ระบบสัตว์เลี้ยงที่แข็งแกร่ง 37-50

 SB:ตอนที่ 37 พ่ายแพ้อย่างไม่เป็นท่า


ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทั้งหมดนี้พุ่งเป้ามาที่เขา นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่เจ้าคนนี้อยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมดนี้ หลังจากที่เห็นนายน้อยอู๋ ลู่หยางก็พอจะลำดับเหตุการณ์ได้ สำหรับฮานปิน มันก็แค่สุนัขรับใช้ตัวหนึ่งแค่นั้น


ด้านหลังนายน้อยอู๋ ชายวัยกลางคนสองคนกำลังเฝ้ามองอยู่ พวกเขาเป็นผู้เก่งกล้าที่นายน้อยอู๋พามาด้วย แต่ละคนเป็นผู้คุมอสูรชั้นกลาง


เมื่อเห็นว่าลู่หยางไม่มีหนทางหลบหนี เขาหัวเราะขึ้นมาทันที “เด็กน้อย ข้าคิดว่าเจ้าคงไม่รู้ว่าข้ารับผิดชอบตำแหน่งผู้ตรวจการในเมืองเซียงหยาง หน้าที่หลักของข้าคือรักษาความเป็นระเบียบเรียบร้อยในเมือง ใครกล้าก่อเรื่องภายใต้การควบคุมของข้า ข้าจะจับมันไปขังไว้ ช่างโชคร้ายนัก บริเวณถนนนี้อยู่ภายใต้การควบคุมของข้า”


นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ลู่หยางได้ยินเรื่องการตรวจสอบ ตังปินก็เป็นหนึ่งในผู้ตรวจการ


“ท่านพี่ตังปินก็เป็นผู้ตรวจการคนนึง เขาทำให้ซางฉงกลัวจนฉี่ราดเลยถ้าคนผู้นี้เป็นผู้ตรวจสอบ สถานะของเขาอาจไม่ต่ำเช่นกัน”


อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้คิดว่าเขาควรจะยอมหรือไม่ ในทางกลับกัน เขาคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าเขาเอาชนะนายน้อยอู๋


เขาย่อมต้องสู้อยู่แล้วถ้าเป็นยามเมืองแค่ไม่กี่คน ไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่สำหรับหน้าที่ของผู้ตรวจการแล้ว คนผู้นี้ไม่ธรรมดาเลย ถ้าเขาเอาชนะผู้ตรวจการท่านนี้ ผลที่ตามมาน่าจะรุนแรงทีเดียว


ลู่หยางทำเสียงฮึดฮัด “นายน้อยอู๋ ถ้าท่านอยากแก้แค้นจริงๆ ก็ออกมาสิ ท่านรู้จักแต่ทำตัวน่าอุบาทว์ ข้าละรังเกียจคนอย่างท่านที่สุด!”


“ดี!” “ ถ้าเจ้าต้องการสู้กันซึ่งซึ่งหน้า ข้าจะให้โอกาสเจ้า!” เขายกมือขึ้นโบก คนที่อยู่ข้างหลังเขาก็ถอยหลังไปเหลือที่ว่างให้ทั้งสองได้สู้กัน


อู๋เย่ยิ้มหยียด “เรียกสัตว์เลี้ยงของเจ้าออกมาสิ ดูซิว่าอสูรชนิดไหนที่บ้านนอกอย่างเจ้าเอามาเป็นสัตว์เลี้ยงสงคราม” “ ถ้าเอาชนะข้าได้ในยกแรก ข้าจะถือว่าเลยตามเลย แต่ถ้าเจ้าแพ้ เจ้าต้องเข้าเรือนจำไป!”


อู๋เย่พูดอย่างน่ากลัวว่า “ข้าไม่ขังเจ้าไว้นานหรอก อย่างมากก็สองถึงสามเดือน”


สองถึงสามเดือนนั่นไม่นาน เฮอะ ลู่หยางหน้าเข้มขึ้นทันที


ขุนนางหนุ่มเหล่านี้ค่อนข้างใจแคบ พวกมันแต่ละคนล้วนชั่วร้ายและไร้ความปรานี


“ดี!” “ งั้นลงมือ!”


ลู่หยางถอยเท้าซ้ายแล้วค่อยๆย่อตัวลง เหมือนพร้อมแล้ว แต่เขายังไม่เรียกสัตว์เลี้ยงสงครามออกมา


“เจ้าจะเอาชนะข้าด้วยมือเปล่างั้นรึ?”  “อยากจะสู้กับข้าเหมือนกับที่สู้กับไอ้โง่ซางฉงรึ?”  “เจ้าช่างไร้เดียงสานัก” อู๋เย่หัวเราะเสียงดัง เขาโบกมือหนึ่งครั้ง ร่างของหมาป่าดุร้าย ตัวสูงใหญ่ก็มาปรากฏข้างหลังเขา


อู๋เย่ไม่ประมาท เขาเรียกราชาหมาป่าจันทราเงินออกมา มันกระโดดมาเผชิญหน้ากับเขาพร้อมกับส่งเสียงคำรามอย่างต่อเนื่องไปที่ลู่หยาง


ครั้งล่าสุดที่ลู่หยางเห็นเจ้าหมาป่าตัวนี้ ตัวมันไม่ใหญ่เท่านี้ รังสีของมันก็ไม่แรงเท่านี้ ยิ่งไปกว่านั้นลู่หยางเห็นทองคำสุกใสอยู่บนหัวของมัน นี่เป็นสิ่งยืนยันถึงพละกำลังของมัน


แสงสีทองที่ส่องออกมานั้นยิ่งเข้มเท่าไหร่ กำลังก็ยิ่งแข็งแรงเท่านั้น ถึงตอนนั้นมันจะไม่เป็นราชาหมาป่าจันทราเงินอีกต่อไป มันจะเป็นราชาหมาป่าจันทราทอง ราชาหหมาป่าจันทราเงินเป็นอสูรสายเลือดชั้นยอด แต่ราชาหมาป่าจันทราทองนั้นแข็งแกร่งกว่าสิบเท่า มันเป็นอสูรสายเลือดชั้นจักรพรรดิที่แท้จริง


ลู่หยางนึกสงสัยว่า แม้อู๋เย่ไม่ได้ผลสีชาดไปเมื่อคราวที่แล้ว แต่ในช่วงเวลานี้ อู๋เย่ได้บังเอิญพบปะคนอื่นๆ หมาป่าจันทราเงินของเขาน่าจะถูกยกระดับขึ้นแล้วมาเป็นสัตว์เลี้ยงสงครามระดับกลาง


ถ้าเป็นเช่นนั้น ข้าเกรงว่าลำพังกำลังของข้าจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมัน ลู่หยางคิดในใจ


พละกำลังของเขาในตอนนี้เพียงพอที่จะเอาชนะอสูรสายเลือดชั้นยอดระดับเริ่มต้นตัวไหนๆก็ได้ แต่ไม่ใช่อสูรชั้นยอดระดับกลาง ดังนั้นเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหมาป่าตัวนี้


ขณะที่ลู่หยางกำลังคิด ราชาหมาป่าจันทราเงินยิ่งแผดเสียงคำรามอย่างบ้าคลั่ง อู๋เย่ตะโกนเสียงดัง “เจ้าเงินน้อย! ฉีกเจ้านี่ให้เป็นชิ้นๆ!”


ราชาหมาป่าจันทราเงินกลายร่างเป็นสายฟ้าสีเงินพุ่งไปที่ลู่หยาง เกิดลมกรรโชกแรงรอบๆตัวเขาล้อมเขาไว้ข้างในขณะเดียวกันก็มีแรงดึงมาจากทุกทิศทาง ทันทีนั้นเขารู้สึกว่าการเคลื่อนไหวของเขานั้นถูกจำกัดและเขาก็เพิ่มความเร็วไม่ได้


“เวรเอ้ย นี่เป็นความสามารถเทวะเฉพาะตัวของราชาหมาป่าจันทราเงิน ซึ่งก็คือพายุจันทราเงิน”


“ ถ้าได้ตายภายใต้พลังที่แข็งแรงที่สุดของราชาหมาป่าจันทราเงิน เจ้าจะตายอย่างสงบสุข” อู๋เย่พูดเย็นชา


อู๋เย่ไม่เคยคิดจะปล่อยลู่หยางไปตั้งแต่แรกแล้ว เขาวางแผนจะฆ่าลู่หยาง และแม้ลู่หยางไม่ตาย เขาก็คงไม่รอดจากการโจมตีเช่นนี้


แต่ทว่าอู๋เย่ไม่เคยคิดว่าลู่หยางไม่ได้เป็นอย่างที่เขาเห็น ถึงแม้ลู่หยางไม่ได้เรียกสัตว์เลี้ยงสงครามของเขาออกมา แต่กำลังของเขาไม่ได้อ่อนแอเลย แม้เขาจะเอาชนะราชาหมาป่าจันทราเงินระดับกลางไม่ได้ แต่จะเอาชนะเขาก็ไม่ง่ายเหมือนกัน


“ความสามารถเทวะเฉพาะตัวงั้นรึ?” ลู่หยางยิ้มอย่างลึกลับ ไม่มีวี่แววว่าจะกลัว “ช่างบังเอิญจริงๆ เจ้าไม่ได้มีวิชาเฉพาะตัวฝ่ายเดียว ข้าก็มี!”


อู๋เย่จ้องมองลู่หยางอยู่ จุดแสงสีดำปรากฏขึ้นบนหน้าผากของลู่หยาง จุดแสงนั้นขยายใหญ๋ขึ้นทีละน้อยๆและท้ายที่สุดเป็นกระแสน้ำวนลึกสีดำ แยกออกมาจากหน้าผากของลู่หยาง


ลู่หยางคำรามขึ้น “งั้นมาดูกัน พายุจันทราเงินของเจ้า กับการกลืนกินมืดมิดของข้า อันไหนจะแข็งแกร่งกว่ากัน!”


ทั้งอู๋เย่ กับราชาหมาป่าจันทราเงินต่างก็ตั้งรับไม่ทัน พายุหมุนเงินถูกกระแสน้ำวนดำเขมือบไปทันที


แรงดึงดูดที่แข็งแรงยังคงดึงร่างของราขาหมาป่าจันทราเงินไว้ทำให้มันตื่นกลัวสุดขีด มันดิ้นแล้วดิ้นอีกเพื่อให้เป็นอิสระจากการถูกดูดเข้าไปในกลืนกินมืดมิด


ขณะที่ลู่หยางควบคุมการกลืนกินมืดมิดอยู่ เขารอฉกฉวยเวลาที่เหมาะเจาะอยู่ด้วย เมื่อกระแสน้ำวนดำขึ้นมาถึงจุดสูงสุด ร่างของราชาหมาป่าจันทราเงินก็ขึ้นมาถึงขอบกระแสน้ำวนดำด้วย ณ เวลานี้ ลู่หยางยกเลิกการควบคุมทักษะการกลืนกินมืดมิดของเขาทันที เขากระโดดไปยืนที่ห่างออกไปสิบเมตร ทันทีที่การกลืนกินมืดมิดหลุดออกจากการควบคุม มันก็ไม่สามารถควบคุมพลังที่บ้าคลั่งของพายุจันทราเงินได้ เหมือนกับลูกโป่งสีดำกำลังจะแตกและจังหวะที่การกลืนกินมืดมิดสลายไป พลังที่น่ากลัวก็จะระเบิดขึ้นมาจากหลุมลึกของน้ำวน


นอกเหนือจากพลังงานมืดดำของการกลืนกินมืดมิดแล้ว ยังมีพลังของพายุจันทราเงินเองด้วย หลังจากที่ถูกกลืนกินโดยพลังงานมืดดำและยังไม่มีเวลาย่อยสลาย หลังจากสูญเสียการควบคุมมันจะระเบิดราวกับลูกระเบิด


ลู่หยางล่วงรู้ถึงผลลัพธ์นี้ดี ราชาหมาป่าจันทราเงินเป็นอสูรชั้นกลาง แม้ว่าความสามารถเฉพาะตัวของต้าเฮ่ยนั้นแข็งแกร่ง มันใช้ได้กับอสูรที่ระดับเดียวกันเท่านั้น อีกทั้งการกลืนกินมืดมิดไม่ได้มีกระเพาะใหญ่เช่นที่จะกลืนกินทั้งพายุจันทราเงินกับราชาหมาป่าจันทราเงินไว้ได้


โชคดีที่ลู่หยางล่วงรู้ถึงเหตุการณ์นี้ก่อน เขาจึงกระโดดออกมาก่อนที่มันจะระเบิด แต่ราชาหมาป่าจันทราเงินของอู๋เย่ไม่โชคดีเช่นเขา มันถูกแรงดูดจากการกลืนกินมืดมิดควบคุมไว้จนถึงขอบกระแสน้ำวน เมื่อพลังงานนั้นระเบิดราชาหมาป่าจันทราเงินก็เป็นลำดับแรกที่ถูกแรงระเบิด เจ้าอสูรที่น่าสงสาร


บาดแผลใหญ่บ้างเล็กบ้างที่เกิดจากพลังลมของพายุจันทราเงินปกคลุมเต็มทั่วร่างของมัน เลือดสดๆไหลย้อมขนสีเงินเป็นสีแดง มันนอนแน่นิ่งอยู่กับลมหายใจเฮือกสุดท้ายของมัน


อู๋เย่มองภาพตรงหน้าอย่างไม่เชื่อ การสู้รบจบในพริบตา ผลลัพธ์ช่างน่าสลดใจนัก อสูรชั้นยอดระดับกลางพ่ายแพ้ในสภาพที่ไม่มีโอกาสได้ขัดขืน


ยิ่งไปกว่านั้น มันเป็นสัตว์เลี้ยงสงครามที่อู๋เย่รักมากที่สุด เมื่อเห็นสภาพที่กำลังจะตายของเสี่ยวหยิน คลื่นความโกรธแค้นก็ประดังเข้ามาจุกอกอู๋เย่!


“ไอ้นี่! ข้าจะฆ่ามัน!” อู๋เย่ตะโกนอย่างเสียสติ เขากำหมัดแน่นขณะพุ่งเข้าหาลู่หยาง


หลังการสู้รบจบ ลุ่หยางบิดขึ้เกียจแล้วค่อยๆยกมือขวาขึ้น มุ่งไปที่อู๋เย่ ลูกบอลเพลิงแผดเผากลั่นตัวอยู่กลางฝ่ามือของเขา ก่อนที่อู๋เย่จะพุ่งเข้าหาเขา เขามุ่งเป้าไปที่หน้าอกอู๋เย่ก่อนแล้ว


ราวกับภูเขาไฟที่พร้อมจะปะทุขึ้นทุกเวลา หากอู๋เย่ก้าวเข้าหาเขาหนึ่งก้าว ก่อนที่กำปั้นจะชกเข้าที่ลู่หยาง หน้าอกของอู๋เย่คงถูกทะลุทะลวงด้วยลูกบอลเพลิงแผดเผานี้


อู๋เย่เคยเห็นการเคลื่อนไหวของลู่หยางมาก่อน พลังของเขาน่ากลัวยิ่งกว่าลูกปืนใหญ่


อู๋เย่กลืนน้ำลายด้วยความกลัว เขาไม่กล้านึกภาพที่จะเกิดขึ้นถ้าเขาถูกซัดด้วยลูกบอลเพลิง เขาได้แต่ยืนงุนงงอยู่ตรงนั้น จ้องลู่หยางด้วยดวงตาอันแดงก่ำแต่ไม่กล้าทำอะไร


“เจ้า… เจ้ากำลังพยายามจะทำอะไร?” อู๋เย่พูดตัวสั่น


ลู่หยางไม่แม้แต่จะมองอู๋เย่ เขาถามช้าๆว่า “ข้าจำได้ว่า ท่านบอกว่า เราจะสู้กันหนึ่งยก ถ้าข้าชนะ ข้าไปได้ ตอนนี้ท่านแพ้แล้ว ท่านจะทำอะไร?”


พอพูดจบ ลูกบอลเพลิงในมือของเขาก็ขยายเป็นสองเท่า เกือบๆจะชนใบหน้าอู๋เย่แล้ว ทำให้เขากลัวขนาดที่ต้องคุกเข่าลงตรงหน้าลู่หยางแล้วร้องขอ “ผู้ต่ำต้อยนี้มีตาแต่หามีแววไม่ ยกโทษให้ข้าครั้งนี้ด้วย!”


เมื่อเห็นอู๋เย่คุกเข่าต่อหน้าเขาราวกับสุนัขตัวหนึ่ง ลู่หยางยิ้มที่มุมปาก เขาโบกมือแล้วลูกบอลเพลิงในมือเขาก็กลายเป็นควันแล้วสลายไปต่อหน้าอู๋เย่


“ในเมื่อท่านร้องขอความปรานี ข้าก็จะปล่อยเจ้าไป”  “จำเอาไว้ จากวันนี้เป็นต้นไป อย่าให้ข้าเห็นเจ้าอยู่ในเซียงหยางอีก ข้าเกรงว่าวันนึงถ้าข้าอารมณ์ไม่ดี แล้วเผลอทำลูกบอลเพลิงตกใส่ท่านแล้วมันจะไม่ดี”


อู๋เย่ยังคงคุกเข่าอยู่ที่พื้น แต่ลู่หยางไม่ได้สนใจ เขาเดินไปตามถนนที่ว่างเปล่าปล่อยให้ผู้คนที่เหลือข้างหลังเขามองหน้ากันและกัน ไม่กล้าแม้แต่จะส่งเสียง


ครู่ใหญ่ๆ ฮานปินเอื้อมมือมาเช่นเหงื่อเย็นๆที่หน้าผากของเขาแล้วพูดว่า “คนคนนี้เป็นมนุษย์รึเปล่า? เขาเอาชนะราชาหมาป่าจันทราเงินด้วยมือเปล่า นี่เป็นราชาหมาป่าจันทราเงินเชียวนะ!”


“หัวหน้า แม้แต่นายน้อยอู๋ยังพ่ายแพ้แก่เด็กนั่น ข้าว่าเราควรลืมเรื่องความขุ่นแค้นของเราซะเถอะ มันไม่มีหวังแล้ว”


ฮานปินตบศรีษะลูกน้องแล้วพูดอย่างโกรธๆ “ไอ้โง่ ในภายหน้า เมื่อไรก็ตามที่เจ้านั่นโผล่มา ก็แค่ล้อมมันไว้ ได้ยินมั้ย ?”


SB:ตอนที่ 38 เข้าร่วมตำหนักเมฆาสีม่วง


ฮานปินโกรธน้องชาย แต่เขาลืมไปว่าเจ้านายของเขายังคุกเข่าอยู่ที่พื้น ภายใต้ความกลัวสุดขีด อู๋เย่เข่าอ่อน เขาไม่มีพลังเหลือในตัวแล้ว แม้จะไม่มีลูกบอลเพลิงมุ่งเป้าไปที่เขา แต่เขาก็ลุกไม่ขึ้น สองสามคนข้างหลังเขากำลังจะคุยกัน เขาตะคอกขึ้นทันทีว่า “ไอ้พวกเศษขยะ! เร็วๆเข้า มาช่วยข้าลุกขึ้น มัวไปยืนอยู่ตรงนั้นทำอะไร!”


ฮานปินรีบวิ่งมาตรงหน้าอู๋เย่ จับแขนเขาแล้วดึงเขาลุกขึ้น พร้อมๆกับบ่นว่านายน้อยอู๋ “ท่านลุกขึ้นเองไม่ได้เหรอ? ต้องให้ข้าช่วยดึงท่านขึ้นมา…” เสียงที่บ่นเบาลงๆเมื่อรับรู้ได้ว่าอู๋เย่กำลังจ้องเขา


อู๋เย่ตบฮานปิน พูดอย่างโกรธๆ “ไอ้ระยำ! ดูเหมือนเจ้าจะไม่ชอบสินะ! ถ้าข้าลุกเองได้ ข้าก็ไม่จำเป็นต้องให้เจ้าช่วย ความรู้สึกของข้าเกือบจ…….”


แน่นอนว่าลู่หยางไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากที่เขากลับไปที่บ้านของเขา เขาแค่ได้ระบายความโกรธที่สะสมมาหลายวันนี้ลงไปกับนายน้อยหนุ่มสองคนนั้น


ขณะที่ผ่านเข้าประตูไป ความรู้สึกเย็นยะเยือกไต่อยู่บนหลังลู่หยางอีกครั้ง เขาสั่นไปทั้งตัว “นี่มันอะไรกัน?” ลู่หยางคิด รู้สึกหดหู่ยิ่งขึ้น


ถึงแม้จะเคยรู้สึกเช่นนี้มาก่อน แต่ก็ไม่ได้รุนแรงเช่นนี้ เขาเป็นผู้คุมอสูรชั้นกลางแล้ว ลักษณะทางกายภาพของเขาก็แข็งแกร่ง เขาควรจะมีภูมิต้านทานต่อเชื้อโรคทุกชนิด อะไรทำให้เขาหนาวเย็นได้เช่นนี้ มันแปลกมาก


ยิ่งไปกว่านั้น ถ้ามีอะไรผิดพลาด ระบบควรจะบอกเขาล่วงหน้า ลู่หยางรู้สึกพิศวงมาก


“ไม่ว่าจะอะไร วันนี้ข้าต้องรู้คำตอบให้ได้!”


เมื่อตอนที่เขาซื้อบ้านหลังนี้ เขาได้ยินจากคนขายเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ บ้านดีอย่างนี้ ราคาก็ไม่แพง ทำไมไม่มีใครซื้อ ปล่อยทิ้งไว้ในเรือนรับจำนองทองคำมาตั้งหลายปี


ตอนนั้น เขาไม่ได้ใส่ใจมาก แต่ตั้งแต่ที่ได้เข้ามาอยู่ ลู่หยางรู้สึกหนาวเย็นอยู่บ่อยๆและความสงสัยในใจก็ทวีคูณขึ้น


ลู่หยางเริ่มย้อนระลึกถึงเหตุการณ์ตอนที่เกิดความรู้สึกเช่นนี้ขึ้น เกือบจะทุกครั้งที่เขารู้สึกหนาวเย็น มันเป็นวินาทีที่เขาก้าวผ่านประตูบ้านเข้ามา


“ถ้าจะมีอะไรแปลกๆในลานบ้านนี้ มันต้องเกี่ยวกับประตูแน่!” ลู่หยางพูดอย่างมั่นใจ


ตาของเขาตรวจดูที่ประตูบานใหญ่อย่างระมัดระวัง แต่หลังจากที่ดูทั่วๆแล้ว เขาก็ยืนยันกับตัวเองว่า มันเป็นประตูบานใหญ่ธรรมดาๆ แต่อายุอาจจะมากหน่อย และจากบนสุดของประตู มันให้ความรู้สึกที่เรียบง่าย เขาไม่รู้ว่าประตูนั่นทำจากอะไร แต่เขาได้กลิ่นจางๆออกมาจากประตู


กลิ่นนั่นก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่หลังจากที่เขาทดลองซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในที่สุดเขายืนยันว่าความรู้สึกแปลกที่เขามีไม่ได้เกี่ยวอะไรกับกลิ่นที่ประตู


ลู่หยางค้นหาต่อจนดึกดื่นก็ยังหาสาเหตุไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นความรู้สึกแปลกๆไม่เกิดขึ้นอีกเลย ดังนั้นเขาล้มเลิกความตั้งใจที่จะหาต่อแล้วไปนอน พอตื่นอีกทีก็รุ่งเช้าแล้ว


หนึ่งคืนผ่านไปโดยไม่ได้คำตอบใดใด เขาเดาว่า “ดูเหมือนว่าถ้าข้าอยากไขความลี้ลับนี้ ข้าต้องไปที่เรือนรับจำนองทองคำ”


จากคำพูดและการกระทำของคนขาย ลู่หยางบอกได้เลยว่าคนขายต้องรู้อะไรแปลกๆในบ้านนี้ เขาอาจได้รู้ความลับบางอย่างจากปากของคนขาย ยิ่งไปกว่านั้น ลู่หยางยังมีสํญญาจำนองก้อนใหญ่อยู่กับเขา และถึงเวลาที่จะต้องชำระเงินให้เขา


บ้านเล็กหลังนี้มีราคาห้าหมื่นตำลึงเงิน และมีค่าเท่ากับศิลาผลึกชั้นต้นห้าพันอัน นอกจากเงินดาวน์ ลู่หยางยังเป็นหนี้4,250 ศิลาผลึกชั้นต้น ถ้าเป็นเมื่อก่อน เขาสามารถเอาทั้งหมดออกมาได้ในชั่วพริบตา  แต่หลังจากที่ซื้อตำราวิชาฝึกอสูรขั้นกลาง และยกระดับสัตว์เลี้ยงสอง สามตัวแล้ว เขาตัดสินใจที่จะชะลอไว้ก่อน


“เฮ้อ ไม่มีเงินแล้วจริงๆ”


ทางเดียวที่เขาจะหาเงินได้ก็โดยการเป็นผู้จารึก ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว ลู่หยางไปที่ตำหนักเมฆาสีม่วงอีกครั้ง ครั้งที่แล้วเขาไปเพราะลานหมื่นอสูร ครั้งนี้เพราะสัญญาจำนอง


เจ้าของร้านหนุ่มเห็นลู่หยางมาที่ตำหนักเมฆาสีม่วงสองสามวันครั้ง สองสามวันครั้งแต่ปฏิเสธที่จะเข้าร่วมเป็นสมาชิกกับตำหนักเมฆาสีม่วงดังนั้นเมื่อเขาเห็นลู่หยางมา เขาไม่ได้แสดงความกระตือรือร้นเช่นดังเมื่อก่อน


“น้องชาย ทำไมกลับมาหาคนแก่นี้แร็วนักล่ะ?”


ลู่หยางหัวเราะ บอกว่า “การมาที่ ข้ามาหาท่าน ณ ตำหนักเมฆาม่วง ข้าต้องมีบางอย่างอยากให้ท่านช่วย ถ้าไม่อย่างนั้น ข้าไม่มีเวลามาที่นี่เพื่อดื่มน้ำชาหรอกนะ”


เจ้าของร้านกลอกตาขึ้นมองลู่หยางแล้วบอกว่า “น้องชาย ยังไม่มีข่าวเกี่ยวกับเรื่องที่ท่านฝากข้าครั้งที่แล้วเลย ถ้ามีข่าวอะไร ข้าจะให้คนไปแจ้งแก่ท่านแน่นอน”


“ทำไมท่านไม่ถามว่าข้ามาทำไมครั้งนี้?”


เจ้าของร้านขยับใกล้เข้าไปหาลู่หยาง แล้วพูดว่า “ถ้าท่านต้องการให้ข้าช่วย ท่านจะบอกข้า ใยข้าต้องถาม?”


“ฮ่าฮ่า” ลู่หยางหัวเราะแล้วพูดต่อ “จริงๆแล้ว ที่ข้ามาหาท่านคราวนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ก็แค่  ข้ากำลังร้อนเงิน ข้าต้องการผลึกแลกบุปผา”


ทั้งสองคนนี้ถือว่าคุ้นเคยกันดี ไม่จำเป็นต้องสุภาพมาก “อั้ยหยา เจ้าจะเอาของป่ามาแลกเปลี่ยนกับข้างั้นรึ?”


เจ้าของร้านก็เป็นจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์เหมือนกัน เขาขัดจังหวะความคิดของลู่หยางขึ้นทันที เขากล่าวว่า “น้องชาย ข้าไม่ได้เคยบอกท่านแล้วเหรอว่าของป่าน่ะไม่ได้มีค่าเช่นเมื่อก่อน ถ้าท่านร้อนเงินจริงๆ ท่านก็แค่เข้าร่วมตำหนักเมฆาสีม่วงของเรา ถึงตอนนั้น ท่านจะกลายเป็นคนรวย และไม่ต้องกังวลเรื่องผลึกเล็กน้อยเช่นนี้”


ลู่หยางมองเขาแล้วพูดฉุนเฉียวว่า “ข้าได้ยินแต่ว่าพวกท่านอยากให้ข้าเข้าร่วม  แต่ข้าไม่เคยเห็นพวกท่านแสดงความจริงใจเลย อย่าบอกข้าว่าท่านวางแผนใช้ผลึกเล็กน้อยจากครั้งที่แล้วเพื่อซื้อข้า!”


เจ้าของร้านรู้ว่าลู่หยางกำลังสร้างเงื่อนไข เขาตบหน้าอกลู่หยางเบาๆ พร้อมกล่าวว่า “เป็นเพราะอย่างนี้นี่เอง น้องชาย ถ้าท่านอยากได้ผลประโยชน์บางอย่าง ก็แค่บอกมาเถอะ ทั่วทั้งเมืองเซียงหยางมีตำหนักเมฆาสีม่วงเราที่ปฎิบัติกับผู้จารึกอย่างดีที่สุด มีใครไม่รู้บ้าง!?”


“สำหรับผลประโยชน์อะไรที่ข้าต้องการ ข้าเคยบอกไปแล้ว แต่ทว่า ในเมื่อท่านตัดสินใจไม่ได้ ข้าก็จะไม่สร้างความลำบากให้กับท่าน ข้าได้แต่ล้มเลิกความตั้งใจของข้า”


เจ้าของร้านตาโตขึ้น และฉุกคิดถึงของสองสิ่งที่ลู่หยางได้ถามเขาเมื่อครั้งที่แล้ว หนึ่งคือเม็ดยาชักนำจิตวิญญาณระดับกลางและอีกหนึ่งคือตำราวิชาจารึกชั้นกลาง แม้ว่าเจ้าของร้านจะสนใจแต่สองสิ่งนี้ไม่ใช่เล็กๆ เขาไม่มีทางเอามันมาได้


ในที่สุด เจ้าของร้านได้ตระหนักว่าผลประโยชน์อะไรที่ลู่หยางอ้างถึง เขาถามว่า น้องชาย ผลประโยชน์ที่ท่านต้องการคือตำราวิชาจารึกชั้นกลางใช่หรือไม่


ลู่หยางพยักหน้า และพูดว่า “ข้าได้คิดทบทวนดูแล้ว การเข้าร่วมกับตำหนักเมฆาสีม่วงก็ไม่มีอะไรน่าเสียหาย แต่ข้าต้องการผลประโยชน์บางอย่าง”


“ข้าไม่เคยทำสิ่งใดที่ไม่เป็นประโยชน์” ลู่หยางคิดในใจ


เจ้าของร้านหน้าเข้มขึ้นพูดเสียงอู้อี้ว่า “ท่านนี่ยังไม่แก่เลย แต่ชั้นเชิงท่านไม่เบาเลย ท่านรู้คุณค่าของตำราวิชาจารึกชั้นกลางมั้ย? ถ้าท่านขายเป็นผลึก ท่านจะได้ผลึกกองเท่าภูเขาลูกเล็กๆ ท่านยังต้องการซื้อตำราวิชาจารึกชั้นกลางทันทีที่ท่านอ้าปากงั้นหรอ”


ลู่หยางแบมือทั้งสองข้างออก พูดอย่างช่วยไม่ได้ว่า “ท่านไม่สามารถให้ตามเงื่อนไขของข้า แต่ท่านไม่มีทางเลือกอื่น ท่านควรให้ตำราวิชาฝึกอสูรห้าดาวแก่ข้าเพื่อที่ข้าจะได้ทำขึ้นใหม่อีกบางชุด”


“รอที่นี่สักครู่ เดี๋ยวข้ากลับมา” เจ้าของร้านพูดโดยไม่หันมามอง เขาตรงไปด้านหลัง


ตำหนักเมฆาสีม่วงแบ่งออกเป็นหลายระดับ ห้องโถงข้างหลังเป็นสำนักงานใหญ่ ลู่หยางรู้ว่ามีสถานที่อันโอ่โถงอยู่ใต้ดินข้างล่างตำหนักเมฆาสีม่วง การดำเนินการของตำหนัก รวมไปถึงผู้ครองเมืองกับผู้จารึก ทั้งหมดอยู่ภายในโลกใต้ดินนี้ หลังจากที่เสียเวลาไปครู่ใหญ่ๆ ลู่หยางยังไม่เห็นเจ้าของร้านออกมาทำให้เขารู้สึกสงสัยยิ่งขึ้น


ครู่ใหญ่ๆ เจ้าของร้านออกมาจากห้องโถงข้างหลัง ใบหน้าปกคลุมไปด้วยแสงสีแดง ในมือของเขาว่างเปล่า เขาไม่เห็นตำราวิชาฝึกอสูรห้าดาวที่เขาต้องการ เขาเห็นแต่กระเป๋าใบหนึ่งในมือของเจ้าของร้าน


เขายิ้มและพูดกับลู่หยางว่า “เด็กน้อย ข้าได้บอกเรื่องของท่านกับนายท่านของตำหนักแล้ว นายท่านบอกว่าถ้าท่านสนใจจะเข้าร่วมกับตำหนักเมฆาสีม่วง มันเป็นไปไม่ได้ที่จะตกลงตามเงื่อนไขของท่าน เราให้ตำราวิชาจารึกชั้นกลางแก่ท่านไม่ได้แน่นอน”


ลู่หยางตื่นตระหนก ถามว่า “ท่านแค่ให้มันกับข้าไม่ได้รึ ถ้าอย่างนั้น ท่านอยากให้ข้าทำอะไร?”


เจ้าของร้านโยนกระเป๋าลงตรงหน้าลู่หยาง หัวเราะพร้อมกับพูดว่า “เมื่อข้าได้ยินว่าท่านกำลังร้อนเงิน นายท่านให้ผลึกมาหนึ่งหมื่นอัน บอกว่าให้มอบแก่ท่าน แต่อย่าเพิ่งรีบดีใจไป ทั้งหมดนี้เป็นเงินมัดจำสำหรับท่าน เมื่อท่านรับมันไปแสดงว่าท่านได้เข้าร่วมกับตำหนักเมฆาสีม่วงแล้ว


เมื่อได้ยินเช่นนั้น ลู่หยางรีบชักมือกลับทันที สีหน้าเข้มขึ้น กล่าวว่า “นายท่านของตำหนักตกลงกับเงื่อนไขของข้ายังไง ข้าไม่ได้ต้องการผลึกนี้ ถ้าข้าไม่ได้ตำราวิชาจารึกขั้นกลาง งั้นข้าก็ไม่เอา  ข้าไม่เชื่อว่าข้ายังเป็นผู้จารึกอยู่จะไม่สามารถหาที่ไหนที่จะได้ผลึกหมื่นอันเหล่านี้”


ลู่หยางแกล้งทำเป็นโกรธ และกำลังจะออกจากตำหนักเมฆาสีม่วงไป เขาหันหลังมุ่งตรงไปที่ประตู


เจ้าของร้านรู้สึกวิตก เขารีบไปยืนขวางลู่หยางไว้ “ท่านอย่าวู่วาม ช่วยฟังที่ข้าจะพูดหน่อย นายท่านของตำหนักเราบอกว่าตราบเท่าที่ท่านเข้าร่วมกับตำหนักเมฆาสีม่วง ผลึกจะไม่เป็นปัญหาสำหรับท่านในภายหน้า ตราบเท่าที่ท่านไม่ไปต่างเมืองข้าจะให้ผลึกหนึ่งหมื่นอันแก่ท่านทุกเดือนเป็นรางวัล สำหรับตำราวิชาจารึกชั้นกลางนั้น มันไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้ แต่นายท่านบอกว่ามันขึ้นอยู่กับผลงานของท่าน หากผลงานของท่านดี ท่านสามารถเป็นผู้จารึกชั้นกลางได้ในหนึ่งเดือน นายท่านของตำหนักจะให้ตำราวิชาจารึกชั้นกลางแก่ท่านแน่นอน”


“เป็นผู้จารึกชั้นกลางภายในหนึ่งเดือน ตำราวิชาจารึกชั้นกลางจะได้มาง่ายๆอย่างนั้นเลยรึ?” ลู่หยางกล่าวอย่างร่าเริง


อย่างไรก็ตาม เขาแกล้งทำเป็นหดหู่ และพูด “คราวหน้าถ้าท่านมีอะไรจะบอก ช่วยบอกให้หมดในครั้งเดียวจะได้มั้ย?”


SB:ตอนที่ 39 อดีตของสวนหลังบ้าน


เมื่อคิดถึงสิ่งที่เขาจะได้รับทุกเดือนและที่เขาได้รับผลึกหมื่นก้อนมาอย่างง่ายดาย ลู่หยางคิดว่ามันไม่เลว ยิ่งถ้าหากเขาจารึกวิชาควบคุมอสูรได้เขาจะได้ผลตอบแทนมากกว่านี้


“พอแล้วผู้ดูแลร้าน จากนี้ไปข้าควรเรียกท่านว่าผู้ดูแลอาวุโส ข้ายังมีสิ่งที่ต้องทำอยู่ เช่นนั้นข้าขอตัว ข้าหวังว่าเจ้าตำหนักจะพอใจกับผลงาน” หากเจ้าตำหนักพอใจผลงานเขา เขาจะได้รับวิชาควบคุมอสูรชั้นกลาง เมื่อถึงเวลานั้นเขาต้องการไม่ถึงหนึ่งเดือนเพื่อทำมันให้สำเร็จ


“จริงๆแล้ว การเข้าตำหนักเมฆาม่วงนั้นไม่จำเป็นเลย เพราะผู้จารึกทุกคนมีหน้าที่แค่ทำงานให้สำเร็จเวลาที่เหลือพวกเขาไม่จำเป็นต้องมาที่ตำหนัก”


“เป็นอย่างนี้นี่เอง” ลู่หยางกล่าว


เขาคิดว่าการร่วมตำหนักทำให้เขาเป็นเหมือนแรงงานในออฟฟิศในชีวิตที่แล้วที่ต้องไปทำงานทุกวัน หากมันไม่มีข้อจำกัดเช่นนั้น นั่นดีสำหรับลู่หยาง ผลตอบแทนปัจจุบันนั้นถือเป็นผลตอบแทนเสริม ในชีวิตก่อนหน้าเขาไม่กล้าคิดเลยว่าจะได้รับผลตอบแทนดีเช่นนี้


“นี่คือรางวัลสำหรับผู้กลับชาติมาเกิด เยี่ยม!”


เพียงแต่ลู่หยางยังเป็นทาสหนี้บ้านอยู่ ในเมื่อเขามีผลึกในมือ สิ่งแรกที่เขาต้องทำคือจ่ายค่าบ้าน โรงจำนำทอง


แม้คนที่นี่จะไม่มากเท่าตำหนักเมฆาม่วง ทว่ามันยังมีผู้คนไปๆมาๆเยอะอยู่มาก


นอกจากคนที่มาซื้อบ้านแล้ว ยังมีหลายคนที่มาเพื่อจ่ายหนี้ดังเช่นลู่หยาง มันไม่ง่ายที่เขาจะตามหาพนักงานคนเก่าคนนั้น พนักงานคนเก่าคนนั้นเป็นคนดูแลและข้อมูลต่างๆเขาเป็นคนดูแล ลู่หยางต้องหาเขาเพื่อจ่ายชำระหนี้


“โอ้ น้องชาย เจ้ากลับมาเร็วจัง เจ้าพอใจกับบ้านหรือไม่?”


ลู่หยางขมวดคิ้ว เขารู้ว่าบางสิ่งผิดปกติกับบ้าน มิเช่นนั้นจากตำแหน่งและขนาดบ้านและสวนเขามันถือว่าดีเลยแหละ ถ้ามันไม่มีสิ่งผิดปกติ เขาจะไม่พอใจได้อย่างไร?


อีกอย่างคือ ลู่หยางมั่นใจว่าเจ้าคนนี้นั้นรู้เรื่องความลับภายใน


 


ข้ารับใช้คนนี้กำลังคิดว่าลู่หยางมาเพื่อต่อว่าเขาเรื่องบ้าน เขาจึงถามลู่หยางว่าเขาพอใจกับบ้านไหม ทว่าเขาจะรู้ได้อย่างไรว่าคนจนคนนั้นบัดนี้กลายเป็นคนร่ำรวยแล้ว


“ช่างเถอะ ข้าให้ส่วนลดเขาไปแล้ว ยังไงข้าก็ไม่ยอมรับหรอก?” ข้ารับใช้พยายามปลอบใจตนเอง


ลู่หยางหัวเราะและยื่นหน้าเข้าไปถาม “ท่านพูดอะไรน่ะ ที่จริงแล้วข้ามาที่นี่เพื่อชำระหนี้บ้านที่เหลืออยู่ต่างหาก”


ข้ารับใช้คนนั้นถึงกับหน้าเปลี่ยนสี เขายิ้มเจื่อน”ข้าคิดมากไป อ๊า ท่านบอกว่าท่านมาชำระหนี้รึ?”


เขาแสดงสีหน้าไม่อยากเชื่อ “เกิดอะไรขึ้น ท่านมีเงินมากมายขนาดนี้ได้รวดเร็วเหลือเกิน?”


“ดูเจ้าพูดเข้า ข้าจะมีเงินไม่ได้รึไง?” ลู่หยางกรอกตามอง เขาล้วงอกเสื้อและนำถุงผลึกออกมา เมื่อดูจากขนาดของถุงนั่นสายตาของข้ารับใช้ถึงกับแสดงแววอิจฉา


“ท่านหาเงินได้มากมายขนาดนี้ในเวลาเพียงไม่นานได้อย่างไร!” ข้ารับใช้ตะโกนอย่างแปลกใจ


เมื่อทำขั้นตอนทุกอย่างเสร็จสิ้น ลู่หยางเป็นอิสระจากทาสบ้านเสียที


“เจ้าเด็กน้อย ตอนที่ข้าเห็นเจ้าครั้งแรก เจ้าไม่มีกระทั่งเงินมัดจำ ข้าไม่อาจดูคนได้จากภายนอกจริงๆ” การสามารถซื้อบ้านในเซียงหยางได้ในเวลาอันสั้นไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาทั่วไปสามารถทำได้


ลู่หยางขำ “ไม่นานนี้ข้าเองก็จนเหมือนพวกคนเหล่านี้แหละ เพียงแต่บัดนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว”


เมื่อรู้สถานะของลู่หยางที่เป็นคนรวย ข้ารับใช้คนนี้ไม่กล้ามองไปที่ลู่หยางอีกต่อไป ทัศนคติต่อเขาเปลี่ยนไปร้อยแปดสิบองศาทันที ก่อนที่ลู่หยางจะถามเขา เขาชิงพูดขึ้นมา


“หลังจากที่ท่านอาศัยอยู่ในบ้านสวนนั่น ท่านไม่รู้สึกถึงความผิดปกติเลยรึ?”


ลู่หยางยิ้มอย่างมีเลศนัย “ข้าอยู่ที่นั่นมาสักพักหนึ่ง ท่านคิดว่าข้าไม่รู้หรอว่ามันมีบางสิ่งผิดปกติ ท่านคิดว่าข้ามาที่นี่เพื่อจ่ายหนี้อย่างเดียวรึ


“งั้นท่านก็รู้เรื่องที่อยู่ในบ้านน่ะสิ!” ข้ารับใช้กล่าวอย่างตะลึง


ลู่หยางกรอกตามองเขา “หากข้ารู้ทุกอย่าง ข้าจะมาถามเจ้าทำไม ข้ารู้สึกว่าเจ้านั้นรู้เรื่องดีกว่าข้า ข้าอยากรู้ถึงเจ้าของคนเก่าของบ้านนี้”


“เอ๋ เป็นอย่างนี้นี้เอง เช่นนั้นเราต้องเริ่มเมื่อสามปีก่อน”


สามปีที่แล้ว เจ้าของคนเก่าหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย กรรมสิทธิ์บ้านหลังนี้กลับสู่โรงจำนำทอง


 


และกลับมาขายต่อสู่คนภายนอก เมื่อคนเหล่านี้รู้ข่าวมีคนมากมายมาเสนอราคามหาศาลเพื่อซื้อบ้านหลังนี้ หลังจากนั้นครึ่งปีต่อมาคนที่ซื้อไปกลับมา เขาขอขายบ้านหลังนี้โดยไม่กล่าวถึงเหตุผล


ครั้งที่สอง บ้านหลังนี้ถูกซื้อโดยพ่อค้า ทว่าเพียงไม่นาน สามเดือนต่อมา เขากลับมาหาโรงจำนำทองและบอกว่าบ้านหลังนี้มีปัญหา เขาร้องขอเงินคืน ปรากฏว่าหลังจากที่เขาเข้าไปอาศัยในบ้าน สิ่งแปลกประหลาดเกิดขึ้นตลอด ทุกคนในครอบครัวเขารู้สึกเย็นวาบอย่างประหลาด ในท้ายที่สุด ลูกชายเจ็ดขวบของเขาเสียชีวิต มีชั้นน้ำแข็งเกาะอยู่บนร่างกายลูกชายเขา


สุดท้ายไม่มีทางเลือกโรงจำนำทองคืนเงินทั้งหมดให้เขา แต่โรงจำนำทองมิได้ยอมรับเรื่องประหลาดนั่นเกี่ยวกับการตายลูกชายเขา ทุกครั้งที่มีอะไรเกิดขึ้นกับบ้านโรงจำนำทองต้องชดใช้ค่าเสียหายด้วย สุดท้ายโรงจำนำทองทำได้เพียงลดราคาบ้านหลังนี้ลง ทว่ามีกฎข้อนึงอยู่นั่นคือ โรงจำนำจะไม่รับผิดชอบเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดที่สวนหลังบ้าน


เมื่อลู่หยางต้องการซื้อบ้าน โรงจำนำลดราคาอย่างที่สุดและลดข้อจำกัดทุกอย่างนั่นทำให้เขาซื้อได้อย่างง่ายดาย ครานี้เมื่อลู่หยางมาหาเขา เขาจึงคิดว่ามีบางสิ่งเกิดขึ้นที่สวน


“น้องชาย หากมีบางสิ่งไม่ดีเกิดขึ้นที่สวนนั่น อย่าแบกรับมันไว้ ทางโรงจำนำเราไม่อาจรับผิดชอบความเสียหายได้”


เมื่อตอนเขาทำสัญญาซื้อบ้าน โรงจำนำได้บอกชัดเจนว่าเขาจะไม่รับผิดชอบอะไร ซึ่งลู่หยางรู้ดีอยู่แล้ว


เขามาที่นี่ไม่ใช่จะมาร้องเรียน เพียงแต่เขาต้องการรู้เรื่องมากขึ้นเกี่ยวกับบ้านหลังนี้ ทำไมเจ้าของบ้านคนแรกอยู่มาสิบปีโดยไม่มีปัญหาเลยหละ จากนั้นเป็นต้นมาทุกคนมาอยู่มีปัญหากันหมด


“งั้น มันต้องเป็นเพราะเจ้าของคนแรกแน่ๆ”


ลู่หยางคิดอยู่นาน จากนั้นเขาถาม “ข้าต้องการทราบว่าปัจจุบันเจ้าของคนแรกนี่เป็นยังไงบ้าง บอกข้าที”


ลู่หยางล้วงกระเป๋าและหยิบผลึกออกมาสองสามก้อนส่งให้ข้ารับใช้ เขารีบเก็บมันและยิ้มกล่าว “เขาเป็นผู้ฝึกอสูรเหมือนกันและแข็งแกร่งมากด้วย แต่เราไม่รู้ระดับของเขา ข้าแค่รู้ว่าเขามีนิสัยประหลาดที่ชอบเลี้ยงหนอนจิตวิญญาณในบ้านเขาเอง”


“หนอนจิตวิญญาณ” ลู่หยางสงสัย


“ใช่ หนอนจิตวิญญาณ มันไม่ใช่สัตว์เลี้ยงอสูร แต่มันสามารถถูกควบคุมได้โดยวิธีเฉพาะและบางตัวที่แข็งแกร่งมันยังเทียบได้กับอสูรเลี้ยงสงครามเลยนะและมันมีความสามารถพิเศษอีก”


“ความสามารถพิเศษ เช่น ความเย็นเยือกแข็ง!”


ข้ารับใช้ถึงกับตะลึง ทีแรกเขาไม่คิดถึงเรื่องนี้ แต่พอลู่หยางพูดขึ้นมา เขาคิดว่ามันอาจจะเป็นไปได้


ลู่หยางตบหัวตนเอง และกล่าว “เอาหล่ะ ข้ามีสิ่งที่ต้องทำ ข้าขอตัวก่อน”


หลังจากออกจากโรงจำนำทอง ลู่หยางมุ่งหน้าไปที่บ้าน อย่างที่คิดข้ารับใช้นั่นรู้บางสิ่ง หากไม่ใช่เพราะอย่างนี้ เขาคงไม่มีวันรู้เรื่องหนอนจิตวิญญาณ หนอนนี่มันแตกต่างจากสัตว์อสูร หากมันซ่อนตัวอยู่ในมุมบ้าน เขาจะหามันเจอได้ยากมาก


“บางที ระบบจะเตือนข้าเมื่อข้าเจออันตรายหรือเจอกับปีศาจ” ลู่หยางคิด หนอนนี่อาจจะไม่อยู่ในการตรวจพบ


มุมปากเขายิ้มขึ้น ลู่หยางยืนอยู่หน้าประตู “มันเป็นหนอนจิตวิญญาณนี่เอง มันเริ่มน่าสนใจแล้วสิ”


SB:ตอนที่ 40 ราชาหนอนเยือกแข็ง


หากทุกอย่างเป็นไปตามที่ลู่หยางคิดไว้ เป็นไปได้สูงว่าเจ้าของคนแรกนั้นไม่ได้หายตัวไปแต่ตายไปแล้ว


ยิ่งกว่านั้น เป็นไปได้ว่าเขาตายในสวนแห่งนี้ ภายใต้เงื้อมือของหนอนจิตวิญญาณที่เขาเลี้ยงไว้เอง


หนอนจิตวิญญาณนั้นต่างกับสัตว์เลี้ยงสงคราม มันปราศจากการควบคุมของพันธะสัญญาคุมอสูร เมื่อความแข็งแกร่งของหนอนจิตวิญญาณสูงกว่าเจ้าของมัน เหตุการณ์เช่นนี้จะเกิดขึ้น


เป็นไปได้ว่าผู้ฝึกอสูรตนนั้นจะเป็นเช่นนี้ เขาใช้เวลาในการเลี้ยงเจ้าหนอนจิตวิญญาณนี้จนกระทั้งมันเติบโตแข็งแกร่งกว่าเขาเองและเขาควบคุมมันไม่ได้ และเขาตายโดยไม่ทราบสาเหตุ สำหรับเจ้าของคนอื่นที่มาอาศัยนี้พวกเขาเหล่านั้นได้รับผลกระทบจากเจ้าหนอนจิตวิญญาณนี้และเหตุการณ์ต่างๆเกิดขึ้น และพวกเขาเหล่านั้นไม่รู้สาเหตุที่แท้จริงจึงย้ายหนีออกไป


หากลู่หยางไม่ได้เป็นคนอาศัยที่นี่และหากเขาไม่ได้แข็งแกร่งเช่นนี้ ใครจะรู้ว่าอีกนานแค่ไหนปริศนาสวนแห่งนี้จะถูกเปิดเผยออกมา และเมื่อลู่หยางมาอยู่ที่นี่แล้วเขาคงไม่ย้ายออกไปเพียงเพราะหนอนจิตวิญญาณ


“ดูเหมือนว่าหากข้าต้องการหาเจ้าราชาหนอนนี้ ข้าต้องทำความเข้าใจสิ่งมีชีวิตพันธุ์นี้ก่อน”


ในช่วงเช้าเขาซื้อข้อมูลเกี่ยวกับหนอนจิตวิญญาณมาจากท้องตลาด เขาต้องการเรียนรู้เจ้านี่ให้เร็วที่สุดหากไม่แล้วเขาคงไม่อาจหาหนอนจิตวิญญาณที่ซ่อนอยู่ในสวนของเขาได้


“หนอนจิตวิญญาณมันเป็นแค่แมลงที่แข็งแกร่ง ทว่ามันมีลักษณะหนึ่งคือมันมีพลังชีวิตแข็งแกร่ง”ใต้แสงสลัว ลู่หยางอ่านตำราในมือเขา ค่อยๆทำความเข้าใจหนอนจิตวิญญาณ สัตว์เลี้ยงจิตวิญญาณที่แข็งแกร่งนั้นจะมีความสามารถพิเศษ ผู้ฝึกอสูรบางคนจะเลือกมันจากความสามารถพิเศษนี้ และพวกเขาจะฝึกมันพร้อมๆกับที่เขาฝึกสัตว์เลี้ยงอสูร


เพื่อที่จะทำให้หนอนจิตวิญญาณแข็งแกร่งเพียงพอ หนทางที่ดีที่สุดคือใช้เวทมนต์ นั่นเป็นวิธีลับของพรรคลึกลับ ที่นำหนอนจิตวิญญาณไปรวมกันไว้ในพื้นที่ปิดและปล่อยให้มันกินกันเอง เมื่อหนอนตัวสุดท้ายเหลือรอดในนั้น หนอนตัวนี้จะถูกเรียกว่าราชาหนอน


หลังจากที่ดูดกลืนพลังของหนอนจิตวิญญาณเหล่านั้น มันจะควบรวมเป็นร่างกายของราชาหนอน หนอนชนิดนี้ที่ถูกฝึกด้วยเวทมนต์จะเป็นชนิดที่แข็งแกร่งมาก ลู่หยางเดาว่าผู้ฝึกอสูรโชคร้ายคนนี้ใช้วิธีนี้ในการฝึกหนอนของเขา ทว่าหนอนจิตวิญญาณของเขาแข็งแกร่งเกินไป ยิ่งกว่าตัวเขาเอง สุดท้ายมันหลุดพ้นจากการควบคุมและกลืนกินนายของมันเอง


และราชาหนอนตัวนั้นบัดนี้อยู่ในสวนแห่งนี้ ลู่หยางจำกัดพื้นที่ได้ว่ามันอยู่ตรงประตูหลัก เพราะเขารู้สึกเย็นวาบทุกครั้งที่ผ่านประตูหลัก ลู่หยางไม่อาจคิดถึงตำแหน่งที่อื่นได้อีกแล้ว


ขณะที่เขากำลังอ่านข้อมูลหนอนจิตวิญญาณ เขาก็ค้นหาร่องรอยของราชาหนอน


ความรู้สึกเย็นวาบเริ่มแผ่เข้ามา ลู่หยางตัวสั่นทันที “อย่างที่คาด มันมาอีกแล้ว”


ทุกครั้งที่มีคนเดินผ่านประตูหลัก ราชาหนอนจะรู้สึกถึงตัวตนของมนุษย์และมันจะปลดปล่อยพลังออกมา ลู่หยางเริ่มค้นหาตามวิธีที่กล่าวในตำรา ลู่หยางพบว่าที่พื้นนั้นเหมือนจะถูกคลุมไว้ด้วยชั้นเยือกแข็ง ตามที่ตำราบอกไว้ หนอนจิตวิญญาณจะใช้แสงจันทร์ในการดูดพลังรอบๆ ยิ่งชั้นเยือกแข็งหนามากเพียงใด ราชาหนอนก็ยิ่งแข็งแกร่งมากเท่านั้น


ในชั้นเยือกแข็งนี้ มันจะมีตำแหน่งที่หนาที่สุด และจุดนั้นคือตำแหน่งของราชาหนอน ทว่าดวงตาเขาถูกหมอกรบกวน เขาไม่อาจมองหาจุดที่ชั้นน้ำแข็งหนาที่สุด


“ข้าจะพบมันได้อย่างไร ข้อมูลในตำรานั้นไม่ได้ช่วยข้าเลย!”


ลู่หยางกล่าวอย่างหดหู่ ชั่วขณะนั้นลู่หยางแข็งทื่อ มันราวกับมีความรู้สึกเย็นวาบตรงจุดที่เขาเดินผ่าน


“ใช่แล้ว มันต้องอยู่ตรงนี้” ลู่หยางคิดอย่างตื่นเต้น พลังงานฉีเย็นเยือกพุ่งผ่านตัวเขา มันแข็งแกร่งกว่าที่เคยมาก


เขานำจอบที่เตรียมไว้ออกมาและเริ่มขุดลงไป ในก้นหลุมนั้นลู่หยางมองอะไรไม่เห็น มันดูไม่มีอะไรนอกจากดินสีเหลือง


แต่เขารู้สึกว่าดินจุดนี้มันร่วนกว่าที่อื่นและเขาไม่ต้องออกแรงมากในการขุด คำอธิบายเดียวคือมันถูกขุดขึ้นมาก่อนหน้านี้และถูกกลบโดยใครบางคน มันไม่อาจมองเห็นได้จากภายนอก


“ข้าจะลองขุดอีกสองสามรอบ ข้าไม่เชื่อว่าข้าจะหาหนอนตัวเดียวไม่เจอ!” ลู่หยางตัดสินใจแน่วแน่ เขาขุดต่อไปเรื่อยๆ


เขารู้สึกว่าเขาเจอบางอย่าง ทว่ามันไม่ใช่ราชาหนอนที่เขาตามหา มันเป็นเพียงเปลือกแมลง


ลู่หยางรู้สึกว่ามันไม่ง่ายอย่างที่เขาคิด เขาขุดเร็วขึ้นเขาเจอเปลือกที่สอง เขาขุดต่อไปจนกระทั่งเปลือกแมลงเหล่านั้นเต็มพื้น


และดินจากเหลืองกลายเป็นดำ “นี่คงเป็นจุดที่พวกมันเลี้ยงราชาหนอน!” พวกเปลือกแมลงเหล่านี้คงเป็นซากหนอนจิตวิญญาณที่ถูกกลืนกิน ซากของหนอนจิตวิญญาณเหล่านี้มันเน่าเปื่อยจนเหลือแต่เปลือก เมื่อเขาเจอซากแมลงเหล่านี้ ราชาหนอนคงอยู่ไม่ไกลจากนี้


สามนาทีต่อมา เขาขุดไปเจอกล่องเหล็กขนาดใหญ่ ในที่สุดหลังจากขุดมาครึ่งค่อนวัน เขาก็ขุดไปได้หนึ่งเมตร


ในขณะที่เขาจะหยิบกล่องเหล็กขึ้นมา ชั้นน้ำแข็งแผ่ออกมาสู่นิ้วของเขา


“พระเจ้า พลังงานฉีเยือกแข็งนี่หนาเกินไปแล้ว!” เขาไม่กล้าใช้มือเปล่าอีกต่อไปและหยิบกริชขึ้นมาเปิดกล่อง


แสงสีขาวพุ่งผ่านตาเขาไป ลู่หยางตอบโต้ทันท่วงทีเขายื่นมือไปจับมันจากการหลบหนี ทว่าลู่หยางลืมบทเรียนก่อนหน้าไป นี่มันราชาหนอน  มันปลดปล่อยความเย็นเยือกแข็งหนาแน่นออกมา บัดนี้แขนของเขากลายเป็นน้ำแข็ง


“เจ้าบ้านี่ หนอนจิตวิญญาณชนิดใดกันทรงพลังเพียงนี้!?” ลู่หยางกล่าวด้วยโทสะ


มือของเขาแข็งไปพร้อมกับราชาหนอนที่ไม่อาจหนีได้ ลู่หยางทันใดนั้นคิดออกถึงวิธีกำราบหนอนจิตวิญญาณ วิธีนี้มันแตกต่างจากการกำราบอสูรร้าย เขาหยดเลือดลงไปที่หนอนจิตวิญญาณและประทับมันลงไปในจิตของมัน หลังจากนั้นเขาจะสามารถใช้ตราประทับนี้ควบคุมหนอนจิตวิญญาณ ลู่หยางพบว่าเขาสร้างความเชื่อมโยงเล็กๆกับเจ้าจิ๋วนี้ได้แล้ว มันเป็นความรู้สึกราวกับ หนอนที่อยู่บนมือเป็นอวัยวะที่เพิ่มขึ้นมาของมือเขา ถ้าเขาต้องการทำอะไรเจ้าจิ๋วนี่จะทำตามคำสั่งเขา


ลู่หยางก้มลงกล่าว “เจ้าจิ๋ว เจ้าจงเป็นสัตว์เลี้ยงข้าแต่โดยดีเถอะ คลายผนึกน้ำแข็งนี้ให้ข้าเร็ว!”


เมื่อเขาพูดจบ มีการเคลื่อนไหวที่มือของเขา ชั้นน้ำแข็งแตกออก ในมือลู่หยาง เจ้าเพื่อนตัวน้อยน่ารักปรากฎขึ้นมา มันหายใจอากาศใต้แสงจันทร์เข้าไปอย่างเชื่องช้า

“นี่น่ะรึที่ก่อเรื่องให้ข้าตลอดเวลา มันช่างน่ารักจริงๆ” ลู่หยางอดกล่าวขึ้นมาไม่ได้


แน่นอนเพราะเขาไม่โดนความเย็นจู่โจมแล้วเขาถึงพูดเช่นนี้ออกมาได้


หลังจากที่ลู่หยางสำเร็จวิชาพันธนาการหยดเลือด ข้อมูลของหนอนจิตวิญญาณนี่ปรากฏขึ้นในหัวเขา


“ราชาหนอนเยือกแข็ง:หนอนจิตวิญญาณชั้นกลาง”


“มันครอบครองพลังแช่แข็งที่ทรงพลัง สามารถแช่แข็งอสูรชั้นกลางได้ในพริบตา”


SB:ตอนที่ 41 ปีศาจก้นสมุทร


หลังจากที่อ่านคำนำของราชาหนอนเยือกเย็นแล้ว ลู่หยางตกใจเหมือนกัน เขาไม่เคยคิดเลยว่าเพื่อนตัวเล็กๆนี้จะมีพละกำลังเทียบกับอสูรดุร้ายชั้นกลางได้ และสามารถฆ่าพวกมันได้ทันที พลังของการแช่แข็งนี้เป็นเหมือนกับความสามารถเทวะเฉพาะตัวอย่างหนึ่ง


อย่างไรก็ตามหนอนจิตวิญญาณไม่ได้ถูกจัดเป็นสัตว์เลี้ยงสงคราม พวกมันเป็นสัตว์เลี้ยงไปโดยปริยาย ยิ่งไปกว่านั้นหนอนจิตวิญญาณไม่มีกระเป๋าบรรจุสัตว์เลี้ยง


ภายใต้สภาวะแวดล้อมปกติ ทุกๆคนมีหนอนจิตวิญญาณได้คนละหนึ่งตัว มิเช่นนั้น หนอนจิตวิญญาณจะกลายเป็นที่นิยมบนทวีปนี้


ลู่หยางมีหนอนจิตวิญญาณหนึ่งตัว หลังจากจัดเก็บลานบ้านแล้ว เขากอดเจ้าราชาหนอนเยือกแข็ง แล้วกลับเข้าห้องไปนอน


เขาฝันว่า เขาเห็นเทพีงดงามคนหนึ่งกำลังโบกมือให้เขา และยังเห็นผู้ชายคนหนึ่งที่กำลังจะตาย เขาดึงแขนลู่หยางไว้แล้วพูดกับลู่หยางว่า “น้องชาย เจ้าสัญญากับข้าไว้ว่าจะส่งสารฉบับนั้นไปที่ตระกูลหลอแล้วมอบให้กับแม่นางอู๋ซวงใช่หรือไม่?”


“ไม่! ข้าไม่! ข้าสัญญากับท่าน แน่นอน ข้าไม่ลืม!”


ชายผู้นั้นมองลู่หยางด้วยใบหน้าซีดเผือดของคนตายซึ่งทำให้ลู่หยางกลัวจนเหงื่อแตก เขาพูดน่ากลัวว่า “ในเมื่อเจ้าไม่ลืม งั้นทำไมเจ้าไม่มอบสารฉบับนั้นให้แม่นางอู๋ซวงล่ะ?”


“ข้าแค่…” “ข้าแค่…”


ถ้าเขาพูดมากเกินไป จะกลายเป็นข้อแก้ตัว ลู่หยางไม่ได้อยากหาข้ออ้างมากไป แต่ไม่มีสารฉบับนั้น เขาไม่ควรทำ ถ้าเขามา และเขาหาข้ออ้างให้ตัวเอง มันเหมือนทำหน้าไหว้หลังหลอก


ลู่หยางสะกดใจไว้พูดอย่างแน่วแน่ว่า “ไม่ต้องห่วง พรุ่งนี้ข้าจะไปที่ตระกูลหลอแน่นอน มอบสารฉบับนั้นให้แม่นางอู๋ซวง!”


ชายผู้นั้นเย็นลง เขาบ่นอุบอิบ “ดีแล้ว ดีแล้ว ข้าแค่ห่วงว่าเจ้าอาจลืม และเรามีเวลาเหลือไม่มากแล้ว คนพวกนั้น ….พวกมันอาจค้นพบเจ้าแล้ว!”


เสียงนั้นดังตามร่างของชายผู้นั้นขณะเขาเดินห่างออกไปๆจากความฝันของลู่หยาง จนกระทั่งลับสายตาไป


ลู่หยางสะดุ้งตื่นจากความฝัน เพิ่งจะเที่ยงคืน และสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นเป็นพียงความฝัน แต่ลู่หยางเหงื่อกาฬแตกพลั่ก เปียกชุ่มไปถึงเสื้อผ้าและผ้าห่มของเขา


ลู่หยางซินรู้สึกว่าบางสิ่งบางอย่างกำลังจะเกิดขึ้น


“ถึงแม้ว่าข้าไม่รู้ว่าความฝันนี้หมายถึงอะไร หรือคำพูดสุดท้ายของชายผู้นั้นหมายถึงอะไร ไม่มีเวลาแล้ว ข้าต้องไปตระกูลหลอเดี๋ยวนี้!” ลู่หยางกระโดดลงจากเตียง


เขารีบสวมเสื้อคลุมแล้ววิ่งออกจากบ้านไปภายใต้แสงจันทร์กระจ่างบนทางที่จะไปตระกูลหลอ


ครอบครัวหลอ ตังหลิ่ว และสามครอบครัวใหญ่ที่มีชื่อเสียงในเมืองเซียงหยาง แต่ละครอบครัวมีผู้เก่งกล้าและผู้เยี่ยมยุทธ์ที่โดดเด่นของตนเอง


กับชื่อเสียงของครอบครัวหลอในเซียงหยาง ลู่หยางแค่อยากถามว่าบ้านหลออยู่ที่ไหน ช่วงเวลานี้ลู่หยางยุ่งอยู่กับการเพิ่มกำลังให้ตัวเอง จึงทำให้เรื่องการส่งสารฉบับนั้นล่าช้าไป แต่หลังจากที่เขาฝันแปลกๆ เขาไม่มีความเชื่อมั่นแล้ว ยิ่งประโยคสุดท้ายที่ชายผู้นั้นพูดว่า พวกนั้นอาจหาลู่หยางพบแล้ว ยิ่งทำให้เขาไม่สบายใจ


“ค้นพบเหรอ?”  “แต่เขาไม่ได้บอกว่าใครพบข้า” ลู่หยางครุ่นคิดอย่างสงสัย


เขาอยู่ในเมืองเซียงหยางเป็นเวลาสั้นๆ เขาไม่คุ้นเคยกับผู้มีอำนาจที่นี่ ไม่ต้องพูดถึงว่าเขาไม่มีศัตรูใดใด สัญชาตญาณของเขาบอกว่าถ้าเขาต้องถูกค้นพบจริงๆผลที่จะตามมาต้องเป็นเรื่องที่รุนแรงมาก


“ข้าไม่คิดเรื่องไหนๆอีกแล้ว ตราบเท่าที่ข้าส่งมอบสารฉบับนั้นให้แม่นางอู๋ซวงแล้ว ข้าไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องหลังจากนั้นอีกใช่มั้ย?”ลู่หยางบ่นอุบอิบขณะเดินทางอยู่ในความมืด


ชั่วขณะที่ลู่หยางออกจากประตูห้องไป มีเงาดำปรากฏขึ้นภายใต้แสงจันทร์พวกมันมาหยุดอยู่ที่ลานบ้าน เป็นชายสองคนสวมเสื้อคลุมยาวสีดำเดินราวกับลมพัดอยู่ในความมืดแล้วหายเข้าไปในบ้านของลู่หยางอย่างรวดเร็ว พวกมันค้นหาทุกห้อง ทีละห้อง และสุดท้ายมาหยุดอยู่หน้าห้องของลู่หยาง


“เป็นห้องนี้ ถ้าข้าเดาไม่ผิด เจ้าเด็กนั่นคงยังนอนหลับสบายอยู่” ชายชุดดำกระซิบบอกเพื่อนอีกคน


เสียงหัวเราะแปลกดังแทรกอากาศมา ขณะที่ชายชุดดำอีกคนพูดขึ้น “นี่ ข้าไม่คิดว่าเจ้าเด็กนั่นจะคิดว่าเรามาเคาะประตูห้องมัน ถูกมั้ย?”


ชายชุดดำสองคนเข้าไปในห้องลู่หยาง ครู่หนึ่ง มีเสียงคำรามออกมาจากในห้องว่า


“บ้าฉิบ!”  “อย่าบอกนะว่าไอ้สารเลวนั่นส่งสารฉบับนั้นไปแล้ว”


ถนนหลวงเมืองเซียงหยาง


ลู่หยางกำลังเดินอยู่ในความมืด แล้วเขาก็จาม “ใครกำลังคิดถึงข้าอยู่นะตอนนี้ เจ้าไม่ได้กำลังฝันถึงข้าอยู่ ใช่มั้ย?”


ลู่หยางส่ายหัว เขาขี้เกียจคิดต่อ เมื่อเขาเดินผ่านถนนเส้นนี้ไปแล้วเลี้ยวที่หัวมุม เขาก็จะเห็นบ้านหลอแล้ว อยู่แค่นั้นเอง ถนนตอนเที่ยงคืนมืดมิดไปหมด เมืองทั้งเมืองกำลังหลับอยู่ เขาไม่แน่ใจ ที่บ้านหลอ ใครจะเปิดประตูให้เขาตอนเที่ยงคืน


เขาถอนหายใจ” ข้าลืมเรื่องนี้ไปเลย ดูเหมือนข้าจะต้องรอที่หน้าบ้านจนกว่าหัวหน้าคนใช้จะเปิดประตู”


ลู่หยางเริ่มบ่นในใจ ทั้งหมดเป็นเพราะสหายที่ตายไปแล้ว เขาตายไปนานแค่ไหนแล้วถึงได้มาเข้าฝันเขาตอนกลางคืน และขอร้องเขาให้ส่งสารฉบับนั้นเดี๋ยวนี้


“ก็จริงนะ ใครจะนอนหลับตอนกลางวัน?” ลู่หยางพึมพำกับตัวเอง


มีทางเป็นไปได้แค่ทางเดียว เขาเป็นปีศาจ


ลู่หยางไม่คุ้นเคยกับพวกปีศาจ ครั้งแรกที่เขาพบคือ ปีศาจเจ้าเสน่ห์ที่โรงแรม ตอนนั้น ต้าเฮ่ยเพิ่งยกระดับสายเลือดขึ้นสู่ชั้นยอด และได้ปลุกความสามารถเฉพาะตัว การกลืนกินมืดมิด เมื่อมันปะทะปีศาจเจ้าเสน่ห์ มันกลืนเจ้าปีศาจเข้าไปในครั้งเดียว ครั้งที่สองเขาพบหลี่ยี่ เขาคิดไม่ตกว่าหลี่ยี่ไปเผชิญอะไรมาถึงได้มีปีศาจฉีบนตัวของเขา และยังเอาอสูรกระหายเลือดมาเป็นสัตว์เลี้ยงสงคราม แต่ท้ายที่สุดแล้วเขาเอาชนะมันถึงตายด้วยหมัดเดียว แก่นผลึกของปีศาจนั้นให้ต้าเฮ่ยไปแล้ว


ลู่หยางคิดในใจ ในเมื่อบ้านหลอยังไม่เปิดประตู ลู่หยางก็เดินช้าลง ทันใดนั้นมีลมชั่วร้ายพัดมาจากทางด้านหลังของเขา มันเกือบจะพัดลู่หยางล้มลง เขากลับหลังหันทันทีและพบว่ามีชายชุดดำสองคนกำลังยืนอยู่ข้างหลังเขา


“พวกท่านเป็นใคร!” ลู่หยางกระโดดไกลออกไปสิบเมตรขณะตะโกนด้วยความโกรธ


เสียงหันเราะแปลกๆของปีศาจดังขึ้น “ไอสารเลว ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะเดาได้ว่าเรากำลังจะลงมือกับเจ้า โชคดี เราเจอเจ้าก่อน และจะหยุดเจ้าที่นี่!” “เป็นยังไงล่ะ มันยังไม่สายไปที่จะเอาสิ่งนั้นมาให้เรา”


“มันคืออะไร?” ลู่หยางถามอย่างสงสัยแต่มือของเขาจับที่หน้าอกของตัวเองอย่างไม่รู้ตัว


“สองคนนี้ต้องมาที่นี่เพราะสารฉบับนั้นแน่!” “ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมข้าถึงฝันแปลกเช่นนั้น” ลู่หยางคิด


ร่างของชายชุดดำลอยสลับกันไปมาจากข้างหนึ่งไปอีกข้างหนึ่ง ต่อหน้าลู่หยาง แล้วค่อยๆล้อมเขาไว้เป็นวงกลม แล้วจู่โจมจากทั้งสองข้าง


เขาพูดอย่างน่ากลัวว่า “เจ้าอย่าแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องจะดีกว่า เรารู้แล้วว่าของสิ่งนั้นอยู่กับเจ้า!” “เราแค่อยากให้โอกาสเจ้า อย่าพยายามต่อต้าน พละกำลังของเจ้าไม่อยู่ในสายตาของพวกเรา!”


วินาทีหนึ่งพวกมันลอยราวกับก้อนเมฆ วินาทีถัดไป พวกมันเคลื่อนที่เร็วราวสายฟ้าฟาดสีดำ ลู่หยางติดอยู่ระหว่างกลางของพวกมันทั้งสองคน ความเร็วของพวกมันเร็วเกินกว่าที่ลู่หยางจะตอบโต้ทันเวลา


ขณะที่ชายชุดดำทั้งสองอยู่ในระยะสิบเมตรของลู่หยาง เสียงระบบดังขึ้นทันที


“ติ้ง!” “ค้นพบปีศาจกลืนกินวิญญาณสองตัว เป็นปีศาจระดับกลาง สายเลือดชั้นจักรพรรดิ์ทั้งสองตัว อยู่ห่างออกไปสิบเมตร!”


“ติ้ง!” “ค้นพบปีศาจกลืนกินวิญญาณ สองตัวเป็นปีศาจระดับกลาง สายเลือดชั้นจักรพรรดิ์ทั้งสองตัว อยู่ห่างออกไปสิบเมตร!”


“ติ้ง!” “ค้นพบปีศาจกลืนกินวิญญาณ สองตัวเป็นปีศาจระดับกลาง สายเลือดชั้นจักรพรรดิ์ทั้งสองตัว อยู่ห่างออกไปสิบเมตร!”


“…”


“อะไรนะ?!” “มันเป็นปีศาจอีกแล้วหรอ!?” ลู่หยางเกือบจะกรีดร้องออกมา แต่สิ่งที่ทำให้ลู่หยางประหลาดใจมากที่สุดคือพวกมันเป็นปีศาจระดับกลาง สายเลือดชั้นจักรพรรดิ์!


ปีศาจเจ้าเสน่ห์ที่เขาพบครั้งที่แล้วเป็นแค่ปีศาจระดับต่ำสายเลือดชั้นยอด ดังนั้นลู่หยางและต้าเฮ่ยเอาชนะมันได้ แต่ลู่หยางได้สัมผัสพลังของปีศาจมาก่อน มันอาจแข็งแกร่งกว่าอสูรที่ระดับเดียวกัน แต่ขณะนี้เขาพบปีศาจชั้นกลางสองตัว ด้วยกำลังของลู่หยางแล้วเขาอาจไม่ใช่คู่ต่อสู้มัน


ตอนนี้ปีศาจสองตัวลอยมาอยู่ตรงหน้าลู่หยางแล้ว เขากลัวมากจนเหงื่อแตก


ในช่วงเวลาแห่งความสิ้นหวัง ลู่หยางคิดอะไรไม่ออก เขาขบฟันพูดเสียงเย็นชา “ตอนนี้เราทำได้แค่ทำเหมือนว่ามันมีชีวิต! ข้าจะสู้กับเจ้า!” ราชาหนอนเยือกเย็นบินออกมาจากหัวไหล่ลู่หยางด้วยความเร็ว ไปที่ปีศาจกลืนกินวิญญาณสองตัวในชั่วอึดใจเดียว


สายฟ้าฟาดสีดำหยุดอยู่ในหิมะและน้ำแข็ง แช่แข็งมันสองตัวกลางอากาศ ลู่หยางพึ่งจะเห็นเสื้อผ้าของชายชุดดำทั้งสองชัดๆตอนนี้ ที่ปกเสื้อของมันมีเครื่องหมายหัวกะโหลกซีดๆ และตรงปลายปกของเสื้อคลุมของพวกมันมีรูปหัวผีอยู่


ลู่หยางเข้าใจว่าถึงแม้ น้ำแข็งของราชาหนอนเยือกเย็นจะแข็งแรง มันใช้ได้กับอสูรระดับกลางธรรมดาเท่านั้น ปีศาจกลืนกินวิญญาณสองตัวนี้อยู่ในระดับชั้นยอด ด้วยกำลังของราชาหนอนเยือกเย็นแช่แข็งมันได้พียงช่วงเวลาสั้นๆเท่านั้น


ในวินาทีนั้นลู่หยางไม่ได้ฉวยโอกาสคิดจะหลบหนี แต่เขากลับปล่อยพลังกระแสน้ำวนดำออกมาปรากฏขึ้นระหว่างคิ้วทั้งสองข้างของเขา และขณะเดียวกันเขาเรียกต้าเฮ่ยออกมา


SB:ตอนที่ 42 ปีศาจกลืนกินวิญญาณ


แม้เมื่อราชาหนอนเยือกแข็งใช้พลังน้ำแข็งทั้งหมดของมัน มันสามารถควบคุมปีศาจทั้งสองได้ชั่วครู่เดียว ในช่วงเวลาอันสั้นที่จะหลบหนีนั้นไม่พอ เพราะปีศาจทั้งสองจะตามมาจับไว้ได้ทัน มันจะดีกว่าถ้าจะฉวยจังหวะที่พวกมันถูกแช่แข็งอยู่โจมตีพวกมันด้วยพลังที่มากที่สุด


กระแสน้ำวนดำปรากฏอยู่ระหว่างคิ้วของลู่หยาง ขณะเดียวกัน ต้าเฮ่ยก็ถูกเรียกออกมาด้วย มันอ้าปากใหญ่ดำจะเขมือบรูปปั้นน้ำแข็งทั้งสอง ก้อนน้ำแข็งบนร่างของปีศาจเริ่มแตกกระจายไปทั่วพื้นเพื่อที่จะให้หลุดเป็นอิสระ อย่างไรก็ตามต้าเฮ่ยได้ใช้การกลืนกินมืดมิดเต็มกำลัง ขณะที่กระแสน้ำวนขนาดใหญ่สองสายล้อมรอบปีศาจทั้งสองอยู่


“ไอ้บ้าเอ้ย! นี่มันรังสีของไอ้สุนัขนรก ปีศาจทั้งสองร้องคำรามขึ้นในกระแสน้ำวนพร้อมทั้งคร่ำครวญด้วยความเจ็บปวด”


ลู่หยางคาดการณ์ได้ถูกแล้ว สายเลือดของสุนัขล่าเนื้อแห่งอเวจีนั้นพิเศษเล็กน้อย มันหยุดยั้งปีศาจเหล่านี้ได้ อีกทั้งต้าเฮ่ยตอนนี้ได้รับการยกระดับขึ้นถึงระดับกลางแล้ว ถึงแม้ความสามารถเฉพาะตัวยังไม่เลื่อนระดับขึ้น แต่มันแข็งแกร่งและพลังได้เพิ่มขึ้นมาก


ถ้าปีศาจทั้งสองนี้ไม่ได้มีสายเลือดชั้นจักรพรรดิ ลู่หยางและต้าเฮ่ยอาจจะสามารถกลืนกินมันทั้งสองตัวนี้ด้วยกัน


ลู่หยางเห็นร่างในกระแสน้ำวนต่อสู้ดิ้นรนอยู่อย่างต่อเนื่อง เขารู้อีกว่าการกลืนกินมืดมิดสามารถยับยั้งพวกมันได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยและถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ “เจ้าปีศาจสองตัวนี้สร้างปัญหาจริงๆ ข้าไม่รู้ว่าทำไมแค่สารฉบับเดียว และทำไมผีร้ายปีศาจต้องมาฉกฉวยมัน!”


ตามความเข้าใจของลู่หยาง ปีศาจไม่ควรกล้าที่จะออกมาเพ่นพ่านอย่างเปิดเผยเช่นนี้ แต่ทำไมพวกมันต้องเสี่ยงเพื่อสารฉบับเดียว หรือว่าสารฉบับนี้ซ่อนความลับบางอย่างที่พูดออกมาไม่ได้ไว้


ลู่หยางไม่รู้ว่าข้างในสารลับนั้นเขียนอะไรไว้ เขาได้ให้สัญญาว่าถึงเขาจะต้องจ่ายราคาที่สูงมาก เขาจะไม่ยอมให้พวกปีศาจเหล่านี้ได้สารลับไป


“ถ้าในเมื่อมันเป็นเช่นนั้น ข้าก็จะสู้กับเจ้า!” ลู่หยางตะโกนขึ้นมา


ลู่หยางโยกมือ และกองทัพสัตว์เลี้ยงสงครามของเขาก็มาเรียงรายนับสิบๆตัวอยู่ข้างหลังเขา


ราชสีห์คลั่งขนทองที่สูงไม่มีตัวไหนเทียบได้ ยืนอยู่ข้างหน้าลู่หยางเพื่อคุ้มครองเขา ข้างหลังลู่หยางคือสัตว์เลี้ยงสงครามระดับกลาง ราชาพยัคฆ์เพลิงสีชาด นอกจากนั้นยังมีสุนัขราชสีห์แผดเผาอีกสิบตัว


ตอนนี้ ถนนสายนี้ไม่เพียงแต่สว่างราวกับกลางวัน แต่มันยังเกิดคลื่นความร้อนขึ้นอีกด้วย


สีหน้าของปีศาจทั้งสองตัวเปลี่ยนไป พวกมันถูกล้อมด้วยอสูรดุร้ายกลุ่มหนึ่งที่คุกคามเข้ามาเรื่อยๆพวกมันยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น มันมองหน้ากัน ไม่รู้ว่าจะทำอะไร ยิ่งไปกว่านั้นยังมีกระแสน้ำวนมหึมาสองสายที่กำลังกลืนกินร่างของพวกมันอยู่อย่างต่อเนื่อง ขณะที่พวกมันกำลังมึนงงกันอยู่นั้น กระแสน้ำวนดำก็ดึงร่างของพวกมันให้เข้ามาใกล้กัน และพลังกลืนกินก็ยิ่งรุนแรงขึ้น


ถึงตอนนี้ ลู่หยางยกมือทั้งสองข้างขึ้นสูง เกิดลูกบอลเพลิงสองลูกในฝ่ามือของเขา ที่ด้านหลังเขา สัตว์เลี้ยงสงครามนับสิบตัวต่างก็ส่งเสียงคำรามกันขึ้นพร้อมทั้งแสดงความสามารถเฉพาะตัวออกมา


ขณะเดียวกัน ดาวตกที่ลุกเป็นไฟนับสิบดวงตกลงมาเผาถนนโดยรอบเป็นทะเลเพลิงก่อนที่ปีศาจทั้งสองจะหลุดจากการกลืนกินมืดมิด พวกมันถูกดูดกลืนอีกครั้งหนึ่งเข้าไปในทะเลเพลิง ขณะเดียวกันเสาใหญ่มหึมาที่ลุกเป็นไฟสองต้นพุ่งตรงไปยังหน้าอกของพวกมัน


“บ้าเอ้ย!”  “ความสามารถของไอ้เด็กเวรนี่ไม่ธรรมดาเลย ไม่รู้ว่าทำไมมันควบคุมอสูรดุร้ายได้ตั้งมากมายขนาดนั้น และทำไมอสูรเหล่านี้อย่างน้อยที่สุดมีสายเลือดชั้นยอดทุกตัว”


“ไม่ต้องสงสัยเลยว่าไอ้หลี่ยี่ตายด้วยน้ำมือของมัน”


หลังจากที่โบกลูกบอลเพลิงในมือของเขา ลู่หยางมองไปที่ปีศาจดำด้วยสายตาเย็นชาพร้อมกล่าวว่า “ไม่ว่าใครมายั่วข้า ข้าไม่ปล่อยให้มันไปง่ายๆ ไม่ว่าจะหลี่ยี่หรือเจ้า พวกเจ้าต้องตาย!”


“เจ้านี่ปากดีนัก! ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะทำได้!”


ปีศาจสองตัวนี้ถูกล้อมรอบด้วยทะเลเพลิงและอุณหภูมิที่ร้อนมากยังคงแผดเผาอยู่ ลู่หยางเองก็มองไม่เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นข้างในทะเลเพลิง


รังสีในทะเลเพลิงเริ่มอ่อนลง อ่อนลง และในที่สุดหลังจากทะเลเพลิงสลายหายไปหมด ลู่หยางมองเห็นชัดเจนแล้ว ไม่มีร่องรอยของพวกมันอยู่ตรงที่ที่ทะเลเพลิงแผดเผา ไม่มีแม้แต่รอยขี้เถ้า


“พวกมันต้องซ่อนตัวอยู่ที่ไหนซักแห่ง พวกมันต้องไม่ตายง่ายๆ!”


“ติ้ง!”  “เราพบปีศาจกลืนกินวิญญาณสองตัว เป็นปีศาจระดับกลาง มีสายเลือดชั้นยอด อยู่ใกล้แค่เอื้อม!”


“ติ้ง!”  “เราพบปีศาจกลืนกินวิญญาณสองตัว เป็นปีศาจระดับกลาง มีสายเลือดชั้นยอด อยู่ใกล้แค่เอื้อม!”


“ติ้ง!”  “เราพบปีศาจกลืนกินวิญญาณสองตัว เป็นปีศาจระดับกลาง มีสายเลือดชั้นยอด อยู่ใกล้แค่เอื้อม!”


“…”


เสียงเตือนของระบบดังไม่หยุดอยู่ในหูของลู่หยาง เขายกหัวขึ้นและพบว่ามีเมฆดำลอยอยู่เหนือหัวของเขาปิดกั้นแสงจันทร์และส่องเงาดำทาบลงมาที่ตัวเขา


“เด็กน้อย ฝีมือเจ้าไม่เลวทีเดียว ไอ้สุนัขนรกนั่นถือเป็นไพ่ตายซินะ เราประเมินเจ้าต่ำไป” เสียงของปีศาจดังมาจากเมฆดำ


ปีศาจอีกตัวพูดว่า “ถ้าเราไม่ลงมือกับเจ้าวันนี้ ข้าเกรงว่าพวกเราต้องติดกับเจ้าแน่ แต่ว่า  ถ้าเจ้ามีความสามารถแค่นั้น” “ งั้นวันนี้ ไม่เพียงแต่เจ้าต้องมอบสารลับฉบับนั้นให้เรา พวกเราจะเอาชีวิตเจ้าด้วย!”


“สารลับเหรอ?”  “พวกเจ้ากำลังพูดถึงสารของข้ารึ?” ลู่หยางรู้สึกว่างานที่เขารับปากไว้ไม่ธรรมดาเสียแล้ว แต่เขาได้สัญญาไว้แล้ว ถ้าเขาเป็นลูกผู้ชาย เขาต้องรักษาสัญญา


ลู่หยางยืดตัวขึ้น เขาเงยหน้าขึ้นมองเมฆดำ แท้จริงแล้วเป็นควันดำ เขาไม่รู้ว่าปีศาจสองตัวนี้มาจากไหน พวกมันไม่กลัวไฟ อีกทั้งยังกลายเป็นควันได้ กลยุทธ์ที่พวกมันใช้ก็ยอดเยี่ยม แต่ไม่ได้หมายความว่าลู่หยางไม่มีเลย


เขาพูดเสียงดังใส่ปีศาจว่า “พวกสุนัขรับใช้ ของที่เจ้าต้องการอยู่ในกระเป๋าของปู่คนนี้ ถ้ามีความสามารถ ก็มาเอาไปเลย”


“ไอ้เด็กสกปรก ยังกล้าโอหังอยู่อีก หรือเจ้าไม่กลัวตายจริงๆ!”


ปีศาจอีกตัวกล่าวว่า “พวกมนุษย์ก็เป็นเช่นนี้แหละ ปากแข็ง แต่เมื่อความตายใกล้เข้ามา พวกมันเปลี่ยนเป็นคนละคนเลย ดูอย่างคนที่เราจับได้ครั้งที่แล้วสิ คร่ำครวญจนแทบจะเป็นลม ยอมขายวิญญาณ แล้วกลายมาเป็นคนรับใช้เรา”


“คนที่จับได้ครั้งที่แล้วเหรอ?” ลู่หยางเกือบลืมไปเลย พอพวกมันพูดขึ้นมา เขานึกถึงหลี่ยี่ขึ้นมาทันที


ทีแรกเป็นเพื่อน ต่อมาเป็นศัตรู ลู่หยางไม่ลืมถาพใบหน้าของหลี่ยี่ก่อนตาย กับรังสีที่น่ารำคาญบนตัวของเขา นั่นเป็นรังสีของปีศาจ คิดมาถึงตอนนี้ ต้องมีบางอย่างเกี่ยวกับปีศาจสองตัวนี้ที่อยู่ตรงหน้าเขา


ลู่หยางถามขึ้น “มนุษย์ที่พวกเจ้าพูดถึงคือหลี่ยี่ใช่มั้ย?”


ปีศาจยิ้มน่ากลัว บอกว่า “ใช่แล้ว ถ้าเขาไม่ใช่เพื่อนของเจ้า พวกเราคงไม่ตามหาเขาหรอก”


“เขาไม่ใช่เพื่อนของข้า แต่เป็นศัตรู” ลู่หยางบอก


“ฮ่า ฮ่า”  “แต่เขาช่างน่าผิดหวังจัง แม้เราจะให้พลังกับมัน เราก็ยังฆ่าเจ้าไม่ได้!”


“น่าเสียดาย มันต้องมาตายด้วยน้ำมือเจ้า” ปีศาจกล่าว


“พวกเจ้าก็เหมือนกัน สมควรตาย!”


น้ำเสียงเขาเย็นชาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นจะเอาชีวิต ทันทีทีพูดจบ ลู่หยางกระโดดลอยขึ้นไปในอากาศ พร้อมๆกับอสูรร้ายนับสิบตัวที่อยู่ข้างหลังเขา


ขณะเดียวกัน ลูกบอลเพลิงนับสิบลอยพุ่งไปที่ปีศาจสองตัว เพลิงสีชาด กับเพลิงดาราแผดเผาก็ระเบิดขึ้นไปในท้องฟ้า


“มาดูกันซิว่าพวกเจ้าจะตายไหมครั้งนี้!” ลู่หยางพูดอย่างมาดมั่น มือทั้งสองข้างของเขาขยับไปมาขณะที่กำลังแสดงศิลปะอันศักดิ์สิทธิ์


“เฉพาะเจ้าที่มีความสามารถเฉพาะตัวอย่างนั้นรึ? เจ้าจะได้เห็นความสามารถเฉพาะตัวของพวกเราปีศาจก้นสมุทร!”


ปีศาจแข็งแรงทั้งสองตัวดูเหมือนจะไม่ทันได้เตรียมตัวก่อน แต่พวกมันก็รวบรวมพลังในความมืดและพร้อมที่จะให้ลู่หยางได้ลิ้มลองกระบวนท่ามรณะ พวกมันปล่อยพลังที่แข็งแกร่งที่สุดออกมา


ทั่วทั้งท้องฟ้ามืดมัวลงราวกับปกคลุมไปด้วยก้อนเมฆดำๆ ขณะเดียวกันผีร้ายนับไม่ถ้วนต่างก็ร้องโหยหวลอยู่ข้างใน


“ย่ำราตรีร้อยวิญญาณ!” ปีศาจกลืนกินวิญญาณคำรามอย่างบ้าคลั่ง


นี่เป็นความสามารถเฉพาะตัวของตระกูลปีศาจกลืนกินวิญญาณ ยิ่งไปกว่านั้น มันเป็นความสามารถเฉพาะตัวที่ระดับเจ้าโลกซึ่งมีพลังแข็งแกร่งกว่าพลังของเพลิงสีชาด และของทุ่งหญ้าเพลิงดารา


เมื่อความมืดและวิญญาณชั่วร้ายปรากฏขึ้น เปลวเพลิงทั้งหมดในท้องฟ้าจะถูกกลืนกินเข้าไป รวมถึงตัวลู่หยางเองด้วย ร่างกายของเขาถูกโอบรัดโดยผีร้ายนับไม่ถ้วน


“นี่เป็นความสามารถเฉพาะตัวที่ระดับเจ้าโลกหรือนี่? พลังอำนาจมันแข็งแกร่งจริงๆ!”


ปีศาจชั้นจักพรรดิ์สองตัวนี้ได้ทำลายการร่วมโจมตีของอสูรชั้นยอดนับสิบตัวลงอย่างง่ายดาย พลังของความสามารถเฉพาะตัวระดับเจ้าโลกเพิ่มขึ้นมากกว่าสิบเท่า


แม้จะมีความแตกต่างระหว่างปีศาจกับอสูรดุร้าย ความแตกต่างในด้านพลังไม่ควรจะมีมากเกินไป


ขณะที่วิญญาณชั่วร้ายนับร้อยผุดขึ้นมา ร่างสีทองของราชสีห์คลั่งขนทองเริ่มขยับ ตัวสูงใหญ่และทรงอำนาจของมันกระโดดขึ้นไปในความมืด


พลังฉีของมันทรงอำนาจมากแม้แต่ผีที่ดุร้ายที่สุดยังทนไม่ได้ ในที่สุดพลังฉีก็ได้ขับไล่เหล่าวิญญาณชั่วร้ายออกไป แล้วราชสีห์คลั่งขนทองก็กลับมาอยู่ปกป้องลู่หยางอยู่ข้างๆเขา


“ระฆังทองคำอมตะ!” ลู่หยางคำรามขึ้น เป็นครั้งแรกที่เขาใช้ความสามารถเฉพาะตัวของราชสีห์คลั่งขนทอง


แสงสีทองพุ่งขึ้นไปบนฟ้า ราวกับระฆังใบใหญ่ทำด้วยทองคำบริสุทธิ์ปรากฏอยู่นอกตัวลู่หยาง ล้อมเขาไว้ข้างใน วิญญาณชั่วร้ายนับร้อยคำรามและกระโจนเข้าใส่ลู่หยาง พวกมันพุ่งชนระฆังทองคำอมตะ หัวของพวกมันแตกกระจายกลายเป็นควันดำหายไปในอากาศ


ปีศาจทั้งสองตัวมึนงงกับสถานการณ์หักมุมที่เกิดขึ้น มันตะโกนด้วยความแปลกใจ


“มันสามารถหยุดย่ำราตรีร้อยวิญญาณได้! หรือนี่ก็ป็นความสามารถเฉพาะตัวระดับเจ้าโลกเหมือนกัน!?”


มีเพียงความสามารถที่ระดับเดียวกันที่จะต้านทานการโจมตีของย่ำราตรีร้อยวิญญาณได้  นี่เป็นเพราะตระกูลปีศาจกลืนกินวิญญาณสู้รบไม่เก่ง ดังนั้นมันถึงไม่สามารถทำลายการคุ้มกันของระฆังทองคำอมตะได้


ปีศาจทั้งสองกลายร่างจากควันดำมาเป็นร่างมนุษย์ มันมองไปที่ร่างสีทองตรงหน้าแล้วพูดว่า ”เด็กน้อย ดูเหมือนว่าถ้าข้าไม่ใช้ไพ่ตายของข้าวันนี้ ข้าจะจัดการกับเจ้าไม่ได้ซะแล้ว!”


SB:ตอนที่ 43 เข้าขั้นวิกฤต


“เสียงปีศาจสวรรค์!”


นี่เป็นความสามารถเฉพาะตัวของปีศาจ เสียงปีศาจมุ่งเป้าจู่โจมคู่ต่อสู้ทางจิตใจ ในขณะที่ย่ำราตรีร้อยวิญญาณมุ่งเป้าโจมตีทางร่างกายโดยเฉพาะ


กลยุทธ์การโจมตีแปลกมาก ยากที่คู่ต่อสู้จะป้องกันได้ ไม่ว่าคู่ต่อสู้จะมียุทธวิธีป้องกันที่แข็งแรงอย่างไร ก็ไม่สามารถยับยั้งการโจมตีของเสียงปีศาจได้


ในเวลาเดียวกันกับที่เสียงปีศาจดังอยู่  ร้อยวิญญาณปีศาจก็เล่นงานระฆังทองคำอมตะไปด้วย ปีศาจเหล่านี้เหมือนได้รับสารกระตุ้น พวกมันร้องคร่ำครวญเช่นผี และร้องโหยหวนอย่างกับหมาป่า พุ่งเข้าใส่ระฆังทองคำทองคำอย่างไม่กลัว


ลู่หยางเห็นร้อยวิญญาณชั่วรายค่อยๆน้อยลงทีละตัว ทีละตัว แสงที่ปล่อยออกมาจากระฆังทองคำอมตะหรี่ลงไม่มาก และขณะที่ลู่หยางยิ้มกระหยิ่มภูมิใจนั่นเอง เสียงปีศาจได้เจาะทะลุผ่านระฆังทองคำอมตะและมาเข้าหูของลู่หยาง


“นั่นสียงอะไรน่ะ?!” “ หรือจะเป็นความสามารถเฉพาะตัวอีกอย่างหนึ่ง!” ลู่หยางมีสีหน้าเปลี่ยนไปมาก ต่อหน้าเสียงปีศาจ การป้องกันของระฆังทองคำอมตะเหมือนเป็นแค่ของเล่นอย่างหนึ่งเท่านั้น มันไม่มีประสิทธิภาพเลย


ลู่หยางรู้สึกว่าท้องฟ้าหมุน โลกหมุน  ร่างกายของเขาทนเสียงปีศาจไม่ไหวแล้ว สติสัมปชัญญะของเขาเริ่มเลือนราง และตัวเขาก็ใกล้จะล้มฟุบลง


วิญญาณชั่วร้ายยังคงพุ่งเข้าโจมตีระฆังทองคำอยู่รอบๆ ถึงตอนนี้ระฆังทองคำอมตะจะต้านทานได้อีกไม่นาน


สัตว์เลี้ยงสงครามด้านหลังเขารับรู้ได้ถึงอันตรายที่จะเกิดกับเจ้านายของมัน แต่พวกมันก็ต้องทรมานกับเสียงปีศาจที่ดังอยู่เช่นกันถึงแม้ว่าการโจมตีของปีศาจนั้นไม่เป็นผลโดยตรงกับอสูรเหล่านี้ ถ้าพวกมันอยากช่วยลู่หยางจัดการกับพวกวิญญาณชั่วร้ายเหล่านั้น พวกมันต้องมีพลังงานเหลือใช้อยู่บ้าง


แผนการที่ดีที่สุดน่าจะเป็นต้าเฮ่ยที่ระดับสายเลือดของมันสามารถยับยั้งพวกปีศาจได้ในระดับหนึ่ง อีกทั้งด้วยคุณสมบัติมืดของมันทำให้มันไม่ได้รับอิททธิพลจากยุทธวิธีของปีศาจ แต่ก็นั่นแหละ ถึงแม้ต้าเฮ่ยจะยืนคุ้มภัยตรงหน้าลู่หยางได้ มันก็ไม่สามารถหยุดวิญญาณชั่วร้ายที่มีจำนวนมากเช่นนั้นได้หมด


“เด็กน้อย ทีนี้เจ้ารู้ถึงพลังอำนาจของปีศาจอเวจีแล้วใช่มั้ย?”  “อย่าดื้อรั้น มากับเราซะดีๆไปพบใต้เท้า ข้าอยากให้เจ้ามอบสารลับให้ท่านใต้เท้า!” ปีศาจปล่อยเสียงหัวเราะแปลกๆ แล้วร่างของมันก็กลายเป็นควันดำอีกครั้งลอยเข้ามาจะประชิดตัวลู่หยาง วินาทีที่ระฆังทองคำอมตะแตกสลายไปด้วยพลังย่ำราตรีร้อยวิญญาณนั้นเป็นเวลาที่เจ้าปีศาจจับลู่หยางได้


ในมุมหนึ่งที่ปีศาจทั้งคู่มองไม่เห็นนั้น ชายชราผมขาวโพลนผู้หนึ่งเฝ้าดูเหตุการณ์อยู่เงียบๆ เขาส่ายหัวแล้วพูดค่อยๆว่า “ข้าไม่เคยคิดเลยว่าปีศาจสองตนจะมาปรากฏตัวในเมืองเซียงหยางจริงๆ!”


“แต่ช่างเถอะ เจ้าเด็กน้อยนี่ไม่เลวทีเดียว เขาต้านทานปีศาจชั้นจักรพรรดิได้ตั้งนาน ดูเหมือนยังเป็นเด็กหนุ่มอยู่เลย” ชายชราถอนหายใจ “อนาคตของแม่น้ำฉางเจียงช่างแตกต่างจากคลื่นลูกก่อนเหลือเกิน ถึงเวลาที่จะให้พวกคนหนุ่มสาวเหล่านี้ปกครองโลกเสียแล้ว” เมื่อเทียบกับน้องชายคนนี้แล้ว อู๋ซวงเด็กสาวนั่นทระนงตนเกินไป นี่อาจเป็นเพราะนางเย่อหยิ่งและดูหมิ่นพวกผู้กล้าเยาว์วัยในเซียงหยาง แต่นางหารู้ไม่ว่ามีคนที่แข็งแรง และเฉลียวฉลาดกว่านางเสมอ  “ข้าแค่ไม่รู้ว่าน้องชายท่านนั้นมาจากครอบครัวไหน ข้าไม่เคยเห็นเขามาก่อนเลย”


ไม่มีใครรู้ว่าชายชรานั้นเฝ้าแอบดูอยู่นานแค่ไหน เขาไม่ได้คิดจะสอดมือเข้าไปช่วย อาจเป็นเพราะเขาอยากเห็นยุทธวิธีของพวกปีศาจ หรืออยากรู้ว่าลู่หยางจะทำให้เขาประหลาดใจได้แค่ไหน


เมื่อแสงรังสีของระฆังทองคำอมตะหรี่ลงจนเกือบหมด เทพเจ้าปีศาจมืดและเพื่อนของมันตัดสินใจลงมือ


“ถ้าเราสร้างความวุ่นวายที่นี่ ตำแหน่งที่เราอยู่ก็จะถูกเปิดเผยล่ะสิ เราแค่ไม่คิดว่าเจ้าเด็กนี่จะจัดการยากเช่นนี้ เรามาจบเรื่องนี้ให้เร็วเป็นดีที่สุด เผื่อว่าเพื่อนเก่าบางคนออกมาเจอแล้วก่อเรื่องยุ่งยากให้เราอีก” ปีศาจมืดขมวดคิ้วและกล่าว


ปีศาจดำเข้ามาใกล้ระฆังทองคำอมตะ กรงเล็บของมันยื่นยาวออกมาเร็วปานสายฟ้าแลบจิกเข้าไปที่ระฆังทองคำอมตะ พลังด้านมืดปะทะเข้ากับระฆังทองคำอย่างรุนแรงดับแสงสุดท้ายของระฆังทองคำอมตะโดยสมบูรณ์


ตอนนี้ ลู่หยางหมดสติแล้ว ปีศาจมืดยิ้มและบอกกับลู่หยางว่า “เด็กน้อย ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะมีวันนี้ ใช่มั้ย เมื่อเจ้าไปพบใต้เท้าแล้ว ไม่ว่าเทพเจ้าไหนๆในสวรรค์ชั้นฟ้าก็ช่วยเจ้าไม่ได้!”


ขณะที่กรงเล็บปีศาจกำลังจะคว้าคอของลู่หยาง มือเหี่ยวแห้วใหญ่โตข้างหนึ่งมาจากไหนไม่รู้จับลงมาที่กรงเล็บปีศาจด้วยความเร็วที่ไวกว่า


ความเจ็บปวดแปลบพุ่งขึ้นมาจากที่แขนของมัน ด้วยกำลังที่รุนแรง ไม่เพียงแต่มันจะคว้าตัวลู่หยางไปไม่ได้ ตัวมันเองยังถูกเหวียงลอยออกไปแทน


ร่างของปีศาจดำลอยไกลออกไปหนี่งร้อยเมตร เมื่อมันมองกลับไปที่ลู่หยาง มันพบว่ามีชายชราคนหนึ่งอยู่ขางๆลู่หยาง ขณะเดียวกัน เพื่อนปีศาจอีกตัวลอยมาสมทบกับเพื่อนของมันด้วยสีหน้ามึนงง มันเข้าใจแล้วว่าต้องเป็นฝีมือชายชรานั่นที่ทำกับพวกเขา


“มันเป็นคนชนิดไหนกันนี่ที่มีพละกำลังรุนแรงเช่นนั้น!” ปีศาจดำร้องออกมา


“ปีศาจมืด สถานที่นี้ใกล้กับบ้านสกุลหลอ ชายชราผู้นี้น่าจะเป็นผู้กล้าของที่นั่น!”


แล้วเราจะทำยังไงต่อล่ะทีนี้? ปีศาจอีกตัวถามขึ้นอย่างเร่งรีบ มันเริ่มกลัว


“ปีศาจทั้งสอง? ข้าไม่คิดว่าวันนี้บ้านข้าจะมีชีวิตชีวาอย่างนี้ เป็นความผิดของข้าเองที่ข้าไม่ได้ต้อนรับแขก ข้าไม่รู้ว่าแขกคนสำคัญมา แต่มันยังไม่สายถ้าข้าจะรับรองท่านตอนนี้” ชายชรากล่าว


แต่ตอนนี้ ปีศาจทั้งสองเริ่มกลัวแล้ว จากการถูกจู่โจมเมื่อสักครู่ เจ้าปีศาจมืดก็รู้ว่าพวกเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของชายชราผู้นี้ อีกทั้งที่แห่งนี้เป็นเขตแดนของมนุษย์ พวกมันได้ก่อความวุ่นวายไปก่อนหน้านี้ทำให้มนุษย์ผู้กล้านี้ต้องออกมา ถ้าเขายังคงตามรังควานพวกมัน ความยุ่งยากก็จะยิ่งเพิ่มขึ้น


ปีศาจมืดบอกกับเพื่อนของมันว่า “ดูเหมือนว่าเราจะทำภารกิจในวันนี้ไม่สำเร็จซะแล้ว เรากลับไปยอมรับโทษจากใต้เท้าเถอะ”


“ข้าก็ว่างั้น!”


เมื่อเห็นพ้องต้องกันแล้วว่าสถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว ปีศาจทั้งสองก็รีบเร่งไปทันที ชายชรากล่าวขึ้นด้วยสีหน้าเข้มขึ้นว่า “พวกเจ้าจะมาจะไปตามใจชอบ ไม่เป็นการดูถูกชายแก่ผู้นี้ไปหน่อยหรือ?”


“นี่แน่ะ ท่านผู้เฒ่าหลอ พวกเรารู้ว่าท่านเก่งกล้าสามารถมากและเราไม่ใช่คู่ต่อสู้ของท่านถ้าเราเอาชนะท่านไม่ได้แล้วยังไงล่ะ ถ้าน้องข้าอยากจะหลบหนี ท่านผู้เฒ่าหลอยังจะให้เราอยู่ที่นี่เหรอ?” ปีศาจมืดหัวเราะหึหึ แล้วกลายร่างเป็นเมฆดำลอยออกไปอย่างเร็ว พริบตาเดียว มันอยู่ไกลออกไปจากเมืองเซียงหยางหนึ่งร้อยเมตร


คู่หูอีกคนของมันหลบหนีไปในทิศทางที่ตรงกันข้าม พวกมันกลัวผู้เฒ่าหลอมาก ในเมื่อพวกมันคิดจะหลบหนี พวกมันไปคนละทางดีกว่า หากว่าผู้เฒ่าหลอคิดจะตาม เขาจะตามทั้งสองในเวลาเดียวกันไม่ได้


ผู้เฒ่าหลอมองตามกลุ่มควันทั้งสองก้อน เขายิ้ม พูดว่า “ไม่จำเป็นต้องสุภาพ”


ทันใดนั้นมือเหี่ยวแห้งทั้งสองยืดออกตรงหน้าเขา เขารวบรวมพลังมหาศาลมาไว้ที่มือเหี่ยวๆทั้งสองข้าง มือนั้นค่อยๆใหญ่ขึ้นๆด้วยพลังจิต แล้วยื่นออกไปบนท้องฟ้าอย่างเร็ว เร็วกว่าปีศาจทั้งสองหลายเท่า ในเวลาไม่กี่อึดใจ มือใหญ่ทั้งสองก็ตามทันเจ้าปีศาจ


“ท่าจะไม่ดีแล้ว!”  “วิ่ง!” ปีศาจดำพยายามจะเพิ่มความเร็ว แต่สายไปแล้ว มือใหญ่เงื้ออยู่บนหัวของปีศาจ มันจับหลังของปีศาจมืดได้มั่น แล้วลากมันลงมา


ปีศาจมืดดิ้นสู้อยู่ในควันดำหลายครั้งก่อนที่จะหลุดเป็นอิสระจากมือยักษ์ มันตั้งหน้าตั้งตาวิ่ง ไม่แม้แต่จะหันกลับไปมอง มันได้สูญเสียปริมาตรของควันดำไปหนึ่งในสาม ขนาดของมันหดเล็กลงแต่นั่นยิ่งทำให้มันทวีความเร็วขึ้น พริบตาเดียว มันลอยไกลออกไปหลายพันเมตร


ชายชราอยากตามต่อแต่เขาไม่มีโอกาส เขาส่ายหัวแล้วพูดกับตัวเองว่า “นี่ข้าแก่แล้วเหรอ หรือปีศาจพวกนี้มันเจ้าเล่ห์ แต่ช่างเถอะ กรงเล็บนี้ก็เพียงพอแล้ว ที่จะทำให้เจ้าปีศาจต้องพักไปสองหรือสามเดือน อย่าได้คิดว่าจะหายดี”


แน่นอนว่ากรงเล็บของชายชราไม่เพียงแต่สลายควันดำ แต่ยังทำให้ร่างของปีศาจมืดได้รับบาดเจ็บ มิเช่นนั้น ชายชราไม่ปล่อยให้มันหนีไปง่ายๆ


อย่างไรก็ตาม ชายชรารู้สึกพิศวงว่าปีศาจอเวจีที่ได้หายไปจากทวีปนี้มานานแล้วทำไมถึงจู่จู่มาปรากฏตัวในเมืองเซียงหยาง และมาบ้านของเขาตอนดึกดื่น


เมื่อคิดถึงตอนนี้ ชายชราหันไปจ้องลู่หยางที่อยู่ข้างๆและพูดกับตัวเองว่า “ปีศาจชั้นจักรพรรดิ์สองตัวยอมเสี่ยงชีวิตมาโจมตีเจ้า ดูเหมือนเจ้าต้องมีภูมิหลังเป็นแน่ แต่ตอนนี้กำลังเจ้าอ่อนแอมาก ในเมื่อข้าอยากรู้ความจริง คงต้องรอให้เจ้าฟื้นก่อนซินะ”


อสูรดุร้ายนับสิบตัวของลู่หยางได้กลับเข้าไปอยู่ในกระเป๋าสัตว์เลี้ยงของเขาโดยอัตโนมัติตอนที่เขาสลบไป ภายใต้แสงจันทร์มีเพียงร่างของชายชรากับลู่หยาง ชายชราส่ายหัว เขาแบกลู่หยางไว้ข้างหลังและเดินตรงไปยังบ้านใหญ่หลังหนึ่งข้างหลังเขา


“อาฟุ!”  “เปิดประตูที!” ที่หน้าลานบ้านของตระกูลหลอ ชายชราเคาะประตูพร้อมเรียกชื่อคนรับใช้เก่าแก่


ชั่วครู่หนึ่ง ประตูเปิดออก ชายชราผู้หนึ่งในชุดเสื้อผ้าลายดอกโผล่ศรีษะออกมา เมื่อเห็นชายชรา เขาตกใจถามขึ้นว่า “นายท่าน นี่ก็ดึกมากแล้ว ทำไมนายท่านถึงยังอยู่ข้างนอกนี่!”


ชายชรากลอกตาขึ้นและดุว่า “เจ้าไม่เห็นรึว่าข้าออกไปช่วยคนมา!? เปิดประตูให้ข้าเข้าไปเร็ว!”


อาฟุเพิ่งจะเห็นตอนนั้นเองว่านายท่านได้แบกเด็กหนุ่มมาคนหนึ่ง เขาอดหัวเราะไม่ได้


ชายชราจ้องพร้อมกับดุอีก “เจ้าหัวเราะอะไร?! การที่ข้าแบกใครขึ้นหลังนี่มันตลกนักรึไง?”


“เปล่า เปล่า ไม่ใช่ ข้าแค่สงสัยเกี่ยวกับน้องชายผู้นี้ นายท่านออกไปช่วยเขาแล้วยังแบกเขากลับมาที่บ้านนี่อีก”


ขณะที่ชายชราเข้าบ้านมา เขาส่ายหัวอีกและกระซิบว่า “ไม่รู้ว่าข้าไปทำบาปกรรมอะไรไว้ อายุปูนนี้แล้วยังต้องมาแบกเด็กกลับเข้าบ้านตอนดึกๆดื่นๆนี่!”



SB:ตอนที่ 44 หุบเขาเมฆาร่วงหล่น


“ที่นี่ที่ไหนกัน!” ลู่หยางตื่นขึ้นและร้องออกมาไม่รู้ตัว


เขาพบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงเล็กๆอุ่นๆ และดูเหมือนว่าอยู่ในห้องใหญ่ห้องหนึ่ง ถึงแม้จะไม่มีเครื่องแต่งห้องมากนักแต่ห้องนี้ดูหรูหรากว่ามากเมื่อเทียบกับห้องเล็กๆของเขาเอง


“ที่นี่ที่ไหน? ทำไมข้าถึงมาอยู่ที่นี่?” ลู่หยางลูบศรีษะแล้วเริ่มคิดย้อนหลังถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้


เขาจำได้แค่ว่าดูเหมือนเขาเกือบจะส่งสารลับให้หลออู๋ซวง แล้วก็สู้กับพวกปีศาจอยู่พักใหญ่แล้วสุดท้ายพวกมันก็ตีเขาพ่ายไป


หลังจากนั้น เขาไม่รู้เรื่องอะไรอีกเลย


“นี่เป็นความฝันอีกรึเปล่า? หรือมีใครช่วยข้าไว้?” ลู่หยางครุ่นคิดสงสัย


ถ้าเขาปะทะกับปีศาจแล้วพ่ายแพ้ เขาต้องถูกมันจับไว้แล้ว แต่ห้องที่ดูหรูหราแบบนี้ไม่ควรจะเชื่อมโยงกับปีศาจที่น่าเกลียดได้


จังหวะนี้เอง ประตูห้องก็เปิดออก ลู่หยางเห็นเด็กสาวแรกรุ่นคนหนึ่งถือถาดอยู่ เขารีบเอามือกอดอก แล้วร้องถามออกไป


“ท่านเป็นใครน่ะ?”


ปรากฏว่า เมื่อลู่หยางตื่นขึ้น เขาพบว่าตัวเองนอนเปลือยกายอยู่บนเตียง เขาเพิ่งตื่นจากความงุนงงและได้เลิกผ้าห่มขึ้นแล้ว แต่เด็กสาวคนนี้จู่จู่ก็เข้ามา เขายังไม่ทันได้ลุกขึ้นแต่งตัวเลย ทำได้แค่เอามือปิดหน้าอกไว้ หน้าเขาตอนนี้แดงระเรื่อราวกับเด็กสาวขี้อาย


เมื่อเห็นท่าทางของลู่หยางแล้ว เด็กสาวก็อดขำไม่ได้ นางพูดด้วยเสียงราวกระดิ่งสั่นว่า


“ท่านอย่าตกอกตกใจไปเลย ท่านนอนหมดสติไปสามวันสามคืน เสื้อผ้าของท่าน สาวใช้คนนี้เป็นคนถอดออกให้เอง เพื่อที่จะเอาไปซักให้ นายน้อย ร่างกายของท่าน สาวใช้คนนี้เห็นหมดทุกส่วนแล้ว”


“ห๊า!? เจ้าพูดว่าอะไรนะ?” ลู่หยางตกตะลึงจนพูดไม่ออก เด็กสาวที่เขาไม่เคยรู้จักเห็นเนื้อหนังมังสาเขาหมดทุกซอกทุกมุม เขาจะออกไปพบหน้าผู้คนในภายภาคหน้าได้อย่างไร ‘ถ้าความจริงตอนนี้เขาใส่กางเกงอยู่ เขาต้องกระโดดลุกขึ้นจากเตียงเป็นแน่ นางพูดต่อว่า “ถ้านายน้อยรู้สึกอาย สาวใช้คนนี้จะคอยอยู่ที่ประตู ถ้านายน้อยแต่งตัวและกินข้าวเช้าเสร็จแล้ว สาวใช้คนนี้มีบางอย่างจะบอกกับท่าน”


พอพูดจบนางก็ปิดประตูออกจากห้องไป หลังจากที่ดูให้แน่ใจแล้วว่าประตูห้องปิดแน่นหนาแล้ว ลู่หยางยกผ้าห่มคลุมตัวเองแล้วแอบดูเพียงเพื่อจะตระหนักว่าตัวเขาเองเปลือยจริงๆ


เขานึกขึ้นได้ทันทีว่าเด็กสาวคนนั้นพูดอะไร นางเป็นคนถอดเสื้อผ้าออกให้เขา ใบหน้านางแดงขึ้นมาขณะที่อธิบายให้เขาฟัง “เด็กผู้หญิงเป็นอย่างนี้ได้ยังไง แม้ถ้าอยากช่วยซักเสื้อผ้าให้!”  “อย่างน้อยก็เขียนบอกข้าหน่อยเหลือกางเกงในไว้ให้ข้า! มาถอดเสื้อผ้าข้าออกเช่นนั้น”  “เรื่องที่…. แม่นาง ข้าขอถามอะไรหน่อย?” ลู่หยางถามนุ่มนวล ถึงแม้จะมีประตูกั้นอยู่ ลู่หยางก็ยังรู้สึกอาย


เสียงสดใสดังมาจากนอกประตู “นายน้อย ท่านแต่งตัวเสร็จแล้วเหรอ?”


“ยัง… เรื่องนั้น ข้าแค่อยากถามว่า ท่านเอาเสื้อผ้าของข้าไปไว้ที่ไหน?”


เด็กสาวหัวเราะคิกคักแล้วบอกว่า “นายน้อย เสื้อผ้าของท่านอยู่บนชั้นข้างๆท่านนั่นไง ท่านไม่เห็นรึ?”


ลู่หยางอายจนมึนตึ๊บ ของอยู่ตรงนั้นเขามองไม่เห็นจริงๆ เขาตอบกลับไปแล้วรีบแต่งตัว หลังจากนั้นเขานั่งลงที่โต๊ะแล้วเริ่มสวาปามมื้อเช้าของเขา


เขาพูดลังเล “เอาล่ะ ข้าเสร็จแล้ว เจ้าเข้ามาได้แล้ว”


“นายน้อย รีบเข้า แล้วก็กินซะ นายท่านบอกให้ไปพบท่านหลังจากที่ท่านกินสร็จ นายท่านกำลังรอพบนายน้อยอยู่ที่ห้องโถงใหญ่” เด็กสาวพูดขณะเดินเข้ามา


ลู่หยางกำลังเคี้ยวอยู่ เขาถามฟังไม่ค่อยชัดว่า “แม่นาง เรื่องไปพบนายท่านของเจ้านั่นน่ะเอาไว้ก่อน ตอนนี้เจ้าจะบอกข้าได้มั้ยว่าข้าอยู่ที่ไหนและทำไมข้าถึงอยู่ที่นี่?”  ขณะที่กำลังพูดอยู่นั้น สีหน้าของเขาเข้มขึ้นทันที เขาพูดต่อ แว่วๆว่า “แล้วก็ เจ้าเป็นใคร แม่นาง ทำไมต้องมาดูแลข้ามากมายอย่างนี้? แม้แต่เรื่องซักเสื้อ……”


จริงๆแล้วลู่หยางอยากถามว่าทำไมเด็กสาววัยรุ่นๆเช่นนี้ถึงมาช่วยถอดเสื้อผ้าให้เขา เป็นเพราะเขายังอายเกินกว่าที่จะถามออกมาเสียงดังๆ เขาจึงถามด้วยท่าทางที่สุภาพ


เด็กสาวขำอีกและตอบว่า “นายน้อย นายท่านของเราช่วยท่านไว้จากถนนเมื่อสามวันก่อน สำหรับคนรับใช้ แต่แรกข้ารับใช้คุณหนู แต่ตอนนี้ข้าถูกไหว้วานให้รับใช้ท่าน แน่ล่ะ ข้าก็ต้องรับผิดชอบเสื้อผ้าของท่านด้วยสิ”


“ท่านหมดสติไปสามวัน แล้วท่านก็มีบาดแผลด้วย มันสกปรกไปหมด ดังนั้น สาวใช้คนนี้เลยถือวิสาสะซักเสื้อผ้าของนายน้อย”


ลู่หยางหัวเราะขมขื่น มีคนมาช่วยเขาไว้จริงๆ ได้ฟังเด็กสาวพูดแล้เขาเริ่มคิดได้ว่าเขาเดินทางเกือบจะถึงบ้านสกุลหลอแล้ว และแถวนั้นก็ไม่มีบ้านสกุลใหญ่อื่นๆ


เขาถามขึ้น “งั้น นี่คือบ้านสกุลหลอรึ?”


เด็กสาวพยักหน้าและบอกว่า “นายน้อย ท่านคงเคยได้ยินเกี่ยวกับสามตระกูลใหญ่แห่งเมืองเซียงหยาง ใช่มั้ย สถนที่นี้คือบ้านสกุลหลอ หนึ่งในสามตระกูลใหญ่”


“ถ้าอย่างนั้น คุณหนูที่เจ้าเอ่ยถึงทีแรก ใช่แม่นางอู๋ซวงมั้ย?”


“ใช่แล้ว มีแค่คุณหนูคนเดียวในตระกูลหลอ”


“แล้วตอนนี้คุณหนูของเจ้าอยู่ที่ไหน?”


เด็กสาวแปลกใจ ถามขึ้นว่า “นายน้อย ทำไมท่านถึงตามหาคุณหนูของเรา?”


ลู่หยางไม่คาดคิดมาก่อนว่านี่จะเป็นเรื่องบังเอิญ เขาจะมาบ้านสกุลหลอมาพบแม่นางอู๋ซวง แล้วเรื่องทุกอย่างก็จะจบ เขาไม่ต้องแบกภาระอะไรอีก


ลู่หยางปรับสีหน้ามาจริงจังขึ้น พูดว่า “รีบบอกข้ามา ข้ามีธุระเร่งด่วนกับคุณหนูของเจ้า!”


เด็กสาวกลอกตามองลู่หยาง แล้วพูดเหยียดๆ “ทีแรกข้านึกว่านายน้อยเป็นสุภาพบุรุษ ข้าไม่คิดว่าท่านจะปรารถนาความงามของคุณหนูของเราด้วย แต่ช่างเถอะมีคนตั้งมากมายติดสอยห้อยตามคุณหนูของเราไปทั่วทั้งเซียงหยางแต่ไม่มีใครอยู่ในสายตาของคุณหนูเลย แม้ถ้านายน้อยได้เจอคุณหนู มันก็ไม่มีโอกาสหรอก นายน้อยเลิกล้มความตั้งใจซะเถอะ”


ลู่หยางนึกเคืองขึ้นมา “เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว”


“ข้าไม่ใช่คนอย่างที่เจ้าคิด ข้าไม่ได้ตามหาคุณหนูของเจ้าเพื่อจะชื่นชมความงามของนาง ข้ามีเรื่องด่วนจะสนทนากับนางจริงๆ!”แม้ลู่หยางจะพยายามอย่างดีที่สุดที่จะอธิบายให้ฟัง เด็กสาวก็ยังคงมองเขาแปลกๆ


ลู่หยางคลำไปรอบๆหน้าอกของเขาแล้วหยิบเอาสารฉบับหนึ่งออกมาวางลงตรงหน้าเด็กสาวพร้อมกับพูดเคร่งขรืมว่า มีคนผู้หนึ่งให้สารฉบับนี้กับข้า และไหว้วานข้าให้ส่งมอบให้กับแม่นางอู๋ซวง เห็นมั้ย เรื่องไม่ได้เป็นอย่างที่เจ้าคิด แค่บอกข้ามาว่าแม่นางอู๋ซวงอยู่ที่ไหน


“เอาละ ข้าจะลองเชื่อเรื่องไร้สาระของท่านดู แต่ตอนนี้คุณหนูไม่ได้อยู่ที่บ้าน ดังนั้น ท่านรีบกินดีกว่าข้ายังต้องพาท่านไปพบนายท่านอีก!”


“ตกลง “เขาพูดน้ำเสียงผิดหวัง แม่นางอู๋ซวงไม่ได้อยู่ที่บ้านสกุลหลอ ดูเหมือนว่าภารกิจของเขาจะไม่เสร็จในเวลาอันสั้นนี้


ลู่หยางเคยได้ยินบางตำนานเล่าว่าบรรพบุรุษของตระกูลหลอมีพลังที่แปลกพิสดาร และเป็นถึงผู้คุมอสูรระดับสูง ถือได้ว่าเป็นผู้กล้าหมายเลขหนึ่งของเมืองเซียงหยาง แม้จะไม่มีเรื่องของสารลับฉบับนั้น ลู่หยางก็จะต้องหาโอกาสมาสัมผัสให้ได้ แต่เวลานี้เหมาะแล้ว ลู่หยางรีบกินอาหารเช้าให้เสร็จ แล้วตามเด็กสาวไปที่ห้องโถง ลู่หยางรู้ตอนนั้นว่าเด็กสาวนี้ชื่อชุนเซียง ซึ่งครั้งหนึ่งเป็นสาวใช้ส่วนตัวของหลออู๋ซวง


“น้องชาย ในที่สุดเจ้าก็ตื่นแล้ว เป็นยังไงล่ะ ที่บ้านหลอนี่สุขสบายดีมั้ย?” ขณะที่ลู่หยางเดินเข้ามา มีเสียงดังทักมาจากห้องโถง


ฟังจากน้ำเสียง ลู่หยางเดาได้เลยว่าคนผู้นี้เป็นผู้กล้าหมายเลขหนึ่งของเซียงหยาง หลอหยุนชาน


เมื่อเข้ามาในห้องโถงแล้ว เขาเห็นชายชราผมขาวมีเครานั่งอยู่ที่มุมสูงของห้องโถง แม้จะดูชราแต่ใบหน้ายังคงดูกระปรี้กระเปร่าและรูปร่างก็กำยำไปด้วยกล้ามเนื้อ เว้นแต่ที่ศรีษะซึ่งมีผมขาวโพลน เขาดูเหมือนสิงโตหนุ่มมากกว่าชายชราในวัยไม้ใกล้ฝั่งอย่างนี้


“ข้าน้อยคาราวะท่านผู้อาวุโสหลอ ขอบคุณท่านมากที่ช่วยชีวิตข้า!” ลู่หยางทักทายหลอหยุนชานอย่างนอบน้อม


หลอหยุนชานโน้มตัวลง มองลงมาจากโถงใหญ่ เขาถามลู่หยางว่า “ในเมื่อเจ้ารู้ว่าข้าช่วยเจ้า งั้นเจ้าก็ควรจะรู้ว่าใครต้องการฆ่าเจ้า!”


ลู่หยางขมวดคิ้ว ตอบว่า “ถ้าข้าพูด ท่านผู้อาวุโสอาจไม่เชื่อข้า แต่พวกนั้นมันไม่ใช่คน!”


หลอหยุนชานตาเป็นประกายขึ้นมา แล้วตวาดว่า “ไร้สาระ! ถ้าไม่ใช่มนุษย์ แล้วจะเป็นอะไรได้!”


“พวกมันเป็นปีศาจมาจากขุมนรก!” ลู่หยางพูด ไม่มีทีท่าประจบหรือหยิ่งยโส สายตาเขาจ้องประสานกับหลอหยุนชาน


ขณะที่ลู่หยางกำลังคิดว่าชายชราผู้นี้ไม่เชื่อเขาและเขาจะพูดอะไรต่อดีนั้น สีหน้าของหลอหยุนชานเปลี่ยนไปทันที ใบหน้าเขายิ้มแย้ม แม้ท่าทีและน้ำเสียงก็เปลี่ยนมาเป็นมิตรขึ้น “เจ้านี่ไม่ได้โง่ เจ้ารู้จริงๆว่าที่เจ้าต่อกรด้วยนั้นคือปีศาจอเวจี


ตอนนี้เจ้าก็รู้หมดทุกอย่าง เรื่องมันก็ง่ายขึ้นมาก ข้าไม่ต้องเสียเวลาอธิบายให้เจ้าฟังดังนั้น แค่บอกข้ามา เจ้าไปทำอะไรให้พวกปีศาจอเวจีโกรธเข้าล่ะ”


“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าพวกนั้นมาตามหาข้าได้ยังไง ท่านผู้อาวุโส ท่านต้องการให้ข้าบอกอะไรท่าน?”


เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลอหยุนชานโกรธขึ้นมา เสียงเขาดังก้องราวฟ้าคำราม ”เจ้าเด็กเหลือขอ! เจ้ารู้แม้กระทั่งพวกมันเป็นปีศาจ บอกข้ามาว่าเจ้าไม่รู้เรื่องราวอะไร เจ้ากำลังล้อชายแก่เล่นแล้ว”


ลู่หยางแบบมือทั้งสองข้างออกพร้อมกับพูดว่า “พวกมันบอกข้าเองว่าพวกมันเป็นปีศาจมาจากอเวจี และดูจากยุทธวิธีของมัน พวกมันไม่ใช่คนธรรมดาแน่ ข้าก็เลยเชื่อพวกมัน”


เมื่อพวกมันกำลังสู้กับลู่หยาง พวกมันบอกว่ามันเป็นปีศาจอเวจี ยิ่งไปกว่านั้น ลู่หยางไม่อาจบอกความจริงกับหลอหยุนชานได้ เขาไม่สามารถเล่าเรื่องทั้งหมดของเขา เรื่องระบบควบคุมอสูร แค่เขาไม่ได้โกหก ถูกมั้ย?


ลู่หยางพูดต่อ “ท่านผู้อาวุโส ท่านไม่เห็นว่าตอนนั้นยุทธวิธีที่พวกมันใช้น่ากลัวยังไง ไม่เพียงแต่ความสามารถเฉพาะตัวของพวกมันจะทำให้เกิดผีเป็นร้อยๆตัวร้องคร่ำครวญและโหยหวนราวกับหมาป่า พวกมันยังสามารถกลายร่างเป็นหมอกควันสีดำด้วย ข้าไม่สามารถโจมตี…..”


หลอหยุนชานมีสีหน้าเข้มขึ้น เขาแอบด่าอยู่ในใจ “เจ้าเด็กเหลือขอนี่คิดว่าข้าไม่รู้ไม่เห็นอะไรเลยรึไง? ยิ่งไปกว่านั้น ข้าไม่ได้สู้กับปีศาจสองตัวนั้นแล้วเจ้าจะอยู่ที่นี่ได้ยังไง?”


SB:ตอนที่ 45 ปฏิบัติการครั้งใหญ่หลวง


หลอหยุนชานหน้ามืดทมึน เขากล่าวกับลู่หยาง “เด็กน้อย เจ้าคิดว่าจะหลอกคนอย่างข้าได้ง่ายๆรึ? แคว้นเซียงหยางแห่งนี้คือถิ่นข้าหากมิใช่เพราะเจ้ามีของบางอย่างในตัว ปีศาจสองตนนั่นจะเสี่ยงไล่ตามเจ้ามาในบ้านตระกูลหลอของข้ารึ?”


ชายแก่กล่าวขณะหรี่ตามองไปที่ลู่หยาง เสียงเขาดังก้องราวกับฟ้าผ่า “เด็กน้อย เจ้ารู้ไหมว่าปีศาจอเวจีนั้นไม่ได้ปรากฎตัวบนทวีปนี้มาเป็นเวลาช้านานแล้ว หากไม่ใช่เพราะเรื่องสำคัญ พวกมันไม่มีทางเสี่ยงปรากฏตัวบนแคว้นมนุษย์หรอก หากมันถูกมนุษย์พบพวกมันจะตายทันที ยิ่งกว่านั้น…”


หลอหยุนชางพูดไปเพียงครึ่งทางและหยุด จนปล่อยให้ลู่หยางอยากรู้ขึ้นมา “และยังไงต่อรึ”


ชายแก่ยิ้มอย่างมีเลศนัย เขากล่าวต่อลู่หยาง “เจ้าเด็กน้อย อย่าคิดว่าที่ข้ามาช่วยชีวิตเจ้าได้ในคืนนี้นั้นเป็นเรื่องบังเอิญ ข้าได้สังเกตการณ์อยู่นานก่อนจะลงมือช่วยเจ้า ข้าเห็นทุกสิ่ง”


ลู่หยางถามอย่างว่างเปล่า “ผู้อาวุโสท่านเห็นอะไรรึ?”


ณ ตอนนั้นเขาปะทะกับปีศาจสองตนอย่างวุ่นวาย ลู่หยางไม่สนว่าใครจะเห็นไพ่ตายของเขา นอกจากระบบฝึกอสูร เขาใช้ทุกอย่างที่มี น่าเสียดายที่เขาพ่ายแพ้ให้กับพวกมัน หากหลอหยุนชานได้เห็นทุกสิ่งจริงๆ อย่างนั้นความลับทุกอย่างของเขาคงถูกเปิดเผย


เมื่อเห็นว่าลู่หยางระมัดระวังรอบคอบเหลือเกิน หลอหยุนชางหัวเราะและกล่าว “เจ้าเด็กน้อย ข้ารู้เจ้ามีความลับซ่อนไว้เยอะ และข้าเห็น ในคืนนั้นสัตว์อสูรที่เจ้าเรียกออกมานั้นระดับสูงน่าดู ไม่แปลกใจที่มันสามารถต่อกรกับปีศาจสองตนนั่นได้อย่างยาวนาน


ท่ามกลางคืนมืดมิดหลอหยุนชางนั้นเดิมทีหลับอยู่ ทว่าเขาตื่นขึ้นมาเพราะกลิ่นอายของปีศาจ ยิ่งกว่านั้น เขามั่นใจว่าลู่หยางได้ปะทะกับสองปีศาจนั่นเป็นเวลานานก่อนที่เขาจะมาถึง หลอหยุนชานนั้นเข้าใจดีว่าปีศาจสองตนนั้นแข็งแกร่งเพียงใด เขารู้ว่าคนที่ต่อกรกับปีศาจนั่นได้จะต้องแข็งแกร่งพอตัว


หลอหยุนชานกล่าวต่อ “ข้ารู้สึกคุ้นกับอสูรตนนั้น ยิ่งเมื่อมันใช้ทักษะเฉพาะตัว มันเป็นระฆังทองคำมหึมา ข้าว่ามันน่าจะเป็นราชสีห์คลั่งขนทองที่ปรากฎตัวในลานหมื่นอสูรครั้งที่แล้ว ณ ตอนนั้นทุกคนในแคว้นพูดถึงมัน ข้าได้ยินว่าผู้ได้มันไปคือชายอ้วนชุดดำ ไม่คาดว่ามันจะตกอยู่ในมือเจ้า


ความลับของเขาถูกเปิดเผยต่อหลอหยุนชานทีละอย่าง เขากระทั่งรับรู้ถึงราชสีห์คลั่งขนทองด้วย บัดนี้เขามิอาจพูดอะไรออกอีก เขาได้แต่ถาม ผู้อาวุโส ท่านเห็นอะไรอีก?”


ความจริงแล้วสิ่งที่เขากังวลมากที่สุดไม่ใช่ราชสีห์คลั่งขนทองเพราะมันก็แค่อสูรระดับจักรพรรดิ แม้มันจะล้ำค่าแต่ต่อหน้าคนแก่เช่นหลอหยุนชานแล้วมันไม่ได้ล้ำค่ามากขนาดนั้น เขากังวลมากกว่านั้นคือหลอหยุนชานจะเห็นมากกว่าสัตว์เลี้ยงอสูรสิบตัวของเขา


หากความลับเรื่องระบบฝึกอสูรของเขาถูกเปิดเผย แคว้นเซียงหยางคงลุกเป็นไฟ เพราะนี่คือความลับใหญ่ที่สุดของเขา


ทว่าเมื่อลู่หยางกล่าวจบ หลอหยุนชานตบเอวตนเองทันทีและกล่าวอย่างยินดี


“เด็กน้อย เจ้ามีความลับซ่อนอีกจริงๆด้วยสินะ!”


“ทว่า ข้าคนนี้มิได้ชอบนินทาใคร ข้าแค่คิดว่าเจ้านั้นไม่ธรรมดาที่สามารถครอบครองราชสีห์คลั่งขนทองได้โดยคนทั้งแคว้นเซียงหยางไม่รับรู้ ข้ารู้ว่าทุกคนมีความลับ เอาละเจ้าแค่บอกข้ามาว่าปีศาจสองตนนั่นไล่ล่าเจ้าด้วยเหตุใด?”


เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายมิได้ล้วงความลับเขาต่อ เขาถอนใจโล่งอก


เมื่อถูกสหายสูงวัยคนนี้จ้อง ลู่หยางรู้สึกราวกับตัวเขานั้นเป็นผลึกโปร่งใสไม่อาจซ่อนความลับใดได้ โชคดีที่อีกฝ่ายอ่อนข้อให้มิได้ยืนยันจะขุดคุ้ย มิเช่นนั้นลู่หยางคงไม่อาจรับมือได้


เขาทำได้แค่หยิบสารลับออกจากอกเสื้อเขาและกล่าวต่อหลอหยุนชาน “ข้าแค่รู้ว่าพวกมันต้องการสิ่งนี้”


“เอามาให้ข้าดู!” หลอหยุนชานตาลุกวาว เขารีบคว้ามือไปจะหยิบสารจากมือลู่หยาง


ลู่หยางเมื่อหยิบสารออกมาเขาเห็นหลอหยุนชานขยับตัว เขาก็รีบชักมือกลับทันทีปล่อยให้ชายแก่คว้าได้แต่อากาศ


“เด็กน้อย อะไรของเจ้า!”


ลู่หยางขำ “ข้าจะให้ท่านรู้แค่นี้ ข้าไม่ให้ท่านดูเนื้อหาในสารหรอก!”


เขากล่าวต่อด้วยสีหน้าเรียบ “สารนี่มีคนให้ข้ามา และเขามอบหมายให้ข้านำมันไปส่งให้ตระกูลหลอ”


“แล้วเจ้ารออะไรอยู่หล่ะ? เร็วเข้าเอามาให้ข้าดู ข้าอยากรู้ว่าอะไรทำให้ปีศาจนั่นเสี่ยงชีวิตบุกมาในแคว้น!” หลอหยุนชานถามอย่างกระวนกระวาย


สมกับชื่อราชสีห์คลั่ง ด้วยบุคลิกรุนแรงของหลอหยุนชานแล้ว เขาไม่เหมือนชายแก่เลย


ลู่หยางกล่าวอย่างเคร่งเครียด “คนที่ให้ข้ามากล่าวว่า ข้าต้องส่งสารนี่ให้แม่นางอู๋ฮวงเท่านั้น”


หลอหยุนชานเริ่มกระวนกระวาย เขาตบโต๊ะตรงหน้าหักและตะโกนอย่างโกรธเคือง


“อะไรกัน! ข้าคือบิดาของอู๋ฮวง อย่าบอกนะว่าแม้ข้าก็ดูไม่ได้”

ลู่หยางส่ายหน้า “ข้าแค่ทำตามภารกิจ ในเมื่อชายคนนั้นให้ข้าส่งสารนี่ให้แม่นางอู๋ฮวงเท่านั้น ข้าจะไม่ส่งมันให้ใครอื่น”


“เด็กน้อย เจ้ารู้ไหมนี่ที่ไหน เจ้ารู้ไหมกำลังพูดกับใครอยู่ ข้าช่วยชีวิตเจ้านะ และเจ้าอยู่ในถิ่นของข้า ถ้าเจ้าทำให้ข้า ราชสีห์คลั่งบันดาลโทสะละก็ ข้าจะฆ่าเจ้าเสียตอนนี้ เจ้าเด็กระยำตัวน้อย!” หลอหยุนชานโกรธเสียจนเคราขาวเขาตั้งขึ้น เสียงเขาราวกับอสนีบาต ทว่าแม้รังสีกดดันแผ่มาหาเขา ลู่หยางยังกล่าวด้วยเสียงไม่โอหังและไม่นอบน้อมเกินไป “ท่านอาวุโส ได้โปรดอย่าทำให้เป็นเรื่องยากเลย หากท่านต้องการอ่านสารนี่ ก็ให้แม่นางอู๋ฮวงมาหาข้าเถิด”


“เจ้าเด็กระยำ ข้าบิดาเจ้าช่วยชีวิตเจ้าเสียเปล่าจริงๆ!” หลอหยุนชานคำราม แต่เขายังนั่งลง ท่าทีเกรี้ยวกราดเขาสงบลงเล็กน้อย ลู่หยางถอนใจโล่งอก เขารู้ว่าชายแก่คนนี้เริ่มใจเย็นแล้ว


“หากเจ้าให้ข้าดูสารไม่ได้ ก็อย่ามาอยู่ในบ้านข้าอีกต่อไป ออกไปได้แล้ว เมื่ออู๋ฮวงกลับมา เจ้าค่อยมาพบนางได้”


เขาวาดมือจากนั้นชายสองคนเข้ามาและไล่ลู่หยางออกไป


ลู่หยางไม่คาดว่าจะเป็นเช่นนี้ เขาประเมินอารมณ์ราชสีห์คลั่งต่ำไปจริงๆ เขาคารวะชายแก่และกล่าว “ผู้อาวุโส ข้าน้อยขอตัวก่อน ข้าหวังว่าเมื่อแม่นางอู๋ฮวงกลับมา นางจะส่งคนมาบอกข้าน้อยด้วย”

“ไสหัวออกไปจากตระกูลหลอเดี๋ยวนี้!”


หลอหยุนชานเต็มไปด้วยโทสะ แต่ดวงตาเขาลุกวาว เมื่อมองไปที่แผ่นหลังของลู่หยางที่กำลังเดินออกไป มุมปากเขายิ้มอย่างเจ้าเล่ห์


เขากล่าวในใจ “เด็กดีเอ๋ย เจ้ามีบุคลิกไม่เลว ข้าประเมินเจ้าต่ำไป ทว่านี่ยังไม่พอ หากเจ้าทนอารมณ์ข้าได้ นั่นจะเป็นพรสวรรค์ที่น่ายกย่อง หวังว่าเจ้าจะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง”


หลังจากลู่หยางออกจากตระกูลหลอ หลอหยุนชานลุกขึ้นทันทีและสั่งการ “เด็กๆ ไปบอกนายหญิงน้อยให้นางกลับมาหาข้าเดี๋ยวนี้ อย่าลืมว่า เดี๋ยวนี้ ข้าต้องการให้เจ้านำนางกลับมา เดี๋ยวนี้!”


หลังจากที่เขาพูดจบ เงาร่างด้านนอกก็หายวับไปทันที ชื่อเสียงของราชสีห์คลั่งนั้นเลื่องลือไปทั่วแคว้น คำพูดเขาเป็นเหมือนคำสั่งที่ทุกคนต้องปฏิบัติตาม


หลังจากออกคำสั่ง เขานั่งลงและนึกถึงลูกสาวเขา หลอหยุนชานคิด “เด็กนั่นโตแล้ว ถึงเวลาที่จะหาใครบางคนมาดูแลนาง นางชอบดูแคลนคนในแคว้นเซียงหยางไม่ใช่รึ ครานี้แหละ นางจะพบคนที่เข้าตานางสักที!”


ขณะเขาเดินกลับบ้าน ลู่หยางจามอย่างหนักจนกระทั่งน้ำลายพุ่งออกมาเต็มพื้น


เขาถอนใจ “สหายเฒ่านั้นต้องเคืองข้าอยู่แน่ ไม่งั้นข้าจะจามขนาดนี้ได้อย่างไร!”


ลึกเข้าไปในหุบเขาเทวะร่วงหล่น ในตำหนักมืดมิด


ควันดำพวยพุ่งออกจากร่างของเทพปีศาจทมิฬและปีศาจทมิฬ ใบหน้าของมันแสดงอาการเจ็บปวดขณะที่มันนอนอยู่บนพื้น ตรงหน้าของพวกมันเห็นขั้นบันไดเก้าสิบเก้าขั้นสู่อีกฟากของโถงตำหนัก ที่จุดสูงสุดของขั้นบันไดมีชายกลางคนนั่งอยู่บนบัลลังก์สีดำ


ชายกลางคนมองไปที่ร่างอันเละเทะของทั้งสอง เขากล่าวอย่างเคร่งเครียด “มันก็แค่เด็กเมื่อวานซืน แต่เจ้ากลับถูกมันเล่นงานเละขนาดนี้ เจ้าไม่แม้แต่ทำงานที่ข้ามอบหมายให้เสร็จได้ เจ้ายังมีหน้ากลับมาให้ข้าเห็นอีก!”


เป็นนายเหนือหัวที่มาจากอเวจี เมื่อเขาได้รับข่าวว่าเทพปีศาจมืดทำภารกิจล้มเหลวและยังบาดเจ็บกลับมา เขาไม่สงสารด้วยซ้ำและยังบันดาลโทสะขึ้นมา


นั่นเพราะสารนั่นสำคัญอย่างมาก และมันจะกระทบต่อแผนการต่อไปของชายกลางคน น่าเสียดายที่ขนาดทั้งสองตนนี่ลงมือพวกมันยังล้มเหลว ไม่แปลกที่ชายกลางคนจะบันดาลโทสะ


มันทั้งสองรีบอธิบาย “นายเหนือหัวโปรดละเว้นข้า เป็นเพราะเฒ่าตระกูลหลอนั่นเข้ามายุ่ง ไม่งั้นพวกข้าคงนำเด็กนั่นกลับมาได้”


“อะไรนะ!” เมื่อได้ยินชื่อเฒ่าตระกูลหลอ ชายกลางคนถึงกับหน้าเปลี่ยนสี หน้าบึ้งตึงถึงขีดสุด เขาถามอีกที “ปีศาจทมิฬเจ้าพูดชื่อนั่นอีกทีซิ เจ้าแน่ใจรึมันคือหลอหยุนชานจากตระกูลหลอที่ทำร้ายเจ้าด้วยตัวมันเอง!”

ปีศาจทมิฬผงกหัวทันที “ขี้ข้าผู้นี้มั่นใจว่ามันต้องเป็นหลอหยุนชาน หากไม่เช่นนั้นแม้เจ้าเด็กนั่นจะมีอสูรสัตว์เลี้ยงชั้นปราชญ์ มันก็ไม่ใช่คู่มือของขี้ข้าผู้นี้!”


ชายกลางคนอ้วนนั่นราวกับว่าวิญญาณหลุดออกจากร่าง เขาทิ้งตัวลงบนบัลลังก์สีดำและกล่าวปราศจากพลังในน้ำเสียง


“พวกเราบุ่มบ่ามเกินไป ข้าเกรงว่าตระกูลหลอรู้ความเคลื่อนไหวพวกเราแล้ว”


เขาปล่อยแขนขาลงอย่างไร้เรี่ยวแรง ดูราวกับว่าเขาสิ้นหวัง สำหรับปฏิบัติการนี้เขาเตรียมการมากี่ปีใครจะรู้ ทุกอย่างดูเหมือนจะพร้อมแล้วเหลือแค่ลมตะวันออก ทว่าบางอย่างไม่คาดคิดเกิดขึ้นในช่วงสำคัญ และนั่นเพียงพอที่จะทำให้แผนทั้งหมดของเขากลายเป็นอากาศธาตุไป


เขาพึมพำกับตัวเอง “เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว พวกเราได้แค่ลองสักตั้ง ในขณะที่แคว้นเซียงหยางยังไม่ได้เตรียมการ พวกเราจะเร่งแผนการขึ้น” เขาคิดบางสิ่งได้ทันที “ไม่สิ! ไม่ใช่เร่งมัน แต่ต้องเป็นตอนนี้ ตอนนี้ เดี๋ยวนี้เลย!”


SB:ตอนที่ 46 ผู้เฒ่าเฟิง


“ขอรับ! ขี้ข้าผู้นี้เข้าใจแล้ว!” ปีศาจมืดตอบรับทันที


พวกมันทำงานให้ชายวัยกลางคนนี้มาหลายปีแต่พวกมันไม่เคยเห็นเขาโกรธขนาดนี้มาก่อน มันกลัวจนหัวหดแล้วตอนนี้ มันไม่กล้าโต้แย้งแม้แต่น้อย


ขณะที่พวกมันกำลังจะลุกขึ้น มันรู้สึกถึงความเจ็บปวดมหาศาลออกมาจากร่างกายของมัน มันล้มลงกลับไปนอนราบกับพื้นอีกครา


“หืมม?” ชายกลางคนพ่นลมหายใจและกล่าวด้วยโทสะ “หลอหยุนชาน เจ้าเหี้ยมจริงๆ เจ้าทำลูกน้องข้าสาหัสขนาดนี้!”


แม้ว่ากรงเล็บนั้นที่พวกมันโดนก่อนจะหนีมาได้อยู่ห่างออกไปร้อยเมตร ทว่าหลอหยุนชานไม่ออมมือแม้แต่น้อย เขาใช้พลังทั้งหมดและเกือบที่จะทำเอาพวกมันทั้งสองพิการ หลังจากได้รับกระบวนท่านั้นพวกมันทั้งสองไม่รีรออีกพวกมันหนีสุดกำลังด้วยชีวิตที่แขวนอยู่บนเส้นด้าย พวกมันหนีด้วยสภาพสาหัสยิ่งทำให้บาดแผลภายในของมันสาหัสยิ่งขึ้น บัดนี้ขาข้างนึงของพวกมันก้าวเข้าไปในนรกแล้ว


พวกมันไม่กล้าขัดคำสั่งนายเหนือหัว มันทนต่อบาดแผลและต้องการจะลุกขึ้นมา ชายวัยกลางคนร่างอ้วนมองไปที่พวกมันและกล่าว “เดิมทีแล้ว หากเจ้าทำภารกิจล้มเหลว ข้าต้องลงโทษเจ้าสักหน่อย ทว่าสถานการณ์ตอนนี้เร่งรีบ ข้าจะอนุโลมให้ ข้าจะให้เม็ดยาปีศาจพวกเจ้าคนละเม็ด นี่จะทำให้พวกเจ้าฟื้นฟูพลังกลับคืนมาและแม้กระทั่งเสริมโอกาสให้พวกเจ้าทะลวงขั้นพลังสู่ระดับที่สูงขึ้นอีก”


เมื่อพวกมันได้ยิน พวกมันรีบกล่าวขอบคุณ “ขอบพระคุณขอรับท่านนายเหนือหัว”


“อย่าพึ่งด่วนดีใจไป เมื่อพวกเจ้าได้รางวัลจากจักรพรรดิผู้นี้แล้ว จงทำงานให้สมกับที่ข้าคาดหวังล่ะ! หากเจ้าล้มเหลวอีกล่ะก็ เตรียมหัวของเจ้าไว้ได้เลย!”


เมื่อพูดจบเขาวาดมือ เม็ดยาสองเม็ดพุ่งไปหาพวกมันทั้งสอง เมื่อพวกมันเห็นว่าเป็นเม็ดยาปีศาจ ดวงตาของพวกมันแทบจะถลนออกมา พวกมันรีบเอื้อมไปหยิบเม็ดยาใส่ปากโดยไม่สนใจบาดแผลของพวกมัน


เมื่อเม็ดยาเข้าปากพวกมัน บาดแผลพวกมันฟื้นฟูในพริบตา กว่าครึ่งของบาดแผลมันหายไปทันที


สีหน้ามันกลับมาปกติ พวกมันรีบคำนับต่อชายวัยกลางคนและกล่าวอย่างนอบน้อม “ขอบคุณขอรับนายเหนือ ข้าจะต้องทำภารกิจของท่านให้สำเร็จอย่างแน่นอน!”


ชายวัยกลางคนกล่าว “จำไว้ พวกเจ้ามีเจ็ดวันเท่านั้น ภายในเจ็ดวันข้าจะต้องเห็นการเคลื่อนไหวในหุบเขาเทวะร่วงหล่น หากไม่เช่นนั้นแล้วจักรพรรดิ์ผู้นี้จะไม่อภัยให้เจ้า!”


“พวกเราจะทำตามบัญชา!”


ภายในแคว้นเซียงหยาง ลู่หยางไม่ทราบสิ่งที่เกิดขึ้นในหุบเขาเทวะร่วงหล่น เขาได้สัญญากับตำหนักเมฆาม่วงว่าจะไปทำหน้าที่ผู้จารึก เขากระทั่งเชิญผู้ดูแลร้านมาทานอาหารมื้อใหญ่ที่โรงเตี๊ยมสุราแทนคำขอโทษ ในตอนบ่าย เขาเข้าตำหนักเมฆาม่วงเพื่อเริ่มงานของเขา


“น้องชาย นี่คือยอดฝีมือเฟิงแห่งตำหนักเมฆาม่วง เขาเป็นผู้จารึกระดับแปดดาว!

“จากนี้ไป เจ้าจะคอยตามยอดฝีมือเฟิงและเรียนรู้จากเขา นี่จะช่วยเจ้าได้มาก”


เมื่อเขาได้เป็นหัวหน้าผู้ดูแลร้าน สถานะฟ่างตงเทียบเท่ากับผู้จารึกชั้นกลางแล้ว มันทำให้เขามั่นใจขึ้นมาก เขาแค่พูดประโยคเดียวก็มอบหมายให้ลู่หยางเป็นลูกน้องของชายชราวัยราวๆห้าสิบปี


เฒ่าเฟิง ที่สวมชุดสีเขียวและไพล่มือข้างหลัง ดูราวกับเถ้าแก่เมื่อเขาเดินมาหาลู่หยาง เขาเห็นว่าลู่หยางยังไม่ยี่สิบปีเลย เขากล่าวด้วยน้ำเสียงอวดโอ่ “เด็กน้อย จากนี้ไปข้าจะเป็นหัวหน้าเจ้า”


สีหน้าลู่หยางเรียบเฉย ทว่าในใจเขาก่นด่าเฒ่าผู้นี้ เขากล่าวเรียบเฉยว่า “ผู้น้อยพึ่งมาถึง ไม่ทราบว่าท่านผู้เฒ่ามีอะไรให้ข้ารับใช้?”


“ฮึ่ม” เฒ่าเฟิงกล่าวเย็นชา เขายิ่งไม่พอใจกับลู่หยางมากเข้าไปอีก “เด็กน้อยเจ้ายังไม่ยี่สิบเลย การที่เจ้าเป้นผู้จารึกได้นั้นแสดงให้เห็นว่าพรสวรรค์เจ้านั้นไม่เลว เห็นฟ่างตงบอกว่าเจ้าเป็นผู้จารึกระดับห้าดาวแล้วรึ ถือว่าไม่เลว แต่เส้นทางของผู้จารึกนั้นเจ้ายังต้องเรียนรู้อีกมาก!”


น้องลู่หยางจากนี้ไปเจ้าควรเรียนรู้จากยอดฝีมือเฟิงนะ ตั้งใจเรียนล่ะ ฟ่างตงเห็นด้วย


“เรียนรู้จากเขารึ ช่างน่าขำสิ้นดี ข้ามีระบบฝึกอสูร และนั่นคืออาจารย์ที่ดีที่สุดในโลก นั่นคือพรสวรรค์สูงสุด และข้ายังจำเป็นต้องเรียนรู้จากเฒ่าประหลาดผู้นี้ด้วยรึ!?” ลู่หยางกล่าวในใจ


ทว่า เขาอยากรู้นักว่าเฒ่าเฟิงผู้นี้จะมีอะไรดี เขากล่าว “เช่นนั้นข้าต้องขอคำชี้แนะจากท่านยอดฝีมือเฟิงด้วย”


“ไม่จำเป็นต้องชี้แนะ ข้าเหนื่อยแล้ว และยังมีตำราฝึกอสูรที่ข้าต้องจารึกอีก เจ้าเอาพวกนั้นไปจารึกแล้วกันหากเจ้าทำงานดี ข้าจะมีงานให้เจ้าทำอีก”


เขาหัวโบราณจริงๆด้วย เขาทำราวกับลู่หยางเป็นเด็กน้อย เมื่อฟ่างตงมอบหมายให้เฒ่าเฟิง เฒ่าผู้นี้ให้งานไร้สาระแก่ลู่หยางทันที


ลู่หยางขำ เขาเข้าใจเฒ่าผู้นี้มากขึ้นแล้ว เมื่อเขาพึ่งมาใหม่ เขาจะยังไม่เถียงอะไรนัก เขาตามเฒ่าเฟิงลงไปชั้นใต้ดินของตำหนักเมฆาม่วง


ชั้นใต้ดินนี้กว้างขวางมากอย่างเห็นได้ชัด มันแบ่งเป็นสามระดับ ผู้จารึกทำงานที่ชั้นบน ทั้งหมดเป็นห้องเรียงกันหนาแน่น เมื่อลู่หยางมา เขาได้รับห้องหนึ่งห้อง เมื่อมันเป็นห้องฝึกฝนงานทุกอย่างถูกทำในห้องเล็กนี้


เมื่อลู่หยางเข้าในห้องตนเอง มีคนนำอุปกรณ์มาให้เขาทันที ไม่ต้องสงสัยนี่เป็นงานที่เฒ่าเฟิงให้ลู่หยาง พวกเขาพึ่งแยกกันแต่เฒ่าผู้นั้นรีบนำงานมาให้เขาทำเลย


ลู่หยางเริ่มมีลางสังหรณ์ไม่ดีแล้ว เมื่อได้รับอุปกรณ์เขาเริ่มงานทันที


สิ่งที่เฒ่าเฟิงนำมาให้เขาจารึกนั้นมิใช่กระดาษธรรมดา แต่เป็นตำราสวยงามเล่มเล็ก


มองดูพลังงานฉีม่วงที่พวยพุ่งออกมา พร้อมๆกับกลิ่นอายบนตำรานี้ ลู่หยางคิด “พระเจ้า หรือนี่จะเป็นตำราผ้าม่วงในตำนาน”


ลู่หยางไม่คิดว่าด้วยงานง่ายๆๆ เฒ่าเฟิงจะให้คนนำตำราผ้าม่วงที่เขาไฝ่หามาตลอดมาให้ ในความคิดลู่หยาง วิชาคุมอสูรห้าดาวไม่ควรต้องใช้ตำราผ้าม่วง


นี่เป็นเพราะวิชาจารึกที่จริงแล้วนั้นไม่ง่ายอย่างที่ลู่หยางทำ ผู้จารึกต้องใช้พลังงานมากกว่าเขา และยังมีโอกาสผิดพลาดอีก บางคนต้องทุ่มเทแรงกายมาก และเมื่อพวกเขาหยุดพัก งานทุกอย่างจะพังลง สิ่งที่ได้จะไม่คุ้มกับสิ่งที่เสียไป


เมื่อใช้ตำราผ้าม่วง จะทำให้พวกมันทำงานได้ง่ายกว่าเดิมครึ่งหนึ่ง โอกาสสำเร็จจะเพิ่มขึ้นอย่างน้อยครึ่งหนึ่ง


นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมตำราผ้าม่วงถึงเป็นที่นิยมนักในหมู่ผู้จารึก


“สหายเฒ่านี่ใจดีจริงๆ ตำราผ้าม่วงนั้นล้ำค่ามาก ไม่มีทางที่เขาจะให้โดยไม่จำกัดใช่ไหมละ หรือว่าเฒ่าคนนี้ให้ตำราผ้าม่วงในส่วนของเขาที่ได้รับมา?”


แต่เมื่อเฒ่าเฟิงให้ตำราผ้าม่วงแก่เขา เขาจะไม่ใช้มันกับวิชาควบคุมอสูรห้าดาวแน่ๆ มันเป็นสมบัติล้ำค่าที่เขาจะเก็บไว้และใช้มันเมื่อเขาต้องการในอนาคต ด้วยระบบฝึกอสูรลู่หยางสามารถจารึกวิชาห้าดาวได้อย่างง่ายดาย เขาไม่ต้องห่วงอะไรนอกจากการป้อนผลึกให้ระบบ เพียงครึ่งชั่วโมง วิชาควบคุมอสูรห้าดาวก็สำเร็จในมือลู่หยาง


ในเวลาเพียงไม่นาน เขาได้รับตำราผ้าม่วงถึงห้าเล่ม และในมือลู่หยางใครก็ไม่อาจรู้ว่าเขาสามารถสร้างสิ่งล้ำค่าอะไรขึ้นได้ในอนาคต ลู่หยางกำลังอารมณ์ดี เขาเคาะประตูเฒ่าเฟิง


“ยอดฝีมือเฟิงอยู่หรือไม่?”


“ฮึ่ม เจ้ามีธุระอะไรกับข้า?” เสียงเฒ่เฟิงมาจากภายในประตู


ลู่หยางกล่าวตอบ “ยอดฝีมือเฟิง เรื่องงานของท่าน” ขณะที่ลู่หยางยังพูดไม่จบ เฒ่าเฟิงออกมาและกล่าวอย่างเคร่งเครียด


“ข้าให้ตำราผ้าม่วงไปแล้วไม่ใช่รึ ยังมีปัญหาอะไรอีก?”


เฒ่าผู้นี้พ่นลมหายใจและกล่าว “หากเจ้ามีตำราผ้าม่วงและยังทำงานไม่สำเร็จละก็ ข้าว่าเจ้าคงมีปัญหาเรื่องศักยภาพของเจ้าแล้วหละ ข้าไม่หวังให้เจ้าสำเร็จทั้งหมด เพียงแค่สี่เล่มก็พอ เข้าใจไหม?”

เฒ่าเฟิงคิดว่าลู่หยางมาหาเขาเพราะงานที่มอบให้นั้นยากเกินไป ใครจะรู้ว่าลู่หยางนั้นทำสำเร็จแล้ว


เพราะตำรานี้เฒ่าเฟิงจารึกไปแล้วห้ารอบ และสำเร็จเพียงสี่ ดังนั้นข้อกำหนดของเฒ่าเฟิงไม่ถือว่ายาก ลู่หยางยิ้มขึ้นและนำตำราออกมาจากอกเสื้อ เมื่อเฒ่าเฟิงเห็นตำราเหล่านี้ ดวงตาเขาแทบถลนออกมา “เด็กน้อย นี่เวลาผ่านไปเท่าไหร่แล้ว อย่าบอกข้าว่าเจ้าทำงานให้ข้าเสร็จแล้วนะ!”


แม้จะมีตำราผ้าม่วงที่ช่วยประหยัดเวลาผู้จารึกได้มากก็ตามที แต่แม้เฒ่าเฟิงผู้นี้เป็นคนลงมือเอง มันก็ยังเป็นไปไม่ได้ที่เฒ่าผู้นี้จะจารึกสำเร็จภายในครึ่งชั่วโมง แต่ลู่หยางกลับทำงานสำเร็จภายในระยะเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงที่ผ่านไป


เขารับวิชาฝึกอสูรมาจากลู่หยางและตรวจสอบมัน ทั้งห้าเล่มนั้นได้คุณภาพหมด ทำให้เฒ่าคนนี้มองลู่หยางด้วยความยำเกรงมากขึ้น ทว่าเฒ่าเฟิงผู้นี้กลับกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียดต่อ “เด็กดี เจ้ามีพรสวรรค์จริงๆ ผู้เฒ่าอย่างข้าประเมินเจ้าต่ำไปจริงๆ”


“เมื่อเจ้าทำงานข้าสำเร็จแล้ว นั่นแปลว่าวิชาควบคุมอสูรห้าดาวไม่ถือว่าท้าทายสำหรับเจ้าอีกต่อไป เจ้ากล้ารับงานที่ท้าทายขึ้นหรือไม่ล่ะ?”


ลู่หยางยิ้มและกล่าว “นั่นคือสิ่งที่ข้ากำลังรอคอยเลยหล่ะ!”


“ดีมาก!” เฒ่าเฟิงผสานมือและกล่าวอย่างดัง เขานำถุงผลึกออกมาจากอกเสื้อและโยนไปที่มือลู่หยาง “เด็กน้อย นี่คือรางวัลสำหรับงานนี้ ต่อไป ข้าจะให้เจ้าลองวิชาคุมอสูรแปดดาว ถ้าเจ้ายังทำให้ข้าประหลาดใจได้อีกล่ะก็ ไม่เพียงข้าจะให้รางวัลของตำหนักเมฆาม่วงทั้งหมด ข้าจะยังให้บางอย่างเพิ่มแก่เจ้าด้วย!”


SB:ตอนที่ 47 เฒ่าเฟิงตกตะลึง


เมื่อเข้าร่วมตำหนักเมฆาม่วง ผู้จารึกจะถูกมอบหมายงานตามระดับของตนเอง ยิ่งผู้จารึกทำงานเยอะก็จะได้รับค่าตอบแทนเยอะขึ้น


ผู้จารึกอาวุโสบางคนจะรับผู้จารึกหน้าใหม่มีพรสวรรค์เป็นศิษย์หรือให้เด็กเหล่านี้มาช่วยงาน ค่าตอบแทนที่ได้เป็นของผู้จารึกอาวุโสนั้น เพียงแต่คนอย่างเฒ่าเฟิงมีไม่มากนัก เขาให้รางวัลทั้งหมดที่ได้แก่ศิษย์ของเขา ส่วนมากพวกผู้อาวุโสจะเก็บรางวัลไว้แต่ผู้เดียว


จากเรื่องนี้ ทำให้ลู่หยางมองเฒ่าเฟิงดีขึ้นกว่าเดิม เขารู้สึกว่าแม้เฒ่าผู้นี้จะพูดจาไม่น่าฟังเท่าไร แต่นิสัยเขาไม่ได้แย่เลย เพียงแค่หัวโบราณเท่านั้น


ลู่หยางพึมพำ “วิชาคุมอสูรแปดดาวรึ? ข้าจะลองดู เพียงแต่ข้าต้องการตำราผ้าม่วงเพิ่ม”


“เจ้าต้องการตำราผ้าม่วงเพิ่ม เจ้าล้อข้าเล่นรึ แม้วิชาชั้นสูงก็ยังจารึกได้เพียงสิบหน” เขามีตำราผ้าม่วงจำกัดและเขาไม่ต้องการให้มันแก่ลู่หยางเพิ่มแล้ว


มุมปากลู่หยางยิ้มขึ้น เขาโยนถุงผลึกคืนไปแก่เฒ่าเฟิงโดยไม่สนใจดูจำนวนข้างในแม้แต่น้อย


เขากล่าว “ข้าไม่ต้องการรางวัลอะไร ข้าแค่ต้องการตำราผ้าม่วง ท่านเฟิงตราบเท่าที่ท่านให้มันแก่ข้า ข้าจะทำงานของท่านให้เสร็จ!”


เฒ่าเฟิงได้สติหลังจากอึ้งอยู่นาน เขาเก็บถุงผลึกและกล่าว “ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะแปลกประหลาดเช่นนี้ แน่นอนหากเจ้าทำได้ข้าจะให้รางวัลเจ้า ยิ่งกว่านั้นหากเจ้าต้องการตำราผ้าม่วง ข้าให้มันแก่เจ้าได้ตราบเท่าที่เจ้ามีความสามารถ”


ลู่หยางเก็บวิชาฝึกอสูรทั้งหมดที่เฒ่าเฟิงให้แก่เขารวมถึงตำราผ้าม่วงสิบเล่ม


เฒ่าเฟิงจารึกได้เพียงวิชาแปดดาวด้วยความสามารถปัจจุบันของเขา เขามอบงานนี้แก่ลู่หยางเพราะเขาต้องการรู้ฝีมือของลู่หยาง


ด้วยระบบฝึกอสูรและตำราผ้าม่วงเป็นตัวกลาง วิชาจารึกของเขาได้มีระดับถึงสิบดาวแล้ว ดังนั้นเขาทำงานนี้ได้อย่างแน่นอน หลังจากนำทุกอย่างกลับห้องเขา ลู่หยางเริ่มงานทันที


ด้วยระบบ วิชาหนึ่งดาวใช้เวลาเพียงสามนาที แน่นอนว่าวิชาระดับแปดดาวจะใช้เวลาและพลังงานมากกว่า


นอกจากใช้ผลึกชั้นต้นแปดชิ้น เขาต้องใช้ตำราผ้าม่วงอีกชิ้นในการจารึก ด้วยระยะเวลาสองชั่วโมงพร้อมกับอัตราสำเร็จร้อยเปอร์เซ็น ลู่หยางก็มีวิชาฝึกอสูรทั้งสิบอยู่ในมือ ลู่หยางนำตำรามากอดที่อกและกล่างอย่างดีใจ น้องข้า นี่เป็นวิชาฝึกอสูรระดับสูงที่สุดเท่าที่ข้าจะหาได้ ข้าแค่รอเจ้ามาและข้าจะมอบมันให้แก่เจ้า”


หลังจากลู่หยางมาที่ตำหนักเมฆาม่วงงานของเขาทั้งหมดเขารับมาจากเฒ่าเฟิง ตอนนี้เวลาที่เขาจะรับงานเขาไม่รับงานผ่านตำหนักแล้ว แต่ผ่านเฒ่าเฟิง เดิมทีเรื่องเช่นนี้นั้นไม่เลว และมันไม่แตกต่างกันสำหรับลู่หยางเพราะเมื่อเขาพิสูจน์ความสามารถเขา เขาจะได้เลื่อนขั้นที่สูงขึ้นและรับศิษย์ของตนเองบ้าง


แต่บัดนี้เฒ่าเฟิงมีระดับเพียงแปดดาว งานที่เขาได้รับถูกจำกัดอยู่แค่แปดดาว


ลู่หยางเก็บตำราไว้หนึ่งเล่มและมอบทั้งหมดให้แก่เฒ่าเฟิง เฒ่าเฟิงรับตำราเหล่านั้นด้วยมือที่สั่นสะท้าน เฒ่าเฟิงผู้นี้ต้องใช้เวลาสามวันถึงจะจารึกได้เล่มหนึ่ง แต่นี่เพียงสองชั่วโมงผ่านไปลู่หยางทำงานของเขาทั้งหมดเสร็จแล้ว เขานับดูอย่างถี่ถ้วนและพบว่ามันมีถึงเก้าเล่ม


สีหน้าเฒ่าเฟิงประหลาดใจ ดวงตาเขาเบิกกว้างอย่างกับไข่ไก่ เขากล่าวอย่างโง่งม “อัตราสำเร็จของเจ้าสูงมากจริงๆ เจ้าขาดไปเพียงเล่มเดียว”


ความสามารถเฒ่าเฟิงไม่ถือว่าเก่งในตำหนักเมฆาม่วง แต่ทว่าเขามีอัตราสำเร็จที่สูง เขาจารึกได้เจ็ดในสิบสำหรับวิชาแปดดาว อัตราเช่นนี้ถือว่าสูง และนี่เป็นเหตุผลที่เขามีที่ยืนในตำหนัก


ทว่า ลู่หยางเจ้าเด้กน้อยนี่ ในเวลาเดียววันเดียวมันได้ทำงานของเขาที่ได้รับมอบหมายสำเร็จไปแล้วสองอย่าง และอัตราสำเร็จยังสูงกว่าเขาอีก เฒ่าเฟิงตระหนักว่าเขาประเมินเด็กน้อยนี่ต่ำไป เด็กนี่มันมีความสามารถเช่นนี้ได้นั่นมีเพียงความเป็นไปได้เดียว นั่นคือฝีมือของลู่หยางนั่นเหนือกว่าของตัวมันเองแล้ว


เขากล่าวอย่างตะลึง “เด็กน้อย ที่จริงแล้วเจ้ามีความสามารถเช่นนี้ ฟ่างตงสามารถเลื่อนขั้นให้เจ้าได้เลยและยังสูงกว่าข้าอีก แต่เจ้า ทำไมเจ้ายังรับงานจากข้าและยอมเป็นลูกน้องข้าอีกล่ะ?”


“ท่านเฟิง อย่าพูดอีกเลย รับงานกับท่านนั้นก็ไม่แตกต่างอันใด”


“เจ้าทำแบบนี้ทำไมกัน? ยิ่งเจ้าได้เลื่อนขั้นสูงขึ้น เจ้าก็จะได้รับการดูแลดีขึ้นกว่าเดิม” เฒ่าเฟิงสงสัย


ลู่หยางยิ้มและกล่าว “ที่จริงแล้วข้าไม่ต้องการให้คนตกตะลึงอย่างที่ท่านเป็นน่ะสิ ท่านแค่นำงานที่ท่านรับมาให้ข้าทำ ส่วนค่าตอบแทนข้าขอเพียงตำราผ้าม่วงเท่านั้นเอง”


“แบบนี้ … เป็นไปได้จริงๆรึ?” เฒ่าเฟิงถามเสียงต่ำ


“ไม่เพียงข้าช่วยท่านจารึกวิชาแปดดาวได้ แต่ข้ายังช่วยท่านจารึกวิชาที่ระดับสูงกว่านั้นได้อีก


เฒ่าเฟิงถึงกับเกือบล้มลงจากความตกตะลึง


“เด็กน้อย เจ้าพูดอะไรนะ เจ้าพูดอีกทีให้ข้าฟังชัดๆซิ!”


ลู่หยางยื่นหน้าไปใกล้เฒ่าเฟิงจนห่างเพียงสามเซนติเมตรและกล่าว


“ท่านเฟิง ท่านจะเป็นคนได้รับความดีความชอบ ทว่าในอนาคตข้าไม่ต้องการรับงานระดับแปดดาวอีกต่อไปแล้ว ข้าต้องการงานระดับสูงกว่านี้” หลังจากพูดจบ เขาถอยออกมาและเดินออกประตูไป


ไม่นานมานี้เขายังเป็นหัวหน้าของลู่หยางอยู่เลย ทว่าตอนนี้เมื่ออยู่ต่อหน้าลู่หยาง เขาเป็นราวกับเด็กน้อย ลู่หยางทำให้เขาประหลาดใจมากเกินไป เฒ่าคนนี้ยังไม่สามารถตอบสนองได้ทัน


ทันใดนั้นเฒ่าเฟิงจับแขนลู่หยางและถาม “น้องชาย ไม่ใช่สิ ท่านลู่หยางหากท่านต้องการวิชาฝึกอสูรระดับสูงกว่านี้ ท่านต้องไปสมัครเป็นผู้อาวุโสของตำหนัก!”


ลู่หยางตอบอย่างเรียบเฉย “ท่านเฟิง ท่านคิดหาหนทางด้วยตัวท่านเองเถอะ ท่านจะลองสมัครรับวิชาฝึกอสูรระดับเก้าจากตำหนักก็ได้ เมื่อถึงเวลาพิสูจน์ความสามารถของท่านให้พวกเขาเห็น พวกเขาจะมอบวิชาระดับสูงขึ้นให้ท่านเอง”


ชายแก่พูดอย่างหมดหนทาง “พูดตามตรง ท่านลู่ วิชาจารึกข้าอยู่ระดับแปดมาสิบปีแล้ว แม้จะผ่านมาสิบปี ข้าก็มิอาจทะลวงขั้นสู่ระดับที่สูงขึ้นได้ ต่อให้ข้ามีวิชาจารึกขั้นเก้า ข้าก็ไม่อาจฝึกฝนได้ หากข้านำวิชาควบคุมอสูรเก้าดาวมาแล้วไม่อาจจารึกได้หล่ะ?”


ลู่หยางตอบกลับ “ข้าจะจัดการทุกอย่าง”


ลู่หยางกล่าวจบและเปิดประตูออกจากห้องเฒ่าเฟิง เขาหันกลับมามองและคิด ห้องฝึกฝนของท่านนี้สำหรับผู้จารึกระดับสูงจริงๆ มันดูดีกว่าห้องของข้าอีก ไม่นานหรอกข้าจะมีห้องเช่นนี้บ้าง


ลู่หยางทาบมือกับอกเพื่อสัมผัสถึงวิชาระดับแปดดาวและนึกถึงน้องชายของเขา เขาเติบโตมาพร้อมลู่หยางและเป็นญาติพี่น้องที่เขามีไม่กี่คน


ตั้งแต่เขาเป็นผู้ฝึกอสูร ความฝันสูงสุดของน้องชายเขาคือเป็นผู้ฝึกอสูรเช่นพี่ชายเขาและเขาเชื่อว่าลู่หยางจะช่วยให้ฝันเขาเป็นจริง ลู่หยางใส่ใจเรื่องนี้ตลอดเวลา


“เอ้อโกวจื่อขาดแค่เม็ดยานำจิตวิญญาณเพียงอย่างเดียว ข้ารอเจ้ามาที่นี่ และเมื่อนั้นข้าจะทำให้เจ้ากลายเป็นผู้ฝึกอสูร” ลู่หยางคิดในใจ หลังจากทำงานของเขาที่รับมาจากเฒ่าเฟิงสำเร็จ ลู่หยางมีเวลาว่าง เขาจะไปหาฟ่างตงเพื่อคุยเรื่องเม็ดยานำจิตวิญญาณและวิชาฝึกอสูรแปดดาวจะต้องสร้างยอดฝีมือได้อย่างแน่นอน


SB:ตอนที่ 48 นายพรานเฒ่า


ช่วงเวลาเก็บเกี่ยวมาถึงอีกครั้งหนึ่ง ชาวบ้านในชิงหยางได้รับผลตอบแทนกันค่อนข้างดี พวกเขาจะนำเหยื่อที่พวกเขาล่าได้ด้วยความอุตสาหะไปขายในเมืองเซียงหยางที่ซึ่งพวกเขาจะขายได้ราคาดี


ที่ทางเข้าเมืองเซียงหยาง


“ถ้าอยากจะเข้าเมือง จ่ายคนละห้าตำลึงเงิน!” ฮานปินตะโกนใส่พวกราษฎรสามัญชนเพื่อที่จะเก็บค่าคุ้มครอง


เงื่อนไขเหมือนเดิมเช่นแต่ก่อน คือ ถ้าใครมากับผู้คุมอสูร ฮานปินจะอนุญาตให้ผ่านเข้าเมืองโดยไม่ต้องเสียอะไรเลย แต่ถ้าเดินทางมากันเองโดยไม่มีผู้คุมอสูรมาด้วย ทุกคนต้องจ่ายค่าผ่านทาง


บุคคลที่ฮานปินจ้องจับตาดูอยู่คือสามัญชนผู้หนึ่ง เขาไม่มีภูมิหลังใดใด หรือเพื่อนที่เป็นผู้คุมอสูร เขาไม่อยากจ่ายค่าผ่านทางแต่เขากลัวที่จะมีเรื่องขุ่นเคืองกับฮานปินและคนอื่นๆ ดังนั้น เขาหยิบเงินห้าตำลึงเงินออกมาด้วยมือที่สั่นเทา แล้ววางมันลงในมือของฮานปิน  ฮานปินมีสีหน้าอิ่มเอมพอใจแล้วอนุญาตให้สามัญชนผู้นั้นผ่านเข้าเมือง


“นายท่าน เรามาจากชิงหยาง นายท่านเคยตกลงจะให้เราผ่านเข้าไป!”


ในที่สุดก็มาถึงคราวของสามัญชนจากชิงหยาง พวกเขาสอง สามคนต้องการเข้าเมืองถ้าเขาต้องจ่ายคนละห้าตำลึงเงินเช่นคนก่อนหน้านี้ พวกเขาต้องเลือดตกยางออกเป็นแน่


เงินจำนวนนี้ไม่ใช่จำนวนเล็กน้อยสำหรับสามัญชนเหล่านี้ ถ้าต้องควักออกมาจ่ายเหมือนเป็นการกรีดเลือดเฉือนเนื้อของพวกเขา ดังนั้นนักล่าวัยชราผู้เป็นที่นับถือกันผู้หนึ่งรวบรวมความกล้าเอ่ยเจรจากับฮานปิน เขาหวังว่าอีกฝ่ายจะมีเมตตาให้พวกเขาผ่านเข้าไป เพราะเงินจำนวนนี้ไม่ได้ถูกเลย


ฮานปินกวาดตามองพวกเขาแค่แวบเดียวเพื่อจะดูว่ามีผู้คุมอสูรอยู่กับพวกเขา เขาอารมณ์ร้อนขึ้นมาทันทีแล้วพูดวางท่า “ในบรรดาพวกเจ้า ไม่มีผู้คุมอสูร ใช่มั้ย? ถ้าไม่มี ก็ต้องจ่าย พวกเจ้าไม่มีตากันรึ ไม่เห็นกันรึไงว่าคนเมื่อกี้เข้าไปได้ยังไง?”


นายพรานเฒ่าถอนหายใจ เขาจำได้ลางๆว่าไม่นานมานี้ตอนเขาเข้าเมืองก็เคยเกิดสถานการณ์คล้ายๆกันนี้ แต่ตอนนั้น ลู่หยางอยู่ที่นั่นด้วย ไม่เพียงแต่พวกเขาไม่ต้องจ่ายค่าเข้าเมือง พวกเขายังได้ให้บทเรียนกับยามเมืองเหล่านี้ด้วย


แต่ตอนนี้ ลู่หยางไม่เหมือนเดิมแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น เขาได้ยั่วโมโหคนใหญ่โตเช่นหลี่ซิ่ว ถ้าลู่หยางมาพวกเขาไม่กล้าทำให้เขาโกรธ ด้วยกลัวว่าถ้าเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยแล้วพวกเขาจะเดือดร้อน


“เฮ้อ นี่แตกต่างจากเมื่อก่อน ครั้งที่แล้ว เขาอาจเป็นคนรักษาประตูเมือง แต่ลู่หยาง…..เฮ้อ ลืมมันซะ พี่น้องชาวบ้าน เรามาจ่ายเงินให้เขากัน หาไม่แล้วเราจะไม่ได้เข้าเมืองวันนี้” นายพรานเฒ่าถอนหายใจแล้วบอกพวกชาวบ้าน เขายื่นมือออกเพื่อรวบรวมเงินค่าผ่านทาง


“เดี๋ยวก่อน!” ยามเมืองคนหนึ่งได้ยินที่นายพรานเฒ่าพูด เขานึกถีงบางอย่างขึ้นมาได้ เขาดึงแขนฮานปินมาแล้วกระซิบ


ฮานปินโกรธ เขาจ้องไปที่น้องชาย พูดอย่างเกรี้ยวกราดว่า “เจ้าจะมัวมารออะไรอยู่! เตรียมไปเก็บเงินมา!”


คนที่ฮานปินเกลียดมากที่สุดคือคนประเภทนี้ คือ ถึงมีอะไรจะบอก จะรอให้ได้เงินมาก่อนแล้วค่อยพูดจะได้มั้ย?


“ไม่ พี่ใหญ่!”  “ท่านไม่ได้ยินเหรอ? คนกลุ่มนั้นมาจากที่ไหน?” ยามเมืองบอกอย่างตกใจ


“เด็กเอ้ย!”  “เจ้าพยายามจะทำอะไร ถ้าเจ้าไม่อยากได้เงิน งั้นเจ้าก็โง่ล่ะ?” ฮานปินฉุนเฉียว ปกติแล้วลูกน้องของเขาจะเชื่อฟังเขามาก เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นวันนี้


ถึงจะโดนฮานปินดุด่า เขายังจะห้ามฮานปิน เขาดึงฮานปินมาข้างๆแล้วพูดค่อยๆว่า “หัวหน้า ท่านลืมเรื่องที่นายน้อยอู๋พ่ายแพ้ไปเมื่อครั้งที่แล้วเหรอ?”


ฮานปินถลึงตาใส่ลูกน้องทันที แล้วพูดว่า “เด็กน้อย อย่าพูดถึงเรื่องนั้น ข้าจะลืมได้ยังไง แค่คิดถึงมันข้าก็โมโหแล้ว!”


“ไอ้เด็กเหลือขอลู่หยางนั่นก็มาจากชิงหยาง”


เขาใช้กำลังเกือบทั้งหมดตะโกนออกมา อยากให้ฮานปินได้ยิน แล้วเขาก็รู้สึกโล่งขึ้น


ที่สุดแล้ว ฮานปินตกใจ เกือบกระโดดลุกขึ้น “อะไรนะ ในเมื่อเจ้ารู้ ทำไมไม่บอกแต่แรก”


ยามเมืองบอกว่า “ข้ายากจะบอก แต่ หัวหน้า ท่านไม่ให้โอกาสข้า”


ฮานปินตบหัวลูกน้อง “ถ้าอย่างนั้นทำไมเจ้าไม่ปล่อยให้พวกนั้นเข้าไป เจ้าคงไม่อยากให้ข้าตายใช่มั้ย?”


เพียงแค่ได้ยินชื่อลู่หยางก็ทำให้ฮานปินเหงื่อแตกเปียกชุ่มไปทั้งตัว บทเรียนที่ลู่หยางให้ไว้เมื่อครั้งที่แล้วไม่ใช่เล็กๆ และเกือบจะเอาชีวิตของเขาด้วย ถ้าเขาไปทำให้ลู่หยางขุ่นเคืองเพียงเพราะเงินจำนวนเล็กน้อยนี้ ฮานปินนึกอยากตายจริงๆ


“เกิดอะไรขึ้นเหรอนายท่าน? ทำไมจู่จู่ท่านก็ไม่เอาเงินของเรา?” นายพรานเฒ่ารวบรวมเงินได้แล้วแต่ยามเมืองปฎิเสธที่จะรับ


ยามเมืองพูดขึ้นว่า “ไม่รับเงินของพวกท่านดีกว่า อะไร ท่านผู้เฒ่า ท่านตกอกตกใจเพราะมีงินเยอะเกินไปงั้นรึ ท่านอยากให้พวกเราจริงๆ หรืออะไร?”


“อ๋อ ไม่ใช่อย่างนั้น! ขอบคุณ นายท่านที่เมตตา!” ผู้ล่าอาวุโสรีบพูดขึ้น เขาลากเพื่อนๆชาวบ้านที่กำลังจะเข้าเมือง


แต่ฮานปินมาขวางไว้ก่อน เขาบอกว่า “ถูกแล้วท่านผู้เฒ่า ถ้าหากท่านพบท่านลู่หยาง จำไว้นะต้องพูดถึงเราดีดี เพราะตั้งแต่คราวที่แล้ว พวกเรากลายป็นคนใหม่แล้ว!”


“ลู่หยางอีกแล้วเหรอ!?”  “เป็นไปได้มั้ยว่าหลังจากที่มีเรื่องบาดหมางใจกันกับหลี่ซิ่ว หลี่ซิ่วไม่ได้ทำอะไรเขาเลย” นายพรานเฒ่าคิดขณะกำลังเดินอยู่


พวกเขาคิดว่าเป็นเพราะยามเมืองเหล่านี้ที่ไม่คิดจะเก็บเงินพวกเขา แต่สุดท้ายแล้วเป็นเพราะลู่หยางต่างหาก


“เป็นไปได้มั้ยว่าเจ้าเด็กนั่นมีชีวิตที่ดีแล้วตอนนี้?” “แม้แต่ยามเมืองยังกลัวเขา อีกทั้งยังเรียกว่าท่านลู่หยาง!”


นายพรานเฒ่าเต็มไปด้วยความอยากรู้ แต่เขาก็ยังกังวลเล็กน้อย เหนืออื่นใด หลี่ซิ่วเป็นผู้กล้าที่มีชื่อเสียงมาช้านาน


เขาส่ายศรีษะ พูดในใจว่า “ลืมมันซะเถอะ ถ้ามีโอกาส ข้าจะไปเยี่ยมลู่หยางสักครั้ง เขามาจากเมืองเล็กๆ ใครจะรู้ล่ะ บางทีเจ้าเด็กนั่นอาจมีศักยภาพบางอย่างแล้วตอนนี้”


 


ตำหนักเมฆาม่วง


ลู่หยางยังคงยุ่งอยู่ในตำหนักเมฆาม่วง เขาได้รับค่าตอบแทนเล็กน้อยจากฟางตง เขากำลังจะกลับบ้าน


ที่หน้าประตูของตำหนักเมฆาม่วง ลู่หยางเห็นคนกลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่งห้อมล้อมชายชราคนหนึ่งอยู่ เขาสวมเสื้อผ้าธรรมดาๆ และเนื้อตัวสกปรกมอมแมม สถานที่เช่นตำหนักเมฆาม่วงโดยปกติแล้วจะไม่รับสามัญชน ส่วนผู้คุมอสูรเป็นคนที่เดินเข้าและเดินออกเสมอๆ


ชายชรานอนอยู่ที่พื้นหน้าตำหนักเมฆาม่วง ไม่ยอมลุกไป คนรับใช้ก็พยายามที่จะไล่เขาไป ลู่หยางรีบไปที่ประตู อยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น


เขาได้ยินบริกรตะโกน “ไอ้แก่ ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่เจ้าควรอยู่ เร็วเข้า ไอ้ห่านี่ อย่ามาขวางทาง!”


เสียงร้องขอของชายชราดังออกมาจากฝูงชน ข้าขอร้อง ขอข้าอยู่ที่นี่ซักประเดี๋ยวนะ ข้าแค่มาหาใครบางคน ข้าไม่ขวางทางทำมาหากินแน่นอน”


“ถ้าเจ้าอยู่หน้าประตูอย่างนี้ เจ้ากำลังขวางทางธุกิจของเรา!” บริกรตะคอกใส่ ไม่มีร่องรอยของความสุภาพ


ลู่หยางมาถึงหน้าฝูงชนแล้ว และเห็นหน้าชายชราได้ชัดเจน เห็นแวบเดียวเขาจำได้


“นี่ใช่ท่านลุงสงมั้ย? ทำไมท่านถึงมาที่นี่!” ลู่หยางตะโกนจากข้างหลัง


นายพรานเฒ่ายืนงงอยู่ครู่หนึ่งก่อนตระหนักว่าเด็กหนุ่มในชุดสีดำข้างหน้าเขาเป็นคนที่เขากำลังตามหาอยู่ ทีแรกเขาลองเสี่ยงมาดูไม่นึกเลยว่าจะพบลู่หยางที่นี่จริงๆ


เขารีบแหวกฝูงชนและในที่สุดก็มาอยู่ตรงหน้าลู่หยาง


“ไอ้แก่! ข้าบอกแล้วไงว่าที่นี่ไม่ใช่ที่สำหรับคนเช่นเจ้า ทำไมยังพยายามเบียดเสียดเข้ามา อยากให้ข้าจับโยนออกไปรึยังไง!?”


ก่อนที่คนรับใช้จะปรี่เข้าไปคว้าตัวลุงสง มีฝ่ามือหนึ่งตบลงไปบนหน้าของคนรับใช้อย่างจัง ด้วยแรงมหาศาลทำให้มันลอยกระเด็นไป ฟันหักสองซี่ แล้วใบหน้าก็บวมด้วย


ลู่หยางพูดว่า “นี่คือกฎที่ฟางตงให้กับเจ้ารึ เจ้ากล้าแตะต้องเพื่อนของข้า!”


คนรับใช้เพิ่งจะเห็นตอนนี้เองว่าเป็นลู่หยางที่ลงมือใส่เขา และเมื่อได้เห็นสัญญลักษณ์เมฆาม่วงบนชุดของลู่หยางแล้ว เขารีบคุกเข่าลงและร้องขอ “ได้โปรดไว้ชีวิตข้าด้วย ใต้เท้า ข้าผู้น้อยมีตาแต่จำไม่ได้ ข้าผู้น้อยไม่รู้ว่าคนผู้นี้เป็นเพื่อนของท่าน!”


“ช่างมันเถอะลู่หยาง ดูเหมือนเจ้ามีบุญมีวาสนาจริงๆ คนที่ตำหนักเมมฆาม่วงเรียกเจ้าว่าใต้เท้า”


มาถึงตอนนี้ ลุงสงเชื่อสนิทใจแล้วว่าลู่หยางได้มาถึงจุดสูงสุดในเซียงหยางแล้ว ไม่เพียงแต่ยามเมืองที่กลัวเกรงลู่หยางมาก คนที่ตำหนักเมฆาม่วงก็ต้องใว้หน้าเขาด้วย


“โอ้ ลู่หยาง ข้าไม่คิดมาก่อนเลยว่าเด็กโง่เง่าเมื่อก่อนนี้จะโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาแล้ว ข้าคิดว่า วิญญาณแม่ของเจ้าบนสวรรค์ต้องรู้สึกยินดีแน่นอน”


“ท่านลุงสง แม่ของข้ายังไม่ตาย” ลู่หยางพูดค่อยๆ


นายพรานเฒ่าตกตะลึง แต่ก่อนที่เขาจะรู้ตัวอีกที ลู่หยางได้ดึงมือเขาพาเดินออกจากประตูตำหนักเมฆาม่วง


แล้วลู่หยางพูดขึ้นว่า “ท่านลุงสง ท่านต้องเอาหนังสัตว์เข้ามาขายในเมืองใข่มั้ย คงหนักพอดู ข้าจะพาท่านไปหาอะไรกินกันใกล้ๆนี้”


ลู่หยางดึงมือลุงสงพาเข้าภัตตาคารที่ดีที่สุดในเซียงหยาง เมื่อคิดย้อนหลังไปเมื่อก่อน ลู่หยางคิดถึงเพื่อนๆชาวบ้านของเขา พวกเขาล่าสัตว์ที่ภูเขาเดียวกัน ความสามารถในการล่าสัตว์ของเขาก็ได้มาจากนายพรานเฒ่าผู้นี้


ชีวิตเขาตอนนั้นมีความสุขมาก แต่ตอนนี้ หลังจากที่ถูกหลี่ซิ่วยุยง ไม่มีใครในชิงหยางกล้าเข้าใกล้ลู่หยางแล้ว เขารู้ว่าคนพวกนั้นคิดอะไร เขาไม่เคยติดต่อพวกเขาอีกเลย มาวันนี้ เขาพบลุงสงผู้ที่ตั้งใจมาหาเขา เขาตื่นเต้นมาก


“ลู่หยางเอ้ย ข้าไม่คิดให้เจ้าเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้น เจ้าคนเลวหลี่ซิ่ว มันไม่ควรมาหาเรื่องเจ้า ถูกมั้ย?” ชายชราถามด้วยความเป็นห่วง


ลู่หยางยิ้มหยันพร้อมกับบอกว่า “ท่านลุงสง อย่าห่วงเลย ถึงเขาไม่มาตามหาข้า ข้าก็จะไปตามหามัน ไม่เร็วก็ช้า ข้ายังไม่ได้แก้แค้นให้แม่ของข้าเลย”


นายพรานเฒ่าตะลึงกับน้ำเสียงของลู่หยาง แต่ดูสภาพของลู่หยางตอนนี้สิ กินอาหารหนึ่งจานต้องใช้ผลึกมากแค่ไหนกัน และเขาช่างฉลาดจริงๆไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ไหนและดูเหมือนเขาไม่ได้โกหก


นายพรานเฒ่าเฝ้าจับจ้องมองลู่หยางพร้อมกับรำลึกถึงวันเก่าๆที่อยู่กับเขา ชายชราจะเร่งรีบกลับบ้าน เขาร่ำลาลู่หยาง


“ท่านลุงสง ข้ารู้ว่าพวกท่านงานยุ่งมาก ข้าไม่รั้งท่านไว้อีกแล้ว คราวหน้าถ้าท่านมีโอกาสมาเซียงหยาง ท่านต้องตรงมาหาข้านะ มีอีกเรื่องที่ขาอยากให้ท่านลุงสงช่วยเหลือ”


“ข้าอยากให้ท่านลุงกลับไปในเมือง และขอโทษเอ้อโกวจื่อแทนข้าด้วย บอกให้เขาหาเวลามาเซียงหยาง ข้าจะรอเขาที่นั่น”


SB:ตอนที่ 49 เอ้อโกวจื่อเข้าเมือง


นายพรานเฒ่านำข้อความของลู่หยางกลับมาในเมือง ผู้คนพอรู้ว่าเขากลับไปติดต่อกับลู่หยางอีก พวกเขาต่างก็พากันหลีกหนีเขา ในอดีต เขาได้รับความเคารพนับถือสูงมากแต่ตอนนี้ทุกคนไม่ต้อนรับเขา นายพรานเฒ่าเศร้าเสียใจมาก เขามาปรับทุกข์กับเอ้อโกวจื่อที่บ้าน


“เฮ้อ” คิดดูสิ ตอนที่ลู่หยางเป็นผู้คุมอสูรใหม่ๆ มีใครรู้ไหมพวกนั้นพยายามทึ่จะประจบสอพลอเขาแค่ไหน?”


เอ้อโกวจื่อตื่นเต้นขึ้นมาทันทีเมื่อรู้ข่าวเกี่ยวกับลู่หยาง เขารีบถามผู้เฒ่าสง “ท่านลุงสง หมายความว่าท่านลุงได้พบพี่ชายหยางตอนที่เข้าเมืองไปใช่มั้ย?”


ผู้เฒ่าถอนหายใจ “ตอนนี้ มีเพียงเจ้าที่พูดถึงลู่หยางด้วยตาที่เป็นประกายเช่นนี้ได้ คนอื่นๆทำกับเขาเหมือนเขาเป็นแมลงตัวหนึ่ง ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะเขา พวกเราจะไปขายขนสัตว์ในเซียงหยางได้ราบรื่นเช่นนี้เหรอ!”


ไม่เพียงแต่เขาไม่ต้องจ่ายค่าเข้าเมืองแล้ว ก่อนจากกันวันนั้น ลู่หยางยังได้ให้เงินผู้เฒ่าสงจำนวนหนึ่ง เขาบอกว่าจะช่วยทำให้ลุงสงมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ดังนั้น ถึงแม้ชื่อเสียงของลู่หยางจะไม่ดี แต่นายพรานเฒ่ายังรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณเด็กคนนี้


เขาพูดกับเอ้อโกวจื่อ “เอ้อโกวจื่อ พี่หยางของเจ้าเป็นคนดีคนหนึ่งจริงๆ ตอนข้าพบเขาครั้งนี้เขาพูดถึงเจ้าโดยเฉพาะด้วย ข้าแค่ไม่รู้ว่าสมควรจะบอกกับเจ้ามั้ย?”


“ท่านลุงสง บอกมา ข้าอยากรู้พี่หยางบอกอะไรข้า”


เมื่อเห็นสีหน้าท่าทางจริงจังของเอ้อโกวจื่อแล้ว พรานเฒ่าจึงพูดสิ่งที่อยู่ในใจ “พี่หยางของเจ้าบอกให้เจ้าหาเวลาไปหาเขาที่เมืองเซียงหยาง ดูเหมือนเขามีบางอย่างอยากให้เจ้า มันก็แค่ ลุงของเจ้าได้พูดบางอย่างที่ผู้คนเขาไม่พอใจ และเจ้าก็ได้เห็นแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นกับลุงของเจ้าบ้าง เป็นเพราะข้าพบพี่หยางของเจ้าครั้งเดียว เท่านั้นแหละ ข้าไม่ตำหนิใคร และลุงของเจ้าก็จะไม่คัดค้านถ้าเจ้าจะไปหาพี่หยางของเจ้า แต่เจ้าต้องคิดให้รอบคอบถึงผลที่จะตามมาด้วย!”


เอ้อโกวจื่อตบโต๊ะไม้ตรงหน้าเข้าหนึ่งฉาด แล้วพูดเสียงดังว่า “ข้าจะไป! พี่หยางอยากพบข้า ข้าไม่ไปได้ยังไง นอกจากนี้ ใครจะคิดจะสนยังไงก็ช่าง ข้าจะไปพบใครก็ตามที่ข้าอยากพบ พวกเขาไม่ต้องมาสนใจ”


ผู้เฒ่าตบหัวไหล่เอ้อโกวจื่อเบาๆ “เจ้าทั้งสองช่างเป็นพี่น้องที่ดีจริงๆ ฟังจากคำพูดของเจ้าแล้ว ลุงสงคนนี้ก็เบาใจแล้ว ถ้าอย่างนั้น ไปเมืองเซียงหยางไป พี่ชายหยางของเจ้าอยู่ที่นั่น ไม่ว่าเจ้าจะไปที่ไหน ผู้คนจะเรียกเจ้าว่า นายท่าน!”


เอ้อโกวจื่อตาโตขึ้นมา และพูดว่า “นั่นมันไม่อภิสิทธิ์ไปมากกว่าหลี่ซิ่วเหรอ?”


“ไอ้เด็กสกปรก เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่ !?” “หลี่ซิ่วเป็นคนชนิดไหน ไม่ว่าพี่หยางของเจ้าจะเจ้าคิดเจ้าแค้นขนาดไหน เจ้าจะเอาเขาไปเปรียบเทียบกับมันไม่ได้!”


มีเพียงเอ้อโกวจื่อที่ไม่สนใจเรื่องเหล่านี้ แม้ว่าตอนนี้ลู่หยางจะไม่มีอะไรเลย เขาก็ยังคงเป็นพี่ชายหยางของเขาอยู่ดี


เขานึกถึงสิ่งที่ลุงสงบอกเขาอยู่เงียบๆ เช้าตรู่ของวันที่สอง เอ้อโกวจื่อไม่แม้แต่จะไปทักทายป้าหวาง


เป็นเพราะไม่เคยเดินมางมาเมืองเซียงหยางมาก่อน เอ้อโกวจื่อใช้เวลาครึ่งวัน และในที่สุดเขาก็เห็นเมืองที่โอ่อ่าใหญ่โตแล้ว เห็นแค่แวบเดียว เขาก็รู้สึกหลงใหลในความสง่างามหรูหราของเมืองนี้


“พี่ชายหยางได้อยู่ในสถานที่ที่ดีเช่นนี้มาตลอดสินะ มิน่าล่ะพี่หยางถึงไม่ค่อยได้กลับไปชิงหยางบ่อยนัก”


แท้ที่จริงแล้ว เอ้อโกวจื่อรู้ถึงสาเหตุนั้นดี เป็นเพราะทัศนคติของชาวบ้าน มิเช่นนั้นแล้ว ลู่หยางต้องอยากกลับไปที่ชิงหยาง


“ถ้าข้าสามารถอยู่ในเมืองใหญ่อย่างนี้เช่นพี่ชายหยาง”


แม้ว่าชีวิตประจำวันของพวกเขาที่อยู่ในเมืองเล็กๆจะสงบสุขดี แต่ชาวบ้านทุกๆคนต่างก็พากันกังวลเกี่ยวกับอสูรร้ายที่อยู่ในแนวหุบเขาเทวะร่วงหล่น พวกชาวบ้านกลัวว่าวันดีคืนดีพวกมันเกิดบ้าคลั่งขึ้นมาแล้วพากันอพยพเข้ามาในเมืองของพวกเขา


เหตุการณ์ดังกล่าวเรียกว่ากระแสอสูร เกือบทุกสิบปีกระแสอสูรจะหลั่งไหลมาจากแนวหุบเขาเทวะร่วงหล่น และเพราะไม่มีกำแพงเมืองคอยปกป้อง เมืองเล็กๆทนก่อการจู่โจมของกระแสอสูรไม่ได้ ทุกครั้งที่กระแสอสูรระเบิดออกมา ชาวบ้านต้องหลบหนีเข้ามาในเมืองเซียงหยางที่ที่มีกำแพงเมืองและเหล่าผู้กล้าที่จะปกป้องชีวิตพวกเขา


เมืองเซียงหยางยืนตระหง่านอยู่ภายในแนวหุบเขาเทวะร่วงหล่นมาเป็นเวลาหลายพันปีแล้ว และได้ประสบกับกระแสอสูรนับครั้งไม่ถ้วน แต่มันทำอะไรเมืองนี้ไม่ได้ ไม่เพียงแต่เป็นเพราะกำแพงเมือง แต่เป็นเพราะเมืองเซียงหยางซึ่งเป็นเมืองระดับสาม มีผู้กล้าจำนวนมากมายด้วย ที่แข็งแกรงที่สุดคือผู้คุมอสูรระดับสูงที่แท้จริง พวกอสูรธรรมดาๆเอาชนะพวกเขาไม่ได้แม้จะเป็นกระแสอสูรกลุ่มใหญ่ก็ไม่สามารถฝ่าเข้ามาได้


เอ้อโกวจื่อมาถึงหน้าประตูเมืองเซียงหยางแล้ว ขณะที่เขาถอนหายใจอยู่นั้น ฮานปินทำตัวเหมือนเดิมมาหยุดเขาไว้


“ไอ้หนู ช่วยจ่ายมาก่อนที่จะเข้าเมือง!” ยามเมืองพูดจาไม่สุภาพ


เอ้อโกวจื่อจ้องกลับก่อนจะตอบว่า “อ้าว?”  “ต้องจ่ายเงินก่อนที่จะเข้าเมืองเหรอ ทำไมพี่ชายหยางไม่เคยบอกข้ามาก่อน”


“เจ้าหมายความว่ายังไง พี่ชายหยางของเจ้าก็พี่ชายหยางของเจ้า เขาคิดว่าเมืองเซียงหยางเปิดได้โดยครอบครัวของเขางั้นรึ?” “ไอ้หนู เร็วหน่อย เอาเงินออกมาแล้วเข้าเมืองไป ถ้าไม่มีเงิน ก็ไปอยู่ข้างๆโน่น”


“แต่พี่ชายหยางของข้าบอกให้ข้าเข้าเมืองไปหาเขา พวกท่านไม่ให้ข้าเข้าไป งั้นข้าควรทำยังไงล่ะ?”


ฮานปินแผดเสียงขึ้นมาอย่างหมดความอดทน “พี่ชายหยางอีกแล้วเหรอ? เจ้ากำลังพูดถึงใครกันแน่ พี่ชายหยาง เจ้าช่างกล้าไม่ยอมจ่ายค่าธรรมเนียม ถ้าเจ้ามีความสามารถ ไปบอกพี่ชายหยางของเจ้าให้มาพบข้าสิ ถ้าเขากล้าพูดเช่นนั้นต่อหน้าข้า เจ้าก็ไม่ต้องจ่าย”


เอ้อโกวจื่อไม่เคยอยู่ในสถานการณ์เช่นนั้นมาก่อน อีกทั้งตัวเขาเองก็ไม่มีแม้แต่ตำลึงเดียว เขาทำได้แค่บอกความจริงกับฮานปิน “พี่ชายหยางของข้าถือได้ว่าเป็นคนมีชื่อเสียงในเซียงหยาง ท่านให้ข้าเข้าไปก่อนและเมื่อข้าพบพี่ชายหยาง ข้าจะให้พี่หยางมาพบท่าน”


“ไอ้หนู เจ้ากำลังล้อข้าเล่นรึ? เจ้ากล้าเรียกพี่ชายหยางต่อหน้าพวกเรางั้นรึ? เจ้ากล้าดีจริงๆ!”


“ไอ้หนู ตามที่เจ้าพูดเมื่อกี้นี้ ไม่เพียงเจ้าจะได้เข้าเมืองโดยไม่ต้องจ่ายเงิน หัวหน้าของเราอาจหาเวลาไปเยี่ยมเยียนพี่ชายหยางของเจ้าบ้าง ให้เขาจำไว้ เรื่องของยามเมืองปล่อยให้เขาจัดการตามใจเขาด้วยละกัน”


ยามเมืองกลุ่มนั้นพูดเพ้อเจ้อกันไปเรื่อย ฮานปินโบกมือและพูดกับเอ้อโกวจื่อว่า


“ไหนบอกข้ามาซิ ใครคือพี่ชายหยางกันแน่”


“จริงๆแล้วเขาชื่อลู่หยาง แต่ข้าชอบเรียกเขาพี่ชายหยาง”


“อะไรนะ!?”  “พี่ชายใหญ่ของเจ้าคือลู่หยาง!” ฮานปินกระโดดลุกขึ้นทันที


เมื่อฮานปินได้ยินคำสองคำว่าลู่หยาง เขาปวดหัวขึ้นมาทันทีและโบกมือไล่เอ้อโกวจื่อไป


เขามองดูพื้นเพเอ้อโกวจื่อด้วยความขมขื่นที่ซ่อนอยู่ “ระยำ! แม้แต่ไอ้เด็กบ้านนอกกล้าใช้ชื่อลู่หยางมาข่มขู่ข้าที่นี่ ถ้าไม่ใช่…..”


ฮานปินไม่อยากพูดถึงลู่หยางอีก มันเป็นการดีกว่าถ้าจะไม่สร้างปัญหา กับเงินแค่ห้าตำลึง เขาไม่คิดที่จะยั่วให้ลู่หยางกลับมา


“ช่างมันเถอะ ช่างมันเถอะ จากนี้ไปเราไม่รับเงินค่าธรรมเนียมเข้าเมืองแล้ว”  “เราห้ามให้เขาขุ่นเคืองไม่ได้  แต่เราหลีกเลี่ยงได้ ฮานปินพูดกับน้องน้องเขาอย่างช่วยไม่ได้!”


พวกเขาเก็บค่าธรรมเนียมมาหลายปีแล้ว ในอดีตมีนายน้อยอู๋คอยจัดการปัญหาให้ แต่หลังจากครั้งที่แล้ว นายน้อยอู๋ไม่ได้ใส่ใจชีวิตของพวกเขาอีกเลย เมื่อปราศจากกองหนุน เขาก็อยู่อย่างใจเต้นไม่เป็นส่ำ ด้วยกังวลว่าสักวันหนึ่งลู่หยางอาจโผล่มา สุดท้ายแล้วเขาตั้งใจหันหลังให้กับเรื่องไม่ดีแล้วเริ่มต้นชีวิตใหม่


ไม่มียามเมืองคนไหนคัดค้านเรื่องนี้เลย พวกเขากลับกระโดดโลดเต้นไปด้วย เขาตะโกนใส่ผู้คนที่กำลังจะเข้าเมือง “จากวันนี้เป็นต้นไป จะไม่มีการเรียกเก็บเงินค่าเข้าและออกจากเมืองเซียงหยาง! ทุกๆคน ถ้าอยากเข้าเมือง รีบๆมา เข้าไป!”


ทันทีที่เสียงนั้นดังออกมา เริ่มมีความชุลมุนเกิดขึ้นที่หน้าประตูเมือง ฮานปินตะโกนใส่ฝูงชน “อย่าผลักกัน! อย่าผลักกัน!”


ตามคำแนะนำของลุงสง หลังจากที่เอ้อโกวจื่อเข้าประตูเมืองเซียงหยางแล้ว ให้เขาหาที่ตั้งของตำหนักเมฆาม่วง ในที่สุดเขาก็หาพบแล้ว


หลังจากเสร็จงานแล้ว ลู่หยางมาพบฟางตง ตอนนี้ฟางตงเป็นหัวหน้าผู้จัดการแล้ว นอกจากผู้อาวุโสของตำหนัก และนายท่านของตำหนักแล้ว ฟางตงเป็นผู้จัดการระดับสูงคนหนึ่งของตำหนักเมฆาม่วง เทียบกันไม่ได้กับเมื่อก่อนเลย


ดังนั้น การที่ลู่หยางขอความข่วยเหลือจากเขาครั้งนี้จะมีประโยชน์กว่าแต่ก่อนมาก


ลู่หยางดึงฟางตงมาข้างๆแล้วถามว่า “ท่านผู้จัดการฟาง เรื่องที่ข้าขอให้ท่านช่วยเมื่อครั้งที่แล้วเป็นยังไงบ้าง?”


ฟางตงขมวดคิ้วแล้วตอบฉงนๆว่า “เรื่องเกี่ยวกับอะไรเหรอ? มันอะไรนะ ข้าลืม….”


“คนมีเกียรตินี่ขี้ลืมจังเลย ตอนท่านยังเป็นเจ้าของร้าน ท่านสัญญาว่าจะจำใส่ใจไว้”


ในที่สุดฟางตงก็จำได้ ตอนนั้นลู่หยางขอให้เขาช่วยหาเม็ดยาชักนำจิตวิญญาณระดับกลางให้ แต่เมื่อไม่นานมานี้ที่เขาได้เลื่อนขึ้นเป็นหัวหน้าผู้จัดการทำให้มีงานยุ่งขึ้นมากจนเขาลืมเรื่องของลู่หยางไป


ตอนนี้ ดูเหมือนเขาจะตระหนักถึงเรื่องบางอย่าง “อ๋อ ท่านกำลังพูดถึงยาเม็ดชักนำจิตวิญญาณระดับกลางใช่มั้ย? ของสิ่งนั้นหายากจริงๆ ข้าได้ส่งคนไปถามดูแล้ว แต่ยังไม่ได้ข่าวอะไรเลย ทำไมท่านไม่รออีกสักหน่อยล่ะ?”


“ข้าคอยไม่ได้แล้ว”


ลู่หยางได้ฝากความกับท่านลุงสงให้บอกเอ้อโกวจื่อให้มาพบเขาที่เซียงหยาง เขาได้ตัดสินใจแล้วว่าอีกไม่กี่วันข้างหน้า เขาจะจัดการเรื่องของเอ้อโกวจื่อและช่วยให้เขากลายเป็นผู้คุมอสูรที่แท้จริง


ถ้าหากเม็ดยาชักนำจิตวิญญาณระดับกลางหาได้ยากยิ่ง เขาไม่สนใจนัก เขาสามารถใช้เม็ดยาชักนำจิตวิญญาณระดับเริ่มต้นกับวิชาฝึกอสูรที่เขาได้เตรียมไว้ อันดับแรกคือต้องให้เอ้อโกวจื่อฝึกฝนวิชาฝึกอสูรแปดดาวก่อนแล้วค่อยหาสิ่งที่ดีกว่านี้


ดังนั้น เขาบอกฟางตงว่า “ในเมื่อเม็ดยาชักนำจิตวิญญาณระดับกลางนั้นหาได้ยากยิ่ง ถ้าอย่างนั้น ท่านช่วยหาเม็ดยาชักนำจิตวิญญาณระดับต้นให้ข้าที นี่คงไม่ยากแล้วใช่มั้ย?”


“ไม่มีปัญหา!”  ฟางตงตบโต๊ะทันที “ข้าไม่สามารถจัดหาเม็ดยาชักนำจิตวิญญาณระดับกลางได้ แต่เม็ดยาชักนำจิตวิญญาณระดับต้นเป็นเรื่องเล็ก ท่านต้องการเมื่อไหร่น้องชาย”


ลู่หยางยิ้มบางๆแล้วพูดว่า “ข้าต้องการทันที! ยิ่งเร็วยิ่งดี”


ท่านลุงสงกลับไปได้หนึ่งวันแล้ว ลู่หยางเดาว่าไม่เกินสองหรือสามวัน เอ้อโกวจื่อก็จะมาถึง เด็กคนนี้เชื่อฟังลู่หยางมากที่สุด ยิ่งเขาไม่ได้พบลู่หยางมานานแล้ว พอได้ข่าวว่าลู่หยางมีบางอย่างจะบอกเขา เขาต้องรีบแจ้นมาแน่ ดังนั้น ก่อนที่เอ้อโกวจื่อจะมาถึง เขาต้องแน่ใจว่าเขาเองก็พร้อม วิชาฝึกอสูรได้เตรียมไว้แล้ว เม็ดยาชักนำจิตวิญญาณจะได้ตอนกลางคืน  แต่แค่สองอย่างนี้ยังไม่พอสำหรับการที่จะเป็นผู้คุมอสูรต้องมีอสูรดุร้ายเป็นสัตว์เลี้ยงสงครามด้วย มีเพียงผู้คุมอสูรที่สยบสัตว์เลี้ยงสงครามได้จึงจะเป็นผู้คุมอสูรที่แท้จริง


ด้วยความที่เมืองเซียงหยางเป็นเมืองใหญ่ ตราบใดที่มีผลึก ทุกอย่างก็ไม่มีปัญหา ลู่หยางคิดถึงเรื่องนี้ไว้แล้ว เมื่อไหร่ที่เอ้อโกวจื่อมาถึง เขาจะเริ่มฝึกวิชาฝึกอสูรให้ทันที ทันทีที่เขาสำเร็จวิชาแล้ว ลู่หยางจะใช้ผลึกซื้ออสูรดุร้ายให้เขา


SB:ตอนที่ 50 แขนที่แข็งแกร่ง


“ท่านลู่!” มีคนบางคนกำลังมาหาท่านอยู่ด้านนอก!”


ขณะที่ทั้งสองกำลังคุยกัน ข้ารับใช้ของตำหนักเมฆาม่วงวิ่งเข้ามาบอกเขา ลู่หยางไม่ทราบสถานการณ์เช่นกัน ฟ่างตงคิดอยู่ชั่วครู่และกล่าว “ลู่หยาง หากเจ้ามีธุระอะไร เจ้าไปทำให้เสร็จเสียเถอะ สำหรับเม็ดยานำจิตวิญญาณ ข้าจะส่งคนนำมันไปให้เจ้าคืนนี้


“เอาหล่ะ ข้าจะออกไปดูก่อน ส่วนผลึกข้าจะให้เจ้าในภายหลัง! ตามนั้นนะ”

“ผลึกอะไรกัน หากข้าไม่สามารถให้ผลึกชั้นกลางเจ้าได้ ข้าจะให้ผลึกชั้นต้นแก่เจ้าฟรีๆเลย!” ฟ่างตงกล่าวอย่างวีรบุรุษ


ขณะที่ลู่หยางเดินอยู่ เขาส่ายหัวและคิดในใจ “บัดนี้เขาเป็น หัวหน้าผู้ดูแล บุคลิกเขาเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ในอดีตเขาไม่เคยใจดีแบบนี้มาก่อน


เมื่อเอ้อโกวจื่อเห็นลู่หยาง เขารีบวิ่งมาหาเขาและสวมกอด อุ้มลู่หยางขึ้นจากพื้นสามฟุต


“พี่หยาง ข้าหาท่านยากเหลือเกิน ในที่สุดข้าก็เจอท่านแล้ว!”


“เอ้อ โกวจื่อ เจ้าวางข้าลงก่อนได้ไหมเนี่ย?”

เมื่อถูกอุ้มแบบนี้ หน้าลู่หยางบิดเบี้ยว แม้เอ้อโกวจื่อจะเติบโตมากับเขา แต่พวกเราทั้งสองโตแล้วนะ มีเพียงเอ้อโกวจื่อที่กล้าอุ้มลู่หยางแบบนี้


เขาแทบหายใจไม่ออกเมื่อแขนอันใหญ่โตนั่นรัดรอบตัวเขา เขาพยายามออกจากวงแขนของเอ้อโกวจื่อและลงมา เขาจับบ่าเอ้อโกวจื่อและกล่าว “น้องเอ้อ ข้าไม่คาดว่าเจ้าจะมาไวเช่นนี้ ข่าวจากลุงซงดีจริงๆ!”


เพียงวันเดียว เอ้อโกวจื่อรีบรุดมาจากเมืองชิงหยาง โชคดีที่ลู่หยางเตรียมการไว้แล้วและสามารถนำเม็ดยานำจิตวิญญาณให้เขาได้คืนนี้


“ไปกันเถอะน้องเอ้อ ข้าจะพาเจ้ากลับบ้าน! ไปที่บ้านข้าเถอะ” ลู่หยางกอดบ่าเอ้อโกวจื่อและหัวเราะอย่างดีใจ


เอ้อโกวจื่อลูบท้องและกล่าวอย่างเขินอาย “พี่หยางข้าแอบออกมาจากบ้านและเดินทางทั้งวัน ข้ายังไม่ได้กินอะไรเลย พี่ช่วย…”


ก่อนที่เขาจะพูดจบ ท้องเขาเริ่มส่งเสียงร้อง ลู่หยางรู้แต่แรกแล้วว่าเอ้อโกวจื่อนั้นกินจุ การที่ไม่กินอะไรเลยทั้งวันนั้นทรมานมากสำหรับเขา “เอางี้ไหม ข้าจะพาเจ้าไปหาอะไรกินก่อน จากนั้นข้าจะพาเจ้ามาบ้านข้า ข้ามีของบางอย่างจะให้เจ้าด้วยคืนนี้!”


เมื่อเขาได้ยินเรื่องกิน เขาไม่สนใจอะไรแม้กระทั่งของที่ลู่หยางจะให้เขาก็ไม่สนใจแม้แต่น้อย


ที่จริงแล้วเอ้อโกวจื่ออยากมาแคว้นเซียงหยางตั้งนานแล้ว ไม่ใช่อะไรนอกจากเขาได้ยินพวกนักล่าพูดกันว่าที่นี่มีอาหารการกินอร่อย


ดังนั้นความฝันสูงสุดของเขาคือการกินอาหารทั้งหมดของเซียงหยาง บัดนี้โอกาสนั้นมาถึงแล้ว ฝันของเขาจะเป็นจริงเขารอแค่ลู่หยางตอบตกลงที่จะพาเขากินอาหารทั่วแคว้นเซียงหยาง


ลู่หยางเองรู้ว่าเอ้อโกวจื่อชอบกิน และหอสุรานั้นเปิดมาหลายปีแล้วและมีอาหารอร่อยมากมาย ตราบเท่าที่เขามีเงินจ่ายเขาจะกินอะไรก็ได้


ลู่หยางสั่งอาหารราคาแพงมาเจ็ดถึงแปดอย่าง เมื่อเห็นลู่หยางกำลังจะสั่งเพิ่ม เอ้อโกวจื่อรีบห้าม “เรามีแค่สองคนเองพี่หยาง เรากินไม่หมดหรอก!”


แม้เอ้อโกวจื่อจะพูดเช่นนั้น เมื่ออาหารมาถึงจริงๆเขากินได้หมดแหละ เขาอยู่แต่ในเมืองชิงหยาง และไม่เคยเห็นอาหารดีๆแบบนี้มาก่อน ทันใดนั้นเขารู้สึกอยากขอบคุณอาหารของหอสุรา


เมื่อได้ลิ้มลองรสชาติ เขาสูญเสียเหตุผลทั้งหมดและพูดได้เพียงว่า “พี่หยางนี่มันอร่อยเกินไปแล้ว”


หลังจากนั้นลู่หยางพาเขากลับมาที่บ้าน  เอ้อโกวจื่อไม่เคยเห็นบ้านที่หรูหราขนาดนี้มาก่อน เมื่อเขาเข้ามาที่สวน เขาถึงกับตะลึง


“พี่หยาง นี่บ้านพี่หรอ สุดยอดไปเลย ข้าไม่แปลกใจเลยที่ท่านไม่ยอมกลับเมืองชิงหยาง!” เอ้อโกวจื่อกล่าวอย่างตกตะลึง


มุมปากลู่หยางยิ้มขึ้น เขาชอบความไร้เดียงสาของเอ้อโกวจื่อเช่นนี้ หลังจากพาเขากลับมาบ้าน เขาแนะนำบางอย่างเล็กน้อยจากนั้นให้เขา อยู่ห้องถัดจากเขา


เดิมทีแล้วเขาต้องการให้ลู่หลี่อาศัยอยู่ห้องนี้แต่เมื่อเขาไม่ทราบว่าลู่หลี่อยู่ที่ไหน เขาจึงให้เอ้อโกวจื่ออยู่ไปก่อน


ในคืนนั้นฟ่างตงให้คนของเขานำเม็ดยานำจิตวิญญาณมาส่งที่บ้านเขา มันอยู่ในกล่องที่หรูราและข้างในนั้นปรากฎเม็ดยาล้ำค่าอยู่  เม็ดยานำจิตวิญญาณนั้นเป็นฝันของใครหลายคน ทว่าบัดนี้อีกฝั่งกำลังนำสิ่งนี้ให้ลู่หยางโดยไม่ขอผลึกตอบแทนแม้แต่น้อย เพราะเมื่อสถานะของเขาสูงขึ้นสิ่งที่เคยเป็นความฝันของเขาก็ไม่ถือว่าล้ำค่าอะไรอีก

เขากล่าวต่อเอ้อโกวจื่อ “น้องข้า ข้าสัญญาว่าจะทำให้เจ้ากลายเป็นผู้ฝึกอสูรที่แข็งแกร่งเช่นข้า บัดนี้โอกาสมาอยู่ตรงหน้าแล้ว เจ้าแค่ต้องกลืนเม็ดยานี่ลงไป และเจ้าจะกลายเป็นผู้ฝึกอสูรเช่นข้า!”


“พี่หยาง หรือนี่จะเป็นเม็ดยานำจิตวิญญาณที่หลี่ยี่พูดถึงก่อนหน้านี้!”


เอ้อโกวจื่อยังจำหลี่ยี่ได้ดี เพียงเพราะสมุนไพรจิตวิญญาณช่อเดียวได้เปลี่ยนชะตาของเขาทันที เม็ดยานำจิตวิญญาณเพียงเม็ดเดียวสามารถทำให้คนกลายเป็นผู้ฝึกอสูรได้ บัดนี้ลู่หยางพูดเรื่องนี้กับเขา เขารู้ทันทีว่ามันต้องเป็นเม็ดยานำจิตวิญญาณ


เพียงแค่เม็ดยานี้มันล้ำค่าเกินไปสำหรับเขา เขารีบปฏิเสธทันที “พี่หยาง ยานี่ล้ำค่าเกินไปข้ารับมันเปล่าๆไม่ได้!”

“เจ้าไม่เห็นรึ? พวกเขานำมันให้ข้าฟรีๆ ข้าไม่ได้เสียสักตำลึงเดียว แล้วนี่ข้าเตรียมไว้ให้เจ้าโดยเฉพาะอยู่แล้ว หากเจ้าไม่กินมันหรือเจ้าอยากให้ข้ากินมันหละ? ข้าไม่ต้องการเม็ดยานี่อีกแล้ว” ลู่หยางกล่าว


 


แม้ว่าการใช้เม็ดยานำจิตวิญญาณจะสามารถสร้างปาฏิหาริย์ แต่มันไม่ล้ำค่าขนาดนั้น มันเพียงล้ำค่าสำหรับคนธรรมดา สำหรับผู้ฝึกอสูรแล้ว เม็ดยานี่ไร้ค่า “เอ้อโกวจื่อ เชื่อพี่หยางของเจ้า นี่เป็นเม็ดยานำจิตวิญญาณธรรมดา ข้าหาให้เจ้าได้แค่นี้ในตอนนี้ เมื่อข้าแข็งแกร่งขึ้น ข้าจะหาเม็ดยาที่ดีกว่านี้ให้เจ้า ทีนี้เจ้าเพียงแค่ต้องวางใจและกลืนมันลงไป!”


เอ้อโกวจื่อฟังลู่หยางพูด เขายอมกินในที่สุด จากนั้นร่างของเขาเริ่มร้อนขึ้น ผลของเม็ดยานำจิตวิญญาณเริ่มออกฤทธิ์ เอ้อโกวจื่อกลิ้งไปบนพื้นอย่างเจ็บปวด ร่างคนธรรมดาไม่อาจทนทานผลของเม็ดยานี้ได้ ลู่หยางรีบใช้พลังของเขาในการช่วยเอ้อโกวจื่อหลอมรวมกับเม็ดยานำจิตวิญญาณ


หลังจากผ่านไปนาน เอ้อโกวจื่อเริ่มฟื้นคืนสติและหยุดร้อง ลู่หยางเริ่มวางใจ เขาใช้พลังในการมองทะลุร่างของเอ้อโกวจื่อ เขาเห็นมีพลังงานที่ทรงพลังในร่างของเอ้อโกวจื่อแม้ว่าในสายตาของลู่หยาง พลังนี้จะอ่อนแอยิ่งนัก ทว่าเมื่อเทียบกับคนธรรมดา มันทรงพลังมาก


ณ ตอนนี้ เอ้อโกวจื่อได้กลายเป็นผู้ฝึกอสูรแล้ว ลู่หยางนำวิชาควบคุมอสูรออกมาให้เขาฝึกทันที


“พี่หยาง นี่มันวิชาควบคุมอสูร ทุกอย่างพี่เตรียมไว้เพื่อข้าหมดแล้วรึ มิน่าท่านบอกให้ท่านลุงซงส่งข่าวให้ข้ามาที่นี่


ลู่หยางยิ้มกริ่ม “ถูกแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดตอนนี้สำหรับเจ้าคือการฝึกวิชาควบคุมอสูร หลังจากที่เจ้าฝึกสำเร็จ พรุ่งนี้ข้าจะพาเจ้าไปตำหนักเมฆาม่วง ข้าจะหาสัตว์อสูรที่เหมาะแก่เจ้าให้


ณ ตอนนั้นเอ้อโกวจื่อจะเป็นผู้ฝึกอสูรที่แท้จริง ดังเช่นหลี่ยี่เมื่อครานั้น เมื่อเขามีสัตว์เลี้ยงอสูรของตนเอง เขาจะกลายเป็นอีกคนอย่างสิ้นเชิงแตกต่างกับธรรมดา


เมื่อเอ้อโกวจื่อตื่นเต้น เขาถึงกับร้องไห้ต่อหน้าลู่หยาง


“พี่หยาง ท่านดีต่อข้าเหลือเกิน ข้าซาบซึ้งเหลือเกินข้าจะร้องไห้แล้ว!”


“เจ้าโตขนาดนี้แล้วยังจะร้องไห้ทำไมอีก” ลู่หยางหัวเราะ เขารู้สึกว่าในเมื่อเขาไม่ใช่คนธรรมดาอีกต่อไปแล้ว และเอ้อโกวจื่อจะกลายเป็นผู้ฝึกอสูรในอนาคต เรียกเขาว่าเอ้อโกวจื่อคงไม่ดีนัก เขาพูด “เอ้อโกวจื่อ จากนี้ไปเจ้าเป็นคนที่มีสถานะแล้วนะ เอางี้ ข้าจะเรียกชื่อเจ้าจากนี้ไป หลี่เตี๋ยซู่ข้าจะไม่เรียกเจ้าว่าเอ้อโกวจื่ออีกต่อไป”


เตี๋ยซู่หัวเราะ “ตกลง เอาที่พี่หยางสบายใจเลย พี่จะเรียกข้าว่าอะไรก็ได้ พี่หยางดีต่อข้าเหลือเกิน ตั้งแต่เด็กเอ้อโกวจื่อติดตามลู่หยางมาตลอด ตั้งแต่ที่พวกเขาเป็นคนธรรมดาไปล่าสัตว์ในหุบเขา จนกระทั่งตอนนี้เขาเป็นผู้ฝึกอสูรแล้ว เขาก็ยังตามลู่หยางอยู่ แต่เขาชอบมันแบบนี้แหละ


ลู่หยางตบบ่าเตี๋ยซู่ “ตอนนี้มีเพียงเจ้าที่ยังเห็นข้าเป็นพี่ พวกชาวบ้านต่างหลบหน้าข้าเมื่อพวกมันเห็นข้า มีเพียงแค่เจ้าไม่รังเกียจข้า”


พวกมันไม่มีวิสัยทัศน์ เพียงแค่หลี่ซิ่วพวกมันก็ลืมความช่วยเหลือที่พี่หยางให้กับมันในอดีตแล้ว ข้าจะไปกับพี่หยางและโจมตีเมืองฉิงเหอ ทำให้เจ้าแก่นั่นรู้ว่าพวกเราพี่น้องไม่ใช่จะรังแกได้ง่ายๆ!”


สองพี่น้องรำลึกความหลังตอนดึกดื่น หลี่เตี๋ยซู่เริ่มฝึกวิชาใต้การชี้แนะของลู่หยาง ทว่าเขาไม่มีระบบฝึกอสูร เขาไม่สามารถเป็นเช่นลู่หยางได้ที่สามารถเรียนรู้ทุกวิชาเพียงแค่กวาดตามองพวกมัน สำหรับเขาเขาต้องอ่านวิชาพวกนี้คำต่อคำและทำความเข้าใจปริศนาของวิชาทีละน้อยเพื่อสำเร็จวิชาฝึกอสูร


ทั้งสองฝึกวิชากันทั้งคืนและเมื่อรุ่งสางหลี่เตี๋ยซู่เริ่มเข้าใจวิชาควบคุมอสูรได้


“เร็วเข้าลุกขึ้น เลิกนอนได้แล้ว เรามีธุระต้องทำวันนี้นะ!”


หลี่เตี๋ยซู่ขยี้ตาและถาม “พี่หยาง ท่านให้ข้านอนหน่อยไม่ได้หรือ”


ลู่หยางกล่าวอย่างไม่พอใจ “ไม่ได้ ข้าต้องทำงานให้เจ้าเสร็จก่อนที่จะให้เจ้าพักได้ มากับข้าเดี๋ยวนี้!”

วันนี้ลู่หยางไม่ได้เข้าห้องฝึกวิชาจารึก แต่ไปที่ตำหนักชั้นสองที่หอแลกเปลี่ยน ของทั้งหมดในนี้เกี่ยวกับผู้ฝึกอสูร


และที่นี่หรูหรากว่าชั้นหนึ่งอีก มันมีสิ่งแปลกประหลาดในกรง และอสูรดุร้าย มันดูคล้ายคลึงกับลานหมื่นอสูร แต่อสูรเหล่านี้ไม่ได้มีไว้สำหรับพนันแต่เพื่อขาย อสูรทุกตนมีราคาชัดเจนและโดยเสนอราคาสูงเท่านั้นที่พวกเขาจะซื้อพวกมันไปได้


ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม