หมอยาหวานใจท่านประธาน 370-377

ตอนที่ 370 เป็นแผนร้ายของผู้หญิงคนนี้


 


 


“ดู ดู ตอนนี้เธอคงพอใจแล้วใช่ไหมที่ทำให้เราปู่กับหลานกลายเป็นศัตรูกัน เธอทำตามแผนสำเร็จแล้วสิ” เจ้าหนูหนานหลิวเฟิงช่างฉลาดจริงนะ ให้ผู้หญิงคนนี้มาล่อลวงหลานชายของตน


 


 


ขั้นแรกสำเร็จแล้ว ทำให้เขากับหลานแตกคอกัน ไม่มีใจจะบริหารบริษัท แล้วค่อยๆ ให้หนานกรุ๊ปกลืนไปทีละน้อย แผนนี้ช่างร้ายกาจจริงๆ


 


 


เขาคิดถึงแผนการมากมาย แต่กลับคิดไม่ถึงว่าพวกนั้นจะใช้แผนหญิงงาม แล้วหลานชายตนเองก็ไม่อาจต้านทานได้ เก่งจริงนะ!


 


 


นายท่านผู้เม่าที่กำลังจมอยู่กับความเพ้อฝันของตัวเอง ไม่ยอมฟังเรื่องใดๆ ทั้งสิ้น แกคิดว่าที่ตัวเองคิดอยู่คือความจริง หารู้ไม่ว่าบางเรื่องนั้นไม่ควรดูแต่ภายนอก ยิ่งไม่ควรคาดเดาสะเปะสะปะ


 


 


อีลั่วเสวี่ยเหมือนน้ำท่วมปาก แผนการอะไร เธอไม่มีแผนอะไรทั้งสิ้น


 


 


ถ้าบอกว่าที่ทำเรื่องนี้เป็นเจ้าของร่างเดิม ก็อาจเป็นไปได้ว่าเพราะเธอรักหนานหลิวเฟิง ยินดีเสียสละทุกอย่างเพื่อเขาอย่างเงียบๆ แต่ปัญหาก็คือเธอไม่ใช่เด็กสาวไร้เดียงสาคนนั้นสักหน่อย เป็นฝ่ายเสียสละฝ่ายเดียว เสียสละถึงขั้นชีวิตตนเอง


 


 


แต่เวลานี้เธอคือใบหน้าอีลั่วเสวี่ยวิญญาณของมั่วเสี่ยวชิง


 


 


“ปู่คะ ฉันไม่รู้ว่าปู่พูดอะไร ฉันไม่คิดจะเคยทำร้ายเฉวียนหมิง ยิ่งจะไม่ทำร้ายเขา” เขาคือคนเดียวที่ดีต่อเธอนับจากที่เธอมายังโลกนี้ ทั้งขณะนี้ยังเป็นเพื่อนชายของเธอ เป็นสามีตามกฎหมายของเธอ เธอจะทำร้ายเขาได้อย่างไร มีแต่คิดจะคอยปกป้องเขา


 


 


แต่นายท่านผู้เฒ่ากลับรู้สึกว่าที่อีลั่วเสวี่ยพูดเป็นการเสแสร้ง อธิบายอย่างไร้น้ำหนัก “คำพูดของเธอหลอกได้แต่เจ้าหนูเฉวียนหมิง แต่หลอกฉันไม่ได้หรอก ออกไปซะ ไสหัวไปจากบ้านสกุลเฉวียน”


 


 


พอเขาพูดเช่นนี้ออกมา เฉวียนหมิงก็ลุกพรวดขึ้น “ปู่! รู้ไหมว่าปู่พูดอะไรอยู่?”


 


 


อย่าว่าแต่เรื่องทั้งหมดนี้ไม่เกี่ยวข้องกับอีลั่วเสวี่ย ยิ่งกว่านั้นหากถอยมาพันก้าวหมื่นก้าวแล้วพูด ต่อให้เธอมีความผิด แต่ถ้าปู่ทำเช่นนี้ ถึงตอนนั้นถ้าทำให้ตระกูลอวิ๋นแก้แค้น เฉวียนกรุ๊ปของพวกเขาคงไม่สามารถรับมือได้


 


 


“เจ้าหนู แกพอแล้ว! แกเองไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรอยู่ ผู้หญิงคนนี้ชอบหนานหลิวเฟิง สองคนนี้ร่วมมือกันมาเล่นงานแก ไม่รู้หรือไง?”


 


 


“ปู่!” เสียงเฉวียนหมิงเย็นชามาก ยกหางเสียงสูง ใบหน้าที่เดิมเคร่งขรึมอยู่แล้วก็ยิ่งเยือกเย็นแข็งกร้าวขึ้น ท่าทางของทั้งคู่เหมือนจะทะเลาะวิวาทกัน


 


 


แม้แต่เหล่าเกาที่ยืนหลบอยู่ข้างๆ ก็แอบขยับเข้ามาใกล้ ถ้าเพื่อสองคนนี้เกิดลงไม้ลงมือขึ้นมา เขาจะได้ห้ามทัน


 


 


อีลั่วเสวี่ยขมวดคิ้วแน่น เธอลุกขึ้นยืน “อย่าทะเลาะกันเลยค่ะ” นายท่านผู้เฒ่าไม่พอใจเธอ เธอรู้ดี แต่ถ้าเพราะเรื่องนี้แล้วทำให้ความสัมพันธ์ของเฉวียนหมิงกับปู่แย่ลง เธอไม่อยากเห็นเช่นนี้


 


 


นายท่านผู้เฒ่าเป็นญาติสนิทคนเดียวของเฉวียนหมิง เป็นญาติทางสายเลือดคนเดียว ยังเป็นคนแก่ด้วย ถ้าเธอขืนพูดอะไรอีก จะเป็นการราดน้ำมันลงบนกองไฟ


 


 


“หึ!” นายท่านผู้เฒ่าร้องหึออกมา แล้วรู้สึกผิดอย่างบอกไม่ถูก ยังคงหน้าบึ้งตึง แล้วหันหน้าไปทางอื่น พอเป็นเช่นนี้เฉวียนหมิงก็มองดูอีลั่วเสวี่ยด้วยความรู้สึกทุกข์ใจและขออภัย


 


 


อีลั่วเสวี่ยยิ้มให้เขา เป็นการแสดงว่าเธอเข้าใจดี ที่เฉวียนหมิงยอมทะเลาะกับปู่ตนเองเพื่อเธอ พอที่จะพิสูจน์ถึงใจเขาที่มีต่อเธอ ถ้าเกิดทะเลาะกันจริงๆ เธอยอมไม่ต้องการเห็นเด็ดขาด เรื่องนี้จะกลายเป็นรอยร้าวลึกระหว่างคนทั้งสาม จนไม่อาจฟื้นกลับมาเหมือนเดิม ต่อให้ภายหลังรู้ว่าเป็นการเข้าใจผิดก็ตาม


 


 


“ปู่คะ คำว่าปู่ ฉันพูดออกมาจากใจจริง ฉันอีลั่วเสวี่ยขอสาบาน ฉันรักเฉวียนหมิงด้วยใจจริง ใช่ค่ะ ก่อนหน้านี้ที่รู้สึกต่อหนานหลิวเฟิงเป็นเพียงความไร้เดียงสา แต่คนเราในชีวิตก็อาจจะคิดผิดได้ จะไม่ยอมให้กลับใจหรือคะ?”


 


 


 


 


ตอนที่ 371 ขอบใจที่คุณสามารถเข้าใจ


 


 


อีลั่วเสวี่ยเห็นสีหน้านายท่านผู้เฒ่าดูเหมือนจะผ่อนคลายลง จึงพูดต่อ “ส่วนที่ท่านบอกว่าฉันร่วมมือกับหนานหลิวเฟิงเล่นงานเฉวียนหมิง ฉันไม่เคยทำเรื่องอย่างนั้น ก่อนนี้ เดี๋ยวนี้และวันหน้าก็จะไม่มี!”


 


 


เจ้าของร่างเดิมที่เคยมีความคิดแบบนั้นได้จ่ายค่าตอบแทนไปแล้ว พลัดตกบันได้ตึกจนเสียชีวิตตั้งแต่ยังเยาว์วัย ส่วนเธอมั่วเสี่ยวชิง ก่อนหน้านี้จนถึงเดี๋ยวนี้ไม่เคยทำร้ายเฉวียนหมิง ยิ่งไม่เคยคิดที่จะทำร้ายเขา


 


 


นายท่านผู้เฒ่าร้องหึ หึ “ใครจะรู้ว่าในใจเธอคิดอย่างนี้หรือไม่ เธอมีปาก จะพูดอะไรย่อมได้ จะให้ฉันเชื่อรึ ไม่มัวันหรอก!”


 


 


ไม่ให้โอกาสเธอแม้แต่จะอธิบาย อีลั่วเสวี่ยฟังคำพูดเขาออก เธอรู้สึกใจแตกสลาย เธอไม่รู้จริงๆ ว่าไปทำอะไรให้ตาแก่คนนี้ไม่พอใจ


 


 


เห็นชัดๆ ว่าคอยลบหลู่เธอ พูดกลับขาวให้กลายเป็นดำ เธอมีความรู้สึกว่าที่เผชิญอยู่ไม่ใช่อย่างที่บนเน็ตเรียกว่าพ่อผัวแม่ผัว แต่เป็นตาแก่ที่ไร้เหตุผล


 


 


ตาแก่ที่อาวุโสเป็นสองเท่า จะพูดอะไรก็ลำบาก


 


 


เฉวียนหมิงได้ยินก็โกรธทันที “ปู่ครับ ปู่พูดเกินไปมากขึ้นทุกที อาเสวี่ยทำอะไรไม่ถูก อาศัยแต่ที่ปู่คิดเพ้อฝันไปเองทั้งสิ้น”


 


 


หรือปู่ตนเองดูซีรีย์ทางทีวีมากเกินไป เรื่องบุญคุณความแค้น ปู่มัวแต่คิดเรื่องพวกนี้ไปเพื่ออะไร เวลานี้สถานะของอีลั่วเสวี่ยยังสูงกว่าหนานหลิวเฟิงรวมทั้งตัวเขาไม่ใช่แค่หนึ่งขั้น


 


 


ที่ผ่านมาเธอสายตาสูงมาก เรื่องถ่านไฟเก่า เธอไม่ทำแน่นอน


 


 


จะว่าไปแล้วเฉวียนหมิงค่อนข้างเข้าใจนิสัยอีลั่วเสวี่ย เธอไม่หวนกลับไปหาถ่านไฟเก่าเด็ดขาด


 


 


อีลั่วเสวี่ยเห็นทั้งสองคนจะทะเลาะกันอีกก็ยกมือกุมหน้าผากด้วยความจนใจ เรื่องห้ามการทะเลาะวิวาทนั้น ถ้าเป็นเมื่อก่อนเธอก็แค่ลงมือเล่นงานทั้งสองฝ่ายหนักๆ ก็ได้แล้ว แต่ขณะนี้เธอไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรจริงๆ


 


 


และแล้วขณะนั้นเองเสียงมือถือเธอก็ดังขึ้น บรรยากาศที่กำลังอึมครึมก็ถูกขัด สายตาของทั้งคู่มาอยู่บนร่างอีลั่วเสวี่ย


 


 


เป็นครั้งแรกที่อีลั่วเสวี่ยรู้สึกว่าเสียงมือถือดังช่างน่าฟังจริงๆ เธอหยิบมือถือขึ้นมาดู พบว่าอาเหมาโทรมา “ค่ะ อาเหมามีอะไรหรือคะ?” เขารู้ว่าเธอจะกินอาหารที่บ้านเฉวียนหมิง ตามหลักไม่ควรจะโทรหาเธอ


 


 


อาเหมาไม่ได้บอกว่าเรื่องอะไร “ท่านแม่ทัพให้คนเอาของมาให้คุณหนูใหญ่ คุณรีบกลับมาเร็วหน่อยนะ”


 


 


“พ่อฉัน?” อีลั่วเสวี่ยแปลกใจ แต่อย่างนี้ก็ดี เธอเตรียมจะไปจากที่นี่ ปู่หลานคู่นี้ต้องการเวลาและที่ว่างเพื่อพูดคุยกันดีๆ เธอวางสาย แล้วหันมามองเฉวียนหมิง “อาเหมาขอให้ฉันกลับไปหน่อยค่ะ ฉันกลับก่อนนะ”


 


 


เฉวียนหมิงมีท่าทางไม่อยากให้เธอจากไป แต่ปู่ของตนไม่ฟังเหตุผล จะทำให้เธอลำบากใจมากขึ้น จะกระทบกระเทือนจิตใจเธอ เขาจึงพยักหน้า “ผมเดินออกไปส่งคุณ”


 


 


“หึ!” พอเห็นสายตาอีลั่วเสวี่ยมองมายังตนเอง นายท่านผู้เฒ่าเบนหน้าหนีด้วยความเย่อหยิ่ง ไม่ใส่ใจเธอแม้แต่น้อย ไปได้ก็ดี เห็นเธอแล้วอดโมโหไม่ได้ เพราะเธอ ทำให้ความสัมพันธ์ของตนเองกับหลานชายแย่ลงเรื่อยๆ


 


 


ที่หน้าประตูอีลั่วเสวี่ยกับเฉวียนหมิงเพิ่งเดินออกมา พอปิดประตู เธอก็โผเข้าหาอ้อมกอดของเขา


 


 


“อาเสวี่ย ขอโทษนะ! ปู่ผม…”


 


 


“ไม่ต้องขอโทษหรอกค่ะ ฉันเข้าใจดี” อีลั่วเสวี่ยยิ้มๆ กอดเอวเฉวียนหมิง ที่จริงแม้ว่านายท่านผู้เฒ่าจะดูโกรธเกรี้ยว แต่ไม่ถึงขั้นที่ทำให้บันดาลโทสะ คิดดูแล้วก็ไม่ใช่คนที่จะเข้าหาได้ยาก


 


 


เฉวียนหมิงปล่อยมือจากอีลั่วเสวี่ย สายตาเปี่ยมด้วยความเสน่หาและซาบซึ้ง “ขอบใจนะ อาเสวี่ย” ขอบใจที่คุณสามารถเข้าใจ ปู่อายุมากแล้ว หลายปีมานี้ท่านลำบากไม่น้อยเพราะเรื่องของเขา


 


 


ถ้าตอนนี้เขาทำให้ปู่โมโหจนเป็นอะไรไป เขาคงต้องโทษตัวเอง แต่คิดไม่ถึงว่าเพราะตนเองไม่ทำอะไรเลย กลับทำร้ายอีลั่วเสวี่ย


 


 


อีลั่วเสวี่ยเป็นคนฉลาดมีไหวพริบ เธอย่อมเข้าใจความลำบากใจของเฉวียนหมิง ไม่ว่าเขาจะยืนอยู่ข้างไหนล้วนลำบากใจทั้งสิ้น


ตอนที่ 372 นายท่านผู้เฒ่าสำคัญที่สุด


 


 


ในเวลานี้นายท่านผู้เฒ่ากำลังบันดาลโทสะ ถ้าเขาเอนเอียงมาทางเธอเพียงเล็กน้อย ไม่แน่ว่าขืนยืดเยื้ออย่างนี้ต่อไป ปู่จะยิ่งเข้าใจเธอผิดหนักขึ้น


 


 


“ขอบใจฉันทำไม” อีลั่วเสวี่ยยิ้ม เธอไม่ใช่เด็กสาวที่อ่อนต่อโลก แค่คำพูดเพราความเข้าใจผิดก็ทำให้ท้อแท้ หมดอาลัยในความรัก เธอเป็นคนที่จิตใจเข้มแข็ง


 


 


เฉวียนหมิงยื่นมือออกไปรวบเส้นผมที่แก้มเธอไปไว้ที่หลังใบหู “ขอบใจที่คุณใจกว้างและเข้าใจ” ถ้าไม่ใช่เพราะเธอมองอย่างเข้าใจ คงกระแทกประตูผละออกไปนานแล้ว ไม่มีใครยอมถูกข่มเหงเช่นนี้ ทำให้เธอลำบากแล้ว


 


 


“ถ้าคุณอยากขอโทษฉันจริงๆ ก็ค่อยๆ ไปคุยปรับความเข้าใจกับปู่เถอะ ส่วนทางฉันนั้น คนตัวตรงย่อมไม่กลัวเงาเฉียง นายท่านผู้เฒ่าย่อมมองเห็นเองไม่ช้าก็เร็ว” จะว่าไปแล้ว จุดเริ่มต้นของนายท่านผู้เฒ่าก็เพื่อเฉวียนหมิง


 


 


ไม่ว่าเรื่องไหลย่ากรุ๊ปและเรื่องอื่น การตัดสินใจของผู้ชายคนหนึ่ง ถ้าผู้หญิงแทรกแซงมากเกินไป เกรงว่าจะส่งผลต่อการตัดสินใจและการดำเนินงาน ยิ่งไม่ต้องพุดถึงที่เฉวียนหมิงเป็นผู้กุมอำนาจบริหารของเฉวียนกรุ๊ป


 


 


เรื่องนี้แพร่ออกไปย่อมไม่ใช่เรื่องดี ทำให้ใจคนหวั่นไหวได้ เธอไม่ใช่ผู้หญิงที่คอยคล้อยตามใคร แต่ในบางระดับจะให้เฉวียนหมิงตัดสินใจเอง เป็นการให้เกียรติแก่ผู้ชายของตน


 


 


“อาเสวี่ยมีความคิดแบบนี้ ถ้าปู่มองเห็นก็คงดีหรอก” เฉวียนหมิงยิ้มอย่างขมขื่น เขาเองไม่รู้จริงๆ ว่าปู่ตนคิดอะไรกันแน่ ปู่ไม่ใช่คนที่ให้ความสำคัญของชาติตระกูลมากนัก ทำไมถึงไม่พอใจอาเสวี่ย


 


 


อีลั่วเสวี่ยหลุบตาลง มีรอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้าที่งดงาม “สักวันท่านก็คงเห็น” ที่จริงเธอไม่แคร์ว่านายท่านผู้เฒ่าจะเห็นหรือไม่ หลังจากนี้เธอจะใช้ชีวิตร่วมกับเฉวียนหมิง


 


 


สายตาและความเห็นของนายท่านผู้เฒ่าไม่สำคัญ ขอเพียงเฉวียนหมิงเสมอต้นเสมอปลายต่อเธอก็พอแล้ว นายท่านผู้เฒ่าไม่ชอบขี้หน้าเธอ ถ้างั้นเธอก็ไม่มาปรากฏตัวต่อหน้าเขา ก็แก้ปัญหาได้แล้ว


 


 


แกคงไม่คอยเฝ้าหลานชายตัวเองตลอดเวลาหรอก ไม่งั้นก็คงเป็นเรื่องแปลก


 


 


“หวังว่าจะเป็นอย่งนั้น อาเสวี่ย ผมจะไปส่งคุณ” เฉวียนหมิงพูดตจบก็จะพาอีลั่วเสวี่ยออกไป


 


 


“ไม่ต้องหรอกค่ะ เวลานี้นายท่านผู้เฒ่าสำคัญที่สุด คุณกลับไปอยู่เป็นเพื่อนท่าน อย่าทำให้เรื่องลุกลามเกินไป ไม่งั้นที่ฉันทนลำบากวันนี้ก็สูญเปล่า” อีลั่วเสวี่ยปฏิเสธข้อเสนอของเฉวียนหมิง


 


 


สุดท้ายเฉวียนหมิงพยักหน้าอย่างจนใจ “งั้นก็ได้ อาเสวี่ย ระหว่างทางระวังด้วย ทางนี้ผมจะพยายามเกลี้ยกล่อมปู่ พรุ่งนี้ผมค่อยไปหาคุณ”


 


 


“เฉวียนหมิง เรื่องนี้ไม่ต้องรีบร้อน จัดการทางคุณปู่ก่อน ระยะนี้เราอยู่ห่างกันบ้าง คุณดูแลเรื่องของบริษัทให้ดี คุณเข้าใจความหมายที่ฉันพูดไหม?”


 


 


ที่นายท่านผู้เฒ่าบันดาลโทสะ ไม่ใช่จะขจัดไปได้ในช่วงเวลาสั้นๆ สำหรับทั้งคู่แล้วอนาคตยังยาวไกล พยายามเลี่ยงไม่ทำให้นายท่านผู้เฒ่าโกรธ ถ้าไม่ใช่เพราะเขา เธอก็คงไม่ได้พบเฉวียนหมิง


 


 


แม้ว่าเธอเองจะโมโห แต่ทำได้เพียงใช้วิธีแบบนี้เพื่อให้คลายโมโห ไม่เช่นนั้นถ้าสองฝ่ายตั้งตัวเป็นศัตรูกัน จะทำให้เฉวียนหมิงต้องลำบากใจ จะทำทำไม


 


 


เฉวียนหมิงถอนหายใจหนักๆ “ผมรู้ งั้นอาเสวี่ย ช่วงนี้คุณต้องอดทนหน่อยนะ”


 


 


“ไม่เป็นไรหรอก เอาละ ไม่พูดแล้ว ฉันไปก่อนนะ คุณรีบกลับไปเถอะ” อีลั่วเสวี่ยเขย่งปลายเท้า จูบแก้มเฉวียนหมิงเบาๆ จากนั้นจึงเดินจากไปอย่างผ่อนคลาย ไม่ใส่ใจบรรดาบอดี้การ์ดที่ยืนรออยู่ที่ประตูเหล็ก


 


 


เฉวียนหมิงลูบจุดที่อีลั่วเสวี่ยจูบ แล้วยกมุมปากขึ้น มองตามหลังเธอไป แล้วจึงกลับเข้าไปข้างใน


 


 


ลูกบอลเงิน “เจ้านาย เจ้าช่างว่าง่ายจริงๆ ข้านึกโมโหแทน เกือบจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว อยากชกหน้าคน ทำไมตาแก่นี่ถึงได้ดื้นด้านนัก อยากจะดัดแปลงสมองตาแก่นั่นจริงๆ”


 


 


นี่มันอะไรกัน จิตนาการช่างบรรเจิดจริงนะ ไม่มีหลักฐานสักนิดก็พูดจาบ้าบอคอแตก น่าโมโหจริงๆ


 


 


 


 


ตอนที่ 373 เตรียมให้นายท่านโดยเฉพาะ


 


 


อีลั่วเสวี่ยยิ้มที่มุมปาก แล้วเดินช้าๆ ออกจากคฤหาสน์ของเฉวียนหมิง “จะไปถือสาคนแก่ทำไม ไม่มีประโยชน์หรอก” คนที่ครึ่งตัวอยู่ในดินแล้ว ไม่จำเป็นต้องไปผูกใจเจ็บหรอก


 


 


ก่อนนี้เธอเคยเผชิญกับเรื่องที่น่าแค้นใจยิ่งกว่านี้ เวลานี้เจอเข้ากับนายท่านผู้เฒ่าเป็นแบบนี้ เธอจึงเฉยมาก


 


 


“แต่ข้านึกโมโหแทน ตาแก่นั่นไม่ควรถือว่าตัวเองแก่แล้วคอยข่มเหงคน ไม่งั้นก็ไม่ต่างกับตาแก่สติเลอะเลือน เห็นชัดๆ ว่าไม่มีเรื่องอะไร แต่ก็ยังคอยหาเรื่อง เจ้าคิดดูสิ คนแก่ที่สมองมีปัญหาแบบนี้ ทำให้ผัวเมียต้องแยกจากกันเท่าไรแล้ว ยังไม่พอใจอีก”


 


 


“โอ้โห ดูไม่ออกจริงๆ ว่าเจ้าคอยเป็นห่วงเป็นใยเรื่องของบ้านเมืองขนาดนี้” อีลั่วเสวี่ยยิ้มร่า เจ้าลูกบอลเงินคงใม่รู้หรอกว่าบนโลกนี้มีคนแก่แบบนี้ไม่น้อย แต่บางคนใช่ว่าจะเป็นอย่างเฉวียนหมิงที่ยืนอยู่ข้างเธอ


 


 


บางคนถ้าไม่เชื่อฟังคนแก่ ก็อาจจะหลับหูหลับตาอยู่ข้างเมีย เป็นปฏิปักษ์กับคนแก่ ทำให้ความแค้นรุนแรงขึ้น


 


 


ลูกบอลเงินชักเขิน “คริคริ ข้าก็แค่ดูที่บางคนเขียนระบายความทุกข์ใจในเน็ต แต่ว่าก็ว่าเถอะ ผู้หญิงเหล่านั้นทุกข์ยากกว่าเจ้ามาก ความร้ายกาจของพ่อผัวแม่ผัวเหนือกว่าตาแก่นั่นมาก”


 


 


“ก็ใช่ แค่เรื่องขี้ปะติ๋ว ข้าต้องถือสาด้วยหรือ ไป ไปเดินเที่ยวกัน แล้วถือโอกาสไปดูที่บริษัทหน่อย” อีลั่วเสวี่ยสลัดความรู้สึกแย่ๆ ในใจออกไป แล้วเรียกรถแท็กซี่ผละไป


 


 


อีกด้านหนึ่ง เฉวียนหมิงเดินกลับเข้ามาในห้อง ใบหน้ามีรอยยิ้ม พอนายท่านผู้เฒ่าเห็นเข้า เดิมทีที่เฉวียนหมิงรู้สึกผ่อนคลายเพราะอีลั่วเสวี่ยก็รู้สึกโมโหทันที


 


 


“ว่าไง ไปส่งที่ประตูระยะทางไกลมากหรือ เด็กสาวคนนั้นใช้ยาอะไรมอมแก ถึงกับทำให้แกเปลี่ยนไปจนไม่ใช่ตัวเองมากขึ้นทุกที!” นายท่านผู้เฒ่าพูดจบก็ยิ่งโมโห


 


 


เปลี่ยนไปแล้ว หลานชายตนเองแทบจะเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ทำให้ผู้เฒ่ารู้สึกหวั่นใจและหงุดหงิด


 


 


เฉวียนหมิงขมวดคิ้ว แต่คิดถึงคำพูดอีลั่วเสวี่ย จึงนั่งลงตรงข้ามกับนายท่านผู้เฒ่า “ปู่ครับ ปู่พูดมาเถอะ อาเสวี่ยทำผิดอะไรกันแน่ ปู่ถึงกลับมาตั้งไกลเพื่อพูดเรื่องเหล่านี้”


 


 


“ไม่ใช่ความผิดเธอ เป็นความผิดปู่เอง ครึ่งปีก่อนฉันควรจัดการให้พวกแกหย่ากันแล้ว เป็นความผิดฉันเอง” เขาคิดว่าในเมื่อหลานใจตนพอใจก็รอดูก่อน รอจนหลานชายรู้ว่าผู้หญิงคนนี้ไม่ได้รักเขาหรือพบว่าตนเองไม่ได้รักเธอแล้วค่อยหย่าก็ได้


 


 


แต่ผลกลับเป็นเรื่องที่เขาคาดไม่ถึง สองคนนี้ที่เดิมเหมือนจะไม่ได้รักกัน พออยู่ด้วยกันระยะหนึ่งกลับมีความรักเพิ่มพูนขึ้นอย่างรวดเร็ว ความรู้สึกบอกเขาว่านี่น่าจะเป็นแผนร้าย


 


 


“ปู่ครับ ปู่ก่อความวุ่นวายพอหรือยัง นับจากที่อาเสวี่ยมาที่บ้านสกุลเฉวียน เธอสร้างความเดือดร้อนอะไรให้ปู่หรือ? ผมรู้ดีว่าก่อนนี้ปู่ดูถูกฐานะของเธอ คิดว่าเธอก็แค่ลูกบุญธรรมของเจ้าของบริษัทเล็กๆ ยังปิดตัวไปแล้ว แต่ปู่รู้ไหมว่าเธอ…”


 


 


“กึก กึก กึก!” เฉวียนหมิงยังไม่ทันพูดจบ นายท่านผู้เฒ่าก็ลุกพรวดขึ้น ใช้ไม้เท้ากระแทกพื้นแรงๆ หลายที ทำตาโต


 


 


“พอที ฉันไม่อยากฟังเรื่องของผู้หญิงคนนี้แล้ว รวมทั้งชื่อเธอด้วย!”


 


 


เฉวียนหมิงอ้าปากค้าง สุดท้ายก็เบือนหน้าหนี สีหน้าย่ำแย่มาก


 


 


เหล่าเกายืนอยู่ข้างๆ เห็นไฟสงครามไม่ได้ลุกลามก็ถอนหายใจเบาๆ


 


 


“แฮ่ แฮ่ นายน้อย นายท่านผู้เฒ่า มีเรื่องอะไรไว้รอหลังทานอาหารเที่ยงแล้วค่อยคุยกันก็ได้ครับ นี่เป็นน้ำแกงที่นายน้อยตุ๋นไว้ บอกว่าลองหัดทำ แล้วรู้สึกว่ารสชิติไม่เลว ทำเตรียมไว้ให้นานท่านครับ”


 


 


เหล่าเกาโกหกเพื่อทำให้นายท่านผู้เฒ่าพอใจ


 


 


“ตุ๋นให้ฉันกินรึ เจ้าหนูนี่ใจดีอย่างนั้นเชียวหรือ?” กลัวว่าจะทำให้แม่นั่นกินมากกว่า อย่าคิดว่าเขาไม่รู้นะ


 


 


เหล่าเการีบอธิบายทันที “ที่นายน้อยมีความกตัญญู นายท่านย่อมรู้ดี หรือว่านายท่านไม่อยากชิมของที่นายน้อยทำ?”


 


 


คำถามของเหล่าเกาทำให้นายท่านผู้เฒ่าอยากกินขึ้นมาทันที แกร้องหึ แล้วลุกขึ้นเดินไปที่ครัว


ตอนที่ 374 ทำไม ไม่พอใจหรือ


 


 


ไม่สนใจหรอกว่าทำให้เขากินหรือไม่ ต่อให้ทำสำหรับแม่คนนั้น แต่เธอก็ไม่ได้กิน ตกเป็นของแกทั้งหมด เวลานี้เฉวียนสือเหมือนกำลังแย่งชิงความรักกับอีลั่วเสวี่ย แปลกแท้ๆ


 


 


เฉวียนหมิงเห็นว่านายท่านผู้เฒ่าเลิกก่อความวุ่นวายแล้ว ก็สั่นหัวด้วยความจนใจ แล้วยกมือกุมหน้าผาก รู้สึกหนักใจแต่ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี


 


 


ไฟสงครามดับมอดลง เหล่าเกาเองก็พลอยดีใจไปด้วย แล้วไปปรุงอาหารที่เตรียมไว้แล้ว ไม่นานนักก็ทำอาหารเต็มโต๊ะเสร็จ ปรุงรสชาติในแบบที่นายท่านผู้เฒ่าและเฉวียนหมิงชอบ


 


 


พอได้กลิ่นอาหารหอมฟุ้ง คนเราจะอารมณ์ดีขึ้นมาก ได้ยินผลการค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์แสดงให้เห็นว่า ขณะที่มนุษย์กินอาหาร จะมีอะไรบางอย่างหลั่งออกมามากที่สุด ทำให้จิตใจเบิกบาน


 


 


นี่คือเหตุผลที่ว่าคนที่จิตใจเบิกบานดีจึงมักอ้วนง่าย เพราะเมื่ออารมณ์ดีก็จะกินมากขึ้นโดยไม่รู้ตัว ดังนั้นคนที่มีชีวิตด้วยการใช้ความเศร้าและความแค้นเป็นพลังในการกิน ที่จริงเปล่าประโยชน์


 


 


“นายท่าน น้ำแกงครับ” เหล่าเกาใช้ทัพพีตักน้ำแกงชามหนึ่งยื่นมาตรงหน้านายท่านผู้เฒ่าก่อน น้ำแกงข้นแต่ไม่เลี่ยน ส่งกลิ่นหอม พอเห็นก็ช่วยกระตุ้นความอยากอาหาร


 


 


เฉวียนสือเหลือบมองเฉวียนหมิง แล้วใช้ช้อนตักน้ำแกงขึ้นมา เป่าให้เย็นลงแล้วกิน พอน้ำแกงเข้าปากก็รู้สึกว่าเบื้องหน้าสายตาเจิดจ้าขึ้นทันที นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าหลานชายตนจะมีพรสวรรค์ในเรื่องการทำอาหาร


 


 


แต่พอเห็นสีหน้าหลานชายบูดบึ้ง นายท่านผู้เฒ่าก็เบ้ปาก วางช้อนกลับลงไปในชาม เกิดเสียงกระแทกดังกังวานใส


 


 


เหล่าเกาเห็นเช่นนั้นก็รีบยกน้ำแกงให้เฉวียนหมิง “นายน้อยกินน้ำแกง มีอะไรค่อยๆ คุยกัน กินข้าวสำคัญกว่าครับ” คนเราต้องกินข้าวจึงจะมีพละกำลัง ไม่ว่าจะเรื่องใหญ่แค่ไหน กินข้าวก่อนแล้วค่อยว่า


 


 


สุดท้ายเฉวียนหมิงนึกขึ้นได้ว่าตนเองเตรียมน้ำแกงไว้ให้อีลั่วเสวี่ย แล้วนึกถึงที่เธอกำชับไว้ว่าอย่าทำให้ปู่ไม่สบายใจ เขาจึงเริ่มกินอาหาร


 


 


ทั้งสามกินมื้อเที่ยงอย่างเงียบๆ จนเสร็จ อาหารมื้อนี้ช่วยทำให้บรรยากาศก่อนหน้านี้เจือจางลงไม่น้อย


 


 


“ผมอิ่มแล้ว เชิญปู่ตามสบายครับ ที่บริษัทยังมีเอกสารที่ต้องจัดการ ผมจะไปที่ห้องหนังสือก่อน เหล่าเกา ช่วยเก็บโต๊ะด้วย” เฉวียนหมิงพูดจบก็เดินไปที่บันได


 


 


อาเสวี่ยบอกให้เขาคุยกับปู่ดีๆ อย่าทำให้เรื่องบานปลาย เขาเองก็ไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น แต่เขาไม่รู้จริงๆ ว่าจะพูดเกลี้ยกล่อมปู่ของตนอย่างไร เขารู้ดีว่าปู่เป็นคนหัวรั้น


 


 


“เดี๋ยวก่อน!” นายท่านผู้เฒ่าเห็นเฉวียนหมิงจะผละไป คิ้วขมวดแน่นทันที แล้วร้องเรียกไว้


 


 


“ปู่ ยังมีเรื่องอะไรหรือครับ?” ยิ่งท่าทางมีมารยาทมากเท่าไหร่ก็ยิ่งแสดงว่าเฉวียนหมิงขณะนี้ยิ่งโกรธมากขึ้น


 


 


นายท่านผู้เฒ่านั่งบนโซฟาในห้องรับแขก “แน่นอนว่ามี เย็นวันนี้หลังจากหกโมงครึ่ง ไปร่วมงานเลี้ยงกับปู่”


 


 


เฉวียนหมิงตอบโดยไม่ต้องคิด “ไปไม่ได้ ผมไม่ว่างครับ!” เกิดเรื่องในวันนี้ ไม่ว่าจะงานเลี้ยงอะไร เขาไม่สนใจทั้งสิ้น


 


 


“ไม่ได้! แกต้องไปกับปู่! ปู่รับปากตาแก่ฟางแล้ว แกอยากให้ปู่เสียคำพูดหรือ?” นายท่านผู้เฒ่ากลอกตา แล้วโยนการตอบให้เฉวียนหมิงตัดสินใจ


 


 


เฉวียนหมิงชะงักเล็กน้อย ดวงตาฉายแววจนใจ “ทราบแล้วครับ”


 


 


“ว่าไง แกไม่พอใจหรือ?”


 


 


“ไม่ครับ” ไม่ใช่แค่ไม่พอใจ แต่ไม่พอใจมาก เขาไม่อยากคบหากับตระกูลฟาง หนานกรุ๊ปกับเฉวียนกรุ๊ปประจันหน้ากัน เป็นการต่อสู้อย่างเปิดเผย แต่ตระกูลฟางใช้วิธีที่ลึกล้ำกว่า


 


 


เผชิญหน้ากับเสือยังพอไหว แต่กับสุนัขป่าที่เจ้าเล่ห์ เขาไม่อยากคบหาด้วย ยิ่งกว่านั้นตระกูลฟางไม่ใช่เป็นเพียงสุนัขป่า เป็นเหมือนร่างรวมของสุนัขป่ากับสุนัขจิ้งจอก แต่ปู่ตนมองไม่ออก


 


 


ปู่มักคิดว่านายท่านผู้เฒ่าแห่งสกุลฟางเป็นเพื่อน ทำให้มองข้ามเรื่องเหล่านี้ไป


 


 


“ช่างเถอะ ปู่ไม่พูดอะไรกับแกแล้ว ยังไงคืนนี้แกไปกับปู่ก็จะรู้เอง” นายท่านผู้เฒ่าโบกมือ ปู่กับหลานไยต้องบาดหมางกันถึงขั้นนี้ สักวันเจ้าหนูนี่ก็จะรู้เองว่าเขาหวังดีเพียงไร


 


 


 


 


ตอนที่ 375 หัวหน้าท่าทางไม่สบายใจ


 


 


เฉวียนหมิงไม่ถือสาปู่ของตน ไปงานเลี้ยงก็ได้ ขืนขัดใจปู่อีก ปู่คงเอาความไม่พอใจทั้งหมดโยนให้เป็นความผิดของอาเสวี่ยอีก


 


 


เฉวียนหมิงไม่พูดอะไรที่จะทำให้ขัดแย้งกับปู่รุนแรงขึ้น เขาชะงักฝีก้าวเล็กน้อย ฟังจนจบแล้วกลับไปที่ห้องของตน


 


 


“หึ! นี่มันอะไรกัน” นายท่านผู้เฒ่าโมโหจนคิ้วขมวดแน่น อยากจะตบโต๊ะชาแล้วพบว่าโต๊ะตัวนี้เตี้ยไปหน่อย จึงเลิกล้มความคิด


 


 


เหล่าเกาจัดการข้าวของในครัวอย่างรวดเร็วแล้วเดินออกมา


 


 


“นายท่าน จะพักผ่อนหน่อยไหมครับ อีกหลายชั่วโมงกว่าจะหกโมงครึ่ง”


 


 


นายท่านผู้เฒ่าครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วพยักหน้า “พอถึงเวลาแล้วเรียกฉันด้วย จำไว้ อย่าให้เจ้าหนูแวบออกไป” ก่อนหน้านี้เขาเรียกเฉวียนหมิงให้ไปร่วมงานเลี้ยง มักจะถูกเขาหาข้ออ้างต่างๆ เพื่อปฏิเสธ


 


 


ถ้าไม่ได้ผลก็เผ่นหนีไปดื้อๆ แต่ตอนนี้เขาจะไม่ยอมให้หลานชายทำอย่างนั้นอีก ต้องให้เฉวียนหมิงไปงานเลี้ยงวันนี้ให้ได้


 


 


มุมปากเหล่าเกากระตุกเล็กน้อย “นายท่านวางใจเถอะ ในเมื่อนายน้อยรับปากแล้ว เมื่อพูดได้ก็ต้องทำได้ครับ” เฉวียนหมิงเป็นคนที่พูดคำไหนคำนั้น ยิ่งกว่านี้เป็นการรับปากกับปู่ตนเอง


 


 


บวกกับที่เกิดเรื่องในวันนี้ เขาไม่ปฏิเสธแน่ ไม่เช่นนั้นนายท่านผู้เฒ่าย่อมไม่หายโมโหง่ายๆ วันหลังจะอยู่อย่างไม่สงบสุข


 


 


อีกอย่างข้างนอกมีบอดี้การ์ดมากมายขนาดนั้น เห็นได้ชัดว่านายท่านตั้งใจไว้แล้ว เฉวียนหมิงไม่ตกลงก็ต้องตกลง ถ้าเขาอยากไปจากที่นี่ คงไม่ใช่เรื่องง่าย พูดได้ว่าต่อให้ติดปีกก็บินไปได้ยาก


 


 


“อืม” ดูเหมือนนายท่านผู้เฒ่าจะคิดอย่างรอบคอบแล้ว เขาวางไม้เท้าลง เดินมือไพล่หลังไปยังห้องของตน เหล่าเกาถอนหายใจ เก็นจานชามเงียบๆ แล้วทำความสะอาดห้อง


 


 


เฉวียนหมิงกลับมาที่ห้อง หยิบมือถือขึ้นอยากโทรหาอีลั่วเสวี่ยแต่กลับไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี เขาจ้องมองหมายเลขที่ตนเองคุ้นเคยดีจนท่องตัวเลขกลับหลังได้ แม้แต่ในฝันก็ไม่ลืม สุดท้ายเฉวียนหมิงไม่มีความกล้าที่จะโทรไป


 


 


บางทีอาจเป็นอย่างที่อีลั่วเสวี่ยบอก พวกเขาจำเป็นต้องสงบลงบ้าง หาวิธีรับมือกับนายท่านผู้เฒ่าให้ได้ ไม่เช่นนั้นต่อให้อารมณ์ดีเพียงไร พอเขาเข้ามาแทรกแซงก็ต้องผละจากกันอย่างไม่สบายใจ ที่พวกเขาเผชิญอยู่ไม่ใช่มือที่สาม แต่เป็นคนที่จัดการยากกว่ามือที่สาม


 


 


“อาเสวี่ย…” เฉวียนหมิงพึมพำชื่อเธอออกมา สุดท้ายจึงวางมือถือลง แล้วหยิบเอกสารขึ้นมาสะสาง ขอเพียงจัดการงานต่างๆ ของบริษัทให้ดี สามารถใช้ผลงานเป็นเครื่องพิสูจน์


 


 


การตัดสินใจของเขาถูกต้องแล้ว อีลั่วเสวี่ยจะพูดหรือไม่ไม่ส่งผลต่อบริษัท ต่อให้ไม่มีบริษัทที่มีชื่อเสียงมากอย่างไหลย่ากรุ๊ป เฉวียนกรุ๊ปก็สามารถรุ่งเรืองขึ้นได้ด้วยตัวเอง


 


 


แล้วเฉวียนหมิงก็เริ่มทุ่มเททำงานในสภาพเช่นนี้ อีกด้านหนึ่ง อีลั่วเสวี่ยคอยมองมือถือเป็นระยะๆ บอกไม่ถูกว่ามีความรู้สึกอย่างไร สุดท้ายจึงเก็บมือถือใส่กระเป๋าถือ แล้วมองไปข้างหน้า


 


 


“คุณครับ ถึงแล้ว” คนขับพูดเตือนอีลั่วเสวี่ยหลังจากมาถึงที่แล้ว


 


 


“อ้อ” อีลั่วเสวี่ยจ่ายค่าแท็กซี่แล้วเดินตรงไปยังบริษัท เธอกดปุ่มลิฟท์ พอประตูลิฟท์เปิดออกก็พบพนักงานที่เพิ่งกลับมาจากการกินมื้อเที่ยง


 


 


คนเหล่านี้แปลกใจเมื่อเห็นอีลั่วเสวี่ย “ท่านประธาน มาทำไมหรือคะ?” น่าแปลก เพราะปกติเถ้าแก่ของพวกตนจะมาวันสุดท้ายของสัปดาห์ บางครั้งก็ไม่มา แต่วันนี้เพิ่งวันเสาร์


 


 


อีลั่วเสวี่ยยิ้ม “ทำไมล่ะ ฉันมาไม่ได้หรือไง พวกคุณดูตื่นเต้น หรือตอนที่ฉันไม่อยู่พวกคุณแอบอู้งาน?” พูดจบเธอก็เดินเข้าไปในลิฟท์


 


 


บรรดาพนักงานพากันสั่นหัว “ไม่มีอะไรค่ะ พวกเราแค่รู้สึกแปลกใจ ที่ท่านประธานมาคอยชี้แนะงาน เป็นสิ่งที่เราทุกคนใฝ่ฝันค่ะ”


ตอนที่ 376 ฟางจื่อชิวกลับมาแล้ว


 


 


อย่าว่าไป แม้ว่าอีลั่วเสวี่ยจะไม่ค่อยดูแลบริษัทนัก แต่เธอกลับสามารถยึดกุมงานด้านต่างๆ ของบรัทรวมทั้งข่าวสารต่างๆ ได้ทันเวลา ทั้งยังเข้าใจการทำธุรกิจมากกว่าพวกเขา ถ้าเธอทุ่มเทเวลาส่วนใหญ่ให้กับบริษัท บริษัทของพวกเขาต้องใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ แน่นอน


 


 


แต่ไม่ต้องใจร้อน เถ้าแก่ของพวกเขายังไม่จบมหาวิทยาลัย วันหน้ายังมีความเป็นไปได้อย่างไม่สิ้นสุด


 


 


ลิฟท์มาถึงชั้นที่ตั้งของบริษัทพวกเขาอย่างรวดเร็ว ทุกคนแยกย้ายกันกลับไปยังตำแหน่งของตน ทำงานตามหน้าที่ แม้ว่าอีลั่วเสวี่ยจะเป็นคนที่พูดคุยได้ง่าย แต่เมื่อเถ้าแก่อยู่ ก็ต้องทำงานให้เต็มที่


 


 


บริษัทยังจะจำเป็นต้องมีบรรยากาศในการทำงาน


 


 


อีลั่วเสวี่ยกลับไม่ดูเรื่องเหล่านี้เลย เธอตรงไปที่ห้องทำงานตนเอง เปิดดูโทรศัพท์ แล้วทำงานไปเงียบๆ ถือว่าเป็นการทำงานล่วงหน้าเถอะ วันนี้ถ้าเธอไม่มา พรุ่งนี้ก็ยังคงต้องมาดูตามปกติ


 


 


ผ่านไปหนึ่งชั่วโมง อีลั่วเสวี่ยจึงเดินออกมาจากห้องทำงาน มองดูบรรดาพนักงาน “ทุกคนตั้งใจทำงานหน่อย ฉันจะกลับไปก่อน” พอเธอพูดเช่นนี้ ไป๋อิ๋นซึ่งเตรียมเอาเอกสารให้เธอดูจึงชะงักทันที “ท่านประธานเดินทางปลอดภัยค่ะ”


 


 


“ท่านประธานเดินทางปลอดภัยค่ะ”


 


 


รอจนอีลั่วเสวี่ยไปแล้ว หลายคนจึงออกันเข้ามาอย่างรวดเร็ว “หัวหน้าท่าทางไม่สบายใจ” เดิมทีทุกคนเรียกอีลั่วเสวี่ยว่าท่านประธาน แต่หลังจากที่หวังเทามาก็เริ่มเรียกเธอว่าหัวหน้าตามหวังเทา เพราะการเรียกแบบนี้ดูสนิทสนมดี ทุกคนชอบ


 


 


“ฉันรู้สึกว่าวันนี้หัวหน้าใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงจัดการงานของอาทิตย์นี้จนเรียบร้อย เหมือนฟันฉับด้วยง้าว ฟาดฟันด้วยกระบี่! ฝีมือร้ายกาจจริงๆ”


 


 


“อืม ไม่แน่นะ อาจเป็นเพราะพรุ่งนี้เถ้าแก่ติดธุระมาไม่ได้ จึงมาจัดการงานล่วงหน้าจนเสร็จ ทุกคนเลิกนินทาได้แล้ว” นับจากครั้งก่อนที่อีลั่วเสวี่ยให้อภัยเธอ ไป๋อิ๋นจึงกลายเป็นแฟนคลับของอีลั่วเสวี่ยอย่างเหนียวแน่น


 


 


หวังเทาเลิกคิ้วขึ้น “ก็เป็นไปได้ ต่อให้หัวหน้าอารมณ์ไม่ดี เราก็ตั้งใจทำงานเถอะ อย่าทำให้เธอหงุดหงิด” จากนั้นทุกคนก็กลับไปทำหน้าที่ของตัวเอง ตั้งใจทำงานในมืออย่างเต็มที่


 


 


พออีลั่วเสวี่ยออกมาจากบริษัทก็พบว่าบ่ายแล้ว รู้สึกหิว จึงหาอะไรกินง่ายๆ จากนั้นก็เดินเตร่อย่างไร้จุดหมาย


 


 


แม้ว่าภายนอกเธอจะไม่รู้สึกอะไรกับคำพูดแดกดันของเฉวียนสือก็ตาม แต่ในใจเธอยังรู้สึกน้อยใจอยู่บ้าง ต้องแสร้งทำเป็นใจกว้าง มองด้วยความเข้าใจ ที่จริงเป็นแค่การแสดงออกด้วยความเคยชินของเธอเท่านั้นเอง


 


 


หลังจากกินข้าวเสร็จ เธอจึงเริ่มเดินช้อปปิ้ง ซื้อข้าวของต่างๆ ที่เจ้าลูกบอลเงินเห็นว่าต้องซื้อเพิ่มเข้าไว้ในคลังสินค้า ดูเหมือนต้องยุ่งกับงาน เธอจึงจะอารมณ์ดีขึ้น


 


 


อีกด้านหนึ่งทางเฉวียนหมิง


 


 


“นายน้อย นายท่านบอกว่าใกล้เวลาแล้วครับ” เหล่าเกาเคาะประตูห้องเฉวียนหมิง เดินเข้ามาแล้วพูดอย่างนอบน้อม


 


 


เฉวียนหมิงมองดูเวลาแล้วขมวดคิ้ว “ยังไม่หกโมงเลย เช้าอยู่”


 


 


“เออ นายท่านผู้เฒ่าบอกว่าตอนนี้ควรเดินทางแล้ว ไปเร็วหน่อย ไม่งั้นช่วงเวลานี้กลัวว่ารถจะติด”


 


 


เฉวียนหมิงเม้มริมฝีปาก วางของในมือลงแล้วลุกขึ้น เหล่าเกาเห็นเช่นนั้นก็ไม่พูดอะไร แล้วเดินออกมา


 


 


เฉวียนหมิงนั่งในรถของนายท่านผู้เฒ่า มือข้างหนึ่งวางบนที่เท้าแขนริมหน้าต่าง กำหมัดยันไว้ที่มุมปาก แววตาดูเลื่อนลอย ภาพนอกหน้าต่างวาบผ่านสายตาเขาไปขณะที่รถแล่นไปข้างหน้า


 


 


“เราจะไปไหนครับ?” ดูท่าไม่เหมือนไปโรงแรมหรืองานเลี้ยง ปู่ตนจะทำอะไรกันแน่?


 


 


นายท่านผู้เฒ่ายิ้ม แล้วเหลือบมองเฉวียนหมิง “ปู่ยังคิดว่าแกจะไม่ถามแล้ว”


 


 


เฉวียนหมิงดึงสายตากลับมา หันมามองปู่ตนเองด้วยแววตาสงบนิ่ง นายท่านผู้เฒ่าชะงักเล็กน้อย กระแอมแล้วพูด “จื่อชิวกลับมาแล้ว ปู่เธอเชิญให้ไปเจอกันหน่อย”


 


 


 


 


ตอนที่ 377 ไม่เจอกันนานเลย


 


 


“อย่าลืมล่ะ หลานรับปากปู่แล้วว่าจะไป หรือหลานอยากให้ปู่โงหัวไม่ขึ้นต่อหน้าตาแก่ฟาง?” ก่อนที่เฉวียนหมิงจะร้องบอกให้รถหยุด สายตาของนายท่านผู้เฒ่าทำให้เฉวียนหมิงเลิกล้มความคิด


 


 


เขาไม่รู้ว่าทำไมหลานชายตนจึงไม่ชอบไปมาหาสู่กับคนสกุลฟาง ส่วนตัวเขาเองรู้สึกว่าสองฝ่ายมีฐานะทัดเทียมกัน รวมทั้งแม่หนูสกุลฟางก็รักเฉวียนหมิง


 


 


ที่สำคัญกว่าก็คือเด็กสาวคนนี้กลับมาจากต่างประเทศ ยังเรียนวิชาแพทย์ด้วย หลานชายตนต้องการคนที่รู้จักดูแลเขาคอยอยู่ข้างๆ จึงจะได้


 


 


แม้หมอหมิงจะเป็นหมอประจำตัวของเฉวียนหมิง แต่ไม่สามารถอยู่ข้างตัวเขาตลอดเวลา มีแต่โทรเรียยกเขาหรือมาตรวจตามระยะเวลากำหนด เขาจึงจะมา จึงต้องมีคนใช้ชีวิตร่วมกับเขา คอยเฝ้าดูการเปลี่ยนแปลงของเขา


 


 


สายตาเฉวียนหมิงเย็นชา น้ำเสียงเยือกเย็น “ปู่ครับ ผมเคารพปู่ แต่ปู่ก็ควรเคารพผมด้วย ที่ปู่ทำแบบนี้ หมายความว่าอย่างไรครับ?” ผู้หญิงคนนั้นจะกลับมาหรือไม่ เกี่ยวข้องอะไรกับเขา


 


 


ปู่อยากจะไปต้อนรับ ไปเองก็ได้ ทำไมต้องดึงเขาไปด้วย เขามีความสัมพันธ์กับเธอดีมากหรือ?


 


 


นายท่านผู้เฒ่าไม่อยากอธิบาย แกคิดว่าทั้งหมดที่ตนทำไปภายหลังเฉวียนหมิงย่อมจะเข้าใจเอง “แกรู้แค่ว่าปู่ไม่คิดทำร้ายแกก็พอแล้ว”


 


 


เฉวียนหมิงคำรามในใจ รู้สึกหดหู่สุดขีด เขาย่อมรู้ว่าปู่ไม่คิดทำร้ายเขาแน่นอน แต่ขืนเป็นอย่างนี้ต่อไป นั่นก็จะกลายเป็นทำลายเขาแล้ว “ปู่ครับ นี่เป็นครั้งสุดท้าย”


 


 


เฉวียนหมิงพูดจบก็ดึงสายตากลับ นายท่านผู้เฒ่าชำเลืองมองเขาอย่างรู้สึกผิด เห็นสีหน้าเฉวียนหมิงเย็นชาเฉยเมย ก็รีบดึงสายตากลับ แล้วไม่พูดอะไรอีก


 


 


เพราะเขารู้ดีว่าหลานชายตนกำลังโมโห ยังโมโหมากด้วย เวลาเช่นนี้ทำได้เพียงนิ่งเงียบ ทำเป็นว่าเห็นด้วยกับที่เขาพูด


 


 


รถจอดที่หน้าภัตตาคารหรูแห่งหนึ่ง เฉวียนหมิงชำเลืองมอง แล้วเดินตามปู่เข้าไปข้างในอย่างเงียบๆ


 


 


มาถึงหน้าห้องที่จองไว้แล้ว นายท่านผู้เฒ่ากดกริ่งหน้าห้องตามมารยาท ครู่หนึ่งก็มีคนมาเปิดประตู


 


 


“สวัสดีค่ะปู่เฉวียน” หญิงสาวที่เดินมาเปิดประตูยิ้มร่า ชุดราตรีสีขาวทำให้ร่างที่สวยงามของเธอดูโดดเด่นยิ่งขึ้น คอเสื้อด้านหน้าต่ำมาก จนทรวงอกแทบจะทะลักออกมา ดูเซ็กซี่มาก


 


 


ทั้งหมดนี้เฉวียนหมิงเหมือนมองไม่เห็น นิ่งเงียบไม่พูดอะไร


 


 


เธอคือฟางจื่อชิว รูปหน้าเรียว ดวงตาฉายประกายที่มั่นใจแต่อ่อนโยน บนร่างมีกลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อจางๆ เหมือนกลิ่นห้องยาในโรงพยาบาล แม้จะใช้น้ำหอมก็ยังรู้สึกถึงกลิ่นนั้นได้


 


 


เดิมทีนายท่านผู้เฒ่าอารมณ์ไม่ดี แต่พอเห็นเธอก็มีรอยยิ้มที่เปี่ยมด้วยความเมตตาผุดขึ้นบนใบหน้า “จื่อชิว สวยกว่าในรูปเสียอีก เฉวียนหมิง มาทักทายหน่อยสิ”


 


 


“ไม่ใช่คนแปลกหน้าสักหน่อย คงไม่จำเป็นหรอกครับ” น้ำเสียงเฉวียนหมิงเรียบเฉย มองผ่านร่างฟางจื่อชิวด้วยสายตาเฉยเมย


 


 


แต่คำพูดเขาฟางจื่อชิวฟังแล้วกลับมีความรู้สึกอีกแบบ นั่นคือเฉวียนหมิงไม่ได้ถือว่าเธอเป็นคนแปลกหน้า


 


 


นายท่านผู้เฒ่าขมวดคิ้ว ฟางจื่อชิวเปิดทางให้ “เฉวียนหมิงพูดถูกค่ะ เราเล่นด้วยกันมาตั้งแต่เล็ก ยังเป็นเพื่อนนักเรียนกันด้วย ที่จริงไม่ต้องเกรงใจหรอก ปู่เฉวียน เชิญเข้ามาข้างในค่ะ ปู่หนูรออยู่ก่อนแล้ว”


 


 


ไม่ต้องเสแสร้งแสดงละครหรอก เฉวียนหมิงนึกในใจ เข้าไปในห้องด้วยความไม่เต็มใจ แต่ฟางจื่อชิวกลับไม่ได้สังเกตแม้แต่น้อย


 


 


เป็นเพราะใบหน้าเฉวียนหมิงดูเย็นชาตลอดมา ดูไม่ออกว่ากำลังพอใจหรือโมโห


 


 


ฟางจื่อชิวปิดประตู แล้วเดินอยู่ข้างๆ เฉวียนหมิง เดินไปพร้อมเขา “เฉวียนหมิง ไม่เจอกันนานเลย” พูดจบก็ยื่นมือออกมา


 


 


เฉวียนหมิงหรี่ตาลง ยื่นมือออกไป สัมผัสกลางฝ่ามือเธอเบาๆ ไม่รอให้เธอกุมมือก็ชักมือกลับ “ไม่เจอกันนานทีเดียว”

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม