บุปผาเคียงบัลลังก์ 350-357

 ตอนที่ 350 ยินดีปรีดา 


 


 


หรงจิงเป็นฮ่องเต้ที่ละเอียดรอบคอบน่าเกรงขามแต่ก็เป็นบิดาที่เมตตา เมื่อเห็นเลือดเนื้อเชื้อไขของตนก็บังเกิดความรักใคร่ผูกพันฉันพ่อลูก เขาขึ้นครองราชย์ตั้งแต่เยาว์วัย ขณะนี้ยังไม่ได้แต่งตั้งฮองเฮาทั้งยังไม่มีรัชทายาท มีเพียงบุตรสาวสองคนเท่านั้น ส่วนบุตรสาวคนเล็กนี้ยังไม่ได้ทำพิธีฉลองวัยหนึ่งปีซึ่งยังมีเวลาอีกหนึ่งเดือนจึงจะถึงพิธีนั้น ตอนนี้เป็นเพียงหนูน้อยวัยสิบเอ็ดเดือนที่อ่อนนุ่มน่ารักอย่างยิ่ง 


 


 


องค์หญิงน้อยมองดูหรงจิงแล้วก็ไม่ได้ร้องไห้เอะอะ ท่าทางที่ว่าง่ายน่ารักทำให้คนรักใคร่ 


 


 


ซูเฟยเห็นท่าทางที่รักลูกน้อยของฮ่องเต้แล้วก็ดีใจไปด้วย หรงจิงอุ้มองค์หญิงน้อยแนบอก แล้วอุ้มไปบนตั่งนุ่มๆ 


 


 


เมื่อเห็นซูเฟย หรงเฉิงเยี่ยก็รู้ว่าตนเองไม่สะดวกจะอยู่นานจึงลุกขึ้นขอลาฮ่องเต้กลับไปก่อน 


 


 


“ไม่คิดว่าองค์หญิงหรงฟังจะโตเท่านี้แล้ว ครอบครัวเสด็จพี่เกษมสำราญเช่นนี้คงไม่ต้องรั้งกระหม่อมไว้แล้วกระมัง ทรงปล่อยกระหม่อมเป็นอิสระออกนอกวังไปเถิดพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


หรงเฉิงเยี่ยพูดออกไปอย่างขำๆ แต่หรงจิงก็ไม่โกรธ พอเขากวักมือ กงกงเสี่ยวลี่จื่อก็ยกถาดเดินเข้ามา 


 


 


“ช่วงนี้เจ้าเหนื่อยยากมามาก เจ้าอยากได้ขลุ่ยทะเลเมฆมรกตเลานี้มาตลอดมิใช่หรือ ข้าให้เจ้า เอาไปเป่าเล่นให้สนุกเถิด” 


 


 


พอหรงจิงสะบัดมือ เสี่ยวลี่จื่อก็นำของขวัญนั้นส่งไปถึงเบื้องหน้าหรงเฉิงเยี่ย หรงเฉิงเยี่ยดีใจอย่างยิ่ง เปิดฝากล่องออกแล้วพิจารณาอย่างตั้งใจ 


 


 


ตอนหรงจิงหันกลับไปเขายังคงยืนอยู่เช่นนั้น จึงคิดจะหยอกเขาเล่น แต่พอเพิ่งยกมือขึ้นหรงเฉิงเยี่ยก็ถอยหลังไปก้าวหนึ่ง จากนั้นซ่อนมือที่ถือขลุ่ยทะเลเมฆมรกตไว้ข้างหลัง แล้วยิ้มพูดกับฮ่องเต้ 


 


 


“ฝ่าบาทประทานให้กระหม่อมจริงหรือพ่ะย่ะค่ะ กษัตริย์ตรัสแล้วไม่คืนคำนะพ่ะย่ะค่ะ ไม่ได้การๆ กระหม่อมจะต้องรีบไปแล้ว จะให้เสด็จพี่มีโอกาสนึกเสียดายไม่ได้เด็ดขาด” 


 


 


จากนั้นกำมือขึ้นทำความเคารพพูดยิ้มๆ 


 


 


“เป็นพระกรุณาที่เสด็จพี่พระราชทานให้พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมขอทูลลา” พูดจบเห็นหรงจิงยิ้มสะบัดมือจึงได้ถอยออกไป 


 


 


เซียงฉือได้ยินเสียงดังขึ้นที่นอกห้องไม่รู้ว่าใครกลับแล้ว นางอยู่ในตำหนักฉินเจิ้ง จัดการทำงานที่เมื่อคืนไม่ได้ทำให้เสร็จ ถึงแม้ตอนนี้จะเศร้าเสียใจแต่ก็ยังคงรับผิดชอบการงานอย่างเต็มที่ 


 


 


ซูเฟยเห็นฮ่องเต้กำลังหยอกเล่นอยู่กับบุตรสาวตัวน้อย จึงยิ้มแล้วพูดขึ้น 


 


 


“ฟังเอ๋อร์ เรียกเสด็จพ่อสิลูก เรียกเสด็จพ่อ เสด็จพ่อ…” 


 


 


ซูเฟยกล่อมลูกสาว พูดนำทีละคำๆ เด็กน้อยเห็นมารดาก็ยิ้มหวาน จากนั้นส่งเสียงใสเรียกตาม 


 


 


“เด็จป้อ!” 


 


 


เสียงอ้อนๆ ไม่ชัดเจนแบบทารกทำให้หรงจิงยิ้ม เขาได้ยินแล้ว ลูกสาวของเขาเริ่มพูดแล้ว ถึงแม้หรงฟังจะไม่ใช่ลูกคนแรกของเขา แต่ก็เป็นที่รักของเขาอย่างยิ่ง 


 


 


จะมีบิดาที่ไหนไม่รักลูก อีกทั้งซูเฟยยังสอนลูกเก่งเช่นนี้ เด็กน้อยเห็นหรงจิงก็ยิ้ม หากไม่ได้ป่วยไข้ก็จะน่ารักเช่นนี้ เมื่อลูกให้หน้ายอมเรียกออกมา ซูเฟยก็ดีใจยิ้มกับหรงจิงพูดว่า 


 


 


“ฝ่าบาท ฝ่าบาททรงได้ยินหรือไม่เพคะ ฟังเอ๋อร์ของเราพูดได้แล้ว! ฟังเอ๋อร์ของพวกเราเรียกเสด็จพ่อได้แล้วเพคะ” 


 


 


ซูเฟยดีใจหนักหนา นางรับน้ำตาลก้อนหนึ่งจากมือแม่นมแล้วแตะเล็กน้อยตรงปลายนิ้วตน จากนั้นยื่นไปที่ข้างริมฝีปากบุตรสาวเพื่อให้นางเลีย ทำให้นางยิ่งหัวเราะเบิกบาน 


 


 


ทั้งห้องเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะอย่างมีความสุขของหนูน้อย 


 


 


ในตอนนั้นหรงจิงมีสีหน้ายินดีปรีดาอย่างยิ่ง 


 


 


“ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ ลูกสาวตัวน้อยของข้าพูดได้แล้ว เรียกเสด็จพ่อได้แล้ว ดี ดีจริง ดีจริงๆ!” 


 


 


ปกติหรงจิงไม่ได้เป็นเช่นนี้ เขาพูดคำว่าดีติดต่อกันถึงสามครั้ง แสดงว่ายินดีปรีดาอย่างยิ่งจริงๆ 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 351 ประทานรางวัล 


 


 


หรงจิงเป็นใคร ย่อมเป็นประมุขของแผ่นดิน แล้วบุตรสาวของเขาเล่า ก็ต้องเป็นบุตรสาวที่สูงศักดิ์ที่สุดในหล้า องค์หญิงนั่นเอง 


 


 


ลูกสาวของเขาเรียกเสด็จพ่อได้ เขาหัวเราะจริงใจเหมือนอย่างบรรดาพ่อที่มีเมตตาทั้งหลายในโลกนี้ 


 


 


เขาเบิกบานใจอย่างที่สุด เจ้าหนูตัวน้อยในอ้อมกอดคือลูกสาวของเขา นางเริ่มหัดพูดครั้งแรกก็เรียกเสด็จพ่อแล้ว 


 


 


รสชาติความรู้สึกนั้นไม่ต้องบอกว่าสุขใจปานใด เมื่อหรงจิงดีใจก็สะบัดมืออันใหญ่โต แล้วของล้ำค่าหายากต่างๆ ล้วนประทานลงมา 


 


 


ก็เขาเป็นราชาที่ร่ำรวยที่สุดในแผ่นดิน 


 


 


ในความดีใจ หรงจิงก็ไม่ลืมมองดูซูเฟยที่ยิ้มน้ำตารื้นอยู่ข้างๆ เห็นนางแต่งตัวเรียบๆ สีหน้าดูซีดเซียวก็บังเกิดความสงสาร คิดถึงตัวเองที่มัวยุ่งอยู่กับราชกิจมาระยะหนึ่งจนละเลยดูแลบุตรสาวที่ป่วยไข้ ปล่อยให้ซูเฟยเหนื่อยยากอยู่เพียงคนเดียว 


 


 


และเขายังตำหนินางจึงเกิดความสงสารซูเฟยขึ้นมา 


 


 


“ระยะนี้ซูเฟยดูแลองค์หญิงคงเหนื่อยมาก เจ้าก็ควรต้องดูแลสุขภาพตนเองด้วย ข้าว่าช่วงนี้เจ้าดูผ่ายผอมไปนะ คงเพราะดูแลลูกเหนื่อยเกินไปกระมัง” 


 


 


หรงจิงถามไถ่ซูเฟยด้วยความห่วงใย ซูเฟยหน้าแดงระเรื่อ น้ำตาไหวระริกน้อยๆ 


 


 


“หม่อมฉันเพิ่งจะได้เป็นมารดาจึงทำอะไรตกๆ หล่นๆ อยู่บ้าง ช่วงที่ผ่านมาลูกป่วย หม่อมฉันที่เป็นแม่เห็นอยู่กับตา เจ็บปวดอยู่ภายในใจ แค้นใจที่ไม่อาจเจ็บป่วยแทนลูกได้เพคะ” 


 


 


“ครึ่งเดือนมานี้จึงดูแลอย่างมิได้หยุดหย่อน ตอนนี้ลูกก็หายดีแล้วอีกทั้งยังพูดได้แล้ว หม่อมฉันดีใจยิ่งนัก ไม่ว่าจะลำบากเพียงใด เหนื่อยยากแค่ไหน แต่เมื่อเห็นลูกหัวเราะ สุขภาพแข็งแรงก็หายเหนื่อย ไม่เจ็บปวดอีกแล้วเพคะ” 


 


 


ซูเฟยมีความสามารถทำให้ฮ่องเต้พอใจเสมอมา คำพูดนางเช่นนี้ ทำให้หรงจิงยิ่งรักและสงสารนางมากขึ้น 


 


 


“เป็นเพราะช่วงนี้ข้ามัวแต่ยุ่งกับราชกิจ ทำให้เจ้าต้องเหน็ดเหนื่อย” 


 


 


ซูเฟยฟังคำพูดนั้นแล้วก็ไม่กล้าตอบรับ เพียงค่อยๆ ก้มหน้าพูดอ้อนๆ 


 


 


“ฝ่าบาทเป็นพระประมุขของราษฎรทั่วหล้า ทรงเหน็ดเหนื่อยเพื่อพวกเขาทุกวัน หม่อมฉันก็เป็นคนคนหนึ่งของฝ่าบาทและถวายใจทั้งดวงแด่พระองค์แล้ว การได้เหน็ดเหนื่อยเพื่อพระองค์เป็นวาสนาของหม่อมฉัน หม่อมฉันยังควรสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของฝ่าบาทนะเพคะ” 


 


 


คำพูดของซูเฟยทำให้ฮ่องเต้พอใจ เขาแตะจมูกนาง ยิ้มพูดว่า 


 


 


“ซูกงกง ไปนำไข่มุกสีชมพูที่ทางตงไห่ส่งมาบรรณาการยี่สิบเม็ด แล้วไปนำยาชั้นดีจากคลังเก็บมามอบให้ซูเฟยบำรุงร่างกาย ยังมีไข่มุกราตรีที่คลายร้อนนั่นด้วยส่งทั้งหมดไปยังตำหนักจู้เซียง มอบให้ซูเฟยกับฟังเอ๋อร์คลายร้อน” 


 


 


หรงจิงยังคงพระราชทานรางวัลต่อไป ซูเฟยเบิกบานยินดีในใจ ตำหนักจู้เซียงของนางเทียบตำหนักอวี้หยวนของจินกุ้ยเฟยไม่ได้ ชาติกำเนิดนางก็ไม่อาจเทียมจินกุ้ยเฟย สิ่งของดีๆ ทั้งหลายที่ได้ล้วนมาจากที่ฝ่าบาทประทานให้ทั้งสิ้น 


 


 


เป็นที่รู้กันดีว่าในคลังสมบัติของฮ่องเต้มีอัญมณีจำนวนมาก ไข่มุกสีชมพูนางเพิ่งได้ยินเป็นครั้งแรก ส่วนไข่มุกราตรีนางมีอยู่แล้วเม็ดหนึ่งและมักนำออกมาโอ้อวด 


 


 


ซูเฟยแอบดีใจ ครั้งนี้หากถูกจินกุ้ยเฟยรู้เข้าจะมิโมโหโกรธาจนจมูกเบี้ยวไปเลยหรือ 


 


 


ไข่มุกราตรีของจินกุ้ยเฟยเป็นของขวัญวันเกิดที่บิดาของนางเป็นคนส่งไปให้ ส่วนไข่มุกราตรีของนาง จ้าวเย่ว์หวนคนนี้เป็นของพระราชทานโดยตรงจากฝ่าบาท 


 


 


ซูเฟยกำลังดีใจ บุตรสาวนางเริ่มงัวเงียง่วงนอน แล้วซุกอยู่ในวงแขนของหรงจิงหลับอย่างสบายไปแล้ว 


 


 


หรงจิงเห็นเข้าก็ยิ้ม เขาแตะแก้มอ่อนนุ่มของนางเบาๆ พอคิดจะดึงแก้มนางก็เกรงจะทำให้ลูกสาวที่หลับสนิทอยู่ตื่นขึ้น เขาจึงยิ้มแล้วส่งลูกสาวคืนสู่อ้อมอกซูเฟย 


 


 


ซูเฟยก็ไม่รั้งรออยู่ในตำหนักเจิ้งหยาง นางทำความเคารพแล้วออกจากห้องอักษรกลับตำหนักจู้เซียงของนาง 


ตอนที่ 352 สิ่งที่นางทำได้


 


 


วันนี้เซียงฉือสวมชุดขาวที่เหอจิ่นเซ่อเตรียมไว้ให้นางโดยไม่ได้สวมชุดทางการของข้าราชสำนักสตรีสีฟ้าคราม เมื่อหรงจิงกลับเข้าตำหนักฉินเจิ้ง ก็เห็นนางกำลังนั่งอยู่หน้าโต๊ะก้มหน้าก้มตาอ่านอย่างขะมักเขม้น


 


 


“เซียงฉือ เหตุใดเจ้าจึงใส่ชุดขาว”


 


 


พอหรงจิงถามขึ้นมาเซียงฉือก็ตกตะลึงก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเขา เมื่อนางใคร่ครวญแล้วจึงรีบคุกเข่าลงไปเบื้องหน้าหรงจิง พูดด้วยเสียงเศร้าสร้อย


 


 


“พระอาญามิพ้นเกล้า หม่อมฉันได้รับจดหมายจากทางบ้านแจ้งว่าท่านปู่ถึงแก่กรรมแล้ว หม่อมฉันไม่อาจไปไว้ทุกข์เบื้องหน้าแท่นบูชาได้รู้สึกละอายยิ่งนัก และรู้ว่าอยู่ในวังไม่อาจสวมชุดปอไว้ทุกข์ได้ จึงได้แต่เพียงสวมชุดขาว ทุกวันรับประทานข้าวต้มเปล่า และคัดบทสวดมนต์เพื่อท่านปู่ทุกคืน เพื่อเป็นการแสดงความกตัญญูเพคะ”


 


 


เซียงฉือก้มหน้าต่ำ ไม่รู้ว่าหรงจิงจะจัดการอย่างไร ท่านปู่ของนางเป็นขุนนางต้องโทษ ไม่รู้ว่าหรงจิงเอือมระอาหรือไม่


 


 


ถึงจะเป็นเช่นนั้น แต่นางยังคงต้องการจะแสดงความกตัญญูอย่างเต็มที่ต่อท่านปู่เป็นครั้งสุดท้าย จึงได้สารภาพกับหรงจิงตามความเป็นจริง


 


 


หรงจิงมองดูนาง ถอนใจเบาๆ


 


 


“ในเมื่อใต้เท้าอวิ๋นจากไปแล้วเจ้าก็อย่าได้โศกเศร้ามากนัก เอาล่ะ ข้ารู้แล้ว”


 


 


หรงจิงพูดเพียงเท่านี้ไม่ได้สืบซักเรื่องราวอีก เซียงฉือผงกศีรษะขอบคุณเขาแล้วกลับไปในที่นั่งตน หรงจิงเปิดรายงานเล่มหนึ่งออกดู


 


 


ใจของเขากลัดกลุ้มนัก เมื่ออยู่ในราชสำนักจะต้องคิดวางแผนพิจารณา กับเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้เขาจะไม่ให้ความสนใจ ถึงแม้เซียงฉือจะเป็นขุนนางใกล้ชิด เมื่อท่านปู่นางถึงแก่กรรม สิ่งที่หรงจิงทำได้คือยินยอมให้เซียงฉือสวมชุดขาวเข้าออกตำหนักเจิ้งหยางตามสะดวก


 


 


สำหรับเซียงฉือ การที่หรงจิงยินยอมให้นางไว้ทุกข์เช่นนี้ก็เป็นที่ซาบซึ้งใจแล้ว ไม่กล้าขออะไรที่มากเกินเลยไป นางยุ่งอยู่กับงานแยกประเภทเล็กๆ ของงานใหญ่ในราชสำนักให้กับหรงจิง


 


 


เซียงฉือพบรายงานที่พูดถึงการใช้อำนาจหน้าที่ในทางมิชอบ ทุจริตหาประโยชน์ส่วนตัว ยักยอกเงินและเสบียงกองทัพของขุนพลจิน ผู้ที่รายงานคือขุนนางทัดทานจากฝ่ายตรวจการท่านหนึ่ง ทุกคำทุกประโยคเขียนขึ้นอย่างทุ่มเทชีวิตจิตใจ เมื่อเซียงฉือคิดถึงคนที่ตีท่านอาจนเสียชีวิตและทำร้ายท่านปู่จนเสียชีวิตในต่างแดนแล้ว


 


 


ต้นเหตุของเภทภัยครั้งนั้นก็คือขุนพลจินผู้เป็นบิดาจินกุ้ยเฟยนั่นเอง เพียงแค่คิดขึ้นมา นางก็ไม่อาจหักห้ามความเคียดแค้นต่อคนคนนี้ได้


 


 


เมื่อเห็นมีคนกล่าวโทษถึงจวนขุนพลจินเช่นนี้จึงได้นำรายงานฉบับนั้นวางไว้เป็นฉบับบนสุดของรายงานที่จะถวายฮ่องเต้


 


 


เซียงฉือถึงจะเป็นข้าราชสำนักสตรีงานอักษรที่ไม่ได้มีอำนาจใหญ่โตอะไร แต่มีอยู่สิ่งหนึ่ง ทุกๆ วันจะมีรายงานจากทุกสารทิศนับร้อยนับพันมาถึงฝ่าบาท แม้ฝ่าบาทจะมีพันมือพันตาแต่สติกำลังก็ยังคงไม่เพียงพอ


 


 


ดังนั้นเวลาที่ฝ่าบาทตรวจอ่านรายงาน ฉบับที่อยู่ด้านบนจะถูกเปิดอ่านและพิจารณาจริงจังพร้อมทั้งจัดการอย่างเคร่งครัด ส่วนพวกที่อยู่ด้านล่าง ส่วนมากจะเป็นรายงานถามทุกข์สุข ก็จะส่งให้เซียงฉือประทับตราคำว่าอ่านแล้วไว้บนนั้น


 


 


และในขั้นตอนเหล่านี้ ถึงแม้เซียงฉือจะเป็นเพียงข้าราชสำนักสตรีเล็กๆ ขั้นที่เก้า แต่จะมีสิทธิอำนาจมากมาย เพราะการที่นางจะส่งรายงานให้ฮ่องเต้นั้น สามารถตัดสินใจได้ว่าจะวางฉบับไหนไว้ด้านบนและฉบับไหนวางไว้ด้านล่าง


 


 


และแม้จะฝังจนไม่ให้มันได้ผุดออกมา ฮ่องเต้จะทำอย่างไรได้


 


 


นี่เป็นความคิดเล็กๆ ของเซียงฉือที่ฮ่องเต้ไม่รู้ แต่ถึงจะรู้นางก็เพียงบอกไปว่าสะเพร่าไปก็เท่านั้นเอง ในเมื่อเอกสารมีเป็นจำนวนมากและล้วนเร่งด่วน นางที่เป็นสตรีเพียงคนเดียวจะไม่ให้เกิดความผิดพลาดบ้างเชียวหรือ


 


 


เซียงฉือจึงวางรายงานของขุนนางทัดทานไว้ชั้นบนสุด เมื่อลุกขึ้นแล้วก็นำรายงานที่ฝ่าบาทต้องการเมื่อครู่ไปรายงานต่อเบื้องหน้า


 


 


“ฝ่าบาท หม่อมฉันเพิ่งจัดการรายงานเสร็จ ทูลเชิญทอดพระเนตรเพคะ”


 


 


เซียงฉือถือรายงานก้มหน้าต่ำมาก ส่งไปให้กับฮ่องเต้


 


 


ตอนที่นางอยู่ในกองราชเลขาได้สาบานไว้แล้วว่านางจะต้องแก้แค้นให้ท่านปู่ให้ได้ ถึงแม้ตอนนี้นางจะยังต่ำต้อยพูดจาไร้น้ำหนัก แต่นางจะจดจำเรื่องครั้งนี้ไว้ ไม่มีวันลืมเลือนตลอดไป


 


 


 


 


ตอนที่ 353 เลือกป้าย


 


 


เซียงฉือส่งรายงานขึ้นไป หรงจิงส่งเสียงรับในลำคอแล้วส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายวางลงบนโต๊ะ ส่วนตัวเองยังคงก้มหน้าก้มตาอ่านรายงานอยู่ วนเวียนไปมาอยู่เช่นนั้นกระทั่งเวลาล่วงเลยไปอย่างรวดเร็ว


 


 


เมื่อถึงยามเฉิน กงกงในกองพระตำหนักของฮ่องเต้ก็ยกป้ายเล็กๆ เดินปราดเข้ามา


 


 


“ฝ่าบาท ทรงเปิดป้ายเถิดพ่ะย่ะค่ะ วันนี้สิบห้าค่ำเป็นวันดีเหมาะแก่การร่วมหอนะพ่ะย่ะค่ะ วันนี้ฝ่าบาทไม่เสด็จฝ่ายในไม่ได้อีกแล้วนะพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


“กระหม่อมได้รับพระบัญชาจากไทเฮาให้รับผิดชอบงานห้องบรรทมของฝ่าบาท ฝ่าบาทไม่เสด็จฝ่ายในมาหนึ่งเดือนแล้ว ไม่ทรงพบพระสนมชายา กระหม่อมบกพร่องต่อหน้าที่ ไม่สามารถเข้าเฝ้าต่อเบื้องพระพักตร์ไทเฮาได้พ่ะย่ะค่ะ”


 


 


ขันทีดูแลงานบรรทมของฮ่องเต้คนนี้มีชื่อว่าหลิวอวี้หรงหรือหลิวกงกง เดิมเขาเป็นขันทีรับใช้ไทเฮา เมื่อฮ่องเต้เสด็จขึ้นเสวยราชสมบัติ เขาจึงถูกไทเฮาย้ายมาให้รับผิดชอบเรื่องงานบรรทมของฮ่องเต้ แต่ว่าฮ่องเต้พระองค์นี้ควบคุมเรื่องระหว่างชายหญิงมาก ทำให้เขากลุ้มใจทุกวัน


 


 


สมกับคำที่ว่าฮ่องเต้ไม่ร้อนรนแต่ขันทีลนลานยิ่ง


 


 


หรงจิงยังคงตรวจรายงานไปเรื่อยๆ ไม่พูดอะไรมาก กงกงคนนั้นสีหน้าลำบากใจส่งสายตาไปยังซูกงกง


 


 


ซูกงกงก็ส่งสายตากลับ ส่งกันไปมากระทั่งหรงจิงเห็นเข้า


 


 


“เจ้าสองคนไม่ต้องส่งสายตากันไปมา วันนี้ข้าจะไม่ไปฝ่ายใน จะพักอยู่ในตำหนักเจิ้งหยางนี่แหละ ออกไปได้แล้ว”


 


 


หลิวกงกงเข้ามาด้วยใบหน้าเพ้อฝันแต่ตอนนี้กลายเป็นมะระขมไปแล้ว เมื่อได้ยินหรงจิงพูดเช่นนั้นก็ไม่กล้าอยู่ต่อ จึงถอยหลังช้าๆ ออกไปหลายก้าว กิริยานั้นดูคล้ายกับผู้หญิงที่คับแค้นใจ


 


 


แลดูน่าขำ เรื่องงานบรรทมของฮ่องเต้ก็มีหน่วยงานรับผิดชอบดูแลโดยเฉพาะคือกองพระตำหนัก ซึ่งที่นั่นไม่มีข้าราชสำนักสตรีมีเพียงหมัวหมัวกับขันทีและนางกำนัล กงกงผู้รับผิดชอบดูแลคือหลิวอวี้หรง หมัวหมัวผู้รับผิดชอบคือหงซี ทั้งคู่เป็นคนเก่าคนแก่ข้างกายไทเฮาที่ทำงานเชื่อถือได้


 


 


เพราะมีหญิงสาวมากมายที่เข้าวังมาแล้วเพิ่งจะได้ถวายตัวเป็นครั้งแรก มีกฎระเบียบมากมายที่หมัวหมัวเหล่านี้จะต้องทำการแนะนำให้ก่อน มิเช่นนั้นจะทำให้อับอายขายหน้าต่อหน้าฮ่องเต้


 


 


เฉกเช่นเดียวกับหญิงสาวชาวบ้านที่ก่อนออกเรือนมารดาจะนำยาเซียงตี่[1]ออกมาแนะนำสอนลูกสาวถึงศิลปะในห้องนอน จะได้ไม่กลายเป็นเรื่องตลกในคืนเข้าหอวันวิวาห์


 


 


ในวังก็เป็นเช่นนี้แต่จะเน้นเรื่องพิธีการมากกว่า ดังนั้นจึงมีหมัวหมัวเฉพาะทางเพื่อรับผิดชอบงานนี้ ซึ่งก็คือหงซี


 


 


เซียงฉือรู้ว่าหรงจิงปฏิเสธเรื่อยมา แม้หลิวกงกงจะพูดจาภาษาดอกไม้แบบไหน จะอ้างวันดีวันมงคลเช่นไร หรือขอเพียงหรงจิงร่วมหอกับชายาองค์ใดก็ได้ จะได้มีพระโอรสโดยไวอะไรเทือกนั้น หรงจิงก็ไม่เกิดความรู้สึกสนใจ


 


 


เซียงฉือรู้และทำเฉยเช่นเดียวกับหรงจิง ไม่ว่าหลิวกงกงจะพูดได้ฮึกเหิมเพียงใด ทั้งคู่ก็ไม่ขยับแม้แต่น้อย


 


 


ผ่านไปครู่หนึ่ง หงซีกูกูคนนั้นก็เดินเข้ามา นางเป็นหญิงกลางคนอายุราวสี่สิบปี เดิมเป็นแม่นมฮ่องเต้มาก่อน เป็นคนโปรดของฮ่องเต้ไม่น้อย


 


 


ที่นางมานี่ก็เพราะได้รับลูกยุจากหลิวอวี้หรงกงกง


 


 


พอมาถึงเบื้องพระพักตร์ก็รีบทำความเคารพ


 


 


“ฝ่าบาท วันนี้ได้ป้ายของซูเฟยนะเพคะ ช่วงที่ผ่านมานี้นางต้องดูแลองค์หญิงน้อยอย่างเหนื่อยยาก ส่วนพวกหม่อมฉันในกองพระตำหนักต้องลำบากใจมากนะเพคะ ฝ่าบาททรงสงสารหมัวหมัวด้วยเถิดเพคะ”


 


 


อย่างไรหงซีก็เป็นแม่นมของฮ่องเต้ หรงจิงจึงไม่อาจไม่สนใจนาง บุญคุณน้ำนมยังมีอยู่ หรงจิงถอนใจเนือยๆ มองหงซีแล้วส่ายหน้าเบาๆ


 


 


“หมัวหมัวก็รู้ว่าข้าไม่ใจจืดใจดำ เอาล่ะ คืนนี้ข้าไปตำหนักจู้เซียงก็แล้วกัน”


 


 


หงซีหมัวหมัวกับผู้ช่วยได้ยินดังนั้นก็ยิ้ม หลิวกงกงที่รู้ข่าวก็รีบวิ่งไปแจ้งซูเฟยที่ตำหนักจู้เซียง


 


 


หงซียิ้มให้ฮ่องเต้ พูดขึ้นว่า


 


 


“ฝ่าบาททรงเมตตาหม่อมฉันยิ่งเพคะ พระองค์ทรงเป็นพระประมุขของประเทศย่อมมีราชกิจมากมาย แต่งานบรรทมก็เป็นงานเมืองเช่นกัน ทั้งยังเป็นรากฐานของประเทศอีกด้วย ฝ่าบาทควรเอาพระทัยใส่ให้มากด้วยนะเพคะ!”


 


 


หรงจิงเลิกคิ้วแต่ก็พยักหน้า หงซีจึงได้ถอยออกไป


 


 


ในบรรดาหมัวหมัวในวังนี้ มีเพียงหงซีที่สามารถกล่าวเตือนหรงจิงได้ ถึงหรงจิงจะเป็นฮ่องเต้ที่มุ่งมั่นเข้มแข็ง แต่ก็เป็นคนที่สำนึกถึงคนเก่าก่อนที่ผูกพันกันมา คงเป็นเพราะไทเฮาเข้าใจในจุดนี้ จึงได้เจตนาให้นางรับผิดชอบหน้าที่นี้


 


 


แต่ไทเฮาประชวรและเสด็จสวรรคตไปแล้วเมื่อปีกลาย เซียงฉือเองก็ได้รับพระกรุณาธิคุณจากพระองค์ ทำให้ทั้งครอบครัวรอดพ้นจากโทษตายมาได้


 


 


 


 


 


[1]ยาเซียงตี่ (压箱底) แปลตามศัพท์คือ เก็บเอาไว้ใต้**บ เป็นเครื่องปั้นดินเผารูปทรงผลไม้เปิดออกได้ ขนาดอาจเล็กกว่ากำปั้น ด้านในบรรจุรูปปั้นการมีเพศสัมพันธ์ระหว่างชายหญิง ชาวบ้านจีนโบราณเก็บไว้ใต้**บเพื่อเป็นเครื่องลาง จนกระทั่งลูกสาวจะออกเรือนมารดาก็จะนำออกมาสอนลูกเป็นเพศศึกษา


ตอนที่ 354 เจี่ยนสุยถวายรายงาน


 


 


หรงจิงลุกขึ้นเตรียมตัวจะออกไป เซียงฉือก็ลุกขึ้นเพื่อน้อมส่งเสด็จ


 


 


หรงจิงสามารถเข้าไปฝ่ายในเพื่อทำภารกิจอีกอย่างหนึ่งคือการสืบรัชทายาท ส่วนเซียงฉือยังคงต้องอยู่ในตำหนักเจิ้งหยางเพื่อทำงานอักษรของนางต่อไป


 


 


หรงจิงลุกเดินออกไปถึงหน้าประตูแล้ว เซียงฉือเตรียมทำความเคารพตามพิธีการส่งเสด็จ พลันหรงจิงหันกลับมาพูดกับนางว่า


 


 


“คืนนี้ไม่ต้องทำงานหักโหมนัก มีงานต้องให้เจ้าเก็บอีกหน่อย ถ้าทำเสร็จแล้วก็รีบกลับไปพักผ่อนเถิด”


 


 


หรงจิงตั้งใจจะพูดปลอบเซียงฉืออีกคำสองคำ แต่ก็คิดคำพูดไม่ออกยืนอยู่ตรงหน้าประตูเช่นนั้น แล้วจึงสะบัดมือเดินออกประตูตำหนักไป เซียงฉือไม่ได้ใส่ใจอะไรนางกลับที่นั่งตนเอง วันนี้งานที่หรงจิงสั่งมีไม่มาก แต่เพราะใจนางวอกแวกจึงดึงมาจนถึงตอนนี้


 


 


เซียงฉือเปิดรายงานออกฉบับหนึ่ง ลายมือที่คุ้นตาในนั้นทำให้นางต้องตกตะลึง เป็นเขา!


 


 


รายงานของเหอเจี่ยนสุย


 


 


เหอเจี่ยนสุยเป็นขุนนางขั้นที่ห้าในราชสำนัก ว่ากันตามอายุถือว่าเขาเป็นชายหนุ่มที่ประสบความสำเร็จ เขามีชื่อเสียงทางวิชาการที่หลานโจว อีกทั้งเป็นคนที่เหลียนชินอ๋องสนับสนุนจึงได้เข้ามาเป็นขุนนางในเมืองหลวง


 


 


ตำแหน่งหัวหน้าสำนักศึกษาถึงจะเป็นตำแหน่งที่สูงแต่ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับราชสำนัก หากเป็นเมื่อก่อนเหอเจี่ยนสุยคงจะยินดีปรีดา เพราะเขาเป็นคนชอบศึกษาเป็นคุณชายอิสระ หากให้ร่ายกาพย์ท่องกลอน ดีดพิณดื่มสุรายังพอทำเนา แต่หากให้เป็นขุนนางจริงๆ แล้ว เขายังโหดไม่พอ


 


 


งานราชการยุ่งยากซับซ้อน เปลี่ยนแปรไม่แน่นอน ในสายตาเซียงฉือ เขาเป็นเหมือนดั่งต้นบ๊วยทรนงท่ามกลางหิมะ แต่ถูกย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองหลวงอันฟู่ฟ่าที่ดูตระการตา ทว่าแฝงเร้นกลไกแห่งการเข่นฆ่าไว้ สำหรับเขาแล้วไม่เหมาะสมกับสถานที่เช่นนี้เลย


 


 


เซียงฉือเป็นข้าราชสำนักสตรีมาระยะหนึ่งแล้ว ยังไม่เคยเห็นรายงานของเหอเจี่ยนสุยมาก่อน วันนี้ได้มาเห็นลายมือที่คุ้นเคย สำนวนที่คุ้นเคย ทำให้ถึงกับน้ำตานอง


 


 


คิดไม่ถึงว่าการได้เป็นข้าราชสำนักสตรีงานอักษร จะได้รับสวัสดิการเช่นนี้


 


 


ลายมือของเขา คำพูดของเขาปรากฏอยู่เบื้องหน้า เซียงฉือเช็ดน้ำตาแล้วอ่านอย่างตั้งใจ


 


 


เซียงฉืออ่านไปได้ครู่หนึ่งสีหน้าก็เครียดขึ้น เหอเจี่ยนสุยถึงกับบอกว่าจวนขุนพลจินทุจริตเงินกองทัพ ยักยอกเงินและเสบียง อีกทั้งยังรายงานเรื่องที่จินรั่วหลินน้องชายจินกุ้ยเฟยทุตริตเงินกองทัพกับตีราษฎรจนตาย เขาเล่าความจริงและที่มาที่ไปของเรื่องนี้ออกมา


 


 


เรื่องชักจะครึกโครมไปกันใหญ่ เซียงฉืออ่านรายงานนั้นแล้วใจเต้มโครมคราม


 


 


‘เจี่ยนสุย ถึงเจ้าคิดจะแก้แค้นแทนท่านปู่ แต่ไม่ควรรีบร้อนเช่นนี้ ถึงเซียงฉือจะได้รับความอยุติธรรมทั้งชีวิต ก็ไม่อาจดึงเจ้าเข้ามาพัวพันได้ ไม่อาจทำให้เจ้ากับบ้านสกุลเหอต้องถลำเข้าสู่จุดที่ไม่อาจฟื้นคืนกลับอีกต่อไปได้’


 


 


บ้านสกุลเหอเป็นขุนนางวิชาการ ส่วนบ้านสกุลจินเป็นนักรบ ปกติขุนนางวิชาการกับขุนศึกเบาะแว้งกันคึกคักอยู่ในราชสำนักฝ่ายหน้าอยู่แล้ว ตอนนี้เหอเจี่ยนสุยถวายรายงานกล่าวโทษจวนขุนพลจินเช่นนี้ ไม่ใช่การกระทำที่ฉลาดเลย


 


 


เซียงฉือคิดทบทวนอยู่นาน นางคิดว่าเหอเจี่ยนสุยที่เป็นคนเยือกเย็นมาตลอดนั้น เป็นเพราะทนเห็นนางได้รับความอยุติธรรมเช่นนี้ไม่ได้ จึงได้ถวายรายงานกล่าวโทษขึ้นมา


 


 


มิเช่นนั้นเขาย่อมไม่ทำการบุ่มบ่ามเช่นนี้เด็ดขาด ถึงแม้ขุนพลจินจะกลับเข้าเมืองหลวงแล้ว แต่กำลังในกองทัพกับในราชสำนักของบ้านสกุลจินไม่ได้อ่อนแอลงเลย การถวายรายงานในตอนนี้ ไม่ต่างกับการเอาไข่กระทบหิน


 


 


มีแต่จะแหวกหญ้าให้งูตื่น ทั้งเวลานี้บ้านสกุลจินยังเป็นขุนนางที่หรงจิงรักใคร่ การจะมาเป็นตะปูในตา เสี้ยนในเนื้อของเขาเช่นนี้ ไม่ใช่เรื่องที่ดีเลย


 


 


เขาเป็นขุนนางบุ๋น สะบัดพู่กันก็สามารถเขียนบทความงดงามสละสลวยออกมาได้ แต่คนคนนั้นเป็นขุนศึก เพียงสะบัดมีดใหญ่ ก็ดับชีวิตเขาได้เลย


 


 


ยิ่งคิดเซียงฉือก็ยิ่งกลัว อยากที่จะกลืนกินรายงานในมือลงท้องไป แล้วทำเป็นไม่เคยเห็นมาก่อน


 


 


ถึงนางจะทำไม่แยแส แต่ก็ไม่อาจวางใจได้ แม้ว่าเหอเจี่ยนสุยจะเป็นขุนนางขั้นห้าที่ไม่ต้องเข้าปรึกษางานในท้องพระโรงก็ตาม แต่นางก็ยังไม่อาจวางใจลงได้อยู่ดี


 


 


 


 


ตอนที่ 355 คำถาม


 


 


เซียงฉือนั่งอยู่ในตำหนักเจิ้งหยางราวนั่งอยู่บนพรมเข็มทำให้นั่งต่อไปไม่ไหว นางคลุมเสื้อตัวนอก ซ่อนรายงานนั้นในกระโปรงแล้วรีบวิ่งออกไป


 


 


ระหว่างทางพบซูกงกงที่กลับมาเอาของให้ฮ่องเต้ เมื่อเขาเห็นเซียงฉือรีบเร่งออกมาก็อึ้งไป


 


 


“เจ้าเด็กคนนี้ พอฝ่าบาทไม่อยู่ข้างๆ ก็วิ่งไม่ดูตาม้าตาเรือเลย ชนเข้ากับกระดูกแก่ๆ อย่างข้านี่ยังไม่เป็นไร แต่หากไปชนกับท่านผู้สูงศักดิ์เช้า คงจะต้องถูกลงโทษเป็นแน่”


 


 


ซูกงกงอายุใกล้สามสิบห้าปี แต่มีท่าทางเป็นผู้อาวุโส นับวันเขารู้สึกรักเอ็นดูเซียงฉือมากขึ้น แต่พวกเขาต่างเป็นข้ารับใช้ ไม่ควรบังอาจมาวิ่งทะเล่อทะล่าในตำหนักเจิ้งหยางเช่นนี้


 


 


ซูกงกงพูดเพราะต้องการให้เซียงฉือได้ดี เซียงฉือจึงรีบตอบรับทราบ


 


 


“ซูกงกง ข้ากำลังรีบจะไปพบใต้เท้าเหอ ขืนช้าไปนิดเดียว ประตูกองราชเลขาก็จะปิดแล้ว”


 


 


เซียงฉือลนลานคิดจะรีบออกจากประตูไป ซูกงกงสะบัดมือปล่อยนางออกไป แต่เพียงพ้นประตู ก็พบกับหรงจิงที่หวนกลับมา ทั้งคู่ประจันหน้ากัน


 


 


เซียงฉือกอดรายงานในแขนเสื้อ ระวังไม่ให้หล่นลงมา


 


 


หรงจิงมองเซียงฉืออย่างแปลกๆ แล้วขยับเท้าเดินเข้าไปในห้อง เซียงฉือรีบทำความเคารพ


 


 


“ถวายบังคมฝ่าบาท”


 


 


หรงจิงเพราะยังไม่วางใจ จึงใช้ซูกงกงให้กลับมาหยิบรายงานเพื่อจะไปพิจาณาต่อ แต่พอคิดได้ว่าซูกงกงรู้หนังสือไม่มาก กลับมาแล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าอะไรที่เขาต้องการ ดังนั้นจึงได้กลับมาเอง


 


 


แล้วก็พบกับเซียงฉือที่ลนลาน


 


 


“เหตุใดเจ้าจึงลนลานแบบนี้ ข้าออกไปเพียงครู่เดียว เจ้าก็ไม่ทำงานเสียแล้ว”


 


 


เซียงฉือถอนใจสลด แล้วก้มหน้าทำความเคารพยอมรับผิด


 


 


“หม่อมฉันผิดไปแล้วเพคะ ขอฝ่าบาทลงโทษด้วยเพคะ”


 


 


เซียงฉือก้มหน้าต่ำ หรงจิงยิ้มแล้วหยิบดอกไห่ถังเคาะหน้าผากนาง


 


 


“ดอกไห่ถังบานแล้ว เวลาของดอกท้อกำลังจะผ่านไป มานี่ ข้าจะทัดให้ นี่เป็นดอกไห่ถังดอกแรกของปีนี้”


 


 


เซียงฉือได้รับโปรดปรานอย่างไม่คาดคิดจนต้องแปลกใจ นางไม่กล้าขยับ เพียงยื่นมือออกไปแตะเบาๆ มองดูสายตาสดใสของฮ่องเต้ แล้วก้มหน้าขอบคุณ


 


 


“เป็นพระกรุณาธิคุณที่ทรงประทานให้หม่อมฉันเพคะ หม่อมฉันมีคำถามหนึ่ง ไม่ทราบว่าฝ่าบาทจะทรงตอบหรือไม่เพคะ”


 


 


เซียงฉือสัมผัสดอกไห่ถังที่ข้างหูเบาๆ กลิ่นดอกไม้หอมอ่อนๆ จากนี้เป็นต้นไปก็ถึงเวลาที่ดอกไห่ถังจะเบ่งบานแล้ว


 


 


เซียงฉือมีข้อสงสัยข้อหนึ่งหรืออาจเป็นความสนใจอย่างหนึ่ง


 


 


หรงจิงไม่ปฏิเสธ เขามองเซียงฉือแล้วพยักหน้า มองดูนางด้วยความสนใจ รอคอยคำถาม


 


 


เซียงฉือใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเรียบเรียงคำพูดแล้วจึงเอ่ยปาก


 


 


“ฝ่าบาท ฤดูกาลทั้งสี่แจ่มชัดอยู่ในเมืองหลวงนี้ และทั้งสี่ฤดูล้วนมีดอกไม้สดเบ่งบาน ทัศนียภาพทุกแห่งในอุทยานหลวงล้วนงดงามอย่างยิ่ง ดอกไม้ที่ตระการตาที่สุดในฤดูใบไม้ผลิคือดอกท้อพราวเสน่ห์ ฤดูร้อนมีไห่ถังที่หอมอ่อนละมุน ฤดูใบไม้ร่วงมีดอกเบญจมาศหอมกรุ่นบนกิ่ง ส่วนฤดูหนาวจะเป็นดอกบ๊วยที่ยืนหยัดท่ามกลางหิมะ”


 


 


“ดอกไม้ทั้งสี่ฤดูล้วนมีความงดงามตามแบบฉบับของมัน ไม่ทราบว่าฝ่าบาททรงโปรดดอกอะไรเป็นพิเศษเพคะ”


 


 


เซียงฉือถามเช่นนี้เป็นเพราะนึกสนุกขึ้นมาเช่นนั้นหรือ หรงจิงไม่ได้คิดเช่นนั้น ผู้หญิงในวังนี้มักชอบนำสิ่งของไปเปรียบกับคน เซียงฉือถามเรื่องนี้ เขาคิดไปถึงว่าเขาเพิ่งจะออกไปเมื่อครู่ เซียงฉือก็รีบเร่งออกมาอย่างบุ่มบ่ามราววิญญาณถูกกระชาก


 


 


แล้วตอนนี้ที่เขามอบดอกไห่ถังให้นางก็หน้าแดง ถึงฝ่ายในของเขาจะมีดอกไม้งามแข่งกันเบ่งบานมากมาย แต่ต่างก็มีความโดดเด่นเฉพาะตัวอยู่ การที่เซียงฉือถามเช่นนี้ หรงจิงคิดว่านางเกิดหวั่นไหวเสน่หาในตนเองเข้าแล้วจึงได้ทดสอบความในใจของเขา


ตอนที่ 356 บัญชาหรงจิง


 


 


หรงจิงคิดขึ้นมาแล้วไม่รู้เพราะเหตุใด เกิดความพึงใจและหวานซึ้งขึ้นในใจ


 


 


แต่เขาไม่ได้บอกความรู้สึกนั้นออกมา เพียงตอบคำถามเซียงฉือ เขาเป็นถึงฮ่องเต้จะมีความพึงใจสิ่งใดเป็นพิเศษเล่า แม้จะใช้ดอกไม้สื่อถึงคน เขาก็ควรให้เซียงฉือได้เข้าใจอย่างเห็นชัดกับเรื่องนี้


 


 


“เซียงฉือเจ้าควรรู้ไว้ ราชันย์ของแผ่นดิน ปกครองใต้หล้า ฝ่ายในในวังที่กว้างใหญ่นี้ มีดอกไม้บานครบทุกฤดูกาลอยู่จริง ทว่าไม่มีดอกไม้ใดที่จะบานอยู่ได้ครบทั้งสี่ฤดูกาลอยู่ในวังนี้”


 


 


เซียงฉือไม่ใส่ใจ หรงจิงเดินผ่านข้างกายนางเข้าไปในตำหนักเจิ้งหยาง


 


 


แล้วเดินกลับออกมาจากตำหนักฉินเจิ้งในตำหนักเจิ้งหยาง เมื่อยังเห็นเซียงฉือยืนอยู่ที่เดิม คิ้วเรียวงามก็เลิกขึ้นแล้วพูดว่า


 


 


“ไป ไปตรวจรายงานกับข้าที่ตำหนักจู้เซียง”


 


 


ได้ยินดังนั้นเซียงฉือตกใจอย่างยิ่ง มองดูฝ่ายตรงข้ามอ้าปากค้าง ไม่รู้จะตอบอย่างไร


 


 


หรงจิงพูดจบก็ออกเดินไปไม่เหลือโอกาสให้เซียงฉือแม้แต่น้อย นางได้ยินคำสั่งของหรงจิงอีก แล้วก็เห็นซูกงกงหอบรายงานเดินกลับมาเรียกนาง


 


 


“แม่นางเซียงฉือ ไปกับข้าเถอะ”


 


 


เซียงฉือมองซูกงกง มุมปากสั่นน้อยๆ แล้วถามออกไปอย่างกังวลใจ


 


 


“ซูกงกง เซียงฉือตามไปเช่นนี้ ซูเฟยจะมิพิโรธเอาหรือ”


 


 


เซียงฉือเกิดความหวาดกลัว ตำแหน่งของนางในตอนนี้ก็เป็นเป้าโจมตีของทุกคนที่ฝ่ายในอยู่แล้ว ตอนนี้แม้แต่หรงจิงจะไปหาพระสนมยังจะให้นางตามไปด้วยอีก


 


 


เซียงฉืออยากจะบอกว่านางทำให้คนทั้งหลายโกรธเช่นนี้แล้วจะถูกฟ้าผ่าลงใส่หรือไม่ เพียงแค่ออกพ้นประตูก็คงจมน้ำลายจากฝ่ายในตายไปแล้ว


 


 


นางได้แต่คิดทว่าไม่กล้าพูดออกไป แต่ความอัดอั้นในดวงตานั้นเจือความน่าสงสาร


 


 


ซูกงกงยิ้ม


 


 


“แม่นางเซียงฉือคิดมากเกินไปแล้ว ข้าราชสำนักสตรีติดตามเสด็จนั้นเป็นหน้าที่ เพียงบอกว่างานในวังยุ่ง ซูเฟยใจกว้างขวางคิดว่าคงไม่ว่าอะไร”


 


 


ซูกงกงปลอบใจ แต่เซียงฉือยังคงไม่คิดจะตามไป จึงถูกซูกงกงกึ่งผลักกึ่งบังคับลากไป


 


 


เซียงฉือจำต้องหักใจ และก็รู้ว่าเมื่อฝ่าบาทเอ่ยปากแล้วย่อมไม่อาจขัดบัญชาได้จึงตามไป นางนำรายงานของเหอเจี่ยนสุยออกจากแขนเสื้อ ตอนที่รับถาดใส่รายงานจากซูกงกงมานั้นไม่ทันระวังทำถาดเอียง ทำให้รายงานบนนั้นหกกระจายลงพื้น จึงลนลานเก็บขึ้นมา


 


 


เซียงฉือนำรายงานของเหอเจี่ยนสุยซุกไว้ข้างล่างสุด นางลอบอธิฐานขอให้คืนนี้ฝ่าบาทสนใจเพียงร่วมหอนอนเคียงอยู่กับซูเฟย แล้วลืมเรื่องงานใหญ่ในราชสำนักลงได้บ้างจะเป็นการดี


 


 


นางรู้ว่าหากซ่อนไว้อยู่ในแขนเสื้อจะถูกพบเข้าอย่างรวดเร็วซึ่งยากที่จะอธิบาย มิสู้ปล่อยไว้ในนี้ ขอเพียงคืนนี้หรงจิงไม่เห็น เซียงฉือก็จะมีเวลาไปหาเหอจิ่นเซ่อเพื่อปรึกษาวางแผนรับมือ


 


 


เซียงฉือตัดสินใจได้แล้ว จึงเดินตามราชรถของหรงจิงไป


 


 


ขบวนของตำหนักเจิ้งหยาง ด้านหน้าสุดจะเป็นองครักษ์สองนาย ตามด้วยนางกำนัลสี่คนของตำหนักคอยถือโคมไฟส่องสว่างนำทาง ถัดไปเป็นขันทีที่คอยปัดฝุ่นแล้วจึงเป็นเกี้ยวแปดคนหาม ด้านข้างมีองครักษ์รักษาความปลอดภัย เซียงฉือกับซูกงกงอยู่ด้านซ้ายขวาใกล้หรงจิง รั้งท้ายด้วยองครักษ์อีกแปดนาย


 


 


เคลื่อนตัวไปยังตำหนักจู้เซียงอย่างสงบเงียบ


 


 


จู้เซียงอยู่ค่อนข้างห่างไปจากตำหนักเจิ้งหยาง หากหรงจิงจะไปที่นั่นจำเป็นต้องผ่านตำหนักอวี้หยวน เพียงผ่านหน้าประตูตำหนักแต่ไม่เข้าไป คิดว่าคืนนี้จินกุ้ยเฟยคงต้องนอนกระสับกระส่ายอีกแล้ว


 


 


เซียงฉือไม่อาจห่วงคนอื่น ใจนางคิดแต่แผนการเพื่อเหอเจี่ยนสุย อธิษฐานเงียบๆ ขอให้คืนนี้ฝ่าบาทเพียงแค่ตั้งท่าแต่ไม่ได้ไปอ่านรายงานจริงๆ ก็จะเป็นการดี


 


 


 


 


ตอนที่ 357 รอในห้องอักษร


 


 


ซูเฟยได้รับแจ้งข่าวล่วงหน้านานแล้วจึงทุ่มเทแต่งกายอย่างเต็มที่ ฮ่องเต้เสด็จเข้าฝ่ายในไม่บ่อยนัก เป็นเวลากว่าครึ่งเดือนแล้วที่ไม่ได้เสด็จเข้าไป ครั้งนี้เป็นเพราะแรงบีบคั้นจากราชสำนักฝ่ายหน้า


 


 


และพอเสด็จกลับเข้าฝ่ายในอีกครั้งก็มาที่ตำหนักจู้เซียงเลย ดูเถิดว่าฝ่าบาททรงโปรดนางขนาดไหน พรุ่งนี้จ้าวเย่ว์หวนก็จะไปตำหนักอวี้หยวนเพื่อให้จินกุ้ยเฟยได้รู้ว่าใครกันแน่ที่เป็นสตรีที่ฝ่าบาทรักใคร่ที่สุด


 


 


จ้าวเย่ว์หวนนำเหล่าคนในตำหนักจู้เซียงรอรับเสด็จอยู่หน้าตำหนัก เพียงฮ่องเต้เสด็จเข้าอาณาบริเวณตำหนักจู้เซียง ก็มีเจ้าพนักงานในตำหนักวิ่งมาส่งข่าวแก่นางก่อนแล้ว


 


 


เสี่ยวลี่จื่อยืนอยู่หน้าประตู ตะโกนร้องขึ้นเสียงสูง


 


 


“ฝ่าบาทเสด็จแล้ว!”


 


 


จากนั้นบรรดาคนในตำหนักจู้เซียงก็ทำความเคารพตามธรรมเนียม หรงจิงเดินเข้าไปประคองซูเฟยขึ้นมา


 


 


“ซูเฟยลุกขึ้นเถิด วันนี้ชุดสีดอกท้อเจิดจรัสบนตัวเจ้าขับกับผิวเปล่งปลั่งของเจ้ามาก สวยงามทีเดียว”


 


 


หรงจิงตระกองกอดซูเฟยเตรียมเดินเข้าห้องบรรทม ส่วนเซียงฉือไม่ต้องการเป็นที่สะดุดตาจึงเดินให้ช้าลงโดยรั้งอยู่ข้างท้าย แต่ไม่คิดว่าหรงจิงเดินไปได้เพียงไม่กี่ก้าวก็หันหลังกลับมาสั่งว่า


 


 


“เซียงฉือ ไปรอในห้องอักษร”


 


 


ผู้คนทั้งหลายจึงมองไปยังเซียงฉือที่หลบอยู่ในฝูงคน ทำให้เซียงฉือถึงกับหน้าแดงและตอบกลับแห้งแล้ง


 


 


“หม่อมฉันน้อมรับพระบัญชาเพคะ”


 


 


พอพูดจบเซียงฉือก็รีบแทรกตัวออกไปจากฝูงคนทันที ตามเสี่ยวลี่จื่อเดินไปทางห้องอักษรข้างห้องบรรทม


 


 


เมื่อเดินเข้าไปด้านในห้องอักษรแล้วนางก็วางรายงานลงบนโต๊ะ


 


 


ฮ่องเต้โปรดปรานสตรีที่รอบรู้ตำราและบทกลอน แต่ไม่ว่าจินกุ้ยเฟยหรือจ้าวซูเฟยต่างมีความรู้เพียงผิวเผิน ทั้งไม่เชี่ยวชาญกลอนจากตำรา บางครั้งฮ่องเต้จะเอ่ยตำนานบุคคลในประวัติศาสตร์หรือการปกครองขึ้น ทั้งคู่จะได้แต่เพียงยิ้มตอบ ไม่สามารถเข้าใจอรรถรสทั้งสามของตำราได้


 


 


หรงจิงเข้าใจดีว่าสตรีไร้ความสามารถจึงจะนับว่าดี แต่หากไม่เข้าใจอะไรเลยเช่นนี้ บางทีก็ทำให้เขารู้สึกหมดสนุก


 


 


เซียงฉือยืนอยู่ในห้องอักษร จะมัวยืนอยู่ก็ไม่ใช่ จะนั่งลงก็ไม่ถูกต้องนัก แต่ไม่รู้ว่าควรทำอะไร ห้องนี้ไม่ใหญ่มากนัก มีเพียงตั่งตัวหนึ่ง จากนั้นเป็นพวกภาพวาดกับเครื่องลายครามตั้งประดับไว้ มีโต๊ะหนังสือที่อยู่ใกล้เตียงเพียงตัวเดียวกับยังมีเก้าอี้โบราณอีกตัวหนึ่ง


 


 


แลดูเรียบง่าย ด้านในยังมีประตูเล็กบานหนึ่ง ที่ด้านข้างมีหน้าต่างเล็กเปิดอยู่ เซียงฉือเดินเข้าไปแล้วมองออกไปด้านนอกหน้าต่างซึ่งสามารถมองเห็นภาพลานตำหนักได้ทั้งหมด


 


 


เมื่อเซียนฉือหมุนกายก็ได้ยินเสียงเอี๊ยดอ๊าดของประตูเล็กที่เปิดออก หรงจิงปรากฏกายออกมาอยู่เบื้องหน้าเซียงฉือทั้งที่สวมเพียงชุดตัวใน ใบหน้าแดงปลั่ง ผมยาวดำราวหมึกจีนสยายอยู่บนบ่า


 


 


เซียงฉือเห็นเขาในสภาพนั้น และเมื่อคิดถึงเสียงที่ได้ยินเมื่อครู่ใบหน้าจึงแดงขึ้น ไม่กล้าเงยหน้าสบตากับเขา


 


 


“ถวายบังคมฝ่าบาท” เซียงฉือพูดเบาๆ แล้วถอยออกด้านข้าง ไม่กล้าเงยหน้ามองไปทางหรงจิง


 


 


หรงจิงเมื่อเห็นนางหน้าแดงดังโคมไฟจึงค่อยๆ เชยคางนางขึ้นมา แล้วใช้นิ้วหนึ่งแหงนศีรษะนางขึ้น เมื่อเขาโน้มกายเข้าไปใกล้ กลิ่นไอความร้อนแรงและรุกรานปะทะเข้าจมูกเซียงฉือ


 


 


“ฝ่าบาท…”


 


 


เซียงฉือถูกเขาจับคางไว้ บังคับให้ต้องสบตากับเขา


 


 


“เซียงฉือ หน้าเจ้าแดงมากนี่ หืม…”


 


 


เซียงฉือมองเขา ลำบากในการเอ่ยปาก เห็นเพียงใบหน้าเขาที่ขยายใหญ่ขึ้นกับดวงตากระจ่างใสคู่หนึ่ง นางไม่รู้ว่าจะพูดได้อย่างไร ได้แต่นิ่งตะลึงและเบิกตาโตมองอยู่เช่นนั้น


 


 


นางขยับกายโดยไม่ได้ตั้งใจ ทำให้กองรายงานที่อยู่ข้างหลังทั้งหมดตกกระจายลงบนพื้น

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม