ชายาหยุดเย้าข้าเสียทีเถิด 346-353

 ตอนที่ 346 หมาป่าที่รู้ใจมนุษย์


 


 


“ตอนที่ข้าไป มันยังไม่โตเต็มวัย เมื่อครู่ข้าเกือบดูไม่ออกว่าเป็นมัน คุณหนู อย่างนี้แสดงว่าท่านเทวดากำลังช่วยพวกเรานะเจ้าคะ”


 


 


หลิงอวี้จื้อพยักหน้า แต่พอเห็นท่อนแขนขาขาดบนพื้นก็ยังคงรู้สึกสยดสยอง เธอชี้ไปที่กรงข้างใน ถามว่า


 


 


“ข้างในมีอะไรหรือ ดูเหมือนไม่มีเสียงอะไรเลย”


 


 


“ข้างในคงเป็นหมาป่ามนุษย์เจ้าค่ะ”


 


 


“คืออะไร ปล่อยออกไปได้หรือไม่”


 


 


“หมาป่ามนุษย์เป็นทารกชายที่เจ้าสำนักเอากลับมาจากชาวบ้าน ป้อนยาตั้งแต่เด็ก ทำให้พวกเขาโตมารูปร่างสูงใหญ่ และยังมีเขี้ยวแหลมคม ให้กินเนื้อดิบหรือเนื้อคนมาตลอด พูดจาไม่เป็น ฟังคำสั่งเจ้าสำนักได้เท่านั้น ทุกวันตอนเย็นพวกเขาต้องกินยา ดังนั้นตอนนี้จึงนอนอยู่เจ้าค่ะ”


 


 


หลิงอวี้จื้อรู้สึกขนพองสยองเกล้า ควบคุมขนที่ลุกซู่ของตนเองไม่ได้


 


 


“คุณพระ เจ้าสำนักอู๋จี๋วิปริตเกินไปแล้ว เปลี่ยนคนดีๆ ให้กลายเป็นเช่นนี้ มิน่า ราชสำนักถึงอยากทำลาย อย่างนี้เ**้ยมโหดไร้มนุษยธรรมเกินไป อยู่ที่นี่ได้นานกว่านี้ไม่ได้แล้ว พวกเราปล่อยหมาป่าดำออกไปเถิด”


 


 


มั่วชิงพยักหน้า หมาป่ามนุษย์ยังหลับอยู่ ถึงแม้หลับอยู่ก็ไม่สามารถเอาไปปล่อยได้ ถึงตอนนั้นคนแรกที่โดนโจมตีก็จะเป็นพวกนาง


 


 


มั่วชิงหยิบกุญแจดอกหนึ่งออกมาจากที่ซ่อนในคุกใต้ดิน เปิดประตูห้องขัง หมาป่าดำเดินออกมาหมด ซ้ำยังเดินตามหมาป่าผีออกมาอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย


 


 


หมาป่าผีเดินมาถึงตรงหน้ามั่วชิง มั่วชิงย่อตัวลง หมาป่าผีเลียหน้ามั่วชิง ดูเหมือนจะตื่นเต้นดีใจมาก


 


 


มั่วชิงลูบหัวหมาป่าผี


 


 


“นึกไม่ถึงว่าจะได้เจอเจ้าอีก เจ้าหมาป่าผี ข้าอยากให้เจ้าช่วยข้าอย่างหนึ่ง เพื่อนของข้าถูกขังอยู่ที่คุกใหญ่ ข้าอยากช่วยเขา เจ้ายินดีช่วยข้าหรือไม่”


 


 


หมาป่าผีทำเสียงคำรามต่ำหนึ่งครั้ง มั่วชิงยิ้มให้หมาป่าผี


 


 


“ขอบใจนะ เจ้าหมาป่าผี”


 


 


หลิงอวี้จื้อมองอ้าปากตาค้าง นึกไม่ถึงว่าหมาป่าตัวนี้จะฟังคนรู้เรื่องทุกอย่าง มหัศจรรย์จริงๆ มิน่าถึงไม่เหมือนหมาป่าตัวอื่น ที่แท้สติปัญญาสูงมาก


 


 


มั่วชิงพูดจบแล้วก็ชี้ไปที่หลิงอวี้จื้อ กล่าวแนะนำ


 


 


“นี่คือคุณหนูของข้า เป็นคนที่สำคัญกับข้ามาก นางไม่มีวรยุทธ์ อีกสักครู่หากมีอันตราย หากข้าดูแลไม่ทั่วถึง เจ้าจะปกป้องนางได้หรือไม่”


 


 


หมาป่าผีร้องเอ๋งครั้งหนึ่ง จากนั้นก็เดินมาตรงหน้าหลิงอวี้จื้อ แลบลิ้นยาวๆ ออกมาเลียขากางเกงของหลิงอวี้จื้อ


 


 


หลิงอวี้จื้อก็นั่งยองๆ ด้วย ลองลูบหัวหมาป่าผีดู หมาป่าผีไม่ได้ปฏิเสธ เชื่องมาก ยอมให้หลิงอวี้จื้อลูบ


 


 


ตอนเริ่มเห็นหมาป่าผีรู้สึกตกใจเล็กน้อย ตอนนี้กลับรู้สึกว่าหมาป่าผีก็น่ารักอยู่เหมือนกัน


 


 


“ไปกันเถิดเจ้าค่ะ”


 


 


มั่วชิงไม่กล้าเสียเวลานาน พาฝูงหมาป่าออกจากห้องทิศเหนือ นางรู้จักทาง จึงนำทางอยู่ข้างหน้า และเจาะจงเดินเส้นทางเล็กๆ ที่แอบซ่อนอยู่ เริ่มวิ่งไปทางคุกใหญ่


 


 


หลิงอวี้จื้อวิ่งจนหอบแฮก หวังว่าเซียวเหยี่ยนยังสบายดีอยู่ ขออย่าให้เจียงสือลงโทษทรมานเขาเลย


 


 


พวกเขาวิ่งไปตลอดทาง หากพบอุปสรรคระหว่างทาง มั่วชิงก็ลงมือฆ่าทันที วรยุทธ์ของนางไม่ต่ำต้อย ทหารยามธรรมดาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนาง หากมั่วชิงรับมือไม่ได้ หมาป่าผีก็จะเข้าไปช่วย


 


 


นับว่าหลิงอวี้จื้อได้พบเห็นความหาญกล้าและดุดันของหมาป่าผีแล้ว กัดทีเดียวก็คอขาด เกือบทั้งหมดถูกกัดตายภายในครั้งเดียว ฉากนองเลือดนั้นไม่ขอพรรณนา


 


 


มาถึงปากทางคุกใหญ่ มั่วชิงก็คุ้มกันอยู่ข้างกายหลิงอวี้จื้อ ฝูงมาลุยอยู่ด้านหน้า


 


 


เห็นฝูงหมาจู่ๆ ก็วิ่งออกมา ทหารยามก็ตกใจหน้าซีด คุกใหญ่ทั้งคุกเลือดไหลเป็นแม่น้ำ ซากแขนขาขาดเกลื่อนไปทั่ว สภาพจิตใจของหลิงอวี้จื้อยังนับว่าแข็งแกร่ง ภายนอกดูสงบนิ่ง ภายในท้องไส้ปั่นป่วน ได้แต่ฝืนอดทนไว้


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 347 ที่แท้เจ้าก็คือหลิงอวี้จื้อ


 


 


หลังจากการต่อสู้ ฝูงหมาป่าก็ตายไปสามตัว ทหารยามข้างในบาดเจ็บตายไปพอสมควรแล้ว มั่วชิงก็พาหลิงอวี้จื้อเดินไปถึงภายในห้องขังของเซียวเหยี่ยน


 


 


เมื่อหลิงอวี้จื้อมา เซียวเหยี่ยนก็ตกใจหน้าซีด ตลอดมาเขานึกว่าหลิงอวี้จื้อออกไปจากสำนักอู๋จี๋แล้ว นึกไม่ถึงว่านางยังอยู่ที่นี่


 


 


“คุณหนู อยู่ที่นี่นะเจ้าคะ ข้าจะไปหากุญแจ”


 


 


เฟิงอิ๋นเห็นฝูงหมาป่า สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที รีบผิวปาก เพียงแต่ฝูงหมาป่าไม่ฟังคำสั่งนาง นางตะโกนเรียกด้านหลังของมั่วชิง


 


 


“เจ้าเป็นใคร”


 


 


มั่วชิงไม่มีเวลามาสนใจเฟิงอิ๋น สนใจหากุญแจเท่านั้น


 


 


“อาเหยี่ยน ท่านไม่เป็นไรนะ!”


 


 


หลิงอวี้จื้อพินิจพิเคราะห์เซียวเหยี่ยนด้วยความกังวล อยากดูเสียหน่อยว่าเขาได้รับบาดเจ็บหรือไม่


 


 


“เหตุใดเจ้ายังอยู่ที่นี่”


 


 


เซียวเหยี่ยนนึกว่าหลิงอวี้จื้อออกไปจากสำนักอู๋จี๋แล้ว ตอนนี้เห็นหลิงอวี้จื้อยังอยู่ที่นี่ ในใจก็ร้อนรนอย่างยิ่ง ที่นี่ไม่ใช่ที่ๆ นางควรอยู่


 


 


“ข้าพบมู่หรงกวานเสวี่ยเข้า ดังนั้นจึงเป็นเช่นนี้ ท่านร้ายกาจเกินไปแล้ว รู้หรือไม่ว่าเกือบทำให้ข้าโกรธจนกระอักเลือด ตอนนี้ท่านไม่ต้องอธิบาย รอให้ออกไปได้ก่อนแล้วค่อยอธิบายข้าช้าๆ”


 


 


บทสนทนาของทั้งสองคนเข้าหูเฟิงอิ๋น นางรู้แล้วแน่นอนว่าหลิงอวี้จื้อเป็นใคร จึงยิ้มเยือกเย็นพูดว่า


 


 


“ที่แท้เจ้าก็คือหลิงอวี้จื้อ”


 


 


“เป็นข้าแล้วจะทำไม เป็นอย่างไร ข้าแสดงได้ไม่เลวใช่หรือไม่ ฝีมือการแสดงไม่แพ้ผู้ชายของข้า”


 


 


“พวกเจ้า…”


 


 


เฟิงอิ๋นโมโหจนพูดไม่ออก นางไม่นึกว่าจะถูกพวกเขาสองคนปั่นจนหัวหมุนโดยไม่รู้ตัว ตอนนี้นางแทบจะฆ่าหลิงอวี้จื้อเสียเดี๋ยวนั้น


 


 


หลิงอวี้จื้อเดินไปตรงหน้าเฟิงอิ๋น


 


 


“ผู้ชายก็มิได้ตายไปหมดทั้งโลกนี้แล้วสักหน่อย เจ้าก็รังแต่จะเกาะติดอาเหยี่ยน หากเขาชอบเจ้าก็แล้วไป เช่นนั้นข้าก็เป็นมือที่สาม ข้าถอยเอง


 


 


แต่เขาไม่เคยคิดเช่นนั้นกับเจ้าเลย ข้าเคยได้ยินแต่การบังคับให้ผู้หญิงแต่งงาน แต่ไม่เคยได้ยินการบังคับให้ผู้ชายแต่งงาน ยอมลดสถานะของตนเองมาดูแคลนตนเองเช่นนี้ ไม่รู้สึกผิดต่อตนเองบ้างหรือ”


 


 


เธอคิดจะด่าเฟิงอิ๋นฉอดๆ ตั้งนานแล้ว ก่อนหน้านี้ติดอยู่ที่สถานะตนเองพูดไม่ได้ ตอนนี้ไม่ต้องระวังเรื่องนั้นแล้ว ย่อมเอาเรื่องที่อยากพูดออกมาพูดทั้งหมด


 


 


“ร่างกายเจ้ายังไม่โตเต็มที่ เซียวเหยี่ยนเองจะชอบเจ้าไปถึงเมื่อใด แม่สาวน้อย เจ้าเข้าใจเรื่องผู้หญิงผู้ชายหรือไม่”


 


 


“เป็นห่วงว่าข้าจะไม่เข้าใจขนาดนี้ มิเช่นนั้นเจ้าจะสาธิตให้ข้าดูหรือไม่ หน้าข้าอาจจะเล็กไปสักหน่อย แต่ร่างกายของข้าดีกว่าเจ้า เจ้าแบนหน้าแบนหลัง ช่างเหมือนกับกระดานซักผ้าเสียจริง คาดว่าถูกผู้ชายเลี้ยงมาตั้งแต่เด็ก ยังจะมีหน้ามาว่าข้าอีก เสียทีที่มีคนนับหน้าถือตา”


 


 


“เจ้า…”


 


 


เฟิงอิ๋นนึกไม่ถึงว่าหลิงอวี้จื้อจะหน้าด้านเพียงนี้ ซ้ำยังปากคอเราะร้าย ตนเองพูดไม่ชนะหลิงอวี้จื้อ โมโหจนหน้าเขียวไปหมด นัยน์ตามีประกายเยือกเย็น อยากฆ่าคนเสียแล้ว


 


 


“ข้าจะแสดงแววตาอำมหิตให้เจ้าดูสักหน่อย”


 


 


หลิงอวี้จื้อพูดจบก็หุบยิ้ม เหลือบตาขึ้น ดวงตาเต็มไปด้วยความปรารถนาอยากฆ่า ถึงแม้ว่าความอำมหิตเช่นนี้จะไม่ค่อยเข้ากับใบหน้าอ่อนเยาว์ของเธอ แต่กลับให้ความรู้สึกน่ากลัว ทรงพลังอย่างยิ่ง


 


 


ตลกน่า เธอเคยแสดงเป็นไทเฮาที่ว่าราชการหลังม่านมาแล้ว เรื่องแค่นี้เล็กน้อย


 


 


จากนั้นเธอก็เผยรอยยิ้มกริ่มตาหยี ราวกับว่าเมื่อครู่เป็นเพียงภาพลวงตา


 


 


เซียวเหยี่ยนไม่ได้พูดอะไร แต่มองหลิงอวี้จื้อด้วยสีหน้าหลงใหล แววตาอ่อนโยนหยาดเยิ้มจนแทบละลายเป็นน้ำ


 


 


ตอนนี้เองมั่วชิงวิ่งเข้ามาอย่างเร่งรีบ แสดงว่าเจอกุญแจแล้ว นางถือกุญแจกำลังจะไขให้เซียวเหยี่ยน


 


 


“ท่านอ๋อง พวกเราต้องรีบไปจากที่ให้เร็วที่สุดเพคะ การเคลื่อนไหวที่นี่ไม่นานก็รู้ไปถึงทหารยามคนอื่น ท่านพาคุณหนูไปก่อน”


 


 


เฟิงอิ๋นพินิจพิเคราะห์มั่วชิงอยู่ตลอด ถึงแม้ว่าตั้งแต่ต้นจนบัดนี้มั่วชิงจะไม่หันไปมองนางเลย ราวกับจงใจหลีกเลี่ยงเฟิงอิ๋น


 


 


“เจ้าคือมั่วชิงหรือ”


 


 


น้ำเสียงของเฟิงอิ๋นเหมือนจะมั่นใจ หมาป่าดำสำนักอู๋จี๋เป็นฝูงหมาป่าที่ถูกฝึกให้เชื่องมาโดยเฉพาะ การจำคนได้ ปกติจะใช้การผิวปากออกคำสั่ง คนที่เข้าใจเรื่องพวกนี้มีเพียงแค่ผู้คุมกฎไม่กี่คนกับเจ้าสำนัก


ตอนที่ 348 เอาชีวิตข้าไปแลกกับนาง


 


 


ประกอบกับหญิงผู้นี้คุ้นเคยกับสำนักอู๋จี๋มาก มิเช่นนั้นคงไม่สามารถหาคุกใหญ่เจอได้อย่างรู้ทุกซอกทุกมุม ซ้ำยังหากุญแจได้ในเวลาอันสั้นเช่นนี้


 


 


สามารถทำได้ถึงขั้นนี้จะต้องเป็นมั่วชิงผู้หายสาบสูญแน่นอน เคยเป็นศิษย์รักที่เจียงสือตั้งความหวังไว้สูง ถ้าหากนางไม่ได้จากสำนักอู๋จี๋ไป สิ่งที่เฟิงอิ๋นมีอยู่ทุกวันนี้คงเป็นของนาง


 


 


ตอนที่มั่วชิงทำเรื่องเหล่านี้ก็รู้ดีว่าจะเป็นการเปิดโปงตนเอง นางกลัวสำนักอู๋จี๋เข้ากระดูก แต่เพื่อช่วยเซียวเหยี่ยนกับหลิงอวี้จื้อ แม้จะต้องแลกด้วยชีวิตของนาง ก็ไม่ลังเล


 


 


“อย่าต่อปากไร้สาระกับนาง พวกเรารีบไป”


 


 


หลิงอวี้จื้อรู้ว่ามั่วชิงไม่อยากเกี่ยวข้องอะไรกับสำนักอู๋จี๋อีก จึงบอกมั่วชิง


 


 


มั่วชิงพยักหน้าหงึกหงัก เซียวเหยี่ยนโอบหลิงอวี้จื้อ มั่วชิงเดินข้างหน้า เดินไปได้เพียงสองก้าว สีหน้าของมั่วชิงก็เปลี่ยนเป็นตึงเครียดขึ้นมา


 


 


“พวกเขามาแล้ว”


 


 


หลิงอวี้จื้อไม่ได้ยินเสียงอะไรทั้งนั้น เห็นสีหน้าเซียวเหยี่ยนกับมั่วชิงตึงเครียดมาก เธอก็รู้ถึงความร้ายแรงของสถานการณ์ เตือนมั่วชิง


 


 


“เจ้าก็ต้องระวังนะ”


 


 


“อวี้จื้อ ไม่ต้องกลัว มีข้าอยู่ พวกเราจะไม่เป็นอะไร”


 


 


เฟิงอิ๋นหัวเราะเยือกเย็น


 


 


“มั่วชิง ท่านอาจารย์เห็นเจ้าจะต้องประหลาดใจแน่นอน ไม่รู้ว่าท่านอาจารย์จะจัดการเจ้าอย่างไร นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะไม่รู้จักหลาบจำ ยังจะกล้ามาสำนักอู๋จี๋อีก


 


 


วันนี้พวกเจ้าอย่าได้คิดจะออกไปจากสำนักอู๋จี๋เลย เซียวเหยี่ยน ให้พระชายาตัวน้อยของเจ้าตายเป็นเพื่อนเจ้าเถิด ขอเพียงนางตกมาอยู่ในมือข้า ข้าจะถลกหนังนางเป็นอันดับแรก”


 


 


หมาป่าดำลุยนำออกไปก่อน เพียงแต่คราวนี้ทหารยามมาเยอะเกินไป ไม่นานก็ล้อมพวกเขาไว้เป็นวงกลม มู่หรงกวานเสวี่ยเดินมาข้างหน้าอย่างไว ทหารยามพวกนี้นางก็เป็นคนพามา


 


 


หลิงอวี้จื้อเพิ่งรู้ว่าวรยุทธ์ของมู่หรงกวานเสวี่ยดีขนาดนี้ คราวที่แล้วเธอถ่มน้ำลายใส่มู่หรงกวานเสวี่ย ก็ไม่สะทกสะท้านอะไร ความสามารถนี้ปิดซ่อนไว้อย่างมิดชิดไม่มีหลุดรั่ว


 


 


หลิงอวี้จื้อไม่มีวรยุทธ์ ถูกเซียวเหยี่ยนโอบไว้ในอ้อมแขนแน่น เห็นทหารยามยิ่งโดนฆ่าก็ยิ่งเยอะขึ้น ในใจเธอก็รู้สึกร้อนรนอย่างยิ่ง แต่ไม่กล้าส่งเสียง กลัวว่าจะมีผลต่อเซียวเหยี่ยน


 


 


รู้สึกเพียงว่าตรงหน้ามีเลือดเนื้อปลิวว่อนทุกทิศทาง เลือดสีแดงเข้มนองไปทุกที่ ทั้งคุกใหญ่อวลไปด้วยกลิ่นคาวเลือดเข้มข้น


 


 


อาการบาดเจ็บภายในของเซียวเหยี่ยนยังไม่หายดี ประกอบกับต้องคอยคุ้มกันหลิงอวี้จื้อด้วย มู่หรงกวานเสวี่ยสบโอกาสโจมตีเธอจากด้านหลังเซียวเหยี่ยน เซียวเหยี่ยนรีบหลบฉับไว หลิงอวี้จื้อที่อยู่ในอ้อมแขนกลับถูกทหารยามคนหนึ่งฉวยโอกาสแย่งไป แล้วแนบมีดบนคอของหลิงอวี้จื้ออย่างเร็ว


 


 


“ค่อยๆ ตัดคอนางเสียให้ขาด ให้เซียวเหยี่ยนดูให้ชัดเจนว่าหลิงอวี้จื้อตายอย่างไร”


 


 


มู่หรงกวานเสวี่ยสั่งการอย่างไร้ความปรานี เซียวเหยี่ยนอยากไปช่วยหลิงอวี้จื้อ แต่ถูกมู่หรงกวานเสวี่ยตามรังควาน มั่วชิงเองก็ถูกทหารยามตามราวี ไม่สามารถสลัดพ้นเพื่อไปช่วยหลิงอวี้จื้อได้เลย


 


 


“มู่หรงกวานเสวี่ย เจ้าปล่อยนาง เรื่องเหล่านี้ไม่เกี่ยวกับนาง เอาชีวิตข้าไปแลกกับนางเถิด”


 


 


เซียวเหยี่ยนร้อนรนแล้ว เสียความสงบนิ่งไปโดยสิ้นเชิง


 


 


“เซียวเหยี่ยน เจ้าก็รอดตายยากเช่นกัน แค่ให้นางไปรอเจ้าที่ปรโลกก่อน”


 


 


มู่หรงกวานเสวี่ยไม่ได้คิดจะปล่อยสองคนนี้ไปอยู่แล้ว


 


 


หลิงอวี้จื้อรู้สึกเจ็บที่คอเล็กน้อย คมมีดเย็นเฉียบจ่อใกล้คอของเธอ


 


 


เธอรู้ว่าคราวนี้รอดตายยากเสียแล้ว ตะโกนพูดกับเซียวเหยี่ยนประโยคหนึ่ง


 


 


“อาเหยี่ยน ดูแลตัวเองให้ดีนะ”


 


 


ร่างกายของเซียวเหยี่ยนได้รับบาดเจ็บไปหลายแผล เดิมก็มีสถานะตกเป็นเบี้ยล่างอยู่แล้ว แต่พอเห็นสถานการณ์ของหลิงอวี้จื้ออันตรายมาก เขาก็รวบรวมกำลังทั้งหมด เตะเข้าที่ท้องของมู่หรงกวานเสวี่ย ทำให้มู่หรงกวานเสวี่ยกระเด็น ชนเข้ากับกำแพงทันที


 


 


เพียงเตะมู่หรงกวานเสวี่ยไป ทหารยามคนอื่นก็จะกรูเข้ามาหาเซียวเหยี่ยน มีดบนคอหลิงอวี้จื้อค่อยๆ เข้าไปทีละนิด บาดผิวของเธอแล้ว เจ็บมาก


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 349 เซียวเหยี่ยนบาดเจ็บ


 


 


“โธ่เว้ย พวกเจ้าอยากฆ่าก็เอาให้เต็มที่ไปเลย แค่นี้มันจะได้เรื่องอะไร”


 


 


เพิ่งจะสิ้นเสียงหลิงอวี้จื้อ จู่ๆ หมาป่าผีที่ชุ่มเลือดไปทั้งตัวก็พุ่งมาจากด้านหลัง กัดคอทหารยามไม่ปล่อย


 


 


ทหารยามร้องเสียงดังครั้งหนึ่ง มีดในมือตกพื้น เลือดสีแดงสดกระฉูดใส่หน้าหลิงอวี้จื้อ ทำให้ท้องไส้ของเธอปั่นป่วนม้วนเป็นคลื่นทะเลอีกระลอก


 


 


หลิงอวี้จื้อคิดไม่ถึงว่าหมาป่าผีจะช่วยเธอได้จริงๆ ตะโกนบอกหมาป่าผีว่า


 


 


“เจ้าหมาป่าผี ขอบใจนะ”


 


 


หมาป่าผีคำรามเสียงต่ำหนึ่งครั้ง ดูเหมือนกำลังตอบรับหลิงอวี้จื้อ


 


 


เซียวเหยี่ยนที่หลุดพ้นจากทหารยามมาได้รีบดึงหลิงอวี้จื้อเข้ามากอดทันที โอบกอดเธอไว้แนบแน่น เห็นคอของหลิงอวี้จื้อมีเลือดไหล ใจเขาก็เจ็บปวดแทบทนไม่ไหว ฉีกผ้าจากแขนเสื้อทันทีแล้วพันคอหลิงอวี้จื้อไว้เพื่อช่วยหยุดเลือดชั่วคราว


 


 


“ข้าไม่เป็นอะไรเพคะ ไม่เจ็บ จริง ๆ”


 


 


หลิงอวี้จื้อทำหน้าไม่สนใจแผล เพื่อไม่ให้เซียวเหยี่ยนเป็นห่วง ที่จริงเธอเจ็บแทบทนไม่ไหว ถ้าช้ากว่านี้อีกนิดเดียว หลอดเลือดแดงเธอคงขาดไปแล้ว ถึงตอนนั้นเทพยดาก็ช่วยเธอไม่ได้


 


 


หลิงอวี้จื้อแค่ได้ยินเสียงพรวดหนึ่งครั้ง จู่ๆ เลือดก็ทะลักออกมาจากปากของเซียวเหยี่ยน จากนั้นเธอก็เห็นใบหน้าดุร้ายของมู่กวานเสวี่ย กระบี่ยาวเล่มหนึ่งแทงทะลุร่างเซียวเหยี่ยนจากด้านหลัง แล้วดึงออกไปทันที


 


 


หลิงอวี้จื้อตกใจเบิกตาโพลง หัวใจทั้งดวงแทบจะกระดอนออกมา เซียวเหยี่ยนยิ้มให้หลิงอวี้จื้อ


 


 


“อวี้จื้อ ข้าไม่เป็นอะไร”


 


 


“เซียวเหยี่ยน ท่านต้องอดทนไว้นะ ต้องอดทนเอาไว้นะเพคะ”


 


 


หลิงอวี้จื้อประคองเซียวเหยี่ยน เห็นบริเวณท้องของเขามีเลือดไหลออกมาไม่หยุด หากเป็นยุคปัจจุบันต้องรีบพาส่งโรงพยาบาลทันที มิเช่นนั้นถึงตายได้


 


 


เซียวเหยี่ยนหันกลับไป ถีบหน้าอกมู่หรงกวานเสวี่ยหนึ่งที พาหลิงอวี้จื้อถอยไปข้างหลังหลายก้าวติดกัน


 


 


จากนั้น เซียวเหยี่ยนก็กดจุดบริเวณปากแผลของตนเอง เพื่อหยุดเลือดบริเวณปากแผลชั่วคราว


 


 


มู่หรงกวานเสวี่ยที่พักสักครู่ยังคิดจะบุกเข้ามาอีกครั้ง ปิ่นหนึ่งเล่มปักเข้าที่มือนางอย่างจัง กระบี่ยาวในมือตกลงบนพื้น มู่หรงกวานเสวี่ยหันกลับมาด้วยความตกตะลึง


 


 


“เฟิงอิ๋น เจ้า…”


 


 


“มู่หรงกวานเสวี่ย ไม่อนุญาตให้เจ้าทำลายชีวิตเซียวเหยี่ยน ชีวิตเขาเป็นของข้า มิเช่นนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ”


 


 


ถึงแม้เฟิงอิ๋นแทบจะอยากให้เซียวเหยี่ยนตายเสียเดี๋ยวนั้น ปากบอกไปว่าตัดใจได้แล้ว แต่พอเห็นฉากนี้จริงๆ นางก็อดใจไม่ไหวอยากช่วยเซียวเหยี่ยน เซียวเหยี่ยนควรตายด้วยน้ำมือของนาง ไม่ยอมให้คนอื่นฆ่าเซียวเหยี่ยนเด็ดขาด


 


 


“ข้าจะดูซิว่าเจ้าจะอธิบายท่านอาจารย์อย่างไร”


 


 


มู่หรงกวานเสวี่ยมิได้โต้ตอบ เพียงแต่แค่นเสียงหึอย่างเย็นชา


 


 


ร่างกายของมั่วชิงก็รับบาดเจ็บมาหลายแห่ง รีบมาข้างๆ เซียวเหยี่ยนกับหลิงอวี้จื้อ พูดเตือนเสียงต่ำ


 


 


“ท่านอ๋อง คุณหนู ข้างนอกมีคนมาอีกแล้ว พวกเราทำอย่างไรดีเพคะ”


 


 


คนที่นี่ยังจัดการไม่ได้ หากข้างนอกยังมีคนมาอีก ผลจะเป็นอย่างไรแค่คิดก็รู้ นอกจากถูกจับก็คือถูกจับ


 


 


“อย่าลนลาน อาจจะเป็นคนของพวกเราก็ได้”


 


 


เซียวเหยี่ยนใจเย็นมาก ได้ยินเขาพูด หลิงอวี้จื้อก็รู้สึกอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก


 


 


พวกเขาในขณะนี้เรียกได้ว่าอันตรายจนถึงขีดสุด สามารถทิ้งชีวิตไว้ที่นี่ได้ตลอดเวลา ปกติควรจะกลัวมาก แต่พอได้ยินเสียงหัวใจของเซียวเหยี่ยนแล้ว จู่ๆ เธอก็ไม่กลัวอะไรอีก เธอรู้สึกว่าคราวนี้พวกเธอจะต้องออกไปจากที่นี่โดยสวัสดิภาพได้


 


 


“อาเหยี่ยน ท่านต้องแข็งใจไว้นะ”


 


 


เซียวเหยี่ยนพยักหน้าหงึกหงัก


 


 


เสียงฝีเท้าจากข้างนอกใกล้เข้ามาทุกที พอเห็นคนที่บุกเข้ามา พวกเขาก็โล่งใจพร้อมกัน อู่จิ้นพาคนมาจริงๆ


 


 


“นายท่าน กระหม่อมมาช้าแล้ว หวังว่านายท่านจะให้อภัย”


 


 


พอเห็นพวกเขาสามคนโชกเลือดไปทั้งตัว อู่จิ้นก็ขออภัยเป็นอันดับแรก


 


 


“ถือว่ายังทันเวลา”


 


 


เซียวเหยี่ยนพาหลิงอวี้จื้อถอยไปข้างๆ ทหารยามที่เหลือมอบให้พวกเขาจัดการ มีพวกเขาอยู่ เพียงพอแล้ว


ตอนที่ 350 หากยังไม่ตาย ใครก็อย่าคิดจะออกจากสำนักอู๋จี๋


 


 


ไม่นานคนที่อู่จิ้นพามาด้วยก็ฆ่าทหารยามในคุกใหญ่ตายเกลี้ยง แถมยังจับมู่หรงกวานเสวี่ยที่ได้รับบาดเจ็บเอาไว้ด้วย


 


 


มั่วชิงเปิดประตูใหญ่ รวบตัวเฟิงอิ๋นไว้ มีผู้คุมกฎสองคนในมือ พวกเขาก็ไม่กลัวว่าเจียงสือจะทำอะไร ในเมื่อการฝึกฝนบ่มเพาะผู้คุมกฎมาได้สักคนไม่ใช่เรื่องง่าย


 


 


เฟิงอิ๋นไม่กลัว มองมั่วชิงด้วยสายตาเยียบเย็น


 


 


“นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะกลายเป็นสาวใช้ของเซียวเหยี่ยน มั่วชิง แรกสุดเจ้าเป็นผู้คุมกฎสำนักอู๋จี๋ แต่ต้องตกต่ำลงมาถึงจุดนี้ ไม่รู้เลยว่าสมองเจ้าคิดอะไรอยู่ หากเจ้าถูกใจเซียวเหยี่ยน อยากเป็นผู้หญิงของเซียวเหยี่ยน ข้าก็ไม่มีอะไรจะพูด เจ้าเต็มใจเป็นสาวใช้ ข้าดูแคลนเจ้าจริงๆ ทำสำนักอู๋จี๋ขายหน้าแท้ ๆ”


 


 


“ข้าไม่ใช่คนสำนักอู๋จี๋นานแล้ว มิหนำซ้ำข้าเกิดมาก็ยากจนข้นแค้นอยู่แล้ว ท่านอ๋องเป็นผู้มีพระคุณช่วยชีวิตข้า จะเป็นสาวใช้แล้วจะทำไม ก็ดีกว่าคนหน้าด้านหน้าทนคอยตามเกาะแกะท่านอ๋องอย่างเจ้า การกระทำเช่นนี้ต่างหากที่ทำให้คนอื่นเขาดูถูก”


 


 


มั่วชิงตอบกลับอย่างเย็นชา


 


 


ตอนนี้เองเจียงสือนำคนเข้ามา เจียงสือยังเกล้ามวยผม สวมเสื้อผ้าสีดำทั้งตัวเช่นเดิม เห็นว่าบนพื้นล้วนเป็นศพขององครักษ์ เลือดสีแดงสดย้อมพื้นให้เป็นสีแดงไปหมด นอกจากหมาป่าผี หมาป่าดำตัวอื่นตายหมดแล้ว หมาป่าผีเองก็บาดเจ็บสาหัส แต่ยังพอฝืนยืนต่อไปได้


 


 


เจียงสือมองเพียงปราดเดียว สีหน้าก็ขรึมลง นางไม่คิดว่าคนของเซียวเหยี่ยนจะบุกมาถึงที่นี่ได้ ข้างนอกล้วนเป็นค่ายกล ตามเหตุผลแล้วพวกเขาเข้ามาไม่ได้ เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่


 


 


ยังมีพวกหมาป่าดำอีก ใครเป็นคนพามาถึงที่นี่ หรือว่าสำนักอู๋จี๋มีคนคิดคดทรยศอีกแล้ว


 


 


“ท่านอาจารย์ มั่วชิงกลับมาแล้ว นางคือมั่วชิง”


 


 


เฟิงอิ๋นกลัวเจียงสือสงสัยตน จึงรีบบอกตัวตนของมั่วชิงให้เจียงสือรู้


 


 


มั่วชิงออกไปจากสำนักอู๋จี๋หกปีแล้ว ตอนนั้นนางบาดเจ็บสาหัส จากนั้นก็ไม่ชัดเจนว่านางอยู่ที่ใด เจียงสือนึกว่านางตายไปแล้ว ไม่คิดว่านางจะกลายเป็นคนของเซียวเหยี่ยนไปได้


 


 


เจียงสือมองมั่วชิงด้วยสายตาพิฆาตแรงกล้า


 


 


“ที่แท้เจ้าเปลี่ยนโฉมใหม่แล้ว มิน่าถึงไม่มีเบาะแสของเจ้าเลย มั่วชิง หากเจ้าอยากมีชีวิตอยู่ ก็ควรจะซ่อนตัวไปตลอดชีวิต ตอนนี้เจ้าจงรักภักดีต่อเซียวเหยี่ยน กลับมาสำนักอู๋จี๋กับเขา เพื่อมาแก้แค้นกับข้าผู้เป็นอาจารย์อย่างนั้นหรือ”


 


 


มั่วชิงรู้ดีว่าตนเองไม่มีความสามารถนี้ นางไม่เคยคิดกลับมาล้างแค้นสำนักอู๋จี๋ คิดแต่เพียงอยากลืมความทรงจำนี้เสีย ดังนั้นก่อนหน้านี้นางจึงไม่เคยพูดถึงสำนักอู๋จี๋กับใคร แม้แต่เซียวเหยี่ยนก็ไม่รู้


 


 


หากเซียวเหยี่ยนไม่ได้บังเอิญเกี่ยวข้องกับสำนักอู๋จี๋ ทั้งชีวิตนี้นางก็ไม่มีทางเอ่ยถึงสำนักอู๋จี๋อีก


 


 


ก่อนหน้านี้นางไม่รู้เลยว่าพระศพของซีหนานอ๋องอยู่ที่สำนักอู๋จี๋ มิเช่นนั้นนางคงบอกเซียวเหยี่ยนแล้ว ความลับนี้เมื่อก่อนถูกเจียงสือปิดไว้อย่างมิดชิด พวกเฟิงอิ๋นก็คงจะฝึกปรุงยาฟื้นคืนชีพจนเข้าที่เข้าทางขึ้นเรื่อยๆ ถึงได้รู้เรื่องนี้เข้า


 


 


รู้ดีว่าเจียงสือเป็นคู่แค้นของตน แต่ตนเองก็ยังกลัวนางอยู่ร่ำไป ตรงจุดนี้มั่วชิงแค้นใจตนเองมาก สำหรับนาง เจียงสือคือฝันร้าย


 


 


นางหลบสายตาเจียงสือ หลุบตาลงเพื่อปิดบังความรู้สึกในดวงตา


 


 


“ข้ากับสำนักอู๋จี๋ไม่มีความสัมพันธ์ต่อกันนานแล้ว”


 


 


“เข้ามาในสำนักอู๋จี๋แล้ว หากไม่ตาย ก็ย่อมต้องเป็นคนของสำนักอู๋จี๋ไปตลอดชีวิต เจ้าโตมาที่สำนักอู๋จี๋ตั้งแต่ยังเล็ก กฎของสำนักอู๋จี๋เจ้าควรจะรู้ดี”


 


 


เจียงสือพูดจบก็หันกลับไปมองเซียวเหยี่ยนอีกครั้ง หัวเราะเยือกเย็น


 


 


“เซียวเหยี่ยน เจ้านึกว่าจับเฟิงอิ๋นกับมู่หรงกวานเสวี่ยได้แล้วจะออกจากสำนักอู๋จี๋ได้หรือ พวกเจ้าไร้เดียงสาเกินไปแล้ว หากไม่ได้รับอนุญาตจากข้า พวกเจ้าก็ไม่มีวันได้ออกไปจากสำนักอู๋จี๋”


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 351 เงื่อนไขการเจรจาต่อรอง


 


 


“สำนักอู๋จี๋เล็กๆ จะจับข้าไว้ได้อย่างไร ในเมื่อคนของข้าบุกเข้ามาได้ เช่นนั้นค่ายกลของสำนักอู๋จี๋คงจะแตกไปแล้ว จึงรั้งพวกเขาไว้ไม่อยู่


 


 


เจียงสือ เจ้าคงยังไม่รู้สถานการณ์ภายนอก ให้คนของเจ้าออกไปดูข้างนอกให้ดีๆ สักหน่อยดีกว่า”


 


 


เพิ่งจะสิ้นเสียงของเซียวเหยี่ยน จู่ๆ ทหารยามคนหนึ่งก็วิ่งตาลีตาเหลือกเข้ามา เพราะว่ารีบวิ่งเกินไป จึงเกือบล้มคะมำ พอเห็นเขาลนลานเช่นนี้ สีหน้าของเจียงสือก็เริ่มดูไม่ได้ ขายหน้าสำนักอู๋จี๋จริงๆ ทหารยามเช่นนี้เก็บเอาไว้ไม่ได้แล้ว


 


 


“มีเรื่องอะไรถึงได้ลนลานเช่นนี้”


 


 


“แย่แล้วขอรับ เจ้าสำนัก ข้างนอกสำนักอู๋จี๋ถูกเจ้าหน้าที่ทหารล้อมไว้หมดแล้ว กะจากสายตามีหลายพันคนขอรับ”


 


 


ถึงแม้ว่าสำนักอู๋จี๋จะใหญ่มาก แต่ข้างในมีทหารยามเพียงสองสามร้อยคนเท่านั้น หากถูกนายพลทหารที่เคยผ่านสนามรบมาแล้วล้อมไว้ พวกนางก็คงไม่ได้อยู่ในสถานะได้เปรียบอะไร เพียงแต่จะถูกทำลายให้ย่อยยับเท่านั้น


 


 


“เซียวเหยี่ยน เจ้า…”


 


 


เห็นได้ชัดว่าเจียงสือนึกไม่ถึงว่าคนของเซียวเหยี่ยนจะเจอที่นี่ได้ ซ้ำยังระดมกำลังเจ้าหน้าที่ทหารมาล้อมสำนักอู๋จี๋ไว้


 


 


เขาเป็นอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ในมือมีอำนาจกำลังทหาร การส่งกำลังทหารมาก็เป็นเรื่องง่าย ขอเพียงไม่เข้าไปในเมืองหลวง ก็สามารถทำได้โดยไม่ต้องได้รับพระราชานุญาตจากฮ่องเต้


 


 


เพียงแต่ปกติกองทัพทหารจะประจำการอยู่ที่ชายแดน ทางนี้ไม่ได้มีกองทัพทหารขนาดใหญ่ คนสองสามพันคนนี้เซียวเหยี่ยนไปเกณฑ์มาจากไหน เหตุใดนางถึงไม่รู้เรื่องนี้มาก่อนเลยแม้แต่น้อย


 


 


มิหนำซ้ำค่ายกลข้างนอกก็ละเอียดซับซ้อนเช่นนี้ หากไม่มีคนที่ชำนาญค่ายกล ก็ไม่มีทางแหกค่ายกลเข้ามาได้เด็ดขาด


 


 


สีหน้าเซียวเหยี่ยนนิ่งสงบ รังสีความเป็นอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์แผ่ซ่านไปทั้งร่าง


 


 


“ข้าเป็นขุนพลมาหลายปี มียอดฝีมือไม่ธรรมดาในกำมือหลายคน ค่ายกลเหล่านี้แม้จะละเอียดซับซ้อนเพียงใด ก็มิได้หมายความว่าจะไขไม่ออก


 


 


เมื่อก่อนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสำนักอู๋จี๋อยู่ที่ใด และข้าก็มิได้คิดจะสู้รบปรบมือด้วย ตอนนี้พวกเจ้ากล้าดูหมิ่นพระศพของเสด็จพ่อ ข้าก็ไม่สามารถเก็บสำนักอู๋จี๋เอาไว้อีก”


 


 


“เซียวเหยี่ยน เซียวซู่ยังอยู่ในกำมือข้า หากเจ้ากล้าทำอะไรบุ่มบ่าม ข้าก็คงต้องเฆี่ยนศพ [1] เสียแล้ว”


 


 


“ตอนที่ข้าเห็นพระศพของเสด็จพ่อวันนั้น ข้าจงใจโรยผงฟอสฟอรัสลงไป หากไม่มีอะไรผิดคาด ตอนนี้เสด็จพ่อคงจะกลายสภาพเป็นเถ้าแล้ว ข้าไม่มีวันยอมปล่อยให้เจ้ามีโอกาสทำเรื่องอัปมงคลกับเสด็จพ่อเป็นอันขาด เจียงสือ เจ้าไม่มีเบี้ยหมากไว้ข่มขู่ข้าแล้ว”


 


 


ขณะฟังคำพูดของเซียวเหยี่ยน สีหน้าของเจียงสือก็ค่อยๆ หม่นหมองลง นางไม่รู้เลยว่าเซียวเหยี่ยนแอบทำเรื่องเอาไว้มากมายเช่นนี้ สำนักอู๋จี๋เคยถูกทำลายมาแล้ว ไม่มีทางถูกทำลายได้อีกเด็ดขาด


 


 


“เจียงสือ เจ้าไม่มีทางเลือกเหลือแล้ว ตอนนี้สำนักอู๋จี๋ถูกบีบอยู่ในกำมือของข้า เพียงแค่สั่งครั้งเดียว สำนักอู๋จี๋ก็จะมลายหายไปจากโลกนี้โดยสิ้นเชิง”


 


 


เซียวเหยี่ยนเตือนเจียงสือ


 


 


หลิงอวี้จื้อไม่ได้พูดอะไรมาโดยตลอด ช่วงเวลาแบบนี้ปล่อยให้เซียวเหยี่ยนได้สำแดงพลัง เธอทำหน้าที่เป็นคนดูอยู่เงียบๆ ก็พอ


 


 


เธอเข้าใจเจตนาของเซียวเหยี่ยน ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเธอคือออกไปจากสำนักอู๋จี๋ หากเจียงสือไม่ปล่อยคน เช่นนั้นความเป็นไปได้ที่มากที่สุดก็คือตายไปพร้อมกันหมด


 


 


เซียวเหยี่ยนพูดเรื่องเหล่านี้เพื่อบังคับให้เจียงสือปล่อยคน


 


 


“หากเป็นเช่นนี้ พวกเจ้าทุกคนก็ต้องกลายเป็นศพพร้อมกับข้า


 


 


เซียวเหยี่ยน ขอเพียงเจ้าถอนกำลังทหาร ข้าก็จะปล่อยพวกเจ้าออกไปจากสำนักอู๋จี๋ ชีวิตของอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มีค่าสูงส่งนัก หากตายที่นี่ย่อมไม่คู่ควร ไม่ทราบว่าท่านอ๋องมีความเห็นว่าอย่างไร หากสู้กันให้ตายกันไปข้างหนึ่ง จะไม่เป็นผลดีกับพวกเราสักคน”


 


 


คิดอยู่สองสามตลบ เจียงสือก็ตัดสินใจ


 


 


ข้างนอกถูกเจ้าหน้าที่ทหารล้อมไว้ หากพวกเขาบุกโจมตีสำนักอู๋จี๋ นางก็ยังหนีออกไปได้


 


 


แต่สำนักอู๋จี๋ก็จะจบสิ้นโดยบริบูรณ์ นี่คือสิ่งที่นางทุ่มเททำมาตลอดชีวิต จะมาป่นปี้ไปด้วยน้ำมือของเซียวเหยี่ยนเช่นนี้ไม่ได้ ดังนั้นนางจึงต้องตั้งเงื่อนไขเจรจาต่อรองกับเซียวเหยี่ยน นางรู้ว่าเซียวเหยี่ยนก็ไม่อยากตาย


 


 


สิ่งที่เซียวเหยี่ยนรอคือคำพูดนี้แหละ ได้ยินเช่นนี้เขาก็ลอบถอนหายใจโล่งอก แต่แสร้งทำเป็นครุ่นคิดถึงได้เอ่ยว่า


 


 


“ได้ ข้าจะถอนกำลังทหาร แต่ข้าต้องเอาสองคนนี้ไป เถ้ากระดูกของเสด็จพ่อกับชุนเหนียง”


 


 


 


 


——


 


 


[1] เฆี่ยนศพ (鞭尸)เป็นวิธีการลงโทษอย่างหนึ่งในสมัยโบราณของจีน โดยขุดศพออกมาแล้วใช้แส้เฆี่ยนตี เพื่อระบายความแค้นเคืองและความอัปยศอดสู เป็นการดูถูกเหยียดหยามคนตายอย่างที่สุด


ตอนที่ 352 ออกจากสำนักอู๋จี๋


 


 


“ข้านึกไม่ถึงเลยว่าชุนเหนียงจะอาจหาญถึงเพียงนี้”


 


 


ประโยคเดียวก็ทำให้นางรู้ว่าชุนเหนียงก็ทรยศนางเช่นกัน ถึงแม้จะแค้นจนบดเขี้ยวเคี้ยวฟัน ถึงเวลาค่อยหาโอกาสเก็บนางก็พอ เจียงสือยังคงรับปาก


 


 


“ได้ ข้ารับปากเจ้าว่าจะส่งคนให้ แต่เฟิงอิ๋นกับมู่หรงกวานเสวี่ยต้องอยู่ที่นี่”


 


 


เจียงสือให้คนพาชุนเหนียงมาอย่างเร็ว จากนั้นก็ให้ทหารยามไปห้องตะวันตก เซียวซู่ซึ่งอยู่ภายในโลงไม้ถูกเผาเป็นเถ้าแล้วจริงๆ ทหารยามโกยเถ้ากระดูกของเซียวซู่ใส่ลงในโถกระเบื้องลายคราม นำไปให้เซียวเหยี่ยน


 


 


เซียวเหยี่ยนเปิดโถ ยืนยันว่าเป็นเถ้ากระดูกจริงแล้ว ก็ส่งโถให้อู่จิ้นที่อยู่ข้างหลัง ชุนเหนียงยืนตัวสั่นสะท้านอยู่ข้างหลังเซียวเหยี่ยน ไม่กล้ามองเจียงสือเลยด้วยซ้ำ ฝ่ามือชุ่มเหงื่อไปหมด แทบจะมุดหัวลงดินไป


 


 


เจียงสือหน้าตึง สีหน้าดูไม่ได้อย่างยิ่ง นางเอาเซียวซู่มา เห็นอยู่ทนโท่ว่ายาฟื้นคืนชีพใกล้จะสำเร็จแล้ว นึกไม่ถึงว่าเซียวซู่จะถูกเซียวเหยี่ยนเผาเสีย นับว่าเซียวเหยี่ยนทำลายแผนนางพังทลายโดยสิ้นเชิง บัญชีหนี้แค้นนี้นางจะจดจำไว้อย่างดี


 


 


พ่อลูกคู่นี้เป็นมารผจญของนางโดยแท้


 


 


“ท่านอ๋องยังไม่คิดจะปล่อยคนอีกหรือ”


 


 


เซียวเหยี่ยนกำลังจะปล่อย ถึงแม้ว่าอยากจะฆ่าสองคนนี้เหลือเกิน แต่ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่ดี สิ่งที่สำคัญที่สุดตอนนี้คือออกไปจากสำนักอู๋จี๋ ยิ่งเร็วยิ่งดี ลากยาวไปก็กลัวแค่ว่าเจียงสือจะหาทางหนีทีไล่ได้


 


 


หลิงอวี้จื้อที่เงียบมาโดยตลอด อยู่ๆ ก็เอ่ยปาก


 


 


“เดี๋ยวก่อน เจ้าสำนัก เมื่อครู่มู่หรงกวานเสวี่ยแทงท่านอ๋องไปหนึ่งครั้ง ทำกับคนอื่นเช่นไรตนเองก็ต้องโดนกระทำเช่นกัน แผลนี้นางต้องใช้คืนให้ท่านอ๋อง”


 


 


“หลิงอวี้จื้อ เจ้า…”


 


 


ได้ยินหลิงอวี้จื้อต้องการแทงตนเองหนึ่งแผล มู่หรงกวานเสวี่ยก็เบิกตาโต มองไปทางเจียงสือทันที หวังว่าเจียงสือจะตอบปฏิเสธคำพูดไร้สาระเช่นนี้


 


 


“เป็นหนี้ก็ต้องคืนเงิน แทงคนอื่นก็ต้องใช้คืนเช่นกัน เหตุผลข้อนี้เจ้าสำนักย่อมเข้าใจ”


 


 


หลิงอวี้จื้อไม่กลัวเจียงสือ พูดด้วยสีหน้าผ่อนคลาย


 


 


เจียงสือไม่พูดอะไร ถือว่ายอมรับเงียบๆ แล้ว


 


 


เห็นเจียงสือยอมรับเงียบๆ ใจมู่หรงกวานเสวี่ยก็ชาไปครึ่งหนึ่ง ใครจะรู้ว่าหลิงอวี้จื้อจะฉวยโอกาสนี้ฆ่านางหรือไม่ ถึงแม้สำนักอู๋จี๋จะทดลองปรุงยาฟื้นคืนชีพมาโดยตลอด แต่ว่ายังไม่สำเร็จ ยานั้นกินไปจะกลายเป็นอะไรก็ยังไม่แน่ใจ นางไม่อยากกลายเป็นสัตว์ประหลาดแน่


 


 


หลิงอวี้จื้อหยิบกระบี่จากมั่วชิง แทงเข้าท้องมู่หรงกวานเสวี่ยโดยไม่เกรงใจ กระบี่นี้แทงทะลุท้องของมู่หรงกวานเสวี่ยโดยสมบูรณ์


 


 


มู่หรงกวานเสวี่ยพ่นเลือดออกมา


 


 


หลิงอวี้จื้อถีบท้องมู่หรงกวานเสวี่ย เมื่อได้ใช้กระบี่แทงแล้ว ในที่สุดเธอก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาก


 


 


มู่หรงกวานเสวี่ยเหิมเกริมเกินไปแล้ว มุ่งหมายเอาชีวิตพวกเขาชัดๆ หากไม่ใช่เพราะตอนนี้ยังฆ่าไม่ได้ เธอคงฆ่ามู่หรงกวานเสวี่ยตายอย่างไม่ใยดีไปแล้ว


 


 


คนบางคนตายไปแล้วก็เสียดาย แต่หากมู่หรงกวานเสวี่ยตายไป เธอก็คงแค่รู้สึกว่าสาแก่ใจใครหลายคน


 


 


จากนั้นเซียวเหยี่ยนก็ปล่อยเฟิงอิ๋น เจียงสือพาเซียวเหยี่ยนเดินทะลุผ่านทางแคบไปโดยไม่พูดอะไร


 


 


ประตูหินถูกเปิดออกแล้ว มองไป รอบทิศมีเสียงกลองและเสียงคนตะโกนแว่วมาไม่ขาดสาย เหมือนจะมีคนมามากมาย


 


 


ขุนพลผู้นำทับสวมชุดเกราะสีเทาเงิน ข้างหลังมีคนยืนอยู่เกินหลายร้อยคน พอเห็นเซียวเหยี่ยน ทั้งหมดก็คุกเข่าลงอย่างเป็นระเบียบ


 


 


“คารวะท่านอ๋อง กองทัพข้ามีคนและม้าร่วมห้าพันคนรวมตัวกันครบแล้ว ทั้งภูเขาอวิ๋นเฟิงล้วนเป็นคนของพวกเรา รอทำภารกิจของท่านอ๋องอยู่ขอรับ”


 


 


“แม่ทัพหลี่ เจ้าลุกขึ้นเถิด! รีบให้คนบนเขากระจายลงเขาไปให้หมด”


 


 


“ขอรับ ท่านอ๋อง”


 


 


เรื่องคำสั่งของเซียวเหยี่ยน แม่ทัพหลี่ไม่ได้ถามสักคำ ปฏิบัติตามคำสั่งทันที แสดงให้เห็นถึงบารมีที่เขามีในกองทัพ


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 353 อุบายเมืองร้าง


 


 


เจียงสือเห็นเจ้าหน้าที่ทหารสลายตัวลงเขาไปแล้ว ก็ไม่ได้ขัดขวางการจากไปของพวกเซียวเหยี่ยน รอจนพวกเขาไปแล้ว นางต้องซ่อมแซมค่ายกลข้างนอกสำนักอู๋จี๋ใหม่


 


 


พอสติกลับมา นางก็คิดอย่างละเอียดรอบคอบอีกครั้ง จึงได้รู้สึกว่าเรื่องมันผิดปกติ


 


 


หากเซียวเหยี่ยนนำทหารมาห้าพันคนจริง เหตุใดถึงได้หยุดการเคลื่อนไหวเร็วขนาดนี้ จึงรีบให้คนไปสืบดูว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เมื่อครู่นางถูกรังสีความน่ายำเกรงของเซียวเหยี่ยนทำให้ผวา จึงปล่อยเซียวเหยี่ยนไปโดยมิได้สืบถามฟังความจริงเท็จ


 


 


เพื่อไม่ให้หลิงอวี้จื้อกังวล เซียวเหยี่ยนจึงประคับประคองร่างกายตนเอง พาหลิงอวี้จื้อลงเขาไปอย่างรวดเร็ว ระหว่างเส้นทางลงเขา หลิงอวี้จื้อมองเห็นเงื่อนงำบางอย่าง


 


 


ก่อนหน้านี้ได้ยินเสียงตีกลองร้องตะโกนมืดฟ้ามัวดิน ยังนึกว่ามีคนอยู่ทุกหนทุกแห่ง ตลอดทางเดินนี้กลับมองเห็นคนไม่กี่คน ในใจรู้สึกสงสัยมาก คราวนี้เซียวเหยี่ยนคงไม่ได้ใช้อุบายเมืองร้าง [1] หรอกนะ!


 


 


ตีนภูเขามีรถม้าจอดอยู่สองคัน หลิงอวี้จื้อกับเซียวเหยี่ยนนั่งคันหนึ่ง มั่วชิงกับชุนเหนียงนั่งอีกคนหนึ่ง รถม้าห้อตะบึงเข้าอำเภอฉางหนิงไป


 


 


เซียวเหยี่ยนที่ทนบาดแผลมาตลอดในที่สุดก็เริ่มทนไม่ไหวแล้ว เขาพิงไหล่หลิงอวี้จื้อ ตอนนี้เขาไม่มีเรี่ยวแรงเหลือแม้แต่นิดเดียว แต่กลับไม่บอกหลิงอวี้จื้อ เพื่อไม่ให้นางเป็นห่วง


 


 


หากจิตตั้งมั่นของเขาไม่แข็งแกร่งพอ เขาคงเป็นลมไปนานแล้ว ตอนนี้เขาก็รู้ดีว่าตนเองทนไปได้อีกไม่นาน


 


 


หลิงอวี้จื้อรู้ว่าเขาได้รับบาดเจ็บ แนบข้างหูเซียวเหยี่ยนพูดเสียงต่ำว่า


 


 


“อาเหยี่ยน พวกเราใกล้จะถึงอำเภอฉางหนิงแล้ว ท่านต้องอดทนเอาไว้นะ”


 


 


“ข้าไม่เป็นไร ข้าเกิดมาเป็นขุนพล บาดเจ็บเป็นเรื่องปกติ เจ้าไม่ต้องกังวล”


 


 


เซียวเหยี่ยนพูดจาเบากว่าความเป็นจริง ที่จริงเขาเวียนหัวมาก เขารู้ว่าเขาจะเป็นลมไปตอนไหนก็ได้ แต่หวังว่าจะทนได้นานกว่านี้อีกหน่อย เมื่อครู่ตอนที่เพิ่งออกจากสำนักอู๋จี๋ เขารู้ว่าหลิงอวี้จื้อกลัว คิดอยากจะอยู่เป็นเพื่อนหลิงอวี้จื้อ พยายามแสดงออกว่าไม่มีปัญหาอะไร


 


 


หลิงอวี้จื้อก็ยังทนไม่ไหวถามว่า


 


 


“อาเหยี่ยน ตอนที่พวกเราลงจากเขา ข้าไม่เห็นว่าบนเขาจะมีทหารมากมายสักเท่าใด เรื่องมันเป็นมาอย่างไรกันแน่”


 


 


“เวลากระชั้นชิดเช่นนี้จะเกณฑ์คนเข้ามามากขนาดนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย พวกนั้นล้วนเป็นทหารส่วนตัวของแม่ทัพหลี่ มีเพียงสองร้อยกว่าคน


 


 


เสียงกลองและเสียงร้องตะโกนล้วนเป็นการจัดฉาก พวกเขาผ่านสนามรบมานับร้อย จัดฉากเช่นนี้ย่อมเป็นเรื่องธรรมดา เจียงสือรู้ว่าข้าเป็นอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ไม่รู้เรื่องภายใน หลอกนางเพียงชั่วคราวไม่เป็นปัญหา”


 


 


“มิน่าล่ะ ท่านไม่ได้จะทำลายสำนักอู๋จี๋จริงๆ ข้ายังนึกว่าเรื่องหนีเอาตัวรอดสำคัญเร่งด่วน ให้พวกเรากลับไปโดยสวัสดิภาพก่อนแล้วค่อยโจมตีสำนักอู๋จี๋ เมื่อเกณฑ์คนมาได้ห้าพันคนจริงๆ แล้ว จะทำลายสำนักอู๋จี๋ก็เป็นเรื่องง่ายมาก”


 


 


เสียงของเซียวเหยี่ยนเบามาก


 


 


“สำนักอู๋จี๋ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่พวกเราคิด มิเช่นนั้นคงไม่ยืนหยัดได้เช่นนี้ คราวนี้พอพวกเราจากไปแล้ว เจียงสือย่อมต้องเปลี่ยนค่ายกลสำนักอู๋จี๋โดยทันทีแน่นอน จะเข้าใกล้สำนักอู๋จี๋อีกเป็นเรื่องยากอย่างยิ่ง ครั้งนี้สามารถเจาะค่ายกลเข้ามาได้อย่างราบรื่น เพราะข้าเข้ามาเองแล้วรอบหนึ่ง จำทุกขั้นตอนอย่างละเอียด ให้ชุนเหนียงหาทางส่งจดหมายออกไป ถึงได้เจาะค่ายเข้ามาอย่างราบรื่น มิเช่นนั้นพวกเราไม่มีทางเจาะค่ายกลสำนักอู๋จี๋ได้เลย


 


 


เจียงสือเก่งกาจจริงๆ ค่ายกลที่ออกแบบมาละเอียดอ่อนมาก แรงกำลังข้าคนเดียวไม่มีทางเจาะเข้ามาได้ แรงกำลังผู้ใต้บังคับบัญชาของข้าเพียงฝ่ายเดียวก็ไม่สามารถเจาะเข้ามาได้”


 


 


หลิงอวี้จื้อรู้สึกกลัวล่วงหน้า


 


 


“เช่นนั้นอันตรายมากจริงๆ”


 


 


“อวี้จื้อ เหตุใดเจ้าถึงมาอำเภอฉางหนิง เจ้าก็รู้ว่าคราวนี้อันตรายเพียงใด”


 


 


“ข้าได้ยินว่าท่านหายตัวไป ดังนั้นจึงมาหาท่าน อาเหยี่ยน ข้ากลัวจริงๆ ครั้งนี้ถือว่าเรามาสำนักอู๋จี๋ด้วยกัน ต่อไปมีอะไรท่านต้องบอกข้าก่อน อย่าจงใจแสดงละครกับหญิงอื่นอีก ข้ารับไม่ได้แล้ว”


 


 


หลิงอวี้จื้อพูดจบก็กุมมือเซียวเหยี่ยน มือของเขาเย็นเป็นน้ำแข็ง แต่มีตาปลาหนาๆ


 


 


เซียวเหยี่ยนรู้ว่าข่าวเหล่านี้มีคนจงใจเปิดเผยให้หลิงอวี้จื้อรับรู้ ยิ่งไปกว่านั้นคือไม่ได้แพร่งพรายออกไปจากทางเซียวเหยี่ยนแน่นอน


 


 


 


 


——


 


 


​​​​​​[1] อุบายเมืองร้าง (空城计) เป็นอุบายการรบอย่างหนึ่งในเรื่องสามก๊ก ในยามศึกสงคราม หากกำลังทหารไพร่พลเกิดความอ่อนแอหรือมีกำลังน้อย อาจใช้อุบายนี้เพื่อจงใจแสดงให้ศัตรูเห็นว่ามิได้มีการวางแนวป้องกันการรบ ทำให้ศัตรูเกิดความฉงนสนเท่ห์ ไม่กล้าผลีผลามนำกำลังเข้าบุกโจมตี เพราะไม่แน่ใจว่าไม่มีกองกำลังทหารจริงหรือมีกำลังทหารซุ่มอยู่

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม