บุปผาเคียงบัลลังก์ 358-365

 ตอนที่ 358 คำอธิบายของเซียงฉือ


 


 


เพล้ง!


 


 


ของที่อยู่ข้างหลังตกพื้น เซียงฉือรีบหมุนตัวกลับทันใด หลังพ้นออกจากกงเล็บปีศาจของหรงจิงแล้ว ทำเสมือนหนึ่งจะไปเก็บรายงานที่ตกลงพื้นนั้นขึ้นมา


 


 


“หม่อมฉันสมควรตายเพคะ เพราะหม่อมฉันไม่ระมัดระวัง หม่อมฉันจะรีบเก็บขึ้นมาเพคะ”


 


 


เซียงฉือหันกายไปเก็บอย่างลนลาน หลบหลีกออกจากการคุกคามของหรงจิงอย่างแนบเนียน


 


 


นางมองเห็นด้านข้างหูเขา ได้ยินคำพูดของเขา แล้วก็เกือบถูกคำพูดของหรงจิงดึงลงสู่บ่อโคลน เซียงฉือไม่กล้ามอง ไม่กล้าคิดอีก พยายามให้ตนเองตื่นตัวอย่างเต็มที่


 


 


คำพูดของหรงจิงอีกทั้งการกระทำของเขาเป็นกับดักอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะก่อนหน้าหรือครั้งหลังล้วนเป็นเช่นนั้น หรงจิงคิดจะทำสิ่งใด ทำร้ายนางให้ตายไป หรือจะเป็นหรงเฉิงเยี่ย เซียงฉือส่ายศีรษะอยู่ในใจ เขาไม่ใช่ผู้ชายเช่นนั้น


 


 


ตั้งแต่เซียงฉือมีเวลาใกล้ชิดกับเขามากขึ้นจึงได้พบว่าบ่อยครั้งที่ผู้ชายคนนี้เหมือนเด็กเล็กๆ เย่อหยิ่งแข็งกร้าวเจือความหึงหวง เมื่อคิดถึงตรงนี้นางก็เข้าใจ


 


 


หรงจิงกำลังหึงหวง ถึงนางจะยังไม่เข้าใจชัดแจ้งนัก แต่ในขณะนั้นนางรู้แล้วว่าควรจะตอบเช่นไร


 


 


นางยื่นมือออกไปช้าๆ มีเจตนาเหมือนค้นหา คิดจะสวมกอดหรงจิงเหมือนอย่างที่เขาทำ แต่ท่าทางของนางเงอะงะไม่เป็นดังนั้น อีกทั้งนางยังเขินอายอย่างยิ่ง ไม่กล้าแม้แต่จะลืมตา ได้แต่สะเปะสะปะ ทำให้ใจหรงจิงราวถูกคลื่นโหมกระเจิง


 


 


ใช่แล้ว หรงจิงหึงหวงจริงๆ เขาเองก็ไม่รู้ว่าทำไม เพียงแต่ต้องการให้เซียงฉือบอกเขาว่า คนที่นางใส่ใจที่สุด อยากใกล้ชิดและพึ่งพาอาศัยที่สุดคือเขาเท่านั้น


 


 


ความรู้สึกเช่นนั้นเป็นความรู้สึกที่เขาไม่เคยเอาชนะได้มาก่อน ในใจหรงจิงนั้น หรงเฉิงเยี่ยเป็นชายหนุ่มที่ดีเลิศ สายตาเจ้าเล่ห์ ทั้งยังรู้จักกับเซียงฉือมาก่อน สิ่งที่เคยเริ่มต้นกันมา แต่ตอนนี้สถานะอวิ๋นเซียงฉือได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว จะไม่เปลี่ยนวิธีการคบหาปฏิบัติต่อนางได้อย่างไร


 


 


หรงจิงพลันชะงักมือแตะเบาๆ บนแขนของเซียงฉือ จับยึดไว้แผ่วเบาไม่กล้าออกแรง การร้องเรียกของเซียงฉือเช่นนั้น ทำให้ความคิดเขาแจ่มชัดขึ้นหลายส่วน


 


 


ท่าทางจะพูดแล้วชะงักงัน เรียกขานขึ้นแล้วก้มศีรษะลงทันทีของเซียงฉือยิ่งดูงดงาม


 


 


“ฝ่าบาท ท่านปู่ของหม่อมฉันเพิ่งจะถึงแก่กรรม หม่อมฉันยังต้องไว้ทุกข์เพื่อท่านอยู่ ท่านปู่เป็นผู้เลี้ยงดูหม่อมฉันมาตั้งแต่เล็ก แม้นหากฝ่าบาททรงเมตตาสงสารหม่อมฉัน ก็ขอทรงโปรดเห็นแก่ความกตัญญูของหม่อมฉันเถิดเพคะ”


 


 


นิ้วมือเซียงฉือกลับเป็นฝ่ายกุมอยู่บนแขนหรงจิงอย่างไม่แรงนัก ทั้งยังสั่นน้อยๆ อย่างรู้สึกอัดอั้นตันใจ อึดอัดยากจะทน


 


 


หรงจิงก็ถูกคำพูดของนางทำให้เกิดสติขึ้นทันใด เขาปล่อยแขนนางแล้วกระแอมขึ้นครั้งหนึ่ง เซียงฉือหัวไวอย่างยิ่ง นางรีบไถลตัวออกจากอ้อมกอดหรงจิง


 


 


เมื่อไปยืนอยู่ข้างกายหรงจิงแล้วจึงอธิบายต่อว่า


 


 


“ฝ่าบาทโปรดอย่าทรงเข้าพระทัยหม่อมฉันผิดนะเพคะ ด้วยสถานะของหม่อมฉันย่อมตระหนักดีอยู่แล้วว่าชีวิตอันต่ำต้อยนี้ฝ่าบาททรงเป็นผู้ประทานให้ และสิ่งที่มีอยู่ในตอนนี้ก็ล้วนแต่ฝ่าบาทพระราชทานให้เช่นกัน หม่อมฉันสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างที่สุด แต่ว่าหม่อมฉันเพิ่งทราบข่าวการถึงแก่กรรมของท่านปู่ครั้งแรกเมื่อคืนนี้ จึงเศร้าโศกเสียใจเป็นอย่างยิ่ง ถึงแม้จะฝืนลุกขึ้นมาได้เมื่อเช้านี้ แต่ก็ยังมึนงงซวนเซ เหลียนชินอ๋องทรงมีเมตตา จึงทรงจะเข้าช่วยประคองเพื่อไม่ให้หม่อมฉันต้องได้รับบาดเจ็บเพคะ”


 


 


“และหม่อมฉันกับเหลียนชินอ๋องไม่มีความสัมพันธ์กันอื่นใด ท่านอ๋องเองก็เป็นคนที่ฝ่าบาททรงไว้วางพระราชหฤทัยที่สุด ถึงฝ่าบาทจะทรงแคลงในตัวหม่อมฉันแต่ก็ไม่ควรจะไม่ทรงเชื่อใจท่านอ๋องนะเพคะ”


 


 


คำพูดในตอนแรกของเซียงฉือทำให้ความระแวงของหรงจิงลดลงแล้วอย่างมาก และคำอธิบายครั้งหลังนี้ ยิ่งทำให้หรงจิงเกิดความเชื่อถือ  เขาเป็นชายหนุ่มผู้พ่ายแพ้ต่อวาจาไพเราะเสมอมา


 


 


 


 


ตอนที่ 359 ของของเขา


 


 


ขอเพียงเซียงฉือยินยอมลดตัวทุกอย่างก็จะง่ายดายขึ้นมาก เสียงของนางนุ่มนวลขึ้นน้ำเสียงกลับคืนสภาพเดิม มีแต่เพียงใจดวงนั้นของนางที่ยังคงเทิดสูงอย่างทรนงอยู่เสมอ


 


 


“แค่ก แค่ก แค่ก”


 


 


หรงจิงฟังคำพูดเซียงฉือแล้วกระแอมเบาๆ ขึ้นหลายครั้งไม่มองนางอีก เขาหมุนกายบิดตัวออกไปอย่างไม่สบายตัวนัก เซียงฉือยังคงนั่งทื่ออยู่บนโต๊ะไม่ขยับ เพียงผินหน้าไปมองหรงจิงที่ห่างไปไม่ไกล


 


 


เขายังคงสวมเพียงชุดตัวในอยู่ การเสียดสีด้วยความรุนแรงกับเซียงฉือเมื่อครู่เผยมัดกล้ามเนื้อหน้าอกที่แข็งแกร่งปรากฏออกมา ทว่าเซียงฉือไม่อาจมองเห็น นางได้แต่เพียงมองดูแผ่นหลังและเส้นผมของเขาอย่างคิดใคร่ครวญอยู่นาน


 


 


หรงจิงไม่รู้ตัวเลยว่าตนเองจะเกิดปฏิกิริยาได้ง่ายดายเช่นนั้น เขาเพิ่งผ่านกิจกรรมมาเมื่อครู่และสวมเพียงชุดนอนชุดเดียวก็เข้ามาในนี้ นอกจากเพราะความร้อนอบอ้าวแล้ว เขายังมีความตั้งใจจะมาหยอกเอินเซียงฉือด้วย


 


 


แต่กลับกลายเป็นการหยอกเข้าตัวเองไปเช่นนี้ จึงเกิดความกระอักกระอ่วนขึ้นมา


 


 


แต่ตอนนี้ยิ่งหรงจิงต้องการกดข่มตัวเองเท่าไร ความคิดนั้นกลับยิ่งเร่งเร้าความเร่าร้อนให้พลุ่งพล่านขึ้น


 


 


เซียงฉือไม่รู้ว่าด้านหน้าเป็นเช่นไร นางแตะแขนหรงจิงเบาๆ นิ้วมือน้อยๆ นุ่มนวลสัมผัสผ่านเสื้อแทรกเข้าถึงร่างเขา ทำให้ร่างเขาสั่นเทิ้มขึ้นน้อยๆ อย่างไม่อาจหักห้าม


 


 


‘ช่างเป็นปีศาจน้อยที่ทรมานคนเก่งเสียจริง’ หรงจิงลอบสำนึกเสียใจ เกรงว่าชื่อเสียงอันดีงามตลอดชีวิตของตนนั้น คงจะต้องถูกทำลายลงไปเพราะเจ้าเด็กนี่เสียแล้ว


 


 


จะให้นางเห็นความผิดปกตินี้ไม่ได้ จะหันกลับไปไม่ได้ หรงจิงลอบคิดคำนึง พุ่งสายตาไปยังกองรายงานด้านข้างแล้วจงใจสั่งการออกไปด้วยเสียงเย็นชา


 


 


“คืนนี้จัดการตรวจรายงานพวกนี้แทนข้า แล้วให้มารายงานกับข้าก่อนยามเหม่า[1]”


 


 


“ตรวจอ่านให้ละเอียดอย่าให้ผิดพลาด”


 


 


พูดจบหรงจิงก็เคลื่อนตัวจากไปด้วยท่าทางแข็งทื่อประหลาด หลังจากหายตะลึงและรอจนกระทั่งหรงจิงปิดประตูแล้ว เซียงฉือจึงได้ผุดรอยยิ้มขึ้นที่มุมปาก


 


 


นางทายได้ถูกต้องจริงๆ หรงจิงมีนิสัยเหมือนเด็ก เมื่อครู่เพียงเพราะเกิดความหึงหวงต่อหรงเฉิงเยี่ยเท่านั้น ไม่ได้คิดที่จะทำอะไรเซียงฉือจริงจัง


 


 


เรื่องนี้ไม่มีอะไรซับซ้อน หากเป็นวันเวลาปกติ หรงจิงที่เย็นชาจะไม่แทะโลมเซียงฉือเช่นนี้ แต่วันนี้มีเรื่องอยู่สองเรื่องที่อาจเป็นสาเหตุให้เขากระทำเช่นนี้


 


 


เรื่องแรกเป็นเรื่องของหรงเฉิงเยี่ย ส่วนเรื่องที่สองเกี่ยวกับซูเฟย แต่นางก็เห็นหรงจิงมีสีหน้าปลอดโปร่งดีตอนที่เพิ่งเดินเข้ามา ไม่น่าจะใช่เป็นเพราะซูเฟยปรนนิบัติบกพร่อง


 


 


ดังนั้นจึงเหลือเพียงเรื่องของหรงเฉิงเยี่ยแล้ว นางยังจำที่หรงเฉิงเยี่ยเคยพูดไว้ได้ว่า พี่ชายของเขาคนนี้มีอำนาจมากมายมหาศาลแต่จิตใจคับแคบ ตั้งแต่เล็กจนโตหากมีสิ่งใดที่เขาสนใจแล้วละก็ สิ่งของของเขานั้นผู้อื่นจะแตะต้องไม่ได้ มองดูก็ไม่ได้ อย่าว่าแต่จะให้เขาแบ่งปันกับใครเลย


 


 


ทว่านิสัยนี้กลับเป็นสิ่งที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนให้ความสำคัญต่อหรงจิง ของของเขาไม่ว่าจะดีเลวอย่างไร นอกจากเขาแล้วไม่ว่าใครก็ไม่ได้รับอนุญาตให้แตะต้อง


 


 


เพราะหรงจิงมีนิสัยเผด็จการเช่นนี้ หากนำมาใช้ในการบริหารประเทศจะกลายเป็นราชาพยัคฆ์ร้าย สามารถที่จะสยบหัวเมืองต่างๆ ในแผ่นดินนี้ได้อย่างราบคาบราชาหากไร้ซึ่งความสามารถนี้แล้ว จะเป็นจักรพรรดิได้อย่างไร


 


 


เซียงฉือเข้าใจนิสัยนี้ของเขาและรู้ที่จะเลือกใช้ยาได้ถูกต้อง ดังนั้นนางจึงยิ่งเชื่อว่าการกระทำเช่นนี้ของนางจะสามารถช่วยให้รอดพ้นจากหลุมพรางต่างๆ อีกทั้งยังจะทำให้ฮ่องเต้ไว้ใจนางได้มากยิ่งขึ้นอีกด้วย


 


 


หรงจิงกลับเข้าห้องซูเฟยไป แล้วเสียงเตียงเอี๊ยดอ๊าดน่ารังเกียจก็ดังขึ้นอีกครั้ง


 


 


 


 


 


 


 


[1] ยามเหม่า (卯时)  คือช่วงเวลาระหว่าง 05.00-07.00 น. ตามการนับโมงยามของจีน


ตอนที่ 360 กลเกมหมาก 


 


 


เสียงร้องเหมือนแมวครวญครางของซูเฟยสลับกับเสียงหอบหายใจหนักหน่วงของหรงจิงดังขึ้น ทว่าจิตใจของเซียงฉือในตอนนี้มั่นคงแน่วแน่อย่างยิ่ง 


 


 


มิน่าเล่าเหล่าขุนนางใหญ่ทั้งหลายจึงชื่นชอบการประลองปัญญาความกล้ากับฝ่าบาท เพราะชัยชนะในแต่ละครั้ง เป็นความสำเร็จสมดังใจปรารถนา ความสุขใจแบบนั้นไม่อาจบรรยายได้ เหนือกว่าสิ่งใดๆ ที่ผ่านมาทั้งปวง 


 


 


เซียงฉือมีเวลาแล้วจึงได้นำรายงานของเหอเจี่ยนสุยออกมาอ่านอย่างละเอียดและตั้งใจในทุกตัวอักษร ทุกประโยคถ้อยคำ ผ่านไปเป็นเวลานานจึงได้ปิดรายงานลงดังป้าบ 


 


 


“เจี่ยนสุยสมแล้วที่เป็นผู้ทรงภูมิ เมื่อครู่อ่านอย่างรีบเร่งเกินไปจึงเห็นไปว่าเขาวู่วาม การที่จะฟ้องร้องขุนพลจินเช่นนั้นไม่ต่างกับการราดน้ำมันลงบนกองไฟ รังแต่จะทำให้ตนเองถูกแผดเผา ทั้งไม่สามารถดับกองไฟบ้านสกุลจินได้ แต่ว่าคำพูดเหล่านั้นหากพิจารณาดูให้ถ่องแท้แล้ว เซียงฉือก็เข้าใจความนัยว่านี่เป็นเอกสารลับฉบับหนึ่ง ที่จะไปกระตุ้นความสนใจของฮ่องเต้ ทำให้ฮ่องเต้ยิ่งเห็นชัดและตัดสินใจในการจะขจัดบ้านสกุลจิน” 


 


 


“บ้านสกุลจินเป็นเสมือนต้นไม้ใหญ่ท้าลมเสมอมา ครั้งนี้ฝ่าบาททรงมีพระบัญชาให้ปลดปล่อยบ้านสกุลอวิ๋นทั้งครอบครัวด้วยพระองค์เอง แต่จินกุ้ยเฟยยังคงท้าทายพระราชอำนาจ ไม่เห็นฝ่าบาทอยู่ในสายตาใดๆ เลย เรื่องนี้คิดว่าเหอเจี่ยนสุยคงได้ปรึกษากับเหลียนชินอ๋องแล้ว หากเป็นเช่นนั้น…” 


 


 


เซียงฉือใช้ความคิด คิ้วเรียวงามขมวดมุ่น นางคิดถึงวันนี้ที่เหลียนชินอ๋องเรียงตัวอักษรว่ารอที่ข้างใต้กระดานหมากขึ้นอีกครั้ง “รอ?” 


 


 


ในเกมหมากวันนี้ หรงเฉิงเยี่ยตั้งรับอย่างรอบคอบไร้ช่องว่าง แต่ฝ่าบาทกลับตั้งใจเตรียมพร้อม เห็นโอกาสเป็นฉกฉวยและบีบคั้นไล่ต้อน สุดท้ายก็บุกฝ่าเข้ายึดพื้นที่ได้ 


 


 


หรงเฉิงเยี่ยกำลังเตือนสตินางให้ดำเนินการเรื่องทั้งหมดไปอย่างช้าๆ ไม่อาจเร่งรีบลงมือด้วยความร้อนรน และสำหรับรายงานครั้งนี้ สิ่งที่นางควรทำไม่ใช่เก็บซุกไว้แต่เป็นการรอคอย 


 


 


เมื่อเซียงฉือคิดเข้าใจได้เช่นนี้แล้วกลับรู้สึกซาบซึ้งใจที่หรงจิงทำให้นางไม่มีโอกาสไปหาเหอจิ่นเซ่อ 


 


 


ไม่ใช่ว่านางไม่เชื่อใจเหอจิ่นเซ่อ แต่เรื่องเหล่านี้ยิ่งรู้น้อยลงคนหนึ่งก็จะยิ่งเป็นการรับประกันความปลอดภัยมากขึ้น อีกอย่างหนึ่งเป็นเพราะคนในกองราชเลขามีมาก ใครจะรู้ได้ว่าเรื่องจะไม่เข้าถึงหูฮ่องเต้เข้าจนได้ 


 


 


ตอนนี้ถูกฝ่าบาทรั้งไว้ ให้นำทุกอย่างเข้ามายังตำหนักจู้เซียง ดังนั้นย่อมสามารถใช้ซูเฟยมาเป็นปราการในเรื่องทั้งปวงได้ 


 


 


เซียงฉือยิ้มจางๆ แล้ววางรายงานนั้นไว้ในกองเอกสารที่ตรวจอ่านและทำการบันทึกแล้ว 


 


 


ครั้งนี้ทำให้นางเข้าใจชัดเจนยิ่งขึ้นว่าการอยู่ในวังนี้ไม่อาจมีใครที่จะมาคอยชี้แนะนางได้ตลอดเวลา บ่อยครั้งนักที่นางจะต้องคิดพิจาณาใคร่ครวญและทำให้สำเร็จเพียงลำพังคนเดียว 


 


 


ไม่ว่าเห่อจิ่นเซ่อจะแข็งแกร่งเพียงใดก็ยังมีบางเวลาที่ไม่อาจให้นางพึ่งพาได้ นางต้องเดินอยู่ข้างกายฝ่าบาทด้วยความระแวดระวังด้วยตนเอง 


 


 


ประสบการณ์ในเรื่องนี้ทำให้นางมองได้ปรุโปร่งเป็นอย่างมาก 


 


 


นางรู้ว่าความโชคดีเช่นนี้มิได้เกิดขึ้นบ่อยครั้งนัก และรายงานพวกนี้ก็มีแต่จะกองทับถมเป็นภูเขาเลากาตลอดไป นางเป็นเพียงกลุ่มคนอ่อนแอที่นั่งอยู่ข้างพยัคฆ์จำเป็นต้องทำตามใจพยัคฆ์ ดำเนินการด้วยความระมัดระวัง 


 


 


เซียงฉือถอนใจยาว นางพลิกรายงานเล่มหนึ่งแล้วอ่านด้วยความอดทนใส่ใจ 


 


 


ขณะนั้นหรงจิงหลับไปแล้ว วันนี้เขาเหนื่อยอ่อนจริงๆ 


 


 


เงียบสงบผ่านไปหนึ่งราตรี เช้าวันรุ่งขึ้นหรงจิงตื่นแล้ว เซียงฉือฟุบหลับได้เพียงครู่เดียวอยู่บนโต๊ะหนังสือ แล้วก็ได้ยินเสียงซูกงกงปลุกให้นางตื่น 


 


 


นางจัดแจงความเรียบร้อยครู่หนึ่งแล้วจึงเดินไปข้างกายฮ่องเต้ตามคำบัญชา จากนั้นรายงานเนื้อหาใจความสำคัญที่เตรียมไว้แล้วตั้งแต่เมื่อคืนต่อฮ่องเต้ 


 


 


เซียงฉือรายงานตามปกติด้วยการอ่านรายชื่อผู้ที่ส่งเอกสารถามไถ่ทุกข์สุขก่อน จากนั้นตามด้วยการทูลเรื่องราวที่เกี่ยวข้องต่างๆ เมื่อมาถึงรายงานของเหอเจี่ยนสุยนางชะงักเล็กน้อยก่อนจะอ่านต่อไปด้วยสีหน้าปกติ 


 


 


ทว่าการชะงักงันนั้นทำให้ซูเฟยและพวกที่คอยช่วยดูแลการแต่งกายหวีผมให้ฮ่องเต้ในที่นั้น พากันตั้งใจฟังขึ้นมา 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 361 ถวายรายงาน 


 


 


เซียงฉือยืนอ่านอยู่ข้างกายหรงจิง เสียงนางสั่นขึ้นน้อยๆ เมื่ออ่านถึงตรงนี้ด้วยความสะเทือนอารมณ์ แต่ก็อ่านเรื่องตามที่เหอเจี่ยนสุยรายงานมาทั้งหมด 


 


 


“เหอเจี่ยนสุยหมายความว่าอย่างไร” 


 


 


เซียงฉือยังอ่านไม่จบก็ได้ยินเสียงหรงจิงถามขึ้นมาก่อน นางเงยหน้าขึ้นจากการบรรยายสรุปแล้วมองฮ่องเต้ ดวงตารื้นขึ้น 


 


 


“ฝ่าบาท เขาเพียงทูลว่าแม้ครอบครัวของหม่อมฉันจะได้รับพระราชทานอภัยโทษจากฝ่าบาทให้กลับภูมิลำเนาเดิมแล้ว แต่ท่านปู่กับท่านอารองได้เสียชีวิตลงที่เหมืองแร่ในเมืองชังโจว ส่วนบิดาของหม่อมฉันหลังจากได้รับราชโองการแล้วก็เดินทางกลับไปตระเตรียมการที่หลานโจวก่อนในทันที ที่เขาถวายรายงานมานี้ก็เพื่อจะขอพระกรุณาจากฝ่าบาท ขอให้ได้นำกระดูกของท่านปู่และอารองของหม่อมฉันกลับคืนสู่บ้านเกิดเพคะ” 


 


 


“หม่อมฉันทูลขอพระบรมราชานุญาตด้วยเพคะ ถึงแม้ท่านปู่จะมีโทษทัณฑ์ แต่ท่านก็รับราชการมาถึงสี่สิบปี ขอฝ่าบาทโปรดทรงประทานให้ท่านได้กลับสู่รากคืนสู่แผ่นดินบ้านเกิดด้วยเถิดเพคะ” 


 


 


อวิ๋นเซียงฉือกอดสมุดสรุปรายงานสั่นเทิ้มไปทั้งตัว แทบจะต้องกัดฟันในการพูดเรื่องนี้ออกมา นางมองดวงตาของหรงจิงแล้วคุกเข่าลงขอความกรุณาจากเขา 


 


 


กำปั้นหรงจิงค่อยๆ กำแน่นเข้าขณะฟัง เหอเจี่ยนสุยรายงานถึงสภาพที่น่าเศร้าในขณะนี้ของครอบครัวเซียงฉือก่อน แล้วจึงพูดถึงการตายของอวิ๋นเทียนปู่ของเซียงฉือที่เหมืองแร่เมืองชังโจว โดยระบุช่วงเวลาอย่างแม่นยำ ซึ่งแสดงจะแจ้งว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นภายหลังจากที่ฮ่องเต้ได้อภัยโทษไปแล้ว 


 


 


เซียงฉือเพียงรายงานตามหน้าที่ของตนอย่างดีที่สุด ส่วนคิ้วหรงจิงขมวดมุ่นขึ้นหลังจากที่ได้ฟัง 


 


 


เซียงฉือคุกเข่าอยู่บนพื้น พยายามฝืนกลั้นน้ำตาอย่างเต็มที่ นางเพียงอ้อนวอนขอฮ่องเต้ให้ได้นำกระดูกกลับไปฝังยังบ้านเกิดเท่านั้น 


 


 


ร่างของหรงจิงเริ่มเกร็งขึ้น ส่วนซูเฟยที่ฟังเรื่องนี้อยู่ด้านข้างก็เกิดแผนขึ้นในใจ นางเคยคิดว่าอวิ๋นเซียงฉือเป็นคนของจินกุ้ยเฟยจึงรู้สึกไม่ดีกับนางเสมอมา 


 


 


แต่นางเป็นคนฉลาดหลักแหลม พอฟังแล้วก็เข้าใจเจตนาของเหอเจี่ยนสุย อีกทั้งความขัดแย้งระหว่างเซียงฉือกับจินกุ้ยเฟยออกอย่างรวดเร็ว 


 


 


เซียงฉือจงใจนำเรื่องนี้สู่ตำหนักจู้เซียงและพูดขึ้นต่อเบื้องหน้าซูเฟยก็เพื่อเจตนานี้ 


 


 


นางกำลังหาพันธมิตร หาคนช่วยเหลือและต้องการที่พึ่งพาอาศัย นางรู้ว่าซูเฟยฉลาดพอที่จะฟังออกได้เป็นแน่ 


 


 


ส่วนฝ่าบาทย่อมไม่ได้คิดถึงเจตนาเล็กน้อยพวกนี้ของนาง เพราะเขามีเรื่องอื่นที่ต้องคิดพิจารณามากกว่า เขาไม่เหมือนซูเฟย ด้วยจุดยืนและวิสัยทัศน์ของพวกเขานั้นต่างกัน 


 


 


ซูเฟยมุ่งเพียงฝ่ายในนี้ ส่วนหรงจิงต้องคำนึงถึงทั่วทั้งแผ่นดิน 


 


 


หากเรื่องนี้เป็นเพียงเรื่องระหว่างเซียงฉือกับจินกุ้ยเฟยเขาจะไม่ไปยุ่งด้วยอย่างเด็ดขาด แต่นี่เขาได้มีราชโองการปลดปล่อยอวิ๋นเทียนแล้ว แต่คนของจวนขุนพลจินยังเจาะจงเข้าไปทำร้ายคนจนถึงแก่ความตาย นี่เห็นคำพูดของเขาเป็นอะไรกัน 


 


 


เขาเป็นฮ่องเต้ กุมอำนาจใหญ่ทั้งแผ่นดิน กลับไม่สามารถปกป้องชีวิตขุนนางต้องโทษคนหนึ่งได้ หมายความว่าคนคนนี้จะก่อกบฏเช่นนั้นหรือ 


 


 


หรงจิงเก็บดวงตาแคบเรียวราวปีศาจขึ้น เขามองดูเซียงฉือที่คุกเข่าฟุบอยู่ข้างเท้า เห็นนางกัดริมฝีปากแน่นร่างกายสั่นเทิ้ม ก็ยิ่งเกิดความไม่พอใจ 


 


 


ถึงกับมีคนไม่รู้ดีชั่วกล้าทำกับคนข้างกายเขาเช่นนี้! 


 


 


แม้ในใจซูเฟยจะคิดอะไรมากมายแต่ก็ไม่ได้แสดงออกทางสีหน้าแม้แต่น้อย ยังคงจัดแจงแต่งชุดออกขุนนางให้หรงจิงอย่างเรียบร้อยด้วยมือไม้แคล่วคล่อง ทุกเช้าวันจันทร์จะเป็นการประชุมใหญ่ ซึ่งเหล่าพระบรมวงศานุวงศ์ผู้มีคุณูปการ ขุนศึกขุนนาง กั๋วกงท่านอ๋องในเมืองหลวง ต่างล้วนต้องเข้ารายงานตัวในท้องพระโรง 


 


 


ซึ่งหมายถึงว่าขุนพลจินก็ต้องเข้าร่วมด้วย รายงานฉบับนี้ช่างมาได้เวลาอย่างเหมาะเจาะ 


 


 


“นำรายงานฉบับนั้นมา!” 


 


 


ซูกงกงได้ยินแล้วก็หมุนกายออกไปยังห้องอักษร แล้วนำรายงานมาถวายฮ่องเต้ 


 


 


เซียงฉือยังคงคุกเข่าอยู่ นางรู้ว่าเรื่องนี้คงไม่ทำให้ฝ่าบาททำอะไรขุนพลจินได้จริงจัง แต่จะทำให้เขารู้สึกติดค้างนาง และเกิดความรู้สึกว่าขุนพลจินถือตัวมีความดีความชอบเหนือนาย ไม่เห็นเขาที่เป็นฮ่องเต้คนนี้อยู่ในสายตา ซึ่งก็เพียงพอแล้ว 


 


 


แต่ไรมาการสู้รบปรบมือในราชสำนักใช่ว่าจะเผด็จศึกได้ในคราเดียว หากคิดจะเอาชนะ จะต้องค่อยๆ ทำให้ฮ่องเต้เกิดความผิดหวังในฝ่ายตรงข้ามและตราบเมื่อมีคดีความใหญ่ถูกเปิดโปงขึ้นมา เมื่อนั้นฮ่องเต้ย่อมจะบังเกิดจิตพิฆาต 


ตอนที่ 362 สภาขุนนาง 


 


 


หรงจิงทรงภูษาเสร็จแล้วขึ้นนั่งราชรถมุ่งไปยังท้องพระโรงอย่างมั่นคง โดยมีเซียงฉือกับซูกงกงขนาบข้างติดตามไป สุดท้ายแล้วหรงจิงก็ไม่ได้ให้คำตอบใดๆ กับเซียงฉือ 


 


 


เขากำลังอ่านรายงานในมืออย่างจริงจังด้วยสีหน้าเคร่งเครียด 


 


 


หรงจิงไม่พูดอะไรและปิดพักสายตา เขากำลังคิดว่าจะทำอย่างไรกับเรื่องนี้ 


 


 


เขาเป็นฮ่องเต้ ใส่ใจในเรื่องวิธีการใช้ดุลยอำนาจเป็นสำคัญ ครั้งนั้นบ้านสกุลจินช่วยส่งเสริมเขาให้ได้ขึ้นครองบัลลังก์ นับว่ามีความดีความชอบอยู่แต่ระยะหลังบ้านสกุลจินกำเริบเสิบสานเกินไปจริงๆ 


 


 


ก่อนหน้านี้จวนขุนพลจินทุจริตบกพร่องในหน้าที่ ต่อมาบุตรชายคนรองจินรั่วหลินหักเบี้ยหวัดและเสบียงของทหาร โกงกินเงินหลวง ทั้งปิดบังเรื่องการก่อกบฏของทหารทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือ แล้วจินกุ้ยเฟยยังมาทำหน้าไหว้หลังหลอก หมิ่นพระราชอำนาจเช่นนี้อีก เรื่องราวต่างๆ นานาล้วนถูกขุนพลจินปิดปากไปสิ้น ขุนนางทั้งหลายก็ช่วยกันปกปิดให้พวกเขา ทำราวกับเขาซึ่งเป็นฮ่องเต้คนนี้เป็นเพียงเครื่องประดับชิ้นหนึ่ง 


 


 


จินกุ้ยเฟย จวนขุนพลจิน ช่างวิเศษกันเหลือเกิน 


 


 


แม้หรงจิงจะหลับตาอยู่ แต่ไม่อาจซ่อนกลิ่นอายพิฆาตที่คุกรุ่นอยู่บนร่างลงได้ 


 


 


เซียงฉือได้แต่มองดู กัดฟันยิ้มเศร้าๆ 


 


 


‘ท่านปู่ ท่านอารอง เซียงฉือจะต้องแก้แค้นให้พวกท่านแน่ ไม่ว่าผู้ที่ทำลายชีวิตพวกท่านจะเป็นจินกุ้ยเฟยที่สูงส่ง หรือจวนขุนพลจินที่ยิ่งใหญ่ เซียงฉือจะต้องล้างแค้นให้พวกท่านอย่างแน่นอน’ 


 


 


เซียงฉือลอบสาบานในใจ นางไม่สามารถเข้าท้องพระโรงได้ จึงได้แยกกลับตำหนักเจิ้งหยางไป 


 


 


เรื่องนี้นางดำเนินการไปแล้วเช่นนี้ นางคิดอยู่ชั่วครู่แล้วยังคงไปหาเหอจิ่นเซ่อที่กองราชเลขา 


 


 


ฟ้ายังไม่ทันสว่าง เหล่าขุนนางต่างพากันมายืนรออยู่หน้าท้องพระโรงนอกตำหนักไท่เหอ 


 


 


เมื่อถึงยามเหม่า ขันทีที่ทำหน้าที่อยู่หน้าท้องพระโรงจะหวดแส้ให้สัญญาณ ตามด้วยเจ้าพนักงานฝ่ายต้อนรับจะเรียกให้เข้าที่ บรรดาขุนนางจากด้านซ้ายและขวาจะเคลื่อนเข้าทางพระราชดำเนิน แล้วเข้าสู่ด้านในท้องพระโรงตามลำดับ 


 


 


แคว้นเซียวจิ่งจะมีการประชุมราชสำนักเช้าในยามเหม่า ในเจ็ดวันของสัปดาห์ วันแรกจะเป็นการประชุมใหญ่ โดยขุนนางตั้งแต่ขั้นที่หนึ่งถึงขั้นที่สี่ตลอดจนขุนนางใหญ่ผู้มีบรรดาศักดิ์ต่างๆ จะต้องเข้าร่วม ส่วนวันที่สองถึงวันที่ห้าจะเป็นการประชุมตามปกติของทั้งหกกรมคือ กรมโยธาธิการ กรมขุนนาง กรมพิธีการ กรมการคลัง กรมกลาโหมและกรมยุติธรรม โดยเจ้ากรมและรองของทั้งหกกรมจะต้องเข้าร่วมประชุม นอกจากนี้ขุนนางที่สูงกว่าขั้นที่สี่ของฝ่ายอาลักษณ์ ฝ่ายตรวจการตลอดจนคณะองคมนตรีเป็นต้นก็จะต้องเข้าเฝ้าให้ตรงเวลาด้วย 


 


 


หรงจิงเป็นฮ่องเต้ที่ขยันว่าราชการ เขาขึ้นครองราชย์ตั้งแต่เยาว์วัย บูรพกษัตริย์จึงได้ตั้งคณะมนตรีเพื่อช่วยเขาจัดการภารกิจ เมื่อเขาว่าราชการเองแล้ว จึงได้เปลี่ยนคณะมนตรีมาเป็นฝ่ายอาลักษณ์และองคมนตรีแทน ฝ่ายอาลักษณ์จะรับผิดชอบดูแลงานลับและสำคัญ ตลอดจนร่างประกาศราชโองการ ส่วนองคมนตรีจะตราวจอ่านรายงานต่างๆ ก่อนนำขึ้นทูลเกล้าถวาย 


 


 


เมื่อเหล่าขุนนางยืนเข้าที่แล้วหรงจิงเสด็จออกมาจากด้านในตำหนักแล้วนั่งลงบนพระที่นั่ง 


 


 


เมื่อหยางซั่วเจ้าหน้าที่ฝ่ายต้อนรับประกาศให้เหล่าขุนนางเข้าเฝ้า ทุกคนจึงทำความเคารพตามพิธีการทันที เสร็จแล้วเจ้าหน้าที่ฝ่ายต้อนรับกล่าวรำลึกพระกรุณาธิคุณ รายงานจำนวนผู้เข้าประชุมและประกาศให้ทูลถวายรายงานได้ เหล่าขุนนางจึงจะถวายรายงานตามลำดับ 


 


 


วันนี้หรงจิงนั่งนิ่งสีหน้าเยือกเย็น เมื่อเจ้าหน้าที่ฝ่ายต้อนรับประกาศให้ถวายรายงานได้แล้ว ในหมู่ขุนนางบุ๋นบู๊เบื้องล่างส่งเสียงกระแอมกันสนั่น (ก่อนที่เหล่าขุนนางจะทูลรายงาน จะส่งเสียงกระแอมขึ้นก่อน) 


 


 


หรงจิงนั่งอยู่บนบัลลังก์อย่างสงบนิ่ง หวังหยางหมิงเจ้ากรมโยธาธิการเป็นผู้ก้าวออกจากกลุ่มขุนนางฝ่ายบุ๋นเป็นคนแรก เขาเดินออกไปแล้วคุกเข่าอยู่ต่อเบื้องพระพักตร์ 


 


 


“กระหม่อมมีเรื่องทูลรายงานพ่ะย่ะค่ะ เนื่องด้วยอุทกภัยจากแม่น้ำชิงเกิดขึ้นต่อเนื่องมาหลายเดือนแล้ว ทำให้เมืองที่อยู่ปลายน้ำเช่นชิงโจว เจียงโจวและที่อื่นๆ รวมสิบสามเมืองต้องประสบภัย ราษฎรเดือดร้อนกันทั่ว กระหม่อมจึงทูลขอพระราชทานทรัพย์เพื่อบรรเทาภัย สร้างเขื่อนทางด้านปลายน้ำของแม่น้ำชิง เป็นการป้องกันอุทกภัย ช่วยให้ราษฎรได้พ้นภัยพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


หรงจิงฟังแล้วก็สะบัดมือ หวังหยางหมิงจึงลุกขึ้นยืนค้อมกาย 


 


 


หรงจิงหยิบรายงานขึ้นมาแล้วปรายตามองหวังหยางหมิงที่ด้านล่าง อีกทั้งบรรดาคนทั้งหลาย แล้วพูดขึ้นว่า 


 


 


“นอกจากเรื่องนี้แล้วใครยังมีเรื่องรายงานอีกบ้าง ก็พูดมาเสียทีเดียว!” 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 363 นโยบายการปกครอง 


 


 


เสียงของหรงจิงไม่ดังแต่พวกด้านล่างก็เริ่มระส่ำขึ้น เนื่องเพราะเป็นการประชุมใหญ่ ดังนั้นบรรดาชินอ๋อง กั๋วกงและพระบรมวงศานุวงศ์ผู้มีคุณูปการทั้งหลายต่างยืนอยู่ในกลุ่มขุนศึกทางด้านขวา และหรงเฉิงเยี่ยก็ยืนอยู่ในกลุ่มชินอ๋องด้วยสีหน้าเคร่งขรึม 


 


 


เมื่อได้ยินเสียงถกคุยกันเบาๆ ที่ด้านล่างจึงออกมาจากในแถวทันทีแล้วเดินไปเบื้องหน้า หยุดยืนข้างกายเจ้ากรมโยธาฯ หวังหยางหมิง ประกาศขึ้นเสียงดังว่า 


 


 


“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมมีเรื่องกราบบังคมทูลพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมได้รับพระราชโองการให้ออกไปตรวจสอบเรื่องการทุจริตบกพร่องต่อหน้าที่ของข้าราชการแถบเจียงโจวและชิงโจว จากการตรวจสอบปรากฏว่าอุทกภัยในปีนี้ไม่ได้ร้ายแรง ทั้งสองเมืองมีเพียงสามอำเภอเท่านั้นที่ประสบภัยแต่ก็ไม่ได้รับผลกระทบรุนแรงนัก ทว่านายอำเภอทั้งสามอำเภอนี้ไม่ได้เปิดคลังเสบียงออกช่วยเหลือ ทั้งไม่ได้รีบก่อสร้างทำนบกั้นน้ำเพื่อป้องกันความเสียหายในทันที ทำให้มีผู้ประสบภัยไร้ที่อยู่อาศัยเป็นจำนวนมาก อีกทั้งยังมีชาวบ้านที่ต้องอดตายอยู่ในบ้านด้วยพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“เหตุการณ์นี้มิได้เกิดจากภัยธรรมชาติแต่เป็นเพราะน้ำมือมนุษย์ ล้วนเกิดจากความทุจริตบกพร่องหน้าที่ของนายอำเภอทั้งสามอำเภอ เรื่องนี้มีข้าราชการระดับสูงช่วยปกป้อง ปกปิดความผิด เพ็ดทูลเบื้องบนหลอกลวงไพร่ฟ้า ยักยอกเงินบรรเทาภัยเข้าไว้เป็นของตน โดยมีฉีหมิง เฮ่อเฉิงและหวังอีหรูทั้งสามคนเป็นตัวนำในการทุจริตเงินหลวง ทำร้ายราษฎรและทำให้อุทกภัยยืดเยื้อไม่บรรเทาพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“กระหม่อมทูลขอให้ฝ่าบาทโปรดทรงพิจารณาโทษสถานหนักกับผู้นำที่ทุจริตบกพร่องต่อหน้าที่ในครั้งนี้ เพื่อให้ราษฎรได้อุ่นใจด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


หรงเฉิงเยี่ยกล่าวอย่างองอาจ เขาเป็นชินอ๋องที่ไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมประชุมนอกจากวันประชุมใหญ่ เนื่องเพราะฮ่องเต้ได้ส่งเขาไปตรวจสอบเรื่องการทุจริต ซึ่งเรื่องนี้จำเป็นต้องเข้าปรึกษาหารือกับองคมนตรี ดังนั้นเมื่อวานนี้จึงได้เข้าไปในวัง 


 


 


ในวันนี้เขารับส่งลูกกับหรงจิงด้วยการใช้เรื่องอุทกภัยในชิงโจวเจียงโจวกรุยทาง เพื่อเตรียมง้างมีดสะบัดขวาน จัดการเรื่องการทุจริตใหญ่น้อยในราชสำนัก 


 


 


ดังนั้นเหตุการณ์ในวันนี้ เมื่อกรมโยธาธิการที่มีหน้าที่ดูแลระบบบริหารจัดการน้ำทั้งประเทศและซ่อมบำรุง หากตรวจพบแล้วต้องทำการซ่อมแซมปรับปรุง แต่พวกเขามีความผิดโทษฐานไม่ตรวจสอบ ซึ่งความผิดนี้จะหนักหนาหรือไม่อย่างไร ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของฮ่องเต้ 


 


 


เกี่ยวกับเรื่องนี้ พวกในราชสำนักต่างเคยได้ยินมาก่อน แต่พอหรงเฉิงเยี่ยรายงานจริงจังขึ้นมาแล้ว ทุกคนต่างพากันเงียบงันอย่างหวาดหวั่นสำเหนียกได้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นจริงๆ ในอีกด้านหนึ่งนั้นเป็นคนละเรื่องกัน 


 


 


เหล่าขุนนางในราชสำนักล้วนเป็นคนฉลาด ต่างมองออกว่าฮ่องเต้กำลังจะใช้เรื่องนี้เปิดประเด็น เพื่อตรวจสอบพวกขุนนางทุจริตบกพร่องต่อหน้าที่อย่างเข้มงวด วันเวลาอันสุขสงบของพวกเขาคงจะสิ้นสุดลงแล้ว 


 


 


ถึงเวลาที่แต่ละคนจะต้องสงบเสงี่ยมเจียมตัวกันแล้ว 


 


 


หรงจิงพยักหน้าให้หรงเฉิงเยี่ย แล้วมองดูขุนนางอื่นๆ พูดต่อว่า 


 


 


“ใครยังมีเรื่องจะรายงานอีกหรือไม่” 


 


 


หรงจิงพูดออกไปเรียบๆ เสียงจอแจด้านล่างเงียบลงอย่างรวดเร็ว เมื่อไร้เสียงนกกาทั้งหลายแล้ว หรงจิงจึงพูดอย่างเป็นงานเป็นการว่า 


 


 


“แม่น้ำชิงเป็นลำน้ำครอบคลุมขอบเขตกว้างขวางของประเทศเรา ซึ่งมีทั้งเอี้ยนโจว เจียงโจว ชิงโจว ลี่โจวเป็นต้น ตั้งแต่ข้าขึ้นครองบัลลังก์มา ดูเหมือนจะประสบอุทกภัยติดต่อกันแทบทุกปี ทุกครั้งที่เขื่อนกั้นน้ำที่ชิงโจวกับเจียงโจวทลายลง ข้าก็จะจัดสรรงบบรรเทาภัยไปซ่อมแซมติดต่อกันตลอดมา แต่ก็ยังคงพังทลายต่อเนื่องอยู่ทุกปี เฉพาะปีนี้ก็ซ่อมแซมมาเป็นเวลาสามเดือนแล้ว ตอนนี้ยังกล้ามาบอกข้าว่าต้องซ่อมแซมอีก เช่นนี้แล้ว เงินช่วยเหลือและเงินค่าซ่อมแซมตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้หายไปไหนหมด” 


 


 


หรงจิงหยุดลงครู่หนึ่ง กวาดตามองเหล่าขุนนาง 


 


 


“ข้าได้ส่งพระอนุชาให้เร่งไปชิงโจวกับเจียงโจวเพื่อตรวจสอบในทางลับ คิดไม่ถึงว่ามดมอดจะซอนเซาะกำแพงให้ทลายลงได้เป็นพันลี้ ข้าตัดสินใจแล้วว่าจะปราบปรามการทุจริตอย่างจริงจังทั่วประเทศ แคว้นเซียวจิ่งทั้งสิบหกหัวเมืองจะต้องถูกตรวจสอบเรื่องความบกพร่องในหน้าที่” 


 


 


“เหลียนชินอ๋อง?” 


 


 


หรงจิงลุกขึ้นยืนแล้วเจาะจงเรียกหรงเฉิงเยี่ย หรงเฉิงเยี่ยรีบลุกขึ้นเดินออกจากแถวขานรับเสียงดัง 


 


 


“พ่ะย่ะค่ะ!” 


 


 


“นำผู้เกี่ยวข้องในคดีนี้ทั้งหมดไปดำเนินคดีลงโทษสถานหนัก พวกเพ็ดทูลเบื้องบนหลอกลวงไพร่ฟ้า  รู้ข่าวไม่แจ้ง ทุจริตประพฤติมิชอบทั้งหลายให้ประหารกวาดล้างทั้งตระกูลให้สิ้น ส่วนหัวหน้าขบวนการทำความผิดทั้งสามให้บั่นศีรษะเอาไปฝังไว้บนเขื่อน ในเมื่อพวกมันกล้าทุจริต ข้าก็จะใช้ชีวิตกับร่างกายของพวกมันไปสกัดกั้นน้ำที่ทำเขื่อนพังทลาย” 


 


 


“ข้าปกครองแคว้นเซียวจิ่งมา รังเกียจขุนนางทุจริตเป็นที่สุด บูรพกษัตริย์ทรงสอนสั่งตักเตือนว่า ความซื่อสัตย์สุจริตนำพาชาติรุ่งเรือง การทุจริตฟุ่มเฟือยจะทำลายชาติ การปกครองบ้านเมืองไม่มีสิ่งใดจะสำคัญยิ่งกว่าการลงโทษปราบปรามการทุจริต” 


ตอนที่ 364 ราชโองการลับ 


 


 


พอหรงจิงพูดจบหรงเฉิงเยี่ยคุกเข่าถวายพระพรหมื่นปีในทันใด และในทันทีที่ได้ยิน เหล่าขุนนางต่างคุกเข่าลงพร้อมเพรียง แซ่ซ้องถวายพระพรหมื่นปีอย่างรวดเร็ว 


 


 


หรงจิงมองดูใบหน้าปานหยกที่ยิ้มอย่างพึงพอใจในผลงานของหรงเฉิงเยี่ย ส่วนหรงเฉิงเยี่ยยังคงก้มหน้ายิ้มน้อยๆ ประสานมือให้หรงจิง 


 


 


เมื่อวานนี้หรงจิงไม่ได้พูดอะไรกับเขา เพียงมอบขลุ่ยทะเลเมฆมรกตแก่เขาเท่านั้น หรงเฉิงเยี่ยเมื่อกลับไปแล้วพิจารณาใคร่ครวญก็เข้าใจความหมายในนั้นได้ 


 


 


เมื่อหนึ่งปีที่แล้วหรงจิงเคยพูดกับเขาถึงเรื่องเตรียมจัดการกับข้าราชการทุจริตในราชสำนัก พวกมอดที่คอยกัดแทะราชสำนักของเขาให้ผุกร่อน ถึงครั้งนั้นเขาจะพูดขึ้นเพียงประโยคเดียว แต่หรงเฉิงเยี่ยฟังแล้วรู้สึกได้ว่าพี่ชายของเขาคนนี้มีความตั้งใจนี้อยู่ แต่ทั้งคู่ก็เข้าใจดีว่ายังไม่ถึงเวลาอันเหมาะสม 


 


 


ในตอนนั้นพวกเขาทั้งสองกำลังเดินหมากกันอยู่แล้วซูกงกงก็เข้าไปทูลฮ่องเต้ว่าขลุ่ยทะเลเมฆมรกตที่ฮ่องเต้หามาตลอดได้หาพบแล้ว กำลังให้คนนำมาถวาย หรงเฉิงเยี่ยได้ยินเข้าก็ดีใจ 


 


 


จึงรีบทูลขอกับหรงจิงในทันที แต่ไม่ว่าเขาจะออดอ้อนอยู่นานเท่าไรก็ไม่เป็นผล 


 


 


แต่สุดท้ายหรงจิงได้ให้สัญญากับเขาว่า ‘วันใดที่เข้าสู่ยุคปราบปรามการทุจริต วันนั้นมันจะเป็นของเจ้า’ 


 


 


ในหนึ่งปีมานี้หรงจิงมอบเงินช่วยเหลือไปแล้วหลายครั้ง เขามักพูดว่า ยิ่งต้องการจับพวกมันให้ได้ก็ยิ่งต้องทำให้พวกมันได้ใจ ดังนั้นเขาจึงต้องขุนหนูพวกนั้นให้อ้วนพี เมื่อถึงวันเชือดจะได้มีเนื้อมีหนัง จึงจะทำให้ชาวโลกได้ตระหนักถึงความสำคัญของการปราบปรามลงโทษการทุจริต 


 


 


ดังนั้นขลุ่ยทะเลเมฆมรกตเลานี้จึงเปรียบเสมือนโองการลับจากหรงจิงส่งไปถึงหรงเฉิงเยี่ย 


 


 


เมื่อกลับถึงตำหนัก หรงเฉิงเยี่ยเพียงคิดใคร่ครวญชั่วครู่ก็กระจ่าง หรงจิงได้วางกับดักไว้นานและตอนนี้ก็ถึงเวลาเก็บแหอวนแล้ว 


 


 


หรงเฉิงเยี่ยยิ้มและร่วมมือกันได้อย่างรู้ใจยิ่ง การประชุมเรื่องใหญ่ในราชสำนักวันนี้ เพราะเหล่าขุนนางใหญ่ต่างมีความคิดกันไปต่างๆ นานา จึงผ่านไปอย่างเร่งรีบ กระทั่งสายมากแล้ว พวกขุนนางเข้าราชสำนักมาประชุมตั้งแต่ยามเหม่าถึงตอนนี้ผ่านยามเฉินต่างพากันหิวท้องกิ่ว หรงจิงเองก็เข้าใจดีจึงเตรียมสั่งเลิกประชุม 


 


 


แต่พอลุกขึ้นแล้วก็กลับนั่งลงอีก จากนั้นหยิบรายงานฉบับหนึ่งขึ้นมา 


 


 


“ขุนพลจินอยู่หรือไม่” 


 


 


หรงจิงกวาดตามองดูรายงานในมือ เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นขุนพลจินเดินออกมาจากฝั่งขุนศึก มายืนอยู่หน้าที่ประทับแล้วคุกเข่าลงข้างหนึ่งต่อหน้าหรงจิง 


 


 


“กระหม่อมอยู่นี่แล้วพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


เสียงราวระฆังใหญ่ สมควรยกย่องว่าถึงจะแก่แล้วแต่ก็ยังแข็งแรงอยู่ ระยะหลังนี้บ้านสกุลจินมีความเคลื่อนไหวถี่ขึ้น มีความช่ำชองในการเป็นขุนนางมากขึ้น ขณะเดียวกันก็ยิ่งไม่เห็นเขาเป็นฮ่องเต้ไปแล้ว ถึงแม้เรื่องนี้ไม่จัดว่าเป็นเรื่องใหญ่ แต่อย่างไรก็ควรต้องสะกิดกันบ้าง 


 


 


ซึ่งนี่คืออุบายในการเป็นฮ่องเต้ของหรงจิง 


 


 


หรงจิงเงยหน้า คงปล่อยให้เขาทำความเคารพอยู่เช่นนั้นเป็นนานโดยไม่ตอบทั้งไม่เรียกให้ลุกขึ้น ปล่อยให้เขาต้องคุกเข่าอยู่เช่นนั้น หรงจิงนำตราประทับอันใหญ่ประทับลงบนเอกสารนั้นอย่างใจเย็น จากนั้นเขียนราชโองการฉบับหนึ่งด้วยตนเอง แล้วส่งให้ซูกงกง 


 


 


พวกที่อยู่เบื้องล่างต่างพอเห็นเค้าลางกันบ้างแล้ว เพียงแต่ส่วนมากยังไม่รู้สาเหตุเบื้องหลังว่าคืออะไร 


 


 


ขุนพลจินขุนนางใหญ่ผู้ซึ่งหรงจิงถือเป็นกระดูกต้นแขนเสมอมา บัดนี้ถูกฮ่องเต้ทำโทษให้คุกเข่าอยู่กับพื้น 


 


 


เมื่อถูกหรงจิงปล่อยให้คอยอยู่เป็นนานเช่นนั้น โทสะในอกของขุนพลจินก็เริ่มคุกรุ่นขึ้นมา เขาเป็นถึงกั๋วกงขั้นที่หนึ่งในรัชสมัยนี้ ฐานะสูงส่งทั้งยังยิ่งใหญ่ในกองทัพ หรงจิงลงโทษเขาคุกเข่าอยู่ต่อหน้าผู้อื่นเช่นนี้เป็นการฉีกหน้าเขา 


 


 


เขาปักหลักลงฐานที่ชังโจวมานานปี ประจำการรักษาด่านเทือกเขาสวินหลงทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือ มีกองกำลังทหารสี่แสนอยู่ในมือ ถึงจะหยิ่งลำพองขึ้นทุกวันแต่ไม่ถึงกับสิ้นความภักดี แต่เขาเป็นขุนนางใหญ่อันดับต้น ทั้งฮ่องเต้พระองค์ก่อนได้ทรงสั่งเสียไว้ก่อนสวรรคตกลับต้องมาถูกฮ่องเต้ตำหนิเช่นนี้ 


 


 


ขณะเขากำลังจะเอ่ยปาก หรงจิงก็เงยหน้าขึ้น ทำสีหน้าตกใจเมื่อเห็นขุนพลจินคุกเข่าอยู่เบื้องล่าง เขาอึ้งอยู่ชั่วขณะแล้วเอ่ยขึ้นว่า 


 


 


“ขุนพลจินไยยังคงคุกเข่าอยู่อีก รีบลุกขึ้นเถิด!” 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 365 สอบถามกลางท้องพระโรง 


 


 


เมื่อเสียงของฮ่องเต้ดังขึ้น บรรดาขุนนางเบื้องล่างต่างถอนใจโล่งอก ที่แท้ทรงลืมไปนั่นเอง มีเพียงหรงเฉิงเยี่ยเท่านั้นที่เฝ้าดูการแสดงบนเวทีของหรงจิงอยู่ 


 


 


ส่วนพวกที่คุ้นเคยกับหรงจิงจำนวนมากก็สังเกตเห็นว่ามุมปากซ้ายของหรงจิงในตอนนี้กระดกขึ้นมาน้อยๆ  และยิ้มบางๆ ในขณะที่พูด แต่หรงเฉิงเยี่ยนั้นรู้ว่าหรงจิงอารมณ์ไม่ดีอย่างยิ่งอยู่ในขณะนี้ การแสดงออกของเขาเช่นนี้ คือการกดข่ม การควบคุมตนเองของเขาเพื่อแผนการระยะยาว 


 


 


ใจที่กังวลมานานของหรงเฉิงเยี่ยระงับลงได้ในที่สุด เมื่อวานเขาไม่ทันได้พูดคุยกับอวิ๋นเซียงฉือ ทำได้แต่เพียงทิ้งตัวอักษรคำว่ารอไว้ตัวหนึ่ง แต่ไม่รู้ว่านางจะเข้าใจและรู้ถึงแผนการของพวกเขาหรือไม่ 


 


 


เขาไม่มีความมั่นใจมากนัก ถึงแม้เหอเจี่ยนสุยจะรับประกันกับเขาอย่างหนักแน่นว่าเซียงฉือเฉลียวฉลาด ขอเพียงนางได้พิจารณาอย่างถี่ถ้วน ก็จะสามารถเข้าใจและร่วมมือด้วยได้ 


 


 


จวบจนได้เห็นหรงจิงแสดงอาการออกมาอย่างในขณะนี้แล้วเขาจึงรู้ว่าเหอเจี่ยนสุยพูดถูก นางฉลาดจริงๆ เพียงแค่การส่งสัญญาณเล็กน้อยเท่านั้นคนใหม่ในแวดวงการเมืองคนนี้ก็เหมือนดั่งปลาได้น้ำแล้ว 


 


 


หรงเฉิงเยี่ยหัวเราะ แล้วฟังขุนพลจินพูดหลังจากลุกขึ้นแล้ว 


 


 


“กระหม่อมอยู่ที่นี่แล้วพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาททรงมีรับสั่งอันใดหรือพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


ขุนพลจินค่อยๆ ลุกขึ้นช้าๆ แล้วคำนับหรงจิงถามขึ้นอย่างถ่อมตน เขาไม่ใช่พวกตัวใหญ่ไร้สมอง ถึงแม้จะไม่พอใจเต็มประดา แต่จะไม่แสดงปฏิกิริยาใดในขณะนี้อย่างเด็ดขาด 


 


 


จะต้องลองฟังดูว่าหรงจิงจะพูดอะไร ผู้ชายคนนี้ ในขณะที่พระโอรสทั้งสามแก่งแย่งบัลลังก์กันเมื่อครั้งก่อน เขาได้ใช้มือของเขาคู่นี้ช่วยให้หรงจิงที่ไม่มีแววชนะเลยได้ขึ้นครองบัลลังก์จนได้ 


 


 


หรงจิงเองก็ได้ทำตามคำมั่นที่ให้กับเขาไว้ด้วยการแต่งงานกับบุตรสาวของเขา ให้บรรดาศักดิ์กั๋วกง[1]เป็นเกียรติยศแก่เขาไปจนชั่วลูกชั่วหลาน แต่ระยะนี้เขามักรู้สึกว่าหรงจิงแสดงออกต่อเขาแปลกไป ทั้งดูเหมือนจะไม่พึงใจจินกุ้ยเฟยเท่าที่ควร 


 


 


หรงจิงหยิบราชโองการที่ประทับตราแล้วจากมือซูกงกง มองดูอีกครั้งแล้วส่งให้ซูกงกง พูดขึ้นว่า 


 


 


“เมื่อครึ่งเดือนก่อนข้าได้สั่งการเองว่าอนุญาตให้อวิ๋นเทียนเจ้าเมืองหลานโจวคนก่อนปลดเกษียณกลับสู่ภูมิลำเนาเดิม แต่น่าเสียดายว่าเขาได้เสียชีวิตลงที่ชังโจว เมื่อเป็นเช่นนี้ข้าจึงได้เขียนราชโองการขึ้นอีกฉบับหนึ่ง รบกวนท่านขุนพลส่งคนไปช่วยนำกระดูกอวิ๋นเทียนกลับไปฝังยังบ้านเกิดด้วย” 


 


 


คำพูดของหรงจิงสร้างความฮือฮาให้เกิดขึ้น อวิ๋นเทียน เจ้าเมืองหลานโจวคนก่อน เขารับราชการมาสี่สิบปี เป็นขุนนางขั้นที่หนึ่ง ในบรรดาสิบหกหัวเมืองของแคว้นเซียวจิ่งนี้ หลานโจวจัดเป็นเมืองที่สงบและมั่งคั่งที่สุด 


 


 


แต่เมื่อสองปีที่แล้วได้เกิดคดีทุจริตปฏิบัติหน้าที่มิชอบที่ครึกโครมขึ้น ทำให้ครอบครัวเจ้าเมืองหลานโจวทั้งบ้านถูกจองจำ ในปีถัดมาเนื่องจากการเสด็จสวรรคตของไทเฮา มีการนิรโทษกรรมทั้งประเทศ ทั้งครอบครัวจึงสามารถรักษาชีวิตไว้ได้ และฮ่องเต้ก็ได้เมตตาให้ความเป็นธรรม 


 


 


โดยได้อนุญาตให้หลานสาวของอวิ๋นเทียนมีสิทธิ์เข้าสอบข้าราชสำนักสตรี และหญิงสาวคนนี้ก็ได้กลายมาเป็นข้าราชสำนักสตรีงานอักษรของฮ่องเต้ เพื่อเป็นการปลอบขวัญให้กำลังใจแก่ข้าราชบริพาร ฮ่องเต้จึงได้อนุญาตให้ครอบครัวนางทั้งหมดย้ายจากชังโจวกลับคืนสู่หลานโจว 


 


 


นี่เป็นการช่วยให้ครอบครัวนางไม่ต้องรับโทษทัณฑ์ทำงานหนัก แต่พวกเขาเพิ่งจะรู้ในตอนนี้ว่าอวิ๋นเทียนได้เสียชีวิตแล้วที่ชังโจวซึ่งเป็นอาณาเขตของขุนพลจิน ทั้งกระดูกก็ไม่ได้ถูกนำกลับไป 


 


 


เรื่องนี้มีประเด็นน่าสงสัย อีกทั้งฝ่าบาทยังพูดเรื่องนี้ขึ้นมาในการประชุมใหญ่ ทำให้เห็นเจตนาต้องการตักเตือน 


 


 


ขุนนางทั้งมวลจึงต่างรู้กระจ่างแล้วว่าการกระทำทุกอย่างของหรงจิงเมื่อครู่ ล้วนเป็นความจงใจ 


 


 


สีหน้าของขุนพลจินเปลี่ยนไปสามตลบ เขาเป็นขุนนางขั้นที่หนึ่ง เป็นถึงกั๋วกงบิดาของกุ้ยเฟย แต่กลับต้องถูกสั่งให้ไปดำเนินการเรื่องศพของขุนนางต้องโทษคนหนึ่งด้วยตนเองเช่นนี้ 


 


 


หรงจิงกำลังกระทบเขาอย่างชัดแจ้ง ซูกงกงรีบนำราชโองการฉบับนั้นทูลขึ้นเหนือหัวส่งไปถึงเบื้องหน้าขุนพลจินอย่างนอบน้อม 


 


 


เพราะเหตุนี้สีหน้าของขุนพลจินจึงเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้ม ทว่าเขาไม่อาจออกอาการได้ 


 


 


คำสั่งของฮ่องเต้ เขาไม่อาจขัดขืน 


 


 


 


 


 


[1] กั๋วกง (国公) เป็นตำแหน่งบรรดาศักดิ์สูงสุดชั้นกง ซึ่งขุนนางจะได้รับพระราชทานจากฮ่องเต้ 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม