ลิขิตฟ้าชะตารัก 367-374

 ตอนที่ 367 คำปะเหลาะ 


  


“ท่านบอกว่าฉู่ฉู่สวมให้ท่านหรือ เหตุใดข้าถึงไม่รู้เรื่องนี้เลย ของชิ้นนี้ก็เป็นของเขาหรอกหรือ” ฉู่เกอกะพริบตาปริบๆ ด้วยท่าทีไม่อยากจะเชื่อ หยกเลือดนั้นเป็นของที่พี่ชายของนางเองสวมเข้าที่ข้อมือของอวี้อาเหรา ก่อนหน้านี้ที่นางถามเรื่องหยกเลือดกับหานสือ เหตุใดเขาถึงไม่เห็นจะปริปากพูดถึงเรื่องนี้เลยสักคำ? 


 


 


หรือว่า… 


 


 


หรือว่าตั้งใจที่จะให้นางมายืมหยกเลือดแล้วกลับไปมือเปล่า? ช่างร้ายกาจนัก! 


 


 


อวี้อาเหราเห็นท่าทีของฉู่เกอแล้วก็ไม่พูดอะไรอีก 


 


 


ผ่านไปสักครู่ ฉู่เกอจึงค่อยได้สติกลับมา ก่อนจะยิ้มขึ้นมาด้วยท่าทีปกติอีกครั้ง “ถอดไม่ออกจริงๆ หรือ” 


 


 


“หากเจ้าไม่เชื่อก็ลองดูเถิด” อวี้อาเหรายื่นมือออกไปอย่างใจกว้าง ไม่ปิดบังเลยแม้แต่น้อย 


 


 


ฉู่เกอมองไปที่หยกเลือดที่อยู่ตรงหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อนัก จากนั้นก็ชายตาขึ้นมองไปทางอวี้อาเหรา เมื่อเห็นท่าทีเปิดเผยของอีกฝ่าย โดยไม่มีท่าทีลังเลเลยแม้แต่น้อย นางก็ก้มหน้าลง แล้วยื่นมือออกไปถอดกำไลข้อมือ แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็เหมือนกับกำไลนี้ยึดติดอยู่กับผิวเนื้อ คงจะต้องตัดข้อมือของนางเท่านั้นกระมังจึงจะสามารถนำออกไปได้ 


 


 


อวี้อาเหรารู้สึกจนใจ นางถูข้อมมือแดงๆ ของตัวเองแล้วกล่าว “เจ้าคงเชื่อแล้วใช่หรือไม่” 


 


 


“เชื่อแล้ว” ฉู่เกอยิ้มบางๆ 


 


 


“ข้าจะบอกความลับให้เจ้า หากต้องการที่จะถอดกำไลออกจากมือของข้าแล้วล่ะก็ ก็เหมือนกับคำที่ว่าจะถอดกระดิ่งจำต้องถามคนผูกกระดิ่ง รู้ใช่หรือไม่” อวี้อาเหรากระซิบที่ข้างหูของฉู่เกออย่างลับๆ ล่อๆ มุมปากของนางโค้งขึ้น 


 


 


“ท่านจะบอกว่า ฉู่ฉู่รู้หรือว่าจะต้องถอดกำไลออกอย่างไร” ฉู่เกอเลิกคิ้วขึ้น 


 


 


“ไม่ผิด เจ้าฉลาดมาก” อวี้อาเหราใช้นิ้วชี้กับนิ้วโป้งประกบกันเพื่อทำเสียงดีดนิ้วดังเป๊าะ เสียงเสนาะที่ดังขึ้นในห้องเงียบๆ ฟังดูชัดเจน จากนั้นก็แจกแจงอย่างละเอียด “เจ้าลองคิดดูสิ เป็นพี่ชายของเจ้าที่สวมมันให้ข้า เจ้าเป็นน้องสาวของเขาแท้ๆ แต่อยู่มาตั้งหลายปียังไม่รู้เรื่องหยกเลือดนี่เลย ดูสิว่าเขาปิดบังอะไรเจ้าบ้าง แล้วเรื่องที่จะถอดกำไลหยกนั้นเขาเองก็อาจจะรู้อยู่แล้วก็ได้ เจ้าลองไปพูดปะเลาะเอาเถิด อาจจะรู้ก็เป็นได้ อีกอย่างหยกเลือดนี้เป็นของล้ำค่าเหลือคณา หากมีไว้ได้ครอบครองก็คงจะเข้มแข็งและแข็งแรงยิ่ง เจ้าเองก็อยากให้เขาหายเร็วๆ ใช่หรือไม่เล่า” 


 


 


“ที่ท่านพูดก็ไม่ผิด แต่ว่าเขา…” ฉู่เกอมีท่าทีหวั่นไหวเล็กน้อย และยังเกิดลังเลขึ้นมา 


 


 


“ไม่มีแต่แล้ว ข้าเป็นเพียงคนนอก แน่นอนว่าเขาคงไม่บอกความลับเรื่องวิธีถอดกำไลหยกเลือดกับข้าแน่ แต่เจ้าไม่เหมือนกับข้านี่ เจ้าเป็นน้องสาวของเขา ทั้งยังเป็นน้องสาวร่วมพระมารดาเสียอีก อย่างไรก็คงบอกความลับเรื่องหยกเลือดกับเจ้าแน่ ใช่หรือไม่” อวี้อาเหราตัดบทคำพูดของนาง 


 


 


“ใช่แล้ว!” ฉู่เกอพยักหน้าอย่างมั่นใจ 


 


 


อวี้อาเหรามองไปยังแผนการที่ตัวเองวางเอาไว้ หากฉู่เกอสามารถหาวิธีถอดหยดเลือกออกไปได้ก็คุ้มค่าที่จะขอลองดู เป็นเพราะมีของล้ำค่าเช่นนี้อยู่กับตัว นางก็ต้องพบกับความลำบากมากมาย ช่างร้ายกาจเสียยิ่งนักเชียว อย่างไรนางก็ไม่ยอมที่จะก้มหัวขอร้องฉู่ป๋ายแน่ พูดตามตรงแล้ว ฉู่ป๋ายก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกับนางเลยทั้งนั้น ทำไมนางจะต้องเปลืองแรงเพื่อเขาด้วย จนแม้แต่ชีวิตนางก็แทบจะรักษาไว้ไม่ได้! 


 


 


คงเป็นเพราะนางนั้นเป็นคนดีมีเมตตาเป็นทุนเดิมกระมัง ไม่ว่าใครที่จะต้องมาตายต่อหน้า นางที่มีความสามารถในการช่วยชีวิตอยู่ด้วยแล้ว หากไม่ยอมช่วย ใจของนางก็คงจะไม่สงบเป็นแน่แล้ว 


 


 


ก่อนหน้านี้นางเคยช่วยเหลือผู้ที่มีความสามารถพิเศษ แต่นางก็ไม่เคยคิดว่าตัวเองนั้นจะมีจิตใจดีอ่อนโยนถึงเพียงนี้ คนผู้นั้นเป็นผู้มีความสามารถพิเศษซึ่งถูกจับกุมเอาไว้ จนเกือบจะโดนจับตัวได้ ดีที่สวรรค์มีตา มิเช่นนั้นนางคงโดนทรมานอยู่ในศูนย์วิจัยอยู่ที่นั่นเป็นแน่  


 


 


เมื่อใจดี ก็เป็นดังชาวนาที่ถูกงูเห่าแว้งกัด 


 


 


ดังนั้น นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา อวี้อาเหราก็สาบานว่าจะไม่สนใจเรื่องอะไรอีก! 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 368 เกือบทะเลาะ 


 


 


 


 


 


“พี่เหราเอ๋อร์ ท่านกำลังคิดอะไรอยู่เจ้าคะ” ฉู่เกอเห็นท่าทีของอวี้อาเหรา ก็เรียกอยู่หลายครั้ง นางที่ชะงักไปก็ส่ายหน้า “ไม่มีอะไร เมื่อครู่นี้เราพูดกันถึงไหนแล้วเล่า” 


 


 


“ท่านว่าจะให้ข้าไปถามหาวิธีถอดกำไลหยกกับฉู่ฉู่” ฉู่เกอตอบกลับ 


 


 


“อ้อ ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็ทำตามที่ข้าบอกเถิด” อวี้อาเหราพยักหน้า 


 


 


“ก็ได้ ข้าจะลองดู แต่พี่เหราเอ๋อร์กลับไปพร้อมกับข้าได้หรือไม่ ในเมื่อกำไลหยกเลือดถอดออกมาไม่ได้ ก็มีแต่จะไปขอร้องฉู่ฉู่ด้วยกันกับข้าเท่านั้น” ฉู่เกอนิ่งไปสักครู่ จากนั้นก็เอ่ยปากขึ้นขอร้อง 


 


 


อวี้อาเหราชะงักไป “อาการโรคกระหายโลหิตของพี่ชายเจ้ากำเริบอีกแล้วหรือ” 


 


 


“ไม่ใช่เช่นนั้นหรอก” ฉู่เกอส่ายหน้า “เลือดของข้านั้นสามารถควบคุมอาการของโรคได้ชั่วคราว แต่ก็ไม่สามารถยับยั้งได้นาน ดังนั้นจึงต้องรีบหยิบยืมหยกเลือดมา ดูว่าจะใช้ได้หรือไม่” 


 


 


อวี้อาเหราผ่อนลมหายใจ ขมวดคิ้วแล้วเอ่ยขึ้น “ข้าก็อยากจะไปกับเจ้า แต่ข้าจะลงจากเตียงยังทำไม่ได้ ป่วยหนักเหลือเกิน รอให้ข้าหายป่วยก่อนค่อยว่ากันเถิด เจ้ารีบไปหาวิธีถอดกำไลหยกเลือดออกจากมือของข้าก่อน นี่ก็เท่ากับเป็นการช่วยเหลือเขาด้วยหรือมิใช่” 


 


 


“อืม พี่เหราเอ๋อร์กล่าวได้ถูกต้อง” ฉู่เกอฟังอย่างตั้งใจ แล้วลุกขึ้นยืน ยามนี้เมี่ยวอวี้ก็ยกชาเดินเข้ามาข้างใน “ท่านหญิงน้อย ดื่มชาสักหน่อยค่อยไปเถิดเจ้าค่ะ” 


 


 


“ไม่ต้องหรอก ข้ามีเรื่องที่ต้องทำน่ะ” ฉู่เกอส่ายหน้า ในยามที่กำลังจะเดินจากไปนั้นจึงค่อยหยุดฝีเท้า แล้วหันกลับไปมองยังอวี้อาเหราอย่างลังเล “แล้วก็เรื่องนั้น พี่เหราเอ๋อร์…” 


 


 


“มีเรื่องอะไรก็พูดเถิด” เพียงอวี้อาเหรามองท่าทีลังเลของนาง ก็หันไปสั่งเมี่ยวอวี้ “เจ้าออกไปก่อน” 


 


 


หลังจากที่เมี่ยวอวี้ออกไปแล้ว ฉู่เกอจึงค่อยถามขึ้นด้วยความอึกอัก “นายน้อยสามของจวนท่านคงใกล้จะกลับมาแล้วกระมัง” 


 


 


“นายน้อยสามหรือ” อวี้อาเหราชะงัก นางไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายต้องการจะพูดอะไรกันแน่ 


 


 


ฉู่เกอรีบพูดขึ้นต่อ “ก็อวี้จื้ออย่างไรเล่า” 


 


 


ดวงตาของอวี้อาเหราค่อยๆ แฝงความนัยบางอย่าง ดวงตาเบิกกว้างขึ้นทุกที มองไปยังนางอย่างละเอียดลออพินิจพิเคราะห์ “เจ้าหมายถึงน้องสามของข้าหรือ หรือว่าท่านหญิงน้อยก็รู้จักเขาด้วย?” 


 


 


เมื่อเห็นท่าทีอึกอักของฉู่เกอเข้า ในสายตาของอวี้อาเหรา ฉู่เกอนั้นเป็นผู้พูดจาคล่องแคล่วเก่งกาจนัก ไม่ว่าจะเป็นคำพูดคำจาเมื่อยามที่พบกันครั้งแรก หรือยามที่ต่อปากต่อคำกับจวินอู๋เหินที่หอจุ้ยเซียน นางไม่เคยเห็นฉู่เกอมีท่าทีลังเลและเชื่องช้าเช่นนี้ 


 


 


แต่เมื่อพูดถึงอวี้จื้อนางกลับ… 


 


 


ฉู่เกอรีบโบกไม้โบกมือทันที “พี่เหราเอ๋อร์อย่าได้คิดไปไกล ข้าเพียงแต่เคยรู้จักเขาตอนที่อยู่ที่ค่ายใหญ่แห่งซีซานเท่านั้น แต่ไม่ได้มีอะไรเกินเลย” 


 


 


“เช่นนั้นเจ้าจะตื่นเต้นทำไมกัน” อวี้อาเหรามีสายตาแหลมคม ใช้มือข้างหนึ่งเท้าศีรษะอย่างผ่อนคลาย แล้วเอนตัวลงบนเตียงอย่างเกียจคร้านขณะที่มองฉู่เกอ หัวเราะเบาๆ ในน้ำเสียงหัวเราะแฝงแววเจ้าเล่ห์ 


 


 


“เป็นเพราะข้าทำผิดต่อเขา ดังนั้นจึงได้…” ฉู่เกอมีท่าทีเป็นทุกข์ “แต่ไม่ได้เป็นอย่างที่พี่เหราเอ๋อร์คิด ก่อนหน้านี้ข้าตกอยู่ในอันตราย ยังดีมีเขาช่วยเหลือเอาไว้ แต่ข้ากลับคิดว่าเป็นเขาที่ทำร้ายข้า ดังนั้นข้าจึงเกือบที่จะทะเลาะกับเขาเสียแล้ว วันนี้ข้าคิดแล้วก็รู้สึกละอายใจนัก” 


 


 


อวี้อาเหราพลันเข้าใจมากยิ่งขึ้น แล้วเลิกคิ้วเล็กน้อย “ดังนั้นเจ้าเลยคิดที่จะขออภัยเขาใช่หรือไม่” 


 


 


“อืม” ฉู่เกอพยักหน้าหนักๆ 


 


 


อวี้อาเหราพยายามหุบยิ้ม แล้วตีสีหน้านิ่งขรึม “เรื่องนี้ข้าเองก็ยังไม่แน่ใจ แต่ได้ยินเสด็จพ่อกล่าวว่าอีกสักพักก็คงจะกลับมาแล้ว” 




ตอนที่ 369 พูดตามความจริง 


 


 


 


 


 


“ข้าเข้าใจแล้ว” ฉู่เกอพยักหน้าอีกครั้ง “ถ้าเช่นนั้นพี่เหราเอ๋อร์ก็พักรักษาตัวเถิด ครั้งหน้าจะมาเยี่ยมใหม่ ข้าขอตัวก่อน” 


 


 


ดวงตาของอวี้อาเหรากะพริบถี่ๆ ทันใดนั้นก็กล่าวว่า “หากเจ้าอยากรู้จริงๆ ก็สามารถไปถามที่เรือนพักของอนุรองดูได้ เพราะนางเป็นแม่แท้ๆ ของน้องสาม แน่นอนว่าต้องรู้เรื่องนี้ดีที่สุด” 


 


 


“ขอบคุณพี่เหราที่กล่าวเตือน” ฉู่เกอไม่พูดอะไร จากนั้นจึงค่อยหมุนตัวแล้วเดินจากไป 


 


 


ทันทีที่นางจากไปแล้ว เมี่ยวอวี้ก็เดินเข้ามาข้างใน แล้วส่งชาให้อวี้อาเหรา “นี่เป็นน้ำชาที่บ่าวเพิ่งชงใหม่ๆ ในเมื่อท่านหญิงน้อยไม่ดื่ม คุณหนูก็ดื่มเถิดเจ้าค่ะ ร่างกายจะได้อบอุ่น ป่วยหนักเพียงนี้จะต้องดื่มเครื่องดื่มร้อนๆ ถึงจะดีนะเจ้าคะ” 


 


 


“ข้ายอมที่จะหายช้ายังจะดีเสียกว่า” อวี้อาเหราถอนหายใจ แล้วรับน้ำชามาดื่มอย่างเกียจคร้าน 


 


 


หลังจากดื่มไปหนึ่งอึก นางก็ชะงักไป แล้วจึงเงยหน้ามองเมี่ยวอวี้ ทันใดนั้นนางก็เอ่ยถามว่า “เมื่อครู่นี้เจ้าได้ยินที่พวกข้าคุยกันหรือไม่” 


 


 


“บ่าว…” จู่ๆ เมี่ยวอวี้ก็เกิดอึกอักขึ้นมา 


 


 


อวี้อาเหราพูดขึ้นอย่างผ่อนคลาย “ไม่ต้องลังเล ได้ยินหรือไม่ก็ให้พูดมาตามตรง” 


 


 


“เจ้าค่ะ เมื่อครู่นี้บ่าวได้ยินแล้ว” นางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เมี่ยวอวี้พูดความจริงออกไปทั้งหมด 


 


 


“ถ้าเช่นนั้นเจ้ามีความเห็นว่าอย่างไรกัน” สีหน้าของอวี้อาเหราไม่แสดงอาการอะไร เมื่อครู่นี้นางเฝ้าอยู่หน้าประตูตลอด เมี่ยวอวี้มีฝีมือทางการต่อสู้ แน่นอนว่าการได้ยินคงจะดีกว่าคนทั่วไป คงจะต้องได้ยินเรื่องที่นางคุยกัยฉู่เกอเมื่อครู่นี้เป็นแน่ 


 


 


“ที่คุณหนูถามก็คือ?” เมี่ยวอวี้ชะงัก 


 


 


อวี้อาเหราหัวเราะ “ก็เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างนางและน้องสามของข้าอย่างไรเล่า” 


 


 


“เรื่องนี้บ่าวไม่กล้าพูดหรอกเจ้าค่ะ…” เมี่ยวอวี้รีบก้มหน้าลงในทันที ไม่กล้าที่จะเงยหน้าขึ้นมาแม้แต่น้อย 


 


 


อวี้อาเหราโบกมือขึ้นมาอย่างนึกรำคาญ “เจ้ามีอะไรก็พูดมาเถิด ไม่ต้องมาทำอ้ำๆ อึ้งๆ แค่ข้าถามเจ้าก็ตอบมาเถอะน่า” 


 


 


“ถ้าเช่นนั้นบ่าวจะพูดเจ้าค่ะ” เมี่ยวอวี้รวบรวมความกล้าขณะที่มองตานาง จากนั้นจึงรีบก้มหน้าลงอีกครั้ง “บ่าวรู้สึกว่า แม้ท่านหญิงน้อยจะพูดว่านายน้อยสามเป็นผู้มีพระคุณต่อนาง แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่รู้ แต่เมื่อเห็นท่าทีของท่านหญิงน้อยก็รู้ว่าไม่น่าจะโกหก แต่บ่าวคิดว่าไม่น่าจะเป็นเรื่องบุญคุณแต่เพียงอย่างเดียว” 


 


 


อวี้อาเหราจ้องมองเมี่ยวอวี้แล้วนิ่งคิดไปชั่วขณะ จากนั้นก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วย “เจ้าเองก็พูดได้ไม่เลว หากให้ใครมองก็คงจะรู้ มิเสียงแรงที่เป็นคนที่เสด็จพ่อฝึกมากับมือ ไม่ธรรมดาจริงๆ” 


 


 


“คุณหนูกล่าวชมเกินไปแล้ว บ่าวไม่กล้ารับหรอกเจ้าค่ะ…” เมี่ยวอวี้ก้มหน้าลง เมื่อได้ยินคำชมเลยของอวี้อาเหราก็ไม่กล้าที่จะเงยหน้าขึ้นมา เห็นได้ชัดว่าเพียงคำพูดไม่กี่คำก็ทำให้สีหน้าที่ไม่เคยแสดงสีหน้ายินดียินร้ายเปลี่ยนไปแล้ว 


 


 


แม้ว่าเจาเอ๋อร์จะอยู่ติดกับนางตลอดมา และนางเองก็ถือว่าฉลาดเฉลียว ทว่าความคล่องแคล่วว่องไวอย่างยอดเยี่ยมของเมี่ยวอวี้นั้นไม่มีใครเทียม เหมือนกับชื่อเมี่ยวอวี้ของนางนั่นเอง 


 


 


นางพูดมานาน อวี้อาเหรายิ่งรู้สึกเหนื่อยอ่อน วางมือที่วางค้ำศีรษะแล้วนอนลงไป หลับตาลงแล้วโบกมือ “เจ้าไปพักผ่อนเสียเถิด ข้าเหนื่อยแล้ว ถึงแม้จะมีเรื่องอะไรก็อย่าเข้ามารบกวนข้า หากไม่ฟังข้าจะไล่เจ้าไปเสีย” 


 


 


“…เจ้าค่ะ” มุมปากของเมี่ยวอวี้เบ้ลงเล็กน้อย 


 


 


นิสัยของคุณหนูรองช่างไม่เหมือนคนอื่น ไม่เคยมองใครอยู่ในสายตา ไม่ว่าคนผู้นั้นจะเป็นใครก็ตาม นางล้วนแล้วแต่ไม่ไว้หน้าทั้งนั้น 


 


 


หลังจากที่เดินออกไปแล้ว นางก็ปิดประตูแน่นหนา มิให้ลมหนาวเล็ดลอดเข้ามาได้ หลังจากที่เมี่ยวอวี้ออกไปแล้ว อวี้อาเหราก็ลืมตาขึ้นในฉับพลัน พลิกตัวบนเตียง จ้องมองกำไลหยกเลือดในมือจนเหม่อลอย แล้วค่อยๆ ผล็อยหลับไป 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 370 รัชทายาทมาเยี่ยมไข้ 


 


 


 


 


 


อวี้อาเหรานอนยังไม่ทันถึงหนึ่งชั่วยาม ที่ด้านนอกก็เกิดเสียงรายงานขึ้น นางพยายามอดทนโดยการยกผ้าห่มขึ้นมาปิดหู แต่ผ่านไปเพียงชั่วครู่ เมี่ยวอวี้ก็รีบวิ่งเข้ามา 


 


 


“คุณหนู บ่าวมีเรื่องมารายงานเจ้าค่ะ” 


 


 


อวี้อาเหราโกรธนัก เอนกายลงนอนไม่ขยับ “บอกแล้วมิใช่หรือว่าห้ามมารบกวนยามข้านอน?” 


 


 


“บ่าวทราบเจ้าค่ะ แต่คนผู้นี้บ่าวก็ไม่กล้าปฏิเสธ” เมี่ยวอวี้ว่าอย่างกระวนกระวาย 


 


 


อวี้อาเหรากระชากผ้าห่มออกจากกาย จ้องมองเมี่ยวอวี้ “ถึงแม้จะเป็นฮ่องเต้หรือไทเฮาเสด็จมาแต่เจ้าก็ต้องปฏิเสธไป” 


 


 


“คุณหนู ท่านกล่าวได้ถูกต้องแล้วเจ้าค่ะ” 


 


 


“ไทเฮากับฮ่องเต้เสด็จมาจริงๆ หรือ?” 


 


 


อวี้อาเหราตื่นตกใจอย่างเห็นได้ชัด ความง่วงสลายหายไปในบัดดล ลุกขึ้นนั่งบนเตียงในทันที 


 


 


“ไม่ใช่หรอกเจ้าค่ะ แต่เป็นนางกำนัลอาวุโสประจำตัวของรัชทายาทมาหาท่าน และอัญเชิญราชโองการของรัชทายาทมาด้วย เพราะฉะนั้นบ่าวจึงไม่กล้าที่จะพูดมั่วๆ จึงได้แต่เพียงมารายงานคุณหนูเจ้าค่ะ” เมี่ยวอวี้คุกเข่าลงกับพื้น ยอมให้อวี้อาเหราโกรธ น้ำเสียงของนางแทบจะสั่นเทา 


 


 


อวี้อาเหราชะงัก “เจ้าก็บอกไปสิว่าข้าป่วยหนักจนไม่อาจพบใครได้ มิเช่นนั้นจะติดโรคได้…” 


 


 


“แน่นอนว่าบ่าวบอกไปแล้วเจ้าค่ะ แต่รัชทายาทตรัสว่าคุณหนูไม่ได้อ่อนแอจนไม่อาจพบใครได้ เพียงแค่เป็นไข้หวัดเท่านั้น ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร หากไม่ยอมให้พบก็เท่ากับฝ่าฝืนพระราชเสาวนีย์ของไทเฮา ในเมื่อตรัสเช่นนี้ ไหนเลยบ่าวจะกล้าปฏิเสธ” เมี่ยวอวี้อธิบายเรื่องที่เกี่ยวข้อง 


 


 


รัชทายาทอีกแล้วหรือ? อวี้อาเหราพ่นลมหายใจ “ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็ไปเชิญเข้ามาเถิด” 


 


 


ที่จวินฉางอวิ๋นทำเช่นนี้ก็คงจะเป็นเพราะต้องการบีบบังคับนางเป็นแน่ โทษฐานที่ไม่เคารพไทเฮานั้นหนักหนายากที่จะทานทน ดังนั้นทำอย่างไรนางก็ไม่อาจหลบหน้าเขาได้ แต่ไม่รู้ว่าเขาจะมาเยี่ยมไข้หรือมาโยนหินถามทางกันแน่ อวี้อาเหราไม่เชื่อว่าเขาจะมีจิตใจดีมีเมตตา จึงมาพบนางตามคำสั่งของไทเฮา 


 


 


เมี่ยวอวี้พยักหน้าแล้วทำตามคำสั่งอย่างยินดี เพียงไม่นานก็พารัชทายาทและนางกำนัลอาวุโสเข้ามาในห้อง 


 


 


มุมปากที่เผยเป็นรอยยิ้มเย็นได้หายไปในทันทีที่พวกเขาเดินเข้ามา 


 


 


นางกำนัลอาวุโสหัวเราะร่าขณะที่ก้มหน้าลงทำความเคารพนาง “ข้าน้อยคารวะคุณหนูรอง เพราะองค์ไทเฮาทรงมีพระพลานามัยไม่อำนวย จึงไม่อาจเสด็จออกมาเยี่ยมท่านได้ ดังนั้นจึงส่งตัวข้าน้อยมาโดยเฉพาะ ทั้งยังประทานสินค้าบรรณาการของปีนี้มาให้คุณหนูรองด้วย ทานให้มากๆ จะได้หายไวๆ เจ้าค่ะ” 


 


 


“ขอบพระคุณที่ใส่ใจ เพราะไม่มีแรงที่จะเข้าไปขอบพระทัยในวังหลวง หวังว่าท่านผู้อาวุโสจะช่วยตอบแทนพระกรุณาขององค์ไทเฮาแทนข้าได้” ใบหน้าของอวี้อาเหราเผยให้เห็นถึงรอยยิ้มบางๆ นางเข้าใจเรื่องมารยาทและการปฏิบัติตัวดี จากนั้นจึงค่อยหันไปสั่งเมี่ยวอวี้ “รีบไปรินน้ำชาและนำขนมมาต้อนรับท่านผู้อาวุโสเร็วเข้า ดูแลให้ดีด้วย” 


 


 


“ขอบพระคุณคุณหนูรอง” เมื่อนางกำนัลอาวุโสเห็นว่านางเข้าใจเรื่องราวเช่นนี้ ใบหน้ายับย่นก็ลอบยิ้มขึ้นมา 


 


 


ตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้ อวี้อาเหราก็ไม่สนใจจวินฉางอวิ๋นที่อยู่ข้างๆ เลยแม้แต่น้อย แม้แต่จะมองนางยังขี้เกียจ นางยังคงจำได้ว่าตอนน้นเพราะเหตุใดเจ้าของร่างเดิมของนางจึงได้ร่วงลงจากหน้าผา ชายหนุ่มผู้มีคุณธรรมบางเบาเหมือนใยบัวเช่นนี้ เหตุใดจะต้องไปสนใจด้วย เป็นเพราะเจ้าของร่างเดิมนั้นตาบอด จึงได้มีใจต่อชายผู้นี้ 


 


 


จวินฉางอวิ๋นถูกเมินอย่างสมบูรณ์แบบ จึงทำเพียงยืนนิ่งๆ ไม่สามารถสอดปากขึ้นมาได้สักคำ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องถูกเชิญให้ดื่มน้ำชาหรือทานขนมเลย ในเมื่อเจ้าบ้านเขาไม่ได้เชิญ เขาก็ไม่อาจแบกหน้าไปร้องขอ จึงทำได้เพียงยืนอยู่ที่เดิมเช่นนั้นเอง 


 


 


เมี่ยวอวี้สั่งสาวใช้ให้ไปชงชา ส่วนตัวนางก็ประคองอวี้อาเหราให้ลุกขึ้น 


ตอนที่ 371 ถือสาหาความ 


 


 


 


 


 


อวี้อาเหราช้อนตาขึ้นมองน้อยๆ ก่อนจะหันไปถามนางกำนัลอาวุโส “ไม่ทราบว่าพระพลานามัยของไทเฮาเป็นอย่างไรบ้าง ก่อนหน้านี้หลายวันได้ยินมาว่าทรงพระประชวรอีกแล้ว เดิมทีข้าก็คิดว่าจะเข้าวังไปเข้าเฝ้า เพียงแต่ยืดเยื้อเสียจนตอนนี้ป่วยหนักขึ้นมาแล้ว แม้แต่แรงจะลุกจากเตียงก็ยังไม่มี หวังว่าองค์ไทเฮาจะทรงให้อภัย” 


 


 


“คุณหนูรองช่างใส่ใจยิ่งนัก องค์ไทเฮาคงต้องทรงให้อภัยท่านแน่เจ้าค่ะ” นางกำนัลอาวุโสพยักหน้ารับ 


 


 


ทั้งสองคนพูดคุยกัน จนแทบจะลืมรัชทายาทไปเสียสนิท 


 


 


สีหน้าของจวินฉางอวิ๋นโกรธขึ้งขึ้นมา แต่ทำได้เพียงกัดฟันแน่น แล้วจ้องมองนางกำนัลอาวุโสอย่างนึกรำคาญใจ 


 


 


นางกำนัลอาวุโสสัมผัสได้ถึงสายตาของเขา เช่นนั้นจึงรีบเอ่ยเพื่อทำให้บรรยากาศดีขึ้น “คุณหนูรองป่วยหนัก ไทเฮาทรงใส่พระทัยยิ่งนัก แต่เป็นเพราะตัวพระองค์เองไม่สามารถเสด็จออกมาจากวังหลวงได้ อีกทั้งเป็นเพราะองค์รัชทายาททรงกตัญญูยิ่งนัก ดังนั้นจึงเสด็จมาเยี่ยมท่านแทนองค์ไทเฮาเจ้าค่ะ” 


 


 


“องค์ไทเฮาทรงใส่พระทัยเช่นนี้ ช่างเป็นบุญของอาเหรายิ่งนัก” อวี้อาเหราแสร้งทำเป็นซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณ ก่อนจะมองไปยังจวินฉางอวิ๋นราวกับเพิ่งเห็นเขาเป็นครั้งแรกด้วยท่าทีเกินจริง “ไม่คิดว่าองค์รัชทายาทจะเสด็จมาเยี่ยมหม่อมฉันได้ ถือเป็นเกียรติของหม่อมฉันโดยแท้ หม่อมฉันมิกล้ารับไว้หรอกเพคะ…” 


 


 


จวินฉางอวิ๋นมีท่าทีรำคาญใจ อวี้อาเหราผู้นี้ไม่ได้มีท่าทีหลงใหลในตัวเขาเหมือนเช่นเมื่อก่อนหน้านี้เลย แต่กลับมีท่าทีรังเกียจเดียดฉันท์ เขานั้นเป็นถึงองค์รัชทายาท เป็นชายหนุ่มที่มีเกียรติยศรองจากฮ่องเต้เพียงคนเดียว แต่กลับถูกคุณหนูแห่งจวนอ๋องคนหนึ่งดูแคลนเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ 


 


 


เมื่อมองหน้านางอย่างพินิจพิเคราะห์ ใบหน้าของนางก็ไม่ได้มีสีสันทับถมกันหลายสีเหมือนที่ผ่านมา แต่กลับขาวซีดเหมือนไร้สีเลือด แต่ดวงตาทั้งคู่กลับงดงามส่องประกาย เหตุใดถึงไม่เหมือนกับหญิงสาวที่แต่งหน้าหนาหนักเหมือนเมื่อก่อนเลยเล่า สายตากลับแฝงรอยยิ้มให้เห็น แต่กลับไม่มีแววแห่งความอ่อนโยนเลยแม้แต่น้อย กลับแสดงให้เห็นถึงความหนาวเหน็บ 


 


 


สายตาของนางราวกับเป็นคู่แค้นกันมา 


 


 


อวี้อาเหราสัมผัสได้ถึงสายตาสับสนของเขา ในใจก็ยิ่งเกลียดชัง สายตาก็ยิ่งเย็นชามากยิ่งขึ้น 


 


 


นางกำนัลอาวุโสมองคนทั้งสอง มุมปากก็เหยียดเป็นรอยยิ้ม “ข้าน้อยก็รู้สึกหิวขึ้นมาอยู่บ้าง จึงคิดว่าจะไปหาอะไรทานในห้องครัว แม่นางเมี่ยวอวี้ เจ้าช่วยนำทางข้าไปหน่อยเถิด ให้คุณหนูรองกับรัชทายาทสนทนากันมากๆ หน่อย” 


 


 


เมี่ยวอวี้มองมาที่อวี้อาเหราอย่างลังเล เมื่อเห็นนางพยักหน้าแล้วจึงพาไป 


 


 


นางกำนัลอาวุโสจากไปพร้อมกับเมี่ยวอวี้ อวี้อาเหราไหนเลยจะไม่เข้าใจว่านางกำนัลอาวุโสนั้นจงใจที่จะปล่อยให้นางและจวินฉางอวิ๋นมีโอกาสที่จะได้อยู่ด้วยกันตามลำพัง  


 


 


จวินฉางอวิ๋นนึกถึงพระราชเสาวนีย์ของไทเฮาก่อนที่จะออกจากวัง เช่นนั้นจึงพยายามฝืนที่จะสูดลมหายใจ แล้วก้าวไปข้างหน้า “คิดว่าเจ้าคงรู้ว่าเสด็จย่านั้นทรงให้ความสำคัญกับงานแต่งงานของพวกเราสองคนมาก แต่ไม่ใช่มีเพียงเสด็จย่าเท่านั้น แม้แต่เสด็จพ่อและเหล่าไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินก็ติดตามเรื่องงานแต่งงานของเรา เราเองก็จะไม่ถือสาเรื่องราวในหนหลัง ขอเพียงเจ้าเจียมเนื้อเจียมตัว ไม่หาเรื่องใส่ตัว แน่นอนว่าข้าก็จะดีต่อเจ้า เจ้าว่าอย่างไร” 


 


 


“องค์รัชทายาทกำลังถามหม่อมฉันอยู่หรือ” อวี้อาเหราหันหน้ามองไปรอบๆ ตัว สุดท้ายแล้วจึงค่อยชี้นิ้วมาที่ตัวเอง สายตาที่มองจวินฉางอวิ๋นดูไม่อยากจะเชื่อนัก 


 


 


จวินฉางอวิ๋นรู้ว่านางตั้งใจ แต่ครั้งนี้กลับเป็นครั้งแรกที่เขาไม่โกรธ แต่กลับพยักหน้าอย่างยากที่จะพบเห็น 


 


 


อวี้อาเหราไม่ตอบ แต่กลับวางสายตาเอาไว้ตรงหน้าของโต๊ะเครื่องแป้ง แล้วจึงชี้ไปยังสร้อยไข่มุกที่วางอยู่บนโต๊ะ ก่อนจะหันกลับไปมองจวินฉางอวิ๋น “หม่อมฉันป่วยหนักจนลงจากเตียงไม่ได้ แม้แต่หยิบของก็ยังทำไม่ได้ รบกวนรัชทายาททรงช่วยหยิบมาให้หม่อมฉันได้หรือไม่” 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 372 คนขี้ขลาด 


 


 


 


 


 


“ได้” จวินฉางอวิ๋นไม่รอช้า ก้าวยาวๆ เข้าไปหยิบสิ่งนั้นทันที  


 


 


สร้อยไข่มุกเส้นนั้นกลมอวบงดงาม ทุกเม็ดล้วนเต็งตึงงดงาม ถือเป็นไข่มุกชั้นหนึ่ง ยามที่อวี้อาเหรายื่นมือออกไปรับสิ่งนั้น เล็บแหลมคมกลับทำให้สายสร้อยขาดโดยไม่ทันระวัง ไข่มุกนับร้อยเม็ดหล่นกระจายเต็มพื้น 


 


 


ในมือของนางเหลือแต่เพียงสายสร้อยเท่านั้น 


 


 


“อ๊ะ! ไข่มุกร่วงหมดแล้ว องค์รัชทายาททรงช่วยเก็บให้หม่อมฉันหน่อยเถิด นี่เป็นของที่เสด็จแม่ผู้ล่วงลับของหม่อมฉันทรงทิ้งเอาไว้ให้ มีตั้งหนึ่งร้อยแปดเม็ด หากหายไปแม้แต่เม็ดเดียวหม่อมฉันจะมีหน้าไปพบเสด็จแม่ได้อย่างไรกัน รัชทายาททรงรีบหน่อยเพคะ หากหาไม่เจอแล้วจะลำบาก” อวี้อาเหราจ้องมองไข่มุกที่ร่วงหล่นพื้นพลางเอามือทาบอก ใบหน้าเต็มไปด้วยความทุกข์ทน พลางร้องบอกให้จวินฉางอวิ๋นช่วยเก็บไข่มุกให้นาง 


 


 


จวินฉางอวิ๋นชะงักไปสามวินาที เดิมทีเขาก็คร้านที่จะตามเก็บ แต่เมื่อได้ยินคำว่าเสด็จแม่จากปากของนางก็อดไม่ได้ที่จะก้มตัวลงไปเก็บไข่มุกที่อยู่บนพื้น มุมปากของอวี้อาเหรายกโค้งขึ้น ชี้ไม้ชี้มือไปทั่ว เดี๋ยวก็ให้เขาไปเก็บตรงนั้น เดี๋ยวก็ให้เขาไปเก็บตรงนี้ 


 


 


หลังจากเก็บไข่มุกทุกเม็ดด้วยความยากลำบาก อวี้อาเหราก็นำมานับอย่างพอใจ เมื่อยืนยันว่าครบทั้งหนึ่งร้อยแปดเม็ดแล้วก็พยักหน้าอย่างยินดี 


 


 


“ขอบพระทัยองค์รัชทายาทที่ทรงช่วยเหลือ ช่างซาบซึ้งใจอย่างหาที่สุดมิได้เพคะ” 


 


 


จวินฉางอวิ๋นมองใบหน้ายิ้มแย้มของนาง ทันใดนั้นก็ใจลอย 


 


 


สีหน้ายิ้มแย้มของอวี้อาเหราเปลี่ยนไปเป็นเย็นชา โยนไข่มุกที่กุมเอาไข่มุกไว้เต็มฝ่ามือลงพื้นอีกครั้ง นางชี้นิ้วไปที่พื้นพร้อมแสร้งแสดงท่าทีตกใจ “องค์รัชทายาท จะทำอย่างไรดีเพคะ เพราะเมื่อครู่ไม่ทันระวังจนทำให้ไข่มุกที่พระองค์ทรงเก็บมาอย่างยากลำบากนั้นตกพื้นไปอีกแล้วเพคะ ทำให้พระองค์ต้องทรงเก็บอีกครั้งเสียแล้ว” 


 


 


“ไม่เป็นไร” จวินฉางอวิ๋นเหลือบมองอย่างสงสัยอยู่บ้าง ก่อนจะมองสีหน้าของอวี้อาเหราอย่างพินิจพิเคราะห์ เมื่อเห็นว่านางดูไม่มีท่าทีว่าจะพูดโกหก จึงพูดขึ้นมาอีกครั้ง “เจ้าวางใจเถิด เราจะเก็บให้เจ้าเอง” เมื่อพูดจบ ก็ก้มลงไปเก็บอีกครั้ง 


 


 


อวี้อาเหรามองมาจากบนเตียงด้วยสายตาเย็นชา ไม่คิดว่ารัชทายาทจะมีความอดทนถึงเพียงนี้ 


 


 


จวินฉางอวิ๋นยื่นไข่มุกทั้งหนึ่งร้อยแปดเม็ดส่งคืนให้อวี้อาเหราอย่างระมัดระวัง ก่อนจะปาดเช็ดเหงื่อบนใบหน้า “ครั้งนี้เจ้าเก็บดีๆ หน่อยก็แล้วกัน” 


 


 


“แน่นอนเพคะ” อวี้อาเหราก้มหน้าลงไปนับ 


 


 


ยามที่นางก้มหน้าลงไปนั้น ในเวลาเดียวกันก็ได้เผยลำคอและกระดูกไหปลาร้าขาวราวหิมะที่ส่งกลิ่นหอมน่าหลงใหล ใบหน้าหมดจดงดงามหยาดเยิ้มราวกับหญิงงามล่มเมือง จวินฉางอวิ๋นเหม่อมองจนเหม่อลอยไร้สติไปอีกครั้ง แต่กลับถูกเสียงๆ หนึ่งทำให้คืนสติขึ้นได้ 


 


 


เมื่อจ้องมองไข่มุกที่ตกลงสู่พื้นอีกครั้ง จวินฉางอวิ๋นก็ยิ้มไม่ออกอีกแล้ว หากเพียงครั้งสองครั้งยังสามารถบอกได้ว่าบังเอิญ แต่อย่างไรก็ไม่ควรเกินสามครั้ง ตกลงพื้นถึงสามครั้งจะเรียกบังเอิญได้หรือ? เขามองออกจนหมด นี่เป็นเพราะอวี้อาเหรากำลังทำให้เขาลำบาก น้ำเสียงของเขาจึงฟังดูเย็นชาขึ้นมา “เหตุใดถึงร่วงอีกแล้ว?” 


 


 


“องค์รัชทายาท ทรงรีบช่วยหม่อมฉันเก็บเถิดเพคะ” อวี้อาเหรายังคงใช้ลูกไม้เดิมๆ ชี้ไปที่พื้นเพื่อให้จวินฉางอวิ๋นช่วยเก็บไข่มุกอีกครั้ง 


 


 


จวินฉางอวิ๋นไม่อาจยับยั้งความโกรธเอาไว้ได้ เขาจึงตะคอกใส่ด้วยความโกรธ “เรารู้ว่าเจ้าจงใจใช่หรือไม่” 


 


 


“จงใจหรือ” มุมปากของอวี้อาเหราที่เผยให้เห็นเป็นรอยยิ้มค่อยๆ จางหายไป มองทีท่าโกรธเคืองของจวินฉางอวิ๋น สายตาเปลี่ยนไปเป็นเยาะเย้ยอย่างเย็นชา แล้วพยักหน้ายอมรับโดยไม่ปิดบัง “ไม่ผิด เป็นข้าที่จงใจ จงใจให้เจ้าเก็บอย่างไรเล่า! เป็นอย่างไร? รัชทายาทก็ทรงกริ้วแล้วหรือเพคะ? มาสิ มาฆ่าข้าเหมือนตอนที่เจ้าผลักข้าตกจากหน้าผานั่นเป็นอย่างไร หากตีข้าไม่ตายเจ้าก็คือคนขี้ขลาด!” 


 


 


กล้าบอกว่าเขาเป็นคนขี้ขลาดอย่างนั้นหรือ?! 


 


 


จวินฉางอวิ๋นพลันโกรธจนหน้าดำคล้ำเขียวขึ้นมาแล้ว 


ตอนที่ 373 แผนร้าย 


 


 


 


 


 


เมื่อกำลังจะยกมือขึ้นตี แต่เมื่อเห็นอวี้อาเหราจ้องมองเขานิ่งงัน เป็นเพียงหญิงร่างบางที่อ่อนแอแท้ๆ แต่ว่าในช่วงเวลานี้ นางกลับดูเหมือนชายฉกรรจ์ตัวใหญ่ ไม่ขลาดกลัวเลยแม้แต่น้อย จ้องมองเขาตรงๆ นิ่งๆ ราวกับสายตาของนางกำลังบอกว่า หากตีได้เจ้าก็ตีเลยสิ! ตีเลย! 


 


 


ช่างอวดดีเสียยิ่งนัก… 


 


 


มือของจวินฉางอวิ๋นหยุดค้างอยู่กลางอากาศ ไม่ใช่ว่าไม่กล้า แต่เขากลับชะงักเพราะท่าทีของนางจนลืมไปเสียแล้วว่าเขานั้นต้องการที่จะทำอะไร เห็นแต่หญิงอวดดีไม่กลัวตายตรงหน้าเท่านั้น 


 


 


เมื่อนางกำนัลอาวุโสและเมี่ยวอวี้เดินกลับเข้ามาดู เห็นเหตุการณ์เป็นเช่นนี้เข้าก็รีบเข้ามาอย่างลนลาน 


 


 


เมี่ยวอวี้ยืนขวางอยู่ด้านหน้าของเตียง เพื่อปกป้องอวี้อาเหราที่นั่งอยู่บนเตียง จ้องมองจวินฉางอวิ๋นอย่างไม่เกรงกลัวเลยแม้แต่น้อย 


 


 


นางกำนัลอาวุโสเห็นดังนั้นแล้วก็ดึงมือของจวินฉางอวิ๋นที่ค้างอยู่ในอากาศ แล้วก็เรียกขึ้นด้วยเสียงสั่นเทา “รัชทายาทโปรดอย่าทรงกริ้วเลยเพคะ อย่างไรก็ทรงอย่าทำร้ายคุณหนูรองเลย แม้ว่าพระองค์จะไม่โปรดนางแล้ว แต่ก็ไม่อาจลงไม้ลงมือตีนางได้ หากฮ่องเต้ทรงทราบเข้า แม้องค์ไทเฮาเองก็คงไม่อาจทรงปกป้องได้นะเพคะ…” 


 


 


เขาจะทำร้ายคนหรือ? จวินฉางอวิ๋นตีหน้าขรึม เป็นอวี้อาเหราที่ยั่วยุเขาก่อนแท้ๆ! 


 


 


เขาผ่อนลมหายใจอยู่ภายใน ไม่สูดลมหายใจเข้าก็ไม่ได้ จะถอนหายใจก็ไม่ได้ ทันใดนั้นก็สะบัดชายเสื้ออย่างโกรธเคือง แล้วยืนหันหลังให้เตียงโดยไม่พูดอะไร ช่างร้ายกาจยิ่งนัก เป็นครั้งแรกที่เขาโดนสตรีปั่นหัวเล่นเช่นนี้ เมื่อครู่ยังเห็นว่านางไม่เห็นจะกลัว ยังเชิดหน้าเชิญชวนให้เขาตีอยู่เลยแท้ๆ 


 


 


อวี้อาเหรามองไปยังเมี่ยวอวี้และนางกำนัลอาวุโสที่เข้ามาในห้องอย่างโกรธๆ นางกำลังยั่วยุจวินฉางอวิ๋นให้เขาตีนางอยู่แท้ๆ เช่นนั้นนางจะได้สามารถรายงานต่อหลิงอ๋องได้ เมื่อถึงตอนนั้นก็สามารถใช้เรื่องนี้เพื่อรายงานต่อฮ่องเต้ กระดาษอย่างไรก็ไม่ทนไฟ แม้ว่าฮ่องเต้หรือไทเฮานั้นจะไม่อยากเลื่อนงานแต่งงานเพียงใด แต่ก็คงไม่อาจต้านทานขี้ปากชาวบ้านได้หรอก 


 


 


คนที่ตบตีและพยายามฆ่าภรรยาในอนาคตของตัวเองหลายครั้งหลายคราเช่นนี้ ใครจะกล้าแต่งงานด้วยเล่า? 


 


 


ฮ่องเต้จะไม่นึกถึงพระพักตร์ของตัวเองหน่อยหรือ? 


 


 


เมื่อถึงตอนนั้น นางก็ไม่ต้องแกล้งป่วยอีกต่อไป แต่ไม่คิดว่าจวินฉางอวิ๋นที่โกรธถึงเพียงนั้นแท้ๆ แต่กลับอดกลั้นไม่ลงไม้ลงมือกับนางได้ ยามนี้อวี้อาเหราอยากให้ฝ่ามือของเขาตบนางสักครั้ง แม้ว่าจะเป็นเพียงฝ่ามือเดียว แต่ก็สามารถทำให้งานแต่งงานของนางถูกยกเลิกได้แท้ๆ! 


 


 


แต่ว่ากลับถูกเมี่ยวอวี้และนางกำนัลอาวุโสเข้ามาขวางเอาไว้เช่นนี้ แผนนี้จึงไม่สามารถดำเนินไปอย่างสมบูรณ์ได้… 


 


 


อวี้อาเหราขบริมฝีปากอย่างโกรธเคืองไม่หาย 


 


 


เมี่ยวอวี้จ้องมองคุณหนูของตัวเองอย่างแปลกใจ นางไม่เข้าใจเลย หรือว่านางเข้ามาไม่ถูกจังหวะกัน? 


 


 


อวี้อาเหราสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ แล้วกล่าวกัยเมี่ยวอวี้ว่า “เจ้าพาท่านอาวุโสผู้นี้ไปพักเถิด ข้าขอคุยอะไรกับรัชทายาทเป็นการส่วนตัวเสียหน่อย” 


 


 


“แต่ว่าคุณหนู…” เมี่ยวอวี้มองไปยังจวินฉางอวิ๋นที่กำลังจะลงไม้ลงมือ ท่าทีของนางก็เปลี่ยนไปเป็นลังเล 


 


 


“ออกไปเถิด” อวี้อาเหราออกปากอีกครั้ง น้ำเสียงเฉียบขาดไม่ยอมให้ตั้งคำถามได้เลย 


 


 


เมี่ยวอวี้ไม่กล้าที่จะลังเล จากนั้นก็หันไปยิ้มแย้มกับนางกำนัลอาวุโส “เชิญตามบ่าวมาเจ้าค่ะ” 


 


 


นางกำนัลมองไปยังจวินฉางอวิ๋นและอวี้อาเหราอย่างสงสัย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรมาก ไทเฮามอบหมายหน้าที่ให้นางเปิดโอกาสให้คนทั้งสองพูดคุยกันตามลำพัง หากเป็นความต้องการของอวี้อาเหราเองก็ดีมากเลยทีเดียว แต่นางกลัวว่ารัชทายาทจะลงไม้ลงมือกับคุณหนูรองน่ะสิ… 


 


 


อวี้อาเหราช้อนตามองจวินฉางอวิ๋น ใบหน้ายังคงประดับไปด้วยรอยยิ้ม “ขอรบกวนให้รัชทายาททรงเก็บไข่มุกให้หม่อมฉันด้วยเถิดเพคะ” 


 


 


“ก็ได้” จวินฉางอวิ๋นยืนหันหลังเพื่อสงบสติอารมณ์อยู่เป็นนาน แล้วจึงค่อยยอมรับปาก เขาเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าอวี้อาเหราต้องการจะทำอะไรกันแน่ 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 374 เจ้าบ้าไปแล้ว 


 


 


 


 


 


ไข่มุกเม็ดเล็กยิ่งนัก เมื่อตกลงสู่พื้นก็ยากที่จะเก็บขึ้นมาได้ หากอยู่ข้างๆ เตียงก็สามารถที่จะกลิ้งเข้าไปอยู่ตรงมุม ดังนั้นเวลาค้นหาจึงต้องเปลืองแรงเป็นอย่างมาก ก่อนหน้านี้ก็เก็บมาสองรอบแล้วถึงรู้ว่าอวี้อาเหราจงใจที่จะทำตก เช่นนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกขุ่นเคือง เมื่อคิดว่านางกำลังวางแผนการอะไรบางอย่างอยู่ ก็จำต้องกล้ำกลืนความไม่พอใจลงไป 


 


 


วางลงไปในกล่องที่ละเม็ด อวี้อาเหราก็ถือกล่องไว้แต่ก็ไม่นับอย่างละเอียด รอจนกระทั่งจวินฉางอวิ๋นพยายามเก็บมาอย่างยากลำบากแล้วก็โยนกล่องลงพื้นอีกครั้ง นางลงมาจากเตียง แล้วยืนขึ้น ส่งสายตาเย็นชามองไปทางเขา 


 


 


“เจ้าบ้าไปแล้วหรืออย่างไร!” แม้ว่าในใจของจวินฉางอวิ๋นจะเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งว่านางกำลังยั่วโมโหตัวเองอยู่ แต่เมื่อเห็นอวี้อาเหราโยนไข่มุกที่ตัวเองเก็บมาอย่างลำบากลงพื้นเหมือนขยะเช่นนี้ ทันใดนั้นก็โกรธขึ้นมา สองคิ้วเข้มหนาก็ขมวดแน่นอยู่บนดวงตาทั้งสองข้าง 


 


 


อวี้อาเหราหัวเราะเสียงเย็น “ขอบพระทัยรัชทายาทที่ทรงใส่พระทัย แต่สมองของหม่อมฉันยังคงปกติดี แต่หญิงที่หลงใหลพระองค์จนเสียสตินั่นแหละที่เป็นบ้า! หากไม่ใช่รัชทายาทที่ผลักหม่อมฉันตกหน้าผาในวันนั้น ก็คงไม่อาจจะฟื้นคืนสติมาได้ถึงเพียงนี้ จะว่าไปแล้วเรื่องทั้งหมดนี้คงต้องขอบพระทัยองค์รัชทายาทแล้วเพคะ” 


 


 


“วันที่เจ้าตกหน้าผา ข้านั้น…” จวินฉางอวิ๋นคิดอยากจะพูดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น สองคิ้วขมวดราวกับกำลังจะต้องการอธิบายอะไรบางอย่าง 


 


 


“หากองค์รัชทายาทต้องการจะอธิบายถึงเรื่องในวันนั้นก็ขอทรงอย่าได้พูดถึงเลย” แต่กลับถูกอวี้อาเหราตัดบทอย่างเย็นชา น้ำเสียงของนางราวกับถูกส่งมาจากท้องฟ้าอันห่างไกลอย่างไรอย่างนั้น ซึ่งเต็มไปด้วยความเย็นชาเหน็บหนาว แล้วจึงมองมาที่เขาด้วยสายตาเยาะเย้ย “เมื่อครู่นี้องค์รัชทายาททรงตรัสกับหม่อมฉันเองว่าไม่ทรงสนใจเรื่องในอดีตของหม่อมฉัน ขอแค่หม่อมฉันทำตัวสงบเสงี่ยมพระองค์ก็ทรงยอมรับตัวตนใหม่ของหม่อมฉันมิใช่หรือ? แต่สิ่งที่หม่อมฉันต้องการจะพูดก็คือ ตัวพระองค์เองนั่นแหละที่เป็นบ้าสติไม่ดี!” 


 


 


“เจ้ากล้าว่าเราสติไม่ดีหรือ” จวินฉางอวิ๋นไม่อยากจะเชื่อ อวี้อาเหราที่เมื่อก่อนเอาแต่วิ่งตามหลังเขาตลอด กล้าที่ใช้น้ำเสียงเช่นนี้กับเขาหรือ? 


 


 


อวี้อาเหรายืดอกขึ้น “เมื่อครู่นี้เป็นหม่อมฉันที่ทำไข่มุกตกพื้น เป็นพระองค์เองมิใช่หรือที่ก้มลงเก็บให้หม่อมฉัน องค์รัชทายาทเพคะ หม่อมฉันอวี้อาเหราเป็นถึงธิดาเอกของจวนหลิงอ๋อง ไม่ใช่คุณหนูจากตระกูลเล็กๆ มีคนมากมายที่ต้องการหม่อมฉัน ไมใช่พระองค์เพียงผู้เดียวเสียหน่อย!” 


 


 


“เจ้า…” จวินฉางอวิ๋นถึงกับพูดไม่ออก ไม่เคยคิดเลยว่านางจะกล้าพูดจาเช่นนี้กับเขา ถึงขนาดกล้าที่จะพูดเรื่องแต่งงานออกมาตรงๆ หากเป็นหญิงธรรมดาๆ จะกล้าพูดเช่นนี้ออกมาได้หรือ? แล้วยังกล้าพูดออกมาต่อหน้าองค์รัชทายาทแห่งต้าเยี่ยนอีก! 


 


 


“ไม่ผิด อาเหราของเรานั้นมีคนมากมายต้องการที่จะแต่งงานด้วย มิได้มีเพียงองค์รัชทายาทเพียงผู้เดียวเสียหน่อย” ในยามนี้หลิงอ๋องก็ก้าวอาดๆ เข้ามา แล้ววางมือเอาไว้ที่หน้าอก อาจจะเป็นเพราะเดินทางมาอย่างเร็วจนเกินไป จนทำให้เกิดเสียงลมพัดผ่านทางเดิน จนทำให้ชายเสื้อหรูหราปลิวสะบัด 


 


 


เขากล่าววาจาสนับสนุนอวี้อาเหราขึ้นมาโดยไม่หวาดกลัว 


 


 


อวี้อาเหราตกใจ ทันใดนั้นก็หันมามอง “เสด็จพ่อ?” 


 


 


หลิงอ๋องยิ้มให้นางอย่างอ่อนโยน แล้วจึงค่อยผินหน้าไปทางจวินฉางอวิ๋น แสร้งทำทีเป็นคารวะอีกฝ่ายอย่างมพิธีรีตอง “องค์รัชทายาท จวนหลิงอ๋องของเราช่างเล็กนัก มิอาจรองรับพระองค์ผู้ทรงเกียรติได้ หวังว่าพระองค์จะทรงโปรดอภัย” 


 


 


หากพูดอีกอย่างหนึ่ง ก็คือพวกเราไม่ต้อนรับเจ้าเลยแม้แต่น้อย 


 


 


อวี้อาเหราอดไม่ได้ที่จะชื่นชมหลิงอ๋อง ใช้คำพูดเช่นนี้ก็เท่ากับทำให้จวินฉางอวิ๋นเสียหน้า ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปทำได้ สมแล้วที่เป็นหลิงอ๋อง หากไม่มีความสามารถก็คงไม่อาจมียศตำแหน่งสูงส่งถึงเพียงนี้ได้หรอก 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม