ลิขิตฟ้าชะตารัก 359-366
ตอนที่ 359 ราดน้ำเย็น
คิดอยู่เนิ่นนาน นางจึงหันไปมองหลิงอ๋องที่ยืนอยู่ข้างๆ แล้วกล่าวว่า “เสด็จพ่อยังทรงมีธุระอื่นให้จัดการ เช่นนั้นก็ไปจัดการเถิดเพคะ หากหมอหลวงมาแล้วลูกจะต้องให้เขาตรวจดูอาการแน่ อย่าได้ทรงเสียงานการเพราะลูกเลยเพคะ เช่นนั้นลูกคงทนไม่ได้”
“ไม่เป็นไร พ่อจัดการงานทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว” หลิงอ๋องส่ายหน้าขณะที่พูดขึ้น
“ถ้าเช่นนั้นเสด็จพ่อก็ทรงกลับไปพักผ่อนเถิดเพคะ ลูกอยู่ที่นี่มีเมี่ยวอวี้และชิงอวิ๋นคอยดูแลอยู่แล้ว ไข้ลมหนาวนั้นติดต่อกันได้ง่ายนัก เสด็จพ่อทรงกลับไปก่อนเถิด มิเช่นนั้นหากติดไข้ลูกแล้วจะทำอย่างไรเล่าเพคะ” อวี้อาเหราชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงหาข้ออ้างขึ้น
“จะติดได้อย่างไรกัน สุขภาพของพ่อก็แข็งแรงมาโดยตลอด ไม่มีทางติดไข้เจ้าหรอก เจ้าวางใจเถิด” ทำอย่างไรหลิงอ๋องก็ยังคิดที่จะปักหลักอยู่ที่เดิมไม่ยอมไปไหน สะบัดชายแขนเสื้อยกใหญ่
อวี้อาเหรายังคงเกลี้ยกล่อมเขาต่อไป “ถึงกระนั้นก็ป้องกันไว้ก่อนดีกว่าเพคะ ตอนนี้อนุรองกำลังตั้งครรภ์อยู่ หากติดไปถึงนางเข้า คงเป็นอันตรายกับเด็กในท้องแน่ เพราะอย่างนั้นเสด็จพ่อทรงกลับไปก่อนเถิดเพคะ”
เมื่อได้ยินชื่ออนุรอง หลิงอ๋องก็ถอนหายใจออกมา “ก็ได้ ถ้าอย่างนั้นพ่อกลับก่อน เจ้าก็รักษาตัวให้ดีๆ เถิด”
“น้อมส่งเสด็จพ่อเพคะ!” เมื่อหลิงอ๋องจากไปแล้ว อวี้อาเหราจึงค่อยผ่อนลมหายใจออกมา สะบัดเสื้อคลุมออกแล้วลุกออกจากเตียง หากให้หมอหลวงมาตรวจอาการนางเข้าจริงๆ อาการป่วยของนางจะสามารถปิดบังได้อยู่อีกหรือ แล้วจะทำอย่างไรดีเล่า? นางเดินวนอยู่ข้างเตียง คิดไม่ออกว่าจะทำอย่างไรดี ลมเย็นๆ จากนอกหน้าต่างพัดเข้ามาปะทะร่างกายของนาง รู้สึกหนาวจนต้องไอออกมา
หนาวหรือ? ในใจของนางพลันเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมาได้ หากว่านางป่วยขึ้นมาจริงๆ ก็ไม่ต้องกลัวเรื่องตรวจไม่พบแล้วสินะ?
อวี้อาเหราเป็นคนคิดจริงทำจริง นางรีบเดินออกไปด้านนอกเรือนพัก เดินไปถึงข้างบ่อน้ำ ยังดีที่มีถังน้ำวางอยู่หนึ่งถังพอดี ด้านในเต็มไปด้วยน้ำที่เย็นเฉียบ หากเทรดตัวเองแล้วจะต้องหนาวจนป่วยแน่ๆ นางไม่ลังเลใจแม้แต่น้อย หากต้องการที่จะถ่วงเวลาไม่ให้ไทเฮาเรียกนางไปพบได้ ก็คงมีแต่ต้องทำแบบนี้เท่านั้น
นางกัดฟันแน่น ยกถังน้ำขึ้นมาแล้วรดตัวเองตั้งแต่ศีรษะลงมา น้ำเย็นๆ ท่ามกลางฤดูหนาวนั้นเหมือนมีดคมๆ ที่บาดผิวเนื้อไปทั่วทุกส่วน แม้แต่กระดูกก็ยังสามารถที่จะสัมผัสได้ถึงความหนาวเย็นจับขั้วหัวใจ นางตัวสั่นไปทั้งร่าง หนาวจนเหมือนเพิ่งจะเดินออกมาจากภูเขาน้ำแข็งอย่างไรอย่างนั้น
หนาวจริงๆ เลย! อวี้อาเหราสูดหายใจเข้าลึกๆ ไม่เพียงแต่ใบหน้า แม้แต่ริมฝีปากเองก็เปลี่ยนไปเป็นสีซีดเผือด
นางกลัวว่าจะยังหนาวไม่พอ นางยืนตากลมหนาวอยู่พักหนึ่งถึงค่อยกล้าเข้าห้อง แม้แต่เท้าก็ยังแข็งทื่อ จะยืนตรงก็ยังทำไม่ได้ หลังจากเข้ามาในห้องแล้วก็กัดฟันเปลี่ยนเสื้อผ้าทั้งๆ ที่ยังตัวสั่นเทิ้ม แล้วค่อยมุดเข้าไปในโปงผ้าห่มอีกครั้ง
แม้แต่ผ้าห่มที่เคยอบอุ่นก็ยังหนาวเหมือนก้อนน้ำแข็ง ทำอย่างไรก็ไม่อาจสร้างความอบอุ่นให้กับตัวเองได้เลย
อวี้อาเหรารับรู้ถึงความรู้สึกยากจะทานทนก็คราวนี้เอง
ผ่านไปไม่นาน ในที่สุดเมี่ยวอวี้ก็พาตัวหมอหลวงเข้ามา เมื่อเห็นอวี้อาเหรานอนขดตัวอยู่ในผ้าห่ม ก็ชะงักอยู่เป็นนานจึงค่อยรู้สึกตัว รีบก้าวเข้าไปข้างหน้า แล้วเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง “คุณหนู ท่านไม่เป็นอะไรนะเจ้าคะ หมอหลวงมาแล้วเจ้าค่ะ”
อวี้อาเหราฝืนความหนาวเย็นแล้วยื่นศีรษะออกมาด้านนอก สีหน้าไร้ซึ่งสีเลือดโดยสิ้นเชิง เส้นผมชื้นเล็กน้อย เพราะแห้งไปบ้างแล้ว ตอนนี้ดูแล้วเหมือนเพียงแค่เหงื่อออก สีหน้าไม่น่าดูนัก ขาวซีดจนเหมือนไม่ใช่คน
เมี่ยวอวี้ถูกสีหน้าของนางทำให้ตกใจ “คุณหนู ท่านเป็นอะไรไปเจ้าคะ เมื่อครู่ยัง…”
“หมอหลวงเล่า” อวี้อาเหราไม่สนใจคำพูดของนาง กลับถามขึ้นมาตามตรง
เมี่ยวอวี้หันไปมองทิศทางที่หมอหลวงยืนอยู่ “อยู่ที่นี่เจ้าค่ะ เมื่อครู่นี้บ่าวเข้าวังไปเชิญหมอหลวง แต่ไทเฮาทรงส่งหมอหลวงมาดูอาการท่านพอดี บ่าวจึงได้แต่พามาด้วยเจ้าค่ะ”
ตอนที่ 360 ลดยา
“เชิญหมอหลวงมาตรวจอาการข้าเถิด” อวี้อาเหราพยายามที่จะลืมตาขึ้น แล้วเหลือบสายตามองไปทางหมอหลวง ในใจก็ลอบคิดขึ้นว่า ไทเฮาถึงขนาดส่งหมอหลวงมาดูอาการของนางเช่นนี้ นี่ก็คงเพราะจะให้มาดูว่านางนั้นป่วยจริงหรือไม่ ขิงยิ่งแก่ยิ่งแรงอย่างที่ว่า มิเสียแรงที่สาดน้ำเย็นใส่ตัวก่อนที่หมอหลวงจะมา ไม่ป่วยก็ต้องยอมป่วย
นางยื่นมือออกไปให้หมอหลวงตรวจอาการ คิ้วของอีกฝ่ายขมวดเข้าหากันแน่นขึ้นเรื่อยๆ
“เป็นอย่างไรบ้างท่านหมอ” เมี่ยวอวี้อดที่จะถามขึ้นไม่ได้
“อาการป่วยของคุณหนูยิ่งแย่ลงเรื่อยๆ ดูท่าแล้วคงจะติดไข้หนักเป็นแน่ คิดว่าหากรักษาตัวดีๆ ก็คงดีขึ้น ยังดีที่ไม่ได้ป่วยหนักอะไร พักรักษาตัวสักพักก็คงจะหาย แต่ได้ยินมาว่าร่างกายของคุณหนูรองอ่อนแอมาโดยตลอด คงจะหายยากกว่าคนอื่นหน่อยนะขอรับ” หมอหลวงตอบ
“เช่นนั้นก็ดีเจ้าค่ะ ท่านหมอรีบจ่ายยาให้คุณหนูของข้าเถิดเจ้าค่ะ” เมี่ยวอวี้มองไปทางอวี้อาเหราอย่างสับสน ในใจของนางรู้สึกแปลกใจอยู่บ้างเล็กน้อย ก่อนที่จะไปเชิญหมอหลวงมา คุณหนูก็ยังดูสบายดีมากอยู่เลย เหตุใดผ่านไปเพียงครู่เดียวจึงได้ป่วยหนักเสียได้ หรือว่า…
“ข้าน้อยเจ้าใจแล้วขอรับ” เช่นนั้นหมอหลวงจึงออกไปจ่ายยา
เมี่ยวอวี้ถึงได้มองไปทางอวี้อาเหรา “คุณหนู เหตุใดท่านถึงได้…”
อวี้อาเหราพยักหน้าลง “เป็นอย่างที่เจ้าคิดนั่นล่ะ”
“คุณหนู ท่านก็จริงๆ เลยนะเจ้าคะ อยู่ดีๆ ก็ทำให้ตัวเองล้มป่วยเสียได้ เพียงเพื่อที่จะไม่ต้องแต่งงานกับรัชทายาท”
“ใครใช้ให้ไทเฮาบังคับข้ากันเล่า ข้าก็ต้องใช้แผนนี้เท่านั้นแล้ว”
ยามที่กล่าววาจานั้นน้ำเสียงของอวี้อาเหราก็สั่นเทาเป็นอย่างยิ่ง ทุกคำพูดล้วนแล้วแต่ต้องออกแรงเป็นอย่างมากในการพูด ร่างกายเย็นเฉียบ ราวกับร่างกายนอนอยู่ในโปงน้ำแข็ง ความอบอุ่นแม้แต่น้อยก็ยังไม่มี
สีหน้าของเมี่ยวอวี้ดูกลัดกลุ้ม “คุณหนูก็ทำให้ตัวเองลำบากเกินไปแล้วเจ้าค่ะ ทำให้ตัวเองหนาวสั่นจนสภาพกลายเป็นเช่นนี้ บ่าวเห็นท่านแล้วก็รู้สึกปวดใจยิ่งนัก เช่นนั้นบ่าวจะไปรีบสุมฟืนให้ท่านก็แล้วกันนะเจ้าคะ หากหนาวจนป่วยหนักไปคงจะลำบากแย่”
อวี้อาเหราพูดไม่ออก ทำได้เพียงแต่พยักหน้าลง สมองมีความรู้สึกพร่าเลือนบ้างเล็กน้อย น้ำเสียงของเมี่ยวอวี้ฟังดูห่างไกลมากขึ้นเรื่อยๆ
เมี่ยวอวี้รีบให้สาวใช้ไปสุมฟืนทันที จนทั่วทั้งห้องอุ่นร้อนขึ้นโดยทั่ว แต่อวี้อาเหราก็ยังรู้สึกหนาวเย็นแทบตาย ทว่าก็ยังรู้สึกดีกว่าเมื่อครู่นี้มากเลยทีเดียว เมี่ยวอวี้มองดูอย่างเป็นทุกข์ ให้คนไปต้มน้ำขิงไล่หนาว อีกทางก็ให้คนไปรับใบสั่งยาจากหมอหลวงมา
วุ่นวายอยู่เนิ่นนาน เมื่ออวี้อาเหราได้ดื่มน้ำขิงผสมน้ำตาลก็รู้สึกสบายขึ้นมาก เมื่อพูดก็มีเรี่ยวมีแรงมากขึ้น เมื่อเห็นใบสั่งยาในมือของเมี่ยวอวี้ที่กำลังจะให้คนออกไปซื้อยา ก็พูดขึ้นมาว่า “ตอนไปซื้อยามาต้มนั้น เจ้าก็ต้องไปดูด้วยตัวเอง แล้วแอบเอาตัวยาออกสักสองสามตัว”
“ทำเช่นนั้นไม่ได้นะเจ้าคะคุณหนู หากขาดตัวยาไปสักตัวจะไม่เป็นผลดี แม้ว่าท่านจะไม่อยากแต่งงานก็จริง แต่ก็ควรใส่ใจร่างกายของตัวเองด้วยนะเจ้าคะ” เมี่ยวอวี้ไม่ยอมรับปาก
น้ำเสียงของอวี้อาเหราจึงแข็งกร้าวอย่างโกรธเคือง “เจ้าจะเชื่อฟังคำพูดของข้าหรือไม่ หากเจ้ากล้านำเรื่องนี้ไปบอกเสด็จพ่อล่ะก็ ข้าจะไม่ยอมปล่อยเจ้าแน่ๆ!”
“คุณหนูโปรดระงับโทสะด้วยเจ้าค่ะ!” เมี่ยวอวี้รีบคุกเข่าลงในทันที แต่ก็ยังไม่ยอมตกปากรับคำ “ถ้าหากท่านป่วยหนักไม่หายขึ้นมา เช่นนั้นก็ไม่เพียงแต่จะทำให้ท่านอ๋องต้องทรงกังวล แต่หากกลายเป็นโรคเรื้อรังขึ้นมา จะต้องทำอย่างไรจึงจะรักษาหายเล่าเจ้าคะ หากเป็นเช่นนั้นก็ไม่เท่ากับว่าบ่าวเป็นผู้ช่วยให้เป็นหรอกหรือเจ้าคะ”
“เมี่ยวอวี้” เมื่ออวี้อาเหราได้ยินนางพูดเช่นนี้ น้ำเสียงของนางก็อ่อนลงมาก “ข้ารู้ว่าเจ้ามีเจตนาดี แต่เจ้าต้องรู้ไว้ ไม่ว่าอย่างไรคุณหนูของเจ้าก็จะไม่ยอมแต่งกับรัชทายาทแน่ หากใครบังคับให้ข้าต้องแต่งกับรัชทายาทจริงๆ เช่นนั้นก็ให้ข้ารีบๆ ตายไปเสียจะดีกว่า!”
ตอนที่ 361 เยี่ยมไข้
“คุณหนู อย่าได้คิดเช่นนั้นเชียวนะเจ้าคะ!” เมี่ยวอวี้ตกใจจนทำอะไรไม่ถูกไปเสียหมด “เมื่อก่อนบ่าวก็เห็นท่านชอบองค์รัชทายาทมากเลยมิใช่หรือเจ้าคะ…”
“นั่นมันเมื่อก่อน แต่นับตั้งแต่ครั้งที่เขาใจร้ายผลักข้าตกหน้าผาจนข้าแทบจะสิ้นชีวิต เจ้าก็คิดว่าคนเช่นนั้นข้าควรจะแต่งด้วยหรือ? แม้ว่าตอนนี้ข้าจะยังไม่ได้ป่วยตาย แต่ไม่ช้าก็เร็วคงจะต้องถูกเขาทรมานจนตายเป็นแน่ แล้วเจ้าจะทนมองข้าแต่งงานกับเขาได้จริงๆ หรือ” อวี้อาเหราถามกลับ
“บ่าว…” ท่าทีของเมี่ยวอวี้ดูลังเลขึ้นมาบ้างแล้ว
“เอาเช่นนี้ก็ได้ หากต้มยามาแล้วข้าจะขอดื่มเพียงครึ่งถ้วย ส่วนที่เหลือก็เททิ้งไป ให้อาการป่วยหายช้าๆ หน่อยเป็นอย่างไรเล่า” อวี้อาเหราต่อรอง
“ก็ได้เจ้าค่ะ แต่คุณหนูห้ามลดตัวยาลงนะเจ้าคะ” ในที่สุดเมี่ยวอวี้ก็ยอมรับข้อเสนอของนาง
อวี้อาเหราพยักหน้าลงยอมรับอย่างแข็งขัน จากนั้นก็หันหน้ามามอง “วันนี้ยามที่คนในจวนรู้ว่าข้าป่วยเป็นไข้แล้วมีท่าทีอย่างไรบ้างเล่า”
“บ่าวก็ไม่ทราบเจ้าค่ะ” เมี่ยวอวี้ส่ายหน้า “เมื่อครู่นี้มัวแต่ดูแลคุณหนู เพราะอย่างนั้นจึงไม่ได้สนใจคนอื่นเลย”
อวี้อาเหราไม่ได้พูดอะไรออกมา หากอนุรองและอนุสามรู้ว่านางป่วยก็คงจะยินดีเป็นอย่างมาก นี่ก็ไม่ต้องสงสัยเลย แต่พวกนางทั้งคู่ก็รู้ว่าต่อหน้าควรจะทำสีหน้าอย่างไร หากจะมองก็คงมองไม่เห็นถึงสีหน้ายินดี เมื่อนางกำลังจมอยู่ในความคิดของตัวเอง ที่ด้านนอกก็มีเสียงบ่าวรับใช้รายงานขึ้น
“คุณหนูรอง อนุสามมาขอเข้าพบเจ้าค่ะ”
เมี่ยวอวี้ชะงักไป แล้วยิ้มออกมาอย่างเย้ยหยัน “อนุสามผู้นี้ พอได้ยินว่าท่านป่วยก็คงไม่กล้าชักช้า คงจะรีบมาดูอาการป่วยของท่านแน่ๆ เลยเจ้าค่ะ”
“ถ้าเช่นนั้นก็ให้นางเข้ามาเถิด” อวี้อาเหรายิ้มออกมาอย่างเกียจคร้าน ในเมื่ออยากเห็นนางป่วย ก็ให้นางดูเสียให้พอเถิด คงจะเป็นอนุรองที่ส่งมาเพื่อดูว่านางป่วยจริงหรือแกล้งป่วย
อนุสามเดินนวยนาดเข้ามาด้านใน แล้วทำความเคารพอย่างรู้ธรรมเนียม “ข้าน้อยขอคารวะคุณหนูรองเจ้าค่ะ”
“ลุกขึ้นเถิดอนุสาม” อวี้อาเหรานั่งอยู่บนเตียงแล้วฝืนยิ้มออกมา “ไม่ทราบว่าอยู่ๆ อนุสามก็มาถึงที่นี่มีธุระอะไรหรือ ตอนนี้เวลาก็ล่วงเลยมาแล้ว ไม่อยู่ทานอาหารเย็นที่ห้องของตัวเองหรืออย่างไร”
“คุณหนูรองพูดอะไรอย่างนั้นเจ้าคะ ข้าน้อยได้ยินว่าท่านป่วย เช่นนั้นจึงรีบเดินมาโดยไม่ได้พักเลย ไหนเลยจะสนใจเรื่องทานข้าวได้ ท่านเป็นธิดาเอกของจวนเรา สุขภาพของท่านเป็นเรื่องสำคัญ ไม่สามารถมองข้ามได้แม้แต่น้อยเจ้าค่ะ”
“ขอบคุณอนุสามที่ใส่ใจ เป็นเพราะร่างกายของข้าอ่อนแอ เช่นนั้นจึงไม่อาจลุกขึ้นขอบคุณอนุสามด้วยตัวเองได้ ที่เรือนข้ามีขนมมากมาย เมี่ยวอวี้ก็ไปหยิบมาให้อนุสามลองชิมหน่อยเถิด” หลังจากที่อวี้อาเหราพูดจบ ก็หันไปบอกเมี่ยวอวี้
เมี่ยวอวี้ยกขนมออกมา “เชิญอนุสามเจ้าค่ะ”
อนุสามเมียงมองตาม จากนั้นก็ส่ายหน้า “ข้าน้อยไหนเลยจะควรค่ากับขนมดีๆ เช่นนี้ เดี๋ยวสักครู่ก็คงจะกลับไปทานข้าวแล้ว เช่นนั้นคงจะอิ่มจนเกินไป จริงสิเจ้าคะคุณหนูรอง ท่านป่วยถึงเพียงนี้ ให้หมอหลวงมาดูอาการหรือยังเจ้าคะ”
“มาแล้วล่ะ” อวี้อาเหราพยักหน้า ก่อนจะส่งสายตาสื่อความนัยไปทางเมี่ยวอวี้
“เมื่อคุณหนูล้มป่วย ข้าก็เข้าไปเชิญหมอหลวงในวังทันทีเจ้าค่ะ ไทเฮาทรงพระกรุณา จึงรีบส่งหมอหลวงมาดูอาการ จากนั้นจึงค่อยจ่ายยาเจ้าค่ะ” เมี่ยวอวี้อธิบายอย่างละเอียด
อนุสามแสดงท่าทีริษยาขณะที่พูดขึ้น “ไทเฮาทรงพระกรุณาส่งหมอหลวงมาดูอาการ คงจะทรงเอ็นดูคุณหนูรองจริงๆ นะเจ้าคะ เพียงแต่อาการป่วยของคุณหนูรองเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ ดูแล้วคงจะเป็นหนักยิ่งนัก หากหมอหลวงวินิจฉัยอาการไม่ตรง เช่นนั้นข้าน้อยจะเชิญหมอที่มีฝีมือจากภายนอกมาดู เพื่อช่วยรักษาคุณหนูเจ้าค่ะ”
ตอนที่ 362 สงสัยในตัวไทเฮา
“ไม่ต้องลำบากอนุสามหรอก หมอหลวงที่ไทเฮาทรงส่งมาด้วยพระองค์เองนั้นย่อมมีฝีมือมากอย่างไม่ต้องสงสัย” อวี้อาเหราตอบปฏิเสธนิ่งๆ อนุสามคิดอยากหาหมอมาดูอาการนาง เกรงว่าคงจะไม่ได้ต้องการที่จะวินิจฉัยโรคของนางจริงๆ หรอกกระมัง
ใครเล่าจะรู้ถึงจุดประสงค์ของนางได้ เรื่องในใจของนางยังไม่มีใครรู้
อวี้อาเหรายกมือขึ้นมากุมขมับเอาไว้ “ไม่ทราบว่าอนุสามยังมีธุระอะไรอีกหรือไม่ ข้าเองก็รู้สึกเหนื่อยอยู่บ้างแล้ว หากไม่มีอะไร ข้าก็ขอตัวพักผ่อน ไม่อาจรับรองอนุสามได้แล้ว เชิญกลับระวังด้วย”
นี่เท่ากับเป็นการไล่แขกอย่างเห็นได้ชัด อนุสามมองมาที่นางเงียบๆ ด้วยความสงสัย แต่ก็ยังไม่ยอมขยับตัว ทันใดนั้นก็ยิ้มออกมา “ในเมื่อสุขภาพของคุณหนูรองไม่อำนวย เช่นนั้นก็ให้ข้าน้อยเชิญหมอมาตรวจดูอาการให้เถิดนะเจ้าคะ”
เมี่ยวอวี้พลันโกรธขึ้นมาในทันที “อนุสาม อาการป่วยของคุณหนูนั้นมีหมอหลวงที่ไทเฮาทรงส่งมาดูอาการแล้ว ไม่ต้องรบกวนให้อนุสามเชิญหมออะไรมาอีก หรือที่อนุสามยังคงรบเร้าอยู่เช่นนี้ ก็เพราะสงสัยในความสามารถของหมอหลวงที่ไทเฮาส่งมาหรือเจ้าคะ”
เมี่ยวอวี้พูดเน้นย้ำขึ้นทีละคำ อนุสามหน้าซีดแล้วซีดอีก ก่อนจะมองไปทางอวี้อาเหรา
“ข้าไม่ได้มีเจตนาเช่นนั้น ไหนเลยจะกล้าสงสัยในตัวไทเฮาได้”
“เมี่ยวอวี้เจ้าถอยไปก่อนเถิด” อวี้อาเหราโบกมือ ก่อนจะยิ้มให้กับอนุสาม “บ่าวรับใช้ของข้าถูกข้าตามใจจนเหลิง ขอให้อนุสามโปรดอภัยด้วย เพียงแต่หมอหลวงที่องค์ไทเฮาทรงส่งมานั้น…”
สีหน้าของอนุสามกลับมาเป็นปกติ ยิ้มแล้วพูดขัดขึ้น “ข้าน้อยไม่ได้หมายความเช่นนั้น เพียงแต่คิดว่าแม้ฝีมือของหมอหลวงจะสูงส่งก็จริง เพียงแต่ขาดความรู้ในเชิงกว้าง อาจจะมีสูตรยาที่สามารถขจัดโรคของคุณหนูรองก็เป็นได้ เป็นเพราะข้าน้อยเป็นกังวลสุขภาพของคุณหนูจึงได้กล้าพูดขึ้นมาเช่นนี้ มิเช่นนั้นไหนเลยจะกล้าสงสัยในตัวหมอหลวงที่ไทเฮาทรงส่งมา คุณหนูรอง ท่านว่าจริงหรือไม่เจ้าคะ”
“…” อวี้อาเหราทำเพียงขมวดคิ้วไม่พูดอะไรออกมา ความหมายของอนุสามนั้นชัดเจนว่าเพราะคิดว่านางนั้นแสร้งป่วย จึงจะต้องให้คนมาตรวจดูจึงจะแน่ใจ คงจะเป็นคำชี้แนะของอนุรองเป็นแน่ แต่ในใจของนางเองเข้าใจดีว่าที่อนุรองให้อนุสามออกหน้าเช่นนี้ หากมีเรื่องอะไรจะได้ไม่ลากเข้ามาเกี่ยวข้องกันตัวเอง
นางลอบหัวเราะเสียงเย็นในใจ เมื่อกำลังนึกจะปฏิเสธ ที่ด้านนอกนั้นก็มีเสียงหนึ่งส่งเข้ามา
“คุณหนูรอง ท่านอ๋องมาเยี่ยมเจ้าค่ะ”
อวี้อาเหราที่กำลังกลั้นเสียงไปถึงกับกลั้นเอาไว้ไม่อยู่ แล้วมองไปด้านนอก
หลิงอ๋องก้าวยาวๆ เข้ามา เมื่อเห็นอนุสามก็อดไม่ได้ที่จะชะงักไป “เจ้ามาทำอะไรที่นี่”
“หม่อมฉันถวายบังคมท่านอ๋องเพคะ” อนุสามรีบทำความเคารพ “หม่อมฉันได้ยินมาว่าคุณหนูรองป่วยหนัก ไม่อาจลุกจากเตียงได้ เพราะอย่างนั้นจึงได้มาเยี่ยมโดยเฉพาะเพคะ”
“เจ้าช่างมีน้ำใจนัก” หลิงอ๋องไม่ได้กล่าวอะไรออกมา แล้วเดินไปหาอวี้อาเหราบนเตียง “เจ้าลุกขึ้นมาทำไมกัน ยังไม่รีบพักผ่อนอีก”
“ลูกไม่เป็นอะไร ในเมื่ออนุสามมาเยือนก็ต้องต้อนรับเพคะ” อวี้อาเหรายิ้มเล็กน้อย รอยยิ้มดูซีดเซียวไร้เรี่ยวแรง เมื่อหลิงอ๋องเห็นสีหน้าของนางแล้วก็ปวดใจ หันไปดุอนุสามอย่างไม่พอใจ “เจ้ามาเยี่ยมก็เยี่ยมแล้ว ยังจะนั่งอยู่ทำไมอีก ในเมื่อรู้ว่าอาเหราป่วยถึงเพียงนี้ทำไมไม่ให้นางพักผ่อนเสียเล่า”
เมื่ออนุสามถูกดุเข้าให้ ก็มีท่าทีลังเล “แต่หม่อมฉัน…”
“แต่อะไร?” หลิงอ๋องขมวดคิ้ว
ไม่ต้องรอให้อนุสามตอบ เมี่ยวอวี้ก็รีบพูดขึ้นอย่างไม่พอใจ “ท่านอ๋อง อนุสามเอาแต่พูดเรื่องจะเชิญหมอจากภายนอกมาดูอาการของคุณหนู แม้คุณหนูจะป่วยถึงเพียงนี้ เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้ามามาก มีหมอหลวงคอยดูอาการก็เพียงพอแล้ว จะให้หมอที่ไหนมาดูอาการอีกเล่า? แต่อนุสามก็ยังไม่ยอมไป เอาแต่ยืนยันคำเดิม…”
ตอนที่ 363 ยาถึงโรคหาย
“เมี่ยวอวี้ อย่าได้เสียมารยาทต่ออนุสาม นางเพียงคิดถึงอาการป่วยของข้าเท่านั้น” อวี้อาเหราร้องดุเสียงดัง
“ใช่เพคะ หม่อมฉันเพียงคิดถึงอาการป่วยของคุณหนูรองจึงคิดเห็นเช่นนี้” อนุสามพูดตามอวี้อาเหรา แล้วจึงถลึงตาจ้องมองเมี่ยวอวี้ อย่างไรเสียนางก็เป็นถึงอนุ แต่สาวใช้กลับไร้มารยาทต่อนางเช่นนี้ ไม่ได้เรียนรู้กฎเกณฑ์มาเลยหรืออย่างไร
ก่อนหน้านี้ยังเห็นอวี้อาเหราอาการดีๆ อยู่เลย ยังแกล้งนางเรื่องน้ำชา แล้วเหตุใดถึงมาป่วยหนักเสียได้เล่า นางกำลังหลอกใครกัน อย่าคิดว่าทำเป็นแสร้งป่วยแล้วจะตบตานางได้ นางไม่ยอมหลงกลแน่ จะต้องให้รู้ดำรู้แดง จะต้องให้เห็นชัดๆ เมื่อถึงตอนนั้นแล้วหากอวี้อาเหราทำเป็นแกล้งป่วยอีกก็คงต้องถูกเปิดเผย
หลังจากคิดแผนการจนเสร็จสรรพ ก็ลอบยิ้มอย่างยินดี
“เจ้าก็รู้จักหมอที่มีฝีมือด้วยหรือ” หลิงอ๋องมีท่าทีคาดคะเน มองไม่ออกว่าอยู่ในอารมณ์ยินดีหรือโกรธเคือง
อนุสามกำลังจะพยักหน้าลง อวี้อาเหราก็พูดขึ้นมาในทันทีว่า “อนุสามกล่าวว่ายาถึงโรคหาย แต่ลูกฟังแล้วไม่เชื่อเท่าไรนัก…”
“ยาถึงโรคหาย?” หลิงอ๋องชะงัก “เจ้าเข้าใจถึงเพียงนั้นเชียวหรือ ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง เราก็ย่อมยินดีที่จะเชิญหมอฝีมือดีทั่วเมืองมารักษา ขอแค่รักษาหายก็พอ อาเหราเจ้าว่าอย่างไร”
“เพคะ…” อวี้อาเหราแสร้งทำทีลำบากใจยามที่ตอบ
อนุสามเห็นหลิงอ๋องตอบตกลงเช่นนี้ และตีความท่าทีลำบากใจของอวี้อาเหราว่านางกลัวที่จะถูกจับได้ เช่นนั้นจึงหัวเราะ “ในเมื่อท่านอ๋องตรัสเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นหม่อมฉันก็จะส่งคนไปเชิญหมอมาเพคะ”
“ไปเถิด” หลิงอ๋องโบกมือ
อนุสามส่งคนออกไปตามอย่างยินดี แทบจะปิดท่าทียินดีเอาไว้ไม่ได้ จนแทบที่จะเผยให้เห็นบนใบหน้า อวี้อาเหราแอบลอบยิ้มเยาะอยู่ในใจ สายตาเต็มไปด้วยความไม่พอใจ นางเบื่อที่จะรบเร้าพัวพันกับอนุสามเต็มที เมื่อเห็นอนุสามหาเรื่องยุ่งยากมาให้นางอย่างกระตือรือร้น ก็นึกขึ้นมาได้ว่าเบื้องหลังของนางยังมีอนุรอง ก็อดไม่ได้ที่จะอึดอัด
หลังจากเชิญหมอมาแล้ว อวี้อาเหราก็ยื่นมือออกไปให้อีกฝ่ายตรวจชีพจร
หลังจากตรวจชีพจรด้วยท่าทียุ่งยากใจอยู่นาน ก็ลูบเครายาวไม่หยุดและไม่ยอมเอ่ยปาก
หลิงอ๋องที่รออยู่เกิดหมดความอดทน รีบเอ่ยถามว่า “ท่านหมอ เป็นอย่างไรบ้าง ลูกสาวของข้าสามารถรักษาหายได้หรือไม่”
“ท่านอ๋องอย่างเพิ่งกริ้วไปพ่ะย่ะค่ะ คุณหนูรองป่วยหนักถึงเพียงนี้ จะต้องใช้เวลานานในการรักษา คงไม่อาจรักษาให้หายได้ในฉับพลัน” หมอเฒ่าคุกเข่าลงอย่างงกๆ เงิ่นๆ
ในเมื่อได้ยินเขาพูดเช่นนั้น อนุสามก็ชะงัก เกิดอะไรขึ้น?
หลิงอ๋องแสดงท่าทีโกรธเคือง “เจ้าตรวจอย่างไรกัน”
ในยามนี้ อวี้อาเหราก็นวดขมับด้วยท่าทีเป็นทุกข์ น้ำเสียงแหบแห้งขึ้นมา “เสด็จพ่อ ลูกรู้สึกเหนื่อยเหลือเกินเพคะ รู้สึกหัวหนักขึ้นเรื่อยๆ เหตุใดหมอที่อนุสามเชิญมาไม่เห็นจะช่วยอะไรเลย เหตุใดถึงไม่เห็นดีขึ้นเลยเพคะ”
“ใช่แล้วเพคะท่านอ๋อง คุณหนูถูกทรมานถึงเพียงนี้ ป่วยหนักถึงเพียงนี้ จะทำอย่างไรกันดีเพคะ” เมี่ยวอวี้ได้รับสายตาเป็นนัยย์ของอวี้อาเหรา จึงช่วยพูดขึ้นมาอีกแรง
อนุสามมีท่าทีไม่ค่อยดีนัก จึงคุกเข่าลงเสียงดัง “ท่านอ๋องโปรดอย่าได้ทรงกริ้วเพคะ หม่อมฉันได้ยินมาว่าหมอผู้นี้มีวิชาสูงส่ง ทั้งยังเห็นว่าคุณหนูรองป่วยหนักถึงเพียงนี้ ลองให้มาดูอาการเสียหน่อยก็ไม่เสียหาย เป็นการรักษาม้าตายดุจม้าเป็น[1]อย่างไรเพคะ”
“ม้าตาย? อนุสาม เจ้าเห็นข้าเป็นปศุสัตว์อย่างนั้นหรือ” อวี้อาเหราได้ยินดังนั้นก็โกรธเคืองขึ้นมา
“อาเหรา เจ้าอย่าได้โกรธจนส่งผลเสียต่อร่างกายเลย พ่อจะไม่ยอมให้เจ้าถูกทรมานเช่นนี้แน่” หลิงอ๋องปลอบโยนอวี้อาเหรา แล้วหันไปต่อว่าอนุสาม
——
[1] รักษาม้าตายดุจม้าเป็น (死马当活马医) หมายถึงการทำสิ่งที่รู้ว่าไม่มีทางสำเร็จก็ยังพยายามทำดู
ตอนที่ 364 ขออภัย
“เจ้าคิดอะไรกันอยู่ ไปเอาหมออะไรมาจากไหนกัน ทหาร! โยนหมอผู้นี้ออกไป แล้วนำตัวอนุสามออกไปด้วย ช่างทำให้เรารำคาญใจนัก”
“ท่านอ๋องโปรดอย่าได้ทรงกริ้ว หม่อม…หม่อมฉันเพียงคิดถึงสุขภาพของคุณหนูรองเท่านั้น ไหนเลยจะคิดว่าหมอที่เชิญมาจะไม่มีประโยชน์ถึงเพียงนี้ หม่อมฉันผิดไปแล้วเพคะ ขอให้ท่านอ๋องทรงให้โอกาสหม่อมฉันไถ่โทษต่อคุณหนูรองเถิดเพคะ” ลูกตาของอนุสามกลอกกลิ้ง ทันใดนั้นก็รีบโขกศีรษะ นางไม่คิดว่าอวี้อาเหราจะป่วยขึ้นมาจริงๆ นี่นา
หากรู้เช่นนี้นางก็ไม่น่าพูดเรื่องยาถึงโรคหายอะไรนั่นเลย ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็คงจะเท่ากับตบหน้าตัวเองกระมัง?
ทว่าเมื่อครู่นี้ที่อวี้อาเหราและเมี่ยวอวี้สองนายบ่าวคุยกับท่านอ๋อง พวกนางตั้งใจสินะ! อนุสามกำหมัดแน่น ไม่คิดว่าอวี้อาเหราจะมาไม้นี้ นางโกรธเสียนัก
“ไถ่โทษหรือ” หลิงอ๋องเลิกคิ้วเข้มหนาทั้งสองข้างขึ้น
“เพคะ หม่อมฉันต้องการที่จะไถ่โทษต่อคุณหนูรอง เป็นเพราะหม่อมฉันจึงทำให้อาการของคุณหนูรองทรุดหนักถึงเพียงนี้” อนุสามพยักหน้าอย่างหนักแน่น
นางนั้นเดิมทีก็ไม่มีสถานะอะไรในจวนแห่งนี้อยู่แล้ว วันทั้งวันหากไม่โดนอนุรองกดดันก็โดนอวี้อาเหรากลั่นแกล้ง สิ่งที่นางคิดไม่ถึงเลยก็คืออนุสี่กลับกุมอำนาจการจัดการไว้ในมือมากมาย คนในจวนล้วนมองว่าอนุสี่สำคัญ แล้วนางเล่าอยู่ในตำแหน่งใดกัน? หากตอนนี้ถูกท่านอ๋องเกลียดเข้าไปอีก นางจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร
ดังนั้น เพื่อที่จะให้ตัวเองมีชีวิตรอดอยู่ต่อไป จึงจำต้องขอโทษอวี้อาเหรา เพื่อให้ท่านอ๋องไม่โกรธนาง
หลิงอ๋องเป็นคนใจกว้าง เมื่อเห็นอนุสามพูดขึ้นด้วยความสัตย์ซื่อก็ใจอ่อน มองไปทางอวี้อาเหรา “เจ้าอยากให้นางไถ่โทษเช่นไร”
“อนุสามเป็นสาวใช้ของเสด็จแม่ และยังเป็นอนุของเสด็จพ่อ ลูกคงจะไม่ใจร้ายกับนางนักเพคะ อีกอย่างนางก็ไม่ได้ทำเรื่องอะไรผิดมากมาย ลูกก็จะให้อภัยนาง ลูกเชื่อว่านางคงไม่ได้ตั้งใจเพคะ” อวี้อาเหราพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความกรุณาของกุลสตรีที่ดี
จนทำให้หลิงอ๋องมองไปที่อีกฝ่ายด้วยสายตาแหลมคม “ดี เห็นเจ้ารู้ประสาเช่นนี้ก็ดี สมเป็นธิดาของเสด็จแม่ของเจ้ายิ่งนัก”
อวี้อาเหรายิ้ม ไม่ตอบคำ
อนุสามก้าวไปข้างหน้า แล้วทำความเคารพนางอย่างถูกต้องตามกฎ “คุณหนูรอง เมื่อครู่นี้เป็นเพราะข้าน้อยทำเกินเรื่องไป ที่คุณหนูรองให้อภัย ข้าน้อยรู้สึกขอบพระคุณอย่างยิ่งเจ้าค่ะ”
“อนุสามรีบลุกขึ้นเถิด เจ้าเป็นผู้อาวุโส ไหนเลยจะต้องมาทำความเคารพข้าเช่นนี้เล่า หากเสด็จแม่ที่อยู่ในปรภพทรงทราบเข้า คงจะไม่ทรงยินดีเป็นแน่ อย่างไรเสียท่านก็เป็นสาวใช้ข้างกายของเสด็จแม่มาก่อน คิดว่าเสด็จแม่คงจะมาเยี่ยมเจ้าทุกคืน ใช่หรือไม่”
อวี้อาเหราเอ่ยถึงพระชายาหลิงอ๋องขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
ให้คนที่ตายไปแล้วมาเยี่ยมคนเป็น? ก็คงจะมาด้วยร่างของผีวิญญาณสินะ!
อนุสามตกใจจนตัวสั่น น้ำเสียงที่พูดก็สั่นเทาขึ้นมา “คะ…คุณหนูรองกล่าวถูกแล้ว ตอนมีชีวิตอยู่ พระชายาเป็นผู้มีเมตตาและคิดถึงจิตใจของผู้อื่นเสมอ แน่นอนว่าคงไม่ต้องการเห็นพวกเราก่อเรื่องให้ไม่สบายพระทัย…”
“อนุสามคิดเช่นนี้ได้ก็ดี แม้ว่าข้าจะไม่ใจกว้างเท่าเสด็จแม่ แต่หากไม่ได้ทำให้ข้าเดือดร้อนจนถึงที่สุดแล้ว ข้าก็มักจะให้โอกาสกลับเนื้อกลับตัวเสมอ” อวี้อาเหราพูดด้วยทีท่าสบายๆ แต่อนุสามกลับฟังนิ่งๆ ไม่ตอบคำ
นางทำเช่นนี้ก็เพื่อจะกล่าวเตือนนาง ที่นางมีสถานะอย่างเช่นทุกวันนี้ ก็เป็นเพราะพึ่งบารมีพระชายาหลิงอ๋อง มิเช่นนั้นก็คงเป็นเพียงสาวใช้ธรรมดาๆ หากต้องการที่จะก่อความวุ่นวายร่วมกับอนุรองอีก อย่าหาว่าไม่เกรงใจ!
อวี้อาเหราพูดขึ้นโดยแฝงความนัยที่ตัวเองต้องการจะสื่อ
ตอนที่ 365 โง่เง่าเกินทน
“ข้าน้อยเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ ขอบพระคุณคุณหนูรองที่สั่งสอน” อนุสามกัดฟันกรอด ไม่กล้าที่จะทำอะไรมากไปกว่านี้ พยายามอดกลั้นความไม่พอใจอยู่ภายใน แล้วก้มลงโค้งคำนับ
“ในเมื่อเข้าใจแล้ว ก็ไปเถิด” อวี้อาเหราออกปากกับอีกฝ่ายอย่างเกียจคร้าน
“หม่อมฉันทูลลา” อนุสามได้ยินเช่นนั้น ก็กันไปมองหลิงอ๋อง แล้วเดินออกมา
อวี้อาเหราพูดกับหลิงอ๋องว่า “เสด็จพ่อ หมอผู้นั้นก็ให้ลูกเป็นคนจัดการดีกว่าเพคะ”
“ก็ได้ ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็จัดการเอาเถิด พักผ่อนให้ดีๆ พ่อไปก่อนล่ะ” หลิงอ๋องกระชับผ้าห่มให้นาง แล้วลุกขึ้นจากเตียง เมื่อพูดจบก็เดินไปทางประตู
เมื่อหลิงอ๋องจากไปแล้ว เมี่ยวอวี้ก็หันไปมองหมอพื้นบ้านที่ร่างสั่นเทาอยู่กับพื้น จากนั้นก็เอ่ยถามอวี้อาเหราอย่างไม่แน่ใจนัก “คุณหนู จะจัดการเขาอย่างไรดีเจ้าคะ”
“ในเมื่อเป็นหมอปลอม หากปล่อยเอาไว้จะเป็นภัยต่อผู้อื่น มิสู้ฆ่าทิ้งเสียเถิด” อวี้อาเหราพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชาและเฉียบขาด จากนั้นก็หันมาสั่งอีกว่า “ตัดหัวมันส่งไปที่เรือนพักของอนุรอง ให้นางเห็นว่าข้าทำอะไรได้บ้าง!”
“เจ้าค่ะ!” เมี่ยวอวี้รับคำ ก่อนจะสั่งให้คนนำตัวหมอออกไปรับโทษด้วยสายตาสงสัย “คุณหนู ท่านรู้ได้อย่างไรว่าอนุรองจะต้องอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้เจ้าคะ”
“ไม่ต้องเดาก็รู้ อนุสามโง่ถึงเพียงนั้นไหนเลยจะคิดแผนการทำร้ายผู้อื่นอย่างแยบยลเช่นนี้ได้ ต้องเป็นผู้ที่มีความคิดรอบคอบและรู้เรื่องของเมืองนี้ดีอย่างอนุรองเท่านั้น นางก็ช่างชาญฉลาด คิดจะยืมมืออนุสามเพื่อดูว่าข้าป่วยจริงหรือไม่ นางหากเปิดโปงได้ คนที่ตายก็คงเป็นข้าเอง แต่หากข้าป่วยขึ้นมาจริงๆ นางก็ไม่มีอะไรที่ต้องเสีย เป็นอนุสามที่ต้องรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว น่าเสียดายที่อนุสามผู้นี้…” อวี้อาเหราพูดไปพลางก็อดไม่ได้ที่ส่ายศีรษะอย่างขบขัน
“น่าเสียดายที่อนุสามโง่งมจนเกินไป จนทำให้อนุรองไม่ได้ประโยชน์อะไรจากเรื่องนี้เลย” เมี่ยวอวี้เข้าใจขึ้นมาทันที จึงเอ่ยขึ้นมาต่อประโยคของนางจนจบ
อวี้อาเหราหัวเราะเสียงเบา
เพราะฉะนั้นเรื่องทั้งหมดนี้ไม่ใช่เพราะอนุรองเก่งกาจ แต่เป็นเพราะอนุสามโง่งมเกินไป กล้าที่จะใช้คนโง่เง่าถึงเพียงนี้ทำเรื่องเช่นนี้ ก็ช่างไม่รู้ถึงความเสี่ยงเอาเสียเลย คนเช่นนี้หากไม่ถูกครอบงำ ไม่ช้าก็เร็วก็คงจะตายเพราะความโง่เง่าของตัวเอง!
หลังจากที่มีผู้นำศีรษะหมอผู้นี้ไปให้อนุรองดูตามคำสั่งของอวี้อาเหราแล้ว ก็ทำให้นางตกใจเสียจนเกือบตาย และสิ้นสติไปในทันที
หลังจากได้รับรายงานแล้ว อวี้อาเหราก็ยิ้มอย่างพอใจ ในนาทีนั้นนางไม่ออมมือกับอนุรองเพียงเพราะนางตั้งท้องทายาทของจวนหลิงอ๋อง เพราะไม่อยากให้นางยิ่งเหิมเกริมไปมากกว่านี้ แล้วกลับมาทำให้นางลำบากในภายหลัง หวังว่าหลังจากเรื่องของหมอจอมปลอมไปแล้ว จะทำให้อนุรองรู้จักหวาดกลัวเสียบ้าง
หลังจากจัดการปัญหาที่อยู่ตรงหน้าเรียบร้อยแล้ว ฉู่เกอก็เข้ามาหานาง
อวี้อาเหรากำลังสะลึมสะลือ อาการป่วยไข้นั้นไม่ค่อยเจ็บปวดเท่าใดนัก เพียงแต่ความโกรธแค้นในใจนั้นยากที่จะบรรเทา เมื่อได้ยินเสียงรายงานของเมี่ยวอวี้ นางก็ลืมตาขึ้นอย่างเกียจคร้าน แล้วโบกมืออย่างรำคาญ “ไม่ว่าใครจะมา ข้าก็ไม่ให้เข้าพบทั้งนั้น!”
“คุณหนู” เมี่ยวอวี้แสดงท่าทีลำบากใจ “คนอื่นจะไม่เข้าพบก็ได้ แต่นี่คือท่านหญิงน้อยแห่งจวนเซิ่นอ๋องนะเจ้าคะ ฐานะของนางสูงศักดิ์ไม่มีใครเทียบเทียม ไม่มีใครกล้าที่จะขัดขวางนาง แม้ว่าบ่าวจะกล่าวว่าคุณหนูป่วยหนักเกรงว่าจะแพร่เชื้อโรคได้จึงไม่อาจพบใคร แต่ท่านหญิงก็ยังต้องการที่จะเข้าพบ หากไม่ได้พบแล้ว นางก็จะบุกเข้ามาเองเจ้าค่ะ…”
“นางบอกว่าจะบุกเข้ามาจริงๆ หรือ? เจ้าพูดเองหรือนางพูดเช่นนี้จริงๆ” อวี้อาเหราผุดลุกขึ้นจากเตียง คิ้วขมวดและใบหน้าเย็นชา ทันใดนั้นก็โกรธขึ้นมาในทันที
ตอนที่ 366 โต๊ะอาหารยาวสิบลี้
ฉู่เกอผู้นี้เห็นจวนหลิงอ๋องเป็นอะไรกัน นึกอยากจะบุกก็บุกเข้ามา สมแล้วที่เป็นขนิษฐาร่วมพระมารดาเดียวกับฉู่ป๋าย ไม่ว่าจะทำเรื่องอันใดก็จะต้องทำให้ได้เช่นนี้
เมี่ยวอวี้รีบหลุบตาลง “เป็นนางพูดเจ้าค่ะ…”
ยังไม่ทันที่จะกล่าวจบ ทันใดนั้นก็มีสตรีในชุดสีเขียวบุกเข้ามาจากทางด้านนอก เดินไปพลางยิ้มไปพลาง “พี่เหราเอ๋อร์ เรายังไม่ทันที่จะเข้ามาในห้องของท่าน ท่านก็ส่งคนไปไล่เราเสียแล้ว นี่ก็ช่างน่าปวดใจยิ่งนัก หากเป็นฉู่ฉู่ ท่านจะกล้าทำเช่นนี้หรือไม่”
พี่เหราเอ๋อร์? อวี้อาเหราย่นคิ้ว พวกนางไปสนิทกันถึงเพียงนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่?
“ฉู่เกอคารวะคุณหนูรอง” สตรีชุดสีเขียวก้าวมาข้างหน้าของนาง แล้วก้มตัวลงพร้อมทั้งอมยิ้ม อวี้อาเหราเงยหน้าขึ้นมองนาง “หากเป็นเขา ข้าก็คงจะเรียกคนมาไล่ออกไปเสียนานแล้ว”
“เช่นนั้นหรือ? ทว่าเหตุใดเราก็ได้ยินฉู่ฉู่กล่าวว่า ก่อนหน้านี้หากท่านเห็นเขาแล้วก็แทบจะต้อนรับด้วยโต๊ะอาหารยาวสิบลี้เลยเล่า จนภายหลังรู้สึกว่าสิ้นเปลืองเสียเหลือเกินจึงได้ยกเว้นไป เหตุใดจึงได้ยินมาไม่เหมือนกัน?” ฉู่เกอแสร้งทำหน้าไม่รู้เรื่องรู้ราวขณะที่ก้าวมาข้างหน้า น้ำเสียงเรียบเรื่อยเสนาะหูราวกับใบหลิวไหวต้องลม
“เจ้าบ้านั่นพูดเช่นนั้นหรือ” อวี้อาเหราเลิกคิ้วขึ้นอีก
ฉู่ป๋ายผู้นั้นกล้าที่จะพูดเช่นนั้นจริงๆ หรือ? กล้าที่จะพูดว่านางนั้นลี้ยงต้อนรับเขาด้วยโต๊ะอาหารยาวสิบลี้ เหตุใดไม่บอกไปเสียเลยเล่าว่านางนั้นได้ปูพรมแดงยาวสิบลี้เพื่อขอเขาแต่งงานไปด้วย? ช่างพูดเกินจริงเสียยิ่งนัก
“เจ้าบ้าหรือ? ฉู่ฉู่ของข้าไม่ใช่เจ้าบ้าเสียหน่อย” ฉู่เกอแสดงท่าทีไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด
“ข้าไมได้พูดถึงฉู่ฉู่ของเจ้า ข้าพูดถึงเจ้าคนที่พูดจาไม่รู้ความอีกคนหนึ่งต่างหาก เจ้าคนบ้า!” แม้อวี้อาเหราจะไม่เปิดเผย แต่ทุกคนก็รู้ดีว่าเป็นใคร ในใจนั้นกระจ่างใสราวกับกระจก แม้ว่านางจะไม่ได้กล่าวโดยละเอียดแต่อีกฝ่ายก็รู้ดีว่ากำลังพูดถึงใคร ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้วก็ไม่จำเป็นต้องรักษาน้ำใจกันอีก!
สีหน้าไม่พอใจของฉู่เกอสลายไป แล้วยิ้มออกมาอย่างประจบประแจง “พี่เหราเอ๋อร์ อย่างไรท่านก็ถือว่าเป็นพี่สาวของข้าเสียครึ่งหนึ่ง เมื่อก่อนเสด็จแม่ของพวกเราก็รู้จักมักคุ้นกัน ข้าว่าท่านอย่าได้อารมณ์เสียเช่นนี้เลยดีหรือไม่”
“ไม่มีทาง” ความง่วงของอวี้อาเหราถูกขจัดออกไป นางก้มหน้าลงเล็กน้อย มองไม่ออกว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร
“ข้าได้ยินมาว่าพี่เหราเอ๋อร์ป่วยหนัก เช่นนั้นจึงตั้งใจมาเยี่ยมโดยเฉพาะ และถือโอกาสมายืมของสิ่งหนึ่งจากพี่เหราเอ๋อร์ด้วย ไม่ทราบว่าท่านพอจะให้ยืมได้หรือไม่” ฉู่เกอทำราวกับไม่ตั้งใจที่จะถาม แต่กลับพูดขึ้นซึ่งๆ หน้า
“เจ้าจะยืมอะไรล่ะ” อวี้อาเหราพยักหน้าตอบรับอย่างคาดไม่ถึง “ขอแค่เป็นของที่ข้าให้ยืมได้ ให้เจ้ายืมไปก็คงไม่เสียหายอะไร”
“พี่พูดเองนะ” ฉู่เกอยิ้มอย่างยินดี สายตาค่อยๆ มองไปยังข้อมือของนาง ชี้ไปที่หยกเลือดแล้วเอ่ยขึ้น “ของในมือของท่านอย่างไรเล่า”
“เจ้าต้องการสิ่งนี้หรือ” อวี้อาเหราชะงัก พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเหนือความคาดหมาย “เจ้าจะเอาไปทำไมกัน”
“ข้าขอกล่าวกับพี่สาวตรงๆ เลยนะ ข้าได้ยินหานสือพูดมาว่า ท่านคงจะรู้เรื่องอาการป่วยเป็นโรคกระหายโลหิตของฉู่ฉู่แล้ว และยังได้ยินมาว่าหยกเลือดสามารถช่วยเหลือเขาได้ ดังนั้นจึงต้องการมายืม ไม่รู้ว่าพี่สาวจะยอมให้หรือไม่” ฉู่เกอไม่ได้ปิดบังอะไร เพียงไม่นานก็พูดความในใจของออกมาจนหมด
อวี้อาเหราส่ายหน้า “ไม่ได้หรอก”
“เหตุใดถึงไม่ได้” ฉู่เกอตกใจ ไม่คิดว่านางจะปฏิเสธขึ้นมาอย่างไม่ลังเลเช่นนี้
“ไม่ใช่ว่าข้าไม่ยอมให้เจ้ายืม แต่ข้าไม่อาจมอบให้เจ้าได้” อวี้อาเหาก้มหน้าลงมองหยกเลือด ยื่นมือออกไปลูบผิวสัมผัสเรียบลื่น แล้วพูดต่อไป “กำไลหยกเลือดนี้เป็นพี่ชายของเจ้าที่มอบให้ข้าตั้งแต่แรก หลังจากสวมแล้วก็ไม่อาจดึงออกได้ หากเจ้ามีวิธีที่จะดึงออก ข้าก็จะยินดีเป็นอย่างยิ่ง”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น