หวนแค้นชะตารัก 346-353

 ตอนที่ 346 ใช้ผูกใจคนรัก


 


“เสิ่นไห่ถังเองก็อยากแต่งงานกับอาจารย์ เดิมทีอาจารย์วางแผนจะแต่งงานหลังจากจัดการงานสำนักวิหคเขียวให้เรียบร้อยก่อน ทั้งสองรักใคร่กันดี ต่อมาเสิ่นไห่ถังไปทำธุระข้างนอก พบรัชทายาทตวนฮุ่ย ทั้งสองรักใคร่ชอบพอกัน


 


 


เสิ่นไห่ถังรู้โดยบังเอิญว่าคุณหนูใหญ่สกุลโจวหน้าตาเหมือนตนมาก จึงคิดจะเข้าแทนที่


 


 


นางสังหารคุณหนูใหญ่สกุลโจว บังเอิญคนของสกุลโจวมาเห็นเข้า ทางจวนสกุลโจวไม่อยากให้งานแต่งงานครั้งนี้ล้มเลิก จึงให้เสิ่นไห่ถังแต่งงานกับรัชทายาทแทนคุณหนูใหญ่สกุลโจว เสิ่นไห่ถังจึงทิ้งอาจารย์ไปเป็นพระชายารัชทายาท”


 


 


ซูจิ่วซือยังคงไม่พูดไม่จา ในเมื่อเป็นแม่แท้ๆ ของฟู่เฉินหรง ตนจึงไม่อาจวิพากษ์วิจารณ์ และไม่อยากพูดถึงความถูกผิดของนาง


 


 


จงมั่วเจียงเองก็ไม่คิดจะให้ซูจิ่วซือวิพากษ์วิจารณ์ ยังคงพูดต่อ “ต่อมาอาจารย์เห็นว่าเสิ่นไห่ถังจากไปนานไม่กลับมา จึงไปตามหานางที่เมืองหลวง หาตั้งนานก็ไม่พบ


 


 


วันหนึ่งขณะอยู่บนทางหลวงเห็นรถม้ารัชทายาทตวนฮุ่ย และเห็นคนที่นั่งในรถม้าคือเสิ่นไห่ถัง


 


 


อาจารย์ปะปนผู้คนเข้าไปในวังตะวันออก เสิ่นไห่ถังขอให้อาจารย์ยกโทษให้ ให้อาจารย์รักษาความลับนี้ไว้ อาจารย์รักเสิ่นไห่ถังอย่างจริงใจ แม้เจ็บปวด สุดท้ายก็ไม่ได้เปิดเผยเรื่องของเสิ่นไห่ถัง แต่ออกไปจากเมืองหลวง”


 


 


“หลังจากนั้นอาจารย์ก็ไม่ได้แต่งงาน รับข้าเป็นศิษย์ เอาใจใส่บ่มเพาะข้า เรื่องราวเหล่านี้อาจารย์ไม่เคยพูด ตั้งใจดูแลสำนักวิหคเขียวอย่างดี


 


 


ตอนที่เกิดเหตุการณ์รัชทายาทตวนฮุ่ย อาจารย์อยากช่วยเสิ่นไห่ถัง แต่อาจารย์ไปสาย เสิ่นไห่ถังฆ่าตัวตายเสียก่อน


 


 


เรื่องนี้อาจารย์บอกข้าไว้ก่อนตาย แม้ว่าเสิ่นไห่ถังจะทำอะไรให้อาจารย์เสียใจ แต่อาจารย์ก็ยังคงรักเสิ่นไห่ถังไม่มีวันลืม


 


 


เสิ่นไห่ถังมอบกำไลคืนให้อาจารย์ บอกอาจารย์ว่าลูกชายคนเล็กของนางถูกจับไป ถ้ารัชทายาทตวนฮุ่ยสามารถฟื้นคดีได้ นางอยากให้อาจารย์ช่วยตามหาลูกชายคนเล็ก พาเขากลับแคว้นเจียง


 


 


ต่อมามีการพลิกคดีรัชทายาทตวนฮุ่ย อาจารย์ตามหาฟู่เฉินหรงจนทั่ว แต่ไม่ได้ข่าวคราวเลย


 


 


หลังจากนั้นอาจารย์ก็ป่วยเสียชีวิต อาจารย์มอบกำไลให้ข้า ให้ข้าตามหาฟู่เฉินหรงต่อ ถ้าเจอก็มอบกำไลให้ฟู่เฉินหรง


 


 


ข้าดูกำไลอย่างละเอียดจึงเห็นว่า รัชทายาทตวนฮุ่ยได้สลักชื่อสองคนไว้คู่กัน มิน่าอาจารย์จึงไม่อยากเก็บกำไลไว้ ต่อมาข้าเผลอทำกำไลหาย นึกไม่ถึงว่าวนไปวนมาสุดท้ายก็อยู่ในมือของฟู่เฉินหรง


 


 


ซูจิ่วซือฟังอย่างสงบอยู่ครู่ใหญ่ จึงรู้ว่าสำนักวิหคเขียวกับฟู่เฉินหรงมีความผูกพันกันอย่างนี้เอง นี่เป็นเรื่องที่ไม่มีใครคาดคิด


 


 


จงมั่วเจียงพูดจบก็ชี้ที่กำไลบนข้อมือของซูจิ่วซือ “เจ้ารู้ไหมว่ากำไลนี้เป็นอะไร


 


 


กำไลนี้อาจารย์ข้าได้มาจากหนานเจียง ว่ากันว่าใช้ผูกใจคนรัก


 


 


แค่เอาเลือดของตนทาที่กำไล แล้วเอากำไลไปให้คนที่ตนรัก คนคนนั้นพอใส่กำไลแล้ว จะถอดไม่ออกตลอดชีวิต ยกเว้นตาย


 


 


หากตนได้รับบาดเจ็บ อีกคนหนึ่งก็จะเจ็บปวดจนทนไม่ไหว


 


 


และคนที่ใส่กำไลจะไม่สามารถมีลูกกับคนอื่นได้ กำไลมีคราบเลือดของใคร ก็จะยอมรับเฉพาะสายเลือดของคนคนนั้น ถ้าเป็นคนอื่น จะทำให้ตายทั้งกลม


 


 


“พ่อของอาจารย์รู้ว่าอาจารย์รักเสิ่นไห่ถังอย่างลึกซึ้ง แต่เสิ่นไห่ถังเป็นคนโลเล พ่อของอาจารย์จึงเอากำไลนี้มา เพื่อมัดใจเสิ่นไห่ถัง ไม่ให้นางทรยศต่ออาจารย์ แต่ไม่ได้บอกอาจารย์เรื่องนี้


 


 


อาจารย์มอบกำไลให้เสิ่นไห่ถัง แต่เสิ่นไห่ถังไม่ได้ใส่ ข้าเดาว่านางคงรู้เรื่องของกำไล”


 


 


 


 


——


 


 


 


 


ตอนที่ 347  หาหมอมารักษาหลียวน


 


 


 


 


“แม่หนู ฟู่เฉินหรงมอบกำไลนี้ให้เจ้า แสดงว่าอยากผูกกใจเจ้าให้อยู่กับเขา ผู้ชายที่เห็นแก่ตัวอย่างนี้ เจ้ายังจะอยู่กับเขาหรือ


 


 


จุดนี้เขาเหมือนแม่แท้ๆ  เวลานั้นนางจากอาจารย์ไปเพื่อชีวิตที่หรูหราสุขสบาย เวลานี้เขาใช้วิธีเดียวกันมาผูกใจเจ้า ถ้าเป็นข้า คงถีบทิ้งไปนานแล้ว เจ้าวางใจ ข้าไม่ให้เจ้ามีลูกหรอก ถึงอย่างไรก็ต้องรักษาชีวิตของเจ้าไว้”


 


 


ซูจิ่วซือรู้มาตลอดว่ากำไลนี้ไม่ธรรมดา นึกไม่ถึงว่าจะมีความเป็นมาอย่างนี้ นางยังคงสงบนิ่ง ตอบอย่างราบเรียบ “เรื่องราวในอดีตข้าไม่มีอะไรจะพูด พระชายาจากไปนานแล้ว ความจริงเป็นอย่างไร ไม่มีใครรู้


 


 


เฉินหรงไม่ใช่คนอย่างที่เจ้าว่า เรื่องนี้เขาอาจจะไม่รู้ คิดว่าเป็นมรดกของแม่ จึงมอบให้ข้า”


 


 


“เจ้าเชื่อมั่นในตัวผู้ชายคนนั้นขนาดนี้เชียวหรือ ระวังจะเป็นอย่างอาจารย์ข้า อาจารย์ข้าทุ่มเทความรักให้เสิ่นไห่ถัง มอบทุกสิ่งทุกอย่างให้นาง เชื่อมั่นในตัวนางอย่างไร้ข้อกังขา สุดท้ายเป็นอย่างไร เสิ่นไห่ถังกลับเหยียบย่ำหัวใจของอาจารย์อย่างไม่ไยดี


 


 


แม่เป็นอย่างไรลูกก็เป็นอย่างนั้น การที่ฟู่เฉินหรงมอบกำไลให้เจ้าแสดงว่าเขาไม่ใช่คนดี”


 


 


จงมั่วเจียงสีหน้าดูแคลน จากนั้นก็ถอนหายใจเบาๆ  “เจ้าช่างเป็นผู้หญิงที่โง่เขลาจริงๆ  กำไลนี้เป็นของอาจารย์ข้า ไม่ใช่มรดกของเสิ่นไห่ถัง ข้าไม่คิดจะมอบให้ฟู่เฉินหรง ในเมื่อย้อนกลับมาแล้ว เจ้าก็อย่าคิดจะไปเลย เว้นแต่ว่าเจ้าจะถอดกำไลทิ้งไว้”


 


 


ซูจิ่วซือขมวดคิ้ว ไม่พูดไม่จา นางไม่มีวันอยู่กับจงมั่วเจียงแน่ ส่วนคำพูดทั้งหมดของจงมั่วเจียง นางเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ถ้าเป็นความจริง นางก็ไม่สงสัยในตัวฟู่เฉินหรง เขาไม่ใช่คนแบบนั้น


 


 


พอเห็นซูจิ่วซือดึงดันอย่างนี้ จงมั่วเจียงก็รู้สึกเหมือนได้เห็นอาจารย์ เวลานั้นเขาเห็นอาจารย์เหม่อมองภาพวาดตามลำพัง มักจะยืนทั้งวัน


 


 


พอเริ่มรู้ความเป็นมาของอาจารย์ เขาก็รู้สึกว่าอาจารย์ช่างโง่เขลาจริงๆ  เสิ่นไห่ถังไม่มีค่าสมควรที่จะคิดถึง และตลอดชีวิตของเขาไม่เคยลืม


 


 


เวลานี้เขามองซูจิ่วซือเห็นเงาของอาจารย์ เขาต้องขัดขวางอย่างแน่นอน ไม่มีวันให้คนที่ใส่กำไลนี้ย่ำรอยเดิมของอาจารย์


 


 


พอฟ้าสว่าง ฝนหยุดนานแล้ว อากาศเริ่มแจ่มใส ทั้งหมดมาถึงเมืองชินโจว จงมั่วเจียงพานางไปอยู่คฤหาสน์ใหญ่ชานเมือง เป็นที่อยู่ส่วนตัวของจงมั่วเจียง หน้าประตูมีสาวใช้ยืนเป็นแถว พอเห็นจงมั่วเจียง ก็ทักทายพร้อมพัน


 


 


“พาแม่นางคนนี้ไปหอหยกเขียว วันหลังให้นางอยู่ที่หอหยกเขียว จะได้ดูแลนางให้ดี ส่วนเขา…” จงมั่วเจียงเบนสายตาไปยังกู้หลียวน ซูจิ่วซือเกรงว่าเขาจะทำให้กู้หลียวนลำบาก จึงรีบพูดขึ้น “เขาเป็นพี่ชายข้า”


 


 


“ท่าทางแข็งแรงดี ต่อไปให้ทำหน้าที่ผ่าฟืน!”


 


 


พอได้ยินว่าให้เขาผ่าฟืน กู้หลียวนก็หน้าเขียว เมื่อคืนโดนฝนตลอดคืน ตอนนี้รู้สึกเวียนหัว คงจะป่วยด้วยโรคลมหนาว


 


 


“เจ้าสำนักจง…”


 


 


จงมั่วเจียงมองหน้าซูจิ่วซือเหมือนจะยิ้ม “ถ้าเจ้ารับปากแต่งงานกับข้า กู้หลียวนก็ไม่ต้องผ่าฟืน มีแบบแผนที่ไหนให้น้าชายผ่าฟืน แต่เวลานี้เขาไม่มีฐานะอะไร จะกินข้าวอยู่เฉยๆ ได้อย่างไร ข้าให้โอกาสเขาทำงานตอบแทนค่าอาหาร ผ่าฟืนได้เท่าไรก็ให้อาหารเท่านั้น”


 


 


ซูจิ่วซือรู้ว่าจงมั่วเจียงจงใจแยกนางกับกู้หลียวนออกจากกัน พอเห็นสีหน้ากู้หลียวนไม่ดี เหมือนกับไม่สบาย นางเป็นห่วงลูกชาย รีบพูดขึ้น “หาหมอมารักษาหลียวนได้ไหม”


ตอนที่ 348 ความโกรธของฟู่เฉินหรง


 


 


 


 


“ทนหน่อยเดี๋ยวก็หาย ไม่ตายหรอก วางใจเถอะ”


 


 


“เจ้า…”


 


 


ซูจิ่วซือโกรธจงมั่วเจียง กู้หลียวนกลัวว่าซูจิ่วซือจะทำให้จงมั่วเจียงไม่พอใจ จึงรีบบอก “จิ่วซือ ข้าไม่เป็นไร พอทนได้”


 


 


ปากพูดอย่างนี้ แต่ในใจด่าจงมั่วเจียงอย่างรุนแรง ทรมานกันชัดๆ  ข้าโตป่านนี้ ยังไม่เคยลำบากขนาดนี้


 


 


ในที่สุดซูจิ่วซือก็ถูกพาไปที่หอหยกเขียว สาวใช้นอบน้อมต่อนางเป็นพิเศษ อาบน้ำให้ เอาเสื้อผ้าสะอาดมาเปลี่ยนให้


 


 


ในสมองของซูจิ่วซือครุ่นคิดแต่ว่าทำอย่างไรจึงจะหนีไปจากที่นี่ นางไม่อยากเสียเวลาอยู่ที่นี่นานเกินไป


 


 


…..


 


 


ฟู่เฉินหรงยังไม่รู้ว่าซูจิ่วซือตกอยู่ในมือของจงมั่วเจียง ช่วงสองสามวันมานี้เขาเองก็ไม่รู้ว่าทำไม ในใจรู้สึกกระวนกระวาย มักจะฝันว่าซูจิ่วซือเกิดเหตุร้าย


 


 


เขาเอนหลังกับเก้าอี้ในห้องหนังสือ เอกสารข้างหน้ากองเป็นภูเขาขนาดย่อม ตั้งแต่ได้รับแต่งตั้งเป็นรัชทายาทแล้ว ซุ่นตี้ทรงมอบหมายงานมากมายให้เขาทำ พระอัยกากับพระราชนัดดามักจะอยู่ในห้องหนังสือด้วยกันทั้งวัน เพื่อสอนฟู่เฉินหรงจัดการงานราชการ


 


 


ตั้งแต่อยู่แคว้นเว่ยฟู่เฉินหรงก็เข้ารับราชการ คุ้นเคยกับงานราชการดี จึงเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว


 


 


หลังจากอ่านเอกสารอยู่ครึ่งวัน เขาก็เริ่มปวดตา เขานึกถึงความฝันเมื่อคืน เห็นซูจิ่วซือถูกจับตัวไป ตอนนี้เขายังรู้สึกร้อนใจอยู่


 


 


ขณะนั้นชิงซานผลักประตูเข้ามา ฟู่เฉินหรงนั่งตัวตรง ถาม “สืบได้ความอย่างไร”


 


 


“องค์หญิงกับคุณชายใหญ่ออกจากเมืองหลวงหลายวันแล้ว เวลานี้อยู่ที่ไหนยังไม่รู้”


 


 


ชิงซานรายงานเรื่องที่สืบได้ต่อฟู่เฉินหรง


 


 


พอได้ยินอย่างนี้ ฟู่เฉินหรงก็ขมวดคิ้วทันที “ออกไปตั้งหลายวัน ทำไมข้าไม่ได้ข่าวคราวเลย ถึงจิ่วซือไม่เขียนจดหมาย หลียวนก็น่าจะเขียน ก่อนเดินทางสองสามวันเขาน่าจะบอกให้ข้ารู้ล่วงหน้า ชิงซาน ทำไมเป็นอย่างนี้”


 


 


“ถึงบ่าวจะใจกล้าแค่ไหนก็ไม่บังอาจหลอกนายท่าน บ่าวไม่ได้รับจดหมายเลย ไม่งั้นก็ต้องเอามามอบให้นายท่านนานแล้ว”


 


 


ชิงซานรีบคุกเข่าลงกับพื้น เขาไม่ได้รับจดหมายจริงๆ  คำสั่งของฟู่เฉินหรง เขาไม่เคยขัดขืน


 


 


ฟู่เฉินหรงก็เชื่อมั่นว่าชิงซานคงไม่เก็บจดหมายไว้เอง พอถึงตอนนี้สีหน้าของเขาไม่พอใจอย่างเห็นชัด หน้าตาบูดบึ้ง “ชิงซาน รีบส่งคนไปสืบข่าวจิ่วซือ จำไว้ เรื่องนี้ต้องไม่ให้ปิงอวิ๋นรู้ ยอมจ่ายมากหน่อย ไปจ้างคนข้างนอกสืบ ต้องหาจิ่วซือกับหลียวนให้เจอ”


 


 


ชิงซานเงยหน้าขึ้นด้วยความประหลาดใจ ฟู่เฉินหรงพูดอย่างนี้แสดงว่าสงสัยปิงอวิ๋น แม้ปิงอวิ๋นจะขี้โมโห แต่ก็จงรักภักดีต่อฟู่เฉินหรงมาก เขาไม่ควรจะถาม แต่ก็อดถามไม่ได้ “นายท่าน เอ่อ…”


 


 


ฟู่เฉินหรงรู้ว่าชิงซานจะพูดอะไร ไม่รอให้พูดจบก็พูดแทรกขึ้น “ปิงอวิ๋นเป็นคนของฝ่าบาท นางไม่มีวันทำร้ายข้า แต่จะทำร้ายจิ่วซือ พระอัยกาไม่อยากให้จิ่วซือมาปรากฏตัว คงส่งคนไปสังหารจิ่วซือแน่ ชิงซานเรื่องนี้อย่าชักช้า รีบไปสืบให้เร็วที่สุด”


 


 


ชิงซานเข้าใจความหมายของฟู่เฉินหรงแล้ว เขาพยักหน้า รีบออกไปอย่างรวดเร็ว


 


 


พอชิงซานไปแล้ว ฟู่เฉินหรงก็ไม่มีกะจิตกะใจจะอ่านเอกสาร เขาให้คนไปเรียกปิงอวิ๋นเข้ามา


 


 


ปิงอวิ๋นในชุดสีดำทั้งตัวพอเข้ามาในห้องก็คารวะฟู่เฉินหรงอย่างนอบน้อง “บ่าวคารวะองค์รัชทายาท ไม่รู้ว่าองค์รัชทายาทมีคำสั่งอะไร”


 


 


“ปิงอวิ๋น เจ้าใจกล้าจริงๆ  บังอาจยึดจดหมายข้า เจ้าไม่เห็นข้าอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย”


 


 


 


 


——


 


 


ตอนที่ 349 เอาซูจิ่วซือไปแลกไม่ได้


 


 


 


 


พอปิงอวิ๋นเข้ามา ฟู่เฉินหรงก็ถามเสียงเครียด ฟู่เฉินหรงซึ่งปกติหัวเราะร่าพอโมโหขึ้นมาก็น่ากลัวมาก อุณหภูมิในห้องลดลงทันที


 


 


ปิงอวิ๋นรู้ว่าฟู่เฉินหรงโกรธ รีบคุกเข่าขอโทษ น้ำเสียงยังคงสงบ “ผู้น้อยไม่เข้าใจความหมายของท่าน โปรดอธิบายให้ผู้น้อยด้วย จดหมายอะไรหรือ”


 


 


“เจ้าไม่ต้องแสร้งโง่ต่อหน้าข้า ข้าไม่สนใจว่าฝ่าบาททรงมอบหมายให้เจ้าทำอะไร ข้าให้เจ้าจำไว้อย่างหนึ่ง ถ้าจิ่วซือเป็นอะไรไป ข้าจะไม่อยู่ที่นี่ต่อไป”


 


 


“องค์รัชทายาท…” ปิงอวิ๋นตะลึง รีบเงยหน้าขึ้นทันที “องค์รัชทายาท คำนี้ไม่ควรพูดพล่อยๆ  ฝ่าบาททรงทุ่มเททุกอย่างจนตามพบท่าน ท่านเป็นอนาคตของแคว้นเจียง แผ่นดินอยู่ในมือของท่าน ท่านโปรดพิจารณาให้ดี”


 


 


“เงื่อนไขก่อนอื่นคือจิ่วซือต้องมาอยู่กับข้า ถ้าพวกเจ้าทำร้ายจิ่วซือ ข้าไม่มีวันเป็นรัชทายาทแน่ ข้าพูดจริงทำจริง ปิงอวิ๋น เจ้าดูแลตัวเองให้ดี ทางที่ดีควรสวดภาวนาให้จิ่วซือปลอดภัย ไม่งั้น…”


 


 


ดวงตาฟู่เฉินหรงฉายแววอำมหิตออกมาแวบหนึ่ง เขารู้หน้าที่ของตนดี และรู้ว่าตนมีภาระดูแลบ้านเมือง และรู้ว่าตนมีอันตรายรอบด้าน เขาไม่กลัวอันตรายใดๆ  และอาศัยความสามารถของตนรับภารกิจทั้งหมดได้


 


 


แต่เขาไม่อาจทนรับสภาพที่คนที่ควรยืนข้างเขากลับทำร้ายคนที่เขารักที่สุด ทั้งหมดนี้ไม่ควรเอาจิ่วซือไปแลก ถ้าการได้รับทุกสิ่งทุกอย่างต้องจ่ายค่าตอบแทนคือการสูญเสียซูจิ่วซือ เขายินดีที่จะทิ้งไป


 


 


ใช่สิ ซูจิ่วซือมีความสำคัญต่อเขามาก นางเป็นคนเดียวที่เข้ามาอยู่ในใจของเขา


 


 


ซูจิ่วซือเข้าใจความคิดของเขาดี และเขาเข้าใจความรู้สึกของซูจิ่วซือ เขากับนางเข้าใจกันดี


 


 


แผ่นหลังของปิงอวิ๋นชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ ฟู่เฉินหรงพูดรุนแรงเกินไป เขากล้าพูด แต่นางไม่กล้าเอาคำพูดนี้ไปทูลซุ่นตี้ เพราะเกรงว่าซุ่นตี้จะทรงรับไม่ได้


 


 


ซูจิ่วซือมีผลกระทบต่อฟู่เฉินหรงมากกว่าที่นางคิด นี่ไม่ใช่เรื่องดี แต่ก็เป็นไปแล้ว ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้


 


 


นางรับใช้ใกล้ชิดฟู่เฉินหรงหลายเดือน รู้นิสัยของฟู่เฉินหรงดี เขาเป็นคนกล้าพูดกล้าทำมาตลอด ถ้าซูจิ่วซือเป็นอะไรไปจริงๆ  เกรงว่าเขาจะทิ้งหน้าที่ และไม่กลัวตาย


 


 


“เจ้าออกไปก่อน”


 


 


ฟู่เฉินหรงโบกมือ บอกให้ปิงอวิ๋นออกไป


 


 


ปิงอวิ๋นไม่กล้าพูดอะไร ลุกขึ้นแล้วออกไป ดูแล้วต้องเข้าเฝ้าซุ่นตี้ ทูลซุ่นตี้เรื่องนี้อย่างอ้อมๆ ระมัดระวัง


 


 


นางอยากทูลเตือนซุ่นตี้อย่างอ้อมๆ  แต่ฟู่เฉินหรงไม่ได้คิดอย่างนั้น ถึงขั้นนี้แล้ว เขาควรทูลซุ่นตี้ให้ชัดเจน


 


 


พอคิดได้อย่างนี้ เขาก็เข้าวังไปหาซุ่นตี้ทันที


 


 


ซุ่นตี้กำลังทอดพระเนตรฎีกาอยู่ที่ห้องทรงพระอักษร พระองค์ทรงเป็นฮ่องเต้ที่ดีมีความหมั่นเพียรรักราษฎร แม้ทรงทำผิดพลาดไม่น้อย แต่สำหรับราษฎรแล้ว พระองค์เป็นฮ่องเต้ที่ดี


 


 


พอทอดพระเนตรเห็นฟู่เฉินหรงเข้ามา ซุ่นตี้ทรงวางฎีกาในพระหัตถ์ พระเนตรฉายแววชื่นชม เด็กคนนี้เป็นอัจฉริยะที่บ่มเพาะได้ โดดเด่นกว่ารัชทายาทตวนฮุ่ยเมื่อก่อนมาก วันหลังจะต้องเป็นฮ่องเต้ที่มีความสามารถ มอบแคว้นเจียงให้เขา ซุ่นตี้วางพระทัยมาก


 


 


หลังจากฟู่เฉินหรงถวายบังคมแล้ว ซุ่นตี้ตรัสด้วยพระสุรเสียงอ่อนโยน “ลุกขึ้นเถอะ! เฉินหรง เวลานี้ไม่อ่านฎีกาอยู่วังตะวันออก มาหาเจิ้นที่นี่มีอะไรไม่เข้าใจหรือ”


 


 


“หลานมีเรื่องหนึ่งที่ไม่เข้าใจจริงๆ  พระอัยกาโปรดอธิบาย”


 


 


“ไม่เข้าใจอะไร”


 


 


“พระอัยกาเป็นฮ่องเต้ที่ดี หลายปีมานี้ทรงว่าราชการด้วยความหมั่นเพียรและทรงรักราษฎร ราษฎรก็รักพระองค์ พระอัยกาไม่ใช่ไม่มีจุดด่างพร้อยในบันทึกประวัติศาสตร์”


ตอนที่ 350 การรักคนคนหนึ่งมากเกินไปเป็นจุดด่างพร้อย 


 


 


 


 


 


สีพระพักตร์ของซุ่นตี้เครียด แต่ไม่ได้ตรัสแทรกฟู่เฉินหรง รอให้ฟู่เฉินหรงพูดต่อ จุดด่างพร้อยที่สำคัญที่สุดของซุ่นตี้ก็คือการประหารรัชทายาทตวนฮุ่ย 


 


 


คดีกบฏในเวลานั้นพัวพันถึงผู้คนมากมาย ในเมืองหลวงเลือดนองเป็นสายน้ำ 


 


 


พระองค์สังหารผู้คนจนเลือดเข้าตา ไม่ทรงรับฟังคำพูดของผู้ใด ทรงคิดแต่ว่าบัลลังก์มังกรเป็นของพระองค์แต่ผู้เดียว ไม่ใส่พระทัยแม้แต่พระโอรสแท้ๆ  การก่อกบฏเป็นโทษทัณฑ์ใหญ่หลวงที่พระองค์ไม่อาจทนได้ 


 


 


เหตุการณ์รัชทายาทตวนฮุ่ยพลิกคดีเรียบร้อยแล้ว เรื่องนี้ผู้คนต่างพากันหลบหนี้ เกรงว่าจะทำให้ฮ่องเต้ทรงกริ้ว แต่ประวัติศาสตร์ได้บันทึกเหตุการณ์นี้ไว้ ราษฎรรุ่นต่อมารู้ว่าซุ่นตี้ซึ่งทรงรักใคร่ราษฎรดุจลูกหลานเคยสังหารพระโอรสและผู้คนมากมาย 


 


 


นี่เป็นจุดด่างพร้อยสำคัญที่สุดของซุ่นตี้ 


 


 


“วันหลังเจ้าก็จะเป็นฮ่องเต้ที่ดีหมั่นเพียรว่าราชการรักใคร่ราษฎร แต่เจ้าก็ยังมีจุดด่างพร้อย เพียงแต่จุดด่างพร้อยของเจ้ากับของข้าไม่เหมือนกัน การรักคนคนหนึ่งมากเกินไปเป็นจุดด่างพร้อยของเจ้า” 


 


 


“พระอัยกา จิ่วซือเป็นคนสำคัญที่สุดสำหรับหลาน ถ้าไม่มีนาง หลานคงตายไปแล้ว นางทำให้หลานได้มายืนอยู่ที่นี่ ถ้าจิ่วซือตายด้วยพระหัตถ์ของพระอัยกา หลานจะตายตามนางอย่างแน่นอน” 


 


 


“เจ้า เฉินหรง นางเป็นเพียงผู้หญิงคนหนึ่ง ยังสำคัญกว่าบ้านเมืองหรือ” 


 


 


ซุ่นตี้ทรงกริ้วจนพระหัตถ์สั่น ฟู่เฉินหรงทำให้พระองค์พอพระทัย สิ่งเดียวที่พระองค์ไม่พอพระทัยคือการที่เขารักผู้หญิงคนหนึ่งมากเกินไปมั่นคงเกินไป ฮ่องเต้ควรตัดขาดจากความรักความผูกพัน จึงจะหนักแน่น ไม่ได้รับผลกระทบจากใครคนใดคนหนึ่ง  


 


 


“หลานไม่อาจเอาจิ่วซือมาเทียบกับบ้านเมือง ในฐานะที่เป็นรัชทายาท หลานให้ความสำคัญต่อบ้านเมือง ในฐานะคนคนหนึ่ง หลานให้ความสำคัญต่อจิ่วซือ ไม่ว่าเป็นรัชทายาทหรือเป็นคน ก็เป็นหลานเอง ทั้งสองอย่างไม่ได้ขัดแย้งกัน 


 


 


จิ่วซือสามารถช่วยเหลือหลานได้ ถ้าหลานมีนางอยู่เคียงข้าง ต่อไปแคว้นเจียงจะดีขึ้นเรื่อยๆ  พระอัยกาทรงดูแคลนนางเกินไป หลานเลือกคนไม่ผิดเช่นเดียวกับพระอัยกา ในใจของหลานมีแต่นางคนเดียวเท่านั้น 


 


 


พระอัยกา ถ้าพระอัยกาทรงยืนยันไม่ให้นางมีชีวิตอยู่ ก็โปรดฆ่าหลานด้วยเถิด ให้หลานไปอยู่กับท่านพ่อท่านแม่ในปรโลก” 


 


 


ฟู่เฉินหรงพูดจบก็คุกเข่าลงกับพื้น ซุ่นตี้ไม่ตรัสอีก สีพระพักตร์ลังเล ฟู่เฉินหรงกำลังบีบคั้นพระองค์ ให้พระองค์ทรงไว้ชีวิตซูจิ่วซือ 


 


 


พระองค์ทรงรู้สึกว่าถ้าซูจิ่วซือยังมีชีวิตอยู่จะเป็นอุปสรรค จึงต้องการกำจัดซูจิ่วซือ เวลานี้ซูจิ่วซือยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ก็ไม่รู้ 


 


 


“เฉินหรง ทุกคนในโลก ต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง จะเอาหรือทิ้ง” 


 


 


“ตั้งแต่หลานเกิดมา หลานยังเลือกไม่มากหรือ เวลานี้คนใกล้ชิดของหลานมีแต่จิ่วซือเท่านั้น นางเป็นคนที่หลานไม่มีวันทิ้ง  


 


 


พระอัยกา หลานไม่ต้องการสิ่งชดเชย ต้องการจิ่วซือเท่านั้น หลานสูญเสียคนใกล้ชิดไปมากเหลือเกิน ไม่อาจสูญเสียนางไปอีก ถ้าพระอัยกาให้หลานสงบใจอยู่ที่แคว้นเจียง โปรดไว้ชีวิตจิ่วซือด้วยเถิด นางอยู่ที่ไหน หลานก็อยู่ที่นั่น” 


 


 


ซุ่นตี้ไม่พอพระทัยอย่างยิ่ง แต่ทรงนึกถึงพระโอรสที่เสียชีวิตไป นี่เป็นเรื่องที่พระองค์เสียพระทัยที่สุด ซิ่นอ๋องสมควรตาย แต่รัชทายาทตวนฮุ่ยตายเพราะถูกใส่ร้าย  


 


 


ตอนที่รัชทายาทตวนฮุ่ยเสียชีวิต ฟู่เฉินหรงอายุไม่ถึงหนึ่งขวบ อายุเพียงเท่านี้เขาก็สูญเสียทุกอย่าง และทั้งหมดนี้เป็นเพราะพระอัยกาพระองค์นี้ ทำให้เขาต้องระเห็จไปอยู่ที่อื่นถึงยี่สิบกว่าปี พระองค์ทรงรู้สึกละอายพระทัยต่อฟู่เฉินหรง 


 


 


พระองค์ไม่ปรารถนาให้เกิดช่องว่างกับฟู่เฉินหรงเพียงเพราะผู้หญิงคนหนึ่ง ถึงเวลานั้นซิ่นอ๋องจะฉวยโอกาสเข้ามา ในเมื่อไม่สามารถกำจัด จึงจำเป็นต้องยินยอม  


 


 


“ก็ได้ เรารับปากเจ้า ไม่ทำร้ายซูจิ่วซือ แต่เราไม่จัดการแต่งงานให้เจ้าเด็ดขาด 


 


 


เจ้ากับเฟิงชิงสุ่ยหมั้นหมายกันไว้แล้ว ถ้าเจ้ายกเลิกการหมั้นหมายโดยที่เราไม่มีเหตุผลจะยับยั้งได้ เราจะทำให้เจ้าทั้งสองสมหวัง ทำให้ซูจิ่วซือเป็นพระชายาของรัชทายาท ไม่เช่นนั้นนางก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นพระชายาของรัชทายาท” 


 


 


 


 


 


—— 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 351 ข้อตกลงระหว่างพระอัยกากับพระราชนัดดา 


 


 


 


 


 


ฟู่เฉินหรงโล่งอก จุดหมายที่เขามาวันนี้ก็เพื่อให้ซุ่นตี้ทรงรับประกันว่าจะไม่ทำร้ายซูจิ่วซือ เรื่องอื่นเขารู้ว่าไม่เร่งด่วน 


 


 


“จิ่วซือจะทำให้พระอัยกาพอพระทัย” 


 


 


“เราจะรอดู เฉินหรง เราไม่ทำอะไรนาง แต่ถ้าคนใกล้ชิดทำร้ายนางจะโทษเราไม่ได้ ในเมื่อเจ้าให้นางมาเมืองหลวง ก็ควรจะรู้ว่ามีอันตรายอย่างไร ไม่ว่าอย่างไร เส้นทางนี้เจ้าต้องเดินต่อไป” 


 


 


“หลานเข้าใจ” 


 


 


ฟู่เฉินหรงรับปาก เขาเข้าใจความหมายของซุ่นตี้ เวลานี้เขาเองยังมีอันตรายรอบด้าน เมื่อซูจิ่วซือมาแล้ว ก็ต้องเผชิญอันตรายเช่นเดียวกัน 


 


 


เพียงแต่ว่าเขาและนางเป็นคนที่ไม่กลัวอะไรทั้งนั้น เขาจะพยายามปกป้องซูจิ่วซือจนสุดความสามารถ และเชื่อว่าเขากับนางจะมีชีวิตต่อไป และเป็นผู้พิชิตในที่สุด  


 


 


“ออกไปได้แล้ว!”  


 


 


ซุ่นตี้ทรงโบกพระหัตถ์ ฟู่เฉินหรงเห็นว่าเรื่องที่จะทูลก็ทูลไปแล้ว จึงลุกออกไป ขอแต่ให้ซุ่นตี้ไม่ทำร้ายซูจิ่วซือ เขาก็สบายใจแล้ว พระองค์เป็นฮ่องเต้ และเป็นพระอัยกาของเขา ถึงจะป้องกันอย่างไรก็ไม่ป้องกันไม่ได้ ไม่เป็นผลดีต่อใคร 


 


 


เขากับซุ่นตี้เป็นตั๊กแตนตำข้าวที่อยู่บนเชือกเส้นเดียวกัน ถ้าไม่แก้ปัญหานี้ เขาคงพ่ายแพ้แก่ซิ่นอ๋อง 


 


 


 พอฟู่เฉินหรงไปแล้ว ซุ่นตี้ก็ถอนพระทัยเบาๆ  “เด็กคนนี้ยากที่จะสลัดออกจากความรัก” 


 


 


“ฝ่าบาทอย่าทรงวิตกเกินไป องค์หญิงอันผิงมีความสามารถจริงๆ  ที่แคว้นเว่ยมีคำร่ำลือเกี่ยวกับนางไม่น้อย” หวังฝูซึ่งอยู่ข้างๆ ทูลขึ้น 


 


 


“อยู่ที่นี่อันตรายกว่าอยู่แคว้นเว่ยมาก เฟิงชิงสุ่ยเหมาะกับเฉินหรงมากกว่านาง เสียดายที่เฉินหรงไม่เข้าใจเรื่องนี้ ช่างเถอะ เฉินหรงเป็นคนดึงดัน ถ้าเราฆ่าซูจิ่วซือ เฉินหรงคงจะขัดใจกับเรา เด็กคนนี้นึกถึงแต่ซูจิ่วซือ เมื่อก่อนเราทำผิดต่อเขา ไว้ชีวิตได้ก็ไว้เถอะ!  


 


 


หวังฝู เจ้ารีบออกคำสั่ง ยกเลิกเรื่องนี้ ไม่ต้องจัดการซูจิ่วซือ” 


 


 


หวังฝูพยักหน้า “บ่าวเข้าใจ ฝ่าบาทไม่ต้องทรงวิตกกับเรื่องนี้ องค์รัชทายาทไม่ใช่คนที่ไม่เข้าใจเหตุผล วันหลังคงไม่ทำให้ฝ่าบาททรงผิดหวัง” 


 


 


ซุ่นตี้ทรงกระแอมเบาๆ  “เราแก่แล้ว ไม่มีเวลามากนัก พอจะช่วยได้แค่นี้แหละ วันหลังต้องอาศัยเฉินหรงเอง แคว้นเจียงเป็นอย่างไร ก็อยู่ที่ลิขิตฟ้า เราทำเต็มที่แล้ว” 


 


 


ซุ่นตี้ไม่ทรงมองในแง่ดีนัก ยังทรงวิตกเกี่ยวกับอนาคตของแคว้นเจียง เป็นเพราะพระองค์ทรงชราแล้ว จึงทรงเริ่มรู้สึกว่าพละกำลังไม่เป็นไปตามพระทัยคิด เวลานั้นถ้าไม่ประหารรัชทายาทตวนฮุ่ย แคว้นเจียงก็คงไม่เผชิญกับสถานการณ์อย่างนี้! 


 


 


หลังจากรัชทายาทตวนฮุ่ยถูกประหาร พระองค์ทรงพบว่าไม่มีคนที่สามารถสืบทอดบัลลังก์ ทรงประคับประคองมาจนถึงทุกวันนี้ ทอดพระเนตรเห็นซิ่นอ๋องสร้างฐานอำนาจของตนขึ้นมาทีละน้อย ว่าไปแล้วนี่เป็นผลจากการกระทำของพระองค์เอง 


 


 


“ฝ่าบาทอย่าทรงวิตกเกินไป พระพลานามัยสำคัญที่สุด” 


 


 


หวังฝูรู้ว่าซุ่นตี้ทรงห่วงใยแคว้นเจียง จึงรีบทูลเตือน 


 


 


“เจ้าออกไปก่อน! เรื่องที่เรามอบหมาย รีบไปจัดการ เราจะอยู่คนเดียวเงียบๆ ” 


 


 


“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” 


 


 


หวังฝูขานรับแล้วถวายบังคมออกไป ซุ่นตี้ทรงประทับนั่งบนบัลลังก์เพียงลำพัง จู่ๆ  ก็ทรงรู้สึกโดดเดี่ยวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน  


 


 


คงเป็นเพราะความชรา พระองค์มีพระชนม์เจ็ดสิบพรรษาแล้ว 


 


 


….. 


 


 


ซูจิ่วซืออยู่ที่หอหยกเขียว เบื้องหน้านางมีอาหารเลิศรสเต็มโต๊ะ กับข้าวไม่ต่ำกว่ายี่สิบอย่าง อุดมสมบูรณ์จริงๆ  มีกลิ่นหอมของอาหารโชยมาเป็นระยะๆ  ตลอดเวลา  


 


 


ซูจิ่วซือราวกับมองไม่เห็นอาหารบนโต๊ะ ยังคงนั่งอย่างสงบ คนที่นั่งตรงกันข้ามกับนางคือจงมั่วเจียง 


 


 


“เจ้าไม่บอกข้าว่าชอบอะไรก็ไม่เป็นไร ข้าให้คนทำอาหารขึ้นชื่อทุกอย่าง คงมีสักอย่างที่เจ้าชอบ ฝีมือการปรุงยอดเยี่ยมจริงๆ  ถ้าเจ้าได้ชิมคงไม่มีวันลืมแน่ รีบกินเถอะ!”  


ตอนที่ 352 ข้าชอบเฉินหรงคนเดียว


 


 


 


 


“เจ้าคิดจะกักข้านานเท่าไร?”


 


 


แม้ซูจิ่วซือจะเริ่มหิว แต่ก็ไม่อยากกินแม้แต่น้อย


 


 


“อยู่ที่นี่ไม่ดีหรือ? มีอาหารมีบ้านมีคนรับใช้”


 


 


จงโม่เจียงถามอย่างไม่เข้าใจ ผู้หญิงคนนี้ใจแข็งจริงๆ ไม่ว่าเขาจะพูดอย่างไรก็ไม่แสดงความรู้สึกออกมา ไม่ว่าเห็นอะไรก็สงบ ราวกับว่าไม่มีอะไรทำให้นางสนใจได้


 


 


“ข้าอยู่ที่ไหนก็ใช้ชีวิตอย่างนี้ ไม่ต้องการของเจ้า”


 


 


ซูจิ่วซือตอบด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก


 


 


“ที่นี่ไม่มีอันตราย”


 


 


จงโม่เจียงยังคงพูดหว่านล้อม


 


 


“ข้าชอบสถานที่ที่มีอันตราย”


 


 


จงโม่เจียงถูกซูจิ่วซือขัดคอจนไม่รู้จะพูดต่ออย่างไร เขาไม่เชื่อว่าเจ้าสำนักวิหคเขียวผู้ยิ่งใหญ่จะพิชิตเด็กผู้หญิงคนหนึ่งไม่ได้ ถึงจะเก่งกาจอย่างไรก็เป็นเพียงเด็กผู้หญิงอายุสิบกว่า นางมาจากตระกูลสูงฐานะดีจึงเห็นของเหล่านี้จนชิน ถ้าเช่นนั้นเขาจะเปลี่ยนวิธีใหม่


 


 


“แม่หนู เจ้าชอบผู้ชายแบบไหน?”


 


 


จงโม่เจียงถามต่อ เขามีเวลามากมาย ถือว่าเป็นวาสนาระหว่างเขากับซูจิ่วซือ คงเป็นลิขิตสวรรค์ ไม่เช่นนั้นเขาจะบังเอิญพบซูจิ่วซือได้อย่างไร ที่ข้อมือนางยังมีกำไลที่เขาตามหามาตลอด


 


 


ซูจิ่วซือไม่หันมามอง ตอบอย่างราบเรียบ “ข้าชอบเฉินหรงคนเดียว”


 


 


จงโม่เจียงสีหน้าไม่พอใจ “เขามีอะไรดีหรือ”


 


 


“อะไรก็ดีหมด”


 


 


เป็นอีกครั้งที่จงโม่เจียงถูกซูจิ่วซือขัดคอจนไม่รู้จะพูดต่ออย่างไร เวลานี้ฟู่เฉินหรงนอกจากฐานะสูงกว่าเขาแล้ว ยังจะมีอะไรดีกว่าเขาหรือ ซูจิ่วซือถึงจำได้ไม่ลืม


 


 


“ผู้ชายดีอย่างข้าเจ้าไม่มองหรือ รักแต่ลูกชายเสิ่นไห่ถังคนเดียว


 


 


วันหลังเขาเป็นฮ่องเต้มีวังมีตำหนักมากมาย เจ้าไม่ใช่คนสวยเด่น ไม่กลัวถูกทิ้งหรือ? พอถึงตอนนั้นก็ถูกขังในกำแพงวัง เจ้าจะอยู่อย่างนั้นตลอดชีวิตหรือ”


 


 


“ข้าบอกไว้แล้ว เรื่องนี้ไม่ต้องให้เจ้าสำนักถาม เป็นเรื่องระหว่างข้ากับฟู่เฉินหรง” ซูจิ่วซือสีหน้าไร้ความรู้สึก แต่ก็ไม่ปล่อยให้ท้องหิว ยกชามขึ้น ก้มหน้าเคี้ยวช้าๆ


 


 


จงโม่เจียงเห็นกิริยาท่าทางของนางงามสง่า จึงจ้องอย่างไม่วางตา สมเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่จริงๆ แม้แต่เวลากินก็น่าดู ไม่แหมือนคนหยาบกระด้างอย่างพวกเขา กินมูมมาม


 


 


ซูจิ่วซือถูกจงโม่เจียงจ้องก็รู้สึกอึดอัด แต่ไม่พูดอะไร สีหน้าไม่เปลี่ยนแต่อย่างใด ยังคงก้มหน้ากินต่อไป ถือว่าไม่มีจงโม่เจียงอยู่


 


 


ตอนแรกนางวิตกว่าจงโม่เจียงเป็นคนเลว แต่เวลานี้กลับวางใจได้แล้ว แม้จงโม่เจียงจะเป็นปีศาจมือสังหาร แต่ก็ยังถือว่าเป็นผู้ดี ไม่ได้ทำอะไรเสียมารยาทต่อนาง ไม่เช่นนั้นนางคงไม่รู้จะทำอย่างไรกับคนที่มีวรยุทธสูงส่งอย่างจงโม่เจียง


 


 


เวลานี้เขาไม่ได้แสดงท่าทีว่าจะปล่อยนาง นางต้องให้เขาตายใจ จึงจะมีโอกาสหลบหนี เวลานี้นางมีแผนในใจแล้ว จากการสัมผัสสองวัน นางรู้สึกว่าจงโม่เจียงเป็นคนหลงตัวเอง จุดนี้น่าจะใช้ประโยชน์ได้


 


 


พอกินข้าวชามหนึ่งจนเกือบหมดแล้ว ซูจิ่วซือวางชามในมือลง จงโม่เจียงยังไม่มีทีท่าว่าจะไป


 


 


จู่ๆ ซูจิ่วซือก็เงยหน้าขึ้น ยิ้มน้อยๆ ให้จงโม่เจียง “เจ้าสำนักจง ถ้าทำอย่างนี้ต่อไปไม่เกิดประโยชน์ต่อเราทั้งสองคน ถ้าเจ้าได้ผู้หญิงที่ไม่มีใจให้ ชีวิตวันข้างหน้าคงไม่มีความสุข ก็อย่างที่เจ้าว่า ข้าไม่ใช่คนสวยเด่น และไม่รู้จักเอาใจผู้ชาย ถ้าให้ข้าอยู่กับเจ้า มีแต่จะทำให้เจ้าไม่พอใจ”


 


 


 


 


——


 


 


ตอนที่ 353 พนันกัน


 


 


 


 


จงมั่วเจียงมองซูจิ่วซือ มุมปากเผยรอยยิ้มมีเสน่ห์ “ข้าชอบผู้หญิงที่น่าท้าทาย ได้ผู้หญิงมาง่ายๆ มีความหมายอะไร”


 


 


“งั้นเรามาพนันกัน ถ้าเจ้าสำนักชนะข้าได้ ข้ายินดีอยู่กับเจ้าสำนัก ถ้าไม่ เจ้าสำนักก็ปล่อยข้าไป”


 


 


“แม่หนู เจ้าจะพนันอะไร”


 


 


จงมั่วเจียงสนใจข้อเสนอของซูจิ่วซือเป็นพิเศษ รีบซักถามทันที เขาอยากเอาชนะผู้หญิงคนนี้จริงๆ  ให้นางยินดีอยู่กับเขา ไม่ใช่ได้มาง่ายๆ  ซึ่งไม่ต่างจากการได้หุ่นมาครอบครอง


 


 


เขาไม่ได้ขาดแคลนผู้หญิง แต่ขาดผู้หญิงที่เร้าใจ


 


 


ซูจิ่วซือดึงดูดใจเขาไม่ใช่ด้วยหน้าตา มีผู้หญิงสวยกว่าซูจิ่วซือมากมาย เขาเคยผ่านมาแล้วไม่น้อย


 


 


สิ่งที่เขาชอบจริงๆ  ก็คือความหนักแน่นมั่นคงในตัวซูจิ่วซือ


 


 


หญิงสาวแบบนี้เขาเพิ่งเจอเป็นคนแรก นางถือกำเนิดในตระกูลใหญ่ในเมืองหลวง มาอยู่ป่าเขาห่างไกลก็ไม่หวาดหวั่น ถูกล้อมอย่างแน่นหนาก็ยังกล้าสบตากับเขาตรงๆ  ราวกับว่าเขาเป็นเพียงคนผ่านทางที่ทักผิด ไม่เห็นนางแสดงความหวาดหวั่น


 


 


ทำให้เขาอยากรู้จักซูจิ่วซือ


 


 


“ถ้าไม่มีการทำร้ายหลียวน ภายในสามวันหากเจ้าสำนักสามารถทำให้ข้าขอร้องเจ้าสำนักเพียงครั้งเดียว ข้าจะยอมแพ้ แต่ถ้าไม่ ต้องปล่อยข้า”


 


 


จงมั่วเจียงตะลึง นึกไม่ถึงว่าซูจิ่วซือจะพนันกับเขาเขาหัวเราะขึ้นมาทันที “พนันอย่างนี้น่าสนใจ แม่นาง เจ้าไม่เชื่อมั่นในตัวเองเกินไปหรือ ถ้าเจ้ากล้าเชื่อ ข้าก็กล้ารับพนัน เจ้าแพ้แน่”


 


 


“ตกลงตามนี้ หวังว่าเจ้าสำนักจะรักษาสัญญา”


 


 


จงมั่วเจียงรับปากอย่างง่ายดาย “ข้าเป็นคนในวงการนักเลงการรักษาสัญญาเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ถ้าเจ้kยืนหยัดได้ภายในสามวัน ข้าจะปล่อยเจ้า”


 


 


“ดี ครั้งนี้ข้าเชื่อเจ้าสำนัก”


 


 


ซูจิ่วซือพนักหน้ารับปาก แล้วพูดเสริม “ข้าอยากเจอหลียวน”


 


 


สองวันก่อนจงมั่วเจียงไม่ให้ซูจิ่วซือพบกู้หลียวน ครั้งนี้จงมั่วเจียงไม่ได้ปฏิเสธ เขาให้คนพาซูจิ่วซือไปยังเรือนเล็กที่กู้หลียวนพัก


 


 


เมื่อเทียบกับเรือนใหญ่หรูหราที่ซูจิ่วซือพัก ที่นี่ซอมซ่อมาก ตั้งอยู่ห่างไกล และมีข้าวของกองเกลื่อน บริเวณลานเต็มไปด้วยฟืนก่อเป็นกองสูง


 


 


กู้หลียวนสวมชุดผ้าหยาบ ถือขวาน กำลังก้มหน้าผ่าฟืน


 


 


พอเห็นกู้หลียวนผ่าฟืน ซูจิ่วซือตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ดูท่าทางเขา เหมือนกับผ่าฟืนเป็นแล้ว


 


 


ซูจิ่วซือก้าวยาวเข้าไปหา ร้องเรียกหลียวน


 


 


พอได้ยินเสียง กู้หลียวนก็เงยหน้าขึ้น ประสานกับสายตาห่วงใยของซูจิ่วซือ เขาวางขวานลง หน้าผากชุ่มไปด้วยเหงื่อเม็ดเล็กๆ  ผิวพรรณถูกแดดเผาคล้ำขึ้นมาก


 


 


ผมเผ้าที่เคยหวีเรียบแปล้ เวลานี้เริ่มรุงรัง ผมยุ่งปรกลงมา หนวดเคราเริ่มยาว ดูคล้ายกับคุณชายตกยาก


 


 


กู้หลียวนท่าทางขัดเขิน เขาไม่อยากให้ซูจิ่วซือมาเห็นสภาพของเขาเวลานี้ จึงรีบปัดผม “เจ้ามาได้อย่างไร”


 


 


“ฟืนทั้งหมดนี่เจ้าเป็นคนผ่าหรือ”


 


 


ซูจิ่วซือเห็นข้างหน้ากู้หลียวนมีฟืนกองสูง จึงถามขึ้น


 


 


“จงมั่วเจียงโหดจริงๆ  สองวันมานี้ข้ายังมีไข้ ก็ยังให้ข้าผ่าฟืนตลอดเวลา ยกเว้นเวลากินกับนอน บังคับให้ข้าหัดผ่าฟืน”

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม