ฮูหยินข้าอายุสามขวบครึ่ง 349-356
ตอนที่ 349 ในท้องมีท่านอ๋องน้อยอยู่
ตอนที่น่าอวี้น้อมทักทายให้เฉินยางอยู่นั้น ได้เจอเฝิงเยี่ยไป๋จัดระเบียบเสื้อผ้าเดินออกจากข้างในพอดี เฉาเต๋อหลุนจัดแขนเสื้อให้เขาไปพลาง แล้วฟังคำสั่งของเขาไปพลางว่า “ให้คนเอาเสื้อผ้าของข้าย้ายมาที่พระชายานี้ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้าจะอยู่ที่เรือนของพระชายา”
“ท่านอ๋องสุขสำราญ” น่าอวี้ย่อตัวน้อมทักทาย ปิ่นปักผมบนศีรษะกระทบกันดังกรุ๊งกริ๊ง ก็ทำเอาใจนางไม่สงบเช่นกัน
เฝิงเยี่ยไป๋ไม่ได้มาประคองนาง เขาพูดเพียงว่า `ไม่ต้องมากพิธี` แล้วเดินผ่านไปดั่งลมพัด ยามที่ไปนั้นก็ไม่แม้จะมองนาง
เฉาเต๋อหลุนประสานมือพูดว่า “คารวะพระชายารอง พระชายาใกล้จะออกมาแล้ว เชิญท่านนั่งรอก่อนขอรับ” พูดจบก็ถอยออกไปเช่นกัน
ในใจน่าอวี้แอบรู้สึกได้ว่าสำหรับนางแล้วไม่ใช่เรื่องดี ในใจกำลังคิดอยู่ เฉินยางก็ถูกคนประคองออกมาแล้ว ก้าวเดินได้ช้ามาก แทบจะก้าวทีละก้าวออกมา ซั่งเหมยยังเตือนนางอยู่บ่อยๆ ว่า “นายหญิง ช้าหน่อย เจ้าค่ะ ระวังฝีเท้า”
น่าอวี้เก็บอารมณ์ให้ดี แล้วยิ้มจากนั้นก็ย่อตัว “ข้าขอน้อมทักทายพระชายา”
เฉินยางเจอน่าอวี้ ก็บอกไม่ถูกว่ารังเกียจหรืออิจฉา ก็คือในใจมีกำแพงอยู่ ไม่อาจปฏิบัติกับนางอย่างสนิทดั่งเมื่อก่อน พอมีกำแพงในใจ แม้แต่รอยยิ้มก็เกรงใจไม่น้อย
ซั่งเซียงประคองนางนั่งลง นางพูดกับซั่งเซียงว่า “รีบไปประคองนายหญิงเจี่ยงของพวกเจ้าขึ้นมา” นางนั่งลงด้วยสีหน้าอบอุ่น แล้วให้คนใช้รินชา “วันนี้เจ้ามาไวนัก สองคนนั้นยังไม่มาเลย”
น่าอวี้ย่อมรู้สึกได้ถึงท่าทางการเปลี่ยนแปลงของเฉินยาง การห่างเหินย่อมมีอยู่แล้ว เพียงแต่เรื่องเช่นนี้ อ้าปากก็ไม่น่าฟัง พูดตรงๆ ออกไป สีหน้าทั้งสองฝั่งก็ดูไม่ดี ในเมื่อคนให้หน้านางแล้ว เช่นนั้นนางก็ให้หน้าเสียก็พอ
“เพราะข้ามาเช้าเกินไปรบกวนท่านหรือไม่ ข้าตื่นเช้าจนชินแล้ว หากรบกวนท่าน ท่านก็บอกข้าได้ ไม่เช่นนั้นหลังจากนี้มาทุกวัน รบกวนท่านนอนไม่หลับ ความผิดของข้าจะใหญ่เอาเรื่อง”
เฉินยางยิ้มพูด “ไม่ๆ ไม่เป็นไร เจ้ามาก็มีคนพูดคุยเป็นเพื่อนข้า ข้าดีใจยังไม่ทันเลย จะรังเกียจว่าเช้าได้อย่างไร”
การพูดคุยก็ห่างเหินไปไม่น้อย พูดจบแล้ว นางฟังเองก็ยังรู้สึกแปลก น่าอวี้หยุดเล็กน้อยแล้วมองเฉินยาง นางเปลี่ยนเป็นสีหน้ากังวล “ข้าได้ยินว่าเมื่อวานท่านอ๋องได้หาหมอมาดูร่างกายให้ท่าน ท่านไม่สบายหรือ”
สีหน้าเฉินยางเศร้าหมอง นางงอนิ้ว ไม่พูดอะไรแล้ว
ซั่งเหมยตอบแทนนางว่า “รบกวนนายหญิงเจี่ยงเป็นห่วงแล้ว นายหญิงข้าไม่เป็นไร ยังดีอยู่ นอกจากจะไม่เป็นโรคแล้ว แถมยังมีข่าวดีอีก!”
น่าอวี้งงเล็กน้อย “มีข่าวดี?”
“เจ้าค่ะ ในท้องนายหญิงพวกเรามีท่านอ๋องน้อยอยู่!”
ซั่งเซียงแก้ไขนางว่า “ไม่แน่อาจจะเป็นท่านหญิงน้อย!”
เฉินยางร้อนรนยิ่งนัก นางหน้าแดงให้พวกนางหุบปาก หันศีรษะมาพูดกับน่าอวี้อีกว่า “ขอบคุณเจ้าที่เป็นห่วงข้า ข้าไม่ได้เป็นอะไร”
ที่แท้ก็ตั้งครรภ์เสียแล้ว มิน่าเมื่อครู่เดินทางที่ราบเรียบยังต้องให้คนประคองทั้งซ้ายทั้งขวา ลูกคนแรกของเฝิงเยี่ยไป๋ แถมยังเลี้ยงอยู่ในท้องของเฉินยาง ล้วนเป็นสิ่งที่เขาหวงที่สุด จะไม่ระวังได้อย่างไร
ความเศร้าในใจที่มาเป็นระลอกทำเอานางรู้สึกแย่ เพียงแต่ใบหน้าก็ดันแสดงออกไม่ได้ นางยิ้มมากขึ้น แสร้งทำเป็นท่าทางดีใจพูดยินดีว่า “เช่นนี้ดีแล้ว ตั้งครรภ์แล้วเป็นเรื่องน่ายินดี ท่านอ๋องคงดีใจมากกระมัง เช่นนั้นท่านก็ต้องระวังร่างกายของตัวเอง ลูกคนแรกสำคัญที่สุด”
——
ตอนที่ 350 ชีวิตสงบสุขบินไปแล้ว
เฉินยางยิ้มตอบรับ สายตามองไปที่แสงอาทิตย์ เพียงพริบตาเดียว แสงที่อยู่ตรงหน้าก็ถูกสีสันสองก้อนบังเอาไว้ มองไกลๆ ก็เหมือนดั่งดอกไม้สองดอก พอมองใกล้ๆ แล้วก็ได้เห็นรูปร่างอรชรอ่อนช้อย ที่แท้ก็เป็นซ่งจูและหลี่หรู
พอเคารพเสร็จ เฉินยางกำลังจะเรียกลุกขึ้น ซั่งเหมยกลับชิงพูดก่อนนางว่า “พระชายารองทั้งสองท่านเมื่อคืนก็รวมกันเล่นไพ่อีกแล้วหรือ นี่ยามใดแล้ว น้อมทักทายยังต้องให้นายหญิงพวกเรารอพวกท่านอีก”
คนมาแล้ว เฉินยางก็ไม่อยากคิดเล็กคิดน้อยมากมายเช่นนั้น นางดึงซั่งเหมย พูดด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “พวกเจ้านั่งลงคุยกันเถิด”
นางยังคงไม่ชินที่จะวางมาด สั่งคนใช้ก็ไม่ถนัด ไม่เหมือนกับลูกสาวตระกูลร่ำรวยอย่างพวกนาง บนตัวนางมีกลิ่นอายอ่อนโยนอยู่ตลอด ยามโกรธก็ยากจะทำเอาคนกลัวได้ ความโกรธมาไวไปไว หากไม่มีใครหาเรื่องนาง ต่อให้ไม่จัดการ ปล่อยผ่านได้ก็ปล่อยผ่านไปเลย
ซ่งจูเป็นตัวอย่างคนโง่ที่ไร้สมองแถมยังชอบอวด แม้แต่เฉินยางที่ไม่ค่อยฉลาดนักก็ดูออกว่านางถูกหลี่หรูใช้งาน สืบหนทางให้นาง เพียงแต่นางไม่ฉลาดเอง หลานสาวของเจ้ากรมศาลต้าหลี่ซื่อกลับสะท้อนนางจนดูโง่เขลานัก เพียงแต่พวกนางแย่งชิงของพวกนางเอง ขอเพียงไม่ยุ่งเกี่ยวกับนาง นางก็ไม่ชอบยุ่งเกี่ยวนัก
ก่อนที่เฝิงเยี่ยไป๋จะไปก็กำชับนางว่าอย่าได้ขี้เกียจแล้วก็นอน ต้องออกไปเดินข้างนอกบ้าง อย่างไรเสียว่างอยู่ก็ไม่มีสิ่งใดจะทำ นอนไปนอนมานางก็มึน ออกไปเดินเล่นเสียบ้างก็ดีเช่นกัน ทั้งหมดนี้นางก็ได้เจอแล้ว น้อมทักทายก็แล้ว นางส่งสายตาให้ซั่งเหมย ให้นางส่งคนกลับไปทั้งหมด
ยังดีที่คนเหล่านี้ล้วนมีสายตา ต่างมองหน้ากันไม่พูดอะไร หากอยู่ต่อไปก็ไม่สบายใจ ซ่งจูนั่งไม่ติดเสียก่อน ลุกขึ้นมาลา หลี่หรูแววตาเปล่งประกาย ถามอย่างเรียบเฉยว่า “เมื่อครู่ตอนที่มาข้าได้ยินเหล่าสาวใช้คุยกัน บอกว่าพระชายามีเรื่องดี ข้าบังอาจเสียหน่อย อยากจะมาที่นี่เผื่อได้เจอเรื่องดีบ้าง หากพระชายาไม่รังเกียจ ก็ให้ข้าอยู่เป็นเพื่อนท่านเถิด”
ขาที่ซ่งจูก้าวออกไปนั้นหดกลับมาอีกครั้ง มองหลี่หรูด้วยความไม่เข้าใจ ก็ใช่ ทั้งสองคนนี้ก็ยังไม่ไปเลย ทิ้งนางไว้เพียงคนเดียวได้อย่างไร นางถึงได้ขยับสะโพกนั่งกลับไปอีก พูดเสริมว่า “เรื่องดี? พระชายามีเรื่องดีอะไร ข้าก็อยากแตะเรื่องดีเสียหน่อย”
น่าอวี้นิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง พอได้ยินว่าทั้งสองคนนี้อยากจะแตะเรื่องดีบ้าง จึงป้องปากยิ้มขึ้นมา “พวกเจ้ายังไม่รู้เลย จวนท่านอ๋องของพวกเรามีเรื่องดีแล้ว ในท้องพระชายามีท่านอ๋องน้อย”
ตอนแรกเฉินยางไม่อยากจะเปิดเผย ตัวเองใช้ชีวิตอย่างเงียบๆ ก็พอแล้ว แต่เดิมนางก็ขี้เกียจที่จะเจอพวกนาง คราวนี้กลับถูกผลักเข้าไปอยู่กลางพายุ คิดใช้ชีวิตอย่างสงบสุขคงเป็นไปไม่ได้เสียแล้ว
นางหันศีรษะมองน่าอวี้ แล้วเม้มปากนิ่งเงียบลง
ซ่งจูและหลี่หรูก็ต่างตกใจ ต่างสบตากัน แล้วแสดงความยินดีกับนาง
เฉินยางรู้ว่าคำพูดของพวกนางไม่ได้พูดจากใจ ก็ไม่สนใจ ตอนนี้นางไม่สนใจสิ่งใดๆ แล้ว นางลูบท้อง แล้วพูดใจกว้างว่า “พวกเจ้าแสดงความยินดีกับข้า ข้าก็ขอบคุณพวกเจ้า วันนี้อากาศดี ข้าคิดจะออกไปเดินเล่น พวกเจ้าก็เชิญตามสบายเถิด หลังจากนี้ก็ไม่ต้องน้อมทักทายแล้ว ข้าลุกไม่ขึ้น พวกเจ้าก็ลุกไม่ขึ้น กลับทำเอาต่างรบกวนกันแล้ว”
ตอนที่นางพูดประโยคนี้ไม่ได้มีท่าทางยโสแม้แต่น้อย นิ่งเรียบถึงขั้นมองอารมณ์ไม่ออก ตอนที่ไปกลับมาท่าทางกระฟัดกระเฟียดเล็กน้อย ไม่ให้ซั่งเหมยซั่งเซียงประคองนาง ตัวเองก้าวเท้ายาวๆ เดินออกไปแล้ว
เดือนเศษเท่านั้น ท้องยังไม่โตเลย ท่าทีก็ยังคงเป็นท่าทีเมื่อแต่ก่อน ยามที่เดิน ยังมีท่าทางเหมือนเด็ก
ตอนที่ 351 แม่ได้ดีเพราะลูกสักครั้งหนึ่ง
น่าอวี้เป็นคนที่ไม่ดีใจที่สุดคนนั้น แต่กลับเป็นคนที่ยิ้มอย่างร่าเริงที่สุดคนนั้น เมื่อครู่นางขาดความยั้งคิดไปหน่อย ดูสีหน้าของเฉินยางเช่นนั้น น่าจะไม่อยากให้คนมากมายรู้เรื่องที่นางตั้งครรภ์ เพียงแต่เมื่อครู่นางทนไม่ไหวเสียหน่อย อยากจะทดลองดูการตอบสนองของสองคนนั้น จึงหลุดปากออกไป ตอนแรกคิดจะเอาใจเฉินยางเพื่อจะได้ใกล้ชิดเฝิงเยี่ยไป๋ เพียงแต่ความคิดไม่สู้ชะตา แผนตามไม่ทันการเปลี่ยนแปลง ช่วงวันที่เฝิงเยี่ยไป๋มาที่ห้องของนางติดๆ กันอยู่นั้น นางก็ควรหาวิธีพยายามเสียอีกหน่อย แต่นางไม่ หัวใจจมดิ่งลงไป ถอนไม่ออกเสียแล้ว คนอื่นถอนตัวได้แล้ว นางยังไม่ตื่นจากความอบอุ่นนั่นเลย เป็นนางที่หน้ามืด พลาดโอกาสดีๆ ไป
ปากเฉินยางไม่พูด เพียงแต่ในใจก็คงออกห่างจากนางแล้ว ยามนี้เฝิงเยี่ยไป๋ก็ย้ายไปอยู่กับนางอีก โอกาสที่จะได้เจอในวันหลังก็น้อยลงอีกแล้ว หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ไม่ช้าก็เร็วนางก็จะกลายเป็นแท่งไม้แกะสลักในจวนท่านอ๋องนี้ อุตส่าห์รอวันดีๆ ใกล้เข้ามาแล้ว จะให้นางคลานอยู่ในโคลนอีกครั้ง นางทำไม่ได้!”
เฉินยางเชื่อใจคนง่าย นางเข้าไปพูดเอาใจนางเล็กน้อยก็อาจจะได้แล้ว ในใจคิดเช่นนั้นอยู่ ขาก็ก้าวตามขึ้นไป ซ่งจูกับหลี่หรูก็ไม่ยอมแพ้ ต่างเรียงแถวตามขึ้นไป
ซั่งเหมยหันศีรษะกลับมามองคนที่ตามมาเป็นแถวยาว หว่างคิ้วเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่ได้ใจ “นายหญิง ท่านดูเถิด ตอนนี้ท่านมีท่านอ๋องน้อยอยู่ ข้างหลังก็ตามมาเอาใจติดๆ ท่านอ๋องไม่แตะพวกนาง ต่อให้หนังท้องของพวกนางเก่งอย่างไรก็ได้แต่ร้อนรนไป ล้วนรอเอาใจท่านอยู่เลย!”
เฉินยางไม่เข้าใจ “เอาใจข้าทำไมหรือ ข้าไม่ใช่กวนอิมประทานบุตรเสียหน่อย”
ซั่งเซียงพูดต่อว่า “ตอนนี้ท่านอ๋องก็ย้ายมาอยู่กับท่านแล้ว โอกาสที่พวกนางจะได้พบท่านอ๋องก็มีน้อยตั้งแต่แรก ยามนี้ก็ยิ่งยากขึ้นไปอีก ย่อมต้องมาเอาใจท่าน เพื่อจะได้เจอท่านอ๋องบ่อยขึ้น ถึงยามนั้นส่งสายตากันไปมา พวกนางก็จะ ‘แม่ได้ดีเพราะลูก’ สักครั้งหนึ่ง”
ความคิดของผู้หญิงเป็นร้อยพัน ก็เพื่อไปให้ถึงเป้าหมายเดียว ระหว่างทางมักจะคดเคี้ยว ซั่งเหมยซั่งเซียงล้วนมาจากในวัง ละครเช่นนี้เห็นจนชินตา ฝึกจนได้สายตาที่แหลมคมมานาน มองเพียงตาเดียวก็รู้ว่าในหัวพวกนางคิดสิ่งใดอยู่
นางเดินเล่นอยู่ในสวน คนที่ตามอยู่ข้างหลังก็เหมือนดั่งหางเช่นนั้น คิดจะสะบัดทิ้งก็ไม่หลุด จวนท่านอ๋องก็ใหญ่เพียงเท่านี้ หากคนอื่นก็เดินเล่นล่ะ หากนางพูดว่าให้พวกนางอย่าตามนาง กลับทำเอารู้สึกใจแคบได้ จวนท่านอ๋องใหญ่เช่นนี้ยังจะเป็นของนางคนเดียวได้หรือ
“พวกเรากลับไปเถิด เดินวนไปมาก็ไม่สนุก” นางเหมือนดั่งใช้อารมณ์เด็ก นางหยุดที่ทางเดินแล้วกระทืบเท้า มีใบไม้ใบหนึ่งร่วงลงมา
ซั่งเหมยร้อง ‘โอ๊ย’ ขึ้นมา “นายหญิงของข้า อย่าได้กระทืบเท้าเช่นนี้เลย ระวังทำเอาท่านอ๋องน้อยตกใจ”
เฉินยางหัวเราะนางที่ตกใจเกินเหตุ “ท่านพี่พูดแล้ว เพิ่งจะตัวเท่าฝาเล็บเท่านั้น สมองยังไม่มีเลย เขาสูงส่งนัก ความเคลื่อนไหวเท่านี้ก็ทำเอาเขาตกใจได้?”
ซั่งเซียงก้มลงไปปัดชายกระโปรงให้นาง “แม่ลูกใจสื่อถึงกัน ผู้เป็นแม่ไอครั้งหนึ่ง ผู้เป็นลูกก็สั่นไปสามครั้งตาม”
“จะประหลาดเช่นที่พวกเจ้าพูดได้อย่างไร ไฉนข้าถึงไม่รู้สึกใดๆ เลย” นางยังแกล้งตบไปที่ท้อง “เพียงตั้งครรภ์ก็กลายเป็นท่านยายเสียแล้ว ข้ายังไม่ได้อ่อนแอถึงขนาดนั้นเสียหน่อย”
ซั่งเหมยซั่งเซียงถูกนางทำเอาตกใจแทบตาย
เฉินยางแกล้งบีบเสียงล้อพวกนางเล่นว่า “พอแล้ว ท่านยายวันนี้เหนื่อยแล้ว จะกลับไปนอนแล้ว!”
——
ตอนที่ 352 จุดอ่อนสองข้อของเจ้าเฝิง
ตอนที่เฝิงเยี่ยไป๋กลับมาจากวัง ความโกรธบนหน้ายังไม่หายไป ฮ่องเต้ทอดพระเนตรเห็นว่าเขาร่างกายแข็งแรงแล้ว ก็คิดจะให้ราชโองการเขาไปทำ ส่งเขาไปที่เมืองเหมิงเยี่ยมเยือนประชาชน และนำนโยบายใหม่ของราชสำนักไปประกาศ
พูดได้ดูดีนัก ราชโองการเหลวไหล ซู่อ๋องที่ชนะคราวนี้ก็คือชนะที่ใจประชาชนแล้ว ฮ่องเต้ไม่ไปด้วยตัวพระองค์เอง คือกลัวจะถูกประชาชนด่าทอ เพียงอยากจะหาแพะรับบาป ไปถูกด่าแทนฮ่องเต้เอง นโยบายใหม่ที่ว่า ก็เพียงแค่พระราชกรุณาที่ไม่ต้องจ่ายภาษีสามปี ให้เขาเอาราชโองการนี้ไปทางเหนือ ไม่ได้เพียงผิดใจกับซู่อ๋องตรงๆ แถมยังผิดใจกับประชาชนอีก
ที่ฮ่องเต้กลัวก็คือซู่อ๋องจะบุกตีเมืองในวันหนึ่ง ถึงยามนั้นราชโองการของฮ่องเต้องค์ก่อนเปิดออกมา พระองค์ที่เป็นฮ่องเต้นั้นคิดจะกลับมาอีกครั้งก็เป็นไปไม่ได้แล้ว
จู่ๆ เฝิงเยี่ยไป๋ก็นึกถึงนกพิราบส่งสารที่ซู่อ๋องส่งจดหมายให้เขา หลังจากสามวันพบกันที่ฉื่อเจียนฝูเซิง ตอนแรกเขาไม่อยากจะไป ความบาดหมางระหว่างพวกเขา เขาก็ไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยว เพียงแต่ตอนนี้ฮ่องเต้คิดจะผลักเขาออกไปเป็นโล่กำบัง เผื่อจะได้ให้เขากับซู่อ๋องสู้กันพระองค์นั่งรอผลประโยชน์ ทั้งสองพี่น้องนี้มาจากแม่คนเดียวกัน ล้วนเป็นคนชั่ว เพียงแต่ดูจากสถานการณ์ในตอนนี้แล้ว ซู่อ๋องน่าจะดีกว่าฮ่องเต้เล็กน้อย ไปสืบทั้งสองฝั่งเสียหน่อยค่อยตัดสินใจก็ยังไม่สาย
ความคิดของฮ่องเต้มักจะเป็นการตบหัวแล้วลูบหลัง หลังจากวางแผนร้ายใส่เขาเสร็จ ก็เรียกเขาว่าเป็นพี่น้องจะให้เขาอยู่กินข้าวต่อให้ได้ เพียงแต่เฝิงเยี่ยไป๋คิดจะกลับบ้านเท่านั้น ในบ้านยังมีลูกและภรรยารอเขาอยู่ แม้กินเศษข้าวเขาก็ดีใจ ในวังแม้จะมีอาหารหรูหราครบทุกอย่างสำหรับเขาแล้วก็เหมือนดั่งเคี้ยวเทียนไข อีกอย่าง จู่ๆ ก็ต้องรับความหงุดหงิดเช่นนี้ มีเพียงมองดูภรรยาเท่านั้นถึงจะรู้สึกดีขึ้นได้บ้าง กินข้าวกับพวกผู้ชาย เขาไม่ได้หิวเหมือนดั่งเจอภัยแล้งเสียหน่อย
ในเมื่อเขาไม่อยู่ต่อ ฮ่องเต้ก็ไม่มีเหตุผลที่จะรั้งเขาเอาไว้ จึงปล่อยเขาไปตามสบาย
เฝิงเยี่ยไป๋เพิ่งก้าวออกไป พั่งไห่ก็ก้าวตามเข้ามาแล้ว เขาประสานมือขึ้นไป ไม่พูดไม่รู้เป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้ายว่า “ฝ่าบาท เพิ่งได้ข่าวจากจวนท่านอ๋อง บอกว่าพระชายาตั้งครรภ์แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
พระหัตถ์ที่ถือพู่กันอยู่ของฮ่องเต้หยุดเล็กน้อย “เว่ยเฉินยางตั้งครรภ์แล้ว?”
พั่งไห่สังเกตสีพระพัตร์ของฮ่องเต้อย่างละเอียด ทูลกลับอย่างระวังว่า “พ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋องให้ความสำคัญกับลูกคนนี้ วันนี้ตอนเช้าก็ได้สั่งคนใช้เก็บของย้ายไปอยู่กับพระชายาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“ฝั่งน่าอวี้นั้นว่าอย่างไรบ้าง”
“ไม่กี่วันก่อนก็มีความคืบหน้าอยู่เล็กน้อย เพียงแต่ท่านอ๋องไม่ยอมปริปาก เรื่องที่คุยกันแม้มีความอ่อนไหวเพียงเล็กน้อยก็ถูกดับตั้งแต่เริ่ม ถามอะไรออกมาไม่ได้เลย อีกอย่าง ท่านอ๋องไม่เคยค้างคืนที่นางเลย ที่ไปหานาง ก็เพราะโกรธกับพระชายาอยู่ วันนี้ตอนเช้ายามที่ไปนั้นก็ไม่แม้แต่จะมองนาง สองคนที่เหลือยิ่งไม่ต้องพูดถึง แต่งงานจนถึงตอนนี้ก็เจอท่านอ๋องเพียงครั้งเดียว ชีวิตช่างลำบากยิ่งนัก มีเพียงพระชายาได้รับความรักอยู่เพียงผู้เดียวพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้เอาพระหัตถ์ไพล่หลัง “ปล่อยหญิงงามไปอยู่ตรงหน้าไม่เอา กลับรักดอกไม้แห้ง เขานี่เป็นโรคอะไรกัน”
พั่งไห่ทูลอีกว่า “ก่อนที่จะแต่งทั้งสามคนนี้ ท่านอ๋องก็รักเพียงพระชายาคนเดียว ถืออยู่ในมือก็กลัวแตก อมอยู่ในปากก็กลัวละลายเสียจริงๆ เพียงแต่ตอนนี้… ฝ่าบาททอดพระเนตรเถิด พวกเราควรจะทำอย่างไรดีพ่ะย่ะค่ะ”
“ตั้งครรภ์แล้วก็ดี มีจุดอ่อนอีกข้อให้เสียเปล่า ก็ถือว่าสมปรารถนาพวกเราแล้ว คิดวิธีออกมา เอาคนเข้าวังให้ได้ จะได้ใช้ขู่เขาพอดี”
ตอนที่ 353 แผนการของฮ่องเต้
ไทเฮายังไม่รู้เรื่องที่เว่ยเฉินยางตั้งครรภ์อยู่ ฮ่องเต้จะควบคุมเว่ยเฉินยาง ก็มีเพียงลงมือจากไทเฮา เขาไม่มีเหตุผลที่ฟังขึ้นนัก เพียงแต่ความรักของไทเฮาที่รักลูกนั้นใช้ได้ ถึงยามนั้นตรัสถึงไทเฮา แล้วตรัสต่อหน้าเหล่าขุนนาง เขายังจะไม่ตอบรับได้อย่างไร
ฮ่องเต้เป็นผู้ที่ไม่มีความอดทนมากมายเท่าไรนัก เขารอไม่ได้แม้เพียงยามเดียว ความคิดนี้เพิ่งจะคิดออกมา ก็รอไม่ไหวที่จะไปตำหนักฉือหนิงเสียแล้ว
ช่วงนี้ไทเฮาถูกรบกวนด้วยฝันร้ายอยู่บ่อยๆ วันๆ เอาแต่เก็บตัวอยู่ในตำหนักคัดลอกคัมภีร์อ่านบทสวด ตอนที่ฮ่องเต้เสด็จนั้น ไทเฮามือข้างหนึ่งเขี่ยลูกประคำ มืออีกข้างเคาะปลาไม้[1] ในปากก็กำลังท่องบทสวดอยู่ หงอวี้ขึ้นไป พูดอยู่ข้างหูไทเฮาว่า “ฝ่าบาทเสด็จแล้วเพคะ” ไทเฮาลืมตาครึ่งหนึ่ง สุดท้ายพูด “อามิตตาพุทธ” ถึงได้เชิญฮ่องเต้ประทับพร้อมกัน
ฮ่องเต้ยิ้มถาม “ไฉนช่วงนี้ไทเฮาถึงเริ่มนับถือพุทธแล้ว”
“ข้าแก่แล้ว คนอายุมากก็เป็นเช่นนี้ ไม่มีสิ่งใดทำ ว่างอยู่เฉยๆ ก็ไม่ได้ จึงได้แต่หาเรื่องให้ตัวเองทำ ว่างๆ สวดมนต์ก็ดีเช่นกัน เป็นบุญให้ตัวเองและก็เป็นบุญให้ลูกหลาน และก็เป็นบุญให้ประชาชนใต้ฟ้า ถือเสียว่าคนแก่อย่างข้าได้ช่วยเท่าที่ตัวเองทำได้”
ฮ่องเต้ยิ้ม ไม่ได้ปฏิเสธและไม่ได้เห็นด้วย “ไทเฮาเป็นผู้ที่มีบารมีที่สุดใต้ฟ้าคนหนึ่ง ความศรัทธาของท่านพระพุทธเจ้าได้เห็นแล้ว จะต้องตอบรับความหวังของท่าน ที่เรามาวันนี้ ก็มีเรื่องดีจะบอกไทเฮา ถือว่าเป็นท่านที่กินเจสวดมนต์แล้วพระพุทธเจ้าได้ให้พรกับท่านกระมัง!”
ไทเฮาไม่ได้มีเรื่องดีมานานหลายปีแล้ว พอถูกฮ่องเต้ดึงความสนใจขึ้นมา ก็หลงกลทันที “เรื่องดีอะไร”
ฮ่องเต้จิบชา ยิ้มตรัสว่า “วันนี้เพิ่งได้ข่าวมา บอกว่าเว่ยเฉินยางมีข่าวดี ท้องลูกของเฝิงเยี่ยไป๋ ท่านว่าเป็นเรื่องดีใหญ่หรือไม่”
ไทเฮายังไม่ได้ตั้งสติกลับมา “ฝ่าบาทตรัสอะไรหรือ เว่ยเฉินยางตั้งครรภ์แล้ว? ที่ตั้งครรภ์อยู่คือ…คือลูกของเยี่ยไป๋หรือ”
“ดูท่านพูดเข้า…” พระพัตร์ฮ่องเต้ยังคงยิ้มอยู่ “ไม่ใช่ของเขายังจะเป็นของใครได้อีก ก็คือท่านอ๋องน้อยในอนาคต หลานแท้ๆ ของท่าน”
แม้ว่าลูกสะใภ้อย่างเว่ยเฉินยางนางจะไม่ชอบนัก เพียงแต่ลูกที่อยู่ในท้องของนางก็เป็นของเฝิงเยี่ยไป๋ ที่นางดูถูกเป็นเพียงนาง เพียงแต่ลูกที่อยู่ในท้องของนางสูงส่งนัก ไทเฮามีชีวิตอยู่ถึงตอนนี้ อะไรก็ไม่ขอแล้ว ขอเพียงลูกหลานล้อมรอบ ชีวิตในวังเปล่าเปลี่ยว ฮ่องเต้นำข่าวนี้มาให้ จะมากจะน้อยก็ได้ให้ความหวังแก่นาง คนเราชีวิตพอมีความหวัง วันเวลาก็ไม่ได้ทรมานเช่นนั้นแล้ว
ไทเฮายิ้มจนเห็นรอยย่นลึกๆ ที่หางตา ท่าทางที่มีต่อฮ่องเต้ก็สนิทสนมขึ้น “ข้าก็ว่าไฉนวันนี้นกกางเขน[2]ถึงร้องอยู่บนหลังคาอยู่ตลอด ที่แท้ก็เพราะมีเรื่องดี ดี ดีมากเลย ตั้งครรภ์แล้วดี!”
ก็รู้ว่าพูดออกมานางต้องดีใจ ฮ่องเต้เห็นจังหวะกำลังดี จึงเสริมว่า “หากไม่ใช่บ่าวที่ปากมากหลุดออกมา เกรงว่าเขายังคิดจะปิดบังเราอยู่ด้วยซ้ำ เรายังได้ยินว่า พระชายาร่างกายอ่อนแอ ลูกคนแรกจะลำบาก เรายังคิดอยู่เลย ในวังมีสมุนไพรบำรุงมากมายเช่นนี้ พรุ่งนี้เช้าจะรีบให้คนส่งไปที่จวนท่านอ๋อง ยังมีสมุนไพรล้ำค่าที่แคว้นนอกด่านส่งบรรณาการเข้ามา พรุ่งนี้เราจะให้คนส่งไปเสีย”
ฮ่องเต้พูดเช่นนี้แล้ว ในใจไทเฮาก็รู้สึกยินดี “ยากจะได้เห็นฝ่าบาทมีพระทัยเช่นนี้ ผู้หญิงมีลูกคนแรกล้วนไม่มีประสบการณ์ จะคลอดได้ก็ลำบากนัก” พูดถึงตรงนี้ก็รู้สึกเศร้าใจอยู่บ้าง “เพียงแต่ไม่รู้ว่าในจวนท่านอ๋องจะมีหมัวหมัวที่รู้ใจปรนนิบัติอยู่หรือไม่ ในใจข้าดีใจ เพียงแต่ก็หวาดกลัว เด็กคนนี้ข้ารู้จัก สมองทื่อนัก ทำอะไรไม่รู้จักควบคุม ให้นางตั้งครรภ์อยู่ในจวนท่านอ๋อง ข้าไม่วางใจเลยจริงๆ !”
——
[1] ปลาไม้ เป็นเครื่องเคาะให้จังหวะของศาสนาพุทธฝ่ายมหายาน ใช้สวดมนต์ ทำวัตร และประกอบพิธีกรรมทางศาสนา
[2] นกกางเขน เป็นนกมงคลของชาวจีน
ตอนที่ 354 ความรักที่มีต่อลูก
ก็เป็นคำพูดนี้ ฮ่องเต้จงใจพูดเรื่องที่ร่างกายเว่ยเฉินยางไม่ดีไว้ก่อน ก็เข้าเป้าตรงๆ ปักลงที่หัวใจของไทเฮา ไทเฮามีสีหน้าเศร้าหมองทันที “เจ้าเด็กเฉินยางนั่นก็ไม่รู้จักระวังนัก ก่อนหน้านี้เรียนระเบียบที่ข้านี้ ไม่พอใจขึ้นมาก็เถียงกูกู ยามนี้ร่างกายเป็นเช่นนี้ หากยังไม่ระวังเหมือนเมื่อก่อน ทำเอาลูกในท้องบาดเจ็บจะทำอย่างไรดี”
ฮ่องเต้ไม่ตรัสสิ่งใด เพียงแค่รออย่างเงียบๆ ใกล้จะพูดถึงจุดสำคัญแล้ว ยามนี้ฮ่องเต้ตรัสแทรกขึ้นมากลับแสดงออกชัดเจนว่ามีความคิดแอบแฝง จึงแกล้งทำเป็นตั้งใจฟัง ถึงเวลาจะดีจะร้ายก็เป็นไทเฮาที่ก่อเรื่องขึ้น ไม่เกี่ยวกับฮ่องเต้แม้เพียงนิดเดียว
ไทเฮาพูดของตัวเองไป จู่ๆ ก็นึกขึ้นได้เรื่องหนึ่ง “ปีก่อนสนมซูก็บอกว่าร่างกายอ่อนแอไม่ใช่หรือ ได้ทรงพระครรภ์เกรงว่าจะคลอดลำบาก เป็นหมอหลวงคนใดที่ดูแลหรือ”
ฮ่องเต้ตรัสเรียบๆ ว่า “เป็นซ่งชิวจื้อในสำนักหมอหลวง ตระกูลของเขาทำอาชีพนี้ตลอด เป็นหมอสตรีชั้นดี ไม่เพียงสนมซู ครั้งก่อนที่หลิ่วกุ้ยเฟยคลอดลำบากก็เป็นยาชั้นดีของเขาถึงได้ช่วยเรารักษาราชบุตรเอาไว้ได้”
ไทเฮาได้ยินแล้วก็พยักหน้าด้วยความพอใจ “ข้าก็เคยได้ยินเรื่องราวของเขา ก็มีความสามารถอยู่จริง…ดังนั้น ข้าจึงคิดว่า…รับเด็กคนนี้เข้ามาดูแลในวัง ยามนี้เยี่ยไป๋ได้รับความกรุณาจากฝ่าบาท เริ่มเข้าร่วมราชกิจ ไม่มีเวลามากพอที่จะดูแลนางนัก เหล่าคนที่อยู่ในจวนนั้น ก็ไม่ได้รู้เรื่องกันมากนัก ข้าคิดว่า อย่างไรเสียก็เป็นหลานแท้ๆ ของข้า จะให้มีความผิดพลาดเกิดขึ้นไม่ได้เด็ดขาด อยู่ที่ใดก็ไม่สู้อยู่ข้างกายข้าเสียจะวางใจกว่า” พูดจบนางก็ถามฮ่องเต้อีกว่า “ฝ่าบาทพระดำริอย่างไรหรือ”
นี่ก็พูดตรงกับพระทัยฮ่องเต้เลยไม่ใช่หรือ ฮ่องเต้จะไม่เห็นด้วยได้อย่างไร เพียงแต่สีพระพักตร์ก็ยังคงต้องลังเลเสียหน่อย ฮ่องเต้ขมวดพระขนง ตรัสด้วยความลำบากพระทัยว่า “คือ…เรื่องนี้เราไม่สะดวกจะเอ่ยนัก อย่างไรเสียก็เป็นครอบครัวของเฝิงเยี่ยไป๋ คนมักพูดว่าแต่งออกไปแล้วก็ต้องตามสามี จะได้หรือไม่นั้น ก็ยังต้องเป็นเขาพูดแล้วถึงจะได้”
ไทเฮาถอนหายใจ เริ่มพูดความในใจให้ฮ่องเต้ฟัง “แม้ว่าข้าจะเป็นแม่แท้ๆ ของเขา เพียงแต่ในใจเขาแค้นข้ายิ่งนัก พูดกับเขา เขาจะต้องไม่เห็นด้วยอย่างแน่นอน ฮ่องเต้ไม่เคยเห็น วันก่อนเด็กนั้นเข้าวังมาเรียนระเบียบ เพียงแค่ทำผิดแล้วถูกตีไม่กี่ที เขาก็มาหาเรื่องกับข้าเสียแล้ว ใบหน้าแดงก่ำ ท่าทางนั้น เห็นข้าเป็นศัตรูอย่างสิ้นเชิง ครั้งนี้หากข้าเอาเด็กนั่นเข้าวัง เขาต้องไม่เห็นด้วย ไม่ต้องถามความเห็นของเขา วังหลังนี้เป็นวังหลังของฝ่าบาท หากฝ่าบาทยอมรับ เช่นนั้นข้าก็ไม่สนอะไรมากมายเช่นนั้นแล้ว”
ฮ่องเต้แย้มพระสรวลขึ้นมา “ไทเฮาถึงจะเป็นผู้ดูแลใหญ่ของวังหลัง เรื่องใหญ่เล็กทั้งหมดในวังหลังนี้ ล้วนต้องฟังไทเฮา ไทเฮาอยากจะจับลูกสะใภ้เข้ามาดูแลในวัง นับเป็นความโชคดีของเด็กคนนั้น เราจะปฏิเสธความรักของไทเฮาที่มีต่อลูกได้อย่างไรหรือ”
เป็นเช่นนี้ดี ไทเฮาคิดอยู่เล็กน้อยแล้วพูดอีกว่า “พรุ่งนี้ตอนเช้า รอให้เขาเข้าประชุมราชกิจ ข้าจะส่งคนไปรับเด็กคนนั้นเข้าวัง ทำแล้วค่อยบอก แถมยังอยู่ในวังอีก ข้าคิดว่าเขาก็คงจะพูดอะไรไม่ได้ ที่ข้าทำเช่นนี้ก็เพื่อเขา รอให้เด็กคนนี้คลอดออกมาอย่างปลอดภัย ถึงตอนนั้นทั้งภรรยาและลูกก็จะส่งกลับไปให้เขาอย่างดี ชีวิตหลังจากนี้ยังอีกยาวไกล จากกันสั้นๆ เพียงไม่กี่เดือนจะเป็นอะไรไป!”
ฮ่องเต้ตรัสรับ ไทเฮาเป็นคนที่ค่อนข้างเอาแต่ใจ และเรื่องนี้ก็เกี่ยวข้องกับรุ่นหลังของตระกูลเฝิง ไม่ได้เป็นเรื่องที่จะทำได้ง่ายๆ อย่างแน่นอน เรื่องนี้ให้ไทเฮาทำเพียงคนเดียว ฮ่องเต้เพียงรับผิดชอบส่งข่าว ตัวเองก็ไม่ต้องยุ่งเกี่ยว ให้พวกเขาแม่ลูกทำร้ายกันเองก็พอ
ตอนที่ 355 ท่านพี่กลับมาแล้ว
เฝิงเยี่ยไป๋กลับมาถึงจวนท่านอ๋องก็ได้พบภาพที่คึกคัก ในสวนมีโต๊ะกลมที่มีคนนั่งกันอยู่เต็ม เฉินยางนั่งอยู่หัวโต๊ะ ใบหน้าแข็งทื่อแล้วก็ยังยิ้มอยู่ ซ่งจูและหลี่หรูทั้งสองปากอ้าแล้วพูดไม่หยุด น่าอวี้พูดแทรกขึ้นมาอยู่บ้าง สีหน้าก็จืดเจื่อน
เฉินยางมองดูแล้วไม่ยินดีนัก นางออกแรงถูมือตัวเอง ทั้งๆ ที่นั่งไม่ติดที่ ยังฝืนทนเอาไว้ ชาที่อยู่ตรงหน้าไม่ได้ดื่มไปแม้แต่คำเดียว พอได้เห็นเขา ตาของนางก็เปล่งประกายขึ้นมาทันที นางลุกขึ้นมาทักทาย “ท่านพี่กลับมาแล้ว เร็วๆ พวกนางรอพบท่านอยู่เลย”
เฝิงเยี่ยไป๋ขมวดคิ้วขึ้นมา กวาดตามองเหล่าคนที่โค้งคำนับ เสียงฟังดูแล้วไม่ค่อยพอใจนัก “รอพบข้า? พบข้าทำไมหรือ”
เฉินยางลากเขามานั่งลง “ย่อมมีเรื่องจะพูดอยู่แล้ว ข้านั่งมาทั้งบ่ายจนเหนื่อยแล้ว ท่านพูดกับพวกนางเสียหน่อย แม้ว่าจะอยู่ในบ้านเดียวกัน เพียงแต่โอกาสที่จะได้พบมีน้อยนัก อย่าได้ห่างเหินนักเลย”
นางให้ที่นั่งกับเขา หลังจากเร่งรีบพูดจนจบ นางก็สะบัดกระโปรงหายไปต่อหน้าเขา พริบตาเดียวก็วิ่งเข้าห้องไป เหลือเพียงกลิ่นหอมที่จางๆ และหายไปในทันที
ในใจน่าอวี้กระตุก นางบิดผ้าด้วยความตึงเครียด เจ้าโง่ทั้งสองนี้ ไม่มีเรื่องอะไรทำตามนางทำไม นางอยากคุยเพียงเล็กน้อยกับเฉินยาง พวกนางก็กลัวว่าตัวเองจะถูกทิ้ง จึงตามอยู่ข้างหลังติดๆ แม้ว่าเฉินยางจะนิสัยดี แต่ก็ไม่ใช่คนใจดีนัก เดินไปไม่กี่ก้าวมีคนตามหลังอยู่ จะไม่รู้ความต้องการได้อย่างไร นางไม่อยากจะโกรธ จึงนั่งลงคุยสักหน่อย
ตอนนี้ดูแล้ว นางกลับกลายเป็นคนก่อเรื่องเสียแล้ว
“มีเรื่องจะพูดกับข้างั้นรึ” เขาทำสีหน้าเย็นชา แล้วกวาดตามองผ่านทีละคน “รบกวนพระชายาทั้งบ่ายก็เพื่อจะคุยกับข้าน่ะหรือ”
ชายรักหญิงงาม หญิงรักชายหล่อ เมื่อก่อนยังคิดว่าเขาเป็นคนป่วยมีชีวิตไม่ยืนยาวนัก แถมยังไม่เคยเจอหน้าจริงๆ ถึงได้รู้สึกว่าตัวเองตกอยู่ในกองเพลิง เพียงแต่ยามนี้ไม่เหมือนดั่งยามนั้น หน้าตาท่านอ๋องหล่อเหลายิ่งนัก โรคก็หายดีแล้ว มีทั้งอำนาจบารมี งานมงคลดีๆ และผู้ชายดีๆ เช่นนี้ ใครไม่อยากกำแน่นอยู่ในมือบ้าง
ซ่งจู่ก็เชื่อว่าตัวเองเป็นคนงามอันดับต้นๆ ในเมืองหลวง มีขุนนางมากมายมาสู่ขอจนธรณีประตูแทบทรุด นางก็ไม่แม้จะมอง อยู่กับเฝิงเยี่ยไป๋อย่างไรก็ไม่ถือว่าเกินเลย อีกอย่างอาของนางก็ยังเป็นเจ้ากรมศาลต้าหลี่ซื่อ ต่อให้ไม่ใช่เพื่อคน เพื่อผูกสัมพันธ์แล้วก็ไม่ควรจะเย็นชาใส่นาง
“ตั้งแต่ท่านอ๋องแต่งงานจนถึงยามนี้ นอกจากไปที่ห้องพระชายารองเจี่ยงแล้ว ข้าและพี่หญิงหลี่ก็เฝ้าอยู่ในห้องทุกคืนอย่างเดียวดาย อยากจะพบหน้าท่านอ๋องสักครั้งยังยากเสียยิ่งกว่าพบพระพักตร์อีก วันนี้ก็ถูกบีบจนไม่มีวิธีแล้ว ถึงได้คิดจะมาหาพระชายานี้เพื่อรอโอกาส และก็มาแสดงความยินดีกับพระชายาด้วย”
หลี่หรูไม่กล้ามองเฝิงเยี่ยไป๋ ในใจคิดว่า ‘เจ้าโง่ซ่งจูนี่ ตัวเองรนหาที่ตายยังต้องลากนางไปอีกคน มีตาหามีแววไม่ยิ่งนัก ดูสีหน้าของท่านอ๋องแล้วยังกล้าป่าวประกาศเรื่องเหล่านี้อีก ความฉลาดของอาของนาง ไฉนนางถึงไม่ได้เรียนมาเลย’
น่าอวี้ก็ไม่กล้าพูดกล่อมแล้ว ยามนี้นิ่งเงียบสำคัญกว่าสิ่งใดอีก ต่อให้เขาไม่พอใจเพียงใด ด้วยภาพลักษณ์ดีๆ ที่นางได้ปูทางมาก่อนหน้านี้ ก็คงไม่ถึงกับหาเรื่องนางในทันทีกระมัง!
เฝิงเยี่ยไป๋ได้ยินว่านางมาแสดงความยินดี ในใจก็เหมือนถูกบีบ เรื่องนี้ปิดบังไม่อยู่ กลัวเพียงว่าฮ่องเต้จะได้รู้แล้ว นี่เป็นลูกคนแรกของเขา จะเกิดความผิดพลาดไม่ได้เด็ดขาด ทั้งยังเป็นข้ออ้างที่จะควบคุมเขา ถึงขั้นความกังวลยังกลบความดีใจที่เขาจะได้เป็นพ่อคนขึ้นมา เรื่องดีเรื่องร้ายปะปนกันไป ก็คงเป็นเช่นนี้กระมัง!
——
ตอนที่ 356 ใจคิดเพียงจะแย่งความรัก
เฉินยางนั่งอยู่หลายชั่วยามจนปวดหลัง นางนั่งอยู่บนเตียงข้างหน้าต่างมองไปข้างนอกพลาง ทุบเอวไปพลาง ซั่งเหมยยกลูกไหนที่ล้างเสร็จแล้วให้นาง มองตามสายตานางไปแล้วพูดด้วยความเคียดแค้นว่า “เมื่อครู่แต่ละคนช่างพูดเก่งเสียจริง ไฉนยามนี้ถึงเป็นคนใบ้กันหมดแล้ว บอกว่าจะคุยกับท่านอ๋อง ท่านอ๋องมาแล้ว ก็กลายเป็นคนใบ้เสีย แม้แต่หายใจก็ยังไม่กล้า”
พวกนางตามนางติดๆ ดูแล้วก็ช่างน่ารำคาญเสียจริง ความสามารถที่ติดพัวพันคนอื่นของผู้หญิงนั้นได้มาโดยธรรมชาติ สองคนนั้นนางไม่รู้จัก ก็ไม่ได้รู้สึกอะไร เพียงแต่น่าอวี้ก็ปนอยู่ในนั้น นี่กลับทำเอานางไม่เข้าใจเสียแล้ว สุดท้ายนางก็ถูกบีบจนหมดปัญญา จึงพากลับมาทั้งหมด ยกของกินอร่อยขึ้นโต๊ะ พวกนางอยากรอก็ให้พวกนางรอไป เพียงแต่พากลับมาแล้วกลับกลายเป็นความวุ่นวายอีก นางถอนตัวไม่ได้ ถูกพวกนางดึงไว้พูดคุยไปทั้งบ่าย ตอนนี้สะบัดหลุดแล้ว คิดในใจว่าหลังจากนี้จะแสดงสีหน้าเป็นมิตรบ่อยๆ ไม่ได้ ต้องทำเหมือนดั่งเฝิงเยี่ยไป๋ทำหน้าบูดบึ้ง ดูว่าใครยังกล้าสร้างความวุ่นวายกับนางอีก
เฉินยางมองน่าอวี้จนเหม่อลอย ผ่านไปอยู่นานถึงถามซั่งเหมยว่า “เจ้ารู้สึกหรือไม่ว่าน่าอวี้เปลี่ยนไปแล้ว”
ซั่งเหมยมองนางด้วยความประหลาดใจ “ท่านเพิ่งสังเกตหรือ แค่เปลี่ยนเสียที่ใด แทบจะเป็นคนละคนเลย ต่างจากเมื่อก่อนไปเยอะมากแล้ว”
เฉินยางพยักหน้าช้าๆ “ข้าก็รู้สึก เมื่อก่อนยังสนิทกับนางได้อยู่ ตอนนี้แม้จะยังพูดคุยได้บ้าง เพียงแต่มักรู้สึกว่ามีช่องว่างอยู่ วันนี้นางตามข้ามาคือมีเรื่องจะพูดกับข้า แต่นึกไม่ถึงว่าถูกอีกสองคนรบกวนเข้าให้ ก็ไม่ได้คุยเลย”
“ท่านมีอะไรจะพูดกับนางอีกหรือ ตอนนี้นางคิดเพียงจะแย่งความรัก เป็นศัตรูกับท่าน อย่างท่านที่ไม่เจ้าเล่ห์ไม่ระแวงคน คุยกับนางสองประโยคไม่แน่ก็ขายตัวเองไปเสียแล้ว”
“เพียงแต่ตอนแรกก็เป็นข้าที่เลือกให้นางเข้ามา ข้าชอบนางอยู่ รู้สึกว่าท่านพี่แต่งนางเข้ามาก็ไม่เป็นไร พวกเราก็ยังเป็นพี่น้องเหมือนเดิม เพียงแต่ดูจากตอนนี้…เหมือนไม่ได้เป็นเช่นนั้นแล้ว ยามที่นางมองท่านพี่นั้น แววตาเปล่งประกาย พอแววตาเปล่งประกาย คนก็ยิ่งสวยขึ้นไปอีก”
ซั่งเหมยย่อตัวลงนวดขาให้นาง พูดบ่นว่า “บ่าวก็พูดไม่เกรงใจ นายหญิงท่านเป็นคนโง่นัก ผู้หญิงก่อนแต่งงานกับหลังแต่งงานล้วนเปลี่ยนทั้งสิ้น พอแต่งงานแล้ว สามีก็เป็นทุกอย่างของผู้หญิง จะทำสิ่งใดก็ต้องพึ่งสามี ย่อมต้องหาวิธีแย่งความรักให้ได้ ไม่เช่นนั้นชีวิตยาวนานเช่นนี้ หรือจะโดดเดี่ยวเดียวดายจนจบสิ้นชีวิตหรือ”
“ที่เจ้าพูดก็ใช่ หากไม่มีเรื่องการแกล้งป่วยนั้น พวกนางก็ไม่ต้องแต่งเข้ามา แต่งกับคนที่ยังไม่ได้มีภรรยาอยู่แล้ว ชีวิตหลังจากนั้นก็จะดีเสียหน่อย”
หากเรื่องนี้จะต้องโทษคนใดละก็ ก็ต้องโทษฮ่องเต้ ราชโองการเป็นฮ่องเต้ที่มีพระบัญชาลงมา และก็เป็นพระองค์ที่บีบบังคับ เฝิงเยี่ยไป๋ถึงได้คิดวิธีแกล้งป่วยนี้ นี่เป็นโลกของผู้ชาย ผู้หญิงสำหรับพวกเขาแล้ว ก็เป็นเพียงหมากที่ใช้แย่งชิงอำนาจ สงสารก็เพียงพวกนาง ที่ถูกลากเข้ามาเพราะแผนการร้าย
ซั่งเหมยพูดอีกว่า “จะพูดเช่นนั้นก็ไม่ได้ ต่อให้พวกนางไม่แต่งกับท่านอ๋อง แต่งกับคนอื่น ก็ไม่รู้ว่าคนที่พวกนางได้แต่งนั้นจะแต่งภรรยาเพิ่มอีกหรือไม่ ผู้ชายมีภรรยาสามคนสี่คนเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ ลูกสาวตระกูลใหญ่เช่นพวกนางนั้น ตอนแรกก็เตรียมถูกเลือกเข้าวังปรนนิบัติฮ่องเต้ วิธีการเรื่องความรักนั้นเรียนตั้งแต่อยู่ในบ้านแล้ว ท่านอย่าได้มองว่าแต่ละคนหน้าตาสวยงาม พูดจามีเหตุผล ที่จริงแล้วใจดำถึงเพียงไรก็ยังไม่รู้เลย!”
เฉินยางไม่พูดอะไรอีก เฝิงเยี่ยไป๋ไล่พวกนางไปแล้ว ยามที่น่าอวี้หันกลับมาเห็นนาง ก็ยกมุมปากจางๆ เผยรอยยิ้มขมขื่นยิ่งนัก
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น