วาสนาบันดาลรัก 349-352

ตอนที่ 349 จบสิ้น

 

ธรรมเนียมของต้าโจวนั้นเปิดกว้างกว่าในยุคก่อนยิ่ง โดยเฉพาะกับสตรีที่ออกเรือนแล้วก็มิได้เข้มงวดเท่ากับสตรีที่ยังมิออกเรือน ทั้งเจินเมี่ยวเองมิใช่สตรีออกเรือนแล้วธรรมดาทั่วไปแต่เป็นนายหญิงอย่างถูกต้องของจวนเจิ้นกั๋วกง หากว่ากันตามจริงแล้วเมื่อแขกคนสำคัญมาเยือน นางออกหน้ามาต้อนรับแขกก็มิใช่เรื่องแปลกอันใด แต่เพราะการมาเป็นแขกขององค์ชายรองนั้นแฝงเจตนาอื่น มิได้มาเป็นแขกจริงๆ แต่เรื่องที่คิดจะแต่งภรรยากลับหมานเหว่ยต่างหากจึงเป็นเรื่องจริง


 


 


เขามาที่จวนกั๋วกงทุกวันเป็นเวลาเดือนกว่าๆ แล้ว แต่เมื่อไม่พบคุณหนูในจวนกลับขอพบต้าไหน่ไหน่ที่ยังเป็นสตรีแรกแย้มแทน ผู้ใดได้ฟังก็ล้วนคิดมากทั้งสิ้น


 


 


นายท่านรองกระแอมไอโดยแรงเพื่อปกปิดท่าทีเสียกิริยาของตน


 


 


องค์ชายรองยังคงอธิบายเพิ่มเติมอีกว่า “มิใช่กูไหน่ไหน่ แต่เป็นต้าไหน่ไหน่”


 


 


นายท่านรองกลอกตาไปมา ทั้งไอหนักขึ้นกว่าเดิมอีก เขามองดูท่าทีเฝ้ารอคอยขององค์ชายรองแล้วก็พลันคิดบางอย่างขึ้นมาได้


 


 


เหตุใดเขาต้องขวางด้วยเล่า องค์ชายรองเป็นแขกบ้านแขกเมือง หากมิกระทำอันใดเกินขอบเขต แม้แต่ฝ่าบาทก็ยังไม่ตรัสอันใด แล้วการพบกับนางเจินเพียงครั้งจะเป็นไรไปเล่า


 


 


ได้ยินมาว่าชาวหมานเหว่ยมิได้มีกฎระเบียบอันใดมากนัก น้องชายแย่งภรรยาพี่ชายก็มิได้แปลกอันใด กระทั่งมีธรรมเนียมสืบทอดอย่างบิดาสิ้นบุตรชายมารับภรรยาไปอีกต่อ ช่างน่ากลัวเหลือเกิน แต่หากความน่ากลัวนี้เกิดขึ้นกับศัตรูของเขามันกลับเป็นเรื่องที่ดีเหลือเกินแล้ว


 


 


นางท่านรองรู้มาตลอดว่าคนที่องค์ชายรองอยากพบจริงๆ คือนางเจิน คิดว่าสำหรับเขาแล้วการแย่งภรรยาของขุนนางต่างแคว้นนั้นมินับเป็นเรื่องอันใดได้


 


 


ไม่ว่าจะสำเร็จหรือไม่ แต่ขอเพียงเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้น นางเจินจะสามารถครองตนอยู่ในฐานะนายหญิงแห่งจวนกั๋วกงต่อไปได้อย่างไรเล่า


 


 


ต้าหลังรักถนอมนางเจินยิ่ง หากเกิดโทสะทำร้ายองค์ชายรองจนได้รับบาดเจ็บ ฝ่าบาทย่อมต้องคิดถึงส่วนรวมเป็นหลัก อย่างไรคงต้องมีคำตอบที่ดีให้กับหมานเหว่ย


 


 


ตั้งแต่ต้าหลังเจริญก้าวหน้าในราชสำนักก็ยิ่งมีอำนาจบารมีอย่างที่สุด หากมีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้นในจวนกั๋วกงมากเท่าใด เขาก็ยิ่งมีโอกาสมากขึ้นเท่านั้น แม้บางเรื่องอาจจะทำลายชื่อเสียงของจวนกั๋วกงไปบ้าง แต่ยามนี้ต้าหลังมีตำแหน่งเป็นผู้สืบทอด แล้วเขาต้องใส่ใจไปไยเล่า


 


 


นายท่านรองพลันคิดได้ขึ้นมาทันใดจึงเอ่ยกับบ่าวไพร่ท่ามกลางสายตาอันเฝ้าคอยขององค์ชายรองว่า “ไปเชิญฮูหยินซื่อจื่อมาที่นี่หน่อยเถิด”


 


 


เจินเมี่ยวได้ยินบ่าวไพร่มาแจ้งเช่นนั้นก็มิได้เอ่ยอันใดแต่ตรงดิ่งไปที่เรือนอี๋อานทันที


 


 


เถียนเสวี่ยเองก็อยู่ที่นี่คอยดูแลฮูหยินผู้เฒ่าที่อาการดีขึ้นเรื่อยๆ


 


 


ครั้นฮูหยินผู้เฒ่าเห็นเจินเมี่ยวมาในเวลานี้ก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย


 


 


ในบรรดาสะใภ้ทั้งสามนั้น แม้นางเถียนจะยืนยันแข็งขันแต่นางดูออกว่าสุขภาพไม่ดีเท่าใดนักจึงให้นางพักรักษาตัว ส่วนนางซ่งก็พาหลัวจือฮุ่ยกลับตระกูลมารดาตนเพื่อหลบเลี่ยงองค์ชายรอง นางชีตั้งครรภ์ทั้งหลังจากได้ฟังคำพูดของนักพรตก็กลับไปพักที่ตระกูลมารดาตนเพื่อหลีกเลี่ยงเหตุไม่คาดฝัน ตอนนี้จึงยังมิได้ย้ายกลับมา ดังนั้นกิจการเกือบทุกอย่างในจวนกั๋วกงอันกว้างใหญ่จึงตกอยู่ที่เจินเมี่ยว


 


 


เวลานี้ของทุกๆ วันนางจะต้องจัดการกิจการในจวน ไม่มีเวลามาหาฮูหยินผู้เฒ่า แต่เถียนเสวี่ยกลับอยู่ที่เรือนอี๋อานเสียส่วนใหญ่ ฮูหยินผู้เฒ่าจึงคุ้นเคยกับหลานสะใภ้คนใหม่อย่างรวดเร็วทั้งเริ่มรักใคร่เอ็นดูนางขึ้นมาแล้ว


 


 


เจินเมี่ยวย่อกายคารวะฮูหยินผู้เฒ่า เถียนเสวี่ยรีบร้อนลุกจากเก้าอี้ตัวเตี้ยที่วางอยู่ข้างเตียงฮูหยินผู้เฒ่าเพื่อทำความเคารพต่อเจินเมี่ยว “พี่สะใภ้ใหญ่”


 


 


เจินเมี่ยวยิ้มพลางเอ่ยว่า “น้องสะใภ้สามไม่ต้องมากพิธีแล้ว”


 


 


เมื่อเห็นว่านางเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่จริงใจ ทั้งมิได้รู้สึกไม่พอใจที่หลานสะใภ้ผู้มาใหม่ได้รับความเอ็นดู ฮูหยินผู้เฒ่าก็ลอบโล่งอกอยู่ในใจ


 


 


การล้มป่วยครานี้ทำให้นางคิดได้ว่าการปรองดองของคนในจวนเป็นเรื่องน่ายินดีที่สุด นางไม่อยากเห็นลูกหลานต้องคอยแก่งแย่งกันเลย หากหลานสะใภ้ทั้งสองเข้ากันได้ดีย่อมเป็นเรื่องที่ดีเหลือเกินแล้ว


 


 


เป็นเพราะก่อนหน้านี้นางเลอะเลือนไป การที่หยวนเหนียงออกเรือนไปไกลถึงหมานเหว่ย แม้จะบอกว่าเกี่ยวข้องกับการที่หลานสะใภ้ใหญ่ทำม้าตกใจก็จริง แต่หากคิดให้ลึกซึ้งว่าเหตุใดรถม้าในวันนั้นถึงได้วิ่งไปที่ถนนเลื่องชื่อนั่น คนควบรถม้าเป็นอันใดหรือ นางก็รู้สึกเจ็บปวดใจขึ้นมา


 


 


หากเป็นเพราะนางเถียนวางแผนให้เกิดเหตุการณ์นั้นขึ้นเพื่อกดข่มหลานสะใภ้ใหญ่ไว้ ตนจะได้กุมอำนาจการดูแลจวนแต่เพียงผู้เดียว เช่นนั้นคงพูดได้แค่ว่าจุดจบของหยวนเหนียงก็เป็นผลจากสาเหตุข้างต้นแล้ว


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าไม่อยากไปคิดให้ลึกซึ้งนัก แต่ความรู้สึกที่มีต่อนางเถียนกลับค่อยๆ เปลี่ยนไปแล้ว


 


 


“ท่านย่า เมื่อคือท่านอารองส่งคนมาบอกว่าองค์ชายรองรบเร้ามานานหลายวันแล้ว ทรงบอกว่าอยากพบนายหญิงของจวนเราสักคราเจ้าค่ะ” เจินเมี่ยวคอยสังเกตท่าทีที่เปลี่ยนไปของฮูหยินผู้เฒ่า “หลานสะใภ้คิดว่า พระองค์มาที่นี่ทุกวัน น้องรองก็ต้องหลบตลอด เรามิอาจหลบได้ตลอดไปมิสู้พบพระองค์สักคราแล้วเอ่ยพูดจาให้ชัดเจน คิดว่าองค์ชายรองคงมิใช่คนที่ทำตัวเหลวไหลและรบเร้าไม่เลิกแน่เจ้าค่ะ”


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่านิ่งเงียบไปครู่หนึ่งจึงพยักหน้า “ดี งั้นมิต้องไปที่ใดแล้ว ให้มาที่เรือนอี๋อานนี้เถิด”


 


 


เจินเมี่ยวมาที่นี่ก็เพราะต้องการเช่นนี้แล เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็รีบรับคำทันทีแล้วส่งสาวใช้ไปแจ้งข่าวที่เรือนหน้า


 


 


ครั้นนายท่านรองได้ยินว่าเจินเมี่ยวเห็นด้วย ความยินดีก็แต้มเต็มใบหน้า ทว่าเมื่อได้ยินสาวใช้บอกว่าขอเชิญองค์ชายรองไปที่เรือนอี๋อาน ใบหน้ากลับสลดลงอย่างอดไม่ได้


 


 


มีฮูหยินผู้เฒ่าอยู่ด้วยทั้งคน ข่าวลือพวกนั้นคงไม่มีผลอันใดแล้ว


 


 


องค์ชายรองเดินตามสาวใช้ไปที่เรือนอี๋อานด้วยความตื่นเต้น เมื่อเดินข้ามประตูไปก็เห็นคนผู้หนึ่งที่นั่งอยู่ฝั่งหนึ่งของห้อง เส้นผมดำขลับ ใบหน้าดุจภาพวาด เป็นสตรีที่เขาเฝ้าคะนึงหามานานผู้นั้นอย่างไม่ต้องสงสัย


 


 


อาจเพราะตอนนี้มีความรู้สึกอันหลากหลายประเดประดังเข้ามามากเกินไป องค์ชายรองที่ใจเต้นดุจรัวกลองถึงกับลืมวิธีเดิน ตอนที่ก้าวเท้าเข้าไปจึงเกือบสะดุดธรณีประตูล้มเสียแล้ว


 


 


สาวใช้ภายในห้องก้มหน้าเม้มริมฝีปากกลั้นยิ้ม ฮูหยินผู้เฒ่าลุกขึ้นยืนตัวสั่นงันงก “แขกผู้มีเกียรติมาเยือนถึงจวน แต่กลับเพิ่งได้ต้อนรับในวันนี้ รู้สึกเสียมารยาทเหลือเกินจริงๆ เพคะ”


 


 


องค์ชายรองเก็บสายตาจากใบหน้าของเจินเมี่ยวแล้วหันไปทำความเคารพตามแบบของชาวหมานเหว่ย “เป็นข้าต่างหากที่มารบกวน”


 


 


เขาอยากจะพูดความในใจออกมาทันทีเมื่อนึกถึงคำเตือนของบ่าวผู้ติดตามจึงได้แต่อดกลั้นไว้


 


 


ท่ามกลางสายตาคนมากมายเพียงนี้ หากเขาพูดออกมาว่ารักชอบนาง คิดว่าคงเป็นการทำร้ายนางมากกว่า


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าลอบเอ่ยอย่างทอดถอนใจว่าเวรกรรม ดูท่าองค์ชายรองคงมีความรู้สึกอันลึกซึ้งยิ่งกับหลานสะใภ้ใหญ่ หากไม่พูดจาให้ชัดเจนย่อมกลายเป็นหายนะแน่


 


 


คิดถึงตรงนี้ร่างนางก็ถึงกับเซถลาไปคราหนึ่ง


 


 


เจินเมี่ยวรีบเข้าไปประคองฮูหยินผู้เฒ่าไว้ แล้วเอ่ยด้วยความห่วงใยว่า “ท่านย่า ท่านไม่เป็นอันใดหรือไม่”


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าลูบหน้าผากตนคราหนึ่ง นางยิ้มอย่างหวาดหวั่นให้องค์ชายรองพลางเอ่ยว่า “ระยะนี้หม่อมฉันสุขภาพมิใคร่ดีนัก กระทั่งวันนี้ยังรู้สึกไม่ค่อยสบายอยู่บ้าง คงต้องให้ฮูหยินของซื่อจื่อคอยรับรองพระองค์แล้ว หากมีสิ่งใดบกพร่องไปขอทรงโปรดอภัยด้วยเพคะ”


 


 


นางเอ่ยเช่นนี้เพื่อเป็นการโทษว่าการที่เจินเมี่ยวพบกับองค์ชายรองตามลำพังนั้นเป็นเพราะนางสุขภาพไม่ดี ผู้อื่นจึงมิอาจพูดจาเหลวไหลอันใดได้อีก


 


 


กระทั่งเถียนเสวี่ยประคองฮูหยินผู้เฒ่ากลับไปพักผ่อนที่ห้องแล้ว ภายในห้องโถงจึงเหลือเพียงองค์ชายรอง เจินเมี่ยวและสาวใช้คนสนิทของนางสองคน


 


 


ภายในห้องพลันเงียบสงัดไปครู่หนึ่ง


 


 


องค์ชายรองกำลังคิดว่าจะพูดอย่างไรดี


 


 


เขาอยากถามนางเหลือเกินว่ายินดีไปกับเขาหรือไม่ แต่เมื่อเห็นท่าทีแสนผ่อนคลายที่มีเพียงคนที่ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขเท่านั้นจึงมีลักษณะเช่นนี้ได้ เขากลับเอ่ยไม่ออกไปทันใด


 


 


ชิงไต้ยกน้ำชาเข้ามา ใบหนึ่งวางไว้ข้างองค์ชายรอง อีกใบวางไว้ข้างเจินเมี่ยว


 


 


องค์ชายรองยกถ้วยชาขึ้นดื่มทันทีเพื่อปกปิดอาการประหม่า อากาศเดือนแปด ชามักจะเย็นชาอยู่สักหน่อย เวลานี้จึงยังคงร้อนอยู่มาก เมื่อเขาดื่มเข้าไปก็พ่นออกมาทันที มันร้อนเสียจนต้องแยกเขี้ยวยิงฟัน


 


 


ชิงไต้ก้มหน้าลง แล้วหยักยกมุมปากขึ้น ในใจก็กล่าวว่าเติงถูจื่อกล้าฉวยโอกาสตอนที่ซื่อจื่อไม่อยู่มาเยือนถึงที่ หากมิสั่งสอนเสียบ้างคงไม่ได้แล้ว


 


 


เจินเมี่ยวตำหนิชิงไต้คำหนึ่ง แล้วรีบเอ่ยขอรับโทษจากองค์ชายรอง


 


 


เมื่อเป็นเช่นนี้บรรยากาศอันกระอักกระอ่วนจึงถูกทำลายลง


 


 


องค์ชายรองลืมวาจาที่ตนเตรียมไว้เพื่อจะเอ่ยกับนางไปจนสิ้น จึงเอ่ยถามออกไปอย่างมึนงงว่า “เจ้าชื่ออันใดหรือ”


 


 


เจินเมี่ยวคิดไม่ถึงว่าองค์ชายรองเอ่ยตรงไปตรงมาปานนี้ นางยกมุมปากขึ้นแล้วเอ่ยว่า “องค์ชายรองเพคะ ที่ต้าโจวนามของสตรีมิอาจบอกแก่ผู้อื่นได้ พระองค์เรียกหม่อมฉันว่าเจียหมิงเซี่ยนจู่ก็ได้เพคะ”


 


 


เพื่อป้องกันมิให้องค์ชายรองเอ่ยวาจาอันใดที่ทำให้คนตกใจหวาดหวั่นขึ้น นางจึงชิงพูดก่อนว่า “หม่อมฉันรู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณของพระองค์มาตลอด ซื่อจื่อยังบอกอีกว่าหากมีโอกาสต้องเชิญพระองค์มาดื่มสุราที่จวนให้ได้ แต่น่าเสียดายตอนนี้เขาออกไปปฏิบัติหน้าที่นอกเมืองเพคะ”


 


 


องค์ชายรองรีบโบกมือเป็นพัลวัน “ไม่ต้องขอบคุณอันใดดอก การได้ช่วยเจ้าเป็นเรื่องที่ข้ายินดียิ่ง”


 


 


ดวงตาเขาดำขลับยิ่ง สีดำสีขาวตัดกันอย่างชัดเจน ไม่มีสิ่งปนเปื้อนใดๆ แม้แต่น้อยทำให้มองเห็นอารมณ์ทั้งหมดที่มีได้โดยง่าย ทำให้คนไม่สงสัยต่อความจริงใจในวาจาของเขาเลยสักนิด


 


 


เจินเมี่ยวลอบถอนหายใจออกมาคราหนึ่ง แล้วส่งสัญญาณให้ไป๋เสาและชิงไต้ไปยืนเฝ้าหน้าประตู


 


 


องค์ชายรองเห็นสาวใช้ทั้งสองไปแล้ว ไม่ทราบด้วยเหตุใดกลับรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา


 


 


พลันเห็นนางยิ้มด้วยแววตาสงบนิ่ง น้ำเสียงที่เอ่ยใสกระจ่างยิ่ง “หม่อมฉันทราบถึงพระประสงค์ของพระองค์ดี ดังนั้นจึงอยากเอ่ยกับพระองค์ให้ชัดเจน เรื่องที่พระองค์คิดไม่มีทางเป็นไปได้โดยเด็ดขาด นั่นเป็นการทำร้ายสตรีผู้หนึ่งอย่างที่สุดเพคะ”


 


 


“ข้ามิได้คิดจะทำร้ายเจ้าเลย!”


 


 


เจินเมี่ยวถอนหายใจออกมา “การที่พระองค์ดึงดันมาที่นี่ทุกวันนั้นได้ทำลายชื่อเสียงของสตรีผู้หนึ่งไปเรียบร้อยแล้ว หากเป็นตระกูลที่เคร่งครัดกว่านี้ สตรีผู้นั้นคงมิอาจมีชีวิตต่อไปได้อีกแล้วเพคะ”


 


 


“ร้ายแรงถึงเพียงนั้นเชียว?” องค์ชายรองถึงกับอึ้งงันไป


 


 


“เพคะ” เจินเมี่ยวพยักหน้า “องค์ชายรอง พระองค์ก็เห็นแล้วว่าต้าโจวกับหมานเหว่ยไม่เหมือนกัน ผู้คนในดินแดนของท่านนั้นขอเพียงเก่งกาจย่อมสามารถมีชีวิตได้ตามใจชอบ แต่พวกเราที่อยู่ที่นี่ ไม่ว่าเรื่องใดล้วนมิอาจสลัดหลุดคำว่า ‘พิธีการ’ ไปได้”


 


 


“แต่ความรู้สึกของเราย่อมมิอาจแยกว่าเป็นคนต้าโจวหรือหมานเหว่ย เมื่อรักแล้วยังแกล้งเสแสร้งได้อีกหรือ ยังสามารถฝืนใจตนอยู่ร่วมกับคนที่ไม่ได้ชอบ ทั้งยังมีบุตรด้วยกันได้อีกงั้นหรือ พวกเจ้าชาวต้าโจวช่างแปลกประหลาดเหลือเกิน” องค์ชายรองรู้สึกเจ็บปวดยิ่งจึงเอ่ยโต้แย้งออกมาจากก้นบึ้งของใจ


 


 


เจินเมี่ยวหน้าดำคล้ำขึ้นมาสายหนึ่ง


 


 


องค์ชายรองมองหน้าด้วยสีหน้าไม่เห็นด้วย “เจ้าก็เป็นเช่นนั้นหรือ”


 


 


“หม่อมฉัน?” เจินเมี่ยวตัดสินใจลงมือขั้นเด็ดขาด “หม่อมฉันย่อมต้องเหมือนกันกับสตรีทั่วไปในต้าโจว แต่หม่อมฉันค่อนข้างโชคดีจึงได้แต่งให้กับบุรุษที่ตนชมชอบ”


 


 


องค์ชายรองพลันอึ้งงันไป เขานั่งอยู่ตรงนั้นคล้ายสุนัขตัวโตที่ถูกทอดทิ้ง


 


 


เจินเมี่ยวรู้ว่าตนคงพูดได้เพียงเท่านี้แล้ว นางจึงลุกขึ้นเอ่ยว่า “องค์ชายรอง หม่อมฉันให้คนจัดสุราอาหารไว้ที่เรือนหน้าแล้ว ขอเชิญพระองค์ทรงไปดื่มเสวยที่นั่นเถิดเพคะ หม่อมฉันต้องขอตัวก่อนแล้ว”


 


 


ครั้นมองแผ่นหลังของนางแล้วองค์ชายรองก็อดถามออกมามิได้ว่า “เจียหมิงเซี่ยนจู่ ภายหน้าเจ้าคิดว่าจะไปหมานเหว่ยหรือไม่”


 


 


“ไม่เพคะ” เจินเมี่ยวตอบกลับไปโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย นางย่อกายถวายพระพรต่อองค์ชายรองแล้วเดินจากไป


 


 


ตั้งแต่วันนั้นองค์ชายรองก็ไม่มาที่จวนเจิ้นกั๋วกงอีกเลย


 


 


ดอกกุ้ยส่งกลิ่นหอมกรุ่น เมื่อย่างเข้าสู่ปลายเดือนแปดก็ถึงช่วงเวลาของการประกาศผลสอบบัณฑิตระดับเมืองแล้ว หลังจากงานมงคลของคุณชายสามผ่านไป เรื่องอันน่ายินดีก็ได้เกิดขึ้นในจวนเจิ้นกั๋วกงอีกครั้ง นั่นคือคุณชายรองสอบผ่านได้เป็นจวี่เหรินแล้ว


 


 


การจัดงานเลี้ยงฉลองและเชิญแขกเหรื่อเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ในงานเลี้ยงฉลองเจินเมี่ยวเห็นนางเจียงที่สนิทสนมกันมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก จึงเอ่ยถามไถ่ นางบอกว่าเมื่อวานฝ่าบาททรงพระราชทานงานอภิเษกสมรสให้โอวหยางเถาน้องสาวสามีตนกับองค์ชายรอง แม่สามีจึงล้มป่วยลงอย่างกะทันหัน


 


 


เจินเมี่ยวมิอาจพูดอันใดมากได้จึงเปลี่ยนหัวข้อการสนทนาไปเสีย


 


 


ผ่านไปไม่นานหลัวเทียนเฉิงก็กลับมาจากแม่น้ำไหว เมื่อได้ยินเรื่องนี้เข้าก็อดตกใจมิได้


 


 


ในที่สุดองค์ชายรองก็อภิเษกกับโอวหยางเถา โชคชะตาได้กลับมาสู่เส้นทางเดิมของมันแล้ว ทำให้เขารู้สึกสับสนอย่างยิ่ง แต่ก็ชอบใจเช่นกัน เพราะสามารถสลัดหลุดคนผู้นั้นออกไปได้เสียที แต่น่าเสียดายที่แม้เขาจะรีบกลับมาเพียงใดก็มิทันได้ต่อยคนสักหมัด 

 

 


ตอนที่ 350 รู้ทัน

 

คนเรามักลืมง่าย เมื่อต้นปีจวนปั๋วชื่อเสียงเสื่อมถอยเพราะการฆ่าตัวตายของเวินยาฉี ทำให้เจินปิงที่ยังมิทันกำหนดคู่หมายพลอยตกอยู่สถานการณ์อันกระอักกระอ่วนนี้ไปด้วย แต่ผ่านมายังไม่ทันถึงปี ผู้คนไม่น้อยก็เริ่มกลับมาชื่นชมจวนปั๋วอีกคราเพราะจวนปั๋วมีบัณฑิตที่สอบผ่านเป็นจวี่เหรินถึงสองคน อีกทั้งหนึ่งในนั้นยังสอบได้อันดับหนึ่งอีกด้วย


 


 


ควรต้องทราบว่าการสอบเป็นบัณฑิตชั้นสูงเพื่อเข้ารับราชการนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย นอกจากคุณชายผู้ได้รับตำแหน่งผู้สืบทอดของตระกูลแล้ว บรรดาผู้มีบรรดาศักดิ์และลูกหลานขุนนางมากมายต่างอาศัยบารมีของตระกูลตนเพื่อรับราชการทั้งสิ้น และด้วยเส้นทางอันแตกต่างสองทางนี้เองที่เป็นตัวตัดสินว่าพวกเขาจะไปได้ไกลเพียงใดในราชสำนัก


 


 


แม้ยามนี้คุณชายใหญ่จวนเจี้ยนอานปั๋วจะยังเป็นเพียงจวี่เหรินผู้หนึ่งเท่านั้น แต่การวางแผนย่อมต้องกระทำล่วงหน้า หากยามนี้มิลงมือ แล้วจะรอให้ปีหน้าเขาสอบได้เป็นจิ้นซื่อก่อนงั้นหรือ เช่นนั้นไหนเลยจะทันการณ์!


 


 


ด้วยเหตุนี้เองนางเจี่ยงและนางหลี่จึงกลายเป็นบุคคลที่ผู้คนทั้งหลายให้ความสนใจยิ่ง


 


 


ผู้ที่มาพูดคุยกับนางเจี่ยงล้วนมาเพื่อสอบถามความเป็นไปของเจี่ยงเฉิน เจี่ยงเฉินเป็นจวี่เหรินที่สอบได้อันดับที่หนึ่งย่อมแตกต่างจากจวี่เหรินทั่วไป หากไม่มีข้อผิดพลาดใด ตำแหน่งจิ้นซื่อย่อมไม่มีทางวิ่งหนีจากเขาไปได้ ทั้งเขายังเป็นคุณชายที่มาจากตระกูลใหญ่เก่าแก่หลายร้อยปีของทางตอนใต้ของแม่น้ำไหว กิริยามารยาทย่อมไม่ขาดตกบกพร่อง เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดของบุตรเขยเลยทีเดียว


 


 


ส่วนผู้ที่เข้ามาพูดคุยกับนางหลี่ย่อมมิอาจหลีกพ้นเรื่องของเจินปิงไปได้ นางหลี่มีท่าทีเลิกคิ้วเชิดคออย่างยากจะปิดบังความภาคภูมิใจเอาไว้ได้


 


 


นางเจี่ยงได้แต่ลอบถอนหายใจอยู่ในอก


 


 


แม้ยามนี้จะมีผู้คนเข้ามาถามไถ่ถึงเจินปิงก็จริง แต่ตระกูลที่เข้ามาทาบทามนางล้วนไม่มีคุณสมบัติอันใดมากมายนัก ตระกูลที่ดีพร้อมจริงๆ ยังคงติดใจกับชื่อเสียงที่เสียไปของจวนปั๋วอยู่ดี


 


 


ท่ามกลางผู้คนที่คอยเข้ามารุมล้อม นางหลี่ชำเลืองมองไปที่นางเจี่ยงคราหนึ่งแล้วแค่นยิ้มอยู่ในใจ


 


 


ไม่ทราบว่าภาคภูมิใจอันใดหนักหนา ก็แค่หลานชายในตระกูลมารดาสอบบัณฑิตผ่านเท่านั้น มิใช่บุตรตนเสียหน่อย นางไปสอบถามมาแล้ว หันเกอนั้นซุกซนที่สุด อายุสิบปีแล้วแต่ยังป่ายกำแพงปีนต้นไม้อยู่เลย อนาคตหรือ อาจเป็นเพียงบุรุษล้มล้างตระกูลก็ได้ ถึงตอนนั้นนางเจี่ยงคงทุกข์ทนน่าดูชม!


 


 


ที่นางหลี่ก่นด่าเช่นนี้นั้นเกี่ยวเนื่องมาจากเรื่องของเจี่ยงเฉินนั่นเอง


 


 


เมื่อทราบข่าวว่าเจี่ยงเฉินสอบได้อันดับหนึ่ง นางจึงพูดเป็นนัยๆ กับนางเจี่ยงว่าอยากให้เจินปิงจับคู่กับเจี่ยงเฉิน แต่แน่นอนว่านางเจี่ยงย่อมไม่รับปาก


 


 


เจินปิงนั้นเป็นเด็กสาวที่ดีคนหนึ่ง แต่เมื่อที่มีมารดาแท้ๆ เป็นเช่นนี้ นางก็ไม่อยากจะทำร้ายหลานชายตนเลยจริงๆ


 


 


นางหลี่เก็บสายตาตนกลับคืนมาแล้วเบ้ปากคราหนึ่ง


 


 


ไม่รู้ว่าเจี่ยงเฉินดื่มไปมากมายเท่าใดแล้ว ผ่านวันนี้ไปนางก็อยากจะรู้เหมือนกันว่านางเจี่ยงจะยิ้มออกหรือไม่!


 


 


กระทั่งงานเลี้ยงสิ้นสุดลง บรรดาคุณหนูทั้งหลายก็ย้ายจากทิศตะวันออกของสวนดอกไม้ไปชมละครงิ้วแทน ทว่าเจินเมี่ยวกับเจินเหยียนสองพี่น้องมิได้พบกันนานมากแล้วจึงออกมาคุยกันเงียบๆ


 


 


ปลายเดือนแปดแล้วอากาศร้อนยิ่ง เดินเพียงไม่กี่ก้าว คนทั้งสองก็เหงื่อท่วมเต็มหน้าแล้ว


 


 


เจินเมี่ยวชี้ไปที่หุบเขาจำลองที่อยู่ไม่ไกลนักแล้วเอ่ยว่า “พี่รอง ที่สูงมักเย็นสบายสักหน่อย พวกเราไปนั่งที่ศาลาด้านนั้นดีกว่า”


 


 


หุบเขาจำลองใช้ก้อนหินทับถมกันกลายเป็นหุบเขา ด้านบนมีศาลาแปดเหลี่ยมที่ติดผ้าโปร่งบางเอาไว้ทั้งสี่ทิศและมีทางเดินที่สร้างจากฝีมือคนปูลาดยาวไปถึงศาลารับลมบนหุบเขานั้น มันเป็นสถานที่ที่สูงที่สุดในจวนเจี้ยนอานปั๋ว เมื่อคิมหันต์มาเยือน บรรดานายท่านคุณหนูที่ยังแข้งขาแข็งแรงก็มักจะขึ้นไปนั่งเล่นที่นั่น


 


 


คนทั้งสองขึ้นไปนั่งเรียบร้อยแล้วจึงกำชับสาวใช้ผู้หนึ่งไปเอาชามาให้ ส่วนสาวใช้คนอื่นๆ ก็คอยพัดวีอยู่ข้างๆ สองพี่น้องไม่ห่าง


 


 


“พี่รอง เหตุใดท่านจึงมิพาหลาน้อยมาด้วยเล่า”


 


 


“อากาศร้อน ระยะนี้เขายังมีอาการอาเจียนนมอยู่จึงให้อยู่จวนไปก่อน” ทว่าสีหน้าของเจินเหยียนกลับไร้ความกังวลใดๆ ดูท่าอาการของบุตรนางคงมิร้ายแรงอันใด เจินเมี่ยวจึงวางใจลงได้


 


 


“น้องสี่ เจ้ามีข่าวดีแล้วหรือไม่” เจินเหยียนกวาดตามองท้องเจินเมี่ยวคราหนึ่ง


 


 


เจินเมี่ยวส่ายหน้า


 


 


กล่าวไปแล้วนางกับหลัวเทียนเฉิงก็เพิ่งใช้ชีวิตฉันสามีภรรยาทั่วไปเมื่อไม่นานนี้เอง การที่นางยังไม่มีข่าวดีจึงไม่แปลกอันใด แต่เมื่อคนรอบข้างต่างถามถึงเรื่องนี้ นางจึงรู้สึกวุ่นวายใจอยู่บ้างเช่นกัน


 


 


นางดึงผ้าเช็ดหน้าไปมาแล้วเอ่ยพึมพำว่า “พี่รอง วันนี้ท่านเป็นคนที่หกแล้วที่ถามเรื่องนี้”


 


 


เจินเหยียนยื่นนิ้วไปดีดหน้าผากนางคราหนึ่งแล้วเอ่ยตำหนิว่า “เหตุใดแต่งมาถึงสองปีแล้วยังทำตัวเป็นเด็กอยู่เช่นเดิม ถามมากหน่อยเจ้าก็หงุดหงิดแล้วหรือ หากยังชักช้าต่อไปจนซื่อจื่อมีสาวใช้ทงฝังขึ้นมาอีกสักหลายคน เจ้าได้หงุดหงิดกว่านี้แน่”


 


 


“เขาไม่มีแน่” เจินเมี่ยวเม้มริมฝีปากเผยรอยยิ้ม


 


 


เจินเหยียนโมโหที่นางไม่ได้ดั่งใจเอาเสียเลย “เรื่องที่ซื่อจื่อไล่สาวใช้ทงฝังออกไปจนหมดและมีเจ้าเพียงคนเดียว ผู้คนในเมืองหลวงต่างทราบกันทั่ว แต่น้องสี่ เจ้าเชื่อวาจาพี่รองสักคำเถิด สิ่งที่เปลี่ยนได้รวดเร็วที่สุดบนโลกนี้คือใจบุรุษ ยามนี้เจ้ารูปโฉมงดงาม ทั้งยังเพิ่งแต่งงานไม่นาน เขาย่อมต้องดีต้องเจ้าเหลือคณา แต่หากผ่านไปอีกสักสองสามปีเจ้ายังไม่ตั้งครรภ์อีก เขาจะไม่เดือดเนื้อร้อนใจเลยหรือ ต่อให้ใจเขาจะมีเพียงเจ้าแต่เพื่อทายาทสืบทอด เขาจะไม่หาสตรีอื่นจริงหรือ ถึงตอนนั้นบุตรชายคนโตที่เกิดจากอนุคงเดินผ่านหน้าเจ้าไปทุกวัน เจ้าจะไม่เจ็บปวดใจเลยเชียวหรือ”


 


 


เจินเมี่ยวฟังแล้วก็เริ่มฉุกคิดขึ้นมา


 


 


วาจาของพี่รองนี้ก็ไม่ผิดจริงๆ หากผ่านไปสักสองสามปีนางยังไม่มีบุตรจริงๆ ต่อให้ฮูหยินผู้เฒ่าจะเมตตาเพียงใดก็เกรงว่าคงต้องหาสตรีใหม่ให้ซื่อจื่อแล้ว


 


 


นางยิ้มขื่นออกมา “พี่รอง ข้าร้อนใจไปก็ไม่มีประโยชน์ ร่างกายข้ามีไอเย็นอยู่มาก ยังต้องดื่มยาเพื่อปรับสมดุลอยู่ตลอด ข้าเพิ่งจะหยุดดื่มยาเมื่อไม่กี่เดือนนี้เอง”


 


 


เจินเหยียนฟังแล้วก็โล่งอก


 


 


นางไม่กลัวการดื่มยาปรับสมดุลร่างกายสักนิด ทว่ากลัวการอยู่ร่วมกันตามปกติของสามีภรรยาแต่ไม่อาจตั้งครรภ์ได้ต่างหาก


 


 


นางเคยได้ยินมาว่าสามีภรรยาที่ร่างกายแข็งแรงพร้อมอยู่ด้วยกันมานับสิบปีแต่กับไม่มีบุตร ต่อมาแม่สามีจึงบังคับให้หย่าร้าง ต่างคนต่างแยกย้ายไปแต่งงานใหม่ ผลสุดท้ายผ่านไปไม่นานกลับมีบุตร


 


 


“เช่นนั้นเจ้าก็ทำใจให้สบายและดูแลสุขภาพให้ดีเถิด ข้ามีเคล็ดลับอยู่อย่าง กลับจวนแล้วจะส่งไปให้เจ้า ดูสิว่าจะเห็นผลหรือไม่” เจินเหยียนพูดถึงตรงนี้แล้วก็ลดเสียงให้ต่ำลงเล็กน้อย “แต่น้องสี่ เจ้าต้องจำไว้อย่าง ต่อให้เจ้าจะยังไม่ตั้งครรภ์ไปอีกสักระยะใหญ่ก็ตาม อย่าได้แสร้งเป็นสตรีใจกว้างจัดแจงสาวใช้ทงฝังให้ซื่อจื่อด้วยตนเองเด็ดขาด”


 


 


“พี่รอง?”


 


 


เจินเหยียนยิ้มขื่น “บอกอย่างไม่กลัวเจ้าจะขบขันเลย พี่รองเป็นผู้ผ่านมาแล้ว ยามนี้เข้าใจดีว่ามันเป็นรสชาติเช่นไร”


 


 


“พี่เขยไม่ดีต่อท่านหรือ”


 


 


เจินเหยียนส่ายหน้า “มิใช่เช่นนั้น ใจของเขายังคงอยู่ที่ข้าแต่หลังจากที่ข้าตั้งครรภ์ก็ได้ยกสาวใช้ที่ติดตามจากจวนให้ไปปรนนิบัติเขาด้วยตอนนั้นกลัวผู้อื่นจะกล่าวว่าข้าใจแคบ ทั้งยังเลือกสาวใช้ที่งดงามที่สุดให้อีกด้วย เขาจึงไปพักผ่อนอยู่กับนางอยู่หลายครั้ง แต่เพราะเป็นคนที่ข้าจัดแจงให้เขาเองจึงมิกล้าพูดอันใดที่เป็นการตบหน้าตน หากมารดาเขาหรือฮูหยินผู้เฒ่าจัดแจงให้ อย่างน้อยเขาก็คงอยู่ให้ห่างไกลสักหน่อยเพราะความรู้สึกผิดในใจ ตอนนี้ข้าจึงเข้าใจแล้วว่าบุรุษก็เหมือนเด็ก อย่าได้คาดหวังว่าเขาจะมีความยับยั้งช่างใจที่มากมายอันใดเลย”


 


 


นางเข้าใจมาตลอดว่าตนสามารถเป็นฮูหยินที่สมบูรณ์แบบได้ ยามเมื่อร่างกายไม่เอื้ออำนวย สามีไปพักผ่อนที่ห้องสาวใช้ทงฝังย่อมเป็นเรื่องอันสมเหตุสมผล แต่เมื่อต้องนอนหนุนหมอนเพียงลำพังก็เผลอคิดถึงภาพเหตุการณ์อันร้อนแรงที่เกิดขึ้นอีกห้องหนึ่งมิได้ หัวใจนั้นเจ็บจนแทบทนไม่ไหวจึงไม่อยากให้น้องสาวต้องทำผิดพลาดเช่นเดียวกับตน


 


 


“น้องสี่ วาจานี้ข้าไม่เคยพูดกับใครนอกจากเจ้า ข้าก็ไม่รู้ว่าตนเป็นอันใดไป เหตุใดความคิดทุกอย่างกลับสวนทางกับกาลก่อนยิ่ง”


 


 


เจินเมี่ยวกุมมือเจินเหยียนไว้แล้วมองออกไปที่แสนไกล นางเอ่ยเตือนสติเสียงแผ่วว่า “พี่รอง ท่านมิต้องกังวลที่ตนเปลี่ยนไปดอก”


 


 


นางเก็บสายตาตนแล้วหันกลับมามองเจินเหยียน “ท่านต้องชอบพี่เขยเข้าแล้วเป็นแน่ ความคิดในอดีตกับตอนนี้ย่อมไม่เหมือนเดิมอีก เช่นข้าที่แต่ก่อนอยากจะจัดตารางให้สาวใช้ทงฝังทั้งหลายมาคอยปรนนิบัติซื่อจื่อทุกวันด้วยซ้ำ เขาจะได้ไม่มายุ่งกับข้า แต่ยามนี้แค่คิดว่ายังมีสาวใช้ทงฝังผู้หนึ่งรอเขาอยู่ที่อาศรมในจวน ข้ากลับรู้สึกไม่เบิกบานใจเสียแล้ว”


 


 


เมื่อเจินเมี่ยวพูดแทงใจเจินเหยียนเข้าอย่างจัง นางจึงอึ้งงันไปในคราแรก แล้วค่อยยื่นมือไปตีเจินเมี่ยว “เด็กสาวเหม็นโฉ่ ไม่อายหรือไรพูดคำว่าชอบออกมาเสียเต็มปาก!”


 


 


เจินเมี่ยวหัวเราะแล้วลุกขึ้นหลบหลีกนางเป็นพัลวัน


 


 


ผ้าโปร่งบางสีเขียวหม่นถูกลมพัดปลิวข้น นางพลันหยุดเคลื่อนไหวแล้วร้องเรียกเจินเหยียน “พี่รอง ท่านดูทางนั้นสิ”


 


 


เจินเหยียนมองตามจึงเห็นว่าที่ด้านตะวันตกของสวนดอกไม้มีสตรีผู้หนึ่งกำลังเดินเยื้องย่างอยู่ เพราะอยู่ไกลมากจึงมองไม่ออกว่าเป็นผู้ใด เมื่อนางเดินไปถึงพุ่มดอกเย่ว์จี้จึงพูดอันใดบางอย่างกับสาวใช้ข้างกายตน สาวใช้ผู้นั้นย่อกายคารวะแล้วจากไป สตรีผู้นั้นยืนอยู่ครู่หนึ่งจึงนั่งลงข้างพุ่มดอกไม้ ท่าทางคล้ายหลับไปแล้ว


 


 


“นางเป็นคุณหนูตระกูลไหน เหตุใดจึงไปอยู่ที่นั่น ทั้งยังนอนหลับอย่างสบายใจอยู่คนเดียวด้วย” เจินเมี่ยวส่ายหน้าไปมา


 


 


เจินเหยียนยืนมองอยู่ในศาลารับลมอย่างนิ่งเฉยครู่หนึ่งแล้วแค่นยิ้มออกมา “ข้าว่าความสบายใจของนางคงแค่แสร้งทำ ความคิดสกปรกต่างหากที่เป็นจริง”


 


 


นางชี้นิ้วออกไปแล้วเอ่ยว่า “เจ้าดูทางตรงนั้นก่อน หากเดินตรงไปอีกสักสิบจั้งก็ทะลุถึงเรือนหน้าแล้ว วันนี้มีงานเลี้ยงฉลอง บุรุษทั้งหลายคงดื่มสุราเป็นแน่ เมื่องานเลี้ยงเลิกแล้วการมาเดินเล่นที่สวนดอกไม้ย่อมเป็นเรื่องปกติเหลือเกินแล้ว นางเป็นสตรีแต่ไล่สาวใช้ตนไปแล้วนอนพักอยู่ตรงนั้นย่อมต้องมีแผนการใดในใจเป็นแน่!”


 


 


ขณะที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกันก็พลันเห็นคนผู้หนึ่งเดินเลี้ยวออกมาจากเรือนหน้าจริงๆ โดยมีบ่าวผู้หนึ่งประคองไว้ ทันใดนั้นเขาก็โค้งกายลงอาเจียนทันที บ่าวผู้นั้นจึงกระโดดหลบตามสัญชาตญาณ


 


 


ต่อมาจึงเห็นบุรุษผู้นั้นยืนหลังตรงขึ้นแล้วโบกมือให้บ่าวตนคราหนึ่ง ดูท่าทางคงอาเจียนถูกบ่าวผู้นั้นเสียแล้วจึงไล่เขากลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้า


 


 


“คนผู้นั้นดูคุ้นตายิ่ง” เจินเหยียนเอ่ยขึ้นด้วยความสงสัย


 


 


เจินเมี่ยวก็รู้สึกคุ้นตาเช่นกัน นางเขยิบเข้าไปหรี่ตามองอย่างตั้งใจอีกครั้ง หน้าพลันเปลี่ยนสีทันใด “แย่แล้ว นั่นมันพี่เจี่ยงมิใช่หรือ!”


 


 


ถึงตอนนี้แล้วนางไม่มีเวลามาครุ่นคิดว่าเหตุใดเจี่ยงเฉินจึงไปอยู่ที่นั่น นางรีบสั่งให้ชิงไต้ทันทีว่า “เจ้ารีบไปขวางคุณชายเจี่ยงไว้ แล้วส่งเขากลับไปพักผ่อนที่เรือนที”


 


 


เรือนพักของเจี่ยงเฉินอยู่ระหว่างเรือนหน้าและเรือนหลังจึงอยู่ไม่ไกลจากที่นี่นัก


 


 


ชิงไต้ได้รับคำสั่งก็ทะยานโบยบินไปตามหลังคาไม้เพียงไม่กี่คราก็ถึงตัวเจี่ยงเฉินแล้ว นางยืนฝ่ามือไปทุบเขาคราหนึ่งและแบกเจี่ยงเฉินที่หมดสติจากไปทันที


 


 


เจินเหยียนได้แต่เบิกตาอ้าปากค้าง “น้องสี่ สาวใช้ผู้นี้ของเจ้าช่างมีฝีมือนัก”


 


 


“อืม เป็นคนที่ซื่อจื่อมอบให้ข้าเอง” เจินเมี่ยวยังคงมองไปยังทิศทางอันไกลลิบนั้น “เราจะไล่สตรีผู้นั้นไปอย่างไรดี คงไม่อาจปล่อยให้นางนอนหลับอยู่ตรงนั้นไปตลอดกระมัง”


 


 


“ไยจะไม่ได้ ในเมื่อนางกล้าทำก็อย่ากลัวที่จะรับผลที่ตามมา!” เจินเหยียนเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ แต่ชะงักไปครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า “รอให้สาวใช้เจ้ากลับมาแล้วค่อยให้นางย้ายสตรีผู้นั้นไปไว้ที่อื่นแล้วกัน”


 


 


เจินเมี่ยวรู้ว่าเจินเหยียนนั้นปากร้ายใจดี จึงพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม


 


 


เวลานี้เองบ่าวผู้นั้นก็กลับมาแล้ว เมื่อเห็นบางอย่างที่พุ่มดอกไม้กลับยืนนิ่งไม่ไหวติง


 


 


เจินเมี่ยวและเจินเหยียนสบตากัน พลันรู้สึกว่าแย่แล้ว


 


 


บ่าวผู้นั้นมองไปทั่วสารทิศแล้วคุกเข่าลงโดยพลัน


 


 


“แย่แล้ว บ่าวผู้นั้นมีใจคิดไม่ซื่อเสียแล้ว!” เจินเหยียนเอ่ยเสียงเครียด


 


 


แม้นางจะไม่ไยดีต่อพฤติกรรมของสตรีผู้นั้น แต่ก็มิอาจทนให้บ่าวไพร่กระทำการเช่นนั้นได้


 


 


สาวใช้ที่เจินเมี่ยวพามาด้วยในครั้งนี้คือชิงไต้และอาหลวน ยามนี้ชิงไต้ยังไม่กลับมา นางจึงมิอาจสั่งอาหลวนให้ไปอีกคนได้


 


 


อาหลวนไม่มีแม้แรงจะจับไก่ทั้งยังรูปงามเฉิดฉาย หากไปแล้วนางต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วย เจินเมี่ยวคงต้องร้องไห้จนตายแน่


 


 


สาวใช้ของเจินเหยียนก็บอบบางน่ารักเช่นเดียวกัน แต่นางพลันคิดทางออกขึ้นมาได้จึงเอ่ยว่า “ไป พวกเราไปด้วยกันทั้งหมดนี่แล!”


 


 


คนทั้งสองยืนมองอยู่ในที่ทั้งสูงและไกล หากต้องเดินไปที่นั่นจริงๆ กลับต้องใช้เวลาพอสมควร


 


 


พวกนางมองเห็นสตรีผู้นั้นกระโดดผลุงขึ้นทั้งร้องเสียงแหลมเพื่อขัดขืนดิ้นรน สาวใช้จากไปก่อนหน้านี้ได้พาสาวใช้ร่างบึกบึนสองคนเข้ามาช่วยพอดี สถานการณ์ตอนนั้นจึงวุ่นวายไม่น้อย  

 

 


ตอนที่ 351 นี่จึงเรียกว่าข่มขู่

 

เจินเหยียนและเจินเมี่ยวรีบร้อนตามไป “ทุกคนหยุด!” เจินเหยียนเอ่ยเสียงเย็นขึ้นมาคำหนึ่ง


 


 


พวกนางสองพี่น้องแต่งให้กับตระกูลสูงศักดิ์ บ่าวไพร่พวกนี้รู้จักที่ต่ำที่สูงยิ่ง ไหนเลยจะไม่เชื่อฟัง ฉับพลันทุกอย่างก็เงียบสงบลง


 


 


เจินเหยียนเอ่ยขึ้นทันทีว่า “ตามข้ามาให้หมด!”


 


 


เจินเมี่ยวเอ่ยเตือนว่า “ไปแจ้งเรื่องนี้กับป้าสะใภ้ใหญ่เถิด มิต้องให้เรื่องไปถึงท่านย่าเลย”


 


 


เจินเหยียนพยักหน้าด้วยความปลื้มปริ่ม ที่แท้น้องสาวก็รู้ความขึ้นมาไม่น้อยแล้ว เกิดเรื่องบัดสีในงานเลี้ยงฉลองเช่นนี้ หากท่านย่าทราบเข้าคงโมโหจนอาจล้มป่วยลงได้


 


 


ณ สวนหมิงหวา ใบต้นอู๋ถงเหลืองไปหมดแล้ว เมื่อถูกลมพัดจึงร่วงลงปกคลุมเต็มทางเดินที่ลาดด้วยหินสีดำ ครั้นเหยียบลงไปก็เกิดเสียงสวบสาบ เงียบสงบแต่หนักอึ้งดุจอารมณ์ของคนในยามนี้ไม่มีผิด


 


 


นางเจี่ยงมองคนที่คุกเข่าอยู่บนพื้นด้วยสีหน้าดำคล้ำ


 


 


“ท่านป้าใหญ่ ท่านโปรดวางใจ ทุกคนอยู่ที่นี่หมดแล้ว ไม่มีผู้อื่นพบเห็นแน่เจ้าค่ะ” เจินเหยียนที่นั่งอยู่ด้านข้างเอ่ยขึ้น


 


 


ตระกูลมารดาเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ทั้งยังถูกนางผู้แต่งงานออกเรือนไปแล้วพบเห็นเข้าย่อมมิใช่เรื่องน่าภาคภูมิใจอันใด


 


 


“รีบพาคุณหนูสกุลเจียวไปแต่งตัวให้เรียบร้อยที่ห้องด้านข้างก่อน” นางเจี่ยงพลันชะงักไปแล้วกำชับสาวใช้คนสนิทว่า “ไปเชิญฮูหยินรองมาที่นี่ที”


 


 


คุณหนูสกุลเฉียวเป็นบุตรอนุของสามีพี่สาวนางหลี่ ตระกูลหลี่ไม่ไยดีต่อนางหลี่มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ทว่านับจากนายท่านรองสกุลเจินกลับเข้าเมืองหลวง ทั้งได้เป็นหัวหน้าสำนักผู้ตรวจการฝ่ายซ้าย การไปมาหาสู่ของทั้งสองฝ่ายก็เริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ


 


 


“ที่แท้เกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่” นางเจี่ยงเอ่ยถามสาวใช้ที่คุกเข่าอยู่กับพื้น


 


 


สาวใช้ผู้นั้นหน้าถอดสีไปทันใด นางนั่งคุกเข่าตัวสั่นอยู่บนพื้น แม้แต่เสียงที่เอ่ยก็ยังสั่นไปด้วย “คุณหนูหลายท่านละเล่นกัน คุณหนูแพ้บ่อยที่สุดจึงดื่มสุราไปหลายจอก แต่คุณหนูคออ่อน เมื่อดื่มมากไปจึงให้บ่าวประคองไปสูดอากาศเสียหน่อย แต่กลับเดินไกลออกไปเรื่อยๆ จู่ๆ คุณหนูก็รู้สึกไม่สบายเดินต่อไม่ไหวจึงให้บ่าวไปเรียกคนมาหามกลับ ผู้ใดจะทราบเมื่อบ่าวพาคนกลับมาก็เห็น…”


 


 


นางหมอบลงกับพื้นด้วยตัวสั่นงันงก ไม่กล้าพูดต่อไปอีก


 


 


แม้บ่าวหนุ่มผู้นั้นยังมิทันได้ทำอันใด แต่เขานั่งลงและยื่นมือออกไปจนแทบจะถึงตัวคุณหนูแล้ว หากเรื่องนี้แพร่ออกไป ชื่อเสียงของคุณหนูคงป่นปี้แน่!


 


 


นางเป็นสาวใช้คนสนิทของคุณหนู หากคุณหนูหมดอนาคต แล้วนางจะมีจุดจบที่ดีได้หรือ!


 


 


นางยิ่งคิดยิ่งกลัว พลันรู้สึกเสียใจขึ้นมา


 


 


คุณหนูพูดเองว่าเรื่องในวันนี้เกี่ยวไปถึงความสุขชั่วชีวิตของนาง แต่ที่พูดคุยกันไว้คือคุณชายเจี่ยงต่างหาก เหตุใดจึงกลายเป็นบ่าวหนุ่มผู้หนึ่งไปได้


 


 


นางเจี่ยงมองบ่าวหนุ่มด้วยใบหน้าเคร่งขรึม


 


 


บ่าวหนุ่มเองก็ตกใจไม่น้อย เขาโขกศีรษะติดๆ กัน “ฮูหยิน ต่อให้บ่าวมีความกล้าเท่าท้องฟ้าก็มิกล้าล่วงเกินคุณหนูขอรับ…”


 


 


วาจายังไม่ทันกล่าวจบ นางเจี่ยงก็เอ่ยขึ้นด้วยเสียงดุดันว่า “หุบปาก หากพูดเหลวไหลอีกข้าจะกระชากลิ้นเจ้าออกไปทิ้งที่สุสานร่างเสีย!”


 


 


ไม่ว่าบ่าวผู้นี้จะมีเจตนาหรือไม่ แต่วาจานี้กลับมิอาจปล่อยให้แพร่ออกไปได้แม้เพียงหนึ่งคำ


 


 


บ่าวหนุ่มผู้นั้นกลับมิได้โง่ ครั้นนางเจี่ยงด่าเขาเช่นนี้กลับนึกได้ขึ้นมาทันใดจึงก้มลงโขกศีรษะอีกพลางเอ่ยว่า “เดิมทีนั้นบ่าวบังเอิญพบกับคุณชายเจี่ยงเข้า ดูท่าทางคงดื่มมากเกินไปแล้ว คุณชายเกือบจะล้มบ่าวจึงเข้าไปประคองให้เดิน ผู้ใดทราบว่าคุณชายเจี่ยงกลับอาเจียนออกมาใส่บ่าวจึงไล่บ่าวกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้า เมื่อบ่าวเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วก็เป็นห่วงว่าคุณชายเจี่ยงที่ดื่มมากแล้วอยู่คนเดียวในสวนอาจเกิดเรื่องขึ้นได้จึงรีบร้อนกลับมาอีกครั้ง บ่าวหาคุณชายเจี่ยงไม่พบแต่กลับเห็นว่ามีคนผู้หนึ่งนอนอยู่ข้างพุ่มดอกเย่ว์จี้ บ่าวตกใจยิ่งทั้งยังคิดว่าเกิดเหตุอันใดขึ้นกับคุณหนูผู้นั้นหรือไม่จึงได้ขับเข้าไปใกล้ขอรับ”


 


 


บ่าวหนุ่มพูดถึงตรงนี้ก็มองสาวใช้ผู้นั้นคราหนึ่ง “คิดไม่ถึงว่าบ่าวเพิ่งจะไปถึงก็ได้ยินเสียงพวกนางร้องตะโกนขึ้น ฮูหยินขอรับ ทุกคำพูดของบ่าวต่างเป็นความจริงๆ ทั้งสิ้น ขอท่านโปรดพิจารณาอย่างถี่ถ้วนด้วยขอรับ”


 


 


กล่าวไปแล้วตอนนั้นกลิ่นดอกไม้หอมอบอวล ผีเสื้อหลากสีเริงระบำ คุณหนูผู้มีรูปโฉมชวนให้คนใจสั่นนอนอยู่ตรงนั้น เขาเป็นเพียงบุรุษธรรมดาผู้หนึ่ง หากในใจไม่เกิดความคิดใดเลยย่อมเป็นไปไม่ได้ ด้วยเพราะอีกฝ่ายมีฐานะที่แตกต่างจากสตรีที่เขาพบปะพูดคุยในยามปกติราวฟ้ากับเหว ในความหวาดหวั่นนั้นจึงเกิดความสนใจใคร่รู้ชนิดหนึ่งขึ้น ทว่าหากบอกว่าเขากล้าจะทำเรื่องอันใดขึ้นมาจริงหรือไม่ นั่นกลับเป็นไปไม่ได้ ตอนนั้นเขาเพียงชะโงกหน้าเข้าไปใกล้เพื่อดูว่าคุณหนูผู้นั้นเป็นหรือตายกันแน่ หากสามารถลูบไล้ใบหน้าเล็กผิวอ่อนนุ่มของนางสักคราย่อมเป็นเรื่องอัศจรรย์ยิ่งแล้ว


 


 


บ่าวหนุ่มกำลังลังเลกับท่าทีของนางเจี่ยง แต่เมื่อนางได้ฟังว่าเรื่องเชื่อมโยมไปถึงเจี่ยงเฉินก็เข้าใจขึ้นมาทันทีจึงอดมองไปที่เจินเมี่ยวและเจินเหยียนไม่ได้


 


 


เจินเมี่ยวเอ่ยปากว่า “ป้าสะใภ้ใหญ่ ตอนนั้นข้ากับพี่สาวอยู่ในศาลาแปดเหลี่ยมบนหุบเขาจำลองจึงบังเอิญเห็นเหตุการณ์ที่เกิดที่นั่นเข้า เมื่อบ่าวผู้นี้จากไปไม่นาน พี่เจี่ยงก็กลับเรือนตนไปเช่นกัน”


 


 


ส่วนกลับไปเช่นไรนั้น แค่กๆ เรื่องนี้มิจำเป็นต้องเอ่ยถึงเลย


 


 


นางเจี่ยงโล่งอกขึ้นมาทันที แต่กลับยิ่งคิดยิ่งโมโห


 


 


สำหรับสตรีที่ดูแลเรือนหลังมานานนับสิบปีเช่นนาง หากให้เชื่อว่าเรื่องนี้คือความบังเอิญ ไม่สู้เชื่อว่าสุกรปีนต้นไม้ได้เสียดีกว่า!


 


 


คุณหนูสกุลเฉียวนั้นคิดจะใช่เล่ห์กลกับหลานชายของนางงั้นหรือ! นางเพียงเป็นสตรีผู้หนึ่ง เหตุใดจึงกล้าทำได้เล่า


 


 


“ฮูหยินใหญ่ ฮูหยินรองมาแล้วเจ้าค่ะ” สาวใช้ที่ยืนอยู่หน้าประตูเอ่ยรายงาน


 


 


ครั้นได้ยินคำว่า ‘นางหลี่’ นางเจี่ยงก็แค่นยิ้มอยู่ในใจ


 


 


นางหลี่เป็นญาติของคุณหนูสกุลเฉียว เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับนางจริงๆ หรือ


 


 


“เชิญฮูหยินรองเข้า”


 


 


ตัวนางหลี่ยังมิทันเข้ามาถึงแต่เสียงกลับถึงก่อนแล้ว “พี่สะใภ้ใหญ่ เกิดเรื่องใดขึ้นกับหลานสาวข้าหรือ”


 


 


นางเดินเข้ามาด้วยความรีบร้อน แล้วกวาดตามองไปทั่วทิศ เมื่อเห็นคนที่คุกเข่าอยู่บนพื้นทั้งเห็นสีหน้าถมึงทึงของนางเจี่ยงแล้วก็ลอบยินดีอยู่ในใจ


 


 


ดูท่าเรื่องนั้นคงสำเร็จแล้ว!


 


 


“พี่สะใภ้ใหญ่ แล้วหลานสาวข้าเล่า”


 


 


“คุณหนูสกุลเฉียวตกใจอยู่จึงให้ไปพักผ่อนที่ห้องด้านข้าง”


 


 


“เหตุใดเหยียนเอ๋อร์กับเมี่ยวเอ๋อร์ก็อยู่ด้วยเล่า”


 


 


เจินเหยียนเอ่ยว่า “ตอนนั้นคนพวกนี้ต่างรุมล้อมอยู่รอบตัวคุณหนูสกุลเฉียว ประจวบเหมาะที่ข้ากับน้องสี่ไปเห็นเข้าจึงได้ส่งคุณหนูสกุลเฉียวมาที่เรือนป้าสะใภ้ใหญ่ก่อน”


 


 


“พี่สะใภ้ใหญ่ หลานสาวข้าเป็นอันใดกันแน่”


 


 


 นางเจี่ยงลูบมวยผมตน แล้วเอ่ยน้ำเสียงไม่รีบร้อน “ว่าไปแล้วคุณหนูสกุลเฉียวก็เป็นเพียงบุตรอนุของสามีพี่สาวเจ้าเท่านั้น เจ้ากลับเป็นห่วงถึงเพียงนี้”


 


 


ครั้นเห็นท่าทีของนางเจี่ยง นางหลี่ก็ยิ่งแน่ใจว่าเจี่ยงเฉินตกหลุมพรางเข้าให้แล้ว นางเจี่ยงที่มักมีสีหน้านิ่งเฉยตลอดเวลาถึงได้มีท่าทีเช่นนี้


 


 


นางหลี่หยักยกมุมปากตนขึ้น


 


 


นางเจี่ยงโกรธเคืองแล้วอย่างไร มีนางอยู่ทั้งคนอย่าคิดว่าเรื่องนี้จะจบง่ายๆ อย่างไรก็ต้องให้เจี่ยงเฉินรับผิดชอบหลานสาวนางให้ได้!


 


 


“พี่สะใภ้ใหญ่ วาจานี้ของท่านก็ไม่ถูกนัก ขอเพียงหลิงเอ๋อร์เรียกพี่สาวข้าว่าท่านแม่ ข้าก็เป็นน้าของนาง ไปที่ใดล้วนเป็นเช่นนี้ หลิงเอ๋อร์มาเป็นแขกในจวนเรา หากเกิดเรื่องใดขึ้นข้าผู้เป็นน้าจะไปพูดอย่างไรกับตระกูลพี่สาวได้เล่า!”


 


 


ขณะกำลังพูดอยู่ก็มีสาวใช้เข้ามารายงานอีกว่า “ฮูหยินหลี่มาเจ้าค่ะ”


 


 


นางเจี่ยงไล่บรรดาบ่าวไพร่ที่คุกเข่าอยู่ให้ออกไปก่อน


 


 


หลังจากนั้นไม่นานก็มีสตรีผู้หนึ่งเดินเข้ามา ผมที่ถูกหวีจนมันวาวนั้นปักไว้ด้วยปิ่นทองลายดอกไฮ่ถัง อายุดูจะมากกว่านางหลี่นับสิบปีได้ หางตายังมีริ้วรอยจางๆ ขึ้นมาแล้ว


 


 


หลี่ฮูหยินผู้นี้เป็นพี่สาวคนทีสามของนางหลี่ ความจริงนางอายุมากกว่านางหลี่เพียงสี่ห้าปี ยามนี้สามีรับราชการอยู่ต่างเมือง นางกลับพาบุตรสาวบุตรชายกลับเมืองหลวง


 


 


นางเจี่ยงถอนหายใจอยู่ในอก นางหลี่ช่างวาสนาดียิ่ง แม้จะเป็นภรรยาเอกคนที่สองของน้องรองทั้งไม่มีบุตรชาย แต่น้องรองกลับไม่เคยกระทำเรื่องเหลวไหล นางเองคงไม่รู้สึกอันใดแต่ความจริงมีคนมากมายเท่าใดที่อิจฉานางจนตาแดงไปหมดแล้ว


 


 


มิต้องพูดไกล ดูอย่างหลี่ฮูหยินก็ได้ แม้เป็นบุตรของภรรยาเอกทั้งแต่งให้กับขุนนางในราชสำนัก แต่นางกลับดูแก่ชราถึงเพียงนี้ ไม่ว่าจะภายนอกจะดูมีเกียรติเพียงใด แต่ความขมขื่นภายในมิต้องถามก็ทราบได้


 


 


หลี่ฮูหยินเป็นคนที่มีมารยาทเพียบพร้อม หลังจากแสดงความเคารพกันตามธรรมเนียมแล้วก็รอให้นางเจี่ยงเอ่ยปากขึ้นก่อน


 


 


นางเจี่ยงมิได้พูดเรื่องของเจี่ยงเฉินเลย เพียงพูดเหตุการณ์ของคุณหนูสกุลเฉียวเท่านั้น


 


 


“ไม่มีคนนอกพบเห็นเลย แต่คุณหนูสกุลเฉียวก็ตกใจไม่น้อย”


 


 


ใบหน้าหลี่ฮูหยินนิ่งดุจสายน้ำ นางพลันลุกยืนขึ้นมา “เป็นบุตรสาวข้าเองที่เสียมารยาท ข้าจะพาตัวนางกลับจวนก่อนแล้ว”


 


 


“เดี๋ยวก่อน!” นางหลี่รีบลุกขึ้น เมื่อเห็นคนทั้งหลายต่างมองมาที่ตน เพราะความร้อนใจนางจึงเอาแต่จ้องนางเจี่ยงนิ่ง “พี่สะใภ้ใหญ่ ท่านลืมเอ่ยถึงเรื่องใดไปหรือไม่”


 


 


“น้องสะใภ้หมายความว่าเช่นใดหรือ”


 


 


นางเถียนแค่นยิ้มเย็นพลางเอ่ยว่า “ก่อนหน้านี้ข้าได้ให้คนเอาน้ำแกงสร่างเมาไปส่งให้นายท่านทั้งหลาย แต่ได้ยินว่าเจี่ยงเฉินไปเดินเล่นให้สร่างเมาในสวนดอกไม้ หากนับเวลากันจริงๆ แล้วก็เป็นช่วงเดียวกันพอดี เหตุใดท่านกลับพูดถึงแต่บ่าวหนุ่มผู้นี้เล่า คงมิใช่ว่าหลานชายท่านดื่มหนักไปหน่อยแล้วกระทำการล่วงเกินหลานสาวข้า ท่านจึงให้เขามาช่วยปกปิดกระมัง”


 


 


“หุบปาก!” นางเจี่ยงโกรธจนหน้าเขียวคล้ำไปหมด


 


 


แม้เคยเห็นคนไร้ยางอายก็มิเคยเห็นที่ไร้ยางอายเพียงนี้ นางจะใส่ร้ายหลานชายตนให้ได้โดยไม่สนแม้แต่หน้าตาของสองตระกูลเลยหรือไร!


 


 


“พี่สาม ข้าเพียงเป็นห่วงหลิงเอ๋อร์เท่านั้น หากนางถูกคุณชายเจี่ยงล่วงเกินจริง แล้วจะแต่งให้ตระกูลดีๆ ได้อย่างไร ทั้งไม่อาจปกปิดไว้ทำให้หลิงเอ๋อร์ต้องมัวหมองไปชั่วชีวิต!”


 


 


หลี่ฮูหยินกวาดตามองนางหลี่อย่างเฉยชาคราหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “น้องสี่ แค่บ่าวผู้หนึ่งเห็นหลิงเอ๋อร์นอนหลับจึงเข้าไปดูใกล้ๆ แต่ปากเจ้ากลับบอกว่านางถูกผู้อื่นล่วงเกินแล้วเล่า หากหลิงเอ๋อร์เสียชื่อเสียงจนมิอาจแต่งให้กับตระกูลดีๆ ได้ เช่นนั้นก็เป็นเพราะวาจาอันไม่ระมัดระวังของน้าอย่างเจ้าแล้ว!”


 


 


นางไม่ชอบน้องสาวที่เกิดจากอนุผู้นี้เลย แต่น่าเสียดายที่การคบค้าสมาคมของผู้คนมิอาจใช้ความชอบมาเป็นตัวกำหนดได้


 


 


หลี่ฮูหยินพลันเอ่ยต่อว่านางเช่นนี้ นางหลี่จึงได้แต่อึ้งงันไปครู่หนึ่ง


 


 


มีโอกาสที่ดีถึงเพียงนี้แล้ว พี่สามของนางกลับไม่ต้องการ? แค่บุตรของอนุผู้หนึ่งจะเสื่อมเสียชื่อเสียงไปบ้างแล้วอย่างไรเล่า ขอเพียงได้แต่งงานกับคุณชายเจี่ยงผู้มีอนาคตอันแสนยาวไกล ทั้งมีตระกูลแม่ทัพแห่งแม่น้ำไหวและจวนเจี้ยนอานปั๋วคอยค้ำชู นี่มิใช่คุ้มค่ายิ่งหรอกหรือ


 


 


“เจี่ยงฮูหยิน ข้าขอตัวพาบุตรสาวกลับก่อนแล้ว”


 


 


นางเจี่ยงส่งสัญญาณให้สาวใช้ไปเชิญคุณหนูสกุลเฉียวออกมา


 


 


ครั้นพบกันกับหลี่ฮูหยิน คุณหนูสกุลเฉียวก็ตัวสั่นไปหมด เมื่อเห็นนางจะพาตนกลับจวนด้วยใบหน้านิ่งเฉย คุณหนูสกุลเฉียวก็ถึงกับงุนงงไป นางร้องไห้พลางมองไปที่นางหลี่ “ท่านน้า ท่านต้องช่วยทวงความเป็นธรรมให้ข้าด้วยนะเจ้าคะ”


 


 


“ทวงความเป็นธรรมให้เจ้า?”


 


 


คุณหนูสกุลเฉียวเม้มริมฝีปากตนแล้วตัดสินใจอย่างเด็ดขาดไปในเวลานั้นเอง “ท่านแม่ ท่านน้าพูดไม่ผิดเลย ตอนนั้นผู้ที่อยู่กับบ่าวหนุ่มนั่น ยังมีคุณชายเจี่ยงอีกคน แต่เมื่อเห็นลูกขัดขืน บ่าวผู้นั้นกลัวนายตนจะลำบากจึงเตือนให้คุณชายเจี่ยงรีบหนีไป!”


 


 


ตอนนั้นนางแอบลืมตามองก็เห็นคุณชายเจี่ยงมีท่าทีมึนเมาไร้สติไม่น้อย เกรงว่าคงจำอันใดไม่ได้สักนิดกระมัง หากลากเขาเข้ามาเกี่ยวพันด้วยจริงๆ เกรงว่าแม้แต่ตัวเขาเองก็คงไม่แน่ใจเช่นกัน


 


 


สาวใช้ผู้นั้นเดิมเป็นคนสนิทของนาง ย่อมต้องคล้อยตามที่นางพูด ส่วนบ่าวหนุ่มผู้นั้นต่อให้คิดจะโต้แย้ง เมื่อนางเอ่ยเช่นนี้ไปแล้ว วาจาของเขาก็มีเพื่อช่วยคุณชายเจี่ยงปกปิดความผิด ทั้งมีท่านน้าอยู่ทั้งคนไม่ต้องกลัวเลยว่าเรื่องนี้จะไม่สำเร็จ


 


 


เมื่อเห็นคุณหนูสกุลเฉียวพูดจาเหลวไหลโดยมิสนใจความจริง นางเจี่ยงจึงข่มกลั้นโทสะไว้แล้วเอ่ยว่า “เอาตัวคนพวกนั้นเข้ามา”


 


 


คิดไม่ถึงว่าเจินเมี่ยวกลับเอ่ยว่า “ป้าสะใภ้ใหญ่ มิจำเป็นต้องเรียกบ่าวไพร่พวกนั้นเข้ามาแล้ว นี่มิใช่เวลาที่จะพูดจากันด้วยเหตุผล”


 


 


ท่านพูดกับนางด้วยเหตุผล แต่นางกลับทำตัวเป็นอันธพาลกับท่าน!


 


 


เรื่องนี้หากมิตัดไฟแต่ต้นลมจนมีข่าวแพร่สะพัดออกไป ผู้คนพูดมากเข้าย่อมคิดว่ามันเป็นเรื่องจริงในที่สุด และคงส่งผลเสียต่อเจี่ยงเฉินอย่างยิ่ง ไม่แน่ว่าอาจอาศัยโอกาสนี้จับเขาไม่ปล่อยก็เป็นได้


 


 


เจินเมี่ยวเดินไปหยุดตรงหน้าคุณหนูสกุลเฉียวแล้วยื่นมือออกไปตบหน้าฉาดหนึ่ง


 


 


คนทั้งหลายพลันเบิกตาอ้าปากด้วยความอึ้งงันกันทั้งสิ้น


 


 


แต่นางกลับเอ่ยถามอย่างไม่รีบไม่ร้อนว่า “คุณหนูสกุลเฉียวมีทางเลือกอยู่สองทาง หนึ่งบ่าวหนุ่มผู้นั้นเห็นเจ้านอนหลับอยู่จึงเข้าไปดูสักหน่อย กับสอง บ่าวผู้นั้นเห็นเจ้าหลับอยู่จึงคิดจะล่วงเกินแต่ก็ถูกข้ากับพี่สาวพบเห็นเข้าเสียก่อน ก่อนออกไปจากห้องนี้เจ้าเลือกมาสักข้อเถิด เช่นนี้หลังจากข้าและพี่สาวออกไปจากห้องนี้แล้วจึงจะทราบว่าควรพูดเช่นไร” 

 

 


ตอนที่ 352 นางหลี่มาเยือน

 

คุณหนูสกุลเฉียวกุมหน้าตนไว้อย่างไม่อยากเชื่อ นางกันไปมองหลี่ฮูหยินและคนอื่นๆ โดยไม่รู้ตัว เมื่อเห็นคนทั้งหลายต่างอึ้งงันจึงไม่ทราบว่าตนต้องมีปฏิกิริยาเช่นไรกับเรื่องนี้


 


 


เจินเมี่ยวคิดในใจว่าความจริงคุณหนูผู้นี้ช่างรู้จักดูสีหน้าผู้คนยิ่ง การที่นางหันไปมองหลี่ฮูหยินก่อนเป็นอันดับแรกก็บอกได้ว่าปกตินางจะกระทำเรื่องใดจะต้องดูสีหน้าของมารดาผู้นี้ก่อน ทว่าเรื่องวันนี้ที่ทำลงไปก็ไม่ทราบไปเอาความกล้ามาจากที่ใด


 


 


“ไม่ต้องมองแล้ว คนที่ตบเจ้าอยู่ตรงหน้าเจ้าแล้วอย่างไรเล่า” เจินเมี่ยวผลิยิ้มเป็นการเตือน


 


 


วาจานี้ของตาทำลายความเงียบไปทันใด


 


 


นางหลี่จึงโผเข้ามาเอ่ยวาจาเกินจริงว่า “กูไหน่ไหน่สี่ทำเช่นนี้ได้อย่างไร ไหนเลยจะตบตีคนได้ตามใจชอบ หากเรื่องนี้ลือออกไป คนคงเข้าใจว่าคุณหนูจวนเจี้ยนอานปั๋วล้วนป่าเถื่อนทั้งสิ้น!”


 


 


เจินเมี่ยวหันกลับไปนั่งที่เดิม นางยกชาขึ้นจิบคำหนึ่งแล้วเอ่ยอย่างไม่รีบไม่ร้อนว่า “หากวาจานี้ของป้าสะใภ้รองลือออกไปต่างหากจึงจะไม่เหมาะสม อันแรกต้องเคารพกฎของแผ่นดินเสียก่อนจึงเคารพกฎในจวน ฝ่าบาททรงแต่งให้ข้าเป็นเจียหมิงเซี่ยนจู่ คุณหนูสกุลเฉียวเห็นข้าแล้วกลับไม่รู้จักทำความเคารพ ข้าแค่ทำโทษเล็กน้อยเท่านั้น ต่อไปนางจะได้มิทำตัวไม่รู้จักธรรมเนียมกฎเกณฑ์จนก่อเรื่องที่ใหญ่กว่านี้เมื่อพบหน้าผู้มีฐานันดรศักดิ์ทั้งหลาย”


 


 


เจินเหยียนได้สติคืนมาก็หลุดหัวเราะพลางเอ่ยว่า “น้องสี่ เจ้าชอบเป็นห่วงผู้อื่นอยู่เรื่อย คิดว่าต่อไปโอกาสที่คุณหนูสกุลเฉียวจะได้พบผู้มีฐานันดรศักดิ์นั้นคงมีไม่มากดอก”


 


 


“อืม ก็จริงแต่ไม่ว่าเรื่องใดล้วนมีสิ่งไม่คาดฝันเกิดขึ้นเสมอมิใช่หรือ ดั่งเรื่องเหนือความคาดหมายที่เกิดขึ้นในวันนี้ ผู้ใดต่างคิดไม่ถึง” เจินเมี่ยวยิ้มพลางมองคุณหนูสกุลเฉียว “คุณหนูสกุลเฉียว วันนี้เกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่ เจ้าคิดตกแล้วหรือไม่”


 


 


คุณหนูสกุลเฉียวปล่อยมือตนออก บริเวณที่ถูกตบนั้นขึ้นรอยชัดเจน จึงยิ่งขับให้ใบหน้านางขาวซีดและดูเศร้าอาดูรมากขึ้นไปอีก


 


 


ครั้นสบเข้ากับดวงตาที่ทั้งกระจ่างใสและเด็ดเดี่ยวนั้นแล้วนางก็หลบตาไปโดยไม่รู้ตัว แต่ในใจกลับทราบแน่ชัดว่า เจียหมิงเซี่ยนจู่ผู้นี้เป็นคนที่พูดจริงทำจริง


 


 


“เป็น…ข้าเองที่ดื่มสุรามากไปจึงเผลอนอนหลับอยู่ตรงพุ่มดอกเย่ว์จี้ เมื่อถูกบ่าวหนุ่มผู้นั้นพบเห็นเข้าก็ตกใจยิ่ง…” นางข่มโทสะเอ่ยวาจาตะกุกตะกักออกมาด้วยใจที่แค้นเคืองจนแทบทนไม่ไหว


 


 


เมื่อนางเอ่ยเช่นนี้นางเจี่ยงจึงลอบผ่อนหายใจออกมา แววตาที่มองเจินเมี่ยวแฝงด้วยความซาบซึ้งไม่น้อย


 


 


หากมิอาจสลัดหลุดเรื่องนี้ไปได้ผู้อื่นเสียหายตนก็เสียหายเช่นกัน ช่างทำให้คนปวดเศียรเวียนเกล้านัก หากสามารถจบลงเช่นนี้ได้ย่อมดีเหลือเกินแล้ว


 


 


“เจี่ยงฮูหยิน ข้าต้องขออภัยในเรื่องวันนี้จริงๆ ข้าพาบุตรสาวกลับจวนก่อนแล้ว” หลี่ฮูหยินยังคงมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก


 


 


นางเจี่ยงจึงรีบเอ่ยว่า “หลี่ฮูหยินเอ่ยอันใดกัน เกิดความบกพร่องขึ้นเช่นนี้ จวนเราก็ต้องรับผิดชอบเช่นกัน”


 


 


เมื่อทั้งสองต่างเอ่ยวาจาเกรงใจต่อกันจบแล้ว หลี่ฮูหยินก็พาคุณหนูสกุลเฉียวเดินออกไปด้านนอก


 


 


คุณหนูสกุลเฉีนวเดินไปด้วยฝีเท้าอันหนักอึ้ง นางอดหันกลับมามองเจินเมี่ยวที่นั่งดื่มน้ำชาอยู่มิได้ อย่างไรก็รู้สึกไม่ยินยอมจึงหยุดฝีเท้าตนลง


 


 


“หลิงเอ๋อร์…” หลี่ฮูหยินเอ่ยเตือนอย่างไม่พอใจ


 


 


คุณหนูสกุลเฉียวตัวสั่นขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว นางย่อมทราบดีว่ากลับไปแล้วต้องเจอพายุลูกใหญ่เพียงใด ในเมื่อเรื่องราวมิอาจย่ำแย่ไปกว่านี้ได้แล้ว เหตุใดจึงมิพูดสิ่งที่ตนไม่เบิกบานใจออกมาเล่า


 


 


นางกำหมัดแน่นอยู่ใต้แขนเสื้อตน แล้วรวบรวมความกล้าเอ่ยว่า “เจียหมิงเซี่ยนจู่ ข้าขอพูดกับท่านตามลำพังได้หรือไม่”


 


 


“หลิงเอ๋อร์!” หลี่ฮูหยินหน้าตาบึ้งตึง


 


 


“ท่านแม่ ลูกทำให้เจียหมิงเซี่ยนจู่ไม่พอใจจึงอยากจะกล่าวขออภัยต่อนางเท่านั้น” คุณหนูสกุลเฉียวเอ่ยจบก็หันมองไปที่เจินเมี่ยว


 


 


เจินเมี่ยวลุกขึ้น นางยิ้มและพยักหน้าให้ “ดี เช่นนั้นก็ไปที่ห้องด้านข้างเถิด”


 


 


“น้องสี่…” เจินเหยียนไม่พอใจที่เจินเมี่ยวรับปากนาง


 


 


เจินเมี่ยวส่งสายตาปลอบใจให้เจินเหยียนแล้วพยักหน้าให้ชิงไต้ ชิงไต้จึงเดินตามไปที่ห้องด้านข้างอย่างไร้สุ้มเสียง


 


 


“คุณหนูสกุลเฉียวมีอันใดจะพูดกับข้าหรือ”


 


 


สายตาของคุณหนูสกุลเฉียวมองไปที่ชิงไต้ซึ่งอยู่ด้านหลังเจินเมี่ยว


 


 


“นางเป็นสาวใช้คนสนิทของข้า นางไม่ทางพูดเรื่องใดๆ ของข้าออกไปแม้เพียงครึ่งคำ คุณหนูสกุลเฉียวมีอันใดก็รีบพูดมาเถิด มิเช่นนั้นข้าไม่รับประกันว่าจะมีเวลาฟังแล้ว”


 


 


คุณหนูสกุลเฉียวก้มหน้าลง สายตาจ้องไปที่ปลายเท้าที่โผล่ออกมาจากปลายกระโปรงตน ลายปักบนรองเท้าสีเหลืองนั้นคือต้นหลิวต้องลมยามวสันต์ มันออกจะเก่าไปบ้างแล้ว นางเขยิบปลายเท้าเก็บซ่อนมันไว้ใต้กระโปรงยาวเงียบๆ แล้วเงยหน้าขึ้นมองเจินเมี่ยว


 


 


“เซี่ยนจู่คงไม่ทราบเป็นแน่ว่าการมีชีวิตในฐานะบุตรของอนุนั้นลำบากเพียงใด” นางเอ่ยปากขึ้น “เสื้อผ้า เครื่องประดับ เครื่องประทินผิว เบี้ยหวัดประจำเดือน ที่อยู่ ทั้งบ่าวไพร่ที่คอยรับใช้ทุกอย่างล้วนด้อยกว่าบุตรที่เกิดจากภรรยาเอกไปขั้นหนึ่ง เรื่องพวกนี้ข้าทนได้ ทว่าแม้แต่การแต่งงานก็ต่างกันราวฟ้ากับดิน ข้ามีพี่สาวที่เกิดจากอนุสามคน ผู้หนึ่งแต่งให้กับหัวหน้าที่เป็นพ่อม่ายของบิดา อีกผู้หนึ่งแต่งให้กับวาณิชที่ทำการค้ากับราชวงศ์เพราะบิดาต้องการเงินในการเลื่อนตำแหน่ง ส่วนอีกคนท่านแม่ใหญ่ไม่ชอบนนาง นางจึงถูกกักตัวอยู่แต่ในจวนทั้งที่อายุสิบเจ็ดแล้ว หรือข้าต้องเบิกตามองชะตาชีวิตอันรันทดนี้เกิดขึ้นกับตนเล่า ข้าเพียงต่อสู้เพื่อตนเอง ผิดด้วยหรือ เซี่ยนจู่ท่านมีตำแหน่งสูงส่งเพียงนั้นย่อมไม่มีเรื่องใดให้ต้องกังวล แล้วเหตุใดจึงไม่ช่วยทำให้ข้าสมปรารถนาสักหน่อยเล่า”


 


 


เจินเมี่ยวนวดคลึงหัวคิ้วตนแล้วถอนหายใจออกมา “คุณหนูสกุลเฉียว ข้าคิดว่าเจ้าช่างไร้เหตุผลสิ้นดี”


 


 


“ห๊ะ?” คุณหนูสกุลเฉียวถึงกับอึ้งไป


 


 


คนที่ตบคนตามอำเภอใจเช่นนางกลับบอกว่าตนไร้เหตุผล?


 


 


เจินเมี่ยวเบนสายตาไปมองทับทิมผลดกที่หนักจนกดให้กิ่งของมันพาดทับลงมาบนหน้าต่างด้านนอก นางเอ่ยราบเรียบว่า “เจ้าต่อสู้เพื่อความสุขของตนเองนั้นได้ แต่การทำร้ายผู้อื่นมันไม่ถูกต้อง เหตุใดญาติผู้พี่ของข้าต้องมารับผิดชอบเจ้าด้วยเล่า หรือเพราะเจ้าโชคร้าย เจ้าเจ็บปวด เรื่องที่เจ้าทำผิดจึงควรได้รับการอภัยโดยง่ายงั้นหรือ ไม่…เจ้าไม่คิดด้วยซ้ำว่าตนทำความผิดลงไป”


 


 


คุณหนูสกุลเฉียวได้ยินเจินเมี่ยวพูดเช่นนั้นก็จุกจนพูดอันใดไม่ออก ผ่านไปครู่ใหญ่จึงแข็งใจเอ่ยออกมาว่า “เซี่ยนจู่ ข้าได้ยินว่าที่ท่านได้แต่งเข้าจวนเจิ้นกั๋วกงก็เป็นเพราะท่านลงมือช่วงชิงความสุขให้แก่ตัวเอง…”


 


 


เจินเมี่ยวเหล่มองนางคราหนึ่ง “คุณหนูสกุลเฉียว เพราะเหตุผลนี้หรือทำให้เจ้ารู้สึกไม่ยินยอมจึงต้องขอพบข้าตามลำพังเพื่อเอ่ยวาจาพวกนี้”


 


 


คุณหนูสกุลเฉียวไม่เอ่ยสิ่งใด เห็นชัดว่าเจินเมี่ยวนั้นพูดถูกล


 


 


เซี่ยนจู่ที่ชื่อเสียงด่างพร้อยเช่นนี้ก็ใช้วิธีการเดียวกันกับนางแต่กลับได้แต่งเข้าตระกูลสูงศักดิ์ นางย่อมรู้สึกไม่ยินยอมอย่างแน่นอน


 


 


“เอาล่ะ ในเมื่อเจ้าก็พูดจบแล้ว เช่นนั้นก็รีบกลับจวนไปพักผ่อนให้สร่างเมาเถิด” เจินเมี่ยวไม่คิดจะตอบวาจานี้ของคุณหนูสกุลเฉียว


 


 


ใช่…ที่อีกฝ่ายพูดนั้นนับได้ว่าเป็นความจริง แต่ตอนนั้นผู้ที่กระทำเช่นนี้มิใช่นาง และต่อให้เป็นนาง นางก็ไม่จำเป็นต้องเอ่ยความในใจให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องอันใดฟังสักนิด


 


 


คุณหนูสกุลเฉียวพลันมองแผ่นหลังของเจินเมี่ยว นางไม่รู้เช่นกันว่าเหตุใดตนต้องพูดเรื่องนี้ เพราะไม่อยากยอมรับหรือเพราะหวังว่าอีกฝ่ายจะเห็นด้วยกับสิ่งที่นางทำกันแน่


 


 


ทว่านางทำลายความสุขชั่วชีวิตของตนแล้วก็ยังกลับไปเป็นเซี่ยนจู่ผู้สูงส่งเช่นเดิมได้ แต่นางอาจจะตกที่นั่งเดียวกันกับพี่สามก็เป็นได้ หากเป็นเช่นนั้น นางยอมตายดีกว่าที่จะกลับไปอยู่ในกรงนั่น!


 


 


ดวงตาของคุณหนูสกุลเฉียวเป็นประกายวูบขึ้นมาคราหนึ่ง นางดึงปิ่นทองบนมวยพบวิ่งเข้าไปแทงเจินเมี่ยวจากด้านหลังในตำแหน่งหัวใจ


 


 


ชิงไต้ที่ทำตัวดุจเงามาตลอดพลันเตะคุณหนูสกุลเฉียวเสียกระเด็น โชคดีที่นางกระเด็นตกลงไปบนเตียง


 


 


เจินเมี่ยวก้มลงเก็บปิ่นทองนั้นแล้วเดินไปวางใส่มือคุณหนูสกุลเฉียว นางเอ่ยอย่างทอดถอนใจว่า “คุณหนูสกุลเฉียว เจ้าวู่วามเช่นนี้ท่านแม่ใหญ่รู้หรือไม่”


 


 


นางมองคุณหนูสกุลเฉียวคราหนึ่งแล้วพาชิงเกอเดินออกไป


 


 


คุณหนูสกุลเฉียวมองมือตนที่ถูกปิ่นทองกรีดจนเป็นรอยเลือดแล้วคล้ายตื่นจากฝัน นางรีบใช้ผ้าเช็ดหน้ามากดไว้ แล้วเดินโซซัดโซเซออกมาดุจกำลังเหยียบอยู่บนเรือก็มิปาน


 


 


หลี่ฮูหยินเข้าใจทันทีว่าที่คุณหนูสกุลเฉียวอาจหาญเพียงนี้ย่อมต้องเกิดจากการยุยงของนางหลี่เป็นแน่ นางจึงมึนตึงใส่นางหลี่ แม้แต่พูดด้วยสักคำก็ไม่ทำ แล้วพาคุณหนูสกุลเฉียวกลับจวนไปทันที


 


 


เมื่อถูกคนในตระกูลปฏิบัติเช่นนี้ด้วยต่อหน้านางเจี่ยง นางหลี่ก็ทั้งอับอายทั้งโกรธ ในใจจึงโกรธแค้นเจินเมี่ยวอยู่ไม่เสื่อมคลาย


 


 


นางเจี่ยงไม่ใคร่ยินยอมนัก แม้ไม่อาจนำเรื่องนี้ไปบอกแก่ฮูหยินผู้เฒ่าแต่กลับให้คนไปแจ้งแก่นายท่านรองสกุลเจิน


 


 


หลานชายมีอนาคตอันดี วันนั้นนายท่านรองก็ดื่มหนักเช่นกัน เมื่อได้ฟังวาจานี้กลับวู่วามขึ้นมากว่าทุกคราอยู่หลายส่วน เขาจึงไปหานางหลี่ที่เรือน


 


 


เมื่อถึงหน้าประตูกลับได้ยินเสียงร้องไห้ของเด็กน้อย ตามติดด้วยเสียงด่าทอของนางหลี่ “รีบพาเขาไปที่ห้องฝั่งตะวันตกเดี๋ยวนี้ โตปานนี้แล้วยังร้องไห้อีก เสียงดังจนข้าปวดหัวไปหมด”


 


 


ครั้นนางหลี่เห็นนายท่านรองยืนอยู่หน้าประตูก็ตะลึงไป ครู่ใหญ่จึงคลี่ยิ้มออกมาได้ “ท่านพี่ ข้าคิดว่าวันนี้ท่านดื่มหนักมากจึงพักอยู่ที่ห้องตำราในเรือนหน้าเสียอีก เหตุใดจึงกลับมายามนี้เล่า”


 


 


เป็นครั้งแรกที่นายท่านรองมิได้ตอบคำถามของนางหลี่ แต่มองไปที่หลี่เกอ บุตรชายเพียงคนเดียวของเขา


 


 


ตอนนี้หลี่เกออายุสองปีกว่าแล้ว เมื่อเห็นบิดาเข้ามาก็หยุดร้องไห้ เขายื่นมืออ้วนป้อมดุจรากบัวออกไป แล้วร้องเรียกเสียงอ่อนว่า “ท่านพ่อ…”


 


 


นายท่านรองก้มลงอุ้มหลี่เกอขึ้นมาแล้วเอ่ยเสียงเรียบว่า “ฮูหยินในเมื่อหลี่เกอก่อกวนเจ้า เช่นนั้นข้าจะพาเขาไปที่อื่นก่อน เจ้าก็รีบพักผ่อนเถิด”


 


 


เมื่อเดินออกมาปะทะเข้ากับสายลม นายท่านรองที่ยืนอยู่ระเบียงทางเดินกลับไม่ทราบจะไปหนใด


 


 


ต่อให้นางหลี่จะไม่ดีเพียงใด เขาก็มิอาจอุ้มหลี่เกอไปเรือนอนุได้


 


 


ปิงเอ๋อร์ อวี้เอ๋อร์ไม่มีพี่ชายน้องชายที่เกิดจากมารดาตน ภายหน้ายังต้องหวังให้หลี่เกอช่วยเหลือ ในเมื่อเขายอมให้มารดาของหลี่เกอไป แล้วเหตุใดถึงจะเอาเขาไปไว้กับอนุจนทำให้พวกนางเกิดความคิดอันไม่สมควรขึ้นมาแทน


 


 


“ท่านพ่อ ท่านจะไปที่ใดหรือ”


 


 


นายท่านรองมองบุตรชายคนเด็กแล้วยิ้มออกมา “พ่อจะพาเจ้าไปห้องตำราดีหรือไม่ หากหลี่เกอไม่ร้องไห้ พ่อจะวาดรูปเสือให้เจ้าดีหรือไม่”


 


 


“ดีๆ” ระเบียงทางเดินเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะกังวานใสของหลี่เกอ กระทั่งลอยไปถึงหูนางหลี่ นางโกรธจนเครื่องในปวดร้าวไปหมด


 


 


นางอยากจะไปหาและอยู่กับเขา แต่รู้ดีว่านายท่านรองที่ดูเหมือนจะเป็นคนพูดง่ายนั้น หากได้ตัดสินใจทำเรื่องใดแล้วย่อมไม่มีวันเปลี่ยนแปลง นางจึงได้แต่เก็บโทสะเอาไว้ทั้งลอบด่าว่าเจินเมี่ยวในหลายๆ เรื่องอีกหนึ่งคำรบ


 


 


ตอนที่คุณหนูสกุลเฉียวเดินออกมา ใบหน้ายังมีรอยฝ่ามืออยู่ แม้เรื่องที่เกิดขึ้นในสวนดอกไม้จะปกปิดไว้อย่างแน่นหนา แต่สภาพเช่นนี้ยังคงต้องมีคนพบเห็นเข้าจนได้ ต่อมาก็มีข่าวลือซุบซิบกันถึงควสามป่าเถื่อนของเจินเมี่ยว


 


 


เจินเมี่ยวได้ฟังก็หัวเราะออกมา


 


 


เจินเหยียนนัดเจินเมี่ยวออกมาพบ นางยังคงขุ่นเคืองแทนไม่หาย


 


 


“น้องสี่ ข้าไปสอบถามมาแล้ว เป็นป้าสะใภ้รองพูดโดยไม่ยั้งปาก ข่าวนี้จึงหลุดออกมา”


 


 


เจินเมี่ยวมีสีหน้าแปลกพิกล “ป้าสะใภ้รองรู้สึกว่าวางแผนต่อพี่เจี่ยงไม่สำเร็จจึงโทษว่าเป็นความผิดข้ากระมัง แต่นางไม่รู้หรือไรว่าข้ากับน้องห้าล้วนเป็นคุณหนูจวนเจี้ยนอานปั๋วเช่นกัน หากข้าชื่อเสียงเสียหาย น้องห้าที่กำลังพูดคุยเรื่องการหมั้นหมายย่อมมิอาจได้รับผลดี”


 


 


เจินเหยียนยิ้มขื่น “ก็เพราะเป็นเช่นนั้นอย่างไรเล่า ดูเอาเถิด การหมั้นหมายของน้องห้าล่าช้าขึ้นอีกก็เพราะนางแท้ๆ”


 


 


เรื่องราวเป็นดั่งคาดไม่มีผิด ตระกูลที่เคยเผยท่าทีสนใจเจินปิงในงานเลี้ยงฉลองวันนั้นกลับไร้ความเคลื่อนไหวไปทั้งสิ้น นางหลี่ร้อนใจยิ่งจึงเร่งเร้านายท่านรอง เขาจึงเอ่ยขึ้นว่า “ปิงเอ๋อร์ยังไม่เข้าพิธีปักปิ่นด้วยซ้ำ มิต้องรีบร้อนหมั้นหมายดอก ค่อยๆ ดูไปก่อนก็พอแล้ว”


 


 


นานมากแล้วที่ไท่จื่อมิได้ปรากฏกายขึ้น ส่วนองค์ชายหลายพระองค์ก็กำลังเคลื่อนไหวบางอย่าง ในสถานการณ์เช่นนี้ มิใช่โอกาสอันดีในการหมั้นหมายเลย


 


 


วันนี้ขณะที่เจินเมี่ยวกำลังป้อนอาหารจิ่นเหยียนอยู่กลับได้ยินสาวใช้รายงานว่านางหลี่มาหา

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม