แพทย์เทวะ หัตถ์ปีศาจ 346-352
ตอนที่ 346
อย่างไรก็ตามก่อนที่สาวงามจะมาถึงในอ้อมแขนของเขา นางปัดแขนของเขา และวิ่งไปข้างหลังเขา ขณะที่นางปัดแขนของเขา นางก็กดแผลที่นางเพิ่งเปิด มันเจ็บปวด แต่มันก็ดึงความคิดของเขากลับมาสู่ปัจจุบัน
บุชงหันกลับมาอย่างไม่เต็มใจ และเห็นฝีเท้าอันรวดเร็วของเฟิงหยูเฮงหยุดอยู่ข้างหน้าใครบางคน คนนั้นสวมเสื้อคลุมสีขาวและมีผมสีดำสนิท ด้วยปิ่นปักผมสีขาวหยก เขาดูหล่อและสง่างามดุจเทพ
เฟิงหยูเฮงตะโกนด้วยน้ำเสียงเศร้า “พี่เจ็ด ! ” จากนั้นนางกอดแขนของเขาแล้วหันมามองเขา “พี่เจ็ด แม่ทัพบุขัดขวางอาเฮงไม่ให้ไปที่รถม้า เขาพยายามจะฆ่าอาเฮง ! ”
นี่เป็นเสียงที่ดังมากเพราะเกือบทุกคนในบริเวณใกล้เคียงจะได้ยินเสียงนาง ใบหน้าของบูชงเปลี่ยนเป็นสีแดงด้วยความโกรธ เขาต้องการที่จะฆ่านาง ? โดยไม่พูดถึงว่ามันเป็นเพียงการประลองที่เรียบง่ายในตอนแรก แม้ในตอนท้ายเขาไม่ได้ทำร้ายนางแม้แต่เล็กน้อย แต่เขาเป็นคนที่ได้รับบาดเจ็บ เขาไม่เคยได้รับบาดเจ็บในสนามรบมาก่อน แต่ใครจะรู้ว่าเขาจะได้รับบาดเจ็บจากเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ยิ่งบุชงคิดเรื่องนี้มากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งรู้สึกไม่พอใจ
ความรู้สึกไม่พอใจนี้ปรากฏขึ้นอย่างชัดเจนบนใบหน้าของเขา เมื่อเห็นการเปลี่ยนแปลงอารมณ์บนใบหน้าของเขา เฟิงหยูเฮงก็ซ่อนตัวอยู่หลังคนนั้น และพูดว่า “พี่เจ็ด มองเขาสิ ข้ากลัว เขาต้องการฆ่าข้า”
คนที่มาคือองค์ชายเจ็ด, ซวนเทียนฮั่ว เขาเห็นแล้วว่าบุชงต่อสู้กับเฟิงหยูเฮงจากระยะไกล แต่เขาก็ไม่ได้เพิ่มความเร็ว เขากลับเดินช้า ๆ เพราะเขารู้ว่าเฟิงหยูเฮงจะไม่แพ้ ตอนนี้บุชงยังคงมีสีหน้าดุร้ายต่อหน้าเขา ซวนเทียนฮั่วกลายเป็นคนที่ค่อนข้างมีความสุข “แม่ทัพบุเป็นไปได้หรือไม่ที่เจ้ารอองค์ชายผู้นี้คารวะเจ้าก่อน ? ”
องค์ชายเจ็ดพูดอย่างนี้น้อยมาก เขามักจะปฏิบัติต่อผู้คนอย่างใจดี แม้ว่าบางคนไม่ได้คำนับเขา เขาจะไม่พูดอะไรเลย จริง ๆ แล้วเขาไม่ค่อยพูดแทนตัวเองว่าเป็นองค์ชาย เขามักจะพูดว่าข้าเสมอ แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างหลังจากพบเฟิงหยูเฮง เมื่อไรก็ตามที่เกิดอะไรขึ้นกับผู้หญิงคนนี้ ท่าทางที่ใจดีของเขาก็จะหายไปทันที ในความเป็นจริงเขาจะลงเอยด้วยการทำหน้าที่อย่างไร้เหตุผล และทำตัวเหมือนองค์ชายหยู
บุชงไม่ได้โง่ เขาอยู่มาหลายปีแล้ว ดังนั้นเขาจะไม่ทราบนิสัยของซวนเทียนฮั่วได้อย่างไร เมื่อเห็นว่าเขาเย็นชา เขาก็เข้าใจทันทีว่าองค์ชายเจ็ดโกรธ องค์ชายเจ็ดแทบจะไม่โกรธ จริง ๆ แล้วเขาไม่เคยโกรธ อย่างไรก็ตามทุกคนรู้ว่าการไม่โกรธไม่ได้หมายความว่าเขาไร้อารมณ์ มันเป็นเพียงว่าเขารำคาญที่จะต่อปากต่อคำ เมื่อเขาโกรธจริง ๆ เขาก็รับมือได้ยากไม่ด้อยไปกว่าองค์ชายเก้า !
เหงื่อเย็นปรากฏบนหน้าผากของเขาในขณะที่เขาก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วและคุกเข่าข้างหนึ่ง และโค้งคำนับ “ผู้ใต้บังคับบัญชาที่ต่ำต้อยคารวะองค์ชายชุน ! ขอพระองค์ทรงพระเจริญพะยะค่ะ ! “
ซวนเทียนฮั่วมองเขา และได้แต่ส่ายหัว “แม่ทัพบุ ทรงพระเจริญนั้น องค์ชายผู้นี้ไม่กล้ายอมรับ ใครจะรู้เจ้าอาจจะสาปแช่งองค์ชายผู้นี้ให้ตายในวันพรุ่งนี้ทันทีเมื่อองค์ชายคนนี้หันหลังกลับไป”
เหงื่อยิ่งปรากฏบนหน้าผากของบุชง องค์ชายเจ็ดพูดเช่นนี้ ? นี่จะเป็นองค์ชายเจ็ดได้อย่างไร ? เห็นได้ชัดว่าเป็นองค์ชายเก้าปลอมแปลงมา
เขาคุกเข่าลงสองข้างแล้วก้มหัวลง เขาไม่กล้าบันดาลโทสะแม้แต่น้อยโดยพูดว่า “ผู้ใต้บังคับบัญชาที่ต่ำต้อยผู้นี้ไม่กล้าพะยะค่ะ ! ”
“เจ้าไม่กล้าหรือ ? ” ซวนเทียนฮั่วมองเขาแล้วหัวเราะเยือกเย็น “มีอะไรที่แม่ทัพบุไม่กล้าทำหรือ ? เจ้ามีความสามารถในการต่อสู้และมีความเชี่ยวชาญในกลยุทธ์ทางทหาร เสด็จพ่อมอบภารกิจให้เจ้าไปช่วยเหลือแม่ทัพทางภาคใต้ หลังจากกลับมาที่เมืองหลวงเจ้าได้รับอนุญาตเป็นพิเศษให้เข้ามาในพระราชวังพร้อมอาวุธ สำหรับเจ้า เจ้าใช้ความสามารถในการต่อสู้ของเจ้า และพลังที่เจ้าใช้เพื่อพยายามฆ่าน้องสะใภ้ของข้าบนเส้นทางไปสู่รถม้า ต่อหน้าพยานจำนวนมาก เจ้ากล้ามาก เจ้าหวังว่าจะเห็นใคร ? เจ้าจะแอบอ้างครอบครัวของข้าเพื่อทำอะไร ? ”
บุชงตกตะลึงอย่างมาก “ฝ่าบาท ไม่ใช่อย่างนั้นพะยะค่ะ ! ผู้ใต้บังคับบัญชาคนนี้กำลังแลกเปลี่ยนวิชากับองค์หญิงแห่งมณฑลจี่อัน และไม่ได้พยายามฆ่าองค์หญิงพะยะค่ะ ! ”
ความเศร้าโศกบนใบหน้าของเฟิงหยูเฮงก็ยิ่งลึกซึ้งยิ่งขึ้น “เหลวไหล ! มีดวงตาหลายคู่ที่มองเห็น แต่เจ้ายังกล้าพูดโกหกเช่นนี้หรือ ? ข้ากำลังเดินไปพร้อมกับบ่าวรับใช้ของข้าอย่างมีความสุข และเจ้าก็รีบมาตรงหน้าข้า ข้าพยายามจะหลบทางสองสามครั้ง แต่เจ้าปิดกั้นเส้นทางของข้า และเจ้าก็บอกว่าเจ้าจะทำให้ข้าเลือดตกยางออกที่นี่ ! พี่เจ็ด อาเฮงกลัวมากเจ้าค่ะ ! ”
ซวนเทียนฮั่วตบไหล่ของหญิงสาวด้วยความอ่อนโยน และกล่าวว่า “อย่ากลัวเลย พี่เจ็ดอยู่ที่นี่ไม่มีใครทำร้ายเจ้าได้”
ในเวลานี้บุชงสับสน เมื่อใดที่เขาเคยพูดว่าเขาจะทำให้นางเลือดออกที่นี่ ? นางพูดโกหกแบบนั้นด้วยหน้าซื่อ ๆ ได้อย่างไร แต่… เขาก็รีบไปหานาง และเขาก็ขัดขวางเส้นทางของเฟิงหยูเฮงนั้นเป็นเรื่องจริง เมื่อพูดถึงเรื่องนี้เขาก็ไม่มีเหตุผลแก้ตัว
ในเวลานี้ซวนเทียนฮั่วเรียกทหารองครักษ์ที่ยืนเฝ้าอยู่บนเส้นทาง มี 2 กลุ่มรวมเป็น 18 คน จากนั้นเขาก็ถามเสียงดัง “มาบอกข้ามา เมื่อแม่ทัพบุพบกับองค์หญิงมณฑลแห่งจี่อัน เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ? ”
ทันใดนั้นมีคนเดินไปข้างหน้า และตอบว่า “ฝ่าบาท บ่าวรับใช้ผู้ต่ำต้อยเหล่านี้เห็นแล้ว ในเวลานั้นองค์หญิงแห่งมณฑลจีอันกำลังสนทนากับบ่าวรับใช้ขณะที่เดินไปที่ประตูพระราชวัง แม่ทัพบุเพิ่งเข้ามาในพระราชวังและอยู่อีกฝั่งหนึ่งของเส้นทางในตอนแรก และไม่ได้ขี่ม้า เมื่อเห็นองค์หญิงแห่งมณฑลจีอัน แม่ทัพบุก็ใช้พลังภายในของเขาและพุ่งสูงขึ้นวิ่งตรงไปหาองค์หญิง พวกเราทุกคนต่างก็ตกใจอย่างมากและอยากรีบปกป้ององค์หญิง โชคดีที่องค์หญิงสังเกตเห็นทันเวลาและหลีกเลี่ยงภัยคุกคามได้ทัน หลังจากนั้นทั้งสองก็คุยกันซักพัก แต่พวกเราไม่สามารถได้ยินสิ่งที่พูดได้ แต่เราจะเห็นได้ว่าแม่ทัพบุดุร้ายมาก เขาตะโกนว่าเขาต้องการที่จะประลองกับองค์หญิง องค์หญิงไม่ต้องการและพยายามหนีพร้อมกับบ่าวรับใช้ อย่างไรก็ตามแม่ทัพบุก็ไปขวางทางองค์หญิง ดูเหมือนว่าเหมือน…”
“เป็นอย่างไร ? ” ซวนเทียนฮั่วขมวดคิ้ว “ถ้าเจ้ามีอะไรจะพูดให้พูดตรง ๆ องค์ชายผู้ค์นี้จะให้การสนับสนุนเจ้า”
บุคคลนั้นตอบกลับทันทีว่า “ดูเหมือนว่าแม่ทัพบุต้องการโจมตีองค์หญิงจริง ๆ เมื่อทั้งสองต่อสู้กันอย่างดุเดือด ถ้าไม่ใช่เพราะองค์หญิงมีทักษะสูง บางทีองค์หญิงอาจถูกฆ่าพะยะค่ะ ! ”
“เหลวไหล ! ” บุชงตะโกนเสียงดัง เขาลุกขึ้นยืนอย่างไม่รู้ตัว เขาดึงดาบออกมา และเหวี่ยงไปที่องครักษ์
“อ๊ะ ! ” ทหารองครักษ์ตะโกน แต่ไม่สามารถหลบได้
ขณะที่ดาบของบูชงกำลังจู่โจมอีกฝ่าย มีบางสิ่งที่ขาวส่องประกายตาของพวกเขาในทันใด มีไหวเล็กน้อยก่อนที่ข้อมือของเขาจะเริ่มรู้สึกชา ไม่สามารถยึดดาบของเขาได้อีกต่อไป มันตกลงบนพื้น
บุชงมองดูแสงสีขาวนั้นด้วยความกลัวขณะที่มันผ่านหน้าเขาวนกลับไปที่ซวนเทียนฮั่ว จริง ๆ แล้วมันเป็นแหวนหยกขาวที่นิ้วหัวแม่มือของซวนเทียนฮั่วซึ่งเขาสวมอยู่ข้างซ้าย
“ฝ่าบาท ! ” สีหน้าบุชงก็ไม่ได้ดีขึ้นเลย และกล่าวว่า “บ่าวรับใช้ผู้นี้กำลังพูดจาเหลวไหล ! ตอนนี้ผู้ใต้บังคับบัญชาที่ต่ำต้อยคนนี้ได้รับบาดเจ็บ แต่องค์หญิงแห่งมณฑลไม่ได้รับบาดเจ็บบนร่างกายเลยพะยะค่ะ ! ”
ซวนเทียนฮั่วไม่พูด แต่ทหารองครักษ์โกรธมาก “แม่ทัพบุ ! แม้ว่าเจ้าจะมีสถานะสูงและมีพลัง แต่เจ้าก็ไม่สามารถตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จ ! เจ้าได้รับบาดเจ็บเนื่องจากความสามารถในการต่อสู้ของเจ้าต่ำกว่าองค์หญิงแห่งมณฑลจี่อัน อย่างไรก็ตามเจ้าก็หนีความจริงที่ว่าเจ้าพยายามจะฆ่าเด็กผู้หญิงไม่ได้ ! เราทุกคนเห็นมันด้วยตัวเอง ! สหายว่าอย่างไรกันบ้าง ? ”
ภายใต้การนำของเขา ทหารองครักษ์ทุกคนกล่าวพร้อมเพรียง “แม่ทัพบุพยายามฆ่าองค์หญิงแห่งมณฑลจี่อัน เป็นสิ่งที่เราทุกคนเห็นพะยะค่ะ ! ”
ใบหน้าของบุชงเปลี่ยนเป็นสีเขียวด้วยความโกรธ ตัวเขาเองเป็นทหารและเขายังเป็นผู้นำ แต่ทำไมเขาถึงรู้สึกว่าเขาเกือบจะกลายเป็นบัณฑิตในเวลานี้ ? เขามีเหตุผลของเขาแต่เขาพูดไม่ได้ เขามีความเศร้าโศกแต่ไม่มีที่ระบาย ความผิดทั้งหมดนั้นเกิดขึ้นกับเขา ใครที่เขาควรบ่นเกี่ยวกับการถูกรุม ?
เมื่อเขามองที่เฟิงหยูเฮง เขาก็เห็นว่าใบหน้าของนางไม่มีร่องรอยของความทุกข์ นางมองเขาพร้อมกับคางของนางยื่นออกไปข้างหน้าและยิ้มเยาะเย้ย บุชงรู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้กำลังดูละครลิง และเขาก็เป็นลิงให้นาง
เขายอมรับความพ่ายแพ้
บุชงคุกเข่าลงบนพื้น และพูดกับซวนเทียนฮั่วด้วยความรู้สึกว่า “ความผิดทั้งหมดเป็นของบ่าวรับใช้ที่ต่ำต้อยผู้นี้ ฝ่าบาทโปรดลงโทษพะยะค่ะ”
ซวนเทียนฮั่วไม่สนใจเขา แต่ถามเฟิงหยูเฮง “เจ้าได้รับบาดเจ็บหรือไม่ ? ”
เฟิงหยูเฮงส่ายหัว “ข้าไม่ได้บาดเจ็บ แต่ข้าถูกแม่ทัพบุทำให้หวาดกลัวเพคะ”
ซวนเทียนฮั่วยิ้ม “โชคดีที่เจ้าไม่ได้รับบาดเจ็บ สำหรับการบรรเทาความตกใจของเจ้า องค์ชายผู้นี้ก็กำลังคิดอยู่แม่ทัพบุควรรู้วิธีที่จะปลอบขวัญองค์หญิงใช่หรือไม่ ? ”
บุชงจำได้ทันทีว่าเขาได้ยินอะไร ในวันจัดงานแต่งงานของเสนาบดีเฟิง เฟิงหยูเฮงเฆี่ยนองค์หญิงแห่งเฉียนโจว หลังจากนั้นนางก็โกรธ องค์ชายเก้ามาเยี่ยมและขอเงิน 5,000,000 เหรียญทองเป็นการตอบแทน ตอนนี้องค์ชายเจ็ดกำลังถามเรื่องนี้ เขาอยากได้เงินใช่หรือไม่ ?
เขาเงยหน้าขึ้นอย่างว่างเปล่า “ผู้ใต้บังคับบัญชาที่ต่ำต้อยคนนี้…ไม่มีเหรียญทองมากขนาดนั้นพะยะค่ะ” เขาทำไม่ได้ ตระกูลบุจะสามารถเปรียบเทียบกับต่างอาณาจักรได้อย่างไร ไม่ต้องพูดถึงเหรียญทอง พวกเขาไม่สามารถแม้แต่จะนำเงิน 5,000,000 เหรียญเงินออกมาได้
ซวนเทียนฮั่วไตร่ตรองเล็กน้อย “เช่นนั้นใช้อย่างอื่น ข้าได้ยินมาว่าตระกูลบุมีที่อยู่อาศัยไม่กี่แห่งในเขตชานเมืองของเมืองหลวง เดี๋ยวองค์ชายผู้นี้จะส่งคนไปการประเมิน เพียงแค่เตรียมการ เจ้าเป็นเจ้าหน้าที่ของราชวงศ์ต้าชุน ดังนั้นองค์ชายผู้นี้จะไม่รบกวนเจ้า มากหรือน้อยก็จะต้องถูกปรับ ไม่จำเป็นต้องได้รับเงิน 5,000,000 เหรียญทองเต็มจำนวน”
หัวใจของบุชงเต้นรัว ที่อยู่อาศัยนั้นเป็นของตระกูลบุ แต่มันไม่ได้เป็นของเขาคนเดียว แต่ถ้ามันไม่ได้รับ ?
เช่นเดียวกับที่ความคิดนี้เข้ามาในจิตใจของเขา ซวนเทียนฮั่วดูเหมือนจะเข้าใจเขาในขณะที่เขากล่าวว่า “ถ้าเจ้าไม่ยอมแพ้ องค์ชายผู้นี้จะนำความผิดฐานพยายามฆ่าองค์หญิงแห่งมณฑลจี่อันกราบทูลเสด็จพ่อ สำหรับกองทัพตะวันออกนั้นองค์ชายผู้นี้ไม่สนใจการจัดการเรื่องนี้เป็นการส่วนตัว บุชง องค์ชายผู้นี้ไม่ต้องการนำทหารก็ไม่ได้หมายความว่าองค์ชายนี้ไม่สามารถนำพวกเขา มีบางสิ่งที่องค์ชายผู้นี้ไม่ต้องการทำ อย่างไรก็ตามนั่นไม่ได้หมายความว่าองค์ชายคนนี้ไม่สามารถทำได้ แค่คุกเข่าที่นี่ในวันนี้และคิดทบทวน อย่าลุกขึ้นก่อนดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า” เขาพูดกับองครักษ์ของจักรวรรดิ “เอาอาวุธของแม่ทัพบุออกไป นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเขาจะไม่ได้รับอนุญาตให้พกอาวุธอีกต่อไปเมื่อเข้าสู่พระราชวัง”
“พะยะค่ะ ! ” ทหารองครักษ์หยิบดาบของแม่ทัพบุโดยไม่มีคำพูดใด ๆ จากนั้นจึงสั่งให้คนกลับไปดำรงตำแหน่งที่เดิม
ซวนเทียนฮั่วไม่ได้มองที่บุชงอีกต่อไป เขาหันหลังกลับและพูดกับเฟิงหยูเฮง “ในอนาคตเจ้าต้องระวังให้มากขึ้น มีอันตรายอยู่รอบตัว แม้ว่าจะในพระราชวังก็ไม่อาจรับประกันได้ว่าจะปลอดภัย เข้าใจหรือไม่ ? “
เฟิงหยูเฮงพยักหน้า “เจ้าค่ะ ขอบพระทัยพี่เจ็ดเพคะ”
ซวนเทียนฮั่วยิ้ม เมื่อเอื้อมมือออกไป เขาช่วยจัดแต่งผมที่กระจัดกระจายออกไปแล้วกล่าวว่า “หมิงเอ๋อไปที่ค่ายทหารเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการผลิตเหล็ก ข้าคิดว่าเจ้าจะไปหลังจากนั้นไม่นาน ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดเจ้าจะต้องระมัดระวัง ไม่ว่าเจ้าจะอยู่ที่ไหน เจ้าไม่สามารถรับทุกสถานการณ์ได้”
“เพคะ” นางไตร่ตรองเล็กน้อยแล้วก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ลดเสียงของนาง นางพูดว่า “ข้าเพิ่งมาจากตำหนักฉิงอัน นางสนมอันเลี้ยงนกชนิดหนึ่งซึ่งสามารถโยนสิ่งของจากที่สูงได้ เรื่องของค่ายทหารที่ถูกวางยาพิษครั้งสุดท้ายอาจเกี่ยวข้องกับนาง สำหรับคนที่อยู่เบื้องหลังคงจะเป็นองค์ชายสามเพคะ”
ซวนเทียนฮั่วพยักหน้า “ข้าเข้าใจ ในอีกไม่กี่วันข้างหน้าหาโอกาสไปเยี่ยมค่ายทหารและหารือกับหมิงเอ๋อ กลับคฤหาสน์ได้แล้ว”
เฟิงหยูเฮงยิ้มและกล่าวอำลาเขา นางและหวงซวนรีบออกจากพระราชวังอย่างรวดเร็ว
เมื่อเห็นร่างเล็ก ๆ ค่อย ๆ เดินออกไป บุชงผู้ซึ่งยังคงคุกเข่าอยู่ ทันใดนั้นก็กล่าวว่า “ฝ่าบาทไม่รู้สึกว่าคุณหนูรองตระกูลเฟิงแปลกไปหรือพะยะค่ะ ? “
ตอนที่ 347
ซวนเทียนฮั่วหันกลับมามองบุชง รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาหายไปอีกครั้ง เล่นกับแหวนที่นิ้วหัวแม่มือในมือของเขา เขาถามว่า “แปลก ? อะไรแปลก ? ”
บุชงเห็นว่าซวนเทียนฮั่วสนใจที่จะพูดคุยเรื่องนี้ ดังนั้นเขาจึงเคลื่อนไหวเล็กน้อย จากนั้นเขากล่าวว่า “ก่อนหน้านี้เฟิงหยูเฮงไม่ได้เป็นเช่นนี้พะยะค่ะ แม้ว่าตอนนี้นางดูเหมือนจะเป็นคุณหนูรองตระกูลเฟิง แต่การกระทำของนางก็เปลี่ยนไปมากพะยะค่ะ! เมื่อคิดเกี่ยวกับมัน คนเราสามารถเปลี่ยนแปลงไปได้มากมายในเวลาเพียง 3 ปีหรือพะยะค่ะ ? เวลา 3 ปีจะเพียงพอในการนางจะมีความเชี่ยวชาญในศิลปะการต่อสู้หรือ ? ความสามารถในการยิงธนูที่นางมีสามารถฝึกฝนได้ในเวลาเพียง 3 ปีเช่นนั้นหรือ ? ฝ่าบาท นางอาจจะไม่ใช่คุณหนูรองตระกูลเฟิง เรื่องนี้จะต้องกราบทูลต่อฮ่องเต้ เราจะต้องไม่ถูกหลอกนะพะยะค่ะ ! ”
ซวนเทียนฮั่วมองบุชงราวกับว่าเขากำลังมองหาคนตาย “เจ้าพูดตลอดเวลาก่อนหน้านี้ เจ้ารู้จักคุณหนูรองตระกูลเฟิงมากแค่ไหน ? จากสิ่งที่องค์ชายรู้เรื่องนี้แม้ว่าตระกูลบุจะยกความคิดเกี่ยวกับการแต่งงานกับคุณหนูรองของตระกูลเฟิง เจ้าก็พบนางสองสามครั้งในช่วงงานเลี้ยงในพระราชวัง เจ้าไม่ได้คุยกับนาง ดังนั้นเจ้าจะคุ้นเคยกับคุณหนูรองที่หายตัวไปได้อย่างไร ยิ่งกว่านั้น…” ทันใดนั้นเขาก็เริ่มยิ้ม “บุชง, โอ้ ความสามารถในการต่อสู้ของนางไม่สามารถฝึกฝนได้ในเวลาเพียง 3 ปี แต่ถ้าองค์ชายคนนี้บอกเจ้าว่าองค์ชายผู้นี้และองค์ชายเก้าเป็นคนสอนศิลปะการต่อสู้ให้นาง เจ้าจะเชื่อหรือไม่ ? ”
บุชงตกใจมาก เขาไม่เคยคิดเลยว่าซวนเทียนฮั่วจะกล่าวเช่นนี้จริง ๆ เขาเริ่มสอนศิลปะการต่อสู้ให้เฟิงหยูเฮงเมื่อหลายปีก่อน ? เป็นไปได้หรือไม่ แต่…ถ้าเขายืนยันอย่างแน่วแน่ในเรื่องนี้ เขามีหลักฐานอะไรที่บอกว่าไม่ใช่ในกรณีนี้
“ตั้งแต่หมิงเอ๋อหมั้นกับอาเฮง น้องเก้าขององค์ชายผู้นี้ไม่สนใจคนอื่นมากนัก แต่เขาค่อนข้างกังวลเกี่ยวกับผู้หญิงคนนี้ เมื่อนึกย้อนกลับไปถึงปีที่พวกเขาเริ่มพูดคุยกัน น้องเก้าลากองค์ชายผู้นี้ไปที่คฤหาสน์เฟิงในช่วงกลางดึกเพื่อมาเยี่ยมนาง ครั้งที่สองที่เราไป เราเริ่มสอนศิลปะการต่อสู้ให้นางทันที อย่างนี้มันใช้เวลาประมาณแปดหรือเก้าปี แม่ทัพบุคิดหรือว่าคุณหนูรองตระกูลเฟิงจะไม่สามารถไปถึงระดับนี้ได้หลังจากที่พวกข้าทั้งสองคนสอนอย่างละเอียดแปดถึงเก้าปี เจ้ากำลังดูถูกนางหรือดูถูกองค์ชายผู้นี้และองค์ชายเก้า ?
บุชงรีบกล่าวว่า “ผู้ใต้บังคับบัญชาที่ต่ำต้อยไม่กล้าพะยะค่ะ”
“ถ้าเจ้าไม่กล้านั่นเป็นเรื่องดี” ซวนเทียนฮั่วสะบัดแขนเสื้อของเขาแล้วเดินกลับไปในพระราชวัง ในเวลาเดียวกันเขาถ่มน้ำลาย “เจ้าคุกเข่าอยู่ที่นี่ต่อไปจนกว่าพระอาทิตย์ตกดิน องค์ชายผู้ค์นี้จะไปอธิบายกับเสด็จพ่อเอง จำไว้ว่าหลังจากที่เจ้ากลับไปแล้วให้เตรียมเรื่องที่พักอาศัยทั้งหมด องค์ชายผู้นี้จะส่งคนไปคฤหาสน์ในวันพรุ่งนี้ นอกจากนี้” ทันใดนั้นเขาก็หยุด และหันกลับมาแล้วพูดด้วยท่าทางเย็นชา “ไม่ว่านางจะเป็นใคร นางเป็นสมบัติของเรา และนางเป็นสมบัติของราชวงศ์ต้าชุนของเรา”
บุชงจะพูดอะไรได้อีก
อันที่จริงสิ่งที่ซวนเทียนฮั่วพูดนั้นถูกต้อง ความเข้าใจที่เขามีต่อเฟิงหยูเฮงนั้นถูกสร้างขึ้นรอบ ๆ สิ่งที่สามารถถามได้ การพบปะก่อนหน้าของพวกเขาเกิดขึ้นระหว่างงานเลี้ยงเท่านั้น เฟิงหยูเฮงมีบุคลิกที่อ่อนแอและไม่อยากพูดแม้แต่คำเดียว ลองนึกถึงตอนนี้ถ้าองค์ชายเก้ากับเฟิงหยูเฮงไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์กันมาก่อน มันคงเป็นไปไม่ได้ที่ทั้งสองจะเข้าใกล้กัน เมื่อมองดูอย่างนี้สิ่งที่องค์ชายเจ็ดพูด ดูเหมือนจะเป็นเรื่องจริง
เขาก้มหน้าลงอย่างสับสน ขณะที่เขาคิดกับตัวเองว่าเขาฝันกลางวันมาหลายปีแล้ว แม้กระนั้นเขาไม่รู้ว่าปีศาจเช่นองค์ชายเก้าได้เลี้ยงดูพระชายาของเขาตั้งแต่อายุยังน้อย เขาจะทำอะไรได้ ?
บุชงยิ้มอย่างขมขื่นในขณะที่เขาเริ่มคิดว่าเขาควรบอกตระกูลบุเกี่ยวกับเรื่องการกระทำอย่างไร
ในอีกด้านหนึ่งในรถม้าของพระราชวัง เฟิงหยูเฮงหยุดอยู่หน้าคฤหาสน์เฟิงแล้ว เมื่อยามข้างนอกเห็นว่านางกลับมา พวกเขาก็รีบไปต้อนรับนางโดยกล่าวว่า “ตอนนี้ข้าวของของคุณหนูถูกย้ายไปที่เรือนเหลียงซิน วังซวนให้บ่าวรับใช้รอที่นี่เพื่อบอกคุณหนูเจ้าค่ะ”
“ย้ายเสร็จแล้วหรือ ? ”
บ่าวรับใช้ตอบว่า “ย้ายเสร็จก่อนบ่ายเจ้าค่ะ”
เฟิงหยูเฮงไตร่ตรองเล็กน้อยจากนั้นก็หยุด และหันไปรอบ ๆ ทันที “ข้าจะกลับไปที่เรือนตงเซิงก่อน แล้วข้าจะไปที่เรือนเหลียงซิน”
เข้าไปในคฤหาสน์ขององค์หญิงแห่งมณฑล นางไม่ได้กลับไปที่เรือนของนางเอง นางกลับไปที่เรือนของเหยาซื่อแทน เมื่อนางมาถึงเหยาซื่อถือขนมอบอยู่ในลานหน้าบ้าน ในขณะที่รับประทานอาหาร นางดูบ่าวรับใช้เตะลูกขนไก่
เมื่อเห็นเฟิงหยูเฮงมาถึงนางก็โบกมือให้อย่างรวดเร็ว “อาเฮงมาเร็ว ขนมอบที่อนุอันทำนั้นอร่อยมาก” อันชิมีความเชี่ยวชาญในการทำขนมอบมาก เหยาซื่อชอบทาน ดังนั้นนางจึงส่งมาให้ทุกวัน
เฟิงหยูเฮงเห็นเหยาซื่อแล้วกลายเป็นคนมองโลกในแง่ดีขึ้น และรู้สึกโล่งใจมากขึ้น เมื่อเห็นว่าบ่าวรับใช้หยุดเตะลูกขนไก่หลังจากที่นางมาถถึงนางกล่าวว่า “พวกเจ้าเล่นต่อไป ตอนนี้มีบ่าวรับใช้มากมายในคฤหาสน์ เจ้าเพียงแค่ต้องมาอยู่กับท่านแม่ในระหว่างวัน ฝากสิ่งต่าง ๆ ไว้กับคนอื่น” เพื่อบรรเทาความเบื่อของเหยาซื่อ
เมื่อได้ยินเรื่องนี้บ่าวรับใช้ก็ไม่ทะเลาะกัน ขอบคุณนางอย่างมีความสุขสำหรับความเมตตาของนาง พวกนางเริ่มเล่นอีกครั้ง เหยาซื่อมีความสุขมากที่ได้ดูพวกนางเล่น นางพูดกับเฟิงหยูเฮง “การที่ดูพวกนางเล่นทำให้ข้านึกถึงตอนที่ข้ายังเด็ก มันเป็นเรื่องที่น่ายินดีจริง ๆ ”
เฟิงหยูเฮงรู้สึกสำลักเล็กน้อยจากการได้ยินสิ่งนี้ โดยปกติเมื่อใช้เวลากับบุตรสาวอายุ 12 หรือ 13 ปีควรมีเวลาให้มารดาและบุตรสาวผูกพันกัน ในสมัยโบราณ เด็กหญิงแต่งงานเมื่ออายุยังน้อย เมื่ออายุได้ 12 หรือ 13 พวกเขาก็เริ่มหมั้น อันที่จริงแล้วบางคนเหมือนตัวเองจะถูกหมั้นในวัยหนุ่มสาว เมื่อวันเกิดครบรอบ 15 ปีของพวกนาง มันมีเวลาไม่มากในการเตรียมงานแต่งงาน
นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมจึงเป็นช่วงเวลาที่ผู้หญิงในวัยของนางควรจะใกล้ชิดกับมารดาของนางมากที่สุด ก่อนอื่นนางยังมีนิสัยแบบเด็ก ๆ อยู่ เหตุผลอีกประการคือมารดาควรเริ่มบอกบุตรสาวของนางเกี่ยวกับสิ่งที่ผู้หญิงควรรู้ไม่ช้าก็เร็ว
นางเห็นแววแห่งความหวังในสายตาของเหยาซื่อ เหยาซื่อต้องการที่จะสนิทกับนางและต้องการใช้เวลากับบุตรสาวมากขึ้น แต่นางไม่ใช่เฟิงหยูเฮงตัวจริง แม้ว่าเหยาซื่อจะมีความคล้ายคลึงกับมารดาของนางอย่างมากจากชีวิตก่อนหน้านี้ แต่พวกนางก็ไม่ใช่คนเดียวกัน นางรักมารดาคนนี้แต่ความรู้สึกไม่ลึกซึ้งเท่ามารดาตัวจริง นอกจากนี้สิ่งที่จำเป็นสำหรับการได้ยินเกี่ยวกับสิ่งที่เด็กผู้หญิงต้องการคืออะไร ? นางมีชีวิตอยู่มา 2 ชีวิต ดังนั้นยังมีสิ่งใดที่นางไม่เข้าใจอีก ? เป็นผลให้นางอยู่ห่างจากเหยาซื่อ
เฟิงหยูเฮงถอนหายใจเบา ๆ จากนั้นก็ขยับเก้าอี้ใกล้เหยาซื่อ นางขยับเข้าใกล้ได้ดีที่สุดเพื่อทำตัวเหมือนเด็กหญิงตัวน้อย นางเบาลงเสียงนางถาม “ท่านแม่จะตำหนิอาเฮงหรือไม่ ? ”
เหยาซื่อตกใจ “ตำหนิเจ้าเพราะอะไร”
“ตำหนิข้าที่ไม่สามารถใช้เวลาอยู่กับท่านแม่มากขึ้น และส่งจื่อหรูไปยังสถานที่ห่างไกลเช่นนี้” นางรู้ว่าเหยาซื่อคิดถึงจื่อหรู นางยังคิดถึงการส่งเหยาซื่อไปที่เสี่ยวโจว อย่างไรก็ตามก่อนอื่นมันจะไม่สะดวกถ้านางไปไกลเกิน ประการที่สองแม้ว่านางจะไปที่เสี่ยวโจว จื่อหรูอาศัยอยู่ที่สำนักศึกษา ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถมาเยี่ยมนางบ่อยครั้ง
เมื่อได้ยินนางพูดแบบนี้ เหยาซื่อส่ายหัว “ข้าจะตำหนิเจ้าได้อย่างไร ข้าเป็นมารดาของเจ้า อาเฮงเป็นเด็กผู้หญิงที่มีความสามารถมาก ถ้าไม่ใช่เพราะการปกป้องของเจ้า บางทีเราอาจจะยังคงอยู่ในคฤหาสน์เฟิง มันอาจเป็นไปได้ที่เราจะเป็น…” เมื่อพูดถึงประเด็นนี้เหยาซื่อไม่สามารถดำเนินการต่อไปได้ ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ นางหยิบขนมและเริ่มกิน
เฟิงหยูเฮงตบหลังมือปลอบใจนางว่า “ท่านแม่ไม่ต้องห่วงหรอก ตราบใดที่อาเฮงอยู่ที่นี่ คนในตระกูลเฟิงจะไม่สามารถทำร้ายเราได้ แต่อาเฮงต้องไปที่นั่นซักพัก ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับท่านแม่ ท่านแม่ส่งคนไปที่คฤหาสน์เฟิงตามข้าได้เลยเจ้าค่ะ”
เหยาซื่อพยักหน้า “เจ้าต้องระวังอย่างยิ่ง ไม่ต้องพูดถึงความซับซ้อนของผู้คนในคฤหาสน์เฟิง แต่ก็มีคนมากมายที่จะพยายามลอบสังหารเจ้า ข้าเคยได้ยินเกี่ยวกับนักฆ่าที่มาที่เรือนตงเซิง ข้าไม่มีอำนาจและไม่สามารถให้ความช่วยเหลือแก่เจ้าได้ เจ้าต้องระวังสิ่งเหล่านี้ให้มากขึ้น”
เฟิงหยูเฮงรู้ว่าเหยาซื่อเป็นห่วงนาง ดังนั้นนางจึงไม่ได้บอกนางเกี่ยวกับการทิ้งผู้คุ้มกันลับทั้งหมดไว้ข้างหลัง เพียงแค่พยักหน้านางแนะนำเหยาซื่อให้อยู่ในเรื่องดี เหยาซื่อไม่ได้พูดอะไรอีก นางกลับไปที่การดูจานแหล่า แล้วถามคนรับใช้ของนางว่า “ทำไมข้าถึงรู้สึกว่ามันหมดเร็ว ข้าทานไปเพียงไม่กี่คำ ? วันนี้ส่งน้อยมาลงหรือไม่”
บ่าวรับใช้พยักหน้าแล้วกล่าวว่า “อนุอันกล่าวว่าเมื่อวานนี้คฤหาสน์ได้รับลูกแพร์หิมะน้อยลง และเรือนของพวกนางได้รับน้อย มันก็เพียงพอแล้วสำหรับเรื่องนี้ ถ้าท่านฮูหยินอยากกินมากกว่านี้ก็ต้องรอพรุ่งนี้เจ้าค่ะ อนุอันจะส่งมาให้มากกว่าวันนี้แน่นอนเจ้าค่ะ”
เหยาซื่อมองดูจานเปล่าด้วยความผิดหวังเล็กน้อยแล้วพูดกับเฟิงหยูเฮง “แม่รองอันของเจ้าและเซียงหรูใจดีมาก พวกนางรู้ว่าข้าชอบกิน พวกนางจึงส่งทุกวัน”
เฟิงหยูเฮงกล่าวว่า “ถ้าท่านแม่ชอบกินก็เพียงพอแล้ว ข้ากำลังดูแลแม่รองอันและน้องสาม ท่านแม่ไม่ต้องกังวล”
นางคุยกับเหยาซื่ออีกเล็กน้อยก่อนลุกขึ้นยืน และกลับไปที่คฤหาสน์เฟิง
ใครจะรู้ว่าเหตุผลคืออะไร แต่คฤหาสน์เฟิงดูเหมือนจะสับสนเล็กน้อย บ่าวรับใช้เคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา บางคนถือถ่านบ้างก็แบกผลไม้และบางคนก็ถือเครื่องเรือน เฟิงหยูเฮงถามหวงซวน “บ่าวรับใช้บอกว่าเรือนเหลียงซินเรียบร้อยแล้วไม่ใช่หรือ ? ทำไมพวกเขายังย้ายของกันอยู่อีก ? ”
หวงซวนมองอยู่ครู่หนึ่งและตกตะลึงอยู่พักหนึ่ง แต่นางก็ยังพูดด้วยความมั่นใจว่า “ไม่ใช่ของเรือนเรา คุณหนูดูก่อนเจ้าค่ะ ดูเหมือนว่าพวกเขาจะมุ่งไปทางเรือนหยูหลานเจ้าค่ะ”
เฟิงหยูเฮงมองไประยะหนึ่ง แน่นอนเป็นเรื่องจริง นางสุ่มจับบ่าวรับใช้แล้วถามว่า “พวกเจ้ากำลังทำอะไร ? ”
บ่าวรับใช้กล่าว “ท่านฮูหยินผู้เฒ่าต้องการให้ท่านฮูหยินดูแลการตั้งครรภ์ของอนุ ท่านฮูหยินไปดูห้องของอนุแล้วจึงออกคำสั่ง ถ่านนี้จะต้องนำออกมา สำหรับผลไม้ นางสนมต้องกินเปลือกเท่านั้น สำหรับเครื่องเรือนที่อนุฮันได้รับจากการย้ายก่อนสิ้นปี พวกมันจะต้องถูกนำออกไป นางบอกว่าพวกมันมีกลิ่นเหม็นเจ้าค่ะ”
เฟิงหยูเฮงรู้สึกประหลาดใจ คังอี้ค่อนข้างดี นางมีความสามารถจริง ๆ ถึงมาดูแลเรื่องการตั้งครรภ์ แต่เมื่อนางทำทั้งหมดนี้ ฮันชิสามารถรับมือกับมันได้หรือไม่ ?
บ่าวรับใช้เห็นว่าเฟิงหยูเฮงไม่พูด ดังนั้นนางจึงกล่าวเพิ่มเติมว่า “บ่าวรับใช้คนนี้ได้ยินท่านฮูหยินพูดว่า นางบอกว่าไฟจากถ่านในห้องของอนุฮันนั้นสว่างเกินไป มันอบอุ่นจริง ๆ แต่เมื่อมันร้อนเกินไปจะทำให้หายใจไม่ออก ผู้ใหญ่อาจไม่สามารถสังเกตเห็นได้ แต่มันมีผลกระทบอย่างมากต่อทารกในครรภ์ นอกจากนี้ท่านฮูหยินยังกล่าวอีกว่าถ่านคฤหาสน์ของเรามีคุณภาพต่ำ เมื่อเผาจะมีกลิ่นรุนแรงจึงไม่ควรมีกลิ่นมากเกินไป ท่านฮูหยินยังกล่าวอีกว่าเปลือกผลไม้ดีที่สุด เด็กที่เกิดจากมารดาที่กินเปลือกผลไม้จะดูสดใสและงดงามกว่าคนที่กินผลไม้จริง นางบอกว่าเครื่องเรือนเพิ่งซื้อมาใหม่กลิ่นของไม้ยังแรงมาก มันจะไม่ดีถ้าอนุฮันดมกลิ่นมาก ๆ ”
เฟิงหยูเฮงพยักหน้าและให้บ่าวรับใช้ไปทำงานของนางต่อ หวงซวนรู้สึกงงงวยและกล่าวว่า “ฟังดูค่อนข้างสมเหตุสมผล คุณหนู นั่นองค์หญิงใหญ่ใช่ไหมเจ้าคะ ? ”
“ใช่แล้ว” นางยกมุมปากนาง “มันถูกต้องทั้งหมด ถ้าฮันชิทำตามที่คังอี้กล่าวไว้ในการเลี้ยงทารกในครรภ์ของนาง เด็กที่เกิดมาจะมีสุขภาพที่ดีมาก มันน่าเสียดายที่ฮันชิจะเห็นสิ่งนี้ว่าไม่ได้ทำด้วยความปรารถนาดี ในกรณีที่เลวร้ายที่สุดนางจะไปหาท่านย่าเพื่อร้องเรียน”
หวงซวนกล่าวว่า “เจ้าค่ะ การไม่ให้ถ่านกับนางจะทำให้นางแข็งตาย การที่นางกินเปลือกผลไม้นั้นยิ่งทำให้นางโกรธมากขึ้น เครื่องเรือนใหม่ที่ถูกเปลี่ยนเป็นเครื่องเรือนเก่าจะไม่ถือว่าเป็นการกลั่นแกล้งนางหรือ ด้วยนิสัยของฮันชิ คงแปลกถ้านางไม่โวยวายเจ้าค่ะ”
เฟิงหยูเฮงเริ่มหัวเราะ นางปรบมือชอบใจและพูดว่า “ไปกันเถอะ! ไปที่เรือนหยูหลานกัน”
ตอนที่ 348
เมื่อทั้งสองมาถึงที่เรือนหยูหลาน ฮันชิก็เริ่มสะอื้นไห้แล้ว ขณะที่กำลังคร่ำครวญ นางตะโกนว่า “ข้ากำลังตั้งครรภ์บุตรของตระกูลเฟิง ! เจ้าไม่สามารถทำกับข้าเช่นนี้ได้ ! ข้าต้องให้เจ้ามาดูแลและสนับสนุนข้า ! ”
เฟินไดกล่าวอีกว่า “เมื่อท่านพ่อกลับมา ข้าจะฟ้องท่านพ่อ เจ้าตั้งใจทำสิ่งนี้อย่างแน่นอน เจ้าต้องการที่จะฆ่าเด็กในท้องของแม่รองฮัน”
ได้ยินเสียงของคังอี้ทันที “คุณหนูสี่ ข้ากำลังทำสิ่งนี้เพื่อตัวเจ้าเองอย่างแท้จริง ! นี่คือวิธีที่เฉียนโจวของเราดูแลระหว่างการตั้งครรภ์ ถ้าเจ้าทำตามที่ข้าบอก ข้าสามารถรับประกันได้ว่าเจ้าจะให้กำเนิดบุตรที่แข็งแรง ! ”
“เจ้าสาปแช่งแม่รองฮันงั้นหรือ” เฟินไดเริ่มกรีดร้อง “ถ้าเราไม่ทำตามที่เจ้าพูด เด็กจะไม่แข็งแรงหรือ”
“ข้า…” คังอี้หมดหนทาง “นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดจริง ๆ ข้าเชื่อว่าเจ้าสามารถไปเชิญหมอมาสอบถามได้”
“มีอะไรให้ถาม ! ราชวงศ์ต้าชุนได้ทำสิ่งนี้มาหลายชั่วอายุคนแล้ว เจ้าลองไปถาม ครอบครัวใดดูแลการตั้งครรภ์ในลักษณะนี้ และพวกเขาทั้งหมดมีสุขภาพที่ดี ถ่านถูกนำออกจากห้องนอนคืออะไร เจ้ากำลังพยายามทำให้แม่รองฮันตายหรือไม่ ? ”
คังอี้โกรธมาก และทั้งคู่พูดได้ว่า “ท่านแม่สามีต้องการให้ข้ามาดูแลการตั้งครรภ์ของน้องสาวเป็นการส่วนตัว ข้าจะทำให้ดีที่สุด นี่เป็นวิธีการที่เฉียนโจวใช้ในการดูแลการตั้งครรภ์ หากน้องสาวไม่เชื่อ เราสามารถรอให้สามีกลับมา เขาสามารถส่งคนไปที่เฉียนโจวเพื่อถามได้ แม้ว่าเรื่องนี้จะไปถึงหูท่านแม่สามี ข้าจะยืนยันด้วยเหตุผล”
ในขณะที่นางพูด เฟิงหยูเฮงเข้าไปในห้อง เมื่อคังอี้เห็นนาง มันก็เหมือนกับว่านางได้เห็นผู้ช่วยชีวิตนาง นางเดินไปอย่างรวดเร็ว นางพูดกับเฟิงหยูเฮงว่า “อาเฮงมาเร็วและให้การตัดสินที่เป็นกลางกับเรา ท่านแม่สามีอยากให้ข้ามาดูแลการตั้งครรภ์ของน้องสาวฮัน และข้าทำอย่างดีที่สุดแล้ว อย่างไรก็ตามเฟินไดและน้องฮันปฏิเสธที่จะยอมรับมัน ข้าไม่สามารถอธิบายได้อย่างถูกต้อง เจ้าเป็นแพทย์ บอกทีว่าข้าถูกหรือผิดที่เอาถ่านออกไป และให้นางกินเปลือกผลไม้แล้วเอาเครื่องเรือนใหม่ที่มีกลิ่นแรงออกไป”
เฟิงหยูเฮงมองที่คังอี้จากนั้นดูแผ่นเปลือกแอปเปิ้ลที่ปอกแล้ว และห้องที่เต็มไปด้วยเครื่องเรือนเก่า นางอยากจะหัวเราะ
จากสิ่งที่นางคิด ถ้าฮันชิสามารถทำใจให้สงบและทำตามที่คังอี้พูดเพื่อเลี้ยงบุตรในครรภ์ นางจะสามารถคลอดบุตรที่มีสุขภาพดีได้จริง ๆ ในยุคนี้ไม่มีปุ๋ยเคมีหรือมลพิษทางอุตสาหกรรม การรับประทานเปลือกผลไม้จะมีคุณค่าทางโภชนาการสูงกว่าการรับประทานผลไม้ โชคไม่ดีที่ฮันชิไม่สามารถเข้าใจเหตุผลนี้ และโชคร้ายยิ่งกว่านั้นนางไม่สามารถช่วยพูดให้คังอี้ได้
เมื่อเห็นการจ้องมองของคังอี้ เฟิงหยูเฮงก็เผยรอยยิ้มแล้วคว้ามือของนางแล้วแสดงความเข้าใจและกล่าวว่า “อาเฮงรู้ว่าท่านแม่มีปัญหาเช่นกัน เพื่อต้อนรับท่านแม่เข้าสู่คฤหาสน์ ท่านพ่อรับการสนับสนุนจากท่านย่าและใช้เงินทั้งหมดในคลัง ตอนนี้แต่ละเรือนในคฤหาสน์ต้องพึ่งพารายได้ของตัวเองสำหรับค่าใช้จ่ายของพวกเขา เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ท่านแม่ก็ต้องดูแลการตั้งครรภ์ของแม่รองอย่างดี แต่มีเงินไม่พอ จริง ๆ ทุกอย่างปกติดี ท่านย่าพูดแล้ว ค่าใช้จ่ายของแม่รองฮันมาจากนาง หากนั่นยังไม่เพียงพอ อาเฮงก็สามารถช่วยเหลือได้เช่นกัน ทุกคนต้องทนลำบาก แต่ต้องไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับบุตรของตระกูลเฟิง ! นั่นเป็นเหตุผลที่ท่านแม่ต้องการประหยัดเงินสำหรับคฤหาสน์ นี่เป็นสิ่งที่เข้าใจได้ โปรดให้อภัยแม่รองฮันด้วยเจ้าค่ะ!”
คำพูดของเฟิงหยูเฮงทำให้คังอี้ตกใจอย่างแท้จริง นางแทบจะไม่เชื่อหญิงสาวที่มีความกังวลอย่างลึกซึ้ง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นางไม่เชื่อว่าเฟิงหยูเฮงจะพูดออกมาเช่นนี้ คังอี้งงงวย “อาเฮง เจ้ามีความเชี่ยวชาญด้านการแพทย์มาก เจ้าควรเข้าใจเหตุผลนี้ ! ”
เฟิงหยูเฮงถอนหายใจ “ท่านแม่ เรื่องของการดูแลอนุฮันแย่ ๆ เป็นสิ่งที่อาเฮงจะขอให้ท่านย่าให้อภัย แต่ข้าหวังว่าท่านแม่จะไม่พูดอะไรอีก อาเฮงเป็นแพทย์และข้าเป็นหนึ่งในแพทย์ของราชวงศ์ต้าชุน ผู้คนในราชวงศ์ต้าชุนมักจะจัดการกับการตั้งครรภ์เช่นนี้ ข้าไม่รู้อะไรเลย”
“แม่รอง ! ” เฟินไดส่งเสียง “เจ้าได้ยินหรือไม่ แม้แต่พี่รองก็บอกว่านางตั้งใจทำมัน ! นางตั้งใจทำร้ายเจ้า ! ”
ฮันชินั้นหวาดกลัวจนแทบจะทำอะไรไม่ถูก นางคว้าเฟินไดด้วยมือข้างหนึ่งและคว้ามือของอาจูด้วยมืออีกข้าง ร่างกายของนางสั่นเทา การต่อสู้ของเรือนภายในเป็นสิ่งที่นางไม่เคยเห็นมาก่อนตั้งแต่เข้ามาในคฤหาสน์เฟิง ก่อนหน้านี้เมื่อนางตั้งครรภ์เฟินได นางตัวสั่นด้วยความกลัว แต่นั่นเป็นเพราะเฉินซื่ออยู่ในช่วงนั้น ในตอนแรกนางคิดว่าตระกูลเฟิงไม่มีฮูหยินใหญ่อีกต่อไป ดังนั้นนางจึงสามารถคลอดบุตรคนนี้ได้อย่างปลอดภัย ใครจะรู้ว่าเมื่อคังอี้เข้ามาในคฤหาสน์ นางก็จะพยายามกดขี่นางอย่างเปิดเผย หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป นางจะสามารถให้กำเนิดบุตรคนนี้ได้หรือไม่ ?
เฟิงเฟินไดปฏิบัติต่อคังอี้เป็นศัตรูเสมอ แม้ว่าคังอี้จะช่วยชีวิตนางจากฮ่องเต้และดูแลนางเป็นการส่วนตัว นางก็ยังไม่สามารถเป็นมิตรกับองค์หญิงใหญ่ได้ ในสายตาของนาง คังอี้เป็นคนที่ทำให้แผนการของนางล่ม หากคังอี้ไม่ได้อยู่ที่นี่และฮันชิให้กำเนิดเด็กผู้ชาย เป็นไปได้ว่านางสามารถปีนขึ้นไปที่ตำแหน่งฮูหยินใหญ่ เช่นนั้นสถานะของนางจะเพิ่มขึ้น ใครจะรู้ว่าความฝันทั้งหมดของนางจบลงอย่างรวดเร็ว และคังอี้ไม่อยากทนกับเด็กที่ยังไม่เกิด
ในเวลานี้เฟิงเฟินไดมองว่าเฟิงหยูเฮงเป็นผู้ช่วยชีวิต นางรีบไปข้างหน้าจับมือเฟิงหยูเฮงและขอร้อง “พี่รองต้องสนับสนุนพวกเราอย่างแน่นอน หากท่านมาช้ากว่านี้ เด็กในครรภ์ของแม่รองฮันต้องตกอยู่ในอันตรายอย่างแน่นอน ! ”
คังอี้ไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะเถียงเพราะไม่มีผู้หญิงคนใดตระกูลเฟิงยกเว้นเฟิงเฉินหยูที่ยินดีต้อนรับนาง นี่ก็ใช้ได้ เช่นนี้นางจะได้รับการปลดภาระหน้าที่ในการดูแลการตั้งครรภ์ของฮันชิ และไม่มีอะไรที่ฮูหยินผู้เฒ่าจะพูด
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้นางจึงถอนหายใจแล้วพูดกับทั้งสองว่า “เนื่องจากวิธีการของเฉียนโจวไม่เหมาะกับราชวงศ์ต้าชุน เราจะทำสิ่งต่าง ๆ ตามที่พวกเขาทำในราชวงศ์ต้าชุน ข้าจะไปบอกท่านแม่สามีเพื่อยกเว้นหน้าที่นี้ สิ่งนี้จะป้องกันจากการตั้งครรภ์ของน้องสาวฮันให้มีปัญหา”
เมื่อพูดอย่างนี้นางก็เดินออกไป อย่างไรก็ตามนางได้ยินเฟิงหยูเฮงพูดว่า “ท่านแม่ นี่เป็นหน้าที่ซึ่งท่านแม่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ อย่างมากท่านแม่จะไม่จัดการเรื่องแม่รองฮันอีกต่อไป แต่ท่านแม่ยังต้องจับตาดูนางทุกวันเพื่อป้องกันไม่ให้คนอื่นทำร้ายนาง”
เฟินไดเป็นห่วงเล็กน้อย และร้องออกมาว่า “พี่รอง”
เฟิงหยูเฮงยิ้มและลูบมือของนาง “เมื่อท่านแม่คอยเฝ้าดูเป็นการส่วนตัว มันจะทำให้แน่ใจว่าแม่รองฮันสามารถให้กำเนิดเด็กได้อย่างปลอดภัย ท่านแม่คิดอย่างไรเจ้าคะ ? ”
คังอี้ทำได้แค่กัดฟันและพยักหน้า ในใจของนางนางทำได้เพียงหวังว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะไม่คิดเช่นเดียวกับที่เฟิงหยูเฮงพูด
คืนนั้นฮูหยินผู้เฒ่าเรียกเซียวชานบ่าวรับใช้ไปที่เรือนซูหยา ด้วยความกังวลอย่างมาก นางถามว่า “คังอี้พยายามทำร้ายฮันชิหรือไม่ ? ”
เซียวชานไตร่ตรองเล็กน้อยแล้วตอบ “ไม่เลยเจ้าค่ะ หลังจากได้รับหน้าที่ดูแลการตั้งครรภ์ของอนุฮัน นางคิดและเริ่มพูดคุยกับบ่าวรับใช้ที่นางนำมาจากเฉียนโจว สำหรับบ่าวรับใช้คนนี้มันฟังดูเหมือนว่านี่เป็นวิธีที่ใช้ในการดูแลการตั้งครรภ์ในเฉียนโจว ยิ่งกว่านั้นหากต้องการทำสิ่งนี้อย่างเปิดเผย หากพวกเขาต้องการทำร้ายนางจะไม่ชัดเจนเกินไปหรือเจ้าคะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ารู้สึกว่ามันชัดเจนเกินไป แต่เมื่อนางคิดถึงสิ่งที่นางได้ยิน นางไม่สามารถเข้าใจได้ “นางเอาถ่านออกจากห้อง มันจะหนาวมากแค่ไหน ? ผู้ใหญ่ไม่สามารถแม้แต่จะจัดการกับมันเด็กน้อยที่ยังไม่เกิดอยู่ในท้องของนาง”
เซียวชานเห็นด้วยเช่นกันว่า “เจ้าค่ะ บ่าวรับใช้นี้มองดูเปลือกผลไม้ที่มอบให้อนุฮันรับประทาน ส่วนที่เหลือของผลไม้ถูกมอบให้กับบ่าวรับใช้ แล้วก็รู้สึกลำบากใจเล็กน้อย”
“อ่า” ฮูหยินผู้เฒ่าพยักหน้า “สำหรับเครื่องเรือนนั้นฮันชิเพิ่งย้ายไปที่เรือน การย้ายเครื่องเรือนใหม่เข้ามาในห้องเป็นเรื่องปกติ แต่คังอี้ได้เปลี่ยนมันทั้งหมดหรือไม่”
ชั่วขณะหนึ่งไม่มีใครสามารถเข้าใจได้
ฮูหยินผู้เฒ่าถอนหายใจและกล่าวว่า “เช่นนั้นทำตามที่อาเฮงพูด ปล่อยให้คังอี้ดูแลการตั้งครรภ์ของนาง อย่างน้อยเช่นนี้เราสามารถรับรองได้ว่านางจะไม่ทำอะไรเป็นความลับ เท่าที่ข้าเห็น องค์หญิงจากเฉียนโจวไม่ได้มีเจตนาดี บุตรสาวของนางเองได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการถูกทุบตีและนอนอยู่ในพระราชวัง เป็นไปได้ว่านางเริ่มเกลียดบุตรของคฤหาสน์เฟิงและปรารถนาที่จะแก้แค้น ดูเหมือนว่าเรื่องนี้จะชัดเจน แต่เป็นไปได้ที่นางจะฉลาด การทำสิ่งต่าง ๆ ในที่โล่งดีกว่าการทำสิ่งต่าง ๆ ในที่ลับ แค่เฝ้าดูต่อไป เมื่อนางทำอะไร มารายงานข้าทันที”
เซียวชานพยักหน้า “ท่านฮูหยินผู้เฒ่าไม่ต้องกังวลเจ้าค่ะ บ่าวรับใช้นี้จะไม่ประมาท”
คืนนั้นเฟิงหยูเฮงนอนที่เรือนเหลียงซินของตระกูลเฟิง สภาพแวดล้อมใหม่นี้ทำให้วังซวน, หวงซวนและบานซูรู้สึกแปลก ๆ ทั้งสามเดินไปรอบๆ ห้องพักซักพัก บานซูพูดกับเฟิงหยูเฮง “ท่านพ่อของคุณหนูใช้เวลาทั้งคืนในเรือนรือหยู และเขาได้ส่งผู้คุ้มกันลับทั้งหมดของเขามาที่นี่เพื่อปกป้องคุณหนูขอรับ”
หวงซวนกล่าวอย่างไม่ตั้งใจ “ใครจะรู้พวกเขาอยู่ที่นี่เพื่อปกป้องหรือสังเกตการณ์”
วังซวนกล่าวว่า “ปกป้อง คนของเราทุกคนถูกทิ้งไว้ที่คฤหาสน์ขององค์หญิงแห่งมณฑล ข้ากังวลเล็กน้อย” นางมองหาความคิดเห็นจากเฟิงหยูเฮง “บ่าวรับใช้ผู้นี้จะคอยเฝ้าคุณหนูตอนกลางคืนเองเจ้าค่ะ”
เฟิงหยูเฮงโบกมือของนาง “ไม่จำเป็น พวกเจ้าควรไปนอนได้แล้ว แม้ว่ามีใครมาจริง ๆ ก็ไม่จำเป็นต้องกลัว ข้าจะนอนหลับอย่างสบายในห้องของข้าและจะไม่ปล่อยให้ขนหลุดออกมาแม้แต่เส้นเดียว”
แต่ทั้งสามคนรู้สึกสบายใจได้อย่างไร เฟิงหยูเฮงเห็นการสื่อสารของทั้งสามอย่างรวดเร็วโดยการแลกเปลี่ยนสายตา แต่ไม่รู้ว่าพวกเขาเห็นด้วยกับอะไร นางขี้เกียจเกินไปที่จะใส่ใจพวกเขา และพูดกับบานซูว่า “จับตาดูเฟิงจินหยวน ใกล้จะถึงเวลาสำหรับการสอบจอหงวนในฤดูใบไม้ผลิแล้ว อาจเป็นไปได้ว่าเขาจะทำอะไรบางอย่างกับคำถามในการสอบจอหงวน”
บานซูขมวดคิ้ว “เพื่อตัดเส้นทางหลบหนีของเขา ท่านพ่อของคุณหนูจะมาต่อสู้กับคุณหนูด้วยพลังทั้งหมดของเขาหรือขอรับ ? ”
เฟิงหยูเฮงส่งเสียง “ฮึ” ออกมา “ให้เขาทำ ! ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดการต่อสู้ครั้งนี้จะเกิดขึ้นไม่ช้าก็เร็ว” หลังจากพูดอย่างนี้นางพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “เฟิงจินหยวนต้องไม่ได้รับอนุญาตให้ขยายอำนาจอย่างต่อเนื่อง เขาสนับสนุนองค์ชายสาม หากราชสำนักยอมรับคลื่นลูกใหม่ของนักเรียน นั่นหมายความว่าจะมีกลุ่มคนอีกกลุ่มอยู่ข้างเขา หากสิ่งนั้นเกิดขึ้น ความพยายามก่อนหน้านี้ทั้งหมดของเราจะไร้ประโยชน์”
บานซูพยักหน้า “เข้าใจแล้วขอรับ ! เมื่อเขาเคลื่อนไหวใดๆ ข้าจะแจ้งให้คุณหนูทราบทันที”
คืนนั้นในคฤหาสน์เฟิงไม่มีวังซวน หวงซวน และบานซูนอนด้วย ทั้งสามนั่งอยู่บนหลังคาห้องของเฟิงหยูเฮงและพูดคุยกัน ในบางครั้งพวกเขาชี้ให้เห็นอย่างแม่นยำว่าที่ซ่อนตัวของผู้คุ้มกันลับเฟิงจินหยวนว่าซ่อนอยู่ที่ไหน จากนั้นบานซูจะหยิบก้อนกรวดขึ้นมาแล้วขว้างมันไปยังที่ซ่อนซึ่งผู้คุ้มกันลับซ่อนอยู่ ทำให้ผู้คุ้มกันลับพูดไม่ออก
วันรุ่งขึ้นทุกคนในตระกูลเฟิงรวมตัวกันที่เรือนซูหยา เฟิงจินหยวนไปพระราชวัง สิ่งแรกในตอนเช้าเพื่อเข้าร่วมประชุมราชสำนัก จุนเหมยซึ่งเพิ่งแต่งงานก็ไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่า ฮูหยินผู้เฒ่ายิ้มและมอบชามดินเผาให้นาง
คราวนี้คังอี้ไม่ได้ให้อะไรเลย และพูดเพียงคำแนะนำให้นางดูแลเฟิงจินหยวนอย่างดี สิ่งนี้อาจถูกพิจารณาว่าไม่ได้ทำอะไรเพื่อหลีกเลี่ยงการทำผิดพลาด
หลังจากเรื่องนี้ที่เกิดกับฮันชิ ฮูหยินผู้เฒ่าให้คำแนะนำคังอี้เพียงเล็กน้อย และคังอี้ฟังอย่างตั้งใจ นางจะทำตามที่มารดาสามีพูด และทำให้นางมั่นใจได้ว่านางจะถามหลานสาวของราชวงศ์ต้าชุนว่าจะดูแลการตั้งครรภ์อย่างไร
ในระยะสั้นวันนี้ค่อนข้างดี
แต่ขณะที่ทุกคนชื่นชมยินดีกับความสามัคคีที่หายากนี้ บ่าวรับใช้ 2 คนก็วิ่งเข้ามาจากข้างนอก หนึ่งคือจากเรือนซูหยา อีกคนมาจากเรือนตงเซิง
เฟิงหยูเฮงขมวดคิ้ว เนื่องจากนางรู้สึกไม่ดีทันที
ตอนที่ 349
“ท่านฮูหยินผู้เฒ่า” บ่าวรับใช้จากเรือนซูหยากล่าวก่อน “บ่าวรับใช้จากเรือนตองเซิงกล่าวว่านางกำลังตามหาอนุอัน”
ตามหาอันชิ ?
ทุกคนตกตะลึง แม้กระทั่งอันชิก็ต้องประหลาดใจเมื่อนางมองเฟิงหยูเฮง เมื่อเห็นว่านางขมวดคิ้ว อันชิรู้สึกหัวใจหล่นขณะที่นางถามบ่าวรับใช้ “มีอะไรหรือ ? ”
บ่าวรับใช้จากเรือนตงเซิงก้าวไปข้างหน้า และถามนางอย่างกระตือรือร้น “อนุอันทำขนมเสร็จหรือยังเจ้าคะ ? ”
อันชิถูกสะดุ้งแล้วกล่าวว่า “ข้ายังไม่มีเวลาทำ ทำไมถึงเร่งรีบเช่นนี้ ? ”
บ่าวรับใช้กล่าวว่า “เมื่อวานนี้อนุอันทำขนมอบน้อย ดังนั้นท่านฮูหยินจึงหวังว่าวันนี้จะได้ขนมอบมากกว่าเมื่อวานเจ้าค่ะ นางคิดเรื่องนี้ตลอดทั้งคืนทำให้นางนอนไม่หลับ สิ่งแรกที่นางตื่นขึ้นมาคือความหวังว่าอนุอันจะส่งขนมให้มากกว่าเมื่อวานเจ้าค่ะ”
ทุกคนหัวเราะเมื่อได้ยินสิ่งนี้ และเฟินเฟินไดเป็นคนที่ปากไม่มีหูรูดมากที่สุด นางกล่าวออกมา “นางน่าทึ่งจริง ๆ นางให้บ่าวรับใช้มาที่เรือนท่านย่าเพื่อตามขนม ! ”
ฮูหยินผู้เฒ่าก็งงด้วยเช่นกันแต่นางไม่มีความสุขแม้แต่น้อย เหยาซื่อเป็นผู้หญิงที่หย่าร้าง อันชิที่ทำขนมอบอร่อย ทำไมนางถึงกับต้องมาตามขนมเมื่อส่งไปช้า การไปที่เรือนของอันชิเพื่อขอขนมนั้นสามารถทำได้ นอกจากนี้พวกเขามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน แต่การมาที่นี่เป็นปัญหาเรื่องมารยาท นี่เป็นสถานการณ์ที่ผิดปกติ !
นางไม่มีความสุขและต้องการพูดอะไรบางอย่าง อย่างไรก็ตามในเวลานี้เฟิงหยูเฮงกล่าวว่า “ขนมอบที่ทำอนุอันทำอร่อยจริงๆ แต่คำพูดของน้องสี่ทำให้ข้าคิดได้ อย่าลืมส่งขนมอบแสนอร่อยให้อนุฮันในภายหลังด้วย”
อันชิไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่นางไม่สามารถเพิกเฉยต่อสิ่งที่เฟิงหยูเฮงพูดได้ ดังนั้นนางพยักหน้า “เช่นนั้นอนุผู้นี้ก็จะส่งขนมอบไปที่เรือนหยูหลานเมื่อทำเสร็จแล้ว”
เมื่อนางพูด เฟิงหยูเฮงสังเกตการแสดงออกของนางอย่างระมัดระวัง อย่างไรก็ตามนางไม่ได้สังเกตอะไรเลย เมื่อมองที่เฟิงเซียงหรูซึ่งมีสีหน้าสับสน ทำให้นางเริ่มคิด
ก่อนสิ้นปีนางรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติเกี่ยวกับสุขภาพของเหยาซื่อ ด้วยเหตุนี้นางจึงเปลี่ยนพ่อครัวทั้งหมดในเรือนตงเซิง นางสืบสวนบ่าวรับใช้ทั้งหมดอีกครั้ง แต่นางไม่สามารถหาเบาะแสได้
ใครจะรู้ว่าปัญหาจะอยู่ที่เดียวที่นางไม่ได้ตรวจสอบ คือ ขนมอบอันชิ
เมื่อได้ยินว่าขนมอบจะถูกส่งไปยังเรือนหยูหลาน นางก็ปฏิเสธทันที “แม่รองฮันจะไม่กินอะไรที่ใครส่งไป นางจะกินสิ่งที่ทำโดยคฤหาสน์เท่านั้น ไม่มีความจำเป็นที่แม่รองอันจะส่งขนมไป”
ฮูหยินผู้เฒ่ารู้สึกรำคาญที่ได้เห็นพวกเขาเถียงกัน ดังนั้นนางจึงปฏิเสธอันชิ “รีบกลับไปทำทันที ! ”
“ช้าก่อน ! ” เฟิงหยูเฮงพูดด้วยเสียงเย็น จากนั้นก็ถามบ่าวรับใช้จากเรือนตงเซิง “ท่านแม่เร่งให้ทำขนมหรือ ? ”
บ่าวรับใช้กล่าวว่า “ด่วนมาก เจ้าค่ะ วันนี้ท่านฮูหยินเหยายังไม่ได้กินอาหารเช้า นางกำลังรอที่จะกินขนมอบเท่านั้น ก่อนที่บ่าวรับใช้คนนี้จะออกมา ท่านฮูหยินเหยาก็ทำลายแจกันในห้องเพราะขนมอบยังไม่ได้ส่งมาเจ้าค่ะ”
เฟิงหยูเฮงยืนขึ้นทันที ทันใดนั้นแววตาที่ดุร้ายก็ปรากฏขึ้นในดวงตาของนาง ขณะที่นางจ้องมองไปที่อันชิและเฟิงเซียงหรู
ในเวลานี้ทุกคนในคฤหาสน์เฟิงรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง คังอี้เป็นคนแรกที่ยืนขึ้นและถามบ่าวรับใช้จากเรือนตงเซิง “ท่านผู้หญิงของเจ้าอารมณ์เสียมากใช่หรือไม่ ? ”
บ่าวรับใช้พูดว่า “ใช่เจ้าค่ะ เมื่อคืนนางนอนไม่หลับ เมื่อนางตื่นขึ้นมาวันนี้ นางยิ่งวิตกกังวลมากขึ้นเจ้าค่ะ”
“มีอะไรอีกหรือไม่ ? เช่น รู้สึกไม่สบายหรือมีอาการเวียนหัวหรือไม่ ? ”
บ่าวใช้คิดเล็กน้อยแล้วส่ายหัว “ไม่มีเจ้าค่ะ นางมีสุขภาพที่ดีเมื่อไม่นานมานี้ ดูเหมือนว่าจะดีกว่าก่อนสิ้นปีนี้เจ้าค่ะ”
คังอี้ตกตะลึงอย่างยิ่งขณะที่นางหมุนตัวไปรอบ ๆ แล้วพูดกับฮูหยินผู้เฒ่า “ไม่ดีแล้ว ข้ากลัวว่าอาจมีบางสิ่งที่คล้ายกับยาเปลี่ยนวิญญาณ”
ฮูหยินผู้เฒ่าตกใจ “ยาเปลี่ยนวิญญาณหรือ ? ”
คนอื่นก็ตกใจเหมือนกัน ยาเปลี่ยนวิญญาณเป็นยาเสพติดที่ทำให้คนพัฒนายา ถ้ามันถูกใช้มาเป็นเวลานานมันจะทำให้คนดูมีชีวิตชีวามากขึ้น แต่เมื่อปริมาณยาหยุดลง คนๆ นั้นจะรู้สึกหงุดหงิดอย่างมาก ในความเป็นจริงเป็นไปได้ว่าพวกมันอาจทำสิ่งที่อาจเป็นอันตรายต่อผู้อื่นหรือตัวเอง
ฮูหยินผู้เฒ่าได้ตระหนักถึงความรุนแรงของสถานการณ์ เมื่อเห็นว่าใบหน้าของเฟิงหยูเฮงกำลังเย็นชามากขึ้น นางรู้สึกกลัวเล็กน้อย เมื่อคิดอย่างรวดเร็ว นางจ้องที่อันชิ “อันชิ ! เจ้าวางยาเปลี่ยนวิญญาณในขนมอบของเจ้าหรือ ? ” นางถามอันชิทันทีเพื่อป้องกันเฟิงหยูเฮงบ้าคลั่งและโทษคฤหาสน์เฟิงทั้งหมด
อันชิก็ไม่รู้เรื่องนี้เช่นกัน ! นางรีบคุกเข่าแต่ไม่ใช่ต่อหน้าฮูหยินผู้เฒ่า หากเป็นต่อหน้าเฟิงหยูเฮง “คุณหนูรอง อนุผู้นี้ไม่ได้ทำจริง ๆ เจ้าค่ะ ! ไม่ต้องพูดถึงว่ามันยากแค่ไหนที่จะได้รับยาเปลี่ยนวิญญาณ แม้ว่าอนุผู้นี้จะได้มา ข้าก็จะไม่ใช้มันกับพี่เหยาแน่นอน ! ”
เฟิงเซียงหรูคุกเข่า เมื่อมองที่เฟิงหยูเฮง นางพูดว่า “ทุกครั้งที่ท่านแม่ทำขนมเหล่านี้ ข้าอยู่กับนาง บางครั้งก็เป็นลูกแพร์และบางครั้งก็เป็นองุ่น ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม ผลไม้สดที่คฤหาสน์มี เฟิงเซียงหรูเอาออกมา เราแค่คิดว่าฮูหยินเหยาชอบทานขนมอบ ดังนั้นเราจึงตั้งใจทำสิ่งนั้น เราไม่เคยเพิ่มอะไรเข้าไปเจ้าค่ะ”
เฟิงหยูเฮงขมวดคิ้วและครุ่นคิดอยู่นาน นางสังเกตเห็นการแสดงออกของทั้งสอง นางสังเกตการหดตัวและการขยายตัวของม่านตา จากประสบการณ์หลายปีของนาง มันบอกกับนางว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับอันชิและเฟิงเซียงหรู
นางสูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วพูดว่า “ไปดูพร้อมกับข้าเถิด”
“เจ้าค่ะ” อันชิดึงเฟิงเซียงหรูอย่างรวดเร็ว และยืนด้วยกัน “ถ้ามีปัญหากับขนมอบจริง ๆ ไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ตาม ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตามนางสนมคนนี้จะไม่หลีกเลี่ยงความรับผิดชอบ ท้ายที่สุดเราเป็นคนที่ทำขนมอบเอง”
คังอี้พูดขึ้นว่า “เราไปดูกันดีกว่า การอยู่ที่นี่จะทำให้เรารู้สึกกังวล”
“ใช่ ! ” ฮูหยินผู้เฒ่ายืนขึ้น “ข้าจะไปดูด้วย”
เฟิงหยูเฮงมองพวกเขาเพียงเล็กน้อยและไม่ปฏิเสธ กล่าวง่าย ๆ ว่า “เรือนตงเซิงไม่เคยมีแขกจำนวนมาก เพียงแค่มีท่านแม่และท่านย่าไปก็ดี ไม่จำเป็นต้องให้ใครไปเลย” หลังจากพูดอย่างนี้นางก็จากไป
อันชิและเฟิงเซียงหรูติดตามนางทันที คังอี้ประคองฮูหยินผู้เฒ่าและออกจากห้องไป ในขณะเดียวกันนางก็แจ้งยายจาว “เตรียมเก้าอี้ให้ท่านแม่เร็ว”
เฟิงเฟินไดและจินเฉินต่างก็อยากรู้อยากเห็นมาก แต่เฟิงหยูเฮงพูดออกมาอย่างเด็ดเดี่ยวเช่นนี้ พวกเขารู้ว่าเรือนตงเซิงไม่ใช่สถานที่ที่ทุกคนสามารถเข้าไปได้ ตอนนี้เฟิงหยูเฮงอารมณ์เสีย พวกเขาไม่กล้าเสี่ยงเลย
เฟิงหยูเฮงรีบกลับมาที่เรือนตงเซิงอย่างรวดเร็ว คนอื่น ๆ วิ่งเหยาะ ๆ ตามข้างหลังนางได้ แต่พวกเขาก็ยังถูกทิ้งไว้ค่อนข้างไกล
เมื่อนางเข้าไปในลาน นางได้ยินเสียงร้องโวยวายมาจากข้างใน “ไปเอาขนมมาให้ข้าหน่อย ! ไปเร็ว ๆ ! ” เสียงของนางดังผิดปกติเพราะนางแทบจะตะโกนจนฉีกเส้นเสียงของนางเอง นางแตกต่างจากเหยาซื่อคนเดิมมาก
ทันทีที่ทำเช่นนี้เสียงของสิ่งต่าง ๆ จะถูกกว้างปามากขึ้น นางคิดว่าเหยาซื่ออาจกว้างปาสิ่งของต่าง ๆ ส่วนใหญ่ที่อยู่ในห้องแล้ว
ด้วยกลุ่มบ่าวรับใช้รวมตัวกันรอบ ๆ ประตู พวกเขาทุกคนกังวลมาก แต่พวกเขาไม่สามารถเข้าไปในห้องได้เพราะสิ่งที่เหยาซื่อกว้างปาแตกจะลอยออกเป็นครั้งคราว เฟิงหยูเฮงเห็นว่ามีบ่าวรับใช้บางคนได้รับบาดเจ็บที่หน้าผาก
เมื่อเห็นนางกลับมา ในที่สุดบ่าวรับใช้ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก พวกเขาวิ่งไปหานางเพื่อรายงานสถานการณ์ “ในที่สุดคุณหนูรองก็กลับมา ท่านฮูหยินอารมณ์เสียตลอดทั้งเช้า คุณหนูช่วยดูหน่อยเถิดเจ้าค่ะ”
มีบ่าวรับใช้คนหนึ่งที่ตั้งคำถามว่า “ขนมอร่อยแค่ไหนกัน ? ทำไมท่านฮูหยินถึงกลายเป็นแบบนี้หลังจากที่ไม่ได้กินมันได้แค่วันเดียว”
ในเวลานี้วังซวนผู้ถูกทิ้งไว้ที่เรือนเหลียงซิน นางได้รับข่าวช้ากว่าเรือนซูหยา โชคดีที่วังซวนมีความเชี่ยวชาญมาโดยตลอด นางรีบไปตลอดทางโดยใช้พลังภายใน ดังนั้นนางจึงเร็วกว่าคนอื่น
เฟิงหยูเฮงสั่งวังซวนและหวงซวนทันที “พวกเจ้าทั้งสองเข้าไปในห้องและสงบสติอารมณ์ของท่านแม่ลงก่อน เราสามารถพูดคุยเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ ในภายหลัง”
บ่าวรับใช้ 2 คนได้รับคำสั่งจากนั้นก็รีบไปที่ห้องของเหยาซื่อ หลังจากนั้นไม่นานเสียงของสิ่งต่าง ๆ ที่ถูกกว้างปาก็หยุดลง แต่เหยาซื่อก็ยังคงตะโกนต่อไปว่า “ไปเอาขนมอบมาให้ข้า ! ส่งขนมอบมาให้ข้า ! ปล่อยข้าไป ข้าอยากกินขนมอบ รีบไปเอาขนมอบให้ข้าหน่อย ! ”
เฟิงหยูเฮงเข้าห้องแล้ว เมื่อเห็นรูปลักษณ์ของเหยาซื่อนางก็ตกใจ ริมฝีปากของเหยาซื่อแห้งผากและซีด และใบหน้าของนางก็ไม่มีสี ดวงตาของนางดูขุ่นมัว ผมของนางก็รุ่ยร่ายและเสื้อผ้าของนางก็ยุ่งเหยิง
นางคิดออกทันที เห็นได้ชัดว่าเป็นเพราะนางติดยา ยาเปลี่ยนวิญญาณ ราชวงศ์ต้าชุนเรียกมันว่ายาเปลี่ยนวิญญาณงั้นหรือ ? พูดง่าย ๆ มันคือยาเสพติด เหยาซื่อถูกวางยาและเกิดที่ใต้จมูกของนาง เรื่องนี้ทำให้เฟิงหยูเฮงต้องทนทุกข์ทรมานอย่างมาก นางไม่สามารถยกโทษให้ตัวเองได้เลย นางได้ใช้ความระมัดระวังทุกอย่าง แต่เหยาซื่อก็ยังคงถูกวางยา ใครกล้าทำแบบนี้
ในขณะที่นางกำลังคิดเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ นางยืนอยู่ที่นั่นตัวแข็ง ในเวลานี้สมาชิกคนอื่นๆ ของตระกูลเฟิงก็เข้ามาในห้องด้วย
เมื่ออันชิและเฟิงเซียงหรูเห็นท่าทางของเหยาซื่อ พวกเขากลัวมาก เฟิงเซียงหรูวิ่งไปที่เหยาซื่อด้วยความงุนงง ขณะที่นางกำลังจะถามว่าเกิดอะไรขึ้น ใครจะรู้ว่าเหยาซื่อจะรู้สึกตื่นเต้นมากขึ้นเมื่อได้เห็นเฟิงเซียงหรู นางตะโกนเสียงดังว่า “เจ้านำขนมอบมาให้ข้าใช่หรือไม่ ? ขนมอบของข้าอยู่ที่ไหน ? ” ในขณะที่นางพูด นางหลุดจากวังซวนและหวงซวน จากนั้นก็วิ่งหาเฟิงเซียงหรูและจับนางไว้แน่น นางกำลังจะกัด
เฟิงเซียงหรูกลัวและกรีดร้องออกมา แต่เหยาซื่อกล่าวว่า “ขนมอบ ขนมอบของข้าก็มาถึงแล้ว มันอร่อยมาก ! ” นางมองเฟิงเซียงหรูเป็นขนมและไปกัดใบหน้าของเฟิงเซียงหรู
เฟิงเซียงหรูไม่มีเวลาป้องกันตัวเองและถูกกัด โชคดีที่วังซวนและหวงซวนตอบสนองอย่างรวดเร็ว วังซวนเอื้อมมือออกไปกดหนึ่งในจุดชีพจรของเหยาซื่อ เหยาซื่อรู้สึกว่านางไม่สามารถออกแรงที่กรามของนางได้อีกต่อไป การกัดเพียงแค่แทะเล็มและเฟิงเซียงหรูไม่ได้รับบาดเจ็บมาก
แต่สิ่งนี้ก็ยังทำให้ทุกคนหวาดกลัว คังอี้พูดดัง ๆ ว่า “นางเริ่มทำร้ายผู้คน รีบจับนางไว้เร็ว ระวังอย่าให้นางกัดลิ้นตัวเอง ! ”
เฟิงหยูเฮงเห็นว่าเหยาซื่อไม่สามารถรอได้อีกต่อไป นางดึงยาชาออกมาจากมิติของนางและเดินไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว นางฉีดยาเข้าไปในคอของเหยาซื่อ
ดวงตาของเหยาซื่อเหลือกขึ้นก่อนที่นางจะหมดสติ
วังซวนและหวงซวนย้ายนางไปที่เตียงแล้วหันไปหาเฟิงหยูเฮง และถามพร้อมเพรียงกันว่า “คุณหนูจะทำอย่างไรต่อไปดีเจ้าค่ะ ? “
เฟิงหยูเฮงเดินไปข้างหน้าและตรวจดูชีพจรของเหยาซื่ออีกครั้งเพื่อยืนยันว่านางกลายเป็นคนติดยา นางค่อนข้างหงุดหงิด ยาพิษชนิดนี้ไม่ใช่สิ่งที่สามารถรักษาให้หายขาดได้ ไม่ว่านางจะมีความชำนาญในฐานะหมอ นางก็ไม่สามารถดึงยาวิเศษเพื่อใช้รักษาออกมาได้ ไม่ใช่ว่านางไม่มียา แต่มันไม่ใช่ยาที่มีประสิทธิภาพ แม้วิทยาศาสตร์จะก้าวหน้าไปจนถึงศตวรรษที่ 21 ก็ยังไม่มียารักษาที่มีประสิทธิภาพ พวกมันสามารถแทนที่ยาพิษ และค่อย ๆ ลดปริมาณเพื่อบรรเทาความทุกข์ทรมาน และเริ่มทำล้างพิษ
ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นมันต้องการให้ผู้ติดยาที่ให้ความร่วมมือและอดทน อย่างไรก็ตามเมื่อเป็นเหยาซื่อ นางสามารถทำมันได้หรือไม่
เฟิงหยูเฮงไตร่ตรองมานานแล้วหันมามองทุกคน นางจ้องมองที่อันชิและเฟิงเซียงหรูแล้วถามว่า “เหม่ยเซียง บ่าวรับใช้ของเจ้าอยู่ที่ไหน ? ”
ตอนที่ 350
ตอนที่ 350 ใครกล้าแตะแม่ของข้า ข้าจะตัดหัวของพวกมัน
เหม่ยเซียงเป็นบ่าวรับใช้ของเฟิงเซียงหรู เมื่อได้ยินเฟิงหยูเฮงถาม อันชิก็จำได้ว่าบ่าวรับใช้ที่มากับเฟิงเซียงหรูไม่ใช่เหม่ยเซียง นางจึงถามว่า “ใช่แล้ว เหม่ยเซียงอยู่ที่ไหน ? ”
เฟิงเซียงหรูกล่าวว่า “เหม่ยเซียงไม่สบายเจ้าค่ะ นางบอกว่าท้องของนางไม่ค่อยดี ข้าไม่ได้คิดอะไรมาก และปล่อยให้นางพักผ่อนที่เรือนเจ้าค่ะ”
อันชิมองที่เฟิงหยูเฮง และคิดเกี่ยวกับสถานการณ์ ทันใดนั้นก็ตระหนักถึงบางสิ่งที่สำคัญ “นั่นเพราะเหม่ยเซียงใช่หรือไม่ ? คุณหนูรองหมายความว่ามีบางอย่างผิดปกติกับเหม่ยเซียงหรือ ? ” นางสั่งบ่าวรับใช้ทันที “กลับไปที่เรือนเร็ว ! ไปเรียกเหม่ยเซียงมา ! ไปเร็ว ๆ ! “
บ่าวรับใช้รีบวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว และฮูหยินผู้เฒ่าก็ออกมาด้วย ขณะเดิน นางกล่าวว่า “อาเฮง เจ้าหมายความว่าบ่าวรับใช้คนนั้นเป็นคนทำหรือ ? นั่นก็เป็นไปได้ นางเป็นบ่าวรับใช้ส่วนตัว ดังนั้นนางจึงมีโอกาสมากมายที่จะลงมือทำ”
คังอี้ยังกล่าวอีกว่า “ใช่ เรียกนางมาและซักถามนางอย่างละเอียด”
อย่างไรก็ตามเฟิงหยูเฮงส่ายหัว “ข้ากลัวว่ามันจะสายเกินไป”
เฟิงเซียงหรูคิดแบบเดียวกันโดยกล่าวว่า “สองสามวันที่ผ่านมามีการส่งผลไม้น้อยลง ข้าใช้ลูกแพร์ที่ถูกส่งมาวันก่อนนี้เพื่อทำขนมอบของเมื่อวานนี้ แต่เมื่อวานนี้ไม่มีผลไม้ แม่รองและข้าคุยกันโดยบอกว่าเป็นไปได้ว่าเราจะไม่สามารถทำขนมอบได้ ท่านฮูหยินเหยาชอบทานขนมอบที่เต็มไปด้วยผลไม้ หากบางคนทำโดยไม่ใส่ผลไม้กลิ่นจะไม่หอม เมื่อเราพูดคุยกัน เหม่ยเซียงมักจะอยู่ข้างข้าเสมอ มันอาจจะเป็น…”
คังอี้คิดตามความคิดของนาง “วันนี้นางรู้ว่าขนมอบไม่มี และท่านฮูหยินเหยาจะล้มป่วยลงหลังจากผ่านไป 1 วัน ยิ่งกว่านั้นจำนวนที่ส่งเมื่อวานนี้ก็น้อยลงใช่หรือไม่?”
เฟิงเซียงหรูพยักหน้า
อันชิคุกเข่าทันที เหม่ยเซียงเป็นบ่าวรับใช้ส่วนตัวของเฟิงเซียงหรู ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น พวกเขาไม่สามารถรับผิดชอบในเรื่องนี้ได้
นางคลานไปข้างหน้า ไปหาเฟิงหยูเฮงแล้วกล่าวว่า “คุณหนูรอง อนุผู้นี้รู้ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ต้องได้รับการลงโทษ แต่ข้าขอให้คุณหนูรองลงโทษอนุผู้นี้คนเดียวเจ้าค่ะ ให้อภัยคุณหนูสามด้วยเจ้าค่ะ ! แม้ว่าอนุผู้นี้จะต้องตาย นั่นก็เป็นเรื่องที่สมควรเช่นกัน”
เฟิงเซียงหรูตกใจมากและรีบไปดึงอันชิ “แม่รอง เฟิงเซียงหรูจะอยู่อย่างไรถ้าแม่รองตาย ? ” นางร้องไห้และหันไปขอร้องเฟิงหยูเฮง “พี่รอง เราไม่เคยคิดไม่ดีและเราไม่เคยคิดที่จะทำร้ายท่านฮูหยินเหยา ท่านฮูหยินเหยาปฏิบัติต่อเซียงหรูดีมาก และทุกครั้งที่นางได้รับสิ่งของที่ดี นางก็แบ่งให้เซียงหรู เซียงหรูขอบคุณนางเป็นอย่างมาก เราจะทำร้ายนางได้อย่างไร ข้าขอร้องพี่รองอย่าตำหนิแม่รองอัน ข้าขอร้องเจ้าค่ะ”
เฟิงหยูเฮงรู้สึกว่านางปวดหัว ในที่สุดนางก็เข้าใจว่าทำไมบางครั้งฮูหยินผู้เฒ่าจึงแสดงออกถึงความอดทนและความหงุดหงิดของนางเมื่อต้องเผชิญกับเสียงร้องไห้ของบุตรหลานของนาง เมื่อความคิดของนางไม่เป็นระเบียบ เสียงภายนอกจะน่ารำคาญอย่างยิ่ง กับนางก็ไม่มีข้อยกเว้น
เฟิงหยูเฮงโบกมือแล้วพูดพร้อมขมวดคิ้ว “หยุดร้องไห้แล้วก็ตะโกนต่อหน้าข้า ถ้าเจ้าทำต่อไป ข้าจะชักแส้ออกมาแล้วเฆี่ยนตีผู้คน ! ”
นางพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึมทำให้ทั้งสองไม่กล้าส่งเสียงร้องไห้ จากนั้นพวกเขาได้ยินเฟิงหยูเฮงกล่าวว่า “ตอนนี้สิ่งต่าง ๆ ยังไม่ได้รับการตรวจสอบอย่างละเอียด ข้าไม่ต้องการลงโทษผิดคน แม่รองอัน, เซียงหรู ข้าไม่ค่อยเชื่อใจคน อย่างไรก็ตามข้าจะไม่สงสัยคนอื่นโดยไม่มีเหตุผล ในคฤหาสน์ขนาดใหญ่นี้มีคนไม่มากที่ข้าสนิทสนมด้วย แต่เจ้าสองคนนั้นสนิทที่สุด ข้าไม่อยากเหงา ดังนั้นข้าจะตรวจสอบเรื่องนี้อย่างละเอียด แต่…” ทันใดนั้นนางก็จ้องมองไปที่ฮูหยินผู้เฒ่า “คฤหาสน์เฟิงควรสวดอ้อนวอนให้ข้าไม่สามารถตรวจสอบเรื่องนี้ได้ มิฉะนั้น… ใครก็ตามที่กล้าแตะต้องท่านแม่ของข้า… ”
ฮูหยินผู้เฒ่าตัวสั่น หากไม่ใช่เพราะยายจาวและคังอี้ที่ประคองนาง นางก็จะล้มลงกับพื้น แต่ในทันใดนั้นนางคิดถึงสิ่งต่าง ๆ มากมาย
เป็นไปไม่ได้ที่เหม่ยเซียงจะต้องการทำร้ายเหย้าซื่อโดยไม่มีเหตุผล อันชิ และเฟิงเซียงหรูนั้นมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเฟิงหยูเฮง และพวกเขาไม่มีหัวใจที่จะทำอันตรายผู้อื่น นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมต้องมีใครบางคนอยู่เบื้องหลังเหม่ยเซียง แล้วคนผู้นี้จะเป็นใคร
นางเรียกความกล้าหาญและมองไปที่เฟิงหยูเฮง เมื่อเห็นดวงตาที่มองนางราวกับว่านางเป็นศัตรู นางก็นึกถึงเฟิงจินหยวน ฮูหยินผู้เฒ่าตื่นตระหนก นี่เป็นสิ่งที่บุตรชายของนางทำหรือไม่ ? มันเป็นไปได้ ! ในเวลาที่เหยาซื่อหย่ากับเขา เฟิงจินหยวนก็รู้สึกไม่พอใจเสมอ เขาโกรธแต่เขาไม่มีที่ระบาย บางทีเขาอาจต้องการทำอะไรบางอย่างกับเหยาซื่อ นอกจากนี้ยังมีเฟิงเฉินหยู เฟิงเฉินหยูไม่สามารถหลบหนีจากการถูกพัวพัน ในช่วงเวลาที่เฉินซื่อตาย ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าเป็นเพราะการกระทำของเฟิงหยูเฮง เป็นไปได้ว่าเฟิงเฉินหยูยังคงรู้สึกเสียใจอยู่
ฮูหยินผู้เฒ่านั้นตื่นตระหนกเพราะนั่นหมายความว่าบุคคลที่รับผิดชอบยังคงมาจากคฤหาสน์เฟิง นางเข้าใจนิสัยของเฟิงหยูเฮงดี เมื่อผู้หญิงคนนี้โกรธแค้น นางก็จะปฏิเสธครอบครัวของนางเอง นางกล้าที่จะชี้ไปที่คนอื่นโดยตรงและเริ่มสาปแช่ง หรือเพียงแค่เริ่มเฆี่ยนผู้คนด้วยแส้ของนาง นางเคยไว้ชีวิตผู้ใดเมื่อล้ำเส้นนาง ? เฟิงหยูเฮงเกลียดชังคฤหาสน์เฟิงมาก เพราะสามปีในภาคตะวันตกเฉียงเหนือ หากพบว่ามีคนในตระกูลเฟิงกล้าทำบางอย่างกับเหยาซื่อ นางอาจแจ้งองค์ชายเก้าและให้เขาจุดไฟเผาคฤหาสน์เฟิง !
หัวใจของฮูหยินผู้เฒ่าสั่นเทาขณะที่ขาของนางสั่น ในห้องนี้นางรู้สึกนั่งไม่ติดขึ้นมาทันที คังอี้มองเห็นโอกาส นางคิดเพียงเล็กน้อยและกล่าวว่า “ร่างกายของท่านแม่ไม่ค่อยดี ลูกสะใภ้จะส่งท่านแม่กลับไปก่อน” จากนั้นนางก็พูดกับเฟิงหยูเฮงว่า “เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ท่านพี่จะกลับมาแล้ว ให้ท่านพี่เชิญหมอหลวงมาตรวจ”
เฟิงหยูเฮงส่ายหัว “ไม่จำเป็น อาการป่วยที่แม้แต่ข้าก็ไม่สามารถรักษาได้ จะมีประโยชน์อันใดในการเชิญหมอหลวงมา” นางโบกมือของนาง “ท่านแม่เห็นสถานการณ์ทางด้านนี้แล้ว ตอนนี้กลับไปได้”
อย่างไรก็ตามคังอี้กล่าวว่า “ข้าจะส่งท่านแม่กลับไปแล้วจะกลับมาใหม่ ไม่ว่าอย่างไรเราควรรอให้บ่าวรับใช้กลับมาพร้อมเหม่ยเซียง ความสามารถทางการแพทย์ของเจ้าดีมาก แต่สำหรับสิ่งอื่น ๆ มันจะเป็นการดีกว่าถ้าให้ผู้ใหญ่จัดการ ให้ข้าช่วยเจ้า”
คำพูดของนางค่อนข้างจริงใจ เฟิงหยูเฮงมองไปที่คังอี้ แล้วทันใดนั้นนางก็พูดกับนางว่า “ข้าให้ยากับรุ่ยเจียเมื่อวานนี้ ยานั้นต้องใช้สามวันก่อนที่จะได้รับอีกครั้ง วันนี้ข้าไม่จำเป็นต้องเข้าไปในพระราชวัง”
คังอี้ตกใจแล้วพูดทันที “นั่นไม่ใช่สิ่งที่ข้าหมายถึง ข้าเชื่อมั่นว่าเจ้าสามารถรักษานางได้เป็นอย่างดี ข้าแค่ต้องการช่วยเจ้า”
“ข้าไม่ต้องการ” เฟิงหยูเฮงยิ้มเยาะ “สิ่งที่ท่านแม่กำลังคิดจะทำ เขียนอยู่ทั่วใบหน้าของท่านแม่ ข้าไม่ใช่โง่ ข้าจะมองไม่เห็นได้อย่างไร” นางพูดอย่างนี้ในขณะที่จ้องมองที่ฮูหยินผู้เฒ่า “ข้าเข้าใจความคิดทั้งหมดของท่านแม่ ลืมมันไปเถอะ ข้าจะไม่เปิดเผยมัน หากท่านแม่มีความสามารถ กลับไปและทำสิ่งที่ท่านแม่ต้องการ นี่จะดีมาก เราสามารถเปรียบเทียบและดูว่าบ่าวรับใช้คนใดเชื่อถือได้มากกว่า”
คังอี้รู้สึกอับอายอย่างมากกับสิ่งที่นางพูด จริง ๆ แล้วนางเคยเห็นสิ่งที่ฮูหยินผู้เฒ่าคิด นางต้องการออกจากห้องอย่างรวดเร็วเพื่อแจ้งบ่าวรับใช้ของนางให้หยุดเหม่ยเซียงที่หลบหนี เฉพาะกับเหม่ยเซียงที่กำลังจะตาย เรื่องนี้อาจจบลงได้โดยไม่มีพยาน เฟิงหยูเฮงจะไม่ตำหนิตระกูลเฟิง
น่าเสียดายที่นางไม่คิดว่าผู้หญิงคนนี้จะเฉียบแหลมและมองทะลุปรุโปร่ง นางไม่สามารถแสดงสิ่งนี้ได้อย่างเป็นธรรมชาติ และพูดได้อย่างไร้ปัญหา “ข้าไม่มีความคิดอื่นใดเลย ข้าแค่คิดว่าจะไม่มีผู้ใหญ่คนอื่นอยู่ข้าง ๆ เจ้า และข้าเป็นห่วงว่าจะไม่มีการช่วยเหลือใด ๆ ที่นี่ แต่เนื่องจากอาเฮงสามารถจัดการได้ด้วยตัวเอง ข้าจะไม่รบกวนเจ้า”
หลังจากพูดอย่างนี้คังอี้ช่วยฮูหยินผู้เฒ่า และพาทุกคนออกไป
ชั่วครู่หนึ่งนอกเหนือจากบ่าวรับใช้ของเรือนตงเซิงแล้ว มีเพียงอันชิและบุตรสาวของนางเท่านั้นที่ยังคงอยู่ในห้อง
บ่าวรับใช้ของอันชิและเฟิงเซียงหรู ทั้งคู่ไปหาเหม่ยเซียง ในขณะนี้พวกเขายังไม่ได้กลับมา วังซวนเห็นทั้งคู่ยังคงคุกเข่า จากนั้นนางมองไปที่เฟิงหยูเฮง เมื่อเห็นเฟิงหยูเฮงพยักหน้า นางจึงไปช่วยประคองทั้งสองให้นั่งบนเก้าอี้
หัวใจของอันชิกำลังสับสน เฟิงเซียงหรูยังร้องไห้ไม่หยุด ทั้งสองจะมองออกไปนอกหน้าต่างเป็นครั้งคราว รอให้บ่าวรับใช้ทั้งสองคนกลับมา
เฟิงหยูเฮงพยายามทำการฝังเข็มให้เหยาซื่อ แม้ว่ามันจะไม่ได้ผลมากนัก แต่ก็สามารถบรรเทาความทุกข์จากการเสพติดได้เล็กน้อย เหยาซื่อยังคงหมดสติแต่คิ้วของนางขมวดแน่น เห็นได้ชัดว่าอาการของนางไม่ดี
“บานซู!” เฟิงหยูเฮงเงยหน้าขึ้นแล้วเรียกออกมา มีคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นจากอากาศทันที ทำให้อันชิและเฟิงเซียงหรูตกใจ “ส่งผู้คุ้มกันลับบางส่วนที่ถูกส่งมาจากองค์ชายเก้าและองค์ชายเจ็ดออกไปตามหาตัวเหม่ยเซียง ถ้าข้าไม่เข้าใจผิดเหม่ยเซียงไม่ได้อยู่ในคฤหาสน์เฟิงแล้ว ไปตามหานาง”
บานซูพยักหน้า “ข้าจะให้กลุ่มหนึ่งออกไปไล่ล่านอกเมืองหลวง และอีกกลุ่มค้นหารอบเมืองหลวง ในช่วงเวลาสั้น ๆ นางคงหนีไปได้ไม่ไกล เราไม่เพียงแต่กังวลเกี่ยวกับการไล่ล่าและลืมการซ่อนตัวง่าย ๆ ” หลังจากพูดอย่างนี้เขาไม่รอให้เฟิงหยูเฮงพูดอะไรอีก เขาหายตัวไปในพริบตา ไม่เห็นเขาอีกต่อไป
หัวใจของอันชิก็ทรมานเช่นกัน ด้วยผู้เชี่ยวชาญประเภทนี้ที่เรือนตงเซิง มันคงเป็นเรื่องยากสำหรับทุกคนที่จะทำอะไร แต่เนื่องจากเหยาซื่อเชื่อใจนาง นางจะกินอาหารที่ส่งมาโดยไม่สงสัยอะไรเลย ใครจะรู้ว่านี่เป็นความไว้วางใจที่ทำให้เหยาซื่อกลายเป็นเช่นนี้
ยิ่งอันชิมีความคิดเกี่ยวกับมันมากขึ้นเท่าไหร่ นางก็รู้สึกเสียใจ ในเวลานี้บ่าวรับใช้ทั้งสองคนกลับมาแล้ว การคาดเดาของเฟิงหยูเฮงนั้นถูกต้อง ข่าวที่พวกเขานำกลับมาคือ “เหม่ยเซียงหายตัวไปเจ้าค่ะ บ่าวรับใช้ค้นหาทั้งเรือนก็ไม่พบ ไม่พบร่องรอยของนางเลยเจ้าค่ะ”
หวงชวนถามอย่างใจจดใจจ่อ “เจ้าไปสอบถามกับยามที่ทางเข้าด้านหน้าหรือยัง ? ”
บ่าวรับใช้คนหนึ่งตอบ “ถามแล้วเจ้าค่ะ พวกเขาบอกว่าใต้เท้าเฟิงออกไปในตอนเช้าเพื่อไปราชสำนัก หลังจากนั้นมีเพียงคนที่มีหน้าที่ซื้อของจำเป็นเท่านั้นที่ออกไป พวกเขาไม่เห็นบ่าวรับใช้ของคุณหนูสามเลยเจ้าค่ะ”
อันชิเริ่มร้องไห้อีกครั้งขณะที่นางพูดกับเฟิงหยูเฮง “มันเป็นความผิดของข้าคนเดียว อนุผู้นี้ได้ทำร้ายความไว้วางใจของพี่เหยา คุณหนูรองลงโทษข้าเถิดเจ้าค่ะ อนุผู้นี้ยินดีรับผิดทุกสิ่ง”
เฟิงหยูเฮงไม่ได้พูดอะไร แต่วังซวนกล่าว “อนุอันหยุดพูดสิ่งเหล่านี้ พวกเขาจะทำให้คุณหนูรู้สึกเสียใจ ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือรักษาอาการป่วยของท่านฮูหยินเหยา เราได้ส่งคนไปไล่ล่าเหม่ยเซียงแล้ว ถูกและผิดมีความโดดเด่นอย่างชัดเจน ไม่ช้าก็เร็วความจริงจะเปิดเผยเจ้าค่ะ”
เฟิงหยูเฮงถอนหายใจแล้วหันศีรษะของนาง “แม่รองอันควรกลับไปก่อน ก่อนที่เรื่องนี้จะได้รับการแก้ไขอย่างชัดเจน ข้าจะไม่โยนความผิดให้ใคร ข้าได้พูดไปแล้ว มีคนไม่มากที่ข้าสนิทสนมและไว้ใจในคฤหาสน์นี้ แต่ข้าจะไม่เมตตาเพราะความรู้สึกเหล่านี้ หากพบว่าแม่รองอันไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งนี้ ทุกสิ่งจะง่ายต่อการแก้ไข แต่ถ้าแม่รองมีส่วนร่วม อย่าโทษข้าว่าไร้เมตตา”
เฟิงเซียงหรูยืนขึ้นอย่างรวดเร็วเพื่อให้การรับประกันกับนาง “คุณหนูรอง หากปรากฏว่าเราเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ข้าจะไม่ปัดความรับผิดชอบอย่างแน่นอน แม้ว่าเราจะไม่เกี่ยวข้อง แต่ขนมอบมาจากเรา เราจะไม่หนีการลงโทษเจ้าค่ะ”
เฟิงหยูเฮงโบกมือของนาง นางไม่มีจิตใจจะพูดอะไรเลย ทั้งสองเห็นว่านางเหนื่อยล้าทั้งกายและใจจริง ๆ หากสิ่งที่เกิดขึ้นมันเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสมสำหรับพวกเขาที่จะอยู่และให้ความช่วยเหลือ พวกเขาลุกขึ้นและกล่าวคำอำลาได้โดยคิดว่าพวกเขาจะพยายามตามหาว่าเหม่ยเซียงอยู่ที่ไหน
หลังจากฮูหยินผู้เฒ่ากลับไปที่เรือนซูหยา นางก็บอกทันทีว่านางต้องการพักผ่อน คังอี้ก็กลับไปที่เรือน แต่ทันทีที่คังอี้จากไป นางรีบพูดกับยายจาว “ส่งคนไปรอที่ทางเข้าของคฤหาสน์ เมื่อเฟิงจินหยวนกลับมาแล้วให้เขามาที่นี่ทันที ! ไปเร็ว ๆ “
ตอนที่ 351
หลังจากเฟิงจินหยวนกลับมาถึงที่คฤหาสน์ เขาถูกยายจาวพาตัวไปที่เรือนซูหยา ระหว่างทางเขาฟังยายจาวอธิบายสถานการณ์ หลังจากได้ยินสิ่งนี้ หน้าผากของเขาเปียกโชกไปด้วยเหงื่อเย็น
มีคนพยายามทำร้ายเหยาซื่อ นี่ไม่ใช่แค่การสาดน้ำมันลงในกองไฟ ! เฟิงหยูเฮงเป็นคนแบบไหน ? รุ่ยเจียดูถูกองค์ชายเก้านางก็เกือบเสียชีวิต นั่นคือองค์หญิง แต่นางไม่สนใจแม้แต่น้อย ตอนนี้มีคนกล้าที่จะทำร้ายมารดาผู้ให้กำเนิดของนาง เมื่อคนผู้นี้ถูกค้นพบ พวกเขาจะไม่ถูกถลกหนังหรือ
เขาเข้าไปในห้องนอนของฮูหยินผู้เฒ่าอย่างรวดเร็ว และเห็นฮูหยินผู้เฒ่านั่งบนเก้าอี้นุ่ม ๆ ในห้องด้านใน นางขมวดคิ้วแน่นราวกับความเศร้าโศกปกคลุมใบหน้าของนาง
เขาเดินไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วเพื่อคารวะ แต่ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวว่า “ พอแล้ว จุดประสงค์ของการคารวะคืออะไรในตอนนี้ คำพูกไม่กี่คำที่ทำให้ข้าสงบลงหรือไม่ ? ”
เฟิงจินหยวนนั่งลงข้าง ๆ นาง และถามอย่างใจจดใจจ่อ “ยายจาวบอกข้าระหว่างทางที่เดินมา เรื่องนี้เป็นความจริงหรือขอรับ ? ”
ฮูหยินผู้เฒ่าพยักหน้า “ข้าเห็นด้วยตาของข้าเอง มันเป็นเรื่องจริง เฟิงจินหยวน ข้ามีบางอย่างที่อยากจะถามเจ้า และเจ้าต้องบอกความจริงกับข้า”
เฟิงจินหยวนไม่รอให้นางถาม และกล่าวทันทีว่า “ข้าไม่ได้ทำ”
ฮูหยินผู้เฒ่านั้นตกใจ “ไม่ใช่เจ้าหรือ ? ”
เขาพยักหน้า “ขอรับ แม้ว่าข้าจะเกลียดเหยาซื่อหลังจากเรื่องการหย่าร้าง แต่ในความเป็นจริงข้าอยากให้นางตายเพราะความตายของนางเท่านั้นที่จะกำจัดความอัปยศของข้าได้ แต่ข้าไม่ใช่คนโง่ เหยาซื่อไม่ใช่คนที่ต้องกลัว แต่ผู้หญิงคนนั้นคืออาเฮงไม่ใช่ผู้หญิงที่จัดการได้ง่ายอย่างแท้จริง นอกจากนี้นางยังได้รับการสนับสนุนจากองค์ชายเก้า”
ฮูหยินผู้เฒ่าถอนหายใจด้วยความโล่งอก “มันเป็นเรื่องดีที่เจ้าเข้าใจเหตุผลนี้ ข้ากลัวว่าเจ้าสับสนและตัดสินใจที่จะลงมือกับเหยาซื่อ เจ้าไม่รู้เรื่องนี้วันนี้เมื่อเช้าที่เหยาซื่อเป็นแบบนี้ ดวงตาของอาเฮงน่ากลัวมาก เพียงแวบเดียวก็ทำให้ข้าเหงื่อชุ่ม ถ้าเหยาซื่อกลายเป็นคนติดยาเปลี่ยนวิญญาณและเจ้าเป็นคนทำ ข้ากลัวว่าผู้หญิงคนนั้นจะฆ่าตระกูลเฟิงทั้งครอบครัว ! ”
เฟิงจินหยวนเห็นว่าฮูหยินผู้เฒ่านั้นหวาดกลัวจริง ๆ เขาจึงปลอบโยนนางอย่างรวดเร็วโดยกล่าวว่า “ท่านแม่คิดมากเกินไป ไม่ว่านางจะกล้าแค่ไหน นางก็ไม่สามารถฆ่าทั้งตระกูลได้ ข้าเป็นขุนนางและฮ่องเต้เป็นผู้มอบรางวัลหรือลงโทษ เป็นไปไม่ได้ที่พระองค์จะประหารข้า แม้เฟิงหยูเฮงจะเรียกพระองค์ว่าเสด็จพ่อแต่ก็ไม่ได้หมายความว่านางจะทำทุกอย่างได้ที่นางต้องการ หากสิ่งใดเกิดขึ้นกับเสนาบดีของราชสำนักก็จะกลายเป็นความยุ่งเหยิง นี่เป็นอาชญากรรมที่นางไม่สามารถแบกรับได้”
ฮูหยินผู้เฒ่าสงบลงเมื่อได้ยินเขาพูดเช่นนี้ แต่นางก็ยังถามว่า “หากเจ้าไม่ได้ทำ และใครเป็นคนทำ เป็นเฉินหยูหรือไม่ ? ”
ในความเป็นจริงเฟิงจินหยวนก็สงสัยว่าเป็นเฉินหยู แต่หลังจากคิดแล้วเขาก็รู้สึกว่ามันไม่น่าเป็นไปได้ “เฉินหยูยังคงถูกขังอยู่ในวัด ไม่ต้องพูดถึงการออกมาของนางแม้ว่านางจะออกมาได้ แต่เสาหลักที่สนับสนุนของนางคือตระกูลเฉิน ตระกูลเฉินล่มสลายไปแล้ว ดังนั้นนางจะมีความสามารถในการทำสิ่งนี้ได้อย่างไร”
ฮูหยินผู้เฒ่าเตือนเขา “เหยาซื่อถูกกำหนดเป้าหมายด้วยยาเปลี่ยนวิญญาณ ข้าได้ยินว่าอันชิส่งขนมอบไปหลายเดือนแล้ว นั่นเป็นเรื่องปกติก่อนที่ตระกูลเฉินจะล่มสลาย”
เฟิงจินหยวนส่ายหัวอีกครั้ง “ตระกูลเฉินตกต่ำมานาน มันควรจะหยุดนานแล้ว และมันจะไม่รอจนกว่าวันนี้ที่จะมีผล”
ฮูหยินผู้เฒ่าพูดไม่ออก นางกล่าวด้วยความขมขื่นว่า “ไม่ใช่อย่างนี้และไม่ใช่อย่างนั้น ใครจะทำอย่างนั้น ใช่แล้ว” นางจำบางสิ่งได้ “ครั้งสุดท้ายที่ฮันชิตกเป็นเป้าหมายก็พบต่างหูในห้องครัว ทุกคนรู้ว่ามันเป็นของจินเฉิน แต่เฉินหยูใช้ผงเห็ดหูหนูอย่างชัดเจน เจ้าคิดอย่างไรกับเหตุการณ์นั้น บอกเด็ก ๆ ว่าผู้ที่พยายามวางยาพิษฮันชินั้นเหมือนกับคนที่วางยาเหยาซื่อได้หรือไม่”
เฟิงจินหยวนส่ายหัว “ไม่ ผงเห็ดหูหนูและยาเปลี่ยนวิญญาณมีความแตกต่างกันมากเกินไป นอกจากนี้เรือนตงเซิงไม่ใช่สถานที่ซึ่งใครก็สามารถเข้าไปได้ง่าย สำหรับใครที่ทำสิ่งที่ถูกต้อง ท่านแม่ เรื่องสำคัญที่สุดในขณะนี้คือคนทางฝั่งของเหยาซื่อ ตอนนี้เราจะทิ้งเรื่องของฮันชิไว้ก่อน เฉินหยูจะถูกขังอยู่ในวัดเพื่อให้นางสงบลง ในปัจจุบันไม่ดีสำหรับนางที่จะออกมา”
ฮูหยินผู้เฒ่าถอนหายใจอีกครั้ง และไม่ได้พูดอีกต่อไป
อันชิและเฟิงเซียงหรูให้เบาะแส และบอกเฟิงหยูเฮงว่าเหม่ยเซียงมีครอบครัวในเขตชานเมืองทางตอนเหนือของเมืองหลวง เรือนตงเซิงส่งกลุ่มคนออกไปตรวจสอบ และในที่สุดหลังจากผ่านไปสองวันเหมือนเส้นทางที่เร่ร่อน เหม่ยเซียงก็มาคุกเข่าอยู่ตรงหน้าเฟิงหยูเฮง
ในเวลานี้เฟิงหยูเฮงเพิ่งทำการฝังเข็มเหยาซื่อเสร็จ เหยาซื่อตื่นขึ้นมาแต่อาการของนางไม่ค่อยดีนักเนื่องจากนางอาการหนักมาก เฟิงหยูเฮงเพียงคนเดียวที่กล้าให้นางตื่นอยู่ 1-2 ชั่วยามต่อวัน นางต้องหมดสติไปตลอดทั้งวัน แม้ว่าในกรณีนี้นางยังคงให้บ่าวรับใช้ผ้านุ่ม ๆ ห่อของไว้ และสิ่งของที่สามารถทำลายได้ก็ถูกนำออกไป เพื่อป้องกันเหยาซื่อทำร้ายตัวเอง
การมาถึงของเหม่ยเซียงทำให้นางได้กลิ่นเหม็น นางหันหน้าหนี และเห็นว่าเส้นผมของหญิงสาวกระจัดกระจาย และหน้าดำ และน้ำสกปรกไหลออกจากร่างกายของนาง
นางโบกมืออย่างรวดเร็ว “รีบพานางออกไปที่สนามหน้าเรือน”
บ่าวรับใช้เดินมาข้างหน้าแล้วลากนางไปที่สนามแล้วโยนนางลงบนพื้น ความเจ็บปวดจากการล้มทำให้เหม่ยเซียงร้องออกมาสองสามครั้ง แต่มันก็ไม่ได้รับความเห็นอกเห็นใจใด ๆ
ทุกคนในเรือนตงเซิงเกลียดนางเพราะเหยาซื่อปฏิบัติต่อบ่าวรับใช้เป็นอย่างดี นางจะไม่ปฏิบัติต่อพวกเขาในฐานะบ่าวรับใช้ เมื่อใดก็ตามที่มีอาหารอร่อย ๆ นางมักจะเตรียมเพิ่มสำหรับบ่าวรับใช้ในเรือน ฮูหยินที่ดีเช่นนี้ได้รับอันตรายจากใครบางคน พวกเขาไม่ชอบ พวกนางอยากฉีกเหม่ยเซียงเป็นชิ้น ๆ
แต่ทุกคนรู้ว่าเหม่ยเซียงเป็นเพียงบ่าวรับใช้ นางไม่มีอะไรมากไปกว่ามีด สิ่งสำคัญคือต้องรู้ว่าใครคือคนที่อยู่ข้างหลังนาง นั่นคือคนที่สมควรได้รับการลงโทษอย่างแท้จริง
ไม่นานเฟิงหยูเฮงก็รักษาเหยาซื่อเสร็จแล้วก็ออกมา บานซูพูดกับนางว่า “นางถูกดึงออกมาจากท่อระบายน้ำทิ้งออกมา ในเวลานั้นนางกำลังวิ่งไปทางเหนือ ระหว่างทางมีคนพยายามฆ่านาง แต่เราพยายามช่วยนางแล้วพานางกลับมา”
“การที่มีคนจะฆ่านางนั้นไม่น่าแปลกใจเลย” เฟิงหยูเฮงเดินไปที่เหม่ยเซียงแล้วเหลือบมองมาที่นางอย่างเย็นชา “มีหลายคนที่อยากจะฆ่าเจ้า เจ้านายของเจ้าพยายามฆ่าเจ้าเพื่อปิดปากเจ้าแน่นอน ตระกูลเฟิงส่งคนไปเพื่อฆ่าเจ้าเพราะเจ้าทำงานให้กับตระกูลเฟิง นั่นคือเหตุผลที่เจ้าไม่สามารถหนีรอดไปได้”
บ่าวรับใช้นำเก้าอี้ออกมา และนางก็นั่งลงหันหน้าไปทางเหม่ยเซียง นางอยู่ห่างออกไป 5 ก้าว แต่นางยังสามารถได้กลิ่นเหม็น
เหม่ยเซียงได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้ทำอะไรรุนแรง นางถูกปกคลุมด้วยเลือด มันดูน่ากลัวนิดหน่อย เมื่อมาถึงจุดนี้นางหมดความอดทนแล้ว และนางก็ยอมแพ้เพราะนางรู้ว่าเฟิงหยูเฮงพูดถูก มีคนจำนวนมากไปที่ต้องการฆ่านาง ตราบใดที่นางออกจากเรือนตงเซิง นางก็มีแต่ความตายเท่านั้นที่รออยู่ แต่เมื่ออยู่ที่นี่… นางจะรอดชีวิตได้หรือ
นางเงยหน้าขึ้นและมองเฟิงหยูเฮง ในสายตาของนางมีเพียงความตายเท่านั้น และนางไม่สามารถมองเห็นความหวังได้
ในเวลานี้มีผู้คุ้มกันลับปรากฏตัวต่อหน้าเฟิงหยูเฮง และกระซิบบางอย่างที่หูของนาง เฟิงหยูเฮงพยักหน้าด้วยความพึงพอใจขณะที่ผู้คุ้มกันลับหายตัวไป
จากนั้นนางก็ถามเหม่ยเซียง “บอกมา ใครสั่งให้เจ้าทำ”
เหม่ยเซียงส่ายหัวและพูดด้วยเสียงแหบแห้ง “ไม่มีใครสั่งให้ข้าทำ ข้าทำเอง” ร่างกายทั้งหมดของนางเปียก และข้างนอกก็อากาศหนาวมาก ในขณะที่พูดนางตัวสั่น
เฟิงหยูเฮงกระพริบตา และพูดกับบ่าวรับใช้ว่า “เหม่ยเซียงหนาว รีบไปหาเตาอั้งโล่มา”
ทันใดนั้นบ่าวรับใช้ก็นำเตาอั้งโล่มาวางไว้ที่ด้านข้างของเหม่ยเซียง หวงซวนเดินไปคีบถ่านที่ร้อนแรงที่สุดออกมา เอนตัวใกล้กับเหม่ยเซียง นางกล่าวว่า “ไม่จำเป็นต้องเป็นห่วงร่างกายที่เย็นชา สิ่งที่น่ากังวลคือหัวใจที่เย็นชา มันจะดีที่สุดถ้าเจ้ากินถ่านชิ้นนี้เพื่อทำให้หัวใจของเจ้าอบอุ่น หรือบางทีเจ้าจะได้รู้ว่าคุณหนูของเราคิดถึงเจ้ามากแค่ไหน”
เหม่ยเซียงสั่นสะท้านด้วยความกลัวและต้องการหลบ น่าเสียดายที่มีคนจับนางไว้
หวงซวนโกรธ นางเอาถ่านวางบนหน้าอกของเหม่ยเซียง และเสียงการเผาไหม้ผิวหนัง ทำให้อากาศเต็มไปด้วยเสียงกรีดร้องอันเยือกเย็นของเหม่ยเซียง แต่ผู้หญิงคนนี้ดูเหมือนไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ ถ่านเผาเนื้อของนางแล้ว แต่นางก็ยังไม่หมดสติ
หวงซวนดุนาง “ในเวลาที่เจ้าถูกตีที่เรือนหยูหลาน ถ้าคุณหนูไปช้าเจ้าอาจถูกตีจนตาย แต่ทำไมเจ้าไม่รู้จักสำนึกบุญคุณ ? เจ้าไม่เพียงแต่ไม่ขอบคุณ แต่เจ้าใช้สิ่งนั้นกับท่านฮูหยินของเรา เหม่ยเซียง เหม่ยเซียง แม้ว่าคุณหนูจะแล่เนื้อเถือหนังเจ้าในวันนี้ มันก็เป็นสิ่งที่เจ้าสมควรได้รับ”
เหม่ยเซียงมองไปที่เฟิงหยูเฮงด้วยสีหน้าที่น่าเวทนา นางรู้สึกว่าสายตาของเฟิงหยูเฮงช่างน่ากลัวยิ่งนัก ก่อนหน้านี้นางรู้สึกว่าบุคคลที่ต้องการให้นางทำสิ่งนี้มีดวงตาที่น่ากลัวที่สุดในโลก แต่ในที่สุดนางก็เข้าใจว่าเมื่อเทียบกับคุณหนูรอง คนผู้นั้นยังด้อยกว่าเล็กน้อย
“หากเจ้าไม่พูด เจ้ามีเรื่องยุ่งยากหรือไม่ ? ” เฟิงหยูเฮงมองนางโดยไม่มีการแสดงออกใด ๆ ความดุร้ายในดวงตาของนางยังคงปรากฏอยู่ และน้ำเสียงของนางช่างเย็นชาจนดูเหมือนว่ามาจากใต้พิภพ
แต่เหม่ยเซียงพูดขอร้องอย่างขมขื่น “คุณหนูรอง ทุกอย่างข้าเป็นคนทำ ถ้าคุณหนูต้องการที่จะฆ่าข้าก็ฆ่าเลยเจ้าค่ะ ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดข้าก็ต้องตายอยู่แล้ว ทุกคนต้องการให้ข้าตาย ดังนั้นข้าจึงไม่สามารถหนีไปได้”
เฟิงหยูเฮงถามนางว่า “เนื่องจากพวกเขาต้องการให้เจ้าตาย ทำไมเจ้ายังปกป้องความลับของพวกเขาอยู่ ? ถ้าเจ้าพูด ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า”
เหม่ยเซียงยิ้มอย่างขมขื่น “จุดประสงค์ของข้าที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปคืออะไร ? พวกเขามีท่านแม่ ท่านพ่อ และน้องชาย 2 คนของข้า ถ้าข้าพูดอะไรพวกเขาจะตาย”
“ถ้าเจ้าไม่พูดพวกเขาจะมีชีวิตอยู่หรือ ? ” เฟิงหยูเฮงเกือบหัวเราะ “พูดถึงศีลธรรมกับคนเช่นนี้หรือ ? เจ้าไม่คิดหรือ เมื่อเจ้าตายทำไมพวกมันจะไว้ชีวิตครอบครัวของเจ้า ? เป็นไปได้หรือว่าพวกมันจะยอมให้น้องชายของเจ้าเติบโตและเรียนรู้ศิลปะการต่อสู้ จากนั้นก็แก้แค้นให้เจ้า ? ข้าจะบอกเจ้าว่าเป็นไปไม่ได้ ตราบใดที่เจ้าตาย ครอบครัวของเจ้าก็จะตามเจ้าไปทันที ในความเป็นจริงพวกเขาอาจตายไปแล้วก็ได้”
เหม่ยเซียงตกตะลึงและตะโกนว่า “เป็นไปไม่ได้! เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน ! พวกเขาสัญญากับข้า ตราบใดที่ข้าทำภารกิจนี้เสร็จ เขาจะแต่งงานกับข้า แม้ว่าเรื่องจะผ่านไปตราบใดที่ข้าไม่พูด เขาจะให้ชีวิตครอบครัวของข้า เขาสัญญากับข้า เขาสัญญากับข้า ! ”
หวงซวนตบนาง 2 ครั้ง “เจ้าบ้าไปแล้วหรือ? เจ้าเชื่อคำพูดเหล่านี้หรือ ? ตั้งแต่สมัยโบราณทุกคนจะใช้คำพูดหลอกลวงในการควบคุมบ่าวรับใช้ ในความเป็นจริงพวกเขาไม่แม้แต่จะเปลี่ยนคำพูด หากเขาต้องการแต่งงานกับเจ้าจริง ๆ เขาจะจับครอบครัวของเจ้าหรือ ? ”
วังซวนโกรธ นางพูดเสียงดัง “เหม่ยเซียง เจ้าอยู่กับคุณหนูสามของตระกูลเฟิง เจ้าควรจะมีชีวิตที่ดี จากนิสัยของคุณหนูสาม ไม่ว่าอะไรก็ตามพวกเขาจะไม่ทำร้ายบ่าวรับใช้ของพวกเขา พวกเขาลงเอยกับคนชั่วช้าเช่นนี้ได้อย่างไร ? ”
หวงซวนยืนใกล้นาง ในทันทีที่เหม่ยเซียงเคลื่อนย้าย นางก็พบว่าเหม่ยเซียงสวมอะไรบางอย่างที่คอของนาง มันเป็นสีแดงและกลม มันดูเหมือนจะอยู่ในรูปของดอกไม้
มือของนางเร็วมากและถอดสร้อยออกทันที เหม่ยเซียงกรีดร้องและรีบคว้ามันกลับคืนมา แต่นางจะสู้คนอย่างหวงซวนได้อย่างไร นางล้มเหลวในการจับแม้กระทั่งชายเสื้อของหวงซวน ในขณะที่นางกลับไปที่ด้านข้างของเฟิงหยูเฮง
นางส่งสร้อยคอสีแดงให้เฟิงหยูเฮง “คุณหนูดูนี่เจ้าค่ะ”
เฟิงหยูเฮงรับและมอง “หยกเลือดไก่ ? ” เหม่ยเซียงเป็นเพียงบ่าวรับใช้ เป็นไปไม่ได้ที่นางจะมีเงินซื้อของแบบนี้ หมุนสร้อยในมือของนาง ทันใดนั้นนางก็เหล่ตาขณะที่นางพูดอย่างไม่รู้ตัว “มันคือเขา…”
ตอนที่ 352
เฟิงหยูเฮงพูดว่า “เป็นเขา” เกือบจะทำให้เหม่ยเซียงกลัวจนตาย นางจำได้อย่างชัดเจนว่าบุคคลนั้นพูดว่าส่วนที่แดงที่สุดของหยกนั้นถูกแกะสลัก และเขาก็แกะสลักเอง ในโลกนี้มีเพียงชิ้นเดียวเท่านั้น
เป็นไปได้ไหมว่า… ที่นางรู้จัก ?
“ทำเพื่อซวนเทียนเย่ ? มันคุ้มค่าหรือไม่ ? ” เมื่อชื่อนี้ออกมาเฟิงหยูเฮงจ้องมองตรงไปที่ดวงตาของเหม่ยเซียง ราวกับว่าดวงตาของนางสามารถมองทะลุสิ่งต่าง ๆ ในขณะที่นางสามารถมองผ่านความคิดของเหม่ยเซียง
นางรู้ว่านางเดาถูกต้อง !
เหมยเซียงส่ายหัวอย่างไม่รู้ตัว นางไม่กล้าเชื่อสิ่งนี้ แม้กระนั้นนางก็เข้าใจว่านางไม่สามารถซ่อนอะไรจากคุณหนูรอง หรือองค์ชายสามแต่…
“ครอบครัวของข้าอยู่ในมือของเขา ถ้าข้าพูดอะไรไป พวกเขาทุกคนจะต้องตาย” เหม่ยเซียงไม่สามารถคุกเข่าอีกต่อไป ดังนั้นนางจึงนั่งลงบนพื้นดิน “คุณหนูรอง บ่าวผู้นี้เป็นคนวางยาเปลี่ยนวิญญาณเอง เพียงแค่ฆ่าบ่าวรับใช้ผู้นี้ ! ”
เฟิงหยูเฮงส่ายหน้า “เจ้ารู้หรือไม่ว่ายาเปลี่ยนวิญญาณมีผลกระทบต่อผู้คนอย่างไร ? ”
เหม่ยเซียงไตร่ตรองเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “เห็นได้ชัดว่ามันจะทำให้เกิดการติดยา แต่จะไม่ทำให้ชีวิตของใครตกอยู่ในความเสี่ยง พวกเขาจะต้องการกินมันทุกวัน มันปกติดีตราบใดที่นางกินมัน ? ”
หัวใจของเฟิงหยูเฮงสั่นคลอนด้วยความโกรธ ทันใดนั้นนางก็ออกจากที่นั่งแล้วรีบไปข้างหน้า หยุดอยู่ตรงหน้าเหม่ยเซียง นางดึงแส้ของนางออกมาแล้วเฆี่ยนเหม่ยเซยง 2 ครั้ง !
เหม่ยเซียงกรีดร้องและล้มลงบนพื้น ขณะที่แผลสองแผลปรากฎบนร่างกายของนาง เสื้อกันหนาวหนาฉีกขาดเช่นเดียวกับผิวของนาง เห็นได้ชัดว่าความแข็งแรงของเฟิงหยูเฮงนั้นมากแค่ไหนในการเฆี่ยน เพราะนางเกือบจะหมดสติไปจากความเจ็บปวด
“มันจะปกติดีตราบใดที่นางกินมัน ? ” เฟิงหยูเฮงเตะนางไปไกลแล้วพูดเสียงดัง “ถ้าเจ้าบอกว่าเมื่อใครติดยาและหยุดทานยา พวกเขาจะเสียสติ ? ถ้าข้าบอกเจ้าว่าเมื่อใครติดยาและหยุดทานยา พวกเขาจะเริ่มทำร้ายผู้คนและทำลายสิ่งต่าง ๆ จะเป็นอย่างไรถ้าข้าบอกเจ้าว่าเมื่อคนหนึ่งติดตาและหยุดทานยา เส้นเลือดอาจจะแตกทำให้พวกเขาต้องตาย”
เหม่ยเซียงตกตะลึงและพูดอย่างไม่รู้ตัว “ไม่ เป็นไปไม่ได้”
เฟิงหยูเฮงทำร้ายนางอีกครั้ง คราวนี้นางพันแส้รอบคอของเหม่ยเซียงแล้วลากนางไปที่ห้อง เหม่ยเซียงถูกลากลงบนพื้นราวกับสุนัขที่เกือบตาย นางดิ้นรนแต่เฟิงหยูเฮงจะปล่อยนางไปได้อย่างไร เหม่ยเซียงลากนางไปจนถึงข้างเตียงเหยาซื่อ เหม่ยเซียงเห็นเหยาซื่อนอนอยู่ที่นั่นทันที ในเวลาเพียงไม่กี่วันนางผอมมาก นางดูเหมือนกระดาษแผ่นหนึ่ง นางถูกคลุมด้วยผ้าห่ม แต่บาดแผลที่คอและใบหน้าของนางยังคงมองเห็นได้ชัดเจน ในห้องนั้นทุกอย่างถูกคลุมด้วยผ้านุ่ม ในห้องไม่มีโต๊ะและไม่มีแม้แต่แจกัน
วังซวนติดตามพวกเขา และบอกนางว่า “คุณหนูรองใช้ยาสลบเพื่อให้ท่านฮูหยินหลับ แต่ทันทีที่นางตื่นขึ้นมา นางจะบ้าคลั่งและเริ่มทำร้ายตัวเองทันที” ในขณะที่พูดสิ่งนี้นางใช้เวลาไม่กี่ก้าว ก้าวไปข้างหน้า และยกผ้าห่มเผยให้เห็นมือของเหยาซื่อ เหม่ยเซียงมองและเห็นว่ามือถูกห่อด้วยผ้า “เจ้าเห็นสิ่งนี้ไหม หากมือของนางไม่ถูกมัด ท่านฮูหยินก็จะทำร้ายตัวเองจนตายได้”
หวงซวนเดินไปข้างหน้าและบีบคอของเหม่ยเซียง “นี่เป็นผลของยาเปลี่ยนวิญญาณ นี่คือยาเปลี่ยนวิญญาณที่เจ้าพูดว่าไม่มีผลอะไร เหม่ยเซียง เจ้าสมควรตาย ! ”
เหม่ยเซียงสับสนและหายใจไม่ออก ดวงตาของนางโป่งออกมาขณะที่นางกำลังไขว่คว้าหาอากาศหายใจ แต่วังซวนหยุดหวงซวน “นางยังตายไม่ได้ เราต้องใช้นางอยู่”
เฟิงหยูเฮงพูดจาอย่างเฉยเมย “ทุบตีนางจนตายมันง่ายเกินไป” หลังจากพูดแบบนี้นางก็ดึงคอเหม่ยเซียงลากกลับไปที่สนาม
เหม่ยเซียงรู้สึกเหมือนคอของนางหักและนางจะตาย ไม่ว่านางจะพยายามเพียงใดนางก็หายใจไม่ออก ดูเหมือนกับว่าหัวของนางกำลังถูกบีบ มันทั้งอึดอัดและเจ็บปวด
ในที่สุดแรงบีบคอของนางก็ผ่อนคลายลงเนื่องจากเฟิงหยูเฮงดึงแส้ของนางกลับไป จากนั้นนางก็อ้าปากค้างเพื่อสูดอากาศ แต่ความกลัวและความสยองขวัญที่เติมเต็มหัวใจของนางนั้นลึกซึ้งยิ่งขึ้น !
ไม่ถูกต้อง ! องค์ชายสามกล่าวว่ายาเปลี่ยนวิญญาณจะไม่เป็นอันตรายต่อชีวิตของใคร ยิ่งกว่านั้นนางใส่เพียงเล็กน้อยในแต่ละวัน เหยาซื่อจะกลายเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร เป็นไปได้หรือไม่ว่า… นางถูกหลอก ?
“คุณหนูรอง ! ” ในที่สุดก็สามารถพูดได้ เหม่ยเซียงรีบคลานไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว “คุณหนูรอง บ่าวรับใช้ผู้นี้ไม่รู้ว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้น เขา… เขาบอกข้าว่ามันจะไม่เป็นอันตรายต่อชีวิตของคนที่กิน ! บ่าวใช้คนนี้ไม่รู้จริง ๆ ว่ามันจะเป็นแบบนี้ ! ” เหม่ยเซียงเริ่มร้องไห้อย่างขมขื่น
อย่างไรก็ตามเฟิงหยูเฮงก็บอกนางว่า “ไม่ต้องรีบร้อนที่จะร้องไห้ ดูสิ่งนี้ก่อน หลังจากที่เจ้าเห็นมัน เจ้าจะต้องร้องไห้อย่างแท้จริง” หลังจากพูดอย่างนี้นางปรบมือของนาง และมียามสองสามคนนำเปลหาม 4 อันมาวางไว้หน้าเหม่ยเซียง
ตอนแรกเหม่ยเซียงก็ตกใจ จากนั้นนางหันไปมองที่เปลหามทั้งสี่
มีคน 4 คนนอนอยู่ในเปลหาม ที่เปลหามนี้มีผู้ชาย 1 คน ผู้หญิง 1 คน และเด็กชาย 2 คนอายุประมาณ 6-7 ขวบ พวกเขาถูกขุดขึ้นมาจากหลุมฝังศพ และร่างกายของพวกเขาเริ่มเน่าเปื่อยแล้ว เสื้อผ้าของพวกเขายังไม่เริ่มเน่าและลักษณะใบหน้าของพวกเขายังคงโดดเด่น
เมื่อเห็นสี่คนนี้ เหม่ยเซียงก็ตกใจ นางยืนตัวแข็งทื่อ เบิกตากว้างมองในที่เกิดเหตุราวกับว่านางได้เห็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุดในโลก หลังจากนั้นไม่นานนางก็มีปฏิกริยาตอบโต้ในที่สุด นางวิ่งไปหาศพและเริ่มร้องไห้
การร้องไห้ครั้งนี้กินเวลานานและทำให้หวงซวนรู้สึกรำคาญเล็กน้อย ทันใดนั้นเหม่ยเซียงยกศีรษะของนางขึ้นมาจากศพแล้วจ้องมองที่เฟิงหยูเฮง นางกล่าวว่า “คุณหนูรอง ทำไมมีจิตใจที่โหดร้ายเช่นนี้ ? พ่อ แม่ และน้องชายของข้าไม่ได้ทำร้ายใคร ทำไมคุณหนูถึงฆ่าพวกเขา ? ”
เฟิงหยูเฮงโกรธมากจนนางหัวเราะ นางส่ายหัวและพูดว่า “เจ้าช่างโง่เขลาเสียจริง เจ้าไม่รู้ถึงผลกระทบของยาเปลี่ยนวิญญาณ และเจ้าไม่สามารถบอกเสียด้วยน้ำว่าพวกเขาตายไปนานแค่ไหนแล้ว ด้วยสติปัญญาของเจ้า เจ้าต้องการจะทำร้ายคนอื่น ? มันสมควรแล้วที่ครอบครัวของเจ้าถูกฆ่า”
วังซวนบอกนางอย่างเย็นชา “ดูให้ดี พวกเขาถูกขุดขึ้นมาจากหลุมโดยคนของเรา ทำไมพวกมันถึงถูกขุด พวกมันถูกห่อหุ้มด้วยผ้าใบกันน้ำ ไม่มีแม้แต่หีบศพ พวกเขาเริ่มเน่าแล้ว ในฤดูหนาวที่หนาวเหน็บ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาตายมานานกว่าหนึ่งเดือน หนึ่งเดือนก่อนหน้านี้คุณหนูของเราไม่รู้ว่ามารดาถูกวางยา ทำไมคุณหนูถึงต้องฆ่าครอบครัวของเจ้า ? ”
เหม่ยเซียงรู้สึกงุนงงเมื่อได้ยินสิ่งนี้ นางรู้สึกว่าวังซวนพูดถูกต้อง เมื่อมองศพของพวกเขา พวกเขาไม่ได้ดูเหมือนพึ่งเสียชีวิต
แต่นางไม่เข้าใจ ถ้าไม่ใช่เฟิงหยูเฮง แล้วใครล่ะ… นางตกใจทันที ทันใดนั้นชื่อ และภาพลักษณ์ของบุคคลนั้นก็ทำให้นางรู้ จากช่วงเวลาที่พวกเขาพบกันในภายหลัง ภาพของพวกเขาทุกคนปรากฎขึ้นตรงหน้านาง
เหม่ยเซียงหายใจลำบากมากขึ้นเรื่อย ๆ นางแทบจะไม่เชื่อความจริงนี้ แต่ผู้คุ้มกันลับที่ปรากฏตัวที่ด้านข้างของเฟิงหยูเฮง ผู้คุ้มกันลับนั้นบอกนางว่า “เราพบศพเมื่อติดตามคนผู้หนึ่งจากตำหนักเซียง”
เหม่ยเซียงทรุดกายลงทันที !
เฟิงหยูเฮงโบกมือและให้คนเอาศพไป จากนั้นนางก็พูดกับเหม่ยเซียง “ข้าสามารถซื้อโลงศพให้ 4 ใบ ตราบใดที่เจ้ามอบหลักฐาน ข้าจะฝังพวกเขาเพื่อเจ้า สำหรับตัวเจ้าเอง เจ้าสามารถชดใช้ความผิดของเจ้า และข้าจะไว้ชีวิตของเจ้า”
เมื่อเหม่ยเซียงสิ้นหวัง นางก็ได้ยินอย่างนี้ ชั่วครู่หนึ่งนางไม่อยากจะเชื่อเลย นางจ้องมองเฟิงหยูเฮงอย่างว่างเปล่า นางไม่สามารถพูดอะไรได้เลย
หวงซวนโกรธและดุนาง “เจ้าเป็นคนโง่งมไปแล้วหรือ ? คุณหนูรองบอกว่าจะช่วยเจ้าฝังครอบครัวของเจ้า และคุณหนูจะให้อภัยเจ้าตราบใดที่เจ้าอธิบายสถานการณ์อย่างชัดเจน ! มันคืออะไร เจ้าไม่ต้องการที่จะมีชีวิตอยู่หรือ แล้วเจ้าต้องการให้พ่อ แม่ของเจ้าเป็นศพไร้ที่ฝังเช่นนี้ ? ”
เหม่ยเซียงสั่นและตอบโต้ทันที นางส่ายหัวอย่างรวดเร็ว นางโขกศีรษะคำนับเฟิงหยูเฮงไม่หยุด
“พอแล้ว หยุดโขกศีรษะได้แล้ว ! ” หวงซวนรู้สึกว่าพวกเขาปล่อยผู้หญิงคนนี้ออกไปได้ง่ายเกินไป ท่านฮูหยินได้รับอันตราย เป็นเรื่องใหญ่ขนาดไหน หากคุณหนูรองยกโทษนางจริง ๆ ก็คงไม่ใช่คุณหนูรองแล้ว
เหม่ยเซียงเริ่มเกลียดคนที่นางทำงานให้ นางกัดฟัน นางอธิบายสถานการณ์
นางกล่าวว่า “องค์ชายสามคือคนที่บอกให้ข้าทำทุกอย่าง ทุกเดือนข้าจะนำเงินที่ข้าได้รับส่งให้ครอบครัวของข้า เมื่อประมาณ 4 เดือนที่ผ่านมา เมื่อข้าออกจากบ้านของข้า ข้าถูกรถม้าชน มันเป็นรถขององค์ชายสาม แต่ในเวลานั้นข้าไม่รู้ว่าเขาเป็นองค์ชายสาม ! หลังจากนั้นเขาก็มักจะส่งคนมามอบสิ่งของให้ข้า ทุกครั้งที่ข้าออกจากคฤหาสน์ ข้าวิ่งเข้าไปพระองค์และพระองค์จะแสดงความเป็นห่วงข้า หลังจากที่ข้าเริ่มรู้สึกบางอย่าง พระองค์ก็เปิดเผยตัวตน หลังจากนั้นด้วยเหตุผลบางอย่าง พระองค์ถามเกี่ยวกับขนมอบที่อนุอันทำและส่งไปยังเรือนตงเซิงเพื่อให้ท่านฮูหยินเหยาทาน จากนั้นพระองค์ต้องการให้ข้าแอบเอายาเปลี่ยนวิญญาณใส่เข้าไปในขนมอบ ในตอนแรกข้าไม่เห็นด้วย อย่างไรก็ตามพระองค์สัญญาว่าหลังจากที่ข้าทำเรื่องนี้สำเร็จ ข้าสามารถออกจากตระกูลเฟิง และพระองค์จะพาข้าเข้าไปในตำหนัก แม้ว่าจะเป็นกรณีนี้ข้าก็ไม่เห็นด้วย แต่พระองค์ก็มอบเรือนให้ท่านพ่อของข้าพร้อมกับบ่าวรับใช้ ส่งอาจารย์มาสอนน้องชายของข้า ท่านพ่อ ท่านแม่ของข้าคิดว่าพระองค์เป็นคนดี และบอกให้ข้าปฏิบัติต่อพระองค์อย่างดี เมื่อข้าคิดถึงสิ่งนี้ดูเหมือนว่าพระองค์จะควบคุมชีวิตครอบครัวของข้า อย่างไรก็ตามข้ายังคงหวังว่าพระองค์จะดูแลครอบครัวของข้าให้ดี เพราะพระองค์ชอบข้า… คุณหนูรอง บ่าวรับใช้ผู้นี้ตระหนักถึงความผิดพลาดของตัวเอง ทุกอย่างเป็นเรื่องหลอกลวงและข้าก็เป็นคนโง่ ไม่เพียงแต่ทำร้ายท่านฮูหยินเหยา ข้ายังทำให้ครอบครัวของข้าตาย ในวันที่คฤหาสน์ไม่มีผลไม้ ไม่สามารถทำขนมอบ ข้าได้ยินมาว่าท่านฮูหยินเหยากรีดร้องอยากกินขนมอบตั้งแต่เมื่อคืนก่อนจนถึงเช้า ดังนั้นข้ารู้ว่ายาเปลี่ยนวิญญาณมีผลแน่นอน ข้าหนีเพราะข้ากลัว พระองค์บอกว่าพระองค์จะส่งคนมารับข้า แต่ข้าไม่เคยคิดเลยว่าพระองค์จะส่งคนมาฆ่าข้า… ”
ในที่สุดเรื่องราวของเหม่ยเซียงก็สิ้นสุดลง และความจริงที่อยู่เบื้องหลังการวางยาพิษของเหยาซื่อถูกเปิดเผย ไม่มีใครสามารถจินตนาการได้ว่ามีการใช้เปลี่ยนวิญญาณมานานแล้ว ในขณะที่ทุกคนเดือดร้อนอย่างมาก
เฟิงหยูเฮงเดือดร้อนเป็นพิเศษ นางเป็นแพทย์และนางสังเกตการเคลื่อนไหวทุกอย่างในคฤหาสน์อย่างระมัดระวัง อย่างไรก็ตามนางไม่เคยคิดเลยว่าจะมีคนทำเช่นนี้ภายใต้จมูกของนาง
นางหลับตาลงเล็กน้อยเนื่องจากความโกรธพุ่งเข้าใส่นาง นางกำลังคิด ถ้านางฆ่าซวนเทียนเย่แล้วจะมีผลอย่างไร ? ฮ่องเต้ไม่ชอบบุตรชายของตัวเอง แต่ถ้าใครแตะต้องเขาแม้ว่ามันจะเป็นนางก็อาจจะถูกประหารได้ ?
แต่ถ้านางไม่ฆ่าเขา… นางจะสงบได้อย่างไร ?
เหม่ยเซียงยังคงคุกเข่าอยู่กลางลานมองไปที่เฟิงหยูเฮงด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง ในตอนแรกใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความกลัว แต่ตอนนี้มันแสดงความหวัง
“คุณหนูรอง…” เมื่อเห็นเฟิงหยูเฮงไม่พูดนาน นางลองเรียก อย่างไรก็ตามนางเห็นเฟิงหยูเฮงหลับตา
เฟิงหยูเฮงยืนขึ้นและเดินไปที่เหม่ยเซียง หยุดอยุ่ตรงหน้าเหม่ยเซียง จากนั้นนางก้มลงมองด้วยสายตาเย็นชา หลังจากนั้นไม่นานนางก็พูดว่า “มัดนางไว้ เรากำลังจะไปที่คฤหาสน์เฟิง บ่าวรับใช้ของคฤหาสน์เฟิงแม้ว่านางจะตาย นางก็ไม่สามารถตายในเรือนของเราได้”
เหม่ยเซียงตกตะลึงอย่างยิ่ง ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความไม่เชื่อ นางมองไปที่เฟิงหยูเฮงและถามด้วยความกลัว “คุณหนูรองไม่ได้บอกว่า… คุณหนูไว้ชีวิตของข้า”
“ไว้ชีวิตหรือ…? ” เฟิงหยูเฮงเยาะเย้ย เอนตัวไปเล็กน้อย นางจ้องมองตาเหม่ยเซียงและพูดทีละคำ “เมื่อใดกันที่องค์หญิงแห่งมณฑลผู้นี้เป็นคนรักษาคำพูด ? ”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น