ยอดสตรีฉางอิ๋ง 36-47

 ตอนที่ 36 แยกจากอย่างปวดร้าว! (1)

โดย

Xiaobei

แม้เว่ยฉางอิ๋งจะมีเจตนาไม่ดี จนทำให้ญาติผู้พี่เกิดความระแวงสงสัยขึ้นมา แต่ทั้งหมดก็เพื่อให้นางมีท่าทีผ่อนปรนและยอมให้ตนร่ำเรียนพิธีเข้าพบผู้ใหญ่แต่เพียงพอผ่าน ทว่าเว่ยฉางอิ๋งเองก็ตระหนักดีว่าเรื่องการแต่งเข้าวังนั้นเป็นความคับแค้นใจอันใหญ่หลวงของซ่งไจ้สุ่ย มิรู้ว่าที่สุดแล้วซ่งไจ้สุ่ยจะเตรียมการตอบโต้อย่างเจ้าตายข้าม้วยเอาไว้หรือไม่ หากเป็นเช่นนั้น เกรงว่าเมื่อลวงนางได้สำเร็จ ก็อาจเกิดเรื่องเกิดราวตามมาได้


ดังนั้น ถัดไปสองสามวัน นางจึงได้บอกกับซ่งไจ้สุ่ยว่า “ข้าให้ท่านลุงเจียงไปสอบความแล้ว พวกองครักษ์ของท่านพี่ยังเป็นปกติเช่นเดิม ยิ่งไปกว่านั้นท่านลุงเจียงยังบอกอีกว่าแม้จะมีคนมาที่เรือน แต่ในระยะนี้นอกจากจะมีรายงานว่าราชทูตกำลังจะมาถึงเมืองเฟิ่งโจวแล้ว ก็มิได้มีสาส์นอื่นใดมาจากเมืองหลวงอีกเลย”


แม้นนางจะเอ่ยไปเช่นนั้น แต่หากซ่งไจ้สุ่ยเกิดความระแวงขึ้นมา ก็คงจะกำจัดไปไม่ได้ง่ายๆ จึงยังมิอาจวางใจลงได้


เว่ยฉางอิ๋งจึงต้องพยายามทำตนให้เป็นปกติ แล้วค่อยๆ ปะเหลาะนาง “ความจริงแล้ว ท่านพี่ลองคิดดูเอาเถิด พวกองครักษ์ก็ไม่อาจเข้ามาในสวนหลังบ้านได้ตามใจชอบ หากได้รับสาส์นจากท่านน้า ก็จักต้องแจ้งต่อท่านย่าและท่านแม่ก่อนมิเช่นนั้นแล้วจะมารับท่านพี่ได้อย่างไร? จนยามนี้ทั้งท่านย่าและท่านแม่ก็ไม่ได้มีความเคลื่อนไหวใดๆ เห็นชัดว่าเรื่องนี้คงจะไม่จริง”


“คงเป็นเช่นนั้น” หากนางไม่เอ่ยเช่นนี้ มีหรือซ่งไจ้สุ่ยจะปลุกปลอบตัวเองออกมาแบบนี้ เมื่อนางเอ่ยไปดังนั้น ซ่งไจ้สุ่ยก็นิ่งคิดไปอีกพักหนึ่ง นางเองก็อยู่เฉยๆ ในบ้านตระกูลเว่ยมาพักใหญ่แล้ว มีหรือท่านย่าซ่งและท่านป้าซ่งจะไม่เข้าใจความคิดอ่านของนางแม้สักน้อย? แม้จะเห็นได้ชัดว่าท่านย่าและท่านป้ามีใจอยากช่วยเหลือแต่ก็หาช่วยได้ไม่…..ดังนั้นหากซ่งอวี่วั่งเขียนจดหมายลับให้ท่านย่าและท่านป้าส่งตนเองออกไปจากเฟิ่งโจวจริงๆ แล้วท่านย่าซ่งและฮูหยินซ่งเกลี่ยกล่อมเขาไม่สำเร็จ ก็คงไม่แคล้วต้องทำตามนั้น ก็ใครใช้ให้ซ่งไจ้สุ่ยเกิดเป็นลูกของซ่งอวี่วั่งเล่า?


เช่นนั้น หากซ่งอวี่วั่งได้ส่งจดหมายลับมาแล้วจริงๆ ว่าจะต้องพานางไปที่เมืองหลวงให้จงได้ ต่อให้ท่านย่าซ่งและฮูหยินซ่งรู้ เกรงว่าคงจะไม่ยอมให้เรื่องนี้แพร่งพรายออกมาแน่ๆ หากแต่จะรอจนกว่าจะออกเดินทาง ให้นางตั้งตัวไม่ทัน! เพื่อไม่ให้เกิดเหตุไม่คาดคิดใดๆ หากนางเกิดหุนหันพลันแล่นขึ้นมา….


แววตาของซ่งไจ้สุ่ยส่องประกาย ไม่อาจเอ่ยได้ว่าภายในใจนั้นคือความโศก ความสิ้นหวัง หรือคือความเดือดดาล ทั้งที่ตระหนักดีว่าท่านย่าซ่งและฮูหยินซ่งหาได้ไม่ต้องการจะช่วยเหลือตน ทว่าท่าทีของซ่งอวี่วั่งช่างแน่วแน่นัก ทั้งท่านย่าและท่านป้าก็คงจะทำอะไรไม่ได้ เมื่อคิดว่าตนเองเหลือตัวคนเดียวไร้ที่พึ่งถึงเพียงนี้ แล้วญาติทั้งสองคนกลับยังแสร้งดูดายไม่รู้ไม่เห็น ความเศร้าโศกที่ท่วมอยู่ภายในใจก็อดจะพรั่งพรูออกมาไม่ได้


ลูกศิษย์ลูกหาและญาติพี่น้องของตระกูลซ่งแห่งเจียงหนานมีมากมายเพียงใด? ทว่ายามเมื่อตนเองซึ่งเป็นคุณหนูใหญ่แห่งตระกูลซ่งตกอยู่ในที่นั่งลำบาก กลับไม่มีผู้ใดยอมยื่นมือเข้าช่วย!


นางปรายตาไปยังเว่ยฉางอิ๋งที่อยู่ข้างๆ ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความห่วงใย ซ่งไจ้สุ่ยนิ่งเงียบอยู่เป็นนานถึงเอ่ยว่า “ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ที่สุดแล้วข้าก็ต้องกลับไปเมืองหลวงอยู่ดี คงไม่อาจจะอยู่ที่บ้านตระกูลเว่ยไปชั่วชีวิต”


น้ำเสียงของนางเปลี่ยนไปในฉับพลัน จนทำให้เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกประหลาดใจเป็นอันมาก พลางเอ่ยถามอย่างสงสัยว่า “ท่านพี่?”


ซ่งไจ้สุ่ยกำผ้าเช็ดหน้าแน่น เอ่ยอย่างราบเรียบว่า “จะว่าไป ข้าก็มาอยู่ที่เฟิ่งโจวหลายเดือนแล้ว นอกจากที่รุ่ยอวี่ถังนี่ ก็ยังไม่เคยได้ไปที่ใดเลย…. ถือโอกาสในยามที่ท่านพ่อยังไม่ได้เร่งรัดให้ข้าไป ข้าก็อยากจะไปเยี่ยมชมบริเวณใกล้ๆ เฟิ่งโจวบ้าง อย่างไรข้ากลับเมืองหลวงครานี้ก็ใกล้จะต้องออกเรือนแล้ว ภายภาคหน้าหรือจะมีโอกาสออกไปเที่ยวเล่นตามใจ?”


เว่ยฉางอิ๋งนิ่งเหม่อไปชั่วครู่จึงเอ่ยอย่างเนิบนาบไปว่า “ท่านพี่หญิง หลังจากที่ท่านมาถึงเฟิ่งโจวก็ไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องเหล่านี้เลยนี่? แล้วไยวันนี้จึง…?” นางขมวดคิ้ว แล้วเอ่ยเตือนด้วยความหวังดีว่า “เรื่องก็ยังไม่ได้เลวร้ายถึงที่สุด ยิ่งไปกว่านั้นต่อให้ท่านพี่ตกแต่งเข้าวัง และองค์รัชทายาทก็เป็นคนเจ้าชู้มากรักดังว่า แต่นั่นก็แสดงว่าเขาเลอะเลือนไร้ความสามารถ! ด้วยกลวิธีของท่านพี่ มีหรือจะไม่สามารถกำราบเขาให้เชื่อฟังได้? ต่อให้มีลูกของพวกนางเล็กๆ อีกสักกี่คน แต่ก็เป็นลูกที่ไม่ได้เกิดจากภรรยาที่ตกแต่งอย่างออกหน้าออกตา แล้วจะเทียบกับเลือดเนื้อเชื้อไขที่จะเกิดจากท่านพี่ในวันหน้าได้อย่างไร?”


“เจ้าพูดเสียเป็นเรื่องง่าย!” ซ่งไจ้สุ่ยเอ่ยพร้อมรอยยิ้มเย็นชา “หากเป็นเสิ่นจั้งเฟิงยามเจ้าเอ่ยถึงพวกอนุและลูกๆ ของเขาเจ้าจะรู้สึกเช่นใด?”


เมื่อได้ยินดังนั้นสีหน้าของเว่ยฉางอิ๋งก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป พลางเอ่ยเรียบๆ ว่า “ข้าหารู้ไม่ว่าเขาจะมีใครอื่นอีกหรือไม่?”


“…” ด้วยความเอ็นดูของแม่เฒ่าซ่งที่มีต่อหลานสาวของนาง ก็เป็นธรรมดาที่จะไม่ไปใส่ใจเรื่องราวหลังบ้านของเสิ่นจั้งเฟิง ทว่าเมื่อลองถามไถ่ก็ได้ความจากจากบ้านหลังใหญ่โตนั้นแต่เพียงว่า เสิ่นจั้งเฟิงไม่มีลูกๆ ของอนุซุกซ่อนไว้ ซึ่งเรื่องนี้ก็ไม่ได้ผิดคาดใดๆ ตระกูลใหญ่เลื่องชื่อก็ต้องรักษาชื่อเสียงของตนเป็นที่สุด เมื่อภริยาเอกยังไม่ได้แต่งเข้าบ้าน แต่กลับมีลูกของอนุรออยู่เสียแล้ว ก็นับว่าเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม ยิ่งไปกว่านั้นแม้ยามนี้เสิ่นจั้งเฟิงจะมีอนุอยู่แล้ว แต่หากพวกนางยังไม่ได้ยกน้ำชาคำนับภริยาเอกเสียก่อน พวกนางก็หาได้มีตำแหน่งใดไม่


เท่าที่รู้เสิ่นจั้งเฟิงแก่กว่าเว่ยฉางอิ๋งสองปี ตอนนี้ก็อายุสิบเก้า…ชายหนุ่มในวัยนี้ โดยทั่วไปก็นับว่าเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวแล้ว…


หากไม่มีลูกของอนุ ก็ไม่แน่ว่าจะไม่ได้รับอนุเอาไว้แล้ว ปีหน้าเมื่อเว่ยฉางอิ๋งก้าวเข้าประตูบ้าน สถานการณ์ของนางอาจไม่ต่างจากของซ่งไจ้สุ่ย ที่จู่ๆ ก็มีคนมาเรียกว่าแม่ใหญ่เสียแล้ว หรือหลังพิธีแต่งงานจะมีหญิงงามนางสองนางมานั่งคุกเข่ายกน้ำชาคำนับ…ก็ไม่แน่


เว่ยฉางอิ๋งมองโลกในแง่ดีมาโดยตลอด แต่หากถึงยามที่เสิ่นโจ้วใกล้จักมาถึง แม่เฒ่าซ่งและฮูหยินซ่งต่างก็พากันเร่งรัดให้นางเตรียมตัว เพื่อจะได้ทำให้ผู้อาวุโสตระกูลเสิ่นประทับใจ หากต้องตกอยู่ภายใต้ความกดดันเช่นนี้ เว่ยฉางอิ๋งพลันรู้สึกหวั่นไหวขึ้นมาเช่นกัน


ซ่งไจ้สุ่ยนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งจึงเอ่ยปากว่า “ไม่ว่าหัวหรือก้อยต่างก็เป็นเรื่องในภายภาคหน้า พวกเราอย่าได้เอ่ยถึงเรื่องที่ทำให้ไม่สบายใจเหล่านี้เลย ข้าอยากจะออกไปเดินเล่นจริงๆ ก่อนนี้ ข้ายังคงแอบเพ้อฝันอยู่ในใจ แต่ยามนี้เมื่อคิดว่าผู้ที่ให้ข้าต้องทำตามสัญญาด้วยการตกแต่งเข้าวังคือท่านพ่อของข้า…หรือบางทีก็อาจไม่ใช่เพียงท่านพ่อของข้าคนเดียว อาจเป็นความต้องการของทั้งฮองเฮาและองค์รัชทายาทเองด้วย? แม้ว่าฮ่องเต้จะกำลังโปรดปรานพระสนมเมี่ยว ทว่าฮองเฮาก็ดูแลตำหนักหลังมาหลายปี จึงไม่ใช่บอกว่าจะล้มก็ล้มลงได้ ภายใต้การควบคุมของฮองเฮา ท่านพ่อก็ใช่ว่าจะทานไหว ในยามที่อยู่ต่อหน้าพระนาง ความหวังนานาของข้าในวันก่อน จะนับว่าเป็นเรื่องตลกยังไม่ได้เลย ประการต่อมา เรื่องนี้ก็เป็นคำมั่นที่ได้ให้ไว้เมื่อครั้งอดีต และเมื่อพินิจดู ราชสำนักนั้นสูงส่งกว่าตระกูลซ่ง ในวันนี้ราชสำนักก็ไม่ได้ล้มเลิกคำสัญญา กลับเป็นข้าเสียอีกที่ไม่ต้องการองค์รัชทายาท หากเรื่องนี้เล่าลือออกไป ไม่ว่าผู้ใดก็ต้องว่าข้าไร้เหตุผล! ในเมื่อไม่มีความหวังอื่นใดแล้ว อย่างนั้นเรื่องที่ไม่อาจทำได้ในวันหน้า ข้าก็จักขอชดเชยในตอนนี้…วันหน้า บางครายามเมื่ออยู่ในเขตราชฐานและหวนนึกถึงขึ้นมา ก็จะได้ไม่ต้องรู้สึกเสียใจมากมายนัก”


จะว่าไปแล้วสัญญามั่นหมายของลูกพี่ลูกน้องทั้งสองคนนี้ต่างก็เป็นเรื่องที่น่าคับข้องใจ ทว่าเมื่อมองย้อนกลับมา จักมีหญิงสาวสักกี่คนเล่าที่ไม่วาดหวังถึงชีวิตแต่งงานที่สามารถอยู่คู่กันไปตราบชั่วชีวิต? ทว่านับแต่โบราณจนตอนนี้มีสักกี่คนกันที่ได้มีความสุขเช่นนั้น?


เว่ยฉางอิ๋งขบริมฝีปาก แล้วเอ่ยอย่างราบเรียบว่า “ข้าจะลองถามท่านแม่ดู”


ข่าวคราวที่สองสาวลูกพี่ลูกน้องแยกจากกันอย่างไม่สู้ดีนักนี้ เอาไปเอามากลับมาถึงหูของฮูหยินซ่งเสียก่อนแล้ว กว่าเว่ยฉางอิ๋งจะเล่าเรื่องด้วยท่าทีไร้ชีวิตชีวาว่าซ่งไจ่สุ่ยอยากจะออกไปเที่ยว ฮูหยินซ่งก็ปรึกษากับพวกคนตระกูลซือไปล่วงหน้าเรียบร้อยแล้ว นางพยักหน้าอย่างอ่อนโยน “ไจ้สุ่ยมาอยู่ที่เฟิ่งโจวได้ระยะหนึ่งแล้ว ก็ไม่เคยได้ออกไปไหนเลย แต่วันนี้นางกลับคิดอยากจะออกไปเที่ยว เช่นนั้นก็ให้เจ้าไปเป็นเพื่อนนางก็แล้วกัน…อีกสักเดี๋ยวข้าจะส่งคนไปลองสอบถามเกาฉานและฉางเยียนดู เพียงแต่ว่ายามนี้อากาศยังร้อนอยู่ จะให้ดีก็น่าจะล่องเรือตามน้ำชมทิวทัศน์ อย่าไปที่ที่มีผู้คนพลุกพล่าน จะได้หลีกเลี่ยงการเกิดเรื่องกระทบกระทั่งกัน”


ยามนั้นเว่ยฉางอิ๋งเอาแต่รีบรน พอตกปากรับคำแล้วก็จะไป ฮูหยินซ่งต้องรีบเรียกนางเอาไว้เพื่อคุยเล่นแก้เหงา นางเอ่ยเสียงเบาว่า “เจ้าลูกคนนี้…วันนี้เจ้าเป็นอะไรไป? ทำไมถึงดูไร้ชีวิตชีวาเช่นนี้?”


………………………..


ตอนที่ 36 แยกจากอย่างปวดร้าว! (2)

โดย

Xiaobei

 


“ข้าพูดคุยกับท่านพี่มาพักใหญ่ รู้สึกเหนื่อย” แต่ไรมาเว่ยฉางอิ๋งเป็นคนเข้มแข็ง หากแต่ภายในใจรู้สึกเป็นกังวลถึงเรื่องที่ซ่งไจ้สุ่ยเอ่ย ว่าเมื่อนางก้าวเข้าประตูบ้านตระกูลเสิ่นไปแล้ว อาจพบว่าเสิ่นจั้งเฟิงรับอนุจำนวนหนึ่งเอาไว้ก่อนหน้าแล้ว แต่ก็ไม่กล้าเอ่ยเรื่องนี้กับฮูหยินซ่ง จึงพูดกลบเกลื่อนไปว่า “ท่านพี่ปลงตกแล้ว นางบอกว่าเมื่อกลับไปเมืองหลวงแล้ว เกรงจะไม่ได้มีโอกาสออกไปข้างนอกอีก จึงอยากจะไปเดินเล่น ข้าจะเชื่อฟังท่านแม่ ไม่ให้นางไปที่ที่มีผู้คนพลุกพล่าน”


              ทว่าฮูหยินซ่งทราบเรื่องที่พี่น้องได้คุยกันก่อนหน้านี้หมดแล้ว มีหรือจะไม่ล่วงรู้ว่ายามนี้บุตรสาวเป็นกังวลเรื่องใด? นางทอดถอนใจ พลางยื่นนิ้วชี้ไปยังหน้าผากของเว่ยฉางอิ๋ง แล้วเอ่ยอย่างแผ่วเบาว่า “เสิ่นจั้งเฟิงจะรับใครเข้าบ้านแล้วหรือไม่…ต่อให้ยามนี้ยังไม่มี แล้ววันหน้าเล่า? เจ้าควบคุมได้หรือ? ยิ่งไปกว่านั้นหากวันหน้าเกิดรับคนเข้ามาจริงๆ…จะมีใครอยู่เหนือกว่าภริยาเอกเช่นเจ้า?”


              เว่ยฉางอิ๋งตกตะลึงขึ้นมาทันใด แล้วจึงมีน้ำโหตามมา “ข้าก็แค่ไปคุยเล่นกับท่านพี่ประโยคสองประโยค ใครนะช่างปากมากเสียจริง? เอามาเล่าให้ท่านแม่ฟังเสียแล้ว!”


              “เช่นนั้นเจ้าก็ได้รู้แล้ว เรื่องราวภายในบ้าน หาได้มีความลับไม่! วันหน้า ไม่ว่าจะพูดหรือทำการใดก็จะต้องพึงระวังให้ดี!  ครานี้อยู่ในบ้านตนเอง มีท่านย่า มีข้าซึ่งเป็นแม่ของเจ้าอยู่ เจ้าทำเรื่องผิดพลาดอันใด ผู้ใดก็ไม่กล้าทำอะไรเจ้า! ทว่ายามอยู่ที่บ้านสามี หาได้มีเรื่องง่ายดายเช่นนี้ไม่!” ฮูหยินซ่งให้บทเรียนแก่ลูกสาวด้วยรอยยิ้มเยือกเย็น จากนั้นก็เอ่ยด้วยสีหน้าจริงจังว่า “เจ้าอย่าได้สับสนกับคำที่ไจ้สุ่ยเอ่ยออกมาลอยๆ! แต่โบราณมา นอกจากชาวบ้านทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นคู่สามีภรรยาที่รักกันปานใด บ้านไหนบ้างที่ไม่ได้มีอนุรออยู่แล้ว?!”


              “บ้านเราอย่างไรเล่าที่ไม่มี!” อาการที่เก็บเอาไว้พลันถูกมารดาปลดปล่อยออกมาสิ้นเว่ยฉางอิ๋งเองก็หาได้มีอารมณ์จะแสร้งทำเป็นว่าไม่มีเรื่องใดในใจอีกต่อไป ใบหน้าของนางพลันหม่นหมองขึ้นมาทันใด พลางเอ่ยออกมาด้วยความรู้สึกคับแค้นใจ


              ฮูหยินซ่งสูดหายใจลึก แล้วเอ่ยว่า “นั่นเป็นเพราะร่างกายท่านพ่อของเจ้าไม่สู้ดี…มิเช่นนั้น เจ้านึกว่าเขาจะมีแม่เจ้าเพียงคนเดียวเช่นนั้นรึ?”


              “ทำไมจะไม่ได้?” เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยออกไปอย่างเต็มปากเต็มคำ “จะมีอนุใดคู่ควรกับท่านพ่อ?”


              “ได้ยินว่าคราก่อน ตอนที่ท่านย่าและท่านปู่กำลังถกเถียงกัน เจ้าก็มาเห็นเข้าโดยบังเอิญมิใช่รึ?” ฮูหยินซ่งจ้องบุตรสาวอย่างตำหนิ แล้วเอ่ยอย่างราบเรียบว่า “เจ้าลองว่ามาซิ ขนาดท่านย่าคอยควบคุมท่านปู่เข้มงวดปานนั้น เหตุใดนอกจากท่านพ่อและอาหญิงรองของเจ้าแล้ว ท่านอารอง ท่านอาสาม ท่านอาเล็ก และอาหญิงคนอื่นๆ จึงไม่ใช่ลูกของท่านย่าเจ้า?”


              เว่ยฉางอิ๋งตอบว่า “นั่นเป็นเพราะเรื่องผู้สืบสกุล…”


              “ถูกต้อง!” ฮูหยินซ่งส่งเสียงหึออกมาอย่างดูแคลน “สกุลใดไม่คาดหวังจะมีผู้สืบสกุล?! ก่อนที่ท่านย่าของเจ้าจะออกเรือน ฐานะในตระกูลซ่งก็พอๆ กับเจ้าในยามนี้ ครานั้นท่านย่าของท่านย่าเจ้าก็ไม่ได้รักนางน้อยกว่าที่ท่านย่าของเจ้ารักเจ้า! ดังนั้นยามออกเรือนท่านย่าจึงมีความคิดเช่นเดียวกับเจ้า คือตั้งใจว่าจะไม่ยอมให้ท่านปู่ของเจ้ามีโอกาสได้มีอนุ! แรกเริ่มนั้น ท่านปู่และท่านย่าของเจ้าก็อยู่กันมาด้วยดี…ทว่าหลังจากที่ท่านอารองที่แท้จริงของเจ้า…ท่านอาที่มีนามว่าเจิ้งเหย่เสียไปตั้งแต่อายุยังไม่ครบขวบ ท่านปู่ทวดและท่านย่าทวดของเจ้าคร่ำครวญออกมาว่าลูกชายในไส้ต้องมาจากไปตั้งแต่ยังเล็กช่างเป็นเรื่องที่เจ็บปวดแสนสาหัส ลูกชายคนโตก็มีร่างกายที่ไม่แข็งแรง…ยามนั้นท่านย่าจึงจำต้องฝืนใจตนเองและรับอนุให้แก่สามี! แล้วเจ้าคิดหรือว่าท่านย่าของเจ้าจะไม่เจ็บปวด?!”


              ฮูหยินซ่งจดจ้องไปยังบุตรสาว ค่อยๆ เอ่ยออกมาทีละคำ “ใต้หล้านี้ เว้นเสียแต่คนโฉดเขลาที่ไม่เข้าใจความเป็นไปของโลก ผู้ใดเลยจักไม่มีเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจไปชั่วชีวิต?!”


              นับแต่เกิดมาเว่ยฉางอิ๋งเคยเห็นแต่เพียงท่าทีเคร่งขรึมของท่านย่า ที่เพียงแค่ขมวดคิ้วหรือแย้มยิ้มก็สามารถทำให้ทั้งนอกและในบ้านสงบเงียบขึ้นมาทันใด…หลังจากที่แอบเห็นแม่เฒ่าซ่งทุบตีเว่ยฮ่วนก็รู้สึกว่านี่ต่างหากคือความน่าเกรงขามที่แท้จริงของท่านย่า แต่นี่กลับเป็นคราแรกที่ได้ยินว่าแม่เฒ่าซ่งก็เคยต้องผ่านเรื่องราวที่คับแค้นใจเช่นนี้มาด้วยเช่นกัน นางนิ่งเหม่อไปในทันใด พักใหญ่จึงเอ่ยออกมาว่า “ท่านย่า…ยอมได้อย่างไร?”


              “แล้วไม่ยอมได้หรือ?” ฮูหยินซ่งส่งเสียงฮึออกมา แล้วเอ่ยว่า “ท่านพ่อของเจ้าสุขภาพไม่สู้ดี ยามนั้นหากไม่สามารถเชิญจี้ชวี่ปิ้ง หมอเลื่องชื่อในใต้หล้ามาอยู่ที่บ้านและคอยบำรุงรักษาร่างกายกว่าสองปี จะมีชีวิตอยู่จนบัดนี้หรือไม่ก็ไม่อาจ… ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องที่จะมีเจ้ากับฉางเฟิงเลยด้วยซ้ำ!”


              แม้ว่าจะกำลังสั่งสอนบุตรสาว แต่ยามเมื่อฮูหยินซ่งเอ่ยถึงเรื่องเหล่านี้ ดวงตาของนางก็ยังมีสีแดงระเรื่อ น้ำเสียงสั่นเครือ “เสียดายก็แต่เชิญจี้ชวี่ปิ้งมาสายเกินไป! เพราะตอนนั้นล่วงเลยช่วงเวลาที่สามารถเยียวยาได้ดีที่สุดไปเสียแล้ว ท่านพ่อของเจ้า…เรื่องนี้ข้าจะไม่พูดอีก ท่านย่าของพวกเจ้ามีท่านพ่อของเจ้าเป็นผู้สืบสกุลเพียงคนเดียวจนกระทั่งเขาเติบใหญ่ ทั้งยังอ่อนแอขี้โรค ท่านปู่ของพวกเจ้าต้องสืบทอดรุ่ยอวี่ถัง เจ้าลองว่ามาซิ ครานั้นพวกผู้อาวุโสต้องการให้ท่านย่าของเจ้าคำนึงถึงเรื่องผู้สืบสกุล…คำกล่าวนี้ผิดหรือไม่? ไม่ผิดเลย แล้วจะไม่ยอมทำตามได้หรือ?”


              เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยอย่างร้อนรน “แต่ว่า…ตอนที่ท่านอารองของข้าเสียไปตั้งแต่ยังเล็ก…แล้วท่านย่าทวดเอ่ยเช่นนั้น…ช่างไม่มีน้ำใจเอาเสียเลย!”


              “ด้วยเหตุนี้ท่านยายและแม่จึงไม่ทำเช่นนั้น” ฮูหยินซ่งนิ่งเงียบ พลางอาศัยการจิบชาให้สีหน้าสงบลง จนกลับมามีสีหน้าเช่นปกติ แล้วเอ่ยอย่างราบเรียบว่า “เช่นเดียวกัน ไม่ว่าวันหน้าภรรยาของฉางเฟิงจะกตัญญูเชื่อฟังหรือทำให้ข้าพอใจเพียงใด นางก็ไม่มีวันอยู่เหนือเจ้า ต่อให้เจ้าหัวรั้นเอาแต่ใจหรือไม่เห็นหัวใคร แต่เจ้าก็เป็นลูกแม่ เด็กสาวทั่วไปในใต้หล้า ในสายตาข้าแล้ว ไม่มีแม้สักคนที่จะเทียบเจ้าได้! ด้วยเหตุผลเดียวกัน ในสายตาของท่านย่าพวกเจ้า ข้าก็ไม่มีวันเทียบกับท่านพ่อของพวกเจ้าได้! เช่นนั้น หากท่านพ่อเจ้าร่างกายแข็งแรง แล้วท่านย่าของพวกเจ้าก็มีผู้สืบสกุลเพียงคนเดียว จะไม่รับอนุมาให้เขา เพื่อให้มีโอกาสสืบสายเลือดต่อไปได้อย่างไร?


              ไม่เพียงแค่ท่านย่าของเจ้าเท่านั้น แม่เฒ่าสกุลใดจะไม่เคยต้องทนเจ็บช้ำน้ำใจเช่นนี้ในยามสาว? ไม่เช่นนั้น มีหรือจะกลายเป็นคนที่ไม่สะทกสะท้านกับสิ่งใดเช่นในยามนี้? คนเราล้วนต้องผ่านการฝึกฝนกันทั้งนั้น” ฮูหยินซ่งปรายนิ้วชี้ไปยังบุตรสาวแล้วส่ายหัว “เจ้าเผชิญโลกมาน้อยเกินไป ทึกทักเอาเองว่าทุกสิ่งต้องเป็นอย่างที่คิดไปเสียหมด! เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าชั่วชีวิตจะง่ายดายดังเจ้าว่า?”


              เว่ยฉางอิ๋งขบริมฝีปากแล้วเอ่ยว่า “กรณีของท่านย่าถือเป็นข้อยกเว้นกระมัง? หากท่านพ่อมีร่างกายแข็งแรง และท่านอาทั้งหลายมีสุขภาพดี…”


              “ใช่สิ แล้วใครจะรับประกันได้” ฮูหยินซ่งเอ่ยอย่างราบเรียบว่า “ทว่าเจ้าก็ลองพิจารณาดูสิ ท่านอารอง ท่านอาสามของเจ้า และท่านอาเล็กที่ยกให้ท่านปู่เล็กของเจ้าไป… แล้วก็ยังมีท่านป้าท่านอาหญิงสองสามคนของเจ้า มารดาของพวกเขาต่างหาใช่คนเดียวกันไม่ ยามนั้นในบรรดาอนุของท่านปู่ของเจ้าไม่ใช่ทุกคนที่มีลูก ที่มีลูกก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะอยู่จนเติบใหญ่ แล้วตอนนี้พวกเขาไปอยู่เสียที่ใด?”


              เว่ยฉางอิ๋งตกตะลึง…ฮูหยินซ่งจ้องลึกลงไปยังดวงตาของบุตรสาว แล้วกล่าวเตือนสติอย่างแข็งกร้าวว่า “เรื่องผู้สืบสกุลเป็นเรื่องสำคัญของวงศ์ตระกูล ส่วนเรื่องการรับอนุ เป็นแค่สิ่งบันเทิงเริงรมย์ก็เท่านั้น เมื่อตนเป็นภริยาเอก การดูแลบรรดาอนุนั้นเป็นเรื่องที่เจ้าต้องทำอยู่แล้ว หากไปเป็นทุกข์ร้อนใจเพราะพวกนาง ถือเป็นการเสียสง่าราศี!


              ไม่ว่าวันนี้มารดาของพวกท่านอารองและท่านอาคนอื่นๆ ของเจ้าจะเป็นผู้ใด ทว่าคนที่พวกเขาต้องเรียกขานว่าท่านแม่ และต้องคอยสำรวมเกรงกริ่ง ก็มิใช่มีเพียงท่านย่าของเจ้าผู้เดียวหรอกรึ?” ฮูหยินซ่งเอ่ยอย่างราบเรียบว่า “ไม่ว่าที่บ้านของเสิ่นจั้งเฟิงจะรับหรือยังไม่รับอนุเอาไว้แล้ว ไยเจ้าต้องร้อนใจ? หากเจ้าไม่ถูกใจคนไหน ก็ไล่ไปเสีย มิสิ้นเรื่องแล้วรึ? หากมัวแต่กังวลว่าเขาจะรับใครเข้ามา ต่อให้ตอนนี้ไม่ได้รับ แล้ววันหน้าเล่า? เจ้าจดจ่ออยู่แต่เพียงเรื่องนี้ แล้วไม่ต้องทำการอื่นใดเลยรึ? คิดแต่เรื่องอนุ เจ้าเป็นภริยาเอกหาใช่อนุไม่ การทุ่มเทจิตใจทั้งหมดไว้ที่ตัวผู้ชายนั้นเป็นเรื่องที่อนุทำ เพราะหากวันใดไม่มีผู้ชายแล้ว ทั้งความสุขสบายและเงินทองของพวกนางก็จะสลายไปสิ้น! แล้วเจ้าเป็นเช่นนั้นรึ?”


____________________________________________


ตอนที่ 37 พลั้งพลาดชั่วชีวิต (1)

โดย

Xiaobei

เว่ยฉางอิ๋งนิ่งไปไปพักใหญ่จึงเอ่ยว่า “ข้าเพียงรู้สึกไม่ยินดี”


“หาใช่เรื่องที่เจ้ากำหนดได้ไม่” ข้อสนทนาที่โหดร้ายเช่นนี้ หากในยามปกติฮูหยินซ่งไม่มีทางจะกล้าเอ่ยออกมาแน่ แต่ยามนี้นางจำต้องเอ่ย หากไม่ทำลายความคิดที่บุตรสาวมีแต่ไรมา แล้วให้นางไปพบกับเสิ่นโจ้วก็คงจะพอถูกไถไปได้บ้าง แต่หากให้นางแต่งเข้าบ้านสกุลเสิ่นทั้งความคิดเช่นนี้… ก็เท่ากับเป็นการทำร้ายนาง ฮูหยินซ่งจำต้องทนปวดใจแล้วเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “เจ้าเห็นเพียงความน่าเกรงขามและความเด็ดขาดของท่านย่าเจ้าในวันนี้ แม้แต่ท่านปู่ของเจ้ายังต้องยอมให้นาง! แต่เจ้ามิเคยได้เห็นว่าในยามที่ท่านย่าของพวกเจ้าอยู่ต่อหน้าของท่านย่าทวดนั้น นางต้องอดกลั้นและเชื่อฟังเพียงใด เจ้ามิเคยเห็นว่าท่านย่าของพวกเจ้าต้องแอบกอดผ้าห่อตัวที่ยังเหลืออยู่ของท่านอาเจ้าแล้วร้องห่มร้องไห้ไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง มิเคยเห็นว่ายามที่ลูกผู้พี่ของเจ้าฉางอวิ๋น และฉางซุ่ยเกิด ทว่าบ้านเรากลับมีแต่ความว่างเปล่าแล้วนางต้องเป็นทุกข์เพียงใด ไม่เคยเห็นว่าเดิมทีที่สู้อุตส่าห์เชิญจี้ชวี่ปิ้งซึ่งคิดว่าเป็นความหวังสุดท้ายมาที่บ้านได้ แต่กลับไม่ได้เป็นดังหวัง เพราะมารู้ว่าหากเชิญเขามาก่อนหน้านี้สองสามปีถึงจะสามารถรักษาพ่อของเจ้าให้หายขาดได้….ยามนั้นท่านย่าของเจ้าต้องเจ็บปวดใจเพียงใด!”


แม้กำลังพูดถึงเรื่องสำคัญซึ่งเกี่ยวพันกับตนเป็นอย่างมาก แต่นามของจี้ชวี่ปิ้งนี้ถูกเอ่ยถึงถึงสามครั้งสามครา จึงทำให้เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกกังขา “จี้ชวี่ปิ้ง? เขาเป็นผู้ใด?”


“…เขาเป็นหลานคนโตของจี้อิง หัวหน้าสำนักแพทย์หลวงคนก่อน” ฮูหยินซ่งนิ่งเงียบไปเกือบหนึ่งเค่อจึงเอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบาว่า “ตระกูลจี้สืบทอดงานด้านการแพทย์มาหลายชั่วคน และเป็นแพทย์หลวงมาทุกชั่วคน แม้ไม่อาจเทียบเท่าชนชั้นผู้ปกครองเช่นพวกเรา แต่ก็นับว่าเป็นตระกูลเลื่องชื่อในเมืองหลวงมานับร้อยปีแล้ว วิชาแพทย์ของจี้อิงนั้นเป็นเลิศ ครั้งเมื่อยังมีชีวิตอยู่ หากบ้านเราจำเป็นต้องเชิญแพทย์หลวงมาก็ต้องเชิญเขา…เพียงแต่ว่าปีนั้นเกิดเรื่องบาดหมางกันระหว่างอดีตสนมเอกแซ่ฮั่วและพระสนมเอกแซ่เติ้ง จนส่งผลให้องค์ชายหกซึ่งถือกำเนิดจากพระสนมเอกเติ้งสิ้นพระชนม์ และจี้อิงถูกดึงให้เข้าไปเกี่ยวพันด้วย ไม่เพียงตนเองต้องโทษให้ฆ่าตัวตายในวังหลวง แม้แต่ภรรยาและลูกหลานก็ต้องรับเคราะห์ไปด้วย! ตอนนั้นจี้ชวี่ปิ้งอายุราวสิบเอ็ดปี เห็นแก่น้ำจิตน้ำใจของจี้อิง พวกเราสองสามตระกูลช่วยกันออกหน้าพูดจา บอกว่าเขาอายุยังน้อยจึงทำให้เขาพ้นจากเคราะห์ภัยมาได้ ทว่าบ้านตระกูลจี้ก็เกรงกลัวอำนาจของสนมเติ้งจึงไม่กล้ารับเขาเอาไว้ จี้ชวี่ปิ้งจึงได้แต่เร่รอนไปทั่วจนเติบใหญ่”


ตระกูลเติ้งแห่งเมืองหรงนั้น แม้ไม่อาจเทียบเท่ากับตระกูลใหญ่ทั้งหก เช่น ตระกูลเสิ่นและตระกูลเว่ย แต่ก็นับว่าเป็นตระกูลที่ยิ่งใหญ่และเป็นที่นับน่าถือตา จึงหาใช่ตระกูลที่ตระกูลจี้ซึ่งสืบทอดงานด้านการแพทย์จะเทียบได้


เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยอย่างประหลาดใจ “ในเมื่อจี้ชวี่ปิ้งผู้นี้อยู่ในเมืองหลวง เหตุใดยามนั้นจึงได้เชิญเขามาสายเกินไปเล่า?” นางได้ยินว่าเว่ยเจิ้งหงเชิญจี้ชวี่ปิ้งผู้นี้มาสายเกินไป ยังนึกว่าจี้ชวี่ปิ้งอยู่เสียในที่ห่างไกลหรือไม่ก็อยู่ไม่เป็นหลักแหล่งจึงเป็นเหตุให้เกิดเรื่องน่าเศร้าเช่นนี้ ทว่า…


เอ่ยยังมิทันจะสิ้นเสียงก็กลับเห็นสีหน้าของฮูหยินซ่งเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง! เห็นชัดว่านางได้เอ่ยถึงประเด็นที่แสนเจ็บปวดเข้าแล้ว ฮูหยินซ่งนิ่งอดทนไปชั่วเค่อ จึงได้เอ่ยออกมาอย่างยากลำบากว่า “งานทั้งสี่ได้แก่ บัณฑิต เกษตร งานช่าง ค้าขาย ตระกูลแพทย์ถือเป็นงานช่าง แม้วิชาแพทย์ของตระกูลจี้จะสูงส่ง และตระกูลใหญ่ต่างๆ ก็หาได้มองว่าเป็นงานช่างทั่วไปไม่ แต่แท้จริงแล้วนั้นตระกูลแพทย์อยู่ในฐานะที่ไม่สูงเลย…ทว่า แม้จะเป็นตระกูลที่มีฐานะเช่นนั้น เขาก็ยังมีกฎเกณฑ์ที่ตนยึดถือเช่นกัน กฎพื้นฐานที่สุดก็คือศาสตร์วิชานี้จะถ่ายทอดแก่ชายไม่ถ่ายทอดให้หญิง ถ่ายทอดให้ผู้ใหญ่ไม่ถ่ายทอดให้เด็กเล็ก!  แม้จี้ชวี่ปิ้งจะเป็นชายและเป็นหลานคนโต หากว่ากันตามกฎเกณฑ์แล้ว เคล็ดวิชาทั้งหมดของจี้อิงก็ควรจะต้องถ่ายทอดให้แก่เขา แต่ครั้งเมื่อจี้อิงเกิดเรื่อง จี้ชวี่ปิ้งอายุเพียงสิบเอ็ดปีเท่านั้น! ต่อให้จี้อิงถ่ายทอดวิชาให้แก่เขา แล้วเขาจะร่ำเรียนได้กี่มากน้อยกัน?!”


ฮูหยินซ่งเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย หลับตาลง ยิ้มอย่างเจ็บปวดพลางว่า “ผู้ใดจะไปคิดว่าตระกูลจี้มีลูกหลานสืบทอดกันมายาวนานนับร้อยปี แต่เมื่อเอ่ยถึงหมอเทวดา กลับมีจี้ชวิ้ปิ้งผู้นี้ที่เป็นอันดับหนึ่ง ผู้ใดจะคิดว่าแม้ยามที่จี้อิงยังมีชีวิตอยู่จะยังไม่ทันได้ถ่ายทอดวิชาใดให้แก่เขา ทว่าด้วยตำราเคล็ดวิชาที่สืบทอดกันมารุ่นต่อรุ่นซึ่งจี้อิงแอบซุกซ่อนเอาไว้ในยามที่ถูกริบทรัพย์สมบัตินั้น จี้ชวี่ปิ้งก็สามารถนำมาร่ำเรียนด้วยตนเองจนสำเร็จ? เขาต้องเร่รอนอยู่ลำพังด้วยวัยเพียงสิบเอ็ดปี ไร้เงินทองติดตัว แม้ตระกูลเติ้งจะเห็นแก่หน้าตระกูลใหญ่เช่นพวกเราจึงได้ละเว้นไม่ตามไปจัดการเขา ทว่าก็ไม่มีใครกล้ารับอุปการะเขาเอาไว้ พวกเราบรรดาตระกูลใหญ่ช่วยออกปากไม่ให้เขาต้องได้รับโทษทัณฑ์ไปด้วยก็นับว่าไม่เลวแล้ว นับแต่นั้นก็ไม่ได้จดจำสิ่งใดเกี่ยวกับเขาอีก… หลังจากที่เขาต้องใช้ชีวิตอย่างลำบากแสนสาหัส กระทั่งหลังวัยเกล้าผม[1] จึงได้ออกมาทำงานด้านการแพทย์เช่นเดียวกับปู่ของเขา ทว่า แม้สกุลจี้ที่มีประวัติยาวนานนับร้อยปี อีกทั้งในยามที่จี้อิงยังมีชีวิตอยู่วิชาแพทย์ของเขาจะนับว่าเป็นศาสตร์แพทย์อันดับหนึ่ง แต่ในยามที่จี้อิงสิ้นไป คนอื่นๆ ในบ้านสกุลจี้ต่างพากันคาดเดาไปต่างๆ นานา ประกาศแรกก็หวาดกลัวว่าหากเขาออกมารักษาคนก็จะสร้างความคัดเคืองให้แก่ตระกูลเติ้งเอาอีกได้ ประการต่อมาแม้ต้องการจะนำตำราแพทย์ของจี้อิงกลับมา แต่ก็มีอุปสรรค์จากหลายๆ ด้าน ซึ่งบ้านเราก็เชื่อคำของสกุลจี้ นึกว่าจี้ชวี่ปิ้งก็เป็นแค่คนสิ้นไร้ไม้ตอกที่ต้องการอาศัยชื่อเสียงของสกุลจี้หลอกลวงผู้คนก็เท่านั้น….”


“จนกระทั่งชื่อเสียงของจี้ชวี่ปิ้งเลื่องลือมาจากพวกชาวบ้านร้านตลาด โดยเฉพาะเรื่องของชาวบ้านบ้านหนึ่งที่มีลูกสาวร่างกายไม่แข็งแรงมาแต่กำเนิดเช่นกัน หลังจากที่เขารักษาอยู่หลายเดือน ไม่เพียงแค่ร่างกายฟื้นฟูดังคนปกติ หลังจากนั้นยังแต่งงานและมีบุตร เรื่องนี้เล่าลือกันมาปีกว่าจึงได้ลือมาถึงหูบ้านเรา ยามนั้นท่านพ่อของพวกเจ้าก็…” ฮูหยินซ่งเอ่ยวาจาด้วยความทุกข์ว่า “หมดหนทางเยี่ยวยาแล้ว ท่านปู่ของพวกเจ้าบอกว่าให้ลองเชิญเขามาตรวจดู ดีเลวอย่างไร… บ้านเราก็ไม่ได้ขัดสนเงินทอง! นึกไม่ถึง เมื่อเขาได้เห็นท่านพ่อของพวกเจ้าก็ถึงกับทอดถอนใจ สาเหตุนั้นที่เขาทอดถอนใจนี้ ภายหลังท่านปู่ของพวกเจ้าจึงได้ไถ่ถามจนได้ความว่า หากเร็วกว่านี้สักไม่กี่ปี… หรืออาจเพียงสองสามปีก่อนหน้า เขาก็มั่นใจว่าจะรักษาท่านพ่อของพวกเจ้าให้หายได้! ทั้งที่รู้ว่าจี้ชวี่ปิ้งออกมารักษาคนได้เจ็ดปีแล้ว แต่บ้านเราเพิ่งจะเชิญเขามา เช่นนั้น…จึงสายเกินไปเสียแล้ว!”


เว่ยฉางอิ๋งนิ่งอึ้งไปในทันใด แม้นางจะไม่เคยต้องประสบเหตุสิ้นหวังอันใหญ่หลวง กระทั้งคิดเสียใจก็ไม่ทันแล้ว ดังเช่นที่แม่เฒ่าซ่งและฮูหยินซ่งเคยประสบมา แต่เมื่อมาได้ยินในยามนี้ยังต้องรู้สึกเย็นวาบไปถึงขั้วหัวใจ….สองสามปี ช้าไปเพียงสองสามปี  จนทำให้ต้องไปอยู่ที่หอพักฟื้นเป็นเวลานาน เดือนหนึ่งๆ ได้มาเจอกันเพียงหนสองหน บิดาผู้ต้องทุกข์ทนกับโรคภัยแต่กลับต้องวางท่าให้ดูมีสง่าราศีผู้นี้ ที่แท้แล้วเขาเคยพลาดโอกาสในการรักษาตัวเช่นนั้น?


เพียงแค่…


สิ่งที่ตระกูลใหญ่ยึดถือมาแต่อดีต และการขัดขวางของสกุลจี้ กลับทำให้เขาต้องพลาดโอกาสทองนั้นไป


นับจากที่จี้ชวี่ปิ้งออกมารักษาคนจนถึงวันที่เขามารักษาเว่ยเจิ้งหงที่บ้านตระกูลเว่ยเป็นเวลาถึงเจ็ดปีเต็ม! ช่วงโอกาสทองห้าปีก่อนนั้นตระกูลเว่ยมิได้ไม่เคยเชิญหมอมา รวมทั้งหมอจากสกุลจี้ด้วย…แต่กลับไม่เคยนึกถึงหมอผู้มีความสามารถที่แท้จริง เปี่ยมด้วยพรสวรรค์ล้ำเลิศ ผู้ซึ่งต้องประสบเคราะห์ร้ายจากเรื่องขัดแย้งภายในวัง ถูกคนในตระกูลทอดทิ้ง จนจำต้องยอมละทิ้งชื่อเสียงนับร้อยปีของสกุลจี้แล้วมาอยู่กับชาวบ้านธรรมดาสามัญผู้นี้ไปเสียสนิท…..


เช่นเดียวกับในยามที่แม่เฒ่าซ่งและฮูหยินซ่งได้รับรู้เรื่องราวในอดีตนี้ ความเสียใจและเสียดายอย่างแสนสาหัสได้ถาโถมเข้ามาเต็มหัวใจของเว่ยฉางอิ๋งในบัดดล!


“ไม่ว่าจะอย่างไร ห้ามเอ่ยเรื่องนี้ต่อหน้าท่านย่าของพวกเจ้าเป็นเด็ดขาด รู้หรือไม่?” เมื่อฮูหยินซ่งเห็นบุตรสาวมีท่าทีเช่นนั้น นางพลันรู้สึกเสียใจขึ้นมา พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงอบอุ่นว่า “ครานั้น ยามท่านย่าของพวกเจ้าได้ยินข่าวนี้ก็ถึงกับล้มหมอนนอนเสื่อ แต่คงเป็นเพราะ… โชคดีที่จี้ชวี่ปิ้งอยู่ด้วยจึงช่วยนางเอาไว้ได้ และเมื่อได้รู้ว่าแม้ไม่อาจรักษาท่านพ่อของพวกเจ้าให้หายขาดได้ แต่ก็หาได้ไร้ซึ่งความหวังใดเลยไม่ ท่านย่าของพวกเจ้าจึงมีเรี่ยวแรงขึ้นมาอีกครา! แต่ว่า ‘จี้ชวี่ปิ้ง’ สามคำนี้ ก็ห้ามเอ่ยให้พวกบ้านสกุลจี้ได้ยินด้วย!”


เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยอย่างจริงจังว่า “ข้ารู้ว่าสิ่งใดควรไม่ควร”


……………………………………


ตอนที่ 37 พลั้งพลาดชั่วชีวิต (2)

โดย

Xiaobei

แม้จะยังอยู่ในวัยเยาว์ ทั้งยังไม่เคยประสบกับเรื่องสิ้นหวัง แล้วกลับมามีความหวังอีกครั้ง แต่แล้วก็ต้องผิดหวังซ้ำอีกเช่นนี้ บุตรสาวของนางก็ยังรู้สึกได้ถึงหัวใจที่เต้นรัวไม่ยอมหยุด ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงแม่เฒ่าซ่งที่อยู่ในวัยชราทั้งยังเป็นมารดาแท้ๆ ของเว่ยเจิ้งหงเลยว่านางจะรู้สึกเช่นใด


…และแม่เฒ่าซ่งก็มีลูกชายที่มีชีวิตอยู่จนเติบใหญ่แค่เพียงคนเดียว


แต่ชีวิตทั้งชีวิตของลูกชายคนนี้กลับต้องพังทลายลงเพราะอคติและคำเล่าลือ และยังเท่ากับเป็นการทำลายชีวิตของเว่ยฉางอิ๋งและเว่ยฉางเฟิงด้วย… นั่นเพราะหากเว่ยเจิ้งหงได้รับการรักษาจากจี้ชวี่ปิ้งก่อนหน้านั้นสองสามปีจนหายดีและกลับมาเป็นปกติ บางทีตอนนี้ตระกูลเว่ยก็อาจไม่ได้มีผู้สืบสกุลเพียงสองคน บางทีเว่ยเจิ้งหงอาจจะรับอนุ และเช่นเดียวกัน เว่ยฉางเฟิงก็ไม่จำเป็นต้องแบกรับความกดดันอย่างเช่นทุกวันนี้


ด้วยท่าทีที่สง่างามของเว่ยเจิ้งหง และฐานะบุตรชายคนโตของตระกูลใหญ่ ทุกสิ่งที่เว่ยฮ่วนมีก็จะต้องตกเป็นของเขาอย่างไม่ต้องสงสัย ทว่าเมื่อไม่สามารถรักษาเว่ยเจิ้งหงให้หายดีได้ ความรับผิดชอบและความกดดันทั้งหมดในการดูแลหอเจิ้นซิ่งก็ต้องตกอยู่กับเว่ยฉางเฟิงที่เพิ่งจะได้ ‘เกล้าผม’ ไปไม่นานนี้นั่นเอง!


มิใช่เพียงแค่เท่านี้… เว่ยฉางอิ๋งที่ยามนี้ใกล้จะออกเรือนเต็มทน ก็จะต้องได้เผชิญกับชีวิตที่ไร้ซึ่งบิดาคอยปกป้องคุ้มครอง ได้แต่เพียงหวังว่าในภายภาคหน้าน้องชายจะเก่งกล้าสามารถและเป็นที่ยอมรับนับถือ!


แม้เรื่องนี้จะไม่สามารถกล่าวโทษว่าเป็นความผิดของแม่เฒ่าซ่ง แต่ในฐานะปู่และย่า แม่เฒ่าซ่งจึงอดไม่ได้ที่จะถือว่าทุกสิ่งเป็นความผิดของตน! ดังนั้นแล้วตลอดหลายปีมานี้แม่เฒ่าซ่งจึงได้รักใคร่เอาอกเอาใจหลานสาวและหลานชายในไส้ทั้งสองคนมากมายเหลือเกิน นอกจากจะเป็นเพราะนางทั้งรักทั้งเอ็นดูสายเลือดแท้ๆ ที่มิใช่ได้มาง่ายๆ นี้อย่างสุดขั้วหัวใจแล้ว ก็ยังเป็นการชดเชยความรู้สึกผิดในใจที่ทำให้ลูกชายคนโตต้องพลาดโอกาสรักษาตัวให้หายดี จนทำให้หลานในไส้ทั้งสองคนต้องไร้บิดาคอยปกป้องคุ้มครอง


ด้วยเหตุนี้จึงเห็นได้ว่า แม่เฒ่าซ่งยังคงเก็บเรื่องนี้เอาไว้ในใจลึกล้ำปานใด? เว่ยฉางอิ๋งคาดคะเนเอาว่า กระทั่งเรื่องที่ท่านปู่ลาออกจากราชการและเดินทางกลับบ้านเดิมนั้น ที่แท้แล้วเป็นเพราะไม่ต้องการจะไปจากเฟิ่งโจวหรือเป็นเพราะท่านย่าไม่อาจจะอยู่ที่เมืองเมืองหลวง เพื่อจักมิต้องได้ยินชื่อของจี้ชวี่ปิ้งหรือสกุลจี้อีกต่อไปกันแน่?


ทว่าในเมื่อเป็นตระกูลมีอำนาจปานนั้น เรื่องที่แม่เฒ่าซ่งไม่ต้องการจะได้ยิน แล้วจะมีผู้ใดกล้านำมาบอกกับนางกัน? บางทีอาจไม่ได้เป็นเพราะเรื่องนี้?


ในขณะที่เว่ยฉางอิ๋งกำลังคิดฟุ้งซ่านไปเองอยู่นั้น ฮูหยินซ่งก็เรียกสติตนกลับมาแล้วกลับเข้าประเด็นเดิม “หญิงชาวบ้านในป่าในเขาไม่ต้องกังวลว่าสามีจะมีอนุ นั่นเพราะชาวบ้านทั่วไปหาได้มีคุณสมบัติจะมีอนุไม่! ยิ่งไปกว่านั้นคนพวกนี้ลำพังจะเติมท้องให้อิ่มยังยาก แล้วจักมีเงินทองใดเหลือพอไปเลี้ยงคน? แต่พวกเขาก็มีบางคนที่เดินทางไปทำการค้า พอจะมีเงินทอง แม้ไม่อาจเอ่ยถึงเรื่องอนุ แต่จะไม่เคยไปหาซื้อนางโลมเลื่องชื่อนางสองนางมา ‘ปรนนิบัติ’ ข้างกายบ้างเชียวหรือ?”


“…ข้าทราบแล้ว” เว่ยฉางอิ๋งรีบเอ่ยออกมาอย่างรวดเร็วพลางถอนหายใจอีกคราหนึ่ง


ท่าทีที่นางพยายามกลบเกลื่อนนั้นหาได้ปิดบังฮูหยินซ่งได้ไม่ และฮูหยินซ่งก็ไม่ได้คิดจะยุติหัวข้อสนทนานี้แต่เพียงเท่านี้ “เจ้าหาได้รู้สิ่งใดไม่! ภาษิตว่าผู้รู้ต้องเคยลงแรง ในเมื่อเจ้าเคยมีแต่วันคืนที่มีแต่คนรองมือรองเท้า มีอาภรณ์อาหารชั้นเลิศ แล้วจะมีความทุกข์ใดกับชีวิตเช่นนี้! เรื่องที่เจ้าเป็นกังวลในยามนี้ ต่อให้ทั้งท่านย่าและข้าจะจัดการให้เจ้าเรียบร้อยก่อนเจ้าออกเรือน แต่ก็ไม่อาจจะปกป้องเจ้าไปได้ชั่วชีวิต!  ต่อไปเจ้าก็จักต้องรู้จักเรียนรู้ที่จะจัดการสิ่งต่างๆ ด้วยตนเอง….ใช่ลำพังแต่เพียงตัวเจ้า วันหน้าเจ้าก็จะต้องมีลูก วันใดที่เจ้าได้เป็นแม่คน อนาคตของลูกๆ ของเจ้าครึ่งหนึ่งนั้นกำอยู่ในมือเจ้า… เจ้าจะเป็นแม่แบบใด? เหมือนท่านย่าเจ้า เหมือนข้าที่สามารถปกป้องพวกเจ้าได้ หรือจะเป็นเหมือนอาสะใภ้สามของเจ้า ที่ต้องทนดูฉางเยียนต้องทนทุกข์อยู่ในบ้านของฉางเสียน?”


ฮูหยินซ่งกุมมือของบุตรสาว ค่อยๆ เอ่ยที่ละคำว่า “เมื่อออกเรือน เจ้าก็เป็นผู้ใหญ่แล้ว เรื่องสนุกของเด็กเล็ก ก็ควรจะเก็บไปได้แล้ว!”


หลังจากที่สีหน้าของเว่ยฉางอิ๋งเปลี่ยนไปหนแล้วก็หนเล่า นางจึงกัดริมฝีปากแล้วเอ่ยออกมาว่า “เจ้าค่ะ”


นางหลับตาลง พลางเอ่ยเสียงเบาว่า “แต่ตอนนี้ข้ายังไม่ได้ออกเรือน”


“จวนจะออกเรือนเต็มทนแล้ว ในยามที่แม่ยังมีชีวิตอยู่ อย่างไรเจ้าก็ยังเป็นลูกอยู่ดี” จิตใจที่ไม่อยากจะโตเช่นนี้ มีหรือที่ฮูหยินซ่งจะไม่เข้าใจ? แต่นางก็ไม่อาจไม่พูดต่อไปว่า “แต่บ้านสามีเจ้าจะไม่คิดเห็นเช่นนี้… ดังนั้น เหตุใดใครๆ ต่างรู้กันดีว่าที่เสิ่นโจ้วมาครานี้ แม้เจ้าจะได้พบนางเพียงครู่ และได้พูดคุยด้วยเพียงสองสามประโยค แต่ข้าก็ยังต้องให้ไจ้สุ่ยไปชี้แนะเจ้าเสียก่อน? เพราะบ้านตระกูลเสิ่นเห็นเจ้าเป็นนายหญิงคนใหม่ ไม่เพียงแค่เป็นนายหญิงใหม่เท่านั้น…. เสิ้นจั้งเฟิงได้ถูกกำหนดเอาไว้แล้วว่าจะต้องรับตำแหน่งผู้นำตระกูลคนต่อไป ในยามนี้ สิ่งที่บ้านสกุลเสิ่นต้องการให้เจ้าเป็นก็คือนายหญิงใหญ่แห่งตระกูลเสิ่น! เช่นนั้น แม้จะเป็นเพียงงานพิธีเล็กน้อยใดๆ ก็ตาม เจ้าก็จักต้องแสดงเห็นว่าเจ้ามีความสามารถจะรับตำแหน่งนี้ได้!”


ฮูหยินซ่งถอนหายใจแล้วว่า “ยิ่งไปกว่านั้นที่ให้ไจ้สุ่ยไปชี้แนะเจ้า ก็ยังมีอีกสาเหตุหนึ่ง นั่นก็เพื่อไม่ให้ในยามที่เจ้าร่ำเรียนกฎเกณฑ์ต่างๆ อยู่ แล้วนางไม่สะดวกที่จะมาเล่นหัวกับเจ้า อีกทั้งนางเองก็ไม่ใคร่จะอยากไปมาหาสู่กับกาวฉาน และฉางเยียน หากนางจะต้องเหงาอยู่ในเรือนหมิงเซ่อ[1]เพียงลำพังก็จะคิดฟุ้งซ่านไปเรื่อย”


เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยถามถึงเรื่องอ่อนไหวว่า “ท่านแม่ ทางท่านลุงเล่า?”


“เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องยุ่ง  และห้ามไต่ถามใดๆ ด้วย” ฮูหยินซ่งรู้ว่าหลานสาวซ่งไจ้สุ่ยเป็นคนฉลาดเฉลียวทั้งละเอียดอ่อน และเว่ยฉางอิ๋งก็มีความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกผู้พี่คนนี้ หากเว่ยฉางอิ๋งรู้เรื่องที่ซ่งไจ้เถียนจะมาพร้อมกับเสิ่นโจ้ว แล้วนางเกิดถูกซ่งไจ้สุ่ยใส่ความคิดแผลงๆ ลงในหัวขึ้นมา อย่าต้องให้ซ่งไจ้สุ่ยคิดหาวิธีเหลวไหลมาช่วยนางให้ทำเรื่องที่ไม่ควรทำเลย มิเช่นนั้นบ้านสกุลเว่ยคงมีหวังต้องอยู่ไม่สุข ด้วยข้อหาช่วยว่าที่พระชายาองค์รัชทายาทหนีงานแต่งเป็นแน่


แม้ซ่งไจ้สุ่ยจะเป็นหลานสาวแท้ ๆ ของฮูหยินซ่ง แต่หากเทียบกับลูกสาวและลูกชายแท้ๆ แล้ว หลานสาวก็ไม่อาจจะเทียบได้อยู่นั่นเอง


แม้ฮูหยินซ่งจะสงสารซ่งไจ้สุ่ยเพียงใด แต่นอกเสียจากว่าซ่งอวี่วั่งจะออกหน้าล้มเลิกเรื่องงานแต่งครั้งนี้ มิเช่นนั้นนางก็จะไม่มีทางไม่แยแสตระกูลของตัวเองและอนาคตของลูกสาวด้วยการช่วยซ่งไจ้สุ่ยหนีงานแต่งเป็นเด็ดขาด


ดังนั้นนางจึงเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงเย็นชาในทันใด “นับแต่ไจ้สุ่ยมาอยู่ที่ฟ่งโจวหลายเพลา ไม่เคยเห็นเอ่ยถึงเรื่องจะออกไปข้างนอก แล้ววันนี้จู่ๆ ก็อยากจะออกไปเที่ยว…เจ้าจงพึ่งระวัง อย่าปล่อยให้นางทำเรื่องนอกลูกนอกทางได้ เพราะนอกจากจะสร้างความเดือดร้อนให้ตัวนางเอง ก็ยังพลอยสร้างความเดือดร้อนให้บ้านเราด้วย!”


เว่ยฉางอิ๋งมองนางอย่างเคลือบแคลง เนิ่นนานจึงได้เอ่ยว่า “ในเมื่อท่านแม่เป็นกังวลเรื่องท่านพี่ แล้วไยรับคำให้ท่านพี่ออกไปข้างนอก?” เพราะความจริงแล้วเมื่อยามที่นางมาขอ ก็คาดเอาไว้ว่าฮูหยินซ่งจะไม่ตกปากรับคำ และการเปลี่ยนแปลงของซ่งไจ้สุ่ยก็เกิดขึ้นฉับพลันเกินไป ประการต่อมา เวลาที่เสิ่นโจ้วจะมาถึงก็จวนเจียนเข้ามาแล้ว… ยามนี้ เว่ยฉางอิ๋งจงใจอย่างมากที่จะอยู่บ้านและฝึกฝนกริยามารยาทในการเข้าพบเสิ่นโจ้วแต่โดยดี เว่ยฉางอิ๋งไม่สะดวกที่จะออกจากบ้าน เมื่อไม่มีคนที่เหมาะสมจะออกไปเป็นเพื่อนซ่งไจ้สุ่ย ก็จักไม่อาจปล่อยให้ซ่งไจ้สุ่ยพาคนสองสามคนออกไปเที่ยวเล่นตามลำพังกระมัง?


ซึ่งนี่ก็คือสาเหตุหลักๆ ที่จะปฏิเสธ และไม่ทำให้เกิดเรื่องยุ่งยากได้มากที่สุด


จากนั้นฮูหยินซ่งเอ่ยออกมาอย่างราบเรียบว่า “เรื่องของนาง บ้านเราช่วยอะไรไม่ได้อยู่แล้ว เรื่องสำคัญในชีวิตเช่นนี้ ไม่ว่าไจ้สุ่ยจะหยิบยกเหตุผลใดมาก็ตาม เพราะ ภายใต้ความสิ้นหวังของนางนั้น จะยังความผิดหวังมาสู่บ้านเราด้วยเช่นกัน ในยามนี้หากไม่ยอมให้นางออกไปข้างนอกเพราะเกรงจะเกิดเรื่องเกิดราว…หาใช่สิ่งที่ญาติสนิทจะพึ่งทำไม่ และยิ่งจะทำให้นางขัดเคืองด้วย แล้วไยต้องห้ามนาง? ประการต่อมา สิ่งที่นางเอ่ยก็มิผิด ครานั้นสกุลเว่ยและฮองเฮาตกลงกันไว้ว่าเมื่อไจ่สุ่ยได้ปักปิ่น[2]แล้วก็จะให้นางออกเรือน จนยามนี้ก็ล่วงเลยมาสามปีแล้ว เกรงว่าเมื่อนางกลับถึงเมืองหลวงก็จะต้องแต่งเข้าวังหลวงในทันใด วันหน้าหากคิดจะออกมาเที่ยวเล่น…มีหรือจะเป็นเรื่องง่ายดาย?


“ยามนี้เมื่อนางต้องการทำสิ่งใด ขอเพียงมิใช่เรื่องเหลือบ่ากว่าแรงของบ้านเรา หากสามารถทำตามนางได้ ก็ทำไปเถิด” ฮูหยินซ่งเอ่ยอย่างเจ็บปวดว่า “ผู้เป็นอาเช่นข้า สามารถผ่อนปรนเพื่อนางได้เพียงเรื่องเล็กน้อยนี้แล้ว”


เว่ยฉางอิ๋งนิ่งเงียบลง…ไม่ว่าในฐานะอาหรือฐานะแม่ สิ่งที่ฮูหยินซ่งสามารถผ่อนปรนให้หลานสาวและบุตรสาว ที่สุดแล้วก็มีเพียงช่วงเวลาก่อนออกเรื่องเช่นนี้เท่านั้น…


หลังออกเรือนแล้ว ก็เป็นคนของบ้านสกุลอื่นไปแล้ว


_____________________________________


[1] เซ่อ เป็นเครื่องดนตรีจีนชนิดหนึ่งคล้ายฉิน ‘หมิงเซ่อ’ แปลว่า เสียงเซ่อกังวาน


[2] เมื่อหญิงสาวอายุ 15 ปี จะถึงเวลาได้เกล้าผมและปักปิ่นใส่ผม แสดงว่าเป็นสาว และถึงวัยแต่งงาน มีเหย้ามีเรือน


ตอนที่ 38 เขาไผ่น้อย (1)

โดย

Xiaobei

               เฟิ่งโจวซึ่งเป็นแหล่งพำนักของสกุลเว่ยมาหลายร้อยปี แม้รอบข้างจะมิได้มีภูเขาสูงหรือแม่น้ำกว้าง ทว่าข้าราชการตำแหน่งสูงๆ ที่อาศัยบารมีของสกุลเว่ยสร้างเนื้อสร้างตัวนั้นขึ้นมานั้นมีจำนวนนับไม่ถ้วน ทั้งยังมีชื่อเสียงเรื่องตำราชั้นยอดที่สร้างสรรค์ออกมาอย่างไม่ขาดสาย บวกกับที่หลายปีมานี้ตระกูลเว่ยคอยสร้างสิ่งปลูกสร้างต่างๆ ทั้งในและนอกเมือง จึงมีที่ให้ท่องเที่ยวอยู่ไม่น้อยเลย


               อย่างเช่น ‘เขาไผ่น้อย’ นอกเมือง


               เขาไผ่น้อยข้างเส้นทางส่งของซึ่งติดแม่น้ำฟ่งนั้น แม้จะเรียกว่าภูเขา แต่แท้ที่จริงแล้วมีความสูงแค่สามสิบกว่าจั้ง[1]เท่านั้น เขาทั้งลูกมีแต่ต้นไผ่ ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นยามฤดูร้อนก็ยังสามารถเสพสุขกับสายลมเย็นที่โชยมาได้


               ทว่าที่เขาไผ่น้อยนี้มีชื่อเสียงเป็นอย่างมากในเฟิ่งโจวจนกระทั่งถึงเมืองในแถบทะเล หาได้เป็นเพราะเสียงลมพัดโบกต้นไผ่ หากแต่เป็นเพราะที่แห่งนี้คือที่พำนักของเว่ยปั๋วอวี้ ข้าราชการเลื่องชื่อในรัชสมัยก่อนเมื่อยามเขายังมีชีวิตอยู่


               เว่ยปั๋วอวี้เป็นพี่น้องใกล้ชิดกับคนสกุลเว่ยแห่งเฟิ่งโจวในรัชสมัยก่อน เขาเป็นคนจิตใจกว้างขวาง ไม่ใคร่จะออกมารับข้าราชการ รักในการเขียนพู่กันจีน เมื่อโตเป็นหนุ่มก็มักมาอยู่ที่เขาไผ่น้อยเป็นระยะเวลานาน ไม่คบค้าสมาคมกับคนภายนอก กระทั่งคนในบ้านสกุลเว่ยก็ยังแทบไม่ได้ยินข่าวคราวของเขา แต่ในปีที่เขาอายุได้สี่สิบกว่าปีนั้น ซูฉีข้าราชการเลื่องชื่อในดินแดนแถบทะเลได้ลาออกจากราชการกลับมาอยู่บ้านเดิม ระหว่างทางกลับชิงโจวก็ได้ผ่านมาที่เขาไผ่น้อยนี้ และเพราะว่าเกิดฝนตกหนัก จึงขึ้นไปหาที่หลบฝนบนเขา และบังเอิญพบกับกระท่อมกลางเขาของเว่ยปั๋วอวี้เข้า


               …และเพราะการไปหลบฝนครานั้น อักษรคำว่า ‘บันทึกเขาไผ่น้อย’ ที่เว่ยปั๋วอวี้แขวนไว้ภายในกระท่อม ได้รับการชมเชยจากซูฉีเป็นอันมาก ทั้งยังเล่าขานเรื่องนี้ออกไปจนเป็นที่เลื่องลือในใต้หล้า กระทั่งถูกยกย่องให้เป็นยอดนักเขียนพู่กันแบบ ‘ฉ่าวซู[2]’ อันดับหนึ่งในรัชสมัยก่อน


               ทั้งชีวิตของเว่ยปั๋วอวี้นั้น ปักใจรักเพียงการเขียนพู่กันจีน กระทั่งเป็นเพราะเหตุนี้เขาจึงครองตัวเป็นโสดชั่วชีวิต เมื่อเขาจากไป ก็เป็นธรรมดาที่ทั้งกระท่อมบนเขาไผ่น้อย อักษร ‘บันทึกเขาไผ่น้อย’ และอักษรอื่นๆ ที่เขาเขียนเอาไว้ ก็จะตกเป็นสมบัติของตระกูล


               ทว่าสกุลเว่ยเลื่องชื่อมานับร้อยปี ทั้งมีมรดกและเกียรติภูมิของตนเอง ดังนั้นเมื่อครั้งรัชสมัยก่อน จึงมีประมุขของตระกูลสั่งให้คนนำตัวอักษร ‘บันทึกเขาไผ่น้อย’ นั้นสลักเป็นแผ่นป้าย และตั้งไว้ที่เชิงเขาไผ่น้อย เพื่อให้ผู้คนที่สัญจรไปมาสามารถชมผลงานลายมือของเว่ยปั๋วอวี้นี้ได้ โดยที่ไม่จำเป็นต้องขึ้นมาดูในกระท่อม


               ทั้งนี้ก็เพราะผู้ที่มีสิทธิ์จะมาขอชมลายมือตัวอักษร ‘บันทึกไผ่น้อย’ ณ ตระกูลเว่ยนั้นมีจำนวนไม่มาก ทว่าผู้ที่สนใจชมลายมือของเว่ยปั๋วอวี้กลับมีจำนวนมหาศาล…ที่สกุลเว่ยทำเช่นนี้ เพื่อให้ผู้คนในใต้หล้าได้มาชมได้อย่างสะดวก และยังถือเป็นการสร้างชื่อเสียงให้กับตระกูลยิ่งขึ้นไปอีก นับว่าเป็นการยิงธนูดอกเดียวได้นกสองตัว จนบัดนี้ ยังได้มีการดูแลซ่อมแซมเขาไผ่น้อยและกระท่อมทุกๆ ปี ทำให้ยังคงอยู่จนถึงทุกวันนี้ ยามใดมีแขกคนสำคัญมาเยือนไม่ว่าจากที่ใกล้ไกล ก็จะมาชมป้ายนี้ และมายังกระท่อมเพื่อรำลึกถึงผู้ที่เคยอยู่ที่นี่


               ต้องนับถือประมุขของตระกูลในสมัยนั้นที่ได้สรรสร้างผลงานเอาไว้ นานวันเข้า เขาไผ่น้อยที่ไม่สูง ไม่ลึก ที่นอกจากเสียงลมโชยกิ่งไผ่ก็มิได้มีทิวทัศน์น่าตระการตาใดอื่น จึงได้กลายมาเป็นเขาเลื่องชื่อในดินแดนเขตทะเล


               “ท่านพี่ดูสิ นี่ก็คือป้าย ‘บันทึกเขาไผ่น้อย’ ว่ากันว่าครานั้น ยอดนักเขียนพู่กันอันดับหนึ่งแห่งยุคเป็นคนเขียนออกมากับมือ” อากาศในเดือนเจ็ด แม้จะย่างเข้าฤดูใบไม้ผลิแล้ว แต่ก็ยังคงร้อนระอุ ความร้อนของฤดูร้อนยังคงตกค้างอยู่ในเฟิ่งโจว ทว่ามวลต้นไผ่เขียวบนเขาไผ่น้อยแห่งนี้ ทอดตัวยาวจากยอดเขาเรียงรายไปจนถึงตีนเขา มาสิ้นสุดตรงที่เส้นทางส่งของ เมื่อเดินเข้าไปแค่เพียงสิบกว่าก้าว ตามถนนซึ่งผู้ที่เคยอยู่ที่นี่ใช้เดินออกมาก็จะรู้สึกเย็นสบายแล้ว


               ท่ามกลางกอไผเขียวชอุ่ม มีระเบียงราบอยู่บนยอดของบันไดหินที่คดเคี้ยวพันอยู่รอบเชิงเขา


               ระเบียงราบนี้ปูด้วยแผ่นหินเรียบ ตรงบริเวณที่ติดกับริมผามีแท่นสลักหินอ่อนสีขาวบริสุทธิ์อยู่แท่นหนึ่ง หากมองเผินๆ จะไม่มีอะไรสะดุดตา แต่หากดูให้ละเอียดแล้วก็จะเห็นว่าแท่นสลักหินอ่อนนี้สลักออกมาจากหินอ่อนทั้งก้อน โดยสลักออกมาเป็นรูปใบไผ่ต้องลม และมีป่าไผ่ล้อมรอบทั้งสี่ทิศ


               บนแท่นสลักนั้นมีแผ่นหินแกรนิตขนาดสูงหนึ่งจั้งและยาวสามจั้งซึ่งวางตัวในแนวนอน…นี่ต่างหากจึงคือแผ่นหินสลักที่แท้จริง  ภาพลายพู่กันพลิ้วไหวบนแผ่นหินสลักก็คืออักษร ‘บันทึกเขาไผ่น้อย’ ลายมือของเว่ยปั๋วอวี้ที่ประมุขสกุลเว่ยในรัชสมัยก่อนได้สั่งให้ช่างฝีมือมาสลักเอาไว้


               สมัยของเว่ยปั๋วอวี้นั้นห่างจากทุกวันนี้กว่าร้อยปี ทว่าแผ่นป้ายหินนี้ยังคงตำรงอยู่แม้จะผ่านไปหลายสมัย ในส่วนของฐานรองนั้นมีตะไคร้น้ำสีเขียวขึ้นเต็มไปหมด มีเพียงรอยตัวอักษรบนแผ่นป้ายหินเท่านั้น ที่เห็นได้ชัดว่ามีคนมาคอยเช็ดถูอยู่อย่างสม่ำเสมอจึงยังสะอาดและมองเห็นได้ชัดเจน มีเพียงใบไผ่ไม่กี่ใบที่ร่วงและปลิวลงมาใส่ แต่ก็ไม่ได้เป็นการบดบังสายตาแต่อย่างใด ในทางกลับกัน กลับยิ่งทำให้รอยจารึกอักษรนั้นดูล้ำค่าและงดงามมากกว่าเดิมเสียอีก


               เมื่อประกอบกับใบไผ่ที่ถูกแสงอาทิตย์บนหัวสาดส่องลงมาจนมีสีเขียวใสดังมรกตด้วยแล้ว ราวกับว่าความผกผันโหดร้ายใดๆ ในโลกนี้ได้ถดถอยห่างไปนับหมื่นลี้ ยามสายลมพัดผ่านใต้แขนเสื้อยาว ท่ามกลางความเย็นสบายนั้น พาผู้คนให้รู้สึกถึงจิตใจที่ปลอดโปร่งและสงบ แลอดจะพากันแอบชื่นชมไม่ได้ว่า สมแล้วที่เป็นที่พำนักของบุรุษเลื่องชื่อแต่ครั้งโบราณ แม้มิใช่ภูเขาสูง แต่กลับมีความงดงามดังเขาเลื่องชื่อ


               เมื่อชื่นชมกับสถานที่แล้ว สายตาของผู้คนต่างพากันจับจ้องไปยังป้ายหินสลัก


               ลายมืออักษร ‘บันทึกเขาไผ่น้อย’ ต้นฉบับนั้น ยังคงเก็บรักษาไว้ภายในบ้านสกุลเว่ย โดยมีเว่ยฮ่วนผู้เป็นปู่ซึ่งเป็นประมุขของตระกูล เว่ยฉางอิ๋งและเว่ยฉางเฟิงที่ออกมาเที่ยวเล่นเป็นเพื่อนพี่สาวทั้งสองในวันนี้เคยเห็นลายมืออักษรจริงๆ ส่วนป้ายหินสลักนี้พวกเขาเคยได้มาดูเมื่อสองสามปีก่อน เช่นนั้นแล้วในวันนี้ ผู้ที่เข้าไปชมป้ายหินสลักอย่างละเอียดถี่ถ้วนจึงมีเพียงซ่งไจ้สุ่ยผู้เดียว


               เว่ยฉางอิ๋งอธิยายให้ซ่งไจ้สุ่ยฟังประโยคหนึ่ง แล้วชะเง้อมองไปรอบทิศพลางว่า “อ่า…วันนี้บังเอิญจริง ตรงนี้ไม่มีคนอื่น พวกเราสามารถถอดหมวกคลุมหน้าออกได้สักพัก”


               แม้ในสมัยนี้จะมิได้ห้ามให้คุณหนูตระกูลใหญ่ออกมาเดินเล่นภายนอก ทว่าด้วยฐานะเช่นเว่ยฉางอิ๋งและซ่งไจ้สุ่ย ซึ่งถือเกียรติของตนมาแต่กำเนิด ก็มักจะสวมหมวกคลุมหน้าเพื่อปิดบังใบหน้าเอาไว้ ไม่ให้คนภายนอกได้เห็น แม้จะเดินเข้ามาในป่าไผ่จนถึงยามนี้จะมีอากาศเย็นสบาย ทว่าม้วยผมที่ม้วนไว้บนหัว และผ้าแพรจากหมวกที่ปิดลงมาจนถึงหน้าอกนั้นกลับทำให้รู้สึกอบอ้าวเสียเหลือเกิน


               เมื่อได้ยินดังนั้น เว่ยฉางเฟิงพลันรีบสะบัดแขนเสื้อ ให้บรรดาบ่าวที่ติดตามมาถอยออกไปไกลๆ เหลือแต่เพียงสาวใช้ไว้คอยดูแลเท่านั้น สาวใช้จึงเข้าไปช่วยแม่นางทั้งสองถอดหมวกคลุมหน้าออกตามคำสั่ง พลางส่งผ้าหอมให้พวกนางเช็ดเหงื่อที่หน้าผาก


               เว่ยฉางอิ๋งรับน้ำเฉินเซียงจากมือของลวี่ฝางมาจิบอึกหนึ่ง สายตาพลันเหลือบไปเห็นว่ายังมีคนผู้หนึ่งข้างๆ เว่ยฉางเฟิงยังไม่ถอยห่างออกไป.. คนผู้นี้ก็มิใช่คนรับใช้ที่ไม่จำเป็นต้องหลบออกไป แต่กลับเป็นชายหนุ่มอายุราวสิบกว่าปี ที่มีรูปร่างสูงใหญ่ สวมอาภรณ์งดงามสีฟ้าเขียว หน้าตาคมคาย ทั้งยังพก ‘ดาบอวิ๋นโถว[3]’ เล่มหนึ่งไว้ที่เอวด้วย


                ตามธรรมเนียมของสกุลใหญ่นั้น บรรดาบ่าวไพร่ข้างกายคุณชายและคุณหนูของตระกูลจะต้องพยายามแสดงความงามของตนออกมาให้ผู้คนได้เห็น แต่จะต้องไม่ให้เกินหน้าเกินตาผู้เป็นนาย เดิมที ในบรรดากำลังอารักษ์ขาที่คอยดูแลอยู่โดยรอบมิได้ชายหนุ่มรูปงาม จึงมิได้มีใครสังเกตเห็นคนผู้นี้ ทว่ายามนี้คนเหล่านั้นต่างพากันถอยห่างออกไป ชายหนุ่มชุดครามผู้นี้จะดูสะดุดตาเป็นพิเศษ


               แม้เขาจะยืนอยู่ข้างหลังเว่ยฉางเฟิง มีสีหน้าท่าทีสงบ ดวงตาแน่วแน่ไม่ไหวติง ทั้งยังไม่แม้จะมองไปยังซ่งไจ้สุ่ยหรือเว่ยฉางอิ๋งเลยแม้แต่น้อย ทว่าเว่ยฉางอิ๋งกลับยังต้องขมวดคิ้ว พลางหันหน้ามาสอบถามลวี้ฝางอย่างแผ่วเบาว่า “เขาคือผู้ใด? คนอื่นไปกันหมดแล้ว ไยเขาไม่ไป? ช่างมิรู้ธรรมเนียมอะไรเช่นนี้ !”


               ลวี่ฝางมัวแต่สาละวนดูแลเว่ยฉางอิ๋ง จึงมิทันได้สังเกตว่ามีผู้อารักษ์ขาไม่ได้ถอยออกไป และเมื่อเห็นว่าชายชุดครามนั้นยืนอยู่หลังเว่ยฉางเฟิง ทั้งยังทำเหมือนเป็นสิ่งสมควรแล้ว เกรงว่าเว่ยฉางเฟิงจะชื่นชมและให้ท้ายคนนี้ผู้นี้ไม่น้อย จนทำให้ทะนงตน และจงใจไม่ถอยออกไปเช่นนี้ อีกทั้งเว่ยฉางเฟิงก็รู้ดีว่าพี่สาวทั้งสองนางจะถอดหมวกคลุมหน้าออก แต่ก็หาได้สั่งให้เขาถอยออกไปไม่ เช่นนี้แล้วก็เป็นเรื่องมิบังควรทั้งนายทั้งบ่าว


               ยิ่งไปกว่านั้นเว่ยฉางเฟิงก็ได้เกล้าผมแล้ว หาใช่เด็กเล็กๆ ไม่ หากถูกพี่สาวตำหนิหรือตำหนิคนรับใช้ข้างกายก็จะเป็นเรื่องขายหน้า ลวี่ฝางเกรงว่าเว่ยฉางอิ๋งจะโกรธเคือง จึงรีบเอ่ยเสียงเบาไปว่า “ข้าน้อยจะไปถามซินลี่ดู”


               ซินลี่เป็นหัวหน้าสาวใช้ข้างกายเว่ยฉางเฟิง เพราะเว่ยฉางเฟิงไม่ได้สวมหมวกคลุมหน้า จึงไม่จำเป็นต้องให้สาวใช้คอยปรนนิบัติดูแล เช่นวันนี้ก็นำสาวใช้สามนางคือ หลิวเย้ อิงถาว และสุ่ยจี๋ มาคอยดูแลนำหออาหารที่เลือกเอาเฉพาะขนมใส่ผลไม้ตามฤดูที่เว่ยฉางเฟิงชอบทานขึ้นมาบนเขา เมื่อเห็นว่าลวี่ฝางซึ่งเดิมทีคอยดูแลเว่ยฉางอิ๋งเดินเข้ามาหาตน นางพลันรู้สึกตกใจ แต่เมื่อได้ยินเรื่องราวจนหมดก็กลับหัวเราะออกมา แล้วเอ่ยเสียงเบากับนางสองสามประโยค ลวี่ฝางกลับมาก็บอกกับเว่ยฉางอิ๋งว่า “คุณหนูเจ้าคะ เขาหาใช่คนนอกไม่ หากแต่เป็นพี่น้องสกุลเว่ยของเราเจ้าค่ะ”


               ด้วยผู้คนที่เข้ามาเป็นไพร่พลของสกุลเว่ยนั้นมีไม่น้อย บางคนที่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดห่างสักหน่อย แม้จะเป็นสายเลือดของสกุลเว่ยแห่งเฟิ่งโจวเช่นกัน ทว่านอกจากยามที่มีการปันเสบียงและเงินทองให้แก่วงญาติในช่วงเทศกาลต่างๆ ของแต่ละปีแล้ว ญาติห่างๆ เหล่านั้นก็มิต่างอะไรกับคนนอกเลย ดังนั้นแล้วลวี่ฝางจึงรีบเอ่ยต่อไปว่า “เขาเป็นเหลนของน้องชายต่างมารดาของท่านจิ้งผิงกง[4]ผู้เฒ่า นามว่าเว่ยชิง ได้ยินว่าเขาไปต้องตาประมุขด้วยสาเหตุบางประการ จึงได้ถูกคัดเลือกให้มาประจำการที่รุ่นอวี่ถังนี่เป็นพิเศษ รับหน้าที่เป็นองครักษ์ข้างกายคุณชายห้าเจ้าค่ะ”


               ท่านจิ้งผิงกงผู้เฒ่า เป็นปู่ทวดแท้ๆ ของสองพี่น้องเว่ยฉางอิ๋งและเว่ยฉางเฟิง ฉะนั้น เหลนของน้องชายต่างมารดาของเขา ก็เป็นคนในรุ่นเดียวกับสองพี่น้องพอดี เพราะปู่ทวดเป็นพี่น้องกัน… นอกจากคนในตระกูลสามสายใหญ่ของรุ่ยอวี่ถังที่เห็นในปัจจุบันแล้ว ความสัมพันธ์สายนี้ก็ถือว่าใกล้ชิดที่สุด


               เมื่อเว่ยฉางอิ๋งได้ฟังแล้วสีหน้าจึงได้คลายความกังวลลง และมองไปยังเว่ยชิงผู้นั้นอีกครา เอ่ยว่า “ญาติผู้นี้ไม่คุ้นหน้ายิ่งนัก เขาอยู่ข้างกายฉางเฟิงตลอดเลยรึ? ข้ากลับมิเคยได้ยินเลย”


———————————————————–


[1] “จั้ง” เป็นหน่วยวัดความยาวของจีนโบราณ มีความยาวประมาณ (+ -) 10 ฟุต


[2] ‘ฉ่าวซู  ’ เป็นการเขียนอักษรด้วยพู่กันจีนแบบหนึ่ง โดยจะใช้เทคนิคเขียนอย่างรวดเร็ว ลากเส้นต่อเนื่องกัน เหมือนลายมือแบบหวัด


[3] ดาบอวิ๋นโถว มีความหมายว่า “หัวเมฆ” มีปลายดาบป้านหนา สุดปลายดาบเชิดงอขึ้นข้างบน


[4] จิ้งผิงกง คือ ผู้ครองแคว้นซึ่งมีแซ่จิ้ง


ตอนที่ 38 เขาไผ่น้อย (2)

โดย

Xiaobei

ลวี่ฝางยกมุมปากยิ้มบางๆ “อาจเป็นเพราะคุณอยู่แต่เรือนหน้า ไม่เคยได้มาที่ลานหลังเรือนกระมังเจ้าคะ?”


               “ในเมื่อเป็นคนที่ต้องตาท่านปู่ ทั้งยังเป็นเครือญาติ มิน่าเล่าเขาจึงไม่ถอยออกไป คงเป็นเพราะท่านปู่กำชับเขาว่าห้ามอยู่ห่าง” เว่ยฉางอิ๋งมองรอบทิศหนแล้วหนเล่า เห็นเพียงมวลไผ่เขียวชอุ่มและลมโบกพัดโชย แม้รู้สึกว่าที่แห่งนี้จักมีอันตรายใดได้ แต่บางทีเว่ยชิงอาจต้องการอาศัยโอกาสนี้แสดงความจงรักภักดีในหน้าที่องครักษ์เสียกระมัง?”


               นางไม่ได้ซักไซ้เรื่องของเว่ยชิงอีก หากแต่ตั้งใจดื่มน้ำเฉิงเซียงในมือจอกนั้นให้หมด


               แต่ในยามนั้นเองซ่งไจ้สุ่ยก็กลับมาอยู่ข้างกายนาง แล้วชี้ไปทางน้ำเฉินเซียงที่เอาออกมาจากห่ออาหารพลางว่า “ให้ข้าจอกหนึ่งสิ”


               เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยอย่างประหลาดใจว่า “ท่านที่ดูเสร็จแล้วหรือ?”


               “ที่ข้าเรียนนั้นไม่ใช่การเขียนอักษรฉ่าวซู จึงตาไม่ถึง” ซ่งไจ้สุ่ยจิบน้ำเฉินเซียงอึกหนึ่ง จึงได้เอ่ยอย่างราบเรียบว่า “ดูเพียงเท่านั้นก็พอแล้ว ให้ดูต่อไปก็หาได้มีประโยชน์ใด หรือได้เรียนรู้อย่างก้าวกระโดดไม่”


               จะอย่างไรฮูหยินซ่งก็เคยเอ่ยว่า ในสองสามวันที่ออกไปเที่ยว หากซ่งไจ้สุ่ยต้องการทำสิ่งใด ขอเพียงไม่ส่งผลร้ายต่อตัวนางและตระกูลเว่ย ก็ให้ว่าตามนางทั้งหมด เว่ยฉางอิ๋งจึงกล่าว่า “เช่นนั้นยามนี้ท่านพี่ยังอยากไปที่แห่งอื่นอีกหรือไม่? อย่างเช่นว่า…”


               นางยังไม่ทันได้ยกตัวอย่างที่ท่องเที่ยวที่เตรียมเอาไว้ในลำดับต่อไป ซ่งไจ้สุ่ยกลับเอ่ยอย่างประหลาดใจว่า “ข้ายังไม่ได้ไปที่พำนักเดิมของท่านเขาไผ่เลย”


               “กระท่อมก็อยู่ข้างบนนี้ แต่ว่าที่นั้นมีสิ่งใดน่าดูหรือ?” เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยถามอย่างสงสัย “ก็เป็นเพียงกระท่อมธรรมดาหลังหนึ่ง แทบไม่ต่างอะไรกับที่อยู่ในสวนดอกไม้ของเรา”


               ซ่งไจ้สุ่ยยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดข้างแก้ม แล้วกล่าวว่า “ก็ข้าอยากจะดูกระท่อมหลังนี้เสียหน่อย”


               “…” เว่ยฉางอิ๋งมองนางแวบหนึ่งมิได้พูดจา…ร้อยปีมานี้ ผู้คนในใต้หล้ามาที่เขาไผ่น้อย แม้จะมีคนมาที่กระท่อมเพื่อรำลึกถึงเว่ยปั๋วอวี้อยู่ไม่ขาด แต่ที่ต้องการมาชมเป็นอันดับแรกก็คือป้าย ‘บันทึกเขาไผ่น้อย’ ซ่งไจ้สุ่ยกับเป็นไปในทางกลับกัน!


               แต่ทว่า…


               ฮูหยินซ่งเคยเอ่ยไว้ว่า สิ่งที่นางสามารถผ่อนปรนให้กับหลานสาวได้ ก็มีเพียงช่วงเวลาไม่กี่วันก่อนนางออกเรือนและยังอยู่ที่บ้านตระกูลเว่ยเท่านี้แล้ว


               แม้คำขอของซ่งไจ้สุ่ยในยามนี้จะไร้เหตุผลเพียงใดก็พอจะเข้าใจได้


               ยิ่งไปกว่านั้น อย่างไรยามนี้คนก็มาอยู่ที่เขาไผ่น้อยแล้ว


               กระท่อมที่เว่ยปั๋วอวี้เคยอาศัยอยู่เมื่อครั้งอดีตนั้น สร้างไว้บริเวณเกือบถึงยอดเขา และเป็นเช่นเดียวกับคำของเว่ยฉางอิ๋งที่ว่ามันเป็นเพียงแค่กระท่อมธรรมดามากๆ หลังหนึ่งเท่านั้น กระท่อมดินสามห้องเรียงต่อกัน ซึ่งก็คือสถานที่เว่ยปั๋วอวี้ใช้ชีวิตอยู่เมื่อสมัยก่อน


               ส่วนทางทิศใต้ของกระท่อมสามห้องนี้ มีเรือนแคบๆ อยู่หลังหนึ่ง เรือนนี้ทอดตัวในแนวตะวันตกไปตะวันออกและแยกออกจากตัวเรือนหลัก หากแต่ยังสามารถมองเห็นกันได้ โดยมีทางเดินแบบมีหลังคาเชื่อมต่อเข้าด้วยกัน ซึ่งน่าจะเป็นที่ให้เด็กรับใช้อยู่อาศัย ด้านหน้าที่พักมีรั้วซึ่งมีดอกตำลึงขึ้นอยู่และพันเต็มไปหมด ในยามนี้ดอกตำลึงได้บานและหุบไปจนหมดแล้วจึงมีแต่ดอกที่ห้อยพับลงอยู่บนรั้ว


               ข้างๆ ที่พักมีลำธารสายหนึ่ง ไหลเรื่อยลงมาพร้อมเสียงสาดซ่า และมีการผันน้ำออกไปยังแปลงผักที่อยู่ข้างๆ แปลงผักนั้นไม่ใหญ่โตนัก และยังปลูกผักต่างๆ อยู่บ้างจนทุกวันนี้ เว่ยฉางอิ๋ง ซ่งไจ้สุ่ยและเว่ยฉางเฟิงต่างก็มีชีวิตที่ไม่เคยได้แตะต้องดินโคลน แม้จะรู้สึกสนใจใคร่รู้เนื่องจากเพิ่งเคยเห็นแปลงผักเป็นครั้งแรก หลังจากพิจารณาอยู่เป็นนาน แต่กลับดูออกแต่ลูกมะเขือ ส่วนผักที่เหลือนั้นไม่แน่ใจ… สามลูกพี่ลูกน้องต่างพากันประหม่า เกรงว่าหากพูดขึ้นมาจะทำให้เกิดเรื่องน่าขันขึ้นได้ จึงพากันหันหน้าหนีโดยไม่ยอมเอ่ยสิ่งใดแม้แต่คำเดียว


               คนกลุ่มใหญ่เดินขึ้นมาด้วยกันเช่นนี้ ก็เป็นธรรมดาที่คนดูแลบ้านพักจะสังเกตเห็น พวกเขาสองสามคนยังเดินมาไม่ถึงหน้ารั้ว ก็มองเห็นว่าที่ด้านหลังของกระท่อมมีคนรับใช้ชราสวมเสื้อแบบทิ้งท้องแขนกว้างผู้หนึ่ง พลางปัดฝุ่นบนตัว พลางเริ่งฝีเท้าเดินเข้ามาหา และเพราะเห็นว่าเป็นนายผู้หญิง แม้ซ่งไจ้สุ่ยและเว่ยฉางอิ๋งจะสวมหมวกคลุมหน้าแล้ว แต่คนใช้ชราก็ไม่กล้าจะเข้ามาใกล้ และหยุดฝีเท้าเมื่ออยู่ห่างออกไปเจ็ดแปดก้าว กำลังจะเอ่ยคำจากที่ไกลๆ นั้น แต่เว่ยฉางเฟิงก็ได้สั่งความไปก่อนว่า “ท่านพี่ทั้งสองชื่นชมชื่อเสียงของท่านเขาไผ่น้อย ตั้งใจมาเยี่ยมชม เจ้าไม่ต้องมากพิธี และจงถอยออกไปเสีย”


               แม้คนใช้ชราจะเฝ้ากระท่อมนี้มาหลายปี แต่ก็ยังรู้จักเว่ยฉางฟงสองพี่น้องที่เคยมาที่นี่แล้ว และยังรู้ว่าเขาและนางคือดวงใจของประมุขและฮูหยินผู้เฒ่า จึงไม่กล้าชักช้าเลยแม้แต่น้อย พลันคำนับหนึ่งครั้งและเอ่ยด้วยความนบนอบว่า “ข้าน้อยน้อมรับคำสั่งคุณชายห้า เพียงแต่ว่า แม้จะปัดกวาดภายในกระท่อมไว้ตั้งแต่รุ่งสางแล้ว แต่ข้าน้อยต่ำต้อย หากคุณหนูทั้งสองและคุณชายห้าต้องการเข้าไป เกรงว่าจะต้องรบกวนให้ผู้ติดตามทุกท่านปัดกวาดให้อีกครั้งเสียก่อน”


               “ข้ารู้แล้ว เจ้าไปเถอะ” เว่ยฉงเฟิงพยักหน้า พวกเขาทั้งสามคนออกเดิน พวกบ่าวไพร่ต่างพากันเดินตามมาตามคำสั่ง เป็นการบอกว่าไม่ให้คนรับใช้ชราผู้เฝ้าเรือนเข้าไปปรนนิบัตินั้นเอง เมื่อให้คนรับใช้ชราไปแล้ว เว่ยฉางฟงหันมาเอ่ยกับซ่งไจ้สุ่ยว่า “ท่านพี่อยากจะเข้าไปดูในกระท่อมหรือไม่?”


               ซ่งไจ้สุ่ยเอื้อมมือออกไปประคองหมวกคลุมหน้า แล้วว่า “เข้าไปนั่งสักพักเถิด”


               เสียงพูดของนางมีอาการหอบอยู่บ้าง…นั่นเพราะความจริงแล้ว นางเป็นคุณหนูใหญ่ตระกูลร่ำรวยที่ถูกเลี้ยงดูมาในคฤหาสน์ แม้เขาไผ่น้อยนี้ไม่สูงและไม่ชัน แต่กว่าจะเดินมาถึงตรงนี้ได้ก็ต้องเดินตามบันไดหินขึ้นมานับร้อยขั้น แม้เว่ยฉางเฟิงจะเป็นชายหนุ่ม แต่เว่ยฉางอิ๋งก็ฝึกวรยุทธ ตั้งแต่เล็ก จึงมีแรงดีกว่าน้องชายอยู่มาก…ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้ซ่งไจ้สุ่ยดูเป็นคนที่อ่อนแรงที่สุด


               เมื่อเว่ยฉางเฟิงสัมผัสได้ถึงบางสิ่ง จึงรีบสั่งความไปว่า “เข้าไปดูซิ”


               เดิมทีที่สั่งคนใช้ชรามาเฝ้าอยู่ที่นี่ก็ได้มีการกำชับให้ทำความสะอาดทุกวัน ห้ามให้ในกระท่อมมีฝุ่นผงสะสม เมื่อครู่คนใช้ชราผู้นี้ก็บอกแล้วว่าเพิ่งจะปัดกวาดไปเมื่อรุ่งสาง แต่ซ่งไจ้สุ่ยและเว่ยฉางอิ๋งต่างก็เป็นผู้สูงศักดิ์ ให้คนใช้ชราปัดกวาดเพียงลำพังไม่อาจทำให้พวกนางวางใจได้ ดังนั้นสาวใช้สองสามนางจึงได้พาคนเข้าไปเช็ดถูกเครื่องเรือนต่างๆ อีกครั้งจึงได้เชิญให้ทั้งสามเข้าไปภายใน


___________________________________


 

 

 


ตอนที่ 39-1

 

   เว่ยปั๋วอวี้เป็นผู้มีจิตใจฝักใฝ่แต่เพียงการเขียนอักษรแบบฉ่าวซูมาชั่วชีวิต จึงสามารถทนอาศัยอยู่บนเขาไผ่น้อยมาได้หลายสิบปี  ทั้งที่ที่นี่ทั้งหนาวทั้งเปล่าเปลี่ยว และภายในกระท่อมก็หาได้มีการประดับตกแต่งใดมากมาย กระท่อมที่สร้างจากดินเหนียวขนาดสามห้องนี้สมถะเป็นที่สุด แน่ชัดว่าเขาหาใช่คนไร้การศึกษา ที่จงใจอาศัยบ้านช่องแสดงตัวตน แต่ภายในบ้านกลับปกปิดความหยาบกระด้างเอาไว้ไม่


               เมื่อสิ้นเว่ยปั๋วอวี้ ตระกูลเว่ยได้รวบรวมสิ่งของและกระท่อมบนเขาไผ่น้อยแห่งนี้เข้าตระกูล และไม่ได้นำสิ่งใดเข้ามาเพิ่มเติม ทั้งต้นหญ้า ต้นไม้ โต๊ะเตี้ย แท่นฝนหมึก ล้วนจัดวางอยู่เช่นยามที่เว่ยปั๋วอวี้ยังมีชีวิต ร้อยปีมิได้เปลี่ยนแปลง


               เมื่อทุกคนเข้าไปภายในกระท่อม ก็เห็นว่าพื้นบ้านเป็นดินและผนังห้องก่อจากดินเหนียว แต่ภายในห้องโถงที่ใช้เป็นที่รับรองแขก กลับพบว่าโต๊ะเขียนหนังสือตัวเล็กซึ่งมีเครื่องเขียนจัดเรียงอยู่นั้นทำจากไม้บุนนาค นับว่าเป็นของดีทีเดียว ทว่ารูปร่างหน้าตาของมันช่างเรียบง่ายเสี่ยนี่กระไร เห็นได้ชัดว่าช่างที่ทำขึ้นมามีฝีมือธรรมดายิ่ง ทว่าที่สุดก็ยังทำเสร็จออกมาได้อย่างเรียบง่ายเป็นที่สุดและไม่มีแม้ลวดลายใด


หลายแห่งสีซีดจางแล้วและมีร่องรอยการซ่อมแซมชัดเจน


               เมื่อมองไปรอบๆ ผนังทั้งแถบภายในห้องบุไว้ด้วยกระดาษเยื่อไม้และมีภาพอักษรเขียนลายมืออีกจำนวนมากแขวนเอาไว้ รวมทั้งอักษร ‘บันทึกเขาไผ่น้อย’ ด้วย ทว่านี่เป็นเพียงแค่ของจำลอง ภาพจริงนั้นถูกเก็บรักษาเอาไว้ภายในคลังของตระกูลเว่ย เพราะไม่อาจวางส่งเดชไว้ในนี้


               ห้องที่อยู่ทางด้านซ้ายและขวา ทางทิศตะวันออกคือห้องหนังสือ เมื่อเห็นว่าว่าซ่งไจ้สุ่ยส่งสายตาไปทางนั้น บรรดาสาวใช้จึงพากันรีบสาวเท้าไปดึงม่านไม้ไผ่ขึ้น หนังสือภายในห้องถูกจัดเรียงไว้ที่ผนัง มีโต๊ะอ่านหนังสือตัวยาวอยู่ข้างหน้าหน้าต่าง ตะเกียงบนโต๊ะถูกเช็ดถูมาใหม่จนแวววาว ใต้ตะเกียงมีม้วนหนังสือซี่ไม้ไผ่ถูกเปิดออกครึ่งหนึ่งและแผ่อยู่บนโต๊ะ ราวกับว่าเจ้าของบ้านยังอยู่ เพียงแต่ออกไปข้างนอกสักพัก ไม่นานก็จะกลับมาแล้วเช่นนั้น


               เมื่อห้องทางทิศตะวันออกเป็นห้องหนังสือ ห้องทางทิศตะวันตกจึงเป็นห้องนอน


               แม้เว่ยปั๋วอวี้จะเป็นญาติผู้ใหญ่เมื่อร้อยปีก่อนของทั้งสามคน ทั้งยังได้เสียไปแล้ว ทว่าซ๋งไจ้สุ่ยและเว่ยฉางอิ๋งเป็นเด็กสาวอายุน้อยช่างเหนียมอาย จึงไม่เข้าไปชมห้องนอนของญาติผู้ใหญ่


               หลังจากนั่งอยู่ภายในห้องโถงได้เกือบเค่อ ซ่งไจ้สุ่ยดื่มน้ำชาและทานของว่างเล็กน้อยก็ได้กำลังวังชากลับมา แต่กลับมิได้เอ่ยถึงเรื่องจะลงเขา หากแต่กวาดตามองไปโดยรอบ แล้วพลันอุทานออกมาว่า “หากได้ความสงบบนเขาเช่นนี้ แม้จะเป็นกระท่อมสมถะ อาหารไร้ซึ่งเนื้อสัตว์ หักกิ่งไม้มาทำปิ่น ท่อผ้าใช้เอง ชีวิตเช่นนี้ จะมีสิ่งใดไม่ดีเล่า?”


               เว่ยฉางอิ๋งได้รับคำกำชับจากฮูหยินซ่งว่าจะต้องจับตาดูซ่งไจ่สุ่ย เมื่อได้ยินดังนั้นสีหน้าของนางจึงค่อยๆ เปลี่ยนไป แล้วลองเอ่ยถามว่า “ที่แบบนี้ นานๆ มาสักครั้งหนึ่ง ท่านพี่ก็จะรู้สึกว่าแปลกใหม่ แต่หากอยู่นานไปก็เกรงว่าก็จะไม่น่าสนใจ”


               ซ่งไจ้สุ่ยเอ่ยเบาๆ ว่า “ข้ากลับมีใจจะอยู่ที่นี่นานๆ สักหลายสิบปี ได้ฟังเสียงต้นไผ่โบกทุกวัน เสียดายก็เพียงแต่…”


               “หลายสิบปีนานเกินไป หากท่านพี่ชอบจริงๆ พวกเราส่งคนกลับไปรายงานพวกผู้ใหญ่แล้วอยู่ที่นี่สักสองสามวัน คาดว่าท่านพี่ก็จะต้องเปลี่ยนใจแล้ว” เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยพลางฝืนยิ้ม แต่เดิมนางก็รู้สึกว่าการที่จู่ๆ ซ่งไจ้สุ่ยมาเอ่ยปากเรื่องออกไปเที่ยวนั้นมีบางสิ่งไม่ชอบมาพากล แล้วยามนี้ยังมาได้ยินซ่งไจ้สุ่ยบอกว่ารู้สึกอิจฉาที่พำนักของเว่ยปั๋วอวี้อีก ยิ่งทำให้รู้สึกถึงความผิดปกติ…


               ภายในกระท่อมพลันเงียบลงสักพัก ซ่งไจ้สุ่ยเอ่ยอย่างราบเรียบว่า “หากเพียงสองสามวันก็ช่างเถิด เมื่อนับๆ ดูเวลา ทูตก็ใกล้จะมาถึงเฟิ่งโจวแล้ว จะทำให้เจ้าเสียเวลาได้อย่างไร?” นางหลับตาอยู่เกือบเค่อแล้วสะบัดแขนเสื้อ ลุกขึ้นยืน “พวกเราออกไปเดินเล่นข้างนอกเถิด”


               เว่ยฉางอิ๋งสองพี่น้องสบตากัน และทำตามคำนาง


               กระท่อมดินสามห้อง แม้จะประกอบด้วยพี่พักของเด็กรับใช้ซึ่งเป็นเรือนแคบๆ สองห้อง แต่ก็ใหญ่เพียงเท่านี้ ซ่งไจ้สุ่ยเดินไปไม่กี่ก้าวก็เดินกลับมา แต่ก็ยังไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องกลับเข้าเมือง “เช่นนั้นลองขึ้นไปดูบนยอดก็แล้วกัน”


               บนยอดเขาไผ่น้อยมีลำธารอยู่สายหนึ่ง พูดไม่ได้ว่าน้ำในลำธารดีมาก แต่ก็นับได้ว่าเย็นชื่นใจ


               เว่ยฉางอิ๋งก้มหน้ามองภาพสะท้อนของตนเองในสระน้ำเล็กๆ ที่เกิดจากน้ำที่ไหลมาจากลำธาร… เพื่อไม่ให้เป็นที่สนใจของผู้คนที่สัญจรไปมา วันนี้นางและซ่งไจ้สุ่ยต่างพากันสวมเสื้อผ้าสีอ่อน เสื้อคอป้ายแขนกว้างสีม่วงอมชมพูที่เต็มไปด้วยลายปักกิ่งก้านและดอกโบตั๋นด้วยด้ายสีน้ำเงินเข้ม เพราะไอจากฤดูร้อนยังเหลืออยู่ ข้างในจึงสวมเพียงผ้าคาดอกสีฟ้าอมน้ำเงินปักดิ้นเชือกเป็นลายเมฆตัวเดียวเท่านั้น ส่วนท่อนล่างเป็นกระโปรงหลิวซานจีบรอบตัวไล่สีน้ำทะเล คาดเอวด้วยสายคาดเอวไหมปักลายสีผลท้อที่ใช้แผ่นโลหะประดับอัญมณีเกาะเอาไว้ และห้อยพู่ห้อยหยกมงคล


               น้ำใสดังกระจก สะท้อนภาพใบหน้าที่หมดจดดุจหยกขาวของนาง ดวงตาดังหยดหมึกดำ ไรผมหน้าใบหูดังปีกกา นับเป็นหญิงงามนางหนึ่ง


               …ลูกผู้พี่เอ่ยว่าเมื่อออกเรือนแล้ว ก็จักไม่ได้มีเวลาทำตามอำเภอใจเช่นนี้แล้ว…และไม่รู้ว่าเมื่อผ่านพ้นวัยสาวไป ยามตนเองก้มลงมองในน้ำ จะยังได้เห็นภาพสะท้อนในน้ำแล้วแอบภาคภูมิใจในภาพนั้นเช่นตอนนี้อีกหรือไม่?


               ซ่งไจ้สุ่ยที่ยืนอยู่ห่างจากนางไปสองก้าว ก็เหม่อมองไปยังดงไผ่ที่อยู่ตรงข้ามกับสระน้ำประหนึ่งกำลังคิดถึงบางสิ่งอยู่เช่นกัน บุตรสาวสายเลือดโดยตรงของตระกูลซ่งผู้นี้ หากจะเอ่ยถึงไหวพริบทันคนแล้วยังห่างชั้นจากเว่ยฉางอิ๋งอยู่ชั้นหนึ่ง ทว่าหากเอ่ยถึงความงามสง่าเป็นหน้าเป็นตาของวงศ์ตระกูลแล้ว เว่ยฉางอิ๋งกลับไม่มีวันเทียบได้


               แขนเสื้อพัดโบกยามต้องลมจากภูเขาที่พัดผ่านมาใต้แขน ทำให้ลูกพี่ลูกน้องทั้งสองนางดูราวกับนางสวรรค์ที่กำลังจะถูกลมพัดพากลับขึ้นฟ้า


               บ่าวไพร่ที่แวดล้อมอยู่สี่ทิศอดจะปิดปากเงียบไม่ได้ เมื่อเห็นสีหน้าน่ากลัวของทั้งสองนาง


               เว่ยฉางเฟิงและเว่ยฉางอิ๋งเติบโตมาด้วยกันทั้งยังเป็นพี่น้องแท้ๆ และเขาก็นอบน้อมต่อซ่งไจ้สุ่ยผู้เป็นลูกผู้พี่มาโดยตลอด…ปีนี้เขาเพิ่งจะได้เกล้าผม ตลอดมาก็ถูกผู้ใหญ่คอยกวดขันเรื่องการเรียน ต้องร่ำเรียนอย่างยากลำบากมาหลายปี ยังไม่เคยครุ่นคิดถึงชีวิตเมื่อยามแก่เฒ่ามาก่อน จึงหาได้มีความรู้สึกใดกับความเจ็บปวดของการแต่งงานที่สะท้อนอยู่บนผิวน้ำของพี่สาวทั้งสองคนไม่ กลายเป็นปลาที่กำลังว่ายโบกหางอยู่ในสระเสียอีกที่กระตุ้นความสนใจของเขา…ไม่ว่าจะพยายามวางท่าว่าเป็นบัณฑิตสูงส่งเพียงใด แต่ความจริงแล้วตอนนี้เว่ยฉางเฟิงก็เป็นเพียงเด็กหนุ่มอายุสิบห้าปีคนหนึ่ง แม้จะหมั่นเพียรเล่าเรียน แต่เมื่อยามออกมาท่องเที่ยว ก็ยากจะปกปิดความเป็นเด็กในตัวได้ เมื่อเห็นพี่สาวทั้งสองขึ้นมาถึงยอดเขาก็เอาแต่ยืนเหม่อลอยอยู่ริบน้ำ และแต่ละคนก็มีสาวใช้อยู่รอบกาย รู้สึกว่าตรงนี้ไม่ใช่เรื่องของตัว เขาจึงอดจะหันหน้ากลับไปไม่ได้ แล้วเอ่ยถามเว่ยชิงอย่างแผ่วเบาว่า “พี่สามท่านหาเบ็ดตกปลามาได้หรือไม่?”


               ในบรรดาพี่น้องรุ่นเดียวกัน เว่ยชิงอยู่ในลำดับที่สาม แม้ยามนี้เขาจะทำหน้าที่อารักษ์ขาเว่ยฉางเฟิง ทั้งยั้งต้องเรียกเว่ยฉางเฟิงว่า ‘คุณชายห้า’ นั่นเพราะเว่ยฉางเฟิงได้รับการอมรมสั่งสอนมาตั้งแต่เล็กว่าจะต้องปฏิบัติกับบ่าวให้ดี จึงยังคงเรียกขานเขาตามลำดับญาติว่าพี่สาม และยังถือว่าเป็นการให้ความใกล้ชิดสนิทสนมด้วย


               เว่ยชิงติดตามเว่ยฉางเฟิงมาสองสามปีแล้ว จึงเข้าใจนิสัยส่วนตัวของคุณชายท่านนี้เป็นอย่างดี เมื่อเขากวาดสายตาไปบนผิวหน้าสระน้ำก็รู้ความคิดของเว่ยฉางเฟิงในทันที เขายกมุมปากขึ้นเล็กน้อยแล้วจึงเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจังว่า “เกรงว่าบนเขาเช่นนี้จะไม่มี แต่สามารถทำขึ้นมาได้ขอรับ”


               …เมื่อทุกคนออกมาเที่ยวเล่น แต่ไหนแต่ไรพวกบ่าวก็จะเตรียมทุกสิ่งอย่างครบถ้วน เว่ยชิงต้องการเข็มเย็บผ้าเล่มหนึ่ง ซินลี่ก็นำห่อเข็มออกมาทันใด หาก้อนหินที่ริมสระ ดัดเข็มให้งอบนก้อนหิน แล้วดึงเส้นไหมออกมาเตรียมไว้หลายเส้น เมื่อเว่ยชิงลองเหวี่ยงมีดได้พอสมควรแล้ว จึงไปตัดลำไผ่ใกล้ๆ มาท่อนหนึ่ง…และทำคันเบ็ดหนึ่งคันออกมาสำเร็จ


               เว่ยฉางฟงเห็นพี่สาวทั้งสองยังคงยืนเหม่อลอยอยู่ทางโน้น คล้ายยังไม่มีทีท่าว่าจะไป จึงโล่งอกแล้วไปขุดไส้เดือนจากดินชื้นๆ ริมสระมาติดไว้ที่ตัวเบ็ด หาหินก้อนใหญ่ที่อยู่สูงสักหน่อย ม้วนชายเสื้อยาวขึ้นแล้วนั่งลง และเริ่มตกปลาอย่างสบายอุรา

 

 

 


ตอนที่ 39-2

 

“ในนี้มีปลาหรือ?” ไม่รู้ว่าเป็นเพราะซ่งไจ้สุ่ยดึงสติคืนมาได้ หรือว่าก่อนนี้ก็สังเกตเห็นสิ่งที่เว่ยฉางเฟิงทำอยู่แล้ว เว่ยฉางเฟิงเพิ่งจะนั่งลง นางก็หันเหสายตามาในทันใด แล้วเอ่ยถามเบาๆ มาจากอีกฝั่งของสระ


               เว่ยฉางฟงกำลังจดจ่ออยู่กับปลาในสระ เมื่อได้ยินคำมือก็สั่น จนทำให้ปลาที่เพิ่งจะว่ายใกล้เข้ามาตกใจเตลิดไปหมด เขาอดจะเสียดายไม่ได้ พลางรีบลุกลี้ลุกลนยืนขึ้นแล้วเอ่ยว่า “ท่านพี่กล่าวถูกต้องแล้ว”


               …ได้รับคำสั่งให้ออกมาเที่ยวเล่นกับพี่สาวทั้งสอง แต่ปรากฏว่ากลับเผลอเรอมาตกปลาอยู่ตรงนี้เสียเอง แม้ว่าหากฮูหยินซ่งรู้เรื่องเข้าก็ใช่จะต่อว่าเขาด้วยเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ ทว่าเว่ยฉางเฟิงที่ให้ความสำคัญกับธรรมเนียมปฏิบัติมาโดยตลอดก็ยังรู้สึกผิดขึ้นมาเช่นกัน พลางมองไปที่คันเบ็ดในมือที่เขาเพิ่งจะได้มา แม้อยากจะโยนทิ้งแต่กลับรู้สึกเสียดาย จึงได้แต่เพียงคีบเอาไว้หลวมๆ ในขณะที่ไม่รู้ว่าจะเอ่ยสิ่งใดกับซ่งไจ้สุ่ยอยู่นั้น ซ่งไจ้สุ่ยกลับเอ่ยว่า “น่าสนุกจริง เช่นนั้นข้าก็จะทำสักคัน เข็มมีอยู่แล้ว…ข้าจะไปเลือกลำไผ่ที่มีขนาดเหมาะมา”


               ยามนั้นเอง เว่ยฉางอิ๋งก็ถูกทำให้สะดุ้งได้สติคืนมา พลางเอ่ยตามไปว่า “ข้าไปด้วย”


               “เจ้าไปทางนั้นเถิด เจ้าแรงมาก เข้าจะไปเลือกลำเล็กๆ หน่อย” เมื่อซ่งไจ้สุ่ยได้ยินดังนั้น กลับหันหลังไปยิ้มเย้ยนาง พลางว่า “ต้นไผ่ทางนี้เกรงว่าจะไม่เหมาะให้เจ้าใช้”


               เว่ยฉางอิ๋งมองไปตามทิศทางที่นางไปหนหนึ่ง ที่นั่นเป็นที่ที่มีต้นไผ่ลำเล็กๆ จริงๆ ซึ่งเล็กเกินไปสำหรับแรงข้อมือของนาง จึงหัวเราะพลางเอ่ยไปว่า “ตกลง”


               เพียงแต่…


               เพิ่งจะเดินไปได้สองก้าว เว่ยฉางอิ๋งพลันรู้สึกว่ามีบางสิ่งไม่ชอบมาพากล… ลำไผ่ที่เร็วเล็กเช่นนั้น ยังใหญ่ไม่เท่านิ้วก้อยของตนเลย แล้วจะรับน้ำหนักของปลาได้หรือ? แม้ซ่งไจ้สุ่ยจะบอบบางเรี่ยวแรงน้อย แต่…ก็ใช่ว่าจะถือคันเบ็ดที่มีขนาดเท่านิ้วก้อยไม่ได้นี่? และคันเบ็ดที่เรียวเล็กว่านิ้วก้อย เกรงว่าโดยปกติแล้วเมื่อปลาใหญ่น้อยงับเบ็ด มีหรือจะยกขึ้นมาได้? ลำไผ่เช่นนั้นจะเอามาทำคันเบ็ดอะไรได้เล่า?


               เมื่อคิดถึงตรงนี้ ใจของนางก็เต้นรัวขึ้นมาโดยไร้สาเหตุ แล้วรีบหันตัวกลับทันที!


               อากัปกริยาที่เกิดขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วนพาให้พวกของลวี่ฝางที่ตามมาด้านหลังต่างตื่นตกใจ!


               แต่ว่ายังไม่ทันได้เอ่ยสิ่งใดกับนาง เว่ยฉางอิ๋งก็สูดหายใจลึก รวบชายกระโปรงขึ้นแล้วรีบสาวเท้าตามซ่งไจ้สุ่ยไปอย่างรวดเร็ว!


               ซ่งไจ้สุ่ยเดินนำหน้าสาวใช้ ยามนี้นางเดินลึกเข้าไปจนถึงเขตป่าไผ่ เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า นางไม่เพียงไม่หยุดเดิน แต่กลับเร่งฝีเท้าเดินเข้าไปในป่าไผ่! เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ เว่ยฉางอิ๋งยิ่งรู้ว่าไม่เข้าทีแล้ว นางจึงตะโกนร้องสุดเสียง “ชุนจิ่ง เซี่ยจิ่ง รั้งตัวท่านพี่ไว้!”


               ชุนจิ่งและเซี่ยจิ่งรู้สึกแต่เพียงว่านายของตนเดินเร็วไปสักหน่อยเท่านั้น…แต่บางทีอาจเป็นเพราะนางเห็นคุณชายห้าตกปลาจึงตื่นเต้นดีใจขึ้นมา อดจะเร่งไปเลือกหาคันเบ็ดที่เหมาะเจาะมาไม่ได้? พวกนางไม่ใช่สาวใช้ของเว่ยฉางอิ๋ง เมื่อได้เยินเสียงตะโกนของเว่ยฉางอิ๋ง จึงกลับพากันนิ่งเหม่อกับคำสั่งของคุณหนูตระกูลเว่ย…ในขณะที่นิ่งเหม่ออยู่นั่นเอง ก็เห็นว่าซ่งไจ้สุ่ยที่เดินเข้าไปในป่าไผ่เกิดอาการอ่อนปวกเปียกไปทั้งตัว จนต้องนางต้องเอื้อมมือออกไปหาของข้างๆ ยันตัวเอาไว้ ทว่าป่าไผ่ลำเรียวเล็กที่นางเลือกนี้ ลำของพวกมันยังใหญ่ไม่เท่านิ้วก้อยของสาวน้อยเลย จึงไม่สามารถช่วยค้ำยันสิ่งใดได้ กลับทำให้ซ่งไจ้สุ่ยเอนตัวไปข้างหน้าอย่างแรง!


               เมื่อไม่มีสิ่งใดรับแรงของซ่งไจ้สุ่ยเอาไว้ ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่นางจึงล้มลงไปบนพื้น


               “คุณหนู?!” ชุนจิ่งและเซี่ยจิ่งกำลังลังเลอยู่ว่าควรจะฟังคำสั่งของเว่ยฉางอิ๋งหรือไม่ เมื่อเห็นเหตุการณ์ดังนั้นก็พากันตกใจจนหน้าถอดสี… ลำไผ่หลายต้นล้มนอนราบลง แม้จะไม่ได้เป็นที่สูงชันนัก ทั้งบนพื้นก็มีใบไผ่ร่วงอยู่เต็มไปหมดเมื่อเหยียบลงไปก็จะรู้สึกนุ่มมมาก แต่จะอย่างไรนี่ก็คือป่าไผ่! ภายใต้ใบไผ่ ก็ยังมีหน่อไผ่แก่ที่อยู่มานานปี  ก้อนหินแตกแหลมคม จนบางครั้งสามารถตัดลำไผเล็กเรียวจนขาดได้…


               หากเพียงเหยียบลงไปบนของเหล่านี้ก็ไม่นับว่ามีอะไร ทว่ายามนี้ซ่งไจ้สุ่ยถึงกับล้มลง…ใบหน้าที่งามปานดวงเดือนของนาง มีหรือจะทานทนไหวยามขอบของใบไผ่บาดลงไป?!


               สาวใช้ทั้งสองนางกุลีกุจอจะเข้าไปดึงตัวนาง แต่เนื่องจากเดิมทีพวกนางก็ล้าหลังซ่งไจ้สุ่ยอยู่ก้าวหนึ่ง และยังมานิ่งหยุดคิดตอนเว่ยฉางอิ๋งส่งเสียงตะโกนมาอีก จึงยิ่งทำให้ตามหลังไปอีกครึ่งก้าว ยามนี้หากคิดอยากจะรีบเข้าไปให้ทัน มีหรือจะเป็นเรื่องง่าย?


               เมื่อมองเห็นซ่งไจ้สุ่ยกำลังจะล้มลงบนพื้น ใบหน้าของทั้งชุนจิ่งและเซี่ยจิ่งต่างร้อนรนดังไฟเผา! การที่คุณหนูสูงศักดิ์ล้มลงต่อหน้าพวกนางก็นับว่าเป็นความผิดแล้ว หน้ำซ้ำครานี้ยังล้มลงไปในป่าไผ่ที่ไม่รู้ว่ามีอะไรต่อมิอะไรอยู่ภายในอีก หากซ่งไจ้สุ่ยเกิดมีบาดแผลบนใบหน้าขึ้นมาจริงๆ ยังไม่ต้องเอ่ยถึงฐานะว่าที่พระชายาองค์รัชทายาทเลย ทั้งบ้านตระกูลซ่งจะต้องไม่มีวันปล่อยพวกนางไปแน่!


               ในขณะที่สาวใช้กำลังสิ้นหวังอยู่นั้น กลับเห็นมีคนผู้หนึ่งโฉบผ่านข้างกายพวกนางไปราวกับโบยบิน คล้ายจะมุ่งหน้าไปยังซ่งไจ้สุ่ย คนผู้นั้นรีบคว้าเอานางมาโอบเอาไว้ พลิกเอวนางให้หมุนกลับมาจึงหมุนตัวท่อนบนของนางให้กลับมาได้..เกิดเสียงดังพั่บ ซ่งไจ้สุ่ยแนบตัวอยู่ในอกของเว่ยฉางอิ๋ง ลูกพี่ลูกน้องทั้งสองนางล้มลงไปด้วยกันบนกองต้นไผ่ที่อยู่บนพื้น เว่ยฉางอิ๋งที่นอนอยู่ข้างล่างร้องซี่ออกมาเบาๆ คล้ายว่าจะได้รับบาดเจ็บ ซ่งไจ้สุ่ยเองก็ส่งเสียงร้องอย่างตกใจออกมาสั้นๆ…สถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างปัจจุบันทันด่วนนี้ทำให้ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นต่างพากันตามไม่ทัน ทั้งยังไม่รู้ว่าควรจะทำเช่นใดดี หลังจากนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง ถึงได้พากันกรูเข้าไป “รีบพยุงคุณหนูขึ้นมา!”


               ก่อนนี้ตอนที่เว่ยฉางอิ๋งตะโกนสั่งชุนจิ่งและเซี่ยจิ่งให้รั้งตัวซ่งไจ้สุ่ยไว้นั้น เว่ยฉางเฟิ่งก็ตกใจจนต้องหันกลับมามอง เมื่อเห็นว่ายามนี้เกิดเรื่องขึ้นในป่าไผ่ เขาหรือจะมีอารมณ์ตกปลาอีก เขาตกใจเสียจนแม้แต่คันเบ็ดยังโยนลงไปในสระ เมื่อรีบมาดูที่ริมป่าไผ่ พี่สาวแท้ๆ และลูกผู้พี่ก็ลุกขึ้นเองไม่ไหวแล้ว ต้องให้สาวใช้ค่อยๆ พยุงจึงลุกขึ้นมาได้ เว่ยฉางเฟิงทั้งตกใจทั้งโกรธ พลันต่อว่าต่อขานพวกลวี่ฝาง และชุนจิ่งเสียยกใหญ่ว่าดูแลไม่รอบคอบ เมื่อต่อว่าไปสองประโยค ก็เห็นว่าเว่ยฉางอิ๋งเอามือคลึงที่หลังเอวพร้อมกับใบหน้าซีดเผือด ส่วนลูกผู้พี่ซ่งไจ้สุ่ยที่ได้เว่ยฉางอิ๋งช่วยเอาไว้ก็มีอาการปากสั่นระริก แขนซ้ายของนางห้อยลงไปเล็กน้อยจนแทบสังเกตไม่เห็น และนางก็ตัวสั่นงันงกไปหมดอย่างควบคุมไม่ได้!


               เว่ยฉางเฟิงสูดหายใจตั้งสติ…เพราะเขาเป็นคนที่ฮูหยินซ่งฝากความหวังเอาไว้อย่างมาก แม้จะเผลอไผลไปเพราะอารมณ์ชั่ววูบ แต่เมื่อหายตกใจแล้วก็กลับมาสงบได้อย่างรวดเร็ว ทางหนึ่งสั่งคนลงเขาเพื่อส่งคนไปเรียกหมอมา ทางหนึ่งก็สอบถามทั้งสองนางว่าสามารถเดินเองได้หรือไม่ หากเดินได้ ก็จักย้ายลงไปพักในกระท่อมข้างล่างเสียก่อน รอจนมีหมอมาดูอาการจึงค่อยตัดสินใจว่าจะกลับหรือไม่


               เมื่อได้ยินคำสั่งการของเขา เว่ยฉางอิ๋งที่ยามนี้มีสีหน้าซีดขาวพลันพยักหน้า พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือเล็กน้อยว่า “เอาเช่นนั้นกันก็แล้วกัน”


               เมื่อเห็นนางมีอาการเช่นนั้น พลันมีความหวาดหวั่นปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของเว่ยฉางเฟิง และไม่อาจวางท่าสง่างามอย่างลูกหลานสกุลใหญ่ได้อีก พลันสั่งการเว่ยชิงไปด้วยน้ำเสียงเด็ดขาดว่า “พี่สาม ท่านไปเชิญท่านหมอมา! เร็วเข้า!” เขาย่อมรู้จักพี่สาวแท้ๆ ของตนเป็นอย่างดี เว่ยฉางอิ๋งเป็นคนมีนิสัยทะนงตนมาแต่ไร ทั้งยังฝึกวรยุทธ มาแต่เล็ก จึงสามารถทนรับความเจ็บปวดได้มากว่าคนทั่วไปหลายเท่านัก แต่ยามนี้เจ็บปวดถึงเพียงนี้ ต้องไม่ได้บาดเจ็บเพียงเล็กน้อยแน่!


               นอกจากจะเป็นพี่น้องท้องเดียวกันแล้ว เว่ยฉางอิ๋งก็จวนเจียนจะต้องไปคารวะญาติผู้ใหญ่ฝ่ายสามีแล้ว จักไม่ให้เว่ยฉางเฟิงไม่ร้อนใจได้อย่างไร?


               เว่ยชิงเข้าใจสถานการณ์ดี รีบพยักหน้า “ข้าจะขี่ม้าของคุณชายกลับเมือง!” แน่นอนว่าม้าของเว่ยฉางเฟิงนั้นดีและว่องไวที่สุด


_________________________

 

 

 


ตอนที่ 40-1

 

ตอนที่ 40 บาดเจ็บ (1)

โดย

Xiaobei

บ่าวไพร่ต่างปรนนิบัติดูแลกันจ้าละหวั่น พาแม่นางทั้งสองส่งกลับไปที่กระท่อม แต่เพราะว่ากระท่อมนี้เรียบง่ายเกินไป ภายในห้องโถงและห้องหนังสือล้วนไม่มีที่ให้เอนกายนอนลงได้ ทุกคนจึงเลิกคำนึงว่าที่แห่งนี้มีความสำคัญมากมายเพียงใด แล้วตรงเข้าไปเปิดประตูห้องนอน แม้ไม่มีใครอาศัยอยู่และได้เก็บฟูกผ้าห่มไปหมดแล้ว ทว่าตั่งไม้ที่อยู่ภายในก็ยังกว้างพอให้นอนราบลงได้ ทั้งยามนี้ก็เป็นปลายฤดูร้อนต้นฤดูใบไม้ผลิ เพียงจัดแจงสักหน่อยก็เพียงพอให้เว่ยฉางอิ๋งนอนลงไปได้


เมื่อให้เว่ยฉางเฟิงออกไปแล้ว บรรดาสาวใช้จึงช่วยกันถอดเสื้อผ้าของนางออกอย่างเบามือเพื่อตรวจดูส่วนที่ได้รับบาดเจ็บ เพิ่งเปิดด้านหลังเอวของเว่ยฉางอิ๋งออก บรรดาสาวใช้ตัวเบียดเข้ามาดูแล้วสูดหายใจลึก คนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ และบ่าวชราที่เป็นลูกมือต่างพากันตื่นตระหนกจนถึงกับร้องอุทานออกมา!


“อาการบาดเจ็บเป็นเช่นไร?” เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกเพียงว่าตอนที่ล้มลงมานั้นราวกับไปชนเข้าก้อนหินบนพื้น และก็รู้สึกเจ็บปวดที่เอวเป็นอย่างมาก แต่ว่าตอนที่นางฝึกวรยุทธ ก็เคยได้รับความลำบากมามาก แม้ครานี้จะล้มทั้งยืนจนไร้เรี่ยวแรงไปในทันใด จะเอ่ยคำยังยากเย็น  แต่ก็ไม่ได้คิดเลยจริงๆ ว่าจะเป็นเรื่องใหญ่โต ทว่าเมื่อมาเห็นท่าทางของทุกคนในยามนี้ นางก็อดจะเป็นกังวลขึ้นมาเล็กน้อยไม่ได้ จึงรีบซักไซ้ขึ้นทันใด


ลวี่ฝางอดจะกวาดตามองไปที่เอวของนางสองครั้งไม่ได้ แล้วจึงเอ่ยอยากลำบากใจว่า “คุณหนู เอวของท่าน…ฟกช้ำเป็นรอยใหญ่…กระทั้งแผ่นหลังก็…”


“ตอนล้มลงมาข้ารู้สึกราวกับชนเข้ากับบางสิ่ง” อย่างไรเสีย เว่ยฉางอิ๋งก็เป็นผู้ฝึกวรยุทธ ตอนแรกๆ ที่ฝึกนั้นก็ยากที่จะไม่เป็นรอยฟกช้ำเขียวบ้างม่วงบ้างอยู่ทุกวัน   เมื่อได้ยินดังนั้นจึงกลับรู้สึกโล่งใจ เพราะที่นอนลงยามนี้ ก็ไม่ต้องใช้แรงทรงตัวเช่นยามยืนอยู่ นางเอียงหัวมา ยามพูดจากลับพูดได้อย่างลื่นไหล เอ่ยว่า “แค่รอยฟกช้ำใช่หรือไม่? ไม่มีรอยแผลแตก?”


ลวี่ฝางขบริมฝีปาก กล่าวว่า “ไม่มีรอยแผลแตก ทว่าบริเวณที่ฟกช้ำนั้น…”


เป็นเพราะฝึกวรยุทธมานานปี กล้ามเนื้อของเว่ยฉางอิ๋งจึงหาได้บอบบางฉีกขาดง่ายเช่นคนทั่วไป หากแต่ยืดหยุ่นได้มากกว่า ทว่าความงามหมดจดอย่างหญิงสาวในวัยนี้ซึ่งถูกประคบประงมมาอย่างดีก็หาได้ลดน้อยลงไปไม่ ยามนี้นางได้ปลดเปลื้องเสื้อผ้าออกเผยให้เห็นแผ่นหลัง แม้จะอยู่ในห้องทึบ ทว่าความผุดผ่องที่มีเฉพาะในผิวสาวก็ยังเปล่งประกายออกมา แม้จะเอ่ยว่างามดังหยกก็ยังน้อยเกินไป


และเพราะเหตุนี้ เมื่อมีรอยช้ำสีม่วงแผ่นใหญ่อยู่บนผิว จึงดูน่าตกใจยิ่งนัก


“ไม่เป็นไร กลับไปแล้วเอาเหล้ายาทาสักหน่อยก็ทุเลาแล้ว” เว่ยฉางอิ๋งได้ยินเพียงลวี่ฝางเอ่ยถึงสีของรอยฟกช้ำ แต่กลับลอบปาดเหงื่อที่ไหลโชก ดงไผ่เมื่อครู่นี้มองดูแล้วไม่ได้ชันแต่ความจริงนั้นมีความลาดเอียงมาก ตนเองร้อนใจเข้าช่วยซ่งไจ้สุ่ย หาได้ดูให้ชัดเจนไม่ว่าพื้นที่ตรงนั้นเป็นเช่นไรก็กระโจนเข้าไปหาแล้ว นี่หากว่าโชคร้าย ตรงที่ล้มลงไปมีก่อไผ่แหลมคมหรือสิ่งอื่น เสื้อผ้าบางๆ ของฤดูร้อนที่สวมในยามนี้ไม่มีทางช่วยกันได้… แม้ว่าตนจะล้มเอาหลังลง จึงไม่ได้เกิดสิ่งใดกับใบหน้า แต่ว่าหากแผ่นหลังถูกบาดเป็นแผลและทิ้งรอยแผลเป็นเอาไว้ก็จะไม่งามเช่นกัน…


ครานี้เพียงแค่ชนจนเกิดรอยฟกช้ำ สำหรับนางแล้วดีชั่วก็เป็นแค่เรื่องที่กลับไปนอนพักสักสองวัน เมื่อวางใจได้เช่นนั้น นางจึงพลันนึกถึงซ่งไจ้สุ่ยขึ้นได้ แล้วรีบรนเงยหัวขึ้นเหนือตั่งไปดู “ท่านพี่ท่านเป็นอย่างไรบ้าง? ได้รับบาดเจ็บหรือไม่?”


ก่อนหน้านี้ตอนอยู่บนยอดเขา แม้เว่ยฉางเฟิงจะต่อว่าไปจนถึงชุนจิ่ง แต่ระหว่างทางที่ส่งทั้งสองนางลงจากเขา เว่ยฉางเฟิงเอาแต่จดจ่ออยู่ที่ตัวเว่ยฉางอิ๋ง จึงกลับทิ้งซ่งไจ้สุ่ยเอาไว้อีกทางหนึ่ง นี่หาใช่เพราะเขายังเด็ก เมื่อประสบเรื่องใหญ่โตก็ไม่อาจจะดูแลทุกเรื่องได้ทั่วถึง หากแต่เพราะอย่างไรเสียข้างกายทั้งสามคนล้วนมีบ่าวไพร่ดูแลเพียงพออยู่แล้ว อีกประการเว่ยฉางอิ๋งก็เป็นพี่สาวแท้ๆ ของเขา ซ่งไจ้สุ่ยเป็นเพียงลูกผู้พี่… แม้ปกติแล้วเว่ยฉางเฟิงก็เคารพพี่สาวทั้งสองเช่นเดียวกัน ทว่าเมื่อประสบเหตุเช่นนี้ ก็เห็นได้ชัดว่าพี่น้องแท้ๆ และญาตินั้นย่อมมีความแตกต่างกัน ประการที่สอง ก่อนหน้านั้นเว่ยฉางเฟิงได้ยินเว่ยฉางอิ๋งสั่งให้ชุนจิ่งและเซี่ยจิ่งรั้งตัวซ่งไจ้สุ่ยไม่ให้เข้าไปในป่าไผ่ จากนั้นนางก็มาบาดเจ็บเพราะช่วยซ่งไจ้สุ่ยอีก… แม้เขาจะอายุยังน้อย แต่ก็ฉลาดเฉลียวมาแต่กำเนิด มีหรือจะดูไม่ออกว่าที่ซ่งไจ้สุ่ยเกิดล้มลงไปนั้นมีพิรุธเป็นอย่างมาก?


หากเดิมทีเป็นเพียงลูกผู้พี่ตั้งใจหกล้มจนบาดเจ็บ เว่ยฉางเฟิงก็จะไม่ถึงกับเคืองนางเช่นนี้ แต่ที่ซ่งไจ้สุ่ยจงใจหกล้มนี้กลับพลอยทำให้เว่ยฉางอิ๋งรับเคราะห์ไปด้วย เว่ยฉางเฟิงสงสารพี่สาวของตน จึงมีโทสะอยู่ในหัวใจ เขาอายุยังน้อย ทั้งเกิดมาสูงศักดิ์ จึงหาได้สนใจฐานะในภายภาคหน้าของซ่งไจ้สุ่ยไม่ ภายใต้ความเคืองโกรธ จึงเห็นว่าเขาชักสีหน้าใส่ลูกผู้พี่ผู้นี้อย่างชัดเจน


ในเมื่อเขาทำเช่นนี้ พวกของลวี่ฝางต่างก็รู้สึกสงสารคุณหนูของบ้านตน แม้มิกล้าจะแสดงออกชัดเจนอย่างเช่นเว่ยฉางเฟิงทำ แต่ไม่ว่าจะจงใจหรือไม่ พวกนางก็เฉยเมยกับซ่งไจ้สุ่ยขึ้นมา… ก่อนนี้ตอนที่พากันกรูเข้าไปตรวจดูอาการบาดเจ็บของลูกพี่ลูกน้องทั้งสองนาง พวกของลวี่ฝางเข้าไปถึงตั่งก่อน และเหลือเพียงเก้าอี้ยาวมีพนักสำหรับนั่งพักผ่อนตรงใต้หน้าต่างเอาไว้เห็นซ่งไจ้สุ่ยและสาวใช้เท่านั้น… และท่าทีตื่นตระหนกของลวี่ฝางและบ่าวชราเมื่อครู่นี้ นอกจากจะเป็นเพราะเป็นห่วงเว่ยฉางอิ๋งแล้ว ก็ยังจงใจแสดงความตกใจให้ซ่งไจ้สุ่ยเห็นด้วย


ยามนี้เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยปากถามถึงซ่งไจ้สุ่ยเอง พวกลวี่ฝางแม้จะไม่เอ่ยคำใด ทว่าก็ยังมีความขัดเคืองใจอยู่ในแววตา… คุณหนูของบ้านตนต้องบาดเจ็บเพราะช่วยซ่งไจ้สุ่ย จนถึงขั้นจะลุกขึ้นก็ยังลุกไม่ได้…แต่เมื่อซ่งไจ้สุ่ยมาถึงที่นี่พักหนึ่งก็มิได้ไต่ถามสิ่งใด เมื่อชุนจิ่งประคองนางไปที่เก้าอี้ยาวมีพนัก นางก็เอาแต่นั่งอยู่เช่นนั้นไม่ส่งเสียงใด…


ช่าง…ไม่มีน้ำจิตน้ำใจเอาเสียเลย…


ซ่งไจ้สุ่ยเป็นคนละเอียด นางย่อมสัมผัสได้ถึงความขัดเคืองของเว่ยฉางเฟิงและบ่าวของตระกูลเว่ย เพียงแต่นางหาได้ต้องการจะอธิบายไม่ จึงกล่าวเสียงเบาว่า “ข้ามิเป็นไร”


ชุนจิ่ง สาวใช้ที่อยู่ข้างกายนางขยับริมฝีปาก แต่กลับต้องหยุดปากไว้เพราะสายตาเย็นเฉียบของซ่งไจ้สุ่ย


เว่ยฉางอิ๋งนอนอยู่บนตั่ง ไม่ได้สังเกตเห็นเหตุการณ์นี้ เมื่อได้ยินคำจึงรู้สึกโล่งใจ เอ่ยว่า “เช่นนั้นก็ดีแล้ว” เมื่อความกังวลคลายลง นางกลับโวยวายเร่งรัดขึ้นมา “หมอเล่า? เหล้ายาเล่า? ไม่มีสิ่งใดเลยรึ? ฉางเฟิงจัดการอย่างไรกัน! รีบให้คนออกไปถามเร็ว!”


ลวี่ฝางรู้ว่าเจ้านายผู้นี้เมื่อในใจไร้เรื่องกังวลก็จะชอบกดดันผู้อื่น จึงรีบปลุกปลอบนางแทนเว่ยฉางเฟิง แล้วเอ่ยด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “ก่อนหน้านี้คุณชายห้าได้สั่งให้คุณชายชิงขี่ม้าของคุณชายกลับเข้าเมืองไปตามท่านหมอมาแล้ว คุณหนูใหญ่ได้โปรดอดทนสักพัก!”


“โธ่…ไม่มีหมอ ไม่มีเหล้ายา ก็ไม่รู้จักให้คนไปต้มน้ำสักหน่อย แล้วเอาผ้าร้อนมาประคบ[1]ให้ข้า!” ยามเว่ยฉางอิ๋งเล็กๆ นั้นหกล้มจนชินเสียแล้ว เรื่องการดูแลบาดแผลนั้นนางมีประสบการณ์โชกโชน กลายเป็นพวกลวี่ฝางเสียอีก เป็นเพราะหลายปีมานี้ได้ผ่านช่วงที่เว่ยฉางอิ๋งฝึกพื้นฐานวรยุทธแล้ว จึงไม่ค่อยบาดเจ็บจากการฝึก ทำให้พวกบ่าวพากันหลงลืมวิธีดูแลง่ายๆ เช่นนี้ไปสิ้น…แต่ความจริงแล้วผู้ที่บาดเจ็บเมื่อก่อนนั้นก็หาใช่พวกนางไม่


เมื่อเว่ยฉางอิ๋งย้ำเตือน พวกบ่าวต่างพากันอายจนหน้าแดง ลวี่ฝางรีบคำนับอย่างรวดเร็ว “เป็นข้าน้อยเองที่เลอะเลือน! ข้าน้อยจะไปทำบัดเดี๋ยวนี้!”


เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยอีกว่า “อาหารเที่ยงวันนี้ยังไม่ได้รับ…เตาที่นี่ใช้การได้ไหม?”


บ่าวชราสองคนเอื้อมมือไปเช็ดกระโปรงสองหน แล้วรีบรนคำนับ “ข้าน้อยจะรีบไปดู”


———————————————————————-


[1] การประคบร้อน เมื่อเพิ่งเกิดอาการบาดเจ็บเป็นความเชื่อที่ไม่ถูกต้อง ตามหลักการแพทย์ในปัจจุบัน จะต้องประคบเย็นในช่วง 24 ชั่วโมงแรกหลังเกิดอาการบาดเจ็บ เมื่อพ้นเวลานั้นไปแล้ว จึงให้ประคบร้อนในภายหลัง

 

 

 


ตอนที่ 40-2

 

เมื่อสั่งงานให้คนทั้งกลุ่มแล้วก็เหลืออยู่เพียงไม่กี่คน เว่ยฉางอิ๋งออกแรงกัดแขนเสื้อหนหนึ่ง ยังมิทันคิดได้ว่าต่อไปจะกดดันผู้ใดอีก ก็พลันได้ยินซ่งไจ้สุ่ยเอ่ยเสียงเบาว่า “อย่างเพิ่งเรียกให้คนไปเอาผ้าร้อนมาประคบเลย เจ้ามองไม่เห็นอาการบาดเจ็บที่เอวของตน ข้าเห็นว่าล้มลงอย่างแรง มิรู้ว่าบาดเจ็บที่เนื้อหนัง หรือว่ากระดูก…” เอ่ยถึงตรงนี้นางก็นิ่งเงียบไปเกือบเค่อ แล้วเอ่ยด้วยเสียงที่แผ่วเบาลงไปกว่าเดิมว่า “อย่างไรก็ฝืนทนสักหน่อย รอให้ท่านหมอมาตรวจดูก่อนค่อยว่ากันเถิด”


เว่ยฉางอิ๋งคายแขนเสื้อออกจากปาก แล้วเอ่ยเสียงคร่ำครวญว่า “ข้าว่าคงไม่หนักถึงเพียงนั้นกระมัง? กระ…กระดูกข้าแข็งยิ่งนัก”


“รอให้ท่านหมอมาตรวจดูเถิด” ดูซ่งไจ้สุ่ยอารมณ์ยังไม่ดีนัก จึงเอ่ยออกไปอย่างราบเรียบ


เว่ยฉางอิ๋งคิดในใจว่า วันนี้ลูกผู้พี่คิดตัดช่องน้อยแต่พอตัว แม้จะถูกข้าขัดขวาง แต่ก็พลอยให้ข้าต้องได้รับบาดเจ็บ เกรงว่ายามนี้จะยังวางท่าลงมิได้ จึงมิได้ขัดนางเหมือนเช่นในยามปกติ แต่กลับตอบรับอย่างว่าง่ายว่า’ “ตกลง”


ในหนึ่งชั่วยามนั้น ลูกพี่ลูกน้องสองนางไม่เอ่ยคำใด ภายในห้องก็เงียบสงัดลง


…คุณหนูใหญ่เลือดเนื้อเชื้อไขโดยตรงของตระกูลเว่ยและว่าที่พระชายาองค์รัชทายาทที่มาเป็นแขกของตระกูลเว่ยต่างพากันหกล้มบาดเจ็บอยู่บนเขาไผ่น้อย นี่ถือเป็นเรื่องใหญ่ เว่ยชิงขี่ม้ากลับจวน กลับไปไม่ทันถึงหนึ่งชั่วยาม ก็ได้พาหมอสองท่านรีบขึ้นมาก่อน


               เพียงแต่ว่าเมื่อหมอขึ้นมาบนเขาและมาอยู่ที่นอกกระท่อม เว่ยฉางเฟิงที่เฝ้ารออย่างร้อนรนอยู่ตั้งนานแล้ว ยังมิทันได้ยินดีก็กลับต้องปวดหัวอีกครา… ตำแหน่งที่เว่ยฉางอิ๋งได้รับบาดเจ็บนั้นไม่เหมาะให้คนนอกดู และหมอสองท่านนี้ต่างก็เป็นชายเสียด้วย!


               บรรยากาศ พลิกไปพลิกมาเช่นนี้อยู่ครึ่งเค่อ จนเว่ยฉางอิ๋งทนไม่ไหว กัดผ้าเช็ดหน้าแล้วสั่งสาวใช้ใช้มือกดดูกระดูกตรงบั้นเอวดู เมื่อแน่ใจว่ากระดูกไม่เป็นอะไร…คุณหนูใหญ่ตระกูลเว่ยก็แน่ใจว่าเป็นเพียงอาการบาดเจ็บที่กล้ามเนื้อเท่านั้น เพียงต้องระบายเลือดคั่งออกเป็นพอ หมอสองคนที่มิรู้ว่าจะเข้าไปหรือถอยออกดีจึงได้โล่งใจ หลังจากที่ปาดเหงื่อจากความเครียดแล้ว จึงได้ออกใบสั่งยาระบายเลือดคั่งให้ ตามอาการที่นางอธิบายมา และกำชับกำชาว่าต้องระมัดระวังเรื่องใดบ้าง ในเมื่อแน่ใจว่าเป็นเพียงแค่รอยช้ำ เว่ยฉางอิ๋งซึ่งมีประสบการณ์ช่ำชองกลับหาได้สนใจคำของหมอไม่


               ทว่า นี่กลับเป็นการตอบรับกับคำพูดที่นางเคยเอ่ยกับซ่งไจ้สุ่ยก่อนหน้านี้…แม้กระดูกจะไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่ยามนี้กลับไม่อาจเคลื่อนไหวได้ง่ายดาย จะต้องอยู่บนเขาไผ่นอนนี้ไปสักสองสามวันจึงจะกลับเมืองได้


               เมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่เพียงจะต้องเพิ่มคนมาดูแลปรนนิบัติ ทั้งข้าวปลาอาหาร ผักผลไม้ต่างๆ เสื้อผ้า ล้วนต้องนำขึ้นมาด้วย เพื่อมิให้เว่ยฉางอิ๋งอยู่อยากลำบากในขณะที่พักรักษาตัว


               เมื่อเทียบกับเรื่องที่เว่ยฉางอิ๋งบาดเจ็บแต่เพียงที่กล้ามเนื้อและไม่ได้มีบาดแผลฉีกขาดใดๆ ผู้ติดตามทั้งหลายต่างพากันขอบคุณฟ้าดินแล้ว ส่วนเรื่องที่ต้องมีการขนย้ายกันขนานใหญ่เพื่อเตรียมการสำหรับสองสามวันนี้ ก็ถือว่าเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย


               เว่ยฉางเฟิงตรวจสอบความแน่ใจกับหมอหนแล้วหนเล่าว่าพี่สาวแท้ๆ ของตนไม่ได้มีอันตรายร้ายแรงใด…แม้หมอที่เว่ยชิงเชิญมานั้นจะเป็นหมอที่มีชื่อเสียงไม่เลวเลยในเฟิ่งโจว ทว่าอาการบาดเจ็บแต่ภายนอกที่เพิ่งจะเกิดขึ้นเช่นนี้ แล้วอาศัยแค่เพียงการจับชีพจรผ่านเส้นด้ายหลังม่านกั้น จักมีความแม่นยำสักกี่มากน้อยกัน? ผู้ที่บอกว่ากระดูกไม่เป็นอะไรคือคุณหนูใหญ่แห่งตระกูลเว่ย พวกหมอเองก็ไม่กล้าให้เว่ยฉางเฟิงไปสอบถามกับเว่ยฉางอิ๋งให้แน่ชัด ทั้งยังกลัวว่าจะต้องรับผิดชอบมากขึ้นไปอีก จึงได้แต่ใช้คำศัพท์เฉพาะทางต่างๆ นานาจากตำราแพทย์มาตอบคำถาม และเว่ยฉางเฟิงเองก็ไม่ได้สันทัดในตำราแพทย์เลยแม้แต่น้อยเสียอีก กลายเป็นว่ายิ่งถามก็ยิ่งลงลึกไปเรื่อยๆ


               กว่าหมอทั้งสองคนจะทุ่มเทสุดกำลังจนกลบเกลื่อนเขาได้สำเร็จ ก็เหงื่อตกจนแทบจะเปียกไปทั้งแผ่นหลัง ในขณะที่กำลังคิดว่าจะเอ่ยลาได้แล้ว แต่คาดไม่ถึงว่าเว่ยฉางเฟิงกลับปาดเหงื่อที่ไหลออกมาเพราะความร้อนรน และกล่าวอีกว่า “ลูกผู้พี่ของข้าผู้นี้ เมื่อครู่ก็หกล้มไปพร้อมกัน ไม่รู้ว่าตื่นตกใจเพียงใดหรือไม่ ยังต้องขอให้ท่านทั้งสองตรวจอาการดูสักหน่อย”


               หมอทั้งสองคนต่างก็เป็นคนท้องถิ่นของเฟิ่งโจว แม้ไม่ใช่คนของตระกูลเว่ยแต่ก็เคยได้ยินมาว่าว่าที่พระชายาองค์รัชทายาทซึ่งเป็นแขกของบ้านเว่ยผู้นี้ มีฐานะสูงส่งยิ่งกว่าคุณหนูใหญ่ตระกูลเว่ยเสียอีก จึงพากันตอบรับอย่างระมัดระวัง


               เดิมทีเว่ยฉางเฟิงนึกว่าซ่งไจ้สุ่ยไม่เป็นอะไร เพราะอย่างไรเสียยามที่นางหกล้มนั้นก็เป็นเว่ยฉางอิ๋งที่เอาตัวรองรับนางไว้ อย่างมากคงเพียงแค่ตื่นตกใจ เพียงให้ยาต้มกล่อมประสาทก็คงจะสิ้นเรื่องแล้ว ที่เขาเรียกให้หมอตรวจดูอาการให้ซ่งไจ้สุ่ยก็เพียงเพราะไม่ต้องการจะทำให้บ้านตระกูลซ่งเสียหน้า… จะอย่างไรนางก็เป็นลูกผู้พี่ แม้ในใจยังคงคิดว่าซ่งไจ้สุ่ยทำให้เว่ยฉางอิ๋งพลอยรับเคราะห์ไปด้วย แม้ว่าเว่ยฉางอิ๋งจะบาดเจ็บแค่เพียงที่เนื้อหนัง แต่ก็มิอาจทำให้เขาไม่มองลูกผู้พี่ผู้นี้อย่างอริได้


ที่ให้หมอไปตรวจอาการครานี้ ก็เพราะต้องการจะชดเชยที่เขาจงใจเมินเฉยกับนางก่อนหน้านี้ด้วย


เดิมทีคิดว่าไม่ต้องให้หมอตรวจอาการก็คงไม่เป็นอะไร แต่ใครเล่าจักคิดว่า เมื่อไปตรวจ และเพียงบอกให้ซ่งไจ้สุ่ยยื่นข้อมือออกมาจากม่านเพื่อให้หมอตรวจดูชีพจร ชุนจิ่งที่อยู่ข้างในก็เอ่ยพร้อมเสียงสะอื่นไห้ว่า “แขนของคุณหนูหลุดแล้ว!”


เว่ยฉางฟงตื่นตกใจ เว่ยฉางอิ๋งที่หลังม่านก็ตกใจเช่นกัน พลันกล่าวว่า “หลุดมานานเท่าใดแล้ว? เหตุใดจึงไม่บอกกล่าว?”


จึงได้ยินชุนจิ่งเอ่ยว่า “เมื่อคระ…” ทันใดนั้นซ่งไจ้สุ่ยพลันใช้น้ำเสียงที่อ่อนแรงทว่าเย็นเฉียบขัดจัดหวะนาง เอ่ยอย่างราบเรียบว่า “เมื่อครู่ตกใจเกินไป ข้าเองก็ไม่รู้ว่าหลุดแต่เมื่อใด ก่อนหน้านี้ตัวชา เมื่อครู่เพิ่งจะรู้สึกได้ หากมิใช่ชุนจิ่งเตือนข้าว่าแขนห้อยลงดูไม่ปกติ ข้าก็หาได้สังเกตเห็นไม่”


จริงอยู่ว่านางเอ่ยวาจาไปเช่นนั้น ทว่าผู้ใดเล่าจะไม่รู้ว่าความเจ็บปวดจากแขนที่หลุดนั้นมีหรือจะเพิ่งมารู้สึกได้หลังเกิดเรื่องไปหนึ่งหรือสองชั่วยาม? นี่จักต้องเป็นเพราะซ่งไจ้สุ่ยรู้สึกผิดที่ทำให้ลูกผู้น้องต้องลำบากไปด้วย จึงได้ฝืนทนไม่ยอมเอ่ย ความเจ็บปวดเช่นนี้หากเป็นเว่ยฉางอิ๋งแล้วไม่ถือว่าเป็นปัญหาใหญ่ แต่สำหรับคุณหนูแสนบอบบาง ที่เหนื่อยหอบเมื่อปีนเขาลูกเตี้ยๆ เพียงสามสิบจั้งเช่นซ่งไจ้สุ่ยแล้ว…ความอดทนเช่นนี้ แม้แต่เว่ยฉางฟงที่เคยไม่พอใจนางมาก่อนหน้านี้ยังรู้สึกสงสาร พลันเอ่ยเสียงต่ำๆ ว่า “อย่าเพิ่งพูดเรื่องนี้เลย…รีบจัดแขนของท่านพี่เข้าที่เร็ว!”


…ซ่งไจ้สุ่ยไม่เพียงแต่แขนหลุดเท่านั้น ตอนที่ล้มลงมา เข่าของนางไปชนกับหินแตกเข้าพอดี สวรรค์โปรดที่ไม่มีเลือดออก ทว่าก็ชนจนเป็นรอยฟกช้ำขนาดใหญ่ เป็นเหตุให้ยามที่ลงจากยอดเขามา นางจึงไร้เรี่ยวแรงใดๆ ต้องอาศัยพวกสาวใช้ประคองตัวนางเดินลงมา เพียงแค่ชุนจิ่งและเซี่ยจิ่งไม่กล้าส่งเสียงใดยามเมื่อถูกนางทิ้งแรงทั้งตัวมาใส่เท่านั้นเอง…


เมื่อเห็นว่าอาการบาดเจ็บของนางหาได้เบากว่าเว่ยฉางอิ๋งไม่ เว่ยฉางเฟิงทั้งร้อนใจทั้งกังวล จึงรีบสั่งการให้หมอหนึ่งในสองคนซึ่งมีอายุมากกว่ารีบจัดกระดูกแขนให้ซ่งไจ้สุ่ย และจ่ายยาระบายเลือดให้อีกชุดหนึ่ง หลังจากตรวจชีพจรและแน่ใจว่านอกจากอาการบาดเจ็บภายนอกทั้งสองแห่งนี้ ซ่งไจ้สุ่ยไม่ได้มีอาการใดอื่นอีก…เมื่อจัดการทุกอย่างหมดแล้ว ผ้าเช็ดหน้าในมือของเว่ยฉางเฟิงก็ถูกเช็ดเสียจนเปียกไปหมด กำลังจะเอ่ยความ กลับได้ยินเสียงเอะอะจากภายนอก ที่แท้เป็นฮูหยินซ่งให้คนพามาที่นี่!


_________________________

 

 

 


ตอนที่ 41

 

              แต่ไรมาฮูหยินซ่งก็เห็นบุตรชายและบุตรสาวเป็นดังแก้วตาดวงใจ เป็นคนที่สำคัญเสียยิ่งกว่าชีวิตของตน ผู้ที่วางแผนให้บุตรชายบุตรสาวออกมาเที่ยวเป็นเพื่อนหลานสาวครานี้ก็คือนางเอง และนางก็รู้อยู่เต็มอกว่าที่หลานสาวเสนอความคิดเรื่องอยากออกไปเที่ยวนั่นเกรงว่าจะมีแผนการบางอย่าง ทว่าด้วยความรู้สึกผิดและสงสารหลานสาวจึงยังคงฝืนรับคำ


               ไม่คิดว่าสองวันก่อนยังดีๆ อยู่ วันนี้เพิ่งจะนอนกลางวันไปสักพักเดียวก็ถูกเสียงแม่นมซือปลุกให้ตื่น บอกว่าบุตรสาวและหลานสาวทั้งคู่หกล้มได้รับบาดเจ็บอยู่บนเขาไผ่น้อย…ฮูหยินซ่งตกใจเสียจนวิญญาณแทบจะออกจากร่าง ไหนเลยจะมีแก่ใจไปดูแลงานการต่างๆ ในบ้านตระกุลเว่ย?


                แม้แต่แม่เฒ่าซ่งนางก็ยังไม่ทันได้รายงายใดๆ มิทันได้ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า ตรงมาสวมรองเท้าไม้และเรียกให้เตรียมรถ!


               ตลอดทางนางเร่งคนขับรถให้เร่งรถไวๆ ไม่รู้กี่หน คนขับรถหวาดเกรงจะได้รับโทษจากนายผู้หญิงจึงได้แต่หวดแซ่ใส่ม้าที่ลากรถอยากสุดชีวิต รถม้าสั่นคลอนจนสาวใช้อายุน้อยสองสามคนทนไม่ไหว ฮูหยินซ่งผู้เกิดมาสูงศักดิ์ร้อนใจเป็นห่วงบุตรสาวและหลานสาวอย่างล้นเหลือ แม้ใบหน้าจะซีดเผือด แต่ก็ไม่ได้มีอาการสะทกสะท้านใดให้เห็น นางออกแรงจับยึดตัวรถเอาไว้จนนิ้วมือกลายเป็นสีเขียว


               เมื่อถึงตีนเขาไผ่น้อย ฮูหยินซ่งก็เป็นคนเดินนำหน้าเป็นคนแรก ก้าวเท้าอย่างรวดเร็ว นำแม้กระทั่งองครักษ์ที่เดิมทีมาคอยนำทางให้!


               เมื่อฟุ่งตัวเข้าไปในกระท่อมแล้วกวาดสายตาไป เห็นบุตรชายคนรองยืนอยู่ในห้องโถงโดยไม่มีอาการบาดเจ็บใดๆ และกำลังจะเอ่ยปากกับฮูหยิน แม้สีหน้าจะเคร่งเครียดแต่ก็มิได้มีความทุกข์ ยามนั้นเองนางจึงได้สงบสติอารมณ์ พลางเอ่ยถามด้วยเสียงสั่นว่า “ฉางเฟิง พวกพี่สาวเจ้าเล่า?”


               “ท่านแม่!” เว่ยฉางเฟิ่งรู้สึกตกใจที่มารดาเดินทางมาด้วยตนเอง ทั้งยังมาถึงเสียรวดเร็วเช่นนี้ เขาเข้าใจดีว่าฮูหยินซ่งรักใคร่ตนเองและพี่สาวเพียงไร จึงได้รีบเอ่ยปลอบใจนาง “ท่านพี่ทั้งสองนั้นไม่เป็นอะไรมาก ท่านแม่โปรดอย่าได้เป็นกังวลไป!”


               เมื่อได้ยินประโยคนี้ กอปรกับหมอทั้งสองคนก็เอ่ยปากยืนยันเป็นมั่นเหมาะ ยามนี้ฮูหยินซ่งจึงได้ผ่อนลมหายใจยาวออกมา…ทันใดนั้นพลันรู้สึกว่าขาอ่อนไปหมด จนแทบจะทรุดลงไปกับที่!


               ยามนี้ทั้งฮูหยินและบ่าวไพร่ต่างก็อยู่กันครบ พวกแม่นมซือและฮว่าถังต่างรู้ดีว่าไม่อาจให้นายหญิงของบ้านมาเสียหน้าต่อธารกำนัล มิทันส่งเสียงใดก็พากันเข้าไปประคอบนางเอาไว้ ฮูหยินซ่งจึงยืนขึ้นมาอย่างมั่นคงได้อีกครั้ง เมื่อยืนได้มั่นคงแล้ว ฮูหยินซ่งก็จัดแจงแขนเสื้อ…อาศัยการนี้สงบจิตใจอีกครั้ง และฮูหยินซ่งก็รีบรุดเดินไปทางห้องนอนทันที


               เมื่อเห็นเช่นนั้น เว่ยฉางเฟิงกระแอมไอหนึ่งครา แล้วเอ่ยกับหมอทั้งสองว่า “ยังต้องขอให้ทั้งสองท่านอยู่รอก่อน เกรงว่าเมื่อท่านแม่ออกมาจะมีข้อสงสัยที่ต้องการให้ทั้งสองท่านตอบอีก”


               หมอทั้งสองคนยิ้มเจื่อนและหันมามองกันหนหนึ่ง และไม่อาจไม่ตอบรับได้…ก็ผู้ใดใช้ให้ฮูหยินซ่งเป็นห่วงบุตรสาวและหลานสาวถึงเพียงนี้ แม้ทั้งหมอและบุตรชายคนรองต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันแล้วว่าอาการไม่หนักหนา แต่หากมิได้เห็นด้วยตา แล้วจักให้วางใจได้อย่างไร?


               หรือต่อให้เห็นแล้ว ก็เกรงว่ายามออกมาจะยังมีเรื่องต้องสอบถามกับหมออีกหนแล้วหนเล่า…


               ภายในห้อง ด้วยเหตุที่ซ่งไจ้สุ่ยปกปิดถึงสาเหตุที่ได้รับบาดเจ็บ จึงทำให้บรรยากาศช่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเอาเสียจริงๆ เมื่อพลันได้เห็นฮูหยินซ่งเข้ามา ทั้งสองนางต่างพากันตื่นตกใจ เว่ยฉางอิ๋งไม่สะดวกจะหยัดตัวลุกขึ้น และซ่งไจ้สุ่ยก็ไม่อยากยืนขึ้นคำนับ ฮูหยินซ่งรู้ว่านางบาดเจ็บที่เข่า แล้วจะให้นางขยับร่างกายได้อย่างไร? จึงรีบเอ่ยไปว่า “จงอยู่กับที่ห้ามขยับ!”


               แม้ในใจจะร้อนใจกับบุตรสาว ทว่าหลานสาวก็เป็นญาติสนิท ฮูหยินซ่งร้อนใจจนทนไม่ไหว จึงเข้าไปพลิกเปิดแขนเสื้อและชายกระโปรงของนาง เมื่อเห็นแขนและหัวเข่าของซ่งไจ้สุ่ยแล้ว ทั้งยังได้ยินซ่งไจ้สุ่ยยืนยันหนแล้วหนเล่าว่าไม่เป็นไร จึงได้โล่งใจและไปดูบุตรสาว


               รอยฟกช้ำของเว่ยฉางอิ๋งนั้นน่าตกใจมากกว่าของซ่งไจ้สุ่ย ฮูหยินซ่งได้เห็นแล้วแทบจะน้ำตาร่วงออกมา นางไม่อยากจะออกไปไต่ถามหมออีก พลันนั่งลงข้างๆ ซ่งไจ้สุ่ย สะอื้นเบาๆ ว่า “มาชมเขาอยู่ดีๆ เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้เล่า?”


               คำถามนี้ทำให้ลูกพี่ลูกน้องทั้งสองนางออกจะลำบากใจ ไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไร ซ่งไจ้สุ่ยคาดเดาในใจว่าที่ท่านอารีบร้อนมาเร็วเช่นนี้ ระหว่างทางคงยังมิได้มีผู้ใดเล่ามาให้ฟังว่าตนทำให้ลูกผู้น้องต้องรับเคราะห์ เดิมทีนางคิดจะแสร้งทำหกล้ม แล้วให้ก้อนหินที่นางเล็งเอาไว้บาดแก้มของตนเพื่อจะได้หลบเลี่ยงการแต่งเข้าวัง แต่ไม่ได้คิดว่าลูกผู้น้องจะกระโจนเขามาช่วยตนไว้ จนกลายเป็นว่าก้อนหินที่นางได้เลือกเอาไว้กลับไปทำให้ลูกผู้น้องบาดเจ็บแทน…ยังดีที่ไม่เป็นอะไรมาก มิเช่นนั้นจิตใจของซ่งไจ้สุ่ยคงไม่อาจสงบได้ไปชั่วชีวิต


               เมื่อได้ยินท่านอาสอบถามดังนี้ แม้จะรู้ว่าฮูหยินซ่งหาใช่จะต้องการสอบสวนหาความผิด หากแต่ต้องการสอนสั่ง แต่ซ่งไจ้สุ่ยรู้สึกผิดอยู่ในใจ จึงกำลังจะเอ่ยปากยอมรับผิด กลับพลันได้ยินเว่ยฉางอิ๋งเอ่ยพลางหัวเราะว่า “ท่านแม่ เป็นข้าไม่ดีเอง ขาเห็นว่าฉางเฟิงให้พี่สามทำเบ็ดตกปลาให้ จึงได้พาท่านพี่ให้คิดอยากทำด้วย นึกไม่ถึงว่ากระโปรงที่สวมนั้นยาวไปสักหน่อย เมื่อเข้าไปในป่าไผ่จึงได้ถูกเกี่ยวเอา และยังพาท่านพี่ล้มไปด้วยกัน”


               ซ่งไจ้สุ่ยและสาวใช้ทั้งสองนางพากันนิ่งอึ้ง และต่างมองไปยังเว่ยฉางอิ๋งด้วยสายตาไม่ปกติ ฮูหยินซ่งก็ตื่นตกใจเช่นกัน แล้วเอ่ยออกไปอย่างมิทันรู้ตัวว่า “เป็นเช่นนั้นรึ?”


               “ต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว” เว่ยฉางอิ๋งนอนคว่ำอยู่บนเตียง ร้องเสียงคร่ำครวญ ทำประหนึ่งว่าไม่มีอะไร แล้วเอ่ยว่า“โชคดีที่สวรรค์คุ้มครอง ทั้งข้าและท่านพี่ต่างก็ไม่ได้เป็นอะไรมาก มิเช่นนั้น ข้าก็ไม่รู้จริงๆ ว่าจะบอกกับท่านลุงอย่างไร!”


               ฮูหยินซ่งขมวดคิ้วครั้งแล้วครั้งเล่า…เป็นดังที่ซ่งไจ้สุ่ยคิดเอาไว้จริงๆ ว่าในเมื่อนางรีบร้อนมาเช่นนี้ แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นหลานสาวที่วางแผนจะทำร้ายตัวเองจึงได้พลอยลากเอาบุตรสาวของนางมาบาดเจ็บเพราะต้องการจะช่วยตน? ที่นางมายามนี้ ประการแรกเพราะเป็นห่วงเลือดเนื้อเชื้อไขของตน ประการที่สองกลับเป็นเพราะกลัวว่าซ่งไจ้สุ่ยจะยังไม่ยอมรามือ ครานี้ได้เว่ยฉางอิ๋งขัดขวางไว้ แต่กลับไม่ยอมจำนน ยามนี้อำนาจของรุ่ยอวี่ถังในรัชสมัยนี้เริ่มอ่อนแรงลง จึงไม่ต้องการต้องพระราชอาญาข้อหา ‘ประมาทเลินเล่อจนเป็นเหตุให้ว่าที่พระชายาองค์รัชทายาทเสียโฉม’


               หรือหากไม่เอ่ยถึงในวัง ลำพังเพียงเรื่องของเครือญาติ ตระกูลซ่งก็มีหลานสาวซึ่งเป็นเลือดเนื้อโดยตรงเพียงคนเดียว หากซ่งไจ้สุ่ยเกิดเรื่องเกิดราวในเฟิ่งโจว ฮูหยินซ่งก็ไม่รู้จะบอกกับบิดามารดาแลพี่ชายอย่างไร ยิ่งไปกว่านั้นซ่งไจ้เถียนและเสิ่นโจ้วเดินทางมาด้วยกัน อีกไม่กี่วันก็จะถึงแล้ว แล้วซ่งไจ้สุ่ยที่ถือเป็นหมากสำคัญในตอนนี้กลับมาเกิดเรื่องขึ้น ฮูหยินซ่งเองก็ไม่รู้ว่าจะไปพบหน้าหลานชายผู้นี้อย่างไรดี!


               เช่นนั้นแล้ว เมื่อรู้ว่าอาการของเด็กทั้งสองไม่เป็นอะไรมาก ฮูหยินซ่งจึงได้วางใจลงได้เสียที แล้วรีบคิดถึงสิ่งที่ต้องบอกกล่าวกับซ่งไจ้สุ่ยและบอกให้เรียบร้อย เพื่อมิให้นางคิดจะทำร้ายตัวเองหรือคิดสั้นใดๆ อีก


แต่แล้ว บุตรสาวของตนก็ออกหน้ารับแทนนางอีก ฮูหยินซ่งเพียงถามแค่ประโยคเดียว ตามองไปที่ซ่งไจ้สุ่ยนางก็จะยอมรับแล้ว…กำลังจะอาศัยจังหวังที่ซ่งไจ้สุ่ยรู้สึกผิดเอ่ยเรื่องนี้เชียว เว่ยฉางอิ๋งกลับเอาทุกเรื่องมาลงที่ตัวเองเสียนี่!


‘เจ้าเด็กโง่แล้งน้ำใจ!’ ฮูหยินซ่งรุ่มร้อนขึ้นมาในอก นึกต่อว่าบุตรสาวว่าไม่มีความคิดอ่าน ‘ยามนี้เป็นเวลาจะมาออกหน้ารับแทนใครรึ?’ ไจ้สุ่ยเจ้าเด็กคนนี้อ่อนนอกแข็งใน เมื่อไม่อยากแต่งเข้าวัง แม้แต่เรื่องทำลายโฉมตนยังทำออกมาได้ ความคิดนี้หาใช่เพียงทำให้ลูกผู้น้องต้องพลอยลำบากไปด้วย แล้วจากนั้นสักพักก็จะทำให้เรื่องจบลงได้ไม่? หากไม่ถือโอกาสหนนี้ ที่เรื่องเพิ่งจะเกิดขึ้น อาการบาดเจ็บยังไม่ทุเลา และในใจของเด็กคนนี้ยังคงรู้สึกผิดเป็นที่สุดมาอบรมนาง ผู้ใดเล่าจะรู้ว่าต่อไปจะเกิดสิ่งใดขึ้นอีก? หัวเข่าบาดเจ็บเคลื่อนไหวไม่สะดวก… ลูกผู้หญิงเมื่อสามารถดึงปิ่นปักผมออกส่งเดชได้…ต่อไปก็ยังมีของเช่นเข็มประดับดอกไม้ให้ดึงออกอีก…แล้วเรื่องนี้จะปล่อยให้ผ่านไปอย่างลวกๆ ได้หรือ?’


ลำพังเพียงมองเห็นสภาพของเว่ยฉางอิ๋งที่ยามนี้นอนคว่ำอยู่บนเตียงไม่อาจลุกขึ้นได้ ใจของนางก็อ่อนลงไปอีก นางนิ่งงันไปสักพักจึงได้กล่าวว่า “เอาเถิด ยามนี้พวกเจ้าต่างก็บาดเจ็บ รอให้อาการดีขึ้นก่อนแล้วค่อยว่ากัน”


เว่ยฉางอิ๋งรีบเอ่ยว่า “ข้ารู้อยู่แล้วว่าท่านแม่รักข้า ยามนี้สภาพข้าน่าอนาถนัก ท่านแม่จึงไม่อาจจะโกรธข้าลง”


ซ่งฮูหยินถลึงตาใส่นางคราหนึ่ง…จะอย่างไรนางก็เป็นฮูหยินใหญ่มานาน จึงหาใช่ว่าเมื่อบุตรสาวทำลายแผนการที่วางเอาไว้ก่อนหน้าก็จะรามือไป เมื่อใคร่ครวญคร่าวๆ แล้ว ฮูหยินซ่งจึงตัดสินใจว่าจะเปลี่ยนวิธี โดยการใช้สีหน้าเป็นทุกข์ด้วยความเป็นห่วงอาการบาดเจ็บของพวกนาง แล้วเอ่ยวาจาอย่างเวทนาสงสารทั้งน้ำตา…และเวลายามนี้ก็จวนจะพลบค่ำแล้ว


เว่ยฉางเฟิงรั้งตัวหมอทั้งสองให้รออยู่ข้างนอก รอแล้วรอเล่าก็ไม่เห็นมารดาออกมากเสียที จึงได้แต่เพียงให้ซินลี่เข้าไปสอบถามในห้อง


แต่สิ่งนี่กลับเป็นการเตือนเว่ยฉางอิ๋งว่า ‘มารดามาด้วยตนเอง แต่บนเขานี่ก็แทบจะไม่มีสิ่งของใดๆ และยามนี้ข้าก็ครองเตียงเอาไว้แล้ว จึงไม่ควรจะรั้งมารดาให้นอนค้างที่นี่ ข้าว่าท่านแม่น่าจะรีบกลับไปในเมืองได้แล้วกระมัง?’


ซ่งไจ้สุ่ยก็กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “วันนี้เพราะข้าไม่ดีเอง ทำให้น้องฉางอิ๋งต้องลำบาก ทั้งยังทำให้ท่านอาต้องรีบมาด้วยความเป็นห่วง…”


ฮูหยินซ่งมองสีท้องฟ้าข้างนอก และรู้ว่าหากยังไม่กลับอีกก็จะไม่ควร…แม่เฒ่าซ่งสูงวัยนัก เกรงว่าจะกำลังตั้งตารอตนกลับไปรายงานเรื่องราวอย่างละเอียดอยู่! ยิ่งไปว่านั้นตนเองซึ่งเป็นนายหญิงใหญ่ของตระกูลแล้วพาคนจำนวนมากออกมานอกเมืองเช่นนี้ ก็จะต้องเป็นที่สนใจ อย่าได้สร้างเสียงร่ำลือในทางลบให้แก่เด็กสาวทั้งสองคนเลย เมื่อใคร่ครวญสักพัก จึงพยักหน้าแล้วว่า “ข้าจะกลับแล้ว”


แล้วกล่าวอย่างเด็ดขาดตามมาว่า “แต่บ่าวไพร่ข้างกายพวกเจ้าเลิ่นเลอเกินไป! ด้วยตาของคนตั้งมากมายเช่นนี้ ยังปล่อยให้พวกเจ้าบาดเจ็บได้! ไม่รู้จริงๆ ว่าข้าวปลาอาหารเสื้อผ้าที่ชุบเลี้ยงพวกนางมานั้นมีประโยชน์อันใด?!”


พวกลวี่ฝางและชุนจิ่งได้ยินคำสีหน้าก็พลันเปลี่ยน อยากจะแก้ต่าง แต่เมื่อดูสีหน้าของฮูหยินซ่งก็กลับไม่กล้าส่งเสียง…เป็นเว่ยฉางอิ๋งที่ไม่เกรงกลัวมารดา หัวเราะร่าพลางกล่าวว่า “ท่านแม่อย่าได้โทษพวกนางเลย วันนี้หากมิใช่ว่ามีพวกนางอยู่ เมื่อครู่นี้ข้าและท่านพี่ก็ไม่รู้ว่าจะลงมาจากยอดเขาได้อย่างไรเลย! ยิ่งไปกว่านั้นจริงๆ แล้วก็เป็นเพราะข้ารนหาที่เอง จะต้องเข้าไปหักกิ่งไผ่ในดงไผ่ให้จงได้ จึงทำให้เกิดเรื่องขึ้น หากท่านแม่จะโทษ ก็โทษข้าเถิด แต่ยามนี้ข้าต้องนอนอยู่ที่นี่ ก็นับว่าสวรรค์ลงทัณฑ์ข้าไปแล้ว…ท่านแม่รักข้ามาแต่ไร ครานี้จะต้องทำใจลงโทษข้าอีกไม่ได้เป็นแน่ ข้าว่าเรื่องนี้ก็เลิกแล้วกันไปเถิดได้หรือไม่?”


ฮูหยินซ่งถูกนางก่อกวนหนแล้วก็หนเล่าในใจรู้สึกเดือดดาลไม่น้อย แต่เมื่อได้ยินว่า“สวรรค์ลงทัณฑ์ไปแล้ว” สีหน้าของนางก็เปลี่ยนไป กล่าวเสียงดังว่า “อายุอานามเพียงเท่านั้น เจ้าเพ้อเจ้อสิ่งใด? เป็นเพราะเจ้าไม่ระวังเอง เหตุใดจึงว่าสวรรค์ลงทัณฑ์เจ้า? เจ้าโชคดีมาแต่กำเนิด หาไม่จะมาเกิดในบ้านสกุลเว่ยรึ!”


“เจ้าค่ะ เจ้าค่ะ เจ้าค่ะ ท่านแม่กล่าวถูกต้องที่สุด” เว่ยฉางอิ๋งไม่ได้เห็นว่าอาการบาดเจ็บของตัวเป็นเรื่องราวใหญ่โตจริงๆ แม้จะนอนคว่ำอยู่ก็ยังเอ่ยทั้งรอยยิ้มว่า “ท่านแม่กลับไปก่อนเถิด อีกสักพักฟ้าจะมืดแล้ว หนทางจะเดินทางไม่สะดวก ยิ่งไปกว่านั้นจะต้องเรียกคนมาเปิดประตูเมืองให้ลำบากอีก”


ฮูหยินซ่งจ้องไปยังบุตรสาวสองหน รู้ดีว่าเมื่อมีบุตรสาวอยู่ ไม่ว่านางจะพูดจาตรงๆ หรือสอนสั่งหลานสาวก็ไม่มีทางสำเร็จ นางคิดตรองอยู่ในใจยกใหญ่ และรู้ว่าไม่อาจต่อต้านใจรักที่มีต่อบุตรสาวได้ จึงได้ลุกขึ้นตามคำบอกของบุตรสาว แต่กลับเอ่ยว่า “ข้าจะให้ฮว่าถัง และฮว่าปิ่งอยู่ที่นี่ และให้พวกนางแก่ๆ อยู่อีกสองสามคน เพื่อแบ่งหน้าที่คอยดูแลพวกเจ้า และช่วยจับตามองพวกบ่าวข้างกายพวกเจ้าด้วย อย่าให้แต่ละคนถูกนายเอาใจเสียจนเป็นคุณหนูเสียยิ่งกว่าคุณหนู!”


พวกลวี่ฝาง และชุ่นจิ่งต่างพากันกล่าวอย่างระมัดระวังว่า “ข้าน้อยมิกล้า”


ฮูหยินซ่งไม่สนใจพวกนาง ทั้งยังกำชับสองนางไปอีกสองสามประโยค แล้วจึงออกไป


เวลาผ่านไปอีกครึ่งชั่วยาม เว่ยฉางเฟิงกล่าวคำลาอยู่หลังประตูกั้น บอกว่าได้ส่งฮูหยินซ่งลงเขาไปแล้ว หมอก็ส่งกลับไปแล้วเช่นกัน ทว่าวันรุ่งขึ้นทางตระกูลเว่ยจะส่งหมอที่เรียกใช้ประจำมาตรวจอาการอีกครั้ง…วันนี้ฮูหยินซ่งทั้งร้อนใจและร้อนรนเกินไปจนลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท


เว่ยฉางเฟิงสอบถามอาการบาดเจ็บของพี่สาวทั้งสองอีกครั้ง เว่ยฉางอิ๋งกล่าวอย่างไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดีว่า “เจ้านี่ทึ่มเสียจริง นี่เพิ่งจะผ่านไปไม่กี่ชั่วยาม จะหายได้อย่างนั้นรึ?”


ซ่งไจ้สุ่ยหัวเราะพลางว่า “ข้ากลับรู้สึกว่าอาการดีขึ้นบ้างแล้ว”


อาการบาดเจ็บที่หัวเข่าของนางนั้นไม่นับ ส่วนแขนที่หลุดเมื่อจัดกระดูกกลับเข้าที่แล้ว ก็มิใช่จะดีขึ้นหรอกหรือ? เว่ยฉางเฟิงทำตัวไม่ถูก กล่าวว่า “เป็นข้าไม่ดีเอง เมื่อครู่ไม่ได้สังเกตเห็นว่าท่านพี่ได้รับบาดเจ็บ ยังนึกว่าท่านที่ปลอดภัยดีเสียอีก จึงทำให้หมอมาตรวจรักษาท่านพี่ช้าไป”


ซ่งไจ้สุ่ยฟังคำสารภาพผิดของเขาพลันยิ้มน้อยๆ ออกมา “น้องห้าเจ้าเกรงใจเกินไปแล้ว เราต่างก็เป็นญาติสนิทกัน ยิ่งไปกว่านั้นข้าก็เป็นพวกขวัญอ่อน ตกใจเกินไป แม้แต่ตัวเองก็ยังไม่ทันสังเกตเลย”


เมื่อกล่าวสองประโยคนี้ออกไป ลูกผู้พี่และลูกผู้น้องต่างก็รู้สึกได้ในใจว่าทุกสิ่งกลับมาเป็นดังเดิมแล้ว


เมื่อเห็นดังนั้น พวกลวี่ฝางจึงไม่กล้าแสดงความขัดเคืองต่อซ่งไจ้สุ่ยอีก อีกทั้งเพราะมีคนของฮูหยินซ่งคอยจับตาดูอยู่ด้วย จึงพากันระมัดระวังตัวเป็นอย่างมาก


เมื่อตกกลางคืน พวกบ่าวต่างพากันวุ่นว่ายกับการตระเตรียมอาหาร เว่ยฉางอิ๋งและซ่งไจ้สุ่ยต่างลุกนั่งไม่สะดวก จึงต้องให้สาวใช้ป้อนให้ เมื่อถึงเวลานอน เว่ยฉางเฟิงเอาเก้าอี้ยาวในห้องโถงมาต่อเข้าด้วยกันเพื่อใช้นอน ส่วนเว่ยฉางอิ๋งก็เรียกให้ซ่งไจ้สุ่ยมานอนด้วยกันบนเตียง…เตียงไม้บุนนาคที่เว่ยปั๋วอวี้ทิ้งเอาไว้นี้แม้หน้าตาจะแสนธรรมดาแต่กลับกว้างขวางมาก กว้างพอสำหรับสาวน้อยสองคนนอนด้วยกัน ไม่ถึงกับส่งผลถึงตำแหน่งที่ได้รับบาดเจ็บ


วันนี้ตั้งแต่นายถึงบ่าวต่างได้ผ่านเรื่องราวหนักหนากันมา เมื่อตกกลางคืน นอกจากพวกองครักษ์ที่ผลัดเวรยามกันดูแลอยู่นอกกระท่อมแล้ว ทุกคนล้วนเหน็ดเหนื่อยกันมาก ไม่นานจึงหลับกันหมด


เมื่อเห็นว่าสาวใช้ที่อยู่ในห้องต่างหลับสนิทกันหมดแล้ว ซ่งไจ้สุ่ยลืมตาขึ้น อาศัยแสงไฟสลัวที่ลอดเข้ามาในมุ้งหนา มองไปข้างตัว แล้วกล่าวเสียงต่ำๆ ว่า “ฉางอิ๋ง เจ้าไม่มีสิ่งใดจะพูดกับข้าหรือ?”


_________________________________

 

 

 


ตอนที่ 42

 

ปรากฏว่าเว่ยฉางอิ๋งก็ยังไม่นอนเช่นกัน นางเอ่ยเสียงเบาไม่ร่าเริงเหมือนเช่นวันก่อน “ท่านพี่ เรื่องตอนกลางวันนั้นผ่านไปแล้ว”


“…” ซ่งไจ้สุ่ยนิ่งงันไปพักใหญ่จึงเอ่ยว่า “ขอโทษ”


“ก่อนหน้านี้ท่านพี่ก็ได้บอกกับฉางเฟิงไปแล้วว่า เราต่างก็เป็นญาติสนิทกัน” เว่ยฉางอิ๋งเอียงหัวมาแล้วกล่าวแผ่วเบาดังพ่นลมที่ข้างหูของซ่งไจ้สุ่ยว่า “ในเมื่อเป็นคนบ้านเดียวกัน แล้วไยต้องเกรงใจเช่นนี้เล่า?”


ซ่งไจ้สุ่ยทอดถอนใจว่า “ข้าไม่อยากทำให้พวกใจลำบากไปด้วย เพียงแต่…คนที่ท่านพ่อส่งมาจวนจักถึงเฟิ่งโจวแล้ว แล้วข้าก็กลัว…กลัวเหลือเกินว่าเมื่อคนผู้นั้นมาแล้วก็จะมิได้มีโอกาสเช่นนี้อีก…”


เว่ยฉางอิ๋งตื่นตระหนก ท่ามกลางห้องสลัวนั้น ดวงตาของนางกลับเปล่งประกาย น้ำเสียงมีความประหลาดใจอยู่เล็กน้อย “ท่านลุงส่งคนมารับท่านพี่แล้วรึ? เมื่อใด? ส่งผู้ใดมา?” ก่อนหน้านี้ยามนางนำความเรื่องที่ซ่งไจ้สุ่ยต้องการออกไปท่องเที่ยวไปบอกกล่าวกับมารดา ก็ระแคะระคายมาบ้างจากน้ำเสียงของฮูหยินซ่ง แต่เพราะฮูหยินซ่งไม่ยอมบอกอย่างละเอียด เว่ยฉางอิ๋งจึงไม่แน่ใจว่าเป็นเรื่องใดกันแน่…ในเมื่อฮูหยินซ่งไม่ยอมบอกแม้กระทั่งบุตรสาว แล้วจักไปบอกกับหลานสาวได้อย่างไร?


“ข้าไม่รู้” ซ่งไจ้สุ่ยยิ้มเจื่อนๆ หนหนึ่ง แล้วเอ่ยเสียงต่ำว่า “เขาเดาเอา”


“…”


ซ่งไจ้สุ่ยนิ่งไปพักหนึ่ง จึงได้เอ่ยเอื้อนอย่างยากลำบากว่า “หลายวันมานี้ข้าเอาแต่กังวลไม่อยากกลับเมืองหลวงจน…ท่านอาก็รู้เรื่องแล้ว ที่สำคัญที่สุด เสิ่นโจ้วก็จะมาถึงเฟิ่งโจวแล้ว ท่านอาไม่เพียงอนุญาตให้ขาออกมาเที่ยวเล่น ยังให้เจ้าและฉางเฟิงมาด้วยอีก นั่นเพราะตั้งแต่ที่ข้ามาถึงบ้านสกุลเว่ยก็ใกล้ชิดกับเจ้ามาก แต่ไม่สนิทกับพวกลูกพี่ลูกน้องคนอื่นๆ ของเจ้า และทั้งที่ท่านอาให้ความสำคัญกับเจ้าเช่นนั้น ในเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้กลับยินยอมให้เจ้ามากับข้า…ข้าคิดว่า นี่จะต้องเป็นเพราะท่านอารู้ว่าข้าจวนจักต้องกลับเมืองหลวงแล้ว รู้สึกเวทนาข้า จึงอนุญาตให้เป็นพิเศษ!”


            เว่ยฉางอิ๋งตกตะลึงไปทั้งตัว!


               …ก่อนหน้านี้ตอนที่ฮูหยินซ่งอนุญาตตามคำขอของซ่งไจ้สุ่ย นางก็ยังไต่ถามถึงเหตุผลด้วยความสงสัย แล้วฮูหยินซ่งมิได้กล่าวเช่นนี้หรอกหรือ?


เรื่องนี้แม้แต่ฮูหยินซ่งที่ปกครองดูแลบ้านมาหลายปีก็ยังนึกไม่ถึง หรืออาจเพราะฮูหยินซ่งได้รับผลกระทบจากเรื่องที่บุตรสาวอันเป็นที่รักจะต้องแต่งออกไปอยู่ไกลบ้าน อีกทั้งเรื่องที่นางไร้หนทางช่วยเหลือหลานสาวโชคร้ายที่ต้องแต่งงานตามสัญญาจนทำให้จิตใจสับสนว้าวุ่น จึงไม่เคยมองออกว่าแม้นางและแม่เฒ่าซ่งต่างตัดสินใจปิดบังซ่งไจ้สุ่ย เรื่องที่ซ่งไจ้เถียนจะเดินทางมาพร้อมกับราชทูต แต่การที่นางยินยอมให้หลานสาวออกไปท่องเที่ยวนี้ กลับทำให้ความจริงทุกอย่างเปิดเผยออกมาเสียแล้ว!


…ตอนแรกที่จู่ๆ ซ่งไจ้สุ่ยก็บอกว่าอยากจะออกไปเที่ยวนั้น เกรงว่าวัตถุประสงค์แท้จริงก็เพื่อทดสอบเรื่องนี้นั่นเอง!


มิน่าเล่า วันนี้เมื่อซ่งไจ้สุ่ยเห็นป้ายสลักหินที่เชิงเขา จึงได้ยืนกรานจะขึ้นไปบนเขาและจะต้องไปถึงยอดเขาให้จงได้…นางมีหรือจะสนอกสนใจที่พำนักของเว่ยปั๋วอวี้ มีหรือจะสนใจเขาไผ่น้อยนี่ ตั้งแต่ต้นจนจบ ซ่งไจ้สุ่ยกำลังหาที่ที่เหมาะสมและสามารถทำลายรูปโฉมของตนเองได้อย่างสมเหตุสมผลเท่านั้น…


เว่ยฉางอิ๋งกัดริมฝีปาก ครึ่งเค่อจึงได้กล่าวเสียงต่ำว่า “ดีเลวอย่างไรท่านปู่ก็เป็นหนึ่งในหกประมุขตระกูลใหญ่ของต้าเว่ย หากท่านบังเอิญได้รับบาดเจ็บจนเสียโฉม คาดว่าราชสำนักคงไม่ได้ถือโทษใดๆ แต่…ท่านพี่เคยถึงตนเองบ้างหรือไม่? รูปโฉมเป็นเรื่องชีวิตทั้งชีวิตของลูกผู้หญิง ต้องใช้มันแลกมา นับว่ามากเกินไปจริงๆ เพื่อราชสำนัก ไม่คุ้มค่าเสียเลย”


“นี่หาใช่เรื่องคุ้มหรือไม่คุ้มค่า…” ซ่งไจ้สุ่ยสูดหายใจลึก เพราะนี่เป็นยามค่ำคืน ไฟตะเกียงอยู่นอกม่านคลุมเตียง ทั้งยังคลุมด้วยมุ้งหนาอีกชั้น แม้ภายในม่านจะใกล้กันเพียงแค่ระยะนอนหมอนเดียวกัน แต่ก็ยังไม่อาจมองเห็นใบหน้าชัดเจน ดังนั้นนางจึงวางใจปล่อยให้น้ำตาไหลรินออกมา หากแต่น้ำเสียงยังคงราบเรียบเช่นเดิม “นอกจากทำเช่นนี้แล้ว เจ้าว่ายังมีวิธีใดจะทำลายสัญญาแต่งงานกับราชสำนัก และทำให้ทุกคนลำบากน้อยที่สุดได้อีก?”


“รูปโฉมเป็นเรื่องทั้งชีวิตของลูกผู้หญิง แต่หากรูปโฉมนี้ยังดีอยู่ อย่างดีที่สุด ชั่วชีวิตข้าก็คงทำได้แต่เพียงต้องไปชิงไหวชิงพริบกับบรรดาหญิงสาวภายในวังหลวงเท่านั้น” ซ่งไจ้สุ่ยหัวเราะเสียงต่ำ “หากองค์รัชทายาททรงปรีชาสามารถสายพระเนตรกว้างไกล เข้าก็จะยอมรับ! แต่…ว่าที่พระชาองค์รัชทายาทเช่นข้ายังไม่ทันจะได้เข้าประตูวัง เขาก็มีหญิงงามมากมายอยู่ก่อนหน้า ลูกชายหญิงก็มีตั้งหลายคนแล้ว แม้แต่หน้าตาของพระชายาเอกก็หาได้เหลือไว้ให้ข้าไม่ เจ้าว่าคนเช่นนี้ แม้วันหน้าได้ครองบัลลังก์ แล้วตระกูลซ่งจะได้ประโยชน์อันใด? แล้วข้าจะได้ประโยชน์อันใด? มิสู้ทำลายโฉมตนเอง ภายหน้าแต่งกับตระกูลข้าราชการยากไร้ ข้าว่าท่านพ่อข้าก็มีบุตรสาวเพียงคนเดียว แม้จะไม่ได้เป็นพระชายาองค์รัชทายาท ต่อให้ท่านพ่อจะโกรธเพียงใด ของกำนัลยามแต่งงานก็คงจะให้ข้าสักชิ้น อดออมสักหน่อย ทั้งชีวิตก็พอจะมีอาภรณ์ดีๆ อาหารดีๆ เท่านั้นก็พอจะอยู่ได้แล้ว… จะอย่างไรข้าก็ยังมีฐานะเป็นคุณหนูใหญ่แห่งตระกูลซ่งนี่!”


 สิ่งที่นางคิดนี้ แม้จะได้ตัดสินใจเอาไว้นานแล้ว แต่นี่กลับเป็นคราแรกที่นางเปิดเผยออกมา แม้แต่หญิงรับใช้ข้างกายก็ยังไม่เคยบอก ยามนี้เมื่อพูดจบแล้ว จึงรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาบ้าง แล้วกล่าวอย่างเป็นทุกข์ว่า “ข้าไม่ได้คิดจะทำให้เจ้าลำบากไปด้วย และยิ่งไม่อยากจะให้น้องฉางเฟิงโกรธเคือง เพียงแต่ข้าคิดว่าท่านพ่อละเอียดรอบคอบนัก ในเมื่อรู้ว่าข้าต้องการปฏิเสธงานแต่ง จึงได้ส่งคนมารับข้า เกรงว่า….พวกนั้นมาถึงแล้ว ข้าอยากจะทำสิ่งใด ก็ไม่อาจจะทำได้ดังใจแล้ว ดังนั้นวันนี้จึงได้แต่ทำเรื่องให้เป็นเช่นนี้ก่อน หาไม่แล้ว เมื่อถึงเวลาจักไม่มีทางให้เดินอีก”


 เว่ยฉางอิ๋งถอนใจแล้วว่า “ข้าไม่ได้โทษท่านพี่ ฉางเฟิงก็ยังเยาว์ ยิ่งไปกว่านั้นเขาก็ไม่รู้เรื่องที่ท่านพี่ไม่อยากแต่งเข้าวัง จึงได้โกรธเคืองท่านพี่ เรื่องวันนี้จะว่าไปเขาก็รู้สึกสำนึกผิดอย่างมาก เกือบจะทำให้ท่านพี่ไม่ได้รับการรักษาเสียแล้ว…”


ซ่งไจ้สุ่ยเอ่ยว่า “ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ที่เจ้าเป็นเช่นนี้ก็เพราะข้าเป็นคนทำ”


“ยามนี้จะมาพูดเรื่องใครทำไม่ทำ ไม่อภิรมย์เอาเสียเลย” เว่ยฉางอิ๋งครุ่นคิดอยู่เกือบเค่อจึงกล่าวว่า “จากนี้ไปท่านพี่คิดการเช่นไร?”


ซ่งไจ้สุ่ยเหม่อลอย บอกว่า “แน่นอนว่าข้าจะไม่ทำให้พวกเจ้าลำบากอีก…”


“ไม่ใช่เรื่องนี้” เว่ยฉางอิ๋งรีบกล่าว “ข้ากำลังคิดว่า การสละรูปโฉมแลกกับการล้มเลิกสัญญาแต่งงานนั้นมากเกินไป ยิ่งไปกว่านั้น ดีเลวอย่างไรครานี้พวกเราก็หกล้มกันบาดเจ็บ บาดเจ็บครานี้…ก็ไม่ควรให้เจ็บไปเปล่าๆ”


“อ่า…” ซ่งไจ้สุ่ยกำลังขบคิดอย่างหนัก แต่กลับได้ยินเว่ยฉางอิ๋งกล่าวต่อไปว่า “แขนของท่านพี่เพียงแค่หลุดจากเบ้า และจัดเข้าที่แล้ว แล้วแขนก็จำเป็นต้องใช้อยู่เป็นประจำ แต่ว่า…หัวเข่าของท่านพี่ก็ถูกชนจนบาดเจ็บแล้ว…”


แม้จะเป็นยามค่ำคืน แต่ดวงตาของซ่งไจ้สุ่ยกลับสว่างลุกโชนขึ้นมา!


เสียงของเว่ยฉางอิ๋งยิ่งต่ำลงไปอีก พลางฟุบลงข้างหูซ่งไจ้สุ่ย “เข่าเป็นข้อต่อกระดูก ท่านพี่เป็นหน้าเป็นตาของตระกูล ทั้งรูปร่างอรชรอ้อนแอ้น หากต้องเดินเหินไม่ใคร่สะดวกนักเพราะการบาดเจ็บครานี้… พระชายาองค์รัชทายาทจะต้องเข้าเฝ้าฮ่องเต้อยู่เป็นนิจ ทั้งยังมีงานพิธีใหญ่ๆ…”


ซึ่งก็หมายถึงว่าในตระกูลธรรมดาทั่วๆ ไป ผู้ที่มีร่างกายหรือหน้าตามีความบกพร่องจะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในพื้นที่ที่มีการเซ่นไหว้บรรพบุรุษ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงราชสำนัก พระชายาองค์รัชทายาทไม่จำเป็นต้องมีใบหน้างามหมดจด ไม่จำเป็นต้องมีความสามารถล้นเหลือ และไม่จำเป็นต้องมีราศีแม่ของแผ่นดิน…แต่จะต้องไม่มีทางเป็นคนขาเป๋!


“…เจ้าคือดาวนำโชคในชีวิตข้าจริงๆ!” ซ่งไจ้สุ่ยไม่สนว่าแขนขวาเพิ่งจะจัดเข้าที่ และยามนี้ยังคงระบมอยู่ กลับออกแรงยกมือขึ้นจับข้อมือลูกผู้น้องและค่อยๆ เอ่ยออกมาทีละคำ!


แต่เว่ยฉางอิ๋งกลับไม่ได้ดีใจเช่นนาง “องค์ฮองเฮาและท่านลุงจะต้องส่งคนมาตรวจรักษาท่านพี่เป็นแน่ ขอเพียงท่านพี่ยังคงเดินเหินไม่สะดวกต่อหน้าผู้คน ฮ่องเฮาและท่านลุงก็ไม่มีทางรู้ว่าจริงหรือเท็จ นั่นเพราะท่านพี่มีชื่อเสียงดีมาโดยตลอด หาได้มีชื่อเสียเช่นข้า แต่ว่า…ทำเช่นนี้ก็มีข้อเสีย”


“ประการแรก การต้องแสร้งเดินเหินไม่สะดวกนานปี นานวันเข้า อาจจะกลับมาเดินเป็นปกติไม่ได้อีกจริงๆ!” สายตาเว่ยฉางอิ๋งกลับหนักอึ้งขึ้นมา “ประการต่อมา ท่านพี่โตกว่าข้าหนึ่งปี ปีนี้อายุได้สิบแปดแล้ว…หากยังไม่สามารถกำหนดวันที่จะเป็นพระชายาได้ ท่านพี่ก็จะต้องยังรักษาไม่หาย! แต่หากกำหนดวันแต่งตั้งพระชายาแล้ว ท่านพี่กลับหายขึ้นมาทันใด เช่นนี้ก็ไม่ควร! เพราะวัยที่ต้องออกเรือนเช่นนี้…”


“อย่างไรก็ดีกว่าได้คู่ครองเลวๆ!” ซ่งไจ้สุ่ยกลับหนักแน่นเสียยิ่งกว่านาง พลันกล่าวอย่างเต็มปากเต็มคำว่า “เรื่องที่เจ้าว่าต้องแสร้งเดินเหินไม่สะดวกไปนานปี นี่กลับมีวิธีแก้ แต่ไรข้าก็ไม่ชอบออกจากบ้าน จึงสามารถอาศัยข้ออ้างที่หกล้มได้รับบาดเจ็บครานี้ได้ ไม่เห็นจะมีปัญหาใด! ซ่อนอยู่แต่ในจวนนานปี คอยดูแลคนรอบกายให้ดี แล้วผู้ใดเล่าจะรู้? ทั้งฮองเฮาและท่านพ่อหรือจะสามารถมายืนตรงหน้าคอยดูข้าได้ทุกวี่วัน? หรือต่อให้จำเป็นต้องออกไปข้างนอก ข้าก็สามารถบอกว่าไม่ต้องการให้ผู้อื่นเห็นสภาพข้ายามเดิน แล้วอาศัยเกี้ยวเข้าออกก็สิ้นเรื่อง!”


ซ่งไจ้สุ่ยพ่นลมหายใจคราหนึ่ง กล่าวว่า “ก่อนนี้หากข้าทำให้ตัวเองเสียโฉม ก็มิใช่จักต้องยื้อเวลารอหลายปีกว่าจะได้ออกเรือนเช่นเดียวกันรึ? ทั้งยังต้องเตรียมการว่าเมื่อไร้ซึ่งรูปโฉมแล้ว ก็จะต้องอาศัยสมบัติติดตัวเป็นสิ่งจูงใจให้คนมาขอสู่ขอข้าอีกด้วย! เมื่อยังรักษารูปโฉมเอาไว้ได้ ข้าก็ขอบคุณฟ้าขอบคุณดินแล้ว จักกล้าโลภกว่านี้ได้อย่างไร?!”


เว่ยฉางอิ๋งครุ่นคิดอีกครา นานเกือบเค่อจึงกล่าวว่า “หากเป็นเช่นนั้น จะให้ดีวันพรุ่งก็ให้ท่านพี่บอกว่าเจ็บขา”


“ข้ารู้วิธีน่า!” ซ่งไจ้สุ่ยยากจะปิดบังความยินดีและตื่นเต้นในน้ำเสียงได้ เพียงแต่เมื่อกลับไปคิดอีกครา นางก็เป็นกังวลขึ้นมา “แต่หากทำเช่นนี้ก็กลัวว่าจะพลอยทำให้พวกเจ้าลำบาก? แล้วพวกผู้ใหญ่…”


เว่ยฉางอิ๋งไม่รู้เรื่องในราชสำนัก รวมทั้งแต่ไรมาเว่ยฮ่วนและแม่เฒ่าซ่ง ก็ไม่เคยเอ่ยต่อหน้านางว่าภัยคุกคามจากจือเปิ่นถังนั้นหนักหนาสาหัสเพียงใด จึงหลงคิดเสมอมาว่าเมื่อยังมีท่านปู่อยู่ ความสมบรูณ์พูนสุขของตระกูลเว่ยก็จะยังมีสืบไป จึงกล่าวไปอย่างไม่ใส่ใจว่า “ท่านพี่ก็รู้ ท่านย่าและท่านแม่รักข้าจะตาย อย่างมากก็แค่พูดแรงสักหน่อย จะลงโทษพวกเราได้อย่างไรกัน? ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้ตัวข้าก็บาดเจ็บ เกรงว่าแม้แต่คำพูดแรงๆ ท่านย่าก็ยังทำใจพูดไม่ได้เสียด้วยซ้ำ”


ในเมื่อนางพูดเช่นนี้ ซ่งไจ้สุ่ยก็วางใจลงได้ ทว่าครานี้ซ่งไจ้สุ่ยพูดถึงแผนการอย่างละเอียดยิ่งกว่าเก่าว่า “เช่นนั้น ข้าจะบอกไปก่อนว่าขาเจ็บ แสร้งทำล้มสักหนสองหนในตอนที่มีคนเห็น บอกว่าหัวเข่ามีอาการผิดปกติ… แล้วจากนั้น พอมีคนประคองขึ้นมาก็หาย ให้เห็นว่าอาการประเดี๋ยวหายประเดี๋ยวไม่หายไปเช่นนี้ และระหว่างทางที่กลับเมืองหลวง ‘อาการบาดเจ็บ’ ก็จะค่อยๆ เพิ่มมากขึ้น… ระหว่างนั้นก็อาจหาสาเหตุที่ให้อาการบาดเจ็บทรุดลงไปได้อีก?”


“ไม่รู้ว่าท่านลุงจะสงสัยขึ้นมาหรือไม่…”


“ต่อให้ข้าถูกหามกลับเมืองหลวง เกรงว่าท่านพ่อก็จักยังเคลือบแคลง!” ซ่งไจ้สุ่ยขมวดคิ้วแน่น พลางถอนหายใจเบาๆ


สองนางอาศัยช่วงเวลาค่ำคืนวางแผนกันจวบจนแสงตะวันส่อง เรื่องที่ซ่งไจ้สุ่ยจะหลบเลี่ยงการแต่งงานนั้นมีทั้งที่ใจเต้นไม่เป็นส่ำ ทั้งความยินดี ปรึกษากันถึงรายละเอียดต่างๆ ในหลายเรื่อง เพื่อจะได้ปิดบังพวกผู้ใหญ่ให้ได้มากที่สุด จนเสร็จความนั่นล่ะ จึงได้ต่างคนต่างหลับไปด้วยความพึงพอใจ


วันรุ่งขึ้น เนื่องจากฮูหยินซ่งได้เห็นอาการบาดเจ็บของทั้งบุตรสาวและหลานสาวกับตาแล้ว จึงไม่ได้มาด้วยตนเองอีก เพียงแต่ให้แม่นมซือพาหมอที่บ้านตระกูลเว่ยเรียกใช้เป็นประจำมาตรวจดูอาการ พร้อมทั้งนำผลไม้และของว่างมาส่งด้วย ทั้งยังกำชับให้เว่ยฉางเฟิงดูแลพี่สาวทั้งสองให้ดี รอจนอาการบาดเจ็บคงที่แล้วก็ให้รีบกลับรุ่ยอวี่ถัง


ข้ามไปหนึ่งคืน เอวของเว่ยฉางอิ๋งมีการบวมขึ้นมา ไม่ต้องเอ่ยว่าจะลุกขึ้น แม้จะขยับเขยื่อนยังยาก กลายเป็นซ่งไจ้สุ่ยเสียอีกที่ตั้งแต่เช้าตรูได้ยินว่าแม่นมซือมา จึงฝืนเดินออกไปรับ


 เช่นนั้นเอง ซ่งไจ้สุ่ยในชุดนอนที่ใช้ใส่ทับอยู่ข้างใน จึงไปยืนอยู่ใต้ต้นไผ่ที่ริมรั้ว วินาทีก่อนยังยิ้มแย้มต้อนรับแม่นมซืออยู่ดีๆ เพียงแม่นมซือเอ่ยคำว่า ‘ไม่น่าเลย’ สามคำนี้สองหนเท่านั้น  แล้วจู่ๆ ต่อหน้าทุกคน โดยไม่ได้มีวี่แววใด ซ่งไจ้สุ่ยพลันมีสีหน้าตื่นตกใจขึ้นมา… ขาซ้ายอ่อนแรงลง แล้วตัวทั้งตัวก็โอนเอนจะล้มลงมา!


โชคดีที่ซ่งไจ้สุ่ยได้กำชับฮว่าถังเอาไว้แล้ว ว่าให้พวกบ่าวชราสองสามคนคอยอยู่ใกล้ๆ ไม่ห่าง เมื่อเห็นท่าทีดังนั้น ไม่พูดพร่ำทำเพลงจึงพากันเอื้อมมือออกไปรับไว้ทัน แล้วพวกนางและแม่นมซือซึ่งตกใจจนหน้าถอดสีจึงประคองซ่งไจ้สุ่ยกลับเข้ามาในห้องโถง ท่านหมอจี้ซึ่งดูแลอาการเจ็บป่วยให้เว่ยฮ่วนและคนในครอบครัวได้เห็นเหตุการณ์และยังได้สอบถามรายละเอียดอีกสักพัก… เพราะชีพจรของซ่งไจ้สุ่ยนั้นปกติดี และท่านหมอจี้ผู้นี้ก็นับว่าเป็นแพทย์มีชื่อในเฟิ่งโจว แต่ก็ไม่ได้คิดว่าเลยว่าคุณหนูตระกูลใหญ่เช่นซ่งไจ้สุ่ยจะโกหก ไต่รตรองไปมา จึงได้วินิจฉัยว่าอาการวูบซึ่งเกิดขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วนของซ่งไจ้สุ่ย เป็นเพราะที่หกล้มเมื่อวานและทำให้มีลิ้มเลือดอุดตันอยู่ภายใน


ชุนจิ่งรีบนำยาสลายลิ่มเลือดที่หมอที่เว่ยชิงเชิญมาเป็นผู้สั่งให้ก่อนหน้านี้มาให้


 ยาสลายลิ่มเลือดธรรมดาๆ เช่นนี้ไม่ได้ดูยากเย็นอะไร ท่านหมอจี้และหมอที่มาเมื่อวานต่างก็รู้จักกัน ทั้งยังสนิทสนมกันพอสมควร เมื่อเห็นว่าตัวยาไม่ผิด จึงได้ส่งคืนให้แล้วว่า “ยานี้ไม่ต้องปรับเปลี่ยนอะไร” แล้วแนะนำให้ซ่งไจ้สุ่ยทานยาอีกสักสองสามวัน เมื่อเห็นว่ายาออกฤทธิ์แล้วก็ถือว่าใช้ได้”


แม้แม่นมซือจะเป็นห่วงว่าคุณหนูตระกูลซ่งที่เดิมทียังดีๆ อยู่ แล้วเหตุใดจู่ๆ แม้จะยืนยังยืนได้ไม่มั่นคง แต่เมื่อได้ยินการวินิจฉัยของท่านหมอจี้ว่าเป็นเพราะมีลิ่มเลือดออกก็รู้สึกโล่งใจ


ท่านหมอจี้เข้าไปข้างในอีกครั้ง ตรวจชีพจรให้เว่ยฉางอิ๋งผ่านกระโจมกั้น แล้วจึงสั่งยาบำรุงให้อีกชุดหนึ่ง… เมื่อเสร็จแล้ว ก็ไม่มีอะไรที่ช่วยได้อีก


แม่นมซือสั่งความตามที่ฮูหยินซ่งและแม่เฒ่าซ่งกำชับมาถึงคุณหนู และคุณชาย แล้วสั่งความกับพวกบ่าวไพร่อีกสองสามประโยค จึงรีบกลับไปรายงานที่รุ่ยอวี่ถังอย่างรวดเร็ว


รอจนนางไปแล้ว ลูกพี่ลูกน้องสองนางก็สั่งให้พวกบ่าวออกไป แล้วกระซิบกันเสียงเบาว่า “ท่านหมอจี้ผู้นี้น่าสนใจจริงๆ”


“ข้าบอกแล้วอย่างไรเล่า ด้วยชื่อเสียงดีงามของท่านพี่ ผู้ใดจะระแคระคายได้ว่าท่านพี่พูดเรื่อยเปื่อย?” เว่ยฉางอิ๋งหัวเราะพลางกล่าวเสียงต่ำ “ที่เขาวินิจฉัยวันนี้กลายเป็นช่วยพวกเราได้มาก ท่านหมอจี้ผู้นี้เป็นหมอที่ท่านปู่เรียกใช้เป็นประจำ วิชาแพทย์ของเขาเป็นที่ยอมรับของคนในตระกูลมาก เมื่อเขาเริ่มให้เช่นนี้ ต่อไปก็ให้ท่านพี่เดินไม่มั่นคงเข้าไว้… ก็นับว่ามีหนทางออกแล้ว”


ซ่งไจ้สุ่ยถอนหายใจ “ขอบคุณฟ้าขอบคุณดินที่วันนี้ทุกอย่างราบรื่น!”


“ล้มเพียงแค่หนเดียว ยังไม่ทันสำเร็จ…” เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยเตือน


“ข้ารู้ อีกประเดี๋ยวขาจะทำเป็นล้มต่อหน้าพวกสาวใช้อีกครา…” ซ่งไจ้สุ่ยกรอกตา แล้วบอกว่า “จะล้มให้เฉพาะแม่นมซือดูเท่านั้นได้อย่างไร”


วันนี้ซ่งไจ้สุ่ยเสียหลักล้มไปสามหน ทุกครั้งล้วนโชคดีมีคนรับไว้ทัน


เพราะได้รับการวินิจฉัยจากท่านหมอจี้ แม้ทุกคนจะรู้สึกห่วง แต่ก็ไม่ได้กังวลเกินไปนัก ต่างพากันคิดในแง่ดีว่าอีกวันสองวันก็จะหายเอง คนที่น่าเป็นห่วงจริงๆ ก็ยังคงเป็นเว่ยฉางอิ๋งที่จนยามนี้แล้วก็ยังลุกจากเตียงไม่ได้


_________________________________


ตอนที่ 43 มีคนมา

โดย

Xiaobei

แล้ววันต่อมา ซ่งไจ้สุ่ยก็เสียหลักล้มลงตอนที่กำลังนั่งทานข้าวอยู่บนตั่งไม้…ทว่าเพราะล้มลงบนตั่งไม้จึงไม่ได้เป็นอะไร แต่ที่นางบอกว่า “จู่ๆ ก็รู้สึกว่าหัวเข่าไม่มีเรี่ยงแรงเลยแม้แต่น้อย รอจนคิดจะเปลี่ยนท่านั่งก็กลับไม่ทันเสียแล้ว” นั้น กลับทำให้เว่ยฉางเฟิงตกใจจนหน้าถอดสี! เขารีบสั่งให้เว่ยชิงกลับไปรายงานกับฮูหยินซ่งในเมืองอีกครั้ง และในเวลาเดียวกันก็ให้เชิญท่านหมอจี้มาอีกหนหนึ่ง


ครานี้ฮูหยินซ่งก็มาด้วย ภายใต้การสังเกตการณ์ด้วยสีหน้าเคร่งเครียดของนาง ท่านหมอจี้ได้ตรวจชีพจรของซ่งไจ้สุ่ยอย่างละเอียดถึงหนึ่งเค่อเต็ม แล้วจึงเอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจว่า “คุณหนูซ่งสามารถอธิบายความรู้สึกตอนที่เสียหลักล้มสักหน่อยได้หรือไม่?”


“เป็นเช่นเมื่อวาน” ซ่งไจ้สุ่ยกล่าวช้าๆ อย่างแผ่วเบาอยู่หลังม่านกั้นว่า “ดีๆ อยู่ จู่ๆ ก็พลันไร้เรี่ยวแรง”


ฮูหยินซ่งเอ่ยถามอย่างตื่นเต้นว่า “เป็นเช่นไร?”


“…” ท่านหมอจี้นิ่งคิดอยู่เกือบเค่อ จึงกล่าวว่า “รายงานฮูหยิน ชีพจรของคุณหนูซ่งนั่นคงที่มาก เช่นนี้แล้วร่างกายของนางจึงไม่ได้มีปัญหาใด”


“แต่เหตุใดหลานสาวข้าคนนี้จึง…?” ฮูหยินซ่งไม่พอใจกับคำตอบนี้เป็นอย่างมาก


ท่านหมอจี้กล่าวอย่างอ้ำอึ้งว่า “ตามความเห็นของข้าน้อย คิดว่ายังคงเป็นเพราะลิ่มเลือดยังไม่สลายไป”


เมื่อวานเขาก็บอกเช่นนี้ และยังบอกว่าผ่านไปสองวันซ่งไจ้สุ่ยก็จะหาย ยามนี้เพิ่งจะผ่านไปหนึ่งวัน เรื่องที่ซ่งไจ้สุ่ยยังไม่หายก็มีเหตุผล ทว่าผู้ที่สอบถามเมื่อวานนี้มีเพียงเว่ยฉางเฟิงและแม่นมซือ วันนี้กลับเป็นฮูหยินซ่งมาด้วยตนเอง แม้ท่านหมอจี้จะเป็นผู้ที่เว่ยฮ่วน ประมุขตระกูลเว่ยเชิญมาตรวจชีพจรอยู่บ่อยครั้ง แต่ก็มิกล้าเสียมารยาทต่อฮูหยินของตระกูลเว่ยผู้นี้ จึงได้อธิบายไปอีกครั้งว่า “คุณหนูซ่งมีฐานะสูงส่งนัก แม้เขาไผ่น้อยนี้จะไม่นับว่าสูงเท่าใด และด้วยความหนาแน่นของป่าไผ่ ดังนั้นเมื่อออกทางเส้นทางขนส่งรถม้าก็จะผ่านไม่ได้ หากต้องการขึ้นมาบนเขา ก็จะต้องเดินขึ้นมา เขาก็ราบเรียบไม่สูงชัน แต่ผู้ที่จะขึ้นมาบนเขาก็จะต้องเดินเป็นระยะทางไกลอยู่  ผู้ที่อยู่อาศัยอยู่ในเมือง นานๆ ครั้งจะได้ขึ้นเขาสักหน วันถัดมา ก็จะรู้สึกปวดเมื่อยบ้างอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ผู้ที่เป็นหนัก ก็จักมีอาการอ่อนกำลังลงอย่างเฉียบพลันเช่นนี้ ซึ่งโดยทั่วไปพักผ่อนสักสองวันก็จะหายแล้วขอรับ”


คำของท่านหมอจี้นี้ฟังแล้วก็มีเหตุผลอยู่ ซ่งไจ้สุ่ยเรียกได้ว่าเป็นคุณหนูในตระกูลมั่งมีตั้งแต่หัวจรดเท้า ดังนั้นจึงไม่เหมือนกับคุณหนูในบ้านอื่นๆ ทั่วไปเพราะถูกประคบประหงมอยู่ในจวนเป็นเวลานาน จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ร่างกายจักบอบบางไปสักหน่อย แม้เขาไผ่น้อยนี้จะไม่สูงนัก แต่เมื่อดูจากที่ปกติแล้วซ่งไจ้สุ่ยไม่ออกประตูใหญ่ไม่ใกล้ประตูเล็ก เมื่อปีนเขาขึ้นมาหนหนึ่ง พอข้ามคืนก็เป็นธรรมดาที่จะระบมไปทั้งตัว


ฮูหยินซิ่งซึ่งเป็นผู้ดูแลทุกเรื่องในบ้าน ในวัยนี้ยามเมื่อเหน็ดเหนื่อยขึ้นมา ก็ยังรู้สึกว่าสองขาสั่นจนคล้ายจะล้มลง…


ยิ่งไปกว่านั้นซ่งไจ้สุ่ยก็ยังหกล้มจนหัวเข่าเจ็บ เมื่อพิจารณาจากสองสาเหตุนี้แล้ว ก็มิน่าเล่าที่จะเกิดอาการยืนเซนั่งไม่มั่นคง


ทว่าตามที่ท่านหมอจี้บอก อาการเช่นนี้จะเป็นเพียงชั่วคราวเท่านั้น


ฮูหยินซ่งโล่งใจ จึงได้เสนอความคิดว่าจะรับซ่งไจ้สุ่ยกลับไปในเมืองก่อน ส่วนเว่ยฉางอิ๋งที่ท่านหมอเสนอว่าให้พักรักษาตัวอยู่นิ่งๆ ไปสักสองสามวันนั้น อีกสองสามวันจึงให้เว่ยฉางเฟิงพากลับไปส่ง


…เมื่อว่ากันจริงๆ แล้ว ฮูหยินซ่งยังไม่ค่อยวางใจหลานสาวคนนี้ ประการแรกเกรงว่านางจะยังคงปลงไม่ตก ประการที่สองก็รู้สึกว่าบนเขานี้ไม่สะดวกจะส่งหมอมาคอยดู หากซ่งไจ้สุ่ยกลับไปบ้านตระกูลเว่ยก็จะเรียกหมอมาได้อย่างสะดวก


แต่ซ่งจุ้ส่ยกลับยืนกรานว่าจะอยู่ที่บนเขาไผ่น้อยเป็นเพื่อนลูกผู้น้อง และท่าทีของนางก็เด็ดเดี่ยวแข็งกร้าวยิ่งนัก ฮูหยินซ่งเป็นกังวลถึงเรื่องต่างๆ ในบ้านที่ยังมิทันได้จัดการเสร็จ เมื่อเอ่ยทันทานคราหนึ่งแล้วไม่เป็นผล จึงทำได้เพียงต้องกลับไปก่อน


เมื่อเรื่องราวๆ ดำเนินไปเช่นนี้ ซ่งไจ้สุ่ยและเว่ยฉางอิ๋งต่างก็พึงพอใจมาก และคอยแอบหารือกันว่าวันที่สามจะทำเช่นใดต่อไป


ยามเย็นของวันนั้น เสียงคลื่นซัดสาดดังก้องไปทั่วเขาไผ่น้อย ทั้งเสียงลมเริงระบำโหมกระหน่ำ…ไม่นานนัก สีของท้องฟ้าก็มืดสนิท ยินเพียงเสียงดังพึ่บพั่บลั่น ไม่ถึงสิบชั่วอึดใจก็กลายเป็นเสียงซ่าอย่างหนัก


ฝนตกแล้ว


ลมเขาที่พัดพาเอาละอองน้ำมาด้วยสาดเข้ามาในหน้าต่างที่เปิดออกครึ่งหนึ่ง พัดแรงเสียจนเว่ยฉางอิ๋งที่อยู่บนตั่งไม้อกสั่นขวัญแขวนขึ้นมา “ที่แห่งนี้ นานๆ มาอยู่ก็น่าสนใจดี”


ครานี้กลายเป็นซ่งไจ้สุ่ยเยาะนางบ้าง “สองวันก่อน มิรู้ว่าผู้ใดเกี่ยงว่าที่แห่งนี้ไม่ดี บอกว่าเป็นเพียงกระท่อมธรรมดาเท่านั้น”


เนื่องจากเป็นวันที่สองที่บาดเจ็บ เจียงจิ้งจึงได้นำเหล้ายามาให้ด้วยตนเอง เว่ยฉางอิ๋งเองพอจะทนความเจ็บปวดไหว สั่งให้สาวใช้เปลี่ยนผ้าร้อนมาประคบให้ตนทุกๆ ครึ่งชั่วยาม การฝึกวรยุทธ์ที่ไม่เคยมีฝนหรือลมมาเป็นอุปสรรค์ตลอดสิบสองปีนั้นช่างมีข้อดีเสียนี่กระไร ร่างกายของนางแข็งแกร่งยิ่ง ห่างไกลจนซ่งไจ้สุ่ยไม่อาจเทียบได้ ยามนี้นางสามารถลุกขึ้นนั่งได้ และเกาะสาวใช้เดินได้ก้าวสองก้าวแล้ว ดังนั้นเว่ยฉางอิ๋งจึงอารมณ์ดีมาก กล่าวว่า “ข้าก็ไม่ได้พูดผิดนี่! กระท่อมนั้นธรรมดาจริงๆ เพียงแต่ลมภูเขาวูบเมื่อครู่ช่างสบายเหลือเกิน”


 “ทะเลไผ่ฟังคลื่น ค่ำคืนยินฝน ล้วนเป็นบทกลอนที่งดงามและไพเราะยิ่ง” ซ่งไจ้สุ่ยปิดปากหัวเราะบางๆ “แต่ยามนี้ ข้ากลับไม่อยากจะทำสิ่งงดงามเหมือนดังในบทกลอนนี้ หากแต่อยากจะหาสุราสักกามาดื่มสักสองจอก”


เว่ยฉางอิ๋งเข้าใจดีว่าความเมามายที่ซ่งไจ้สุ่ยรำพึงถึงนั้นหาใช่สุราไม่…หากแต่รู้สึกว่ามีหวังที่จะได้ล้มเลิกการแต่งงานที่ไม่น่าพึงพอใจนั้น และเปรมปรีดิ์เสียจนปิดบังไว้ไม่ได้ จึงจงใจใช้ฝนมาเป็นข้ออ้าง นางจับมือของลวี่ฝาง เกาะขอบตั่งไม้ค่อยเดิน เอ่ยปากว่า “เช่นนั้นท่านพี่คงต้องผิดหวังเสียแล้ว พวกเราล้วนบาดเจ็บ ทั้งมิได้อยู่ที่บ้าน ฉางเฟิ่งก็คงไม่เห็นด้วยเป็นแน่”


ซ่งไจ้สุ่ยกำลังจะเอ่ยบางสิ่ง แต่กลับได้ยินเว่ยฉางอิ๋งแค่นเสียงออกมาเร่งรัดว่า “พยุงข้ากลับไปที่ตั่ง!” ลวี่ฝางและลวี่ฉือไม่กล้าชักช้า ก่อนนี้ยามนางเดินก็ต้องเกาะไปตามขอบตั่ง ถอยไปสองก้าวก็คือตั่งไม้แล้ว เว่ยฉางอิ๋งตัวสั่นขณะนั่งลง หน้าผากมีแต่เหงื่อ สีหน้าซีดขาวเล็กน้อย


“อาการบาดเจ็บของเจ้ายังมิทันหายดี นอนลงเสียก่อนเถิด!” ซ่งไจ้สุ่ยมองดูอย่างเป็นกังวลพลางรีบเอ่ยเตือน


แต่กลับเห็นเว่ยฉางอิ๋งขมวดคิ้ว หลับตาลง และกำหมัดแน่น ประหนึ่งกำลังอดทนกับบางสิ่ง ครึ่งเค่อจึงได้ลืมตา ครานี้แก้มขาวดังหิมะของนางก็มีเหงื่อไหลอาบลงมา เว่ยฉางอิ๋งรับผ้าเช็ดหน้าที่ลวี่ฝางส่งให้มาเช็ดเหงื่อแล้วว่า “ไม่เป็นอะไรมากหรอก เพียงแค่กระดูกไม่ได้รับบาดเจ็บ ความเจ็บปวดที่กล้ามเนื้อนั้น ทนสักหน่อยก็หายแล้ว”


“ดีที่เจ้ายังลุกขึ้นได้ พรุ่งนี้พวกเราก็จักได้กลับเสียที” ซ่งไจ้สุ่ยบ่นอุบว่า “หลังจากกลับไปแล้ว ข้าก็คงต้องเอ่ยคำลาแล้ว”


เว่ยฉางอิ๋งตื่นตะลึง จากนั้นจึงได้เข้าใจเรื่องที่ซ่งไจ้สุ่ยเคยเอ่ยว่าต้องการจะทำให้ตนเดือดร้อนให้น้อยที่สุด ดังนั้นนางจึงจะออกเดินทางไปก่อนโดยไม่รอให้ซ่งอวี่วั่งส่งคนมา แต่ความปรารถนาของซ่งไจ้สุ่ยจะต้องเป็นจริง เมื่อหลวงก็จะต้องไป ดังนั้นนางจึงกล่าวเตือนประโยคหนึ่ง “แม้ท่านหมอจี้จะเป็นแพทย์ที่ท่านปู่เชื่อถือ แต่ก็หาใช่แพทย์หลวงประจำองค์รัชทายาท จะว่าไปเมืองหลวงต่างหากคือแหล่งที่รวมแพทย์เลื่องชื่อกระมัง?”


“ข้ารู้” มุมปากของซ่งไจ้สุ่ยโค้งขึ้นเล็กน้อย “เหตุผลที่จะเอ่ยลาเมื่อกลับไปที่บ้านตระกูลเว่ย ข้าก็ได้เตรียมเอาไว้แล้ว


เนื่องจากวางแผนไว้ว่าวันพรุ่งจะกลับเมือง คืนนี้ทุกคนจึงเข้านอนเร็ว


ระหว่างนั้นราวกับได้ยินว่ามีเสียงคนเอะอะโวยวายอยู่ข้างนอก แต่ไม่นานก็สงบลง เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยถามอย่างงัวเงีย ซินลี่เข้ามาบอกว่าเกิดเรื่องเล็กน้อย แต่เว่ยฉางเฟิงจัดการเรียบร้อยแล้ว เว่ยฉางอิ๋งจึงไม่ได้เป็นกังวลใดอีก และหลับไปอีกครา


กระทั่งวันรุ่งขึ้น ได้ยินเพียงเสียงหยดน้ำจากภายนอกกระท่อมดังไม่หยุด และไม่รู้ว่าฝนหยุดแล้ว หรือว่าตกเบาลงแล้วถูกเสียงหยดน้ำจากปลายใบไม้กลบเสีย


เพียงแต่ว่าใบไผ่ที่อยู่เต็มเขานั้นช่างเขียวชอุ่ม แม้จะอยู่ภายในห้องก็ยังรู้สึกหายใจได้เต็มปอด


               เว่ยฉางอิ๋งได้พักผ่อนอย่างเต็มที่มาทั้งคืน ยามตื่นขึ้นจึงรู้สึกว่าตัวเองอาการดีขึ้นอีกเล็กน้อย เมื่ออาบน้ำแต่งตัวแล้ว ก็เกาะมือของสาวใช้และสามารถค่อยๆ เดินจากตั่งไปถึงห้องโถงได้


               คืนแรกนั่นเป็นเพราะรีบร้อน เว่ยฉางเฟิงจึงได้เอาตั่งเตี้ยๆ ในห้องโถงมาเรียงต่อเข้าด้วยกันเพื่อใช้นอน วันที่สองเมื่อบ้านตระกูลเว่ยส่งข้าวของเครื่องใช้มาให้ เว่ยฉางเฟิงจึงได้ไปอยู่ห้องหนังสือ ยามนี้ประตูห้องหนังสือยังปิดอยู่ คิดว่าเพราะเว่ยฉางเฟิงยังเด็ก หลายวันมานี้ต้องจัดการเรื่องราวมากมาย จึงได้นอนดึก


               ในห้องโถง ซินลี่กำลังพาคนเก็บข้าวของ เมื่อเห็นเว่ยฉางอิ๋ง ทางหนึ่งก็คำนับ ทางหนึ่งก็จะไปเคาะประตูห้องหนังสือ


               เว่ยฉางอิ๋งหันไปส่ายหน้าให้พวกนาง เอ่ยเสียงต่ำว่า “ให้ฉางเฟิงนอนต่อสักพักเถิด ข้าจะลองเดินอีกสักก้าวสองก้าว”


               ซินลี่ตอบเสียงเบาว่า “เจ้าค่ะ”


               กระท่อมเล็กและแคบ ภายในมีข้าวของเครื่องใช้ที่ส่งมาจากในเมืองอัดแน่นไปหมด จึงไม่มีที่ทางพอจะให้เว่ยฉางอิ๋งก้าวขา เว่ยฉางอิ๋งเดินไปสองสามก้าว รู้สึกว่ายังพอมีกำลัง จึงได้ส่องสายตาออกไปนอกประตู


               เพราะฝนตกทั้งคืน ลานบ้านที่เดิมทีเคยราบเรียบยามนี้เจิ่งนองไปด้วยน้ำ มองไปที่ลานบ้าน เกรงว่าเมื่อยามย่างลงไปจะมีแต่ดินโคลน


               เว่ยฉางอิ๋งเรียกให้คนเอารองเท้าไม้มาเปลี่ยนให้ เมื่อรู้ว่านางจะออกไปเดิน ซินลี่จึงกล่าวว่า “พวกองครักษ์ต่างก็อยู่ข้างนอก คุณหนูใหญ่จะสวมหมวกคลุมหน้าหรือไม่เจ้าคะ?”


               สวมหมวกนั้นย่อมต้องสวมเป็นธรรมดาอยู่แล้ว


               ลวี่ปิ้นจึงได้ไปหยิบเอาเสื้อคลุมยาวท้องแขนกว้างตัวหนึ่งมาคลุมไหล่ให้นาง เสื้อสีแดงทับทิมปักลายดอกโบตั๋นแซมดอกอวี้หลาน[1]ตัวนี้ ทำจากผ้าชุดเดียวกับเสื้อสีตัวสั้นสีแดงทับทิมปักลายดอกโบตั๋นแซมดอกอวี้หลาน ซึ่งเป็นชุดที่นางเคยใส่ยามไปพบเว่ยเจิ้งหงที่หอฟักฟื้นคราวก่อน ตามที่ฮูหยินซ่งบอก เมื่อสวมเสื้อคลุมยาวตัวนี้ก็คือยามฤดูใบไม้ร่วงแล้ว อาการเย็นสบาย ต้นไม้ใบร่วง ซึ่งในยามนี้ทับทิมแดงก็จะไม่ได้จัดจ้านดังเช่นในฤดูร้อน


               เพราะเป็นกังวลว่ากระท่อมบนเขาไผ่น้อยอยู่ใกล้ยอดเขา และยังอยู่ในป่าไผ่ อากาศเย็นทั้งยามเช้าและยามเย็น ดังนั้นฮูหยินซ่งจึงได้สั่งให้คนนำเสื้อผ้าของฤดูใบไม้ร่วงนี้มาให้เป็นพิเศษ มิเช่นนั้นหากสวมแต่เสื้อผ้าของฤดูร้อนแล้วจะรู้สึกเย็นเกินไป


               เมื่อนับๆ ดู จนวันนี้ก็ห่างบ้านมาสองสามวันแล้ว เมื่อฝนตกทั้งคืนผ่านไป และอาศัยอากาศที่ปลอดโปร่งของป่าไผ่ จะมีที่ใดบนเขาไผ่น้อยลูกนี้หลงเหลือกลิ่นไอของฤดูร้อนอยู่อีก? เพียงมองไปที่หยดน้ำระยิบระยับบนปลายใบไผ่สีมรกตที่อยู่ภายนอก ก็ทำให้รู้สึกเย็นสบายมาจากภายในแล้ว ลวี่ปิ้นกลับรู้สึกเป็นกังวลว่าเมื่อเว่ยฉางอิ๋งออกไปข้างนอกจะถูกลมเขาพัดจนหนาว


               สิ่งที่ลวี่ปิ้นคิดนั้นมีเหตุผลอย่างยิ่ง เว่ยฉางอิ๋งเพิ่งจะก้าวเท้าออกจากประตู ก็พลันมีลมภูเขาวูบหนึ่งพัดมาจนเต็มแขนเสื้อทั้งสองของนาง ลมลอดเข้ามาจากชายเสื้อด้านล่าง ทั้งเย็นและชุ่มชื้น


               นางเงยหน้าขึ้นมองข้างบนหัว พอดีกับหยดน้ำหยดหนึ่งถูกบนชายคาถูกลมพัดให้ร่วงลงมา หากไม่มีผ้าแพร่คลุมหน้าที่ห้อยย้อยลงมาจากหมวก หยดน้ำก็จะร่วงลงมาที่ใบหน้าของนางพอดี แม้จะเป็นเช่นนั้นก็ทำให้พวกของลวี่ฝางหันหลังกลับมาปิดปากแอบหัวเราะกัน


               “เสียงเบาหน่อย!” เว่ยฉางอิ๋งเอ็ดพลางขมวดคิ้ว “ท่านพี่และฉางเฟิงยังหลับอยู่…อย่าเสียงดังรบกวนพวกเขา!”


               พวกของลวี่ฝางสองสามคนรีบทำหน้าตาให้เป็นปกติ ไม่กล้าส่งเสียง


               ในเมื่อไม่ต้องการจะรบกวนทั้งลูกผู้พี่และน้องชาย และเว่ยฉางอิ๋งเองก็ไม่สามารถเดินเล่นในลานบ้านได้ นางคิดสักพักจึงตัดสินใจจะไปที่ริมลำธาร


               …เดินอ้อมแปลงผักไปสองรอบ กระทั่งทั้งความแรงของแสงอาทิตย์และแรงกำลังของตนต่างพอสมควรแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นบ้านหลังเล็กทางฝั่งตะวันตก ก็มีถนนเล็กๆ ที่โรยด้วยหินแตกซึ่งลัดไปถึงริมลำธารได้ คาดว่าเพื่อให้ไปตักน้ำได้สะกวดยามวันฝนตก


               เพราะมีลวี่ฝางและลวี่ปิ้นประคองอยู่สองข้าง ลวี่อีกางร่มสีแดงเข้มให้ คนทั้งกลุ่มค่อยๆ เดินไปที่ริมลำธาร เมื่อฝนตกทั้งคืน จึงเป็นธรรมดาที่น้ำในลำธารยามนี้จะขุ่น เมื่อเพ่งมองลงไป บางครั้งจะมองเห็นปลาที่กำลังว่ายอยู่กระโดนออกมา ริมลำธารยังมีสัตว์พวกไส้เดือน และกุ้งเล็กๆ จำนวนมาก


               บรรยากาศท้องทุ่งนาเช่นนี้ พาให้คนอดจะเป็นสุขใจไม่ได้


               เว่ยฉางอิ๋งเดินไประยะหนึ่ง จู่ๆ ก็หยุดยืน แล้วเปิดผ้าคลุมหน้าออกครึ่งหนึ่งเพื่อรับลม ทั้งยังเพื่อเสพสุขกับความสุขสบายบนเขาเขียวชอุ่มยามหลังฝน


               พวกของลวี่ฝางก็รู้สึกเช่นกันว่ายามเช้าที่ไม่ต้องทำสิ่งใด เพียงยืนอยู่ริมลำธารเช่นนี้ ก็คือความสุขอย่างหนึ่ง จึงพากันนิ่งเงียบไม่พูดจา


               ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด มีเสียงกระแอมไอดังมาจากไม่ไกลนักทำให้เว่ยฉางอิ๋งตกใจ พลันปล่อยผ้าแพรปิดหน้าลงโดยไม่ทันรู้ตัว และหันหน้าไปดู…


               กลับพบว่าบนทางเดินเล็กๆ มีเว่ยชิงที่ยังคงสวมเสื้อผ้าสีครามพกดาบอวิ๋นโถวเช่นเดิม กำลังพาคนสองคนเดินขึ้นมาตามทาง


               แม้ยามเว่ยฉางอิ๋งมองไป สายตาของเว่ยชิงจะมั่นคงไม่ไหวติง แต่เว่ยฉางอิ๋งก็เข้าใจดีกว่าเสียงกระแอมไอนั้น แท้จริงแล้วเป็นเพราะเว่ยชิงเห็นว่าตนเปิดผ้าแพรคลุมหน้าอยู่ จึงจงใจจะเตือนตน


               เรื่องนี้ทำให้เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง อดจะมองไปทางคนสองคนที่มากับเว่ยชิงไม่ได้…


               จะว่าไปแล้วผู้ที่มาบนเขาในยามนี้ นอกจากคนของฮูหยินซ่งแล้ว ก็จะมีเพียงองครักษ์ของตระกูลเว่ย คนที่อยู่ข้างหน้านั้นเว่ยฉางอิ๋งไม่จำเป็นต้องสงสัย แต่คนที่อยู่หลังเว่ยชิงก็ไม่จำเป็นต้องมีใช้วิธีเดินอ้อมขึ้นเขามาเช่นนี้ ทั้งยังควรจะบอกเล่าออกมาตรงๆ และเข้ามาคำนับตนพร้อมๆ กันจึงจะถูก…


               ยิ่งไปกว่านั้นยามเช้าเช่นนี้ องครักษ์พากันขึ้นมาทำสิ่งใด?


               สองคนนี้ แท้จริงแล้วคือผู้ใดกัน?


_________________________________


[1] ดอกอวี้หลาน เป็นดอกไม้ในตระกูลดอกแมกโนเลีย



ตอนที่ 44 คนไร้มารยาท (1)

โดย

Xiaobei

ขณะที่เว่ยฉางอิ๋งคาดเดาสถานของคนสองคนที่ขึ้นมาบนเขากับเว่ยชิงอยู่นั้น คนทั้งสองก็สังเกตเห็นนางแล้ว…บนเขาไผ่น้อยสีเขียวมรกตนี้ เสื้อคลุมยาวสีแดงทับทิมที่เว่ยฉางอิ๋งสวมทับอยู่เป็นที่สังเกตยิ่งนัก ข้างกายนางยังมีสาวใช้คอยปรนนิบัติอีกสี่นาง ล้วนมิได้แต่งกายอย่างสามัญชน เห็นได้ว่ามิใช่หญิงสาวทั่วไป


แม้เมื่อได้ยินเสียงกระแอมแล้ว เว่ยฉางอิ๋งไม่ทันรู้ตัวก็ดึงผ้าแพรคลุมหน้าลงในทันใด แต่ลมภูเขาที่พัดโชย ยามนางมองไปตามเสียง ผ้าแพรปิดหน้าก็ถูกพัดขึ้นอีกครา เว่ยฉางอิ๋งรีบยกมือขึ้นกดทับลงมา ในแขนเสื้อกว้างพลิ้วไหว เผยให้เห็นนิ้วงามดังหยกของนางตัดกับผ้าสีแดงทับทิมฉูดฉาด ช่างงามผุดผ่องอ่อนโยน หากแต่มือไม้ของนางไวนัก ทว่าแม้ผ้าแพรคลุมหน้าที่บางเบาจะถูกกดเอาไว้แล้ว ก็กลับปลิวม้วนขึ้นไปบนใบหน้า ยังคงเผยให้เห็นข้างแก้มและปลายคางขาวราวหิมะ


ผิวผ่องดังหิมะ อาภรณ์สีแดงสด รอบกายกลับเป็นป่าไผ่สีเขียวมรกต เพราะมีฝนตกเมื่อคืน จึงทำให้มีหยดน้ำสะท้อนดังมรกตส่งประกาย


ร่างในชุดแดงท่ามกลางสีเขียวที่แวดล้อมอยู่ อาภรณ์ปลิวไหวดังจะลอยขึ้นไปตามลมในป่าไผ่


แม้มิได้เห็นใบหน้าทั้งหมด แต่ยามนางปรายตามาอย่างตื่นตระหนกเพียงครั้ง ก็ได้ลอบเห็นความงามของนางจากมุมนี้แล้ว และเพราะมุมนี้จึงยิ่งทำให้สามารถจินตนาการไปได้ว่าใบหน้าที่แท้จริงภายใต้ผ้าแพรคลุมหน้านั้นงดงามประหนึ่งเทพธิดาในสวรรค์ชั้นใด การเผชิญหน้าครานี้เป็นดังตำนานแห่งป่าเขา ราวกับจะทำให้คนเคลือบแคลงใจว่าได้พบกับเทพธิดาที่ลงมากินดื่มเมฆหมอกบนเขาจริงๆ


ภาพที่แจ่มแจ้งเพียงนี้ ช่างน่าประทับใจเสียเหลือเกิน


คนทั้งสองที่ตามเว่ยชิงขึ้นมาบนเขาต่างอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองสักหลายหน


เพียงแต่สายตาประหลาดใจที่มองมาครานี้ ก็ต้องสิ้นสุดลงเพียงเท่านี้แล้ว…เมื่อลวี่ฝางสังเกตได้ว่ามีคนนอกเข้ามาใกล้ จึงรีบก้าวมาข้างหน้าบังตัวเว่ยฉางอิ๋งเอาไว้ ลวี่ฉือและลวี่ปิ้นก้าวมาจัดแจงผ้าแพรปิดหน้าของนายอย่างรวดเร็ว


ความจริงแล้ว…


สาเหตุที่เว่ยชิงกระแอมไอในตอนแรก นอกจากจะเป็นการเตือนให้เว่ยฉางอิ๋งเอาแพรปิดหน้าลงแล้ว ก็ต้องการจะส่งสัญญาณให้เว่ยฉางอิ๋งกลับไปที่กระท่อมด้วย แต่ยามนี้แม้เว่ยฉางอิ๋งจะเดินเหินได้ ทว่าแต่ละก้าวก็ยังไม่มั่นคง หากมีเพียงเว่ยชิงคนเดียว นางกลับมิได้ใส่ใจใดๆ แต่สถานะของสองคนที่ขึ้นเขามากับเว่ยชิงนั้นไม่แน่ชัด นางจึงไม่ยอมให้คนแปลกหน้าเห็นท่าทางเดินแข็งทื่อของตน หลังจากจัดแพรคลุมหน้าเรียบร้อยแล้วจึงกลับไม่ได้เดินไปไหน


เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ คนที่ตามเว่ยชิงขึ้นเขามา จึงได้ลองสอบถามดู “ผู้ที่อยู่ริมธาร จักสะดวกให้เข้าไปคราวะหรือไม่?”


คำกล่าวนี้หาได้เป็นการล่วงเกินไม่ เพราะแม้เว่ยฉางอิ๋งจะสวมเสื้อผ้าสีฉูดฉาด สาวใช้ข้างกายก็ยังอายุเยาว์ และสวมหมวกคลุมหน้า มองไม่เห็นว่านางเกล้าผมแบบใด และไม่รู้ว่านางออกเรือนแล้วหรือไม่…เมื่อคืนเว่ยชิงบอกพวกเขาว่าบนเขามีนายผู้หญิงอยู่ แม้แต่เว่ยฉางเฟิงยังต้องพักอยู่นี่เพราะนายหญิงผู้นี้ ยามนี้เห็นได้ชัดว่าหญิงผู้นี้เห็นว่ามีคนมา แต่กลับไม่ได้จากไป ผู้ใดเล่าจะรู้ว่านายหญิงผู้นี้จะใช่ผู้อาวุโสของตระกูลเว่ยหรือไม่? ที่รั้งรออยู่เช่นนี้ อาจกำลังรอให้พวกเขาเข้าไปคารวะและต้องการสอบถามก็เป็นได้?


แต่เว่ยชิงกลับรู้ว่าเป็นเว่ยฉางอิ๋ง จึงได้ส่ายหน้า “นั่นคือคุณหนูของบ้านข้า คาดว่าคงตื่นเช้าและเห็นว่ารอบๆ นี้ไม่มีคน จึงได้มาพักผ่อนที่ริมธาร”


ในเมื่อมิใช่ผู้อาวุโส ทั้งยังเป็นหญิงสาว จึงไม่ควรจะเข้าไป ผู้ที่เอ่ยถามก่อนหน้านี้จึงรีบคำนับขอขมา “อี้หรานล่วงเกินแล้ว”


“คุณชายกู้เกรงใจเกินไปแล้ว” เว่ยชิงยิ้มอย่างอ่อนโยน คิดในใจว่าคนพวกนี้มาขอหลบฝนบนเขาไผ่น้อยเมื่อคืน แต่กลับถูกองครักษ์ตระกูลเว่ยกันไว้ หลังจากเกิดเรื่องกระทบกระทั่งกันเล็กน้อย จึงมีคนขึ้นเขามารายงาน ตนเองกับเว่ยฉางเฟิงลงไปจัดการ… ตอนนั้นน่าจะเป็นยามเค่อชู[1] จำได้ว่าในห้องนอนต่างดับไปจนมืดหมดแล้ว คิดว่าคุณหนูทั้งสองเขานอนเร็ว จึงยังไม่รู้เรื่องนี้


มิเช่นนั้น เว่ยฉางอิ๋งจะต้องไม่ออกมายืนเหม่อที่ริมธารซึ่งอยู่ติดกับทางเดินบนเขาในเวลานี้เป็นแน่


เดิมทีหากกู้อี้หรานผู้นี้ไม่ได้เอ่ยปาก เพราะเว่ยฉางอิ๋งและพวกเขานั้นอยู่ห่างกันระยะหนึ่ง เว่ยชิงจึงตัดสินใจจะเดินผ่าน แต่ในเมื่อยามนี้เขาเอ่ยปากถามแล้ว เว่ยชิงจึงไม่อาจทำเป็นมองไม่เห็นเว่ยฉางอิ๋งอีกต่อไป พลันประสานมือโค้งตัวไปทางริมธารเป็นการคราวะอยู่ไกลๆ


เมื่อเห็นเขาทำเช่นนั้น กู้อี้หรานและคนอีกคนจึงได้คารวะอยู่ไกลๆ ตามไปด้วย


เว่ยฉางอิ๋งเห็นดังนั้นจึงยิ่งแน่ใจว่าคนทั้งสองเป็นคนนอก นางประคองหมวกคลุมหน้าเอาไว้ แล้วคารวะกลับไปหนหนึ่ง น่ารำคาญที่ยามนี้ตนเองเดินได้ไม่เร็ว อยากจะกลับไปที่กระท่อมก่อนคนทั้งสามก็ทำไม่ได้ จึงทำได้เพียงลอบถอนใจ แล้วเอ่ยกับคนที่อยู่สองข้างว่า “พวกเราไปเดินเล่นทางด้านหลังสักหน่อย เว่ยชิงพาสองคนนั้นขึ้นมาบนเขา จะต้องไปหาฉางเฟิงเป็นแน่ รอให้พวกเขาไปเสียก่อนค่อยกลับกระท่อม”


ในกระท่อมมีประตูที่ห้องโถงเพียงประตูเดียว หากเป็นในยามปกติเว่ยฉางอิ๋งคงมีความคิดจะปีนเข้าทางหน้าต่าง แต่ตอนนี้บาดเจ็บ จึงทำได้แต่หลบเลี่ยงเอาเท่านั้น


…เพียงแต่คนนอกสองคนนี้ มาหาฉางเฟิงแต่เช้าเช่นนี้เพราะเหตุใดกัน? เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกสงสัยอยู่ในใจ อาศัยหมวกปิดหน้าบังเอาไว้ และคอยสังเกตพวกเขาอย่างละเอียดผ่านแพรปิดหน้า


ผู้ที่พูดจากับเว่ยชิงสองประโยคนั้นสวมชุดเซินอีที่เป็นชุดยาวติดกันสีเขียวไผ่ ท้องแขนเสื้อกว้างผ้าคาดเอวใหญ่ บนศีรษะสวมหมวกสีเขียวไผ่ กลับเข้ากันกับเขาไผ่น้อยแห่งนี่เอามากๆ เพราะมีแพรปิดหน้ากั้นอยู่ กอปรกับเว่ยฉางอิ๋งก็เกรงใจที่จะเอาแต่จ้องมองเขา จึงได้แต่รีบเบือนเฉพาะใบหน้าไป ดูเผินๆ จึงคล้ายกับยังมองตรงมา


ผู้ที่ไม่ได้พูดจากคนนั้นมิได้เป็นข้าราชสำนัก รูปร่างคล้ายกับเว่ยชิง สวมเซินอีชุดยาวติดกันสีฟ้าอมเขียว มีหยกโค้งรัดมวยผม คนแปลกหน้าสองคนนี้ดูมีสง่าราศีไม่ธรรมดา เสื้อแขนกว้างรองเท้าพื้นสูงเดินไปบนเขาที่มีใบไม้ร่วงอยู่เต็ม ดูมีท่วงทีสง่าอย่างขุนนางชั้นสูงที่มาท่องเที่ยวบนเขายิ่งนัก


เนื่องจากตอนที่เว่ยฉางอิ๋งถูกทำให้ตกใจนั้น นางหันไปมองเว่ยชิงก่อน เห็นคนชุดสวมเสื้อตัวยาวสีเขียวไผ่พูดกับเว่ยชิงทั้งยังมองมา…ครานี้จึงไม่กล้ามองไปทางชายชุดฟ้าอมเขียวผู้นั้นแล้ว และมิทันได้เห็นหน้าตาของเขาอย่างถนัดตา


แล้วชายชุดฟ้าอมเขียวนั้นดูคล้ายคุณชายสูงศักดิ์ แต่ท่าทางกลับดูไม่สำรวม แม้เขาจะไม่ได้เอ่ยคำใดยามได้เห็นเว่ยฉางอิ๋ง แต่กลับดูสนใจเว่ยฉางอิ๋งเป็นพิเศษ กระทั่งเมื่อเดินผ่านไปยังเหลียวหลังกลับมาดูอีกครา พอดีกับที่เว่ยฉางอิ๋งเองก็มองไปทางพวกเขาด้วยความใคร่รู้เหลือล้น สายตานี้ ทำให้ทั้งสองต่างตื่นตระหนก แล้วต่างหันเหสายตาไปในทันใด…


เว่ยฉางอิ๋งตั้งสติ แล้วเมื่อมองไปอีกครา กลับเห็นเว่ยชิงได้พาพวกเขาเข้ากระท่อมแล้ว


‘ดูการแต่งกายและกริยาของเว่ยชิงแล้ว สองคนนี้จะต้องเป็นคนในตระกูลใหญ่ไม่ก็ตระกูลขุนนาง’ เว่ยฉางอิ๋งนึกสงสัยอยู่ในใจ ‘เพียงแต่ว่าเป็นเรื่องใดกันที่คนของตระกูลใหญ่พวกนี้กลับไม่ไปเข้าพบท่านอาหรือท่านปู่ มาหาฉางเฟิงด้วยเหตุใด? ดูพวกเขาก็ไม่เหมือนจะมีเรื่องเร่งร้อนอันใด…หากไม่มีเรื่องเร่งร้อน บนเขาลูกนี้ในยามนี้ก็มีข้าและท่านพี่พักรักษาตัวอยู่ ทั้งพวกเขาก็ไม่คุ้นหน้ายิ่งนัก เหตุใดฉางเฟิงและเว่ยชิงจึงอนุญาตให้พวกเขาขึ้นมาเล่า?”


ลวี่ฝางเห็นว่าเว่ยฉางอิ๋งบอกจะไปหลบที่หลังกระท่อม แต่นางกลับยืนอยู่กับที่ไม่ส่งเสียงใด รออยู่เกือบเค่อจึงได้เอ่ยถามเบาๆ “คุณหนู?”


[1] ยามเค่อชู เป็นเวลาประมาณ 21.00 น.



ตอนที่ 44 คนไร้มารยาท (2)

โดย

Xiaobei

“ไปหลังกระท่อมเถอะ” เว่ยฉางอิ๋งหยุดคาดเดา แล้วเอ่ยพลางพยักหน้า


ด้านหลังกระท่อมเป็นพื้นที่ว่างเปล่ากว้างใหญ่ ไม่เพียงแค่ต้นไผ่ที่เคยทอดยาวมาตลอดทางจะถูกตัดออกแล้ว แม้แต่ต้นหญ้าก็ยังถูกถอนออกจนหมด จึงดูโล่งมาก ที่ทำเช่นนี้ก็เพื่อป้องกันไม่ให้มีพวกงูและแมลงต่างๆ มาอาศัยอยู่บริเวณนี้ และอาจจะเข้าไปภายในบ้านได้


วันแรกบนเขา เว่ยฉางอิ๋งเคยมาดูที่หลังกระท่อมเป็นเพื่อนซ่งไจ้สุ่ยแล้ว เพียงแต่ไม่คิดว่าทัศนียภาพที่เคยเห็นเมื่อสองวันก่อน ไม่ห่างออกไปนักกลับมีศาลาไม้ไผ่หลังหนึ่งเพิ่มขึ้นมา?


เว่ยฉางอิ๋งเหม่อลอยไปครู่หนึ่ง จึงค่อยชี้ไปยังศาลาที่เห็นได้ชัดว่าเพิ่งจะสร้างขึ้นมาจากต้นไผ่ซึ่งอยู่ไม่ไกลออกไป แล้วว่า “นี่คือ?”


สองสามวันมานี้ พวกของลวี่ฝางทั้งสี่นางมัวแต่สาละวนอยู่รอบกายเว่ยฉางอิ๋ง ทั้งยังเป็นกังวลว่าเมื่อกลับเข้าเมืองแล้วฮูหยินซ่งจะลงโทษพวกนางเช่นไร หรือจะมีใจไปใส่ใจเรื่องอื่น ยามนี้จึงกลับประหลาดใจถึงการปรากฏขึ้นมาของศาลาไผ่เช่นเดียวกับเว่ยฉางอิ๋ง


สิ่งนี้กลับเป็นเรื่องประหลาดเหนือการคาดเดา บ่าวชราที่ฮว่าผิงสั่งให้ตามมาด้วยก่อนเว่ยฉางอิ๋งจะออกมารู้เรื่อง ยามนี้จึงได้ขึ้นมารายงานว่า “ศาลานี้สร้างขึ้นเมื่อวาน เพราะคุณชายบอกว่าที่แห่งนี้มีทิวทัศน์งดงาม หากสร้างศาลาสักหลังไว้ก็จักยิ่งดี เมื่อฮูหยินได้ยิน จึงเรียกช่างขึ้นมาสร้างเจ้าค่ะ”


ไผ่ที่นำมาสร้างศาลาเป็นต้นไผ่ที่ตีนเขาไผ่น้อย ใช้วัสดุในท้องที่ และภูเขาก็มิได้สูง เพียงแค่เตรียมตัดไผ่ที่ตีนเขาเอาไว้ เมื่อขนส่งขึ้นมาแล้ว กำหนดที่จะปลูกสร้างในจุดที่เว่ยฉางเฟิงเลือกไว้ ใช้เวลาไม่นานก็สามารถสร้างจนเสร็จ ทั้งรวดเร็วและไม่ยุ่งยาก ยิ่งไปกว่านั้นก็ไม่ถึงกับเป็นเรื่องวุ่นวายเกินไป…และแน่นอนว่าแบบของศาลาก็มิได้ซับซ้อน นั่นเพราะกระท่อมที่อยู่ด้านหน้าของศาลาก็เรียบง่าย ทั้งศาลาและตัวกระท่อมจึงเข้ากันได้พอดิบพอดี


เว่ยฉางอิ๋งจึงเอ่ยถามพลางหัวเราะว่า “เมื่อคืนนี้หรือ? ข้าคล้ายได้ยินเสียงเอะอะอยู่บ้าง”


บ่าวชราตกใจ กล่าวว่า “รายงานคุณหนู มิใช่เมื่อคืน หากแต่สร้างเสร็จตั้งแต่เที่ยงวานแล้ว เมื่อสร้างเสร็จ คุณชายห้ายังมานั่งอยู่สักพัก และกล่าวชมเชยพวกช่างด้วยเจ้าค่ะ”


“โอ้” เว่ยฉางอิ๋งเหมือนจะครุ่นคิดถึงบางสิ่ง “เช่นนั้นเสียงเอะอะเมื่อคืนนี้เป็นเรื่องใดกัน?


ครานี้แม้แต่บ่าวชราก็ยังตอบไม่ได้ พลางกล่าวอย่างละอายว่า “บ่าวนอนหลับสนิท กลับไม่ได้ยินสิ่งใดเจ้าค่ะ”


“สองสามวันนี้ก็ลำบากพวกเจาแล้ว” เว่ยฉางอิ๋งเห็นนางไม่รู้เรื่องจริงๆ จึงไม่ได้คาดคั้น แล้วว่า “ฉางเฟิงสั่งให้คนมาสร้างศาลานี้ ว่าไปก็สะดวกดี พวกเราไปนั่งเล่นข้างในเถิด ข้ากำลังรู้สึกเหนื่อยอยู่พอดี”


เมื่อได้ยินนางว่าเหนื่อย ทุกคนต่างตื่นเต้นขึ้นมา บ่าวชราสองนางรีบกรูเข้าไปในศาลาและเช็ดถูกรอบหนึ่ง…ศาลาเพิ่งสร้างใหม่ มีเพียงเว่ยฉางเฟิงที่มานั่งเล่นครู่เดียว ทั้งยังอยู่กลางเขาใต้ต้นไผ่ ฝุ่นดินแม้จะไม่มาก แต่มีฝนตกทั้งคืน รอบศาลามิได้มีฝากั้น มิต้องเอ่ยถึงน้ำฝนที่ซัดเข้ามาจนเปียก ยังมีใบไผ่ร่วงลงกองเต็มไปหมด


เมื่อเก็บกวาดเสร็จแล้ว จึงได้เชิญเว่ยฉางอิ๋งเข้าไปนั่ง ศาลาไผ่นี้เป็นศาลาแปดเหลี่ยม หันหน้าเข้าหาข้างลำธาร บังเกิดภาพหญิงงามที่พอดีไปสะท้อนอยู่บนผิวหน้าลำธาร เหมือนคำที่ว่าลมพัดน้ำกระเพื่อม ซึ่งบรรยายถึงภาพงดงามที่บังเอิญเกิดขึ้นอย่างพอเหมาะพอเจาะในชั่ววินาที


 ลวี่ฝางหันมองไปรอบทิศ จึงเอ่ยในเชิงขอขมาว่า “ออกมาก็ลืมนำน้ำชาและของว่างสักหน่อยมาด้วย ข้าน้อยจะไปลองดูในครัว”


ห้องครัวอยู่ข้างๆ เรือนตะวันออกซึ่งเคยเป็นที่พักของเด็กรับใช้ เดินไปไม่จำเป็นต้องผ่านห้องโถงจึงไม่เป็นการรบกวนเว่ยฉางเฟิงรับแขก เว่ยฉางอิ๋งจึงได้พยักหน้า “เจ้าไปเถิด”


ลวี่ฝางนำชาร้อนและปอเปี๊ยะกลับมาอย่างรวดเร็ว เว่ยฉางอิ๋งทานไปสองชิ้น และดื่มน้ำชาหนึ่งจอก คิดในใจว่าคนที่เว่ยชิงพามาไม่รู้ว่าจะเมื่อใดจะกลับไป?


กำลังจะส่งคนเข้าไปสอบถามดู กลับเห็นว่าหลังกระท่อมห่างออกไปไม่ไกลปรากฏมีร่างของคนผู้หนึ่ง…คราแรกยังนึกว่าเป็นเว่ยฉางเฟิงส่งแขกกลับไปแล้ว จึงส่งคนออกมาเรียกตน แต่คิดไม่ถึงว่ามองอย่างละเอียดแล้ว คนที่นำหน้ามากลับคือเว่ยชิง!


และข้างหลังเขา ก็คือคนที่เพิ่งขึ้นเขามาก่อนหน้านี้!


เว่ยฉางอิ๋งตกใจ ก่อนนี้เพราะดื่มชาจึงได้พับแพรปิดหน้าขึ้นและลืมเอาลงมา พลางเอ่ยเสียงต่ำกับตนเองว่า “เว่ยชิงพาคนมาข้างหลังนี่ทำไม?”


ว่าไปแล้วเว่ยฮ่วนเลือกคนมีความสามารถมาดูแลหลานแท้ๆ ทั้งยังเป็นพี่น้องตระกูลเว่ย ไม่นับว่าเป็นเรื่องไม่ดีต่อตระกูลเว่ย ยิ่งไปกว่านั้นก็หาได้มีเสียงเอะอะดังมาจากทางกระท่อมไม่…ข้างกายเว่ยฉางเฟิงไม่เพียงมีองครักษ์นายอื่น แต่ยังมีสาวใช้เช่นพวกซินลี่ด้วย!


แต่ในเมื่อเขาไม่มีเจตนาร้ายใด แล้วจักพาคนนอกมาที่นี่ทำไมกัน?


เว่ยฉางอิ๋งกำลังเกิดความสงสัย เว่ยชิงที่อยู่ทางโน้นเองก็ดูมีอาการตื่นตระหนกเล็กน้อยเช่นกัน เขารู้ว่าวันนั้นคุณหนูใหญ่ตระกูลเว่ยหกล้มได้รับบาดเจ็บจนลุกไม่ขึ้น แม้วันนี้จะเดินได้แล้ว แต่ก็เกรงว่าจะไม่ขยับกายไม่สะดวกนัก มิเช่นนั้นแล้วยามเมื่อได้พบกันที่ริมธาร เว่ยฉางอิ๋งก็จะไม่ได้พบกับคนแปลกหน้า ดึงแพรคลุมหน้าลง แต่กลับหยุดยืนกับที่


เมื่อพิจารณาได้ว่าคนที่ตนพามากำลังจะไปพบเว่ยฉางเฟิง และกำลังขวางทางกลับกระท่อมของคุณหนูท่านนี้ เขาไผ่น้อยก็ใหญ่เพียงเท่านี้ เกรงว่าเว่ยฉางอิ๋งจะรู้สึกกระอักกระอ่วนใจเพราะไร้ที่จะไป กังวลใจว่ายามกลับจะยังเห็นเว่ยฉางอิ๋งยังอยู่ที่เดิม แล้วจักทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่าคุณหนูตระกูลเว่ยได้พบกับชายแปลกหน้าแต่กลับไม่ยอบหลบเลี่ยง


ดังนั้นเมื่อครู่ตอนเว่ยชิงออกจากกระท่อม จึงได้บอกเป็นนัยกับคนทั้งสองว่าหลังกระท่อมมีถนนสายเล็กๆ ซึ่งมีทิวทัศน์ไม่เลว… และที่ว่าทิวทัศน์ไม่เลวนี้แน่นอนว่าเพียงพูดไปลอยๆ เท่านั้น ความจริงแล้วถนนเล็กๆ สายนี้เพิ่งจะทำเสร็จในสองวันมานี้เอง…ซึ่งก็เพื่อใช้สร้างศาลาไผ่


แม้คนทั้งสองจะเดาได้ว่าเว่ยชิงต้องการให้หลบเลี่ยงไม่ให้พวกเขาได้เจอกับนายหญิง แต่ก็ยังทำทีตอบรับคำเชิญของเจ้าบ้าน


แต่ปรากฏว่า….


กลับได้เจอกับเว่ยฉางอิ๋งอีกครั้ง!


ยิ่งไปว่านั้นครั้งนี้เห็นได้ชัดว่าเว่ยฉางอิ๋งดูตกใจไม่เบา ทั้งยังลืมว่าแพรปิดหน้านั้นอยู่บนหมวกครึ่งหนึ่ง แม้เมื่อปล่อยแพรนี้ลงมาจะยาวถึงอก เมื่อม้วนขึ้นครึ่งหนึ่งจึงยังปิดถึงปลายจมูก ทว่าก็ยังเผยใบหน้าครึ่งหนึ่งออกมา… หากเอ่ยถึงฐานะของคนในตระกูลใหญ่แล้ว นี่ถือว่าเป็นการถูกล่วงเกินเป็นอย่างมาก


เมื่อเห็นว่ามีความตกใจอยู่ในแววตาของเว่ยชิง เว่ยฉางอิ๋งจึงได้สติกลับคืนมา พลางรีบดึงเอาแพรคลุมหน้าลงมาแล้วสั่งความเสียงต่ำๆ ว่า “นางเฟิงเจ้ามาข้างหน้าข้า”


นางเฟิงเป็นบ่าวชราที่คอยติดตามคนหนึ่ง เดิมทีนางหันหลังให้กับกระท่อมอยู่ จึงไม่รู้ว่ามีคนเดินผ่านมา เมื่อได้ยินคำจึงได้หันกลับไปมองโดยมิได้ตั้งใจหนหนึ่ง และเข้าใจทันที พลางรีบก้าวเท้าขยับเข้ามา และทุกคนจึงได้พากันขยับตำแหน่งของตนโดยมิได้นัดหมาย เพื่อบังตัวเว่ยฉางอิ๋งเอาไว้


แม้จะเป็นเพียงชั่วเวลาสั้นๆ แต่เว่ยฉางอิ๋งกลับรู้สึกร้อนใจเป็นหนักหนา ลอบคิดว่าอีกสักประเดี๋ยวจักต้องไปถามเอาความกับฉางเฟิงให้จงได้ จะพักฟื้นทั้งทีเหตุใดจึงอยู่สงบไม่ได้ ยังมิต้องเอ่ยถึงเรื่องที่นำคนที่ใดก็ไม่รู้ขึ้นเขามา แล้วไม่ว่าจะเป็นหน้ากระท่อมหลังกระท่อมก็ยังให้ได้พบกับตนอีก?


ขณะที่นางกำลังบีบถ้วยชาอย่างขัดเคืองอยู่นั้น กลับเห็นว่าคนทั้งสามที่เดิมทีเดินผ่านไปแล้วหันกลับมาและตัดสินใจจะลงเขาตามเส้นทางเดิม ชายชุดฟ้าอมเขียวก็กลับหันมามองอีกครั้ง…การกระทำนี้เว่ยฉางอิ๋งลอบมองเห็นจากใต้แขนเสื้อของนางเฟิง ยิ่งทำให้นางโกรธขึ้นไปอีก แต่ไม่คิดว่าที่ชายชุดฟ้าอมเขียวหันกลับมามองหนนี้ ไม่ได้รีบหลบตาแล้วเร่งตามพวกพ้องไปในทันทีเช่นคราวก่อน หากแต่เขามีสีหน้าเปลี่ยนไปในทันใด แล้วตะโกนเสียงดังว่า “อย่าขยับ!”


เว่ยฉางอิ๋งสะดุ้ง แต่กลับเห็นว่าในมือของเขามีแสงสว่างวาบ และพุ่งตรงเข้ามาบนศีรษะของตน!


___________________________



ตอนที่ 45 งูเขียวหางไหม้ (1)

โดย

Xiaobei

ยินเพียงเสียง ‘ชู่’ เบาๆ หนหนึ่ง แสงสว่างวาบนั้นคล้ายจะโฉบผ่านหมวกคลุมหน้าของเว่ยฉางอิ๋ง แล้วไปปักอยู่ที่ต้นเสาของศาลาต้นหนึ่งข้างหลังเว่ยฉางอิ๋ง


เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว พวกเว่ยฉางอิ๋งทั้งนายทั้งบ่าวที่อยู่ในศาลาต่างพากันตกตะลึงไปชั่วอึดใจจึงค่อยได้สติกลับคืนมา และมีสีหน้าเคร่งเครียดเกินบรรยาย! มีคนกล้าลงมืออย่างอุจอาจกับมุกล้ำค่าแห่งตระกูลเว่ยเชียวรึ?! แม้จะไม่ได้ทำให้เว่ยฉางอิ๋งบาดเจ็บ แต่นี่ก็คือการท้าทายตระกูลเว่ย! ไม่เพียงแค่ในศาลาเท่านั้น องครักษ์ที่ซ่อนกายอยู่ภายในป่าโดยรอบก็พากันชักดาบและดาหน้ากันออกมา!


เว่ยฉางอิ๋งทั้งตกใจทั้งโมโห จึงอดไม่ได้ที่จะเผยใบหน้าออกมา นางยกมือขึ้นปัดแพรปิดหน้าให้พับขึ้นไปบนหมวก ในขณะที่กำลังจะชี้หน้าด่าชายชุดฟ้าอมเขียวอยู่นั้น พลันรู้สึกว่ามีบางสิ่งกระทบบนหมวก นางหันกลับมามองโดยไม่ทันตั้งใจ…


มองมาครานี้ ความเคืองโกรธที่เว่ยฉางอิ๋งเคยมีพลันค่อยๆ เลือนหาย สองแก้มแดงระเรื่อกลับซีดขาวลงทันใด…เห็นเพียงบนต้นเสาลำไผ่ที่เพิ่งจะตัดจากตีนเขามาเมื่อสองวันก่อนซึ่งเป็นลำไผ่หลังฝนตกที่มีสีเขียวสด  มีมีดพกที่สะท้อนแสงสว่างวาบไปรอบทิศเล่มนั้นปักลึกลงไปสองในสามส่วนของลำไผ่ รอยใหญ่เช่นนี้ ถึงกับทำให้ลำไผ่นั้นแตกแยกเป็นรอยยาว


ลำพังเพียงจุดนี้หาได้ทำให้เว่ยฉางอิ๋งขวัญหายไม่ แต่สิ่งที่ทำให้นางต้องสูดหายใจลึกนั้นกลับคือ ที่มีดพกเล่มนั้นโผล่พ้นออกมานอกลำไผ่หนึ่งในสามส่วนนั้น เพราะตัวมีดส่วนนี้ปักอยู่กับงูตัวหนึ่งซึ่งมีสีเขียวสดไม่ต่างอะไรกับสีของลำไผ่!


งูตัวนี้ไม่นับว่าตัวโตนัก ลำตัวกว้างเพียงเท่าคันเบ็ดเท่านั้น คอแคบดวงตาสีแดง หัวเป็นสามเหลี่ยม มันถูกมีดพกปักทะลุลำคอและปักติดอยู่บนลำไผ่ แต่กลับยังคงดิ้นรนอย่างหนัก… เมื่อครู่ที่เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกว่ามีบางสิ่งกระทบหมวกคลุมหน้า ก็คือมันกำลังดิ้นรนและเอาหางมาฟาดบนหมวกของนาง หางงูสีแดงเข้มนั้นทำเอาคนในศาลาพากันรู้สึกประหนึ่งว่ามีลมเย็นพัดวาบเข้าไปที่แผ่นหลัง!


งูเขียวหางไหม้


แม้จะพบเห็นได้บ่อยครั้งยิ่งนัก แต่ก็มีพิษร้ายแรง


และเห็นว่าตำแหน่งที่มีดพกปักเข้าไปในลำไผ่อยู่เหนือหมวกตรงที่เว่ยฉางอิ๋งนั่งอยู่เพียงหนึ่งนิ้วเท่านั้น!


แม้เว่ยฉางอิ๋งจะสวมหมวก แต่สีของงูตัวนี้ก็เหมือนกับสีไผ่ไม่มีผิด เกรงว่าต่อให้เลื้อยลงมาบนเสื้อผ้าของเว่ยฉางอิ๋งก็ยากจะสังเกตได้ หากถึงยามนั้นคง…


พวกของนางเฟิงและลวี่ฝางพากันหน้าซีดเผือด ทั้งรู้สึกคล้ายขาอ่อนแรง แล้วกล่าวด้วยเสียงสั่นเครือว่า “หะ….เหตุใดที่นี่จึงมีงู?”


ยามนี้ก็ยังมิใช่ฤดูใบไม้ร่วงหรือฤดูหนาว ฤดูร้อนเพิ่งจะผ่านไปและย่างเข้าฤดูใบไม้ร่วงเท่านั้น พวกงูเงี้ยวยังมิได้จำศีล หากจะมีงูเขียวหางไหม้อยู่ก็หาใช่เรื่องแปลกแม้แต่น้อย ดังนั้นคนบ้านตระกูลเว่ยจึงได้แผ้วถางบริเวณโดยรอบกระท่อมจนเตียน ว่ากันตามจริงแล้ว…พวกงูไม่น่ากล้าเข้ามาใกล้จึงจะถูก!


ทั้งที่เว่ยฉางอิ๋งมิใช่คนขวัญอ่อน แต่เมื่อหันกลับไปและมองเห็นงูพิษกำลังดิ้นรนอยู่ไม่ไกล ทั้งเกล็ดบนตัวมันก็เป็นเลื่อมแวววาว ก็ยังทำให้นางตกใจเสียยกใหญ่ แต่เมื่อหายตกใจแล้วก็สงบลงได้ เอ่ยเงียบๆ ว่า “เมื่อคืนฝนตกทั้งคืน”


น้ำฝนที่ตกทั้งคืนชะล้างกำมะถันแดงและทำให้ซึมลึกเข้าไปในชั้นดินจนหมด จึงสิ้นฤทธิ์ในการไล่งูเงี้ยวเขี้ยวขอ แล้ววันนี้ตนก็กลับมาตื่นเสียเช้าตรู่เช่นนี้…คงเป็นเพราะโชคไม่ดี แค่เพียงชั่วข้ามคืนก็มีงูเขียวหางไหม้กระโจนเข้ามาในศาลานี้ ยิ่งไปกว่านั้นยังเลื้อยขึ้นมาอยู่บนต้นเสาข้างหลังตนเสียอีก


หากมิใช่ว่าชายชุดฟ้าอมเขียวผู้นั้นสายตาแหลมคม แม้จะห่างออกไปหลายจั้งก็ยังมองเห็นงูตัวนี้ มิเช่นนั้น…เว่ยฉางอิ๋งลอบผวาอยู่ในใจ พลางสะบัดมือดึงแพรลงมาปิดหน้า แล้วตั้งสติ กล่าวว่า “นางเฟิงจงไปบอกกับเว่ยชิงสักหน่อยว่า ให้ข้าได้ไปขอบคุณคุณชายผู้มีบุญคุณช่วยชีวิตด้วยตัวเอง”


ก่อนที่ชายชุดฟ้าอมเขียวจะลงมือได้ร้องเตือนเสียงดัง ทำให้ผู้ที่มาด้วยซึ่งเดินอยู่ข้างหน้าและเว่ยชิงต่างพากันตกใจ ศาลาเป็นสีเขียวสด งูเขียวหางไหม้ก็เป็นสีเขียวสด พวกเขาเดินออกมาไกลแล้ว สายตาจึงไม่ทัดเทียมกับชายชุดฟ้าอมเขียว กอปรกับเมื่อชายชุดฟ้าอมเขียวลงมือแล้ว คนในศาลาต่างพากันตื่นตระหนก และวิ่งวุ่นจนเสื้อผ้าปลิว จึงบดบังการมองเห็นไปชั่วขณะ กระทั่งไม่รู้ว่าเกิดเหตุใดขึ้น…แต่ผู้ที่อยู่ในศาลาก็คือนายผู้หญิง ทั้งยังเป็นมุกล้ำค่าแห่งตระกูลเว่ยเสียด้วย


เป็นธรรมดาที่เว่ยชิงจะไม่กล้าพาพวกเขาลงเขาไปต่อ แต่กลับรั้งคนทั้งสองเอาไว้กับที่ และรอให้สถานการณ์ในศาลากระจ่างชัดเสียก่อนจึงจะให้ไปได้


นางเฟิงไปอธิบายถึงสาเหตุ เว่ยชิงเองก็ตกใจจนหน้าถอดสี อย่างไรเสียวันนี้ก็เป็นเขาที่พากคนขึ้นเขามา ทั้งยังขวางทางเว่ยฉางอิ๋งจนไม่สามารถกลับมาที่กระท่อมได้ และต้องไปนั่งพักรอที่ศาลาไผ่หลังกระท่อม หากนางถูกงูเขียวหางไหม้กัดเพราะเหตุนี้ แม้จะไม่ถึงกับชีวิต แต่ที่เว่ยฉางอิ๋งต้องลำบากถึงเพียงนี้ หากนับกันจริงๆ เว่ยชิงก็ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยไม่มากก็น้อย…เมื่อคำนึงถึงความรักทะนุถนอมที่แม่เฒ่าซ่งและฮูหยินซ่งมีต่อเว่ยฉางอิ๋งแล้ว แม้เว่ยชิงจะเป็นผู้มีฝีมือในตระกูลที่เว่ยฮ่วนให้การยอมรับ แต่นายผู้หญิงที่มีฐานะสูงส่งทั้งสองนางก็คงไม่มีวันปล่อยเขาไปแน่!


เขาพลันรู้สึกขวัญผวาขึ้นมาในใจ แล้วพลันหันไปคำนับชายชุดฟ้าอมเขียว แล้วกล่าวว่า “คุณชายเติ้งสายตาแหลมคมนัก พวกข้าไร้ความสามารถ! ที่คุณหนูของข้าน้อยพ้นภัยครานี้ เพราะได้คุณชายช่วยเหลือเอาไว้ จึงหวังให้คุณชายโปรดรอก่อน เพื่อให้คนในตระกูลของข้าน้อยได้แสดงความขอบคุณ และคุณหนูก็อยากจะมาขอบคุณด้วยตนเอง!”


ชายชุดฟ้าอมเขียวรีบคำนับตอบ “คุณชายสามกล่าวหนักเกินไปแล้ว ที่จริงจงฉีก็มีน้องสาวอยู่หนึ่งคน และคอยรบเร้าให้สร้างศาลาไผ่ไว้ในสวนสักหลัง แต่ก็ยังหาแบบที่ถูกใจไม่ได้เสียที เมื่อครู่จึงได้สังเกตในศาลามากสักหน่อย และคงเป็นเพราะคุณหนูเว่ยเป็นผู้มีบุญญาธิการ ที่หางของงูเขียวหางไหม้นั้นบังเอิญโผล่ออกมาข้างนอก เมื่ออยู่กับไผ่สีเขียวสดจึงได้ขับให้เด่นชัดขึ้นมา ทำให้จงฉีบังเอิญสังเกตเห็นเข้าพอดี เพียงแค่คุณหนูเว่ยและบริวารมิได้เงยหน้าขึ้นมาเท่านั้น จงฉีหรือจะกล้ารับความชอบนี้? ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อคืนนี้หากมิใช่บ้านท่านมีน้ำใจยื่นมือเข้าช่วย จึงทำให้พวกข้ามีที่หลบฝนยามค่ำคืน ไม่ต้องตากฝนทั้งคืนและทำให้การเดินทางล่าช้า!” คำกล่าวของเขานี้เป็นการอธิบายว่าเหตุใดทั้งที่ตนหันหลังให้กับศาลาไผ่แล้วแต่ยังสามารถสังเกตเห็นงูเขียวหางไหม้ได้ ความจริงแล้วคำกล่าวนี้ทั้งเว่ยชิงและกู้อี้หรานต่างไม่ค่อยเชื่อนัก…ครานี้อาจบอกได้ว่ามองศาลา แต่คราวก่อนตอนที่อยู่บนเขา เติ้งจงฉีนั้นหันกลับไปมองเว่ยฉางอิ๋งถึงสามครั้งสามครา


เขาเพียงแค่มองมากกว่ากู้อี้หรานสองหน แม้กริยาจะดูไม่สำรวมไปสักหน่อย แต่ก็ไม่ได้ถึงกับเกินเลยจนเกินงาม ทั้งยามนี้ยังช่วยเว่ยฉางอิ๋งเอาไว้คราหนึ่ง แน่นอนว่าเว่ยชิงจึงไม่ซักไซ้ให้มากความ แล้วกล่าวตามตรงว่า “นี่เป็นความต้องการของคุณหนู จึงหวังว่าคุณชายเติ้งจะไม่ปฏิเสธ”


“คุณชายสามก็รู้ว่า พวกข้าได้รับบัญชา และจักต้องรีบไปจัดการ…” เดิมทีเว่ยชิงนึกว่าในเมื่อเติ้งจงฉีผู้นี้สนใจเว่ยฉางอิ๋งถึงเพียงนี้ จึงน่าจะยินดีตอบรับให้เว่ยฉางอิ๋งมาขอบคุณด้วยตนเองจึงจะถูก ไม่คิดว่าเมื่อเติ้งจงฉีได้ยินคำกลับมีสีหน้าไม่เป็นปกติ แล้วรีบปฏิเสธขึ้นมาเช่นนี้ กระทั่งเอ่ยไปพลาง ก้าวเท้าไปบนถนนสองก้าวไปพลางเพื่อพิสูจน์คำพูดของตน


ยามนี้เว่ยฉางอิ๋งก็เดินมาข้างหน้าจนใกล้แล้ว พอดีได้ยินคำ นางจึงคำนับเติ้งจงฉีอย่างเป็นทางการ พลางเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ขอบคุณคุณชายท่านนี้ที่ยื่นมือเข้าช่วยเหลือ และช่วยข้าเอาไว้ได้อย่างเฉียดฉิว! เป็นบุญคุณล้นเหลือ ข้าจะไม่ลืมเลย!”


ในเมื่อเว่ยฉางอิ๋งมาถึงแล้ว กู้อี้หรานและเติ้งจงฉีจึงไม่อาจจะจากไปได้ ได้แต่ยืนคำนับตอบอยู่กับที่ เติ้งจงฉีจึงได้เอ่ยถ่อมตนอีกหน…อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นด้านหลังกระท่อมนี้ องครักษ์ที่พบเห็นเหตุการณ์ได้วิ่งเข้าไปรายงานเว่ยฉางเฟิงในกระท่อมเรียบร้อยแล้ว เมื่อเว่ยฉางเฟิงได้ยินว่าพี่สาวเกือบถูกงูเขียวหางไหม้กัดเอาก็พลันตื่นตกใจจนหน้าถอดสี ยังมิทันได้เปลี่ยนรองเท้าไม้ก็รีบร้อนวิ่งออกมา แล้วร้องอย่างตื่นตกใจมาตลอดทาง “ท่านพี่ ท่านพี่ ท่านเป็นอะไรหรือไม่?”



ตอนที่ 45 งูเขียวหางไหม้ (2)

โดย

Xiaobei

เมื่อเห็นเว่ยฉางอิ๋งปลอดภัยดีและกำลังยืนขอบคุณเติ้งจงฉีอยู่ตรงนั้น หน้าของเว่ยฉางเฟิงจึงได้มีสีสันขึ้นมา แล้วกลับมาวางท่าเช่นคุณชายตระกูลใหญ่พึงมีอีกครั้ง ค่อยๆ ก้าวเดินเข้าไปอย่างสุขุม แล้วพยักหน้า “ฉางเฟิงยังเยาว์ หากเสียมารยาท ก็ขอให้ทั้งสองท่านอย่าถือสา”


กู้อีหรานและเติ้งจงฉีแอบหัวเราะอยู่ในใจ เพราะเว่ยฉางเฟิงเพิ่งจะอายุสิบห้าปี ก่อนนี้ยามต้อนรับพวกเขาอยู่ในกระท่อมก็ยังเคร่งขรึมตั้งท่าเช่นบุตรชายแห่งตระกูลเว่ยผู้ยิ่งใหญ่ แม้กริยาวาจาจักงดงาม และมิได้เสียมารยาทหรือเห็นชัดว่าไม่ได้มีท่าทีดูแคลนพวกเขา แต่ในรายละเอียดแล้วยังคงมีท่าทีว่าตนมีฐานะสูงกว่าตระกูลกู้แห่งเมืองหลวง และตระกูเติ้งแห่งเมืองหรง


กระทั่งเมื่อพวกเขาเอ่ยลา เว่ยฉางเฟิงก็เพียงเอ่ยไปตามมารยาทว่าจะไปส่งด้วยตนเอง แต่พอกู้อี้หรานกล่าวลา เขาก็กลับปล่อยไปตามน้ำให้เว่ยชิงไปส่งแทน


แม้หากว่ากันเรื่องทรัพย์สมบัติของหกตระกูลใหญ่ในเขตทะเล คนตระกูลสูงศักดิ์จะดูแคลนพวกเขาซึ่งเป็นคนในตระกูลมีชื่อก็เป็นเรื่องที่พบเห็นได้บ่อยครั้ง ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อคืนการกระทำของกู้อี้หรานก็ออกจะเป็นการล่วงเกินตระกูลเว่ย แต่กู้อี้หรานและเติ้งจงฉีต่างก็อายุมากกว่าเว่ยฉางเฟิง แต่กลับถูกเขาบอกให้ไปนั่นนี่ตามใจ ภายในใจย่อมจะรู้สึกไม่พอใจอยู่บ้าง ยามนี้เห็นคุณชายห้าตระกูลเว่ยเป็นห่วงพี่สาว จึงได้พลั้งเผลอแสดงอาการตื่นตระหนกจนทำอะไรไม่ถูกออกมา ตามลักษณะของคนที่เพิ่งจะเกล้าผมที่จะว่าโตแล้วก็ไม่เชิง ดูแล้วน่าขำเสียเหลือเกิน และกลับทำให้ความรู้สึกไม่ดีที่มีต่อเว่ยฉางเฟิงเลือนหายไปด้วย หากแต่คิดในใจว่าตระกูลเว่ยมีการอบรมสั่งสอนกันมาอย่างไร เว่ยฉางเฟิงจึงได้เฉลียวฉลาดนัก ทั้งที่ความจริงแล้วเพิ่งจะอายุสิบห้าปี… เป็นห่วงความปลอดภัยของพี่สาวถึงเพียงนี้ ไม่เหมือนกับคนในตระกูลใหญ่โตบางคน  ที่ห่วงแต่เกียรติและหน้าตาจนเกินไป เรื่องสำคัญอันดับหนึ่งที่คิดถึงอยู่ตลอดเวลาก็คือสนใจแต่ว่าหน้าตาของตนเองจะเสียหายหรือไม่ จะว่าไปเว่ยฉางเฟิงผู้นี้ก็มิได้เลวร้ายนัก


และเป็นธรรมดาที่ไม่อาจให้สองพี่น้องตระกูลเว่ยล่วงรู้ความคิดเช่นนี้ คนทั้งสองจึงพูดจาออกไปด้วยสีหน้าสุภาพอ่อนโยนว่าไม่ถือสาใดๆ ทั้งยังชมเชยพี่สาวและน้องชายทั้งสองว่ารักใคร่กลมเกลียวกัน ทำให้เห็นถึงธรรมเนียมปฏิบัติที่ดีงามของตระกูลเว่ย


หลังจากแสดงท่าทีตามมารยาทไปสักพัก เรื่องที่เติ้งจงฉีได้ช่วยเว่ยฉางอิ๋งเอาไว้ แน่นอนว่าเว่ยฉางเฟิงจึงมิได้มองพวกเขาอย่างดูแคลนว่าเป็นแค่เพียงคนในตระกูลใหญ่ทั่วไปอีกต่อไป เปลี่ยนเป็นมีท่าทางเป็นกันเองอย่างยิ่ง กระทั่งเอ่ยปากเชื้อเชิญพวกเขาให้ไปที่รุ่ยอวี่ถังเพื่อจักได้ทำการขอบคุณอย่างเป็นทางการ แต่กู้อี้หรานและเติ้งจงฉีต่างก็ยืนยันคำเดิมว่าตนมีภารกิจ และเมื่อคืนนี้ก็ถูกฝนทำให้ล้าช้าไปแล้ว ยามนี้จำต้องออกเดินทางในทันที แม้เว่ยฉางเฟิงจะพยายามรั้งพวกเขาไว้แต่ก็ไม่เป็นผล จึงทำได้เพียงให้คนไปเก็บมีดพกในศาลาไผ่กลับมา หลังจากทำความสะอาดแล้วส่งคืนให้กับเติ้งจงฉี… บนเขาไผ่น้อยนี้เพียงมาอาศัยอยู่ชั่วคราวจึงไม่มีของกำนัลขอบคุณที่เหมาะสมเลยสักชิ้น จึงทำได้เพียงเชื้อเชิญพวกเขาไปที่รุ่ยอวี่ถังให้จงได้ ยามเมื่อว่างเว้นจากภารกิจแล้ว ทั้งยืนยันว่าจะไปส่งเขาลงเขาด้วยตนเอง


เว่ยฉางอิ๋งก็กล่าวคำขอบคุณตามน้องชายสำทับไปอีกครา นางเป็นนายผู้หญิง แม้จะรู้สึกขอบคุณ แต่ก็ไม่สะดวกที่จะไปส่งคนแปลกหน้าซึ่งเป็นชาย จึงได้แต่อยู่กับที่พลางเอ่ยคำขอบคุณสองสามประโยค และส่งพวกเขาด้วยสายตาเท่านั้น ไม่นึกว่าเมื่อเว่ยฉางอิ๋งและเติ้งจงฉีเพียงเดินจากกันไปสองเก้า กลับพลันได้ยินเสียงลวี่ฉือกรีดร้องเสียงแหลมขึ้นมาว่า “คุณหนู ยังมีงูอีก!”


ทุกคนต่างพากันตื่นตกใจ แล้วเมื่อหันมองไปตามทิศทางที่ลวี่ฉือชี้…กลับเห็นว่าในพงหญ้าที่ห่างออกไปสิบกว่าก้าว มีงูเขี้ยวหางไหม้ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับตัวที่เติ้งจงฉีเพิ่งจะฆ่าตายในศาลาไผ่ก่อนหน้านี้กำลังค่อยๆ เลื้อยแหวกหญ้า ในทิศทางที่มุ่งมายังศาลาไผ่ ไม่รู้ว่าพวกมันเป็นคู่กันหรือไม่


งูเขี้ยวหางไหม้ตัวนี้กลับไม่ได้ทำให้เว่ยฉางอิ๋งตื่นตระหนก กอปรกับทั้งเว่ยฉางเฟิงและองครักษ์ตระกูลเว่ยต่างก็อยู่ด้วย ครานี้เติ้งจงฉีจึงมิได้ออกหน้าลงมือ เมื่อเว่ยฉางเฟิงเห็นดังนี้ก็พลันขมวดคิ้ว เพราะลวี่ฉือเป็นหัวหน้าสาวใช้ของเว่ยฉางอิ๋ง ทั้งยังมีคนนอกอยู่ เขาจึงไม่อาจแสดงอาการตื่นตูมไปตามลวี่ฉือ จึงได้แต่เพียงพยักหน้าให้กับองครักษ์นายหนึ่งที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก


องครักษ์นายนั้นรับทราบ พลันใช้มือลงไปทาบกับมีดที่พกอยู่กับเอว แต่ยังไม่ทันได้ดึงออกมา ไม่คิดว่ากลับเห็นเว่ยฉางอิ่งหันกลับมองงูเขียวหางไหม้ตัวนั้นครั้งหนึ่งพลางแค่นเสียงออกมา นางพลันยกมือขึ้นไปดึงที่มวยผมของลวี่ฉือคราหนึ่ง…แล้วจึงได้เห็นแสงสีเขียวโฉบผ่านไป แหวกยอดหญ้าหลังฝนจนเอียง แต่เงียบเสียจนแทบไม่มีเสียงใด แล้วไปปักงูเขี้ยวหางไหม้ตัวนั้นไว้อยู่กับดิน!


เห็นงูสีเขียวสดที่ถูกปักอยู่บนพื้นไม่หยุดดิ้นรน หางสีแดงสดของมันสะบัดไปมาด้วยความเจ็บปวด ส่วนเว่ยฉางอิ๋งผู้เป็นคนลงมือนั้น ยามนี้แขนเสื้อสีแดงของนางถูกลมพัดปลิดปลิว ในหน้านิ่งสงบ ด้วยท่าทีประหนึ่งจะบอกว่า ‘ที่สุดข้าก็หาโอกาสแก้แค้นได้แล้ว ยามนี้ข้าอารมณ์ดีเหลือเกิน’ จนทุกคนต่างพากันนิ่งงัน…


เว่ยฉางเฟิงนิ่งเหม่อไปเกือบเค่อ แล้วจึงฝืนยิ้มเสียอย่างยิ่งพลางกล่าวว่า “ตั้งแต่เล็กพี่สาวข้าเคยร่ำเรียน…เอ่อ….เรียน…กับองครักษ์วัยกลางคนในบ้าน…มาบ้าง…”


ท่านพี่นะท่านพี่ ข้ารู้ว่าท่านฝีมือไม่เลว อย่างน้อยต่อหน้าน้องชายเช่นข้าก็ไม่มีปัญหาใด แต่ยามนี้มีคนนอก แม้จะไม่ใช่คนตระกูลเสิ่น แต่ดีเลวเช่นไรก็เป็นคนในตระกูลใหญ่! ท่านก็จักข่มใจทำตนเป็นคุณหนูสูงศักดิ์แสนสงบเสงี่ยมและปฏิบัติตามธรรมเนียมเสียหน่อยมิได้หรือ??


เว่ยฉางเฟิงคร่ำครวญอยู่ในใจ แต่ก็ไม่อาจพยายามเค้นสมองช่วยอธิบายและปกปิดแทนเว่ยฉางอิ๋งที่ซัดปิ่นไปสังหารงูพิษได้อย่างเฉียบขาด เพียงแค่เห็นได้ชัดว่ากู้อี้หรานและเติ้งจงฉีนั้นถูกฝีมือปิ่นบินสังหารงูแสนงดงามนี้ทำเอาตกใจจนตกตะลึง พลันตาลีตาลานตอบกลับว่า “ตระกูลเว่ยแห่งเฟิ่งโจวเก่งกาจสมคำร่ำลือจริงๆ คุณหนูในตระกูลของท่าน….ท่านนี้…ช่าง…เก่งกาจทั้งบู๊บุ๋น…เอ่อ…เก่งกาจทั้งบู๊บุ๋น!”


“ท่านทั้งสองกล่าวชมเกินไปแล้ว” เว่ยฉางเฟิงฝืนยิ้ม ครานี้จึงไม่มีกะจิตกะใจจะรั้งแขกเอาไว้แล้ว กลับคิดแต่เพียงจะรีบส่งคนไปเสียก่อน “ฝนตกทางลื่น อย่างไรท่านทั้งสองโปรดระวังทางด้วย”


เมื่อยืนมองเว่ยฉางเฟิงส่งแขกไปไกลแล้ว เว่ยฉางอิ๋งจึงได้กล่าวอย่างคับแค้นใจว่า “งูชั่ว! ถึงขึ้นกล้ามาอยู่บนหัวข้า! รนหาที่ตายจริงๆ!” พลางดีดนิ้วไปที่ขอบหมวกคลุมหน้าด้วยความรังเกียจ “กลับกระท่อม รีบเอาหมวกนี้ทิ้งไปให้ไกล!” หมวกที่โดนงูเขียวหางไหม้สะบัดหางมาโดน แน่นอนว่าเว่ยฉางอิ๋งไม่มีทางใช้มันอีกแล้ว


ครานี้ สาวใช้ที่อยู่ล้อมรอบตัวนางจึงได้รู้ว่าวรยุทธ์ที่เว่ยฉางอิ๋งร่ำเรียนมานั้นมิได้เสียเปล่าเลยจริงๆ บ่าวชราทั้งสองรวมทั้งนางเฟิงเคยได้ยินเรื่องความชอบส่วนตัวของเว่ยฉางอิ๋ง จึงไม่ได้รู้สึกว่าที่นางสามารถซัดปิ่นปักผมไปสังหารงูได้นั้นเป็นเรื่องเกินคาด กลับรู้สึกประหลาดใจและนับถือในฝีมือของเว่ยฉางอิ๋งเสียด้วยซ้ำ ลวี่ฉือลูบที่มวยผมพลางพึมพำอย่างเป็นทุกข์ว่า “ปิ่นปักผมด้ามนั้นคุณหนูใหญ่เพิ่งจะมอบให้มาเมื่อตอนปีใหม่ของปีก่อน เป็นปิ่นปักผมที่ดีที่สุดของข้าน้อย…เหตุใดคุณหนูใหญ่จึงไม่ดึงเอาปิ่นชุบทองนี้มาใช้…”


“เจ้าคนขี้เหนียว” ลวี่ฝางมีความกล้ามากกว่านางอยู่บ้าง เมื่อสังเกตรอบกายแล้วว่ายามนี้ไม่คนแปลกหน้าอยู่ จึงได้เยาะนาง “ประเดี๋ยวให้พวกองครักษ์มาเก็บกวาด ดึงออกมาแล้วล้างให้สะอาดก็มิใช่เหมือนเดิมแล้วหรอกรึ?”


“ปักทะลุตัวงูมาแล้ว เอามาปักผมอีก ข้าจะกล้าได้อย่างไรกัน?” ลวี่ฉือแลบลิ้นออกมา พลางมองไปยังเว่ยฉางอิ๋ง ดูจากที่เว่ยฉางอิ๋งเป็นผู้มีใจกว้างขวางต่อคนรอบข้าง ในเมื่อเอาปิ่นปักผมไปด้ามหนึ่ง ก็จะต้องเอาปิ่นที่ดีกว่าเดิมมาชดใช้ให้ นึกไม่ถึงว่าครานี้เว่ยฉางอิ๋งกลับมีสีหน้าเคร่งขรึม จ้องเขม็งมาที่นางหนหนึ่ง แล้วเอ็ดเสียงดังว่า “เมื่อครู่นี้งูเขียวหางไหม้ตัวนั้นอยู่ห่างจากพวกเรา แล้วก็มิได้เลื้อยมาทางนี้ ในเมื่อเจ้ามองเห็นแล้ว กระซิบเตือนเบาๆ สักคำ แล้วคอยสังเกตว่ามันไปทางใด รอจนคนนอกไปแล้ว ค่อยเรียกองครักษ์มาจัดการก็มิใช่สิ้นเรื่องแล้วรึ? เอะอะโวยวายอะไร! อย่างนี้คนเขาจะคิดเอาว่าสาวใช้บ้านตระกูลเว่ยของข้าจะขี้ขลาดเช่นเจ้าไปเสียหมด!”


แล้วว่า “หนนี้ปิ่นปักผมนั่น ต่อให้ล้างสะอาดแล้วก็จะไม่ให้เจ้า หนหน้าหากทำเรื่องน่าขายหน้าเช่นนี้อีก ดูซิว่าข้าจะลงโทษเจ้าอย่างไร!”


ใบหน้าของลวี่ฉือเดี๋ยวแดงเดี๋ยวซีด แล้วจึงเพิ่งสำเหนียกได้ว่าในสถานการณ์ที่มิได้เป็นอันตรายอย่างเมื่อครู่นี้ ตนเองแสดงอาการตื่นตกใจทั้งยังร้องเสียงดังต่อหน้าคนนอก เป็นการทำให้เว่ยฉางอิ๋งและเว่ยฉางเฟิงเสียหน้าอย่างมาก…นางก้มหน้า กล่าวเสียงเบาว่า “ข้าน้อยรู้ผิดแล้ว ครั้งหน้ามิกล้าแล้ว”


ครานี้นางเพียงขอให้ละเว้นโทษ และกลับมิกล้าคิดเรื่องที่เว่ยฉางอิ๋งจะให้ปิ่นด้ามที่ดีกว่านี้เป็นการชดเชยอีกแล้ว


______________________________



ตอนที่ 46 ราชองครักษ์อี้

โดย

Xiaobei

               ภายในกระท่อม เมื่อซ่งไจ้สุ่ยตื่นขึ้นมาแล้วไม่เห็นเว่ยฉางอิ๋ง และได้รู้จากซินลี่ว่าเว่ยฉางอิ๋งออกไปเดินเล่น พร้อมพาคนไปด้วยจำนวนหนึ่ง จึงได้วางใจ จากนั้นเว่ยชิงก็ได้นำกู้อี้หรานและเติ้งจงฉีมาพบเว่ยฉางเฟิง ซ่งไจ้สุ่ยจึงต้องอยู่เงียบๆ ภายในห้องไม่ส่งเสียงใด และเมื่อคนนอกจากไปแล้ว ไม่นานนักก็มีองครักษ์พุ่งเข้ามาในกระท่อมและรายงานว่าเกิดเรื่องที่หลังกระท่อมซึ่งเกี่ยวพันกับเว่ยฉางอิ๋ง… ซ่งไจ้สุ่ยตื่นตกใจ กำลังจะออกจากห้องไปดู แต่กลับถูกฮว่าถังกันเอาไว้อย่างสุดแรงเกิด!


               สาเหตุนั้นง่ายดายนัก อาการบาดเจ็บที่หัวเข่าของซ่งไจ้สุ่ยนั้นคอยจะ ‘กำเริบกลับไปมา’ อยู่ตลอด ยิ่งไปกว่านั้นไม่ว่าข้างหลังกระท่อมจะเกิดอะไรขึ้น ซ่งไจ้สุ่ยที่ยามนี้ตนเองยังไม่ทันหายดีหากไปแล้วก็ไม่มีทางจะช่วยเหลือสิ่งใดได้ เมื่อคืนมีฝนตกทั้งคืน ตอนนี้หนทางทุกๆ แห่งข้างนอกล้วนเดินเหินไม่สะดวก อย่าได้ให้แขกผู้อ่อนแอผู้นี้หกล้มอีกจนบาดเจ็บซ้ำสอง เพราะไม่เพียงสร้างความวุ่นวายให้แก่เขาไผ่น้อยมากขึ้นไปอีก…อีกทั้งจะให้ฮว่าถังบอกกับฮูหยินซ่งว่าอย่างไร?


               ฮว่าถังไม่ใช่สาวใช้ของซ่งไจ้สุ่ย แต่เพราะฮูหยินซ่งกำชับกำชาต่อหน้านางให้อยู่ดูแลหลานสาว แม้ซ่งไจ้สุ่ยจะร้อนใจนักหนา แต่ก็ไม่อาจจะต่อว่าอย่างแรงหรือไล่นางไปได้เหมือนกับที่ทำกับพวกของชุนจิ่ง จึงได้แต่เพียงนั่งรออยู่บนตั่งไม้อย่างจนใจ


               แต่การรอคอยครานี้ยาวนานเหมือนวันกลายเป็นปี โชคดีที่ในที่สุดเว่ยฉางอิ๋งก็กลับมา ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อนางเข้ามาในห้องก็ถอดหมวกคลุมหน้าแล้วโยนให้ลวี่ฝางในทันที ลวี่ฝางรีบรับเอาหมวกคุลมหน้าและหันหลังออกไป แม้เมื่อถอดหมวกออกแล้ว สีหน้าของเว่ยฉางอิ๋งไม่สู้ดีอย่างเห็นได้ชัด แต่กลับเห็นนางเคลื่อนไหวได้ตามใจ ไม่ยักเหมือนเกิดเรื่องราวใดมาเลย


               ซ่งไจ้สุ่ยจึงได้โล่งใจ… ครานี้ที่เว่ยฉางอิ๋งต้องพักอยู่ที่เขาไผ่น้อย จะว่าไปแล้วก็ก็เป็นเพราะช่วยเหลือตน ดังนั้นไม่ว่าเว่ยฉางอิ๋งจะเกิดเรื่องขึ้นบนเขาไผ่น้อยอีกครั้ง ดีเลวอย่างไร ซ่งไจ้สุ่ยก็ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้ว่าเห็นแก่ที่เป็นญาติสนิท ฮูหยินซ่งจะไม่มาซักไซ้เอาความกับหลานสาว แต่จิตใต้สำนึกของซ่งไจ้สุ่ยก็ยากจะสงบได้


               นางเห็นเว่ยฉางอิ๋งเอาแต่ขมวดคิ้วไม่พูดจา จึงรีบถามว่า “เป็นอะไร?”


               “เมื่อคืนนี้ฝนตกหนัก ชะเอากำมะถันแดงที่โรยไว้รอบกระท่อมไปหมด ปรากกฎว่ามีงูเขียวหางไหม้เลื้อยเข้ามาในศาลาไผ่หลังกระท่อมที่เพิ่งจะสร้างเสร็จ มันไปอยู่ที่ใดไม่อยู่ จะต้องมาอยู่ที่ต้นเสาด้านหลังข้า หากมิใช่คุณชายเติ้งที่เพิ่งจะลงเขาไปผู้นั้นมีสายตาเฉียบคม วันนี้ข้าคงจะต้องโชคร้ายนักหนาแล้ว” เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยอย่างไม่ใคร่จะพอใจนัก


               แม้นางจะดึงปิ่นปักผมของลวี่ฉือไปฆ่างูเขียวหางไหม้อีกตัว แต่การที่นางร่ำเรียนวรยุทธ์กับเจียงเจิง หมั่นเพียรอย่างยิ่งมาโดยตลอด แม้แต่เจียงเจิงก็ยังเอ่ยปากชมว่านางหัวไว มีพรสววรค์ นางจึงมั่นอกมั่นใจในฝีมือของตนยิ่ง แต่เรื่องที่ประสบมาวันนี้กลับทำลายความมั่นใจของนางเสียสิ้น หากเติ้งจงฉีไม่ได้หันหน้ากลับมามองครานั้น สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าวันนี้ตนจะเป็นเช่นไร?


               เขาไผ่น้อยเป็นเขาไผ่ ในกระท่อมจึงได้มียารักษาพิษงูตระเตรียมเอาไว้เสมอ โดยเฉพาะยารักษาพิษของงูเขียวหางไหม้ แม้เว่ยฉางอิ๋งจะถูกขนาดตัวของงูทำให้ตกใจสักหน่อย แต่กลับมิได้เป็นกังวลว่าจะเป็นอันตรายถึงชีวิต หากแต่สิ่งที่นางขัดเคืองใจนั้นคือ…ตนเองมีจิตใจล่องลอยเช่นนี้ วันหน้าหรือจะเอาชนะเสิ่นจั้งฟงได้?


               ทั้งกับดัก และกลอุบายต่างๆ เสิ่นจั้งฟงต่างก็สามารถใช้ได้ทั้งนั้น…


               หนทางที่จะทำให้ตนสามารถมีวันคืนอย่างที่ต้องการได้ มันช่างยากเย็นแสนเข็ญเสียนี่กระไร!


               เว่ยฉางอิ๋งยิ่งคิดก็ยิ่งก็รู้สึกท้อแท้และเป็นทุกข์ นางตัดสินใจว่าจะไม่ไปคิดถึงเรื่องที่ไม่สบายใจสักระยะก่อน แล้วรีบกลับมาที่หัวข้อสนทนา “ใช่แล้ว เหตุใดเว่ยชิงจึงได้พาคนแปลกหน้าสองคนขึ้นเขามา? พวกเขามาหาฉางเฟิงมีเรื่องใด?”


               ซ่งไจ้สุ่ยจิบชาไปอึกหนึ่งแล้วว่า “เมื่อครู่นี้ ข้าก็ได้ยินผ่านประตูกั้นมาบ้าง คล้ายว่าเมื่อคืน หลังจากที่พวกเราเข้านอนแล้ว มีคนกลุ่มหนึ่งเร่งเดินทางยามค่ำคืน ไม่คิดว่าเมื่อน้ำฝนทำให้โคมไฟเปียกและดับไป จึงหลงทางจนไปไม่ถึงที่พักกลางทาง แต่กลับจำเขาไผ่น้อยได้ และรู้ว่าท่านเขาไผ่มีกระท่อมอยู่บนเขา จึงคิดจะมาขอพักค้างแรม”


               เว่ยฉางอิ่งกล่าวว่า “อ่า… ที่แท้เสียงเอะอะที่เขาได้ยินตอนงัวเงียตื่นมากลางดึกก็คือเรื่องนี้?”


               “เหตุที่มีเสียงเอะอะก็เพราะว่าพวกเขาเกือบจะมีเรื่องกับองครักษ์ที่เชิงเขา” ซ่งไจ้สุ่ยกล่าว “ทั้งสองฝ่ายต่างเห็นอีกฝ่ายเป็นศัตรู ภายหลังฝ่ายนั้นแสดงประกาศตนว่าเป็นของตระกูลใหญ่ พวกองครักษ์ตรวจดูของที่พวกเขาพกติดตัวมาได้สองสามชิ้น แต่กลับไม่กล้าแน่ใจ จึงได้ส่งคนสองสามขึ้นมามาเรียกน้องฉางเฟิง น้องฉางเฟิงพาเว่ยชิงลงเขาไปสอบถามด้วยตนเองสักพักจึงได้แน่ใจในฐานะของพวกเขา เพียงแต่บนเขามีพวกเราอยู่จึงไม่อาจให้พวกเขามาพักค้างแรงข้างบนนี้ได้ โชคดีที่องครักษ์ตระกูลเว่ยได้สร้างกระท่อมไผ่สองสามหลังไว้ที่เชิงเขา จึงได้ปันให้แก่พวกเขาสองห้อง…เมื่อครู่นี้เป็นเพราะพวกเขาจะออกเดินทางแล้ว จึงได้พาพวกเขาทั้งสองขึ้นเขามาขอบคุณและกล่าวคำอำลา”


               ยามที่เว่ยฉางอิ๋งกล่าวคำขอบคุณไปเมื่อครู่นี้นั้นช้าไปก้าวหนึ่ง จึงไม่ได้ยินเรื่องที่เติ้งจงฉีเอ่ยเรื่องขอพักค้างแรม ยามนี้จึงเพิ่งเข้าใจและกล่าวว่า “ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง ข้าว่าแล้วเชียว เช้าตรู่เพียงนี้ เว่ยชิงจะพาคนสองคนขึ้นเขามาหาฉางฟงโดยไม่มีเหตุผลใดได้อย่างไร”


               และเอ่ยถามอย่างสงสัยไปอีกว่า “คนสกุลกู้แห่งเมืองหลวงไม่อยู่ที่เมืองหลวง และคนสกุลเติ้งแห่งเมืองหรงไม่อยู่ที่เมืองหรง แล้วมาทำการใดที่ฟ่งโจวของเรา? ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อครู่นี้พวกเขายังบอกอีกว่ากำลังเร่งเดินทาง?”


               ซ่งไจ้สุ่ยส่งเสียงอืมคราหนึ่ง แล้วว่า “เหมือนว่าพวกเขาจะไปชิงโจว”


               “ชิงโจว?” เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยอย่างประหลาดใจ “นั่นเป็นอาณาเขตของตระกูลซู…กลับยิ่งแปลกเข้าไปใหญ่ ไปที่นั้นทำสิ่งใด?”


               “บอกว่ามีเรื่องบางอย่างต้องไปทำ” ซ่งไจ้สุ่ยกล่าว “ข้าก็ไม่ได้ยินทั้งหมด สักพักเจ้าลองถามน้องฉางเฟิงดูเถิด”


               เมื่อรอจนเว่ยฉางเฟิงกลับมาถึงกระท่อม ลูกพี่ลูกน้องสองนางพากันสอบถามเขา เขากลับไม่มีกะใจจะตอบ แต่สอบถามเรื่องที่เว่ยฉางอิ๋งได้ประสบอันตรายที่ศาลา และรู้ว่าเพราะสีของงูเขียวหางไหม้และลำไผ่นั้นเหมือนกันมาก กระทั่งพวกของนางเฟิงสองคนเข้าไปปักกวาดในศาลาก่อนก็ยังมองไม่เห็น สีหน้าของซ่งไจ้สุ่ยเปลี่ยนไปมาหลายหน พลางตบอกเบาๆ กล่าวว่า “สวรรค์ทรงโปรด! ครานี้โชคดีที่มีเติ้งจงฉีผู้นี้!”


               แต่เว่ยฉางเฟิงกลับมีสีหน้าขุ่นมัว กล่าวว่า “เพราะข้าไม่ได้ความ อยากจะไปสร้างศาลาไผ่ไว้ที่แห่งนั้น แต่กลับเกือบจะทำให้ท่านพี่ได้รับอันตราย” เขาขัดเคืองอย่างมาก ถึงกับจะสั่งคนให้ไปรื้อศาลาเสีย เว่ยฉางอิ๋งรีบทัดทานเขา “เพิ่งจะสร้างเสร็จ เจ้าจะรื้อทำสิ่งใด? เรื่องนี้จะโทษศาลาได้อย่างไร เหตุเพราะฝนตกหนักชะกำมะถันแดงไปจนหมด และไม่ทันได้เติมลงไปใหม่ต่างหาก”


               เว่ยฉางเฟิงเอ่ยอย่างไม่พอใจว่า “หากข้าไม่บอกว่าคิดจะสร้างศาลาที่นั่น ท่านแม่ก็จะไม่ส่งช่างมา หลังกระท่อมก็จะไม่มีศาลา แล้ววันนี้มีหรือท่านพี่จะต้องประสบเหตุร้ายเช่นนี้?”


               “ภายหลังข้าก็ฆ่างูเขียวหางไหม้ตัวนั้นแล้ว เจ้าก็มิใช่ว่าไม่เห็นนี่? ในกอหญ้าเขียวๆ นั้น…หากไม่มองให้ละเอียดแล้วจะมองเห็นชัดได้อย่างไร?” เว่ยฉางอิ๋งขมวดคิ้ว “ยิ่งไปกว่านั้นมันอยู่ข้างบนหัวข้า ก็ดีกว่าอยู่ที่เท้าข้า ข้าสวมหมวกปิดหน้าไว้บนหัว แต่ที่เท้าสวมเพียงรองเท้าไม้!”


               ซ่งไจ้สุ่ยรู้ว่าเว่ยฉางเฟิงยืนกรานจะรื้อศาลาออกเพราะรู้สึกว่าตนทำให้พี่สาวลำบาก จึงเอ่ยปลอบว่า “ดีเลวอย่างไรยามนี้ฉางอิ๋งก็ปลอดภัยดี ก็อย่าเพิ่งรื้อศาลาเลย…ศาลาที่สร้างจากต้นไผ่ เปิดทางในที่ที่น้ำฝนสาดไปไม่ถึง แล้วใส่กำมะถันแดงเข้าไป ต่อไปก็จะไม่สิ่งใดกล้าเข้าใกล้อีก มิสิ้นเรื่องแล้วหรือ?”


               เว่ยฉางอิ๋งไม่รอให้เว่ยฉางเฟิงพูดอะไร ก็พลันพยักหน้า “เช่นนั้นดีแล้ว”


               เว่ยฉางเฟิงยังรู้สึกทั้งกลัวทั้งโกรธ เขามีบางสิ่งต้องการพูด แต่ซ่งไจ้สุ่ยและเว่ยฉางอิ๋งกลับเร่งให้เขาพูดเรื่องของพวกกู้อี้หรานและเติ้งจงฉีเสียแล้ว เมื่อทานพี่สาวทั้งสองไม่ไหว จึงต้องกล่าวว่า “กู้อี้หรานเป็นคนในอีกสายหนึ่งของตระกูลกู้แห่งเมืองหลวง ส่วนเติ้งจงฉีกลับเป็นบุตรชายสายเลือดตรงของตระกูลเติ้ง ตีนเขายังมีคนของบ้านสกุลหลิวและสกุลตวนมู่ พวกเขากลุ่มนี้ ทั้งหมดล้วนเป็นคนของสี่ตระกูลใหญ่ ส่วนบ่าวไพร่และคนรับใช้บางส่วนนอกจากนั้น เมื่อคืนข้าก็ไม่ได้ใส่ใจนัก เมื่อคืนคนสกุลหลิวและคนสกุลตวนมู่สองคนเกิดเรื่องลงไม้ลงมือกับองครักษ์ตระกูลเว่ยของเรา จนทำให้มีคนบาดเจ็บ ข้าลงไปก็ไปแยกพวกเขา เห็นแก่ตระกูลของพวกเขา ภายหลังจึงได้ให้คนปันกระท่อมไม้ให้พวกเขาพักค้างแรม คงเพราะเหตุนี้ วันนี้จึงไม่กล้าขึ้นมา และให้เพียงคุณชายกู้กับคุณชายเติ้งขึ้นเขามากล่าวลาเพียงสองคน”


               “คนสกุลหลิวและสกุลตวนมู่?” ซ่งไจ้สุ่ยและเว่ยฉางอิ๋งสบตากันคราหนึ่งและต่างรู้สึกประหลาดใจมาก กล่าวว่า “คนทั้งสี่ตระกูล…เหตุใดถึงมาที่เฟิ่งโจวเล่า?”


               เว่ยฉางเฟิงว่า “ใช่เฟิ่งโจวที่ใดเล่า? พวกเขาจะไปชิงโจวต่างหาก!”


               “ไปชิงโจวทำสิ่งใด?” เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยถามด้วยความสงสัย


               “เรื่องนี้ก็มิได้มีสิ่งใด เพียงแต่ไม่สะดวกจะแพร่งพรายออกไป” เว่ยฉางเฟิงเหลี่ยวซ้ายแลขวา เมื่อบ่าวไพร่พากันถอยออกไป เขาจึงเอ่ยเสียต่ำว่า “พวกเขาล้วนคือราชองครักษ์อี้แห่งเมืองหลวง ไปชิงโจวครานี้ เนื่องจากได้รับราชโอการลับจากฮ่องเต้ให้ออกไปปฏิบัติภารกิจนอกเมือง”


               เมื่อได้ยินคำเว่ยฉางอิ๋งและซ่งไจ้สุ่ยต่างพากันตื่นเต้น “ราชองครักษ์อี้?! ราชโองการลับ? ไปปฏิบัติภารกิจใด?”


               ราชองครักษ์อี้คือตำแหน่งต่ำที่สุดในบรรดาราชองครักษ์ทั้งสาม[1] แต่ก็หาใช่ว่าผู้ใดก็จะเข้าไปเป็นได้ เมื่อต้นสมัยต้าเว่ยได้มีการแต่งตั้งตำแหน่งราชองครักษ์ทั้งสาม เพื่อปฏิบัติหน้าที่อารักษ์ขาฮ่องเต้ ซึ่งราชองครักษ์ทั้งสามประกอบด้วย ราชองครักษ์ชิน[2] ราชองครักษ์ซวิน[3] และราชองครักษ์อี้[4]


               ราชองครักษ์ชินนั้นจะมีเพียงบุตรชายของขุนนางขั้นสามขึ้นไปเท่านั้นที่รับตำแหน่งได้ ได้ยศเป็นขุนนางขั้นเจ็ดขึ้นไป ก่อนนี้มีข่าวคราวจากทางเมืองหลวงว่า เมื่อเสิ่นจั้งเฟิงเข้าพิธีเกล้าผมแล้ว ด้วยการสนับสนุนของบิดาจึงได้รับตำแหน่งเป็นราชองครักษ์ชิน แม้ราชองครักษ์ซวินจะต่ำว่าราชองครักษ์ชินหนึ่งขั้น แต่ก็มีเพียงขุนนางขั้นเจ็ดขึ้นไปและรุ่นหลานของขุนนางขั้นสามขึ้นไป ไม่ก็เป็นบุตรชายของขุนนางขั้นสี่เท่านั้นที่รับตำแหน่งได้ สุดท้ายราชองครักษ์อี้ จักต้องเป็นหลานชายของขุนนางขั้นสี่ หรือบุตรชายของขุนนางขั้นห้าซึ่งเป็นผู้มีความสามารถเท่านั้นที่รับตำแหน่งได้


               อย่าได้มองแต่เพียงว่าราชองครักษ์ชินซึ่งถือเป็นตำแหน่งสูงสุดในราชองครักษ์ทั้งสามจะได้ยศเป็นเพียงขุนนางขั้นเจ็ด แต่ด้วยเหตุที่ราชองครักษ์ทั้งสามจะต้องเข้าให้การอารักษ์ขาในวังหลวงโดยตรง จึงมีฐานะสูงยิ่ง ไม่อาจใช้ระดับขั้นของขุนนางมาตัดสินได้ ราชองครักษ์ทั้งสามของฮ่องเต้รวมทั้งสิ้นจำนวนสี่พันเก้าร้อยหกสิบสามนาย แม้แต่ราชองครักษ์อี้ซึ่งมีตำแหน่งต่ำที่สุดก็ยังจำกัดให้แต่เพียงบุตรชายผู้มีความสามารถของขุนนางขั้นห้าเท่านั้นที่รับตำแหน่งได้ หาไม่แล้วแม้จักมีตำแหน่งว่างก็จะไม่รับมาเพิ่ม เป็นเช่นนี้แต่ไรมา


               …การเลื่อนขั้นของขุนนางแห่งต้าเว่ยนั้น ต่างก็รู้กันดีว่ามีกฎสำคัญอยู่หนึ่งข้อ ซึ่งก็คือผู้ที่เคยได้อารักษ์ขาในเขตพระราชฐานต้องห้าม จะได้สิทธิ์เลื่อนขั้นก่อน ด้วยเหตุนี้เองตำแหน่งราชองครักษ์จึงเป็นที่หมายปองของแต่ละตระกูล


               หากเว่ยฮ่วนมิได้ลาออกจากราชการ และแม่เฒ่าซ่งไม่วางใจให้หลานชายแท้ๆ เพียงคนเดียวต้องห่างไปไกล ยามนี้เว่ยฉางเฟิงก็ควรจะเข้ารับราชการในตำแหน่งราชองครักษ์ซวินแล้ว


               พูดได้ว่า ตามหลักการแล้วบรรดาราชองครักษ์ทั้งสามไม่มีทางจะเป็นคนในตระกูลสามัญ ตำแหน่งจากสูงถึงต่ำ โดยทั่วไปก็จักต้องเรียงตามลำดับความสามารถ และลำดับบุตรหลานของแต่ละตระกูลแห่งต้าเว่ยในยามนี้


               แม้ตระกูลของกู้อี้หรานและเติ้งจงฉีจะไม่เทียบเท่าหกตระกูลในเขตทะเล แต่ก็เป็นตระกูลที่เป็นที่รู้จักกันทั้งต้าเว่ย โดยเฉพาะเติ้งจงฉียังเป็นบุตรชายผู้สืบสกุลของตระกูลเติ้ง แต่พวกเขากลับได้ตำแหน่งเป็นเพียงราชองครักษ์อี้ เห็นได้ชัดว่ากองกำลังในวังหลวงของฮ่องเต้แห่งต้าเว่ยนี้ ต้องเป็นบุตรหลานของขุนนางที่ใกล้ชิดฮ่องเต้ถึงเพียงใด!


               แรกเริ่มนั้นการแต่งตั้งองครักษ์ทั้งสามก็เพื่อให้การอารักษ์ขาองค์ฮ่องเต้ ดังนั้นราชองครักษ์ทั้งสามจึงมีข้อห้ามชัดเจนว่าห้ามออกจากเมืองหลวงไปโดยพลการ…ไพร่พลเหล่านี้ได้รับคำสั่งจากหัวหน้ากองกำลังรักษาพระองค์ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วพวกเขาก็คือทหารของฮ่องเต้ ได้รับคำสั่งโดยตรงจากฮ่องเต้ ทุกการเคลื่อนไหวของพวกเขา ล้วนต้องเกี่ยวพันกับฮ่องเต้ทั้งสิ้น


               โดยเฉพาะไม่นานมานี้ในเฟิ่งโจวมีข่าวมาว่าหัวเมืองทางเหนือได้ชัยชนะครั้งใหญ่ ราชทูตกำลังรีบนำราชโอการเชิดชูเกียรติมา… หรือว่าจะเกี่ยวพันกับเรื่องนี้? แล้วเหตุใดจึงเกี่ยวพันไปถึงอาณาเขตของตระกูลซูเล่า?


               เว่ยฉางอิ๋งรู้เรื่องการมีชัยครั้งใหญ่ของหัวเมืองทางเหนือมากสักหน่อย จึงได้เล่าว่าซ่งฮานและซ่งตวนใช้กำลังบีบบังคับเอากำลังพลของผู้อื่น ทั้งยังวางแผนจะหลอกแต่งงาน จึงคิดว่ายังดีที่ฮ่องเต้ตรวจสอบเรื่องนี้อย่างถี่ถ้วน เมื่อพบว่ามีเรื่องเช่นนี้ ครานี้จึงได้ส่งคนมาตรวจสอบดู?


               จากนั้นซ่งไจ้สุ่ยและเว่ยฉางอิ๋งต่างก็พากันคาดเดาความเป็นไปได้ต่างๆ นานาอยู่ในใจ แต่กลับยังเดาไม่ถูก…ยิ่งไปกว่านั้นยังคาดเดาไม่ได้ใกล้เคียงเลยแม้แต่น้อย เพราะสาเหตุที่แท้จริงนั้นก็คือ “ไม่นานมานี้ ฮ่องเต้ได้รับนางในเข้ามาในวังผู้หนึ่ง และทรงโปรดปรานนางยิ่ง เพียงไม่กี่วันก็ได้เลื่อนตำแหน่งจากสนมเจียลี่ขั้นแปดซึ่งอยู่ในขั้นต่ำสุดขึ้นเป็นสนมเสี่ยวอี๋ขั้นหก กระทั่งบำเหน็จรางวัลที่มอบแก่นางก็ยังเทียบเท่ากับผู้มีความสามารถขั้นสี่ องค์ฮ่องเต้ทรงเอ็นดูถึงเพียงนี้ ทว่าในที่ลับตาคนสนมเสี่ยวอี๋คนใหม่แซ่จงที่มีฐานะสำคัญยิ่งผู้นี้กลับมักจะมีสีหน้าอมทุกข์ ฮ่องเต้เคยตรัสถามตรงๆ เมื่อสนมจงบอกถึงสาเหตุ กลับเป็นเพราะเดิมทีนางมีพื้นเพเป็นชาวชิงโจว ครานั้นครอบครัวยากไร้ เพื่อน้องชายและน้องสาวจึงได้มาเข้ามาเป็นข้ารับใช้ในวัง ยามนี้ได้กลายมาเป็นสนมในวังหลวง มีอาภรณ์งดงามอาหารชั้นเลิศ แต่กลับยิ่งคิดถึงน้องชายและน้องสาวว่ายังมีชีวิตอยู่หรือไม่ และจะมีเสื้อผ้าอาหารพอเพียงหรือไม่…”


               เว่ยฉางอิ๋งเบิกตาโพลงอ้าปากค้าง กล่าวว่า “จากนั้นฮ่องเต้จึงมีพระบัญชาให้ราชองครักษ์อี้สี่นายไปที่ชิงโจวเพื่อสืบหาน้องชายและน้องสาวของสนมจงผู้นี้?”


               เว่ยฉางเฟิงเอ่ยอย่างราบเรียบว่า “แรกเริ่มข้าก็คิดเช่นนี้ แต่…ฟังจากน้ำเสียงของกู้อี้หราน เหตุที่พวกเขาต้องเร่งเดินทางกลับเป็นเพราะสองเดือนให้หลังจะเป็นวันคล้ายวันเกิดของสนมจงผู้นั้น ฮ่องเต้ทรงตัดสินพระทัยว่าจะรับน้องชายและน้องสาวของสนมจงไปที่เมืองหลวง และพาเข้าวังในวันเกิดของสนมจง เพื่อให้พี่น้องของนางได้มาอยู่พร้อมหน้ากัน และยังเป็นทำให้สนมจงได้มีรอยยิ้มสักครั้ง ส่วนเหตุที่เป็นราชโองการลับ ก็เพราะว่าฮ่องเต้มีคำสั่งว่าก่อนวันคล้ายวันเกิดของสนมจงห้ามให้นางล่วงรู้เรื่องนี้โดยเด็ดขาด ดังนั้นกู้อี้หรานจึงไม่กล้าหยุดพัก เร่งเดินทางทั้งวันทั้งคืน จนทำให้เมื่อคืนไม่ทันไปถึงที่พักแรม ทั้งโคมไฟก็ยังโดนฝนจนเปียก หลงทางอยู่หลายชั่วยามจึงได้หาทางมาที่เขาไผ่น้อยนี้”


               “…” มิน่าเล่าทั้งที่เป็นราชโอการลับ พวกของกู้อี้หรานกลับกล้าบอกเล่าต่อเว่ยฉางเฟิง เรื่องนี้…เว่ยฉางอิ๋งหมดคำพูดพลางมองไปยังซ่งไจ้สุ่ยที่ใบหน้าแสดงอาการรังเกียจคราหนึ่ง ความเลอะเลือนในวังหลวงนั้นทำให้ซ่งไจ้สุ่ยหวาดผวาจนแทบจะมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ไหว นึกไม่ถึงว่ากระทั่งฮ่องเต้ก็…


               บัดนี้ พวกศัตรูคอยจ้องจะขย้ำต้าเว่ย เกรงว่าคิดจะครองครอบดินแดนจงหยวนอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน และเพราะภายในแคว้นเองก็ไม่สงบสุข แม้แต่ในตัวเมืองเฟิ่งโจวไม่ถึงทุกร้อยลี้ยังมีโจรชั่วปรากฏออกมาให้เห็น…สถานการณ์เช่นนั้น ฮ่องเต้ยังมีแก่ใจมีราชโองการลับให้ราชองครักษ์อี้สี่นายเร่งเดินทางทั้งวันทั้งคืนมายังชิงโจวที่อยู่ห่างจากเมืองหลวงนับพันลี้เพื่อเสาะหาพี่น้องสกุลจง เพียงเพราะความไม่สบายใจของสนมเสี่ยวอี๋ที่เพิ่งรับเข้ามาใหม่…


               แม้ว่าเว่ยฉางอิ๋งจักมิได้รู้เรื่องในวังมากมายสักเท่าใด แต่ยามนี้ก็รู้สึกได้ว่าต้าเว่ย…ดูท่าจะไม่ดีเสียแล้ว…


__________________________________


[1] ราชองครักษ์ทั้งสาม ออกเสียงตามภาษาจีนว่า “ซานเว่ย” (三卫)


[2] ราชองครักษ์ชิน ออกเสียงตามภาษาจีนว่า “ชินเว่ย” (亲卫)


[3] ราชองครักษ์ซวิน ออกเสียงตามภาษาจีนว่า “ชวินเว่ย” (勋卫)


[4] ราชองครักษ์อี้ ออกเสียงตามภาษาจีนว่า “อี้เว่ย” (翊卫)



ตอนที่ 47 แขกจากเมืองหลวง

โดย

Xiaobei

                บนเขาไผ่น้อย ในขณะที่เว่ยฉางอิ๋ง เว่ยฉางเฟิงสองพี่น้องพากันสั่งการให้บ่าวไพร่เก็บข้าวของเตรียมกลับเข้าเมืองด้วยจิตใจที่หนักอึ้งและสับสนนั้น พวกของกู้อี้หรานก็เข้าไปในตัวเมืองฟงโจวแล้ว


               แม้พวกเขาจะเป็นราชองครักษ์อี้ที่มาจากตระกูลที่ไม่ธรรมดา แต่เมื่อได้รับราชโองการลับให้ออกปฏิบัติภารกิจ…และแม้ว่าคำสั่งลับนี้จะไร้แก่นสารไปสักหน่อย เพราะต้องการจะปิดบังสนมจงเอาไว้ก่อนจะถึงวันเกิดของนาง ในเฟิ่งโจวที่อยู่ห่างไกลจากเมืองหลวงแห่งนี้ ต่อให้เปิดเผยภารกิจต่อเว่ยฉางเฟิ่งก็ไม่เป็นอะไร แต่หากแพร่สะพัดออกไปก็จะทำให้เสื่อมเสียพระเกียรติของฮ่องเต้ จึงไม่อาจทำเสียจนผู้คนทั่วไปต่างรู้กันไปหมดว่าฮ่องเต้ส่งราชองค์อี้ให้มุ่งหน้าไปที่ชิงโจว เช่นนั้นพวกเขาจึงได้สวมใส่เสื้อผ้าธรรมดาเรียบง่าย เมื่อเข้าไปในเมืองก็ขี่ม้าให้ช้าลง และเลือกร้านสุราที่ห่างไกลผู้คนและสงบเงียบนั่งพักผ่อนสักครู่


               ยามนี้ยังเช้าอยู่มาก ร้านสุราเพิ่งจะเปิด ภายในจึงยังไม่แขกคนอื่น


               เมื่อเข้าไปนั่งแล้ว พวกบ่าวที่กู้อี้หรานพามาด้วยส่งสัญญาณให้เสี่ยวเอ้อถอยออกไป เมื่อเห็นว่ารอบกายไม่มีคนนอก กู้อี้หรานจึงได้เอ่ยถามพวกพ้องด้วยเสียงเบาว่า “แขนของอู๋ยิวเป็นอย่างไรบ้าง? ต้องไปหาฮูหยินในเมืองหรือไม่?”


               เมื่อเด็กหนุ่มชุดดำที่อยู่ทางซ้ายของเขาได้ยินก็ส่ายหัวน้อยๆ ตอบอย่างไม่ใส่ใจว่า “ก็เพียงแค่โดนฟาดหนหนึ่ง เมื่อคืนตอนอยู่ในกระท่อมไม้ไผ่ก็ได้ให้คนเอาเหล้ายามาทาแล้ว ระหว่างทางก็จะดีขึ้นเอง ไยต้องไปรบกวนฮูหยินอีก” เด็กหนุ่มผู้นี้หน้าตาหมดจดงดงาม หากดูเผินๆ ก็จักทำให้เข้าใจผิดว่าเป็นผู้หญิงเอาได้ง่ายๆ แต่รูปร่างกับไม่เตี้ย กระทั่งสูงกว่ากู้อี้หรานสักหน่อยด้วยซ้ำ


               ในน้ำเสียงที่เขากล่าวตอบต่อกู้อี้หรานนั้นมิได้มีความอาทรใด แต่แววตากลับมีประกายเยือกเย็นแผ่ซ่านออกมา เห็นได้ชัดว่าเขาหาได้ไม่ใส่ใจเรื่องที่เขาถูกทำร้ายจนบาดเจ็บหลังจากมีเรื่องมีราวกับองครักษ์ตระกูลเว่ยเมื่อคืนนี้จริงๆ


               “ฝนเมื่อเย็นวานนี้ตกลงมาอย่างฉับพลัน ทำให้พวกเราลำบากไม่เบา” ชายหนุ่มที่อยู่ทางซ้ายของเด็กหนุ่มชุดดำมีคิ้วเข้มตาโต รูปร่างกำยำ แม้จะจงใจกดเสียงต่ำยามพูดจาเช่นเดียวกับกู้อี้หรานแต่ก็ยังยากจะปิดบังความก้องกังวานของเสียงได้ เขาขมวดคิ้วแน่นพลางว่า “นึกไม่ถึงว่าจะบังเอิญมีพวกคนตระกูลเว่ยไปอยู่บนเขาไผ่น้อยพอดี จนทำให้มีการอารักษ์ขาอย่างแน่นหนาที่ตีนเขา ดึกตื่นค่ำมืดพลอยทำให้ลูกผู้น้องต้องลำบาก ทั้งยังถูกเจ้าเด็กน้อยเว่ยฉางเฟิงกระแนะกระแหนเอาอีก…ดูเจ้าเด็กน้อยเว่ยฉางเฟิงคงเพิ่งจะเกล้าผม เป็นเด็กเป็นเล็ก ปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม แต่กลับมาข่มเหงกดขี่ลูกผู้น้องของข้าเช่นนี้ ข้าหมดความอดทนจริงๆ!”


               ชายร่างกำยำพูดอย่างเกรี้ยวกราดทั้งยังตบโต๊ะไปหลายหน เห็นชัดว่าต้องการจะทวงหาความยุติธรรมให้กับเด็กหนุ่มชุดดำ ฟังจากน้ำเสียงเขาคงจักเป็นลูกผู้พี่ของเด็กหนุ่มชุดดำ


               แต่กู้อี้หรานก็ดี เติ้งจงจีก็ดี เมื่อได้ยินคำกล่าวนี้ นอกจากจะมิได้มีท่าทีกล่าวตักเตือน ทั้งยังมีสีหน้า ‘เป็นเช่นนั้นจริงๆ’ อีกด้วย…


               เห็นเพียงรอยยิ้มไร้กังวลที่เด็กหนุ่มชุดดำเคยมีพลันชะงักลงในทันใด…เกือบเค่อ เขาจ้องไปที่ลูกผู้พี่ของตน แล้วเอ่ยออกมาทีละคำ “ข้า แค่ ไม่ ทัน ระ วัง!”


               “ข้ารู้ ข้ารู้” ชายร่างกำยำมีสีหน้าเข้าใจจริงจัง จนแทบจะเขียนคำว่า ‘ซื่อตรงที่สุด’ สี่พยางค์ไว้บรรยายได้ เขาใช้น้ำเสียงปลอบประโลมเอ่ยว่า “น้องพี่ เจ้าเป็นผู้สืบสกุลโดยตรงแห่งตระกูลตวนมู่! แม้ฐานะของตระกูลเว่ยและตระกูลตวนมู่จะเท่าเทียมกัน ลำพังพวกองครักษ์ตระกูลเว่ยสองสามคนนั้นหรือจะมีปัญญาต่อกรกับเจ้า? ความจริงแล้วเจ้าก็แค่เห็นว่าพวกมันน่าสงสาร จึงจงใจให้พวกมันฟาดไปหนหนึ่ง…เพื่อไม่ให้พวกมันไร้ความดีความชอบแล้วถูกเว่ยฉางเฟิงตำหนิเอา น้องพี่มักจะใจอ่อนเช่นนี้เสมอ…ภายหลังที่เว่ยฉางเฟิงลงเขามาพวกเรา น้องพี่ก็จะต้องจงใจสงบปากสงบคำอ่อนข้อให้เขา มิเช่นนั้น หากทำให้เจ้าเด็กนั่นมีโทสะจนร้องไห้ทั้งที่ตนเองก็เป็นเจ้าบ้าน คงจะเป็นเรื่องไม่ดีเอาเสียเลย…”


               ใบหน้าของเด็กหนุ่มสกุลตวนมู่เดิมทีไร้ความกังวลแต่บัดนี้กลับเขียวคล้ำ พักใหญ่จึงดันเสียงแทรกไรฟันออกมาประโยคหนึ่งว่า “นับจากการประลองต่อหน้าพระพักตร์ ท่านพี่ซีสวินต้องพ่ายแพ้ต่อน้ำมือของเสิ่นจั้งเฟิงมาสามปีติดต่อกัน ไม่ว่าจะเตรียมตัวมากกว่าเดิมกี่เท่า จนกลายเป็นว่าเข็ดขยาดเสิ่นจ้างเฟิงดังกลัวเสือมาแต่นั้น! ท่านพี่มิได้รู้สึกว่าเสียหน้า แต่ข้ากลับรู้สึกอับอายแทนตระกูลหลิวแห่งตงหู!”


               “น้องตวนมู่โปรดระวังคำ!” เดิมทีกู้อี้หรานและเติ้งจิงฉีไม่คิดจะเข้าไปแทรกการโต้แย้งของลูกพี่ลูกน้องทั้งสอง แต่ยามนี้ ด้วยโทสะทำให้ตวนมู่อู๋ยิวได้เอ่ยเรื่องที่หลิวซีสวินไม่พึงพอใจมากที่สุดออกไป จึงอดจะตกใจได้ ไม่กล้านิ่งดูต่อไปได้และรีบออกหน้าปราม “ท่านพี่หลิวก็โปรดอย่าได้เอ่ยถึงเรื่องเมื่อวานอีกเลย เมื่อวานนี้เป็นเพราะก่อนหน้านั้นกู้อี้หรานใคร่ครวญไม่รอบคอบ ทำให้เมื่อโคมดับ ไม่มีไฟส่องทางจึงได้หลงทาง โชคดีที่จงฉีเคยดูแผนที่แถบนั้นมาก่อน จึงจำเขาไผ่น้อยได้…อย่างไรเรื่องนี้ก็ผ่านไปแล้ว ส่วนเรื่องของเว่ยฉางเฟิง แม้เมื่อคืนจะปะทะคารมกัน แต่เขาก็ยังให้พวกเรายืมกระท่อมไผ่พักค้างแรม เช้าวันนี้ยามขึ้นเขาน้ำเสียงของเขาก็สุภาพอ่อนโยน ทั้งยังส่งพวกเราลงเขาด้วยตนเอง…”


               “ช้าก่อน!” เมื่อสังเกตได้ว่าใบหน้าของหลิวซีสวินเคร่งเครียดและจ้องเขม็งมาที่ตน ตวนมู่อู๋ยิวจึงพลัน ‘ตั้งใจ’ สอบถามอย่างสงสัยว่า “เมื่อครู่ที่เว่ยฉางเฟิงส่งพวกท่านลงเขานั้น มิใช่เอาแต่พูดถึงเรื่องช่วยชีวิตอะไรนั่นรึ? เป็นเรื่องใดกัน?”


               กู้อี้หรานแทบจะรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไม่ไหว เพื่อไม่ให้หลิวซีสวินและตวนมู่อู๋ยิวลงไม้ลงมือกันในร้านสุราแห่งนี้จริงๆ… เฟิ่งโจวเป็นอาณาเขตของตระกูลเว่ย ในตัวเมืองหรือจะมีสิ่งใดสามารถปิดบังเว่ยฮ่วนได้? แม้การเดินทางของพวกเขาครานี้จะมิได้มีสิ่งใดที่ไม่อาจให้ตระกูลเว่ยล่วงรู้ แต่ในเมื่อเป็นคนในตระกูลมีชื่อ หากพิจารณาให้ถ่องแท้แล้ว ทุกตระกูลต่างก็สามารถนับเป็นญาติกันได้ทั้งสิ้น ยังมิต้องเอ่ยถึงความสัมพันธ์ฉันญาติที่อ้อมไปไกลเจ็ดโค้งสิบแปดเลี้ยวเลย เพียงเอ่ยถึงเว่ยฮ่วนซึ่งเป็นหนึ่งในเสาหลักของประเทศ ดำรงตำแหน่งฉางซานกง ทั้งยังมีฐานะเป็นประมุขของตระกูลเว่ย พวกเขาซึ่งเป็นคนรุ่นหลัง เมื่อเดินทางผ่านเฟิ่งโจวแล้วไปคารวะเขาก็เป็นการสมควรอยู่


               ครานี้เติ้งจงฉียังได้ช่วยคุณหนูตระกูลเว่ยเอาไว้ หากเรื่องนี้ทำให้เว่ยฮ่วนรู้สึกตื่นตกใจ…แม้จะไม่ได้หยุดแวะคารวะ อย่างไรเสียก็จักต้องไปอธิบายที่จวนสักหน่อย ซึ่งการไปอธิบายความเช่นนี้จักใช้เวลาเพียงวันครึ่งวันหรือจะเป็นไปได้! ยามนี้พวกเขารั้งรอไม่ได้ ยังไม่ทันได้นับว่าขากลับยังต้องเร่งเดินทาง มีเพียงสวรรค์ที่ล่วงรู้ว่าเมื่อถึงชิงโจวแล้ว ยังต้องใช้เวลาอีกนานเท่าใดจึงจะหาตัวน้องชายและน้องสาวของสนมจงพบ?


               ดังนั้นกู้อี้หรานจึงได้กล่าวในทันใดว่า “เป็นตอนที่กำลังกล่าวอำลา จงฉีเห็นงูเขียวหางไหม้ตัวหนึ่ง จึงได้ลงมือ”


               “เจ้าเด็กน้อยเว่ยฉางเฟิงนั่นโชคดีไม่เลวเลย” ตวนมู่อู๋ยิวส่งเสียงฮึออกมา…เมื่อคืนนี้ พวกเขานึกไม่ถึงว่าเมื่อมาถึงตีนเขาไผ่น้อยยามดึกดื่นจะมีองครักษ์มากมายอยู่ เกือบจะหลงนึกว่าเป็นรังโจรกลางป่าเสียแล้ว จึงเป็นธรรมดาที่ต้องเตรียมตัวตอบโต้                นั่นเพราะก่อนหน้านี้มีกองโจรบุกเข้าเผาทำลายในเมือง จนทำให้เว่ยฮ่วนซึ่งกำลังนำไพร่พลออกไปปราบปรามกองโจรที่เขาเฟิ่งฉีจนเกือบจะสำเร็จแล้ว แต่กลับต้องรีบกลับเข้าเมืองมาหารือเพื่อหาทางรับมือ…เขาเฟิ่งฉีห่างจากตัวเมืองของเฟิ่งโจวไม่ถึงร้อยลี้ เขาไผ่น้อยแห่งนี้ห่างจากตัวเมืองเฟิ่งโจวสี่สิบลี้ ซึ่งทั้งสองแห่งนี้ใกล้กันมาก ดังนั้นเว่ยฉางเฟิงสามพี่น้องพักอยู่ที่เขาไผ่น้อยสองสามวัน ตระกูลเว่ยจึงได้วุ่ยวายกันขึ้นมาในทันใด ไม่ว่าจะทางแจ้งหรือทางลับ มิรู้ว่าส่งกำลังคนกี่มากน้อยมาล้อมเขาไผ่น้อยเอาไว้จนน้ำยังไหลรั่วออกมาไม่ได้เลย!


               องครักษ์เหล่านี้ก็รู้ดีกว่าเหตุใดจึงต้องระมัดระวังถึงเพียงนี้ เว่ยฉางเฟิง เว่ยฉางอิ๋ง และซ่งไจ้สุ่ยล้วนเป็นผู้ที่มีฐานะสำคัญยิ่ง เขาไผ่น้อยนั้นห่างจากเขาเฟิ่งฉีเพียงไม่กี่สิบลี้เท่านั้น วันหนึ่งม้าเร็วก็สามารถไปกลับได้หลายรอบแล้ว แม้กองโจรที่เขาเฟิ่งฉีจะถูกปราบจนสิ้นซาก แต่ผู้ใดเล่าจะรู้ว่าพวกโจรชั่วนี้จะได้ยินข่าวแล้วพากันบุกมาแก้แค้นที่เขาไผ่น้อยหรือไม่?


               หากเว่ยฉางเฟิงสามพี่น้องเกิดเหตุใดขึ้น ไม่ต้องถามก็รู้ว่าองครักษ์ตระกูลเว่ยจะต้องลงเอยอย่างไร จึงเป็นธรรมดาที่พวกเขาย่อมไม่กล้าประมาทเลินเล่อ


               การเดินทางของกู้อี้หรานในครานี้ล้วนสวมชุดลำลอง ทั้งยังพกอาวุธ และบุกรุกเข้ามากลางป่าที่ตีนเขาไผ่น้อยยามวิกาล…องครักษ์ตระกูลเว่ยไม่คิดว่าพวกเขาคือพวกโจรก็แปลกแล้ว!


               แม้พวกของกู้อี้หรานจะหมายมั่นปั้นมือเข้าเป็นหนึ่งในราชองครักษ์ทั้งสามตั้งแต่ยังเล็ก กอปรกับเป็นเพราะพื้นเพเดิมของตระกูล องครักษ์ของฮ่องเต้ย่อมต้องเก่งกาจกว่าองครักษ์ทั่วไป ทว่า…กลับสู้กำลังพลจำนวนมากขององครักษ์ตระกูลเว่ยไม่ได้!


               บุตรสาวและบุตรชายทั้งสองของฮูหยินซ่งล้วนอยู่ที่เขาไผ่น้อย นางแทบอยากจะส่งองครักษ์ตระกูลเว่ยทั้งบ้านมาจึงจะสามารถวางใจได้ แม้แต่ปี้อู๋ที่ไม่ออกไปทำการใดง่ายๆ ยังถูกนางรบเร้าเสียจนต้องส่งคนจำนวนหนึ่งมาตั้งค่ายที่ตีนเขา กำลังพลที่ยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้ ต่อให้กองโจรแห่งเขาเฟิ่งฉียังไม่ถูกกำจัดไปหมด ก็สามารถต่อกรได้ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงจะรับมือกับคนเพียงหยิบมือของกู้อี้หราน


               ดังนั้นพวกเขาจึงได้เสียเปรียบไม่น้อย หากไม่เป็นเพราะกู้อี้หรานพบว่าอีกฝ่ายเป็นองครักษ์ของตระกูลเว่ยได้ทันกาล แล้วประกาศออกไปทันทีว่าตนก็คือคนของตระกูลกู้แห่งเมืองหลวง จึงทำให้อีกฝ่ายได้สติและยั้งมือ หาไม่แล้วตวนมู่อู๋ยิวก็คงไม่แค่ถูกฟาดแขนเพียงเล็กน้อยเท่านี้…เกรงว่าแม้แต่หัวก็คงไม่แคล้วถูกองครักษ์ตระกูลเว่ยที่ปรารถนาจะสร้างผลงานบั่นขาดลงมาแล้ว!


               และนี่ก็คือสาเหตุที่ไม่ว่าตวนมู่อู๋ยิวและหลิวซีสวินสองลูกพี่ลูกน้องจะพูดถึงเว่ยฉางเฟิงอย่างไรก็หาได้มีเรื่องดีไม่


               …ยามที่เว่ยฉางเฟิงมาถึงตีนเขานั้น พวกของกู้อี้หรานได้ถูกควบคุมเอาไว้หมดแล้ว โดยเฉพาะตวนมู่อู๋ยิวและหลิวซีสวินที่ขัดขืนรุนแรงที่สุด และมีท่าทีแข็งกร้าวเลวร้ายที่สุด พวกเขาเป็นคนลงมือทำร้ายองครักษ์ไปสองนาย เหล่าองครักษ์ทั้งคอยระวังและคอยรับมือ จนท้ายที่สุดใช้ดาบถึงสิบกว่าเล่มทาบอยู่ที่คอของพวกเขา แล้วกดพวกเขาลงบนพื้นดินโคลนกลางป่า ให้คุกเข่าลงดูเว่ยฉางเฟิงเดินเข้ามาท่ามกลางทุกคนเพื่อสอบถามสาเหตุ


               นี่ยังไม่เท่าใด ประเด็นสำคัญอยู่ที่เมื่อเว่ยฉางเฟิงสอบถามได้ความแล้ว กลับเอ่ยชี้ชัดอย่างไม่ได้เกรงใจสักนิดว่าเขาไผ่น้อยนี้เป็นสมบัติของตระกูลเว่ย การที่พวกเขาบุกรุกเข้ามาก็นับว่าทำไร้เหตุผลอยู่ก่อนแล้ว ยังมาทำร้ายองครักษ์ของตระกูลเว่ยอีก กระทำการเยี่ยงพวกโจร! ดังนั้นแล้วการที่เหล่าองครักษ์ทำกับพวกเขาเช่นพวกโจรก็เป็นเรื่องสมควรแล้ว!


               เมื่อกู้อี้หรานเห็นดังนั้น ยังนึกว่าผู้ที่ขึ้นเขาไปรายงานไม่ได้นำเรื่องฐานะของพวกตนไปบอกกล่าว จึงได้รีบประกาศตนว่าคือตระกูลกู้แห่งเมืองหลวง แม้ตระกูลกู้มิทัดเทียมตระกูลเว่ย แต่ก็เป็นตระกูลใหญ่เช่นกัน และยังเป็นชนชั้นผู้ปกครอง ดีเลวอย่างไรก็ควรจะไว้หน้าบ้าง…แต่เว่ยฉางเฟิงกลับมิได้สนใจเลยสักนิด ทั้งยังกล่าวด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวว่าเมื่อกลับไปในตัวเมืองแล้วจะไปรายงานผู้ใหญ่ และเขียนจดหมายไปขอให้ตระกูลกู้อธิบายเรื่องนี้มาด้วย!


               หลังจากนั้นตวนมู่อู๋ยิวและหลิวซีสวินก็มีน้ำโหจนเหลืออด ไม่เพียงประกาศว่าตนเป็นลูกหลานตระกูลใด ยังได้สั่งสอนเว่ยฉางเฟิงไปอีกว่าไร้มารยาทสิ้นดีที่ไม่ให้เกียรติคนตระกูลใหญ่เพียงเพราะองครักษ์ไม่กี่นาย


               ไม่คิดว่าชื่อของตระกูลตวนมู่และตระกูลหลิวกลับมิอาจกดเว่ยฉางเฟิงที่ลำพองตนเช่นกันว่ามีท่านปู่คอยหนุนหลังลงได้ เว่ยฉางเฟิงต่อปากต่อคำกับพวกเขาครึ่งชั่วยามเต็มๆ คุณชายห้าแห่งตระกูลเว่ยผู้นี้เพิ่งจะเกล้าผม แต่ก็เป็นบุตรชายของตระกูลซ่งที่เชียวชาญด้านบุ๋นเป็นอย่างยิ่ง ไม่ทันถึงสองประโยคบุตรชายตระกูลหลิวที่เป็นตระกูลฝ่ายบู๊มาหลายชั่วคนก็ถูกเว่ยฉางเฟิงพูดเสียจนใบ้กินพูดไม่ออกแพ้ยับเยิน ตวนมู่อู๋ยิวที่คนในตระกูลขุนนางที่ทำงานด้านบุ๋นมามากเช่นกัน เพียงแต่ตนเองกลับมีใจรักงานด้านบู๊ ครานี้จึงลองต่อฝีปากดูบ้าง แต่กลับถูกเว่ยฉางเฟิงนำวรรคทองของวรรนกรรมเลื่องชื่อออกมาป้องปัดได้ลื่นไหลดังสายน้ำ ทั้งยังท่อง ‘กฏหมายต้าเว่ย’ กลับหลังได้อย่างคล่องแคล่ว เสริมด้วยธรรมเนียมปฏิบัติที่สืบทอดกันมาในแต่ละยุคแต่ละสมัย พูดไปจนถึงว่าการกระทำของพวกกู้อี้หรานนั้นไม่มีมนุษยธรรม ถึงขั้นต่ำช้ากว่าสัตว์ป่า… เรียกว่าเกือบจะได้มอบหนังสือนักปราชญ์สักเล่มสองเล่มให้ตวนมู่อู๋ยิวไปขัดเกลาจิตใจแล้ว


               ตวนมู่อู๋ยิวเป็นผู้ที่อายุน้อยที่สุดในพวกของกู้อี้หราน ทั้งยังอารมณ์ร้อนที่สุด มีหรือจะทนไหว? ทันใดนั้นเขาจึงเลิกพูดจากด้วยเหตุผลแล้ววิวาทกับเว่ยฉางเฟิงเสียยกใหญ่ แต่แล้ว…เขาก็ถูกเว่ยฉางเฟิงด่าเสียจนหัวหมุนต่อไปอีกครา


               จะอย่างไรตวนมู่อู๋ยิวก็เป็นชาย ความไร้เหตุผลของเขานั้นยังห่างไกลกว่าของเว่ยฉางอิ๋งนัก เว่ยฉางเฟิงเคยชินกับความเฉไฉ เถียงข้างๆ คูๆ ของพี่สาวร่วมท้องมาแต่เล็ก จึงไม่มีทางถูกเขารังควานเอาได้…ยิ่งไปกว่านั้นเว่ยฉางเฟิงยอมอ่อนข้อให้พี่สาว แต่กลับไม่มีวันยอมอ่อนข้อให้เขา


               ซึ่งนี่ก็คือสาเหตุที่เมื่อพวกเขาไปกล่าวคำลาเมื่อเช้าวันนี้ จึงมีเพียงกู้อี้หรานและเติ้งจงฉีขึ้นเขาไป ทั้งยังเป็นสาเหตุที่เว่ยฉางเฟิงไม่ยอมลงมาส่งด้วยตนเอง เพราะรู้สึกว่าคนทั้งสองลำพองในฐานะของตนเกินไป เพราะอย่างไร เมื่อคืนนี้ทั้งสองฝ่ายก็หาได้เป็นมิตรต่อกันไม่


               แม้เมื่อเว่ยฉางเฟิงจะด่าทอตวนมู่อู๋ยิวจบแล้ว จะยังให้คนเตรียมที่พักให้กับพวกเขา แต่ตวนมู่อู๋ยิวกลับหาได้สำนึกขอบคุณบุตรชายตระกูลเว่ยผู้นี้สักน้อยไม่…เขายอมนอนตากฝนในป่าทั้งคืน แต่จะไม่ยอมพ่ายสงครามน้ำลายให้แก่เว่ยฉางเฟิงหรือต้องมาเป็นหนี้บุญคุณเขา!


               แต่จนใจนัก กู้อี้หรานกลับดึงดันลากเขาเข้ากระท่อม! ตากฝนทั้งคืนเช่นนี้ แม้จะไม่ป่วยไข้ เช้าวันนี้ตวนมู่อู๋ยิวก็จะเร่งเดินทางไม่ไหว กู้อี้หรานกำลังเร่งรีบเดินทาง ไม่ว่าจะว่าอย่างไรก็จะไม่ยอมให้โทสะที่ตวนมู่อู๋ยิวมีต่อคนผู้หนึ่งมาพลอยทำให้ทุกคนเดือนร้อนไปด้วย


               เมื่อตวนมู่อู๋ยิวเอ่ยถึงเว่ยฉางเฟิงในยามนี้ ก็แน่นอนว่าไม่มีทางเป็นเรื่องดีไปได้


__________________________

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม