ลมในยามค่ำคืนมิได้อบอุ่นอีกต่อไป 


 


 


หรงจิงนั่งมองใบไม้เหลืองร่วงพรูทางด้านนอกอยู่ข้างหน้าต่าง เขาเก็บใบหม่อนใบหนึ่งที่ร่วงลงบนระเบียงหน้าต่าง วางเล่นอยู่บนมือครู่หนึ่ง 


 


 


เซียงฉือยกกระดานหมากเข้ามา เมื่อเห็นหรงจิงนั่งอยู่ริมหน้าต่างจึงยกเดินเข้าไปหาแล้วทำความเคารพพูดขึ้นว่า 


 


 


“ฝ่าบาท ซื่อจื่อเยี่ยฉีหนิงจากแคว้นเยี่ยกวนทราบว่าฝ่าบาทโปรดการเดินหมากจึงได้สั่งให้คนใช้หินหยกทำกระดานหมากขึ้นเป็นพิเศษ เร่งรีบส่งจากแปดร้อยลี้เพื่อมาถวายพระองค์เพคะ ทรงทอดพระเนตรสิเพคะ ในนี้ยังมีเม็ดลูกหมากทำจากหยกสีฟ้าชมพูเรื่อๆ อีกสองกล่อง ดูวาววับใสแจ๋วสวยดี ไม่ทราบว่าฝ่าบาทจะทอดพระเนตรไหมเพคะ” 


 


 


แคว้นเยี่ยกวนอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของแคว้นเซียวจิ่ง มีเขตแดนติดกับอวิ๋นโจวลี่โจวเป็นต้น ถึงแม้อาณาเขตของแคว้นเยี่ยกวนจะไม่กว้างขวางเท่าแคว้นเซียวจิ่ง แต่ภายในประเทศอุดมไปด้วยอัญมณีหลากหลาย ช่างฝีมือล้วนทำงานฝีมือได้ประณีต มีความคิดสร้างสรรค์ 


 


 


แคว้นเซียวจิ่งมีกำลังทหารกล้าแกร่ง และแคว้นเยี่ยกวนก็พึ่งพาอาศัยแคว้นเซียวจิ่งตลอดมา ดังนั้นถึงจะอยู่ใกล้แคว้นเซียวจิ่ง แต่ก็อยู่กันด้วยความสงบสุขไม่มีปัญหาตลอดมา 


 


 


เซียงฉือเป็นข้าราชสำนักสตรี งานส่งของเช่นนี้ไม่ต้องให้นางเป็นคนนำมา แต่เพราะเมื่อครู่ซูกงกงเกิดไม่สบาย นางจึงรับช่วงงานนี้มาจากซูกงกงนำมาส่งถึงเบื้องพระพัตร์ฮ่องเต้ 


 


 


หรงจิงเพียงเงยหน้าขึ้นมอง เขากำลังซึมเซาอยู่กับความเปลี่ยนแปลงของฤดูกาล แต่พอได้ยินเสียงหัวเราะของเซียงฉือ ทำให้รู้สึกว่าของนี้เมื่อพูดออกจากปากนางแล้วดูน่าสนใจสำหรับเขาขึ้นมาจริงๆ จึงสะบัดมือพูดขึ้น 


 


 


“เช่นนั้นก็จัดขึ้นมาให้ข้าดูว่าเป็นอย่างไร” 


 


 


เซียงฉือรับคำแล้วยกกระดานหมากนั้นไปเบื้องหน้าหรงจิง ฝีมือการเดินหมากของเซียงฉือยังไม่ถึงขั้นลึกล้ำ แต่ในหมู่ผู้หญิงด้วยกันแล้วนับว่าดีทีเดียว ท่านปู่เคยพูดว่าการเดินหมากนอกจากต้องมีพรสวรรค์แล้ว สิ่งสำคัญที่สุดคือการฝึกปรือ เซียงฉือเรียนการเดินหมากเร็วเกินไป และเวลาเดินหมากกับท่านปู่ก็มักพ่ายแพ้โดยที่ใจไม่ยินยอม ดังนั้นจึงฝึกได้ไม่ดีนัก 


 


 


ที่ผ่านมานางเห็นหรงจิงกับหรงเฉิงเยี่ยเดินหมากกันอย่างสำราญใจก็ได้ครูพักลักจำมาบ้าง 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 379 อาจารย์ดีย่อมมีศิษย์เก่ง 


 


 


เมื่อเซียงฉือตั้งกระดานเสร็จหรงจิงก็เปิดกล่องใส่เม็ดลูกหมาก เขาหยิบขึ้นมากำหนึ่งแล้ววางลงบนกระดาน 


 


 


“เม็ดหมากสีฟ้าใส สัมผัสอุ่นละมุน หากนำมาใช้เดินในฤดูหนาว น่าจะดีไม่น้อย” 


 


 


“เซียงฉือ เจ้าชอบไหม” 


 


 


หรงจิงมองดูหมากในมือแล้วถามขึ้น เซียงฉือกำลังเปิดฝากล่องเม็ดหมากสีชมพูอยู่จึงตอบขึ้นอย่างไม่ได้คิดอะไร 


 


 


“ชอบสิเพคะ” 


 


 


นางตอบเช่นนั้น หรงจิงมองดูฝากล่องสีชมพูในมือนาง เขายื่นมือวางหมากเม็ดหนึ่งลงบนกระดานหมากที่ทำจากหยกขาว 


 


 


“เดินกับข้าสักกระดาน ถ้าเจ้าชนะข้าจะยกให้” 


 


 


เซียงฉือได้ยินดังนั้นก็เบิกตาโตมองดูหรงจิง แล้วพูดขึ้นตะกุกตะกัก 


 


 


“ฝ่าบาท ฝีมือการเดินหมากของหม่อมฉันอ่อนด้อยยิ่งนัก ฝ่าบาทเมื่อไม่ประสงค์จะพระราชทานให้ก็อย่าทรงเยาะเย้ยหม่อมฉันสิเพคะ” 


 


 


เซียงฉือเตรียมปิดฝากล่องอย่างเขินๆ ทว่าหรงจิงยิ้มแล้วยื่นมือออกไปแตะนาง 


 


 


“ในเมื่อเดินไม่เก่งแล้วยังอยากได้กระดานหมากไปทำไม เสียของแท้ๆ” 


 


 


เซียงฉือได้ยินดังนั้นก็ชักโกรธจึงพูดอย่างเคืองๆ ว่า 


 


 


“ถึงฝีมือการเดินหมากของหม่อมฉันจะไม่ล้ำลึก แต่ก็ฝึกฝนได้นะเพคะ ดังคำว่าอาจารย์ดีย่อมมีศิษย์เก่ง ฝ่าบาททรงพระปรีชาเช่นนี้ ต่อไปหม่อมฉันย่อมต้องเก่งได้แน่เพคะ” 


 


 


เซียงฉือพูดเช่นนี้ทำให้หรงจิงหัวเราะขึ้นมา เขายื่นมือวางหมากตัวหนึ่งลงบนกระดาน 


 


 


แล้วเลิกคิ้วมองเซียงฉือ พูดยิ้มๆ ว่า 


 


 


“ยังไม่คารวะอาจารย์อีก” 


 


 


ได้ยินหรงจิงพูดเช่นนั้นเซียงฉือส่งเสียงฮาดีใจ นางถอยหลังลงหนึ่งก้าวอย่างนอบน้อม ยกหมากไว้เหนือศีรษะแล้วพูดอย่างเลื่อมใสอย่างยิ่งว่า 


 


 


“ศิษย์เซียงฉือขอคารวะอาจารย์ ขออาจารย์อย่าได้รังเกียจว่าศิษย์โง่เขลา ได้โปรดสอนสั่งแก่ศิษย์ด้วยเถิด” 


 


 


พูดจบเซียงฉือก็กอดกล่องหมากไว้แล้วกระโดดโลดเต้นไปเบื้องหน้าหรงจิง อดรนทนไม่ไหวคิดจะแข่งหมากล้อมกับเขา 


 


 


หรงจิงตกตะลึง แล้วหัวเราะดุออกไป 


 


 


“เจ้าเด็กต๊อง! ช่างเป็นเด็กต๊องจริงๆ !” 


 


 


หลังจากเหตุการณ์ในคืนนั้นแล้ว หรงจิงน้อยครั้งที่จะหัวเราะอย่างเต็มที่เช่นนี้ และเซียงฉือก็ไม่ได้ยินเขาเรียกนางแบบนี้เช่นกัน ทำให้นางอึ้งไปจากนั้นจึงได้วางเม็ดหมากหนึ่งลงข้างๆ ฝ่ายตรงข้าม หัวเราะพูดว่า 


 


 


“ฝ่าบาทไม่ได้ทรงตรัสเรียกหม่อมฉันเช่นนี้มานานจนหม่อมฉันเกือบจะลืมความรู้สึกนี้ไปแล้วเพคะ รู้สึกตื่นตระหนกและดีใจที่ได้รับการโปรดปรานอีกเพคะ” 


 


 


พอพูดจบนางก็วางเม็ดหมากอีกเม็ดหนึ่งลงข้างหมากของหรงจิง 


 


 


หรงจิงได้ยินคำพูดของเซียงฉือก็อึ้งไป เขาหุบยิ้มทันที เมื่อเห็นนางยื่นมือก็คิดจะวางหมากไว้ข้างตัวหมากของนาง ทำให้นิ้วมือสัมผัสถูกนางเบาๆ 


 


 


เซียงฉือชะงัก หรงจิงก็เช่นกัน ชั่วขณะนั้นทั้งคู่เงยหน้าขึ้นมองฝ่ายตรงข้าม 


 


 


พวกเขาไม่ได้มองสบตากันเช่นนี้มานานแล้ว เซียงฉือรู้ตัวว่าพูดผิดไปจึงก้มหน้า ยังไม่ทันวางหมากก็คิดจะชักมือกลับ แต่ท่าทางของหรงจิงกลับเป็นตรงกันข้าม เขารีบยื่นมือไปจับมือน้อยๆ ที่กำลังจะชักหนีแล้วกำไว้ ซึมซับความอบอุ่นที่คิดถึงมานาน 


 


 


เซียงฉือก้มหน้า นางไม่กล้าปฏิเสธ ปล่อยให้หรงจิงกุมมือ ปล่อยให้หน้าแดงก่ำ ใจเต้นระส่ำ 


 


 


นางพูดผิดไป ไม่ควรจะใช้คำพูดที่ทำให้หรงจิงเข้าใจผิดเช่นนั้น 


 


 


เมื่อครู่นางเพียงดีใจจนลืมตัว 


 


 


หรงจิงยึดมือนางไว้ครู่หนึ่งจึงยอมปล่อย ทำให้หมากในมือเซียงฉือร่วงลงบนกระดาน นางเงยหน้ามองหรงจิง ขมวดคิ้วน้อยๆ หรงจิงยิ้มแล้วพูดว่า 


 


 


“เหอเจี่ยนสุยได้ส่งรายงานมาฉบับหนึ่ง บอกเพียงว่าขุนพลจินได้นำกระดูกของปู่เจ้ากลับไปฝังยังบ้านเกิดแล้ว” 


 


 


“ทีนี้เจ้าก็วางใจได้แล้วกระมัง” 


ตอนที่ 380 ความเกี่ยวข้องกับเหอเจี่ยนสุย


 


 


เซียงฉือกำลังคิดจะลุกขึ้นแสดงความขอบคุณ แต่หรงจิงสะบัดมือแล้วเดินหมากต่อ เขาเอ่ยขึ้นเลียบๆ เคียงๆ ว่า


 


 


“เหอเจี่ยนสุยเกี่ยวข้องอะไรกับเจ้า จึงได้ช่วยเหลือเจ้าเช่นนี้”


 


 


เซียงฉือหวั่นใจ หากนางบอกเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างนางกับเหอเจี่ยนสุยออกไป พวกนางจะต้องประสบกับอะไรบ้าง ถ้านางบอกไปแล้วก็จะลงเอยได้สองทางคือหรงจิงยินยอมปล่อยนางออกจากวัง หรือไม่ก็หาโอกาสฆ่าเหอเจี่ยนสุย เพื่อให้นางตัดใจได้เด็ดขาด


 


 


ความเป็นไปได้แรกที่ว่าจะยอมปล่อยนางออกจากวังนั้น หากดูจากปฏิกิริยาของหรงจิงเมื่อครู่แล้วย่อมไม่มีทางเป็นไปได้ ความต้องการครอบครองควบคุมของชายผู้นี้แรงกล้ามาก เซียงฉือไม่มีความมั่นใจขนาดนั้น ดังนั้นนางจึงไม่กล้าพูด ไม่อาจบอกถึงความสัมพันธ์ของพวกนางออกมาได้


 


 


แต่หากไม่บอกแล้วถูกตรวจสอบออกมาเล่า เพราะบ้านสกุลอวิ๋นกับบ้านสกุลเหอมีความใกล้ชิดผูกพันกันมาตลอด นางจะอธิบายอย่างไร


 


 


เซียงฉือลังเลไม่อาจตัดสินใจได้ หรงจิงหยุดมือที่กำลังจะวางตัวหมากแล้วมองท่าทางก้มหน้าของนาง


 


 


เขากระแอมขึ้นมา


 


 


“เขาเป็นอะไรกับเจ้า คู่หมั้นหรือ”


 


 


พอนางได้ยินคำว่าคู่หมั้นสองคำนั้นก็ลนลานเงยหน้าขึ้น มองดูหรงจิงด้วยแววตาหวั่นเกรงอย่างยิ่ง เมื่อมองอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็รีบส่ายศีรษะ


 


 


“ทูลฝ่าบาท ไม่ใช่เพคะ”


 


 


นางจะบอกอย่างไร เหอเจี่ยนสุยเป็นคนให้ความสำคัญกับความรักความสัมพันธ์ ครั้งนั้นแม้ครอบครัวนางจะถูกจองจำ เขาก็ไม่ได้ถอนหมั้นนาง แต่ตั้งแต่นางกลายเป็นนักโทษแล้ว ชีวิตตลอดจนร่างกายนางนับตั้งแต่วันที่เข้าวังก็เป็นของฮ่องเต้ไปแล้ว


 


 


นางไม่ได้เป็นตัวของตัวเองอีกต่อไป ทั้งย่อมไม่ได้เป็นว่าที่ภรรยาของเหอเจี่ยนสุยอีกแล้วด้วย


 


 


แต่นางพูดคำพูดนั้นออกไปอย่างง่ายดาย นางอยากตบหน้าตนเองนัก เพื่อต้องการรักษาชีวิตเช่นนั้นหรือ


 


 


เซียงฉือพูดไม่ออก เมื่อครู่แม้นางลนลานแต่ก็ยังเห็นแววตาหรงจิงที่เปี่ยมความไม่พอใจ ทั้งถือสาอย่างยิ่งกับจิตสังหารอันน่าหวั่นเกรง


 


 


นางหวาดกลัวจนส่ายศีรษะทันที


 


 


หรงจิงมองดูนาง เขาไม่เชื่อคำพูดของนางนัก เพราะกิริยาของนางเมื่อครู่ดูแปลกประหลาดเกินไป


 


 


เขาขมวดคิ้วหรี่ตา มองดูเซียงฉือราวจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ ถามขึ้นอีกครั้งหนึ่ง


 


 


“เจ้าบอกว่าไม่ใช่ ถ้าเช่นนั้นพวกเจ้าเกี่ยวข้องกันอย่างไร เหตุใดเขาถึงได้ช่วยเจ้าขนาดนี้”


 


 


คราวนี้เซียงฉือไม่ก้มหน้าแล้ว นางยิ้มแล้วตอบกลับไป


 


 


“บ้านสกุลอวิ๋นกับบ้านสกุลเหอคบหากันมาหลายชั่วคนแล้วเพคะ ท่านปู่กับท่านปู่บ้านสกุลเหอเป็นพี่น้องร่วมสาบานกัน ทั้งสองครอบครัวคบหากันสนิทสนมยิ่ง คงเป็นเพราะท่านพ่อไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งพาใครจึงได้ไปขอร้องยังบ้านสกุลเหอ เหวินเซวียน…”


 


 


ขณะนั้นเซียงฉือเพราะความลนลานจึงเผลอเรียกชื่อทางการของเหอเจี่ยนสุยออกมาว่าเหวินเซวียน แต่ขณะถัดมาเมื่อรู้สึกตัวจึงรีบแก้คำพูด


 


 


“พี่เหวินเซวียนเคยกราบเป็นศิษย์ของท่านปู่หม่อมฉัน ดังนั้นจึงคิดจะทำเพื่อท่านปู่ให้เต็มที่กระมังเพคะ”


 


 


เซียงฉือไม่ได้พูดปด สมัยก่อนครั้งเหวินเซวียนอยู่ในหลานโจวได้กราบท่านปู่เป็นอาจารย์ ศึกษาคัมภีร์โดยเฉพาะ หากมิใช่เช่นนั้นเขาก็คงไม่ได้เป็นหนุ่มน้อยอัจฉริยะแห่งหลานโจวตั้งแต่อายุยังน้อย


 


 


เซียงฉือเปลี่ยนคำเรียกแต่หรงจิงฟังทัน แววตาเขาค่อยๆ หรี่ลง มองดูเซียงฉือริมฝีปากผุดยิ้มที่เหมือนไม่ใช่รอยยิ้มขึ้น


 


 


เซียงฉือกัดริมฝีปาก พูดว่า


 


 


“ท่านปู่มักชมเชยพี่เหวินเซวียนเสมอว่าเป็นสุภาพบุรุษเจ้าบทเจ้ากลอน และเคยคิดจะยกหม่อมฉันให้เป็นภรรยาของพี่เหวินเซวียน แต่พอหม่อมฉันเพิ่งปักปิ่นทั้งครอบครัวก็ถูกจองจำเสียแล้ว ดังนั้นคำพูดนั้นจึงเป็นเพียงคำพูดเล่นไปเพคะ”


 


 


เซียงฉือไม่กล้าปิดบังหรงจิงอีก เพราะท่าทางของหรงจิงทำให้นางหวาดหวั่น


 


 


เมื่อตอบไปเช่นนั้นแล้ว ดูเหมือนหรงจิงจะพอเชื่ออยู่บ้าง


 


 


เขารู้ว่าเหอเจี่ยนสุยคนนี้คงจะมีความสัมพันธ์อะไรกับนางอยู่บ้าง มิเช่นนั้นนางคงไม่ลุกลี้ลุกลนเช่นนี้


 


 


 


 


ตอนที่ 381 สนใจใคร่รู้


 


 


ความสนใจใคร่รู้ของหรงจิงไม่ได้ด้อยไปกว่าการควบคุมตนเองของเขา เพียงเซียงฉือลังเลเล็กน้อย ไฟใคร่รู้ของหรงจิงก็ลุกโชน


 


 


เมื่อเป็นถึงฮ่องเต้ ความช่างสงสัยของเขาสามารถกระทั่งทำให้แมวตายได้


 


 


หรงจิงอยากจะดึงมือเซียงฉืออย่างยิ่งแล้วพูดกับนางด้วยความจริงใจว่า


 


 


“เล่าเรื่องระหว่างพวกเจ้าออกมา เมื่อเล่าจบแล้วข้าจะช่วยดูให้ว่าเขาเป็นผู้ชายที่ดีหรือไม่” แต่หรงจิงไม่ได้พูดออกมา ส่วนเซียงฉือก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดต่อหรือไม่


 


 


เซียงฉือเห็นสีหน้าหรงจิงก็ยิ่งลนลานไม่กล้าพูดอีก


 


 


นางหวาดกลัวแววตาเช่นนี้ของเขา เพราะแววตาของเขาแฝงความตำหนิและความต้องการเอาชนะ ยามมองดูเซียงฉือ ทำให้นางขาดความมั่นใจ


 


 


“ฝ่าบาท เรื่องจะออกเรือนกับเขานั้นเป็นเพียงความเต็มใจของท่านปู่ฝ่ายเดียว พี่เหวินเซวียนเป็นถึงบัณฑิตอัจฉริยะของหลานโจวตั้งแต่เป็นหนุ่มน้อย มีความรู้ความทรงจำดียิ่ง ทุกคนต่างบอกว่าเขาเป็นเทพดาวเหวินฉวี่[1]จุติลงมาเกิด ส่วนหม่อมฉันเป็นเพียงหญิงสามัญ ท่านปู่จึงได้แต่เพียงวาดหวังอันงดงามไว้เท่านั้น…”


 


 


เซียงฉือพูดเช่นนี้ทำให้หรงจิงหัวเราะออกมา นางเอ่ยว่าตัวเองเสียจนไม่เหลือราคาค่างวด เซียงฉือในสมัยนั้นเป็นถึงหลานสาวของเจ้าเมืองหลานโจว หรงจิงย่อมรู้ถึงกิตติศัพท์ความรู้ของนางดี แต่นางเพียรว่าตนเองเสียจนไร้ค่าเช่นนี้


 


 


ช่างน่าขัน แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องนี้อีก


 


 


หรงจิงวางหมากลงตัวหนึ่งแล้วมองดูเกมหมาก จากนั้นหัวเราะขึ้นมา


 


 


“พรุ่งนี้จะให้เหอเจี่ยนสุยมาเดินหมากแทนเจ้า หากเขาชนะข้าก็จะมอบหมากชุดนี้แก่เจ้า”


 


 


อารมณ์ของหรงจิงจัดว่ายังดีอยู่ เขาลุกออกจากข้างหน้าต่าง แต่เซียงฉือไม่เข้าใจเจตนาของเขา เหอเจี่ยนสุยจะสามารถมาเดินหมากกับฮ่องเต้ได้อย่างไร


 


 


หรงจิงเดินไปถึงหน้าโต๊ะแล้วตะโกนเรียก


 


 


“เด็กๆ!”


 


 


กงกงเสี่ยวลี่จื่อผลุบจากด้านนอกประตูเข้ามาในห้องแล้วค้อมกายขานตอบ หรงจิงพูดอย่างเป็นงานการว่า


 


 


“ไปเรียกตัวหัวหน้าสำนักศึกษามา พรุ่งนี้เช้าหลังเลิกประชุมเช้าแล้วให้เข้ามายังตำหนักเจิ้งหยาง”


 


 


เซียงฉืออยู่ข้างๆ ได้ยินคำพูดนี้แล้วใจก็เต้นระส่ำราวจะกระโดดออกมาได้ พรุ่งนี้เหอเจี่ยนสุยจะเข้าวัง จะเข้าวังแล้ว นางจะได้พบกับเขา สามารถเห็นเขา…ในสมองเซียงฉือมีเพียงเรื่องนี้ คำพูดอื่นๆ จึงฟังไม่เข้าหู


 


 


หรงจิงพูดจบและเสี่ยวลี่จื่อรับคำสั่งหมุนกายออกไปเพื่อสั่งการแล้ว เมื่อเขากลับไปนั่งยังที่เดิมและเงยหน้าขึ้นอย่างไม่ตั้งใจก็เห็นท่าทางยินดีปรีดาเต็มเปี่ยมของเซียงฉือ


 


 


ไม่รู้เพราะเหตุใด เขาไม่ชอบเซียงฉือในลักษณะนี้ อีกทั้งไม่ชอบเหอเจี่ยนสุยคนนั้นด้วย


 


 


เหอเจี่ยนสุย หรงจิงบรรจุชื่อนี้ลงในสมองคิดทบทวน แล้วก็นึกขึ้นได้ทันใดว่าหรงเฉิงเยี่ยเคยพูดถึงคนคนนี้กับเขา บอกว่าเขาชำนาญทั้งบุ๋นและบู๊ เป็นคนที่หาได้ยาก แต่ตอนนั้นเหอเจี่ยนสุยเพิ่งจะอายุสิบแปดปี เพิ่งย่างเข้าวัยหนุ่ม


 


 


ถึงหรงจิงจะได้ยินเรื่องราวของเขาแล้วแต่เห็นว่าเขายังอายุน้อยเกินกว่าจะใช้งานสำคัญได้จึงให้เขาไปรับผิดชอบด้านการสอน ไปอยู่ในสำนักศึกษาคิดไม่ถึงว่าภายในไม่กี่ปีนี้เขากลายเป็นหัวหน้าของสำนักศึกษาไปแล้ว


 


 


หรงจิงค่อยๆ ลืมเลือนตัวตนของเขาไปแล้ว แต่วันนี้กลับคิดถึงคนคนนี้ขึ้นมา ทำให้รู้สึกสนใจในมหาบัณฑิตอัจฉริยะที่มีชื่อเสียงแต่เยาว์วัยทั้งที่ยังไม่ได้เข้าสู่แวดวงสังคมอย่างแท้จริง


 


 


หรงจิงมองดูอีกครั้ง เซียงฉือยังคงเหม่อลอยอยู่ จึงกระแอมขึ้นแรงๆ


 


 


“ฝนหมึก”


 


 


พอได้ยินเสียงหรงจิงเตือนสติ เซียงฉือก็กลับสู่สภาพเดิมอย่างรวดเร็ว ตอนนี้นางไม่สนใจแล้วว่าหรงจิงจะพอใจหรือไม่ ก้มหน้าก้มตาฝนหมึกยิ้มไม่หุบ


 


 


หรงจิงเห็นนางแบบนั้นยิ่งรู้สึกยากจะทนทานจึงยิ่งใส่ใจกับหัวหน้าสำนักศึกษาคนนี้


 


 


พรุ่งนี้ได้พบกับเขาจึงจะรู้ว่าเขาเป็นคนอย่างไร


 


 


 


 


[1] ดาวเหวินฉวี่ (文曲星) ดาวเหวินฉวี่เป็นดาวดวงหนึ่งในกลุ่มดาวหมีใหญ่ (เป๋ยโต่ว/北斗) ถือเป็นดาวมงคล ส่งผลในด้านการศึกษา ศิลปะ งานราชการ ฯลฯ อีกทั้งยังอำนวยโชคลาภ เชื่อกันว่าเทพประจำดาวนี้จุติลงมาเกิดเป็นมนุษย์หลายครั้ง (รวมถึงเปาบุ้นจิ้นด้วย) เป็นดาวที่มีคุณสมบัติใกล้เคียงกับดาวเหวินชัง (文昌星)

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม