หมอยาหวานใจท่านประธาน 354-361

 ตอนที่ 354 ปล่อยเธอ ผมเอง


 


 


แนน่อนว่าม่านตายังคงไม่เปลี่ยน แต่อยู่ดีๆ ใครจะมาตรวจว่าพวกเขาเป็นตัวจริงหรือไม่


 


 


“กลับไปแล้วถ่ายรูปส่งมาให้ฉัน ต้องสร้างสถานภาพคุณขึ้นมาใหม่จึงจะได้” แม้ว่าจะไม่มีคนคอยตรวจบัตรเขาบนถนนทุกวัน แต่ก็ควรป้องกันไว้ก่อน


 


 


ดวงตาเฟิงฉี่เจิดจ้าขึ้น “ว้าว เจ๊ คุณร้ายกาจจริงๆ ทำอย่างนี้วันหลังผมไปที่สถานที่ประมูลใต้ดินก็ไม่ต้องสวมหน้ากากแล้ว อิอิ กินยาแปลงโฉม รับประกันว่าพ่อผม ปู่ผมก็ดูไม่ออก”


 


 


อีลั่วเสวี่ยคิดในใจ “ดูไม่ออกหรือ ดูท่าทางขี้เล่นของเขาแล้ว จะดูผิดคนได้อย่างไร”


 


 


“จริงสิ เจ๊ คราวก่อนที่สถานที่ประมูลใต้ดินผมเห็นด้านหลังของผู้หญิงคนหนึ่งเหมือนคุณมาก คุณก็ไปที่นั่นใช่ไหม? จริงด้วย คุณยังประมูลซื้อแหวนหยกวงหนึ่ง เหมือนวงที่คุณสวมอยู่เลย”


 


 


เขาเห็นมืออีลั่วเสวี่ยวางอยู่บนพวงมาลัยรถ แหวนหยกวงนั้นยังคงดูเจิดจ้าแม้จะอยู่ในแสงสลัว เฟิงฉี่พูดเสริม แววตาดูจริงจัง


 


 


“แหวนวงนี้เป็นร้านพี่ชายเฟยเฟยทำขึ้น เราสามคน ฉัน เฟยเฟยและเสี่ยวเย่ มีกันคนละวง” ที่เธอพูดนั้นไม่ผิด แต่เธอไม่ปฏิเสธว่าคนที่อยู่ในสถานที่ประมูลใต้ดินนั้นไม่ใช่เธอ


 


 


เฟิงฉี่พยักหน้า “ผมได้ยินเรื่องนี้แล้ว ฮ่าฮ่า พี่ลั่วเสวี่ย วันไหนผมจะพาคุณไปเที่ยวที่สถานที่ประมูลใต้ดิน ที่นั่นน่าสนุก”


 


 


อีลั่วเสวี่ยยกมุมปากขึ้น “งั้นหรือ ถึงเวลานั้นแล้วค่อยว่า ไปกัน”


 


 


เมื่อทั้งคู่มาถึงทางแยกก็เห็นถนนสายยาวที่ข้างหน้าเต็มไปด้วยรถยนต์ ถึงกับตกตะลึง รถติด เป็นการติดขัดแบบที่รุนแรงมาก ดูเหมือนข้างหน้าจะมีรถชนกัน ขณะนี้ขับผ่านไปไม่ได้


 


 


“วันนี้ดูเหมือนจะไม่ค่อยราบลื่น” ลูกบอลเงินพึมพำ


 


 


ดวงตาอีลั่วเสวี่ยเป็นประกาย รีบบอกให้เจ้าลูกบอลเงินตรวจสอบในเน็ต ค้นหาเส้นทางที่ตอนนี้รถไม่ติด แล้วตัดสินใจใช้ถนนด้านข้าง จึงเตรียมจะเลี้ยวไปทางลัด


 


 


งานเปิดร้านKบาร์นรกอเวจี เธอต้องไปให้ทันจึงจะได้ ถ้าไปไม่ทันก็ต้องไปให้ถึงเร็วหน่อย การเปิดร้านในที่แบบนั้น วันแรกอาจจะไม่ค่อยสงบ


 


 


ขณะที่อีลั่วเสวี่ยขับรถมาถึงถนนที่นับว่ากว้าง ทันใดนั้นก็มีคนผู้หนึ่งวิ่งข้ามถนน แล้วหมอบลงตรงหน้ารถเธอ เมื่อครู่ต้องหยุดรถกะทันหัน เธอกับเฟิงฉี่ใข้พลังทิพย์ห่อหุ้มรถไว้ ทำให้รถไม่ชนคน


 


 


คนไม่ถูกรถชน แต่รถจอดลงแล้ว อีลั่วเสวี่ยเปิดประตูรถ เดินออกมา แล้วจู่ๆ ก็มีมีดมาจ่อที่เอวด้านหลังเธอ


 


 


“อย่าขยับ!”


 


 


“ปล่อยเธอ ไม่งั้นฉันยิงนะ!” เสียงหนึ่งดังขึ้น ทำให้อีลั่วเสวี่ยหันไปมอง ถึงตรงนี้เฟิงฉี่ลงจากรถแล้ว มองเห็นคนในเครื่องแบบตำรวจ เหงื่อเต็มใบหน้า ชูปืนเล็งไปที่ชายที่อยู่ข้างหลังอีลั่วเสวี่ย


 


 


“อย่ายิง!” เฟิงฉี่ร้องบอกทันที เวรกรรม นี่มันเรื่องอะไร


 


 


ที่แท้ชายคนนี้เป็นผู้ร้าย เป็นผู้ร้ายฆ่าคนตาย ข้างหน้าที่ขวางถนนไว้เป็นรถคุมตัวคนร้าย ถูกเขาเล่นงาน เขาฆ่าเจ้าหน้าที่ที่คุมตัวกับคนขับรถ แล้ววิ่งหนีมา มีตำรวจนายหนึ่งไล่ตามมา


 


 


ชายหนุ่มคนนั้นไม่มีเวลาจะปาดเหงื่อบนใบหน้า เขาขยับทีละก้วเข้าใกล้อีลั่วเสวี่ย “หลี่ชิงเฟิง อย่าวู่วาม ปล่อยเธอ ฉันเป็นตัวประกันแทนเธอเอง!”


 


 


“อย่าฝันไปเลย!” เสียงหัวเราะที่อำมหิตดังขึ้น มีดสั้นเปลี่ยนมาจ่อที่คออีลั่วเสวี่ย แตะบนผิวหนัง ระหว่างนี้อีลั่วเสวี่ยสงบนิ่งมาก


 


 


เฟิงฉี่ชูมือขึ้นทันที “งั้นฉันล่ะ ฉันเอง ฉันเป็นตัวประกันให้นาย ปล่อยพี่สาวฉันซะ”


 


 


ตอนนี้สมองของเฟิงฉี่สับสน เขาลืมไปว่าอีลั่วเสวี่ยมีฝีมือเหนือกว่าเขา


 


 


ตำรวจหนุ่มคนนั้นผงะเล็กน้อย แล้วสั่นหัว “ไม่ได้ ฉันเอง ฉันเหมาะที่สุด นายปล่อยเขา ฉันเอง”


 


 


 


 


ตอนที่ 355 กัดลิ้นแล้ว


 


 


เขาพูดพลางกางแขนออก ค่อยๆ วางปืนในมือลงบนพื้น อีลั่วเสวี่ยเห็นเช่นนั้นก็ทำตาขวาง โง่จริง เดี๋ยวคนร้ายคงบอกให้เขาเตะปืนมา เท่ากับรนหาที่ตายชัดๆ


 


 


ในสภาพเช่นนี้ก็ยิ่งช่วยตัวประกันได้ยากขึ้น ควรจะใช้เหตุผลเอาชนะ ใช้สงครามประสาทสู้กับคนร้าย ไม่ใช่ยอมอ่อนข้อเร็วแบบนี้ เฮ้อ ยังไงก็เป็นตำรวจหนุ่ม


 


 


“แม่คุณ เวลาอย่างนี้ยังอุตส่าห์คิดเรื่องนี้อีก เจ้าไม่คิดหรือว่าที่สงบนิ่งเกินไปอย่างนี้ เหนือกว่าคนทั่วไปหรือ?” ลูกบอลเงินบันทึกภาพพลางพูดเย้ย


 


 


ที่บอกว่าบันทึกภาพนั้นที่จริงไม่ถูกต้องนัก มันกำลังถ่ายทอดสดไปยังดวงดาวอันไกลโพ้น ให้เพื่อนๆ ของมันดู สามารถทำเงินได้ ฮ่าฮ่า เงินมากซะด้วย


 


 


“หรือเจ้าไม่รู้ว่ามีสภาพที่เรียกว่าตกใจจนทำอะไรไม่ถูก จากนั้นยืนตัวแข็งทื่อ คิดอะไรไม่ออก ฉันอาจจะเป็นแบบนั้นก็ได้” แต่ถ้าร้องไห้โวยวายอาจทำให้คนร้ายหงุดหงิด แล้วลงมือเล่นงานเธอล่ะ จะทำยังไง


 


 


อีกอย่างเธอรู้สึกถึงพลังสายนั้นในร่างชายคนนี้ เขาไม่ใช่เป็นแค่ฆาตกรโหดเ**้ยมง่ายๆ แค่นั้น กลิ่นคาวเลือดบนตัวเข้มข้นมาก น่าแปลกจริงๆ


 


 


กลัวจนยืนแข็งทื่อ? ผีถึงจะเชื่อ ลูกบอลเงินนึกโต้แย้งในใจ แต่ไม่กล้าพูดออกมา


 


 


และแล้วคนที่จับเธอไว้ก็บอกให้ตำรวจเต๊ะปืนมาให้ เขามองอีลั่วเสวี่ยแล้วจำเป็นต้องทำตาม ถ้าเกิดอะไรกับนักศึกษาสาวคนนี้ย่อมไม่ดีแน่ เขาจึงต้องเสี่ยงดู


 


 


เขาอยู่ห่างจากโจรคนนี้เพียงห้าหกเมตร ขอเพียงเจ้านั่นก้มลงหยิบปืน เขาจะฉวยโอกาสบุกใส่ ขณะเดียวกันก็ขยิบตาให้สัญญาณอีลั่วเสวี่ย แต่ใบหน้าเธอไร้ความรู้สึก เขารู้สึกไม่มั่นใจ


 


 


เขาก็คิดว่าอีลั่วเสวี่ยตกใจจนทำอะไรไม่ถูก จึงหันไปขยิบตากับเฟิงฉี่ เห็นเขายืนอยู่อีกด้านหนึ่งของรถ ดูว่าพอจะทำอะไรได้บ้าง


 


 


ขณะที่ตำรวจเตะปืนออกไป ปืนมาอยู่ที่ปลายเท้าอีลั่วเสวี่ยพอดี โจรยิ้มอย่างเยือกเย็นแล้วก้มลงหยิบปืน


 


 


ถึงตอนนี้อีลั่วเสวี่ยยกเท้าเหยียบปืนไว้ แล้วพลิกมือคว้าแขนโจรไว้ ออกแรงบิด เกิดเสียงดังขวาก ข้อต่อมือหลุดออก


 


 


“รนหาที่ตาย!” เขาดูท่าทางเหมือนไม่เจ็บปวดนัก เขาถูกอีลั่วเสวี่ยเล่นงานทำให้ขณะนี้หันหลังให้กับตำรวจหนุ่ม บังอีลั่วเสวี่ยไว้พอดี


 


 


ขณะนั้นเองอีลั่วเสวี่ยก็นั่งลงบนพื้น ยื่นมือออกไปส่งพลังทิพย์เข้าไปในร่างคนผู้นี้ มีไอร้ายสายหนึ่งถูกขับออกมาทันที ถูกเจ้าลูกบอลเงินทำให้สลายไป


 


 


“หลี่ชิงเฟิง!” ตำรวจหนุ่มตะโกนด้วยความโกรธเกรี้ยว แล้วโผเข้ามาชนโจรล้มลง มีรอยยิ้มอย่างพอใจผุดขึ้น ดูเหมือนเขาจะภาคภูมิใจกับความกล้าหาญของตนเอง


 


 


ถึงตอนนี้เฟิงฉี่มาอยู่ข้างตัวอีลั่วเสวี่ยแล้ว เขาถามด้วยความห่วงใย “เจ๊ เป็นอะไรไหม?” ขณะนี้ทั้งคู่ผ่านการแปลงโฉมแล้ว เขารู้ดีจึงไม่เรียกชื่ออีลั่วเสวี่ยออกมา


 


 


ตำรวจหนุ่งล้วงกุญแจมือออกมา จัดการใส่กุญแจมือไพล่หลังให้คนร้าย โจรจ้องมองอีลั่วเสวี่ยด้วยความเคียดแค้น กำลังจะพูดอะไรก็เกิดกระอักเลือดออกมา แล้วแววตาดูเลื่อนลอย


 


 


“ดูซิว่ายังจะกล้าหนีอีกไหม?” ตำรวจหนุ่มถอนหายใจแล้วปาดเหงื่อบนใบหน้า เขาหยิบวิทยุสื่อสารออกมาเรียกกำลังเสริม


 


 


“เรียกศูนย์ใหญ่ เรียกศูนย์ ผมคือห่าวเหริน หมายเลข 948 ผมอยู่ที่xxx คนร้ายที่หนีมาชื่อหลี่ชิงเฟิงถูกคุมตัวไว้แล้ว ทราบแล้วเปลี่ยน”


 


 


วิทยุสื่อสารมีเสียงหึ่งๆ จากนั้นก็เป็นเสียงพูดตอบ “ศูนย์ได้รับแล้ว อยู่กับที่รอคำสั่ง จะส่งกำลังเสริมไปเดี๋ยวนี้


 


 


“ทราบแล้ว” ถึงตอนนี้ห่าวเหรินจึงหันมามองอีลั่วเสวี่ยและเฟิงฉี่ สีหน้าขออภัย


 


 


“ต้องขอโทษจริงๆ ทำให้พวกคุณตกใจ บาดเจ็บไหมครับ เดี๋ยวส่งตัวคนร้ายแล้ว ผมจะให้คนพาพวกคุณไปตรวจที่โรงพยาบาล”


 


 


อีลั่วเสวี่ยลุกขึ้น แล้วโบกมือ “ไม่ต้องหรอก แต่เขาต่างหากที่ต้องไปโรงพยาบาล” อีลั่วเสวี่ยพูดจบก็ชี้ไปที่หลี่ชิงเฟิง ขณะนี้เขาสงบนิ่งไม่ขัดขืน


ตอนที่ 356 ต้องการให้ช่วยก็บอกได้เลย 


 


 


ตอนนี้เองที่ตำรวจหนุ่มเห็นใบหน้าหลี่ชิงเฟิงเต็มไปด้วยคราบเลือด จึงจับคางเขาดึงลง มีก้อนเนื้อร่วงลงมา เป็นลิ้นเขา เขากัดลิ้นตัวเอง! 


 


 


“เฮ่ย หลี่ชิงเฟิง เป็นบ้าไปแล้วหรือ?” ห่าวเหรินประหลาดใจ แล้วตบใบหน้าและแขนเขา พบว่าเขายังกัดลิ้นอยู่ จึงล้วงไฟฉายออกมายัดใส่ปากเขา 


 


 


แววตาหลี่ชิงเฟิงดูเลื่อนลอย เขากัดไฟฉายดังแกรกๆ ดูเหมือนจะไม่รู้สึกเจ็บปวด ถึงตอนนี้เฟิงฉี่เดินมา หยิบเข็มเงินออกมาเล่มหนึ่ง ค่อยๆ แทงเข้าไปในคอเขา 


 


 


“เลิกกัดได้แล้ว ขืนกัดอีกฟันจะสึกหมด” หลี่ชิงเฟิงเหมือนฟังเข้าใจ ค่อยๆ อ้าปากออก ไฟฉายร่วงลงบนพื้น 


 


 


ห่าวเหรินเห็นเช่นนี้จึงคลายความกังวล “พี่ชาย ขอบใจนะ” จากนั้นก็ล้วงวิทยุสื่อสารออกมา “เรียกศูนย์ เรียกศูนย์ ผมห่าวเหริน หมายเลข 978 หลี่ชิงเฟิงขัดขืน กัดลิ้นตัวเองขาด เตรียมยาห้ามเลือดด้วย” 


 


 


“ศูนย์รับทราบ” ถึงตอนนี้เรื่องจึงผ่านไปแปลาะหนึ่ง 


 


 


เฟิงฉี่ฉวยโอกาสที่ห่าวเหรินใช้วิทยุสื่อสาร ถอนเข็มเงินของตนออกเงียบๆ 


 


 


และในเวลาเดียวกันนี่เอง เพื่อนตำรวจของห่าวเหรินก็มาหนุนช่วย วิ่งเข้ามาจับหลี่ชิงเฟิงกดลงกับพื้นทันที 


 


 


“ห่าวเหริน ไม่บาดเจ็บใช่ไหม ไปด้วยกัน” ห่าวเหรินในฐานะตำรวจที่ติดตามมาต้องตามไปด้วย 


 


 


“รอเดี๋ยว ฉันไปคุยกับคนที่ถูกหลี่ชิงเฟิงจับตัวไว้สองสามคำ” 


 


 


เพื่อนตำรวจหันมามองดูอีลั่วเสวี่ยซึ่งดูแล้วปลอดภัยดี และไม่โวยวายจะให้พวกตนรับผิดชอบ เขาจึงพยักหน้า “ก็ได้” จากนั้นก็ให้ตำรวจส่วนหนึ่งตรวจสอบกล้องวงจรปิด รวมทั้งรักษาสถานที่เกิดเหตุและเก็บหลักฐาน คนที่เหลือคุมตัวหลี่ชิงเฟิงไป 


 


 


“คุณไม่เป็นอะไรใช่ไหม ต้องไปตรวจที่โรงพยาบาลไหมครับ” คนที่ถูกคนร้ายจับเป็นตัวประกัน ไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่ ได้รับบาดเจ็บหรือไม่ ย่อมเหลือเงามืดอยู่ในใจ พวกเขามีหน้าที่ที่จะแนะนำบ้าง 


 


 


อีลั่วเสวี่ยส่ายหัว “ไม่ต้องหรอก ขอบคุณค่ะ เราไม่เป็นไร ต้องขอตัวก่อน ขอเพียงทางตำรวจไม่ฟ้องว่าฉันก่อเรื่องก็ถือว่าโชคดีแล้ว” เมื่อกี้หลี่ชิงเฟิงถูกรถเธอชน แม้จะไม่เป็นไร แต่ใครจะรู้ว่าอาจถูกขยายให้เป็นเรื่องใหญ่ก็ได้ 


 


 


ห่าวเหรินยิ้มเจื่อนๆ “ไม่หรอกครับ เขาเป็นคนวิ่งเข้าใส่รถต่างหาก ผมเป็นพยานได้ อีกอย่างผมก็ไม่ได้ให้เพื่อนหาหลักฐานเรื่องนี้” ว่าไปแล้วถ้าไม่ใช่เพราะอีลั่วเสวี่ยช่วย คงเกิดเรื่องใหญ่แน่นอน 


 


 


เฟิงฉี่มาอยู่ข้างๆ อีลั่วเสวี่ย เขามอดูห่าวเหริน “เอาละคุณตำรวจ ผมกับพี่สาวมีธุระสำคัญ เราไปได้หรือยัง?” 


 


 


“อ้อ ได้ครับ พวกคุณไปเถอะ ที่เหลือผมจัดการได้ ไม่รบกวนพวกคุณหรอก จริงสิ ผมชื่อห่าวเหริน วันหน้าถ้ามีเรื่องอะไรต้องการให้ช่วย มาหาผมได้ จริงด้วยผมยังไม่รู้ชื่อพวกคุณเลย” 


 


 


เฟิงฉี่หันมามองอีลั่วเสวี่ยทันที ขณะนี้พวกเขากำลังแปลงโฉม จะมีชื่อด้วยหรือ 


 


 


อีลั่วเสวี่ยหันไป แล้วหยิบนามบัตรใบหนึ่งออกมาจากรถ “นี่ค่ะ ฉันชื่อเสวี่ยลั่วอี เขาชื่อเสวี่ยชี เป็นน้องชายฉัน” 


 


 


น้องชาย? สองคนนี้หน้าตาไม่คล้ายกันเลย จะเป็นน้องชายหรือ? ห่าวเหรินคิดในใจ แล้วรับนามบัตรที่อีลั่วเสวี่ยยื่นให้ พร้อมกับจับมือกับเธอ 


 


 


สุดท้ายอีลั่วเสวี่ยขับรถจากไป 


 


 


“เฮ่ย เดี๋ยวสิ สองคนนั้นเป็นพยานที่เห็นเหตุการณ์ ทำไมคุณถึงปล่อยให้พวกเขาไป ต้องบันทึกปากคำก่อน ยังต้องดูว่าพวกเขาเป็นอะไรไหม ไม่งั้นทีหลังมาหาเรื่องเดือดร้อน โทษว่าเราตำรวจทำหน้าที่บกพร่อง ย่อมไม่ดีแน่” 


 


 


ห่าวเหรินห้ามเพื่อนที่กำลังจะหยิบโทรโข่ง “ไม่ต้องหรอก พวกเขาไม่อยากถูกดึงเข้ามายุ่งด้วย อีกอย่างเรื่องนี้วุ่นวายใหญ่แล้ว เรื่องที่ไม่ควรเดือดร้อนก็อย่าไปเดือดร้อนเลย” 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 357 ท่านเจ็ด 


 


 


ไม่ใช่เพราะพวกเขาทำงานไม่จริงจัง แต่ทำงานตามสถานการณ์และความเห็นของผู้เคราะห์ร้าย เรื่องนี้ทางที่ดีที่สุดคือการยุติเพียงเท่านี้ก็พอ 


 


 


เพื่อนตำรวจครุ่นคิด “แล้วถ้าเกิดถึงตอนนั้น…” ถ้าชั้นเหนือถามเรื่องนี้ขึ้นมา แล้วต้องการให้ตามหาคน จะไปหาที่ไหน เมืองเอฟใหญ่โตขนาดนี้ ไม่เท่ากับงมเข็มในมหาสมุทรหรือ 


 


 


“ถึงตอนนั้นฉันย่อมติดต่อเธอได้” ห่าวเหรินพูดพลางชูนามบัตรในมือ 


 


 


“ต่อให้หาไม่เจอ แถวนี้มีกล้องวงจรปิดไม่ใช่หรือ ลำบากนิดหน่อยเท่านั้น อย่าขู่ตัวเองเลย ทำงานเถอะ ฉันกลับไปก่อน” ห่าวเหรินตบไหล่เพื่อนร่วมงาน แล้วขี่มอเตอร์ไซค์ที่เพื่อนทิ้งไว้ให้ ขับตามรถที่คุมตัวหลี่ชิงเฟิงไป 


 


 


ในรถเฟิงฉี่มองอีลั่วเสวี่ย “เจ๊ เรื่องเมื่อกี้คุณทำใช่ไหม?” คนอื่นไม่รู้ แต่เขาสังเกตเห็น เธอลงมือกับหลี่ชิงเฟิงตอนที่นั่งลงไป 


 


 


อีลั่วเสวี่ยหมุนพวงมาลัยรถ ตามองตรงไปข้างหน้า “ฉันเอง บนตัวเขามีไอปีศาจ เหมือนพลังที่เคยอยู่ในตัวพ่อฉัน ถ้าฉันไม่ลงมือ ตำรวจคนนั้นไม่ใช่คู่ต่อกรของเขาหรอก” 


 


 


ทั้งคู่ไม่อาจลงมืออย่างเปิดเผย เพราะอาจถูกคนอื่นมองออกได้ง่าย อีกประการหนึ่งเธอที่ดูเหมือนเด็กสาวที่อ่อนแอกับเฟิงฉี่ที่เป็นนักศึกษา ใช้มือเปล่าต่อสู้กับหลี่ชิงเฟิง เป็นฉากที่เหนือจินตนาการ 


 


 


อีกทั้งหลี่ชิงเฟิงอาจจะรู้จักใช้ไอปีศาจ พวกเขาควรจะทำอย่างไร ที่นี่เต็มไปด้วยกล้องวงจรปิด จะจัดการก็ไม่ได้ เพราะตำรวจโยงเข้ามาในเรื่องนี้ จะลบกล้องวงจรปิดย่อมไม่ได้ 


 


 


เฟิงฉี่เข้าใจแล้ว “มิน่าผมจึงรู้สึกว่าเจ้านั่นมีท่าทางแปลกๆ แต่ก็พูดไม่ถูก ที่แท้เป็นคนที่ฝึกวิชามาร” คนที่บำเพ็ญเพียรเช่นกัน พอมาเจอกันก็พอจะสังเกตรู้ได้ 


 


 


แต่ที่เขารู้สึกว่าบนตัวหลี่ชิงเฟิงเหมือนมีไอทิพย์แต่ก็ไม่ใช่ ขุ่นมัว ใช่แล้ว รู้สึกว่าขุ่นมัว ทำให้เขาลืมไปว่าอีลั่วเสวี่ยมีความสามารถที่จะรับมือได้ 


 


 


“คุณสามารถสังเกตได้ว่าผิดปกติก็ไม่เลวแล้ว รอให้บำเพ็ญเพียรสูงขึ้นอีกก็จะสามารถแยกระหว่างไอปีศาจกับไอทิพย์ได้” อีลั่วเสวี่ยอธิบาย ด้วยสายตาของเฟิงฉี่ตอนนี้ยังไม่อาจมองเห็นไอปีศาจ 


 


 


เฟิงฉี่ได้ยินก็ถอนหายใจ “การบำเพ็ญเพียร พูดง่ายหรอก…” แล้วทันใดนั้นดวงตาเฟิงฉี่ก็เจิดจ้าขึ้น หันมามองอีลั่วเสวี่ยอย่างคาดหวัง “เจ๊ คุณเก่งจริงๆ ผมขอฝึกบำเพ็ญเพียรกับคุณได้ไหม?” 


 


 


“คริคริ จะบำเพ็ญเพียรกับฉัน คุณไม่กล้วถูกเฉวียนหมิงเล่นงานหรือ?” มุมปากอีลั่วเสวี่ยกระตุก ให้เธอสอนเฟิงฉี่ย่อมไม่เป็นไร แต่ต้องดูว่ามีเวลาหรือไม่ 


 


 


พอเอ่ยถึงเฉวียนหมิง เฟิงฉี่รู้สึกเสียวสันหลังทันที “เจ๊ อยู่ดีๆ เอ่ยถึงเขาทำไม น่ากลัวจริงๆ ถ้าเขารู้ว่าคุณออกมากับผม เกิดนึกหึงขึ้นมาผมคงแย่แน่ๆ” 


 


 


อีลั่วเสวี่ยยิ้ม “งั้นหรือ บังเอิญพอดี ฉันบอกเขาว่ามาพบคุณเพราะมีเรื่องจะปรึกษา วันนี้เลยออกมาข้างนอก วันหลังถ้าเขาถามขึ้นมา คุณก็หาข้อแก้ตัวดีๆ เถอะ” 


 


 


“เฮ้อ…” เขาจะพูดอะไรได้ พูดอะไรไม่ได้เลย 


 


 


ไม่นานนักทั้งคู่ก็มาถึงซีหนานเฉิง ซึ่งก็คือบริเวณที่ตั้งของสถานที่ประมูลใต้ดิน อีลั่วเสวี่ยจอดรถในที่จอดเฉพาะของตน แล้วเรียกเฟิงฉี่ให้ลงจากรถ 


 


 


“เจ๊ นี่คือที่ที่คุณบอกผมใช่ไหม คุณถึงกับแอบเปิดร้านคาราโอเกะกับบาร์ลับหลังพี่เขย” เฟิงฉี่เงยหน้าขึ้นมองป้ายชื่อร้าน แล้วแปลกใจ ตั้งชื่อร้านอย่างนี้ น่ากลัวพิลึก 


 


 


“อะไรที่เรียกว่าลับหลังเขา วันหลังฉันจะบอกเขาเอง” เพียงแต่ขณะนี้ยังไม่ถึงเวลา แม้เธอจะเป็นเพียงเด็กสาว แต่ไม่ใช่ต้องอาศัยผู้ชายจึงจะอยู่รอดได้ 


 


 


ทั้งสองเดินเข้าไปในร้าน มีพนักงานมาต้อนรับอย่างนอบน้อมทันที “เถ้าแก่” 


ตอนที่ 358 เป็นที่ต้อนรับ 


 


 


พอทั้งคู่เข้ามาในร้านก็พบว่าในนี้มีคนไม่น้อยแล้ว ดูแล้วนับว่าคึกคัก หูปิงซึ่งทำหน้าที่พนักงานเสิร์ฟเห็นอีลั่วเสวี่ย รีบเดินมาทันที 


 


 


“เถ้าแก่” เขาพูดพลางมองมาที่เฟิงฉี่ รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ใครกันนี่ 


 


 


อีลั่วเสวี่ยชี้ไปที่เฟิงฉี่ “เสวี่ยชี น้องชายฉัน ต่อไปนี้เรียกเขาว่าท่านเจ็ดก็ได้” 


 


 


ท่านเจ็ด ฮ่าฮ่า ท่านเจ็ดก็ไม่เลวแฮะ เมื่อกี้เขายังนึกโมโหว่าทำไมชื่อตัวเองทั้งสองชื่อล้วนแต่ไม่น่าฟังเลย 


 


 


“ท่านเจ็ด เถ้าแก่ เชิญทางนี้ครับ” หูปิงผายมืออย่างสง่างาม แล้วชี้ไปที่ห้องพิเศษเล็ๆ ที่ไม่ห่างนัก มีไว้สำหรับอีลั่วเสวี่ยกับเพื่อนที่เธอพามาใช้เท่านั้น นี่เป็นสถานภาพอย่างหนึ่ง 


 


 


จากนั้นหูปิงก็ยกเหล้าอี้เถียนและเหล้าขาวกาหนึ่งมาให้อีลั่วเสวี่ย ใช้แก้วแบบโบราณ ดูหรูและสบายตา 


 


 


พอหูปิงผละไปแล้ว เฟิงฉี่จึงขยับเข้ามาใกล้ “เจ๊ คุณมีบริษัทแห่งหนึ่งแล้วไม่ใช่หรือ ทำกำไรได้ไม่น้อย ทำไมถึงมาเปิดร้านนี้ล่ะ?” บาร์เหล้าและคาราโอเกะไม่ใช่บริหารได้ง่ายๆ 


 


 


อีกอย่างสถานที่แบบนี้มีทั้งคนดีคนเลวปะปนกัน เกิดเรื่องได้ง่าย ที่นี่ยังอยู่ในซีหนานเฉิงซึ่งเป็นบริเวณที่ไม่ค่อยสงบ 


 


 


อีลั่วเสวี่ยยิ้ม แล้วรินเหล้าอี้เถียนให้เฟิงฉี่แก้วหนึ่ง “หาเงินเป็นเรื่องรอง ฉันไม่ต้องการถูกจำกัด” ถ้าจะทำให้ได้ถึงขั้นไม่ถูกจำกัดก็ต้องทำให้ตัวเองแข็งแกร่งมาก ไม่ว่าฝ่ายธรรมะหรือฝ่ายอธรรมล้วนยำเกรงเธอ 


 


 


อีกทั้งเรื่องบางเรื่อง ถ้าให้คนทางนี้ไปช่วยจัดการจะง่ายและสะดวกกว่า 


 


 


การที่สามารถยืนบนที่สูงได้ ไม่ถือว่าเก่ง แต่ถ้าสามารถทำให้คนที่อยู่บนที่สูงนึกยำเกรงได้ นั่นจึงจะถือว่ามีฝีมือ 


 


 


เฟิงฉี่ครุ่นคิดแล้วเข้าใจบ้างแล้ว บางครั้งสามารถเป็นที่ยกย่องที่ระดับล่างก็ถือว่ามีฝีมือ ที่จริงที่นี่ก็ทำเงินได้ไม่น้อย 


 


 


“เอ๊ะ…นี่มันอะไร ขมจริง” เฟิงฉี่หยิบเหล้าขึ้นมาดื่ม แล้วรู้สึกขมจนขมวดคิ้ว เหล้าขมแบบนี้จะดึงลูกค้าได้หรือ 


 


 


แต่พอพูดแล้วเขาก็เริ่มทำปากจ๊วบจ๊าบ “มีรสเปรี้ยวหวานด้วย เอ๊ะ เหล้าอะไรนี่” เป็นครั้งแรกที่ได้ดื่มเหล้าพิเศษอย่างนี้ 


 


 


อีลั่วเสวี่ยยิ้ม แล้วรินเหล้าขาวจอกหนึ่ง “ชิมนี่” 


 


 


หลังจากเฟิงฉี่ดื่มแล้วก็รู้สึกตาสว่าง “รสชาติพิเศษมาก ชื่อเหล้าอะไร?” 


 


 


“เหล้าอี้เถียนตามด้วยเหล้าดอกท้อ” เหล้าอี้เถียนขมก่อนแล้วค่อยเปรี้ยวอมหวาน พอดื่มเหล้าดอกท้อจะมีกลิ่นหอมทั่วทั้งปาก มีความรู้สึกเหมือนได้ดมดอกท้อเดือนสามบานทั่วขุนเขา 


 


 


ความรู้สึกนี้ไม่ใช่ฝืนเอง แต่คนที่เคยเห็นดอกท้อหรือเคยดมกลิ่นดอกท้อจะรู้สึกได้ 


 


 


“ไม่เลวเลย เจ๊ คิดไม่ถึงว่าคุณจะรู้เรื่องเหล้าดี” เฟิงฉี่พูดชม แล้วยกเหล้าอี้เถียนขึ้นดื่มอีก พอดื่มเสร็จก็ตามด้วยเหล้าดอกท้อ ท่าทางเหมือนได้กินอาหารรสเลิศ 


 


 


อีลั่วเสวี่ยยิ้ม “คนเราก็ต้องมีอะไรที่ชอบบ้าง” เมื่อก่อนนอกจากบำเพ็ญเพียรแล้ว พวกเขาผู้บำเพ็ญเพียรไม่ค่อยมีเรื่องที่ทำให้เพลิดเพลินใจ มีเพียงการดื่มเหล้าและชมทิวทัศน์เท่านั้น ก็เท่านี้เอง 


 


 


ต่างจากโลกนี้ ช้อปปิ้ง เดินเที่ยวตลาด ไปทัศนาจร ล้วนเป็นกิจกรรมที่น่าสนุก ไม่รู้ว่าคนบนโลกนี้เอาแต่เที่ยวเล่นจนขาดสติหรือไม่ พวกเขาใช้ชีวิตอย่างเสพสุขจนทอดทิ้งความลำบากในการบำเพ็ญเพียร 


 


 


“เจ๊มีความชอบที่พิเศษจริงๆ” เฟิงฉี่ชูนิ้วโป้งขึ้น แล้วนั่งเอนพิงโซฟา รื่นรมย์กับความรู้สึกพิเศษที่เกิดจากเหล้าที่พิเศษ 


 


 


อีลั่วเสวี่ยกวักมือเรียกหูปิงให้มาหา ในเมื่อคนที่เลือกกินอย่างเฟิงฉี่ยังชอบเหล้าอี้เถียนคู่กับเหล้าดอกท้อ งั้นวันนี้ถือโอกาสเผยแพร่เลยดีกว่า 


 


 


“เถ้าแก่ ทำแบบนี้อาจจะขาดทุน ทั้งไม่รู้ว่าบาร์เทนเดอร์จะทำได้ไหม” 


 


 


พอดีบาร์เทนเดอร์ที่ปรุงเหล้าอี้เถียนเดินมาพอดี เชาพูดทันที “ฟี่ปิง ผมจะลองดู” ลองท้าทายดูไม่เห็นจะเป็นไร ทั้งวันนี้เป็นวันเปิดร้านใหม่ สำคัญมาก 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 359 ผู้เร้นกายใหญ่อยู่ในเมือง 


 


 


เขาพูดออกมาเอง หูปิงจึงไม่พูดแล้ว เพียงแต่ตบไหล่เขา “สู้เต็มที่!” 


 


 


อีลั่วเสวี่ยเหลือบตาขึ้นมอง “ทำให้เต็มที่ก็ดีแล้ว แก้วแรกฟรี แก้วต่อไปค่อยจ่าย” ที่เธอจะทำไม่ใช่การค้าขายขาดทุน 


 


 


จากนั้นก็เริ่มทำการแนะนำเหล้าอี้เถียนกับเหล้าดอกท้อที่บาร์ เริ่มแรกทุกคนดื่มแล้วต่างรู้สึกว่าเป็นการกลั่นแกล้ง นึกโกรธ แต่แล้วดวงตาก็ฉายเววตื่นเต้น หลังจากดื่มเหล้าดอกท้อตาม ก็รู้สึกถึงรสชาติยอดเยี่ยมสุดบรรยาย 


 


 


“นี่เหล้าจับคู่กันหรือ ยกมาโต๊ะนี้สิบแก้วเลย!” เมื่อได้ลิ้มรสชาติที่พิเศษนี้ ลูกค้าก็เริ่มยอมรับ การแนะนำเหล้าชนิดใหม่นี้ได้รับการต้อนรับอย่างเหนือความคาดหมาย 


 


 


เฟิงฉี่เห็นแล้วแปลกใจ “เจ๊ การค้าของพวกคุณไปได้ดีมากเชียว” เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่าการค้าขายดูเหมือนจะไม่ยากเท่าไร 


 


 


อีลั่วเสวี่ยยิ้ม “ไม่ง่ายอย่างที่คุณคิดหรอก ต่อให้เหล้าดีแค่ไหนพอดื่มมากเข้าก็จะรู้สึกเบื่อ ถ้าอยากไปได้ไกลก็ต้องหาอะไรแปลกๆ จึงจะได้” 


 


 


อยากทำเหล้าพิเศษให้ขายดี ก็ต้องมีรสชาติถูกใจทุกคน ค้นให้เจอสิ่งที่ลูกค้าต้องการ ทำเหล้าที่ดื่มแล้วติดใจไม่รู้ลืม 


 


 


“ค่อนข้างซับซ้อน ผมเลิกคิดดีกว่า” เฟิงฉี่โบกมือ ตำราการค้าขายอะไร เขาฟังแล้วปวดหัว 


 


 


อีลั่วเสวี่ยเห็นท่าทางเฟิงฉี่ไม่สนใจแม้แต่น้อย จึงพูดกึ่งล้อเล่นว่า “เรียนรู้ไว้บ้างเป็นเรื่องจำเป็น วันหน้าคุณยังต้องรับสืบทอดบริษัทของครอบครัวไม่ใช่หรือ ไม่งั้นรอจนปู่กับพ่อจากไปแล้ว คุณจะทำยังไง?” 


 


 


พอเฟิงฉี่ได้ยิน สีหน้าดูอึดอัดทันที แม้คำพูดเธอจะแรงไปหน่อย แต่เป็นความจริง ทำให้อดคิดทบทวนไม่ได้ เขามองสำรวจอีลั่วเสวี่ยสองรอบ ในสมองเหมือนมีแสงสว่างวาบขึ้น 


 


 


“ผมคิดได้แล้วเจ๊ วันหลังผมจะหาคนที่รู้จักค้าขายอย่างเจ๊มาช่วยรับงานก็ได้แล้ว” 


 


 


อีลั่วเสวี่ยฟังจบก็สีหน้าหมองลง “เด็กสาวที่รู้จักค้าขายอย่างฉันมีมาก แต่คุณมั่นใจหรือว่าเธอปรับตัวกับสภาพของครอบครัวคุณแล้วสามารถบริหารได้” 


 


 


พูดให้ง่ายหน่อยหลิงเป่าถังของพวกเขาเป็นสถานที่ขายยาที่รักษาด้วยการประสานแพทย์ตะวันตกเข้ากับแพทย์แผนจีน ถ้าทำได้ไม่ดีก็จะกลายเป็นเพียงร้านขายยา เหมือนโรงงานยาที่ไร้จริยธรรม กินยามากแต่หายช้า 


 


 


“ฟังดูก็มีเหตุผล หรือว่าต้องรอให้ผมลงมือด้วยตัวเอง?” เฟิงฉี่รู้สึกจนใจ หลิงเป่าถังที่ครอบครัวเขาสืบทอดมานาน จะปล่อยให้ย่อยยับในมือตนเองได้อย่างไร 


 


 


อีลั่วเสวี่ยหรี่ตาลง “เพราะฉะนั้น ที่จริงคุณสามารถลองช่วยงานปู่กับพ่อบ้าง” ดูเหมือนเธอจะจำได้ว่าหมิงเย่ดูแลด้านแพทย์แผนตะวันตก แม่ของเฟิงฉี่ดูแลแพทย์แผนจีน ส่วนท่านผู้เฒ่าเป็นเสาหลักของบริษัท 


 


 


“ถ้างั้นผมต้องเลิกบำเพ็ญเพียรหรือ” เฟิงฉี่ตัดใจไม่ได้และลังเล ยังไม่ต้องพูดถึงว่ายากที่จะทั้งซื่อสัตย์และกตัญญู ระหว่างความฝันกับความเป็นจริง เขาไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร  


 


 


ก่อนหน้านี้รู้สึกว่าพ่อแม่ยังไม่แก่ เขาสามารถแสวงหาสิ่งที่ตัวเองต้องการได้ แต่พอได้ยินที่อีลั่วเสวี่ยพูด เขาก็รู้สึกว่าตนเองไม่สามารถทำตามอำเภอใจเช่นนี้ต่อไปแล้ว ควรจะทำตัวเป็นผู้ใหญ่ แบ่งเบาภาระของพ่อแม่ 


 


 


“คุณดูสิ ถึงฉันจะทำเรื่องเหล่านี้ แต่ฉันละทิ้งการบำเพ็ญเพียรไหม?” อีลั่วเสวี่ยทำตาขวางใส่ ไม่รู้จริงๆ ว่าคนบนโลกนี้คิดอย่างไร จะบำเพ็ญเพียรต้องแยกตัวออกไปจากโลก ไม่ใส่ใจโลกงั้นหรือ 


 


 


เฟิงฉี่เอียงคอ “ไม่ได้ทิ้ง แต่ผมไม่มีพรสวรรค์อย่างเจ๊ต่างหาก” 


 


 


“จำไว้นะ อยู่บนเขาแค่ผู้เร้นกายเล็ก อยู่ในเมืองจึงจะเป็นผู้เร้นกายใหญ่ ขอเพียงใจสงบ ความสับสนวุ่นวายใดๆ ก็ขัดขวางความตั้งใจบำเพ็ญเพียรของคุณไม่ได้ จากนี้ค่อยหาเวลา ฉันจะแนะนำให้คุณเรียนรู้” 


 


 


เฟิงฉี่เรียนตนเองว่าเจ๊ทุกคำ สกุลเฟิงยังมอยเตาหลอมยาให้ ก่อนหน้านี้ก็ช่วยเหลือเธอไม่น้อย เธอถือว่าเฟิงฉี่เป็นเพื่อน จึงควรช่วยเขาบ้าง 


ตอนที่ 360 ผมก็ขอร่วมหุ้นด้วย!


 


 


คำพูดของอีลั่วเสวี่ยทำให้ดวงตาเฟิงฉี่เจิดจ้าขึ้น “ที่เจ๊พูดจริงหรือ?” ก่อนหน้านี้เขาถามเธอหลายครั้ง แต่เธอไม่ยอมสอนเขา วันนี้ทำไมจึงพูดง่ายนะ


 


 


“ถ้าคุณคิดว่าโกหกก็ถือซะว่าฉันไม่ได้พูด” อีลั่วเสวี่ยเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย แล้วยกเหล้าขึ้นจิบช้าๆ


 


 


เฟิงฉี่ยิ้ม ตีหน้าเซ่อ “แฮ่ แฮ่ ใครจะคิดอย่างนั้น เจ๊ผมดีที่สุด!” เวลานี้เขารู้สึกว่าตัวเองโชคดีที่ตอนนั้นทำกระเป๋าสตางค์หาย รวมทั้งที่ถูกคนพวกนั้นแย่งชิงยาทิพย์ ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องนี้ เขาย่อมไม่มีทางรู้จักกับอีลั่วเสวี่ย


 


 


เนื่องจากก่อนหน้านี้หูปิงกับพวกทำการโฆษณา จึงมีลูกค้าเข้าร้านไม่น้อย บวกกับเป็นวันสุดสัปดาห์ด้วย แม้จะไม่ถึงกับลูกค้าแน่นร้าน แต่การค้าดีกว่าเดิมมาก


 


 


เรื่องสนุก พอมีเพื่อนกลุ่มหนึ่งพบสถานที่แปลกใหม่ที่น่าสนใจ ย่อมเชิญชวนกันมา ที่จริงลูกค้าที่เข้ามาทีหลังเป็นเพราะลูกค้าก่อนหน้าชวนมาดื่ม


 


 


หลังจากดื่มได้ที่แล้ว คนเหล่านี้ก็ย้ายสนามรบไปร้องเพลงที่ห้องคาราโอเกะ ห้องส่วนตัวแต่ละห้องทำการกั้นเสียงได้ดี ไม่มีการรบกวนกัน ที่สำคัญคือระบบร้องคาราโอเกะสมบูรณ์แบบมาก เพียงครั้งแรกลูกค้าเหล่านี้ก็ติดใจแล้ว


 


 


ที่บาร์เหล้าไม่มีเสียงอึกทึกและไม่มีดีเจเปิดเพลง เพียงเปิดเพลงเบาๆ เท่านั้น พวกที่เดิมทีตั้งใจจะมาสนุกเฮฮาจู่ๆ กลับรู้สึกว่าการดื่มในยรรยากาศที่เงียบสงบก็ดีเยี่ยม


 


 


แต่จะไม่มีดนตรีจังหวะคึกคักเร่าร้อนเลยย่อมเป็นไปไม่ได้ เพียงแต่อีลั่วเสวี่ยกำหนดเวลาไว้ ถ้าไม่สนุกสุดเหวี่ยง ก็เป็นความสงบเงียบ ใครชอบสิ่งแวดล้อมแบบไหนก็เลือกเวลามาได้


 


 


เมื่อหูปิงประกาศวิธีนี้ บรรดาลูกค้ารู้สึกแปลกใหม่ เพราะอย่างไรที่อื่นก็ไม่เคยทำแบบนี้มาก่อน


 


 


“วันนี้ Kบาร์นรกอเวจีขอขอบคุณทุกท่านที่มาเยือน สำหรับท่านผู้มีอุปการคุณทุกท่าน วันนี้คิดราคาเพียงครึ่งเดียว ทั้งทางเรายังมีระบบสะสมคะแนน เมื่อสะสมคะแนนได้ถึงจำนวนหนึ่งก็สามารถนำมาแลกเหล้าหรือร้องคาราโอเกะฟรีหนึ่งครั้ง ถ้าเลือกที่จะสมัครเป็นสมาชิกร้านเรา วันเกิดจะได้ลดยี่สิบเปอร์เซ็นต์”


 


 


“เดี๋ยวเพื่อนๆ ที่จะกลับถ้าคิดจะสมัครเป็นสมาชิก เราเตรียมการ์ดไว้เพียง 180 ใบเท่านั้นเป็นนัยว่าพวกเราทุกคนอายุ 18 ทุกวัน เมมเบอร์การ์ดมีสามแบบ คือพรีเมี่ยม แพลทตินั่นและแบบธรรมดา แต่ละแบบจะได้รับส่วนลดต่างกัน” พอหูปิงพูดจบก็มีเสียงปรบมือเกรียวกราว


 


 


จากนั้นทุกคนก็สนุกกันสุดเหวี่ยง ในร้านคึกคักเป็นพิเศษ จนถึงตีสอง คนเหล่านี้จึงทยอยกันกลับ


 


 


หูปิงเปิดคอมพิวเตอร์ คำนวณรายรับของวันนี้ ขณะที่มองเห็นตัวเลข เขาตั้งใจคำนวณใหม่สองครั้ง เพราะคิดว่าคอมพิวเตอร์แฮงค์


 


 


“หัวหน้า รวยแล้ว เรารวยแล้ว! ยอดขายวันนี้เป็นยอดขายทั้งสัปดาห์ของที่ผ่านมาบางครั้งเชียวครับ” หูปิงกลืนน้ำลาย ส่วนคนอื่นพอได้ยินก็ล้อมกันเข้ามาดู สีหน้าตื่นเต้นดีใจ


 


 


อีลั่วเสวี่ยยิ้ม ดูวันนี้ลูกค้าเข้าร้านไม่ขาดก็พอจะเดาได้


 


 


“ผมดูหน่อย ขอผมดูหน่อย” เฟิงฉี่ท่าทางเมาเล็กน้อยเดินเข้ามา เขาชำเลืองมองตัวเลขบนคอมพิวเตอร์ แล้วอดใจหายวาบไม่ได้ จนสร่างเมากว่าครึ่ง


 


 


“โอ้โห ของอย่างน้ำเมานี่ทำเงินชะมัด” มิน่าร้านเหล้าสมัยโบราณถึงทำเงินได้มาก ไม่สิ ไม่ว่าโลกไหน ของอย่างเหล้าล้วนทำตลาดได้ดีมาก


 


 


เฟิงฉี่จุ๊ปากเล็กน้อยแล้วกลืนน้ำลาย จากนั้นก็ยิ้มร่าพลางมองดูอีลั่วเสวี่ย “เจ๊ ไม่งั้นให้ผมร่วมด้วยดีไหม ผมอยากเข้าหุ้นด้วย”


 


 


อีลั่วเสวี่ยได้ยินก็ทำตาขวางใส่เฟิงฉี่ “นี่เป็นการค้าเล็กๆ ของฉัน คุณอย่ามายุ่งเกี่ยวดีกว่า ดูแล้วคุณก็ไม่ได้ขาดเงิน ถึงตอนนั้นถ้านายท่านผู้เฒ่าบ้านคุณรู้ว่าฉันดึงคุณมาทำธุกริจอย่างนี้ ฉันคงถูกด่าเปิงแน่”


 


 


เรื่องด่าว่าที่จริงไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ถึงตอนนั้นฐานะของเธอจะถูกเปิดเผย คงไม่ดีหรอก


 


 


“ใช่แล้วท่านเจ็ด อย่างคุณดูแวบเดียวก็รู้ว่ามีเงิน อย่ามาแย่งพวกเรากินเลยครับ” หูปิงรีบพูดทันที ทำหน้าน่าสงสาร


 


 


 


 


ตอนที่ 361 กินเหล้าแต่กลับไม่ชวนข้า


 


 


“ทำไมพูดแบบนั้นล่ะ?” ที่เขาร่วมหุ้นเป็นการแย่งพวกเขากินหรือ? ตรรกะบ้าอะไร


 


 


หูปิงจึงอธิบายเรื่องที่อีลั่วเสวี่ยให้พวกเขามีหุ้นด้วยได้แบ่งเงินปันผล เฟิงฉี่จึงเข้าใจแล้ว


 


 


“จู่ๆ ก็รู้สึกว่า เป็นคนงานของเจ๊ก็ไม่เลวเลย” เฟิงฉี่ท่าทางจริงจัง หาเถ้าแก่อย่างเธอได้ยากมาก อีกอย่างร้านนี้เพิ่งเปิด หลังจากนี้จะกำไรหรือขาดทุนก็ยังไม่รู้ ยังจะแบ่งปันผลให้


 


 


อีลั่วเสวี่ยเลิกคิ้วขึ้น “อะไรนี่ เป็นคุณชายดีๆ ไม่ชอบ อยากจะมาเป็นลูกน้องที่ร้านนี้?”


 


 


“แล้วจะยังไง ผมว่าดีออก” เฟิงฉี่ยิ้มหน้าระรื่น ผมบำเพ็ญเพียรอยู่ข้างนอกตลอดมา ยุ่งกับเรื่องพวกนี้น้อยมาก ระยะนี้กลับมาได้ไปเที่ยวกับหนานหลิวเฟิงและพวกบ้าง


 


 


ที่ที่ไปออกจะธรรมดา ไม่สนุกอย่างที่นี่เด็ดขาด


 


 


ขณะที่อีลั่วเสวี่ยกำลังจะพูดอะไร ก็ได้ยินเสียงมือถือเฟิงฉี่ดังขึ้น จากนั้นทุกคนก็เงียบเสียง คนอื่นพากันไปทำความสะอาดร้านและเก็บโต๊ะเก้าอี้


 


 


“ชูวส์…” เฟิงฉี่นึกว่าเป็นปู่หรือพ่อแม่เขาโทรหา รีบทำท่าให้ทุกคนเงียบเสียง แล้วค่อยๆ ล้วงมือถือออกมา พอเห็นชื่อคนที่โทรมา ก็ผ่อนคลายลงทันที


 


 


“ฮัลโหล…”


 


 


“ฮัลโหลอะไร เจ้าหนูกลับไปกี่เดือนแล้ว ไม่รู้จักกลับมาหรือไง? ไหนรับปากว่าจะเอาของอร่อยๆ มาฝากข้า ไหนล่ะ? โกหกนี่!”


 


 


แม้จะไม่ได้กดปุ่มแฮนด์ฟรี แต่เสียงในมือถือดังมาก อีลั่วเสวี่ยอยู่ใกล้ เธอได้ยินชัดทุกคำ


 


 


ไม่ต้องเดาเธอก็รู้ว่าใคร มั่วเวิ่น อาจารย์ของเฟิงฉี่นั่นเอง


 


 


เฟิงฉี่แปลกใจ รู้สึกหวั่นใจ เขาพูดเสียงอ่อน “อาจารย์ ศิษย์ส่งของมากมายทางไปรษณีย์ไปให้แล้ว…”


 


 


มั่วเหวินเปลี่ยนเรื่อง “เจ้าหนู กินเหล้าใช่ไหม? หือ?”


 


 


“กินเหล้า? ไม่ถูก อาจารย์รู้ได้ยังไงว่าผมกินเหล้า” หรือาจารย์มั่วเหวินของตนใส่อะไรไว้ที่ตัวเขา แต่ก็ไม่เหมือน ทำไมทุกครั้งที่ตนดื่มเหล้าจะถูกจับได้ตลอด


 


 


“เจ้ามีแต่ตอนที่เมาเท่านั้นจึงจะนอบน้อมต่อข้าเป็นพิเศษ หงอยังกะแมวเชียว”


 


 


แมวหรือ แมวบ้านะสิ เขาหงองั้นหรือ แล้วเหลือบตาขึ้นมองอีลั่วเสวี่ย


 


 


“แกนะแก จะกินเหล้าก็ไม่ชวนอาจารย์สักคำ ไร้น้ำใจจริงๆ! ทิ้งอาจารย์อย่างข้าไว้คนเดียวบนเขา โดดเดี่ยวไร้ที่พึ่ง ถือว่าข้าสอนเจ้าสูญเปล่า” มั่วเหวินพูดพล่ามต่อ


 


 


อีลั่วเสวี่ยยิ้ม “ถ้าท่านอยากดื่มเหล้า เดี๋ยวจะให้เขาส่งไปให้ แต่ว่าเหล้าดีของเราที่นี่ ท่านคงไม่ได้ดื่มแน่นอน”


 


 


“ใคร เสียงใคร ผู้หญิง เจ้าหนู เจ้ากลับไปที่แท้มีแฟนแล้ว มิน่านานขนาดนี้ถึงไม่กลับ” มั่วเหวินเดาเอาเองอีก


 


 


เฟิงฉี่ไม่รู้ว่าจะรับมือกับอาจารย์อย่างไรดี เขาถือมือถือเดินไปอีกห้องหนึ่ง “อาจารย์ เธอไม่ใช่แฟนผม เธอก็คือีลั่วเสวี่ยที่ผมเอ่ยถึงคราวก่อน ลั่วเสวี่ย…” สองคำหลังเสียงเบาลง


 


 


“อีลั่วเสวี่ย เจ้าหนู บอกเจ้ากี่ครั้งแล้ว ข้าอยากพบแม่หนูคนนี้ เร็ว รีบเปิดวิดีโอคอลล์ ข้าอาจารย์เจ้าอยากคุยกับเธอหน่อย” เด็กที่มีแววแบบนี้ ถ้าไม่รับไว้เป็นศิษย์คงเสียดายแย่


 


 


เฟิงฉี่จำต้องทำตาม เดินถือมือถือไปหาอีลั่วเสวี่ย “อาจารย์ผมอยากเห็นหน้าคุณ”


 


 


ทีแรกเธออยากปฏิเสธ แต่คิดอะไรบางอย่างแล้วผงกหัว “ได้ คุณตามฉันมา” จากนั้นทั้งสองก็ไปยังห้องทำงานของเธอซึ่งใช้พักผ่อนด้วย


 


 


เฟิงฉี่ติดต่อวิดีโอคอลล์กับมั่วเหวิน ชายในชุดขาวปรากฏขึ้นบนจอ อายุราวห้าสิบ สวมชุดขาวทั้งตัว แบบที่ใช้กระดุมผ้า


 


 


ดูคล้ายคนแก่ที่รำมวยไท่เก๊กตามสวนสาธารณะ ท่าทางกระชุ่มกระชวย ไม่เสียทีที่เป็นผู้บำเพ็ญเพียร แววตาเจ้าปัญญาเจิดจ้า

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม