วาสนาบันดาลรัก 353-359

ตอนที่ 353 เทียบเชิญจากเฉินอ๋อง

 

นางหลี่พาเจินปิงและเจินอวี้เดินตามสาวใช้ไปตามทางที่มีดอกไม้ต้นไม้ขึ้นเต็ม ลัดเลาะผ่านศาลารับลม แล้วผ่อนฝีเท้าให้ช้าลงเมื่อเห็นแม่น้ำเขียวใส 


 


 


เฮอะๆ แม่น้ำที่ใหญ่เช่นนี้เท่ากับเรือนสองหลังในจวนเจี้ยนอานปั๋วแล้ว จวนกั๋วกงช่างไม่เสียดายเลยจริงๆ ควรต้องทราบว่าในเมืองหลวงแห่งนี้ทุกพื้นที่เปรียบดั่งทอง ไม่ทราบขุนนางมากมายเท่าใดที่เบียดตัวอยู่ในเรือนอันคับแคบทั้งยังมีผู้ที่เช่าเรือนอยู่เพราะซื้อไม่ไหวอยู่ไม่น้อยเช่นกัน 


 


 


สาวใช้ที่นำทางนางหลี่ไปเข้าใจว่านางได้ยินเสียงของคนจำนวนหนึ่งที่ศาลาหลิงอินจึงเอ่ยอธิบายว่า “วันนี้คุณชายรองเชิญสหายเล่าเรียนมาสังสรรค์ที่จวนเจ้าค่ะ” 


 


 


“ท่านใดคือคุณชายรองของจวนกั๋วกง” นางหลี่อดยื่นคอยาวออกไปดูมิได้ 


 


 


สาวใช้เอ่ยยิ้มๆ ว่า “ผู้ที่สวมชุดคลุมตัวยาวสีเขียวขุ่นเจ้าค่ะ” 


 


 


บังเอิญเหลือเกินที่บุรุษสวมชุดคลุมตัวยาวสีเขียวขุ่นได้เดินออกมาจากศาลาพอดี เขากำลังชื่นชมดอกบัวงามในแม่น้ำกับสหายทั้งหลาย 


 


 


นางหลี่ทอดมองไป แม้เห็นไม่ชัดแต่กลับรู้สึกว่าบุรุษผู้นั้นรูปร่างสูงโปร่งทั้งรูปงามไม่ธรรมดา 


 


 


นางอารมณ์ดียิ่ง ฝีเท้าจึงก้าวเร็วขึ้นอีกสักหน่อย 


 


 


“ฮูหยินถึงแล้วเจ้าค่ะ” สาวใช้พานางหลี่เดินเข้าไปจึงเห็นเจินเมี่ยวลุกขึ้นมาต้อนรับ 


 


 


นางสวมเสื้อผ้าธรรมดากลางเก่ากลางใหม่ มวยผมเกล้าขึ้นอย่างหลวมๆ ทั้งมิได้ใส่เครื่องประดับเงิน ทอง แต่ใช้สร้อยมุกที่เม็ดมีขนาดใหญ่เท้าเม็ดบัวรัดมวยผมไว้ แล้วใส่ต่างหูสีเดียวกัน ขับให้คนดูงดงามยิ่ง 


 


 


นางหลี่ลอบมองสร้อยมุกนั้นอยู่รอบหนึ่งแล้วจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “กูไหน่ไหน่สี่นับวันยิ่งงดงามขึ้นไปทุกทีแล้ว” 


 


 


“ป้าสะใภ้รองเชิญนั่ง น้องห้า น้องหก พวกเจ้านั่งก่อน” เจินเมี่ยวเชิญนางหลี่นั่งอย่างเกรงใจ ทั้งคาดเดาถึงการมาของนางด้วย 


 


 


คงมิได้ขออภัยนางเพราะก่อนหน้านี้พูดออกไปจนคนลือว่านางป่าเถื่อนกระมัง เช่นนั้นมิใช่ป่วยแล้วหรอกหรือ 


 


 


“กูไหน่ไหน่ วันนี้ที่ข้ามาเพราะอยากจะขอโทษเจ้า” 


 


 


เจินเมี่ยวหน้าเบ้ไปคราหนึ่งแต่ก็ฝืนรักษาท่าทีไว้ นางยิ้มแห้งพลางเอ่ยว่า “ท่านพูดอันใดเช่นนั้นเล่า” 


 


 


นางหลี่ถอนหายใจออกมา “ก็เพราะหลิงเอ๋อร์นั้นแล วันนั้นถูกเจ้าตบ นางอาจจะไม่พอใจ สุดท้ายจึงอดพูดมันออกมิได้ ภายหลังข้าได้ยินข่าวก็โกรธยิ่ง ไม่ว่าอย่างไรนางก็เป็นหลานของข้า มารดานางหน้าบางจึงมิกล้ามา ข้าจึงมาขออภัยจากเจ้าแทนนางแล้ว” 


 


 


เจินเมี่ยวยิ้มอ่อนๆ “ท่านป้ารอง ข้าจะไปคิดเล็กคิดน้อยกับคุณหนูน้อยเช่นนางไปไยเล่า” 


 


 


ตีสุนัขแล้วยังไม่อนุญาตให้มันร้องโหยหวนหรือ นางมิได้วางอำนาจบาตรใหญ่เพียงนั้น 


 


 


“ไม่ถือสาก็ดีแล้วๆ” นางหลี่ได้ยินแล้วเปลี่ยนหัวข้อทันที “กูไหน่ไหน่ น้องสะใภ้เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” 


 


 


“อ้อ น้องสะใภ้สามรู้ความยิ่ง ดีไม่น้อย” เจินเมี่ยวยิ่งเดาถึงเจตนาในการมาของนางหลี่ไม่ได้เลย 


 


 


นางหลี่เอ่ยถามไปตามว่า “เหตุใดคุณชายรองถึงยังไม่หมั้นหมายแต่คุณชายสามกลับแต่งงานแล้วเล่า” 


 


 


ต่อหน้าเจินปิง เจินอวี้ เจินเมี่ยวไม่อยากจะหักหน้านางหลี่ จึงเอ่ยเสียงเรียบว่า “น้องสามเลือกเดินทางขุนนางฝ่ายบู๊ ไม่แน่ว่าอาจต้องไปออกรบเมื่อใดก็ได้ รีบแต่งงานมีบุตรเป็นการดีที่สุด ส่วนน้องรองฝักใฝ่ในการเรียน ได้ยินอาสะใภ้รองบอกว่ารอให้เขาผ่านการสอบชุนเหวยไปก่อนค่อยว่ากัน” 


 


 


นางหลี่กลอกตาคราหนึ่ง แล้วไล่เจินปิงเจินอวี้ออกไป “กูไหน่ไหน่ วันนี้ที่ข้ามามีเรื่องมากมายอยากคุยกับเจ้า บังเอิญที่วันนี้อากาศดียิ่ง พวกนางสองพี่น้องฟังเราสนทนากันคงเบื่อแย่ เราปล่อยให้พวกนางออกไปเดินเล่นสักหน่อยเถิด” 


 


 


เจินเมี่ยวเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยแต่ยังคงหันไปบอกอาหลวนว่า “พาคุณหนูสองท่านนี้ออกไปเดินเล่นสักหน่อยเถิด แล้วอย่าไปไกลล่ะ” 


 


 


กระทั่งเจินปิง เจินอวี้ไปแล้ว นางเถียนจึงรีบเผยเจตนาอันแท้จริงออกมาทันที “กูไหน่ไหน่ เจ้าว่าคุณชายรองกับปิงเอ๋อร์เหมาะสมกันหรือไม่” 


 


 


เจินเมี่ยวอึ้งงันไป “ทว่าว่าอันใดหรือ” 


 


 


นางหลี่เม้มปากเป็นรอยยิ้ม “วันนี้ข้าเห็นเขาอยู่ไกลๆ คุณชายรองจวนเจ้าดูไม่เลวเลย น้องห้าเจ้ากำลังหาคู่หมายอยู่พอดี คนที่พูดคุยกันไว้เหล่านั้นกลับยังไม่ได้ดั่งใจข้านัก คุณชายรองชาติตระกูลดี หน้าตาหล่อเหลา ทั้งยังมีความรู้มากมาย หากพวกเขาแต่งงานกัน ภายหน้าเจ้าก็มีเพื่อนไว้พูดคุยด้วย” 


 


 


“ป้าสะใภ้รอง น้องห้าเป็นญาติของข้า ไหนเลยจะแต่งเข้าจวนเดียวกันได้” 


 


 


ความจริงปัญหานี้นางหลี่ก็เคยคิดเช่นกัน ดังนั้นหลังจากที่คุณชายรองสอบผ่านเป็นจวี่เหริน นาก็มิได้คิดอันใด แต่นางยังหาตระกูลที่เหมาะสมกับเจินปิงไม่ได้เสียที จึงได้ร้อนใจหาคนไปทั่วสารทิศ อย่างไรในสายตาคนนอก คุณชายรองที่มีตำแหน่งบัณฑิตแล้วเช่นนี้ก็เป็นบุคคลที่ผู้คนต่างใฝ่ฝันให้มาเป็นเขย 


 


 


นางหลี่ยิ้มด้วยความประหม่าเล็กน้อย “เรื่องนี้มิใช่ไม่เคยมี อีกอย่างภายหน้าพวกเราก็ต้องแยกเรือนออกไปต่างหาก เช่นนั้นยิ่งไม่นับเป็นอันใดได้แล้ว” 


 


 


เจินเมี่ยวลอบกลอกตาคราหนึ่ง นางปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใยว่า “ป้าสะใภ้รอง เรื่องนี้ออกจะเหลวไหลเกินไปแล้ว คราหน้าอย่าได้พูดถึงมันอีกจะดีกว่า” 


 


 


ความคิดของนางหลี่พลันดิ่งวูบ แต่ยังฝืนยิ้มกล่าวขอตัวกลับ 


 


 


“เช่นนั้นข้าไปส่งท่านแล้วกัน” เจินเมี่ยวลุกขึ้นเดินออกไปส่ง 


 


 


เมื่อถึงหน้าประตูเรือนก็เห็นเจินปิงและเจินอวี้ยืนอยู่ไม่ไกลจากคุณชายรองนัก คุณชายรองอุ้มแมวขาวกำลังจะยื่นส่งให้เจินปิง 


 


 


เจินเมี่ยวพลันร้องขึ้นด้วยความหวั่นใจว่า “ไป๋เสวี่ย…” 


 


 


แมวขาวได้ยินเสียงอันคุ้นเคยก็ตะเกียกตะกายจนข่วนเอาหลังมือคุณชายรองเป็นรอยหลายแผล มันอาศัยช่วงที่เขารู้สึกเจ็บกระโดดหนีออกมา แล้ววิ่งกระโจนเข้าสู่อ้อมอกเจินเมี่ยว 


 


 


เมี๊ยว… แมวขาวแลบลิ้นออกมาเลียเท้าตน พลางร้องขึ้นด้วยความหวาดกลัว 


 


 


เจินเมี่ยวลูบขนปลอบใจแล้วอุ้มมันเดินเข้าไปหาทุกคน 


 


 


“พี่สะใภ้ใหญ่” คุณชายรองมองเจินเมี่ยว เขาเลิกคิ้วขึ้นคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “วันนี้พี่ใหญ่หยุดราชการ ข้าจึงมาเชิญเขาไปดื่มสุรา” 


 


 


เจินเมี่ยวเอ่ยด้วยใบหน้าเฉยชาว่า “พี่ใหญ่เจ้าออกไปตั้งแต่เช้าตรู่แล้ว” 


 


 


“อ้อ บังเอิญจริงๆ เชียว” 


 


 


เจินเมี่ยวกวาดตามองเจินปิง เจินอวี้คราหนึ่ง 


 


 


สองตระกูลเกี่ยวดองกัน การที่เจินปิง เจินอวี้พบปะกับคุณชายรองจึงมิใช่เรื่องเสื่อมเสีย เพียงแต่ก่อนหน้านี้นางหลี่ได้เอ่ยเช่นนั้นกับนาง นางจึงมิอาจไม่ป้องกันไว้ก่อน 


 


 


คุณชายรองยิ้มพลางเอ่ยว่า “ข้าเพิ่งมาถึงก็เห็นพวกนางกำลังไล่ตามแมวของพี่สะใภ้อยู่ คุณหนูสองคนนี้เป็นญาติผู้น้องของพี่สะใภ้ใช่หรือไม่” 


 


 


เจินเมี่ยวมองเขาแล้วฝืนพยักหน้ารับ 


 


 


คุณชายรองใช้สายตาสนิทสนมชำเลืองมองไปที่นางหลี่คราหนึ่ง ในใจพลันเกิดแผนการขึ้นมา จึงเอ่ยกับเจินเมี่ยวว่า “พี่สะใภ้ ในเมื่อพี่ใหญ่ไม่อยู่ ข้าก็ขอตัวก่อนแล้ว ยังมีสหายรอข้าอยู่อีก” 


 


 


เขาพูดพลางมองไปที่เจินปิง เจินอวี้ “น้องสาวทั้งสองต้องระวังสักหน่อย แมวตัวนี้เหมือนว่าง่ายและน่ารักแต่ความจริงซุกซนมาก” 


 


 


เมื่อเขาเอ่ยเช่นนี้ สายตาของสองพี่น้องต่างหันไปมองที่รอยเลือดที่แมวข่วนเขาโดยไม่รู้ตัว 


 


 


คุณชายรอกลับไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่อันใด เขาพยักหน้าแสดงความเคารพอย่างมีมารยาทแล้วหมุนกายจากไป ในสายตาผู้อื่น เขาช่างสง่างามและดูเป็นกันเองยิ่ง 


 


 


เจินเมี่ยวลอบแค้นเคืองที่บุรุษผู้นี้ทำเป็นแสนดีผูกสัมพันธ์ นางจึงรีบไปส่งนางหลี่และบุตรสาวทั้งสอง 


 


 


ครั้นเมื่อกลับมา คุณชายรองที่โผล่ออกมาจากมุมทางเลี้ยวก็มองเจินเมี่ยวด้วยรอยยิ้ม 


 


 


เจินเมี่ยวมองดูเขาเดินเข้ามาใกล้ๆ 


 


 


คุณชายรองไม่พูดอันใดแต่ยิ้มก่อน “ลืมบอกเรื่องหนึ่งแก่พี่สะใภ้ไป” 


 


 


“เรื่องใดหรือ 


 


 


“หลังจากที่ข้าสอบผ่านเป็นจวี่เหรินก็ต้องพบปะผู้คนมากมาย ยามนี้พี่สะใภ้เป็นผู้ดูแลจวน ข้าจึงอยากขอให้ขึ้นเบี้ยหวัดประจำเดือนให้ข้าอีกสักหน่อย” ปากเขาพูดไปแต่สายตากลับคอยจ้องเจินเมี่ยวอย่างท้าทาย 


 


 


“เป็นข้าเองที่ละเลย ประเดี๋ยวจะไปแจ้งกับฝ่ายบัญชีให้” 


 


 


“เช่นนั้นก็ขอบคุณพี่สะใภ้ยิ่งแล้ว” คุณชายรองหยักยกมุมปากเป็นเส้นโค้ง “อ้อ น้องสาวทั้งสองของพี่สะใภ้มิใคร่เห็นบ่อยนัก ต่อไปคงมาบ่อยๆ กระมัง” 


 


 


เขาพูดจบก็ยกมุมปากเคลือบรอยยิ้มแล้วจากไป 


 


 


เจินเมี่ยวกัดริมฝีปากตนไว้ แต่ก็อดตะโกนออกไปมิได้ว่า “รอก่อน” 


 


 


นางเดินเข้าไปสบตากับคุณชายรอง “น้องรอง หากเจ้าทำอันใดเหลวไหลก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจแล้วกัน” 


 


 


คุณชายรองหลุดหัวเราะออกมา “น้องชายไม่กล้า คำสั่งสอนของพี่สะใภ้ น้องชายจดจำไว้ในใจเสมอมา” 


 


 


เขาพูดแล้วก็ไป ทิ้งให้เจินเมี่ยวโกรธกรุ่นอยู่คนเดียว 


 


 


อาหลวนเดินเข้ามาใกล้ “ต้าไหน่ไหน่ ท่านเป็นอันใดหรือไม่เจ้าคะ” 


 


 


“ไม่เป็นไร” เจินเมี่ยวกัดฟันเอ่ยออกมา เมื่อกลับถึงห้องก็หงุดหงิดอยู่ไม่เสื่อมคลาย 


 


 


เจ้าคนชั่วช้านั่นผู้ใดเล่นด้วย เขาก็ไม่เกี่ยงทั้งนั้น แล้วป้าสะใภ้รองกลับเข้ามาผสมโรงอีก นางไม่กลัวเทพเจอเซียน แต่กลัวจะได้สุกรเป็นสหายต่างหากเล่า 


 


 


เจินเมี่ยวยิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่าคุณชายรองจะต้องทำอันใดไม่ดีบางอย่างแน่ ครั้นหลัวเทียนเฉิงกลับมา นางก็ยังหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ 


 


 


“เป็นอันใด” 


 


 


เจินเมี่ยวคิดแล้วแม้รู้สึกขายหน้ายิ่งแต่ยังคงพูดเรื่องที่นางหลี่มาหาตนว่า “ข้าคิดว่าน้องรองคิดอันใดบางอย่างกับน้องสาวข้า เขามีน้ำเน่าเสียอยู่เต็มท้อง จิตใจชั่วช้า ทั้งป้าสะใภ้รองของข้ายังเป็นเลอะเลือนอีก หากยอมรับปากให้น้องสาวข้าแต่งข้ามาจริง มิใช่ต้องมาทนทุกข์หรอกหรือ” 


 


 


หลัวเทียนเฉิงยิ้มออกมา “เรื่องแค่นี้เจ้าถึงกลับกลัดกลุ้มเพียงนี้ วางใจเถิด ประเดี๋ยวอาสะใภ้รองคงต้องเลือกจนตาลายเป็นแน่” 


 


 


เจินเมี่ยวเห็นเขายิ้มแปลกๆ เมื่อเอ่ยถามสาเหตุชัดเจนแล้วจึงพึมพำว่า “เช่นนี้จะดีหรือ ท่านไม่กลัวคนพวกนั้นจะแห่มาผสมโรงหรือ” 


 


 


“ไม่มีทาง อาสะใภ้รองเป็นคนเช่นไรเจ้ายังไม่รู้หรือ ยามนี้น้องรองเป็นจวี่เหริน มีคนมากมายอยากมาเกี่ยวดองด้วย นางย่อมต้องรอให้เขาสอบผ่านเป็นจิ้นซื่อเสียก่อนจึงจะเลือกที่โดดเด่นได้ง่ายหน่อย” 


 


 


ขอเพียงรอจนถึงการสอบชุนเหวยในปีหน้า คิดว่าสองสามีภรรยาแห่งจวนเจี้ยนอานปั๋วคงอยากจะหลบหนีหน้าเขาแทบไม่ทัน แล้วจะยอมให้บุตรสาวแต่งเข้ามาได้อย่างไร 


 


 


ดังคาด ผ่านไปไม่กี่วัน แม่สื่อทั้งหลายต่างเหยียบเยือนจวนกั๋วกงจนธรณีประตูแทบทรุด นางเถียนเห็นว่าตระกูลที่มาทาบทามล้วนดีขึ้นเรื่อยๆ นางกลับหยุดความคิดทั้งหมดแล้วตั้งใจรอให้ถึงปีหน้าก่อนค่อยว่าอีกที 


 


 


สะใภ้ใหม่เป็นที่โปรดปรานของฮูหยินผู้เฒ่า บุตรชายก็มีอนาคตอันสดใส ด้วยเหตุนี้นายท่านรองสกุลหลัวจึงกลับมาเคารพให้เกียรตินางเช่นเดิม นางเถียนเองก็ยิ้มแย้มมากขึ้น 


 


 


อาการร้อนค่อยๆ ลดน้อยลง ใกล้จะถึงเดือนเก้าแล้ว ต้นไม้ไร้ใบดุจถูกชะล้าง ใบไม้เหลืองกองเป็นพะเนิน ทัศนียภาพในทุกๆ ที่ล้วนล่วงเข้าสู่สารทฤดูแล้ว 


 


 


ตำหนักเฉินอ๋องมีข่าวหนึ่งแพร่ออกมาคืออนุผู้หนึ่งของเฉินอ๋องได้ให้กำเนิดบุตรสาวแก่เขาแล้ว 


 


 


เจินเมี่ยววางเทียบเชิญลายบุปผางดงามลงด้านข้างอย่างไม่ไยดี แล้วถามหลัวเทียนเฉิงว่า “ผ่านไปอีกสักสามวันค่อยไปดีหรือไม่” 


 


 


“เจ้าไม่อยากไป?” 


 


 


เจินเมี่ยวเบ้ปาก “ข้าย่อมไม่อยากจะไปเยี่ยมนางแน่” 


 


 


นางหยิบค้อนเล็กๆ ขึ้นมาทุบเหอถาว หลัวเทียนเฉิงจึงแย่งมาด้วยรอยยิ้ม “ระวังถูกมือ” 


 


 


เขาทุบไม่กี่คราก็รู้สึกว่ายุ่งยากจึงไม่ใช้ค้อนแล้ว แต่ใช้มือบีบเอาเสียเลย 


 


 


เปลือกเหอถาวที่แข็งยิ่งถูกเขาบีบแตกลูกแล้วลูกเล่า เผยให้เห็นเนื้อด้านใน ไม่นานเขาก็ปอกจนเต็มถ้วยใบเล็ก 


 


 


เขาฟังเจินเมี่ยวเล่าอยู่เงียบๆ มือก็หยิบเหอถาวป้อนนางไปด้วย เจินเมี่ยวรู้ตัวอีกที เหอถาวก็พร่องไปเกือบหมดถ้วยแล้ว 


 


 


เจินเมี่ยวลูบท้องตน “ข้าว่าจะเอาไปทำแผ่นแป้งเหอเถา แต่กลับกินจนเกือบหมดแล้ว” 


 


 


“ไม่เป็นไร ข้าจะปอกให้ใหม่” หลัวเทียนเฉิงใช้สองมือบีบผลเหอเถา แค่ออกแรงเล็กน้อยมันก็แตกออกมาแล้ว เขายังเอ่ยโอ้อวดอีกว่า “เป็นอย่างไร ข้ามีประโยชน์กว่าค้อนน้อยๆ นั่นอีกใช่หรือไม่” 


 


 


เจินเมี่ยวมุมปากแข็งค้างไป 


 


 


หลัวเทียนเฉิงยังคงคึกคักตื่นเต้นอยู่ “ดูสิ ข้าสามารถบีบมันให้แต่ได้ถึงสามลุกในคราเดียวเชียวนะ!” 


 


 


เจินเมี่ยวทำหน้าแปลกๆ 


 


 


เหลือเกินจริงๆ เรื่องนี้มีอันใดให้โอ้อวดกัน บีบแตกหนึ่งลูกกับสามลูกพร้อมกันมันแตกต่างกันมากนักหรือ มิใช่คลอดบุตรเสียหน่อย 


 


 


แต่นางต่างหาก เมื่อเช้ากินข้าวไปไม่ทันย่อยด้วยซ้ำกลับมากินเหอเถาอีกครึ่งถ้วย เกรงว่าคงต้องอ้วนขึ้นอีกเป็นแน่ 


 


 


แต่เพราะเป็นเช่นนี้ คนที่ไปตามเทียบเชิญจึงเหลือไม่มากแล้ว 


 


 


พริบตาเวลาสามวันก็ผ่านไปแล้ว  

 

 


ตอนที่ 354 เหมือนผู้ใด

 

วันนั้นเมฆลอยสูง ท้องฟ้าสดยิ่ง บนท้องถนนมีคนมาขายดอกเบญจมาศมากที่สุด กลิ่นหอมของมันจึงลอยฟุ้งไปทั่ว 


 


 


หลัวเทียนเฉิงมุดเข้ามาในรถม้าแล้วเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ใกล้ถึงช่วงเวลาแห่งการกินปูแล้ว ปีก่อนเกิดเมื่อตอนไปล่าสัตว์จึงวุ่นวายจนลืมกิน ปีนี้มิอาจพลาดโดยเด็ดขาด เจี๋ยวเจี่ยว เจ้ามีฝีมือในการทำอาหาร เจ้าทำปูอันใดเป็นบ้าง” 


 


 


เจินเมี่ยวส่ายหน้า “ข้าทำปูไม่เป็น” 


 


 


นางกินปูแล้วมักปวดท้อง ดังนั้นจึงมิเคยใช้ปูมาทำอาหารเลย 


 


 


หลัวเทียนเฉิงเลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจ “ข้าคิดว่าไม่มีอันใดที่เจ้าทำไม่เป็นเสียอีก” 


 


 


คนทั้งสองพูดคุยเรื่อยเปื่อยไปตลอดทาง หลังจากนั้นไม่นานรถม้าก็มาจอดที่หน้าตำหนักนอกวังของเฉินอ๋อง 


 


 


หลัวเทียนเฉิงลงมาก่อนแล้วจึงหันกายไปประคองเจินเมี่ยวลงมา 


 


 


เจินเมี่ยวลงจากรถม้าแล้วเงยหน้าขึ้นมองป้ายตำหนักพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “นี่เป็นครั้งแรกที่มาตำหนักองค์ชายหกหลังจากถูกแต่งตั้งเป็นอ๋องแล้ว” 


 


 


“พอแล้ว เลิกยิ้มหวานปานนั้นได้แล้ว ผู้คนต่างลือกันไปทั่วว่าข้ากับเฉินอ๋องมิลงรอยกัน” หลัวเทียนเฉิงเอ่ยเตือนเสียงแผ่ว 


 


 


เจินเมี่ยวตำหนิเขาด้วยสายตาคราหนึ่ง บ่าวไพร่ที่แต่งกายด้วยชุดใหม่เอี่ยมเข้ามาต้อนรับพวกเขาและนำทางไป 


 


 


องค์ชายหกออกมาต้อนรับด้วยตนเอง “ข้ายังกลัวอยู่ว่าพวกเจ้าจะไม่มาแล้ว” 


 


 


“ท่านอ๋องมีข่าวดีเช่นนี้ หม่อมฉันจะไม่มาแสดงความยินดีได้อย่างไรเล่า” หลัวเทียนเฉิงยังคงรักษาระยะห่างได้อย่างพอดิบพอดี ไม่ดูเสียมารยาทและไม่ทำให้คนรู้สึกว่าพวกเขาสนิทสนมกัน 


 


 


หลัวเทียนเฉิงจึงหันไปทักทายคนที่มาถึงก่อน 


 


 


หลังจากนั้นไม่นานองค์ชายสามที่ถูกแต่งตั้งเป็นเยี่ยนอ๋องก็มาถึง พระราชนัดดาที่ตามติดเขามาเห็นเจินเมี่ยว ดวงตาก็ทอประกายวาบขึ้นทันที เขาสะบัดมือจากนางกำนัลแล้ววิ่งเข้าไปหาเจินเมี่ยว 


 


 


“ท่านอา…” 


 


 


เมื่อเห็นเด็กน้อยที่เข้ามากอดขานางไว้ เจินเมี่ยวก็ตัวแข็งไปทันที 


 


 


การตายของเวินยาฉีเกี่ยวข้องกับองค์ชายสาม ซื่อจื่อบอกแก่นางจนหมดสิ้นแล้ว เมื่อมีชีวิตคนผู้หนึ่งเข้ามาเกี่ยวข้อง นางจึงมิอาจปฏิบัติตัวต่อจิ่งเกออย่างเช่นที่ผ่านมาได้แล้วจริงๆ 


 


 


มิต้องพูดถึงอย่างอื่นเลย หากความรักที่จิ่งเกอมีต่อนางมันพัฒนาไปมากกว่านี้ แล้วภายหน้านางต้องยืนอยู่คนละฝั่งกับองค์ชายสาม นั่นมิยิ่งอีนุงตุงนังกว่าเดิมอีกหรือ 


 


 


“ท่านอา ท่านอาเจียหมิง ท่านจำจิ่งเกอไม่ได้แล้วหรือ” จิ่งเกอเขย่าแขนเสื้อเจินเมี่ยว มุมปากบิดเบ้ คล้ายจะร้องไห้เพราะความน้อยใจ 


 


 


“จะเป็นไปได้อย่างไร แต่จิ่งเกอสูงขึ้นมาก ท่านอาเจียหมิงจึงไม่แน่ใจว่าเป็นจิ่งเกอ” เจินเมี่ยวพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนแต่กลับมิได้อบอุ่นเช่นกาลก่อนแล้ว 


 


 


เด็กนั้นสัมผัสเรื่องเหล่านี้ได้ดียิ่ง เขารับรู้ได้แต่ก็บอกไม่ถูกว่ามันคือสิ่งใด จึงดึงมุมเสื้อเจินเมี่ยวไว้แล้วเม้มริมฝีปากด้วยท่าทีดึงดัน 


 


 


องค์ชายสามจึงเอ่ยปากพูดว่า “จิ่งเกอ มาหาพ่อเร็ว เลิกก่อกวนท่านอาเจียหมิงได้แล้ว” 


 


 


เขาพูดพลางพลางใช้สายตาหันไปมองหน้าเจินเมี่ยวด้วยท่าทีคลุมเครือ 


 


 


องค์ชายหกกระแอมไอคราหนึ่ง “เจียหมิง เจ้าเข้าไปดูหลานก่อนเถิด จิ้งเหนียงรอเจ้ามาตั้งนานแล้ว ฮูหยินหันก็มาถึงแล้วเช่นกัน” 


 


 


ฮูหยินหันที่องค์ชายหกพูดถึงก็คือคุณหนูใหญ่เจินหนิงจวนเจี้ยนอานปั๋วนั่นเอง นางแต่งให้กับหันชิ่งอวี่บุตรชายคนโตของเจาอวิ๋นจั่งกงจู่ผู้ถูกแต่งตั้งเป็นแม่ทัพเฟิ่งกั๋ว 


 


 


เจินเมี่ยวลูบหัวจิ่งเกอคราหนึ่ง แล้วถอนหายใจเงียบๆ ในอกตนก่อนหมุนกายจากไป 


 


 


จิ่งเกอกลับไปยืนข้างกายองค์ชายสามอย่างไม่ใคร่ยินยอมนัก 


 


 


องค์ชายสามเห็นท่าทีของบุตรชายแล้วก็ไม่พอใจยิ่ง สตรีผู้นั้นช่างไม่เห็นพวกเขาสองพ่อลูกอยู่ในสายตาสักนิดเลย ต้องมีสักวันที่นางจะต้องศิโรราบต่อเขาแน่ 


 


 


องค์ชายสามมองตาแผ่นหลังของเจินเมี่ยวไปโดยไม่รู้ตัว วันนี้นางสวมกระโปรงสีเหลืองไข่ห่าน ด้านนอกมีผ้าโปร่งบางคลุมอยู่อีกชั้น เมื่อถึงปลายกระโปรงกลับค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีเขียวอ่อน ตรงบริเวณเอวมีสายรัดสีเขียวหยกเส้นใหญ่ผูกไว้ พู่ยาวระย้าห้อยติดตามกาย ขับให้เอวเล็กคอด ขาเรียวยาว สะโพกผายยิ่ง 


 


 


องค์ชายหกรู้สึกลำคอแห้งผากลิ้นร้อนผ่าวขึ้นมา 


 


 


ตั้งแต่พระชายาขององค์ชายหกจากไป เขาก็ตัดสินใจไม่อภิเษกพระชายาใหม่เป็นการไว้ทุกข์ให้นางหนึ่งปี เพื่อเสด็จพ่อและไท่โฮ่วจะได้รู้สึกดีต่อเขา แม้ฉากหลังจะมิได้งดเว้นจากสตรี แต่หากเทียบกับเมื่อก่อนเขาก็มิได้เอาแต่ใจเพียงนั้นแล้ว ระยะนี้จึงอดกลั้นไว้จนไฟอันร้อนรุ่มได้ก่อเกิดขึ้นมาแล้ว 


 


 


ในอดีตทุกคราที่เขาคิดถึงสตรีที่ผู้อื่นได้เชยชมมาแล้วก็มักจะรู้สึกว่าสกปรกอย่างยิ่ง แต่ระยะนี้ไม่ทราบด้วยเหตุใดกลับรู้สึกว่าสตรีที่แต่งงานแล้วนั้นดูมีเสน่ห์พิเศษที่สาวน้อยไม่มี 


 


 


องค์ชายสามพลันรู้สึกถึงกระแสสังหารสายหนึ่ง เขาพลันหวาดระแวงขึ้นมาจึงลอบสอดส่องไปทั่วสารทิศแต่กลับไม่พบว่าทุกคนดูปกติดี โดยเฉพาะคุณชายผู้สืบทอดจวนกั๋วกงที่กำลังพูดคุยหัวเราะอยู่กับซิ่งอ๋อง เห็นชัดว่ามิได้ใส่ใจเขาเลย 


 


 


องค์ชายสามจึงโล่งอกลงได้ ทั้งยังแอบภูมิใจอยู่ไม่น้อย 


 


 


หลัวเทียนเฉิงกลับฉวยโอกาสชำเลืองมององค์ชายสามขณะยกชาขึ้นดื่ม พร้อมทั้งใจที่ปะทุเดือด 


 


 


องค์ชายสามเริ่มมีความคิดเช่นนั้นกับเจี๋ยวเจี่ยวตั้งแต่เมื่อใดกัน มันทำให้เขาโมโหแทบตายแล้ว! 


 


 


เดิมทีองค์ชายหกกับองค์ชายสามต้องต่อกรกันอีกหลายปี องค์ชายหกจึงสามารถกำชัยชนะไว้ได้ ดูท่ายามนี้เขาคงต้องคอยช่วยเหลือองค์ชายหกอีกแรง องค์ชายสามจะได้ติดตามพระชายาตนไปเร็วขึ้นสักหน่อย! 


 


 


ตอนที่เจินเมี่ยวเห็นเจินจิ้งนั้นก็พบว่านางอวบอั๋นขึ้นไม่น้อย คางที่เดิมแหลมคมกลับดูโค้งมนขึ้นแล้ว นางกำลังอุ้มเด็กทารกที่ห่อด้วยผ้าสีแดงยื่นให้ฮูหยินทั้งหลายดู 


 


 


ฮูหยินทั้งหลายเหล่านี้ล้วนมีฐานะสูงส่ง หากเป็นเมื่อก่อนพวกนางไหนเลยจะใส่ใจอนุเพียงคนหนึ่ง แต่หลังจากองค์ชายหกกลับจากแม่น้ำไหวได้ไม่นานก็ได้รับคำชมเชยจากฝ่าบาทมากมาย และนี่เป็นบุตรสาวคนที่สองของเขา เจินจิ้งเป็นคุณหนูจวนปั๋วทำให้ได้รับพระราชโองการแต่งตั้งเป็นพระชายารอง เมื่อเป็นเช่นนี้ นางจึงนับว่าได้กลับเข้ามาสู่กลุ่มของบรรดาสตรีสูงศักดิ์อีกครา 


 


 


ครั้นเจินเมี่ยวเดินเข้ามา บรรยากาศจึงพลันเงียบลง คนไม่น้อยถูกรูปโฉมของนางดึงดูดไป ในใจต่างคิดว่าแม้เจียหมิงเซี่ยนจู่จะถูกวิจารณ์มากอย่างยิ่ง แต่สตรีทั่วเมืองหลวงกลับไม่มีผู้ใดมีรูปโฉมงดงามเทียบเคียงนางได้สักคน มิน่าเล่าสามีนางจึงดูแลรักใคร่อย่างยิ่ง 


 


 


เมื่อเห็นมามองเจินจิ้งกลับเป็นความงามอย่างบุปผาที่ส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ส่วนฮูหยินท่านแม่ทัพก็รูปงามเฉิดฉันยิ่ง คนทั้งหลายจึงอดทอดถอนใจมิได้ว่าตระกูลเจินนั้นเป็นสถานที่กำเนิดหญิงงามโดยแท้ 


 


 


“น้องสี่มาแล้ว” เจินจิ้งส่งยิ้มต้อนรับ ไม่ว่าผู้ใดก็ดูไม่ออกว่าพี่น้องไม่ปรองดองกัน 


 


 


“วันนี้เสด็จพี่หกมีข่าวดีที่ได้บุตรสาว ข้าย่อมต้องมาอย่างแน่นอน” เจินเมี่ยวเอ่ยเสียงเรียบ แต่วาจาที่กล่าวนั้นชัดเจนว่ามาเพราะให้เกียรติแก่เฉินอ๋องมิได้เกี่ยวอันใดกับความสัมพันธ์ฉันพี่น้องของพวกนางเลย 


 


 


“พี่ใหญ่ก็อยู่ด้วยหรือ” เจินเมี่ยวหันไปโค้งกายให้เจินหนิงคราหนึ่ง 


 


 


เจินเมี่ยวมีฐานันดรศักดิ์เป็นเซี่ยนจู่ เจินหนิงไหนเลยจะกล้าทำตัวเป็นใหญ่ นางจึงรีบโค้งกายตอบกลับทันที “เมื่อทราบว่าเฉินอ๋องได้บุตรสาว จั่งกงจู่ก็เร่งเร้าให้ข้ามาอยู่ตลอด” 


 


 


คนทั้งสองถามตอบกันไปมาเช่นนี้ คนทั้งหลายจึงเพิ่งนึกได้ว่า พวกนางล้วนเป็นคนในพระบรมวงศานุวงศ์ และการมาครั้งนี้มิได้เกี่ยวอันใดกับการที่เจินจิ้งเป็นคุณหนูจากจวนเจี้ยนอานปั๋วเลย 


 


 


ครั้นผู้มีตาแหลมคมมองขาดเห็นถึงความเฉยชาที่เจินเมี่ยวมีต่อเจินจิ้งแล้ว ความสนิทชิดเชื้อที่มีให้แต่แรกก็พลอยจืดจางไปด้วย 


 


 


เฉินอ๋องนั้นสูงศักดิ์ยิ่งแต่ปีหน้าเขาก็ต้องแต่งพระชายาแล้ว เจินจิ้งที่เป็นเพียงรองพระชายาทั้งไม่มีอำนาจของตระกูลมารดาคอยเกื้อหนุนย่อมเท่ากับไม่มีอันใดเลย 


 


 


เจินจิ้งโกรธจนปอดแทบระเบิดออกมา นางก้มหน้าลงปิดบังโทสะในดวงตา เมื่อเงยหน้าขึ้นอีก รอยยิ้มเต็มหน้าก็กลับมาอีกครั้ง นางเบี่ยงกายเล็กน้อย “น้องสี่ดูสิ ว่าเด็กน้อยผู้นี้เหมือนใคร” 


 


 


เจินเมี่ยวมีท่าทีประหลาดใจ “แน่นอนว่าถ้าไม่เหมือนพี่สามก็คงเหมือนท่านอ๋องแล้ว” 


 


 


ความหมายที่ซ่อนในวาจานั้นคือ แล้วจะให้เหมือนผู้ใดเล่า 


 


 


ความจริงเจินเมี่ยวกับมิได้มีเจตนาจะประชดประชันแต่อย่างใด เพียงแต่ท่าทีที่เอ่ยตอบดูไม่ชิดใกล้ไม่ห่างเหินเท่านั้น แต่เมื่อเจินจิ้งได้ฟังกลับรู้สึกบาดหูพิลึก 


 


 


การที่นางเข้ามาอยู่ตำหนักองค์ชายนั้นมิได้เป็นไปตามธรรมเนียมที่ถูกต้อง นางมักอ่อนไหวกับทุกอย่างรอบด้าน นางจึงรู้สึกว่าวาจานี้ของเจินเมี่ยวกำลังประชดประชันว่าไม่ทราบว่าเด็กผู้นี้เป็นบุตรของผู้ใด 


 


 


หากในสายตาคนอื่นที่มองมาก็เพียงรู้สึกว่าสองพี่น้องคู่นี้พูดจาไม่ใคร่ลงรอยกันนักเท่านั้น 


 


 


เจินจิ้งฝืนยิ้มออกมา “ท่านอ๋องบอกว่าเหมือนข้า แต่ข้าว่าเหมือนท่านอ๋องมากสักหน่อย” 


 


 


คนทั้งหลายจึงรีบคล้อยตามทันที 


 


 


ระยะนี้องค์ชายสี่และองค์ชายสามสนิทสนมกันยิ่ง ทั้งยังค่อยๆ ห่างหายจากองค์ชายหกไปบ้างแล้ว พระชายาขององค์ชายสี่ที่ตอนนี้กลายเป็นพระชายาซิ่วอ๋องไปแล้วรู้สึกไม่ชอบใจในท่าทีภาคภูมิใจที่มีบุตรของเจินจิ้งยิ่ง นางจึงเอ่ยยั่วเย้าว่า “ตามความเห็นข้า หากคุณหนูน้อยคล้ายท่านน้าสี่ของนางจะดีที่สุด ทั่วเมืองหลวงยังมิอาจหาผู้ใดที่งดงามเช่นเจียหมิงเซี่ยนจู่สักคน หากแม่หนูน้อยเหมือนน้าของนาง ภายหน้าก็มิต้องกังวลอันใดแล้ว” 


 


 


รอยยิ้มบนใบหน้าของเจินจิ้งแข็งค้างไปดั่งกำลังใส่หน้ากากอยู่กระนั้น นางนิ่งอยู่นานก็มิเอ่ยอันใดออกมา 


 


 


เหตุใดตั้งแต่เจินเมี่ยวเข้ามา เรื่องทุกอย่างก็ผิดแปลกไปหมด ทั้งที่บุตรสาวของนางต่างหากที่เป็นคนสำคัญที่สุดในงาน เจินเมี่ยวช่างเป็นปฏิปักษ์กับนางโดยแท้ 


 


 


มีคนเอ่ยเสริมขึ้นอีกว่า “พระชายาซิ่วอ๋องกล่าวผิดไปแล้วกระมัง ไหนเลยจะไม่กังวลใจ ควรต้องกังวลมากกว่าเดิมจึงจะถูก…กังวลว่ามีบุรุษดีๆ มากมายมาให้เลือก ควรเลือกผู้ใดดี” 


 


 


คนทั้งหลายหัวเราะขึ้นมา 


 


 


รอกระทั่งร่วมพิธีอาบน้ำทารกเสร็จแล้ว เจินเมี่ยวก็ตามหลัวเทียนเฉิงกลับทันทีโดยไม่แม้แต่จะอยู่กินข้าว 


 


 


ค่ำวันนั้นองค์ชายหกก็ไปหาเจินจิ้งอย่างเช่นทุกวัน เมื่อเห็นสีหน้าอมทุกข์ของนางก็เอ่ยถามว่า “เมื่อกลางวันทำให้เจ้าเหนื่อยมากเกินไปหรือ” 


 


 


“ไม่เพคะ ได้ทำพิธีอาบน้ำให้บุตรของเรา หม่อมฉันดีใจอย่างที่สุดเพคะ ไหนเลยจะเหนื่อยได้” เจินจิ้งเอ่ยตอบอย่างอ่อนโยน 


 


 


นางให้กำเนิดบุตรสาว ใจจริงนั้นรู้สึกผิดหวังยิ่ง เพราะหากเป็นบุตรชาย เขาก็จะเป็นบุตรชายคนโตของท่านอ๋อง แต่ที่นางคิดไม่ถึงคือท่านอ๋องกลับรักเอ็นดูบุตรสาวผู้นี้ดุจอัญมณีล้ำค่ากระนั้น สองวันมานี้ล้วนมาพักผ่อนกับนางที่นี่ ไม่รู้ว่ามีคนมากมายเท่าใดในตำหนักหลังที่อยากจะควักลูกตานางออกมา 


 


 


“ข้าจะไปดูบุตรสาวสักหน่อย” 


 


 


ครั้นเห็นองค์ชายหกหยอกล้อกับบุตรสาวอย่างสนุกสนาน เจินจิ้งก็ถอนหายใจออกมาอีกครา 


 


 


ไม่รู้ว่าหากเป็นบุตรชายท่านอ๋องจะดีใจสักเพียงใด 


 


 


นางคิดถึงตรงนี้แล้วลูบท้องตนคราหนึ่ง ด้วยความโปรดปรานที่ท่านอ๋องมีต่อนางในยามนิ้คิดว่าอีกไม่นานก็อาจจะมีข่าวดีอีกแน่ 


 


 


“จิ้งเหนียง” 


 


 


“เพคะ?” เจินจิ้งตื่นจากภวังค์แล้วเขยิบเข้าไปหา 


 


 


“เมื่อกลางวันเกิดเรื่องใดขึ้นหรือไม่ หากเจ้าอารมณ์ไม่ดีย่อมส่งผลถึงลูกน้อยได้” 


 


 


เจินจิ้งยิ้มพลางเอ่ยว่า “ท่านอ๋อง ท่านจะรักถนอมนางเกินไปแล้วกระมัง” 


 


 


องค์ชายหกเลิกคิ้วขึ้นยิ้ม “นางเป็นบุตรสาวเรา ข้าจะไม่รักถนอมได้อย่างไรเล่า” 


 


 


เมื่อได้ฟังองค์ชายหกเอ่ยเช่นนี้ เจินจิ้งก็ไม่ทราบเอาความมั่นใจมาจากที่ดึงเอ่ยด้วยอาการถอนหายใจว่า “วันนี้น้องสี่มิได้อยู่กินข้าวด้วย ไม่รู้เป็นเพราะยังโกรธหม่อมฉันเรื่องของเวินยาฉีอยู่หรือไม่ ต่อให้นางยังโกรธหม่อมฉันอยู่ก็มิเป็นไร แต่หากเรื่องนี้ส่งผลกระทบกับความสัมพันธ์ของท่านกับหลัวซื่อจื่อย่อมเป็นความผิดของหม่อมฉันแล้ว” 


 


 


องค์ชายหกเอ่ยด้วยท่าทีคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “จิ้งเหนียง เจ้ามิต้องไปกังวลเรื่องภายนอกพวกนั้นดอก” 


 


 


“เพคะ” เจินจิ้งเงยหน้าขึ้นมององค์ชายหก แล้วแสร้งพร่ำบ่นอย่างไร้เจตนาว่า “วันนี้ผู้คนต่างพูดคุยกันว่าบุตรสาวของเราเหมือนหม่อมฉันหรือเหมื่อนท่านอ๋อง หม่อมฉันว่านางเหมือนท่านอย่างกับถอดแบบออกมาเลยทีเดียว แต่พระชายาของซิ่วอ๋องกลับบอกว่าบุตรสาวเราเหมือนน้องสี่ ท่านว่าเรื่องนี้น่าสนใจเพียงใด…” 


 


 


นางพูดยังไม่ทันจบ ข้อมือนางก็ถูกองค์ชายหกคว้าไว้เสียก่อน ดวงตาเขาเปล่งประกายจนคนต้องตกใจ น้ำเสียงก็แปลกแปร่งยิ่ง “พระชายาซิ่วอ๋องพูดเช่นนั้นหรือ” 


 


 


ยังมิรอให้เจินจิ้งตอบด้วยซ้ำเขาก็ลุกขึ้นไปดูเด็กน้อยที่นอนอยู่ในเปลทันที ทั้งกลัวว่าจะดูไม่ถนัดจึงตั้งใจขยับเข้าไปมองใกล้ๆ อีกนิด แล้วพูดด้วยท่าทางภูมิใจว่า “นางดูออกแล้วหรือ สายตาของพระชายาซิ่วอ๋องนี่ไม่เลวเลยจริงๆ!” 


 


 


เจินจิ้ง “…” 


 


 


ผ่านไปครู่หนึ่ง นางจึงเผยสีหน้าปั้นยากออกมาแล้วลองถามหยั่งเชิงไปว่า “ท่านอ๋อง ท่าน…” 


 


 


องค์ชายหกกลับมามีท่าทีปกติเช่นเดิม แล้วเอ่ยประหนึ่งไม่มีอันใดเกิดขึ้นว่า “บุตรเรายังเล็กนัก ไหนเลยจะมองออกว่าเหมือนใคร ข้ายังมีเรื่องต้องสะสาง ข้ากลับไปที่ห้องตำราก่อนแล้วกัน” 


 


 


เหลือไว้เพียงเจินจิ้งที่ครุ่นคิดอย่างอึ้งงัน ไม่ใช่เสียหน่อย เมื่อครู่ท่านมิได้พูดเช่นนั้นสักนิด… 


 


 


เมื่อคิดให้ลึกลงไปอีกนิด นางก็สั่นสะท้านขึ้นมา ความรู้สึกย่ำแย่กระจายไปทั่วกาย  

 

 


ตอนที่ 355 ปู

 

หรือท่านอ๋องจะยังไม่ลืมเจินเมี่ยว


 


 


เจินจิ้งคิดถึงค่ำคืนอันขมขื่นที่นางได้สูญเสียสิ่งล้ำค่าที่สุดของสตรีไป บุรุษผู้นั้นยังใช้น้ำเสียงอันแสนสบายเอ่ยถึงสตรีอื่นต่อหน้านาง สตรีผู้นั้นก็คือญาติผู้น้องของนางเอง!


 


 


ความรู้สึกเช่นนั้นมันเป็นการหยามศักดิ์ศรีมากกว่าการที่เขาเอ่ยถึงสตรีแปลกหน้าสักคนเสียอีก


 


 


เจินจิ้งมีปมในใจที่เก็บไว้ เมื่อมองบุตรสาวที่ตนเพิ่งคลอดก็มักจะรู้สึกว่าคล้ายเจินเมี่ยว แม้จะไม่ถึงกับรังเกียจ แต่ความรักเมตตาอย่างผู้เป็นมารดากลับจืดจางลงไปมาก เหลือเพียงใจที่อยากจะคลอดบุตรชายให้องค์ชายหกอีก


 


 


หลัวเทียนเฉิงพาเจินเมี่ยวออกมาจากตำหนักเฉินอ๋องก็ไปส่งนางที่จวนกั๋วกงก่อนแล้วตรงดิ่งไปที่ศาลาว่าการ


 


 


เขาเรียกองครักษ์ลับมาสั่งการ “เลือกคนที่เชื่อถือได้ไปที่หมู่บ้านสือหลี่ที่จิงโจว”


 


 


การไปแม่น้ำไหวครานี้ไม่ผิดจากที่คาดไว้จริงๆ เพราะมิอาจสืบคดีทุตจริตอันสำคัญมาได้


 


 


เจาเฟิงตี้ผิดหวังอย่างที่สุด ด้านหนึ่งก็รับสั่งให้เปิดด่านมหาสมุทรอีกครา ส่วนอีกด้านก็ต้องหาเงินมาเพื่อช่วยอุทกภัยครั้งนี้ และสร้างเขื่อนขึ้นใหม่ที่สองฝั่งแม่น้ำไหว


 


 


แม่น้ำไหวไหลผ่านเหนือและใต้ และเมืองที่อยู่ใกล้เมืองหลวงที่สุดคือจิงโจว จิงโจวมักขาดน้ำอยู่บ่อยครั้ง ที่ผ่านมาจึงนำเงินซ่อมแซมเขื่อนอยู่ตลอด


 


 


เพียงแต่รัชศกจิ้งเต๋อปีที่สิบแปด จิงโจวเกิดพายุฝนครั้งใหญ่ น้ำไหลท่วมทะลักจากหมู่บ้านสือหลี่เข้าไปท่วมอีกหลายหมู่บ้าน ชาวบ้านของหมู่บ้านสือหลี่จึงไม่มีผู้ใดรอดชีวิตมาได้เลย


 


 


ปีนั้นเขาเพิ่งจะพ้นจากการไว้ทุกข์ให้ท่านย่า ชื่อเสียงไม่มี สหายเก่าต่างหลบลี้หนีหน้า จึงขี่ม้าออกไปนอกเมืองคนเดียวจึงพบชาวบ้านกลุ่มใหญ่ที่อพยพมาจากแม่น้ำไหวหลายครัวเรือนเลยทีเดียว


 


 


เรื่องเขื่อนถล่มเป็นเรื่องใหญ่มาก ในตอนนั้นถึงกับใช้ฟางข้าวสร้างเป็นเขื่อนหินชั่วคราวก่อน


 


 


ปีนั้นเป็นปีที่ต้าโจวต้องพบเจอกับมรสุมครั้งใหญ่เลยทีเดียว


 


 


เจาเฟิงตี้โกรธกริ้วยิ่ง ราชสำนักเองก็ปั่นป่วน องค์ชายสามมีผู้สนับสนุนมากที่สุด ตระกูลของยายเขาก็ล้มลงเพราะเหตุการณ์ในครั้งนี้แล หลังจากนั้นองค์ชายหกจึงเอาชนะองค์ชายสามได้อย่างรวดเร็ว หลังจากเจาเฟิงตี้สวรรคตก็ขึ้นนั่งในตำแหน่งนั้น


 


 


รัชศกจิ้งเต๋อปีที่สิบแปด ยังห่างจากตอนนี้อยู่อีกห้าปี สำหรับหลัวเทียนเฉิงแล้วนับว่านานเหลือเกิน


 


 


แต่เมื่อคิดว่ายังมีคนผู้หนึ่งคอยหวังจะครอบครองภรรยาเขา ทั้งยังมีชีวิตสุขสบายไปอีกห้าปี เขานอนไม่หลับแทบทั้งคืน!


 


 


เขาใช้นิ้วมือวาดอักษร ‘สิบสี่’ ลงไปบนโต๊ะไม้ แล้วงอนิ้วขึ้น ใช้หลังมือเคาะไปเรื่อยๆ


 


 


รอให้ถึงปีหน้าเขาจะต้องเปิดโปงเรื่องพวกนี้เสียก่อน หากการกดข่มมิให้องค์ชายสามได้ฟื้นตัวขึ้นมาอีกสามารถช่วยราษฎรทั้งหลายเอาไว้ได้ก็นับว่าเป็นการสะสมบุญบารมีให้แก่บุตรของเขาและเจี๋ยวเจี่ยวที่จะเกิดในอนาคต


 


 


แน่นอนว่าตอนนี้เขาก็ต้องหาความสำราญบางอย่างให้องค์ชายสามด้วยเช่นกัน เขาจะได้มิคิดเรื่องเหลวไหลอันใดอีก!


 


 


หลัวเทียนเฉิงหรี่ตาลงเพื่อปิดบังแววเ**้ยมเกรียมนั้นไว้


 


 


องค์ชายสามกับไปถึงตำหนักเยี่ยนอ๋องก็ปลอบจิ่งเกออยู่ครู่ใหญ่ เมื่อมิอาจดับไฟร้อนในใจได้จึงไปหาอนุที่เขาโปรดปรานมากที่สุดโดยไม่รอให้ฟ้ามืดก่อนเสียด้วยซ้ำ


 


 


เขากอดก่ายอนุคนโปรดอยู่เป็นนาน เมื่อเห็นสตรีที่อยู่ใต้ร่างหลับตาลง อย่างพร้อมโอนอ่อนให้เขาทุกเมื่อก็พลันรู้สึกไร้รสชาติขึ้นมา มิทันได้ไปถึงฝั่งเขาก็หยัดกายลุกขึ้นเสียก่อน เมื่อจัดแจงอาภรณ์ตนเสร็จแล้วจึงจากไปทันที


 


 


เขากลับมาที่ห้องตำรา รู้สึกดั่งว่าเพลิงอันไร้นามนี้ไม่มีที่ระบายออก เขาจึงออกไปข้างนอกอีกครา


 


 


ตำหนักเยี่ยนอ๋องงดงามประณีต ยามสารทฤดูเช่นนี้ทุกที่ล้วนเต็มไปด้วยทัศนียภาพอันสวยงาม


 


 


องค์ชายสามยืนชมดอกเบญจมาศอยู่ก็เห็นสตรีผู้หนึ่งเดินตามสาวใช้น้อยใกล้เข้ามาเรื่อยๆ


 


 


สตรีผู้นั้นสวมกระโปรงสีเหลืองไข่ห่าน รูปร่างสะโอดสะอง นางเดินนวยนาดเข้มาดุจกิ่งหลิวต้องลม


 


 


เมื่อเห็นเงาร่างสีเหลืองนั้น องค์ชายสามก็เข้าไปยืนขวางไว้ก่อน


 


 


เมื่อสตรีผู้นั้นเดินเข้ามาใกล้ สาวใช้ที่นำทางก็ย่อกายคารวะ “ถวายพระพรท่านอ๋องเพคะ”


 


 


องค์ชายสามมองไปที่สตรีผู้นั้น


 


 


สตรีผู้นั้นย่อกายคารวะตา แต่มิได้เงยหน้า น้ำเสียงอ่อนโยนยิ่ง “หม่อมฉันถวายพระพรท่านอ๋องเพคะ”


 


 


นางก้มหน้าต่ำตามกฎระเบียบทุกอย่าง องค์ชายสามจึงเห็นเพียงปิ่นเงินผีเสื้อที่สั่นแกว่งไกวไปมาบนศีรษะนาง ทั้งยังมีดอกไฮ่ถังสีสันสวยสดอีกหลายดอก และลำคอขาวระหงของนาง


 


 


องค์ชายสามเบนสายตาไปเอ่ยถามสาวใช้น้อยว่า “มิใช่คนในตำหนักเรากระมัง เหตุใดจึงมาเดินในสวนยามนี้ได้เล่า”


 


 


“เรียนท่านอ๋อง นางคืออาจารย์ผู้สอนวิชาเย็บปักให้กับคุณหนูใหญ่ ปกติสอนเสร็จแล้วก็จะกลับเลยเพคะ”


 


 


“เช่นนั้นหรือ” องค์ชายสามมองนางอีกครา “อาจารย์สิง ไม่ทราบว่าบุตรสาวข้าเรียนเป็นอย่างไรบ้าง”


 


 


สตรีผู้นั้นจึงเงยหน้าขึ้น แล้วเอ่ยตอบอย่างนบน้อมว่า “คุณหนูใหญ่ฉลาดนัก ตอนนี้เรียนวิธีเย็บปักไปหลายวิธีแล้ว สำหรับเด็กอายุเท่านั้นนับว่าหานักเพคะ”


 


 


องค์ชายสามจึงเพิ่งเห็นรูปโฉมของนาง แม้มิอาจเรียกได้ว่างดงามอย่างที่สุดแต่กลับดูเยาว์วัย ผิวพรรณขาวผ่อง เอวคอด ขาเรียวยาว เมื่อยืนนิ่งอยู่เช่นนั้นกลับให้ความรู้สึกสวยงามเป็นพิเศษ


 


 


องค์ชายสามยิ้มเล็กน้อย น้ำเสียงแผ่วต่ำลง “อาจารย์สิงกล่าวเกินไปแล้ว บุตรสาวข้าซุกซนนัก ตั้งแต่พระชายาจากไปก็ไม่มีใครอบรมสั่งสอน เกรงว่าเกเรไม่เป็นแน่แล้ว หากบอกว่านางเรียนเย็บปักได้หลายรูปแบบแล้ว ข้ากลับไม่เชื่ออยู่บ้างจริงๆ”


 


 


“ท่านอ๋อง!” สตรีผู้นั้นเงยหน้าขึ้นมององค์ชายสามด้วยความหวาดกลัว แล้วรีบก้มลงโดยไว “หม่อมฉันมิกล้าพูดจาส่งเดชแน่นอนเพคะ”


 


 


องค์ชายสามยิ้มอ่อนโยน “อาจารย์สิงมิต้องตกใจไป ข้ามิได้จะโทษเจ้าเลย เพียงแต่อยากถามให้ละเอียดเกี่ยวกับบุตรสาวเท่านั้น เชิญมาทางนี้เถิด”


 


 


สตรีผู้นั้นลังเลครู่หนึ่ง องค์ชายสามกวาดตามองสาวใช้ผู้นำทางแล้วเอ่ยว่า “เจ้ารออยู่ที่นี่ก่อน”


 


 


“เพคะ” สาวใช้น้อยไม่กล้าพูดอันใดแม้เพียงครึ่งคำ ได้แต่รับปากโดยไว


 


 


องค์ชายสามหมุนกายกลับไปเดินเลียบฝั่งที่ปลูกดอกเบญจมาศไว้


 


 


“อาจารย์สิง รีบไปเถิด หากให้ท่านอ๋องรอนานคงไม่ดีแน่ วางใจได้ ท่านอ๋องของเราดีต่อผู้อื่นยิ่ง”


 


 


กระทั่งสตรีผู้นั้นตามา องค์ชายสามจึงมีท่าทีผ่อนคลายลง เขาเอ่ยถามว่า “อาจารย์สิงเป็นคนที่ไหน พักอยู่ที่ใด ที่บ้านมีผู้ใดบ้าง”


 


 


สตรีผู้นั้นก้มหน้าตอบว่า “หม่อมฉันเป็นคนหนานไหว ห้าปีก่อนแต่งเข้ามาอยู่ในเมืองหลวง แต่เพราะพอรู้วิธีเย็บปักแบบทางตอนใต้จึงไปทำงานที่หอเทียนซิ่วหาเงินเป็นค่าใช้จ่ายในบ้าน ภายหลังก้มารับเป็นอาจารย์สอนคุณหนูใหญ่ปักเย็บเพคะ สามีหม่อมฉันเปิดโรงสุราเล็กๆ ที่ชานเมือง บุตรสาวทั้งสองก็อยู่ที่นั่นด้วย”


 


 


“ชานเมือง…” น้ำเสียงขององค์ชายรองดูแปลกแปร่งอยู่บ้าง “เจ้าเดินทางกลับไปกลับมาเช่นนี้ มิใช่ลำบากมากหรอกหรือ”


 


 


“ไม่ ไม่เพคะ หม่อมฉันเช่ารถม้าไว้คันหนึ่ง แค่ต้องเสียเวลาเดินทางสักหน่อยเท่านั้น”


 


 


องค์ชายสามหัวเราะเสียงแผ่วเบา “ข้าว่า ต่อไปอาจารย์สิงก็พักอยู่ที่ตำหนักอ๋องดีกว่า วันไหนมิได้สอนค่อยกลับ”


 


 


“ท่านอ๋อง?” สตรีผู้นั้นเงยหน้าขึ้นด้วยความตกใจ


 


 


องค์ชายสามกลับคร้านจะพูดอันใดอีก เขาใช้มือปิดปากนางไว้ อีกมือหนึ่งก็กดร่างนางลง


 


 


“อือๆ…” สตรีผู้นั้นออกแรงขัดขืน เสียงตะโกนร้องต่างถูกฝ่ามือใหญ่ขององ์ชายสามปิดไว้ให้จุกอยู่ที่ลำคอ


 


 


ดวงตาองค์ชายสามค่อยๆ แดงก่ำขึ้นมา เขาใช้ขากักขาวเรียวยาวของสตรีผู้นั้นไว้ กระชากดึงกางเกงตัวในภายใต้กระโปรงของนางออก แล้วผลักไสแก่นกายเข้าไปหานางทันที


 


 


เงาบุปผาสั่นไหว นกน้อยร้องเรียก ไม่ทราบผ่านไปนานเท่าใด องค์ชายสามจึงพอใจ เมื่อมองสตรีที่ร้องไห้ไม่หยุดอยู่บนพรมหญ้า เขากำชับสาวใช้น้อยที่ยืนอึ้งงันตกใจอยู่ไม่ไกลจากตรงนั้นว่า “ประคองอาจารย์สิงไปพักที่เรือนรับรองแขก”


 


 


เขาโค้งกายลงกระซิบข้างหูสตรีผู้นั้นว่า “ไม่อนุญาตให้เจ้าตาย หากข้าเสียใจขึ้นมาคงต้องไปหาคนในบ้านเจ้าเพื่อคิดบัญชีแล้ว”


 


 


สตรีผู้นั้นทั้งอับอายทั้งแค้นเคือง แต่ก็ต้องอดทนไว้มิให้ตนหมดสติสิ้นลมไปเสียก่อน


 


 


เมื่อถึงยามค่ำ องค์ชายสามก็ไปที่เรือนพักที่สตรีผู้นั้นพักอยู่อีกครา และใช้กำลังบังคับนางเช่นเคย ตั้งแต่ได้ลิ้มรสความรู้สึกเช่นนี้ เขาก็มิอาจห่างจากได้แม้สักราตรี ผ้าไหมชั้นดีอัญมณีเงินทองล้วนหลั่งไหลไปสู่นางเพื่อเป็นการปลอบโยน


 


 


ผ่านไปนานวันเข้า สตรีผู้นั้นกลับเริ่มโอนอ่อนต่อเขาแล้ว ไม่นานองค์ชายสามก็เบื่อในที่สุด ตอนที่เขามอบเงินจำนวนหนึ่งให้นางแล้วไป นางถึงกับอาลัยอาวรณ์ไม่ยอมไป


 


 


สายตาอาลัยอาวรณ์ยามต้องจากไปของสตรีผู้นั้นทำให้องค์ชายรู้สึกพอใจอย่างที่สุด


 


 


บางคราจุดต่ำสุดกลับเป็นเพียงกุญแจที่มองไม่เห็น แต่เมื่อมันถูกเปิดออกไปแล้วก็จะปลดปล่อยสัตว์เดรัจฉานแสนดุจร้ายอย่างที่ไม่มีผู้ใดคาดคิดออกมา


 


 


หลังจากเคยทำเรื่องราวเช่นนั้นแล้ว องค์ชายสามก็ไม่รู้สึกสนใจต่ออนุ นางโลมที่ตนได้ครอบครองไว้เลย แต่กลับชมชอบสตรีสาวรูปโฉมงดงามที่แต่งงานแล้ว


 


 


องค์ชายสามพบเจอความสำราญแบบใหม่แล้ว ส่วนหลัวเทียนเฉิงก็มิได้ว่างเว้นเช่นกัน


 


 


ในเมืองหลวงโรงสุราแห่งหนึ่งตั้งอยู่ในซอยห่างไกลผู้คน นอกจากสุราแล้วก็ขายเพียงกับแกล้มง่ายๆ เท่านั้น เช่นถั่วลิสง ถั่วปากอ้า หูหมูและอื่นๆ แต่เมื่อถึงฤดูกาลของปู กลับมีอาหารเพิ่มขึ้นอีกสองอย่าง หนึ่งคือปูผัดเผ็ด อีกหนึ่งคือปูดองส้ม ผู้คนต่างชมชอบกันมาก


 


 


ยามว่างหลัวเทียนเฉิงก็จะมาที่ร้านนี้และเรียนรู้วิธีทำปูดองส้มกับเถ้าแก่ด้วย


 


 


เดิมทีเขาคิดว่าจะเรียนทั้งสองอย่างเลย แต่เขาทำอาหารไม่ค่อยเก่ง กลัวว่ากว่าจะทำเป็นคงหมดฤดูกาลปูไปแล้ว จึงเรียนเพียงอย่างเดียว


 


 


ปูดองส้ม คิดว่าสตรีน่าจะชอบมากกว่ากระมัง


 


 


“ใช่แล้ว ทำเช่นนี้แล” เถ้าแก่หลบให้มือใหม่อย่างหลัวเทียนเฉิงไปเอาเปิดหม้อนึ่งปู่ออก เมื่อเห็นสีที่อยู่ด้านในก็พยักหน้า


 


 


เขาไม่รู้ว่าฐานะของคนผู้นี้แต่ด้วยเงินที่เขาให้ และท่าทีสูงส่งสง่างามที่เผยออกมาก็มากพอจะทำให้เขายอมศิโรราบแล้ว


 


 


“ต้องขอบคุณเถ้าแก่มาที่ช่วยสั่งสอน”


 


 


“ไม่เป็นไรๆ ” เถ้าแก่เช็ดเหงื่อตน


 


 


หลันเทียนเฉิงยิ้ม “เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน”


 


 


“เดินระมัดระวังด้วย” เถ้าแก่ถอนหายใจออกมาโดยแรง


 


 


หลัวเทียนเฉิงหันกลับไป “ใช่แล้ว ปีหน้าจะมาใหม่!”


 


 


มาใหม่?


 


 


เถ้าแก่นั่งลงบนเก้าอี้ที่เช็ดจนมันวาวอย่างหมดแรง


 


 


สวรรค์ บุรุษผู้นี้เรียนทำปูดองส้มอยู่ถึงครึ่งเดือน ปีหน้ายังบอกว่าจะมาอีก เขาควรคิดเรื่องย้ายโรงสุราแล้วกระมัง!


 


 


ไม่พูดถึงเถ้าแก่ผู้นั้นแล้ว เมื่อหลัวเทียนเฉิงเลือกปูเนื้อแน่นด้วยตนเองแล้วก็ถือสุราบุปผากลับจวนไปด้วยความเบิกบาน


 


 


“ซื่อจื่อ ปูเยอะมากเพียงนี้ ท่านจะทำอันใด…”


 


 


หลัวเทียนเฉิงจูงมือเจินเมี่ยวพลางยิ้มทั้งเอ่ยว่า “เจี๋ยวเจี่ยวตามข้ามา”


 


 


เขาพานางมายังห้องครัวเล็กของเรือนชิงเฟิง แล้วไล่บ่าวไพร่ออกไปให้หมด


 


 


“เจ้ารอประเดี๋ยว ข้าจะทำอาหารให้เจ้าชิม”


 


 


อาหารชนิดนี้เขาทำมาแล้วนับร้อยครั้ง ปูโชคร้ายทั้งหลายมีมากจนนับไม่ถ้วนแล้ว ส่วนยามนี้เมื่อได้กลิ่นปูลอยมาก็รู้สึกอยากจะอาเจียนแล้ว แต่เมื่อคิดถึงเจินเมี่ยวที่ยืนอยู่ข้างๆ คอยมองเขา ในใจกลับเกิดความเบิกบานและอดใจไม่ไหวเกิดขึ้นมาหลายส่วน


 


 


เขาจัดการกับปูเหล่านั้นอย่างชำนาญ กระทำทุกอย่างเป็นขึ้นเป็นตอนทั้งคล่องแคล่วยิ่ง


 


 


เจินเมี่ยวยืนอยู่หน้าประตูจ้องมองหลัวเทียนเฉิงทำอาหารอย่างตั้งใจ มุมปากก็โค้งกว้างขึ้นทุกที


 


 


ซื่อจื่อของนาเรียนรู้วิธีล้างมือทำอาหารเสียแล้ว


 


 


“เจี๋ยวเจี่ยว เจ้าลองชิมดูว่าเป็นอย่างไร” หลัวเทียนเฉิงเอาส้มที่นึ่งแล้วออกมา แล้วตักเนื้อปูใส่ทั้งยื่นให้นาง


 


 


เจินเมี่ยวมองเขาแล้วยิ้ม “อร่อย”


 


 


นาไม่ลังเลที่จะกินเนื้อปูเข้าไปเลย ในใจก็คิดว่าเรื่องกระเพาะไม่รับอันใดเทือกนั้น เอาทิ้งไปก่อนเถิด 

 

 


ตอนที่ 356 แนบชิด

 

ปูดองส้มรสชาติอร่อยทั้งสดใหม่ กินเข้าไปเพียงคำ รูขุมขนทั่วร่างกลับรู้สึกโล่งสบาย


 


 


เจินเมี่ยวหลับตาลงด้วยความพอใจ นางเอ่ยชมว่า “ซื่อจื่อ ฝีมือการทำอาหารท่านไม่เลวเลย ปูดองส้มจานนี้ก็รสชาติดียิ่ง”


 


 


“เจ้าชอบหรือไม่” เมื่อเห็นว่านางชอบ หลัวเทียนเฉิงก็อารมณ์ดีขึ้นมาเช่นกัน


 


 


เจินเมี่ยวพยักหน้า “ชอบ”


 


 


หลัวเทียนเฉิงเลิกคิ้วอย่างภูมิใจว่า “อาหารจานนี้ทำง่ายยิ่ง ข้าไปถามอาจารย์ที่ทำ แล้วมาเลียนตามก็ทำได้ใกล้เคียงยิ่ง”


 


 


เจินเมี่ยวยกมุมปากขึ้น แต่กลั้นไว้ไม่ให้ยิ้มออกมา


 


 


ระยะนี้ไม่ทราบผู้ใดกันที่พกเอากลิ่นปูกลับเรือนมาทุกวัน ช่างเถิด เห็นแก่ความพยายามและตั้งใจของเขา นางให้โอกาสเขาได้โอ้อวดหน่อยแล้วกัน


 


 


“เป็นอันใดไป” เมื่อเห็นเจินเมี่ยวมีท่าทีแปลกๆ หลัวเทียนเฉิงจึงเอ่ยถามขึ้น


 


 


“ไม่เป็นไร ข้าแค่รู้สึกว่าสามีข้าช่างเก่งกาจเหลือเกิน” เจินเมี่ยวเอ่ยด้วยรอยยิ้มตาหยี


 


 


หลัวเทียนเฉิงยังคงยิ้มอย่างสงวนท่าที “นี่ไม่นับเป็นอันใดได้ อาจารย์ท่านนั้นยังทำปูผัดเผ็ดที่อร่อยยิ่งได้อีกจาน กลับไปข้าจะไปลองถามดู หากทำเป็นแล้วจะมาทำให้เจ้ากิน”


 


 


ปูอีกแล้วหรือ!


 


 


เจินเมี่ยวลอบจุดเทียนไว้อาลัยให้ตน แต่ใบหน้ายังคงเผยรอยยิ้มอยู่ “ดี ถึงตอนนั้นข้าจะทำอาหารเพิ่มอีกสักหลายอย่าง เอาไปขึ้นโต๊ะกินด้วยกันได้”


 


 


นางคิดครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า “ทำท้องปลาดอกไป่ฮวากับเนื้อดอกฟูหรงแล้วกัน สองจานนี้รสชาติอ่อนสักหน่อย ข้างในมีเนื้อกุ้งด้วยกินคู่กับปูผัดเผ็ดก็เข้ากันดี ใช่แล้ว เพิ่มของหวานอีกสักถ้วยเป็นไร”


 


 


หลัวเทียนเฉิงกลืนน้ำลายลงคอโดยไม่รู้ตัว “ท้องปลาดอกไป่ฮวากับเนื้อดอกฟูหรงฟังแล้วไพเราะนัก เป็นการเอาดอกไม้มาทำอาหารหรือ”


 


 


เจินเมี่ยวหัวเราะออกมา “ไม่ใช่ แค่ตั้งให้ดูไพเราะงดงามไม่เกี่ยวอันใดกับดอกไม้เลย”


 


 


หลัวเทียนเฉิงที่เป็นคนชอบกินเหมือนกันได้ฟังก็เกิดอยากกินขึ้นมา “เจี๋ยวเจี่ยวเจ้าจะทำเมื่อใดหรือ”


 


 


เจินเมี่ยวยิ้ม “เมื่อใดท่านทำปูผัดเผ็ดได้ก็เมื่อนั้นแล”


 


 


หลัวเทียนเฉิงพลันรู้สึกว่าตนได้ยกก้อนหินทับเท้าเสียแล้ว จึงเอ่อตะกุกตะกักว่า “มิจำเป็นต้องรอปูผัดเผ็ดกระมัง ปูดองส้มนี้ก็มิใช่ดีมากหรอกหรือ”


 


 


เมื่อเห็นเจินเมี่ยวกินหมดไปชิ้นหนึ่งแล้ว เขาก็ส่งให้นางอีก ทั้งกำชับว่า “เนื้อปูมีฤทธิ์เย็น กินมากไม่ได้ เจ้ากินอีกชิ้นหนึ่งก็พอแล้ว ที่เหลือข้าจะให้คนเอาไปส่งที่เรือนอี๋อานเพื่อแสดงความกตัญญูต่อท่านปู่ท่านย่า”


 


 


เจินเมี่ยวถือส้มที่ส่งกลิ่นหอมนั้นไว้ในใจก็คิดว่ากินแค่คำเดียวก็แสลงท้องแล้ว กินสักสองคำก็แสลงท้องเช่นกัน ในเมื่อนางกินไปแล้ว กินอีกสักคำก็ไม่เป็นไรดอก


 


 


นางตักเครื่องปรุงใส่ช้อนหนึ่งแล้วยัดเข้าปากไปด้วยรอยยิ้มตาหยี


 


 


หลัวเทียนเฉิงเห็นนางกินท่าทางเอร็ดอร่อยก็ยิ้มออกมา


 


 


ไม่นานหลัวเทียนเฉิงก็กลับศาลาว่าการไปดั่งคาด เจินเมี่ยวจึงโล่งอกลงได้ในที่สุด หลังจากที่กินปูแล้วนางก็เริ่มมีอาการขึ้นมาทันที


 


 


นางผู้ชมชอบการกินไม่รู้ว่าต้องถอนหายใจมากี่ครั้งต่อกี่ครั้งเพราะไม่สามารถกินปู่ได้ ตั้งแต่นางมาอยู่ในร่างนี้ก็คอยลองกินดูแล้ว คิดไม่ถึงว่าแม้ร่างกายเปลี่ยนไปแต่ก็ยังกินไม่ได้เช่นเดิม


 


 


แต่ที่นางคิดไม่ถึงคือการตอบสนองของร่างนี้กลับมากแต่ก่อนเสียอีก ยังมิถึงหนึ่งชั่วยามนางก็เริ่มวิ่งเข้าห้องปลดทุกข์แล้ว ข้างบนอาเจียนข้างล่างถ่ายท้อง จนท้องและขาต่างสั่นเทิ้มไปหมด บ่าวไพร่ในเรือนต่างตกใจไปตามๆ กัน


 


 


“ต้าไหน่ไหน่ บ่าวไปที่เรือนหน้าหาปั้นซย่าให้เขาบอกซื่อจื่อกลับมาเถิดเจ้าค่ะ” อาหลวนเอ่ยขึ้นอย่างระมัดระวัง


 


 


ไป๋เสาบ่นให้นางด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ต้าไหน่ไหน่ มิใช่บ่าวกล่าวว่าท่าน แต่ท่านก็ควรรักถนอมร่างกายตนบ้าง ในเมื่อกินปูไม่ได้ เหตุใดยังฝืนกินอีกเจ้าคะ”


 


 


ชิงเกอกลับเอ่ยแย้งว่า “พี่ไป๋เสา ท่านไม่รู้อันใด ปูนั้นอร่อยอย่างไรเล่า”


 


 


นางมองเจินเมี่ยวอย่างห่วงใย “ต้าไหน่ไหน่ หากท่านกินแล้วทรมานเช่นนี้ ต่อก็ให้บ่าวกินแทนท่านเถิดเจ้าค่ะ”


 


 


เส้นโลหิตตรงขมับของเจินเมี่ยวกระตุกไม่หยุด นางกุมท้องตนแล้วกัดฟันเอ่ยว่า “หุบปากให้หมด!”


 


 


ในที่สุดภายในห้องก็เงียบสงบลงเสียที


 


 


นางหายใจรวยริน “ไป๋เสาประคองข้าไปนอนที่เก้าอี้ตัวยาวที อาหลวนไม่อนุญาตให้ไปหาซื่อจื่อเด็ดขาด พวกเจ้าฟังให้ดี เรื่องนี้ห้ามผู้ใดแพร่งพรายออกไปเด็ดขาด”


 


 


“แต่อย่างไรก็ควรเชิญท่านหมอมาดูอาการนะเจ้าคะ” ไป่หลิงเอ่ยด้วยความเป็นห่วง


 


 


เจินเมี่ยวนอนลงอย่างระมัดระวัง นางส่ายหน้าพลางเอ่ยว่า “ไม่จำเป็น เชิญหมอมา ซื่อจื่อย่อมต้องทราบแน่ ข้ากินปูแล้วก็แค่อาเจียนถ่ายท้อง ทรมานเล็กน้อย วันใหม่ก็ดีขึ้นแล้ว พวกเจ้าวางใจได้ เอาล่ะ อาหลวนอยู่คอยดูแลข้า ส่วนพวกเจ้าออกไปเถิด ไป๋เสา ประเดี๋ยวงานบัญชีคงต้องลำบากเจ้าแล้ว”


 


 


เมื่อทุกคนออกไปแล้ว เจินเมี่ยวก็กุมท้องที่ปวดหนึบๆ ของตนไว้แล้วมองออกไปนอกหน้าต่าง


 


 


เพื่อมิให้ใต้เท้าผู้เป็นสามีต้องผิดหวัง นางกินปูไปไม่กี่คำ มันง่ายหรือไร!


 


 


“ต้าไหน่ไหน่ ท่านใช้โถน้ำร้อนประคบก่อนเถิดเจ้าค่ะ” อาหลวนไม่ทราบไปค้นโถน้ำร้อนขนาดเท่าฝ่ามือที่มักใช้ยามเหมันต์มาจากที่ใด นางต้มน้ำร้อนแล้วเอาผ้าห่ออีกทีจึงนำมาวางไว้บนท้องของเจินเมี่ยว


 


 


ท้องนางอุ่นร้อนขึ้นมาความเจ็บปวดก็ค่อยๆ ทุเลาลง เจินเมี่ยวมีสีหน้าผ่อนคลายลง นางเอ่ยอย่างทอดถอนใจว่า “อาหลวน เจ้าช่างใส่ใจนัก ต่อไปหากไม่มีเจ้าคงไม่ชินเป็นแน่”


 


 


“ต้าไหน่ไหน่?” อาหลวนเงยหน้าขึ้นด้วยความตกใจ


 


 


เจินเมี่ยวใช้การพูดคุยมาดึงความสนใจตนออกไป “ก่อนหน้านี้ ซื่อจื่อเคยพูดกับข้าว่าผู้ใต้บังคับบัญชาเขาชมชอบเจ้า ให้ข้ามาถามความเห็นของเจ้าดู”


 


 


อาหลวนคุกเข่าลง “ต้าไหน่ไหน่ บ่าวไม่อยากไปจากท่านเจ้าค่ะ”


 


 


“เหตุใดจึงเรียกว่าจากไปเล่า อย่างจื่อซู หากนางมิตั้งครรภ์เวลานี้คงกลับมาเป็นคนช่วยดูแลเรือนให้ข้า เจ้าเองก็เหมือนกัน”


 


 


อาหลวนก้มหน้า “บ่าวยังอยากรับใช้ต้าไหน่ไหน่ไปอีกสักสองปีค่อยคิดเจ้าค่ะ”


 


 


เจินเมี่ยวเห็นนางยืนยันหนักแน่นก็คิดได้ว่าอาหลวนเพิ่งสิบห้าเท่านั้น ในหมู่สาวใช้ด้วยกันก็ไม่นับว่าอายุมาก ในเมื่อนางยังไม่คิดจะออกเรือนก็รออีกสักสองปีค่อยว่าเถิด จึงมิไปเอ่ยถามนางอีก


 


 


ภายในห้องพลันเงียบสงัดลง อาหลวนนั่งบนเก้าอี้ข้างเตียง ทั้งคอยนวดขมับให้เจินเมี่ยว


 


 


หลังจากที่สาวใช้ทั้งหลายออกไปแล้วก็ยังรู้สึกเป็นห่วงอยู่บ้าง


 


 


“จะไม่ไปเชิญท่านหมอมาตรวจจริงหรือ หากเป็นอันใดไปจะทำอย่างไร” ชิงเกอถามขึ้นอย่างกระวนกระวาย


 


 


“ถุยๆ ต้าไหน่ไหน่จะเป็นอันใดไปได้ หากเจ้ายังพูดจาไม่ดีเช่นนี้อีกข้าจะตีเจ้าเสีย” ไป่หลิงเอ่ยตำหนิ


 


 


“ข้าไม่เข้าใจจริงๆ ทั้งที่ต้าไหน่ไหน่กินปูไม่ได้ แต่เหตุใดถึงกินเล่า” เชวี่ยเอ๋อร์ส่ายหน้า


 


 


ไป่หลิงมองไปโดยรอบคราหนึ่ง เมื่อเห็นว่าบรรดาสาวใช้น้อยต่างอยู่ห่างออกไปพอสมควร จึงเอ่ยเสียงต่ำว่า “พวกเจ้ายังเล็ก ย่อมไม่เข้าใจเหตุผลนี้ ปูนั่นเป็นอาหารที่ซื่อจื่อทำให้ต้าไหน่ไหน่กินกับมือ หากข้าเป็นต้าไหน่ไหน่ อย่าว่าแค่แสลงท้องเลยต่อให้เป็นด่างข้าก็ยังจะยิ้มและกินต่อไปเช่นเดิม”


 


 


นางคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าบุรุษเช่นซื่อจื่อจะลงมือทำอาหารให้ภรรยากินกับมือตน


 


 


นักกวีทั้งหลายต่างบอกว่าบุรุษควรอยู่ให้ห่างจากห้องครัว แต่นางเป็นเพียงสาวใช้ไม่รู้อันใดมากมาแต่กลับรู้สึกว่าซื่อจื่อที่ทำอาหารให้ต้าไหน่ไหน่กินเองกับมือนั้นสูงส่งกว่านักกวีทั้งหลายเหล่านั้นเสียอีก


 


 


มีบุรุษผู้หนึ่งรักใคร่ดูแลเช่นนี้ ยังมีอันใดให้ร้องขออีกเล่า


 


 


“ด่างท่านก็จะกินหรือ พี่ไป่หลิงท่านบ้าไปแล้วหรือ” ชิงเกอยิ่งฟังยิ่งงง


 


 


เชวี่ยเอ๋อร์แม้อายุยังน้อยแต่กลับเข้าใจเรื่องพวกนี้ เรื่องนี้นับเป็นเรื่องราวในห้องหับของซื่อจื่อกับต้าไหน่ไหน่ นางจึงมิอาจพูดอันใดมาก ทำได้เพียงเม้มปากยิ้มเท่านั้น


 


 


ไป่หลิงยื่นมือไปหยิกแก้มชิงเกอ “เจ้าต่างหากที่บ้า!”


 


 


สาวใช้โง่งมผู้นั้นกลับกระโดดผลุงขึ้นมาแล้วเอ่ยตะกุกตะกักออกมาว่า “ซื่อ…จื่อ…”


 


 


เมื่อไป่หลิงกับเชวี่ยเอ๋อร์หันไปก็ต้องอึ้งงัน


 


 


หลัวเทียนเฉิงที่ไม่ทราบว่ายืนอยู่บนบันไดนานเท่าใดแล้วก้าวเท้ายาวเข้ามาหาด้วยใบหน้านิ่งเฉย “เมื่อครู่พวกเจ้าพูดว่าด่างอันใดหรือ”


 


 


ไป่หลิงก้มหน้าลง ภายใต้การจับจ้องของหลัวเทียนเฉิง พลันรู้สึกกดดันขึ้นมาจึงเอ่ยอย่างระมัดระวังว่า “ซื่อจื่อ บ่าวแค่ล้อเล่นกับพวกนางเท่านั้นเจ้าค่ะ”


 


 


หลัวเทียนเฉิงสงสัยอยู่ในใจ จึงเอ่ยถามเสียงเย็นว่า “ต้าไหน่ไหน่เล่า เหตุใดพวกเจ้าจึงอยู่ที่นี่กันหมด”


 


 


เขาพูดพลางก้าวเท้าเดินเข้าไปด้านใน ชิงเกอเป็นคนที่เชื่อฟังเจินเมี่ยวที่สุด เมื่อนึกถึงวาจาของเจินเมี่ยวนางก็คว้าเสื้อเขาไว้ด้วยความลนลาน พลางเอ่ยเสียงดังว่า “ซื่อจื่อ ต้าไหน่ไหน่นอนหลับเจ้าค่ะ!”


 


 


หลัวเทียนเฉิงหันกลับไปจ้องมือที่เต็มไปด้วยก้อนเนื้อของนาง แล้วยกมุมปากขึ้น


 


 


หากมิใช่สาวใช้ร่างอวบอ้วนนี้ เขาคงคิดว่ามีคนเกิดความคิดอันไม่สมควรขึ้นเป็นแน่


 


 


เมื่อหลัวเทียนเฉิงมองเช่นนั้น ชิงเกอจึงปล่อยมือไปโดยไม่รู้ตัว


 


 


เขาหมุนกายเดินเข้าไปด้านใน เมื่อเปิดประตูออกก็เห็นอาหลวนกำลังประคองเจินเมี่ยวลุกขึ้น


 


 


เวลาเพียงไม่นานนางกลับดูอิดโรยถึงเพียงนี้ แม้แต่แรงจะเดินยังไม่มี


 


 


หลัวเทียนเฉิงหน้าเปลี่ยนสีไปทันที เขาเดินรุดเข้าไปดุจดาวตก ผลักอาหลวนออกแล้วอุ้มเจินเมี่ยวขึ้น “เป็นอันใด ในเมื่อไม่สบายเหตุใดมินอนพัก ลุกขึ้นมาไย”


 


 


เจินเมี่ยวร้องเสียงแหลมขึ้นอย่างอดกลั้น นางแทบจะร้องไห้ออกมาแล้ว “อย่า อย่าขยับ!”


 


 


“หืม?”


 


 


“ท่านค่อยๆ วางข้าลงเบาๆ”


 


 


“ห๊ะ?” หลัวเทียนเฉิงยังมึนงงอยู่


 


 


“เร็วเข้า” เจินเมี่ยวกัดฟันเอ่ย


 


 


เมื่อเห็นนางดูทรมานยิ่ง หลัวเทียนเฉิงก็ค่อยๆ วางนางลงบนเตียง “เป็นถึงเพียงนี้ ยังจะไปที่ใดอีก!”


 


 


เจินเมี่ยวรู้สึกจะหมดสติไปให้ได้ “ข้าจะไปห้องปลดทุกข์ อาหลวน!”


 


 


อาหลวนเข้าไปประคองเจินเมี่ยวอีกครั้ง แล้วเอ่ยกับหลัวเทียนเฉิงว่า “ซื่อจื่อ ให้บ่าวประคองต้าไหน่ไหน่ไปห้องปลดทุกข์ก่อนเถิดเจ้าค่ะ”


 


 


กระทั่งเจินเมี่ยวออกมาจากห้องปลดทุกข์อย่างไรเรี่ยวแรงแล้ว หลัวเทียนเฉิงจึงเริ่มเข้าใจอันใดขึ้นมา เขาเอ่ยหน้าบึ้งตึงว่า “อาหลวน เจ้าออกไปก่อน”


 


 


“ต้าไหน่ไหน่…”


 


 


“ข้าดูแลเอง!”


 


 


อาหลวนมองเจินเมี่ยวคราหนึ่ง เมื่อเห็นนางไม่คัดค้านจึงเดินออกไป


 


 


หลัวเทียนเฉิงโอบเจินเมี่ยวไว้ ทั้งจนใจทั้งโมโห “เจ้ากินปูไม่ได้?”


 


 


เจินเมี่ยวลังเลอยู่ครู่หนึ่งจึงพยักหน้า “อืม”


 


 


“ในเมื่องกินไม่ได้ เหตุใดยังกินอีก ร่างกายควรต้องมาเป็นเช่นนี้หรือไม่” หลัวเทียนเฉิงโกรธมากอย่างยิ่ง


 


 


เจินเมี่ยวเม้มริมฝีปากตน “เมื่อคิดว่าท่านต้องเรียนมาอย่างยากลำบากกว่าจะทำได้ ข้าก็อยากจะลองชิมดูสักคำ”


 


 


ใจหลัวเทียนเฉิงพลันอ่อนยวบขึ้นมาทันที ทั้งเป็นห่วงทั้งโมโห แต่ครานี้กลับโกรธตนเองแทน


 


 


“ข้าไม่ดีเอง ถึงกับไม่รู้ว่าเจ้ากินปูไม่ได้” เขาก้มลงจุมพิตเส้นผมนาง ครั้นคิดถึงบทสนทนาของบรรดาสาวใช้พวกนั้นแล้วก็เอ่ยอย่างทอดถอนใจว่า “เจ้าช่างโง่จริงๆ กินไม่ได้ก็บอกข้าตรงๆ แค่เจ้าเข้าใจในความตั้งใจของข้า ข้าดีใจแล้ว หากข้าเตรียมด่างมาให้ เจ้าก็จะกินหรือไร”


 


 


เจินเมี่ยวกลอกตาใส่เขาคราหนึ่ง “ข้าโง่เพียงนั้นหรือไร เพื่อรับน้ำใจจากท่านถึงกับต้องกินด่างจนตาย ให้ท่านได้มีโอกาสไปทำปูดองส้มให้สตรีอื่นกินในภายหลังหรือ”


 


 


หลัวเทียนเฉิงผ่อนลมหายใจยาวออกมาแล้วลูบหลังนางเบาๆ “มิได้โง่ปานนั้นก็ดีแล้ว หากเป็นเช่นนั้นจริงๆ คงโมโหตายเพราะเจ้า แต่เจ้าวางใจได้ ชั่วชีวิตนี้ข้าจะไม่ทำปูดองส้มให้ผู้อื่นกินเด็ดขาด”


 


 


คนทั้งสองกอดกันไว้ครู่หนึ่ง เขาจึงคิดบางอย่างขึ้นมาได้ “อันใดที่เรียกว่าข้าไปร่ำเรียนมาด้วยความยากลำบาก ข้าแค่ถามอาจารย์ผู้นั้นเพียงครั้งเท่านั้น” 

 

 


ตอนที่ 357 ข่าวดี

 

 “ซื่อจื่อเหตุใดจึงกลับมาอีกเล่า” เจินเมี่ยวเพิ่งจะนึกขึ้นได้ 


 


 


หลัวเทียนเฉิงเอ่ยด้วยขบขันว่า “หากไม่กลับมา ไหนเลยจะรู้ว่าเจ้าโง่งมถึงเพียงนี้ กินปูไม่ได้ยังฝืนกินอีก ปูดองส้มยังเป็นเพียงนี้หากข้าทำปูผัดเผ็ดมิยิ่งเสาะท้องมากกว่านี้หรือ แล้วเจ้าจะทำฉันใด” 


 


 


แม้จะเอ่ยเช่นนี้แต่ใจของเขากลับคล้ายแช่อยู่ในน้ำผึ้งก็มิปาน มันไม่เคยหวานเช่นนี้มาก่อนเลย 


 


 


ความรู้สึกที่มีคนยอมทำเรื่องโง่ๆ เพื่อเจ้านั้นช่างดีเหลือเกินจริงๆ 


 


 


เจินเมี่ยวมองเขาด้วยแววตาตำหนิ 


 


 


เจ้าคนหน้าไม่อาย เอาเปรียบผู้อื่นอยู่แท้ๆ ยังมาแสร้งว่าง่าย 


 


 


หลัวเทียนเฉิงจึงเอ่ยขึ้นว่า “ข้าได้ข่าวมาข่าวหนึ่ง หากเจ้าได้ฟังแล้วจะต้องดีใจมากแน่ จึงได้กลับมาอย่างไรเล่า” 


 


 


เจินเมี่ยวยิ่งสงสัยมากขึ้นไปอีก นางผลักเขาคราหนึ่ง “เลิกทำลับลมคมในสักที มีเรื่องอันใดหรือ” 


 


 


หลัวเทียนเฉิงเผยรอยยิ้มลึกลับ “เจ้าเดาดูสิ” 


 


 


เจินเมี่ยวรู้สึกว่านางเกลียดที่สุดก็คือคำว่า ‘ลองเดาดูสิ’ นี่แล นางจึงกลอกตาใส่เขาแล้วหยิกเอวเขาคราหนึ่ง “ซื่อจื่อ ท่านเดาดูสิว่าตอนนี้ข้าอารมณ์ดีหรือไม่” 


 


 


หลัวเทียนเฉิงไอเสียงแห้งคราหนึ่ง แล้วกะพริบตาปริบๆ “ข้าได้ข่าวมาว่าญาติของเจ้าจะมาเมืองหลวง” 


 


 


เจินเมี่ยวเริ่มสนใจขึ้นมา “ข้าจะลองเดาดูก็ได้ หรือจะเป็นพี่เวินยาหัน ไม่ใช่ นางติดตามพี่เขยไปรับราชการนอกเมือง อย่างน้อยก็ต้องสามปีจึงจะกลับมา หรือเป็น…ญาติผู้พี่จากตระกูลท่านยาย” 


 


 


ระยะนี้การค้าของเวินมั่วเหยียนดียิ่ง เขาถึงกับแบ่งร้านเป็นสองสาขาแล้ว ป้าสะใภ้กับพี่สะใภ้รองก็พักอยู่ที่เมืองหลวงมิได้กลับไป หากจะมีคนมาจากตงอวี๋ก็อาจเป็นไปได้ 


 


 


“ข้าทายถูกหรือไม่” เจินเมี่ยวผลักหลัวเทียนเฉิงคราหนึ่ง 


 


 


หลัวเทียนเฉิงยิ้มพลางเอ่ยว่า “ถูกครึ่งหนึ่ง ผู้ที่มาเป็นญาติจากตระกูลท่านยายของเจ้าจริงแต่มิใช่ญาติผู้พี่” 


 


 


ญาติผู้พี่อันใดกันนักหนา เหตุใดนางจึงมีญาติผู้พี่มากนักเล่า! 


 


 


หลัวเทียนเฉิงไม่ทำลับลมคมในอีก เขาเอ่ยขึ้นเนิบๆ ว่า “ผู้ที่เข้าเมืองหลวงมาคือลุงเล็กของเจ้าเอง” 


 


 


“ลุงข้า? ลุงใหญ่นอนป่วยอยู่บนเตียงมาหลายปี ลุงรองตาบอด…” เจินเมี่ยวพลันนึกขึ้นได้ นางเขย่าแขนเสื้อหลัวเทียนเฉิงไปมา “ท่าน เมื่อครู่ท่านพูดว่าอันใดหรือ” 


 


 


เห็นชัดว่านางตกใจอย่างที่สุดจริงๆ กระทั่งลุกพรวดขึ้นมาอย่างคนที่ลืมอาการปั่นป่วนในท้อง “ท่านหมายถึงลุงเล็กของข้า?” 


 


 


“ใช่” หลัวเทียนเฉิงยิ้มอ่อนๆ มองท่าทีของนาง ในดวงตาเต็มไปด้วยความรักใคร่ที่ตนไม่เคยรับรู้มาก่อน 


 


 


เจินเมี่ยวค่อยสงบสติอารมณ์ลงได้ “ลุงเล็กของข้าหายไปในทะเลแล้วมิใช่หรือ เหตุใดจึง…” 


 


 


เพื่อให้เจินเมี่ยวสบายใจ หลัวเทียนเฉิงจึงบอกข่าวให้นางทราบอีกนิด “ระยะต้องการเปิดด่านทางทะเล จึงมีการสำรวจดูแลตงอวี๋มากสักหน่อย ไม่ว่าข่าวใดที่สำคัญก็จะแจ้งกลับมาเสมอ ลุงเล็กของเจ้าออกทะเลไปแล้วกลับมาอีกครั้งเป็นข่าวที่ผู้คนต่างสนใจ แต่เพราะตงอวี๋อยู่ไกลจากเมืองหลวงมาก ข่าวคราวจึงมิอาจมาถึงได้ในเวลาอันรวดเร็ว คิดว่าอีกไม่นานจวนเจี้ยนอานปั๋วก็น่าจะได้รับข่าวนี้เช่นกัน” 


 


 


หลัวเทียนเฉิงพูดเช่นนี้เจินเมี่ยวก็วางใจ 


 


 


อยู่ด้วยกันนานเข้า นางก็รู้ดีว่าเขามิใช่คนพูดพร่ำเพรื่อ ในเมื่อเขาพูดเองนั้นย่อมต้องเป็นเรื่องจริงอย่างแน่นอน 


 


 


นางมองหลัวเทียนเฉิงด้วยความลังเลอยู่หลายส่วน ยังมิทันได้พูดอันใด อีกฝ่ายก็คล้ายเดาได้ถึงความคิดของนางแล้ว เขายื่นมือไปตบบ่านางแล้วเอ่ยว่า “ให้ท่านแม่ยายรู้เร็วสักหน่อยก็มิเป็นไรดอก” 


 


 


เจินเมี่ยวดีใจยิ่งกับข่าวอันไม่คาดฝันนี้ 


 


 


ตั้งแต่เกิดเรื่องกับเวินยาฉี นางเวินก็มักเก็บทุกข์ไว้ในใจ สีหน้าดวงตาล้วนเต็มไปด้วยความเศร้า นางที่เป็นบุตรสาวเห็นแล้วก็รู้สึกทรมานใจยิ่ง 


 


 


หากนางเวินทราบว่าท่านลุงเล็กเดินทางกลับมาจากโพ้นทะเลอย่างปลอดภัยจะต้องดีใจมากอย่างแน่นอน 


 


 


“แต่วันนี้เจ้าต้องพักผ่อนให้มาก พรุ่งนี้ค่อยกลับจวน” หลัวเทียนเฉิงเอ่ยกำชับ 


 


 


แม้เจินเมี่ยวจะรู้สึกดั่งมีแมวมาข่วนในใจแต่ก็ยังพยักหน้ารับ 


 


 


หากนางกลับจวนปั๋วไป แล้วเอาแต่อยู่ในห้องปลดทุกข์ไม่ออกมา นั้นจึงจะเรียกว่าขายหน้าไปถึงตระกูลจริงๆ 


 


 


เพราะเจินเมี่ยวไม่สบาย หลัวเทียนเฉิงจึงมิกลับไปศาลาว่าการอีก เขาอยู่เป็นเพื่อนนางคอยนวดท้องให้นางทั้งคืน หากเทียบกับโถน้ำร้อนที่ค่อยๆ เย็นลงนั้น มือเขากลับใช้ได้ดีกว่าสักหน่อย 


 


 


เช้าตรู่วันถัดมา เจินเมี่ยวไปน้อมคารวะฮูหยินผู้เฒ่า ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นนางก็ชมยกใหญ่ “หลานสะใภ้ ปูดองส้มที่ส่งมาเมื่อวานรสชาติดียิ่ง เจ้าช่างใส่ใจนัก” 


 


 


ที่ฮูหยินผู้เฒ่าดีใจเพียงนี้เพราะเจิ้นกั๋วกงชอบ 


 


 


เมื่อวานนางส่งปูดองส้มมาให้หกชิ้น ฮูหยินผู้เฒ่ากินไปเพียงชิ้น ให้เถียนเสวี่ยที่มาคอยดูแลปรนนิบัติชิ้นหนึ่ง ที่เหลือล้วนถูกเจิ้นกั๋วกงกินไปจนหมดแล้วแต่ก็ยังรู้สึกว่าไม่พอ 


 


 


เจินเมี่ยวลังเลครู่หนึ่ง 


 


 


ปูดองส้มนั้นซื่อจื่อเป็นคนทำ นางย่อมตะขิดตะขวงใจที่จะรับความดีความชอบนี้มา แต่หากให้ฮูหยินผู้เฒ่ารู้เกรงว่าอาจมีความคิดเป็นอื่นไป 


 


 


สำหรับคนที่นี่แล้วบุรุษที่มีอนาคตย่อมต้องอยู่ให้ไกลห้องครัว การเข้าครัวเพื่อเอาใจภรรยายิ่งเป็นเรื่องที่มิอาจทำได้ 


 


 


นางจึงเอ่ยอย่างคลุมเครือว่า “หากท่านย่าชอบ ต่อไปจะส่งมาให้อีกเจ้าค่ะ” 


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่ายิ้มพลางเอ่ยว่า “เช่นนั้นย่าก็มีวาสนายิ่งแล้ว” 


 


 


ฤดูกาลกินปูก็มีเพียงสองเดือนนี้เท่านั้น กว่าจะมีสิ่งที่เจิ้นกั๋วกงชอบมาตั้งแต่หนุ่มก็ยกให้เขากินไปเถิด 


 


 


เมื่อคิดถึงเจิ้นกั๋วกง สีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าก็อ่อนโยนลงมาก 


 


 


เจินเมี่ยวลอบจุดเทียนไว้อาลัยให้กับซื่อจื่อ 


 


 


เรื่องปูนั้นดูท่าเขายังคงต้องทำต่อไปแล้ว! 


 


 


“ท่านย่า วันนี้ข้าอยากจะกลับไปเยี่ยมจวนเจี้ยนอานปั๋วสักหน่อยเจ้าค่ะ” 


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่ามิใช่คนหัวโบราณ จึงมิได้ถามมากความก็อนุญาตแล้ว ทั้งยังกำชับว่า “เลือกคนควบรถม้าที่ไว้ใจได้และเอาองครักษ์ไปด้วยมากสักหน่อย” 


 


 


เจินเมี่ยวยกมุมปากขึ้นคราหนึ่ง 


 


 


จากเหตุการณ์ที่ม้าตกใจครานั้นจนเกิดเรื่องราวขึ้นมากมาย ดูท่ามันคงได้สร้างความหวาดระแวงในใจอย่างใหญ่หลวงให้ฮูหยินผู้เฒ่าแล้ว 


 


 


“ท่านย่าวางใจได้เจ้าค่ะ ผู้ที่ควบรถม้าให้ข้าคืออาหู่ เขาตามฝึกฝนกับซื่อจื่อมาหนึ่งปีแล้ว” 


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าทวนความจำอีกครา “เด็กที่พวกเจ้าพากลับมาจากเป่ยเหอน่ะหรือ” 


 


 


“เจ้าค่ะ ตอนนี้สูงขึ้นมากแล้ว ซื่อจื่อบอกว่าบุรุษทั่วไปถึงสามสี่คนก็มิอาจทำอันใดเขาได้” 


 


 


ผู้กล้านั้นไม่แบ่งที่มา 


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่ามิได้เป็นเช่นคนแก่ธรรมดาทั่วไป ที่อันใดก็เชื่อแต่บุตรชายตน สำหรับนางแล้วหลานชายคนโตเป็นคนฉลาดและกล้าหาญ ในเมื่อเขาเป็นคนเลือกคนมาให้หลานสะใภ้ด้วยตนเอง นั่นยอมแสดงว่าเหมาะสมแล้ว นางที่เป็นเพียงย่าจึงมิต้องพูดให้มากความอีก แต่เมื่อคิดถึงที่มาของเด็กคนนั้นแล้วจึงเอ่ยว่า “ข้าได้ยินพวกเจ้าพูดถึงเขามาแล้วก่อนหน้านี้ ข้ารู้สึกว่าเขาเป็นคนมีความสามารถคนหนึ่ง หากเขามีความมุ่งมั่นก็อย่าได้ไปขัดขวางผู้อื่นเล่า” 


 


 


เจินเมี่ยวยิ้มเต็มหน้าแล้วเอ่ยว่า “ท่านย่าวางใจเถิดเจ้าค่ะ ซื่อจื่อบอกว่าหากอาหู่คิดจะกลับไปเมื่อใดก็แล้วแต่เขา” 


 


 


ความจริงแล้วนางคิดว่าบุรุษมิจำเป็นต้องมีความคิดที่จะสร้างเนื้อสร้างตัว ซื่อจื่อมองเห็นแต่เกียรติยศของแม่ทัพ ผู้ใดจะนึกถึงทหารที่ตายอย่างโดดเดี่ยวในสนามรบบ้างเล่า 


 


 


แน่นอนว่านางเองก็ไม่คิดจะไปขวางกั้นอนาคตของผู้ใด ไม่ว่าจะเป็นหน่วยองครักษ์จิ่นหลินหรือคนควบรถม้าให้นางก็ดี ขอเพียงอาหู่เลือกในสิ่งที่เขาอยากทำ และมีความสุขกับมัน นั่นต่างหากที่สำคัญที่สุด 


 


 


“เช่นนั้นก็ดีแล้ว” ฮูหยินผู้เฒ่าพยักหน้ารับ 


 


 


คนภายในห้องต่างอยู่เป็นเพื่อนสนทนากับฮูหยินผู้เฒ่า ผ่านไปไม่นานก็แยกย้ายกันกลับเรือน 


 


 


เจินเมี่ยวเดินอยู่บนทางเล็กๆ ที่ปูด้วยหินสีดำ เถียนเสวี่ยจึงเดินตามมา 


 


 


“พี่สะใภ้” 


 


 


เจินเมี่ยวยิ้มให้ “น้องสะใภ้สามมีเรื่องอันใดหรือไม่” 


 


 


“เมื่อวานท่านข้ามีวาสนาได้กินปูดองส้มที่พี่สะใภ้ส่งมา รสชาติอร่อยจริงๆ” 


 


 


เจินเมี่ยวเลิกคิ้วขึ้น 


 


 


เถียนเสวี่ยใบหูแดงเล็กน้อย รู้สึกขัดเขินอยู่บ้าง “พี่สะใภ้ดูแลจวนจะต้องยุ่งมากเป็นแน่ แต่หากเป็นไปได้จะช่วยรับลูกศิษย์โง่เง่าผู้นี้ไว้สักคนได้หรือไม่” 


 


 


“น้องสะใภ้สามอยากเรียนทำอาหารหรือ” 


 


 


เถียนเสวี่ยหันไปมองเจินเมี่ยวคราหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ข้ามิได้ฉลาดมือไม้คล่องแคล่วอย่างพี่สะใภ้ แค่เรียนวิธีทำปูดองส้มแค่จานเดียวก็พอแล้ว” 


 


 


เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ท่าทีกลับสงบเยือกเย็นขึ้นมาทันใด “ข้าเห็นว่าท่านปู่ท่านย่าชอบ ต่อไปจะได้ทำให้พวกท่านทั้งสองกินเป็นการแสดงความกตัญญู” 


 


 


นางกล่าวจบก็เริ่มสับสนขึ้นมาในใจอีก 


 


 


ไม่รู้ว่าพี่สะใภ้ผู้นี้จะคิดว่านางต้องการแย่งความโปรดปรานจนเกิดโกรธเคืองนางหรือไม่ 


 


 


นางมีความรู้สึกที่ดีต่อพี่สะใภ้ผู้นี้ไม่น้อย แต่ท่านอากลับเอ่ยห้ามปรามยิ่ง นางที่อยู่ตรงกลางจึงทำตัวลำบาก เรื่องในวันนี้ก็เป็นการหยั่งเชิงอย่างหนึ่ง หากพี่สะใภ้ใหญ่เป็นคนอย่างที่นางคิด ต่อให้ท่านอาจะโกรธเกลียดนาง นางก็ไม่มีอันใดจะกล่าว 


 


 


“ได้สิ ประเดี๋ยวถึงเรือนจะเอาวิธีทำปูดองส้มส่งไปให้เจ้าแล้วกัน หากเจ้าทำเป็นแล้ว ต่อไปข้าก็จะได้แอบเกียจคร้านได้” เจินเมี่ยวเอ่ยด้วยรอยยิ้มเต็มหน้า 


 


 


เมื่อคนทั้งสองแยกจากกันแล้ว เชวี่ยเอ๋อร์จึงพูดขึ้นด้วยความไม่พอใจว่า “ต้าไหน่ไหน่ ซานไหน่ไหน่ทำเกินไปแล้ว เหตุใดจึงมาขอวิธีทำปูดองส้มจากท่านง่ายๆ เช่นนี้ นี่มิใช่ต้องการจะแย่งชิงความโปรดปรานจากท่านหรือ!” 


 


 


เจินเมี่ยวทำตาขวางใส่นาง “ล้วนเป็นการแสดงความกตัญญูต่อผู้อาวุโส แย่งความโปรดปรานอันใดกัน ความจริงข้าควรจะขอบคุณนางด้วยซ้ำ” 


 


 


ครั้นเห็นเชวี่ยเอ๋อร์เบิกตาโพลงขึ้น เจินมี่ยวก็พยักหน้าให้อาหลวน 


 


 


 อาหลวนจึงอธิบายว่า “ต้าไหน่ไหน่ทำปูดองส้มไม่เป็น หากฮูหยินผู้เฒ่าชอบก็ต้องส่งไปที่เรือนบ่อยๆ แต่ซื่อจื่อย่อมมิอาจทำอาหารในจวนบ่อยๆ ได้ หากซานไหน่ไหน่ทำเป็นแล้วก็สามารถแก้ไขความลำบากให้กับต้าไหน่ไหน่ได้” 


 


 


เชวี่ยเอ๋อร์ยังคงไม่ยินยอมอยู่ดี “นั่นเป็นการช่วยแก้ปัญหาให้ต้าไหน่ไหน่โดยที่นางไม่รู้ตัว มันคนละเรื่องกันมิใช่หรือ” 


 


 


“หากซานไหน่ไหน่ก็ทราบเล่า” 


 


 


“ห๊ะ?” 


 


 


เจินเมี่ยวเดินตรงไปข้างหน้า ทั้งเอ่ยอธิบายอย่างไม่เร่งไม่รีบ “ยามนี้ฮูหยินรองมิได้ดูแลจวนแล้ว ฮูหยินสี่ก็ตั้งครรภ์ ฮูหยินผู้เฒ่าให้ซานไหน่ไหน่ติดตามฮูหยินสามเพื่อช่วยดูเรื่องห้องครัว เรือนชิงเฟิงมีห้องครัวเล็ก สองปีมานี้ไม่เคยไปเอาปูที่ห้องครัวใหญ่มาทำอาหารเลย หากนางดูบัญชีก็น่าจะทราบแล้ว” 


 


 


“ซานไหน่ไหน่เดาได้ว่าปูดองส้มมิใช่ท่านเป็นคนทำ?” เชวี่ยเอ๋อร์ปิดปากตน 


 


 


คนที่ไม่เคยกินปูเลยจะเอาปูมาทำอาหารได้อย่างไรเล่า 


 


 


เจินเมี่ยวคลี่ยิ้มคราหนึ่ง “ดังนั้นน่ะหรือ ซานไหน่ไหน่เป็นคนที่ใส่ใจผู้อื่นอย่างไรเล่า” 


 


 


ผ่านไปไม่นานเถียนเสวี่ยก็ได้รับกล่องไม้ใบเล็กจากเรือนชิงเฟิง ด้านในมีกระดาษแผ่นหนึ่งที่เขียนถึงวิธีทำปูดองส้มด้วยลายมือสวยงาม 


 


 


เถียนเสวี่ยถือกระดาษแผ่นนั้นนั่งเหม่อลอย สาวใช้เพียงคนเดียวที่ติดตามาจากตระกูลจึงเอ่ยขึ้นด้วยความกังวลว่า “ซานไหน่ไหน่ ท่านทำเช่นนี้ ทางนั้นจะเข้าใจท่านผิดหรือไม่เจ้าคะ” 


 


 


นางมองอักษรตัวเล็กๆ นั้นนิ่งแล้วยิ้มบางเบาออกมา “คงต้องดูกันต่อไปก่อน” 


 


 


หากใจของคนผู้หนึ่งมีความรัก มองคนมองทิวทัศน์ก็ย่อมสวยงาม หากใจของเขามีแต่ความเกลียดชัง เช่นนั้นมองสิ่งใดก็เต้มไปด้วยแผนการและความชั่วร้าย 


 


 


พี่สะใภ้ใหญ่มองนางเช่นไรหรือ วิธีทำอาหารในกระดาษแผ่นนี้ได้ให้คำตอบกับนางแล้ว 


 


 


ตั้งแต่คุณชายสามพูดวาจาเหล่านั้นกับนาง เถียนเสวี่ยก็สบายใจขึ้น 


 


 


เจินเมี่ยวกลับมาที่จวนเจี้ยนอานปั๋ว แล้วเอาข่าวที่ลุงเล็กยังไม่ตายและกำลังเดินทางมาเมืองหลวงบอกแก่นางเวิน นางถึงกับกอดเจินเมี่ยวร้องไห้ยกใหญ่ หลังจากนั้นท่าทีก็ดีขึ้นมาก แต่ก็มิลืมเอ่ยด้วยความเสียดายว่า “น่าสงสารก็แต่ป้าสะใภ้เล็กของเจจ้า ตั้งแต่ลุงเล็กของเจ้าเกิดเรื่อง นางก็ร้องไห้ทุกวัน แต่สุดท้ายก็มิอาจรอมาจนถึงวันนี้ได้ นางจากไปทั้งที่ยังสาวอยู่แท้ๆ แม้แต่บุตรสักคนก้มมิได้ทิ้งไว้ให้” 


 


 


มารดาและบุตรสาวต่างทอดถอนใจให้กับคำว่า ‘ถ้าหาก’ นางเวินอดรนทนไม่ได้จึงให้เจินเมี่ยวพาไปเป็นแขกที่เรือนนางเจียวที่เรือน คิดไม่ถึงว่าจะเจอแต่ความว่างเปล่า นางเจียวพาสะใภ้สกุลสิงไปร้านที่เพิ่งเปิดใหม่ได้ไม่นานองเวินมั่วเหยียน 


 


 


สองแม่ลูกจึงนั่งรถม้าตามไปที่นั่น แต่กลับเห็นคนกำลังเอะอะอยู่หน้าร้านเข้าพอดี  

 

 


ตอนที่ 358 ไม่ขาย

 

เจินเมี่ยวประคองนางเวินลงจากรถม้า เมื่อเดินไปถึงประตูก็ได้ยินเสียงดังมาจากข้างใน 


 


 


“น่าอัศจรรย์จริงๆ เจ้าเปิดร้านค้าต้อนรับแขกจากทั่วสารทิศ เหตุใดสิ่งของที่นายข้าเลือกไว้กลับบอกว่ามีคนจองไว้แล้วเล่า ในเมื่อมีคนจอง แล้วเหตุใดเมื่อครู่จึงยกมาให้ข้าเลือก” เสียงชัดเจนเต็มไปด้วยพลังของสตรีผู้หนึ่ง เพราะมีโทสะแฝงอยู่จึงมีความแหลมสูงอยู่หลายส่วน 


 


 


เจินเมี่ยวเกินฝ่าฝูงชนเข้าไปก็เห็นสตรีที่กำลังพูดอยู่นั้นใส่เสื้อกั๊กยาวปี๋จย่าสีเหลืองเข้ม สวมกระโปรงสีเขียวอ่อนปักลายบุปผา บนมวยผมทั้งสองข้างปักบุปผาโลหะสีทอง ท่าทีขึงขัง แม้การแต่งกายจะเป็นสาวใช้แต่แทบจะเทียบได้กับคุณหนูธรรมดาทั่วไปเลยทีเดียว 


 


 


เจินเมี่ยวมองหน้าสาวใช้ผู้นี้อยู่นาน กระทั่งเดินเข้าไปดูใกล้ๆ อย่างละเอียดจึงจำได้ในที่สุด 


 


 


นี่มิใช่สาวใช้เพียงคนเดียวที่เจินจิ้งพากลับจวนเจี้ยนอานปั๋วด้วยเมื่อครั้งตั้งครรภ์หรอกหรือ 


 


 


ผู้ดูแลร้านที่ถูกถามติดๆ กันเช่นนั้นก็เอ่ยขอรับผิด “ต้องขออภัยจริงๆ เด็กในร้านไม่ทราบว่าลูกค้าท่านอื่นได้จองไปแล้วขอรับ” 


 


 


ในใจของผู้ดูแลที่กำลังเอ่ยขออภัยนั้นแทบจะร้องไห้ออกมาแล้ว 


 


 


เถ้าแก่ที่อายุยังน้อยของเขาผู้นั้น ปกติยิ้มแย้มต้อนรับลูกค้าดียิ่ง แต่วันนี้กลับไม่รู้เป็นอันใด เมื่อได้ยินว่าแม่นางน้อยผู้นี้บอกว่าให้ส่งของที่นางจองไว้แล้วไปที่ตำหนักเฉินอ๋อง เพราะรองพระชายาของนางต้องการ เถ้าแก่จึงเรียกเขาไปพบแล้วบอกว่าเขาว่าไม่อนุญาตให้ขายของชิ้นใดก็ตามในร้านนี้ให้แก่นาง 


 


 


ไม่ขายให้ท่านก็ควรต้องบอกกล่าวก่อน แต่นางเลือกแล้ว ราคาก็ตกลงแล้ว จู่ๆ บอกว่าไม่ขาย นี่มิใช่หักท่อนกระดูกของเขามาฟาดหน้าเขาหรอกหรือ 


 


 


เขาพร่ำบ่นในใจแต่กลับไม่เผยอารมณ์ใดบนใบหน้าเลย ได้แต่ส่งยิ้มอันจริงใจให้นางไปเป็นกระบุงโกย 


 


 


สาวใช้ผู้นั้นอายุยังน้อย อย่างไรก็รู้สึกเขินอายอยู่บ้าง นางจึงเม้มริมฝีปากแล้วเอ่ยว่า “ช่างเถิดๆ ในเมื่อผู้อื่นจองแล้วก็แล้วไปเถิด” 


 


 


ผู้ดูแลร้านถึงกับผ่อนลมหายใจยาวออกมา 


 


 


“เช่นนั้นก็เอาของที่ให้ข้าดูเมื่อครา แต่ข้าไม่ได้เลือกขึ้นมาให้ข้าดูอีกทีเถิด” 


 


 


ยิ้มของผู้ดูแลร้านแข็งค้างไปทันใด เขาเอ่ยตะกุกตะกักว่า “เออ ของพวกนั้น…มีคนจองไปหมดแล้ว…ขอรับ” 


 


 


เมื่อเห็นไฟโทสะในดวงตาของสาวใช้ผู้นั้น เขาก็รีบเอ่ยขึ้นอีกว่า “เป็นลูกค้าคนเดียวกันจองไว้ขอรับ” 


 


 


เพลิงโทสะพุ่งขึ้นเต็มนัยน์ตาสาวใช้ผู้นั้น นางหันหลังไปมองแล้วยกนิ้วขึ้นชี้โดยไม่สนว่าจะมีคนอยู่ในร้านมากมายเท่าใด “ในเมื่อเป็นเช่นนั้นก็เอาระฆังหอยทะเลเจ็ดสีใส่**บให้ข้าเถิด” 


 


 


สิ่งของที่จัดวางอยู่ทั่วร้านใหญ่เพียงนี้คงมิได้ถูกคนจองไว้หมดแล้วกระมัง 


 


 


ผู้ดูแลถึงกับต้องเช็ดเหงื่อ ภายใต้สายตาของคนทั้งหลายที่จับจ้องนั้น เขาจงเอ่ยปากขึ้นอย่างยากลำบากว่า “บังเอิญ บังเอิญจริงๆ ขอรับ ระฆังหอยทะเลเจ็ดสีนั่นก็มีคนจองเอาไว้แล้ว…” 


 


 


สาวใช้ผู้นั้นโกรธขึ้นมาถึงขีดสุดแล้ว ดวงตาเป็นประกายวาวโรจน์ด้วยโทสะ “นี่ก็มีคนจองแล้ว นั่นก็มีคนจองแล้ว บอกข้ามาหน่อยเถิดว่าร้านที่เพิ่งเปิดใหม่ของพวกท่านมีความจริงใจที่จะทำการค้าหรือไม่ ผู้ดูแลร้าน เจ้าทำงานไม่เป็นเช่นนี้ เถ้าแก่เจ้ารู้หรือไม่ หากข้าเป็นเถ้าแก่คงไล่เจ้าออกไปนานแล้ว!” 


 


 


ผู้ดูแลร้านมีปากก็ยากจะพูด ใจเขาเอ่ยว่าแม่นางน้อยเอ๊ย เพราะเถ้าแก่ข้าทราบอย่างไรเล่า หากถึงไม่กล้าขายให้ มิเช่นนั้นคงถูกไล่ออกเป็นแน่! 


 


 


เมื่อเห็นสาวใช้ใหญ่กับผู้ดูแลร้านถลึงตามองกัน ผู้คนที่มาชมความคึกคักก็เริ่มวิจารณ์ 


 


 


“ใช่ๆ คนจองหมดแล้ว เช่นนั้นจะซื้ออันใดเล่า” คนกลุ่มหนึ่งนั้นมักชอบเข้าไปมีส่วนร่วมด้วยเสมอ 


 


 


“เอ๊ะ ใช่ที่ไหน เมื่อครู่ข้าถามถึงราคาของระฆังหอยทะเลเจ็ดสี ต่อราคากันอยู่นาน ข้าติดว่ามันแพงไปจึงไม่ซื้อ ในเวลาอันสั้นเพียงนี้จะมีคนมาจองได้อย่างไร” 


 


 


สาวใช้ได้ยินเข้าจึงมิอาจอดกลั้นโทสะได้อีกต่อไป “ดีเหลือเกิน มิน่าเล่าข้าคิดอยู่แล้วเชียวว่ามีสิ่งใดไม่ถูกต้อง ที่แท้ร้านเจ้าต้องใจไม่ขายให้ข้า!” 


 


 


นางแค่นยิ้มเย็น “ร้านพวกเจ้าดูแคลนพระชายารองของเรางั้นหรือ ดูแคลนพระชายารองก็เท่ากับดูแคลนท่านอ๋องของเรา พวกเจ้ายังยืนทำอันใดกันอยู่ รีบไปทุบของที่เขาบอกว่ามีคนจองไว้แล้วให้แตกเป็นเสี่ยงๆ ไปเลย” 


 


 


บุรุษสองคนที่ติดตามสาวใช้ผู้นี้มากำลังคิดจะลงมือแต่กลับได้ยินเสียงอันเย็นเยียบเอ่ยขึ้นว่า “ข้าจะดูสิว่าผู้ใดกล้าทุบทำลาย!” 


 


 


คนทั้งหลายได้ยินก็หันไปมอง แล้วต่างหลีกทางให้โดยไม่รู้ตัว 


 


 


เจินเมี่ยวเดินเข้ามาอย่างเฉิดฉายแล้วหยุดยืนตรงหน้าสาวใช้ผู้นั้นด้วยใบหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “เหตุใดข้าจึงไม่รู้ว่าพระชายารองของเจ้าสามารถเป็นตัวแทนของเฉินอ๋องได้ ช่างกล้านัก!” 


 


 


เจินจิ้งถูกแต่งตั้งเป็นพระชายารองแล้ว ก่อนหน้านั้นยังจัดงานเลี้ยงฉลองกันอย่างคึกคัก เพียงแต่เจินเมี่ยวเห็นเจินจิ้งแล้วขัดใจ จึงบ่ายเบี่ยงไม่ไปร่วมงาน แต่คิดไม่ถึงว่านางจะบุกมาถึงร้านของญาติผู้พี่เช่นนี้ 


 


 


การตายของเวินยาฉี แม้เจินจิ้งมิได้ลงมือแต่นางก็เป็นต้นเหตุ แล้วมันต่างอันใดกันเล่า นางทำร้ายยน้องสาวของผู้อื่นแล้วยังจะมาซื้อของที่ร้านเขาเพื่ออวดวาสนาบารมี รังแกคนเกินไปแล้ว! 


 


 


เรื่องนี้ป้าสะใภ้รองและคนอื่นๆ ไม่ทราบความจริง มีเพียงมั่วเหยียนเท่านั้นที่รู้ ด้วยอุปนิสัยของเขา การไม่ออกมาไล่สาวใช้ผู้นี้ด้วยตนเองก็นับว่าอดทนอดกลั้นยิ่งแล้ว 


 


 


เห็นชัดว่าสาวใช้จำเจินเมี่ยวได้ ผู้ที่กล้าตบหน้าพระชายารองต่อหน้าองค์ชายก็คงมีแต่สตรีผู้นี้แล้ว 


 


 


ใช่แล้วก่อนหน้านี้ยังได้ยินว่านางตบหน้าคุณหนูผู้หนึ่งที่ยังไม่ทันออกเรือนด้วย วางอำนาจเพียงนี้เหตุใดพระโพธิสัตว์จึงไม่จัดการไปเสียที 


 


 


สาวใช้ผู้นั้นพลันรู้สึกว่าคนรอบข้างมองหน้าแปลกไป นางกะพริบตาปริบๆด้วยความสงสัย ทันใดนั้นก็ยกมือขึ้นปิดปากตนไว้ แย่แล้ว นางตกใจที่เซี่ยนจู่ผู้นี้ปรากฏกายขึ้นจนเผลอพูดสิ่งที่คิดอยู่ในออกมาจนหมด! 


 


 


จบกันๆ นางคงต้องถูกตบจนหน้าบวมแน่ สาวใช้ผู้นั้นยกมือขึ้นปิดหน้าตนไว้ตามสัญชาตญาณ 


 


 


เจินเมี่ยวไม่สนใจสายตาแปลกประหลาดของผู้คนที่มองนางหลังจากได้ยินสาวใช้ผู้นั้นพูดว่านางโอหังวางอำนาจ นางหลุดหัวเราะออกมา “ไม่เสียแรงที่เป็นสาวใช้ของพระชายารองของเฉินอ๋อง ช่างเป็นคนรู้ความโดยแท้” 


 


 


สาวใช้ผู้นั้นปิดหน้าตนไว้ รู้สึกดั่งฝันไป 


 


 


ครั้นได้ยินเสียงหัวเราะของเจินเมี่ยว นางพูดว่า “หากรู้ว่าขายหน้าตน ก็รีบเอาหน้าไปซ่อนไว้เสีย” 


 


 


ฮ่าๆ 


 


 


เสียงหัวเราะดังขึ้นเป็นระลอกคลื่น 


 


 


สาวใช้อายจนหน้าแดง นาง นางไม่รู้จะทำเช่นไร  


 


 


เจินเมี่ยวชำเลืองมองนางอย่างไม่ไยดี “มิต้องปิดแล้ว ข้าผู้เป็นเซี่ยนจู่ไหนจะมีเวลามาตบสาวใช้เช่นเจ้า” 


 


 


ผู้อื่นไม่เข้าใจแต่สาวใช้ผู้นั้นกลับเข้าใจในทันที 


 


 


เจียหมิงเซี่ยนจู่หมายความว่า เวลาว่างของนางมีไว้เพื่อใช้ตบหน้าพระชายารองของตนเท่านั้น! 


 


 


เจินเมี่ยวมองไปรอบทิศแล้วยิ้มออกมา “ผู้ดูแลร้านพูดถูก ของเมื่อครู่ข้าเป็นคนจองไว้เอง เพราะข้ารีบร้อนจึงมารับด้วยตนเอง คิดไม่ถึงว่าของที่จองไว้แล้วกลับมีคนคิดจะแย่ง” 


 


 


ความจริงหากต้องเผชิญหน้ากับผู้อื่น ต่อให้มีฐานะเป็นเซี่ยนจู่เช่นกัน ก็คงต้องหลบให้ตั้งแต่เห็นท่าทีที่เดินเข้ามาของเจินเมี่ยวแล้ว เมื่อเจินเมี่ยวพูดเช่นนั้นนางจึงเอ่ยรับคำว่า “มิน่าเล่าบ่าวถึงรู้สึกว่าของแต่ละชิ้นช่างล้ำค่าเหลือเกิน ที่แท้ก็เป็นของที่เซี่ยนจู่หมายตาไว้นี่เอง” 


 


 


พระชายารอง บ่าวทำให้ท่านต้องขายหน้าอีกแล้ว แต่ทำอย่างไรได้ หากบ่าวถูกเจียหมิงเซี่ยนจู่ตบ แล้วยังไม่หน่ำใจจนบุกไปถึงตำหนัก ผู้ใดจะรู้ว่าท่านอ๋องจะยืนข้างใครเล่า 


 


 


ยามนี้ตำหนักเฉินอ๋องมีแต่คนคอยเอาใจพระชายารอง มีเพียงสาวใช้ที่ได้ติดตามไปจวนเจี้ยนอานปั๋วเท่านั้นที่เมื่อเห็นเจินเมี่ยวแล้วจะรู้สึกแปลกๆ ขึ้นมา 


 


 


ช่างเถิด อย่างไรก็เป็นสตรีสูงศักดิ์ อย่างไรย่อมต้องไว้หน้าบ้าง นางจึงมองไปโดยรอบแล้วเลือกของมาตามใจสักชิ้นเพื่อซื้อให้มันจบๆ ไป 


 


 


“มิต้องดูแล้ว สิ่งที่เจ้าต้องตา ข้าได้จองไว้หมดแล้ว” 


 


 


คนที่รุมล้อมเข้ามาต่างวิจารณ์กันระงม 


 


 


“เซี่ยนจู่มาจากที่ใดกัน ถึงไม่ไว้หน้ากระทั่งพระชายารองของท่านอ๋อง” สำหรับคนทั้งหลายแล้วการไม่ให้เกียรติอนุของท่านอ๋องก็เท่ากับลบหลู่ท่านอ๋อง 


 


 


ผู้ที่รู้จักเจินเมี่ยวต่างก็บอกเล่าออกมาเงียบๆ คนทั้งหลายจึงไม่กล้าพูดอันใดอีก 


 


 


ยามนี้ผู้ใดไม่รู้จักความร้ายกาจของหน่วยองครักษ์จิ่นหลินบ้าง ไม่ว่าจะเป็นคนธรรมดาหรือขุนนางยศใหญ่กระทั่งอ๋อง หากถูกหน่วยองครักษ์จิ่นหลินหมายตาย่อมต้องพังพินาศไปในทันใด 


 


 


แม้ท่านอ๋องจะสูงศักดิ์แต่ตราบใดที่ยังมิได้นั่งบัลลังก์มังกรก็อาจจะสูญสิ้นชีวิตไปโดยมิทันรู้ตัวด้วยซ้ำ เกรงว่าแม้แต่ท่านอ๋องก็คงมิอยากผิดใจกับผู้บัญชาการของหน่วยองครักษ์จิ่นหลินเป็นแน่ 


 


 


เจินเมี่ยวไม่สนใจสาวใช้ผู้นัน้อีก นางยิ้มให้กับคนทั้งหลาย “รบกวนความสำราญของพวกท่านแล้ว ร้านนี้เป็นของญาติผู้พี่ข้าเอง หากทุกท่านถูกใจสิ่งใด ข้าขอเป็นตัวแทนพี่ชายลดราคาให้พวกท่านหนึ่งในสิบส่วนเลย ทุกท่านโปรดเลือกกันตามสบาย” 


 


 


สาวใช้ผู้นั้นมิอาจทนความอับอายได้อีกจึงจากไปด้วยขอบตาแดงเรื่อ 


 


 


เจินเมี่ยวจึงหลบออกมาจากฝูงชนโดยไร้สุ้มเสียง นางประคองนางเวินไปเข้าประตูด้านข้าง 


 


 


นางเวินเอ่ยอย่างไม่เห็นด้วยว่า “เมี่ยวเอ๋อร์ แม่รู้ว่าเจ้าโกรธที่เจินจิ้งชักนำยาฉีไปในทางไม่ดี แต่เจ้าทำเช่นนี้ท่ามกลางสายตาผู้คนทั้งหลาย อาจผิดใจกับเฉินอ๋องได้ ภายหน้าเจ้าจะเสียเปรียบเปล่าๆ” 


 


 


“เสียเปรียบ?” 


 


 


“ใช่ โบราณว่าไว้ว่า…” นางเวินรู้สึกว่ามันเป็นวาจาอัปมงคลจึงกลืนมันลงท้องไป 


 


 


เจินเมี่ยวกลับยิ้มออกมา “ท่านแม่ ท่านคิดไปไกลแล้ว ยามนี้ลูกมีเงิน มีบรรดาศักดิ์ ทั้งยังมีซื่อจื่อ หากต้องอดกลั้นกับคนชั่วช้าพรรค์นั้นต่างหากจึงเป็นการทำผิดต่อตัวเอง หากภายหน้าตกที่นั่งลำบาก ผู้ที่จริงใจต่อข้า เช่นท่านกับพี่รอง ก็ยังคงดีต่อข้าเช่นเดิม ส่วนคนที่ไม่เกี่ยวอันใดด้วยนั้น ย่อมต้องหลบเลี่ยงอันตรายอยู่แล้ว ต่อให้ยามนี้ลูกเป็นคนดีมีเมตตา ถึงตอนนั้นถ้าพวกเขาควรหนีห่างก็ยังคงต้องหนีห่างอยู่” 


 


 


วาจานี้ทำเอานางเวินอึ้งไป นางรู้สึกว่าบุตรสาวพูดมิใคร่ถูกนัก แต่ไม่ถูกที่ตรงใดกลับบอกไม่ได้ 


 


 


คนทั้งสองเดินควงแขนกันเข้าที่ด้านหลังร้าน 


 


 


เมื่อสาวใช้ผู้นั้นกลับตำหนักไป เจินจิ้งเห็นนางกลับมามือเปล่า เมื่อทราบสาเหตุที่แท้จริงก็โกรธเคืองยิ่ง นางโยนถ้วยชาหลายใบลงพื้นแตกกระจาย 


 


 


เสียงนี้ทำให้เด็กน้อยที่นอนอยู่ในเปลตกใจตื่นและร้องไห้เสียงดังออกมาทันที 


 


 


เจินจิ้งกำลังอยู่ในอารมณ์โมโห นางจึงก้าวเท้าเข้าไปดูเด็กน้อยที่ร้องไห้สะอึกสะอื้นนั้นแล้ว ไม่ทราบด้วยเหตุใดจึงนึกถึงคำพูดของพระชายาซิ่วอ๋องที่บอกว่าบุตรนางคล้ายเจินเมี่ยว พลันรู้สึกรังเกียจขึ้นมา จึงเอ่ยกับแม่นมที่กำลังปลอบเด็กน้อยว่า “พาคุณหนูไปที่ห้องด้านข้างไป” 


 


 


เวลานี้เององค์ชายหกก็เดินเข้ามาพอดี เขาเห็นทุกอย่างอยู่ในสายตาจึงหุบยิ้มในหน้าตนลงทันที  

 

 


ตอนที่ 359 แตกต่าง

 

“ท่านอ๋อง…” บ่าวไพร่ที่คอยปรนนิบัติรับใช้ในห้องเห็นองค์ชายหกก็รีบย่อกายคารวะ 


 


 


เจินจิ้งสีสลดไปทันใด นางแข็งใจเดินไปหาองค์ชายหกเมื่อเห็นว่าเขามีสีหน้าเครียดขรึมก็ส่งยิ้มให้ ในขณะเดียวกันก็ส่งสัญญาณให้ทุกคนออกไป 


 


 


องค์ชายหกยื่นมือไปขวางแม่นมที่อุ้มเด็กน้อยไว้ “เหตุใดคุณหนูถึงร้องไห้เล่า เอามาให้ข้าดูสิ” 


 


 


เขาอุ้มเด็กน้อยโอนไปเอนมาอย่างชำนาญ ว่าไปแล้วก็แปลกนัก เด็กน้อยหยุดร้องทันใด แล้วใช้สายตาที่ถูกน้ำตาชะล้างแล้วนั้นจ้องมองเขา 


 


 


องค์ชายหกคลี่ยิ้มออกมา เมื่อมองท่าทีที่สงบลงแล้วของเจินจิ้งจึงเอ่ยว่า “ยามนี้เจ้าเป็นพระชายารองแล้ว ทั่วทั้งตำหนักหลังเจ้าใหญ่ที่สุด แม้มีสิ่งใดไม่พอใจก็ไม่ควรไปลงกับเด็ก” 


 


 


วาจานี้ขององค์ชายหกแม้จะเป็นคำตำหนิแต่ก็ช่วยเตือนสติให้รู้ว่านางมีฐานะแตกต่างจากผู้อื่น ทั้งเขาก็มิเคยปิดบังความรักที่มีต่อบุตรสาว เจินจิ้งจึงเริ่มคลายโทสะ นางเผยรอยยิ้มหวานล้ำอย่างที่สุดออกมา 


 


 


“ท่านอ๋องพูดถูกแล้ว เป็นหม่อมฉันเองที่เสียกิริยาไปชั่วขณะ” นางรับลูกน้อยมากล่อมอย่างอ่อนโยน หางตาชำเลืองเห็นองค์ชายหกมีรอยยิ้มที่มุมปากจึงค่อยส่งเด็กให้แม่นม “คุณหนูควรกินนมแล้ว เจ้าพาคุณหนูออกไปเถิด” 


 


 


ครั้งนี้องค์ชายหกมิได้ขวางไว้ 


 


 


กระทั่งในห้องเหลือเพียงพวกเขาสองคน เจินจิ้งจึงยื่นมือออกไปรั้งแขนขององค์ชายหกไว้ด้วยความเขินอาย หน้าอกอวบอิ่มแนบชิดไปกับแขนของเขา 


 


 


“เกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่” องค์ชายหกเก็บสายตาที่มองไปยังที่ตรงนั้นคืนมา 


 


 


เจินจิ้งเม้มริมฝีปาก กำหมัดแน่น แล้วเอ่ยอย่างน้อยใจว่า “หม่อมฉันพูดไม่ได้เพคะ” 


 


 


องค์ชายหกรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา เขาเอ่ยเสียงเรียบว่า “ในเมื่อพูดไม่ได้ก็ไม่ต้องพูด” 


 


 


ริมฝีปากเจินจิ้งสั่นระริกคราหนึ่ง 


 


 


ภาพฉากนี้ออกจะไม่ถูกต้องนัก หากไม่พูดแล้วนางจะกล่าวฟ้องได้อย่างไรเล่า 


 


 


“ท่านอ๋อง…” ดวงตาเม็ดซิ่งกลมโตนั้นมีเมฆหมอกปรากฏขึ้น ดวงตาอันเปียกชุ่มนั้นทำให้คนรู้สึกอยากทะนุถนอมยิ่ง 


 


 


องค์ชายหกกลับไม่สนใจกับวาจาที่นางจะเอ่ย เขาเลิกคิ้วขึ้นพูดว่า “ข้าคิดว่าเราควรจะตั้งชื่อเล่นให้บุตรสาวของเรา จะได้มิต้องเรียกแต่คุณหนูๆ” 


 


 


“ท่านอ๋องช่างรอบคอบนัก เดิมหม่อมฉันคิดว่าบุตรเรายังเล็กนัก…” เจินจิ้งรู้สึกยินดีขึ้นมา 


 


 


ไม่ว่าท่านอ๋องจะทำตัวผิดแปลกอย่างไร แต่ความรักที่มีต่อบุตรสาวนั้นกลับมิใช่ของปลอมแน่ นี่ย่อมเป็นประโยชน์แก่นาง 


 


 


“ท่านอ๋องจะให้บุตรเราชื่ออันใดหรือเพคะ” 


 


 


องค์ชายหกคล้ายคิดไว้แล้ว เขาจึงเอ่ยออกมาว่า ให้เรียกว่าเจินเจินแล้วกัน“ 


 


 


“เจินเจิน?” เจินจิ้งอึ้งงันไป 


 


 


“ใช่ เจินที่อยู่ในคำว่าไข่มุก เจ้าว่าอย่างไร” 


 


 


เจินจิ้งบอกไม่ถูกว่ามันแปลกที่ตรงใดแต่นางกลับรู้สึกว่ามันพิกลๆ ภายใต้สายตาที่จับจ้องขององค์ชายหก นางจึงพยักหน้ารับด้วยความลังเล 


 


 


เจินเจิน ฟังแล้วก็เป็นชื่อที่ดีไม่น้อย 


 


 


สารทฤดูใกล้เข้ามาแล้ว ดอกบัวในสระของจวนเจิ้นกั๋วกงต่างเ**่ยวเฉาหมดแล้ว บรรดาสาวใช้รูปโฉมงดงามต่างนั่งยัดนุ่นเพิ่มความหนาของเสื้อผ้าอยู่ด้านนอก  


 


 


เจินเมี่ยวกำเทียบเชิญจากนางเวินด้วยดวงตาเป็นประกาย 


 


 


ในที่สุดลุงเล็กก็มาถึงแล้ว! 


 


 


“ไปถามซื่อจื่อที่ศาลาว่าการทีว่าวันนี้จะกลับมาเร็วสักหน่อยได้หรือไม่” นางกำชับชิงไต้ 


 


 


ชิงไต้ออกไปไม่นาน หลัวเทียนเฉิงก็เดินเข้ามา “เจี๋ยวเจี่ยว ข้าจะไปรับลุงเล็กของเจ้าเป็นเพื่อนเจ้าเอง” 


 


 


คนทั้งสองเร่งรุดไปที่ท่าเรือที่อยู่ชานเมือง เวินมั่วเหยียน เจินฮ่วนและเจี่ยงเฉินรออยู่ที่นั่นเรียบร้อยแล้ว 


 


 


เจินเมี่ยวใส่หมวกเหวยเม่า หลัวเทียนเฉิงประคองนางลงมาจากรถม้า 


 


 


“ซื่อจื่อ น้องสี่ พวกเจ้าก็มาด้วยหรือ” เจินฮ่วนรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย 


 


 


“พี่ใหญ่ ” เจินเมี่ยวมองออกไปข้างหน้า “เรือของท่านลุงเล็กจะมาถึงเมื่อใดหรือ” 


 


 


“คาดว่าน่าจะอีกหนึ่งถึงสองชั่วยาม ลมที่นี่แรง เจ้าไปรอที่จวนก็ได้” 


 


 


เจินเมี่ยวเม้มริมฝีปากผลิยิ้ม “ข้าอยู่ในจวนมาทั้งวันทั้งคืนแล้ว” 


 


 


พลันได้ยินเสียงม้าดังใกล้เข้ามา เมื่อไปถึงต่อหน้าคนทั้งหลายก็พลิกตัวลงจากม้า เขาทักทายทุกคน กระทั่งถึงเจินเมี่ยวก็เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “พี่รองของเจ้าไปรออยู่ที่จวนปั๋วกับเยี่ยนเกอแล้ว” 


 


 


เมื่อคนมากันครบแล้วก็ได้แต่พูดคุยกันรอทั้งมองออกไปยังที่แสนไกลนั้นไปพลาง 


 


 


แม่น้ำใสเย็นเชื่อมต่อกับท้องฟ้าเป็นผืนเดียวกัน มีเรือลำหนึ่งแล่นอยู่  


 


 


เรือสีดำลำนั้นมีสองชั้น มันกำลังค่อยๆ เคลื่อนเข้ามาใกล้ 


 


 


“ใช่เรือลำนั้นหรือไม่” เจินเมี่ยวมองหลัวเทียนเฉิง 


 


 


หลัวเทียนเฉิงเอ่ยเสียงแผ่วว่า “ลุงเล็กของเจ้าติดตามเรือของราชทูตงอวี๋มาที่เมืองหลวง คาดว่าคงนำของมาไม่น้อย ก็น่าจะเป็นเรือลำนี้แล” 


 


 


เรื่องที่นายท่านสามสกุลเวินกลับมาจากโพ้นทะเลได้ถูกนำความไปกราบทูลฝ่าบาทแล้ว ในช่วงเวลาที่จะเปิดด่านทางทะเลเช่นนี้เขาต้องมาเข้าเฝ้าที่วังหลวงอยู่แล้ว 


 


 


เมื่อเรือเทียบท่า เวินมั่วเหยียนก็เอาแต่จ้องคนที่เดินลงมาจากเรือตาไม่กะพริบ เขาเห็นบุรุษหนุ่มผู้หนึ่งเดินขึ้นฝั่งมากับบุรุษที่อายุดูจะมากสักหน่อย สายตาพลันสว่างวาบขึ้น เขาเดินเข้าไปรับทันที “พี่รอง…” 


 


 


“น้องสี่!” บุรุษหนุ่มเผยท่าทีดีใจ แล้วพูดกับบุรุษข้างตนว่า “อาสาม เขาก็คือมั่วเหยียน ท่านจำเขาได้หรือไม่” 


 


 


บุรุษผู้นั้นสวมชุดคลุมยาวตรงเป็นพู่กัน หน้าตาหล่อเหล่า หางตามีริ้วรอยปรากฏขึ้นไม่น้อยแล้วแต่กลับทำให้ดูน่าใกล้ชิดมากยิ่งขึ้น 


 


 


เวินมั่วเหยียนมีสีหน้าตื่นเต้นยิ่ง เขารีบโค้งกายคารวะทันที “อาสาม…” 


 


 


บุรุษผู้นั้นยิ้มและพยุงเวินมั่วเหยียนขึ้น เสียงหัวเราะนั้นสดใสยิ่ง “มั่วเหยียนหรือนี่ ตอนที่จากบ้านไป เจ้ายังเป็นลิงอยู่แท้ๆ ชอบปีนป่ายต้นไม้เป็นที่สุด แล้วญาติผู้น้องของเจ้าก็จะไปฟ้องบิดาเจ้า เจ้าจึงถูกบิดาตีจนก้นลาย” 


 


 


เวินมั่วเหยียนหูแดงขึ้นมา เขากันไปมองเจินเมี่ยวคราหนึ่งแล้วเอ่ยอย่างประหม่าว่า “อาสาม เลิกขขายหลานเสียทีเถิด ญาติผู้น้องที่ท่านเอ่ยถึงก็มาเช่นกัน” 


 


 


เขาชี้ไปที่เจินเมี่ยว 


 


 


เจินเมี่ยวรีบยกกระโปรงเดินเข้าไปหากแล้วย่อกายคารวะต่อนายท่านสามสกุลเวินทันที “ท่านลุงเล็ก ข้าคือเจินเมี่ยว ท่านยังจำข้าได้หรือไม่” 


 


 


นายท่านสามสกุลเจินทั้งตกใจทั้งดีใจ เขาพิจารณาเจินเมี่ยวอย่างละเอ่ยแล้วเอ่ยว่า “ข้าเคยบอกแล้วว่า หากหลานสาวผู้นี้ของข้าเติบใหญ่จะต้องเป็นสตรีที่งดงามยิ่ง ไม่ผิดอย่างที่คาดไว้จริงๆ” 


 


 


เมื่อเห็นนางแต่งกายอย่างสตรีที่แต่งงานแล้ว ก็อดถอนหายใจออกมาไม่ได้ หลานชายของเขาช่างโง่นัก เหตุใดจึงไม่รู้จักธรรมเนียมที่ว่าน้ำดีมิปล่อยเข้านาผู้อื่น 


 


 


“อาสาม ข้าจะแนะนำให้ท่านรู้จักเอง นี่คือสามีของพี่เจินเหยียนคุณชายจวนรองเสนาบดี ปีนี้ยังสอบได้เป็นจวี่เหรินอีกด้วย” 


 


 


นายท่านสามสกุลเวินเห็นเมิ่งเหยียนเหนียนหน้าตาหมดจดยิ่งก็พยักหน้าติดๆ กัน 


 


 


“นี่คือสามีของญาติผู้น้อง เป็นคุณชายผู้สืบทอดจวนเจิ้นกั๋วกง ยามนี้รับตำแหน่งเป็นหัวหน้าผู้บัญชาการของหน่วยองครักษ์จิ่นหลิน” 


 


 


นายท่านสามสกุลเวินพลันยิ้มค้างไป เห็นชัดว่าตกใจยิ่ง เขาพิจารณาสังเกตหลัวเทียนเฉิงอย่างละเอียดคราหนึ่ง 


 


 


บุรุษหนุ่มตรงหน้าแสดงความเคารพต่อเขา ทว่ากลับมิอาจปกปิดความองอาจที่อยู่เหนือผู้คนของเขาเอาไว้ได้ แค่มองก็รู้ว่ายากจะกำราบ เขาอดปาดเหงื่อแทนหลานสาวไม่ได้จริงๆ 


 


 


เวินมั่วเหยียนหันมาแนะนำเจินฮ่วนและเจี่ยงเฉิน 


 


 


ถึงคราที่นายท่านสามจะแนะนำคนข้างกายที่มาจากต่างเผ่าซึ่งดึงดูดสายตาผู้คนยิ่งแล้ว “นี่คือทังหมู่ซูและเป่าหลัว มาจากแคว้นหนึ่งจากอีกฟากหนึ่งของมหาสมุทร” 


 


 


คนต่างเผ่าที่มีผมสีทองต่างสีฟ้าต่างเข้ามาทักทายหลัวเทียนเฉิงอย่างเป็นกันเองด้วยการ…กอด 


 


 


เจินฮ่วนและเจี่ยงเฉินถึงกับอึ้งไป หลัวเทียนเฉิงได้แต่อดใจไว้มิให้วู่วามจนเตะคนทั้งสองกระเด็นไป 


 


 


เมื่อเห็นทังหมู่ซูแลเป่าหลัวมองที่เจินเมี่ยว หลัวเทียนเฉิงก็ลูบกริชที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อตนคราหนึ่ง 


 


 


เขาอยากจะดึงมันออกมาควักลูกตาคนทั้งสองนั้นเหลือเกินทำอย่างไรดี 


 


 


“สวรรค์ สตรีของทางตะวันออกล้วนงดงามเช่นนี้ทุกคนหรือ” ทังหมู่ซูใช้สำเนียงอันแปลกแปร่งพึมพำขึ้นมา 


 


 


เป่าหลัวคุกเข่าลงข้างหนึ่ง กำลังจะกุมมือเจินเมี่ยวขึ้นมาจุมพิตก็คล้ายสัมผัสได้ถึงไอสังหารจากหลัวเทียนเฉิง นายท่านสามสกุลเวินจึงรีบเข้าไปช่วยพูดว่า “เป่าหลัว พิธีการของฝั่งตะวันออกไม่เหมือนกับเมืองของท่าน เรามิอาจจุมพิตมือของสตรีได้” 


 


 


จุมพิตมือ? 


 


 


หลัวเทียนเฉิงหยิบกริชออกมาแล้วชำเลืองมองไปที่คนทั้งสอง 


 


 


เจินเมี่ยวพอจะเข้าใจวัฒนธรรมของชาวตะวันตกอยู่บ้าง เพื่อมิให้สามีของนางเกิดบ้าคลั่งขึ้นมาอีก นางจึงรีบย่อกายคารวะแล้วหลบมายืนอยู่ข้างกายหลัวเทียนเฉิงโดยไม่พูดอันใดให้มากความ 


 


 


หลัวเทียนเฉิงจึงเก็บกริชไว้ด้วยความเสียดาย 


 


 


เวลานี้มีสตรีผู้หนึ่งได้จูงเด็กน้อยสองคนลงมาจากเรือ 


 


 


นายท่านสามสกุลเจินยิ้มกว้างขึ้นแล้วเข้าไปจูงมือสตรีผู้นั้นทันที “นี่คือภรรยาของข้า ไข่ลี่” 


 


 


ไข่ลี่มีผมสีทองตาสีฟ้าเช่นกัน เมื่อมายืนอยู่ข้างนายท่านสามแล้วกลับเตี้ยกว่าเขาเพียงชุ่นเดียวเท่านั้น ใบหน้าคม รูปร่างอวบอัด หากมองตาความงามของเจินเมี่ยวแล้วนับว่าเป็นสตรีที่งดงามยิ่ง 


 


 


“ป้าสะใภ้สาม…” เจินเมี่ยวย่อกายคารวะ 


 


 


ไข่ลี่เผยรอยยิ้มเป็นกันเอง แล้วกอดเจินเมี่ยวแน่นๆ ตามด้วยจุมพิตที่หน้าผากคราหนึ่ง 


 


 


คนทั้งหลายกลายเป็นหินในทันใด 


 


 


หลัวเทียนเฉิงล้วงกริชในแขนเสื้อตนประเดี๋ยววาง ประเดี๋ยวหยิบอยู่เช่นนั้น รู้สึกลังเลอย่างที่สุด 


 


 


ผู้ใดบอกเขาทีว่าหากมีสตรีมาจูบภรรยาของเขา เขาควรทำอย่างไร 


 


 


“นี่คือเจี๋ยเค่อ บุตรชาย และอ้ายลี่ซือบุตรสาวของข้า” 


 


 


เจี่ยเค่อน่าจะมีอายุสักเจ็ดปีได้ ผมและตาสีดำ แต่ใบหน้าคมสัน อายุยังน้อยแต่กลับรูปงามเสียจนคนต้องตกใจ อ้ายลี่ซืออายุแค่สี่ห้าปี ผมและตาเป็นสีน้ำตาลเข้ม หากมองผ่านๆ ก็เหมือนกับเด็กในต้าโจวแต่กลับมีความงามที่แตกต่างอยู่ 


 


 


เพราะทุกคนต่างตกตะลึงกันอยู่ เมื่อนายท่านสามแนะนำเสร็จ ก็เกิดความเงียบขึ้นชั่วเวลาหนึ่ง 


 


 


เจินเมี่ยวยิ้มให้และคุกเข่าลงจุมพิตที่หน้าผากเจี๋ยเค่อและอ้ายลี่ซือ นางยิ้มแล้วเอ่ยว่า “เจี๋ยเค่อ อ้ายลี่ซือ ข้าคือญาติผู้พี่ของพวกเจ้า ยินดีต้อนรับสู่ต้าโจว” 


 


 


ดวงตาอ้ายลี่ซื่อเปล่งประกายขึ้นทันใด ทั้งยื่นแขนขาวดุจหิมะไปกอดแขนเสื้อเจินเมี่ยว ขนตานางกระเพื่อมไหว “ญาติผู้พี่ ข้าชอบท่าน” 


 


 


“ข้าก็ชอบเช่นกัน” เจี๋ยเค่อเอ่ยเสียงดัง 


 


 


ตั้งแต่เด็กทั้งสองมาถึงต้าโจว ก็มักจะพบกับสายตาประหลาดที่จ้องมองพวกเขาเสมอ เพราะรูปโฉมที่แตกต่างจากคนที่นี่นั้นเอง แม้แต่ท่านย่าที่ดีกับท่าแม่มากๆ ยังมองพวกเข้าด้วยสายตาแตกตื่นอยู่บ่อยๆ 


 


 


เด็กน้อยความรู้สึกมักเร็วเสมอ พวกเขาย่อมไม่ชอบการจับจ้องเช่นนั้น แต่เจินเมี่ยวกลับมีท่าทีที่เป็นธรรมชาติยิ่ง ทำให้นางได้รับความรู้สึกดีๆ จากพวกเขาในทันที 


 


 


“ข้าชอบก่อน!” อ้ายลี่ซือตะโกนเสียงดัง 


 


 


“เจ้าชอบแล้วข้าก็สามารถชอบได้เช่นกัน!” 


 


 


“พี่ชายไม่ดี แย่งข้าอีกแล้ว ข้าจะให้ท่านพ่อตีท่าน!” 


 


 


เจี๋ยเค่อยกกำปั้นเข้าใส่อ้ายลี่ซื่ออย่างรวดเร็ว แล้วเอ่ยด้วยความภูมิใจว่า “เช่นนั้นข้าก็จะตีเจ้าก่อน!” 


 


 


เด็กทั้งสองใช้ภาษาแม่คุยกัน เวินมั่วเหยียนนและคนอื่นๆ ไม่มีใครเข้าใจ  


 


 


เวินมั่วเหยียนเอ่ยเสียงต่ำกับเจินฮ่วนว่า “วัฒนธรรมของชนต่างเผ่าช่างแปลกนัก หากถูกสตรีจุมพิตที่หน้าผากแล้วจักต้องฆ่าฟันกันเองหรือไม่” 


 


 


เจินฮ่วน “….” 


 


 


เสียงม้าร้องขึ้น คนทั้งหลายควบม้าตามกันไป แต่หลัวเทียนเฉิงได้รับบัญชาจากเจาเฟิงตี้ให้พานายท่านสามสกุลเจินและชนต่างเผ่าที่มาด้วยกันไปเข้าเฝ้า 


 


 


คนที่เหลือจึงไปรอที่เรือนของเวินมั่วเหยียนตามคำเชิญชวนของเขา 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม