บุปผาเคียงบัลลังก์ 366-373
ตอนที่ 366 บันดาลโทสะ
หลังจากนั้นหรงจิงก็ลุกขึ้นแล้วสำทับสั่งกับขุนพลจิน
“ขุนพลจิน เรื่องนี้สำคัญมาก อย่าให้เกิดความผิดพลาดอะไรขึ้นอีก เลิกประชุมได้”
พูดจบก็หมุนกายเดินไป ขันทีฝ่ายต้อนรับประกาศเลิกประชุม เหล่าขุนนางคุกเข่าทำความเคารพ จนกระทั่งฮ่องเต้ออกจากท้องพระโรงไปแล้ว ขันทีร้องบอก เหล่าขุนนางจึงได้ค้อมกายพากันถอยออกจากท้องพระโรงไป
เหตุการณ์ในวันนี้พลิกผันไปมา แต่เหล่าผู้คนในราชสำนักต่างรู้ว่าครั้งนี้ฮ่องเต้เตรียมจะเปิดทำการปราบปรามทุจริตอย่างหนักหน่วงจริงจังแล้ว
พวกเขาเหล่านี้หากยังมีสมองอยู่และคิดจะรักษาชีวิตตนเองก็จะเจียมเนื้อเจียมตัว ทั้งยังจะรู้ควบคุมพวกเบื้องล่างตน ไม่ให้พวกนั้นทำอะไรให้ถูกผู้อื่นจับจุดอ่อนได้ในระยะนี้
ท้ายที่สุดของเรื่องนี้ ความจริงเป็นเรื่องที่เล็กจนไม่มีอะไรจะเล็กไปกว่านี้อีกแล้ว อวิ๋นเทียนแม้เป็นขุนนางขั้นที่หนึ่ง ทั้งยังเป็นเจ้าเมืองหลานโจวมาก่อน แต่จะว่าไปแล้ว การให้ขุนพลจินไปส่งศพอวิ๋นเทียนกลับหลานโจวในครั้งนี้นั้นเป็นที่แอบขบขันของเหล่าขุนนาง เป็นการแสดงอำนาจของหรงจิงต่อขุนพลจินเฮ่า
ส่วนจินเฮ่าได้ยินเสียงกระซิบกระซาบของผู้คนเหล่านั้นแล้ว สีหน้าชรานั้นก็ยิ่งคล้ำลง
เขาไม่รู้ว่าวันนี้ไยฮ่องเต้จึงได้ทำให้เขาลำบากใจและงงงันเช่นนี้ อาจเป็นเพราะการกระทำของจินกุ้ยเฟยในวันนั้นหลบพ้นสายตาเขา ทำให้เขาไม่รู้ไม่เข้าใจอะไรเลยทั้งสิ้น
คงเพราะเหตุนี้ฝ่าบาทจึงได้มอบหมายเรื่องงานศพของอวิ๋นเทียนให้เขาเป็นคนจัดการ ทำให้เขาโกรธจนเมื่อกลับไปถึงบ้าน
“เป็นเพียงพวกชาติกำเนิดต่ำ หากไม่ใช่เพราะข้าประคับประคองให้เขาขึ้นมา เจ้าเด็กปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมอย่างเขานี่นะ มีหรือจะสามารถขึ้นสู่ฐานะสูงส่งได้!”
“เฮอะ ยังไม่ทันไร ก็คิดจะข้ามหัวข้าขึ้นไปแล้ว!”
จินเฮ่ากวาดอาหารบนโต๊ะร่วงลง อาหารล้ำค่าเลิศรสทั้งโต๊ะถูกกวาดลงพื้นสิ้น เขาไม่เคยโกรธ ไม่เคยบริภาษฮ่องเต้เช่นนี้มาก่อน
ถึงแม้ฮ่องเต้จะดีต่อพวกเขาไม่น้อย ทว่าจิตใจคนก็เป็นเช่นนี้ ได้คืบจะเอาศอก แม้ได้ถึงศอกแล้วก็ยังคิดต้องการมากขึ้นไปอีก ใจมนุษย์ล้วนละโมบไม่มีประมาณ โดยเฉพาะเขาก็เป็นเช่นนี้อยู่แล้ว
ครั้งนั้นเมื่อช่วยผลักดันจนหรงจิงขึ้นเสวยราชย์ได้สำเร็จ เคยคิดว่าเขาเยาว์วัยไม่ประสา ภายภาคหน้าตนเองก็จะอยู่ใต้เพียงคนคนเดียวแต่จะอยู่เหนือกว่าผู้คนทั้งมวล ทั้งยังจะสามารถควบคุมโอรสสวรรค์บัญชาการเจ้าผู้ครองแคว้นได้อีกด้วย
แต่เขาคิดไม่ถึงว่าหรงจิงไม่ใช่คนที่เขาจะสามารถควบคุมได้ตามที่เขาหมายมั่น ทั้งยังกลับเป็นม้าพยศที่หลุดออกจากบังเ**ยนเสียอีก มักทำให้เขาคิดตามไม่ทัน แต่ตั้งแต่จินกุ้ยเฟยได้เข้าวัง ก็นับเป็นบุญคุณใหญ่หลวงต่อบ้านสกุลจินของพวกเขาแล้ว
หากวันใดที่จินกุ้ยเฟยให้กำเนิดพระโอรส เมื่อนั้นด้วยอำนาจของบ้านสกุลจิน จะต้องช่วยเสริมส่งให้เขาได้ขึ้นสู่บัลลังก์อย่างแน่นอน เมื่อถึงเวลานั้นบ้านสกุลจินของพวกเขาก็จะสามารถรุ่งเรืองโชติช่วงอยู่เช่นนี้ได้ตลอดไป
เพราะหรงจิงใช้พระคุณต่อเขาจึงทำให้เขายอมกล้ำกลืน มิเช่นนั้นแล้ว ในครั้งนั้นที่หรงจิงจัดให้เขาไปอยู่โยงที่ชังโจว เขาก็คิดจะก่อกบฏต่อราชสำนักแล้ว จากนั้นก็แค่หาองค์ชายสักคนขึ้นสืบบัลลังก์แทน
ยามนี้จินเฮ่าไม่อาจระงับโทสะ แม้แต่ฮูหยินข้างกายยังไม่กล้าพูดอะไร ฮูหยินของจินเฮ่าเป็นสตรีจากครอบครัวสามัญ แต่เป็นภรรยาที่ตบแต่งของขุนพลใหญ่ มีแต่เออออเชื่อฟังไม่กล้าขัดขืน นางมีฝีมือในการปรุงอาหาร ซึ่งเขาก็มิได้รังเกียจนาง
แต่ในเวลาเช่นนี้ทำให้เขาบังเกิดความเบื่อหน่าย ภรรยาคู่ทุกข์ยากที่ทำให้เขาเห็นแล้วรำคาญใจ
หากเป็นยามปกติจินฮูหยินจะไม่เกรงกลัวขนาดนี้ แต่เพราะว่าเรื่องนี้จินกุ้ยเฟยได้ฝากคำสั่งมาถึงจวนขุนพลจิน
นางมักถูกขุนพลจินกล่าวว่าเป็นคนไร้ประโยชน์
ดังนั้นเมื่อคิดว่าเรื่องเล็กน้อยเท่านี้ไม่จำเป็นต้องแจ้งต่อจินเฮ่า อีกทั้งอีกฝ่ายก็เป็นเพียงขุนนางต้องโทษคงไม่อาจก่อให้เกิดเป็นเรื่องใหญ่โตขึ้นมาได้ จึงได้สั่งคนไปบอกแก่จินรั่วหลิน เจ้าลูกชายที่ไม่เอาไหนคนนั้น
แต่วันนี้นางได้ยินขุนพลจินพร่ำพูดเช่นนี้ จึงได้รู้ว่าเป็นไปได้ที่นางจะก่อเรื่องที่ไม่เข้าท่าขึ้นแล้ว
ตอนที่ 367 หยวนซิ่วฟัง
จินฮูหยินรู้ว่าตนเองทำเรื่องผิดพลาดขึ้นแล้วยิ่งหวั่นเกรงว่าสามีจะรู้เข้า แต่นางก็รู้ว่าเรื่องนี้ไม่อาจจะปิดบังได้ ขุนพลจินเห็นภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากอ้ำอึ้งอยู่เช่นนั้นจึงระเบิดโทสะคว้ากระบี่ขึ้นฟันโต๊ะจนขาดออกเป็นสองเสี่ยง
“เจ้าเด็กเนรคุณเห็นว่าข้าแก่แล้ว คอยดูเถอะว่าข้าจะจัดการเจ้าด้วยมือ…”
ขุนพลจินเฮ่ากำลังโกรธขึ้งตะโกนคำพูดที่ไม่ยำเกรงออกมา ขณะนั้นมีฮูหยินงดงามคนหนึ่งเดินอย่างสงบเข้ามาในห้อง
“ท่านพ่อ อยู่ในเมืองหลวงเช่นนี้ เอ่ยวาจาตามใจไม่ได้นะเจ้าคะ”
สตรีนางนั้นแต่งกายด้วยกระโปรงแขนกว้างสีชมพู ปักลายโบตั๋นดอกใหญ่งานประณีตพิถีพิถัน หยวนซิ่วฟังเป็นภรรยาของจินรั่วหลิน นางเดินเข้าไป นิ้วมือแตะอยู่บนริมฝีปาก
แสดงการปกปิดกิริยาวาจาต่อพ่อสามี ถึงแม้จินเฮ่าจะไม่ฟังคำพูดของภรรยา แต่กับคำพูดลูกสะใภ้แล้ว เขาเชื่อถือยิ่ง
เพราะสะใภ้คนนี้เป็นคุณหนูจากตระกูลใหญ่ มีความรอบคอบในการทำงานและยุติธรรมจนได้ใจของทุกคน
ดังนั้นพอสะใภ้คนนี้เข้าบ้าน นางก็กลายเป็นเจ้าบ้านหญิงที่ดูแลครอบครัว ถึงแม้บุตรชายจินเฮ่าจะไม่มีความสามารถนัก ทว่าลูกสะใภ้ของเขาคนนี้เป็นความพึงพอใจของเขาอย่างยิ่ง กระทำการใดก็มีมารยาทรู้กาลเทศะ ทั้งฉลาดปราดเปรื่องมีความสามารถ
“ซิ่วฟังมาแล้ว…”
เมื่อจินฮูหยินเห็นลูกสะใภ้เข้ามาเหมือนดั่งเห็นผู้ช่วยชีวิต บ่าวไพร่ที่ด้านนอกก็พากันถอนใจโล่งอก โทสะของขุนพลจินรุนแรงยิ่ง ผู้ใหญ่ผู้น้อยทั้งบ้านคงมีเพียงหยวนซิ่วฟังเท่านั้นที่สามารถปลอบเตือนได้บ้าง
จินกุ้ยเฟยที่อยู่ในวังได้รับอิทธิพลจากการได้รู้เห็นเช่นนี้เป็นประจำตั้งแต่เล็กจึงไม่ใคร่รู้สึกอะไรกับสิ่งนี้ สิ่งที่พวกนางพ่อลูกเหมือนกันมากที่สุดก็คืออารมณ์เช่นนี้นี่เอง
ถ้าหากสองพ่อลูกบันดาลโทสะขึ้นพร้อมกัน เรือนหลังนี้ก็ไม่เพียงพอให้ทึ้งทำลาย
ดีที่ว่าหยวนซิ่วฟังเมื่อแต่งเข้าบ้านสกุลจินแล้วก็ได้ช่วยคลี่คลายเรื่องเหล่านี้ไปได้
หยวนซิ่วฟังมองดูสภาพในห้อง นัยน์ตาไหวกระเพื่อมเล็กน้อย แล้วพูดยิ้มๆ ว่า
“ท่านพ่อมาเมืองหลวงเพื่อรักษาอาการป่วยจะบันดาลโทสะได้อย่างไร หากทางในวังรู้เข้าคงต้องกังวลใจเป็นแน่ ท่านพ่อว่าใช่หรือไม่เจ้าคะ”
หยวนซิ่วฟังเดินเข้าไปปลอบขุนพลจินเฮ่าที่บันดาลโทสะ นางปรายสายตาไปยังคนรับใช้ด้านหลังอย่างมีเจตนา
“ท่านพ่อใช้เวลาทั้งชีวิตในสมรภูมิมานาน ทั้งยังเฝ้ารักษาการณ์เพื่อประเทศชาติอยู่ในดินแดนกันดารเหน็บหนาวอย่างชังโจว บัดนี้อายุมากแล้วและฝ่าบาททรงห่วงใยจึงได้ให้ท่านกลับมาใช้ชีวิตบั้นปลายอยู่ในอวิ๋นหยางเมืองหลวงนี้ แล้วเหตุใดท่านพ่อไม่แก้นิสัยแบบขุนพลเสียเล่าเจ้าคะ ถึงจะดุว่าคนรับใช้ก็ไม่ควรต้องลงมือเองเลยนี่เจ้าคะ”
หยวนซิ่วฟังยังคงปลอบโยนขุนพลจินเฮ่าต่อไป ขณะเดียวกันก็พูดคำพูดประหลาดๆ อย่างมีนัย
จินเฮ่าสงบเยือกเย็นลงได้อย่างรวดเร็ว ผงกศีรษะเฉยเมย
หยวนซิ่วฟังลุกขึ้นหันกลับไปมองยังหมู่คนรับใช้
“พวกเจ้าแต่ละคนมัวทำอะไรกันอยู่ พื้นเลอะเทอะออกขนาดนี้ บ้านสกุลจินเลี้ยงพวกเจ้าเสียข้าวสุกกระมัง ต่อไปหากใครทำให้ทำพ่อไม่พอใจอีกพวกผู้ชายจะถูกส่งไปทำงานหนักที่ชังโจว ส่วนผู้หญิงก็จะจับขายเข้าซ่องนางโลมเสีย”
“เรื่องในวันนี้หากใครกล้าปริปากออกมาเพียงคำเดียวหรือพูดขึ้นกับคนอื่น ก็อย่าหาว่ากฎบ้านไร้ความปรานี!”
เมื่อหยวนซิ่วฟังส่งเสียงดุออกไปด้านนอก เหล่าพวกผู้ติดตามก็รีบผงกศีรษะรับทราบและรับรองว่าจะไม่พูดออกไปอย่างเด็ดขาด
ทำให้สีหน้าหยวนซิ่วฟังดีขึ้น เมื่อหันกลับมา นางจ้องมองจินเฮ่า
“ท่านพ่ออย่าได้กังวลใจไปเลย เรื่องนี้มีที่มาที่ไป อีกสักครู่หนึ่งสะใภ้จะเล่าให้ท่านพ่อฟังที่ห้องหนังสือนะเจ้าคะ”
หยวนซิ่วฟังเป็นคนทำงานสุขุมเสมอมา บิดานางเป็นรองมุขมนตรีฝ่ายบริหารซึ่งเป็นงานของขุนนางใกล้ชิดฮ่องเต้ การที่เขาสามารถดำรงตำแหน่งนี้ได้นั้น เบื้องหลังก็ต้องอาศัยกำลังของขุนพลจินไม่น้อย
แต่เขาชื่นชอบลูกสะใภ้คนนี้ด้วยรู้สึกว่านางสามารถดูแลครอบครัวได้ การได้ช่วยเหลือครอบครัวนางก็เหมือนกับการช่วยเหลือตัวเขาเองเช่นกัน
ตอนที่ 368 คำรายงาน
หยวนซิ่วฟังสั่งคนอื่นๆ ให้ออกไปแล้วเข้าไปในห้องหนังสือกับจินเฮ่า จากนั้นเล่าเรื่องเหลวไหลที่จินกุ้ยเฟยกับสามีอีกทั้งยังมีแม่สามีร่วมกันกระทำออกมาจนหมด
จินเฮ่าโกรธพลุ่งพล่านคิดจะระบายโทสะ แต่ในห้องมีเพียงหยวนซิ่วฟังเท่านั้นเขาจึงต้องอดกลั้นไว้ แต่เพียงตบฝ่ามือลงบนโต๊ะเท่านั้น เสียงก็ดังสนั่นหวั่นไหว
“ท่านพ่ออย่าโกรธเลยเจ้าค่ะ อย่างไรเรื่องก็เกิดขึ้นมาแล้วโกรธไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร เหตุที่วันนั้นฝ่าบาททรงอภัยโทษให้อวิ๋นเทียนกลับบ้านเดิมได้นั้นเป็นเพราะอวิ๋นเซียงฉืออยู่ข้างกายพระองค์ และพระองค์ไม่โปรดให้นางถูกผู้อื่นควบคุม ซึ่งเป็นเหตุผลที่เข้าใจได้”
“ทว่ากุ้ยเฟยทรงไม่พอพระทัย จึงมีพระเสาวนีย์มาถึงให้เข่นฆ่าสกุลอวิ๋นทั้งครอบครัว ซึ่งความจริงก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เพียงแต่กระทำไม่ถูกเวลาเท่านั้น”
“คนยังไม่ทันออกพ้นชังโจวก็ถูกประทุษร้าย ทั้งยังตายอยู่ในเหมืองของบ้านเราอีกด้วย”
“เรื่องนี้ความจริงก็ไม่ได้สำคัญนัก แต่บิดาของลูกบอกว่าเป็นเพราะเหอเจี่ยนสุยหัวหน้าสำนักศึกษาถวายฎีกาต่อฝ่าบาท เพื่อจะขอกระดูกของอวิ๋นเทียนจากจวนขุนพลของพวกเรา เมื่อเกิดเรื่องขึ้นเช่นนี้ ฝ่าบาทย่อมไม่พอพระทัยเจ้าค่ะ”
หยวนซิ่วฟังเป็นหญิงสาวที่เฉลียวฉลาด สามารถศึกษาเข้าใจความคิดอ่านผู้อื่นได้อย่างถี่ถ้วน หากมิใช่ด้วยความสามารถนี้ นางคงไม่สามารถผ่านเข้าประตูจวนขุนพล ทั้งยังมาเป็นนายหญิงของบ้านสกุลจินได้
“ฝ่าบาทไม่พอพระทัยรึ พระองค์…”
ขุนพลจินฟังคำพูดของหยวนซิ่วฟังแล้วพอจะมองอะไรออก สายตาจึงเย็นเยียบลง
“เจ้าโง่สองคนนั่น สร้างความเดือดร้อนอย่างมหันต์ให้ข้าเสียแล้ว!”
แน่นอนว่าขุนพลจินเข้าใจถึงจุดสำคัญในเรื่องนี้ เขาตบฝ่ามือลงบนโต๊ะอีกครั้ง ทำให้โต๊ะที่ถูกกระทบด้วยเรี่ยวแรงมหาศาลถึงกับส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดขึ้น
หยวนซิ่วฟังรู้ดีว่าจินเฮ่าจะต้องเป็นเช่นนี้ นางไม่ลนลาน ยังคงนั่งอย่างสงบอยู่ด้านข้างมองดูไฟโทสะของจินเฮ่าที่ลุกโชน
“ท่านพ่อจะทำอย่างไรกับเรื่องนี้เจ้าคะ ฝ่าบาทพิโรธนั้นก็จริงอยู่ แต่ดูจากที่ทรงกระทำแล้วไม่ได้ทรงมีเจตนาจะนำเรื่องนี้มาคิดบัญชีอะไร กลับเห็นชัดตามความรู้สึกของลูกว่าฝ่าบาทเพียงเตือนท่านพ่อเท่านั้น”
“พระองค์ยังทรงรำลึกถึงความสัมพันธ์ครั้งเก่าก่อน แล้วเรื่องนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับการลบหลู่พระองค์โดยตรง ส่วนลูกเองก็ทำงานไม่รอบคอบ หากรู้เรื่องนี้ก่อนแต่ต้น คงจะไม่เลินเล่อจนเกิดความผิดพลาดใหญ่หลวงเช่นนี้”
วันนั้นหยวนซิ่วฟังกลับบ้านเดิม ส่วนข่าวจากในวังก็ส่งมาถึงมือจินฮูหยินพอดี มิเช่นนั้นแล้วข่าวคราวเช่นนี้นางย่อมต้องตรวจสอบหาความจริงเสียก่อน จะไม่มีทางปล่อยให้จินรั่วหลินกระทำการเลอะเทอะเช่นนี้
เมื่อนางพูดเช่นนั้น จินเฮ่ากลับสะบัดมือ
“เรื่องนี้โทษเจ้าไม่ได้ เจ้าสองตัวดีนั่นจะต้องจัดการอย่างจริงจังเสียที คนหนึ่งไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำคิดว่าเมืองหลวงเป็นชังโจว ส่วนอีกคนก็โง่งมตลอดกาลหมดทางเยียวยา!”
หยวนซิ่วฟังไม่แยแส นางเองก็ไม่รู้จะพูดอย่างไร เพราะในใจนางก็คิดเช่นนั้น ครั้งนั้นที่บิดาให้นางแต่งเข้าบ้านสกุลจิน ก็เพราะเห็นว่าจินเฮ่าฉลาดปราดเปรื่อง ส่วนจินรั่วหลินก็เชื่อฟังบิดาเป็นอันมาก
เขาเป็นพวกมือไม้แคล่วคล่องทว่าไร้สมอง เพียงหยวนซิ่วฟังมาเป็นมันสมองให้เขาก็ใช้ได้แล้ว
ซึ่งทั้งสองครอบครัวต่างรู้กันดี ขอเพียงหยวนซิ่วฟังมีความฉลาดปราดเปรื่องก็เพียงพอแล้ว ซึ่งนางเองก็คิดเช่นนั้น ดังนั้นตั้งแต่ที่นางเข้าบ้านสกุลจินมา นอกจากจินเฮ่าแล้วคนอื่นล้วนไม่อยู่ในสายตานาง สามีนางก็เช่นกัน
จินเฮ่าไม่รู้ความคิดของหยวนซิ่วฟัง เขายังคงโกรธอยู่ภายใน แต่โทสะของเขาในตอนนี้ไม่ใช่พุ่งไปที่ฮ่องเต้แต่เป็นเหอเจี่ยนสุย ล้วนเป็นเพราะเขาที่ถวายฎีกาขอกระดูกคืน
นี่เป็นการยุแหย่ฝ่าบาทให้เกิดความแตกแยกอย่างแน่ชัด แล้วฝ่าบาทก็ทรงเชื่อเขาเสียด้วย
ถึงแม้ครั้งนี้ฝ่าบาทจะตำหนิเขาอย่างเปิดเผยเพื่อแสดงให้เห็นว่าพระองค์ไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องนี้นัก แต่เขาเป็นนักรบที่อยู่ในราชสำนักในนานปีเช่นนี้ มีหรือจะไม่รู้ว่าการนี้มีแผนการอะไรอยู่
ตอนที่ 369 ช้อนตาประสบ
วันนี้หรงจิงมีงานต้องสะสางมากมาย เหล่าท่านอ๋องพระญาติทั้งหลายที่ไม่ได้พบกันมานานวันนี้ต่างพากันมาเยี่ยมคารวะพูดคุย เขาเองก็คร้านจะปฏิเสธจึงได้ให้เข้าพบจนครบทุกคน ดังนั้นตลอดทั้งวันจึงมีงานที่ไม่ได้ทำมากมายแต่กลับได้พบปะผู้คนมากหน้าหลายตา
กว่าจะกลับไปถึงตำหนักเจิ้งหยางฟ้าก็มืดแล้ว เมื่อผ่านเข้าประตูตำหนักพบเพียงความเงียบสงัดและไม่เห็นเซียงฉือเดินไปมาอยู่ในนั้น
หรงจิงฝึกวิทยายุทธเป็นประจำ ทำให้เสียงฝีเท้าของเขาเบาโดยไม่เจตนาและเป็นความเคยชินไปแล้ว เขาเดินด้วยฝีเท้าแผ่วเบาเข้าไปยังโถงด้านใน
เขาไม่คิดว่าจะมีใครอยู่ข้างในจึงเดินไปถึงหน้าโต๊ะตามสบายเพื่อจะไปอ่านรายงานต่อ ช่วงนี้เขายุ่งไปกับการงานอื่นจนแทบจะไม่มีเวลา
แน่นอนว่าเขาก็ทุ่มเททั้งแรงกายและความคิดเกือบทั้งหมดไว้กับสิ่งนี้ พอเข้าไปถึงตำหนักฉินเจิ้ง ก็เห็นเซียงฉือขดตัวเป็นก้อนฟุบอยู่บนโต๊ะหนังสือหลับสนิท
“จะนอนทั้งทีเหตุใดต้องประหลาดเช่นนี้ด้วย ไม่รู้จักไปหลับไปนอนบนเตียงให้ดี”
หรงจิงมองดูเซียงฉือฟุบอยู่ในที่นั้นอย่างน่าเอ็นดูก็บังเกิดความรักใคร่เอ็นดูขึ้น เขาชอบการตรวจอ่านรายงาน เพราะนอกจากเขาจะเป็นฮ่องเต้ที่ต้องการจะเป็นฮ่องเต้ที่ดีแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดคือเขาชื่นชอบจัดการงานเมือง และงานเมืองสำหรับเขานั้นก็เป็นเรื่องง่าย
ตรงกันข้ามกับฝ่ายใน ความสกปรกโสมมในที่นั้นเป็นสิ่งที่เขาไม่พึงปรารถนาแลเห็นอย่างที่สุด แต่จำเพาะผู้หญิงพวกนั้นก็เป็นผู้หญิงของเขาทั้งสิ้น นอกจากความถูกต้องแล้วยังมีความผูกพัน ซึ่งจะจัดการอะไรขึ้นมาล้วนทำให้เขาลำบากใจ
ดังนั้นเขาจึงชอบตำหนักเจิ้งหยางที่อยู่ระหว่างฝ่ายในกับราชสำนักฝ่ายหน้าที่สุด ที่นี่เป็นสถานที่ที่เขาใช้เวลาอยู่ได้นานที่สุด
และเป็นสถานที่ทำงานที่สำคัญของเซียงฉือ ส่วนเขาก็ได้อยู่ในสถานที่ที่สบายที่สุดและพบกับหญิงสาวที่เขาคิดว่าให้ความสบายใจเป็นที่สุดอีกด้วย
หญิงสาวคนนี้ถึงจะมีความคิดอ่านแผนการอยู่บ้างแต่ทว่าปรากฏให้เห็นได้ง่ายดาย ถึงจะต้องการให้ตนเองได้มีชีวิตที่ดีขึ้นบ้างแต่ก็ไม่ทำร้ายคนอื่นทั้งไม่เจ้าเล่ห์เพทุบาย ทำให้หรงจิงมองความคิดอ่านของนางได้อย่างชัดเจน
นางเผยตัวโจ่งแจ้งอยู่ต่อหน้าเขา ใช้ชีวิตอยู่ในความเป็นจริง และเป็นความเป็นจริงที่เขาชื่นชอบ
หรงจิงเดินไปข้างกายเซียงฉือ เขายื่นนิ้วมือออกไปเขี่ยเส้นผมที่ปรกหน้าผากนาง เผยให้เห็นหน้าผากที่ขาวผุดผาด ท่านอนหลับของเซียงฉือนับว่าดี เพราะอย่างน้อยก็ไม่มีน้ำลายยืดออกมา
เมื่อเขาเห็นนางรู้สึกหนาวเย็นจึงไปหาผ้าคลุมมาคลุมให้นางผืนหนึ่ง สัมผัสที่นุ่มแผ่วเบาสร้างความพึงพอใจแก่นาง ทำให้นางยิ่งซุกตัวแนบแน่นกิริยาท่าทางออดอ้อนแบบเด็กๆ
หรงจิงมองดูท่าทางของนางอยู่อย่างนั้น เขานั่งลงข้างกายนาง ลูบเส้นผมยาวดำแล้วไล้แก้มนาง ความรู้สึกนั้นเป็นไปโดยธรรมชาติ เขามองดูจมูกได้รูปของนางกับคิ้วที่มีความคล้ายคลึงกับของเขา หากเปรียบกับสตรีอื่นแล้ว คิ้วของนางแลดูเชิดเกินไปสักหน่อย
แต่เมื่อประกอบเข้ากับดวงตาหงส์ของนางแล้วแลดูเหมาะสมที่สุด ดูมีชีวิตชีวา ตื่นตัวเฉลียวฉลาด
นิ้วมือของเขาลูบไล้ไปช้าๆ ดวงตากับริมฝีปากเขาก็ค่อยๆ เคลื่อนเข้าใกล้ เป็นความรู้สึกที่ถูกนำพาไปตามธรรมชาติ
ราวกับควรเป็นไปเช่นนี้อยู่แล้ว เขาลูบไล้แก้มนวลของนางเบาๆ คิดที่จะประทับจูบแผ่วๆ ลงบนแก้มสีชมพูคู่นั้น
หรงจิงเคลื่อนเข้าไปจนลมหายใจยิ่งชิดใกล้ รอยยิ้มหวานฉ่ำผุดขึ้นบนริมฝีปากเขา
เซียงฉือรู้สึกว่ามีคนเข้ามาใกล้ ทั้งลมหายใจของหรงจิงก็ยิ่งกระชั้นชิด ขนตานางสั่นไหวขึ้นเบาๆ ดวงตาดำสดใสก็ลืมขึ้นมาในทันที
ตอนที่ 370 กระอักกระอ่วน
ความจริงเซียงฉืออ่านรายงานอยู่ แต่เมื่อคืนนี้เหนื่อยหนักหนาเกินไปจริงๆ นางอ่านพลางสัปหงกไปพลาง และสุดท้ายก็หลับไปจริงๆ
เวลานี้นางกำลังหลับสบายที่สุด แต่จู่ๆ รู้สึกคันจมูกขึ้นมา เป็นความรู้สึกที่ประหลาด จึงสูดจมูกเบาๆ ด้วยความสงสัยแล้วลืมตาขึ้น
แล้วก็เห็นดวงตาคู่หนึ่งกับริมฝีปากบางอมชมพูอยู่ใกล้แค่เอื้อม แถมริมฝีปากนั้นดูเหมือนจะยิ่งเข้ามาใกล้ เซียงฉือลนลานหลบโดยสัญชาตญาณ
“โอ๊ย!”
ทั้งคู่ร้องขึ้นพร้อมกันด้วยความตกใจ หรงจิงขยี้จมูก เซียงฉือป้องหน้าผาก ปิดดวงตาทั้งคู่แน่นแล้วหลบห่างออกไป
หรงจิงมองเซียงฉือด้วยสายตาเย็นชา ผู้หญิงคนนี้ เมื่อคืนยังมีเจตนายั่วยวนเขาอยู่บ้าง แต่เหตุใดวันนี้จึงมีปฏิกิริยาเช่นนี้
เซียงฉือได้ยินเสียงของหรงจิงยิ่งทำให้นางไม่กล้าลืมตา ได้แต่หลบซ่อนกุมศีรษะไว้
“โอ๊ยๆๆ เจ็บจะแย่แล้ว!”
หรงจิงเห็นนางเอะอะโวยวายขึ้นก่อนเช่นนั้น ก็หัวเราะอย่างรู้สึกสนุก
“ก็เจ้านั่นแหละที่พุ่งเข้ามา”
“ผิดเองแล้วยังจะโวยวายขึ้นก่อนอีก!”
หรงจิงเหลือบมองนางเหยียดๆ นิดหน่อยแล้วขยี้จมูก เขามองดูพวงแก้มเป็นสีชมพูคู่นั้นแต่ไม่ได้นึกสนุกเหมือนเมื่อครู่ก่อนแล้ว จากนั้นค่อยๆ เดินไปยังที่ของตนแล้วนั่งลงอย่างเรียบร้อย
“ข้าราชสำนักสตรีที่อยู่ในหน้าที่แต่กลับกล้านอนหลับ ข้าควรจะลากตัวเจ้าออกไปตีสักสิบไม้ จะได้ตื่นเต็มตา”
การกระทำของหรงจิงเมื่อครู่ออกจะล่อแหลม หากนางยังคงหลับอยู่ก็ไม่สู้กระไรนัก แต่นางตื่นขึ้นมาเช่นนี้ช่างน่ากระอักกระอ่วน แต่ว่าหรงจิงเป็นผู้ชาย ส่วนเซียงฉือเป็นข้าราชสำนักสตรี ทั้งยังเป็นคนของเขา หากเขาคิดจะทำอะไรแล้วจะเป็นไรไป
เซียงฉือได้ยินคำพูดของหรงจิงก็รู้ว่าเขาแค่ข่มขู่นางเพื่อไม่ให้นางพูดถึงเรื่องเมื่อครู่อีก นางจึงหมุนกายแล้วทำความเคารพหรงจิงตามปกติ
“ถวายบังคมฝ่าบาท ขอทรงพระเกษมสำราญเพคะ”
“ฝ่าบาทอย่าทรงตีหม่อมฉันเลยเพคะ หากถูกตีแล้วหม่อมฉันก็ต้องกลับไปรักษาบาดแผลที่กองราชเลขา ถึงเวลานั้นฝ่าบาทไยมิขาดคนคอยเตรียมหมึกพู่กันถวายเพคะ”
เซียงฉือเลิกคิ้วยิ้มนุ่มนวล นางไม่เอ่ยถึงเรื่องเมื่อครู่ ท่าทางได้ใจของนางเช่นนี้ทำให้นางดูงดงามขึ้นอีกไม่น้อย
“เจ้านี่นะ ยังจะกล้าข่มขู่ข้าอีกหรือ”
หรงจิงมองดูรายงานที่เซียงฉือเปิดหน้าที่สำคัญไว้แล้ว อีกทั้งฝนหมึกเตรียมพู่กันไว้อย่างพร้อมสรรพ รอเพียงให้เขาอ่านตรวจสอบ
เห็นของพวกนี้แล้วเข้าใจความคิดนาง เขาจึงเลิกทำท่าทางขึงขัง น้ำเสียงก็อ่อนลง
“ครั้งนี้ปล่อยเจ้าไปก็แล้วกัน เจ้าเด็กต๊อง นับว่าเจ้ายังรู้งาน”
หรงจิงกวาดตามองการจัดวางสิ่งของบนโต๊ะซึ่งเป็นไปตามความคุ้นเคยของเขาเช่นนั้นแล้วก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ
เซียงฉือยิ้มน้อยๆ ทำความเคารพสำนึกในพระกรุณา
เมื่อนางหันกลับไปรอยยิ้มก็ถูกเก็บไปด้วย ไม่เหลือร่องรอยความยินดีสักเล็กน้อย วันนี้นางไปพบเหอจิ่นเซ่อมา
เหอจิ่นเซ่อเพียงพูดกับนางประโยคหนึ่งว่า
‘ฝ่าบาททรงเป็นฝ่าบาทของคนทั้งแผ่นดิน ไม่ใช่ฝ่าบาทของเจ้าเพียงคนเดียว เขาที่เจ้าเคยรู้จักควรต้องลบออกจากใจไปได้แล้ว ให้จดจำไว้แต่เพียงที่ปรากฏอยู่เท่านั้นเป็นพอ’
เซียงฉือได้เล่าเรื่องที่ผ่านมาทั้งก่อนและหลังรู้จักกับหรงจิงออกไปจนหมดสิ้น ไม่ใช่เพราะนางตั้งใจจะเล่า แต่เพราะความฉลาดของเหอจิ่นเซ่อ ด้วยฮ่องเต้นั้นเย็นชากับทุกคนตลอดมา ทว่าจู่ๆ กลับให้ความสนิทสนมกับเซียงฉือถึงเพียงนี้
สาเหตุก็มีเพียงสองประการคือ
หนึ่ง สำหรับเขาแล้ว เซียงฉือเป็นข้าราชสำนักสตรีที่แตกต่างจากข้าราชสำนักสตรีทั่วไป
สอง เขาเตรียมจะรับเซียงฉือไว้เป็นสนม
เซียงฉือจึงไม่กล้าปิดบังแล้วเล่าเรื่องที่นางรู้จักกับเขา โดยคิดว่าเขาเป็นทหารองครักษ์ออกมาหมดสิ้น เมื่อเป็นเช่นนั้น เหอจิ่นเซ่อจึงได้วางใจ
แต่ว่าคำพูดของเหอจิ่นเซ่อทำให้เซียงฉือต้องคิดอยู่นาน ลบออกจากใจ หมายถึงไม่ให้ถือเอาสิ่งนี้ทำให้ตนเองหยิ่งลำพองเป็นคนโปรด ไม่ให้อาศัยความสัมพันธ์ครั้งก่อนระหว่างหรงจิงกับนางมาทำให้ชีวิตแตกต่างเหนือกว่าผู้อื่น จะได้ไม่นำพาภัยถึงตายมาสู่ตนเอง แต่อีกประการหนึ่ง ยังคงต้องทำให้ฝ่าบาทรู้สึกถึงความสัมพันธ์ใกล้ชิดของทั้งสองคนไว้
ตอนที่ 371 ลมพัดเอื่อยๆ
เซียงฉือคิดถึงคำพูดของเหอจิ่นเซ่อมาตลอดทาง แม้นางจะหลับไปตื่นหนึ่งแล้วแต่ก็ยังไม่เข้าใจว่าจะต้องแบ่งเขตคั่นอย่างไร
จนกระทั่งเมื่อครู่ที่หรงจิงใกล้จะจูบนางแล้ว เซียงฉือจึงได้ตระหนก ชั่วขณะนั้นรู้สึกถึงเสียงหนึ่งจากในร่างกายที่บอกกับนางว่า ต้องหาวิธีหลบหลีกจากหรงจิงให้ได้
อย่าให้เขาเกิดความคิดที่มิสมควรกับตนเองขึ้นอีก
เพราะว่านางไม่ใช่ข้าราชสำนักสตรีทั่วไป นางหมั้นหมายกับเหอเจี่ยนสุยแล้ว ชายผู้ที่เติบโตมาพร้อมกับนาง เพื่อนางที่เป็นเพียงบุตรสาวขุนนางต้องโทษคนหนึ่ง เขาไม่คำนึงถึงชื่อเสียงลาภยศ ไม่เสียดายที่จะสละทรัพย์สมบัติทั้งหมดเพื่อหาหนทางช่วยเหลือครอบครัวของนาง
จากคนที่หยิ่งทะนงแต่ต้องไปทำเรื่องที่เขารังเกียจที่สุด เซียงฉือติดค้างน้ำใจเขามากมายเกินไป หนักหนาเกินไป นางจะทรยศต่อเขาไม่ได้เป็นอันขาด
เซียงฉือหลบพ้นแล้ว นางซ่อนอยู่ในมุมหลืบหนึ่ง ถึงจะยังคงนวดศีรษะอยู่ แต่ก็คิดถึงคำพูดประโยคนั้นของเหอจิ่นเซ่อขึ้นได้อย่างรวดเร็ว
‘ลบออกจากใจ จดจำแต่กาย’
นางเข้าใจแล้วจริงๆ เหมือนดั่งยามที่ลมพัดขึ้นมา คนไม่รู้ว่าลมนั้นมีลักษณะอย่างไร ต่อเมื่อลมพัดเอากลีบดอกไม้ร่วงหล่นและหมุนเคว้งอยู่กลางอากาศ ถึงตอนนั้นจึงได้รู้ว่าที่แท้ลมก็เป็นเช่นนี้เอง
และนางก็เป็นเช่นนี้ ในชั่วขณะหนึ่งนั้นนางเข้าใจความหมายของเหอจิ่นเซ่อ ทั้งยังได้กระทำตามออกไปแล้ว ตอนนี้เหมือนลมพัดขึ้นเอื่อยๆ หรงจิงเห็นนางเป็นคนรู้ใจย่อมต้องปกป้องนาง ทะนุถนอมนาง จะไม่เห็นนางเป็นดั่งผู้หญิงคนหนึ่งที่คิดจะยึดไว้เป็นของตนเอง
เซียงฉือเข้าใจในจุดนี้แล้ว มุมปากนางจึงเชิดขึ้นน้อยๆ
นางต้องรักษาบุญคุณไว้เช่นนี้ ถึงตอนท้ายจะได้ทูลขอพระกรุณาให้นางได้ออกจากวัง
เมื่อนางคิดแล้วจึงเงยหน้าขึ้นมองออกไปยังลมที่เบื้องนอก เห็นลมพัดกลีบดอกไม้บนยอดไม้ ลอยละลิ่วๆ ไปไกล
หรงจิงอ่านรายงานต่างๆ ที่เซียงฉือเปิดเตรียมไว้ให้เขาจบแล้ว พอเงยหน้าขึ้นก็พบว่าทางฝั่งซ้ายมือมีกองรายงานตั้งใหญ่ รายงานพวกนี้ตั้งกองเป็นภูเขาเลากาขวางกั้นระหว่างเขากับเซียงฉือ
เขามองเห็นได้แต่เพียงมวยผมแต่มองไม่เห็นใบหน้านาง
หรงจิงไม่สบอารมณ์ เขาสุ่มดึงรายงานฉบับหนึ่งออกจากกองมาอ่าน
เซียงฉือจะนำรายงานที่คณะองคมนตรีส่งขึ้นมาจัดแจงอีกครั้ง แยกประเภทตามความคุ้นชินและความชอบของฮ่องเต้อย่างละเอียด รายงานที่เร่งด่วนจะถูกจัดวางอยู่เบื้องหน้าหรงจิง และนางยังจัดอีกส่วนที่เลือกอ่านในช่วงเวลาใกล้ๆ นั้นวางอยู่ทางฝั่งซ้ายมือของหรงจิง เพื่อสะดวกต่อเขาในการเปิดอ่านได้ทุกเวลา
หรงจิงเกิดความคิดประหลาดจึงดึงรายงานออกจากกองมาเล่มหนึ่ง แล้วเขาก็ตระหนกที่พบว่า เมื่อรายงานเล่มนั้นถูกดึงออกมาแล้ว เขาสามารถมองเห็นเซียงฉือที่นั่งอยู่ฝั่งซ้ายมือของเขาผ่านซอกเล็กๆ ได้
เขาจึงดึงออกมาอีกเล่มหนึ่ง ซอกนั้นก็กว้างขึ้นอีกมาก ตอนนี้สามารถมองเห็นหน้าตาเซียงฉือที่ก้มอยู่ ริมฝีปากหรงจิงผุดรอยยิ้มราวเด็กๆ ขึ้นมา
หรงจิงรู้สึกสนุกสนานเต็มประดา จึงดึงรวดเดียวออกมาสามเล่ม
“ครืน…”
เขาลืมคิดไปว่ารายงานตั้งนั้นจะเป็นคล้ายดั่งภูเขาพังทลายแล้วจู่ๆ ก็ล้มครืนลง เขาตกตะลึง เซียงฉือหันหน้ากลับไปอย่างรวดเร็ว
หรงจิงยังนั่งอยู่กับที่ในมือกำพู่กันอีกทั้งยังมีรายงานอีกหลายเล่มในมือ เขารู้สึกขัดเคือง เจ้ากองรายงานนี้ไม่มั่นคงเอาเสียเลย เขาเพียงดึงออกมาห้าเล่มก็ทลายลงเสียแล้ว
เซียงฉือหันไปทันทีที่ได้ยินเสียงแล้วก็พบว่าตั้งรายงานได้ทลายลงแล้ว เมื่อเห็นคิ้วที่ขมวดมุ่นของหรงจิงก็กังวลว่าเขาจะไม่พอใจ จึงรีบเรียกซูกงกงให้เข้ามาช่วยเก็บ
แต่หรงจิงกลับสะบัดมือ “ออกไป ออกไป!”
“ต่อไปห้ามกองรายงานให้สูงเช่นนี้อีก ยกไปวางทางเจ้าซะ”
เซียงฉือฟังคำพูดนั้นอย่างงงงวย หมายความว่าอย่างไร
“ฝ่าบาท สูงแค่ไหนจึงจัดว่าสูงเพคะ”
เซียงฉือเก็บไปพลางถามไปด้วย ด้วยในตำหนักนี้มีที่ให้วางรายงานอยู่ไม่มาก นอกจากโต๊ะหยกแล้วก็มีเพียงที่ตรงเบื้องหน้านาง ซึ่งที่ตรงนั้นก็ได้ตั้งกองเป็นภูเขาไปแล้ว
ตอนที่ 372 ให้ข้ามองเห็นเจ้าได้
ขณะที่เซียงฉือกำลังคิด ก็เห็นหรงจิงยกมือขึ้นมา
“สูงแค่นี้ ห้ามไม่ให้เกินระดับสายตาที่ข้าจะเห็นเจ้าได้”
เซียงฉือกำลังเก็บรายงานเล่มหนึ่งอยู่ พอได้ยินคำพูดหรงจิงร่างก็เกร็งขึ้น รู้สึกถึงสายลมเอื่อยๆ ที่พัดชายกระโปรงนาง เส้นผมนางปลิวขึ้นน้อยๆ
หรงจิงเห็นนางชะงักงันใบหน้าแดงเรื่อขึ้นแล้วก้มหน้าลงอย่างทำอะไรไม่ถูก
เขาจึงได้รู้สึกว่าคำพูดเมื่อครู่ออกจะคลุมเครือเกินไป หรงจิงหรี่ตาทำท่าทางขึงขังแล้วพูดอย่างเอาจริงเอาจังว่า
“เจ้าเด็กคนนี้นี่คอยแต่จะฉวยโอกาสเกียจคร้าน ต้องให้ข้ามองเห็นเจ้าจึงจะวางใจ”
หรงจิงพูดแล้วก็เก็บรวบรวมรายงานรอบตัวของตนเองโยนเข้าไปในวงแขนของเซียงฉือ นางรับไว้ตามสัญชาตญาณ มองดูหรงจิงอย่างไม่เข้าใจเจตนา
“เก็บเสียให้เรียบร้อย ห้ามขี้เกียจ”
เซียงฉือมองหรงจิงอย่างไม่เข้าใจ แต่นางก็ก้มหน้าหอบกองรายงานกลับไปวางไว้บนโต๊ะทำงานตน ถึงเซียงฉือจะไม่เข้าใจ แต่มีหรือที่ซูกงกงที่ด้านข้างจะไม่รู้ซึ้ง
เขาเป็นคนคอยดูแลฝ่าบาทเติบโตขึ้นมา นิสัยใจคอนั้นเขานั่นแหละที่เข้าใจเป็นที่สุด ฝ่าบาทไม่เคยเป็นเช่นนี้มาก่อน เขาจะทำอะไรล้วนไม่จำเป็นต้องให้คำอธิบาย ครั้งนี้น่าจะเป็นครั้งแรกที่หรงจิงทำเช่นนี้ คงจะอึดอัดใจน่าดู
ซูกงกงเพียงหัวเราะอยู่ในใจ แต่สายตาที่มองเซียงฉือนั้นยิ่งต่างไปจากเดิม
เซียงฉือเก็บของเรียบร้อยแล้ว นางรู้สึกง่วงงุน แต่เมื่อเห็นฮ่องเต้ยังคงแจ่มใสอยู่จึงไม่กล้าผล็อยหลับ เมื่อคืนนางแทบจะไม่ได้หลับทั้งคืน วันนี้จึงง่วงมาก และเมื่อหาวติดต่อกันถึงสามครั้งแล้ว
หรงจิงจึงได้พูดขึ้นในที่สุด
“ง่วงแล้วหรือ”
จู่ๆ หรงจิงก็พูดขึ้นหลังจากเงียบไปนาน ทำให้เซียงฉือต้องเก็บการหาวครั้งที่สี่ไว้ในอก แล้วมองฝ่ายตรงข้ามอย่างซึมเซา พูดออกไปยิ้มๆ ว่า
“เพคะฝ่าบาท หม่อมฉันสามารถไปนอน…”
หรงจิงเงยหน้าขึ้น เขายืดแขนขยับกายแล้วมองดูท้องฟ้าเบื้องนอก ได้ยินเสียงบอกเวลายามจื่อ[1]จึงสะบัดศีรษะ
“ไปนอนเถอะ”
คำพูดนี้ของหรงจิงทำให้เซียงฉือดีใจ นางลุกขึ้นทำความเคารพไปได้เพียงครึ่ง หรงจิงก็พูดต่อขึ้นอีกประโยคหนึ่ง
“เจ้าเป็นเพื่อนข้า…”
หรงจิงเมื่อพูดออกไปแล้วก็ลุกขึ้นเดินไปข้างหน้ากางแขนทั้งสองออก รอให้เซียงฉือช่วยเขาปลดเข็มขัด แต่ทว่าเซียงฉืออึ้งตะลึงงันอยู่ เมื่อครู่ฝ่าบาทตรัสอะไรนะ
ให้นางเป็นเพื่อน เป็นเพื่อนนอนใครหรือ
นางตกตะลึงร่างแข็งทื่ออยู่กับที่ไม่รู้ว่าควรทำอะไร หรงจิงรออยู่ครู่หนึ่งจึงได้หันหน้ากลับไป เมื่อเห็นเซียงฉือตกตะลึงอยู่ในที่นั้นก็ยิ้ม
“เจ้าไม่นอนเป็นเพื่อนข้า หรือว่าจะปรนนิบัติข้าบนเตียงเล่า”
เซียงฉือยังงงงัน สมองนางกำลังตีความหมายของคำพูดทั้งสองเมื่อครู่
เมื่อฟังความหมายของหรงจิงได้ชัดเจนแล้ว เซียงฉือจึงรีบวิ่งเข้าไปช่วยฮ่องเต้คลายชุดคลุมตัวนอกออกแล้วนำไปแขวนบนไม้แขวนเสื้อ นางถูกฮ่องเต้จับแขนพาเข้าไปด้านใน
หรงจิงเคยชินกับการเปลี่ยนเสื้อผ้าในตำหนักฉินเจิ้ง แล้วจึงค่อยเดินผ่านห้องหนังสือของเซียงฉือที่มีนามว่าหนิงอวี้เซวียน จากนั้นจึงเปิดประตูสู่หลังตำหนัก
เดินเข้าไปในห้องนอนของตนตามปกติ เมื่อเดินไปถึงที่นั้นแล้วจึงค่อยปล่อยมือเซียงฉือ ตัวเองเดินเข้าไปข้างตั่งแล้วขยับออกสองก้าวไปทางข้างเตียงนอน
เซียงฉือตกตะลึง หรงจิงโยนผ้าห่มบนเตียงข้ามไป
“ข้าเป็นคนหลับยาก เจ้าอยู่เป็นเพื่อนคุยกับข้าก่อน รอให้ข้าหลับแล้วเจ้าถึงไปนอนได้”
เซียงฉือได้ยินคำพูดนี้แล้ว ฮ่องเต้ยังไม่บรรทม ที่แท้ทุกคืนที่เขาตรวจอ่านรายงานเป็นเพราะเขานอนไม่หลับนี่เอง ไม่นอน มิน่าเล่าขอบตาเขาจึงได้ดำคล้ำ ในตาเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอย อาการปวดศีรษะเป็นประจำก็คงเพราะสาเหตุนี้ด้วยกระมัง
[1]ยามจื่อ (子时)ช่วงเวลาระหว่าง 23.00 น. – 1.00 น.
ตอนที่ 373 เล่านิทาน
พอหรงจิงพูดจบก็เลือกท่าสบายของตนแล้วหลับตาลงนอน
เซียงฉือมองดูตั่งด้านข้างกับผ้าห่มบางบนนั้น เมื่อหายตะลึงแล้วจึงหดกายเข้าไปในผ้าห่ม หาตำแหน่งสำหรับเอนกายแล้วรอหรงจิงเอ่ยปาก
ความเงียบบังเกิดอยู่นาน แสงจันทร์เบื้องนอกสาดส่องเข้ามาในห้อง เซียงฉือได้กลิ่นหอมผ่อนคลายจิตใจในอากาศ กลิ่นแบบนี้ยิ่งทำให้นางง่วงนอนจนสามารถหลับไปได้ในทุกขณะ แต่นางต้องฝืนความอยากนอน เค้นสมองคิดว่าจะทำอย่างไรให้หรงจิงได้หลับเร็วขึ้น
แต่พอหลับพักสายตาไปนาน ลมหายใจก็ค่อยๆ สม่ำเสมอ ความรู้สึกเหมือนนอนหลับไปแล้ว
หรงจิงรออยู่ครู่หนึ่งไม่เห็นเซียงฉือมีปฏิกิริยาอะไร คิดว่านางคงเหมือนกับหญิงสาวทั่วไปที่ไม่สามารถอดหลับอดนอนในราตรียาวนานได้จึงหลับไปก่อน ถึงแม้เขาจะอ่อนใจแต่ก็ไม่ได้เป็นฮ่องเต้โหดร้าย และไม่ได้คิดจะทำอะไรเซียงฉือจริงๆ
หรงจิงถอนใจยาวลืมตาขึ้นมองมุ้งเหนือศีรษะตน เขาปรารถนาจะเป็นฮ่องเต้ที่ขยันขันแข็ง แต่เขาก็เป็นโรคนอนไม่หลับรุนแรง มักไม่สามารถนอนหลับได้ และบ่อยครั้งที่นอนไม่พอทำให้ปวดศีรษะแทบระเบิด ถึงจะหาหมอมีชื่อเสียงมากมาย กินยาดีๆ ไปก็มาก แต่ก็เพียงสามารถบรรเทาได้เล็กน้อยเท่านั้น ผ่านไปช่วงหนึ่งก็ยังคงต้องนอนพลิกตัวไปมา ไม่สามารถหลับลงได้
“เฮ้อ!” เสียงถอนใจยาวของหรงจิงทำให้เซียงฉือที่อยู่ด้านข้างตื่นขึ้นจากภวังค์ความคิด
เซียงฉือคลานลุกขึ้นแล้วไปเกาะพนักเก้าอี้มองดูหรงจิง ในความมืดมีเพียงแสงไฟอ่อนกำลังสองดวงกะพริบไหว ไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจนนางจึงได้พูดขึ้นว่า
“ฝ่าบาท หม่อมฉันคิดวิธีที่ดีได้แล้วเพคะ คิดว่าน่าจะได้ผลนะเพคะ”
เซียงฉือเกาะพนักเก้าอี้ไว้ด้วยท่าทีเกียจคร้าน หรงจิงได้ยินเสียงนางก็ดีใจอย่างยิ่ง เขาหันกายกลับมามองดูนาง ดวงตาแวววาวคู่หนึ่งมองดูฝ่ายตรงข้ามอยู่ในความมืด
“วิธีอะไร ถ้าใช้ได้ผลละก็ ข้าจะตบรางวัลเจ้าอย่างงาม”
หากในเวลานอนไม่มีใครอยู่ข้างๆ หรงจิงจะเป็นการดี เพราะหากมีคนจะยิ่งทำให้เขาหลับยากขึ้น ดังนั้นทุกวันเขาจึงต้องทำให้ตนเองเหนื่อยล้าจนหมดเรี่ยวแรงจึงจะสามารถฟุบอยู่กับโต๊ะพักผ่อนได้สักครู่หนึ่ง
แต่ว่าครั้งก่อนนั้นที่เซียงฉือหลับอยู่บนขาของเขา เขากลับเอนกายอยู่ข้างกายนางแล้วหลับสนิทลงได้อย่างสบายใจ เมื่อตื่นขึ้นมาแล้วจิตใจก็เบิกบานผ่อนคลาย เขาไม่ต้องพึ่งการดื่มสุราดอกท้อมากๆ เพื่อให้ตนเองเมามายจะได้นอนหลับ แต่เป็นเซียงฉือที่ทำให้เขาหลับได้จริงๆ ทั้งยังสบายอย่างยิ่ง เขายังอาลัยอาวรณ์กับความรู้สึกนั้นอยู่
เซียงฉือไม่รู้ว่าภาวะการนอนไม่หลับของหรงจิงรุนแรงถึงขั้นนั้นแล้ว ยังคงคิดว่าเป็นเพราะระยะนี้เขาพักผ่อนไม่เพียงพอ ทั้งเรื่องการนอนไม่หลับของเขานางก็ไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่จากการอยู่เป็นเพื่อนอ่านตำราตอนกลางคืนกับหรงจิงในระยะหลังนี้ นางรู้สึกว่าเขาจะมีความแจ่มใสเปี่ยมกำลังวังชาทุกวัน
พอนางได้ยินหรงจิงว่าจะมีรางวัลให้ด้วยจึงไม่อ้ำอึ้งแล้วรีบบอกวิธีการของตนออกมา
“วิธีของหม่อมฉันก็คือการเล่านิทานเพคะ”
เซียงฉือเอาจริงเอาจังและพูดอย่างจริงจัง หรงจิงยิ้มโดยไม่ขัดจังหวะนาง รอยยิ้มที่ผุดขึ้นบนริมฝีปากแสดงออกถึงอารมณ์ที่ดีของเขา
“เล่านิทานหรือ ก็เป็นวิธีหนึ่ง งั้นก็เริ่มเลย”
เซียงฉือได้ยินแล้วก็รู้สึกสนุก เมื่อครู่นางได้ทบทวนนิทานที่เคยได้ฟังมาตั้งแต่เล็ก แล้วคัดพวกนิทานหลอกเด็กออกไป เลือกเอาเรื่องที่สนุกที่สุดออกมาเล่า
“มีเรื่องเล่าว่าที่ทะเลตะวันออกมีเซียนอยู่ผู้หนึ่ง ผมและหนวดขาวโพลน มีเครายาวจรดลงถึงหลังเท้า เขาเป็นเซียนที่มีตบะล้ำลึก รักษาโรคและช่วยเหลือผู้คน แต่ว่าผู้คนในโลกกลับไม่มีใครรู้ว่าเขาชื่ออะไร ทุกคนพากันสงสัย ต่างคิดอยากรู้จักชื่อของเขา…”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น