บัลลังก์พญาหงส์ 361-377
ตอนที่ 361 ความหึงหวง
เมื่อถึงวันที่สี่หลี่เย่กลับบ้านมาครั้งหนึ่ง ท่าทีเหน็ดเหนื่อยแต่กลับพูดด้วยความสบายใจว่า “ในที่สุดก็สืบหาเบาะแสได้บ้างแล้ว”
ถาวจวินหลันรู้สึกพอใจ แม้ว่าจะรู้สึกสงสารหลี่เย่ แต่ก็ยังไล่ถามว่า “สืบอะไรได้บ้าง? รู้หรือยังว่าผู้ใดควบคุมเรื่องนี้อยู่เบื้องหลังเพคะ?”
เมื่อพูดถึงคนที่ชักใยบงการอยู่เบื้องหลัง ถาวจวินหลันยังไม่รู้สึกว่าเสียงของตนแฝงไว้ด้วยความเป็นปรปักษ์อยู่หลายส่วน
หลี่เย่กลับส่ายหัว “เพียงแค่สืบได้เบาะแสเล็กน้อยเท่านั้น ส่วนคนที่อยู่เบื้องหลังเกรงว่ายังห่างไกลนัก แต่ถ้าสืบเสาะเรื่องราวไปตามเบาะแสที่มีอยู่ก็ต้องสืบพบเป็นแน่” สถานการณ์ในตอนนี้ถือว่าเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น
ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนั้นก็รู้ว่าคงไม่ได้สืบเรื่องสำคัญอะไรได้เป็นแน่ ในตอนนั้นจึงไม่ได้ไล่ถามต่อ เพียงแค่ถามถึงนักฆ่าคนนั้นขึ้นมา “ถ้าเช่นนั้นนักฆ่าในตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง?”
“ให้คนไปดึงเอ็นข้อมือข้อเท้า และให้ถอนฟันออก ร้องขอชีวิตไม่ได้ขอให้ตายก็ไม่ได้เช่นเดียวกัน” ตอนที่หลี่เย่พูดเช่นนี้ก็มีท่าทางเหมือนพูดเรื่องธรรมดามิปาน
ถาวจวินหลันไม่ได้รู้สึกว่าโหดร้ายอะไร อย่างไรถาวจิ้งผิงก็นอนรักษาตัวอยู่บนเตียง องค์หญิงแปดก็ยังคงดิ่งอยู่ในความเจ็บปวดจากการสูญเสียบุตร แม้แต่ซวนเอ๋อร์ในตอนนี้ก็ยังต้องดื่มชาสงบจิตอยู่ทุกวัน ดังนั้นนางจึงรู้สึกเห็นใจไม่ได้จริงๆ กลับยิ่งหวังให้นักฆ่าคนนั้นและเจ้านายเบื้องหลังเขายิ่งเจ็บปวดน่าเวทนามากกว่านี้
ทันใดนั้นถาวจวินหลันก็หัวเราะเย็น “อีกครู่หนึ่งท่านไปแทงแผ่นอกของนักฆ่าคนนั้นแทนข้าสักครั้งหนึ่ง คิดดอกเบี้ยกลับคืนมา”
หลี่เย่ไม่คิดใส่ใจ แต่กลับเห็นด้วยอย่างมีความสุข “ดี ตามที่เจ้าพูด”
ถาวจวินหลันกลับมองหลี่เย่อย่างลุแก่โทษ ถอนหายใจออกมาพลางอธิบายว่า “ข้ากล้ำกลืนความรู้สึกนี้ไม่ได้จริงๆ”
“ข้ารู้” หลี่เย่พยักหน้า ท่าทีอบอุ่น “คนเช่นนี้ ควรฆ่าให้ตาย”
“วันนี้ฮองเฮายังคิดจะแนะนำชายารองให้ท่านอีกคนหนึ่ง” ถาวจวินหลันคิดถึงคำพูดของฮองเฮาได้ จากนั้นก็มองไปทางหลี่เย่คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “เป็นอย่างไรเจ้าค่ะ ท่านดีใจหรือไม่? ครั้งนี้ฮองเฮาจะต้องช่วยเลือกหญิงงามล่มเมืองให้ท่านเป็นแน่ จะได้ให้ท่านหลงใหลจนโงหัวไม่ขึ้น”
หลี่เย่ได้ยินความหึงหวงที่แอบซ่อนอยู่ ก็อดยกยิ้มขึ้นมาไม่ได้ เขาไม่รีบร้อนเอ่ยปฏิเสธ แต่กลับตั้งใจหยอกล้อนาง “ถ้าเช่นนั้นเจ้ารู้สึกอย่างไรเล่า?”
ถาวจวินหลันยิ้มสดใส มองเขาอย่างแฝงท่าทีเย้ายวน “แน่นอนว่าต้องดีมากน่ะซี มีพี่สาวน้องสาวมากความสามารถเพิ่มเข้ามาในจวน ต่อจากนี้ไปคงจะครึกครื้นน่าดู” คำว่าครึกครื้นสองคำนี้นางยิ่งเน้นน้ำเสียงเข้าไปอีก
หลี่เย่เลิกคิ้ว “อย่างนั้นหรือ? ดูไม่ออกว่าเจ้าจะอ่อนน้อมถึงเพียงนี้”
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับเสียงหยอกเย้าที่ลากยาวของหลี่เย่ ถาวจวินหลันก็แปรความเขินอายเป็นความโกรธ กำหมัดทุบลงไปบนอกของเขาเบาๆ “คำพูดของท่านหมายความว่าเช่นใดกัน? หรือว่าข้าไม่อ่อนน้อมเพคะ? ข้าไปรังแกอนุภรรยาของท่านหรืออย่างไรเพคะ? หรือว่าขัดขวางท่านไม่ให้ไปหาคนอื่นเพคะ?”
หลี่เย่ถอนใจ ยื่นมือออกมาโอบถาวจวินหลันไว้ น้ำเสียงแฝงด้วยเสียงหัวเราะ “เจ้าบอกข้าซี เจ้าหวังอยากให้คนใหม่เข้ามาในจวนจริงๆ หรือ?” เมื่อครู่นี้ได้ยินคำพูดเหน็บแนมของนาง ในใจก็รู้สึกดีใจ แต่เดิมคิดอยากจะหยอกเย้าให้นางแสดงท่าทีหึงหวงเสียหน่อย แต่กลับคิดไม่ถึงว่าจะยั่วโมโหจนแมวพองขน
ถาวจวินหลันนิ่งไปครู่หนึ่ง สุดท้ายแล้วก็เอาหน้าซุกลงไปบนอกเขา ส่ายหน้าเบาๆ “ไม่มีผู้หญิงใดหวังให้คนในใจของตนไปอยู่กับหญิงอื่นหรอกเพคะ ข้าไม่ยินยอม ดังนั้นข้าจึงไม่ใช่คนเรียบร้อยเชื่อฟัง ข้ารับอนุภรรยาที่อยู่ภายในจวนได้ ก็เพราะว่าอย่างไรท่านก็ไม่ชอบพวกนาง และยิ่งรู้สึกจนปัญญา แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ พอท่านไปหาคนอื่น อย่างไรแล้วก็รู้สึกไม่ยินยอมนะเพคะ”
หลี่เย่ได้ยินเช่นนี้ก็ทั้งตกใจปนดีใจ พูดตามจริง แต่เดิมเขาก็เพียงอยากหยอกล้อเท่านั้น แต่คิดไม่ถึงว่าจะได้รับคำตอบเช่นนี้ ด้วยเขาตกใจจึงพูดอะไรไม่ออกไปครู่หนึ่ง ผ่านไปนานถึงได้สติกลับคืนมา ในใจเต็มไปด้วยความยินดี คำพูดที่พูดออกไปก็เบาสบาย “เจ้าวางใจเถิด ข้าไม่มีทางให้คนใหม่เข้ามาทำให้เจ้าเสียใจเป็นแน่”
ก่อนหน้านี้ที่รับคนมามากมายถึงเพียงนี้ เขาก็ทำเพื่อถาวจวินหลัน หากไม่มีอนุภรรยาแม้แต่คนเดียว โปรดปรานแค่เพียงถาวจวินหลัน สุดท้ายแล้วก็จะทำให้คนอื่นติฉินนินทา และทำให้ฮองเฮาและไทเฮาไม่ชอบถาวจวินหลัน อย่างไรก็ต้องหาวิธีบังตาถึงจะถูก
ส่วนตอนนี้ไม่จำเป็นต้องระมัดระวังเช่นนี้แล้ว อย่างไรเขาเองก็มีลูกชายสองคน ลูกสาวก็มีสองคน ต่อจากนี้ถาวจวินหลันยังให้กำเนิดได้อีก ดังนั้นไม่จำเป็นต้องกังวลว่าจะมีผู้ใดมาพูดติฉินนินทาอะไรอีก
อีกทั้งอนุภรรยาเหล่านั้นยังสามารถเก็บไว้เป็นม่านบังตาได้ ไม่ต้องการคนใหม่อีกต่อไป
ถ้อยคำยืนยันเช่นนี้ของหลี่เย่ทำให้ถาวจวินหลันทั้งตกใจระคนดีใจ แต่จากนั้นก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก จึงถอนหายใจและพูดว่า “สุดท้ายแล้วข้าก็ไม่ใช่คนที่อ่อนน้อมนี่เพคะ”
หลี่เย่กลับยิ้มและพูดว่า “จะต้องการคนอ่อนน้อมไปทำไมกัน?” ตอนนั้นหลิวซื่อเป็นคนอ่อนน้อม วันๆ ส่งอนุภรรยาเข้าไปในห้องของข้าทั้งวัน ถ้าเทียบกับสิ่งนี้เขากลับชอบท่าทีหึงหวงของถาวจวินหลัน อย่างน้อยก็อธิบายได้ว่านางใส่ใจเขาไม่ใช่หรืออย่างไร?
อีกทั้งหึงหวงสักนิดสักหน่อยบ้างก็ถือเป็นการสร้างรสชาติให้ชีวิตคู่มิใช่หรือ?
ถาวจวินหลันหลันเห็นว่าเขาไม่สนใจ ความหึงหวงในใจก็ลดน้อยลง กลับไปคิดรู้สึกเศร้าโศกอีกครั้ง “ตอนนี้ท่านก็กำลังฟื้นฟูอยู่ช้าๆ ฮองเฮาไม่วางใจท่านอีกแล้ว วันนี้นางยังเอาจวนเพ่ยหยางโหวมาขู่ข้าเสียด้วยซ้ำไป”
“เพ่ยหยางโหวเปลี่ยนใจมานานแล้ว ฮองเฮาจับเพ่ยหยางโหวไว้ในกำมือไม่ได้อีกต่อไป อีกอย่างหนึ่ง ตอนแรกที่ให้เจ้าเป็นบุตรบุญธรรมของเพ่ยหยางโหวนั้น ก็เพียงแค่ต้องการหาที่พึ่งพิงและตระกูลที่มีหน้ามีตาให้เจ้าก็เท่านั้น ตอนนี้กลับไม่มีความจำเป็นแล้ว แค่จิ้งผิงและตระกูลเฉินก็มากพอที่จะคอยเข้าข้างเจ้าแล้ว” หลี่เย่ไม่มีความกังวลแม้แต่น้อย แต่กลับอมยิ้มและพูดว่า “หากสามารถใช้โอกาสนี้ทำให้เพ่ยหยางโหวแสดงจุดยืนที่ชัดเจนได้ก็ถือว่าไม่เลว”
ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนั้น นางก็เข้าใจว่าหลี่เย่คงรู้สึกไม่วางใจเพ่ยหยางโหวไม่มากก็น้อย จึงพูดว่า “ก็ดีเพคะ”
ความในใจที่หลี่เย่ไม่ได้พูดออกมาก็คือ ต่อให้ตระกูลถาวและตระกูลเฉินจะไม่มากพอช่วยส่งเสริมถาวจวินหลัน แต่ก็ยังคงมีเขาอยู่ ตอนนี้ไม่เหมือนตอนนั้นแล้ว ตอนนั้นเขาเพิ่งออกจากวังหลวงมาไม่นาน เพิ่งจะก่อร่างสร้างตัว ไม่มีวิธีปกป้องถาวจวินหลันจากความอยุติธรรม แต่ตอนนี้ใครจะกล้ามาทำร้ายถาวจวินหลันอีก? ใครจะหาญกล้าบ้าบิ่นละเลยความคิดของเขา?
มองดูความสำเร็จของเขาในหลายปีมานี้ เวลานี้เขาครอบครองอำนาจ หลี่เย่อดยิ้มออกมาไม่ได้ ตอนนี้ความโอหังกระจายไปทั่ว
ถาวจวินหลันเงยหน้าขึ้นมา อมยิ้มไม่ได้ แต่กลับรู้สึกโศกเศร้าเล็กน้อย ตอนนั้นนางยังคิดว่าหลี่เย่บริสุทธิ์ประหนึ่งเทพ แต่กลับไม่คิดว่า ทำไมหลี่เย่ในตอนนี้กลับค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไปไม่เหมือนเดิมเลยแม้แต่น้อย?
คิดไปคิดมาก็อดขบขันไม่ได้ พูดไปแล้ว หลี่เย่ก็ไม่ได้แตกต่างอะไรจากนาง เป็นเพียงคนธรรมดาทั่วไปเท่านั้นเอง แต่ว่าดีที่เขาโกหกได้ดีกว่า ไม่รู้ว่าโกหกคนไปมากเท่าไรแล้ว?
“ใช่แล้ว ฮ่องเต้สงสัยเรื่องที่จู่ๆ ท่านก็พูดได้หรือไม่เพคะ?” ถาวจวินหลันพลันคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา จึงถามออกมา ความคิดของคนอื่นล้วนไม่สำคัญ ที่สำคัญที่สุดมีเพียงแค่คนนี้คนเดียวเท่านั้น หากคนนี้สงสัยว่าหลี่เย่มีแรงจูงใจ ถ้าเช่นนั้นก็เสียเปรียบอย่างไม่ต้องสงสัย อีกอย่าง “เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น เกรงว่าเรื่องชินอ๋องคงเป็นไปไม่ได้แล้ว”
แต่เดิมหลี่เย่พูดไม่ได้ เรื่องนี้ยังพอมีความเป็นไปได้บ้าง อย่างน้อยทางด้านฮองเฮาก็ไม่ค่อยมีเหตุผลให้ขัดขวาง แต่ว่าตอนนี้…อย่างแรกฮ่องเต้จะต้องตรวจสอบและสร้างความสมดุลให้กับลูกชายทั้งหลาย อย่างที่สองทางด้านฮองเฮาก็จะต้องขัดขวางเป็นแน่
หลี่เย่กลับไม่สนใจเรื่องนี้แม้แต่น้อย “เรื่องนี้ไม่ต้องรีบร้อน เวลานี้ทางด้านเสด็จพ่อคงไม่ถึงขั้นสงสัยข้า ต่อให้สงสัย ก็คงไม่รู้สึกว่าข้ามีแผนอะไร” อย่างไรก็คงคิดแค่เพียงการเสียชีวิตของพระมารดาของตน และเรื่องที่เขาโดนยาพิษตอนนั้น
ถาวจวินหลันพยักหน้า “เรื่องด้านนอกข้าช่วยท่านไม่ได้ ท่านจะต้องระวังให้มาก จะทำอะไรก็ต้องรักษาความปลอดภัยของตนเองเอาไว้ก่อน ข้า ซวนเอ๋อร์ และหมิงจูล้วนไม่จากท่านไปไหนเป็นแน่”
หลี่เย่ได้ยินเช่นนี้ก็สบายใจ อดพยักหน้าไม่ได้ ต่อให้เป็นตัวนางเอง ตอนนี้นางก็ไม่กล้าเอาตัวเองไปเสี่ยงอันตราย
“องค์หญิงแปดมีบุญคุณต่อพวกเรา ต่อจากนี้ไปข้าจะต้องไปมาหาสู่กับองค์หญิงแปดให้มากขึ้น อีกทั้งวันนี้ข้าพบอิงผิน นางเองก็คิดเช่นนี้เพคะ” ถาวจวินหลันคิดถึงคำพูดของอิงผินในวันนี้ จึงอดพูดเช่นนี้ออกมาไม่ได้ ความหมายของนางคือสามารถดึงองค์หญิงแปดเข้ามาเป็นพวกได้หรือไม่
นางคิดว่าอิงผินเป็นคนฉลาด และองค์หญิงแปดก็เช่นเดียวกัน หากดึงมาเป็นพวกได้…เช่นนั้นก็ดึงตระกูลของสามีองค์หญิงแปดเข้ามาเป็นพวกได้ด้วยเช่นกัน
“สามีขององค์หญิงแปดเกิดจากตระกูลเก่าแก่ แม้จะบอกว่าเป็นสายรอง แต่ก็ยังหนุ่มแน่นเต็มไปด้วยความสามารถ”
หลี่เย่พยักหน้า “ก่อนหน้านี้ข้าไม่เคยไปมาหาสู่กับสามีขององค์หญิงแปด ต่อจากนี้ไปจะต้องสนิทสนมกันให้มากขึ้น” ไม่ว่าจะด้วยผลประโยชน์ หรือเพื่อตอบแทนบุญคุณ นี่ล้วนเป็นตัวเลือกที่ไม่เลวทั้งนั้น “เจ้าเองก็ไปมาหาสู่กับน้องแปดให้มาก”
อิงผินมาจากตระกูลแม่ทัพ ถือว่าเป็นเป้าหมายที่ควรค่าแก่การดึงมาเป็นพวกยิ่งนัก
ทั้งสองคนพูดสัพเพเหระกันไปมาถึงได้พักผ่อน
วันรุ่งขึ้นถาวจวินหลันก็ไปเยี่ยมองค์หญิงแปดอีกครั้งหนึ่ง
สีหน้าขององค์หญิงแปดดีขึ้นไม่น้อย แต่พอพบหน้ากันนางก็ถามเรื่องนักฆ่าขึ้นมา ถาวจวินหลันก็รู้ว่านางยังคงติดใจเองนี้
แต่ว่าหลี่เย่ก็ยังสืบไม่พบอะไร เพียงแค่เริ่มมีเบาะแสเท่านั้น ถาวจวินหลันจึงมอบคำตอบที่ทำให้นางรู้สึกสบายใจไม่ได้ ทำได้แค่เงียบไม่พูดไม่จา
องค์หญิงแปดผิดหวังเล็กน้อย แต่กลับไม่แสดงออกมาชัดเจน รวบเรื่องนี้ลงไปด้วยท่าทีเป็นกันเอง “เป็นข้าที่ใจร้อนไป เวลานี้ผ่านไปเพียงไม่กี่วันเท่านั้นเอง”
ทว่าถาวจวินหลันกลับรู้สึกผิด รับประกันด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิด “ท่านอ๋องจะต้องสืบพบจนรู้แจ้งเป็นแน่ ท่านอ๋องก็ไม่มีทางปล่อยคนที่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ไปแน่”
ใบหน้าขององค์หญิงแปดแดงก่ำ “พี่สะใภ้รองเป็นเช่นนี้ ข้ากลับดูเป็นคนนอกเสียแล้ว แต่เดิมนั้นเป็นข้าเองที่ใจร้อน”
ถาวจวินหลันรู้สึกตกใจว่าปฏิกิริยาของตนเองนั้นมากเกินไป จึงยิ้มและถามเรื่องสุขภาพขององค์หญิงแปดเล็กน้อย แล้วถึงพูดว่า “รอเจ้าหายดี ต่อจากนี้จะต้องมาหาข้าให้มากขึ้นถึงจะดี ท่านอ๋องเป็นพี่ชายแท้ๆ ขององค์หญิง องค์หญิงเก้าก็เป็นน้องสาวของท่าน พวกเราถือเป็นครอบครัวเดียวกัน ควรจะต้องสนิทสนมกันให้มาก”
องค์หญิงแปดยิ้มรับ ฉับพลันก็ถามอย่างสงสัยว่า “พูดถึงน้องเก้า ข้ากลับไม่เข้าใจ น้องเก้าไม่ได้แก่งแย่งชิงดีอะไรกับผู้ใด ทำไมถึงมีคนอิจฉาริษยานาง กระทั่งลงมือกับนาง?”
ถาวจวินหลันเองก็เคยสงสัยเรื่องนี้เช่นเดียวกัน แต่เมื่อคิดไปคิดมาก็หาคำตอบที่เหมาะสมไม่ได้ เวลานี้นางพูดได้แค่เพียงการคาดเดาของนางเท่านั้น “บางทีอาจจะเป็นการลงมือกับตระกูลถาวก็เป็นไปได้” อย่างไรแล้วก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่ไม่ยอมเห็นตระกูลถาวฟื้นฟูขึ้นมาอีกครั้ง
องค์หญิงแปดกลับส่ายหน้า “ถ้าเช่นนั้นเมื่อลงมือกับสามีน้องเก้าได้ ทำไมถึงลงมือกับน้องเก้าก่อนเล่า?”
ตอนที่ 362 ใช้งาน
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับความสงสัยขององค์หญิงแปด ถาวจวินหลันก็ทำได้แค่หัวเราะขมขื่นและส่ายหน้า “เรื่องนี้ข้าเองก็ไม่ทราบ” แต่ในใจก็สงสัยเช่นเดียวกัน
อีกอย่างในใจของนางมักจะรู้สึกอยู่เสมอว่าที่องค์หญิงแปดถามเช่นนี้หรือว่าจะไปรู้อะไรมา?
ดังนั้นถาวจวินหลันจึงเหลือบมององค์หญิงแปด รอคำพูดต่อไปขององค์หญิงแปด
องค์หญิงแปดพูดต่ออย่างที่คาดเอาไว้ “ที่จริงแล้วเมื่อวานนี้เสด็จแม่ได้ฝากคำมาบอกข้าเล็กน้อย ไม่แน่ว่าอาจจะมีส่วนช่วยเรื่องนี้”
ถาวจวินหลันตกใจเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ยังสงบนิ่งอยู่ นางคิดไม่ถึงว่าอิงผินจะมีเส้นสายเรื่องข่าวสารกว้างขวางถึงเพียงนี้ จะต้องรู้ว่าอิงผินไม่เคยได้รับความโปรดปรานมาก่อนเลยแม้แต่ครั้งเดียว
ดังนั้นเกรงว่าอิงผินคงจะปิดบังความสามารถที่แท้จริงเอาไว้อยู่ตลอดเป็นแน่
“น้องแปดลองพูดออกมาดู มิแน่ว่าอาจจะมีส่วนช่วยเรื่องนี้ก็ได้” ถาวจวินหลันอมยิ้มพูดออกมา ในใจกลับคิดว่าถ้าไม่มั่นใจ เกรงว่าองค์หญิงแปดคงไม่เอ่ยปากเรื่องนี้เป็นแน่ใช่หรือไม่?
องค์หญิงแปดพยักหน้า จากนั้นก็พูดขึ้นว่า “ที่จริงแล้วเรื่องนี้ข้าเองก็ไม่ทราบ ถ้าไม่ใช่เพราะว่าท่านแม่ส่งคนมาบอกข้า ข้าก็ยังคงไม่รู้ว่าเคยเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับการแต่งงานของน้องเก้า เสด็จแม่บอกว่าแต่เดิมนั้นฮองเฮาไม่ได้อยากใช้น้องเก้าในการแต่งงานเชื่อความสัมพันธ์ ที่จริงแล้วอยากให้น้องเก้าแต่งงานเข้าตระกูลฝั่งทวดของนาง”
ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนั้นก็ประหลาดใจ เลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ “ก่อนที่จะแต่งงานเชื่อมความสัมพันธ์ ไม่ได้พูดถึงคุณชายสามแห่งตระกูลเฉินอย่างนั้นหรือ?”
องค์หญิงแปดเหลือบมองถาวจวินหลันวูบหนึ่ง พลันพูดว่า “เรื่องนี้ที่จริงแล้วรู้ว่าเป็นไปไม่ได้ ตระกูลเฉินไม่มีทางสู่ขอองค์หญิง แต่เดิมใต้เท้าเฉินก็ไม่เคยคิดหาลูกสะใภ้จากผู้หญิงชั้นสูงมาก่อน ข้าเดาว่าที่ฮองเฮาเสนอความคิดเช่นนี้ ก็เพียงเพื่อลบหลู่น้องเก้าเท่านั้น อย่างไรเสียหากตระกูลเฉินปฏิเสธ น้องเก้าจะเอาหน้าไปไว้ที่ใด?”
เมื่อองค์หญิงแปดพูดเช่นนี้ถาวจวินหลันก็คิดว่าสมเหตุสมผลอยู่หลายส่วน อีกทั้งยังคิดถึงความเป็นไปได้อีกอย่างหนึ่ง นั่นก็คือพอตระกูลเฉินปฏิเสธองค์หญิงเก้า ถึงตอนนั้นองค์หญิงเก้าก็จะเสียหน้าเป็นอย่างมาก คิดว่าฮ่องเต้ก็คงต้องรู้สึกเสียหน้าเช่นเดียวกัน ถึงตอนนั้นไม่เพียงแค่มีความเห็นต่อตระกูลเฉิน องค์หญิงเก้าก็คงไม่ได้รับความสำคัญไปด้วย และถ้าเสนอสามีที่ไม่ค่อยโดดเด่นเท่าไรให้องค์หญิงเก้า หรือว่าเอาไปแต่งงานเชื่อความสัมพันธ์ ฮ่องเต้ก็คงจะไม่ปฏิเสธเป็นแน่
ถ้าหากเป็นเช่นนี้ แผนการในใจของฮองเฮาก็ดูจะลึกล้ำเกินไปหน่อยเสียแล้ว อีกอย่างก็ดูจะให้ความสำคัญกับองค์หญิงเก้ามากเกินไปเสียหน่อย
สุดท้ายถาวจวินหลันก็ยิ้มออกมา ในใจไม่ค่อยเชื่อความคาดเดาของตนเองเท่าไรนัก เพียงแค่พูดกับองค์หญิงแปดว่า “ญาติของฮองเฮา? ทำไมข้าไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน?”
“ล่มสลายไปนานแล้ว นานมาแล้วตั้งแต่สมัยของฮ่องเต้องค์ก่อน เคยเกิดเรื่องทุจริตเงินกองทัพมาก่อนทำโทษไปหลายคนนัก ตอนนี้ที่เหลืออยู่ก็มีเพียงคนแก่ ผู้หญิงและเด็กเท่านั้น สมาชิกผู้ชายที่เป็นทหารได้ก็มีเพียงแค่สองสามคนเท่านั้น แต่หลานชายของฮองเฮากลับเป็นประเภทรักร่วมเพศ ชอบนักแสดงคนหนึ่งมากนัก ภายในเมืองหลวงมีชื่อเสียงโด่งดังไปไกล” ตอนที่องค์หญิงแปดพูดถึงหลานของฮองเฮาก็หัวเราะเยาะออกมา แสดงความดูถูกออกมาอย่างเห็นได้ชัด
ถาวจวินหลันขมวดคิ้วแน่น “ในเมื่อชื่อเสียงกระฉ่อนไปไกล คิดว่าฮองเฮาพูดเรื่องนี้ขึ้นมา ฮ่องเต้และไทเฮาไม่มีทางตอบตกลงเป็นแน่ นี่ไม่ใช่การทำร้ายกันหรืออย่างไร? อีกอย่างน้องเก้าก็เป็นถึงองค์หญิง สายเลือดโอรสแห่งสวรรค์ จะยอมรับการลบหลู่เช่นนี้ได้อย่างไร?” ด้วยวิธีและอำนาจของฮองเฮานั้น การหาคุณหนูสักตระกูลให้แต่งงานกับหลานของตนนั้นก็ไม่ได้ถือว่าเป็นเรื่องยากอะไร ทำไมถึงได้ถูกใจองค์หญิงเก้าเข้าเสียเล่า?
องค์หญิงแปดรู้สิ่งที่ถาวจวินหลันสงสัย นางจึงอดหัวเราะไม่ได้ จากนั้นก็อธิบายว่า “ฮองเฮาหวังสูง พวกเราองค์หญิงถือเป็นอะไรกันในสายตานาง? ขอเพียงไม่ได้ออกมาจากท้องของนาง ก็ไม่ถือว่าเป็นอะไรทั้งนั้น องค์หญิงของโอรสสวรรค์แล้วอย่างไรกัน? ฐานะสูงส่งแล้วเป็นอะไร? เทียบกับหลานชายของนางไม่ได้แม้แต่น้อย อีกทั้งข้อดีของการแต่งงานกับองค์หญิงมีเยอะถึงเพียงนั้น แล้วเหตุใดจักไม่ชี้เลือกองค์หญิงสักคนเล่า?”
ไม่เพียงแค่มีสินสมรสมากมายมหาศาล ต่อจากนี้ไปเมื่อให้กำเนิดบุตรก็ยังมียศตำแหน่ง แม้แต่ตัวสามีเองก็พลอยได้รับผลประโยชน์จำนวนมาก ไฉนจะไม่เห็นดีด้วยเล่า?
ถาวจวินหลันกลับรู้สึกตกใจ นิ่งไปครู่หนึ่งถึงเรียกสติกลับมาได้ “เช่นนั้นองค์หญิงเก้าคงจะปฏิเสธเป็นแน่ใช่หรือไม่?”
องค์หญิงแปดหลุบตาลง จากนั้นก็หยิบผลไม้มาถือเล่นไว้ในมือ “ก่อนหน้านี้น้องเก้าขี้ขลาดอ่อนแอ ใครๆ ก็คิดว่านางยอมคน แต่หลังจากผ่านเรื่องนั้นมาข้าถึงรู้ว่าน้องเก้าก็มีอารมณ์เช่นกัน ไม่ได้เป็นคนที่บีบในกำมือได้ ก่อนที่ฮองเฮาจะสรุปเรื่องนี้ ไม่รู้ว่าน้องเก้าไปได้ข่าวมาจากที่ใด จึงชิงไปหาไทเฮาเสียก่อน”
ถาวจวินหลันเข้าใจในทันใด “ไทเฮาไม่มีทางปล่อยให้ฮองเฮาสมใจอยากเป็นแน่”
“จะไม่ใช่หรืออย่างไรกัน? ดังนั้นฮองเฮาถึงได้พูดถึงตระกูลเฉิน และยังพูดถึงการแต่งงานเชื่อมความสัมพันธ์อีกด้วย” องค์หญิงแปดหัวเราะเสียงเย็น “ฮองเฮาไฉนเลยจะรับการต่อต้านจากน้องเก้าได้ ต่อให้เหมือนข้าที่มีเสด็จแม่ ฮองเฮาก็ได้จัดการคนให้มาอยู่ข้างกายเพื่อบีบไว้ในกำมือ จะเทียบอะไรกับน้องเก้าเล่า”
ฟังน้ำเสียงส่อแววไม่พอใจแฝงอยู่ ถาวจวินหลันก็รู้สึกเหมือนประสบพบเจอมาเอง ฮองเฮามีนิสัยชอบควบคุมทุกอย่างจริง ต่อให้เป็นนางก็หนีไม่พ้นไม่ใช่หรือไร? ถ้าไม่ใช่เพราะเพ่ยหยางโหวฮูหยิน…ตอนนั้นนางคงลำบากกว่าเดิม
แน่นอนว่าองค์หญิงเก้าต้องยิ่งลำบากกว่า เหมือนกับที่องค์หญิงแปดพูดไว้ องค์หญิงเก้าตัวคนเดียวไม่มีใครปกป้อง ทุกเรื่องนั้นล้วนต้องพึ่งตนเอง
พูดไปมากกว่าครึ่งวัน ฉับพลันถาวจวินหลันก็เข้าใจความคิดขององค์หญิงแปด “เจ้าจะบอกว่าฮองเฮาเก็บความแค้นเอาในใจ คิดแค้นน้องเก้า ดังนั้นจึง…”
องค์หญิงแปดไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่สายตากลับอธิบายทุกอย่างออกมาแล้ว
ถาวจวินหลันขมวดคิ้ว รู้สึกรับไม่ได้ “แต่ฮองเฮาจำเป็นต้องเสี่ยงอันตรายเช่นนี้หรือ? แค่เพียงไม่ฟังคำสั่งนางก็เท่านั้น…” ไฉนเลยต้องทำการใหญ่เช่นนี้ด้วย? อีกทั้งฮองเฮาไม่กลัวถูกสืบพบหรืออย่างไร?
ดูแล้วฮองเฮาไม่น่าจะเป็นคนเลอะเลือนถึงเพียงนั้น
“ตอนแรกที่ฮองเฮาแสดงท่าทีว่าถูกใจตระกูลเฉินนั้น น้องเก้าก็ได้พูดกับไทเฮาไว้แล้วว่าชอบตระกูลถาวมากกว่า” องค์หญิงแปดยิ้มเล็กน้อย ดวงตาสดใสเป็นประกายมองตรงไปยังถาวจวินหลันอย่างไม่กระพริบ “พี่สะใภ้รองเข้าใจความหมายของข้าใช่หรือไม่เจ้าคะ?”
แน่นอนว่าถาวจวินหลันต้องเข้าใจ ความหมายขององค์หญิงแปดคือองค์หญิงเก้าหลอกใช้ตระกูลถาว หลอกใช้นาง นางหลุบตาลงเล็กน้อยเพื่อบหลบซ่อนอารมณ์ของตนเอง นางเงียบไปครู่หนึ่งถึงถอนหายใจออกมา “องค์หญิงเก้าช่างน่าสงสารนัก”
องค์หญิงแปดเลิกคิ้วเล็กน้อยด้วยประหลาดใจ จากนั้นรอยยิ้มก็ยิ่งลึกลับ “ใช่แล้ว น้องเก้าถูกบีบจนไม่มีทางเดิน แต่น้องเก้าก็เป็นคนฉลาด ดูซี เลือกคนถูกแล้วมิใช่หรืออย่างไร? สามีขององค์หญิงเก้าก็เป็นคนดี”
ด้วยคำเชยชมขององค์หญิงแปด ถาวจวินหลันจึงอดยิ้มออกมาไม่ได้ ถาวจิ้งผิงเป็นน้องชายของนาง น้องชายของตนได้รับคำชม นางจะไม่ดีใจได้อย่างไร?
“วันนั้นข้าก็เห็น น้องเก้าเสียใจจริงๆ และรู้สึกผิดเองด้วย” องค์หญิงแปดช่วยองค์หญิงเก้าพูด ในคำพูดนั้นแฝงความสงสารเอาไว้ “ลูกผู้หญิง ชีวิตนี้หลักพึ่งพิงที่ใหญ่ที่สุดก็คือสามี นางย่อมคิดวางแผนไว้ดีแล้ว แต่ว่าอย่างไรเสียฮองเฮาก็ไม่ใช่คนที่ใจกว้างอะไร”
ถาวจวินหลันเข้าใจความหมายขององค์หญิงแปด แต่กลับส่ายหน้า “ฮองเฮาไม่มีทางเลอะเลือน” ทำเรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้ไม่ใช่ว่าเป็นการสร้างความเดือดร้อนให้ตนเองหรืออย่างไรกัน?
ตอนที่ 363 ครอบครัวเดียวกัน
องค์หญิงแปดกลับไม่คิดเช่นนั้น “น้องเก้าอาศัยอยู่ในส่วนลึกของวังหลวง จะไปมีเรื่องกับคนภายนอกได้อย่างไร? แล้วภายในวังหลวง นอกจากเบาะแสเรื่องนี้แล้ว ท่านแม่ของข้าก็หาเบาะแสอย่างอื่นไม่พบ จะใช่หรือไม่ใช่ทำไมพี่สะใภ้รองไม่ลองไปถามน้องเก้าดูเล่าเจ้าคะ?”
แม้นถาวจวินหลันจะคิดว่านี่ไม่ใช่ความคิดที่ดี แต่ก็ต้องยอมรับว่านี่เป็นเพียงวิธีเดียว แต่ในช่วงเวลาสั้นๆ ไม่สามารถตัดสินใจได้ จึงยังไม่เอ่ยอะไรออกมา
องค์หญิงแปดดูรู้ว่าถาวจวินหลันยังรู้สึกลังเลใจอยู่ จึงไม่ได้ถามอะไรออกมาอีก เพียงแค่เปลี่ยนหัวข้อพูดไป
พอกลับมาจากจวนองค์หญิงแปด ถาวจวินหลันก็ยังไม่สามารถเลือกได้ เรื่องนี้กลับกลายเป็นเชื้อร้ายในใจของนาง นางอดครุ่นคิดพิจารณาอยู่ในใจไม่ได้ แม้เป็นตอนทานอาหารก็ยังเหม่อลอย
หลี่เย่รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้น คิดว่าภายในจวนเกิดเรื่องบางอย่างจึงถามออกมา
ถาวจวินหลันคิดว่าควรถามความคิดของหลี่เย่ดู จึงเล่าคำพูดขององค์หญิงแปดให้หลี่เย่ฟัง สุดท้ายแล้วก็พูดว่า “แต่ข้าว่าฮองเฮาจะไม่น่าสะเพร่าถึงเพียงนี้ เกรงว่านางคงไม่กล้ากระทำการอย่างโจ่งแจ้งไม่คำนึงถึงผลลัพธ์เช่นนี้”
ไม่ใช่ไม่เชื่อว่าฮองเฮาจะไม่ลงมือ และไม่ใช่ไม่รู้สึกว่าฮองเฮาจะโหดร้ายถึงเพียงนี้ แต่นางรู้สึกว่าถ้าฮองเฮาจะลงมือกระทำก็จะกระทำแบบแอบๆ ไม่มีทางที่จะโจ่งแจ้งเช่นนี้ ฮองเฮามีความสามารถที่จะทำให้คนไม่รู้สึกอะไรเลยด้วยซ้ำไป
สิ่งที่ถาวจวินหลันไม่รู้ก็คือท่าทีสับสนภายใต้แสงเทียน และดวงตาทอประกายของนางทำให้หลี่เย่ใจอ่อนหลายส่วน และได้ยินนางวิเคราะห์เช่นนี้ เขาก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ “เจ้าพูดถูกแล้ว”
แต่เมื่อพูดถึงฮองเฮา ท่าทีของหลี่เย่ก็เคร่งขรึ่มขึ้นมาหลายส่วน ดวงตาที่อบอุ่นก็ทาบทับไปด้วยความเคร่งขรึม เห็นได้ชัดว่าลึกล้ำลงไป “นี่ไม่ใช่วิธีของฮองเฮา หรือไม่ฮองเฮาก็กำลังวางแผนอยู่ ไม่อย่างนั้นก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับฮองเฮาเลย แต่ถ้าหากเรื่องนั้นเป็นเรื่องจริง เกรงว่าฮองเฮาคงไม่ค่อยยอมรับเจ้าเก้าและจิ้งผิงสักเท่าไรนัก”
องค์หญิงเก้าใช้ถาวจิ้งผิงเพื่อหนีออกจากการควบคุมของฮองเฮา และใช้ซวนเอ๋อร์กำจัดคนของฮองเฮาที่อยู่ข้างกายตนออกไป หากก่อนหน้านี้ตอนที่ถาวจวินหลันยังคงยอมก้มหน้าลดตัวอยู่ต่อหน้าฮองเฮานั้น ต่อให้ฮองเฮาไม่พอใจอย่างไรก็ต้องไว้หน้าไว้บ้าง ถือว่าเป็นการซื้อใจคน แต่ว่าตอนนี้…
ถาวจวินหลันเข้าใจดี ดังนั้นท่าทีของนางจึงเย็นชาหลายส่วน แม้กระทั่งมือที่จับตะเกียบก็กำแน่นมากขึ้น “ข้าไม่มีทางให้คนในครอบครัวต้องเสี่ยงอันตรายเป็นแน่”
หากถึงตอนที่ไม่สามารถปฏิเสธได้แล้ว นางก็ไม่เกรงใจที่จะส่งฮองเฮาไปยังภพตะวันตก มีเรื่องหนึ่งที่นางไม่เคยพูด นั่นก็คือพิษที่ใส่เข้าไปในกำไลที่ให้ฮองเฮาครั้งนั้น ก็สามารถให้ออกฤทธิ์ได้ล่วงหน้า ขอแค่เพียงนางห้อยถุงเครื่องหอมที่ทำมาเป็นพิเศษ และไปมาหาสู่ฮองเฮาบ่อยๆ ‘อาการป่วย’ ของฮองเฮาก็จะยิ่งหนักเร็วขึ้น
แต่ถ้าเป็นเช่นนั้นหมอหลวงก็จะรู้ว่าฮองเฮาถูกพิษ ถึงตอนนั้นนางเองก็ไม่สามารถหลุดพ้นจากเรื่องนี้ได้
นั่นเป็นแผนการสุดท้ายที่นางเหลือไว้ให้ตนเอง แม้แต่หลี่เย่นางก็ไม่ได้บอกเรื่องนี้
“มีข้า” หลี่เย่แม้ว่าจะพูดแค่เพียงสองคำ แม้แต่ท่าทีก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลง แต่เมื่อถาวจวินหลันฟังกลับรู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก
นางอดส่งยิ้มให้หลี่เย่ไม่ได้ จากนั้นนางก็กล้ำกลืนความรู้สึกหงุดหงิดไม่พอใจนี้ลงไป
“พรุ่งนี้เจ้าไปถามน้องเก้าก็แล้วกัน ข้าจะรอเจ้าอยู่ที่จวน” หลังจากทานอาหารเสร็จแล้ว หลี่เย่พลันพูดกำชับเช่นนี้ออกมา เหมือนว่ายังอยากพูดอะไรอีก แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดออกมา
ถาวจวินหลันกลับเข้าใจความหมายของหลี่เย่ ในเมื่อจุดประสงค์คือองค์หญิงเก้า ถ้าเช่นนั้นก็ต้องเป็นศัตรูขององค์หญิงเก้า หากองค์หญิงเก้าปิดบังเอาไว้ก็ไม่เกิดผลดีอะไรต่อเรื่องนี้
แต่เพียงแค่องค์หญิงเก้าจะยอมพูดอย่างนั้นหรือ? เกรงว่าไม่น่าจะเป็นเช่นนั้น หากยอมพูดก็ไม่มีความจำเป็นต้องรอให้นางไปถามเองวันพรุ่งนี้
ดังนั้นเกรงว่าเมื่อนางถามไปแล้ว ก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องได้รับคำตอบกลับมา
เมื่อคิดถึงนิสัยขององค์หญิงเก้า ถาวจวินหลันก็อดถอนหายใจออกมาไม่ได้ ก่อนหน้านี้นางรู้สึกว่าองค์หญิงเก้าเป็นคนดี แต่คิดไม่ถึงว่าเมื่อเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น มุมมองที่นางมีต่อองค์หญิงเก้ากลับต้องเปลี่ยนไป
แน่นอนว่านางไม่ได้รู้สึกว่าองค์หญิงเก้าเป็นคนไม่ดี แต่ท้ายที่สุดแล้วก็คิดเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้ ตอนนี้เมื่อต้องเผชิญหน้ากับองค์หญิงเก้า ในใจมักจะรู้สึกแปลกประหลาด นางให้อภัยการกระทำทั้งหลายขององค์หญิงเก้าได้ และเข้าใจความลำบากของนาง แต่เมื่อถูกคนเล่นงาน นางก็รู้สึกไม่สบายใจอยู่ดี
จะพูดอย่างไรดี เหมือนกับว่าพอความหวังที่มีอยู่เต็มจนล้นนั้นต้องพบกับความผิดหวังซ้ำซาก แน่นอนว่าอารมณ์ที่พุ่งสูงย่อมต้องลดลงมาเช่นเดียวกัน
บางทีอาจด้วยมองความรู้สึกในใจของนางออก หลี่เย่จึงค่อยๆ เอ่ยปากพูดว่า “เมื่อเจ้าเก้าแต่งงานเข้าตระกูลถาวมาแล้ว ต่อจากนี้ตระกูลถาวก็เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับนาง นางจะต้องปกป้องตระกูลถาวและจิ้งผิงด้วยเช่นกัน”
หลี่เย่พูดเพื่อให้ถาวจวินหลันเปลี่ยนมุมมองความคิดเรื่องนี้ ดูจากอีกทางหนึ่งแล้วที่จริงจิตใจเช่นนี้ขององค์หญิงเก้าก็ไม่ได้ถือเป็นเรื่องเลวร้าย แม้ว่าคนตระกูลถาวจะง่ายๆ แต่เมื่อคิดอยากจะฟื้นฟูกลับมาก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นเรื่องง่าย หากไม่มีแผนการ เกรงว่าคงช่วยเหลือถาวจิ้งผิงไม่ได้
ถาวจวินหลันเองก็เข้าใจเหตุผลนี้ ดังนั้นแม้ว่าในใจของนางมีปม แต่ท่าทีที่มีต่อองค์หญิงเก้าก็ยังคงเหมือนเดิม ไม่เคยเปลี่ยนไปแม้แต่น้อย
วันรุ่งขึ้นถาวจวินหลันจึงเดินทางไปยังบ้านตระกูลถาว
ผ่านไปเพียงแค่สองสามวัน บาดแผลของถาวจิ้งผิงก็ค่อยๆ ดีขึ้น ดูมีเรี่ยวแรงมากยิ่งขึ้น แม้ว่ายังต้องนอนรักษาบาดแผลอยู่ ไม่สามารถขยับแรงๆ ได้ แต่ว่าก็ยังนอนเอนหลังพิงหมอนดูหนังสือได้
เมื่อเห็นถาวจวินหลันก็ยิ้มและพูดว่า “ท่านพี่ไม่จำเป็นต้องมาหาข้าทุกวันก็ได้ จวนของท่านยังมีธุระอีกมากมาย” ถาวจิ้งผิงกลัวว่าตนเองจะพลอยให้พี่สาวต้องละเลยจวนตวนอ๋องไปด้วย ในตอนนี้หลานสาวและหลานชายอยู่ในช่วงที่ต้องการคนดูแล ได้ยินว่าวันนั้นซวนเอ๋อร์ตกใจ ก็ไม่รู้ว่าดีขึ้นบ้างแล้วหรือยัง
ถาวจวินหลันเห็นว่าถาวจิ้งผิงกำลังอ่านหนังสืออยู่ ก็อดตีหน้าเคร่งไม่ได้ “พักรักษาตัวให้ดีก็ควรจะอ่านหนังสือทั่วไป เหตุใดถึงยังมาอ่านหนังสือการทหารอยู่ได้เล่า?”
อ่านหนังสือทั่วไปก็เพียงเพราะหาความสุข ดูหนังสือการทหารเหล่านี้กลับเป็นการบั่นทอนพลังชีวิต ปวดกำลังสมอง
ถาวจิ้งผิงเห็นเช่นนั้นก็รีบส่ายหน้า “รอจนบาดแผลข้าหายดีก็ต้องไปที่ศาลาว่าการ สถานที่กองทัพทหารเช่นนั้น หากว่าหนังสือทหารข้าไม่เคยอ่านแลยแม้แต่น้อยจะมีที่ยืนได้อย่างไรกัน? คงให้คนอื่นมาหัวเราะเยาะข้าไม่ได้ อีกอย่างข้าเองก็รู้จักพอ ท่านพี่วางใจได้”
มองดูไรหนวดเคราของถาวจิ้งผิง ถาวจวินหลันก็ได้สติขึ้นมา ตอนนี้ถาวจิ้งผิงโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ไม่ใช่เด็กที่ตนเองจะต้องกังวลตลอดเวลาอีกต่อไปแล้ว นางจึงหัวเราะเย้ยตนเอง “ใช่ๆ ตอนนี้เจ้าเป็นผู้ใหญ่แล้ว ข้าไม่ยุ่งกับเจ้าแล้ว” หยุดไปครู่หนึ่ง นางก็มองไปยังองค์หญิงเก้า พลางเอ่ยอย่างหยอกเย้าว่า “ให้ภรรยาของเจ้าดูแลเอาก็แล้วกัน”
แม้ว่าถาวจิ้งผิงจะหูแดง แต่ใบหน้าก็ยังแสร้งทำเป็นสงบนิ่ง แต่องค์หญิงเก้ากลับเขินอายจนแทบจะซุกเข้าไปในอก
จากนั้นถาวจวินหลันก็กำชับถาวจิ้งผิงอีกเล็กน้อย ก่อนมองไปยังองค์หญิงเก้า “น้องเก้า พวกเราไปเดินเล่นที่สวนกันดีหรือไม่ ดูว่ามีดอกไม้อะไรบ้าง เพื่อตัดกลับมาเลี้ยงไว้ในห้อง ให้จิ้งผิงได้ดูบ้าง”
องค์หญิงเก้ามีท่าทีแปลกใจเล็กน้อย แต่ก็ยังรับปาก ทั้งสองคนจึงพากันเดินไปที่สวนดอกไม้
เวลานี้เป็นฤดูใบไม้ผลิ ดอกไม้ทั้งหลายออกดอกออกผล แม้นจะบอกว่าสวนของบ้านตระกูลถาวไม่ได้กว้างมากนัก แต่ก็จัดการได้อย่างครึกครื้น มองดูลูกท้อสีแดงต้นหลิวสีเขียว ผีเสื้อบินไปมา จิตใจของคนก็พลอยเบิกบานสดใสไปด้วย
“น้องเก้า ท่านอ๋องอยากจะสืบคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ เรียกร้องความยุติธรรมให้กับเจ้า” ถาวจวินหลันรู้สึกว่าในเมื่อเป็นคนในครอบครัวเดียวกันย่อมไม่จำเป็นต้องอ้อมค้อม ดังนั้นจึงเอ่ยปากพูดออกมาตรงๆ มองดูองค์หญิงเก้า “แต่ว่าเขาไม่รู้อะไรเลย จึงไม่รู้ว่าต้องเริ่มสืบจากที่ใด ถือว่าเป็นการเสียเวลาอย่างมาก ดังนั้นน้องเก้าช่วยท่านอ๋องได้หรือไม่?”
องค์หญิงเก้ามีท่าทีไม่ค่อยสบายใจเล็กน้อย สายตาหลบหลีกไปมาไม่เป็นสุข “คำพูดนี้ของท่านพี่หมายความว่าอย่างไรกัน?”
“เจ้าอาศัยอยู่ในวังมาโดยตลอด คนภายนอกไม่มีทางคิดร้ายด้วยเป็นแน่ เจ้าเคยสร้างศัตรูเอากับใครในวังหลวงบ้างคิดว่าในใจของเจ้าคงรู้ดี ไม่สู้พูดอกมาอย่างน้อยก็ยังมีทิศทางบ้างไม่ใช่หรืออย่างไร?” ถาวจวินหลันเห็นว่าองค์หญิงเก้ายังมีท่าทีปิดบังหลบหลีกอยู่ น้ำเสียงก็อดแข็งคิดมาหลายส่วนไม่ได้
นางหวังว่าองค์หญิงเก้าจะสารภาพเรื่องนี้ พูดให้ไม่น่าฟังก็คือในเมื่อหลอกใช้ตระกูลถาวแล้วก็ควรเข้าใจการปฏิบัติตนของคนในตระกูลถาวมิใช่หรือ? ยังปิดบังอยู่อย่างนั้นจะมีความหมายอะไรอีก? หรือว่าจะทำให้ตระกูลถาวงมอยู่ในโอ่งไม่รู้เรื่องราว แม้แต่ใครเกลียดตนเองก็ยังไม่รู้
หากองค์หญิงเก้าไม่พูด นางคงผิดหวังเป็นอย่างมาก
ที่ถาวจวินหลันไม่รู้ก็คือ ที่จริงแล้วในสายตาของตนเองฉายแววความผิดหวังออกมาแล้วหลายส่วน
เมื่อองค์หญิงเก้าเห็นสายตาเช่นนี้ก็เริ่มรู้สึกสบสน
ทั้งสองคนแข็งขืนใส่กันอยู่นาน สุดท้ายแล้วถาวจวินหลันก็หลุบตาลง น้ำเสียงเรียบนิ่ง “ในเมื่อเจ้าไม่พูดก็ช่างเถิด” นิ่งไปครู่หนึ่ง และพูดออกมาอย่างแฝงนัยว่า “ข้าเพียงหวังว่าองค์หญิงจะเข้าใจว่าอะไรเรียกว่าสามีภรรยาคือคนเดียวกัน เจ้าลำบากใจข้าก็ไม่บังคับเจ้า แต่จิ้งผิงเป็นสามีของเจ้า เป็นความหวังสุดท้ายของตระกูลถาว”
ถาวจวินหลันพูดจบก็หมุนตัวเดินออกไป พูดเพียงเท่านี้หากพูดต่อไปก็เป็นการทำร้ายกัน ดังนั้นจึงหยุดเท่านี้พอ
องค์หญิงเก้ากัดฟัน เอื้อมมือไปจับแขนเสื้อของถาวจวินหลันในทันใด แม้ว่าจะไม่ได้เอ่ยพูดมาก่อน แต่ความตั้งใจนั้นก็เห็นได้ชัดแล้ว
ถาวจวินหลันถอนใจออกมาเบาๆ ยิ้มบางๆ มองคนรอบข้าง
หงหลัวรีบพาบ่าวรับใช้ขององค์หญิงเก้าออกไป รับประกันว่าคำพูดขององค์หญิงเก้าจะมีเพียงถาวจวินหลันได้ยินเท่านั้น
แม้กระทั่งเพื่อความปลอดภัย ถาวจวินหลันยังพาองค์หญิงเก้าเดินไปยังข้างสระน้ำ ที่นี่พื้นที่กว้างขวาง รอบข้างกวาดสายตามองทั่ว ทั้งสองคนยืนอยู่ริมสระ เห็นดอกบัวและปลาที่อยู่ในสระพอดี
องค์หญิงเก้ามองถาวจวินหลันวูบหนึ่ง ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ถึงจะเอ่ยปากพูดว่า “ที่จริงแล้วตอนนั้นฮองเฮาต้องการให้ข้าแต่งงานกับหลานชายเพื่อเข้าตระกูลเดิมของนาง แต่ว่าคนผู้นั้น…ไม่ใช่คนดี ด้วยความไม่ยินยอมจึงได้หาญกล้าเอ่ยปฏิเสธไป และบอกไทเฮา…ตั้งแต่ตอนนั้นฮองเฮาก็เริ่มไม่ชอบข้าแล้ว”
“ถ้าเช่นนั้นเคยลงมือกับเจ้าหรือไม่?” ถาวจวินหลันขมวดคิ้วไล่ถาม หยุดไปครู่หนึ่งก็ลองถามอีกว่า “เพียงแค่เรื่องนี้ฮองเฮาก็ไม่พอใจแล้วอย่างนั้นหรือ?”
ตอนที่ 364 เข็มแข็งและอ่อนแอ
ถาวจวินหลันถามเช่นนี้ก็ด้วยอยากดูว่าองค์หญิงเก้าจะยินยอมสารภาพหรือไม่ แม้ว่าถาวจวินหลันจะรู้ว่าทำเช่นนี้ดูต้อยต่ำ แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่สามารถระงับความมุทะลุในใจได้
องค์หญิงเก้ามองถาวจวินหลันวูบหนึ่ง ผ่านไปนานถึงพูดออกมาเสียงเบา “ข้ายังขับไล่คนของฮองเฮาที่อยู่ข้างกายข้าออกไปด้วยข้ออ้างต่างๆ นานา อย่างไรเสีย ในเมื่อออกจากวังหลวงแล้ว ข้าก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องถูกคนบังคับควบคุมอยู่อีก ข้าอยากเป็นนายตัวเอง อยากใช้ชีวิตของตน”
ที่องค์หญิงเก้าไม่ได้พูดออกมาก็คือ นางเหน็ดเหนื่อยกับการต้องระแวดระวังอยู่ตลอดเวลาเมื่ออยู่ต่อหน้าฮองเฮา แล้วยังต้องทนรับสายตาสืบสวนจับจ้องทุกสิ่งอย่างในทุกวัน และยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าคนที่ฮองเฮาแทรกแซงเอาไว้ก็ใช้ฐานะของตนมากลั่นแกล้งนาง
ในใจของถาวจวินหลันไม่สามารถพูดได้ว่ายินดี แล้วยังรู้สึกดูถูกตนเอง แต่ว่าโดยภาพรวมแล้วกลับรู้สึกพอใจ ท่าทีสารภาพขององค์หญิงเก้าเช่นนี้ทำให้ปมที่ผูกกันแน่นในใจของนางลดน้อยไปมากเลยทีเดียว
“ควรจะต้องเป็นเช่นนี้” ถาวจวินหลันพยักหน้าเห็นด้วย “ที่นี่คือบ้านตระกูลถาว ไม่ใช่วังส่วนใน เส้นสายของฮองเฮาไม่ควรยื่นมาถึงที่นี่ อีกทั้งเจ้าเป็นองค์หญิง จะให้บ่าวรับใช้มากลั่นแกล้งได้อย่างไรกัน?”
องค์หญิงเก้าได้รับคำชมเช่นนี้พลันก็รู้สึกกระวนกระวาย เหมือนไม่รู้ว่าจะเอามือไปวางไว้ที่ไหน “เพราะว่าถูกบีบบังคับ มิเช่นนั้นคงไม่ต้องหาเรื่องฮองเฮาเช่นนี้…ทั้งยังสร้างความเดือดร้อนให้จิ้งผิง”
“เจ้ามั่นใจว่ามีเพียงฮองเฮาคนเดียวอย่างนั้นหรือ?” ถาวจวินหลันยิ้ม พูดเสียงอ่อนว่า “เจ้าคิดดูให้ดี อย่าได้พลาดจุดเล็กๆ น้อยๆ ไป อย่างไรเรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องเล็ก ไม่ว่าจะเป็นใครที่กล้าทำเรื่องเช่นนี้ หากครั้งนี้ไม่จับให้ได้ ครั้งต่อไปก็รับประกันไม่ได้ว่าจะทำเรื่องที่มากเกินไปกว่านี้อีกหรือไม่”
ถาวจวินหลันไม่ได้ต้องการทำให้องค์หญิงเก้าตกใจ แต่พูดออกมาตามความเป็นจริง ที่นางร้อนรนหาคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ออกมาทั้งหมดนี้ไม่ใช่เพราะว่าแค้นเคียงเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ยังมีเหตุผลที่ไม่ยินยอมให้ต่อจากนี้ต้องรู้สึกไม่ปลอดภัยอยู่ตลอด
หากไม่จำกัดการข่มขู่เช่นนี้ออกไป แล้วจะนอนหลับได้สนิทอย่างไรกัน?
องค์หญิงเก้ากลับมีท่าทางสงบนิ่ง “นอกจากฮองเฮาแล้ว ข้าคิดถึงคนอื่นไม่ออกจริงๆ พี่ใหญ่ก็รู้จักข้า ปกติแล้วข้าอดทนอยู่ตลอด จะไปสร้างศัตรูที่ใดได้อีก? ถ้าไม่ใช่เพราะว่าฮองเฮารังแกกันมากเกินไป…”
ถาวจวินหลันพยักหน้า ใช่แล้ว หากหลานชายของฮองเฮาไม่ได้แย่เช่นนั้น ก็ไม่แน่ว่าองค์หญิงเก้าก็อาจจะพยักหน้าตอบรับ อย่างไรแล้วองค์หญิงเก้าก็ต่อต้านฮองเฮาได้ยากนัก
แน่นอนว่ามีความเป็นไปได้ที่องค์หญิงเก้าตั้งเกราะป้องกันจากฮองเฮามาโดยตลอด มีแผนการมานานแล้ว แต่ว่าพูดตามจริงแล้วล้วนเป็นสิ่งที่ฮองเฮาบีบบังคับ หากนางอยู่ในฐานะเช่นองค์หญิงเก้า เกรงว่ามีเพียงจะวางแผนให้ตนเองได้มากกว่านี้
ในฐานะที่เป็นพี่สะใภ้ นางเข้าใจและสงสารองค์หญิงเก้า แต่ในฐานะที่เป็นพี่สาว…รู้สึกประหลาดเล็กน้อย อย่างไรเสียถาวจิ้งผิงเป็นน้องชายแท้ๆ ของนาง ไม่ว่าอย่างไรนางก็ไม่หวังว่าน้องสะใภ้ของตนจะวางแผนใช้น้องชายของตน และยิ่งไม่หวังว่าน้องชายของตนจะพลอยลำบากและบาดเจ็บเพราะน้องสะใภ้
แต่ว่าถึงตอนนี้เห็นได้ชัดว่าใช้อารมณ์ก็ไร้ซึ่งประโยชน์ ที่สำคัญที่สุดก็คือจะต้องสมัครสามัคคีกันถึงจะถูก
“เรื่องภายในจวนเจ้าต้องใส่ใจให้ดี จะต้องระวังเป็นอย่างมาก” ถาวจวินหลันกำชับ “ฝ่ายตรงข้ามโจมตีครั้งแรกแล้วพลาดเป้าไป ไม่แน่ว่ายังจะส่งคนมาหรือว่าใช้วิธีอะไรอีก ไม่ออกจากเรือนได้ก็ไม่ต้องออก เลือกใช้คนก็ให้ใช้คนที่เชื่อถือได้”
องค์หญิงเก้าพยักหน้า ใบหน้านั้นปรากฏแววมุ่งมั่น “ท่านพี่วางใจได้ ข้ายังพอมีวิธีรับมือเรื่องเหล่านี้ ข้าจะต้องปกป้องจิ้งผิงให้ได้”
ถาวจวินหลันเชื่อว่าองค์หญิงเก้าทำได้ อยู่ภายในวังหลวงมาหลายปี แม้จะบอกว่าเจอการกลั่นแกล้งมาไม่น้อย แต่องค์หญิงเก้าก็ยังมีชีวิตอยู่ถึงตอนนี้มิใช่หรือ? แล้วยังสามารถหาสามีที่ตนเองพอใจได้อีกด้วย?
“ตอนแรกไทเฮารู้เรื่องที่เจ้าเลือกจิ้งผิงหรือไม่?” ถาวจวินหลันพลันคิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้
องค์หญิงเก้าตะลึงไป จากนั้นก็พยักหน้า “ไทเฮาทราบ ที่จริงแล้วเป็นไทเฮาที่เสนอเรื่องนี้ขึ้นมาตอนแรก ข้าถึงได้หาโอกาสมาแอบดูจิ้งผิงครั้งหนึ่ง”
แม้จะเป็นการพิสูจน์ความสงสัยภายในใจ แต่ถาวจวินหลันก็ยังอดรู้สึกตกใจไม่ได้ ไม่ว่าอย่างไรนางก็รู้สึกประหลาดใจเรื่องที่ไทเฮาถูกใจถาวจิ้งผิง
หรือจะบอกว่าแม้นไทเฮาจะดูเป็นสุกรที่กินเสือ ท่าทางแก่ชราเลอะเลือนไม่สนใจเรื่องราว แต่เกรงว่าไทเฮาคงเข้าใจมากกว่าผู้ใดใช่หรือไม่?
มองดูท่าทีประหลาดใจของถาวจวินหลัน องค์หญิงเก้ากลับพยักหน้าและพูดว่า “ที่จริงแล้ว คนที่ฉลาดมากที่สุดในวังหลวงก็คือไทเฮา ที่ข้ามีท่าทางเช่นนี้ในวันนี้ก็ด้วยการสั่งสอนอบรมจากไทเฮา ต่อจากนี้ท่านพี่ลองไปมาหาสู่กับไทเฮาให้มาก แต่อย่างไรไทเฮาก็อายุเยอะแล้ว ไม่อยากสนใจเรื่องราวอะไรมากมายอีก นี่ก็เป็นเรื่องที่ข้าจนปัญญาเช่นเดียวกัน”
ถาวจวินหลันหัวเราะฝืน “ไทเฮาไม่ชอบข้า” พูดไปก็แปลก ไทเฮาชอบซินหลัน และถูกใจถาวจิ้งผิง แต่กลับไม่ชอบนางเพียงคนเดียว
แต่โดยรวมแล้วท่าทีของไทเฮาที่มีต่อตระกูลถาวก็ยังถือว่าชอบใช่หรือไม่? มิเช่นนั้นคงไม่ให้หลานสาวของตนเองแต่งงานเข้ามา และยิ่งไม่หาที่พึ่งพิงที่ดีให้กับซินหลัน
เพราะคิดได้ว่าหลี่เย่ยังรออยู่ที่จวน ถาวจวินหลันจึงปฏิเสธคำเชิญทานข้าวขององค์หญิงเก้าอย่างอ้อมค้อม แล้วรีบเร่งกลับจวน
หลี่เย่ไม่ได้รู้สึกแปลกใจกับคำตอบขององค์หญิงเก้า ถาวจวินหลันคิดว่าเขาน่าจะคาดเดาได้ตั้งนานแล้ว นางจึงพูดว่า “ในเมื่อท่านมั่นใจ เหตุใดยังต้องให้ข้าไปถามด้วย?”
หลี่เย่ยิ้มอย่างอบอุ่น “หลายวันมานี้ในใจของเจ้ามีปม ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าเก้าปิดบังเจ้าหรืออย่างไร?”
ถาวจวินหลันตะลึงไปในทันใด แทบจะนิ่งอึ้งไป มองดูหลี่เย่ด้วยท่าทีเหม่อลอยเลอะเลือน
“ตอนนี้ได้ฟังคำสารภาพแล้ว ต่อจากนี้เจ้าก็ถือว่าได้คลายปมในใจแล้ว” หลี่เย่พูดเสียงอ่อนโยน บีบมือของนางเบาๆ ดึงนางนั่งลงบนตั่ง และรินชาให้นางแก้วหนึ่ง “หลังจากนี้เวลาไปมาหาสู่กันของพวกเจ้ายังเยอะนัก คงไม่สามารถเป็นเช่นนี้ได้ตลอด เจ้าเก้าเป็นคนอ่อนไหวคิดมาก เวลานี้นางยังคงคิดว่าจิ้งผิงยังไม่สังเกตถึงเรื่องนี้ เกรงว่าในอนาคตจะคิดมาก ทำร้ายความสัมพันธ์ระหว่างพวกเจ้า”
ถาวจวินหลันแทบจะไม่พูดอะไรไม่ออก ในความเป็นจริงแล้ว นางไม่รู้ด้วยซ้ำว่านางต้องพูดอะไรถึงจะถูก
นางคิดไม่ถึงว่าหลี่เย่จะทำเรื่องเช่นนี้เพราะเหตุนี้ แม้จะบอกว่านางรู้มาตลอดว่าหลี่เย่เป็นคนละเอียดอ่อน แต่ตอนนี้เวลานี้หลี่เย่กลับยังสามารถมองปมที่อยู่ในใจของนางออก…
เห็นได้ว่าหลี่เย่ใส่ใจและเป็นห่วงนางมากเพียงใด
ในใจอดรู้สึกอ่อนหวานและซาบซึ้งไม่ได้ และยิ่งรู้สึกว่าลำบากใจ เป็นใครก็คงไม่หวังว่าท่าทีย่ำแย่ของตนเองจะปรากฏให้สามีที่ตนเองใส่ใจเห็น
ดังนั้นภายในช่วงเวลาสั้นๆ นางก็รู้สึกไม่กล้ามองหลี่เย่ขึ้นมา
หลี่เย่พอจะรู้ว่าตัวนางไม่เป็นปกติ ดังนั้นจึงออกจากจวนไปจัดการธุระต่อ
ถาวจวินหลันนั่งนิ่งอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่ง ตราบจนหงหลัวเข้ามาถามว่าจะทานข้าวหรือไม่
แต่ถาวจวินหลันกลับไม่มีความอยากอาหารเท่าไรนัก จึงส่ายหน้า “ชิงกูกูอยู่หรือไม่?” ไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ นางก็อยากไปพูดคุยกับชิงกูกู
ว่าไปก็นานแล้วเหมือนกันที่นางไม่ได้ไปพูดคุยกับชิงกูกู ตั้งแต่ได้ดูแลจวน นางก็วุ่นวายทุกวัน ไม่มีเวลาว่างเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว
ชิงกูกูรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย เพียงแค่คิดว่าเกิดอะไรบางอย่างขึ้น ในใจกังวลเล็กน้อย หลังจากที่เข้าไปในห้องแล้วก็มองไปยังถาวจวินหลันทีหนึ่งตามสันชาตญาณ เห็นถาวจวินหลันขมวดคิ้วเล็กน้อยจึงยิ่งระมัดระวังมากขึ้นไปอีก
แต่อย่างไรแล้วชิงกูกูก็เป็นคนมีนิสัยร่าเริง หลังจากที่ทำความเคารพแล้วก็พูดขึ้นก่อนว่า “ชายารองเป็นอะไรไปหรือ? หรือว่าอารมณ์จะไม่ดี แต่ก็ต้องให้ความสำคัญกับร่างกายเอาไว้ก่อน วันนี้ห้องครัวทำหมูแผ่นอบน้ำผึ้ง แล้วยังมีหน่อไม้กลิ่นหอมมากนัก”
ถาวจวินหลันได้ยินชิงกูกูพูดเช่นนี้ก็หัวเราะทันที “ไม่ใช่เพราะอารมณ์ไม่ดี เพียงแค่อยากหาคนคุยด้วยเท่านั้น เอาเป็นว่า วันนี้กูกูอยู่ร่วมทานอาหารกับข้าได้หรือไม่? ทานข้าวคนเดียวช่างเดียวดายยิ่งนัก”
ชิงกูกูรับปากโดยที่ไม่ลังเล
ดังนั้นวันนี้บนโต๊ะก็มีคนสามคนร่วมโต๊ะ นอกจากถาวจวินหลันและชิงกูกูแล้ว ก็ยังมีซวนเอ๋อร์
ตอนนี้ซวนเอ๋อร์สามารถถือช้อนกินข้าวได้แล้ว เพื่อไม่ให้เขาอ้อนแอ้นจนเกินไป ถาวจวินหลันจึงไม่อนุญาตให้แม่นมโจวป้อนอีก แต่ให้คนทำถ้วยไม้ใบเล็กให้เขาใช้ ให้เขานั่งบนเก้าอี้สูงที่ทำมาเป็นพิเศษเพื่อให้เขาร่วมโต๊ะทานข้าวได้ อนุญาตให้แม่นมโจวช่วยเขาจัดอาหารเท่านั้น
แต่อย่างไรซวนเอ๋อร์ก็ยังอายุน้อย กินข้าวมีกว่าครึ่งที่หกไปนอกชาม ดังนั้นทุกครั้งที่ทานข้าวเสร็จก็ทำให้ด้านหน้าของเขามีสภาพไม่น่าดูเป็นที่ยิ่ง แต่ถาวจวินหลันกลับไม่ใส่ใจ
ชิงกูกูหัวเราะและพูดว่า “เหมือนกับท่านอ๋องตอนเด็กๆ อย่างมาก ตอนนั้นท่านอ๋องก็กินข้าวเอง ท่าทางจริงจังเห็นแล้วน่าเอ็นดูยิ่งนัก”
ถาวจวินหลันเม้มริมฝีปากกลั้นยิ้ม “ก็เพราะว่าเลียนแบบพ่อของเขา ไม่อาจปล่อยให้สบายจนเคยตัวได้ ต่อจากนี้ไปจะทำอะไรไม่เป็น รู้จักแค่เพียงใช้ชีวิตอย่างสบายเท่านั้น”
พอทานอาหารเสร็จ อารมณ์ของถาวจวินหลันก็สงบลงไปไม่น้อย และพูดคุยกับชิงกูกูอยู่อีกครู่หนึ่ง แล้วก็พูดถึงเรื่องของตนเองขึ้นมา “ว่าไปแล้ว ท่านอ๋องดีกับข้ามาโดยตลอด กลายเป็นข้าที่ไม่รู้ว่าจะตอบแทนอย่างไร”
ชิงกูกูมองถาวจวินหลันอย่างสงสัยวูบหนึ่ง “นี่หมายความว่าอย่างไรกัน? ไม่ใช่การทำธุรกิจเสียหน่อย ยังจะต้องมาคิดเรื่องการตอบแทนกันไปมา พวกท่านเป็นสามีภรรยากัน เขาปฏิบัติต่อท่านดีก็เป็นเรื่องสมควรอยู่แล้ว หรือว่าท่านปฏิบัติกับเขาไม่ดี?”
ถาวจวินหลันส่ายหน้า “ไม่ถึงขนาดนั้น เพียงแค่รู้สึกว่าไม่คู่ควรเท่านั้น”
“มีอะไรคู่ควรไม่คู่ควรกัน?” กูกูหัวเราะออกมาเสียงดัง “ในเมื่อเขาเลือกท่าน ก็อธิบายว่าท่านมีสิ่งที่คนอื่นไม่สามารถเทียบได้ แล้วเหตุใดจะต้องดูถูกตนเองด้วยเล่า? ท่านอ๋องไม่สนใจเรื่องนี้แล้วเหตุใดท่านจะต้องสนใจด้วย? อีกทั้งท่านก็ให้กำเนิดลูกชายลูกสาวกับเขาตั้งสองคน เหตุใดถึงยังไม่เข้าใจเรื่องนี้อีกเล่า?”
ถาวจวินหลันครุ่นคิด รู้สึกว่าตนเองนั้นจะเจ้าอรมณ์ไปหน่อยแล้ว ในตอนนั้นจุงหัวเราะเยาะตนเองออกมา “ยังคงเป็นกูกูที่เข้าใจมากที่สุด” แม้ว่านางจะเข้าใจ แต่ก็ไม่สามารถยืนหยัดต่อไปได้ตลอด ยังคงสั่นคลอนอยู่ตลอดเวลา
ผ่านไปครู่หนึ่งนางก็ไม่ติดใจเรื่องนี้อีก แล้วพูดถึงเรื่องไทเฮาขึ้นมา “กูกูรู้สึกว่าไทเฮาเป็นคนเช่นไรอย่างนั้นหรือ?”
ชิงกูกูขมวดคิ้ว “ไทเฮา? ไทเฮาทำไมหรือ?”
ถาวจวินหลันเล่าเรื่องวิธีที่องค์หญิงเก้าขอความช่วยเหลือจากไทเฮาอย่างไร ก่อนหัวเราะขมขื่นและพูดว่า “พูดแล้วก็น่าขันนัก พี่น้องทั้งสามของตระกูลถาวก็มีเพียงข้าเท่านั้นที่ไทเฮาไม่ชอบ”
กูกูไม่รู้สึกประหลาดใจ ยิ้มและพูดว่า “ท่านเข้าวังมาช้า แน่นอนว่าไม่รู้เรื่องของไทเฮา ถึงได้รู้สึกว่าไทเฮาเป็นเช่นนี้ ที่จริงแล้วไทเฮาก็เพียงคร้านจะสนใจเรื่องเหล่านี้ก็เท่านั้นเอง ถ้าจะพูดว่าความมั่นใจในอกนั้นไทเฮาไม่ได้มีน้อยไปกว่าฮองเฮา สำหรับที่บอกว่าไม่ชอบท่านที่จริงแล้วอาจจะไม่ได้เป็นเช่นนั้น”
ตอนที่ 365 เบาะแส
คำพูดนี้ของชิงกูกูนั้นทำให้ถาวจวินหลันสนใจขึ้นมา “คำพูดนี้หมายความว่าอย่างไรกัน?”
ชิงกูกูยิ้มบางๆ แลดูมีท่าทีลึกลับ “หากรังเกียจท่าน ถ้าเช่นนั้นในเมื่อมีฮองเฮาชักใยอยู่ เกรงว่าไทเฮาก็คงไม่ยอมให้ท่านเข้ามาในจวนตวนอ๋องได้ และยิ่งไม่ให้ท่านให้กำเนิดลูกชายให้ท่านอ๋องเป็นแน่”
ถาวจวินหลันนิ่งไป แม้จะบอกว่าคำพูดนี้ฟังแล้วดูเย็นชา แต่เมื่อถาวจวินหลันคิดดูแล้วก็รู้สึกว่ามีเหตุผล หากไทเฮาบีบบังคับหลี่เย่ไม่ให้ตนเองเข้ามาในตระกูล หลี่เย่ก็ไม่สามารถละเลยได้
ดังนั้นคำพูดนี้ไม่ใช่ว่าไม่มีเหตุผล เพียงแต่นางยังรู้สึกว่าไม่ค่อยน่าเชื่อถือนัก “แต่ไทเฮาแสดงออกว่าไม่ค่อยชอบข้าอยู่ตลอดไม่ใช่หรืออย่างไร?”
ชิงกูกูมีท่าทีร้อนรนใจ “ก่อนหน้านี้ข้าคิดว่าท่านเป็นคนฉลาด แต่ทำไมตอนนี้กลับเลอะเลือนเสียได้?”
ถาวจวินหลันกระพริบตา หลังจากที่ครุ่นคิดพิจารณาแล้วนั้นจู่ๆ ก็เริ่มเข้าใจความหมายที่ชิงกูกูต้องการจะสื่อได้ “ความหมายของกูกูคือที่ไทเฮาเป็นเช่นนี้ก็เพราะหวังดีต่อข้า?”
“อย่างไรท่านก็เป็นถึงชายารอง และได้รับความโปรดปราน หากไทเฮาไม่ทำเช่นนี้…ต้นไม้ตั้งตระหง่านกลางป่าใหญ่ จะต้องถูกลมปะทะเข้าก่อน” ชิงกูกูมองไปยังถาวจวินหลันอย่างแฝงนัย
ใช่แล้ว หากท่านโดดเด่นไม่มีที่สิ้นสุดตั้งแต่แรก เกรงว่าหลิวซื่อคงลงมือกับท่านไปนานแล้ว? ไม่มีทางรอจนถึงภายหลังเป็นแน่ อีกอย่างนางเป็นลูกสาวของขุนนางมีโทษ แม้จะบอกว่ามีจวนเพ่ยหยางโหวเป็นเกราะกำบัง แต่ชาติกำเนิดก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ มีคนใช้เหตุผลนี้มาบีบคั้นนางก็ถือว่าง่ายดายนัก
ไทเฮาช่วยสร้างความสมดุลของเรือนในแทนหลี่เย่ ช่วยหลี่เย่ขจัดปัญหาที่เกิดขึ้นในภายหลัง
หรือแต่เดิมนั้นก็เป็นหลี่เย่ที่ขอให้ไทเฮาช่วยเหลือ
ยิ่งคิดก็ยิ่งซับซ้อน ในใจของถาวจวินหลันยิ่งรู้สึกไม่ดีขึ้นมา ใช่แล้ว แม้ว่าไทเฮาจะแสดงท่าทีไม่ชอบนางมาโดยตลอด แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับไม่เคยลงมือกับนางเลย หลายครั้งที่คอยช่วยเหลือนาง อย่างเช่นครั้งที่ฮองเฮามอบซวนเอ๋อร์ให้หลิวซื่อ หากว่าไทเฮาไม่ชอบนางจริงก็ไม่จำเป็นต้องช่วยนางโดยการรั้งตัวซวนเอ๋อร์เอาไว้ แค่มอบให้หลิวซื่อเลี้ยงก็ได้แล้ว
ต่อให้เลี้ยงข้างกายหลิวซื่อ ไทเฮาก็มีวิธีการอีกมากมายที่จะทำให้หลิวซื่อไม่สามารถกีดกันบังคับซวนเอ๋อร์ได้ไม่ใช่หรืออย่างไร?
“แต่เหตุใดไทเฮาถึงยอมปล่อยให้ฮองเฮาใช้อำนาจหลอกหลวงปิดบังหูตาผู้คนเล่า?” นี่เป็นเรื่องที่ถาวจวินหลันคิดไม่ตกมากที่สุด
ชิงกูกูยิ้มบางๆ “ใครบอกว่าฮองเฮาใช้อำนาจหลอกหลวงปิดบังหูตาผู้คนเล่า? คนที่มีอำนาจมากที่สุดในวังหลวง อย่างไรก็มีเพียงฮ่องเต้คนเดียวเท่านั้น”
ถาวจวินหลันยังคงไม่เข้าใจ
“พูดเช่นนี้ก็แล้วกัน ไม่ว่าจะเป็นองค์หญิงก็ดี องค์ชายก็ดี ล้วนเป็นสายเลือดของฮ่องเต้ทั้งนั้น และวังในก็เป็นเพียงวังในของฮ่องเต้เพียงคนเดียว ฮองเฮาดูเหมือนจะมีอำนาจ แต่หากฮ่องเต้ประกาศคำสั่งลงไป อำนาจนี้ก็สลายหายไปได้ตลอดเวลา ฮองเฮาที่บ้าอำนาจถึงเพียงนี้ก็มีเพียงแค่เหตุผลเดียวเท่านั้น” ชิงกูกูนั้นพูดออกมาตรงๆ
ถาวจวินหลันลังเลขึ้นมาในทันใดเหมือนได้รับการรดน้ำ ฮองเฮาบ้าอำนาจ ก็เพียงเพราะว่าฮ่องเต้ยังต้องใช้ฮองเฮาก็เท่านั้นเอง
ใช่แล้ว ฮองเฮาเอาแต่ใจตนเองโดยไม่สนใจเรื่องอื่นมากเกินไป ฮ่องเต้พบเจอเรื่องนี้แล้วจะทำเช่นไร? บทสรุปเห็นได้ชัดว่ามีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
ถาวจวินหลันคิดถึงประโยคหนึ่งขึ้นมา อดไม่ได้ที่จะหัวเราะขมขื่น “ที่แท้ขิงแก่ถึงจะร้องแรง ไทเฮาดูแล้วไม่สนใจ แต่ความเป็นจริงแล้วกลับทำเรื่องมากมายแล้ว”
ถาวจวินหลันคิดตัดสินใจอยู่เงียบๆ ภายในใจ ต่อจากนี้จะต้องจับตาดูไทเฮาให้มากขึ้นถึงจะถูก หากเรียนรู้ได้จากสิ่งนี้สักเล็กน้อย สำหรับนางก็ถือว่าเป็นผลประโยชน์ครั้งใหญ่
ตกกลางคืนตอนที่หลี่เย่กลับมาก็กำลังฝนตก แม้ว่าจะกางร่ม แต่รองเท้าก็เปียกชื้น ถาวจวินหลันเอ่ยกล่าวโทษเขา “เหตุใดไม่ให้คนแผ่นไม้มารองไว้ที่ข้างใต้เล่าเพคะ? ทำเช่นนี้เท้าจะไปรับไหวได้อย่างไร?”
ทันใดนั้นก็เรียกคนให้ไปเตรียมน้ำร้อนมาให้เขาล้างเท้า และนางก็รับใช้ถอดรองเท้าถุงเท้าให้เขาด้วยตนเอง มองดูเท้าที่เริ่มเป็นสีซีด สีหน้าของถาวจวินหลันก็คล้ำไปหลายส่วน
หลี่เย่เห็นเช่นนั้นก็รู้สึกไม่มั่นใจ รีบยิ้มและพูดว่า “จะไม่มีครั้งต่อไป วันนี้รีบกลับมาถึงได้ไม่มีเวลาทำเรื่องนั้น ใครจะรู้ว่าฝนจะตกแรงเช่นนี้”
ถาวจวินหลันถึงได้เก็บคำพูดกล่าวโทษกลับไป
ตอนที่ล้างเท้านั้น จู่ๆ หลี่เย่ก็พูดออกมาประโยคหนึ่งอย่างไม่มีต้นสายปลายเหตุ “สืบตัวตนของนักฆ่าได้ชัดแจ้งแล้ว”
ถาวจวินหลันกำลังบีบนวดฝ่าเท้าให้เขาอย่างตั้งใจ ได้ยินคำพูดเช่นนี้พลันหยุดการกระทำ แล้วอดเงยหน้ามองเขาไม่ได้ “จริงหรือ?”
“อืม คนนี้เคยเป็นทหารองครักษ์ในวังหลวงมาก่อน ทำเรื่องผิดถึงได้ถูกปลดออกจากตำแหน่ง” หลี่เย่พยักหน้า พูดออกมาอย่างละเอียด “ที่บังเอิญก็คือเขาเคยอยู่ในกลุ่มทหารองครักษ์ที่รับผิดชอบดูแลความปลอดภัยในวังของฮองเฮา”
“ทำผิดเรื่องอะไรหรือเพคะ?” ถาวจวินหลันรู้สึกตกใจ และยิ่งรู้สึกไม่สบายใจ ในเมื่อถูกปลอดออกจากตำแหน่งจากวังของฮองเฮา ถ้าอย่างนั้นเหตุใดถึงยังได้ขายชีวิตให้กับฮองเฮาอยู่อีก?
แม้นนางจะรู้สึกว่าฮองเฮาไม่จำเป็นต้องเป็นคนทำเสมอไป แต่ในสันชาตญาณของนางสุดท้ายแล้วก็ยังเอาฮองเฮามาเป็นคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้อยู่ดี อย่างไรแล้วนอกจากฮองเฮาก็ดูเหมือนไม่มีตัวเลือกที่สองอีก
“มีคนบังเอิญพบเขาและนางกำนัลคนหนึ่งในวังของฮองเฮาแอบลอบพบปะกัน” หลี่เย่ยิ้มเย็น “นางกำนัลคนนั้นปกติแล้วได้รับความเชื่อใจจากฮองเฮามากนัก”
“เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นเขายังรักษาชีวิตได้อีกหรือ?” ถาวจวินหลันรู้สึกสงสัย และถามอีกว่า “นางกำนัลคนนั้นเล่า?”
“นางกำนัลคนนั้นถูกส่งออกจากวังหลวง มีคนพบเจอนางกำนัลคนนั้นทำหน้าที่กูกูอยู่ที่จวนคังอ๋อง” หลี่เย่พูดออกมาด้วยท่าทีสบายๆ “ส่วนนักฆ่าคนนั้นไม่เพียงรักษาชีวิตเอาไว้ได้ จากนั้นยังกลายเป็นเศรษฐีใหม่ ซื้อร้านค้า ที่ดินไม่พอ แล้วยังสู่ขอภรรยา มีลูกอีกต่างหาก”
“ภรรยาของเขาไม่ใช่กูกูในจวนคังอ๋องหรืออย่างไรเพคะ?” ถาวจวินหลันเลิกคิ้ว ในใจรู้สึกเยียบเย็น
หลี่เย่พยักหน้ายิ้มเล็กน้อย “ใช่แล้ว”
“แต่นักฆ่าคนนั้นเป็นทหารสละชีวิต หากมีลูกและภรรยาเขายอมที่จะสละชีวิตอย่างนั้นหรือ?” เรื่องนี้ทำให้ถาวจวินหลันเข้าใจได้ยาก พูดตามหลักการแล้วผู้ชายที่มีครอบครัวพร้อมหน้าพร้อมตา ไม่ควรที่จะละทิ้งภรรยาและลูกของตนเองไปอย่างง่ายดายเช่นนี้
หลี่เย่ส่ายหน้า “แน่นอนว่าไม่ยอม แต่คนของข้าสืบมาได้เรื่องหนึ่ง นั่นก็คือลูกชายของนักฆ่าคนนั้นถูกลักพาตัวไปได้กว่าครึ่งเดือนแล้ว และภรรยาของเขานั้นก็ด้วยหาลูกชายไม่พบจนแทบจะเป็นบ้าไปแล้วเหมือนกัน”
ใจของถาวจวินหลันกระตุกเล็กน้อย คาดเดาถึงสิ่งที่หลี่เย่อยากจะพูดได้ “พูดเช่นนี้เป็นเพราะว่ามีคนตั้งใจใช้ลูกของนางข่มขู่นักฆ่าคนนั้นใช่หรือไม่?”
“มีความเป็นไปได้” หลี่เย่พยักหน้า “น่าเสียดายที่หาเด็กคนนั้นไม่พบ และไม่มีทางพิสูจน์เรื่องนี้ได้ และนักฆ่าคนนั้นกลับไม่ยอมเปิดปากพูดแม้แต่น้อย”
ถาวจวินหลันพลันรู้สึกปวดหัวขึ้นมา ถ้าเช่นนั้นก็เท่ากับว่าเบาะแสขาดไปแล้ว หลี่เย่จะไปหาเด็กคนนั้นมาจากที่ใด? และไม่ต้องพูดถึงว่าจะหาพบหรือไม่ ทางด้านฮ่องเต้ก็ให้เวลามาเพียงแค่เท่านั้น
ในตอนนั้นถาวจวินหลันยังคิดว่าสิบวันถือว่าเยอะแล้ว แต่เวลาห้าวันกลับผ่านไปอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว นางกลับรู้สึกว่าเวลาไม่พอเสียแล้ว นางคิดไม่ถึงว่าเรื่องราวจะตึงมือถึงขนาดนี้
นางหันไปมองหลี่เย่อีกทีหนึ่ง เขากลับไม่ร้อนใจอะไร แต่อมยิ้มอย่างอบอุ่น เหมือนว่ามีความมั่นใจอยู่เต็มอกแล้ว
ถาวจวินหลันอดหันไปมองเขาไม่ได้ “เหตุใดท่านถึงไม่รู้สึกร้อนใจแม้แต่น้อยเล่า?”
“ร้อนใจไปก็ไร้ประโยชน์ และสืบเรื่องจริงไม่ได้” หลี่เย่ส่ายหน้ายิ้มบางๆ “ดังนั้นเมื่อเทียบกับการที่ตนเองต้องวุ่นวายไปนู่นมานี่ กลับไม่สู้นั่งสงบนิ่งคิดดูว่าควรใช้วิธีไหนจะดีกว่า”
ตอนที่ 366 ลำเอียง
ด้วยเผชิญหน้ากับหลี่เย่ที่สงบนิ่งใจเย็น อารมณ์ของถาวจวินหลันจึงสงบลงไม่น้อย
“ท่านอ๋องมีวิธีแล้วอย่างนั้นหรือเพคะ?” ถาวจวินหลันมองหลี่เย่อย่างสงสัย อดถามออกมาไม่ได้
หลี่เย่กลับส่ายหัว “ยังไม่มีวิธีใด”
ถาวจวินหลันไม่เชื่อ แต่หลี่เย่ไม่ยอมพูดนางเองก็ไม่มีวิธี ทำได้เพียงปล่อยไปตามนั้น ก่อนถลึงตาพูดเอ่ยโทษเขา “ช่างยั่วโมโหจริงๆ” หยุดไปครู่หนึ่ง ก็รู้สึกใจไม่ดีอีกครั้ง พูดอีกว่า “ไม่ว่าท่านจะใช้วิธีอะไร มีเพียงแค่เรื่องเดียวเท่านั้น ไม่อนุญาตให้เอาตัวไปเสี่ยงอันตราย”
หลี่เย่ยิ้มบางๆ “ข้าจะไปเจออันตรายอะไรได้อีก?” คนที่มีอันตรายมีเพียงแค่นักฆ่าเท่านั้น
ถาวจวินหลันฉุกคิดถึงขนมผลึกที่ห้องครัวส่งมา จึงยิ้มและยกมาให้หลี่เย่ทาน และพูดขึ้นว่า “ซวนเอ๋อร์เองก็ชอบกินอันนี้ กินไปเต็มๆ สองชิ้นครึ่ง แม่นมเอาไปแอบแทบไม่ทัน ไม่กล้าให้เขาเห็นอีก”
ขนมผลึกนั้นทำมาจากแป้งข้าวเหนียวที่โม่ออกมาเป็นผง เอาไปนึ่งแล้วใช้มือปั้นให้ขึ้นเป็นทรงกลม ตรงกลางใส่ไส้เอาไว้ สุดท้ายก็ใช้น้ำที่สกัดจากกลีบดอกไม้หลากสีมาวาดเป็นลวดลาย ทั้งสวยและมีกลิ่นหอมของดอกไม้ ที่น่ามหัศจรรย์ที่สุดก็คือ พอเอาไปแช่ให้แข็งแล้ว ผิวด้านนอกที่ทำมาจากข้าวเหนียวก็จะใสเหมือนผลึก มองดูแล้วเหมือนว่าทำมาจากแก้วใส ชวนให้คนรู้สึกเสียดายที่จะต้องกลืนลงไป
ด้วยตอนนี้เป็นฤดูใบไม้ผลิ ต้นไม้ใบไม้กำลังออกดอกผลิบาน ดังนั้นไส้ที่อยู่ข้างในก็ยิ่งมากมายหลากหลายเข้าไปอีก
หลี่เย่เห็นเช่นนั้นก็อดเอ่ยชมไม่ได้ พอได้ชิมแล้วก็ยิ่งชื่นชมมากกว่าเดิม
“สตรีอย่างพวกเราวันๆ ไม่ได้ทำอะไร จึงได้แต่วุ่นวายอยู่กับเรื่องพวกนี้เท่านั้น” ถาวจวินหลันยิ้มบางๆ และหยิบขนมผลึกขึ้นมาชิ้นหนึ่งเหมือนกัน ภายในเป็นไส้กุหลาบ พาลคิดถึงดอกกุหลาบที่เริ่มออกดอกแล้ว “กุหลาบในสวนออกดอกสมบูรณ์เหลือเกิน ข้าให้คนไปเก็บมาทำเป็นน้ำค้างกุหลาบดีกว่า รอทำเสร็จแล้วก็เอามาราดใส่น้ำแข็งบด และใส่ถั่วบด มันฮ่อ และงาเข้าไป ช่วยดับร้อนและดับกระหายได้อีกด้วย”
หลี่เย่ได้ยินเช่นนั้นก็ชวนให้คิดถึงตอนที่ยังอยู่ในวังเต๋ออัน ในตอนนั้นถาวจวินหลันยังคงช่วยอยู่ในครัว ช่วงบ่ายของทุกวันจะมีของหวานถ้วยหนึ่ง เขากลับเริ่มนึกถึงรสชาติในตอนนั้นขึ้นมาเล็กน้อย
ที่จริงแล้วไม่ใช่เพราะมีรสชาติอร่อยเลิศรส คนที่มีฝีมือทำอาหารในวังหลวงมีมากมาย แต่สิ่งที่ถาวจวินหลันไม่รู้ก็คือ เขารู้สึกใจเต้นเพราะความตั้งใจตอนที่นางทำของหวานเหล่านั้น ตั้งแต่นั้นต่อให้เป็นของที่มีรสชาติธรรมดา ก็กลับกลายเป็นอร่อยขึ้นมา ในตอนนั้นเขามองดูรอยยิ้มบางๆ ของนาง ในใจก็รู้สึกสบายขึ้นมา
ถึงกับทำให้วันเวลาที่เรียบง่ายไร้รสชาตินั้นเริ่มมีแสงสีหลากหลายปะปนเข้ามา
แต่ว่าตอนนี้น้อยครั้งที่จะได้กินอาหารฝีมือถาวจวินหลัน รสชาติของความทรงจำนั้นยั่วยวนคนมากเกินไป หลี่เย่ยิ้มและขอร้องว่า “พรุ่งนี้เจ้าทำของหวานให้ข้าสักครั้งเถิด ข้าไม่ได้กินนานแล้ว”
ถาวจวินหลันไม่ปฏิเสธ ตอบตกลงในทันใด และรำพึงรำพันขึ้นมา อดไม่ได้ที่จะพูดว่า “ว่าไปแล้วก็นึกได้ว่าหลายวันแล้วที่ข้าไม่ได้เข้าห้องครัวเลย” เรื่องราวภายในจวนมีมากมาย และยังมีหมิงจู ซวนเอ๋อร์ที่ต้องแบ่งสมาธิและความสนใจไปกว่าครึ่ง นานแล้วที่นางไม่ได้มีวันเวลาสบายใจเช่นนี้ แม้แต่หลี่เย่เองก็ถูกละเลยเช่นเดียวกัน
เวลานี้หลี่เย่พูดขอร้อง นางกลับรู้สึกผิดเล็กน้อย “ต่อจากนี้ขอแค่ท่านอ๋องอยู่ที่จวน ข้าจะต้องลงมือทำให้ท่านอ๋องทานด้วยตนเองแน่นอนเพคะ”
หลี่เย่ครุ่นคิด รู้สึกว่าตนเองไม่ได้อยู่จวนทุกวัน คิดว่าคงไม่ได้ทำให้ถาวจวินหลันรู้สึกเหนื่อย จึงยิ้มและตอบตกลง
ทั้งสองคนพูดคุยกันอีกครู่หนึ่ง แต่จู่ๆ ก็มีคนเข้ามารายงานว่าเซิ่นเอ๋อร์ป่วย
หลี่เย่ขมวดคิ้วขึ้นมาในทันใด ถาวจวินหลันก็รู้สึกแปลกใจเช่นเดียวกัน “เซิ่นเอ๋อร์เป็นอะไรไป?”
“มีผื่นแดงขึ้นทั้งตัวเจ้าคะ ร้องไห้หนักมากด้วย” บ่าวรับใช้ที่มารายงานตอบอย่างระมัดระวัง ท้ายสุดแล้วยังเหลือบมองมาทางถาวจวินหลัน “เหมือนกับคุณหนูหมิงจูเลยเจ้าค่ะ”
ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนี้ก็ขมวดคิ้วแน่นทันที เหมือนกับหมิงจู? คำพูดนี้ฟังแล้ว…เหมือนจะมีความหมายอื่นแอบแฝงอยู่ ในตอนนั้นจึงเหลือบตามองบ่าวรับใช้ และหันไปพูดกับหลี่เย่ว่า “ข้าเองก็ไม่วางใจ ไม่สู้ว่าไปดูด้วยตนเอง หากเหมือนหมิงจูจริง ข้าจะได้บอกบ่าวรับใช้ได้ว่าควรทำเช่นไร”
หลี่เย่ย่อมไม่มีความเห็นอื่น ในตอนนั้นทั้งสองคนจึงพากันไปยังเรือนชิวอี๋ของเจียงอวี้เหลียน
เซิ่นเอ๋อร์ป่วยจริง เจียงอวี้เหลียนร้อนใจจนตาแดงก่ำ เมื่อเห็นหลี่เย่ นางก็อุ้มเซิ่นเอ๋อร์เข้ามาหา แต่เมื่อเห็นว่าถาวจวินหลันเดินตามมา ทันใดนั้นฝีเท้าก็ผ่อนความเร็วลง ใบหน้าแสดงท่าทีหวาดระแวง
ถาวจวินหลันเห็นอย่างชัดเจน แต่แสร้งทำเป็นมองไม่เห็น มองไปทางหลี่เย่แล้วก็พูดว่า “ได้ยินว่าเซิ่นเอ๋อร์ไม่สบายอย่างนั้นหรือ? เชิญหมอหลวงแล้วหรือไม่?”
“เชิญหมอหลวงมาแล้ว” เจียงอวี้เหลียนอุ้มเซิ่นเอ๋อร์ ตบหลังเบาๆ เพื่อปลอบประโลม พลางหลุบตากล้ำกลืนความรู้สึกของตน ตอบออกมาเสียงเรียบ แต่สุดท้ายแล้วตอนที่เงยหน้าขึ้นมามองหลี่เย่ ดวงตาทั้งสองข้างก็แดง ท่าทีไม่สบายใจ “ท่านอ๋อง เซิ่นเอ๋อร์ไม่สบายถึงเพียงนี้ ข้าใจไม่ดีเลยเพคะ”
ถาวจวินหลันถอนหายใจ ตอบแทนหลี่เย่ว่า “ล้วนเป็นเช่นนี้ ตอนนั้นที่หมิงจูเป็นเช่นนี้ข้าเองก็อดคิดไม่ได้ว่าทำไมผื่นถึงไม่ขึ้นที่ตัวข้า ข้ารับแทนนางได้ก็คงจะดี”
หยุดไปครู่หนึ่งก็หันไปมองเจียงอวี้เหลียนที่ท่าทีมืดมน “เซิ่นเอ๋อร์ไม่สบายถึงเพียงนี้ เจ้ายังกอดเอาไว้แน่น เขาจะยิ่งรู้สึกไม่สบายเข้าไปใหญ่ ไม่สู้ให้ห้องครัวต้มน้ำอาบทิ้งเอาไว้ให้เย็น ให้เขาอาบระงับคันสักหน่อย แล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าตัวใหม่ที่สะอาด ตอนนั้นหมิงจูและกั่วเจี่ยเอ๋อร์ก็ทำเช่นนี้”
เจียงอวี้เหลียนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ท้ายสุดก็กำชับให้บ่าวรับใช้ไปทำตามคำพูดของถาวจวินหลัน
แต่เมื่อนำเซิ่นเอ๋อร์มอบไปให้บ่าวรับใช้แล้ว เจียงอวี้เหลียนก็ดึงแขนเสื้อของหลี่เย่และร้องไห้ “อยู่ดีๆ ไม่รู้ว่าทำไมถึงเป็นเช่นนี้ ข้าเองก็ตรวจดูเป็นอย่างดีแล้ว แต่ไม่มีตรงไหนที่ผิดปกติ ท่านอ๋อง จะต้องมีคนต้องการทำร้ายเซิ่นเอ๋อร์เป็นแน่!”
ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนั้น แม้ว่าสีหน้ายังสงบอยู่ได้ แต่ในใจหลุดยิ้มเย็นออกมาอย่างควบคุมไม่ได้ จุดประสงค์ไม่ใช่ว่าอยู่ที่ตรงนี้หรือ? นางคิดแล้วว่าทำไมเจียงอวี้เหลียนถึงได้มาเรียกหลี่เย่อย่างน่าสงสาร และให้บ่าวรับใช้พูดจาคลุมเครือเช่นนั้น แน่นอนว่ายังต้องอะไรต่ออีก อย่างที่คิดเอาไว้ไม่มีผิด โชคดีที่นางมาด้วย
“ชายารองเจียงมีหลักฐานยืนยันคำพูดนี้หรือไม่?” ถาวจวินหลันเหลือบมองหลี่เย่ที่มีท่าทีขมวดคิ้วเล็กน้อย นางส่งเสียงถามออกไป แต่ตอนแรกนางยังอมยิ้มอยู่บ้าง พอตอนหลังเสียงก็เคร่งเครียดขึ้นมา “พูดจาใส่ร้ายคนอื่นโดยไม่มีหลักฐาน นี่ถือว่าไม่เหมาะสม”
นางแม้จะรู้ว่าหลี่เย่ไม่สนใจคำพูดเช่นนี้ของเจียงอวี้เหลียน และรู้ว่าหลี่เย่ไม่มีทางสงสัยตน แต่นางก็ต้องเสแสร้งแสดงท่าทางออกมา อีกอย่างหนึ่งตอนนี้นางเป็นคนดูเรื่องราวภายในจวนก็ควรวางมาดบ้าง อีกทั้งความตั้งใจของเจียงอวี้เหลียนก็ชัดว่ากำลังพูดถึงนางอยู่ นางยิ่งไม่ยอมนิ่งเงียบ
เจียงอวี้เหลียนไม่กล้าเอ่ยปากเปล่ากล่าวคำโว ดังนั้นจึงพูดอย่างเหนียมอาย “ข้าก็เพียงคาดเดาเท่านั้น อย่างไรเสียอยู่ดีๆ ทำไมถึงได้กลายเป็นเช่นนี้ได้? หมิงจูตอนนั้น…”
หลี่เย่ปลายตามองเจียงอวี้เหลียนในทันที สายตาล้ำลึกมองไม่ชัด แต่กลับแฝงความเฉียบคม ทันใดนั้นเจียงอวี้เหลียนก็กลืนคำพูดที่อยู่ในปากของตนลงไป
ภายในช่วงเวลาสั้นๆ เจียงอวี้เหลียนก็ปล่อยมือออก ไม่กล้าเกาะแกะหลี่เย่อีกต่อไป หลี่เย่ที่เป็นเช่นนี้ทำให้นางไม่กล้าวางตัวกำเริบ
ถาวจวินหลันพูดสิ่งที่หลี่เย่อยากพูดออกมา “หมิงจูก็คือหมิงจู เซิ่นเอ๋อร์ก็คือเซิ่นเอ๋อร์ ยังไม่ทันได้ตรวจสอบให้ดีจะมาพูดมั่วได้อย่างไรกัน? ชายารองเจียง หากเจ้าเป็นเช่นนี้ คนที่อยู่ใต้อำนาจจะต้องพูดเช่นไร? หวังว่าต่อจากนี้ไปเจ้าจะต้องประพฤติตัวเป็นแบบอย่างถึงจะถูก”
เจียงอวี้เหลียนรู้สึกไม่พอใจ แต่เมื่อมองท่าทีเย็นชาที่ไม่มีแม้แต่รอยยิ้มเพียงน้อยนิดของหลี่เย่ สุดท้ายก็ยอมแพ้แล้วยอมรับ “เป็นความผิดของข้าเอง เป็นข้าที่ใจร้อนถึงได้พูดจามั่วซั่วไม่มีหลักฐานออกมา”
ทันใดนั้นถาวจวินหลันก็ผ่อนน้ำเสียงลง “ข้าก็เข้าใจ ต่อจากนี้ไปเจ้าจะต้องดูแลร่างกายให้ดีถึงจะถูก”
ผ่านไปไม่นานหมอหลวงก็มาถึง ตอนที่ตรวจดูอาการเซิ่นเอ๋อร์อย่างละเอียดแล้ว เจ้านายทั้งสามคนที่อยู่ภายในห้องล้วนจับตามองหมอหลวง หมอหลวงตกใจจนเหงื่อเย็นไหลออกมาชั้นหนึ่ง
สุดท้ายแล้วหมอหลวงก็ชักมือเก็บ พูดออกมาด้วยท่าทีสำรวม “คุณชายน้อยมีอาการแพ้ขอรับ ไม่ได้เป็นอะไรมาก กินยาสองขนาน ใช้ยาอาบน้ำอีกสองสามวันก็จะหายดี”
“แพ้?” เจียงอวี้เหลียนตะลึงไป มีท่าทีไม่ค่อยจะเชื่อเท่าไรนัก
“ใช่ แพ้ขอรับ” หมอหลวงปาดเหงื่อ พูดออกมาอย่างมั่นใจ “ฤดูใบไม้ผลิมีดอกไม้ผลิดอกมากมาย คนที่มีอาการแพ้เช่นเดียวกับคุณชายน้อยก็มีจำนวนไม่น้อย อาการป่วยเช่นนี้ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิ คุณชายน้อยเป็นเช่นนี้ไม่ได้ถือว่ารุนแรงนัก เพียงแค่ระมัดระวังให้มากก็ไม่เป็นอะไรแล้ว”
ถาวจวินหลันยิ้มเล็กน้อย “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ถือว่าลำบากท่านหมอหลวงแล้ว ข้าให้คนส่งท่านกลับไป” พอพูดจบก็มองไปยังหงหลัว หงหลัวยิ้มและเดินนำหมอหลวงออกไป ส่วนเงินรางวัลนั้นแน่นอนว่าไม่จำเป็นต้องพูดถึง
หลังจากที่ส่งหมอหลวงกลับไปแล้ว ถาวจวินหลันก็มองไปยังเจียงอวี้เหลียน “ได้ยินผลตรวจที่หมอหลวงพูดแล้วหรือไม่? ในตอนนี้เจ้ายังคิดว่ามีคนตั้งใจทำร้ายเซิ่นเอ๋อร์อีกหรือไม่?”
เจียงอวี้เหลียนกำมัดแน่น มองไปทางหลี่เย่อย่างขลาดกลัว ใบหน้านั้นแสดงสีหน้าน้อยใจและไร้ที่พึ่งพาออกมา
หลี่เย่กระแอมเสียงเบา
ถาวจวินหลันเห็นว่าเรื่องเป็นไปตามที่คิดเลยหยุดเพียงเท่านั้น “ครั้งนี้ยังปล่อยไป คราวหน้าอย่าทำเช่นนี้อีก”
เมื่อพูดจบก็ลุกขึ้นจะกลับไปยังเรือนเฉินเซียง ไม่จำเป็นต้องพูดหลี่เย่ก็เดินตามมา แต่เจียงอวี้เหลียนกลับพูดตะกุกตะกักว่า “ท่านอ๋อง วันนี้อยู่พักที่นี่เถิดเพคะ อีกอย่างเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ข้ารู้สึกไม่สบายใจ หากท่านอ๋องอยู่ที่นี่ใจของข้าคงจะสงบนิ่งมากเลยทีเดียว”
ถาวจวินหลันมองหลี่เย่ด้วยท่าทีคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม เดินตรงออกไปไม่พูดอะไร ที่จริงตอนที่มานั้นนางก็คิดถึงเรื่องนี้เอาไว้อยู่แล้ว อย่างไรต่อให้หลี่เย่จะมาหาเซิ่นเอ๋อร์บ่อยๆ แต่ว่าก็เพียงแค่นั่งสักพักหนึ่งแล้วก็จากไปเท่านั้น ไม่เคยนอนค้างคืน
แต่ไม่รู้ว่าหลี่เย่ใช้วิธีอะไร สุดท้ายก็หลุดออกมาได้ เมื่อเห็นว่าถาวจวินหลันเดินไปไกลแล้วไม่ได้ท่าทีว่าจะรอเขา เขาก็ทำได้แค่เพียงยิ้มอย่างจนปัญญาและรีบเร่งฝีเท้าตามไป
จริงที่ว่าถาวจวินหลันไม่ค่อยสบายใจ นี่ถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
เมื่อเห็นว่าหลี่เย่เดินตามมา แม้ว่านางจะดีใจแค่ก็ยังอดพูดประชดไม่ได้ “ทำไมถึงไม่พักที่เรือนชิวอี๋เล่าเจ้าคะ?”
หลี่เย่หัวเราะฝืน “ใช่ว่าเจ้าจะไม่รู้ความคิดของข้า ทำไมถึงยังล้อข้าเช่นนี้อีก?”
ถาวจวินหลันเอ่ยปาก ท้ายสุดแล้วก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา ผ่านไปครู่หนึ่งก็พูดออกมาอย่างขลาดๆ ว่า “อย่างไรข้าก็ไม่ชอบ”
“ข้าเองก็ไม่ชอบการกระทำเช่นนั้นของนาง” หลี่เย่ถอนหายใจ พูดอย่างหนักแน่น “หากไม่ใช่ว่านางมีบุญคุณต่อข้า ข้าเองก็คงไม่ต้องไว้หน้านางเช่นนี้”
“เพคะ” ถาวจวินหลันนิ่งเงียบ ปล่อยเรื่องนี้ไป สุดท้ายแล้วก็ยังสงสัยอยู่ “แต่ว่าอยู่ดีๆ ทำไมเซิ่นเอ๋อร์ถึงได้มีอาการแพ้เล่า? ข้าดูแล้วภายในห้องของนางก็ไม่ได้เลี้ยงต้นไม้อะไร”
“อาจด้วยลมพัดเข้ามา” หลี่เย่คาดคะเน ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก เพียงแค่พูดว่า “ต่อไปภายในห้องของพวกเราก็ต้องระวังเช่นเดียวกัน หมิงจูบอบบางถึงเพียงนั้น”
ทันใดนั้นในใจของถาวจวินหลันก็อดหัวเราะกับความลำเอียงของเขาไม่ได้
หลี่เย่กับพูดออกมาตรงๆ “ตั้งแต่ไหนแต่ไรใจคนล้วนลำเอียง มีใครเป็นข้อยกเว้นบ้างเล่า?”
ตอนที่ 367 ไม่สบายใจ
ด้วยรับปากหลี่เย่ว่าจะทำอาหารให้เขาทาน ถาวจวินหลันจึงตื่นขึ้นมาเตรียมของตั้งแต่เช้า
เพราะว่าดอกไม้หลากสีสันบานสะพรั่ง ถาวจวินหลันจึงเก็บกุหลาบ มะลิ โบตั๋น และหมู่ตันบางส่วนกลับมา เพื่อเตรียมใช้ทำแผ่นแป้งน้ำผึ้งดอกไม้สด เอามาใช้ทานกับซุปนมวัว
ที่จริงจะพูดถึงวิธีการทำก็ง่ายยิ่งนัก ที่สำคัญอยู่ที่วัตถุดิบ กลีบดอกไม้สดที่เก็บเอามานั้นจะต้องเอามาล้างให้สะอาด ใช้น้ำผึ้งหมักและเอาน้ำมันหมู ถั่ว มันฮ่อ งาและผิวส้มจำนวนน้อยมาตวงผสมเข้าด้วยกัน ผัดจนสุก และส่งกลิ่นหอม ตอนที่ห่อไส้ก็ค่อยใส่กลีบดอกไม้เข้าไป จากนั้นก็นึ่งเอาไว้สักพัก ถือว่าเป็นอันสำเร็จ
แน่นอนว่าสุดท้ายแล้วแม่พิมพ์ที่เอามาใช้ก็ต้องผ่านการพิจารณามาเป็นอย่างดี ใช้พิมพ์ที่มีการแกะสลักสวยงามทำเป็นรูปร่างของดอกไม้ต่างๆ มองดูแล้วชวนให้คนรู้สึกน่ารักน่าทะนุถนอม แทบจะตัดใจทานกันไม่ลงเลยทีเดียว
ในเมื่อทำแล้วแน่นอนว่าก็จะทำน้อยไม่ได้ นอกจากคนในเรือนเฉินเซียงมีโชคได้ชิมแล้ว ถาวจวินหลันยังเก็บเอาไว้ให้เจ้านายคนอื่นภายในจวนคนละถาดอีกด้วย ยกเว้นฝั่งของเจียงอวี้เหลียน
แน่นอนว่าไม่ใช่ว่าเพราะต่อกรกับเจียงอวี้เหลียน แต่เป็นเพราะว่าเซิ่นเอ๋อร์แพ้ดอกไม้สด ดังนั้นอาหารประเภทนี้ย่อมส่งไปให้ไม่ได้ แม้ว่าเซิ่นเอ๋อร์จะกินไม่ได้ แต่ถ้าถูกเข้าโดยไม่ทันระวังเล่า? หรือว่ามีคนมีจุดประสงค์แอบแฝง…อย่างไรเสีย ถ้าไม่เกิดเรื่องได้ก็อย่าให้เกิดเรื่องเลยจะดีกว่า
แต่ว่าถาวจวินหลันก็ไกำชับให้คนไปเก็บชิงซิ่งและปีแป๋ที่เพิ่งตกลงมาส่งไปให้ วิธีนี้หากคิดจะหาเรื่องย่อมทำไม่ได้ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องกังวล
จิ้งหลิงกลับไม่เกรงใจ กินแล้วรู้สึกอร่อยจึงได้ส่งคนมาขอกลับไปอีกถาดหนึ่ง ส่วนอีกสองที่นั้นก็ได้ส่งมาขอบคุณเช่นเดียวกัน
ผลตอบรับดีเช่นนี้ ถาวจวินหลันย่อมต้องดีใจ แต่สิ่งนี้ทำขึ้นมาเพราะหลี่เย่ ผลที่ออกมากลับแจกจ่ายไปให้คนอื่นกว่าครึ่ง หลี่เย่ไม่ได้ชิมเลยแม้แต่คำเดียว
เมื่อลองคำนวณเวลาแล้ว ถาวจวินหลันก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา ทำไมจนถึงตอนนี้ยังไม่กลับมาอีก?
รออีกครึ่งชั่วยาม ถาวจวินหลันก็เริ่มรู้สึกไม่สบายใจ เรียกบ่าวรับใช้ชายคนหนึ่งเข้ามาและสั่งว่า “ไปดูสิว่าท่านอ๋องจะกลับมาเมื่อไรกัน”
หงหลัวเห็นท่าทีกระวนกระวายนั่งไม่ติดที่ของถาวจวินหลัน ก็อดพูดกล่อมไม่ได้ว่า “อาจด้วยมีเรื่องติดขัดที่ศาลาว่าการก็เป็นได้นะเจ้าค่ะ”
ถาวจวินหลันส่ายหน้า “เมื่อวานนี้บอกว่าจะกลับมาเวลานี้ หากถูกขัดจังหวะจริง เขาก็จะต้องส่งคนมาบอกสักคำเป็นแน่”
ไม่มีข่าวคราวเลยเช่นนี้ไม่ใช่นิสัยของหลี่เย่แม้แต่น้อย
หงหลัวปลอบประโลม “อาจจะยุ่งจนลืมไปเลยจริงๆ ก็ได้นะเจ้าค่ะ อีกอย่างในตอนนี้ท่านอ๋องก็มีธุระมากมาย จะยุ่งจนปลีกตัวไม่ได้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร”
ถาวจวินหลันก็หวังจะให้เป็นเช่นนั้น แต่ว่าที่นางไม่ได้พูดก็คือไม่รู้ว่าทำไมนางถึงรู้สึกไม่สบายใจอยู่ตลอด ใจดวงหนึ่งเหมือนแขวนเอาไว้บนเส้นด้าย รู้สึกเหมือนจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น
หงหลัวเห็นว่านางส่ายหน้า แต่ก็ยังมีท่าทีเป็นกังวลอยู่ จึงเรียกบ่าวรับใช้สองคนที่พูดจาคมคายมาพูดคุยกัน อย่างน้อยก็เป็นการฆ่าเวลาให้กับถาวจวินหลันไม่ใช่หรืออย่างไร? มิเช่นนั้นอุดอู้อยู่คนเดียว อารมณ์ไม่ดีไม่ต้องพูดถึง กลับจะทำให้ตัวเองตกใจเสียเปล่าๆ
แต่ว่ากว่าถาววินหลันจะอารมณ์ดีขึ้นมานั้นไม่ง่าย บ่าวรับใช้ชายที่ส่งไปก็ร้องไห้กลับเข้ามา เมื่อเข้ามาแล้วก็คุกเข่าลงไป รายงานอย่างตะกุกตะกัก “ท่านอ๋องถูกลอบทำร้ายได้รับบาดเจ็บขอรับ!”
ถาวจวินหลันแทบจะจับแก้วน้ำชาเอาไว้ไม่อยู่ มือสั่นอย่างรุนแรง ได้ยินเพียงแค่เสียงกระทบกันของฝาและแก้วเสียงดังก้องจนทำให้คนตกใจต้องเลิกคิ้วขึ้นมา
ทางด้านถาวจวินหลันก็ไล่ถามเสียงหลง “อะไรนะ? ลอบทำร้าย? ได้รับบาดเจ็บ? นี่มันเกิดอะไรขึ้น? ทำไมอยู่ดีๆ ถึงได้ถูกลอบทำร้ายเข้า? แล้วยังได้รับบาดเจ็บอีก!”
บ่าวรับใช้ตกใจจนยิ่งตัวสั่นเข้าไปใหญ่ “รายงานพระชายา ท่านอ๋องได้รับบาดเจ็บระหว่างที่จะเข้าวังหลวงขอรับ ถูกส่งตัวเข้าไปในวังหลวงแล้ว ส่วนสถานการณ์โดยละเอียดนั้นบ่าวกลับไม่ทราบขอรับ”
ถาวจวินหลันรู้สึกว่าในใจนั้นยิ่งบีบเกร็งมากยิ่งขึ้น ทันใดนั้นก็เป็นกังวลมาก นางลุกขึ้นมาสั่งอย่างแน่วแน่ “เตรียมตัวเข้าวังหลวง”
นางจะเข้าไปดูว่าบาดแผลของหลี่เย่เป็นอย่างไรบ้าง
ฉับพลันก็รู้สึกสับสนไปหมด อดคิดไม่ได้ว่า ตอนที่เกิดรู้สึกไม่สบายใจก่อนหน้านี้นางก็ควรส่งคนไปดูหลี่เย่แล้ว บางทีคงไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น
พอเปลี่ยนเสื้อผ้าในขณะที่สมองยังมึนงงเสร็จแล้ว แม้แต่ปิ่นปักผมก็ไม่สนใจจับให้เข้ากัน นางก็ลุกขึ้นเดินออกไปข้างนอก เดินออกไปได้สองสามก้าวก็คิดถึงหมิงจูและซวนเอ๋อร์ขึ้นมา หลังจากที่นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งก็สั่งว่า “ให้จิ้งหลิงอี๋เหนียงมาควบคุมสถานการณ์ เชิญนางมาดูแลซวนเอ๋อร์และหมิงจู”
เพราะไม่รู้ว่าสถานการณ์เป็นเช่นไร กลัววันนี้จะไม่ได้กลับมา นางจึงได้สั่งเช่นนี้
ไม่ใช่เพราะว่านางตั้งใจเก็บเรื่องนี้ไปคิดในแง่ร้าย แต่เป็นเพราะในใจของนางเข้าใจดีว่าเรื่องนี้คงไม่ง่าย หากหลี่เย่เพียงแค่ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย แน่นอนว่าไม่มีทางรอจนถึงตอนนี้แล้วยังไม่มีใครส่งข่าวมา อีกทั้งหากสถานการณ์ไม่รีบเร่ง ก็คงไม่ต้องถูกส่งตัวเข้าวังหลวงในทันที
อย่างไรหลี่เย่ก็เป็นองค์ชายที่บรรลุนิติภาวะแล้ว และถูกแต่งตั้งเป็นอ๋อง ต่อให้ได้รับบาดเจ็บ ก็เห็นได้ชัดว่าไม่สมควรถูกนำเข้าไปรักษาตัวในวังหลวงมิใช่หรือ?
หากอาการบาดเจ็บของหลี่เย่หนัก เกรงว่านางคงต้องอยู่เป็นเพื่อนหลี่เย่ไม่สามารถกลับมาได้ชั่วคราว ตอนนี้ลูกทั้งสองคนล้วนอยู่ที่เรือนเฉินเซียง หากมีคนคิดไม่ซื่อเกรงว่านี่คงถือเป็นโอกาสอันดีไม่ใช่หรืออย่างไร?
นางเสี่ยงอันตรายไม่ได้
แต่นางก็อยู่ทันส่งได้เพียงประโยคเดียวเท่านั้น เยอะไปกว่านี้คงทำไม่ได้แล้ว
ออกจากเรือนเฉินเซียงอย่างเร่งรีบเช่นนี้ ยังไม่ทันออกจากโถงดอกไม้โรย คนที่เฝ้าประตูก็เข้ามารายงานว่ามีคนจากในวังหลวงมา
ถาวจวินหลันตะลึงไป ตามสันชาตญาณแล้วรู้สึกว่านี่น่าจะเป็นเรื่องของหลี่เย่ ในตอนนั้นก็ไม่สนใจเรื่องอื่น รีบเดินออกไปต้อนรับ
คนที่มากลับเป็นขันทีใหญ่เป่าฉวนขันทีอาวุโสข้างกายฮ่องเต้สวี่เป่าฉวน ด้วยเรื่องของหงฉวี ถาวจวินหลันจึงจำขุนนางเป่าฉวนได้แม่น มองแวบเดียวก้จำได้ทันที
“ที่แท้ก็เป็นเป่าฉวนกงกงนี่เอง” ถาวจวินหลันฝืนยิ้ม แต่กลับปิดบังความร้อนรนภายในใจไม่ได้ จากนั้นก็ไล่ถามว่า “เป่าฉวนกงกง ท่านอ๋องของพวกเราเป็นอย่างไรบ้าง?”
ขันทีเป่าฉวนยิ้มอย่างเป็นมิตร และไม่พิรี้พิไร เพียงแค่ทำความเคารพและพูดว่า “ชายารองถาวอย่าร้อนใจไป ท่านอ๋องฟื้นแล้ว ตอนนี้บ่าวมารับชายารองถาวเพื่อเข้าวัง”
ถาวจวินหลันพิจารณาท่าทีของขันทีเป่าฉวนอย่างละเอียด เห็นเขามีท่าทีสงบยิ่งเป็นมิตร ก็รู้สึกได้สติกลับคืนมาเล็กน้อย คิดว่าหลี่เย่ไม่น่าจะเป็นอะไรมาก ในตอนนั้นนางจึงสงบนิ่งลงไปเยอะ
ขันทีเป่าฉวนเหลือบมองถาวจวินหลันทีหนึ่ง พลางหัวเราะขึ้นมา “ดูท่าทางชายารองถาวก็กำลังจะเข้าไปวังหลวงใช่หรือไม่? ช่างบังเอิญเสียจริง จะได้ไม่ต้องเสียเวลาอีก บ่าวจะได้กลับวังไปรายงานคำสั่ง”
ขันทีเป่าฉวนยังมีใจล้อเล่น ถาวจวินหลันก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาไม่น้อย “รบกวนเป่าฉวนกงกงให้เหนื่อยมาที่นี่แล้ว วันอื่นจะต้องให้ท่านอ๋องเชิญท่านมาดื่มน้ำชาร่วมกันเป็นแน่”
ขันทีเป่าฉวนได้ยินเช่นนั้นพลันยิ้มกว้าง “นั่นถือว่าเป็นโชคของบ่าวแล้วขอรับ” เงินทองไม่มีความสำคัญกับตำแหน่งเช่นขันทีเป่าฉวน เขาสนใจเรื่องหน้าตา เมื่อได้ยินความตั้งใจของถาวจวินหลันว่าจะให้หลี่เย่เชิญเขามาดื่มชาด้วยตนเอง เขาก็รู้สึกว่าตนเองมีหน้ามีตาขึ้นมา และในขณะเดียวกันก็รู้สึกว่าจวนตวนอ๋องนั้นรู้จักปฏิบัติต่อคน
จะต้องรู้ว่าท่านอ๋องคนอื่น แม้ว่าโดยปกติจะไว้หน้าเขาบ้าง แต่ในความเป็นจริงแล้วนั้นในใจก็มีความคิดดูถูกอยู่บ้าง คิดว่าการมอบเงินรางวัลให้ก็ถือว่าเป็นการมอบบุญคุณให้แล้ว ไม่ต้องพูดถึงเรื่องมาเชิญดื่มชาด้วยตนเองเลย
ถาวจวินหลันก็ไม่ได้ไล่ถามรายละเอียดมากมายจากขันทีเป่าฉวนอีก แม้แต่คำพูดเยินยอตามมารยาทก็ไม่พูดมาก นางรีบขึ้นไปบนรถม้าอย่างเร่งรีบ ตอนนี้ที่สำคัญที่สุดคือเข้าวังหลวงไปดูอาการหลี่เย่ถึงจะถูก
ถาวจวินหลันนั่งบนรถม้าที่มุ่งหน้าเข้าวังหลวง ไม่ได้บอกให้เร่งความเร็วของรถม้าเพียงครั้งเดียว ในความเป็นจริง แม้ว่าจะเพิ่มความเร็วแล้ว แต่ถาวจวินหลันก็ยังรู้สึกช้าอยู่ดี ตอนนี้นางอยากให้ตนเองมีปีกสองข้าง นางจะได้บินเข้าไปในวังหลวงเพื่อพบหลี่เย่ในทันที
แต่ต่อให้นางจงร้อนใจเช่นไร ก็ไม่สามารถลดระยะทางได้ เวลาที่ควรจะต้องใช้ก็น้อยลงไม่ได้
ถาวจวินหลันกดความร้อนใจดังไฟเอาไว้ในใจ พิจารณาเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้อย่างละเอียด ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่หลี่เย่ได้รับบาดเจ็บจนสตินางต้องวุ่นวาย แต่อยู่ดีๆ ทำไมหลี่เย่ถึงได้ถูกลอบทำร้ายได้
นางสงสัยฮองเฮายเป็นคนแรก แต่เมื่อมาคิดพิจารณาอย่างละเอียดแล้ว ก็คิดว่าไม่ค่อยมีความเป็นไปได้เท่าไรนัก ฮองเฮาจะระแวงหลี่เย่อย่างไรก็คงไม่ถึงขั้นลงมือในทันทีที่หลี่เย่เอ่ยปากพูด เช่นนั้นมันเห็นได้ชัดเกินไป
ในเมื่อไม่ใช่ฮองเฮา ถ้าเช่นนั้นก็ต้องเดาเป็นคนอื่น สุดท้ายนางก็นึกถึงท่าทีที่หลี่เย่พูดอย่างมั่นใจว่ามีวิธีสืบเรื่องราวแล้ว
หากเป็นเพราะเรื่องนี้ก็ถือว่าสมเหตุสมผลอยู่ จะใช่เพราะมีคนไม่อยากให้หลี่เย่สืบเรื่องนี้สำเร็จใช่หรือไม่? แน่นอนว่ามีความเป็นไปได้อย่างมาก ฝ่ายตรงข้ามกล้าลอบฆ่าแม้แต่องค์หญิง แล้วยังกล้าลอบฆ่าในสถานที่เช่นนั้น ก็เพียงพอแล้วที่จะพูดว่าฝ่ายตรงข้ามมีความกล้า ความโอหังมากเพียงใด ดังนั้นแน่นอนว่าฝ่ายตรงข้ามก็ต้องกล้าลงมือกับหลี่เย่
อีกอย่างไม่แน่ว่าหลี่เย่เองอาจจะใช้แผนการอะไรบางอย่าง? ถึงได้ทำให้ฝ่ายตรงข้ามลงมือ
ดูจากนิสัยของหลี่เย่แล้ว ถาวจวินหลันก็สงสัยว่าหลี่เย่ตั้งใจให้ฝ่ายตรงข้ามลงมือ จุดประสงค์ก็เพื่อหาหลักฐานออกมาอีกครั้งหนึ่ง
ถาวจวินหลันคาดเดาไปเรื่อยเปื่อย ในตอนนี้เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เมื่อครู่นี้ที่นั่งเรียบเรียงความคิดภายในหัว รถม้าก็มาถึงหน้าประตูวังแล้ว
ขันทีเป่าฉวนประคองถาวจวินหลันให้ลงจากรถม้าด้วยตนเอง
ถาวจวินหลันรู้สึกตกใจที่จู่ๆ ก็ได้รับการปฏิบัติเช่นนี้ แม้จะบอกว่าขันทีเป่าฉวนเป็นแค่บ่าว แต่ก็ได้รับความเชื่อถือจากฮ่องเต้เป็นอย่างมาก จะให้นางที่เป็นแค่ชายารองตำแหน่งเล็กๆ ของท่านอ๋องคนหนึ่งมาเรียกใช้ได้อย่างไรกัน? ดังนั้นขันทีเป่าฉวนกระทำเช่นนี้ที่หน้าประตูวังก็ถือว่าไว้หน้านางเช่นเดียวกัน
มีหลายครั้งที่ท่าทีของขันทีเป่าฉวนจะเท่ากับท่าทีของฮ่องเต้
ดังนั้นการที่ปฏิบัติขันทีเป่าฉวนปฏิบัติต่อนางเช่นนี้ คนอื่นเห็นเข้าก็จะต้องคิดว่าที่เป็นความตั้งใจของฮ่องเต้ แน่นอนว่าก็ต้องให้ความเคารพนางมากขึ้น
ถาวจวินหลันคิดตก ดังนั้นจึงพูดขอบคุณตามมารยาท ไม่ได้รู้สึกว่านี่เป็นเรื่องที่สมควร
รอยยิ้มของขันทีเป่าฉวนยิ่งลึกลงไปอีก “ชายารองถาวพูดเช่นนี้ กลับทำให้บ่าวต้องลำบากใจแล้ว”
ถาวจวินหลันยิ้ม “ขอให้เป่าฉวนกงกงพาข้าไปพบท่านอ๋องด้วยเถิด ไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเอง ข้าก็วางใจไม่ได้เสียที”
ขันทีเป่าฉวนพูดติดกัน “สมควร สมควร” และพูดถึงเรื่องที่หลี่เย่ได้รับบาดเจ็บ “ฮ่องเต้กริ้วเป็นอย่างมาก ให้ฝ่ายศาลเข้ามาร่วมด้วย จะต้องร้องคืนความยุติธรรมให้กับตวนอ๋อง แต่นักฆ่าเองก็กล้าเกินไป ในแผ่นดินของโอรสสวรรค์ก็ยังกล้าทำเรื่องเช่นนี้ ช่างน่าโกรธแค้นเสียจริง”
ตอนที่ 368 บุญคุณ
หลี่เย่ถูกนำตัวเข้าไปพักอยู่ในวังที่อยู่ใกล้กับวังส่วนนอก บางทีอาจด้วยไม่มีคนอาศัยอยู่ ภายในวังนั้นจึงดูเงียบสงบอยู่เล็กน้อย แต่กลับถูกจัดเก็บอย่างเป็นระเบียบ ของที่ควรจะมีก็ยังถือว่าครบ
ขันทีเป่าฉวนยิ้มพลางอธิบาย “ฤดูร้อนปีนี้ก็จะถึงเวลาคัดเลือกนางสนมแล้ว ไทเฮาได้สั่งให้คนในวังหลวงจัดการเก็บกวาดวังที่นี่ให้เหมาะสมขอรับ”
ถาวจวินหลันพยักหน้าอย่างเข้าใจ “มิน่าเล่า ของที่อยู่ข้างในถึงได้สมบูรณ์ครบทุกอย่าง”
“ถ้าของในนั้นมีไม่ครบ บ่าวคงไม่กล้าเสนอให้นำตัวตวนอ๋องมาพักที่นี่หรอกขอรับ ตอนแรกฮ่องเต้ต้องการให้นำตัวตวนอ๋องไปพักที่ห้องบรรทมของฮ่องเต้” ขันทีเป่าฉวนพูดเช่นนี้ด้วยแฝงนัย และพูดอีกว่า “ที่จริงแล้วฮ่องเต้เอ็นดูและรักตวนอ๋องมาตลอด เพียงแค่ไม่แสดงออกมาเท่านั้นขอรับ”
หากเป็นคนที่ไม่ฉลาดหลักแหลม ได้ยินขันทีเป่าฉวนพูดเช่นนี้คงคิดว่าขันทีเป่าฉวนตั้งใจให้เรื่องเลวร้ายลง อย่างไรห้องบรรทมของฮ่องเต้และวังที่อยู่ห่างไกลนั้นก็ได้รับการดูแลที่แตกต่างกันเป็นอย่างมาก
แต่ถาวจวินหลันนั้นเข้าใจดี ขันทีเป่าฉวนทำเช่นนี้เท่ากับช่วยหลี่เย่ ระหว่างพักอยู่ในวังห่างไกลและพักในห้องบรรทมของฮ่องเต้นั้น ระดับการประเมินของคนอื่นก็จะจะแตกต่างกันไป หากหลี่เย่กล้าพักรักษาตัวที่ห้องบรรทมของฮ่องเต้จริง เช่นนั้นวันพรุ่งนี้คงมีคนในเมืองหลวงจำนวนไม่น้อยอิจฉาริษยาจนป่วยไปแล้ว แล้วคงได้เอาเรื่องนี้มาต่อกรกับหลี่เย่เป็นแน่
แม้จะบอกว่าเรื่องนี้อาจจะไม่ใช่ความยินยอมของหลี่เย่ แต่คนเหล่านั้นจะสนใจอย่างนั้นหรือ?
ดังนั้นถาวจวินหลันจึงหันไปขอบคุณขันทีเป่าฉวนอย่างจริงจังอีกครั้งหนึ่ง เกือบขาดแค่เพียงการทำความเคารพอย่างเต็มพิธีแล้ว “ขอบคุณเป่าฉวนกงกง ข้าขอขอบคุณท่านแทนท่านอ๋อง รอจนท่านอ๋องอาการดีขึ้นจะต้องมาขอบคุณกงกงด้วยตนเองอย่างแน่นอน”
ขันทีเป่าฉวนสะบัดมือ ยิ้มและพูดว่า “ที่พูดเรื่องนี้บ่าวไม่ได้ทำเพื่ออยากได้รางวัล เพียงแค่อยากเตือนชายารองเท่านั้นเอง เพียงให้ชายารองคิดเรื่องนี้บ้าง เรื่องขอบคุณนั้นท่านอ๋องเคยมอบตำรายาฉบับหนึ่งเอาไว้ให้ รักษาโรคประจำตัวของบ่าวที่เป็นมานาน จะต้องเป็นบ่าวที่ต้องขอบพระคุณท่านอ๋องถึงจะถูก”
ถาวจวินหลันยังคงขอบคุณอีกครั้งแล้วถึงได้เลิก
ตอนที่พูดคุยกันอยู่ก็เดินมาถึงหน้าห้อง ขันทีเป่าฉวนนิ่งเงียบไม่พูดจา ทางด้านถาวจวินหลันนั้นก็ไม่พูดอะไรอีก หากมีคนเห็นว่านางและขันทีเป่าฉวนสนิทสนมกันมากเกินไป ก็คงมีเรื่องให้เอาไปพูดคุยกันในวังเพิ่มขึ้น
เหมือนกับคำเตือนของขันทีเป่าฉวน นางควรมีความคิดเรื่องนี้ในใจอยู่บ้าง
ที่ทำให้ถาวจวินหลันแปลกใจก็คือ ฮ่องเต้ยังคงอยู่ในห้อง และเมื่อดูท่าทีนั้นเหมือนว่าพ่อลูกทั้งสองคนกำลังสนทนากันอยู่
ในเมื่อเป็นสถานการณ์เช่นนี้ แน่นอนว่าคงไม่ดีหากนางบุ่มบ่ามเข้าไป จึงได้ยืนรออยู่ด้านนอกประตู แม้ในใจจะรีบร้อนอยากไปดูอาการหลี่เย่ว่าเป็นอย่างไรบ้าง แต่ก็จนปัญญา
ขันทีเป่าฉวนเหลือบมองถาวจวินหลันวูบหนึ่ง กลับไม่ได้มีท่าทีจะเข้าไปรายงานข้างใน เขาก็ยืนรออยู่บริเวณด้านนอกประตูเหมือนกัน ความคิดของเขาเหมือนกับถาวจวินหลัน เวลานี้หลี่เย่สามารถพูดได้แล้ว ฮ่องเต้ย่อมสนใจมาก อีกทั้งนี่ก็เป็นโอกาสอันดีที่พ่อลูกจะได้สานสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน
ขันทีเป่าฉวนตามฮ่องเต้มานานหลายปี แน่นอนว่าต้องรู้ว่าฮ่องเต้นั้นมีความคิดเช่นไรกับหลี่เย่แอบแฝงอยู่ ก่อนหน้านี้หลี่เย่พูดไม่ได้ ต่อให้พ่อลูกทั้งสองคนได้เจอหน้ากันก็กระอักกระอวนอยู่ดี เมื่อเวลานี้มีโอกาสได้ปรับเข้าหากัน ฮ่องเต้ย่อมไม่มีทางปล่อยไป
ที่จริงแล้วในบรรดาลูกชายทั้งหลาย นอกจากองค์ชายเจ็ดที่อายุยังน้อยแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างองค์ชายที่เป็นหนุ่มกับฮ่องเต้ก็ไม่นับว่าสนิทนัก นี่แทบจะเป็นปมหนึ่งในหัวใจของฮ่องเต้เลยทีเดียว
เวลาผ่านไปนาน ฮ่องเต้ก็มีท่าทีคล้ายจะออกมา เสียงพูดคุยภายในห้องนั้นค่อยๆ หยุดลง
ขันทีเป่าฉวนถึงได้เคาะประตูและรายงานว่า “ชายารองตวนอ๋องถาวซื่อมาพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ที่อยู่ข้างในพูดว่า “เข้ามาเถิด”
ขันทีเป่าฉวนได้ยินเช่นนั้นจึงผลักประตูเปิดออกและเชิญให้ถาวจวินหลันเข้าไป
ถาวจวินหลันสูดหายใจลึก กดความรู้สึกหลากหลายภายในใจเอาไว้ พยายามรักษาความสงบนิ่ง เมื่อเข้าไปก็ไม่พุ่งเข้าไปหาหลี่เย่ เพียงแค่ก้มหัวทำความเคารพฮ่องเต้เท่านั้น
ฮ่องเต้สะบัดมือ “ตามสบายเถิด”
ถาวจวินหลันถึงได้เงยหน้าขึ้นมา และรีบมองไปยังหลี่เย่ เห็นว่าบริเวณศีรษะของหลี่เย่มีผ้าพันแผลสีขาว นางพลันรู้เลยว่าหัวคงถูกกระแทกเข้า และเห็นว่าเขาใช้สายตาอบอุ่นทอดมองมายังตนเอง ก็ไม่รู้ว่าทำไมในใจถึงได้รู้สึกน้อยใจขึ้นมา ฉับพลันดวงตาก็ร้อนผ่าวเช่นเดียวกัน
แต่นางกลับไม่กล้าเสียมารยาทต่อหน้าพระพักตร์ จึงพยายามเก็บอาการอยากร้องไห้เอาไว้และมองไปยังส่วนอื่นของร่างกายตนเอง
ฮ่องเต้มองดูอยู่ข้างๆ อย่างชัดเจน เพียงแค่ปราดเดียวก็มองเห็นความเป็นห่วงเป็นของถาวจวินหลันต่อหลี่เย่ พยักหน้าและคิดว่า ที่แท้ก็เป็นคนดี จะเข้าจะออกก็มีมารยาท ไม่ใช่ว่าจะเอาออกหน้าออกตาไม่ได้ เรียกให้มาดูแลเจ้ารองก็วางใจได้
เพราะคิดว่าบางทีสามีภรรยาทั้งสองคนคงอยากสนทนาส่วนตัวกัน ดังนั้นฮ่องเต้จึงคิดจะจากไปอย่างรู้งาน อีกทั้งมีบางเรื่องที่รอเขาไปจัดการดูแลอยู่
แต่ก่อนฮ่องเต้ไปกลับพูดกำชับออกมาประโยคหนึ่ง “ขาของเจ้ารองได้รับบาดเจ็บ หมอหลวงบอกว่าภายในครึ่งเดือนนี้ขยับไปไหนไม่ได้ จำต้องพักอาศัยอยู่ในวังหลวง ถาวซื่อเองก็อยู่ที่นี่เพื่อดูแลเขาเถิด เป่าฉวน เจ้าไปคัดเลือกนางกำนัลที่คล่องแคล่วมาดูแลตวนอ๋องด้วยตัวเจ้าเอง” ประโยคสุดท้ายฮ่องเต้หันไปกำชับขันทีเป่าฉวน
ขันทีเป่าฉวนรีบรับปาก และพูดว่า “ถ้ามิเช่นนั้นก็ดึงคนจากโรงครัวมา ท่านอ๋องต้องรักษาตัว เรื่องอาหารการกินก็มีข้อห้าม และจะต้องได้รับการบำรุง มีนางกำนัลจากโรงครัวมาก็จะสะดวกมากพ่ะย่ะค่ะ”
ถาวจวินหลันมองไปยังขันทีเป่าฉวนอย่างซาบซึ้ง ในใจคิดว่า คนผู้นี้ได้รับความเชื่อใจจากฮ่องเต้ไม่ด้วยมีเหตุผล ความคิดละเอียดอ่อนถึงเพียงนี้ไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนสามารถทำได้
ฮ่องเต้ได้ยินเช่นนั้นก็มองขันทีเป่าฉวนอย่างชื่นชม “เจ้าไปจัดการเถิด ตวนอ๋องอยู่ที่นี่ เจ้าก็วิ่งไปมาหลายรอบเสียหน่อย ขาดเหลืออะไรเจ้าก็จัดการเพิ่มเติมให้เรียบร้อย ไม่จำเป็นต้องมารายงานข้าทุกครั้ง”
หยุดไปครู่หนึ่งก็ฉุกคิดเรื่องหนึ่งได้ มองไปทางหลี่เย่และพูดว่า “วันนี้มื้อเย็นพวกเราพ่อลูกก็ร่วมโต๊ะด้วยกันเถิด” พอพูดจบฮ่องเต้ก็ไม่รั้งตัวอยู่อีกต่อไป ลุกขึ้นเตรียมตัวเดินไปข้างนอก
หลี่เย่พูดอมยิ้ม “ทูลลาเสด็จพ่อ”
แต่ว่าตอนที่พูดนั้นถาวจวินหลันจับสังเกตได้ว่าเขาตั้งใจพูดไม่ชัด งึมๆ งำๆ อีกทั้งแต่เดิมที่คอได้รับบาดเจ็บจนเสียงแหบแห้งก็ฟังไม่ค่อยชัดเท่าไร
แต่กลับเหมือนคนที่เริ่มเรียนวิธีการพูดอย่างไรอย่างนั้น อย่างไรหลี่เย่ก็ไม่ได้เอ่ยปากพูดมาหลายปี แม้ว่ายามนี้จะ “หาย” แล้ว แต่ก็ต้องค่อยๆ ปรับตัว เรียนตั้งแต่เริ่มมิใช่หรืออย่างไร? มิเช่นนั้นก็จะดูกะทันหันมากเกินไป
ถาวจวินหลันคิดเช่นนี้ ใบหน้าก็ส่งเสด็จฮ่องเต้ด้วยความสงบนิ่งเช่นเดียวกัน
อารมณ์ของฮ่องเต้ดูเหมือนค่อนข้างดี แม้ว่าหลี่เย่จะได้รับบาดเจ็บ แต่พ่อลูกสามารถพูดคุยสนทนากันได้ก็ทำให้ฮ่องเต้รู้สึกยินดีเป็นอย่างมาก
พอฮ่องเต้เพิ่งเดินออกไป มือและขาของถาวจวินหลันก็เข้าไปใกล้หลี่เย่ รีบถามอย่างร้อนรนว่า “นอกจากบาดแผลบนศีรษะและบาดแผลที่ขาแล้ว ยังมีส่วนไหนได้รับบาดเจ็บอีกหรือไม่?”
เมื่อครู่นี้นางสังเกตได้ว่าริมฝีปากของหลี่เย่ซีดเผือด นี่เป็นท่าทีของคนเสียเลือดไปเป็นจำนวนมาก ดังนั้นจึงเริ่มไม่วางใจ
“ข้อศอกถูกธนูแทงเข้าไป แต่ว่าไม่ได้เป็นอะไรมาก บาดแผลก็ไม่ได้ลึก” หลี่เย่อมยิ้มพลางพูดออกมา และยังยืดข้อศอกให้นางดู “แต่ว่าเจ้าไม่ต้องเป็นกังวลไป ไม่ใช่บาดแผลที่หนักหนาอะไรนัก”
ถาวจวินหลันได้ยินเขาพูดเช่นนั้นน้ำตาก็ไหลออกมาในทันใด อยากทุบอกของเขาสักสองสามทีเพื่อระบายอารมณ์ แต่ก็กลัวว่าเขาจะได้รับบาดเจ็บ จึงเพียงแค่นั่งเช็ดน้ำตาที่ไหลลงมาอาบแก้มของตน พลางถามเขาด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้น “นี่ไม่รุนแรง แล้วอะไรถึงเรียกว่ารุนแรง? ขาของท่านขยับไปไหนไม่ได้ครึ่งเดือน นี่ยังบอกว่าไม่รุนแรงอีกอย่างนั้นหรือ? เหตุใดท่านถึงไม่ระวังเลยเล่า? ท่านรู้หรือไม่ว่าข้าเป็นกังวลมากเพียงใด?”
ที่น่าโมโหที่สุดก็คือเขายังมีสีหน้าเมินเฉย เขาไม่รักษาชีวิตของตนเองเลยแม้แต่น้อย! ถาวจวินหลันรู้สึกโมโห และอยากตีเขาสุดกำลัง เพื่อเรียกสติเขากลับมา
ไม่รอให้หลี่เย่ได้พูดอะไร นางก็บี้ถามด้วยท่าทางโหดเ**้ยม “ท่านพูดซี เหตุใดท่านถึงได้รับบาดเจ็บ! เพราะว่าเรื่องที่ท่านทำอยู่ใช่หรือไม่?”
หลี่เย่รู้สึกสงสารที่นางร้องไห้เช่นนี้ ทว่าในใจก็พอใจเป็นอย่างมาก แต่ด้วยคิดถึงอารมณ์ของถาวจวินหลัน สุดท้ายแล้วเขาก็ต้องบังคับหยุดความพอใจของตนเอง พยายามให้ตนเองดูไม่รื่นเริงเกินไปนัก แต่รอยยิ้มในแววตากลับไม่สามารถควบคุมได้
“เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าข้างกายข้าจะมีคนจัดการเตรียมสายลับเอาไว้ ถูกคนรู้แผนการของข้าเข้า ถึงได้รับบาดเจ็บเช่นนี้ แต่ว่าบาดแผลที่ศีรษะและขสเกิดจากการตกลงจากหลังม้า มีเพียงแค่ธนูนั้นที่ถูกคนลอบทำร้ายเอา” ที่หลี่เย่ไม่ได้พูดก็คือถ้าไม่ใช่เพราะว่าตอนนั้นเขากลิ้งลงมาเร็ว เกรงว่าคงเปลี่ยนจากม้าเหยียบขามาเป็นคอของเขาแทน
แน่นอนว่าเรื่องอันตรายเช่นนี้ไม่เหมาะสมที่จะบอกถาวจวินหลันตอนที่ยังมีอารมณ์พลุ่งพล่านอยู่ หลี่แย่แทบจะจินตนาการได้เลย หากพูดออกไปถาวจวินหลันจะมีปฏิกิริยาเช่นไร ดังนั้นเขาจึงจะพยายามผ่อนหนักให้เป็นเบา
ถาวจวินหลันได้ยินว่าเขาตกลงมาจากหลังม้า นางพลันตื่นตกใจ “แล้วยังมีที่ใดบาดเจ็บอีกหรือไม่? จะต้องใช้ยาล้างแผลหรือไม่? มีตรงไหนเจ็บอีกหรือไม่เพคะ? ให้หมอหลวงมาตรวจอาการดูอีกสักหน่อยดีหรือไม่เพคะ”
หากเป็นเพราะละเลยแล้วพลาดบาดแผลที่ไหนไปก็จะไม่ดีเป็นแน่
หลี่เย่ยิ้มและอธิบาย “บริเวณที่ปวดบวมก็ได้ให้หมอหลวงใส่ยาให้แล้ว กระดูกทั่วทั้งร่างก็ให้หมอหลวงตรวจหมดแล้วเช่นกัน นอกจากบริเวณขาแล้วก็ไม่มีบาดแผลอะไรอื่นอีก เจ้าวางใจเถิด”
พูดไปพูดมานางก็เริ่มเกิดอารมณ์พลุ่งพล่านขึ้นอีกครั้ง อดไม่ได้ที่จะต่อว่า “ท่านไม่รักตนเองเช่นนี้ แล้วจะให้ข้าและซวนเอ๋อร์กับหมิงจูทำเช่นไร? หากท่านเป็นอะไรไป จะให้พวกเราแม่ลูกทำอย่างไร? ทำไมท่านถึงทำให้เป็นห่วงเช่นนี้เล่า? ต่อจากนี้หากออกจากจวนไม่อนุญาตให้ขี่ม้าอีก นั่งรถม้าอย่างเดียว!”
สิ่งที่ถาวจวินหลันไม่ทันสังเกตก็คือตอนที่นางมีท่าทีขึงขังเช่นนี้ สายตาที่หลี่เย่มองนางกลับเป็นประกายมากกว่าเดิม แม้แต่ริมฝีปากก็แอบยกขึ้นทำมุม
ถูกนางว่ากล่าวเช่นนี้หลี่เย่ไม่เพียงไม่รำคาญ แต่กลายเป็นว่าแม้แต่น้ำเสียงก็เต็มไปด้วยความขอโทษ “เป็นความผิดของข้า คราวหน้าไม่มีทางเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นอีกแน่นอน ทำให้เจ้าเป็นห่วงแล้ว”
ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกพอใจขึ้นมา ปาดน้ำตาที่อยู่บนใบหน้าออก นางยิ่งรู้สึกไม่ดีขึ้นไปอีก รีบหันไปข้างหลังแอบเช็ดน้ำตาออกไป หูก็เริ่มเกิดความรู้สึกร้อนเล็กน้อย
คำพูดของนางเมื่อครู่นี้ไม่รู้ว่าถูกนางกำนัลที่อยู่ด้านนอกได้ยินอะไรไปบ้าง? เกรงว่าคราวนี้คงแอบหัวเรานางอยู่ในใจ ให้ตายเถิด อารมณ์พาไปก็ลืมเรื่องนี้ไปเสียได้
ตอนที่ 369 วางแผน
ด้วยมือของหลี่เย่ได้รับบาดเจ็บ จึงไม่ค่อยสะดวกเท่าไรนัก ดังนั้นจึงทำได้แค่เพียงนั่งมองถาวจวินหลันหันหลังไปเช็ดน้ำตาตนเองเท่านั้น ในใจรู้สึกเศร้าขึ้นมา หากเป็นไปได้ ควรเป็นเขาที่ทำเรื่องเช่นนี้
จากนั้นก็อธิบายอย่างรู้สึกผิด “ด้วยศีรษะโดนกระแทก ตอนนั้นข้าจึงสลบไป โจวอี้เองก็ได้รับบาดเจ็บ ถึงได้ทำให้กลับไปรายงานที่จวนไม่ทัน ต้องให้เจ้าต้องเป็นกังวลเสียแล้ว”
ถาวจวินหลันกรอกตามองเขาทีหนึ่ง เห็นผ้าพันแผลสีขาวที่อยู่บนศีรษะของเขาสุดท้ายแล้วก็รู้สึกเจ็บปวดใจ ทำใจว่ากล่าวว่าเขาต่อไปไม่ไหว พูดเสียงอ่อนโยนว่า “บาดแผลเจ็บหรือไม่? อยากนอนพักอีกหรือไม่? หิวหรือไม่? อยากกินอะไรหรือไม่เพคะ?”
บาดแผลย่อมต้องเจ็บอยู่แล้ว แต่ก็ยังพอทนได้ อีกทั้งไม่อยากให้ถาวจวินหลันเป็นกังวลอีก ดังนั้นหลี่เย่จึงยิ้มและส่ายหน้า “ไม่ได้เจ็บเท่าไรนัก ตอนนี้รู้สึกหิวขึ้นมาเล็กน้อย แต่ไม่รู้ว่าตอนนี้จะมีอะไรกินบ้าง”
เมื่อพูดเช่นนี้ ถาวจวินหลันกลับรู้สึกหงุดหงิด “ตอนนั้นน่าจะเอาของว่างที่ตั้งใจทำเอาไว้ให้ติดมาด้วย ตอนนี้กลับกลายเป็นว่าเสียเวลาไปตั้งขนาดนั้นท่านกลับไม่ได้ชิมสักคำเดียว”
เมื่อพูดเช่นนี้หลี่เย่พลันก็รู้สึกเสียดายขึ้นมา
กลับเป็นนางกำนัลที่อยู่ข้างนอกตอบรับประโยคหนึ่ง “ท่านอ๋องหิวแล้วหรือเพคะ? อยากทานอะไรบ่าวจะไปบอกให้ห้องเครื่องทำมาให้เพคะ”
หลี่เย่อย่างไรก็ได้ แต่ถาวจวินหลันคำนึงถึงหลี่เย่ที่เสียเลือดไปจำนวนมาก จึงสั่งว่า “ให้ห้องเครื่องเคี่ยวซุปพุทราแดงเก๋ากี้เห็ดหูหนูเม็ดบัวมาเถิด สิ่งนี้บำรุงเลือดและปรับสมดุลในร่างกาย หากมีถั่วลันเตาตุ๋นก็ทำมาใหม่สักถ้วยก็ให้เอามาด้วย เอามารองท้องได้”
ตอนนี้ถั่วลันเตากำลังสดใหม่มากที่สุด ถั่วลันเตาตุ๋นที่ทำออกมาก็ส่งกลิ่นหอมหวานเป็นอย่างมาก และของว่างจำพวกนี้ปกติแล้วห้องเครื่องจะต้องทำเตรียมไว้ทุกวัน ดังนั้นนางจึงได้พูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา มิเช่นนั้นจู่ๆ พูดถึงสิ่งที่ห้องเครื่องไม่ได้ทำ รบกวนให้คนทำในตอนนี้เกรงว่าคงได้แต่คำติฉินนินทากลับมา
ระหว่างที่พูดนั้นนางก็เหลือบมองนางกำนัลที่ส่งเสียงถามทีหนึ่ง เห็นว่าเป็นนางกำนัลอาวุโสที่อายุราวสามสิบกว่าปี และรู้สึกว่าคุ้นหน้าคุ้นตาอยู่บ้าง นางจึงอดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้ แต่นางก็ไม่ได้ถามออกมา ในใจคิดว่าก่อนหน้านี้เคยเห็นที่ไหนมาก่อน
นางกำนัลอาวุโสอายุน้อยคนนั้นได้รับคำสั่งจึงยิ้มและออกไปสั่งขันทีน้อยที่คอยวิ่งรับคำสั่ง ขันทีน้อยที่คอยวิ่งรับคำสั่งนั้นเอาไว้ใช้สำหรับถ่ายทอดคำสั่งของเจ้านายโดยเฉพาะ หยิบจับใช้สอย อย่างเช่นในตอนนี้ห้องเครื่องอยู่ค่อนข้างไกลจากที่นี่ หากไม่คล่องแคล่ว รอจนไปหยิบของจากที่ห้องเครื่องมาแล้วนั้นเกรงว่าของกินคงจะเย็นไปแล้ว ดังนั้นได้คนหนุ่มที่คล่องแคล่วมานั้นถึงจะรับประกันได้ว่าของที่เจ้านายกินยังร้อน
พอสั่งขันทีน้อยที่คอยวิ่งรับคำสั่งแล้ว นางกำนัลอาวุโสอายุน้อยคนนั้นก็กลับมายืนรออยู่ข้างประตูฟังคำสั่งต่อ และแนะนำตัวเองขึ้นมาก่อน “บ่าวชื่อว่าหงกู ชายารองและท่านอ๋องมีอะไรที่ต้องการสั่งขอแค่เพียงบอกข้าเท่านั้นเจ้าค่ะ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ถาวจวินหลันก็รู้ว่าหงกูกู ผู้นี้คงเป็นนางกำนัลอาวุโสที่ดูแลนางกำนัลและขันทีในวังรองในช่วงระยะเวลานี้เป็นแน่ ในตอนนั้นจึงยิ้มและพยักหน้า ปากก็พูดว่า “ที่แท้ก็เป็นหงกูกูนี่เอง ต่อจากนี้จะต้องเหนื่อยหงกูกูแล้ว” ฝ่ายตรงข้ามเป็นคนเก่าแก่ภายในวังหลวง แน่นอนว่าไม่เหมือนกับข้ารับใช้ที่จวนตวนอ๋อง นางเองก็ไม่สามารถวางท่าได้ มิเช่นนั้นคงทำให้คนอื่นรู้สึกว่านางนั้นก้าวร้าว
ด้วยระหว่างหลี่เย่พักรักษาตัวอยู่ในวังหลวงจะต้องพึ่งพิงหงกูกู อย่างไรเสีย แม้ว่านางและหลี่เย่จะเป็นคนที่ออกมาจากวังหลวง แต่ว่าวังหลวงในตอนนี้กลับไม่มีคนที่สามารถเชื่อใจได้แล้ว แน่นอนว่าจะต้องรอบคอบเสียหน่อย
สุดท้ายแล้วถาวจวินหลันก็มองไปทางหงหลัวทีหนึ่ง หงหลัวยิ้มพลางหยิบถุงผ้าที่อยู่ในแขนเสื้อออกมาส่งให้หงกูกู “นี่คือน้ำใจของชายารองของพวกเรา ขอให้กูกูอย่าได้รังเกียจเลยเจ้าค่ะ”
ครั้งนี้เข้าวังมาด้วยความเร่งรีบ และกังวลว่าซวนเอ๋อร์และหมิงจูอยู่ที่จวนเพียงลำพัง ดังนั้นถาวจวินหลันจึงพาหงหลัวมาเพียงคนเดียว ด้วยมีคนไม่พอใช้ ดังนั้นจึงต้องผูกสัมพันธ์กับนางกำนัลในวังพวกนี้ไว้บ้าง
หงกูกูพูดอ้อมค้อมเล็กน้อย ก่อนรับเอาไว้ พลางเอ่ยขอบคุณสำหรับรางวัล
ถาวจวินหลันจึงให้หงหลัวไปเฝ้าประตูแทนหงกูกู แน่นอนว่าสิ่งที่พูดกับหงกูกู ก็คือให้กูกูไปพัก ไม่ต้องมาเหนื่อยอีก
ทำเช่นนี้ก็ด้วยถาวจวินหลันเองอยากจะพูดเรื่องส่วนตัวกับหลี่เย่สักเล็กน้อย
พอหงกูกูออกไป ถาวจวินหลันถึงได้วางใจ กลับไปนั่งอยู่ข้างเตียงใหม่อีกครั้ง กดเสียงเล่าเรื่องที่ขันทีเป่าฉวนมารับตนเอง และคำพูดที่ขันทีเป่าฉวนพูดกับตนทั้งหมดให้หลี่เย่ฟัง ท้ายสุดแล้วก็พูดว่า “พอท่านอ๋องหายดีแล้ว เชิญเขามาดื่มชาบ้างก็ดี เขาเอ่ยเตือนข้าเช่นนี้ ก็ถือเป็นน้ำใจอย่างหนึ่งของเขาเพคะ”
เพราะว่าเรื่องของหงฉวี ถาวจวินหลันจึงรู้สึกอยู่เสมอว่าขันทีเป่าฉวนเชื่อถือไม่ค่อยได้นัก แต่วันนี้การกระทำทุกอย่างของขันทีเป่าฉวนกลับขัดแย้งกับความทรงจำของนางอย่างมาก นางเองเริ่มสงสัยจึงพูดเรื่องเหล่านี้กับหลี่เย่ เอ่ยถามเบาๆ ว่า “ท่านคิดว่าขันทีเป่าฉวน เชื่อถือได้หรือไม่เพคะ”
หลี่เย่นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก็พยักหน้า “ขันทีเป่าฉวนได้รับความไว้วางใจจากเสด็จพ่อมากนัก เหตุผลใหญ่ที่สุดก็ด้วยเขาไม่เคยช่วยเหลือคนอื่นทำอะไรมาก่อน ภักดีกับเสด็จพ่อเพียงผู้เดียว ดังนั้นหากจะบอกว่าเขาจัดการทำอะไรกับเรื่องของหงฉวีคงเป็นไปได้ยาก อีกทั้งการกระทำของเขาในวันนี้ทั้งหมดยิ่งไม่ต้องหวาดระแวงเขาเลย”
ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนั้นก็ผ่อนลมหายใจออกมา พลางพยักหน้า “แต่ก็ควรตอบแทนน้ำใจเช่นกัน”
“เพราะว่าเสด็จพ่อให้ความสำคัญกับขันทีเป่าฉวน ในอนาคตจะต้องให้เขาออกจากวังหลวงไปเป็นแน่ ข้าได้ยินว่าเขากำลังตามหาน้องชายที่พลัดพรากจากกันไปตอนเกิดอุทกภัยครั้งใหญ่ คิดว่าจะต้องวางแผนเอาไว้สำหรับการณ์ข้างหน้าเป็นแน่ เช่นนี้เรื่องนี้กลับไปก็ให้หลิวเอินช่วยตามหาดู หากหาพบก็ถือว่าตอบแทนน้ำใจแล้ว” หลี่เย่นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งถึงพูดออกมา
ถาวจวินหลันครุ่นคิดอย่างละเอียด รู้สึกว่านี่เป็นความคิดที่ดี บางทีอาจจะยืมเรื่องนี้มาผูกสัมพันธ์กับขันทีเป่าฉวนได้ หากเป็นเช่นนี้จริงก็จะดีมากที่สุด
ไม่ต้องขอร้องให้ขันทีเป่าฉวนทำอะไรแทนหลี่เย่ เพียงแค่พูดชมหลี่เย่ต่อหน้าฮ่องเต้เป็นครั้งคราว พูดเรื่องดีเสียหน่อย หรือว่าคอยส่งข่าวสารก็ย่อมได้
แต่ว่านางกลับกรอกตามองหลี่เย่ทีหนึ่ง “บาดเจ็บเช่นนี้แล้วยังจะต้องมาเหนื่อยคิดเรื่องเช่นนี้อีก”
“กลับไปเจ้าก็พาซวนเอ๋อร์และหมิงจูเข้ามาในวังหลวงด้วยเถิด ในเมื่อไปไหนไม่ได้ นอนอยู่ทั้งวันก็น่าเบื่อ ไม่สู้หยอกล้อกับลูกๆ หรือว่าสอนให้ซวนเอ๋อร์รู้หนังสือ” นอนอยู่เช่นนี้น่าเบื่อเป็นยิ่ง ดังนั้นหลี่เย่จึงเอ่ยขอนาง แน่นอนว่าที่สำคัญที่สุดก็ด้วยไม่อยากให้ลูกและตนเองห่างเหินกัน อย่างไรซวนเอ๋อร์ก็ได้พบเขาน้อยอยู่แล้ว หากคราวนี้ไม่ได้เจอซวนเอ๋อร์เป็นระยะเวลานานก็เกรงว่าซวนเอ๋อร์คงจะจำเขาไม่ได้อีก
อีกทั้งถาวจวินหลันก็ไม่อยู่ในจวน ทิ้งลูกทั้งสองคนเอาไว้ในจวนเพียงลำพังเขาเองก็ไม่วางใจ แม้ว่าภายในจวนตอนนี้จะสงบสุข แต่ในใจของเขาเข้าใจดีว่าที่จริงแล้วยังแอบแฝงคนเลวทั้งหลายเอาไว้ หลายปีมานี้ที่อยู่ในวังหลวงเขาเองเข้าใจดีมากกว่าใครๆ มีบางครั้งที่ผู้หญิงโหดเ**้ยมกว่าผู้ชาย เพื่อให้บรรลุจุดประสงค์ของตน ก็แทบจะไม่ออมมือกันเลยด้วยซ้ำไป
ถาวจวินหลันลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายแล้วก็รับปาก นอกจากไม่วางใจแล้ว นางเองก็ยังมีความคิดอื่นอีก หากซวนเอ๋อร์อยู่ที่นี่ ฮ่องเต้คงจะต้องมาหาทุกวัน จะได้ให้พวกเขาสองพ่อลูกได้สานสัมพันธ์กัน ไม่ถึงขั้นห่างเหิน อย่างไรหลี่เย่ก็ต้องทำการใหญ่ ยังต้องการความโปรดปรานจากฮ่องเต้เป็นอย่างมาก
ตอนที่ 370 ไฟโกรธ
ในเมื่อเข้าวังหลวงมาแล้ว หลังจากที่ถาวจวินหลันอยู่ดูแลหลี่เย่ให้กินของว่าง ดื่มยาและนอนไปแล้วนั้น ก็ขาดไม่ได้ที่จะไปหาไทเฮาและฮองเฮาเพื่อทำความเคารพ
ด้วยไทเฮาเป็นผู้อาวุโส จึงไม่ดีหากจะมาหาคนที่เด็กกว่า ดังนั้นจึงไม่ได้มาเยี่ยมหลี่เย่ด้วยตนเอง เพียงแค่ให้คนส่งของจำนวนมากมา ยามนี้พอถาวจวินหลันมาทำความเคารพ ไทเฮาจึงซักถามอยู่หลายคำถามนัก
แน่นอนว่าล้วนเกี่ยวข้องกับอาการบาดเจ็บของหลี่เย่
ด้วยไทเฮาอายุมากแล้ว ถาวจวินหลันจึงไม่กล้าพูดความจริงทั้งหมดออกไป จึงได้แค่ลดความรุนแรงลงและพยายามพูดอย่างอ้อมค้อม
ไทเฮากลับไม่เชื่อ เพียงแค่พูดว่า “หมอหลวงพูดว่ารุนแรงขนาดนั้น เหตุใดจะไม่เป็นอะไร? เจ้าอย่ามัวแต่มาหลอกคนแก่อย่างข้า”
ถาวจวินหลันรีบอธิบายออกมาในทันใด “แม้ว่าบนศีรษะจะถูกกระแทก แต่ว่าเป็นแค่อาการบาดเจ็บภายนอกเท่านั้นเพคะ มีแค่กระดูกขาหักที่ค่อนข้างจะรุนแรงเสียหน่อย ด้วยเหตุนี้จึงลงมาจาเตียงหรือขยับไปไหนได้ อย่างไรบาดแผลกระทบถึงกระดูกจำต้องพักหนึ่งร้อยวันมิใช่หรืออย่างไรเพคะ? ท่านอ๋องได้สติดี และสามารถทานอาหารได้ แน่นอนว่าไม่ได้เป็นอะไรมาก ไทเฮาอย่าได้ละเลยสุขภาพของพระองค์จนแย่ลงเพราะว่าท่านอ๋องเลยเพคะ เช่นนั้นกลายเป็นว่าท่านอ๋องจะอกตัญญูเสียแล้ว”
เมื่อได้ยินว่าหลี่เย่ไม่เพียงแค่ดื่มยาถ้วยหนึ่งเท่านั้น แล้วยังทานซุปเห็ดหูหนูอีกถ้วยหนึ่ง ถั่วลันเตาตุ๋นอีกสามถ้วยไทเฮาก็สบายใจไปเปราะหนึ่ง ยิ้มและพูดว่า “ขอแค่เพียงทานอาหารได้ ก็ถือว่าไม่เป็นอะไรแล้ว”
ตอนนี้ขอแค่เพียงคนป่วยแล้วยังอยากอาหารก็ถือว่าไม่เป็นอะไรมาก ที่น่ากลัวที่สุดคือป่วยแล้วไม่อยากอาหาร กินอะไรไม่ลง อย่างไรหากจะฟื้นฟูแต่ไม่มีกำลังกายจะทำได้อย่างไร? แต่หากไม่ทานอาหารเข้าไปแล้วจะมีแรงกายจากที่ใด?
ด้วยกลัวว่าไทเฮาจะเป็นกังวล ถาวจวินหลันจึงตั้งใจถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง “เมื่อเทียบกับท่านอ๋องแล้วกลับเป็นซวนเอ๋อร์ที่น่าเป็นห่วงเสียมากกว่าเพคะ หมิงจูยังเด็กขอแค่มีแม่นมก็จัดการได้แล้ว ตอนนี้ซวนเอ๋อร์ซนมาก คราวที่แล้วยังแอบไปตกปลาที่สระภายในสวนดอกไม้ แขนเสื้อเปียกไปกว่าครึ่ง แถมยังแทบจะตกลงไปด้วยซ้ำเพคะ ไม่มีคนดูแลช่างไม่น่าวางใจเสียจริง”
พูดได้ว่าซวนเอ๋อร์เป็นยอดดวงใจของไทเฮาก็ไม่มากเกินไป ดังนั้นเมื่อไทเฮาได้ยินเช่นนี้ก็ร้อนรนทันที “เป็นเช่นนั้นได้อย่างไร เขามีนิสัยเอาแต่ใจ แม่นมโจวก็บังคับเอาไว้ไม่อยู่”
หยุดไปครู่หนึ่ง ไทเฮาก็พูดอย่างมุ่งมั่นว่า “ถ้าเช่นนั้นก็ให้ซวนเอ๋อร์เข้ามาในวังหลวง ไม่ว่าอย่างไรในวังหลวงก็ใช่ว่าจะอาศัยไม่ได้ วังของพวกเจ้าพักไม่ได้ ก็ให้เขาอยู่กับข้า ตอนกลางวันค่อยอุ้มไปก็ได้”
ถาวจวินหลันพูดด้วยจุดประสงค์นี้ จึงแย้มยิ้มและรับปาก พูดว่า “วันพรุ่งนี้หม่อมฉันจะหาเวลากลับไปรับซวนเอ๋อร์เข้ามาเพคะ” หยุดไปครู่หนึ่งและพูดอีกว่า “ไทเฮายังไม่เห็นหมิงจูใช่หรือไม่เพคะ? มิเช่นนั้นรับมาพร้อมกันเลย ไทเฮาเองก็จะได้เห็นนาง พระองค์ต้องไม่รู้ว่าซวนเอ๋อร์เอ็นดูน้องสาวคนนี้มากเพียงใดแน่เพคะ คราวที่แล้วให้ขนมผลึกกับเขาชิ้นหนึ่ง เขาเองยังทำใจกินไม่ได้ อยากจะให้หมิงจูกิน ทำให้หน้าของหมิงจูนั้นเปื้อนไปกว่าครึ่ง ผลก็คือหมิงจูอมนิ้วเขาเอาไว้ไม่ยอมปล่อย”
เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง แต่ที่ถาวจวินหลันไม่ได้พูดก็คือหลี่เย่เกือบจะตีซวนเอ๋อร์สักทีสองที จะต้องรู้ว่าถ้าไม่ใช่เพราะแม่นมเอาไปแอบได้เร็ว ขนมชิ้นนั้นก็คงถูกยัดเข้าไปในปากของหมิงจูเต็มชิ้น ไม่ใช่เพียงสำลัก หากหมิงจูกลืนเข้าไปจริง ท้องคงย่อยไม่ได้เป็นแน่
ไทเฮาได้ยินเช่นนี้ก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ แต่ว่าก็ยังตีสีหน้าพูดว่า “หมิงจูยังเล็กถึงเพียงนั้น อย่าปล่อยให้ซวนเอ๋อร์ทำตามใจ หากกินเข้าไปเยอะ ท้องจะไม่ย่อย แต่ก็เห็นได้ว่าซวนเอ๋อร์เป็นพี่ชายแสนดีที่รักและเอ็นดูน้องของตน”
ถาวจวินหลันคิดว่าแม้นซวนเอ๋อร์จะไม่ค่อยสนใจต่อเซิ่นเอ๋อร์นัก แต่เขากลับสนใจน้องสาวทั้งสองคนเป็นอย่างมาก ทุกวันจะต้องไปเยี่ยมหา มีทั้งของอร่อยและของให้เล่นสนุก เขายอมแบ่งให้น้องสาวทั้งสองคน ก็ถือได้ว่าเป็นพี่ชายที่แสนดี
พูดเรื่องซวนเอ่อร์อยู่อีกครู่หนึ่ง ไทเฮาก็กำชับเรื่องการดูแลหลี่เย่อีกบางอย่าง แล้วถึงได้ปล่อยถาวจวินหลันให้ไปทำความเคารพฮองเฮา ไม่รู้ว่าตั้งใจหรืออว่าอย่างไรจึงพูดออกมาอีกประโยคหนึ่ง “เวลาไม่เช้าแล้ว อย่าได้รั้งตัวอยู่นาน ถึงเวลาที่เหมาะสมก็ควรกลับไปดูแลตวนอ๋องให้รับประทานอาหารเย็น”
ถาวจวินหลันกลับคิดถึงเรื่องที่ฮ่องเต้พูดขึ้นมาว่าจะร่วมโต๊ะอาหารเย็น จึงยิ้มและพูดให้ไทเฮาฟัง แสดงออกว่าตนเองจะต้องรีบกลับไปเตรียมตัวอย่างแน่นอน
ไทเฮาได้ยินเช่นนั้นก็ยินดีเป็นอย่างมาก พอถาวจวินหลันจากไปแล้ว ก็กำชับหลิวหมัวหมัวว่า “ให้ห้องครัวเล็กทำอาหารที่ตวนอ๋องและฮ่องเต้ชอบทานไปสองสามอย่าง แม้นสิ่งที่ห้องเครื่องทำจะค่อนข้างดี แต่ด้วยประณีตมากเกินไปจนรสชาติสูญหาย”
อาหารที่ห้องเครื่องไม่เพียงแค่ประณีต รสชาติก็ยังดีเป็นมาก แต่ด้วยละเอียดอ่อนเช่นนี้กลับทำให้ดูทางการมากเกินไป ขาดรสชาติดั้งเดิมของอาหาร ไทเฮาไม่ชอบมาโดยตลอด
หลิวหมัวหมัวยิ้มรับ “ตอนนี้ท่านอ๋องค่อยๆ ฟื้นตัว ต่อจากนี้คิดว่าพ่อลูกจะต้องใกล้ชิดกันมากขึ้นแน่นอนเพคะ”
ไทเฮาเองก็พยักหน้าด้วยความพอใจ “คราวนี้ตวนอ๋องได้รับบาดเจ็บคราวนี้ ไม่ใช่ว่าไม่ได้อะไรกลับมาเลย” พอพูดจบสายตาก็เย็นเยียบลง น้ำเสียงก็เย็นชา “แต่เจ้าโจรโองหังเช่นนั้นก็ควรได้รับโทษ พรุ่งนี้ตอนบ่ายเรียกให้ฮ่องเต้มาสักครั้ง ข้าจะถามเขาให้ดีว่าเขาจะจัดการกับภูเขานี้อย่างไร”
หลิวหมัวหมัวได้ยินเช่นนี้ก็รู้ว่าไทเฮากริ้วจริงๆ แล้ว คราวที่แล้วไทเฮาก็กริ้วเช่นกัน แต่สุดท้ายด้วยไม่ได้ก้าวก่ายถึงจุดตายและไม่ได้เกิดไฟโกรธที่แท้จริง แต่คราวนี้…
หลิวหมัวหมัวพูดกล่อม “ไทเฮาเองก็อย่าทำให้ฮ่องเต้รู้สึกลำบากพระทัยเลยเพคะ ฮ่องเต้ไม่ใช่เด็กๆ แล้ว ไม่อาจะเสียหน้าได้”
ไทเฮามองไปทางหลิวหมัวหมัวทีหนึ่ง น้ำเสียงเต็มไปด้วยความขบขันอีกครั้ง “ข้ารู้แล้ว”
และทางด้านนี้ถาวจวินหลันก็ไปทำความเคารพฮองเฮา แต่กลับคิดไม่ถึงว่าพระชายาคังอ๋องก็อยู่ด้วยเช่นเดียวกัน ในตอนนั้นจึงรู้สึกว่าตัวเองมาไม่ถูกเวลา แต่ในเมื่อมาแล้วนางก็วางแผนแค่ทำความเคารพและขอตัวกลับไป
ฮองเฮาและพระชายาคังอ๋องไม่ได้มีท่าทีสนิทสนมกันเหมือนแต่ก่อน แม้ว่าฮองเฮาจะยังคงยิ้มอย่างเป็นมิตรเช่นเดิม แต่ว่าความห่างเหินในดวงตานั้นไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สามารถหลบซ่อนได้ ส่วนพระชายาคังอ๋องก็ดึงหน้าตึง
ถาวจวินหลันแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น ทำความเคารพอย่างเรียบร้อยและนิ่งเงียบไม่พูดอะไร
กลับเป็นฮองเฮาที่เอ่ยถามอาการบาดเจ็บของหลี่เย่เล็กน้อย อาจด้วยต้องการไว้หน้า ดังนั้นพระชายาคังอ๋องจึงต้องตามน้ำไปด้วย
ถาวจวินหลันตอบทุกอย่าง แต่กลับพูดไม่เหมือนกับเวลาอยู่ต่อหน้าไทเฮาเลยแม้แต่น้อย ครั้งนี้นางพูดอาการของหลี่เย่ไปในทางที่หนัก นางพูดเช่นนี้ก็เพื่อลดความกระอักกระอวนในใจของไทเฮา อย่างไรถ้าหากว่าอาการบาดเจ็บไม่ได้หนักจริง แล้วยังอาศัยอยู่ภายในวังหลวง ฮองเฮาคงจะสงสัยเป็นแน่
เวลานี้หลี่เย่ได้รับบาดเจ็บ และรักษาตัวอยู่ภายในวังหลวง หากทำให้ฮองเฮากริ้วคงไม่ใช่เรื่องดีเป็นแน่ หากฮองเฮาตัดสินใจลงมือจริง ถึงตอนนั้นจะมานั่งร้องไห้ก็คงไม่ทัน
ดังนั้นจะใช้คำพูดเกินจริงก็ถือว่าเป็นเรื่องที่จำเป็น
ถาวจวินหลันพูดอย่างเศร้าโศกเป็นกังวลใจ ฮองเฮาเองก็ให้ความร่วมมือโดยการส่งสายตาเป็นห่วงออกมา และส่งเสียงกำชับ “ข้าจำได้ว่าในห้องเก็บของเมื่อหลายวันก่อนหน้านี้คังอ๋องส่งโสมแก่มาให้ ไปเอามาให้ชายารองตวนอ๋องเสียเถิด”
ถาวจวินหลันรีบเอ่ยปฏิเสธ “นี่เป็นของที่คังอ๋องมอบให้ฮองเฮา พวกเราจะกล้าใช้ได้อย่างไรเพคะ? เหนียงเหนียงเก็บเอาไว้เถิด นี่ถือว่าเป็นนความกตัญญูของคังอ๋องนะเพคะ”
ฮองเฮายิ้มอย่างเป็นมิตร “ถือว่าคังอ๋องเป็นพี่ชายที่สงสารน้องชายก็แล้วกัน อีกทั้งให้ตวนอ๋องใช้กับให้ข้าใช้ก็เหมือนกัน เขาหายเร็วขึ้นข้าก็สบายใจ”
ถาวจวินหลันทำได้เพียงขอบพระทัยของประทานครั้งนี้ ในใจกลับคิดแล้วว่าของสิ่งนี้กลับไปควรจะต้องไปโยนทิ้ง
ฉับพลันฮองเฮาก็ถามว่า “ข้าได้ยินมาว่าตวนอ๋องพูดได้แล้ว? เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นจริงหรือ?”
ตอนที่ 371 สืบข่าว
ถาวจวินหลันคิดว่าฮองเฮาอดทนไว้จนมาถามวันนี้ก็ถือว่าไม่ง่ายแล้ว ความจริงแล้วนางก็เตรียมใจมาเรียบร้อยแล้ว
พอตอนนี้ถูกฮองเฮาถามเช่นนี้ นางจึงคลี่ยิ้มน้อยๆ อย่างแฝงความเขินอายยินดีเอาไว้พลางตอบว่า “เอ่ยปากพูดได้แล้วเพคะ แต่ด้วยคอเคยได้รับบาดเจ็บมาก่อน เสียงจึงแหบอยู่บ้าง อีกทั้งหลายปีที่ไม่ได้พูด ดังนั้นจึงยังพูดได้ไม่ค่อยดีนัก แต่ว่าหมอหลวงก็บอกแล้วเพคะ ค่อยรักษาลำคอไป ฝึกให้พูดบ่อยๆ ก็จะกลับมาพูดได้ อย่างน้อยการพูดจาก็ไม่มีปัญหาแล้ว พูดไปแล้ว ครั้งนี้ก็ถือว่าเป็นความโชคดีในความโชคร้าย แม้ว่างานแต่งงานของน้องเก้าจะถูกขัดจังหวะ แต่ท่านอ๋องก็พูดได้แล้วเพคะ”
เมื่อพูดประโยคนี้จบ นางก็อมยิ้มพลางถามฮองเฮากลับว่า “เหนียงเหนียงท่านว่าเป็นความโชคดีในความโชคร้ายหรือไม่เพคะ?”
ฮองเฮากำสร้อยไข่มุกในมือแน่น ทว่าสีหน้ายังปรากฏรอยยิ้ม “ไม่ใช่ความโชคดีในความโชคร้ายหรอก พูดไปแล้ว ตวนอ๋องก็ช่างโชคดีเหลือเกิน หลายปีแล้วยังฟื้นฟูกลับมาได้อีก”
ถาวจวินหลันอมยิ้ม “พูดไปแล้ว ปีนี้ถือว่าเป็นปีที่ดี ไม่เพียงแค่ฝนตกต้องตามฤดูกาล ทั้งยังมีข่าวดีเกิดขึ้นเรื่อยๆ อีกด้วย มีข่าวดีจากพระชายาอี๋ในวังหลวงไม่พอ ท่านอ๋องกลับมาพูดได้ ได้ยินว่าอนุภรรยาของคังอ๋องสองสามคนก็เริ่มตั้งครรภ์แล้วใช่หรือไม่เพคะ? คิดว่าจะต้องมีคุณชายตัวอวบอ้วนสักสองสามคนอย่างแน่นอน”
ถาวจวินหลันสัมผัสได้ทันที ว่าตอนที่นางพูดถึงพระชายาอี๋ตั้งครรภ์ สีหน้าของฮองเฮาพลันบิดเบี้ยวอย่างแปลกประหลาดวูบหนึ่ง แม้ว่าจะปิดบังได้เร็ว ทว่าก็ทำให้คนจดจำได้อย่างลึกซึ้ง เห็นเพียงครู่เดียวก็จำได้แม่น
แน่นอนว่าเมื่อพูดถึงอนุภรรยาคังอ๋องตั้งครรภ์ สีหน้าของพระชายาคังอ๋องเองก็เปลี่ยนแปลงไปในชั่วพริบตาเช่นเดียวกัน
ถาวจวินหลันเห็นเช่นนั้นก็หยุดมือ ไม่ไปจู่โจมฮองเฮาและพระชายาคังอ๋องอีก เพียงแค่ถอนหายใจ พูดว่า “แต่ว่าเพิ่งพูดได้ก็ถูกลอบฆ่า ไม่รู้ว่าเป็นเพราะโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่นะเพคะ ไม่รู้ว่าท่านอ๋องไปขัดขวางใครเขา ถึงมีคนกล้าทำเรื่องเช่นนี้?”
คิ้วของฮองเฮาเลิกขึ้นในทันใด นางรู้สึกว่าถาวจวินหลันกำลังบอกใบ้อะไรบางอย่างอยู่ แต่ในเมื่อพิจารณาท่าทีของถาวจวินหลันอย่างละเอียดแล้ว กลับไม่รู้ถึงสิ่งที่แอบแฝง สุดท้ายแล้วก็ได้เพียงแค่ปล่อยไปเท่านั้น
ถาวจวินหลันขอตัวออกไปอย่างเหมาะสมตามแก่เวลา
ฮองเฮาย่อมไม่รั้งให้อยู่ต่อ แต่ก็ยังยิ้มและพูดว่า “ในเมื่ออยู่พักรักษาตัวในวังหลวง เช่นนั้นทุกวันไม่มีอะไรทำก็มานั่งเล่นพูดคุยกับข้าที่นี่บ้างซี”
ถาวจวินหลันรู้ดีว่าเป็นเพียงคำพูดตามมารยาทเท่านั้น อีกทั้งนางก็ควรต้องมาทำความเคารพฮองเฮาทุกวันอยู่แล้ว ดังนั้นจึงรับปากอย่างรวดเร็ว แต่นางก็วางแผนคำนวณเวลามาทำความเคารพฮองเฮาเอาไว้แล้ว ตามบรรดานางสนมเหล่านั้นเข้ามา เมื่อเป็นเช่นนี้แม้นฮองเฮามีใจอยากพูดเรื่องอะไร ก็คงไม่ดีหากพูดออกมา
โดยสรุปแล้วสามารถลดการข้องแวะกับฮองเฮาได้
ถาวจวินหลันเดินทางไปยังวังที่หลี่เย่ใช้พักรักษาตัว นางแอบไปดูหลี่เย่ที่ยังคงนอนหลับลึกมาแล้วรอบหนึ่ง เห็นว่าเขายังคงนอนหลับสบายจึงเข้าห้องครัวเล็กไปเตรียมของ
ขันทีเป่าฉวนจัดการธุระนั้นคล่องแคล่วเฉียบขาด เพิ่งออกไปได้ไม่นานห้องครัวเล็กก็ได้จัดเตรียมเอาไว้อย่างเหมาะสม แม่ครัวที่เตรียมมาก็รออยู่ในห้องครัวเล็กพร้อมแล้ว
ถาวจวินหลันเห็นว่าบนเตาขนาดเล็กยังมีโถดินอันหนึ่ง จึงถามออกมา และได้รู้ว่าเป็นน้ำแกงกระดูกหมูต้มรากบัว ฉับพลันนั้นก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ ในตอนนี้กระดูกของหลี่เย่ได้รับบาดเจ็บ ควรดื่มน้ำแกงกระดูกให้มากเสียหน่อย แม้จะบอกว่าเป็นเศษเนื้อ แต่ก็มีผลประโยชน์ไม่น้อย อีกทั้งยังมีรสชาติอร่อย
ด้วยฮ่องเต้จะมาร่วมโต๊ะด้วย ดังนั้นทางห้องครัวเล็กจึงไม่ต้องจัดเตรียมอาหารอะไร พอยกอาหารของฮ่องเต้เข้ามา ก็มากพอให้เขาและหลี่เย่สองคนทานกันได้แล้ว
ดังนั้นนางจึงแค่ให้แม่ครัวเตรียมของว่างที่หลี่เย่ชอบกินอย่างละเล็กน้อยเท่านั้น นี่เป็นของว่างล้างปากหลังอาหาร เฝด้วยตอนนี้อยู่ในฤดูใบไม้ผลิ ดังนั้นถาวจวินหลันจึงเตรียมขนมเหนียวเขียวเอาไว้
ใช้หญ้าสดใหม่ที่เพิ่งแตกกอออกมาบด บีบน้ำออกมา ใช้ผ้าขาวบางกรองกากเอาไว้ จากนั้นก็ใช้ข้าวเหนียวมาปั้นเป็นก้อน แล้วจึงได้ก้อนกลมสีเขียวออกมา จากนั้นนำไปนึ่งและผึ่งให้เย็น ก้อนกลมแป้งข้าวเหนียวก็จะกลายเป็นสีใสประหนึ่งมรกตอย่างไรอย่างนั้น จากนั้นก็ใส่ไส้เข้าไป และใช้แม่พิมพ์กดเอาไว้ สุดท้ายก็ใช้กลีบดอกไม้ที่เพิ่งเก็บมาปาดน้ำผึ้งและแตะลงไปข้างบน ทำให้กลายเป็นดอกไม้สีสันสดใสมากมายก็จะถือว่าสำเร็จทุกขั้นตอน ทั้งสวยงามและรสชาติหอมหวาน แม้นจะหวานไปหน่อย แต่ใช้เป็นของว่างกินคู่กับน้ำชาก็ถือว่าใช้ได้เลยทีเดียว
ถาวจวินหลันชี้นิ้วสั่งแม่ครัวจนวุ่นวาย แต่กลับไม่มีใครพูดกล่าวโทษเลย ต่างก็พากันยิ้มเอ่ยชม “ก่อนหน้านี้ไม่เคยทำสิ่งนี้มาก่อน เพียงแต่เคยกินตอนอยู่ที่บ้านเดิมเท่านั้น ทั้งเรียบง่ายอย่างมาก ไม่ได้ประณีตถึงเท่านี้เจ้าค่ะ”
ถาวจวินหลันยิ้ม “ครั้งยังเป็นหญิงสาว ปกติแล้วอยู่ในบ้านก็วุ่นวายแต่กับเรื่องเหล่านี้ ตอนนี้กลายเป็นว่าไม่มีเวลามาทำพวกนี้แล้ว”
แม่ครัวเข้าใจอย่างลึกซึ้ง “นี่เป็นเรื่องธรรมดาเจ้าค่ะ ผู้หญิงมีเพียงครั้งเป็นหญิงสาวเท่านั้นถึงเป็นตัวของตัวเองและอิสระมากที่สุด พอออกเรือนไปก็ต้องวุ่นวายอยู่กับเรื่องสามี ไฉนเลยจะยังมีเวลามาดูเรื่องอื่นได้อีกเจ้าคะ?”
แม่ครัวพูดเก่ง ถาวจวินหลันเองก็ไม่ได้คิดดูถูกตำแหน่ง ทั้งสองคนอยู่ในห้องครัวทำไปพลางพูดคุยไปพลาง
แม่ครัวแต่เดิมเคยอยู่ในห้องเครื่องมาก่อน ใช้ชีวิตอยู่ในวังหลวงมาสองสามปีแล้ว ฝีมือไม่ได้ดีมากนัก แต่ก็พอไปวัดไปวาได้ ยามนี้นางอายุเกือบสี่สิบปีแล้ว ลูกชายล้วนแต่งงานสู่ขอสะใภ้ไปหมด และมีหลานเพื่อสืบทอดสกุลต่อไปแล้ว ถือว่าเป็นคนโชคดียิ่ง ด้วนนางทำงานอยู่ในวังหลวง คนที่บ้านจึงใช้ชีวิตได้อย่างอุดมสมบูรณ์ ไม่ขาดแคลน
แม่ครัวยังพูดอีกว่ารอจนวันที่นางออกจากวังหลวง ก็จะเอาเงินที่เก็บมานานหลายปีนี้ไปเปิดร้านอาหารเล็กๆ ไม่ว่าอย่างไรแล้วลูกชายของนางก็เป็นพ่อครัว ไม่จำเป็นต้องกลัวว่าธุรกิจจะไปได้ไม่ดี
ถาวจวินหลันเห็นนางเป็นคนสบายๆ และไม่เคยดูแลรับใช้เจ้านายคนไหนมาก่อน จึงวางใจอยู่หลายส่วน ที่พูดคุยสนทนากับแม่ครัวอยู่นานนั้นก็ไม่ใช่ว่าจะไม่คิดหลอกถามเลย
นอกจากเรื่องเหล่านี้ถาวจวินหลันยังสืบถามเรื่องอื่นมาได้ อย่างเช่นภายในวังหลวงยามนี้มีเพียงพระชายาอี๋ที่ตั้งครรภ์อยู่นั้นจะเป็นคนเอาใจยากแล้ว ก่อนหน้านี้ตอนที่ยังไม่ได้รับความโปรดปรานก็ไม่เห็นว่าเรื่องมาก ตอนนี้ตั้งครรภ์กลับเข้มงวดขึ้นมา อะไรราคาแพงก็จะกินอันนั้น ก่อนหน้านี้ก็สั่งให้ทำปลาที่มีแค่เพียงในฝั่งเจียงหนานเท่านั้น เพื่อเนื้อปลาเพียงชามเดียวต้องใช้ปลาไปกว่าหนึ่งกระบุง ปลาทุกตัวใช้ได้แค่เนื้อตรงส่วนแก้มเท่านั้น แล้วเจ้าปลานั่นก็ยังตัวไม่พ้นฝ่ามือเด็กด้วยซ้ำไป
ที่สำคัญที่สุดก็คือปลาชนิดนั้นไม่มีในวังหลวง สุดท้ายไม่รู้ว่าคังอ๋องไปหามาจากที่ใดกระบุงหนึ่ง ถึงได้ถือว่าจบเรื่องไป
คังอ๋องกระตือรือร้นเสียขนาดนี้ย่อมได้รับคำชมจากฮ่องเต้ไปเป็นกระบุงโกย
เช่นเรื่องที่ว่า ฮองเฮาและฮ่องเต้ต่างก็ตรัสว่าจะต้องเร่งส่งของดีไปให้พระชายาอี๋คนนั้นก่อน
เช่นเรื่องที่ว่า พระชายาอี๋เอาเนื้อที่อยู่ในท้องของนางมาเป็นข้ออ้างทำเรื่องต่างๆ อย่างอวดดี ก่อเรื่องก่อราวเป็นปฏิปักษ์กับคนในวังหลวงจำนวนไม่น้อย
ถาวจวินหลันตั้งใจฟังทั้งหมด นางลอบหัวเราะในใจ พระชายาอี๋ช่างฉวยโอกาสเก่งเสียจริง อย่างไรพอลูกคนนี้ลืมตาออกมา ความโปรดปรานของฮ่องเต้จะต้องย้ายมายังเด็กเป็นแน่. แต่เดิมพระชายาอี๋ก็ไม่ค่อยได้รับความโปรดปรานอยู่แล้ว เกรงว่าฮ่องเต้ก็คงไม่ได้คิดว่าจะทะนุถนอม
แต่พระชายาอี๋อย่างไรก็ยังเป็นแม่รองของหลี่เย่ นางได้แต่ฟัง ทว่ากลับไม่ร่วมบทสนทนานี้
พอนางทำขนมเหนียวเขียวเสร็จแล้ว ถาวจวินหลันก็ไปปลุกหลี่เย่ อย่างแรกเพราะคำนวณว่าใกล้เวลาที่ฮ่องเต้จะเสด็จมาแล้ว อย่างที่สองถ้าหากว่าปล่อยให้นอนต่อไป เกรงว่าตอนกลางคืนจะไม่ง่วงนอน และทำให้นอนไม่หลับ
ขันทันเป่าฉวนให้ศิษย์ขันทีน้อยอิ๋นเซิงมาจัดโต๊ะอาหารก่อน
ด้วยหลี่เย่เดินเหินไม่สะดวก ดังนั้นจึงจัดโต๊ะอาหารไว้ในภายในห้อง รอจนจัดเรียงอาหารวางหมดแล้ว ก็ได้ยินเสียงร้องตะโกนของขันทีเป่าฉวนมาจากด้านนอก “ฮ่องเต้เสด็จ!”
ถาวจวินหลันรีบออกไปต้อนรับ
ฮ่องเต้สะบัดมือเป็นท่าทีให้ลุกขึ้น ไม่พูดอะไรมาก ถาวจวินหลันเองก็สังเกตเห็นร่องรอยความเหน็ดเหนื่อยบริเวณระหว่างคิ้วของฮ่องเต้ ในใจคิดว่าไม่รู้ว่าตอนบ่ายไปทำเรื่องอะไรมาถึงได้เหน็ดเหนื่อยถึงเพียงนี้
แต่พอพบหลี่เย่ อารมณ์ของฮ่องเต้ก็ดูเหมือนจะดีขึ้นมาก
แม้นหลี่เย่จะลงจากเตียงเพื่อไปทำความเคารพไม่ได้ แต่ก็สามารถพูดได้แล้ว เมื่อเห็นฮ่องเต้ก็พูดออกมาว่าเสด็จพ่อ
แม้นบาดแผลของหลี่เย่จะอยู่ที่แขนซ้าย แต่ว่าที่ขาก็ยังมีแผลอยู่ ดังนั้นจึงทำได้แค่นั่งเอนตัวอยู่บนเตียงเท่านั้น พลางตั้งโต๊ะตัวเล็กเอาไว้บนเตียงแยกออกไป
ฮ่องเต้นั่งอยู่ตรงโต๊ะข้างเตียงเพียงคนเดียว พ่อลูกทั้งสองคนถือว่านั่งตรงข้ามกันแล้ว เพียงแค่ระยะห่างกันเล็กน้อยเท่านั้น แต่ก็ยังไม่ขัดขวางการพูดคุย
ฮ่องเต้เห็นว่าตรงหน้าหลี่เย่มีน้ำแกงกระดูกรากบัววางเอาไว้เป็นพิเศษ ก็รู้สึกอยากกินขึ้นมา ถาวจวินหลันเห็นสายตาของฮ่องเต้ที่ทอดมองอยู่นาน ไม่รอให้ฮ่องเต้เอ่ยปาก นางก็แนะนำก่อนว่า “นี่คือน้ำแกงกระดูกหมูรากบัวเพคะ ตุ๋นรากบัวจนเคี่ยวแล้ว ฮ่องเต้ทรงอยากลองชิมหรือไม่เพคะ”
จากนั้นก็ใช้ถ้วยตักน้ำแกงให้ฮ่องเต้ไปครึ่งถ้วย และตักรากบัวและกระดูกหมูให้อีกสองสามชิ้น
ฮ่องเต้ให้ขันทีเป่าฉวนแบ่งอาหารที่เขาคิดว่าอร่อยกับหลี่เย่ วางลงบนโต๊ะตัวเล็กของหลี่เย่
ตอนที่เพิ่งเริ่มทาน ไทเฮาก็ส่งอาหารมาให้อีกจำนวนหนึ่ง ฮ่องเต้เห็นก็ยิ้มร่าทันที “ของที่ไทเฮาส่งมาช่างถูกปากข้าเสียจริง”
ถาวจวินหลันมองไปทางหลี่เย่ เห็นว่าเขาตั้งใจทานน้ำแกง ก็พูดขึ้นมาว่า “ท่านอ๋องเองก็ชอบทานอาหารเหล่านี้เช่นกันเพคะ”
ขันทีเป่าฉวนต่อบทสนทนา “สมแล้วที่เป็นพระราชบิดากับพระราชโอรส รสชาติที่ชอบเสวยก็ไม่แตกต่างกันนัก”
ฮ่องเต้อารมณ์เบิกบานฉับพลันทันที ไม่รู้ว่าคิดอะไรถึงบอกไม่ให้คนคอยรับใช้ และให้ถอยออกไป
ถาวจวินหลันคิดว่าหลี่เย่น่าจะทานอาหารเองได้ จึงไม่ได้ดูแลเป็นพิเศษ แล้วถอยไปพร้อมกับขันทีเป่าฉวนที่ไม่ได้มีข้อโต้แย้งอะไรเช่นเดียวกัน
พอออกจากห้องไปแล้ว ถาวจวินหลันก็ยิ้มออกมา “เป่าฉวนกงกงไปทานน้ำแกงกระดูกหมูรากบัวที่ห้องครัวสักถ้วยจะดีกว่า ท่านรอฮ่องเต้ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะเสวยพระกระยาหารเสร็จ ไม่สู้ถือโอกาสตอนนี้ไปทานอาหารก่อน ข้ารออยู่ที่นี่ หากข้างในมีคำสั่งอะไร ข้าจะให้บ่าวรับใช้ไปบอกท่าน”
ขันทีเป่าฉวนกลับลังเลไม่กล้ายอมรับข้อเสนอนี้ ถาวจวินหลันเกลี้ยกล่อม เขาถึงได้ยอมรับ พลางยิ้มกล่าวขอบคุณ “ขอบพระคุณชายารอง”
ถาวจวินหลันยิ้ม “ข้าต้องขอบคุณกงกงถึงจะถูก” ขันทีเป่าฉวนช่วยหลี่เย่ทุกทาง ทุกสิ่งนางล้วนมองเห็น
ขันทีเป่าฉวนกลับไม่รีบร้อนไปทานอาหาร แต่พูดเสียงเบาว่า “วันนี้ฮ่องเต้ทรงกริ้วเป็นอย่างมาก ทั้งศาลและผู้ดูแลเมืองหลวงต่างถูกด่ากันถ้วนหน้า”
ถาวจวินหลันเข้าใจทันที มิน่าเล่า ท่าทีของฮ่องเต้ถึงได้เหน็ดเหนื่อยปานนั้น
“ตอนนี้คงมีเพียงตวนอ๋องเท่านั้นที่กล่อมให้ฮ่องเต้อารมณ์ดีขึ้นได้” เสียงของขันทีเป่าฉวนยิ่งเบาลงไปอีก น้ำเสียงลึกลับ “เกรงว่าคงต้องเปลี่ยนผู้ว่าเมืองหลวงคนแล้ว เกิดเรื่องติดต่อกันเช่นนี้ ฮ่องเต้ทรงกริ้วอย่างมาก”
ถาวจวินหลันมองไปทางขันทีเป่าฉวน ในใจกระตุกเล็กน้อย ขันทีเป่าฉวนตั้งใจพูดเรื่องนี้หมายความว่าเช่นใดกัน
ตอนที่ 372 สถานการณ์
ไม่รู้ว่าพ่อลูกพูดคุยอะไรกัน อย่างไรตอนที่ฮ่องเต้เสด็จออกมาก็ดูอารมณ์ดีทีเดียว
ถาวจวินหลันมองขนมเหนียวเขียวที่เหลือเพียงครึ่งถาดเท่านั้น ก็ยิ้มออกมา “ท่านไม่ได้ให้ฮ่องเต้เสวยมากเกินไปใช่หรือไม่? สิ่งนี้ทานเยอะเกินไปจะย่อยยากนะเพคะ”
หลี่เย่เหลือบมองขนมเหนียวที่เหลืออยู่บนถาดเพียงไม่กี่ชิ้น ก็หัวเราะเช่นเดียวกัน “เสด็จพ่อเสวยไปสองชิ้น ที่เหลือล้วนเป็นข้าทาน สิ่งนี้รสชาติใช้ได้ เรียบๆ ง่ายๆ พอกินเข้าไปแล้วก็ชวนให้คนรู้สึกอยากขี่ม้าชมชนบททันที”
ถาวจวินหลันเหลือบมองขาของเขา ก่อนพูดออกมาอย่างไม่เกรงใจ “ท่านตัดใจเสียเถิด ยังจะขี่ม้าชมชนบท ต่อจากนี้ไปทำได้เพียงนั่งรถม้าแล้ว”
ทันใดนั้นรอยยิ้มของหลี่เย่ก็หุบลงในทันใด เขาคิดว่าก่อนหน้านี้นางก็เพียงล้อเล่นเท่านั้น แต่เมื่อเห็นท่าทีเช่นนี้แล้วกลับดูเหมือนเอาจริง ตอนนี้เขาบาดเจ็บเช่นนี้ก็ไม่รู้ว่าจะขี่ม้าได้อีกเมื่อไรกัน
“วันนี้ขันทีเป่าฉวนพูดกับข้าว่าวันนี้ฮ่องเต้อารมณ์ไม่ดีนัก” ถาวจวินหลันเล่าเรื่องที่ขันทีเป่าฉวนพูดให้หลี่เย่ฟังอย่างละเอียด ก่อนขมวดคิ้วเอ่ย “รู้สึกว่าคำพูดสุดท้ายของเขาแอบแฝงนัยลึกซึ้งบางอย่าง”
“นี่กำลังเตือนข้าอยู่” หลี่เย่อมยิ้ม นั่งพิงไปกับหมอนอิง ท่าทางฉายแววเกียจคร้านออกมา “นี่กำลังเตือนข้าอยู่ว่าสามารถฉวยโอกาสตอนนี้ลากผู้ว่าเมืองหลวงลงจากหลังม้า แล้วเปลี่ยนให้คนของพวกเราเข้าไป”
แต่ถาวจวินหลันยังคงไม่เข้าใจ “ท่านพูดว่าขันทีเป่าฉวนไม่เคยช่วยเหลือผู้ใดเลยมิใช่หรือ? เช่นนั้นเหตุใดเขาถึงบอกเรื่องนี้กับพวกเราอีก? นี่ไม่ขัดแย้งกันหรืออย่างไรเพคะ?”
หลี่เย่มองดูถาวจวินหลันที่มีท่าทีขมวดคิ้วสงสัย อธิบายเสียงอ่อนโยนว่า “ที่จริงแล้วก็ไม่ได้ไร้เยื่อใยเสียขนาดนั้น นี่ยังนับว่าเอนเอียงช่วยเหลือพวกเราไม่ได้ อย่างไรเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นตำแหน่งผู้ว่าเมืองหลวงตอนนี้ก็ต้องถูกเปลี่ยนเป็นแน่ เจ้าก็พูดแล้วมิใช่หรือ เสด็จพ่ออารมณ์ไม่ดีก็ด้วยเรื่องนี้ ผู้ว่าเมืองหลวงเป็นตำแหน่งที่สำคัญมากเพียงใด? หากพูดว่าได้รับความไว้วางใจด้วยความรับผิดชอบอย่างหนักก็ไม่ได้แตกต่างสักนิด”
ถาวจวินหลันรู้ว่าเรื่องนี้ยังพูดกันไม่จบ จึงดื่มชาผลไม้อึกหนึ่ง ก่อนหยิบขนมเหนียวขึ้นมาชิ้นหนึ่ง รอให้หลี่เย่อธิบายต่อ
“ตอนนี้ตำแหน่งผู้ว่าเมืองก็ยังคงเป็นคนที่เหิงกั๋วกงเสนอ ฮ่องเต้ให้ความเชื่อใจอย่างมากมาโดยตลอด” หลี่เย่ค่อยๆ อธิบายออกมาช้าๆ ไม่รีบร้อน “ดังนั้นเมื่อเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นเห็นได้ชัดว่าเป็นการตบพระพักตร์เสด็จพ่อ จะต้องรู้ว่าตอนที่เกิดเรื่องนั้นก็ใกล้จะถึงประตูวังแล้ว ทุกที่ล้วนมีคนเดินตรวจยาม แต่ข้าก็ยังบาดเจ็บเช่นนี้”
ที่หลี่เย่ไม่ได้พูดก็คือที่เขาบาดเจ็บเช่นนี้ ส่วนหนึ่งก็ด้วยตนเองใช้คนไม่รอบคอบมากพอ แต่ว่าก็มีความเกี่ยวข้องกับการที่การตรวจเวรยามไม่รัดกุมพอ อีกทั้งเขายังเสียทหารยามข้างกายอีกคนหนึ่งไปด้วย ถ้าไม่ใช่เพราะว่าทหารยามคนนั้นเอาตัวบังธนูเอาไว้ เกรงว่าตอนนั้นเขาคงถูกแทงพรุนไปทั่วตัว ที่ตนเองกลิ้งลงจากหลังม้าก็ด้วยต้องการหลบหลีกห่าธนู
ที่สำคัญที่สุดก็คือคนน่ารังเกียจที่ยิงธนูนั้นยังหลบหนีไปได้โดยไร้ซึ่งบาดแผล และคนของผู้ว่าเมืองไล่ตามก็ยังหลุดรอดจากสายตาไป ดังนั้นไม่แปลกที่ฮ่องเต้จะทรงกริ้ว ถ้าเป็นคนอื่นไม่มีทางปล่อยผู้ว่าเมืองไปเป็นแน่
“ดังนั้นไม่ว่าอย่างไรครั้งนี้ผู้ว่าเมืองก็จะต้องถูกเปลี่ยนคนอย่างแน่นอน ขันทีเป่าฉวนก็เพียงแค่พูดออกมาเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ถือว่าช่วยเหลืออะไร และครั้งนี้ตัวของเหิงกั๋วกงก็ถูกลากเข้าไปเกี่ยวด้วยเช่นกัน จะต้องถูกสั่งสอนอย่างแน่นอน” หลี่เย่ยิ้มบางๆ แต่ดวงตากลับมีแววยิ้มแย้มปรากฏน้อยๆ “จวนเหิงกั๋วกงถือตำแหน่งผู้ว่าเมืองเอาไว้มั่นมาหลายปีแล้ว ครั้งนี้เป็นโอกาสหาได้ยาก หากจะเปลี่ยนเป็นคนของเรา…”
แม้นจะบอกว่าตำแหน่งผู้ว่าเมืองหลวงไม่ใหญ่ แต่สิทธิ์ที่ถืออยู่ในมือก็ไม่น้อย ในตอนที่จำเป็นนั้นผู้ว่าเมืองถึงกับสั่งย้ายทหารรักษาเมืองได้
ถาวจวินหลันพยักหน้า และถามหลี่เย่ว่า “ท่านมั่นใจที่จะเปลี่ยนเป็นคนของพวกเราอย่างนั้นหรือเพคะ?”
ถาวจวินหลันถามหลี่เย่เช่นนี้ ฉับพลันเขาก็รู้สึกยินดีเพราะคำว่า ‘พวกเรา’ ที่ออกมาจากปากของนางอย่างเป็นธรรมชาติ ดวงตามีประกายยิ้ม น้ำเสียงก็อ่อนโยนลงหลายส่วน “ไม่มั่นใจนัก แต่หากจะขัดขวางไม่ให้เหิงกั๋วกงเสนอคนขึ้นไปอีกก็ง่ายดายมาก”
อย่างที่รู้กันอยู่ว่าเหิงกั๋วกงเป็นพี่ชายคนโตสายตรงของฮองเฮาองค์ปัจจุบัน เป็นลุงแท้ๆ ของคังอ๋อง และเป็นที่พึ่งใหญ่ของฮองเฮาและคังอ๋องมาเป็นระยะเวลานาน
ในจวนเหิงกั๋วกงมีคนมากพรสวรรค์มากมาย มีทั้งสายบู๊บุ๋น ดังนั้นภายในระยะเวลาสิบกว่าปีสั้นๆ นั้นถึงได้มีฐานันดรเช่นนี้ ไม่เพียงแค่ผลักดันให้มีฮองเฮาได้คนหนึ่ง แม้กระทั่งฮ่องเต้เองก็ต้องยำเกรงอยู่บางส่วน
ที่ตอนนั้นฮองเฮากล้าเหิมเกริม อวดอ้างถึงเพียงนั้น ก็ด้วยมีเหิงกั๋วกงคอยประคองอยู่ข้างหลัง
ดังนั้นแต่ไหนแต่ไรมาเหิงกั๋วกงจึงเป็นหนามยอกอกของหลี่เย่ และยิ่งเป็นคนที่ต้องระแวงอันดับหนึ่ง แน่นอนว่าเป็นคนแรกที่ต้องกดให้จมเช่นเดียวกัน
จวนเหิงกั๋วกงดำรงอยู่หนึ่งวัน ฮองเฮาก็จะยิ่งหยิ่งทะนงไปอีกหนึ่งวัน ไม่มีจวนเหิงกั๋วกง ฮองเฮาก็เหลือเพียงแค่ตำแหน่งเท่านั้น นอกจากนั้นก็ไม่มีอะไรอีก
ไม่รู้ว่าเขาวางแผนมานานมากเพียงใดเพื่อวันนี้ คิดทบทวนไปมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ตอนแรกคิดว่าวันข้างหน้าถึงจะมีโอกาส แต่คิดไม่ถึงว่าตอนนี้ไปๆ มาๆ สวรรค์กลับประทานโอกาสอันดีมาให้
ดังนั้นหลี่เย่จึงคิดอย่างมั่นใจว่านี่คือสิ่งที่สวรรค์ลิขิต สวรรค์กำลังช่วยเหลือเขาแก้แค้น ช่วยเหลือเขาให้ได้สิ่งที่อยากได้
ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกยินดี จากนั้นก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมา “แต่ว่าตอนนี้ท่านยังพักรักษาตัวอยู่ แม้แต่จะออกไปข้างนอกก็ยังไม่ได้” ไม่สามารถออกไปไหนได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการจัดการเรื่องเหล่านี้เลย
หลี่เย่ยิ้ม พลางพูดว่า “พรุ่งนี้เจ้าต้องไปรับซวนเอ๋อร์มิใช่หรือ? หลังจากที่กลับจวนแล้วเจ้าเรียกหลิวเอินมาเล่าเรื่องนี้ให้เขาฟัง จากนั้นก็ให้เขาไปหาเฉินฟู่”
ถาวจวินหลันใจกระตุกวูบ มองไปทางหลี่เย่กล่าว “ความหมายของท่านคือให้เฉินฟู่รับผิดชอบตำแหน่งนี้อย่างนั้นหรือ?”
หลี่เย่ส่ายหน้า “เฉินฟู่ยังเด็กเกินไป เสด็จพ่อไม่มีทางยินยอม แต่ใต้เท้าเฉินมีศิษย์อยู่คนหนึ่ง นามว่ากู่ลิ่งจือ เป็นคนใช้ได้เลยทีเดียว ก่อนหน้านี้เคยเป็นผู้ว่าอำเภอเหอเป่ยมาก่อน เสด็จพ่อเคยตรัสชม”
ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนั้นก็เริ่มคิดบางอย่างได้ “ปกติใต้เท้าเฉินเป็นคนตรงไปตรงมา คิดว่าคงไม่มีใครเอ่ยคัดค้าน ต่อให้เป็นฮ่องเต้ก็คงจะพอใจเช่นกัน”
หากเฉินฟู่ไม่มาสู่ขอถาวซินหลันก็แล้วไป แต่หากเกี่ยวดองกันแล้ว เช่นนั้นตระกูลเฉินก็จะต้องเข้าข้างจวนตวนอ๋อง อีกอย่างตัวของเฉินฟู่ก็เข้ากับหลี่เย่ได้ดีอย่างมาก
“ความสัมพันธ์ของกู่ลิ่งจือและเฉินฟู่ดีหรือไม่เพคะ?” ถาวจวินหลันถามหลี่เย่พร้อมรอยยิ้ม
หลี่เย่หยักหน้า “ปีนี้กู่ลิ่งจืออายุสามสิบสามปี แม้นจะบอกว่าอายุเยอะกว่าเฉินฟู่มากนัก แต่ว่าทั้งสองคนก็เข้ากันได้ดีมาก กู่ลิ่งจือสูญเสียภรรยาเอกของตนเองไปตอนปีก่อนนี้ ตอนนี้มีลูกฝาแฝดหญิงชาย และกลับมาอาศัยอยู่ที่เมืองหลวงพอดี บอกว่าจะมาพูดเรื่องการแต่งงาน”
ถาวจวินหลันได้ยินก็คิดบางอย่างได้ “หากพวกเราและกู่ลิ่งจือพูดเรื่องการแต่งงาน…”
ก่อนหน้านี้หลี่เย่ไม่มีความคิดเช่นนี้มาก่อน แต่เมื่อถาวจวินหลันพูดเช่นนี้ก็รู้สึกว่าไม่ได้เป็นไปไม่ได้ จึงพยักหน้า “ไม่ใช่ว่าจะไม่มีทาง แต่ก็เป็นการไม่ดีถ้าต้องไปบีบบังคับ เจ้าคิดเรื่องนี้ดูได้ หากสำเร็จก็ดีไป แต่ถ้าไม่สำเร็จก็อย่าบังคับขืนใจ มิเช่นนั้นแล้วจะทำลายความสัมพันธ์เอา”
ถาวจวินหลันย่อมต้องเข้าใจหลักการนี้ หลายวันต่อจากนั้นจึงครุ่นคิดถึงคนที่ตนเองรู้จัก ว่ามีใครเหมาะสมจะแนะนำให้กับกู่ลิ่งจือได้
วันที่สองพอถาวจวินหลันดูแลหลี่เย่ทานข้าวเช้าและดื่มยาแล้ว นางก็รีบกลับมารับซวนเอ๋อร์ที่จวนตวนอ๋อง
พอออกมาจากวังหลวง ถาวจวินหลันก็สั่งหวังหรูว่า “ไป ให้คนไปเรียกหลิวเอินเข้าวังหลวงมา ข้ามีเรื่องที่ต้องสั่งเขา”
หวังหรูได้ยินเช่นนั้นก็แยกเดินทางกับถาวจวินหลัน
ถาวจวินหลันเพิ่งกลับไปจวน ทางด้านหลิวเอินก็รออยู่ที่ประตูชั้นสองแล้ว
พูดไปแล้ว หลังจากที่หลี่เย่กลับมา ถาวจวินหลันก็ไม่ได้พบหลิวเอินอีก ตอนนี้เขามีรูปร่างสมบูรณ์ขึ้นเล็กน้อย มองดูแล้วอวบขึ้น นางจึงอดหัวเราะออกมาไม่ได้ “เจ้าออกไปเช่นนี้ยิ่งหลอกคนได้ง่ายขึ้นเยอะเชียว”
หลิวเอินตอบอย่างเอียงอาย “ทำธุรกิจนั้นพูดกันไม่รังแกคนแก่และเด็ก ข้าน้อยจึงเกิดความคิดนี้ขึ้นมา”
ได้ยินเขาพูดอย่างคุ้นชินเช่นนี้ถาวจวินหลันก็รู้ว่าคำพูดนี้ของเขาปกติแล้วเอามาเพื่อปิดบังคนเท่านั้น จึงหัวเราะออกมา ไม่พูดอะไรออกมาอีก ท่าทีเคร่งขรึม “วันนี้ที่เรียกเจ้ามาอย่างกะทันหันก็เพราะว่ามีเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งต้องการสั่งเจ้า”
หลิวเอินได้ยินเช่นนั้นก็เก็บรอยยิ้มการค้า ท่าทีเคร่งขรึม “ขอเพียงชายารองสั่งมาขอรับ”
“เรื่องที่ท่านอ๋องถูกลอบทำร้ายคิดว่าเจ้าคงรู้อยู่แล้วเป็นแน่” ถาวจวินหลันถอนหายใจออกมา “ด้วยขยับไปไหนไม่ได้ ท่านอ๋องจึงทำได้เพียงพักรักษาตัวอยู่ในวังหลวงเท่านั้น ดังนั้นเรื่องดำเนินการด้านนอกคงจะต้องพึ่งพวกเจ้าแล้ว”
แน่นอนว่าหลิวเอินต้องรู้เหตุการณ์เมื่อวานนี้ และมีท่าทีว่าเขารู้เยอะกว่าถาวจวินหลันอยู่เล็กน้อย ทันใดนั้นใบหน้าก็ดำคล้ำลง “คนพวกนั้นช่างกล้าดีนัก”
“ฮ่องเต้ทรงกริ้ว คราวนี้อาจจะเกิดการเปลี่ยนผู้ว่าเมืองหลวงขึ้น” ถาวจวินหลันมองออกว่าหลิวเอินกดเสียงตัวเองให้เบาลง แม้จะรู้ว่าไม่มีคนแอบฟังแต่ก็ยังทำตามสันชาตญาณ “ท่านอ๋องให้เจ้าไปหาเฉินฟู่ บอกเรื่องนี้กับเขา และเสนอชื่อคนหนึ่งขึ้นไป คนนั้นชื่อว่ากู่ลิ่งจือ”
หลิวเอินเข้าใจความหมายที่แอบแฝงอยู่ทันที ก่อนพยักหน้าพูดว่า “ข้าน้อยเข้าใจแล้วขอรับ ความหมายของท่านอ๋องข้าน้อยจะต้องไปบอกคุณชายเฉินเป็นแน่”
“อีกทั้งข้ามีเรื่องอยากให้เจ้าช่วยอีกเรื่องหนึ่ง” ถาวจวินหลันเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วถึงได้เอ่ยปากพูดว่า“ข้าอยากให้เจ้าสร้างข่าวลืออีกครั้ง ครั้งนี้จุดสำคัญคือ พอท่านอ๋องเพิ่งพูดได้ ก็พบเรื่องลอบฆ่าเช่นนี้ และพูดเรื่องการแต่งตั้งชินอ๋องอีกครั้ง”
หลิวเอินนิ่งคิด เข้าใจความหมายของถาวจวินหลันเช่นกัน แต่ก็ไม่กล้ามั่นใจเท่าไรนัก “ความหมายของชายารองก็คืออยากให้คนคิดว่าท่านอ๋องเกือบได้ถูกแต่งตั้งเป็นชินอ๋องจึงถูกคนคอยหวาดระแวงอย่างนั้นหรือขอรับ?”
ถาวจวินหลันพยักหน้า “ตอนนี้พวกข้าอยู่ในวังหลวง กลัวว่าจะมีคนขยับตัวลงมือ ข่าวลือเช่นนี้กลับทำให้คนพวกนั้นที่มีความคิดบุ่มบ่ามเก็บตัวไปได้เล็กน้อย อีกอย่างก็ให้คนเข้าใจว่าท่านอ๋องของพวกเราจริงๆ แล้วได้รับความไม่เป็นธรรมเป็นอย่างมาก”
ฮ่องเต้สงสารหลี่เย่อยู่แล้ว หากได้ยินข่าวลือเช่นนี้คงรู้สึกไม่ดีมากขึ้น ถึงเวลานั้นก็จะเกิดประโยชน์ต่อหลี่เย่เอง
“จะมีคนสงสัยไหมว่าเป็นพวกเรา? อย่างไร…” หลิวเอินสงสัยเล็กน้อย แม้นจะคิดว่าเป็นความคิดที่ดี แต่ก็ยังไม่กล้าผลีผลามไป
ถาวจวินหลันยิ้มเล็กน้อย มีความมั่นใจอยู่เต็มอก “อย่าลืมไปว่าข้าและท่านอ๋องอาศัยอยู่ในวังหลวง อีกอย่างท่านอ๋องถูกลอบทำร้ายก็มีคนเห็นเยอะถึงเพียงนั้น ขุนนางทั้งบู๊บุ๋นก็เห็นกันหมด มีคนเอาไปพูดก็ถือเป็นเรื่องปกติ เจ้าพยายามเอาคำพูดนี้ไปกระจายบริเวณนอกวังก็ได้แล้ว แน่นอนว่าจะต้องระวังเสียหน่อย อย่าให้คนสืบหาร่องรอยได้”
เรื่องเช่นนี้หลิวเอินไม่ได้ทำเป็นครั้งแรก แน่นอนว่าต้องมั่นใจ เขาจึงตกปากรับคำว่า “ชายารองวางใจ ข้าน้อยจะต้องจัดการให้เป็นอย่างดีขอรับ”
ถาวจวินหลันพยักหน้ายิ้ม นางเชื่อมั่นในตัวหลิวเอินเช่นกัน
ตอนที่ 373 แผนการ
พอหลิวเอินกลับไป ถาวจวินหลันก็ไปหาจิ้งหลิง
จิ้งหลิงยังคงเป็นห่วงหลี่เย่มาก พอเห็นถาวจวินหลันก็รีบถามเป็นอย่างแรก
ถาวจวินหลันค่อยๆ ตอบทีละข้อ และปลอบนางอีกด้วย “ท่านอ๋องไม่ได้เป็นอะไรมากแล้ว เพียงแค่ตอนนี้ยังขยับไม่ได้มากเท่าไรนัก”
จิ้งหลิงพยักหน้า และมองไปทางถาวจวินหลัน “ท่านอยู่ในวังหลวงก็ต้องระวังตัวด้วย”
ความเป็นกังวลในสายตาของจิ้งหลิงไม่ใช่เรื่องโกหก ถาวจวินหลันยิ้มพลางมองนาง “ขอบคุณเจ้าที่เตือนข้า ข้าจะต้องระวังเป็นแน่ คนต้องระวังกลับเป็นเจ้าต่างหาก แม้ว่าภายในจวนจะไม่มีเรื่องอะไรมาก แต่ก็ต้องระมัดระวัง โดยเฉพาะกั่วเจี่ยเอ๋อร์ คนอื่นไม่สามารถให้กำเนิดลูกได้ เกรงว่าคงจะฝากความหวังไว้ที่เรื่องนี้”
ที่นางพูดถึงคือถาวจือ ท่าทีของถาวจือที่มีต่อกั่วเจี่ยเอ๋อร์ตอนนั้นเห็นได้ชัดเป็นอย่างมาก แม้จะบอกว่าหลังจากนั้นถาวจือไม่ได้ทำอะไร แต่ก็ยังไม่แน่มิใช่หรือ?
จิ้งหลิงได้ยินเช่นนั้นในสายตาก็ปรากฏความเฉียบคมออกมา “ใครจะกล้ามาทำอะไรลับๆ ล่อๆ ต่อหน้าข้า? ข้าจะต้องเอากลับคืนไปเป็นเท่าตัวแน่”
ถาวจวินหลันเห็นจิ้งหลิงเป็นเช่นนี้ ฉับพลันก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ “อย่างไรนางกำนัลใหญ่ของวังเต๋ออันก็แข็งแกร่งกว่าคนอื่นอยู่ ข้ายังนึกว่าเจ้าทิ้งนิสัยนั้นไปเสียแล้ว แต่ที่จริงแล้วแอบเอาไว้อย่างลึกเท่านั้นเอง เจ้าควรจะแสดงท่าทีเช่นนั้นถึงจะปกป้องตัวเจ้าและกั่วเจี่ยเอ๋อร์ได้ กั่วเจี่ยเอ๋อร์ยังเด็กถึงเพียงนั้น ไม่มีคนคอยดูแลแล้วจะเติบโตอย่างปลอดภัยได้อย่างไร?”
จิ้งหลิงมองถาวจวินหลันนิ่ง แต่กลับลุกขึ้นทำความเคารพ “ข้าไม่รู้ว่าจะต้องทดแทนบุญคุณของท่านในครั้งนี้เช่นไร หากมีอะไรที่ข้าช่วยท่านได้ ท่านเพียงแค่พูดออกมาเท่านั้น”
จนถึงวันนี้หลังจากที่ถาวจวินหลันทำเรื่องเช่นนี้ ในที่สุดจิ้งหลิงก็ถือว่ายอมเอ่ยปากยอมเข้าเป็นฝ่ายเดียวกัน
แม้จะบอกว่านี่เป็นจุดประสงค์ของถาวจวินหลัน แต่อย่างไรก็มีความสัมพันธ์มานานถึงเพียงนี้แล้ว อย่างไรก็ต้องมีความผูกพันอยู่บ้าง นางจึงประคองจิ้งหลิงขึ้นมา ยิ้มและพูดว่า “ข้าเองก็ไม่มีอะไรจะขอ ต่อจากนี้ไปพวกเราช่วยประคับประคองกันก็พอแล้ว ภายในจวนนี้คนที่ข้าเชื่อได้ก็มีเพียงเจ้าเท่านั้น เจ้าดูแลกั่วเจี่ยเอ๋อร์ให้ดี ต่อไปหากมีโอกาสข้าจะกล่อมท่านอ๋องให้เอากั่วเจี่ยเอ๋อร์มาจดเอาไว้ใต้ชื่อของเจ้า ในตอนนี้ข้าไม่คิดอะไรแล้ว เพียงแค่หวังว่าตระกูลถาวของพวกเราจะฟื้นกลับมาอีกครั้ง และซวนเอ๋อร์กับหมิงจูเติบโตได้อย่างแข็งแรงปลอดภัย เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว”
คนเป็นแม่ย่อมมีความคิดเหมือนกัน แม้ว่ากั่วเจี่ยเอ๋อร์จะไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของจิ้งหลิง แต่ภายในช่วงเวลานี้นางมองเห็น ว่าจิ้งหลิงปฏิบัติต่อกั่วเจี่ยเอ๋อร์ด้วยความรักของคนเป็นแม่ ดังนั้นก็ไม่ต่างอะไรจากแม่แท้ๆ
ที่สำคัญที่สุดก็คือ จิ้งหลิงไม่สามารถให้กำเนิดลูกได้ตลอดชีวิต ดังนั้นกั่วเจี่ยเอ๋อร์จึงเป็นความหวังเดียวของนาง
จิ้งหลิงยิ้มน้อยๆ ท่าทีจริงใจไม่มีร่องรอยหลอกลวงแม้แต่น้อย “ข้าเป็นเพียงอนุภรรยาเท่านั้น กั่วเจี่ยเอ๋อร์ถูกจดเอาไว้ใต้ชื่อข้าก็เป็นการลดฐานะให้ต่ำลง ขอแค่เพียงให้ข้าเลี้ยง ข้าก็พอใจแล้ว”
จิ้งหลิงพูดอย่างจริงใจ ถาวจวินหลันเองก็ไม่ได้พูดอะไรอีก แต่ในใจของนางแอบคิดว่าไม่มีทางเป็นอนุภรรยาไปตลอดแน่
แต่หากพูดคำพูดนี้ตอนนี้แน่นอนว่าเร็วเกินไป ดังนั้นนางจึงไม่ได้พูดออกมา
ส่วนเรื่องต่างๆ ภายในจวน ถาวจวินหลันก็กำชับกับจิ้งหลิงอีกรอบ สุดท้ายแล้วก็พูดอีกว่า “เจ้าจะต้องระมัดระวังทางด้านชายารองเจียงสักนิด พบอะไรก็ไม่จำต้องป่าวประกาศ รอข้ากลับมาแล้วค่อยบอกข้า”
ตอนนี้เจียงอวี้เหลียนมีลูกชาย ถาวจวินหลันไม่เชื่อว่าเจียงอวี้เหลียนนิ่งสงบอยู่ได้ ดังนั้นจึงระแวงอยู่ตลอดเวลา และยิ่งยามนี้นางกับหลี่เย่ไม่อยู่ในจวน สำหรับเจียงอวี้เหลียนแล้วถือว่าเป็นโอกาสอันดีที่จะลงมือทำอะไรบางอย่าง
จิ้งหลิงรับคำ ขอให้ถาวจวินหลันวางใจ
ถาวจวินหลันจึงเริ่มเก็บของ เลือกคนที่จะต้องติดตามเข้าไปในวังให้เตรียมพร้อมเข้าวังหลวง
จิ้งหลิงไปส่งถาวจวินหลันถึงหน้าประตู
“เจ้าจะต้องระวังทางถาวจือให้มากเช่นกัน” ถาวจวินหลันกังวลจึงสั่งกำชับออกมาอีกครั้ง ก่อนขึ้นรถม้าสั่งให้ออกเดินทางไปยังวังหลวง
จิ้งหลิงยืนนิ่งอยู่หน้าประตูครู่หนึ่ง ผ่านไปนานก็ถอนหายใจออกมา พูดพึมพำว่า “ไม่เคยคิดมาก่อน ว่าคนที่ข้าเคยโมโหเป็นฟืนเป็นไฟ มาถึงวันนี้กลับมีบุญคุณต่อข้ามากที่สุด”
แต่แม้ในใจจะสับสน แต่เมื่อกลับมาถึงเรือนตนเองแล้วพบกั่วเจี่ยเอ๋อร์ อารมณ์ของนางก็สดชื่นขึ้นมาอีกครั้ง อมยิ้มหยอกล้อกั่วเจี่ยเอ๋อร์ “กั่วเจี่ยเอ๋อร์วางใจ ข้าจะปกป้องเจ้าไม่ให้ใครมาทำร้ายเจ้าเป็นแน่”
บ่าวที่อยู่ข้างๆ ยิ้มพลางพูดขึ้นว่า “หากกั่วเจี่ยเอ๋อร์โตไปแล้วจะต้องตอบแทนอี๋เหนียงให้ดีถึงจะถูก”
จิ้งหลิงยิ้มพลางส่ายหน้า “ไฉนเลยข้าจะหวังถึงสิ่งนี้ จะกตัญญูหรือไม่นั้นก็แล้วแต่” หากไม่มีกั่วเจี่ยเอ๋อร์ วันเวลาของนางคงเข้าสู่ความดำมืดไปแล้ว ไม่มีกั่วเจี่ยเอ๋อร์ทุกวันตกกลางคืนสะดุ้งตื่นและนอนต่อไม่หลับนั้นจะต้องทนผ่านช่วงเวลาเหล่านั้นไปได้อย่างไร?
ความคิดของจิ้งหลิงเป็นอย่างไรไม่จำเป็นต้องพูดถึง ทางด้านถาวจวินหลันพาซวนเอ๋อร์และหมิงจูเข้าวังหลวง ยังไม่ทันได้เข้าไปดูหลี่เย่ ก็ต้องพาไปทำความเคารพไทเฮาที่วังหย่งโซ่วก่อน
อย่างไรซวนเอ๋อร์ก็โตขึ้นมาภายในวังหลวง เมื่อมาถึงวังหย่งโซ่วก็คุ้นเคยเป็นอย่างมาก เหมือนกับปลากระดี่ได้น้ำอย่างไรอย่างนั้น เขาไถลลงมาจากร่างของแม่นมโจวและวิ่งเข้าไปภายในห้องอย่างรวดเร็ว
นางกำนัลที่เฝ้าประตูนั้นไม่มีทางขัดขวางซวนเอ๋อร์ตัวน้อยๆ เป็นแน่ แต่กลับยิ้มร่าเริง “ซวนเอ๋อร์กลับมาแล้ว องค์ไทเฮาคงจะมีความสุขน่าดูเลย”
ถาวจวินหลันเพิ่งถึงหน้าประตู ยังไม่ทันเข้าไปก็ได้ยินเสียงหัวเราะของไทเฮาและหลิวหมัวหมัว พอเข้าไปแล้วกลับเห็นซวนเอ๋อร์เข้าไปนั่งอยู่ข้างไทเฮาแล้ว ในมือถือปีแป๋กำลังกัดอยู่
ทันใดนั้นนางก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ จากนั้นก็หันไปทำความเคารพไทเฮา
มีซวนเอ๋อร์อยู่ ท่าทีของไทเฮาก็ดูเปี่ยมด้วยเมตตาขึ้นเล็กน้อย พอให้ลุกขึ้นแล้วก็มองเลยไปทางแม่นมที่อุ้มหมิงจูอยู่ด้านหลัง ถามว่า “นั่นคือหมิงจูหรือ? ให้ข้ามาดูหน่อยเร็วเข้า”
ซวนเอ๋อร์ก็เข้ามาร่วมวงด้วย “น้องสาว!”
ถาวจวินหลันรับหมิงจูเข้ามา อุ้มไปให้ไทเฮาดู ซวนเอ๋อร์หยิบผลไม้ในมือยื่นไปให้หมิงจู “น้อง กิน”
ตอนนี้หมิงจูถูกกวนจนตื่น ดวงตาดำขลับลืมขึ้นมา เห็นว่ามีคนยื่นของมาให้ตนก็อ้าปากจะกลืนเข้าไปจริงๆ ไทเฮารีบดึงซวนเอ๋อร์เอาไว้ “น้องสาวของเจ้ายังเด็กนัก ยังกินสิ่งนี้ไม่ได้”
และไทเฮาก็หันไปมองหมิงจูอย่างเอ็นดู “เจ้าเด็กคนนี้น่ารักน่าชัง ไม่ร้องไห้โยเยเสียด้วย”
หมิงจูลืมตามองดูไทเฮานิ่ง เห็นว่าไทเฮากำลังพูดกับตนเองอยู่ก็ยิ้มออกมา ไทเฮาย่อมต้องรู้สึกดีใจ จึงรีบหันไปกำชับหลิวหมัวหมัวพร้อมรอยยิ้ม “ข้าจำได้ว่าใน**บนั้นยังมีโซ่อายุยืนอยู่อีกเส้นหนึ่ง เจ้าไปหยิบมาให้หมิงจูเถิด” ตอนแรกนางคิดว่าจะเก็บเอาไว้ให้ลูกชายคนโตจากภรรยาเอกของคังอ๋อง แต่ว่าตอนนี้กลับรอไม่ไหวแล้ว
พอหลิวหมัวหมัวได้ยินเช่นนั้นก็นิ่งอึ้งไป ถามว่า “ใช่อันที่ไทเฮาเคยสวมตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์หรือไม่เพคะ?”
“อืม” ไทเฮารับคำ ยังคงหยอกล้อหมิงจูอยู่เช่นเดิม ซวนเอ๋อร์เองก็เข้าร่วมวงหยอกล้อด้วย ย่าหลานทั้งสองคนมีความสุขเป็นอย่างมาก
ถาวจวินหลันรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แต่กลับไม่ได้เอ่ยปากปฏิเสธออกมา ในเมื่อไทเฮาพูดออกมาแล้วก็ต้องตั้งใจมอบให้หมิงจูจริง หากนางปฏิเสธก็เห็นได้ชัดว่าแสร้งทำ
ฉับพลันนั้นหลิวหมัวหมัวก็ไปหยิบโซ่อายุยืนมา และเอาไปใส่ให้หมิงจู ก่อนหัวเราะออกมา “ไทเฮาเพคะ ทำไมบ่าวถึงคิดว่าหมิงจูมีท่าทีคล้ายกุ้ยเฟยนักเพคะ”
ไทเฮาได้ยินเช่นนั้นก็ตั้งใจพิจารณา และอดพยักหน้าไม่ได้ “คล้ายเล็กน้อย โดยเฉพาะดวงตาคู่นี้ เหมือนกว่าตวนอ๋องเสียอีก”
ถาวจวินหลันคิดว่ากุ้ยเฟยที่ไทเฮาและหลิวหมัวหมัวพูดอยู่ น่าจะเป็นแม่แท้ๆ ของหลี่เย่ใช่หรือไม่? นางรู้สึกมาโดยตลอดว่าดวงตาของหมิงจูเหมือนกับหลี่เย่ แต่กลับคิดไม่ถึงว่าจะเหมือนเสด็จย่าของนางมากกว่า
“ข้าจำได้ว่าใน**บของประทินโฉมที่กุ้ยเฟยเหลือทิ้งเอาไว้ยังเก็บอยู่ที่ข้า” ไทเฮาหรี่ตาคิด ฉับพลันก็พูดเช่นนี้ออกมา
หลิวหมัวหมัวพยักหน้ารับปาก “บ่าวเก็บรักษาเอาไว้เป็นอย่างดีเพคะ”
“ไปเอามาให้หมิงจูพร้อมกันเถิด” ไทเฮายิ้มพลางพูดออกมา “หากกุ้ยเฟยได้เห็นหมิงจูก็จะต้องทำเช่นนี้เป็นแน่ เด็กผู้หญิงมีเครื่องประดับมากเสียหน่อยถึงจะแต่งตัวได้ง่าย อย่างไรทิ้งของไว้ที่นี่ก็สิ้นเปลืองเสียเปล่าๆ”
กุ้ยเฟยไม่มีลูกผู้หญิง ดังนั้นมอบให้หลานสาวก็ถือว่าเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล
แต่ครั้งนี้ถาวจวินหลันกลับลังเลขึ้นมา “หมิงจูยังเล็กนัก ไฉนเลยจะจำเป็นต้องสวมใส่เครื่องประดับเพคะ?”
“อย่างไรก็ต้องโต” ไทเฮากลับไม่ยอมรับคำปฏิเสธ พูดออกมาอย่างหนักแน่น “เอามาให้หมิงจูไม่ได้เอามาให้เจ้า เจ้าเองไม่จำเป็นต้องคิดว่าไม่เหมาะสม คนอื่นไม่กล้าพูดอะไรเป็นแน่”
ถาวจวินหลันพยักหน้ารับคำ จากนั้นก็เอ่ยขอบคุณแทนหมิงจู
“อีกเดี๋ยวหากว่าฮ่องเต้ไปหา ก็ให้ฮ่องเต้ได้ดูเสียหน่อย คิดว่าเขาจะต้องมีความสุขเป็นแน่” ไทเฮากำชับอีกครั้ง สุดท้ายแล้วก็ไล่คนออกไป “เวลาไม่เช้าแล้ว เจ้ากลับไปดูแลตวนอ๋องเถิด ไม่จำเป็นจะต้องมาที่นี่ทุกวัน ปกติฮองเฮาก็สุขภาพไม่ดีอยู่แล้ว เจ้าไปทุกวันก็ถือว่ารบกวน อีกทั้งตอนนี้ที่เจ้าต้องให้ความสำคัญมากที่สุดก็คือการดูแลตวนอ๋อง”
ถาวจวินหลันเข้าใจความหมายขงไทเฮา นี่คือการหาข้ออ้างเพื่อไม่ให้นางไปหาฮองเฮา ในตอนนั้นจึงรับปากอย่างแข็งขัน ในใจเต็มไปด้วยความซาบซึ้ง
ตั้งแต่ที่คิดเข้าใจแล้ว นางก็ไม่มีปฏิกิริยาความเห็นอะไรต่อไทเฮาเหมือนเช่นแต่ก่อน แต่กลับกลายเป็นความเคารพที่มีมากขึ้น
“ไปเถิด ทุกวันตอนกลางวันข้าจะให้คนไปรับซวนเอ๋อร์มาก็แล้วกัน” ไทเฮามองไปทางซวนเอ๋อร์อย่างมีเยื่อใย แล้วจึงพูดเช่นนี้
ถาวจวินหลันไม่มีความคิดเห็นแตกต่างอะไร ทวดให้ความรักความเอ็นดูเหลนถึงเพียงนี้แต่เดิมนั้นก็ไม่ได้เป็นเรื่องที่ควรจะขัดขวาง
เมื่อออกมาจากวังหย่งโซ่ว ถาวจวินหลันก็ตรงไปยังวังรับรองที่พวกเขาอาศัยอยู่ชั่วคราว
หลี่เย่กำลังนั่งเอนตัวอ่านหนังสืออยู่ ซวนเอ๋อร์พุ่งเข้าไปในทันใด พูดออกมาเสียงก้อง “พ่อ!”
หลี่เย่ได้ยินเสียงก็เงยหน้าขึ้นมา ยิ้มสดใสในทันใด รีบพูดว่า “ไอ้! ซวนเอ๋อร์มาแล้ว” ดวงตากลับมองไปยังอ้อมอกของถาวจวินหลัน รอยยิ้มยิ่งกว้างขึ้นไปอีก “รีบเอาหมิงจูมาให้ข้าอุ้มเร็วเข้า ไม่ได้เจอมาสองวันแล้ว”
ถาวจวินหลันมองดูท่าทางรอคอยของหลี่เย่ก็รู้สึกขบขัน แต่ก็ยังทำตามความต้องการของเขา เอาหมิงจูไปวางไว้ข้างเตียงให้เขาดู “ท่านอุ้มไม่ได้ ระวังจะทับบาดแผลเอา ตอนนี้หมิงจูตัวหนักนัก” เมื่อครู่นี้อุ้มมาตลอดทางแขนนางก็เริ่มรู้สึกปวดเสียแล้ว
ตอนแรกหลี่เย่อยากจะอุ้ม เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ไม่กล้าดื้อรั้นอีก เพียงแค่มองลูกสาวของตนเองอย่างพินิจพิจารณา พยักหน้าด้วยความพอใจ “เหมือนจะโตขึ้นมาอีกหน่อยแล้ว”
แม้ว่าหมิงจูจะเป็นเด็กตัวเท่านี้ ในวันๆ หนึ่งมีท่าทีที่แตกต่างกันออกไป แต่ความเปลี่ยนแปลงนั้นก็ไม่ได้ชัดเจนขนาดนั้น ดังนั้นถาวจวินหลันก็ยิ่งกลืนไม่เข้าคายไม่ออก แต่ก็ไม่ไปสนใจ เพียงปล่อยให้หลี่เย่พูดต่อไป นางกลับหันไปรินน้ำแก้วหนึ่ง เรียกให้ซวนเอ๋อร์มาป้อนน้ำให้นาง
พอพักได้สักครู่แล้ว ถาวจวินหลันก็พาคนจากจวนตวนอ๋องไปจัดการให้เรียบร้อย วังรับรองนี้ไม่ถือว่าใหญ่ ในตอนนี้เมื่อซวนเอ๋อร์และหมิงจูมา บวกกับแม่นมและบ่าวรับใช้ที่ตามมาก็แทบจะทำให้วังรับรองเรือนนี้รับแขกเต็มแล้ว
ตอนที่ 374 โกรธแค้น
หลังทานอาหารกลางวัน และแม่นมกล่อมซวนเอ๋อร์นอนแล้ว ถาวจวินหลันก็ให้คนถอยออกไป ส่วนตนเองอยู่ปรนนิบัติหลี่เย่นอนกลางวัน
ด้วยในช่วงเวลาสั้นๆ นั้นยังไม่ง่วงงุน ถาวจวินหลันจึงนั่งอยู่ข้างเตียงนั่งทำงานปักเย็บ ปักไปพลางพูดคุยกับหลี่เย่ไปพลาง
เรื่องที่ไทเฮามอบของให้หมิงจูสองรอบในวันนี้ก็พูดให้หลี่เย่ฟังเช่นเดียวกัน “หมิงจูเหมือนกุ้ยเฟยจริงหรือเพคะ?”
หลี่เย่ยิ้ม “ถ้าจะบอกว่าเหมือนมากก็คงไม่ใช่ แต่ว่าดวงตาเหมือนจริงๆ ไทเฮาประทานของให้ก็ไม่ใช่เพียงเพราะเหมือนอย่างเดียวเท่านั้น แต่เพื่อไว้หน้าหมิงจู และพวกเราก็เท่านั้น”
หรืออาจจะเป็นการตอกย้ำความคิดของเสด็จพ่อที่มีต่อท่านแม่? ความคิดนี้วนเวียนอยู่ในใจของหลี่เย่ สุดท้ายก็ไม่ได้พูดออกมา
ถาวจวินหลันพยักหน้า “คนในจวนตวนอ๋องมาพักอาศัยอยู่ในวังหลวงชั่วคราว อย่างไรก็ไม่สะดวกสบายเหมือนอยู่ที่บ้าน พวกเรายังเอามาลำบากทั้งครอบครัว คงไม่พ้นมีคนเอามาพูดติฉินนินทา ไทเฮาทำเช่นนี้ก็ถือว่าเป็นการช่วยเหลือพวกเราหยุดคำพูดเรื่อยเปื่อย”
“อืม” หลี่เย่รับคำ และพูดอีกว่า “ช่างเป็นโซ่อายุยืนที่มีค่ามากนัก คิดไม่ถึงว่าจะมอบให้หมิงจู” แน่นอนว่าเขาไม่ได้รู้สึกว่าหมิงจูของเขาไม่เหมาะสมกับของมีค่าเช่นนี้ เพียงแค่รู้สึกแปลกประหลาดใจเท่านั้น เขาคิดว่าไทเฮาคงเก็บของบางอย่างเอาไว้ให้ลูกของคังอ๋อง แต่คิดไม่ถึงว่า…
ภายในช่วงเวลาสั้นๆ หลี่เย่ก็สังเกตเห็นงานเย็บปักในมืองของถาวจวินหลัน พอยืดคอขึ้นไปดูจึงเห็นว่าเป็นตั๊กแตนสีมรกตตัวหนึ่ง คาดเดาได้ง่ายดายว่าทำเอาไว้ให้ใคร “เอาไว้ให้ซวนเอ๋อร์หรือ?”
“อืม ฤดูร้อนอากาศร้อนนัก เขามักดึงผ้าห่มออกตลอด ทำผ้าคลุมเอาไว้ให้เขาป้องกันหน้าอกไว้ไม่ให้เป็นหวัด” ถาวจวินหลันยิ้มพลางตอบพลางยื่นให้หลี่เย่ดูไปพลาง “เกรงว่าเขาจะไม่ยอมใส่ก็เลยทำให้น่าดูเสียหน่อย”
“ก่อนหน้านี้ท่านแม่ก็เคยทำของพวกนี้ให้ข้าเช่นกัน” เมื่อคิดถึงแต่ก่อน หลี่เย่ก็หรี่ตาลงเล็กน้อย “ในตอนนั้นท่านแม่ยังคอยกล่อมให้ข้านอนกลางวันอยู่บ่อยๆ แต่ว่าตอนนั้นข้าดื้อนัก ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยอมหลับ”
พอมาถึงตอนหลังเขาอยากจะนอนกลางวันก็ไม่มีใครกล่อมแล้ว เขาอดลอบถอนใจไม่ได้
เป็นครั้งแรกที่หลี่เย่พูดเรื่องท่านแม่ของเขากับตนเอง ถาวจวินหลันกลับรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แต่หลังจากนั้นนางก็ยิ้มออกมา พูดเสียงอ่อนโยนว่า “คนเป็นแม่ล้วนเป็นเช่นนี้ อยากให้ลูกได้สิ่งที่ดีที่สุดเสมอ”
“อืม” หลี่เย่รับคำ น้ำเสียงกดต่ำลง “เวลานั้นท่านแม่ร่างกายแข็งแรงมากนัก หลังจากนั้นข้าเกิดเรื่องขึ้น ท่านแม่เป็นกังวลอย่างมาก นางยอมทำให้ร่างกายของตัวเองแย่ เพื่อดูแลเขา ทำให้ตอนหลังวายชนม์ไปเสียก่อน”
เรื่องนี้ถาวจวินหลันไม่รู้ว่าควรจะพูดเช่นไร ดังนั้นจึงเลือกนิ่งเงียบ นางคิดว่าบางทีหลี่เย่อาจจะอยากได้ผู้ฟังที่นิ่งสงบมากกว่า?
เป็นไปอย่างที่คาดเอาไว้ หลี่เย่พูดต่อไป “ที่จริงแล้วก็ไม่ใช่ทั้งหมด สุขภาพไม่ดีเป็นแค่เหตุผลหนึ่งเท่านั้น แต่ในตอนนั้นเสด็จพ่อเป็นองค์รัชทายาท เสด็จย่าเป็นฮองเฮา ยาบำรุงร่างกายที่ดีๆ ก็ยังคงไม่มี ถ้าจะพูดว่าป่วย ไม่สู้พูดว่าถูกฮองเฮาบีบบังคับ ฮองเฮารู้อยู่แก่ใจ ด้วยความโปรดปรานที่เสด็จพ่อมีต่อท่านแม่นั้น ต่อให้ไม่มีข้าแล้ว ขอแค่เพียงท่านแม่ให้กำเนิดลูกชายอีกคนหนึ่งก็เอาชนะลูกชายของนางได้สบายๆ ดังนั้น…”
ดังนั้นที่ฮองเฮาวางแผนบีบบังคับเอาไว้ทุกอย่าง สุดท้ายแล้วก็ใช้วิธีเช่นนี้ทรมานแม่ผู้ให้กำเนิดของตนจนตายไป สุดท้ายผู้คนต่างพูดกันว่าท่านแม่เป็นหญิงงามอายุสั้น ไม่มีใครพูดความจริงแม้แต่คนเดียว
“ตั้งแต่วินาทีที่ท่านแม่ของข้าจากไป ข้าก็เคียดแค้นฮองเฮาอย่างมาก” น้ำเสียงของหลี่เย่เต็มไปด้วยความอาฆาตแค้น แฝงความเย็นเยียบเอาไว้ “ข้าจะทำให้นางได้ลิ้มรสความเจ็บปวดที่ท่านแม่ได้รับในตอนนั้น!”
ที่เขาไม่ได้พูดก็คือ ตอนนั้นท่านแม่ของเขาตั้งใจปิดบังเรื่องเหล่านี้ไว้ ด้วยเกรงว่าเขาจะโกรธแค้น แต่ในความเป็นจริงแล้วเขารู้หมดทุกอย่าง แต่ด้วยกลัวว่าท่านแม่จะเป็นห่วงถึงได้แสร้งทำเป็นไร้เดียงสา และหลังจากที่ท่านแม่ของเขาเสียชีวิตไปแล้ว เพื่อซ้อนเร้นความสามารถเอาไว้ เขาจึงต้องแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องรู้ราว
ที่จริงแล้วในใจของเขารู้ดีกว่าใคร
“ฮ่องเต้รู้หรือไม่?” จู่ๆ ถาวจวินหลันก็อดถามเช่นนี้ออกมาไม่ได้
หลี่เย่นิ่งไป ก่อนยิ้มเยาะออกมา “ใครจะไปรู้เล่า? อย่างไรสุดท้ายแล้วเขาก็เชื่อว่าท่านแม่ป่วยจนเสียชีวิต แล้วยังคงแต่งตั้งหญิงผู้คนนั้นเป็นฮองเฮา”
ถาวจวินหลันรู้ว่า หลี่เย่จะต้องกล่าวโทษฮ่องเต้เป็นแน่ เพียงแค่ฟังจากน้ำเสียงของหลี่เย่ในใจ นางลังเลอยู่ครู่หนึ่งท้ายสุดก็พูดแก้แทนฮ่องเต้ “บางทีเขาอาจจะไม่รู้ก็เป็นได้นะเพคะ”
ใบหน้าของหลี่เย่ฉายแววเยาะเย้ยในทันใด “แต่ตอนนั้นข้าถูกคนวางยาจนเป็นใบ้ เขาก็รู้อยู่แก่ใจ แต่เพราะว่าตอนนั้นยังจะต้องพึ่งอาศัยเหิงกั๋วกงถึงได้ทำเงียบไม่พูดอะไรออกมาก็เท่านั้น ถ้าไม่ใช่เพราะว่าตำแหน่งสถานะของตนนั้นเลยไม่ยอมที่จะทำผิดต่อเหิงกั๋วกง ลืมตาข้างหนึ่งปิดตาข้างหนึ่งแล้วท่านแม่ของข้าจะถูกบีบบังคับถึงขั้นนั้นได้อย่างไร?”
น่าแค้นที่ในตอนนั้นตระกูลกู้มอบอำนาจคืนไปตั้งนานแล้ว เพื่อปกป้องตนเอง ไม่สามารถเทียบได้กับเหิงกั๋วกงแม้แต่น้อย มิเช่นนั้นท่านแม่ของเขาจะต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนั้นเลยหรืออย่างไร?
ถาวจวินหลันมองสีหน้าบิดเบี้ยวและโกรธแค้นของหลี่เย่ นอกจากเสียงถอนหายใจแล้วก็ทำอะไรอย่างอื่นไม่ได้อีก นางไม่เข้าใจสิ่งที่ผ่านไปในอดีตเลยแม้แต่น้อย แน่นอนว่าพูดตามใจชอบไม่ได้ และยิ่งไม่สามารถเกลี่ยกล่อมหลี่เย่ได้
สิ่งที่นางทำได้ก็เพียงแค่ยื่นมือออกไปจับมือของหลี่เย่เอาไว้ พูดเสียงเบาว่า “ไม่ว่าเช่นไรข้าก็จะยืนอยู่ข้างท่านเสมอ อยู่กับท่าน อดีตอย่างไรก็เป็นอดีต ในตอนนี้ท่านมีข้า มีซวนเอ๋อร์แล้วยังมีหมิงจู ข้าไม่หวังอะไรอย่างอื่นขอแค่เพียงพวกเราทั้งครอบครัวมีความสุขปลอดภัยก็พอแล้ว”
หลี่เย่นิ่งไป ผ่านไปครู่หนึ่งถึงพยักหน้า สุดท้ายก็พูดเหมือนสาบานออกมา “ชีวิตข้านี้ไม่มีทางเหมือนเขาแน่ ข้าไม่มีทางให้คนไปรังแกเจ้า และไม่มีทางทำให้เจ้าได้รับความไม่ยุติธรรมด้วย”
จากที่หลี่เย่ดูแล้ว ีวิตข้านี้ไม่มีทางที่จะัวสามารถผู้ชายคนหนึ่งแม้แต่ภรรยาและลูกของตนยังไม่สามารถปกป้องได้แล้วจะยังทำอะไรได้อีก? ในเมื่อสู่ขอภรรยาเอกเพื่อผลประโยชน์ ถ้าเช่นนั้นก็ไม่ควรให้ผู้หญิงที่ตนเองรักต้องเป็นอนุภรรยา และไม่ควรที่จะเสียสละลูกสาวลูกชายที่รักของตนเพื่อผลประโยชน์
จากที่หลี่เย่ดูแล้ว ท้ายสุดแล้วฮ่องเต้ก็เห็นแก่ตัวมากจนเกินไป ในเวลาเดียวกับตอนที่ขาคิดดูถูกนั้นก็ยิ่งรู้สึกเคียดแค้นดูถูกมากกว่ากว่าเดิม ฮองเฮาน่ารังเกียจ แต่ความเจ็บปวดของเขากลับมีต้นเรื่องครึ่งหนึ่งที่จะต้องคิดจากฮ่องเต้!
เมื่อเห็นว่ายิ่งหลี่เย่พูดก็ยิ่งมีท่าทีนิ่งขรึมมากขึ้น ถาวจวินหลันก็ทนไม่ไหวที่จะให้เขาคิดเรื่องเหล่านี้อีก จึงรีบพูดว่า “ข้าเริ่มง่วงแล้ว ดวงตาก็ล้านัก ไม่สู้ว่าหลับตาพักเสียหน่อย”
หลี่เย่ไม่มีทางปฏิเสธเป็นแน่ แต่ก็ขอร้องอีก “ให้ข้ากอดเจ้านอน”
ตอนแรกถาวจวินหลันคิดจะปฏิเสธ อย่างแรกเพราะว่าอากาศร้อน นอนเบียดกันนั้นทำให้รู้สึกไม่ดี อย่างที่จะสองเพราะว่ากลัวจะกดแผลของเขา แต่เมื่อเหลือบมองท่าทีของหลี่เย่ท้ายสุดก็ใจอ่อนยอมตกลง
ถาวจวินหลันขึ้นไปนอนติดกับเขาบนเตียงอย่างระมัดระวัง พยามหลีกเลี่ยงบาดแผลของเขาแล้วนางถึงได้หลับตาลง พูดเสียงเบาว่า “นอนเถิด นอนหลับไปตื่นขึ้นมาอะไรๆ ก็จะดีขึ้น อารมณ์เหล่านี้ก็เก็บงำเอาไว้เถิดเพคะ” ไม่ว่าอย่างไรอารมณ์เหล่านี้ก็ไม่ควรแสดงออกต่อหน้าฮ่องเต้
แน่นอนว่าหลี่เย่ต้องเข้าใจ แม้ว่าในใจจะรู้สึกไม่ดี แต่สุดท้ายก็พูดตอบรับออกมาเสียงเบา “อืม นอนเถิด”
เรื่องที่หมิงจูได้รับของประทานจากไทเฮาแพร่กระจายไปทั่ววังหลวง ฮองเฮาได้ยินแล้วก็หัวเราะเสียงเย็นออกมา “ยายแก่คนนี้คิดว่าข้าไม่รู้ ว่านางคิดอะไรอยู่อย่างนั้นหรือ? เอาเครื่องประดับเหล่านั้นให้เด็กที่ยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมไปหมายความว่าอะไร? ไม่ใช่ว่าอยากฉวยโอกาสนี้ให้ฮ่องเต้คิดถึงคนชั้นต่ำนั่นขึ้นมาหรืออย่างไร”
สุดท้ายสีหน้าของฮองเฮาก็ปรากฏแววเยียบเย็นออกมา “คนตายไปแล้วจะเอาอะไรมาสู้กับข้า? ลูกชายของนางพูดได้แล้วอย่างไรกัน? ข้ามีวิธีทำให้เขาหุบปากได้อีกครั้ง!”
นางกำนัลที่อยู่ข้างๆ ตกใจจนตัวสั่น เม้มริมฝีปากแน่นไม่กล้าพูดอะไรออกมา กลัวว่าฮองเฮาจะรู้สึกถึงตัวตนของนาง
ฮองเฮาสีหน้าดำคล้ำนั่งคิดอยู่นาน สุดท้ายก็ยิ้มเย็นออกมา ดวงตาเต็มไปด้วยความเคียดแค้น “ให้คังอ๋องเข้าวังหลวงมาสักรอบ”
นางกำนัลรีบตอบรับในทันใด
ในตอนนี้นางกำนัลที่อยู่ด้านนอกรายงานเสียงเบา “พระชายาอี๋บอกว่าร้อนมาก ทำให้อึดอัด อยากจะดื่มน้ำแข็งมากเสียหน่อยเพคะ อยากให้สลักกระถางน้ำแข็งมาวางไว้ในห้องเพคะ”
นิ้วของฮองเฮากำเข้าหากันแน่น เม้มปาก พูดอย่างโมโหว่า “เรื่องเล็กเช่นนี้ยังต้องมาหาข้าหรือ?! นางอยากได้ก็ให้นางไป! ให้นางทำตามใจชอบ หากแท้งลูกไปเมื่อไร นางก็รับกรรมเองแล้วกัน!”
นางกำนัลไม่กล้าพูดอะไรต่อไป นั่งคุกเข่าตัวสั่นอยู่ที่พื้น ฤดูกาลนี้คลังเก็บน้ำแข็งยังไม่เปิด จะไปหาน้ำแข็งมาจากที่ใดกัน? ที่กลับมารายงานเป็นพิเศษก็ด้วยต้องการปรึกษาฮองเฮาว่าจะให้เปิดคลังน้ำแข็งเลยหรือไม่? อีกทั้งหญิงตั้งครรภ์ทานน้ำแข็งมากเกินไปก็จะไม่ดีต่อร่างกาย ถึงเวลานั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาคิดว่าฮองเฮาจะต้องถูกคาดโทษเป็นแน่
แต่ว่าฮองเฮาเป็นเช่นนี้ ไฉนเลยนางกำนัลจะกล้าพูดละเอียด? เพียงแค่ทำตามเท่านั้น คิดว่ารอจนฮองเฮาอารมณ์ดีขึ้นแล้วค่อยกลับมารายงาน
ฮองเฮาหงุดหงิดอารมณ์เสียเป็นอย่างมาก ถอดไข่มุกสวดมนต์ที่อยู่บนข้อมือออกมาสวดมนต์เล็กน้อย แต่กลับไม่เกิดประโยชน์อันใดเลยแม้แต่น้อย ยิ่งหลับหงุดหงิดมากกว่าเดิม จึงเขวี้ยงไข่มุกสวดมนต์ลงพื้นอย่างแรง “ไปให้พ้นหน้าข้า!”
ไข่มุกสวดมนต์ถูกกระแทกอย่างแรง ฉับพลันก็กระจัดกระจายไปทุกทิศทาง
ฮองเฮาก้มหน้ามองไข่มุกสวดมนต์ที่กระจายไปทุกด้าน รู้สึกว่าทำอะไรก็ไม่ได้ดั่งใจ แม้กระทั่งเริ่มปวดศีรษะ จึงอดเอื้อมมือไปนวดหว่างคิ้วเล็กน้อยไม่ได้
สุดท้ายแล้วฮองเฮาก็หัวเราะขมขื่นออกมา พูดพึมพำกับตนเองว่า “ตวนอ๋องช่างโชคดีเสียจริง! มีหลานชายคนโตให้ไม่พอ ตอนนี้ยังมีลูกสาวที่เหมือนกับคนชั้นต่ำที่ตายไปแล้วด้วย!” แต่คังอ๋องยามนี้แม้กระทั่งสมาชิกผู้ชายสักคนก็ยังไม่มี!
ฮองเฮาอดคิดไม่ได้ว่าสวรรค์ไม่ยุติธรรม ยิ้มเย็นออกมา “เพราะอะไร? เพราะอะไรกัน?” ไม่รู้ว่ากำลังถามใครอยู่
ถาวจวินหลันย่อมไม่รู้เรื่องพวกนี้ เมื่อได้ยินว่าหมิงจูได้รับความโปรดปรานจากไทเฮา นอกจากนางจะยิ้มรับแล้วก็ไม่มีปฏิกิริยาอื่นอีก
ต่อให้ได้รับความเอ็นดูแล้วอย่างไร? นี่เป็นเหลนแท้ๆ ของไทเฮามิใช่หรือ?
แต่คำพูดเหล่านี้กลับถูกแพร่สะพัดไปถึงหูของฮ่องเต้ พอได้ยินขันทีเป่าฉวนพูดเรื่องนี้เหมือนเป็นเรื่องสนุก ฮ่องเต้ก็เข้าสู่ภวังค์ความคิดของตนเอง
ขันทีเป่าฉวนดูอยู่ข้างๆ ในใจรู้สึกลังเลเล็กน้อย แต่กลับมีแววคาดหวังแอบแฝงอยู่
พอฮ่องเต้ได้สติกลับมาก็ยิ้มน้อยๆ “ตอนบ่ายข้าจะไปดูเสียหน่อย ถือโอกาสไปทำความเคารพไทเฮาด้วยเลย”
ขันทีเป่าฉวนรีบรับคำ และพูดอีกว่า “วันนี้ไทเฮาทรงพระกรรสะเล็กน้อย หมอหลวงทำปีแป๋ตำราลับเอาไว้ให้พ่ะย่ะค่ะ ไม่สู้ฮ่องเต้เอาไปให้ไทเฮาเองหรือพ่ะย่ะค่ะ? ไทเฮาคงจะดีใจมาก!”
ฮ่องเต้ได้ยินว่าไทเฮาไอ ก็อดถามอย่างเป็นห่วงเล็กน้อยไม่ได้ พอได้ยินว่าไม่เป็นอะไรมากถึงได้วางใจ
ขันทีเป่าฉวนครุ่นคิดอยู่ในใจว่าควรเตือนให้ฮ่องเต้ไปในเวลาใดถึงจะเหมาะสมที่สุด ตอนที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้นก็ได้ยินเสียงพูดคุยดังออกมาจากพระราชฐานใหญ่ พอเหลือบมองฮ่องเต้ที่เริ่มหงุดหงิดเล็กน้อย เขาก็รีบวิ่งไปดูตรงหน้าประตูว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
ตอนที่ 375 หงุดหงิด
ที่อยู่ด้านนอกพระราชฐานนั่นคือพระชายาอี๋ พระชายาอี๋มาส่งน้ำแกงให้กับฮ่องเต้
พอมองดูท้องนูนเด่นและใบหน้าซูบตอบลงของพระชายาอี๋ ขันทีเป่าฉวนก็นิ่งคิดไม่กล้าขวางเอาไว้ จึงเข้าไปรายงานให้ฮ่องเต้ทราบ
ฮ่องเต้คิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็ให้พระชายาอี๋เข้ามา แน่นอนว่าพอพระชายาอี๋เข้ามาแล้ว ฮ่องเต้ก็เหลือบมองท้องที่สูงใหญ่ของพระชายาอี๋วูบหนึ่งก็อารมณ์ดีเป็นอย่างมาก น้ำเสียงอ่อนโยนลงหลายส่วน เหมือนกลัวว่าทำให้ลูกที่อยู่ในท้องของพระชายาอี๋จะกลัวอย่างไรอย่างนั้น “เหตุใดถึงมายามนี้? แดดส่องหัวเช่นนี้เป็นพิษนัก”
พระชายาอี๋ทำความเคารพ แล้วถึงได้ยิ้มตอบว่า “นั่งเกี้ยวมาเพคะ ภายในเกี้ยววางถาดน้ำแข็งเอาไว้ เย็นสบายไม่รู้สึกร้อนเลยสักนิดเพคะ”
ฮ่องเต้กลับไม่เห็นด้วย “อากาศเช่นนี้เหมาะต่อการดูแลครรภ์อยู่ในห้อง” ความหมายนี้เป็นการกล่าวโทษพระชายาอี๋
พระชายาอี๋เปลี่ยนเรื่องพูด ยกถ้วยน้ำแกงขึ้นไปให้ จากนั้นก็ถือโอกาสอยู่รับใช้เบื้องหน้าฮ่องเต้ แต่ดวงตากลับกวาดมองตกไปยังฎีกาที่อยู่ตรงหน้าฮ่องเต้
ฎีกานั้นเป็นฎีกาที่ปลดผู้ว่าเมืองหลวงออก
พระชายาอี๋นิ่งคิด จากนั้นก็ส่งเสียงอ่อนหวาน “ผู้ว่าเมืองหลวงจะถูกปลดเพราะเรื่องของตวนอ๋องหรือเพคะ?”
ฮ่องเต้ชำเลืองตามองอย่างเย็นชา รับคำอย่างไม่ยินดีนัก “อืม” ในใจกลับไม่พอใจที่พระชายาอี๋พูดเรื่องของราชสำนัก แต่เมื่อคิดดูแล้วก็ไม่ได้กล่าวโทษอะไร อย่างแรกด้วยไว้หน้าลูกที่อยู่ในท้องของพระชายาอี๋ อย่างที่สองก็ด้วยอยากรู้ว่าพระชายาอี๋คิดจะทำอะไร เพียงแค่ถามไปอย่างนั้นหรือว่ามีความตั้งใจอื่นแอบแฝงอยู่ด้วย
พระชายาอี๋กลับไม่สังเกตเห็นสายตาลึกล้ำของฮ่องเต้ เพียงแค่สนใจพูดต่อไป “ที่จริงแล้วเรื่องนี้จะไปโทษที่ผู้ว่าเมืองได้อย่างไรเพคะ? ทหารยามของตวนอ๋องก็ไม่ได้ป้องกันเลยหรือเพคะ? จากที่หม่อมฉันดูแล้วไม่สู้ให้ผู้ดูแลคนนั้นทำความดีชดใช้ความผิดจะเหมาะสมที่สุดนะเพคะ”
ฮ่องเต้กำลังดื่มน้ำแกงพลันชะงักกึก ไม่อยากกินต่อไปอีก “จากที่เจ้าว่ามา เท่ากับว่าตวนอ๋องไม่ระวังเองถึงได้รับบาดเจ็บอย่างนั้นหรือ ไม่เกี่ยวข้องกับผู้ว่าเมืองอย่างนั้นหรือ?”
จากน้ำเสียงของฮ่องเต้เหมือนไม่ค่อยพอใจนัก พระชายาอี๋ก็รีบอธิบายเสียงอ่อน “ไม่ได้หมายความเช่นนั้นเพคะ เพียงแค่เรื่องนี้ไม่ใช่สิ่งที่ใครคาดการณ์ได้ ดังนั้นจึงไม่สามารถกล่าวโทษผู้ว่าได้มิใช่หรืออย่างไรเพคะ? อีกทั้งผู้ว่าเมืองก็ระมัดระวังรอบคอบมาโดยตลอด ก่อนหน้านี้ไม่เคยทำอะไรผิด แม้ว่าคราวนี้จะละเลยเกินไปเสียหน่อย แต่ก็ควรให้โอกาสอีกสักครั้งถึงจะถูกนะเพคะ”
“ข้าจำได้ว่าบ้านเดิมของเจ้าและผู้ว่าเมืองไม่ได้มีความสัมพันธ์อันใดต่อกัน เหตุใดเจ้าถึงได้พูดแทนเขาเล่า?” ฮ่องเต้อมยิ้มมองไปยังพระชายาอี๋ พลางถามอย่างไม่ตั้งใจนัก
แต่แม้ว่าฮ่องเต้จะอมยิ้ม แต่สายตาที่แสดงออกอย่างไม่ใส่ใจก็ทำให้พระชายาอี๋อดสั่นสะท้านไม่ได้ อาจด้วยหวาดกลัวจนเกินไป จึงทำให้นางถอยหลังไปก้าวหนึ่ง
แต่ฮ่องเต้กลับไม่ยินยอมให้นางถอยหลังไป ยื่นมือไปจับข้อมือของนางเอาไว้ ใบหน้ายังคงปรากฏรอยยิ้ม “เจ้ากลัวข้าอย่างนั้นหรือ ข้าจำได้ว่าตอนนั้นเจ้าไม่เห็นกลัว กลับมีความกล้าเป็นอย่างมาก?”
พระชายาอี๋ยิ่งตัวสั่นสะท้าน ผ่านไปครู่หนึ่งถึงเค้นคำพูดออกมาได้ประโยคหนึ่ง “หม่อมฉันไม่กลัวฮ่องเต้…” แต่เมื่อพูดคำนี้ก็ต้องขลาดกลัวมากทันที
ฮ่องเต้มองใบหน้าที่ซูบเซียวของพระชายาอี๋อยู่ครู่หนึ่ง ผ่านไปสักพักถึงได้ปล่อยมือ กลับพูดเสียงเย็นว่า “ต่อจากนี้ไปถ้าไม่มีอะไรก็ไม่ต้องมาที่ห้องหนังสืออีก สนมรักไม่จำเป็นต้องไปฟังเรื่องราวภายนอกวัง พักรักษาครรภ์ให้ดีถึงจะถูกต้อง”
พระชายาอี๋ไม่กล้ารั้งตัวอยู่ต่อ รีบขอตัวทูลลาออกไปอย่างรวดเร็ว
ขันทีเป่าฉวนมองอยู่ข้างๆ ตลอดเวลา ในใจนั้นคิดดูถูกพระชายาอี๋ยิ่งนัก แม้ว่าจะโชคดีได้อุ้มเลือดเนื้อเชื้อไขของโอรสสวรรค์ แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่ใช่คนที่ฉลาดเฉลียว หากเป็นเช่นนี้ต่อไป แม้นให้กำเนิดองค์ชายก็คงหนีไม่พ้นชะตาต้องถูกหลอกใช้เป็นแน่
พอมองดูฮ่องเต้ที่อารมณ์ไม่ดีนัก ขันทีเป่าฉวนก็คิดในใจว่า เอาเถิด วันที่ดีไม่สู้วันที่บังเอิญ การที่มานั่งครุ่นคิดว่าจะเตือนฮ่องเต้ตอนไหนไม่สู้เอ่ยปากตอนนี้เลย “ฮ่องเต้พ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้อากาศกำลังร้อน ไม่สู้องค์ท่านไปดับร้อนเสียหน่อยหรือพ่ะย่ะค่ะ? ที่นี่อยู่ไม่ไกลจากตวนอ๋อง ไปดื่มชาสักถ้วยหนึ่งดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ? จะได้ถือโอกาสไปพบคุณชายน้อยซวนเอ๋อร์และคุณหนูหมิงจูด้วย?”
ฮ่องเต้เริ่มคล้อยตาม นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงลุกขึ้นมา “ข้าจำได้ว่าเมื่อครู่นี้เพิ่งมีแตงเทศส่งมาให้กระบุงหนึ่ง เลือกอันที่ใหญ่ๆ สักสองสามอันไปให้ซวนเอ๋อร์ลอง”
ขันทีเป่าฉวนตอบรับอย่างว่องไว ในใจคิดว่า สมแล้วกับที่เป็นหลานคนโต ในใจคงจะต้องคิดถึงอยู่ตลอดแน่
แน่นอนว่าเมื่อคิดถึงซวนเอ๋อร์ที่มีร่างกายอ้วนกลมและใบหน้าที่เหมือนกับภาพวาด ในใจของขันทีเป่าฉวนก็ยินดีเช่นกัน แม้จะบอกว่าเขาเป็นขันที แต่ก็เป็นมนุษย์เช่นกัน มองดูซวนเอ๋อร์ที่มีท่าทีเช่นนั้นก็เอ็นดูเป็นอย่างมาก
ดังนั้นตอนที่เลือกแตงเทศ ขันทีเป่าฉวนก็เลือกอันที่ใหญ่ที่สุด ดีที่สุดในกระบุงไปทั้งหมด
และภายในช่วงเวลาสั้นๆ ฮ่องเต้ก็นำคนขบวนหนึ่งออกเดินทาง
ทางด้านถาวจวินหลันย่อมต้องมีคนมาบอกก่อนแล้ว ดังนั้นพอฮ่องเต้มาถึงก็พอดีกับตอนที่น้ำบ๊วยเย็นถ้วยหนึ่งทำเสร็จพอดี ของว่างเป็นขนมเม็ดบัวเย็น ข้างในใส่กลีบบัวทั้งกลีบเอาไว้ ฝังเอาไว้ในเขนมเย็นที่ใสครึ่งหนึ่ง สวยงามเป็นอย่างมาก
ฮ่องเต้มองดูแล้วรู้สึกเบิกบานใจ เอ่ยชมครั้งหนึ่ง และกำชับอีกว่า “ไปเอาแตงเทศมาหั่นสักลูกหนึ่ง ให้ทุกคนได้ลองชิม”
ยามนี้ซวนเอ๋อร์นั่งอยู่บนตักของฮ่องเต้ ได้ยินเช่นนั้นก็เออออตาม “ลองชิม!”
ฮ่องเต้ยิ้มพลางบิดแก้มของซวนเอ๋อร์ ใช้ช้อนเงินตักน้ำบ๊วยเข้าปากเพื่อลองชิม ซวนเอ๋อร์รออยู่นานมากแล้ว แต่ถาวจวินหลันกลัวว่าเขากินไปแล้วจะท้องเสีย กล้าให้กินแต่ถ้วยที่ไม่ได้ใส่น้ำแข็งเท่านั้น
น้ำบ๊วยไม่ใส่น้ำแข็งนั้นรสชาติกลับไม่สามารถสู้ได้ ซวนเอ๋อร์ก็ไม่ชอบ ดังนั้นจึงยังคงจ้องมองฮ่องเต้ด้วยความรอคอยต่อไป
หลี่เย่อมยิ้มมองอยู่ข้างๆ ไม่เข้าไปขัดขวาง
“หมิงจูเล่า? อุ้มมาให้ข้าดูเสียหน่อย” ฮ่องเต้ไม่กล้าให้ซวนเอ๋อร์กินเยอะ ที่เหลือนั้นตนเองก็จัดการกินเข้าไปทั้งหมด และให้ขันทีเป่าฉวนเก็บถ้วยออกไป พอเห็นซวนเอ๋อร์ทำแก้มพองลมไม่พอใจก็กล่อมเสียงอ่อนโยน “ปู่เอาแตงเทศมา ซวนเอ๋อร์กินนี่ซี”
หลี่เย่เห็นท่าทีของฮ่องเต้ต่อซวนเอ๋อร์พลันคิดถึงเรื่องสมัยยังเด็ก ตอนนั้นเขาเองก็ได้รับความรักความเอ็นดูเช่นกัน แต่เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าความรักความเอ็นดูนี้จะนำเรื่องร้ายแรงมาให้เขา
หากเขารู้ตั้งแต่แรกว่าจะมีผลเช่นนั้นตามมา เขายอมถูกละเลยไปเสียจะดีกว่า
หลี่เย่กุมมือแน่น จากนั้นก็คลายออก หลี่เย่พยายามรักษารอยยิ้มบางๆ อบอุ่นบนใบหน้าเอาไว้ แล้วเก็บความรู้สึกแปลกประหลาดไว้ในก้นบึ้งหัวใจ เขาไม่มีทางซ้ำรอยเดิม ไม่มีทางอย่างแน่นอน
ภายในช่วงเวลาสั้นๆ ขันทีเป่าฉวนก็นำแตงเทศเข้ามา ฮ่องเต้หยิบชิ้นหนึ่งส่งให้หลี่เย่ ยิ้มพลางพูดว่า “ข้าจำได้ว่าเจ้าเองก็ชอบกินของหวาน ซวนเอ๋อร์ก็เป็นเหมือนเจ้า”
หลี่เย่ยิ้มพลางรับไป “เด็กๆ ล้วนชอบกินของหวานทั้งนั้นพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้พยักหน้าหัวเราะ “ก็ใช่ ข้าจำได้ว่าเจ้าเจ็ดเองก็ชอบกินหวาน”
หยุดไปครู่หนึ่ง ฮ่องเต้ก็พูดขึ้นอีกว่า “ข้าจำได้ว่าเจ้ากับเจ้าเจ็ดสนิทกันทีเดียว ช่วงนี้ได้มาบ้างหรือไม่?”
หลี่เย่ส่ายหน้า “อาจด้วยการบ้านเยอะ หาเวลามาไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ”
ท่าทีของฮ่องเต้เปลี่ยนแปลงไปทันที แต่ก็กลับมายิ้มและพูดเรื่องอื่นอย่างรวดเร็ว
จากนั้นหมิงจูก็ถูกอุ้มเข้ามา ด้วยฮ่องเต้อยากเห็นหมิงจู จึงตั้งใจปลุกหมิงจูให้ตื่น ป้อนนม และปัสสาวะก่อนอุ้มมา
ฮ่องเต้อุ้มซวนเอ๋อร์เอาไว้ ดังนั้นจึงไม่ได้รู้สึกแปลกหน้าเท่าไรนัก ก่อนรับหมิงจูเข้ามาในอ้อมกอดพลางก้มมองดู
แต่เดิมหมิงจูก็ไม่กลัวคนแปลกหน้า เมื่อถูกฮ่องเต้อุ้มเอาไว้ก็ไม่ร้องไห้ เพียงแค่ลืมตากลมโตสีดำจ้องมองฮ่องเต้
ซวนเอ๋อร์โถมเข้ามาดึงมืออวบอ้วนของหมิงจูเอาไว้ อาจด้วยรู้สึกคัน หมิงจูจึงหัวเราะออกมา ดวงตาก็หรี่ลง ราวกับเสี้ยวพระจันทร์
ฮ่องเต้มองนิ่ง จ้องเขม็งไปยังดวงตาของหมิงจู อดพึมพำออกมาไม่ได้ว่า “เหมือนจริงๆ ด้วย”
หลี่เย่ได้ยินชัดเจน มือของเขากำแน่น สุดท้ายก็ทำเป็นไม่ได้ยิน เขารู้ว่าฮ่องเต้พูดถึงใคร
อาจด้วยฮ่องเต้มองอยู่ตลอด หมิงจูจึงร้องไห้ออกมา ฮ่องเต้พลันได้สติกลับคืนมา ฉับพลันก็หันไปมองหลี่เย่ตามสันชาตญาณ ก่อนรีบส่งหมิงจูให้แม่นม
ตลอดเวลาช่วงบ่ายผ่านไปอย่างรวดเร็ว อาหารเย็นฮ่องเต้ก็อยู่ที่นี่ และใช้เวลากับซวนเอ๋อร์อยู่สักพักใหญ่
สุดท้ายตอนที่จะกลับไปนั้น อารมณ์ของฮ่องเต้ก็ถือค่อนข้างดีทีเดียว
พอฮ่องเต้เสด็จกลับไปแล้วถาวจวินหลันถึงได้พูดคุยกับหลี่เย่ “วันนี้ฮ่องเต้อยู่ด้วยนานเพียงนี้ เกรงว่าไม่ทันถึงวันพรุ่งนี้คงจะมีเรื่องพูดคุยกันในวังเป็นแน่ แต่พูดไปแล้ว ฮ่องเต้ว่างถึงเพียงนี้จริงหรือเพคะ? จากที่ข้าดูแล้ว เหมือนว่าตอนที่มาอารมณ์ก็ไม่ค่อยดีเท่าไร”
หลี่เย่หลุบตาลง “คิดว่าคงเป็นเรื่องเกี่ยวกับราชสำนัก” ส่วนทำไมถึงมาที่นี่ก็คงเป็นเพราะว่าต้องการมาเพื่อให้สบายใจเท่านั้น ไปที่อื่นไม่ได้รู้สึกเป็นตัวของตัวเองได้เท่ามาหาตนเองที่นี่
“ต่อจากนี้ก็ไม่จำเป็นต้องมานั่งเหน็ดเหนื่อยกับของว่างเช่นนี้อีกแล้ว ในวังหลวงมีเรื่องที่ทำไม่ได้ด้วยหรือ?” หลี่เย่ไม่อยากให้ถาวจวินหลันต้องยุ่งวุ่นวายเพื่อรับใช้ทุกครั้งที่ฮ่องเต้มา จึงพูดออกมาเนิบๆ ว่า “หากเขามาทุกวัน เจ้าก็คงกลายเป็นเช่นนี้ทุกวันมิใช่หรือไร? อีกอย่างในเมื่อเป็นครอบครัวเดียวกัน ยิ่งไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้”
ถาวจวินหลันเห็นว่าเขาไม่พอใจ จึงยิ้มและพูดว่า “หลักๆ ก็ด้วยอยากให้ท่านลองชิม ปกติแล้วท่านไม่อยู่ที่จวน ข้าเองก็ไม่มีเวลามาทำเรื่องเช่นนี้ ในตอนนี้ว่างแล้วไม่ทำเรื่องนี้จะให้ทำอะไรเล่า?”
หลี่เย่ถึงได้รู้สึกพอใจ และพูดขึ้นว่า “และก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเอามาให้เขาชิม”
ถาวจวินหลันแอบหัวเราะอยู่ในใจคิดว่าเขาขี้เหนียว พลางกล่อมเสียงอ่อนโยน “ไม่ว่าอย่างไรก็ทำของไว้เยอะ เอามาให้ทุกคนชิมทั่วกันก็ถือว่าเป็นเรื่องสมควร อีกทั้งพระองค์เองก็ดีกับซวนเอ๋อร์อย่างมาก”
จำต้องพูดว่าฮ่องเต้ดีต่อซวนเอ๋อร์อย่างมาก ซวนเอ๋อร์คิดว่าแตงเทศอันนั้นอร่อย คนเดียวกินไปกว่าครึ่งอัน แตงเทศใหญ่ที่สุดก็มีขนาดเท่าหม้อดินเท่านั้น และเมื่อเอาเปลือกออกไปก็เหลือไม่เท่าไรแล้ว
ด้วยเหตุนี้ฮ่องเต้นยังกำชับขันทีเป่าฉวนให้ส่งแตงเทศทั้งหมดมา ถ้าไม่ใช่เพราะว่าขันทีเป่าฉวนเตือน เกรงว่าทางด้านไทเฮาคงไม่ได้ชิมเป็นแน่
แน่นอนว่าเช่นนี้ก็เป็นการเรียกกระแสความสงสัยให้ซวนเอ๋อร์และหลี่เย่ ก่อนหน้านี้หลี่เย่พูดไม่ได้ก็ช่างเถิด แต่ตอนนี้…เกรงว่าในใจของคนจำนวนมากคงรู้สึกต่างกันไปเป็นแน่
อย่างเช่นฮองเอาและคังอ๋อง
ถาวจวินหลันถอนหายใจออกมา หัวเราะขมขื่น “ต่อจากนี้จะเพิ่มบ่าวรับใช้ที่คล่องแคล่วให้ซวนเอ๋อร์อีกสองคน จับตามองให้เยอะเสียหน่อย”
“ไม่มีปัญหา คราวนี้จวนคังอ๋องคงจะต้องให้กำเนิดลูกชายเป็นแน่ ถึงตอนนั้นก็คงดี” เมื่อคิดถึงภาพสถานการณ์ยุ่งวุ่นวายของจวนคังอ๋อง หลี่เย่ก็หัวเราะเสียงเย็น “หวังว่าพระชายาคังอ๋องจะเปี่ยมด้วยคุณธรรมและน้ำใจเหมือนที่แสดงออกมา”
ถาวจวินหลันฟังหลี่เย่พูดเช่นนี้ ก็รู้สึกกว่าจวนคังอ๋องจะต้องเกิดอะไรขึ้นเป็นแน่?
ตอนที่ 376 อิงผิน
วันนี้ตอนบ่าย อิงผินว่างไม่มีอะไรทำจึงได้มาหาถาวจวินหลันเพื่อพูดคุย
พอดีว่าวังรับรองแห่งนี้มีศาลากลางน้ำ อากาศร้อนเช่นนี้ไปนั่งอยู่ข้างในนั้นถือว่าเย็นสบายอย่างมาก ดังนั้นถาวจวินหลันจึงนั่งอยู่ภายในศาลากลางน้ำ ตั้งถาดผลไม้และของว่างแกล้มน้ำชาต้อนรับอิงผิน
ศาลากลางน้ำถูกสร้างเอาไว้อย่างง่ายดาย เพียงแค่ต้องการน้ำที่มีการระบายได้ดีเท่านี้ก็เพียงพอ ใช้น้ำไผ่เอามาเป็นท่อน้ำ นำน้ำที่ผ่านการระบายมาแล้วดูดมายังด้านบนของศาลา ให้น้ำไหลลงมาจากหลังคาของศาลากลางน้ำ เหลือเพียงแค่ด้านเดียวที่ให้คนเดินเข้าไป ที่เหลือทั้งสามด้านนั้นก็เท่ากับว่าใช้ม่านน้ำให้ไหลลงมา ทั้งสามารถลดอุณหภูมิได้ และยังสามารถบดบังสถานการณ์ภายในศาลาไม่ให้คนอื่นเห็นได้อีกด้วย
เพื่อที่จะบังแดด ช่างฝีมือภายในวังหลวงนั้นก็เอาพลูด่างหลายหระถางไปประดับไว้บนหลังคา กิ่งก้านของพลูด่างนั้นเลื้อยลงมา ถูกม่านน้ำซัดสาดจนกลายเป็นสีเขียวมรกตใส ส่งประกายแวววับ ทั้งสวยงามและยังเกิดผลประโยชน์ใช้ได้จริงอีกด้วย
ศาลากลางน้ำเช่นนี้ต่อให้เป็นช่วงบ่ายที่ร้อนที่สุดก็ยังเย็นสบายอย่างมาก แล้วยังมีเสียงน้ำหยดของม่านน้ำที่เหมือนกับบทเพลงตามธรรมชาติอีกด้วย
อิงผินยิ้มพลางเอ่ยชมออกมา “ข้าไม่เคยรู้ว่าภายในวังหลวงจะมีศาลาเช่นนี้ด้วย พูดไปแล้ว นี่ถือเป็นที่ที่ดี ฮ่องเต้ช่างเอ็นดูตวนอ๋องเสียจริง ถึงได้มอบวังแห่งนี้ให้”
ถาวจวินหลันยิ้มเยาะ “น่าเสียดายที่ตวนอ๋องไม่ได้เพลิดเพลินไปกับสิ่งเหล่านี้”
อิงผินได้ยินเช่นนี้ทันใดนั้นรอยยิ้มที่อยู่บนใบหน้าก็เริ่มซีดลง ถอนหายใจออกมาเบาๆ “ใครจะคิดว่าจะเกิดเรื่องพรรคนี้ขึ้น แต่เดิมข้าคิดว่าตวนอ๋องจะต้องสืบหาความเป็นจริงได้อย่างแน่นอน”
“เรื่องราวจะต้องน้ำลดตอผุดอย่างแน่นอน” ถาวจวินหลันถอนหายใจออกมา จิบชาดอกไม้ “องค์หญิงแปดไม่มีทางต้องสูญเสียลูกคนนี้ไปอย่างเสียเปล่าเป็นแน่ แม้ว่าตอนนี้ท่านอ๋องจะได้รับบาดเจ็บ แต่ก็ยังมีคนอื่นคอยช่วยสืบเรื่องนี้อยู่”
อิงผินเองก็ชิมชาอึกหนึ่งเช่นกัน จากนั้นก็ยิ้มและส่ายหน้า “วันนี้ข้ามาหาเจ้าไม่ใช่เพราะจะมาพูดเรื่องนี้ ในใจของข้าเข้าใจดีว่าเรื่องนี้จะต้องมีคนชดใช้เป็นแน่ ที่จริงแล้วที่มาในวันนี้นั้นก็เพราะว่าข้าได้ยินเรื่องหนึ่งมา”
ถาวจวินหลันรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย จากนั้นก็มองไปยังอิงผินรอนางเอ่ยพูดต่อไป
อิงผินยิ้มพลางพูดว่า “เจ้าไม่รู้ว่าสองวันก่อนนี้จู่ๆ ฮ่องเต้ก็สั่งสอนพระชายาอี๋ สั่งให้พระชายาอี๋พักรักษาครรภ์อยู่ที่วังของตนเอง”
คราวนี้ถาวจวินหลันอดเลิกคิ้วไม่ได้ “เช่นนั้นหรือ? ฮ่องเต้โปรดปรานพระชายาอี๋มาตลอดมิใช่หรือเจ้าคะ?”
“เจ้าเองก็รู้อยู่” รอยยิ้มของอิงผินนั้นยิ่งลึกล้ำมากกว่าเดิม “ก็ด้วยเหตุนี้ ถึงได้ทำให้คนรู้สึกแปลกใจอย่างไรเล่า ที่น่าแปลกไปกว่านั้นก็คือพระชายาอี๋เพิ่งไปพบฮองเฮา ตอนบ่ายก็ไปพบฮ่องเต้ จากนั้นก็ถูกสั่งให้อยู่ในวังพักรักษาครรภ์”
ความหมายของคำพูดนี้เห็นได้ชัดเป็นอย่างมาก ถาวจวินหลันใจกระตุก พูดออกมาอย่างอดไม่ได้ “ท่านจะบอกว่าเรื่องนี้มีความเกี่ยวข้องกับฮองเฮาหรือเจ้าคะ?”
“และก่อนหน้านี้ฮองเฮาก็เพิ่งพบพระชายาคังอ๋อง” ใบหน้าของอิงผินมีรอยยิ้ม จากนั้นก็กดเสียงต่ำลง “สองวันมานี้มีคนไม่น้อยที่เสนอฎีกาให้ปลดผู้ว่าเมืองหลวงออก”
พอพูดจบถาวจวินหลันก็เข้าใจในทันใด “พระชายาอี๋ไปพูดออกหน้าแทนผู้ว่าเมืองหลวง”
อิงผินหยิบองุ่นฉ่ำน้ำชิ้นหนึ่งออกมา จากนั้นก็ค่อยๆ ปอกเปลือกออกให้กลายเป็นเหมือนกลีบดอกบัว มองดูแล้วพลิ้วบางอย่างไม่มีที่เปรียบ
จากนั้นถาวจวินหลันก็หยิบองุ่นขึ้นมาปอกเช่นเดียวกัน
“ฮองเฮาดูแล้วไม่ชอบพระชายาอี๋” องุ่นค่อนข้างเปรี้ยว ถาวจวินหลันเข็ดฟันจนหรี่ตาลง จากนั้นก็เอ่ยปากพูดขึ้นมาอีก “วังในไม่ข้องเกี่ยวกับราชสำนัก พระชายาอี๋ทำเช่นนี้ก็ไม่ต่างจากการยุ่งไม่เข้าเรื่อง ฮ่องเต้จะต้องไม่ชอบใจเป็นแน่”
อิงผินพยักหน้า “เปลี่ยนเป็นคนอื่นก็คงไม่ชอบเช่นเดียวกัน”
ดังนั้นหากฮองเฮาให้พระชายาอี๋ทำเรื่องนี้จริง ถ้าเช่นนั้นก็ต้องเป็นเพราะว่าฮองเฮาต้องการขุดหลุมฝังพระชาอี๋เฟยเป็นแน่ ส่วนจุดประสงค์นั้นอาจจะเป็นเพราะว่าอยากให้ฮ่องเต้รังเกียจพระชายาอี๋?
“ข้าคิดว่าพระชายาอี๋และฮองเฮาจะเป็นพันธมิตรกันเสียอีก” ถาวจวินหลันหัวเราะออกมา แฝงแววเยาะเย้ยเล็กน้อย
อิงผินเองก็ยิ้มเยาะเช่นกัน “เป็นถึงฮองเฮาแล้วยังจะต้องการพันธมิตรอีกหรือ? อย่างมากก็เพียงต้องการให้พระชายาอี๋มาสวามิภักดิ์ก็เท่านั้น”
สวามิภักดิ์อย่างนั้นหรือ? ถาวจวินหลันเลิกคิ้ว แต่ก็รู้สึกว่าไม่เหมือน ท่าทีของพระชายาอี๋นั้นมองดูแล้วไม่เหมือนคนที่จะภักดีต่อฮองเฮา อีกอย่างตอนนั้นฮองเฮาก็โมโหจนล้มป่วย และจะตอบรับความเป็นมิตรของพระชายาอี๋ได้ง่ายดายหรือ?
“พูดไปแล้ว ท้องของพระชายาอี๋ดูใหญ่กว่าหญิงตั้งครรภ์ทั่วไป” จู่ๆ ถาวจวินหลันก็คิดเรื่องนี้ขึ้นมา หัวเราะและถามขึ้นว่า “หรือว่าจะตั้งครรภ์แฝด?”
ที่จริงแล้วอิงผินก็สงสัยเรื่องนี้อยู่เช่นกัน เมื่อถาวจวินหลันถามเช่นนี้ก็ยิ่งรู้สึกสงสัยมากขึ้น “นี่จะเป็นไปได้อย่างไร? หากเป็นฝาแฝดเหตุใดหมอหลวงถึงตรวจไม่พบเล่า? หากตั้งครรภ์แฝดเกรงว่าฐานะของพระชายาอี๋คงจะยกสูงขึ้นเป็นแน่”
ถาวจวินหลันพยักหน้า “นั่นก็ถูก”
“สุขภาพขององค์หญิงแปดดีขึ้นแล้ว” อิงผินเปลี่ยนเรื่องคุย “องค์หญิงเก้าแวะไปเยี่ยมนางสองสามครั้ง ได้ยินว่าอาการบาดเจ็บของสามีองค์หญิงเก้าก็เหมือนจะดีขึ้นแล้วเช่นกัน”
นี่อาจจะเป็นเรื่องที่ถาวจวินหลันอยากได้ยินมากที่สุดแล้ว นางจึงมองไปยังอิงผินอย่างซาบซึ้ง แน่นอนว่านางต้องรู้อย่างชัดเจนว่าอิงผินตั้งใจพูดให้นางฟัง
อิงผินยิ้ม “พอเจ้าออกจากวังหลวงไป ก็เป็นห่วงใส่ใจและปลอบประโลมองค์หญิงแปดแทนข้าให้มากเสียหน่อย”
แน่นอนว่าถาวจวินหลันต้องตอบตกลง
จากนั้นทั้งสองคนก็คุยเรื่องสัพเพเหระอยู่ครู่หนึ่ง และช่วงบ่ายก็ผ่านไปเช่นนี้
หลังจากวันนั้นเป็นต้นมาเวลาที่อิงผินว่างไม่มีอะไรทำก็ชอบมาหานางเพื่อพูดคุย อิงผินเคยกล่าวไว้ว่า “วันเวลาในวังหลวงยิ่งผ่านไปแต่ละวันได้ยากมากยิ่งขึ้น ไม่ทำเรื่องเพื่อฆ่าเวลาแล้วจะใช้ชีวิตอย่างไร?”
มีครั้งหนึ่งที่ฮ่องเต้มาเร็ว แล้วยังบังเอิญพบอิงผิน แต่อิงผินไม่ได้มีท่าทีจะเชื้อเชิญหรือเรียกร้องความโปรดปรานหรืออย่างไร หลังจากทำความเคารพแล้วก็รีบจากไปอย่างรวดเร็ว ท่าทีเช่นนั้นเหมือนว่าไม่ได้เก็บฮ่องเต้ไปใส่ใจเลยแม้แต่น้อย ถ้าจะพูดว่าฮ่องเต้เป็นเจ้านายของนางก็ไม่สู้พูดว่าเป็นคนแปลกหน้า
อย่างไรเมื่อมองไปแล้ว นางก็รู้สึกว่าทั้งสองคนนี้ไม่เหมือนคนที่มีลูกสาวร่วมกันคนหนึ่งเลยแม้แต่น้อย
แต่ผู้หญิงของฮ่องเต้เยอะเกินไป เกรงว่าคนที่เหมือนกับอิงผินก็คงมีอีกไม่น้อย แต่เมื่อถาวจวินหลันมองแล้วก็ยังรู้สึกแปลกอยู่เสมอ
ตกกลางคืนถาวจวินหลันพูดเรื่องนี้กับหลี่เย่ หลี่เย่กลับเห็นเป็นเรื่องปกติ “ก็ไม่มีอะไรแปลก อย่างไรอิงผินก็ให้กำเนิดและเลี้ยงดูองค์หญิงแปดมา ภายในวังในนี้ส่วนมากแล้วก็ได้พบหน้าเสด็จพ่อเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น มีบางคนที่ยังไม่เคยได้พบเลยสักครั้งด้วยซ้ำ”
แม้ว่าถาวจวินหลันจะเคยได้ยินคนพูดเรื่องนี้มาก่อน แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอิงผินหรือว่าอย่างไร วันนี้เมื่อได้ยินคำพูดนี้ก็รู้สึกแปลกอย่างมาก จนนางตัวสั่นขึ้นเล็กน้อย
หากตลอดชีวิตนี้ยังไม่เคยได้พบฮ่องเต้ แบบนั้นจะน่าสงสารมากเพียงใด?
“แต่อิงผินก็ถือว่าเป็นคนปล่อยวาง” หลี่เย่พูดเนิบๆ “ท้ายสุดลูกสาวของขุนนางฝ่ายบู๊กับลูกสาวของคนธรรมดาก็ไม่เหมือนกัน ในตอนนั้นหลัง พอมีองค์หญิงแปดแล้ว เสด็จพ่อก็ไม่ค่อยได้ไปหาอิงผินอีก”
แน่นอนว่าอิงผินเองก็ให้ความร่วมมือด้วยดี เสด็จพ่อยุ่งขนาดนั้นไม่ยอมเอาความคิดไปเสียเวลากับผู้หญิงก็ถือเป็นเรื่องสมเหตุสมผล
“แต่อิงผินก็เป็นคนที่มีความสามารถ ไม่เพียงสามารถเลี้ยงองค์หญิงแปดได้อย่างปลอดภัย แล้วยังหาคู่สมรสที่สมใจอยากให้องค์หญิงแปดได้อีก” หลี่เย่ยิ้ม น้ำเสียงมีแววชื่นชมอย่างหาได้ยาก “เจ้าสนิทสนมกับนางให้มากเสียหน่อยก็ไม่ได้มีผลเสียอันใด”
ถาวจวินหลันยิ้มรับคำ “ข้าดูแล้วว่าอิงผินเป็นคนใช้ได้ ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น คิดแล้วตัวตนขององค์หญิงแปดคงไม่ได้แตกต่างไปจากอิงผินนัก ข้าดูแล้วนางก็มีสายข่าวที่ว่องไวมากทีเดียว”
“อิงผินเป็นคนมีสายสัมพันธ์ดี” หลี่เย่พยักหน้า
เช่นนั้นถาวจวินหลันและอิงผินถึงได้ไปมาหาสู่กันบ่อยมากยิ่งขึ้น
และในขณะเดียวกันฮ่องเต้ก็เริ่มโปรดปรานหมิงจูมากขึ้น แม้ว่าหมิงจูจะยังเด็ก แต่ก็ไม่สามารถขัดขวางความเอ็นดูหลากหลายรูปแบบที่ฮ่องเต้มีต่อหมิงจูได้
เปลของหมิงจูทำมาจากไม้ประดู่สงบจิตที่ดีที่สุด ข้างบนยังฝังอัญมณีนำโชคแปดชนิด และยังมีม่านมุกที่ทำมาจากไข่มุกจำนวนนับไม่ถ้วนที่เอามาร้อยเข้าด้วยกัน เอามาทำเป็นกระดิ่งลมให้กับหมิงจู
เสื้อผ้าของหมิงจูนั้นใช้เป็นชุดที่อ่อนนุ่มมากที่สุด และผ้าที่เย็นสบายแนบไปกับผิว ของทั้งสองอย่างนี้ไม่ว่าจะเป็นแบบไหนก็ล้วนเป็นของล้ำค่าทั้งนั้น ต่อให้เป็นทางด้านฮองเฮาทุกปีก็ไม่ได้มีของบรรณาการส่งเข้ามาเยอะถึงเพียงนี้ และในความเป็นจริงแล้วปีนี้เกรงว่าของที่ส่งมาบรรณาการทั้งหมดคงเอามาใช้กับหมิงจูหมดแล้ว
ความเอ็นดูเช่นนี้ต่อให้เป็นองค์หญิงก็ไม่สามารถเทียบได้ และในความเป็นจริงฮ่องเต้เองก็เคยพูดกับหลี่เย่มาก่อนเรื่องที่ตั้งใจจะแต่งตั้งหมิงจู
จากฐานะของหลี่เย่ แม้ว่าหมิงจูจะถูกแต่งตั้งก็เห็นได้ชัดว่าไม่พ้นเป็นได้แค่เพียงท่านหญิงเท่านั้น แต่ความหมายของฮ่องเต้กลับต้องการแต่งตั้งเป็นองค์หญิง
นี่เห็นได้ชัดว่าไม่สมเหตุสมผล
ยังดีที่หลี่เย่ปฏิเสธอย่างแข็งขัน ไม่รู้ว่าพ่อลูกพูดอย่างไรกัน แต่ฮ่องเต้ก็ไม่ได้ยึดมั่นความคิดนั้นต่อไป
หากเรื่องนี้เป็นจริง นางกล้าพูดว่าจวนตวนอ๋องจะต้องกลายเป็นจุดสนใจอย่างแน่นอน แต่ก่อนหน้านั้นหลี่เย่จะต้องมีชื่อเสียงกระจายออกไปก่อน แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะตัวของหลี่เย่เอง แต่เป็นเพราะว่าหลี่เย่มีลูกสาวที่เป็นอภิชาตบุตรี และยังได้รับความสำคัญจากฮ่องเต้
แน่นอนว่าสำหรับหมิงจูแล้วก็ไม่ใช่เรื่องดีอะไร
ส่วนเหตุผลที่ทำไมฮ่องเต้ถึงได้โปรดปรานหมิงจูถึงเพียงนี้ ในใจของถาวจวินหลันนั้นรู้อยู่ เพราะเหตุผลที่น่าขันเพียงเหตุผลเดียวเท่านั้น หมิงจูหน้าตาคล้ายกับย่าของนางเป็นอย่างมาก
ถาวจวินหลันถึงกับรู้สึกเย้ยหยัน หากใส่ใจกุ้ยเฟยในตอนนั้นจริง ฮ่องเต้ก็ควรที่จะป้องกุ้ยเฟยให้ดี ไม่ใช่ว่าเอาความรู้สึกทั้งหมดมาฝากฝังไว้ที่ร่างของเด็กน้อยคนนี้ในวันนี้ นี่ช่างน่าขันเกินไป หลังจากที่ทำให้กุ้ยเฟยต้องลาจากโลกนี้ไปแล้ว อันั้นนที่จริงฮ่องเต้ก็สูญเสียคุณสมบัตินี้ไปแล้วไม่ใช่หรืออย่างไร? ทำเรื่องเช่นนี้อีกก็เพียงแค่ทำให้คนรู้สึกโศกเศร้า ขบขัน และสมเพชยิ่งขึ้นเท่านั้น
แน่นอนว่ายังมีคนรู้สึกนึกแค้น อย่างเช่นหลี่เย่
นางที่เป็นคนนอกยังรู้สึกเช่นนี้ ไม่ต้องพูดถึงหลี่เย่ที่ต้องมองแม่ของตัวเองจากโลกนี้ไปกับตา
ถาวจวินหลันรู้สึกว่าบางทีชีวิตนี้หลี่เย่ไม่มีทางให้อภัยฮ่องเต้ บิดาของตนเองคนนี้ แน่นอนว่าถ้าหากเป็นนางก็อาจจะเป็นเช่นนี้เหมือนกัน อย่างไรฮ่องเต้ก็ไม่ได้ถือว่าเป็นพ่อที่ดีอะไร
เพียงพริบตาเดียวเวลาก็ผ่านไปสิบกว่าวัน ถาวจวินหลันจึงครุ่นคิดเรื่องกลับจวน
หลี่เย่เองก็ไม่ยินยอมอยู่นานเช่นเดียวกัน
แต่ถาวจวินหลันกลับคิดกังวลใจ จากความเอ็นดูที่ฮ่องเต้มีต่อหมิงจูแล้ว จะเสนอเรื่องที่ให้หมิงจูอยู่ในวังต่อไปหรือไม่? ย่างไรแล้วซวนเอ๋อร์เองก็โตขึ้นมาจากในวังเช่นเดียวกัน เมื่อมีตัวอย่างเช่นนี้แล้ว ขอเพียงแค่ฮ่องเต้ยินยอมนางเองก็หาเหตุผลมาปฏิเสธไม่ได้
ตอนที่นางแอบรู้สึกเป็นกังวลนั่นเอง วันนี้อิงผินกลับพูดเรื่องข่าวลือนอกวังหลวงขึ้นมา “ตอนนี้มีคนจำนวนไม่น้อยที่รู้สึกไม่ยุติธรรมแทนท่านอ๋อง แม้ว่าจะไม่ได้แสดงออกมาอย่างชัดเจน แต่การแพร่กระจายมาถึงหูของฮ่องเต้ก็เป็นเรื่องเร็วๆ นี้อย่างแน่นอน”
ตอนที่ 377 ชดเชย
ข่าวลือที่ตอนแรกให้หลิวเอินกระจายออกไปนั้น ในตอนนี้ได้เกิดผลตามมาแล้ว
จู่ๆ ถาวจวินหลันก็รู้สึกพอใจขึ้นมาเล็กน้อย แต่เพื่อไม่ให้อิงผินสงสัยนางจึงได้แสดงท่าทีตกใจอย่างพอเหมาะพอควร “มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือเจ้าคะ? ข้าไม่รู้แม้แต่น้อย”
อิงผินกลับไม่สงสัย ยิ้มออกมาอย่างรับรู้อยู่แก่ใจ “พวกเจ้าอยู่ในวังหลวงทั้งวัน ไม่ได้พบเห็นคนภายนอก แล้วจะรู้เรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร? ข้าเองก็เพิ่งรู้เรื่องนี้เช่นกัน”
พูดๆ อยู่อิงผินก็ถอนหายใจออกมาอีกครั้ง “ที่จริงแล้วเมื่อดูจากพฤติกรรมของตวนอ๋องก็แข็งแกร่งกว่าใครๆ ทั้งนั้น แต่ว่าคนที่มีความสามารถ มีความฝันกลับได้รับบาดเจ็บเสียอย่างนั้น”
ถาวจวินหลันย่อมต้องรู้ว่าอิงผินอยากเตือนตนเองเรื่องอะไร จึงยิ้มออกมาอย่างระอา “นี่ก็ถือเป็นเรื่องที่จนปัญญา กว่าท่านอ๋องจะพูดได้ก็ไม่ง่าย แต่ข้ากลับรู้สึกว่าเป็นเรื่องดี คนอื่นจะคิดอย่างไรก็ไม่ใช่สิ่งที่ข้าจะไปกะเกณฑ์ได้”
อิงผินพยักหน้า “เจ้าปลงได้ก็ถือว่าดี ที่จริงแล้วไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร ขอเพียงแค่ตวนอ๋องร่างกายแข็งแรงก็ดีกว่าอะไรทั้งสิ้นแล้ว”
ถาวจวินหลันหัวเราะรับคำเห็นด้วย หากชีวิตนี้หลี่เย่พูดไม่ได้ บางทีก็อาจจะใช้ชีวิตอย่างปลอดภัยไร้กังวลไปได้ทั้งชีวิต แต่ก็ไม่มีทางปลดภาระหน้าที่ของตนเองได้ตลอดไป ใช่ชีวิตเช่นนี้มีความหมายอะไร? แม้ว่าสายตาของนางจะไม่ได้มองการณ์ไกล แต่ก็รู้ได้ว่าชีวิตนี้ของหลี่เย่คงไม่มีทางมีความสุขไปทั้งชีวิตเป็นแน่ ท้ายสุดแล้วก็เพียงแค่ทุกข์ตรมไม่เป็นไปอย่างหวัง
ตกดึกคืนนี้ตอนที่ฮ่องเต้มาเยี่ยมซวนเอ๋อร์และหมิงจู ถาวจวินหลันก็มองเห็นอย่างชัดเจนว่าสีหน้าของฮ่องเต้ไม่ค่อยน่าดูนัก เห็นได้ชัดว่ากำลังกริ้ว
ตอนที่ขันทีเป่าฉวนปรนนิบัติรับใช้ก็ระมัดระวังรอบคอบมากกว่าที่เคย เหมือนเกรงว่าจะทำให้ฮ่องเต้กริ้ว
ยังดีที่มีซวนเอ๋อร์และหมิงจูอยู่ด้วย ฮ่องเต้จึงไม่สามารถระเบิดไฟโกรธได้ จนกระทั่งอยู่ด้วยกันไปสักพักหนึ่ง ก็ดูเหมือนกับว่าฮ่องเต้จะอารมณ์ดีขึ้น
พอกินข้าวแล้ว ถาวจวินหลันก็เสิร์ฟน้ำชาและของว่างด้วยตนเอง เพื่อให้ฮ่องเต้และหลี่เย่พูดคุยกันอย่างสบายๆ แน่นอนว่านี่ก็เป็นความตั้งใจของฮ่องเต้
เพราะว่าฮ่องเต้ไม่ได้สั่งให้ออกไป ดังนั้นถาวจวินหลันและขันทีเป่าฉวนจึงยังอยู่คอยรับใช้
ที่ทำให้ถาวจวินหลันแปลกใจก็คือฮ่องเต้พูดถึงเรื่องข่าวลือภายนอกวังหลวงด้วยตนเอง ท้ายสุดแล้วก็ถามหลี่เย่ว่า “เจ้าคิดว่าเช่นไร? รู้สึกไม่ยุติธรรมหรือไม่?”
ฮ่องเต้ถามได้อย่างเฉียบคมนัก ถาวจวินหลันมองหลี่เย่อย่างเป็นกังวล จะต้องรู้ว่าคำถามนี้ไม่ตอบไม่ได้ จะพูดว่าไม่น้อยใจ? ไม่ว่าอย่างไรก็ดูเหมือนเสแสร้งไปเสียหน่อย ถ้าบอกว่าน้อยใจก็ดูเหมือนจะตระหนี่เกินไปเสียหน่อย ไม่เหมาะสมกับท่าทีที่ท่านอ๋องพึงมี
ถาวจวินหลันรู้สึกร้อนรนใจแทนหลี่เย่
ปฏิกิริยาของหลี่เย่กลับแปลกไปอย่างคาดไม่ถึง เขาปัดคำถามนี้ทิ้งไปอย่างไม่คิดเลยแม้แต่น้อย ดูจากท่าทางของเขาแล้ว ไม่มีท่าทีตอบคำถามนี้ด้วยซ้ำไป
นี่ถือได้ว่าไม่เหมาะกับกาลเทศะอย่างยิ่ง
แต่ปฏิกิริยาของฮ่องเต้ก็ทำให้คนคิดไม่ถึงเช่นกัน เขาไม่โมโหออกมาอย่างแปลกประหลาด และยิ่งไม่ไล่บี้เรื่องนี้ แต่กลับหัวเราะฝืนๆ แล้วเปลี่ยนเรื่องคุย
ถาวจวินหลันถอนหายใจออกมา และมองไปยังขันทีเป่าฉวน เห็นว่าขันทีเป่าฉวนถึงกับมีเหงื่อไหลออกมา ก็รู้สึกขบขันอยู่ในใจ คิดว่าขันทีเป่าฉวนคงรู้สึกอึดอัดกว่านางเสียอีกใช่หรือไม่?
“เจ้าใกล้จะขยับตัวได้แล้ว อีกสักวันสองวันก็เตรียมตัวกลับไปเถิด” ฮ่องเต้พลันก็พูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา
คราวนี้หลี่เย่กลับเอ่ยปากอย่างรวดเร็ว “พ่ะย่ะค่ะ” แค่เพียงประโยคเดียวที่ง่ายดายและว่องไว แม้แต่คำที่มากมายกว่านี้ก็ไม่มี ดูจากท่าทีนั้นประหนึ่งว่ากลัวดอกพิกุลจะร่วง
ฮ่องเต้ก็ไม่ใส่ใจ สะบัดมือและพูดว่า “เรื่องของสามีองค์หญิงเก้าเจ้าเองก็ไม่จำเป็นต้องสืบต่อไปแล้ว รักษาร่างกายให้ดี ข้าจะจัดการเอง และจะให้คำตอบที่น่าพอใจกับพวกเจ้า”
ฮ่องเต้เป็นเช่นนี้ก็ถือว่าออกปากรับประกันแล้ว จะต้องรู้ว่าคำสัญญาของฮ่องเต้มีมูลค่าดั่งทองคำ และไม่มีทางกลืนคำพูดอย่างแน่นอน ในเมื่อพูดเช่นนี้แล้วก็เห็นได้ชัดว่าฮ่องเต้ไม่มีทางละเลยพวกเขาไปแน่ จะต้องสืบเรื่องราวนี้จนค้นพบความจริงอย่างแน่นอน
หลี่เย่มองไปยังฮ่องเต้ทีหนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยคำหนึ่งตอบกลับไป “พ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้มีท่าทีจำใจ หยุดไปครู่หนึ่งก็พูดว่า “คอของเจ้า…ข้าให้คนเตรียมยาบำรุงคอสูตรหายากเอาไว้ เจ้าให้คนเคี่ยวยาเอาไว้ดื่มทุกวันแล้วกัน”
คราวนี้หลี่เย่พูดมากขึ้นกว่าเดิม “ขอบพระทัยเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้สะบัดมือ “สมควรเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว ก่อนหน้านี้ข้าคิดว่าไม่มีความหวัง ในเมื่อตอนนี้มีความหวังแล้วก็ควรต้องบำรุงให้ดี”
ถาวจวินหลันรู้สึกว่าคำพูดนี้เหมือนกำลังอธิบายอยู่ และเหมือนรู้สึกผิด
สุดท้ายก่อนฮ่องเต้จะจากไปก็พูดอีกเล็กน้อย “พออาการบาดเจ็บของเจ้าหายดีแล้ว ก็ไปที่กลาโหมเพื่อฝึกซ้อมเสีย”
ถาวจวินหลันรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยและรู้สึกยินดี กลาโหมเป็นที่ๆ ดี ต่อให้หลี่เย่ไม่ได้ถืออำนาจทางการทหารด้วยตนเอง แต่ก็ฉวยโอกาสดึงคนของกลาโหมมาได้ ถึงตอนนั้นก็เท่ากับว่าอำนาจสิทธิทางการทหารอยู่ในมือของตนแล้วมิใช่หรืออย่างไร?
แต่เมื่อนางเหลือบมองหลี่เย่วูบหนึ่ง เห็นว่าหลี่เย่กลับมีท่าทีเรียบนิ่ง เหมือนไม่ได้รู้สึกยินดีแม้แต่น้อย น้ำเสียงที่เอ่ยขอบคุณก็เรียบนิ่งเช่นกัน
พอฮ่องเต้จากไปแล้ว หลี่เย่ถึงได้ค่อยๆ ปรากฏรอยยิ้มออกมา แต่อารมณ์ที่แสดงออกมาทางดวงตากลับซับซ้อนอย่างพูดไม่ถูก จากที่เขาดูแล้ว นี่เป็นการตื่นจากภวังค์หลังจากที่โดนเตือนมาเท่านั้นเอง และอาจจะเป็นไปได้ที่ว่าทำแค่เพื่อแสดงให้คนอื่นดูเท่านั้น ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นเพราะติดค้างอะไรเขาอยู่มากมาย
แต่ไปที่กลาโหมได้ก็ถือว่าเป็นเรื่องดี ถาวจิ้งผิงเองก็ถูกย้ายไปที่กลาโหมเช่นเดียวกัน พวกเขาสองคนร่วมมือกัน ไม่ว่าวันใดวันหนึ่งสิทธิทางการทหารจะต้องอยู่ในมือของพวกเขาอย่างแน่นอน
ถาวจวินหลันน้อมส่งฮ่องเต้ถึงประตู จากนั้นก็กลับเข้าห้องมา เห็นว่าหลี่เย่พิงหัวเตียงนั่งยิ้มเยาะอยู่ ก็ตะลึงไป ในใจรู้สึกเจ็บปวดเล็กน้อย จึงหาเรื่องพูดว่า “ในที่สุดก็กลับไปได้แล้ว อยู่ภายในวังหลวงไม่คุ้นเคยจริงๆ กลับไปจะดีกว่า”
หลี่เย่เก็บรอยยิ้มน่าขนลุกนั้นกลับไป ก่อนพยักหน้าเห็นด้วย “ไม่ใช่ถิ่นของตนเอง อยู่อาศัยไปก็ไม่วางใจกลับไปจะดีกว่า”
วันเวลาผ่านไปอีกห้าหกวัน วันนี้หลังจากที่หมอหลวงตรวจดูอาการและเปลี่ยนยาแล้ว ก็บอกว่าหลี่เย่ว่าสามารถขยับได้แล้ว อย่างน้อยก็ใช้ไม้ค้ำยันเดินได้สองสามก้าวด้วยตนเอง ขอเพียงแค่ไม่ให้ขาข้างที่ได้รับบาดเจ็บออกแรงมากจนเกินไป
ขันทีเป่าฉวนถือว่าเป็นคนคล่องแคล่ว ตอนบ่ายให้คนจัดการนำไม้ค้ำยันอันใหม่คู่หนึ่งส่งมาให้ ไม้ที่ใช้นั้นเป็นไม้พะยูงหอม สลักดอกไม้ฝังอัญมณี กลายเป็นเหมือนของประดับที่เอาไว้ชื่นชม
ที่จริงแล้วของสิ่งนี้หลี่เย่ไม่ได้ใช้นาน จากที่ถาวจวินหลันดู เป็นแค่เพียงการสิ้นเปลืองสิ่งของ แต่ว่านางเข้าใจว่าที่ทำเช่นนี้ก็ด้วยต้องให้สมกับฐานะของหลี่เย่ ในเมื่อเป็นท่านอ๋องก็จะต้องไม่เหมือนกับประชาชนคนธรรมดาทั่วไป
ข้อศอกของหลี่เย่ได้รับบาดเจ็บจึงไม่กล้าออกแรงมากเกินไป ดังนั้นถาวจวินหลันจึงไม่อนุญาตให้เขาใช้ไม้ค้ำ ตอนบ่ายพอได้รับไม้ค้ำยันแล้ว นางก็เพียงแค่ให้หลี่เย่ลุกขึ้นมานั่งเล่นอยู่ภายในเรือนครู่หนึ่งเท่านั้น
หากใช้คำพูดของหลี่เย่แล้ว วันที่ผ่านมานั้นนอนอยู่ทั้งวัน กลับทำให้คนนอนจนรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองแล้ว
ความเย็นสบายของศาลากลางน้ำทำให้หลี่เย่รู้สึกดีขึ้น ในตอนนั้นจึงพูดขึ้นว่าเมื่อกลับไปที่เรือนเฉินเซียงแล้วก็ให้ทำศาลาเช่นนี้ขึ้นมาหลังหนึ่ง เหมาะแก่การดับร้อนในช่วงฤดูร้อนอย่างมาก
เมื่อครุ่นคิดดูแล้ว จู่ๆ หลี่เย่ก็พูดขึ้นมา “หรือว่าพวกเราไปที่สวนเพื่อพักผ่อนหย่อนใจก็เหมาะสมเช่นกัน” แต่งงานกันมาเกือบสามปีแล้ว แต่ว่าเขายังไม่เคยพาถาวจวินหลันออกไปข้างนอกเลย ต่อให้จวนตวนอ๋องจะสวยงามมากเพียงใด แต่ใช้ชีวิตอยู่ทุกวันก็คงต้องเบื่อหน่ายเหมือนกัน
ถาวจวินหลันนิ่งไป จากนั้นก็อดรอคอยอย่างมีความสุขไม่ได้ แต่เมื่อคิดถึงอาการบาดเจ็บของเขาตอนนี้ นางก็รู้สึกลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “เกรงว่าจะไม่เหมาะสม…”
“กลับไปก็ให้คนทำรถไม้ที่มีล้อหมุน ถึงเวลานั้นให้คนคอยเข็นข้าไปก็ได้แล้ว ข้าไม่ต้องออกแรงเอง ไม่เสียเรื่องเป็นแน่” หลี่เย่กลับคิดอย่างรอบคอบ “บาดแผลของข้านี้ถ้าจะพูดให้เบาก็ต้องใช้เวลารักษาอีกสองสามเดือน พอดีกับที่พวกเราไปที่สวนเพื่อใช้ชีวิตตอนฤดูร้อนได้แล้ว พอถึงปลายเดือนเจ็ดต้นเดือนแปดค่อยกลับมา”
ถาวจวินหลันฟังจนเริ่มรู้สึกคล้อยตา สุดท้ายก็ตอบตกลง พอพูดขึ้นมาแล้วนั้นในชีวิตของนางก็ยังไม่เคยออกจากเมืองมาก่อน แม้จะบอกว่าสวนอยู่ใกล้ๆ กับเมืองหลวง แต่อย่างน้อยก็ยังถือว่าเดินทางไกลแล้วไม่ใช่หรืออย่างไร?
สำหรับคนอื่นภายในจวนนั้น ถาวจวินหลันกลับตั้งใจว่าจะเห็นแก่ตัวสักครั้ง อย่างไรหลี่เย่ไม่พูดถึง นางเองก็จะไม่พูดถึงเรื่องนี้เด็ดขาด เปี่ยมไปด้วยคุณธรรมมาหลายครั้งแล้ว มีบางครั้งที่จะไม่เปี่ยมไปด้วยคุณธรรมบ้างคงไม่เป็นอะไร
ด้วยตั้งใจไปที่สวนเพื่อหลบร้อน ดังนั้นถาวจวินหลันและหลี่เย่จึงกระตือรือร้นเรื่องที่จะได้ออกจากวังหลวงเป็นอย่างมาก แม้กระทั่งปรึกษากันเรื่องไปสวน ว่าควรจะทำเรื่องอะไรบ้าง แม้จะบอกว่าในความเป็นจริงจะทำอะไรกับอาการบาดเจ็บของหลี่เย่ในตอนนี้ไม่ได้
แต่ก็ไม่ได้ขัดขวางอารมณ์เพลิดเพลินและความคาดหวังของถาวจวินหลัน
วันรุ่งขึ้นถาวจวินหลันก็เดินทางไปที่พระราชฐานต่างๆ ภายในวังหลวงพร้อมหลี่เย่เพื่อบอกลา เพราะว่าขาของหลี่เย่ไม่ค่อยสะดวกเท่าไรนัก ดังนั้นตลอดทางจึงต้องนั่งรถเข็น ให้คนคอยเข็นไป
สถานที่แรกที่ไปนั่นก็คือวังของไทเฮา หลายวันที่ผ่านมานี้ไทเฮาไม่ได้มาเยี่ยมหลี่เย่ ในตอนนี้เมื่อได้พบหลี่เย่แล้วก็รู้สึกตื้นตันขึ้นเล็กน้อย อดพิจารณาหลี่เย่ตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างละเอียดรอบหนึ่งไม่ได้ สุดท้ายแล้วก็กล่าวว่าหลี่เย่ด้วยดวงตาแดงก่ำ “ทำไมคนใจร้ายเช่นเจ้าถึงไม่ระมัดระวังเช่นนี้เล่า? หากเจ้าเป็นอะไรไปจะให้ข้ารับได้อย่างไรกัน?”
หลี่เย่รีบพูดปลอบอย่างรวดเร็ว “หลานก็ยังดีอยู่มิใช่หรืออย่างไรพ่ะย่ะค่ะ?”
ฟังหลี่เย่เอ่ยปากพูดออกมานั้น น้ำตาของไทเฮาก็ไหลลงมาตามใบหน้า รั้งตัวของหลี่เย่เอาไว้ครู่ใหญ่ ไม่พูดอะไร
ถาวจวินหลันมองอยู่ข้างๆ รู้สึกเจ็บปวดใจ แต่ก็ยังยิ้มและพูดว่า “องค์ไทเฮาอย่าทรงร้องไห้เลยเพคะ ตอนนี้ท่านอ๋องสุขภาพดีขึ้นเรื่อยๆ พวกเราจะต้องดีใจซีเพคะ”
ไทเฮาได้สติกลับคืนมา รู้สึกได้ว่าตนเองเผลอหลุดจากกรอบไป ทันใดนั้นก็รู้สึกเก้ๆ กังๆ แต่ก็ยังคงยิ้มอยู่ ไทเฮาหันหลังไปปาดน้ำตา และดึงหลี่เย่มามองดูอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นไทเฮาก็พูดติดๆ กันว่า “ดีๆๆๆ”
หลี่เย่จับมือของไทเฮาเอาไว้ พูดเสียงเบาว่า “ต่อไปจะต้องดีขึ้นพ่ะย่ะค่ะ”
ไทเฮาพยักหน้าติดๆ กัน ท่าทีกลับมาเป็นแบบปกติ
ตอนกลางวันไทเฮารั้งให้พวกเขาทั้งครอบครัวร่วมโต๊ะอาหารด้วยกันที่วังหย่งโซ่ว แลดูสมัครสมานสามัคคีกันอย่างมาก
พอทานอาหารแล้ว ไทเฮากลับตัดใจให้หลี่เย่จากไปไม่ได้ จึงรั้งตัวหลี่เย่เอาไว้พูดคุยอีกครู่หนึ่ง แม้แต่เวลานอนกลางวันก็โดนกินเวลาไป
เพราะว่าเสียเวลาอยู่ที่ทางด้านไทเฮา ดังนั้นตอนกำลังจะไปที่วังของฮองเฮาก็เย็นแล้ว นี่กลับตรงกับความตั้งใจของถาวจวินหลัน ในเมื่อเย็นแล้ว ถ้าเช่นนั้นเวลาที่จะอยู่ที่วังของฮองเฮาย่อมต้องลดลง
ท่าทีของฮองเฮายังคงดูเป็นมิตรเหมือนที่เคยเป็นมา รั้งตัวของหลี่เย่เอาไว้ถามคำถามมากมาย จนเมื่อได้ยินว่าเสียงของหลี่เย่เริ่มแหบมากขึ้นถึงได้หยุด ก่อนยิ้มอย่างลุแก่โทษ “ดูข้าซี มัวแต่ดีใจกลับลืมว่าคอของเจ้าตอนนี้ยังพูดเยอะไม่ได้”
แต่ถาวจวินหลันกลับรู้สึกว่าฮองเฮากำลังตั้งใจหลอกถาม ว่าคอของหลี่เย่เหมือนคนธรรมดาหรือไม่กันแน่
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น