ฮูหยินข้าอายุสามขวบครึ่ง 357-364

ตอนที่ 357 เข้าประตูแล้วก็ล้วนเป็นผู้หญิงของท่าน


 


 


 


 


เฉินยางฝันตอนกลางคืน นางฝันเห็นน่าอวี้ยิ้มให้ตน สีหน้านั้นซีดขาว ริมฝีปากกลับแดงจัด ถามนางครั้งแล้วครั้งเล่าว่า “ทำไมท่านถึงได้เลือกข้าเข้าจวน” ถามจบนางก็เอามือปิดหน้าร้องไห้ ร้องไห้เสร็จก็เงยหน้าขึ้นมา ใบหน้าดำมืด แยกไม่ออกว่าอันใดเป็นจมูกอันใดเป็นตา นางชูมือพุ่งใส่เฉินยาง บอกว่าเฉินยางทำร้ายนาง บอกว่านางแค้นนาง


 


 


จากนั้นก็เป็นภาพสีแดงเต็มไปหมด ดั่งคลื่นถาโถมใส่นาง พริบตาเดียว ก็เห็นน่าอวี้ยืนยิ้มให้นางอยู่บนฝั่ง บนฝั่งเฝิงเยี่ยไป๋กำลังฆ่าคน ดาบหนึ่งคนหนึ่งเหมือนดั่งผ่าฟืน นางก้มศีรษะดู คลื่นที่ถาโถมเข้ามาใส่นางนั้นไม่ได้เป็นคลื่น แต่เป็นศีรษะมนุษย์ที่แสยะยิ้มอย่างน่ากลัว


 


 


นางตกใจมาก ดิ้นตื่นจากความฝัน ยังหวาดผวาอยู่ สองตาเบิกโพลง


 


 


เฝิงเยี่ยไป๋หลับไม่ลึก ตั้งแต่ที่นางเริ่มร้อง “ช่วยด้วย” นั้นเขาก็ตื่นแล้ว นางฝันร้าย ปลุกไม่ตื่น จึงทำได้เพียงกอดนางเอาไว้ แล้วจูบหน้าผากนาง ปลอบนาง “ไม่เป็นไรๆ ไม่ต้องกลัวๆ” แล้วเช็ดเหงื่อที่หน้าผากให้นาง


 


 


เฉินยางเอียงตัวมุดเข้าอยู่ในอ้อมกอดของเขา ใบหน้าแนบกับชุดนอนเรียบลื่นของเขา มือยื่นไปหาแล้วกอดเอวของเขาไว้แน่น ผ้าที่อกของเขานั้นค่อยๆ เปียกชุ่ม น้ำตาเทลงในใจเขาอย่างไร้เสียง ทะลุเป็นรอย พอเห็นนางร้องไห้ คนที่เสียใจที่สุดกลับเป็นเขา


 


 


“เป็นอะไรไป ฝันร้ายหรือ” เขาจูบลงบนเรือนผมหนาของนาง มือลูบหลังของนางเบาๆ


 


 


“ข้าฝันเห็นน่าอวี้…ยังฝันเห็นว่าท่านฆ่าคนแล้ว”


 


 


เขากระตุก หัวใจเศร้าหมอง กอดนานแน่นยิ่งขึ้นไปอีก “ไม่ต้องกลัว บอกแล้วว่าเป็นความฝัน เจ้าวางใจได้ หลังจากนี้ข้าไม่ฆ่าคนแล้ว ดีหรือไม่”


 


 


นึกไม่ถึงว่านางกลับส่ายหน้าอยู่ในอ้อมกอดของเขา “ฮ่องเต้ทำทุกวิธีที่จะฆ่าท่าน ท่านไม่ฆ่าพวกเขา พวกเขาก็จะฆ่าท่าน”


 


 


เขากระตุกมุมปากด้วยความจนใจ เขย่านางเบาๆ “เช่นนั้นจะทำอย่างไรดี เจ้าเห็นข้าฆ่าคนแล้วจะกลัว หากพรุ่งนี้เจ้าคิดว่าข้าเป็นปีศาจฆ่าคนจึงไม่สนใจข้าแล้ว เช่นนั้นข้าจะทำอย่างไร”


 


 


นึกไม่ถึงว่านางจะเงยหน้าจูบที่คางของเขาเบาๆ “ท่านก็อย่าได้ฆ่าคนอย่างมักง่ายนัก อย่างน้อยท่านก็เป็นพ่อคนแล้ว สร้างบาปไม่ดี คนเขาไม่ยุ่งกับพวกเรา พวกเราก็ไม่ยุ่งกับคนอื่น หากคนอื่นมายุ่งกับพวกเรา…พระพุทธเจ้าเข้าใจ ถูกด่าถูกตีไม่ตีคืนเป็นนักบุญ ข้าไม่ต้องการให้ท่านเป็นนักบุญ”


 


 


กลางคืนเช่นนี้จุดไฟให้เขา เฝิงเยี่ยไป๋ก้มศีรษะลง มือข้างหนึ่งกอดเอวนางไว้ มืออีกข้างจับที่คางของนาง จูบอันร้อนแรงประทับลงมา บรรยากาศก็ร้อนแรงขึ้นมาทันที


 


 


จูบนั้นจบลงที่นางดิ้นเหมือนดั่งใกล้จะจมน้ำตาย เฝิงเยี่ยไป๋ปล่อยนางออก แล้วได้ยินนางพูดอีกว่า “แม้ว่าข้าจะไม่ได้ชอบซ่งจูและหลี่หรู แต่พวกนางก็ไม่ง่ายนัก หากไม่มีอะไรท่านก็ไปเยี่ยมพวกนางเสียบ้าง…ยังมีน่าอวี้ ข้าไม่สนว่าท่านจะรู้สึกอย่างไรกับพวกนาง จะชอบก็ดี จะเกลียดก็ช่าง พอเข้าประตูมาแล้ว ก็เป็นครอบครัวเดียวกัน คุยกันในวันปกติก็ยังต้องมีบ้าง”


 


 


เฝิงเยี่ยไป๋ได้ยินจบก็ขมวดคิ้วถามนาง “เป็นใครที่สอนให้เจ้าพูดเช่นนี้ ถูกคนพวกนั้นยุยงหรือ”


 


 


“ไม่ใช่ ไม่มีใครสอนให้ข้าพูดเช่นนี้ ข้าไม่ได้โง่เสียหน่อย หากพวกนางสอนให้ข้าพูดเช่นนี้ ข้าจะไม่รู้สึกได้หรือ” นางนอนลงแล้วถอนหายใจ “ท่านเป็นผู้ชาย ไม่รู้ความลำบากของผู้หญิง พี่สะใภ้จูท่านก็รู้จักกระมัง นางเป็นหม้ายตั้งแต่อายุยังน้อย คนมักบอกว่าคนเป็นหม้ายก็มีข่าวลือมาก คุยกับผู้ชายตามปกติก็ยังถูกคนนินทาว่าไม่รักษาความเป็นกุลสตรี บอกตามตรง เข้าประตูแล้วก็เป็นผู้หญิงของท่าน จะให้แต่งพวกนางแล้วให้พวกนางเป็นหม้ายไม่ได้กระมัง หากเป็นเช่นนั้นชีวิตจะลำบาก เจอกันบ่อยๆ ก็ดี”


 


 


 


 


——


 


 


ตอนที่ 358 ขอเพียงเจ้าเป็นคนคลอดออกมาข้าล้วนชอบหมด


 


 


 


 


คำพูดเหล่านี้ล้วนมาจากใจจริงของนาง ตอนแรกเก็บกลั้นอยู่ในใจ คิดไปแล้วก็ไม่รู้สึกมีอะไร ตอนนี้พูดออกมาแล้ว ก็ค่อยๆ รู้สึกว่าไม่ใช่เช่นนั้นแล้ว เขาเป็นเช่นนี้ดี ดีกับนาง ดูแลนางอย่างดี แต่นางกลับขอเพียงความสบายใจเล็กน้อยผลักไสเขา ช่างทำร้ายจิตใจคนเสียจริงๆ


 


 


เฝิงเยี่ยไป๋ไม่ได้โกรธ เขาหยิบปอยผมนางมาเล่นที่ปลายนิ้ว พูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งว่า “เจ้าคิดเช่นนั้นหรือ รู้สึกว่าผิดต่อพวกนาง?”


 


 


นางสะอึก เสียงค่อยๆ ลดเบาลง “หากตอนแรกข้าไม่โกรธกับท่านก็คงจะดี ไม่แต่งพวกนางเข้ามาก็ดีแล้ว เพียงแต่…ในเมื่อแต่งเข้ามาแล้ว เช่นนั้นก็เป็นผู้หญิงของท่าน ไปเยี่ยมพวกนางในวันปกติก็ถือเป็นการปลอบใจ”


 


 


นางเป็นผู้หญิงนิสัยดี ความลำบากของพวกนาง นางไม่เห็นก็แล้วไป แต่พอเห็นแล้วก็รู้สึกไม่ดี ในใจมักรู้สึกว่าตัวเองก็มีความรับผิดชอบส่วนหนึ่ง นางเป็นคนที่คิดแทนคนอื่นได้เก่ง นางเอาตัวเองแทนเข้าไป ต่อให้ตอนแรกจะปล่อยวาง ตอนนี้ก็ปล่อยวางไม่ลงแล้ว


 


 


ตอนนี้นางตั้งครรภ์อยู่ เขาจึงอยากให้ทุกอย่างเป็นดั่งที่นางคิด ในเมื่อนางขอร้องแล้ว เช่นนั้นเขาก็จะตามใจนาง ก็เพียงแค่ดูเท่านั้นไม่ใช่หรือ ทุกวันเรียกคนมารวมตัวพูดคุยกัน ถือเสียว่าพูดคุยเป็นเพื่อนนางก็ได้ เขานั่งอยู่ข้างๆ ก็ถือว่าทำตามความปรารถนาของนางแล้ว


 


 


“ได้ เอาตามที่เจ้าพูด เจ้าว่าเช่นไรก็เป็นเช่นนั้น”


 


 


เขาตอบรับแล้ว


 


 


ในใจเฉินยางกลับยิ่งรู้สึกแย่


 


 


นี่เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ไม่ต้องสนว่าเหตุผลเป็นอะไร แต่งกับพวกนางก็ไม่ได้เป็นความสมัครใจของเขาเอง ในเมื่อพวกนางก็เข้ามาในจวนนี้แล้ว ชื่อในสังคมก็เท่ากับเป็นผู้หญิงของเขา นางรู้ว่าที่ตัวเองขอร้องเขาให้ทำเรื่องที่เขาไม่อยากทำนั้นเห็นแก่ตัวนัก เพียงแต่เขาไม่เหมือนกับพวกนาง เขาเป็นคนของตัวเอง นางยังมีชีวิตทั้งชีวิตสามารถค่อยๆ ชดเชยให้เขา


 


 


ทั้งสองคนก็นอนกอดกันจนฟ้าสว่าง


 


 


เฝิงเยี่ยไป๋ตื่นเช้าจะไปเข้าประชุมราชกิจ เฉินยางสะลืมสะลือลืมตาขึ้นมา แล้วนั่งขึ้น เสียงอ่อนหวานพูดว่า “เข้าวังเช้าเช่นนี้เลยหรือ”


 


 


“ฝั่งฮ่องเต้นั้นมีเรื่องเล็กน้อย เจ้าก็อย่าเพิ่งลุกเลย นอนเสียอีกหน่อย” เขาย่อตัวลงครึ่งหนึ่ง แล้วจูบที่ท้องของนาง “ลูกชาย เป็นเด็กดีอยู่กับแม่ของเจ้าที่บ้าน รอพ่อกลับมานะ”


 


 


เฉินยางบ่นเขา “หากเป็นลูกสาวเล่า”


 


 


เขาจูบมุมปากนาง “ลูกสาวข้าก็ชอบ ขอเพียงเจ้าเป็นคนคลอดออกมา ข้าล้วนชอบหมด”


 


 


หวานซึ้งกันพอแล้ว ก็ควรจะไปแล้ว เฉินยางนอนกลับลงไปใหม่ “เช่นนั้นท่านรีบกลับมาเร็วๆ แล้วกัน”


 


 


“เลิกราชกิจแล้วข้าก็จะกลับ เจ้ารีบนอนเถิด”


 


 


บางครั้งเฉินยางก็สงสารเขา ไปเข้าประชุมราชกิจต้องเจอแผนร้ายของฮ่องเต้ กลับมาที่บ้านก็ยังต้องทนความไร้เหตุผลของตัวเองอยู่บ่อยๆ ช่างทำเอาเขาลำบากเสียจริง นางหลับตาลง แอบตัดสินใจ หลังจากนี้จะเชื่อฟังมากขึ้น สร้างปัญหาให้เขาน้อยลงถึงจะดี


 


 


นางหลับไปอีกครั้งจนสายแล้วถึงได้มีทีท่าว่าจะตื่น ซั่งเหมยซั่งเซียงรออยู่ข้างๆ นานแล้ว นางลืมตาขึ้นแล้วนั่ง ถึงกับเห็นความสงบนิ่งที่ยากจะได้เห็นนักบนใบหน้าของซั่งเหมยซั่งเซียง ปกติก็จะคุยหยอกล้อกับนางเสียหน่อยถึงจะหยุด วันนี้กลับแปลกยิ่งนัก


 


 


นางยิ้มเริ่มพูดก่อน “วันนี้พวกเจ้าเป็นอะไรหรือ ไม่พูดอะไรเลย ยืนนิ่งๆ เช่นนี้ น่าตกใจนัก”


 


 


ซั่งเหมยเข้าไปประคองเท้าของนางไว้ แล้วสวมถุงเท้ารองเท้าให้นาง ก่อนจะบุ้ยปากไปที่ประตู พูดเสียงเบาว่า “ไทเฮารู้เรื่องที่ท่านตั้งครรภ์แล้ว จึงส่งหงอวี้ที่เป็นนางกำนัลข้างกายมารับท่านเข้าวัง”


 


 


ในใจเฉินยางตระหนก “ไฉนไทเฮาถึงรู้เร็วเช่นนี้ เรียกคนมารับข้าเข้าวังไปทำไมหรือ”


 


 


ความทรงจำของนางที่มีต่อวังก็มีเพียงไม่กี่วันที่เรียนระเบียบนั่น กินไม่อิ่มนอนไม่หลับ แถมระเบียบยังมีมากอีก ไม่ทันไรก็ต้องคุกเข่านี่คุกเข่านั่น ไม่ได้มีความทรงจำที่ดีเท่าไรนัก


ตอนที่ 359 ไทเฮาเรียกพบ


 


 


 


 


ไทเฮาไม่ชอบสะใภ้อย่างนางนางก็รู้ ครั้งก่อนทำเอานางโกรธจนป่วย นางจึงได้กลับมากับเฝิงเยี่ยไป๋ เพราะกลัวว่าจะทำเอานางโกรธเป็นอะไรไปอีก ไฉนครั้งนี้ถึงยังเรียกนางไปอีกเล่า อยู่ในสายตาของนางไม่อึดอัดหรือ


 


 


ซั่งเซียงปรนนิบัตินางชำระร่างกายจนเสร็จ วุ่นวายกันในห้องอยู่พักใหญ่ รอให้ทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว นางก็เห็นหงอวี้ที่ยืนตรงอยู่ในโถงใหญ่ด้วยความรู้สึกที่เป็นกังวล


 


 


“คารวะพระชายา”


 


 


อยู่ในวังเวลาเจอนาง หงอวี้ไม่เคยทำความเคารพเลย วันนี้จู่ๆ กลับทำความเคารพให้นาง เฉินยางตกใจ รีบให้นางลุกขึ้น “กูกูไม่ต้องมากพิธี อย่างไรเสียก็เป็นคนข้างกายไทเฮา ชนชั้นห่างกันนัก ทำเช่นนี้กลับทำเอาข้าเสียมารยาทแล้ว”


 


 


หงอวี้กลับเกรงใจนัก “บ่าวก็คือบ่าว เมื่อพบเจ้านายก็ควรจะทำความเคารพ ท่านรับไว้ได้”


 


 


เฉินยางรู้สึกอยู่ตลอดว่านางกำลังสะท้อนอะไรบางอย่างอยู่ นางคิดอยู่นานก็คิดไม่ออก จึงยิ้มผ่านไป “วันนี้ไม่รู้ว่ากูกูมีเรื่องใหญ่ใดจะมาแจ้ง ไทเฮามีรับสั่งอันใดหรือ”


 


 


หงอวี้ก้มศีรษะพูดว่า “ไทเฮาได้ยินเรื่องที่พระชายาตั้งครรภ์ เมื่อคืนดีใจจนไม่หลับทั้งคืน วันนี้เช้าก็ให้บ่าวมารับพระชายาเข้าวัง พระนางชอบให้มีลูกหลานเต็มบ้าน บ่าวไม่เห็นไทเฮาดีใจเช่นนี้มานานแล้ว”


 


 


ก็เป็นเรื่องปกติที่ไม่ได้แปลกนัก เพียงแต่เฉินยางก็รู้สึกประหลาดใจ ท้องของนางยังไม่โตเลย ต่อให้ข้างในมีเด็กแล้วจะอย่างไร นางก็มองไม่เห็น จ้องมองตัวเองแล้วก็โมโหอีก นี่ไม่ใช่เป็นการหาความหงุดหงิดใส่ตัวหรือ


 


 


คิดคือคิด หน้าก็ยังต้องให้ ขอเพียงนางไม่หงุดหงิดใส่ตน ให้นางดูเสียเล็กน้อยก็ไม่เสียหายอะไร และไม่ต้องให้หงอวี้กล่อมอีก นางก็ตกลงอย่างง่ายดาย


 


 


ซั่งเหมยซั่งเซียงติดตามด้วย เฉาเต๋อหลุนส่งพวกนางถึงหน้าประตู ท่านอ๋องเพิ่งจะออกไป ไทเฮาก็มารับคนติดๆ พอคิดดูดีๆ แล้วก็รู้สึกผิดสังเกต เพียงแต่ที่ใดที่ผิดสังเกตนั้นก็บอกไม่ถูก เขาก็ไม่กล้าขวางคนของไทเฮาไว้ ได้แต่มองส่งพวกนางไปด้วยสายตา ในใจก็เริ่มรู้สึกไม่สงบมากขึ้น


 


 


ระหว่างทางเฉินยางหวาดระแวงอยู่ตลอด นึกถึงหงอวี้เมื่อครู่พูดว่าไทเฮาได้ยินข่าวที่นางตั้งครรภ์แล้วนั้นดีใจมาก คิดว่าคงจะไม่หาเรื่องนาง ต่อให้นางใช้ไม่ได้อย่างไร ในท้องก็ยังมีลูกของเฝิงเยี่ยไป๋อยู่ คงจะไม่ให้นางยืนระเบียบอยู่ตลอด หรือโบยตีนางบ่อยๆ กระมัง


 


 


ในวังช่างอึดอัดเสียเหลือเกิน ไม่มีความเป็นมิตรเลย แม้ว่าชีวิตในวังจะหรูหราทั้งชีวิต เพียงแต่ผู้หญิงทั้งวังล้วนล้อมอยู่รอบพระวรกายฮ่องเต้ที่เป็นผู้ชายเพียงคนเดียว วังหลังมีหญิงงามสามพันคน หากจะต้องไปเยี่ยมทีละคน ไม่กินไม่ดื่มก็ต้องใช้เวลาอยู่หลายวัน พอคิดได้เช่นนี้แล้ว ซ่งจูหลี่หรูพวกนางแต่งเข้ามาในจวนท่านอ๋องกลับยังดีเสียกว่า ไม่เช่นนั้นเข้าไปอยู่ในวังแล้ว พระพักตร์ฮ่องเต้ก็ไม่ได้พบ ไม่ใช่ว่าน่าเสียใจยิ่งกว่าหรือ


 


 


พอคิดได้เช่นนี้ นางกลับรู้สึกโล่ง ตอนแรกต่างคนต่างก็มีชีวิตตัวเองอยู่แล้ว ชีวิตของพวกนางเป็นเช่นนี้ ที่นางช่วยได้ก็คือพูดแทนพวกนางให้เฝิงเยี่ยไป๋เท่านั้นแล้ว


 


 


ระหว่างทางไปวังก็ราบรื่น ซั่งเหมยซั่งเซียงจะมาประคองนาง นางไม่ให้ พวกนางเครียดเกินไปแล้ว เฝิงเยี่ยไป๋ก็ด้วย นางไม่ใช่เด็กสามขวบเสียหน่อย ถูกคนหามซ้ายหามขวา เหมือนดั่งไปลานประหารเช่นนั้น นางเดินเองได้ ก้าวทีละก้าวได้อย่างมั่นคงนัก


 


 


มาถึงตำหนักฉือหนิง เฉินยางตามอยู่ข้างหลังน่าอวี้ติดๆ ระเบียบมารยาทมิอาจลืม กำลังจะย่อตัวเคารพ เสียงอ่อนโยนของไทเฮาที่อยู่บนเก้าอี้ก็ลงมา “ไม่ต้องแล้ว หงอวี้ รีบประคองเจ้านายของเจ้านั่งลง”


 


 


 


 


——


 


 


ตอนที่ 360 ความสัมพันธ์แม่กับลูกสะใภ้


 


 


 


 


พอเป็นเช่นนั้น กลับทำเอาเฉินยางรู้สึกกังวลขึ้นมา นางเงยหน้ามองไทเฮาด้วยความงุนงง แล้วถูกหงอวี้ประคองนั่งลงตรงตำแหน่งเก้าอี้รองประธาน


 


 


บนหน้าไทเฮาประดับรอยยิ้มอบอุ่น ไม่มีความเข้มงวดที่ไม่ชอบนางก่อนหน้านี้ พอยิ้มเช่นนี้แล้ว ก็ดูเป็นท่านยายที่ใจดี ในใจเฉินยางรู้สึกอบอุ่น ก็ยิ้มขึ้นมา “ขอบพระทัยไทเฮา”


 


 


“ควรจะให้เจ้านั่งอยู่แล้ว อยู่ต่อหน้าข้า ไม่ต้องมากพิธี” นางหันศีรษะไปสั่งหงอวี้ “ยกน้ำเดินลมปราณที่ต้มให้พระชายาออกมา… ก่อนที่เจ้าจะมาก็วางทิ้งไว้ให้เย็นลงแล้ว มาดื่มตอนนี้กำลังพอดี ไม่ลวกปาก”


 


 


เฉินยางรีบลุกขึ้นแล้วกล่าวขอบพระทัย ไทเฮาบ่นนางว่า “นั่งดีๆ พวกเราเป็นแม่กับลูกสะใภ้กัน ไม่ต้องมีระเบียบมากมายเช่นนั้น”


 


 


แม่กับลูกสะใภ้? เป็นแม่กับลูกสะใภ้กันเสียตั้งแต่เมื่อใด ไม่ใช่ว่าไม่ชอบนางหรือ ก่อนหน้านี้ยังจะให้เฝิงเยี่ยไป๋หย่ากับนางอยู่เลย มาตอนนี้กลายเป็นแม่กับลูกสะใภ้กันระเบียบมารยาทก็ไม่ต้องสนใจแล้ว นี่ก็คือแม่ได้ดีเพราะลูกหรือ เพราะลูกในท้องของนาง จึงปฏิบัติกับนางดีขึ้นแล้ว?


 


 


เฉินยางฟังคำของนางนั่งกลับลงไป รับน้ำถ้วยนั้นมาดม ก็ขมวดคิ้ว ก็ไม่รู้ว่าข้างในมีสมุนไพรอะไร เพียงแต่ไม่ทำร้ายคนแน่นอน เกรงว่าคงจะเอาสมุนไพรบำรุงทั้งหลายต้มรวมกันเสียทีเดียวกระมัง


 


 


นางดมแล้วยังฉุนเลย ให้นางดื่มอีก นางรู้สึกดื่มไม่ค่อยลง


 


 


ไทเฮากล่อมนางอยู่ข้างๆ “ดื่มเสียเถิด ตอนนั้นข้าก็ผ่านมาเช่นนี้ ดีต่อเจ้า ก็ดีต่อลูกในท้องของเจ้า พวกเจ้าแม่ลูกดีแล้ว ข้าถึงจะดี”


 


 


ด้วยความหวังดีของไทเฮา และท่าทีที่มีต่อนางนั้นดีขึ้น เฉินยางไม่อาจไม่ไว้หน้าไทเฮา นางจึงกลั้นหายใจแล้วดื่มลงไปรวดเดียว


 


 


รสชาติที่เข้าปากไม่ต้องคิดก็รู้ได้ นางกดหน้าอกเอาไว้ ความรู้สึกคลื่นไส้พุ่งขึ้นมา ข้างมือมีชา ยามนี้ก็ไม่สนระเบียบอะไรนั่นแล้ว นางเปิดฝาแล้วดื่มทันที แก้วหนึ่งดื่มลงไป ก็ดีขึ้นมาเสียหน่อย


 


 


ไทเฮาไม่ค่อยพอใจกับการตอบสนองของนางนัก ขมวดคิ้วพูดว่า “นี่ล้วนเป็นยาหมอหลวงซ่งชิวจื้อแห่งสำนักหมอหลวงที่เชี่ยวชาญวิชาสตรีสั่ง บำรุงมาก ตอนนี้เจ้าตั้งครรภ์อยู่ วันหลังยาบำรุงนี้ยังต้องดื่มทุกวัน เจ้าเลี้ยงร่างกายดีแล้วหลานของข้าถึงจะแข็งแรง”


 


 


ความอบอุ่นที่เพิ่งเกิดขึ้นในใจของเฉินยางดับลงในทันที ไทเฮามีท่าทีอย่างไรต่อนางนางยังไม่รู้อีกหรือ จู่ๆ ก็ดีกับนางเช่นนี้ ไม่ใช่เพราะลูกในท้องของนางหรือ หรือจะเปลี่ยนนิสัยแล้ว?


 


 


นางก้มศีรษะลงด้วยความผิดหวัง อย่างไรเสียหลังจากนี้ก็ไม่ต้องอยู่ในสายตาของนาง จะดื่มหรือไม่นางก็ไม่รู้ เพียงยาที่เฝิงเยี่ยไป๋ให้นางดื่มนั้นก็ทรมานพอแล้ว หากยังมาอีกถ้วย นางเกรงว่าจะมีชีวิตอยู่ไม่ถึงวันที่ลูกคลอด


 


 


ไทเฮาเหมือนดั่งมองทะลุหัวใจได้ ตอนที่นางแอบดีใจอยู่นั้น ไทเฮาเล่นเล็บ และสร้างความตื่นตัวให้นางว่า “อีกเดี๋ยวเรียกคนกลับไปเก็บเสื้อผ้าเจ้ามา ช่วงที่เจ้าตั้งครรภ์อยู่หลายเดือนนี้ก็ตามข้ามาอยู่ในวังเสียเถิด ผู้หญิงตั้งครรภ์แรกไม่ง่ายนัก โดยเฉพาะร่างกายเจ้าอ่อนแอ ในวังมีหมอหลวง เรียกแล้วมาได้ทุกเมื่อก็สะดวกเสียหน่อย อีกอย่าง สามีเจ้ายุ่งนัก กลับไปแล้วยังต้องเป็นห่วงเจ้า เป็นเช่นนี้นานๆ จะเหนื่อยเอาได้ เจ้าอยู่ข้างกายข้า มีข้าคอยดูแลอยู่ ย่อมสบายใจกว่าอยู่ที่จวนอ๋อง”


 


 


ที่แท้ก็หวังสิ่งนี้อยู่ กลับมีเฝิงเยี่ยไป๋อยู่ นางอยากจะเจอหน้าหลาน จึงฉวยโอกาสลงมือก่อน ก่อนที่หลานจะคลอดออกมาก็จองเอาไว้ เพื่อจะได้ไม่ต้องถึงเวลาอยากเจอหน้าหลานยังต้องผ่านด่านลูกชาย ลูกชายไม่ถูกกับนาง ย่อมทำให้นางไม่พอใจ จะได้เจอหน้ายากยิ่งกว่าปีนขึ้นฟ้า ดังนั้นถึงได้คิดวิธีเช่นนี้ออกมา


ตอนที่ 361 เขาเป็นพ่อเด็ก 


 


 


 


 


 


ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าปิดบังเฝิงเยี่ยไป๋อยู่ หากให้เฝิงเยี่ยไป๋รู้เข้า ไม่วุ่นวายจนตำหนักฉือหนิงนี้พลิกไปเลยถึงจะแปลก นางหันศีรษะมองไปนาฬิกาแดดที่วางอยู่ข้างนอก ยามนี้น่าจะยังไม่เลิกราชกิจ เฝิงเยี่ยไป๋ยังอยู่ในวัง ขอเพียงเขายังอยู่ในวัง นางก็พูดได้อย่างไม่ต้องเกรงกลัว นางเชิดหน้าขึ้น พูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งว่า “เรื่องใหญ่เช่นนี้ ยังต้องคุยกับท่านพี่ก่อนค่อยว่ากัน ท่านพี่ก็เป็นดั่งฟ้าของข้า หากเขาไม่ยอม ข้ายอมแล้ว หน้าเขาก็ดูไม่ดีนัก ไม่เช่นนั้นรอให้ท่านพี่เลิกราชกิจเสียก่อน ถามความเห็นจากเขาแล้วค่อยตัดสินใจเถิดเพคะ!” 


 


 


ดีเหลือเกิน เอาเฝิงเยี่ยไป๋มาอ้างกับนาง เจ้าเด็กนี้ฉลาดแล้ว ครั้งก่อนที่มายังกล้าๆ กลัวๆ นี่เพิ่งผ่านไปนานเพียงใด ก็กลายเป็นคนเจ้าเล่ห์เสียแล้ว รู้จักเถียงกับนางแล้ว หน้าไทเฮาเริ่มบูดบึ้งขึ้นมา “ข้าก็หวังดีกับเจ้า ผู้ชายของเจ้าทำงานใหญ่ เรื่องเช่นนี้ก็ไม่ต้องถามเขาแล้ว นี่เป็นเรื่องของพวกเราผู้หญิง ผู้ชายเพียงรออุ้มลูกก็พอ ไม่ต้องกังวลเรื่องอื่น” 


 


 


เพิ่งจะบอกว่าท่านยายผู้นี้เป็นคนดีอยู่เลย ตอนนี้กลับทำเช่นนี้อีก ท่านยายรักหลาน บ่นนางว่าร่างกายอ่อนแอ จะเลี้ยงหลานรักของนางได้ไม่ดี รั้งนางเอาไว้ จะต้องต้มยามั่วซั่วบำรุงทุกวันให้นางกินให้ได้ 


 


 


ยามที่อยู่ในบ้านเฝิงเยี่ยไป๋ก็ไม่ได้ปล่อยให้นางอยากกินอะไรก็กิน อยากกินเท่าใดก็กินเท่านั้น ทุกอย่างล้วนจัดตามเหมาะสม หากปล่อยให้ไทเฮาทำเช่นนี้ นางจะบำรุงจนมีสภาพเช่นไรเล่า 


 


 


เฉินยางยิ้มไม่ออกอีกแล้ว นางถูมือ พูดช้าๆ ว่า “ลูกเป็นของเขา เขาไม่เป็นกังวลใครจะเป็นกังวล จะมีใครที่ไม่สนใจรออุ้มอย่างเดียว” 


 


 


ไทเฮาหน้าบูดบึ้งอย่างสิ้นเชิง ตบโต๊ะตะคอกว่า “เหลวไหล! คำพูดของเจ้าหมายความว่าอย่างไร ดูแลสามีเลี้ยงลูกเป็นหน้าที่ของเจ้า ผู้ชายของเจ้าอยู่ข้างนอกหาเงินเลี้ยงครอบครัว เจ้ากลับบ้านปรนนิบัติเขาดีๆ ไม่ได้ไม่ว่า ยังคิดจะสร้างปัญหาให้เขาอีกหรือ” 


 


 


เฉินยางกลัวจนขาสั่น นางเม้มปาก ได้ยินไทเฮาพูดอย่างหนักใจอีกครึ่งประโยค “ปีนี้เขาก็อายุสามสิบแล้ว อายุเท่านี้แล้ว ตอนแรกก็ควรจะแต่งภรรยามีหลานได้แล้ว เขาเพิ่งจะได้มีลูกเป็นคนแรก มีลูกน้อยแล้วก็ไม่ดี เจ้าเข้ามาในวัง เขาก็ไม่ต้องกังวลมากมายนัก ในบ้านยังมีพระชายารองอีกสามคน ฉวยโอกาสดีๆ นี้ มีลูกเพิ่มอีกหลายคนถึงจะดี” 


 


 


ไทเฮาคิดเช่นนี้ก็ไม่มีอะไรผิด เพียงแต่ฟังอยู่ในหูเฉินยางแล้วกลับหายใจลำบาก นางอยากจะมีหลานยิ่งมากยิ่งดี แต่นางกลับอยากจะเฝ้าอยู่กับสามีตัวเอง ดีที่สุดคือครอบครัวสามคนอยู่กันไปนานๆ 


 


 


ปัญหาแม่สามีกับลูกสะใภ้ไม่ใช่ไม่มีเหตุผล อย่างน้อยเรื่องการมีลูกนั้นพวกนางก็เห็นไม่ตรงกันแล้ว ในใจเฉินยางไม่พอใจ แต่กลับพูดออกมาไม่ได้ นอกจากพูดไม่ได้แล้ว ยังต้องแสร้งทำเป็นใจกว้าง 


 


 


บางครั้งเฉินยางก็อยากจะเถียงไทเฮาอย่างไม่เกรงใจ ความสัมพันธ์ของนางกับเฝิงเยี่ยไป๋เป็นเช่นไรในใจนางไม่รู้อีกหรือ รู้ว่าเฝิงเยี่ยไป๋แค้นนางที่เป็นแม่แต่ไม่คิดจะฟื้นฟูความสัมพันธ์แม่ลูก แถมยังทำแต่เรื่องที่ทำเอาเขาแค้นขึ้นไปอีก บอกว่าทำเพื่อเขา ก็ลองถามความเห็นของเขาดูสิ นางคิดว่าดีกับเขา เพียงแต่สุดท้ายแล้วมีแต่จะผลักลูกชายตัวเองไกลออกไปเรื่อยๆ แม่ลูกสองคนไม่ได้เจอกันมานานเท่าใดแล้ว ก่อนจะไปเฝิงเยี่ยไป๋ยังเป็นเด็กที่ไม่รู้เรื่อง กลับมาอีกครั้งเปลี่ยนเนื้อแท้ไปหมดแล้ว นางยังคิดว่าเขาเป็นเด็กที่เชื่อฟังคนนั้น ใช้วิธีเก่าๆ กับเขา ใช้ไม่ได้แล้ว 


 


 


เพียงแต่คำพูดเหล่านี้นางก็ได้แต่คิดอยู่ในใจ พูดออกมาก็คืออกตัญญู หากทำเอาไทเฮาโกรธจนเป็นอะไรขึ้นมาอีก ก็จบสิ้นแล้ว 


 


 


 


 


 


—— 


 


 


ตอนที่ 362 แผนเล็กๆ 


 


 


 


 


 


ไทเฮาเอาแต่ใจขึ้นมาใครก็ทำอะไรไม่ได้ นางเป็นผู้อาวุโสในวัง ต่อให้เฝิงเยี่ยไป๋ไม่ถูกกับนาง ฮ่องเต้ไม่ถูกกับนาง ฐานะวางอยู่ตรงนั้น ใครจะทำอะไรนางได้ 


 


 


เฉินยางเกิดความรู้สึกอ่อนแรงลึกๆ ขึ้นมา นางไม่อยากอยู่ในวัง นางอยากอยู่กับเฝิงเยี่ยไป๋ อยู่กับเฝิงเยี่ยไป๋นางรู้สึกสบายใจ นางไม่ได้กลัวว่าเขาจะไปมีลูกกับผู้หญิงคนอื่นจริงๆ หากเขาอดทนไม่ได้ไปหาผู้หญิงคนอื่น ถึงเวลามีลูกแล้ว นั่นก็เป็นลูกของเขา นางจะพูดอะไรได้? ให้เขาทิ้งลูกไปหรือ เช่นนั้นก็ไม่ได้ 


 


 


นางกลัวตัวเอง ชีวิตในวังไม่ง่ายนัก นางอยู่ในสายตาของไทเฮาอีก แม้ว่าจะมีลูกในท้องจึงไม่ต้องถูกตี เพียงแต่ตั้งครรภ์สิบเดือนต้องอยู่ในวัง ยังต้องดื่มยาบำรุงวันละสามมื้อ นางก็ดีใจไม่ลง แถมนางยังร้อนรนอีก ก็ไม่รู้ว่าเพราะร้อนหรือเครียด หน้าผากนางมีเหงื่อซึมออกมา มือของนางก็เกาจนแทบขาด สุดท้านนางนั่งไม่อยู่ บอกว่าจะออกไปเดินเล่น 


 


 


ไทเฮาตอบรับ ให้หงอวี้ตามนางไป ปากบอกว่ากลัวนางไม่คุ้นที่ในวัง อย่าได้ทำผิดระเบียบในที่ที่ไม่ควรเข้า ที่จริงแล้วก็คือเฝ้าจับตานาง กลัวนางตุกติกวิ่งไปฟ้องเฝิงเยี่ยไป๋ 


 


 


หงอวี้นำทางอยู่ข้างหน้า เฉินยางจงใจเดินช้าลงอยู่หลายก้าว ถามซั่งเหมยเสียงต่ำว่า “พวกเจ้าไม่ใช่ว่ามาจากในวังหรือ น่าจะคุ้นกับที่ทางในวังมากกว่า จากที่นี่ไปที่ประชุมราชกิจไกลเพียงใด” 


 


 


ซั่งเหมยตกใจ กล่อมนางว่า “นายหญิง หากท่านคิดไปไปหาท่านอ๋อง เช่นนั้นบ่าวขอบอกท่านว่ารีบล้มเลิกความคิดนี้เสีย ในวังเฝ้าระวังอย่างแน่นหนา ทุกประตูมีองครักษ์ต้องห้ามเฝ้าอยู่ อย่าว่าแต่ท่านเลย แม้แต่ฮองเฮาก็ยังไม่อาจไปที่ใดก็ได้ ท่านรีบเลิกคิดเสียเถิด หากเดินผิดที่แล้วถูกจับได้ ก็จะถูกประหารเอา” 


 


 


เพียงแค่เดินผิดที่แล้วถูกจับได้ก็ต้องถูกประหาร นางรู้ว่าในวังมีระเบียบอยู่มาก เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าจะไร้มนุษยธรรมเช่นนี้ นางไม่ได้คิดจะไปหาเฝิงเยี่ยไป๋ตรงๆ นางเพียงอยากจะฝากคนส่งจดหมายให้เขา เพียงแต่พอเป็นเช่นนี้ ก็กลัวจะทำร้ายคนอื่นเพราะความเห็นแก่ตัวของตัวเอง แผนเล็กๆ สุดท้ายนั้นจึงเป็นอันล้มเลิกไป 


 


 


ซั่งเซียงกล่อมอยู่ข้างๆ ว่า “ท่านอย่าได้เป็นกังวลเลย ท่านอ๋องกลับไปแล้วหากไม่เห็นท่าน จะต้องมาตามหาในวัง ถึงยามนั้นมาขอคนจากไทเฮา ไทเฮาจะไม่ให้ได้หรือ” 


 


 


ความสามารถในการพูดเรื่องเท็จนางเคยเห็นมาแล้ว เฝิงเยี่ยไป๋จะมา จะต้องมีความวุ่นวายไม่น้อยอีกครั้ง ครั้งที่แล้วก็ทรมานแล้วครั้งหนึ่ง มาอีกครั้งหนึ่ง ใครจะทนได้? 


 


 


นางเดินไปพลางถอนหายใจไปพลาง โทษก็ต้องโทษนางเองที่โง่ เรื่องมาถึงยามนี้ก็ยังคิดหาวิธีเอาตัวรอดไม่ได้ พวกเขาออกจากตำหนักฉือหนิง เดินผ่านทางเดินสายหนึ่ง ภาพตรงข้างหน้าค่อยๆ เปิดกว้าง ทั้งดอกไม้ใบหญ้า สีสันสวยงาม ภาพเช่นนี้ ช่างตรงกับประโยคที่ว่าชาตินี้ยากจะได้เจอไม่กี่ครั้ง 


 


 


หงอวี้ก้าวเท้าช้าลง พานางเดินเล่นอยู่ในสวน ตอนแรกพูดว่าไทเฮาดีอย่างไร เห็นใบหน้าของนางเพียงเลือนราง ดูไม่ออกว่าดีใจหรือโกรธ คิดว่าในใจคงไม่ชอบนางย่อมฟังไม่เข้าหู ก็ไม่พูดอีก พอเงียบไปครู่หนึ่ง หงอวี้เปลี่ยนเรื่องแล้วถามนางว่า “บ่าวได้ยินว่าพระชายากับท่านหมออิ๋งโจวรู้จักกัน ท่านหมออิ๋งโจวนั้นเป็นลูกชายของเจ้าสำนักหมอหลวงอิ๋งหง วิชาหมอล้ำเลิศ บ่าวเคยได้ยินไทเฮาพูดถึง เพียงแต่ไม่เคยเจอตัวจริงเลย เพียงแต่คิดว่าน่าจะเป็นเหมือนใต้เท้าอิ๋ง ล้วนเป็นท่านหมอดีๆ ที่ช่วยชีวิตคน!” 


 


 


พูดถึงอิ๋งโจว สีหน้าของเฉินยางถึงได้ดีขึ้น แล้วพูดตามนางต่อ “กูกูพูดได้ถูกต้องนัก ท่านหมออิ๋งโจวช่วยชีวิตคนมากมาย เป็นท่านหมอดีๆ ที่หาได้ยากนัก” 


ตอนที่ 363 พระชายาก็อยู่ตำหนักฉือหนิง


 


 


 


 


หงอวี้เดินช้าลงเล็กน้อยตามอยู่ข้างๆ เฉินยาง พูดเหมือนดั่งคุยเรื่องทั่วไปว่า “ใต้เท้าอิ๋งกับไทเฮาของพวกเรารู้จักกัน เมื่อก่อนท่านอ๋องป่วยหนัก ตอนแรกบอกว่าจะส่งหมอหลวงไปที่จวน เพียงแต่ได้ยินว่าอิ๋งโจวก็พักอยู่ที่จวนท่านอ๋องแล้ว ก็รู้สึกสบายใจไม่น้อย ใต้เท้าอิ๋งเป็นคนดี ท่านหมออิ๋งโจวก็ใช่”


 


 


เฉินยางถูกนางพูดใส่จนงง ไม่รุ้ว่านางคิดอะไรอยู่ ก็ไม่กล้าตอบ จึงได้แต่พูดไปตามนางว่า “ท่านหมออิ๋งโจวเป็นคนดีอยู่จริง”


 


 


ก็ไม่รู้ว่านางฟังไม่ออกหรือแกล้งไม่รู้เรื่อง คนปกติได้ยินแล้วไม่ใช่ว่าควรถามไทเฮากับพ่อของอิ๋งโจวรู้จักได้อย่างไร เป้าหมายจะแสดงจนชัดเจนไม่ได้ ไทเฮาจะรั้งนางไว้อยู่ที่ตำหนักฉือหนิง หลังจากนี้ก้มศีรษะไม่เจอเงยหน้าขึ้นมาก็เจอ หากนางค่อยๆ รู้เรื่องขึ้นมา นิสัยเช่นนี้ พูดอะไรไม่รู้จักปิดบัง พอถามไทเฮา ไทเฮาเป็นคนขี้สงสัย จะต้องคิดมากแน่นอน


 


 


หงอวี้ก็ไม่พูดแล้ว ค่อยๆ เดินเป็นเพื่อนนาง พูดบ้างเป็นบางครั้ง ก็ล้วนเกี่ยวกับดอกไม้ดอกหญ้า เวลาส่วนมากก็นิ่งเงียบ ในสวนมีสีสันสวยงาม เพียงแต่ที่มุมมักจะเผยความหนางเหน็บออกมา ช่วงเดือนที่ร้อนที่สุด นางกลับขนลุกไปทั้งตัว


 


 


เฝิงเยี่ยไป๋ถึงแล้วก็ไม่ได้ปัดงานที่ถูกคนด่า ความสามารถที่เก่งที่สุดของฮ่องเต้ก็คือเอาแต่ใจ เจ้าปฏิเสธ ฮ่องเต้ไม่ฟัง เดี๋ยวก็ไอเดี๋ยวก็ปดวศีรษะ ไม่เช่นนั้นก็คือบอกไม่สบาย เจ้าพูดของเจ้า ฮ่องเต้ก็ยังคงออกราชโองการ เฝิงเยี่ยไป๋มีความสามารถมากมายเพียงใดก็ไม่มีที่ใช้ ก็เหมือนดั่งชกใส่นุ่น ไม่เกิดเสียงเลย


 


 


พอเลิกราชกิจ เขาเดินไปข้างนอกคนเดียว ล้วนรู้ว่าเขาไม่พอใจ ก็ไม่มีใครกล้าหาเรื่องเขา เดินผ่านข้างกายเขา ก็พูดเพียงว่า `ท่านอ๋องดี` จากนั้นก็หลบไปไกลๆ


 


 


สามคนที่ครั้งก่อนถูกเขาจับผิดนั้น ก็ตามอยู่ข้างหลังเขาด้วยความหวาดกลัว บนราชกิจไม่อาจช่วยพูดให้เขาได้ ทั้งสามคนนี้ต่างหวาดระแวง กลัวเขาจะโทษลงมา เป็นเรื่องแน่ๆ


 


 


เพิ่งออกจากตำหนักไท่เหอ ขันทีผู้ดูแลใหญ่ในตำหนักไทเฮาก็มาเชิญเขา บอกว่าไทเฮามีเรื่องจะพูดกับเขา


 


 


เฝิงเยี่ยไป๋ไม่แม้จะคิดก็ปฏิเสธไป ยกมือขึ้นมา ก็ผลักจนขันทีเซล้ม


 


 


“ท่านอ๋อง ท่านฟังบ่าวเสียหน่อย…” ยังดีที่ขันทีอายุไม่มาก ถูกผลักแล้วยังสามารถลุกขึ้นยืนได้ เขาวิ่งเหยาะๆ ขึ้นไป “พระชายาก็อยู่ที่ตำหนักฉือหนิง ท่านไม่ไปดูหรือ”


 


 


คำพูดนี้มีประโยชน์กว่าคำพูดเป็นร้อยพัน เฝิงเยี่ยไป๋หยุดทันที สีหน้าบูดบึ้ง “ไฉนนางถึงอยู่ที่นั่นได้”


 


 


เรื่องที่พระชายาตั้งครรภ์ไทเฮารู้แล้ว เรื่องเป็นอย่างไร บ่าวก็ไม่ทราบ อย่างน้อยท่านไปดูเสียหน่อย เห็นใจความลำบากของบ่าว”


 


 


ไทเฮาพบเฉินยางจะมีเรื่องดีอะไรได้ คงจะหาวิธีอะไรทำให้พวกเขาสามีภรรยาทะเลาะอีกแน่ๆ วันนี้จมูกข้างหนึ่งหายใจไม่สะดวก อีกข้างก็ถูกคนอุดไว้อีก เขาหักข้อนิ้วดังเปรี๊ยะๆ ขันทีที่อยู่ข้างๆ ตกใจหดไหล่ เขาเดินไป ขันทีต้องวิ่ง คนที่ฝึกวิชามาหลายปีเพียงเดินใต้เท้าก็มีลม ไร้วิชาที่เท้า ก็ตามเขาไม่ทันจริงๆ


 


 


เฉินยางเดินเล่นเสร็จกลับมาที่ตำหนักฉือหนิง ชนเข้ากับเฝิงเยี่ยไป๋พอดี กำลังแปลกใจอยู่ว่าเขามาได้อย่างไร เฝิงเยี่ยไป๋กลับอ้าปากด้วยความร้อนรนว่า “ชนเจ้าเข้าให้แล้ว ไม่ได้เจ็บใช่หรือไม่”


 


 


นางทำหน้านิ่ง “ข้าไม่ใช่ตุ๊กตาดินเผาเสียหน่อย ชนก็แตกแล้ว… ไฉนท่านถึงมาแล้ว”


 


 


“ข้ายังจะถามเจ้าอยู่เลย ใครเรียกเจ้ามา”


 


 


นี่ไม่ใช่ถามทั้งๆ ที่รู้หรือ ไม่ใช่ไทเฮาส่งคนมารับ นางว่างจนเบื่อเข้าวังมาเองหรือ


 


 


 


 


——


 


 


ตอนที่ 364 ภรรยาตัวเองยังอุ้มไม่ได้หรือ


 


 


 


 


ที่ไทเฮาเกลียดที่สุดก็คือท่าทางของเฝิงเยี่ยไป๋ที่ปกป้องเฉินยางอยู่ตลอด โดยเฉพาะได้ยินว่าถูกตัวเองเรียกมา ก็เหมือนดั่งภรรยาเขาตกลงไปอยู่ในรังหมาป่าเช่นนั้น กังวลจนออกหน้าเกินไป


 


 


สีหน้าไทเฮาบูดบึ้งลง พูดเสียงเย็นชาว่า “ต่อหน้าคนมากมายกอดกันไปมาใช้ได้อย่างไร ปล่อยมือ!”


 


 


เฝิงเยี่ยไป๋กุมมือนางแน่นขึ้นไปอีก พูดเสียงดังว่า “ภรรยาของข้าข้ายังกอดไม่ได้หรือ ไม่ได้ขโมยผู้หญิงเสียหน่อย กอดแล้วจะเป็นอะไรไป ข้าจะดูว่าใครกล้านินทา”


 


 


เหล่านางกำนัลและขันทีที่ปรนนิบัติอยู่ในตำหนักตัวสั่นเล็กน้อย คำพูดนี้คือพูดกับคนใช้เพียงแต่ที่พูดอยู่นั้นแท้จริงแล้วเป็นไทเฮา ลูกชายคนนี้ ไม่ได้ให้หน้าผู้เป็นแม่เลย ไทเฮาขายหน้ายิ่งนัก โกรธจนหน้าสั่น


 


 


เฉินยางกระตุกแขนเสื้อของเขา กลัวว่าไทเฮาจะโกรธจนเป็นอะไรขึ้นมา เช่นนั้นนางก็จะกลายเป็นนางจิ้งจอกยั่วสวาทแล้ว


 


 


ไทเฮาดื่มชาไป คิดแล้วก็ช่างเสียเถิด จะคิดมากมายกับเขาทำไมกัน หลังจากที่สงบอารมณ์ได้แล้ว ก็เรียกคนให้ที่นั่งเขา


 


 


“ไอเจีย[1]ถามเจ้า ภรรยาของเจ้าตั้งครรภ์แล้ว ไฉนเจ้าถึงไม่บอกไอเจีย”


 


 


ผู้เป็นแม่ มีคนใดที่ไม่รู้สึกลูกชายได้ลูกแล้วยังปิดบังนางอีก เพียงแต่นางอยู่ในวัง เขาอยู่นอกวัง ความห่างไกลทำให้ไม่อาจดูแลได้ ต่อให้ในใจจะโทษเขา บนปากก็ไม่อาจตำหนิจนหนักเกินไป กลัวว่าเขาออกไปแล้ว ก็จะไม่ก้าวเข้ามาประตูตำหนักของนางนี้อีก


 


 


เฝิงเยี่ยไป๋ก็ไม่ได้มีความคิดที่จะปิดบังนาง เขาจงใจแทงเรื่องใจเจ็บของนาง “นี่เป็นเลือดเนื้อตระกูลเฝิงของพวกเรา เกี่ยวอะไรกับไทเฮาหรือ บอกไทเฮาจะมีประโยชน์อันใดหรือ”


 


 


ไทเฮาเจ็บอยู่ในใจ ปวดจนขมวดคิ้ว “ไม่ว่าเจ้าจะยอมรับไอเจียหรือไม่ ไอเจียก็เป็นแม่แท้ๆ ที่คลอดเจ้าเลี้ยงเจ้ามา เด็กคนนี้เป็นหลานของไอเจีย ไอเจียมีสิทธิ์ที่จะรู้”


 


 


“ไอเจีย? ไทเฮาคงจะจำผิดเสียแล้วกระมัง ข้าแซ่เฝิง ไม่ได้แซ่อวี่เหวิน ไม่ใช่เชื้อสายของฮ่องเต้องค์ก่อน และก็ไม่มีแม่ที่เป็นไทเฮา”


 


 


เมื่อก่อนเขาไม่ยอมรับนาง เหตุผลก็ต่างรู้อยู่แก่ใจ เพียงแค่ไม่พูดออกมา มักรู้สึกว่ายังมีโอกาสที่จะแก้ไขได้ เพียงแต่วันนี้พูดออกมาแล้ว โอกาสสุดท้ายก็ไม่มีแล้ว ไทเฮาพิงไปที่เก้าอี้ เหมือนแรงถูกสูบจนหมดสิ้น “ไอเจียคลอดเจ้าเลี้ยงเจ้ามา นึกไม่ถึงว่าสุดท้ายแล้ว…”


 


 


ที่เฝิงเยี่ยไป๋ไม่ชอบที่สุดก็คือได้ยินนางเรียกตัวเองว่า `ไอเจีย` ด้านหนึ่งก็คิดจะคืนดีกับเขา อีกด้านก็ยืดติดกับฐานะปล่อยวางไม่ลง พูดไอเจียอยู่ทุกคำ ตัวเองก็ไม่ยอมละทิ้งฐานะที่ว่าข้าเป็นใหญ่นั่น เขาจะยอมรับก็คือยอมรับแม่ ไม่ใช่เชิญไทเฮากลับบ้านไปถวายเช้าเย็น


 


 


วันนี้เฝิงเยี่ยไป๋หงุดหงิดบนราชสำนัก นึกไม่ถึงว่าแม้แต่ที่ไทเฮานี้ก็ทำเอาโกรธเสียอีก จึงอยากจะพาคนกลับไปก่อนที่ไทเฮาจะอ้าปาก นี่ช่างเป็นแม่แท้ๆ ของเขาเสียจริง คิดทุกวิธีให้เขากับภรรยาแยกออกจากกัน เหมือนดั่งเขาไม่สงบ นางก็ดีใจเช่นนั้น


 


 


ครั้งนี้ท่าทีของเขาแข็งกร้าว แววตาลุกเป็นไฟ “หากไทเฮาไม่มีเรื่องใดจะสั่ง ข้าขอพาภรรยากลับไปก่อนแล้ว”


 


 


ครั้งนี้ไทเฮาก็ตัดสินใจไว้แล้ว ไม่ยอมล้มเลิก ไม่ปล่อยคน “ไม่สนว่าเจ้าจะยอมรับไอเจียเป็นแม่เจ้าหรือไม่ ลูกที่อยู่ในภรรยาของเจ้า อนาคตก็ต้องเรียกข้าว่าย่า ภรรยาของเจ้าร่างกายอ่อนแอ จวนท่านอ๋องก็ไม่มีหมอหลวง เจ้าเป็นผู้ชาย จะอยู่ตลอดด้วยก็ไม่ได้ เจ้าจะกลับไปก็กลับไปเถอะ ทิ้งเจ้าเด็กนี้ไว้ ลูกในท้องของนางเห็นหลานของไอเจีย ไอเจียไม่ปฏิบัติกับนางแย่นัก เจ้าก็ไม่ต้องเป็นห่วง เพียงรอข่าวก็พอ!”


 


 


 


 


——


 


 


[1] ไอเจีย เป็นคำเรียกแทนตัวเองของฮองเฮาหรือไทเฮาที่พระสวามีสวรรคตแล้ว

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม