ยอดรักชายาอัปลักษณ์ 345-351

 ตอนที่ 345 ไม่มีหนิงฮองเฮาแล้ว


 


 


“ฮองเฮา…”


 


 


“หงหลิงเป็นอย่างไรบ้าง”


 


 


หนิงอวี้ตัดบทจิ้นอิน นางเดินเข้ายังหอบรรทมสีหน้านิ่งเฉย จิ้นอินเห็นหางตานางแดงก่ำก็รู้ได้ทันทีว่าความแตกแล้วจึงรีบคุกเข่าลงกับพื้นทันที


 


 


หนิงอวี้กวาดสายตามองนางปราดหนึ่งอย่างเย็นชาแล้วยกเท้าก้าวเดินเข้าไปในหอบรรทมก็เห็นหงหลิงหลับแล้ว ตาตุ่มถูกพันด้วยผ้าแพรบางจนหนา หมอหลวงกำลังถือพู่กันเขียนใบสั่งยา


 


 


“หงหลิงเป็นอย่างไรบ้าง”


 


 


“ทูลฮองเฮา” หมอหลวงวางพู่กันลงแล้วคุกเข่ากับพื้น “ฮูหยินมั่วไม่ได้บาดเจ็บอะไรมาก เพียงพักผ่อนสักหน่อยก็พอพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


หนิงอวี้จ้องไปยังใบหน้ายามหลับของนาง ครั้นแล้วก็ผินกายเดินไปหน้าโต๊ะ หยิบพู่กันขนเพียงพอนขึ้น แล้วดึงกระดาษสีขาวดั่งหิมะแผ่นหนึ่งออกมา


 


 


หนิงฮูหยินแห่งสกุลเว่ย ขี้หึง ไม่ฟังคำผู้เป็นสามี นับแต่วันนี้ขอแยกทางกับเว่ยหยวน จากนี้ไปชีวิตการแต่งงาน ไม่เกี่ยวข้องกันอีกต่อไป


 


 


เขียนจดหมายเสร็จ มือหนิงอวี้สั่นเทาไม่หยุด


 


 


“เอาสารนี้ ไปมอบให้กับนายที่แท้จริงของเจ้า”


 


 


หนิงอวี้เหวี่ยงจดหมายลงกับพื้น แล้วรีบเดินออกไป


 


 


“ฮองเฮา…”


 


 


หนิงอวี้ไม่เหลียวกลับแม้แต่น้อย ฮองเฮาหรือ นั่นเป็นผู้ใดกัน โลกนี้ไม่มีหนิงฮองเฮาอีกแล้ว มีเพียงหนิงอวี้เท่านั้น


 


 


ยกมือขึ้นยังมุมปากแล้วผิวปากหนึ่งที ม้าเหงื่อโลหิตก็วิ่งทะยานมาหา หนิงอวี้ขึ้นหลังม้าแล้วตะหวัดแส้ วิ่งควบออกไปโดยเร็ว นางได้ยินเสียงฝีเท้าและเสียงตะโกนเรียกอยู่แว่วๆ ตามหลังมา


 


 


ประตูวังสีแดงชาดบานมหึมาปรากฏสู่สายตา บนนั้นตอกฝังด้วยตะปูทองแดงหนึ่งร้อยแปดตัว ประตูวังไม่เปิด หนิงอวี้ได้แต่ดึงรั้งสายบังเ**ยน ม้าร้องเสียงแหลมหนึ่งทีแล้วยั้งฝีเท้า


 


 


“ผู้ใดคิดจะออกประตูวัง”


 


 


หนิงอวี้ควานหาไปทั่วแล้วล้วงเอาป้ายที่เหน็บบนเอวป้ายหนึ่งขึ้นมา


 


 


“กระหม่อมถวายบังคมฮองเฮา”


 


 


เสียงจากด้านหลังดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ประตูวังบานยักษ์ค่อยๆ แง้มเปิด หนิงอวี้เหลียวกลับไปมองฝูงชนที่ตามมาปราดหนึ่ง นางหัวเราะเย้ยหยันหนึ่งทีแล้วตวัดแส้บังคับม้า ม้าทะยานขึ้นกลางอากาศ วิ่งออกประตูวังไป


 


 


จากนี้เป็นต้นไป คือแผ่นดินท้องอันกว้างใหญ่ หนิงอวี้ยกมือขึ้นป้องตา ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าแสงแดดจ้ายิ่งนัก คงเพราะแสงแดดที่แยงตา ไม่เช่นนั้นน้ำตานางจะไหลออกมาได้อย่างไร


 


 


“ฮองเฮา พระองค์จะเสด็จไปที่ใดพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


“ฝ่าบาทกำลังเสด็จมา ทรงรอสักครู่เถิดพ่ะย่ะค่ะ!”


 


 


“ฮองเฮา!”


 


 


หนิงอวี้ได้ยินคลื่นเสียงกระหึ่มมาจากด้านหลัง แล้วฝืนยกมุมปากยิ้ม


 


 


“โลกนี้ ไม่มีหนิงฮองเฮาอีกแล้ว”


 


 


ม้าร้องเสียงแหลมหนึ่งที ราวกับกำลังขานตอบคำนาง กระโปรงสีแดงเลือดปลิวไปตามลม ดูคล้ายดอกไม้ที่เบ่งบาน ทั้งยังดูเหมือนหางปลาที่กำลังแหวกว่าย


 


 


ควบม้าลำพังเรื่อยๆ ไปบนถนน หนิงอวี้ไม่รู้ว่าจะไปทางไหน และก็ไม่รู้ทางที่จะกลับเช่นกัน หลังจากวนเวียนไปมารอบหนึ่ง นางก็ควบม้ากลับไปยังจวนขุนพลหนิง


 


 


จวนขุนพลที่ครึกครื้นจอแจในอดีตบัดนี้ช่างดูหงอยเหงา มันตั้งตระหง่านอยู่กลางแสงอัสดง รอคอยคนผู้หนึ่งที่ไม่มีวันหวนกลับคืน หนิงอวี้รั้งสายบังเ**ยนแน่น น้ำตาเอ่อล้นหางตา


 


 


ผู้เฒ่าขาเป๋ผู้หนึ่งปรากฏตัวที่ข้างประตู เขากำลังจะใส่กุญแจประตูไม้ หนิงอวี้เหยียบเท้าลงบนบังโกลน กระโดดลอยสู่พื้น


 


 


“ท่านพ่อบ้าน”


 


 


ผู้เฒ่าได้ยินก็นิ่งอึ้ง ยื่นมือขึ้นมาขยี้ตา เมื่อแน่ใจว่าเป็นนางก็รีบคุกเข่าลงถวายคารวะ


 


 


“ข้าน้อยถวายบังคมฮองเฮา”


 


 


หนิงอวี้ประคองตัวเขาขึ้นแล้วพูดขึ้นเสียงเบา “ไม่ต้อง ขาท่านเป็นอะไรหรือ”


 


 


“โอ ข้าน้อยแก่แล้วใช้การไม่ได้ กลางคืนลุกขึ้นมาเผอิญหกล้มไปหนึ่งทีพ่ะย่ะค่ะ” พ่อบ้านส่ายมือ ทันใดนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองหนิงอวี้ “ฮองเฮา พระองค์ไยจึงเสด็จกลับมาหรือพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


หนิงอวี้ขบริมฝีปาก มองไปยังพ่อบ้านผู้แก่ชราเบื้องหน้าก็อดไม่ได้ที่จะน้ำตาไหล ครู่ใหญ่จึงพูดขึ้นเสียงเบาว่า “ข้ากับเว่ยหยวน แยกทางกันแล้ว”


 


 


พ่อบ้านชะงักอึ้ง ครั้นแล้วก็ยื่นมือไปปัดแขนเสื้อแล้วพูดขึ้นเสียงดัง “ข้าน้อยจะไปเข้าเฝ้าพระองค์! แม้ท่านขุนพลจะจากโลกไปแล้ว แต่หากมีใครกล้ารังแกพระองค์ ข้าน้อยจะเป็นคนแรกที่บุกเข้าไปเอาเรื่องมันผู้นั้น!”


 


 


“ไม่ต้องหรอก ท่านพ่อบ้าน ช่วยข้าปัดกวาดหน่อยเถิด จากนี้ไป ข้าจะกลับมาอาศัยที่จวนขุนพล”


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 346 เหตุผลข้างๆ คูๆ


 


 


หนิงอวี้เอนกายบนเตียงอยู่นานแต่ยังนอนไม่หลับ ครู่ใหญ่ก็ถอนหายใจหนึ่งทีแล้วลุกขึ้นนั่ง ลมพัดผ้าแพรบางไหว หนิงอวี้กอดเข่าทั้งสองน้ำตาไหลออกมา


 


 


ทันใดนั้น เสียงฝีเท้าก็ดังขึ้น หนิงอวี้ขมวดคิ้ว ครั้นแล้วก็ได้ยินเสียงคนเคาะประตูและพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “อวี้เอ๋อร์ ข้ามารับเจ้ากลับไป”


 


 


หนิอวี้รีบเอนกายกลับแล้วยื่นมือไปดึงผ้านวมขึ้น


 


 


“อวี้เอ๋อร์ อันเอ๋อร์ไม่เจอเจ้านาน ร้องไห้จนเสียงแหบแล้ว เจ้าจะใจแข็งไปถึงไหนกัน”


 


 


ทันทีที่สิ้นเสียง ก็ได้ยินเสียงทารกร้องไห้ขึ้นสองที


 


 


หนิงอวี้รีบลุกขึ้นนั่งโดยพลัน นางรีบเดินไปยังประตู คิดอยู่ชั่วครู่จึงขมวดคิ้วเปิดประตูห้องออก นอกประตูห้องแสงจันทร์สว่างอ่อนโยน เว่ยหยวนในชุดคลุมสีขาวทั้งตัว อุ้มทารกพันผ้าสีฟ้าในอ้อมกอด


 


 


แววตาเขาอ่อนโยน เขาก้มหน้าลงมองอันเอ๋อร์ปราดหนึ่งพลางพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ข้ามีหลายเรื่องอยากจะอธิบาย เจ้าให้เวลาข้าสักครู่ได้หรือไม่”


 


 


หนิงอวี้รับอันเอ๋อร์มาแล้วอุ้มไว้ในอ้อมกอดโยกไปมาเบาๆ แต่น้ำเสียงนางกลับเย็นชาอย่างมาก “เว่ยหยวน ข้ากับท่านไม่มีเรื่องต้องพูดกันแล้ว”


 


 


เสียงประตูผลักปิดดัง ปัง หนึ่งที เว่ยหยวนยืนอยู่ข้างประตูพูดขึ้นเสียงดัง “เรื่องนี้ข้าเห็นชอบด้วยจริง แต่นี้เป็นเพราะคำนึงถึงร่างกายของเจ้านะ”


 


 


“หมอหลวงบอกว่าเมื่อครั้งที่เจ้าคลอดพิษไอเย็นแทรกเข้ากระดูก ต้องสลายกำลังภายในเพื่อปรับร่างกาย ข้าจึงเห็นด้วย ข้าผิดที่ปิดบังเจ้า”


 


 


ตอนที่เห็นจดหมายขอแยกทางฉบับนั้น เขาจะระลึกได้ว่าเรื่องนี้เขารีบร้อนเกินไป เขาอยู่ที่หอบรรทม ใคร่ครวญอยู่นาน รอคอยอยู่นาน รอคิดเหตุผลออกมาได้ รอจนอันเอ๋อร์ร้องไห้จนเสียงแหบ ถึงได้ควบม้ามา


 


 


ความคิดจริงๆ นั้น ไม่อาจบอกเป็นอันขาด หากพญาอินทรีรู้ตัวว่าที่พันรัดมันไว้นั้นไม่ใช่เครือไม้อันอ่อนโยน แต่เป็นงูหลามสีดำเมื่อม มันต้องบินหนีแน่


 


 


หนิงอวี้พิงประตูนิ่งเงียบไม่พูดจาแล้วค่อยๆ ล้มตัวลงนั่งกับพื้น หากเป็นเช่นนั้นจริง เหตุใดหมอหลวงจึงไม่บอกแต่แรก ทำไมตอนนั้นเขาไม่อธิบายออกมา


 


 


เหตุผลนี้ดูไม่สมเหตุสมผลยิ่งนัก หนิงอวี้ก้มหน้า น้ำตาร่วงลงบนแก้มอันเอ๋อร์ อันเอ๋อร์เองก็ดูเหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่าง จึงร้องไห้ออกมาเสียงดัง


 


 


——


 


 


ยามเช้า หนิงอวี้วางอันเอ๋อร์ลงบนเตียงแล้วห่มด้วยผ้าห่มไหม นางเดินออกประตูไปช้าๆ ก็เห็นเว่ยหยวนยื่นนิ่งอยู่หน้าประตูไม่ขยับแม้แต่น้อย ชุดของเขาแนบติดตัวอย่างหมดสภาพ บนขนตามีน้ำค้างเกาะอยู่บางๆ


 


 


หนิงอวี้ไม่สนใจเขา เพียงแต่พูดกับพ่อบ้านที่อยู่อีกฝั่งหนึ่ง “จากนี้ไป ห้ามไม่ให้ใครย่างกรายเข้ามาในจวนขุนพลอีก”


 


 


เว่ยหยวนได้ยินก็ยกมุมปากอันชาวซีดขึ้น อ้าปากหมายจะเอ่ยคำก็ได้ยินหนิงอวี้พูดขึ้นช้าๆ ว่า “แน่นอน หญิงชาวบ้านไร้ที่พึ่ง หากฮ่องเต้ทรงหมายจะบุกรุกเข้ามา หนิงอวี้ย่อมมิอาจขัดขวาง”


 


 


ยังไม่ทันขาดคำ หนิงอวี้ก็หันกายเดินจากไป นางก้าวเดินช้าๆ ดูเหมือนเดินเล่นตามอำเภอใจ แต่ความจริงนางกลับกำลังคอยระวังสังเกตเสียงฝีเท้าจากด้านหลัง เขายืนอยู่นานแล้ว ร่างกายย่อมทนไม่ได้แน่นอน


 


 


แต่ในเมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้ นางจะไม่ยอมอยู่ร่วมกับเขาอีก ไม่ว่าอย่างไร วังหลังก็ต้องมีสาวงามกรูกันเข้าไป แล้วนางจะอยู่ในฐานะสักเท่าไรกัน


 


 


นางไม่อยากสูญเสียวิทยายุทธและยิ่งไม่อยากสูญเสียเกียรติภูมิ เสียงดังแว่วมา ครั้นแล้วพ่อบ้านก็ตะโกนขึ้นอย่างร้อนรนใจ “ฝ่าบาท พระองค์เป็นอะไรพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


หนิงอวี้หยุดนิ่ง ฝีเท้าเริ่มไม่เป็นจังหวะขึ้นมาทันใด พอดูออกว่านางกำลังพยายามวิ่งหนี


 


 


กินอาหารเที่ยงทั้งใจลอย หนิงอวี้เอนกายตากแดดอยู่บนแคร่สนมอย่างเกียจคร้าน แสงแดดอบอุ่นแห่งฤดูใบไม้ผลิสาดกระทบกาย หนิงอวี้หรี่ตาครึ่งหนึ่ง มองไปยังเงาไม้ไม่พูดจาอันใด


 


 


“ฮองเฮา…ท่านดูความจำของข้าสิ คุณหนู! หงหลิงกลับมาแล้ว!”


 


 


พ่อบ้านเดินเข้ามาด้านหน้า คนที่ตามมาด้านหลังสวมชุดสีเขียวดูสดใสน่ารัก นางคือหงหลิงนั่นเอง


 


 


หนิงอวี้ลุกขึ้นยืน ดึงตัวหงหลิงเข้ามาดูอย่างละเอียดรอบหนึ่ง ครั้นแล้วก็ก้มหน้าลงดูบาดแผลของนาง แล้วถามขึ้นเสียงเบา “แผลเป็นอย่างไรบ้าง กล้ามเนื้อเส้นเอ็นบาดเจ็บทีนานถึงร้อยวัน เจ้าควรพักผ่อนแต่ที่บ้านมิใช่หรือ”


ตอนที่ 347 ถูกมั่วหลีหย่า


 


 


“บ่าว” หงหลิงเงยหน้าขึ้น “บ่าว…ถูกมั่วหลีขอหย่าแล้ว ไม่มีที่ไปเจ้าค่ะ”


 


 


“เจ้าว่าอะไรนะ!”


 


 


“ฝ่าบาททรงรับสั่ง หากท่านไม่กลับไปคืนดีกับเขาดังเดิม ก็จะให้บ่าวและมั่วหลีชั่วชีวิตมิได้อยู่ร่วมกันอีก” หงหลิงท่าทีน้อยเนื้อต่ำใจอย่างมาก ครั้นแล้วก็เปลี่ยนเรื่อง “ท่านไม่ต้องห่วงบ่าวนะเจ้าคะ บ่าวไม่เป็นอะไร!”


 


 


ทันทีที่พูดจบ น้ำตาก็ร่วงหล่นจากหางตาหงหลิง หนิงอวี้ทำตัวไม่ถูก รีบใช้แขนเสื้อซับน้ำตาให้นางอย่างรีบร้อน เหลวไหลจริง เว่ยหยวนคิดทำอะไรกันแน่


 


 


เรื่องนางกับเขา ทำไมต้องเอาไปข้องเกี่ยวกับหงหลิงและมั่วหลี เลอะเทอะที่สุด! หนิงอวี้เห็นหงหลิงร้องไห้จนตาแดงก่ำ ในใจก็พลันลุกโชนด้วยไฟโกรธ นางเดินออกนอกประตูลานไปทันที


 


 


แย่ที่สุด! นางต้องพูดกับเว่ยหยวนให้ชัด หากคิดจะใช้ความสุขของหงหลิงมาบีบคั้นนาง เป็นไปไม่ได้อย่างเด็ดขาด


 


 


วิ่งจนถึงประตูจวนขุนพล เงากายสูงเพรียวร่างหนึ่งปรากฏสู่สายตา เว่ยหยวนสวมชุดขาวที่เปียกไปด้วยน้ำค้างทั้งตัวนั้น ถือกล่องขนมกล่องหนึ่งยืนอยู่ที่ประตู


 


 


“อวี้เอ๋อร์”


 


 


เว่ยหยวนยกขนมกุ้ยฮวาซูในมือขึ้นแล้วพูดด้วยความดีใจเป็นล้นพ้น หนิงอวี้ยั้งฝีเท้าแล้วพูดขึ้นอย่างไร้อารมณ์ “ทำไมจึงแยกหงหลิงกับมั่วหลี”


 


 


“เพราะว่า” เว่ยหยวนวางขนมลงอย่างใจเย็น “เพราะว่าเจ้าแยกกับข้า ข้าไม่ยินดี จึงอยากลองทำร้ายคนอื่นดู”


 


 


หนิงอวี้อ้าปากหมายจะพูดว่า ‘เสียสติ’ แต่ก็กลืนมันกลับเข้าไป เว่ยหยวนในชุดขาวทั้งตัวยืนอยู่ใต้แสงแดดอันอบอุ่น นางยิ้มขึ้น แต่ในแววตากลับเต็มไปด้วยความคลุ้มคลั่ง


 


 


แสงอาทิตย์สว่างอบอุ่น แต่ดูเหมือนมันไม่สามารถขับไล่ความมืดมนหดหู่ของเขาได้ เขายื่นมือออกไป พลางยิ้มหนึ่งที ความคิดที่ผุดขึ้นอย่างคลุ้มคลั่งตลอดทั้งคืนที่ตั้งใจปิดบังเอาไว้


 


 


เขาคิดอยากได้นาง อยากกอดนางไว้ในอ้อมกอด หากสูญเสียนางไป เขาคงเป็นบ้า จะเกลี้ยกล่อมก็ดี บีบบังคับก็ดี ต่อให้ต้องจับมัดพันธนการ เขาก็ต้องพานางมาอยู่ข้างกายให้ได้


 


 


“ท่านพ่อบ้าน ใส่กุญแจประตูซะ”


 


 


ประตูไม้บานใหญ่ค่อยๆ งับปิด ชั่วอึดใจเดียวขนมกุ้ยฮวาซูก็ถูกสอดผ่านใต้ประตูเข้ามา


 


 


หนิงอวี้หัวเราะหนึ่งที “ดูเหมือนประตูไม้จวนขุนพลเห็นทีจะต้องพักการใช้งานแล้ว อะไรต่อมิอะไรก็สอดเข้ามากลางจวนขุนพลได้”


 


 


พ่อบ้านยืนลังเลกับที่ทำตัวไม่ถูก เฮ้อ เมื่อคืนฮ่องเต้ยืนอยู่หน้าประตูมาทั้งคืน คิดถึงสิ่งต่างที่ฮ่องเต้ทรงทำเพื่อฮองเฮา ก็รู้ว่าทรงรักใคร่ฮองเฮาลึกซึ่งเพียงใด


 


 


“ท่านพ่อบ้าน รีบไปตามช่างไม้มา”


 


 


——


 


 


อันเอ๋อร์ดื่มนมจนอิ่มแล้วก็กุมนิ้วข้างหนึ่งของนางนอนหลับอย่างสนิท หนิงอวี้ก้มหน้าลงจุมพิตบนหน้าเขาหนึ่งที ครั้นแล้วก็ดึงนิ้วออกเบาๆ


 


 


ถึงช่วงโพล้เพล้แล้ว ความคิดในใจกับยังคงวุ่นวายสับสน หนิงอวี้หลับตาทั้งคู่ลงก็นึกถึงความคลุ่มคลั่งในแววตาของเขาเมื่อครู่ได้ ทำอะไรอยู่นะ ยังจะเฝ้าอยู่ที่ประตูหรือไม่


 


 


อาการป่วยที่ขาเขาหายดีแล้ว แต่หากต้องลมเย็นนานๆ เข่าต้องปวดอย่างมากเป็นแน่ ได้ยินว่า วันนั้นที่เขาค้นกองศพ ฝนยังตกลงมาห่าใหญ่ด้วย


 


 


หนิงอวี้เงยหน้าขึ้น ก็พบว่าตนเดินมาถึงประตูหน้าจวนขุนพลเสียแล้ว ประตูใหญ่ปิดสนิท หนิงอวี้หันกายหมายจะเดินกลับ ลังเลอยู่ชั่วครู่จึงยกเท้าก้าวออกไป


 


 


จู่ๆ ฝนก็ตกลงมา หนิงอวี้หันกายกลับไปเปิดประตูใหญ่ บนถนนว่างเปล่าไร้ผู้คนแม้เพียงคนเดียว นางบอกไม่ถูกว่ารู้สึกผิดหวังหรืออะไรกัน หนิงอวี้ปิดประตูแล้วหันกายเดินจากไป


 


 


ทันใดนั้นเอง เสียงสวบสาบเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น หนิงอวี้ชำเลืองขึ้นก็เห็นบนกำแพงสูงมีกล่องขนมกุ้ยฮวาซูกล่องหนึ่งวางอยู่ หนิงอวี้นิ่งอึ้งกับที่อยู่นาน มองไปรอบๆ ไม่พบใคร จึงปีนขึ้นไปบนต้นไม้ หยิบขนมนั้นลงมา


 


 


เมื่อเปิดกล่องออก หยิบขึ้นมาหนึ่งชิ้น ในปากรู้สึกอุ่น ขนมร่วงลงกับพื้น หนิงอวี้กระโจนลงจากต้นไม้ แล้วรีบเดินไปยังหน้าประตู ประตูไม้ถูกผลักอย่างแรง หนิงอวี้วิ่งไปสองสามก้าวจนถึงมุมเลี้ยว ก็เห็นเว่ยหยวนยืนอยู่ที่มุมกำแพงเงยหน้ามองท้องฟ้า


 


 


“ท่านกลับไปเถอะ นี่ไม่ได้มีความหมายอะไรสักนิด”


 


 


“ข้ารับรอง เรื่องเช่นนี้จะไม่เกิดขึ้นอีกครั้งเด็ดขาด”


 


 


“ท่านไปซะ”


 


 


“ขนมกุ้ยฮวาซูอร่อยหรือไม่ ข้าตั้งใจเก็บไว้ในอกเพื่อรักษาความร้อน พอได้ยินเสียงเท้าถึงได้วางบนกำแพง” เว่ยหยวนยิ้มอย่างอ่อนแอ “หากเจ้าไม่ชอบให้ปรากฏตัวที่ประตู ข้าก็จะไม่ไป”


 


 


หนิงอวี้อ้าปาก แต่กลับพูดไม่ออกแม้เพียงคำเดียว ท่ามกลางฝนที่ตกทั่วฟ้า หนิงอวี้ไร้คำพูดขึ้นมาทันใด เสียงสายฝนดัง ซ่าๆ กลบทุกอย่างจนมิด


 


 


“นายท่าน ท่านสุขภาพไม่ดีนะเจ้าคะ”


 


 


หงหลิงกางร่มเดินมา หนิงอวี้ผลักนางออกแล้วหันกายเดินกลับโดยไม่เหลียวมอง หงหลิงร้อนใจจนกระทืบเท้า ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงร้องด้วยความเจ็บดังขึ้นหนึ่งที เมื่อได้สติกลับคืน นางจึงยื่นร่มกระดาษชุบไขอีกคันหนึ่งให้กับเว่ยหยวนพลางยอบการคำนับแล้วรีบตามหนิงอวี้ไป


 


 


“นายหญิง ช้าหน่อยเจ้าค่ะ บ่าวเจ็บ”


 


 


หนิงอวี้ชะลอฝีเท้าลง รออยู่กับที่ ยื่นมือไปรับร่มนาง หงหลิงพูดอย่างกระหืดกระหอบว่า “นาย…หญิง…รื้อประตูไม้ทิ้งดีไหมเจ้าคะ”


 


 


“ไม่!”


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 348 ร้อนตัว


 


 


ตกดึก เงาลับๆ ล่อๆ ร่างหนึ่งปรากฏข้างจวนขุนพล หนิงอวี้เหลียวซ้ายแลขวาทีหนึ่ง เมื่อแน่ใจว่าไม่มีใครจึงย่อเข่านั่งลง ชักกริชด้ามหนึ่งที่คมกริบจนเฉือนเหล็กได้ราวกับโคลนออกมา แซะลงบนแผ่นไม้แผ่นหนึ่งที่ด้านล่างสุดของประตูไม้อย่างตั้งอกตั้งใจ


 


 


กริชสะท้องแสงอันเยือกเย็นภายใต้แสงจันทร์ ดูน่าหวาดกลัวไม่น้อย หนิงอวี้ได้ยินเสียงดังสวบสาบเบาๆ ก็หันหน้ากลับโดยพลัน เห็นกิ่งไม้สั่นไหวเล็กน้อยก็หันหน้ากลับขยับมือต่อ


 


 


ราวไม่ถึงครึ่งเค่อ หนิงอวี้แซะออกอยู่นาน ในที่สุดแผ่นไม้ใต้ประตูไม้ก็ถูกไสจนเกลี้ยง


 


 


หนิงอวี้เหลียวมองไปรอบทิศไม่เห็นผู้ใดจึงเขย่งปลายเท้าเดินย่องกลับเรือนไปโดยเร็ว เดินไปพลาง ก็อดไม่ได้ที่จะหวนคิดถึงการกระทำเมื่อครู่ของนาง…ช่างน่าละอายอย่างมากจริงๆ


 


 


เขาตากฝนอยู่ด้านนอกแล้วเกี่ยวอะไรกับนาง หนิงอวี้ส่ายหน้าอย่างแรงแล้วพูดขึ้นเสียงเบา “ถ้าหากต้องไอเย็นจนป่วยคงได้มาก่อกวนข้าแน่” เสียงเบาดังยุงร้อง ฟังดูร้อนตัวไม่น้อย


 


 


หนิงอวี้ขบริมฝีปาก พยายามห้ามตนไม่ให้คิดเรื่องนี้ เสียงเด็กทารกร้องไห้ดังแว่วมาจากด้านในห้อง อวี้เอ๋อร์ผลักประตูเดินเข้าไป


 


 


“อันเอ๋อร์ไม่ร้องให้นะ”


 


 


กลางพุ่มไม้ข้างประตูจวนขุนพล หญิงสาวในชุดสีเขียวเดินออกมา ภายใต้แสงจันทร์ นางมองเห็นเศษไม้บนพื้นได้อย่างชัดเจน


 


 


หงหลิงสีหน้าซับซ้อน นางย่อเข่าลงนั่งสำรวจใต้ประตู ผ่านไปครู่ใหญ่จึงถอนหายใจออกมาหนึ่งที นางล้วงผ้าเช็ดหน้าไหมผืนหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อพันก้อนหินก้อนหนึ่งไว้แล้วโยนข้ามกำแพงไป


 


 


——


 


 


นกส่งเสียงร้องบนกิ่งไม้เป็นพักๆ หนิงอวี้ยืนอยู่ใต้ต้นไม้โดยไม่พูดจา จ้องเหม่อไปยังรองเท้าปักลาย ประตูใหญ่จวนขุนพลปิดสนิท คนรับใช้กำลังปัดกวาดเศษไม้อยู่


 


 


พ่อบ้านสีหน้ายินดี แต่เพราะหนิงอวี้อยู่ข้างๆ จึงพยายามปั้นหน้านิ่ว


 


 


“ไม่รู้ว่าใครช่างไร้สำนึกเสียจริง! คุณหนู ท่านอย่าได้กังวล อีกสองสามวันข้าน้อยจะไปตามช่างมาอีก”


 


 


หนิงอวี้ชะงักนิ่ง ฝืนปั้นหน้ายิ้มหนึ่งที


 


 


“ไม่ต้อง”


 


 


หงหลิงได้ยินก็นึกขัน แต่นางก็ได้แต่ยกมือขึ้นป้องริมปากทำทีเป็นไอเบาๆ หนึ่งที


 


 


“นายหญิง แดดแรงขึ้นเรื่อยๆ ไม่สู้กลับไปพักให้เร็วหน่อยไม่ดีกว่าหรือเพคะ”


 


 


หนิงอวี้สะดุ้งโหยงรู้สึกอึดอัดใจ


 


 


“ไม่เป็นอะไร ข้าจะเดินเที่ยวอยู่แถวนี้”


 


 


“เดินเที่ยวหรือเจ้าคะ”


 


 


หงหลิงถลึงตาโต ราวกับไม่เข้าใจ หนิงอวี้หน้าแดงก่ำ ยกมือขึ้นกดบนบ่าของนางแล้วบังคับนางหันกายกลับอย่างอ่อนโยน


 


 


“แผลยังไม่หาย เจ้าไม่สู้ดื่มยาให้มากหน่อย”


 


 


ตอนแรกหงหลิงนึกขบขัน แต่เพราะด้วยคำว่ายาคำนั้นนางจึงเผยอปาก สายตาเหลือบไปเห็นผู้เป็นนายหน้าแดงเห่อถึงใบหู ก็สบายใจลงบ้างจึงหันกายเดินจากไป


 


 


“คุณหนู ท่าน…”


 


 


“ท่านพ่อบ้านท่านกลับไปก่อนเถอะ ข้าจะไปเดินเล่น”


 


 


เกลี้ยกล่อมทั้งสองคนจนจากไป หนิงอวี้ก็ยืนอยู่หน้าประตูเพียงลำพัง นางคิดทำอะไรอยู่กัน ตัวนางเองก็บอกไม่ถูกแม้แต่น้อย แม้จะตัดสัมพันธ์ของทั้งสองขาดกันแล้ว แต่ก็ไม่อาจยืนมองเขาเปียกฝนตามลำพังอย่างเย็นชาได้


 


 


หากจะยกโทษ…นางก็ทำไม่ได้อยู่ดี เงากายนางทอดยาวออกไป ร่างกายนิ่งทื่อ ในศีรษะรู้สึกสับสน หนิงอวี้หันกายแล้วเดินจากไป


 


 


ที่แท้ก็เป็นเพียงแค่การแสดงละคร แค่ความสะใจเพียงชั่วคราว แค่การสร้างเรื่องเท่านั้น หนิงอวี้ขบริมฝีปาก ฝีเท้าเริ่มไม่เป็นจังหวะ ไม่ บางทีหรืออาจจะเกิดเรื่องบางอย่างขึ้นกับเขา


 


 


เขาไม่ได้นอนตลอดคืน ทั้งยังตากฝนอยู่นาน ทันทีที่ความคิดผุดขึ้นนางก็เก็บความร้อนใจไว้ไม่อยู่ นางหันกายเตรียมออกวิ่ง แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าเขาและนางสิ้นเยื่อใยกันแล้ว แล้วนาง…จะไปปรากฏตัวในฐานะอะไร


 


 


วุ่นวายสับสนไปหมด สุดท้ายแล้ว นางเป็นผู้ชนะหรือแพ้กันแน่ หนิงอวี้กำหมัดนิ่งเหม่อกับที่อยู่นาน แล้วจึงค่อยๆ เดินไปยังกลางลาน


 


 


โลกนี้ไม่มีหนิงฮองเฮาแล้ว มีเพียงหนิงอวี้เท่านั้น ในเมื่อนี่คือการตัดสินใจของนาง ก็ต้องรักษามันไว้ให้ดี


ตอนที่ 349 หนิงอวี้คนดีของข้า


 


 


แสงจันทร์ส่องกระทบบนกายอย่างอ่อนโยน หนิงอวี้นั่งเหม่อกลางลานอยู่ตามลำพัง ความกังวลคละเคล้าไปกับความโกรธเคือง การตำหนิตัวเองเริ่มหลุดออกจากสัมปชัญญะไปเรื่อยๆ


 


 


“นายหญิง คุณชายร้องให้ไม่หยุดเลยเจ้าค่ะ”


 


 


หงหลิงน้ำเสียงกังวล หนิงอวี้มุ่นหัวคิ้วแล้วเดินตามหลังนางไป


 


 


“เหตุใดหรือ”


 


 


หงหลิงเหลียวกลับหมายจะเอ่ยคำ วินาทีถัดมาก็เห็นคนชุดดำผู้หนึ่งมุดออกมาจากมุมมืด หนิงอวี้ย่นคิ้ว ยกมือขึ้นดึงแขนเสื้อหงหลิง แต่บริเวณด้านหลังลำคอกลับรู้สึกเจ็บอย่างรุนแรง


 


 


ทุกอย่างมืดลง เห็นเพียงหงหลิงค่อยล้มลงกับพื้น ในสัมปชัญญะวินาทีสุดท้าย นางกุมแขนเสื้อหงหลิงไว้แน่นแล้วส่งเสียงในคอหนึ่งที


 


 


“แค่กๆ”


 


 


หนิงอวี้ถูกน้ำเย็นอ่างหนึ่งสาดจนสะดุ้งตื่น สัมปชัญญะที่เลือนรางค่อยๆ กลับคืนมา ก็เห็นชายผู้หนึ่งสีหน้าโหดเ**ยม บนหน้าเขาเต็มไปด้วยรอยมีดดูน่ากลัว แต่ก็ยังพอเห็นใบหน้าเดิมของเขาได้


 


 


“อวี้เอ๋อร์ จำข้าได้หรือไม่”


 


 


ชายหนุ่มยกมุมปากยิ้ม รอยแผลยาวบนหน้าถูกรั้งขึ้น ดูน่าสะพรึงกลัวอย่างมาก หนิงอวี้จ้องคนผู้นั้นอยู่นาน จึงพูดออกมาเสียงเบาสองคำว่า “เว่ยหลิง”


 


 


หากเป็นเช่นนี้ ก็นับว่านางแพ้ราบคาบ เว่ยหลิงได้ยินดังนั้นก็ยิ้มชัดยิ่งขึ้น เขาเงยหน้าหัวเราะออกมาอย่างคลุ้มคลั่ง เสียงหัวเราะดัง ฮ่าๆๆ สะท้อนกังวานไปทั่วห้องที่มืดสลัว หนิงอวี้มุ่นหัวคิ้วไม่พอใจ น้ำเย็นๆ บนหน้าไหลหยดลงมา หนิงอวี้กระพริบตาอย่างลำบาก น้ำเย็นยังคงเกาะอยู่ที่หางตานาง


 


 


“เจ้าดูสิ! ต้องขอบคุณเจ้าจริงๆ!” เว่ยหลิงหยุดหัวเราะขึ้นมาทันใด ยื่นมือไปชี้รอยมีดบนหน้าพลางขยับเข้ามาประชิดหนิงอวี้ “เป็นเพราะเจ้า! เป็นเพราะเจ้า! สมคบคิดกับเจ้าคนชั้นต่ำอย่างเว่ยหยวนมาเล่นงานข้า”


 


 


หนิงอวี้ช้อนตาขึ้นมองดูท่าทีอันคลุ้มคลั่งอย่างเย็นชา เขา ดูเหมือนจะวิปลาสไปแล้ว เบื้องหน้าเต็มไปด้วยความบ้าคลั่ง เขาฉีกทึ้งเสื้อตนอย่างคลุ้มคลั่ง


 


 


“เจ้าพูด! นางชั่ว เพราะเหตุใด เพราะเหตุใด” เว่ยหลิงก้าวถอยสองสามก้าวอย่างไม่ยอมเชื่อ ครั้นแล้วก็เดินเข้ามาด้วยใบหน้าฉายแววโหดเ**้ยม “ข้ารักเจ้า! แต่เจ้ากลับทรยศข้า! มาทรยศข้าเพื่อเจ้าคนชั้นต่ำนั่นได้”


 


 


“นางชั่วอย่างเจ้า ช่างเหมาะสมกับเจ้าคนชั้นต่ำนั่นนัก!”


 


 


หนิงอวี้ไม่พูดอะไร มองดุเขาคลุ้มคลั่งอยู่เงียบๆ ปวดหน่วงบนศีรษะ นางพยายามทำให้ตนได้สติตื่น เชือกที่มัดไว้คือเชือกหนังวัวแช่น้ำมัน ยากที่จะดิ้นหลุดได้


 


 


“ไม่ต้องลองดิ้นหรอก ข้ารู้ว่าเจ้าวรยุทธสูงส่ง จึงได้เตรียมเชือกหนังวัวนี้มาโดยเฉพาะ”


 


 


หนิงอวี้ชำเลืองขึ้น พยายามสะกดอารมณ์ถามออกไป “เจ้าคิดจะทำอะไรกัน”


 


 


“ฮ่าๆๆ” เว่ยหลิงหัวเราะเสียงดัง มองหน้าหนิงอวี้อย่างประหลาดใจ ครั้นแล้วก็ส่ายหน้าพูดขึ้นเสียงดัง “ข้าหรือ ก็อยากให้พวกเจ้าตายอย่างไรเล่า! ให้เจ้าคนชั้นต่ำนั่นชดใช้ทุกสิ่งที่แย่งไปจากข้า”


 


 


ทันทีที่สิ้นเสียง ประตูก็ค่อยๆ ถูกผลักเปิด เด็กรับใช้หนุ่มสวมชุดผ้าหยาบก้มตัวก้มหน้า รีบเดินเข้ามา “องค์ชาย พาตัวมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


หนิงอวี้ขนตาสั่นระริก หันหน้ากลับก็เห็นว่าที่ข้างประตูมีเงากายสูงเพรียวร่างหนึ่งอยู่ ในห้องที่มืดสลัว แต่นางยังคงมองเห็นริมฝีปากขาวซีดของเขา หน้าแดงก่ำดูผิดปกติที่สุด


 


 


“เจ้ามาแล้ว! น้องชายตัวดีของข้า!” เว่ยหลิงปรบมือระเบิดเสียงหัวเราะ เดินเข้าไปสองสามก้าวแล้วตบบ่าเขา เว่ยหยวนอยู่นิ่งไม่ขยับ ปล่อยให้เขาทำทีหยาบช้ารุนแรงต่อตน


 


 


เกิดเสียงดังขึ้น เสียงนั้นคือเสียงกระดูกแตกร้าว เว่ยหลิงหดมือกลับ มองดูเว่ยหยวนใช้มือกุมแขนอย่างสะใจเต็มประดา


 


 


“คนชั้นต่ำก็คือคนชั้นต่ำ! ให้ตายอย่างไร ก็เปลี่ยนสายเลือดชั้นต่ำในตัวเจ้าไม่ได้”


 


 


แต่ละถ้อยคำ ดังขึ้นพร้อมเสียงครวญในลำคลอ เว่ยหยวนถูกต่อยหมัดหนึ่งจนคว่ำกับพื้น ไม่สามารถดิ้นพ้นจึงได้แต่รับหมัดเต็มๆ


 


 


เลือดกระเซ็นขึ้น เลอะไปบนปกเสื้อเว่ยหยวน เลอะกำปั้นทั้งคู่ของเว่ยหลิง หนิงอวี้เห็นเขาเหวี่ยงหมัดไม่หยุด ในที่สุดก็เสียการคุมสติ นางกรีดร้องเสียงแหลม “หยุดนะ! เว่ยหลิงเจ้าหยุดนะ!”


 


 


ทันทีที่พูดจบ เว่ยหลิงก็ยั้งหมัดหายใจหอบ แต่ยังคงอารมณ์คึกอยู่


 


 


“ข้าลืมเจ้าไปเสียได้! ถ้าไม่ใช่เจ้า มันจะยอมออกมาตามลำพังแต่โดยดีได้อย่างไร”


 


 


“อวี้เอ๋อร์คนดีของข้า ข้ารักเจ้า”


 


 


เว่ยหลิงหันกายกลับ ค่อยๆ เดินเข้ามา เขามองใบหน้านางอย่างสนอกสนใจ


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 350 “รักเจ้ามาทั้งสองชาติ” เว่ยหยวนกล่าว


 


 


“แค่กๆ” เว่ยหยวนสำลักเลือดที่กลบไปทั้งปากออกมา เขาค่อยๆ ยื่นมือไปค้ำกับพื้น หมายจะลุกขึ้นยืน “ปล่อยนางไป…มีเรื่องอะไร…แค่กๆ…ก็มาลงที่ข้านี่”


 


 


“ลงที่เจ้าหรือ ฮ่าๆๆ เจ้าคิดว่าข้าเป็นไอ้งั่งหรือ คนที่เจ้ารักที่สุด” เว่ยหลิงยกมือช้อนคางหนิงอวี้ขึ้นแล้วหันไปยิ้มร้ายให้กับเว่ยหยวน “ก็คือนางไม่ใช่หรือ”


 


 


หนิงอวี้ก้มหน้าลงก็เห็นว่าบนมือเขาเลอะเป็นจุดๆ ด้วยคราบเลือด น้ำตาเอ่อรื้น ด้วยเลือดของเว่ยหยวนที่เลอะ คางนางจึงเปียกชื้น


 


 


แสงเงินสาดผ่านปลาบหนึ่ง กริชถูกชักออกจากฝัก เว่ยหลิงถือกริชในมือแล้วยื่นไปแนบลำคอนางพลางหัวเราะขึ้นเบาๆ “วิธีจะแก้แค้นเจ้าคนชั้นต่ำที่ดีที่สุด ก็คือฆ่าเจ้าเสีย”


 


 


ยังไม่ทันขาดคำ เขาก็ยกมือแทงเข้ามา วินาทีถัดมา เว่ยหยวนก็ลุกขึ้นพุ่งเข้ามาขวางหน้าหนิงอวี้เอาไว้ หนิงอวี้อึ้งงันกับที่ มองดูกริชด้ามนั้นเสียบเข้ากลางอกเว่ยหยวน


 


 


เลือดไหลชุ่มเสื้อย้อมเป็นดวงใหญ่ๆ ดวงหนึ่ง เว่ยหยวนมือข้างหนึ่งกุมกริชเอาไว้ มืออีกข้างบีบคอเว่ยหลิง หนิงอวี้ก้มหน้า น้ำตาไหลพรั่งพรูออกมา


 


 


“ท่านเป็นอย่างไรบ้าง เว่ยหยวน ท่านเป็นอย่างไรบ้าง”


 


 


เว่ยหลิงเหวี่ยงหมัดทั้งคู่พยายามดิ้นให้หลุด สีหน้าบึ้งตึงขึ้นเรื่อยๆ เสียงกระแทกประตูดัง ปัง ทหารชุดเกราะหนาจำนวนนับไม่ถ้วนบุกเข้ามา


 


 


“ฝ่าบาท!”


 


 


มั่วหลีตระโกนเสียงดังหนึ่งที แล้วทะยานเข้ามารวบตัวเว่ยหลิงไว้


 


 


เชือกบนมือหนิงอวี้ถูกฟันขาด นางกอดเว่ยหยวนไว้ในอ้อมกอดพลางยื่นมือที่สั่นเทาไปเช็ดมุมปากเขา คราบเลือดเลอะปลายนิ้ว หนิงอวี้ร้องไห้ตะโกนออกมา “รีบไปตามหมอหลวงมา! รีบไปตามหมอหลวงมา…”


 


 


“อวี้เอ๋อร์ ข้า…ข้าเกรงว่า…”


 


 


“ไม่ได้”


 


 


หนิงอวี้ส่ายหน้า นางกุมมือเขาไว้แล้วสะอื้นไห้ออกมาเบาๆ


 


 


เว่ยหยวนค่อยๆ ยกมือขึ้นลูบหน้านาง “อวี้เอ๋อร์ ข้าปิดบังเจ้าอยู่เรื่องหนึ่ง”


 


 


“ไม่เป็นอะไร ท่านอย่าพูดอะไรอีก ขอร้องท่านล่ะ เว่ยหยวน ขอร้องท่านล่ะ อย่าจากไปนะ ได้หรือไม่ ข้าไม่อยากอยู่คนเดียวเพียงลำพัง”


 


 


“ข้ากลับมาเกิดใหม่”


 


 


หนิงอวี้สะดุ้งโหยง มองไปยังเว่ยหยวนอย่างไม่อยากจะเชื่อ ชั่วอึดใจเดียวเขาก็ยกมุมปากขึ้นยิ้ม “รักเจ้ามาทั้งสองชาติ ไม่เคยเสียใจเลย”


 


 


“ท่านแม่ทัพหนิง! ท่านจะเข้าไปไม่ได้นะขอรับ!”


 


 


หนิงอวี้ขมวดคิ้ว สะบัดแขนหมายจะบุกเข้าไป แต่นางกลับถูกองครักษ์ที่อยู่ด้านข้างขวางเอาไว้ หงหลิงวิ่งก้าวสั้นตามมา เห็นนางโชกไปด้วยเลือดก็กรีดร้องขึ้น “นายหญิง ท่านได้รับบาดเจ็บตรงไหนหรือเจ้าคะ”


 


 


หนิงอวี้ได้ยินก็นิ่งอึ้งอยู่พักใหญ่ ได้แต่จ้องนิ่งไปบนนิ้วมือที่เลอะด้วยเลือดของตน เขารู้…แล้วทำไมไม่เกลียดนาง ทั้งที่นางเคยเป็นตัวต้นเหตุทำให้เขาตายแท้ๆ


 


 


หงหลิงเห็นนางไม่ตอบ ก็ดึงแขนเสื้อนางอย่างร้อนใจ หนิงอวี้ค่อยๆ เลื่อนสายตาขึ้น ครั้นแล้วก็ยิ้มเศร้า หากไม่ใช่เพราะนางออกจากวัง เว่ยหลิงก็ไม่มีทางบังคับเว่ยหยวนได้เด็ดขาด


 


 


ห่างกันเพียงประตูกั้น เว่ยหยวนเอนกายพิงหัวเตียง ก้มหน้าลงปลดเสื้อ เสื้อที่เปื้อนด้วยเลือดถูกปลดออก บนหน้าอกมิใช่รอยมีด แต่กลับเป็นถุงหนังถุงหนึ่งที่เหนียวเหนอะหนะไปด้วยคราบเลือด


 


 


“เยี่ยม”


 


 


เว่ยหยวนหัวเราะเบาๆ เขาสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติของเว่ยหลิงแต่แรกแล้ว แต่ไม่กล้าที่จะกำจัดเขาทิ้ง หากไม่ใช้ชีวิตเข้าช่วย เกรงว่ายากที่จะทำให้หนิงอวี้เปลี่ยนความคิดได้


 


 


เขายืนอยู่ในมุมมืด แอบสังเกตเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ ซ้ำยังคอยกระตุ้นส่งเสริมมันด้วย เรื่องยาคราวก่อน เขาทำการประมาทมากไป ครั้งนี้ต้องไม่พลาดเป็นอันขาด


 


 


“มั่วหลี สะสางเรื่องนี้ดีหรือยัง”


 


 


มั่วหลีพยักหน้า ยื่นมือวาดผ่านลำคอ เว่ยหยวนเปลือยอกท่อนบน ปล่อยให้หมอหลวงจัดการเช็ดทำความสะอาด


 


 


หวาดกลัวและกังวลถึงขีดสุด ทั้งยังได้รู้ความจริงเรื่องสองภพชาติ อวี้เอ๋อร์ยามนี้ คงเสียใจและเป็นกังวล กำลังตำหนิตนเองอยู่แน่นอน


 


 


วิธีการอาจจะขี้ขลาด แต่นับว่าได้ผล เว่ยหยวนกางฝ่ามือดูลายเส้นที่เลือดไหลเลอะ ไม่ว่าอย่างไร ข้าก็ไม่ยอมให้เจ้าหนีไปเด็ดขาด


 


 


 


 


ตอนที่ 351 คลื่นเสียงแห่งรัก


 


 


“นายหญิง ฝ่าบาททรงรักษาตัวสามวันแล้ว ไยท่านไม่ไปเข้าเฝ้าสักหน่อยเล่าเพคะ”


 


 


หนิงอวี้ได้ยินก็มุ่นหัวคิ้วยื่นมือไปยกน้ำชาขึ้นมาดื่มจนหมดในอึกเดียว หลังจากสงบอารมณ์ได้แล้ว นางก็รู้สึกว่าเรื่องนี้ยิ่งคิดยิ่งแปลก


 


 


เว่ยหลิงเป็นแค่นายพลผู้แพ้พ่ายในมือเขาตั้งนานแล้ว ไยจึงมาซ่อนตัวอยู่ข้างจวนขุนพลได้โดยไม่มีร่องรอยอะไรเลยแม้แต่นิด ตอนที่หมอหลวงทำการรักษา ผู้คนก็ขวางนางไว้โดยไม่ใส่ใจธรรมเนียม


 


 


กังวลจนฟุ้งซ่าน…หนิงอวี้ขบริมฝีปาก หากนางสงบสติอีกหน่อย อาจจะมองอะไรบางอย่างเปลี่ยนไปก็ได้ ความคาดเดานับร้อยในใจ กลับไม่มีอะไรอ้างอิงได้แม้แต่น้อย


 


 


หนำซ้ำ เว่ยหยวนยังบอกว่า เขารักนางมาสองชาติ ต่อให้ตายเพราะนาง ก็จะไม่มีคำกล่าวโทษเลยหรือ หนิงอวี้ลูบคลึงจอกในมือเล่นไปมาอย่างใจเย็น ภาพรอยยิ้มอันอ่อนโยนของเขายังในความทรงจำ


 


 


เว่ยหยวนรักนางเพียงใดนั้น ไม่ต้องถามถึงอดีต แต่ว่าความรักนี้ นางไม่รู้จะตอบแทนอย่างไร หรือแม้กระทั่ง ไม่กล้าที่จะเผชิญหน้ากับเขา


 


 


“นายหญิง ท่านได้ยินที่หงหลิงพูดอยู่หรือไม่เจ้าคะ”


 


 


หงหลิงหยุดปอกองุ่นแล้วถามขึ้นพลางกระทืบเท้า หนิงอวี้นิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็พยักหน้ารับ


 


 


หงหลิงแค่นเสียงออกจมูกหนึ่งทีแล้วสะบัดแขนเสื้อเดินจากไป หนิงอวี้ถอนใจยาว สุดท้ายนางก็ไม่กล้า จนกระทั่งน้ำชาในกาถูกดื่มจนหมด ท้องฟ้าก็เริ่มกลายเป็นสีส้มแดง


 


 


หนิงอวี้ค้ำโต๊ะหินลุกขึ้นยืนก็เห็นหงหลิงวิ่งก้าวสั้นเข้ามา


 


 


“นายหญิง คุณชายน้อยร้องไห้ไม่หยุดเลยเจ้าค่ะ ท่านต้องไปหานะเจ้าคะ”


 


 


ตามหลักแล้ว เวลานี้อันเอ๋อร์ควรจะนอนหลับอยู่อย่างสนิท หนิงอวี้ไม่สนใจความคิดอื่น นางเดินตรงไปยังเรือน เสียงฝีเท้าด้านหลังเงียบหายไป หงหลิงคงตามมาไม่ทันถูกทิ้งอยู่ด้านหลัง


 


 


เมื่อผลักประตูเข้าไป กลับเห็นเทียนจุดอยู่ทั่วทั้งลาน ใต้ต้นไม้กลางลาน มีห่านกระดาษแขวนอยู่นับร้อยนับพันตัว พับด้วยกระดาษหลายสีสันหลากลวดลาย ขยับไหวไปตามสายลม


 


 


หนิงอวี้นิ่งอึ้ง ประตูไม้ข้างหลังนางถูกปิดลง ชายหนุ่มในชุดขาวผู้หนึ่งออกมาจากหลังต้นไม้ใหญ่ เขาคือเว่ยหยวน เว่ยหยวนอุ้มอันเอ๋อร์ไว้ในอ้อมกอด ชำเลืองขึ้นส่งยิ้มมายังนาง


 


 


รอยยิ้มเขาดูอ่อนโยนอย่างที่สุด เหมือนกับวันนั้นที่พบกัน ณ สำนักชี และเหมือนกับวันนั้นที่เขาแต่งงานกับนาง หรือนานกว่านั้น เขาเคยยืนอยู่ในมุมลับส่งยิ้มให้นาง เพียงแต่ ตอนนั้นนางไม่ได้สังเกต


 


 


“…อาการบาดเจ็บของท่านเป็นอย่างไรบ้าง”


 


 


“ไม่เป็นอะไร”


 


 


“ทางที่ดี…พัก…ผ่อนให้มากๆ”


 


 


เพียงประโยคสั้นๆ กลับพูดอย่างติดขัด หนิงอวี้หลุบสายตาลงหน้าแดงไปถึงใบหู กำลังรู้สึกโกรธความเขินอายของตัวเอง


 


 


“อืม” เว่ยหยวนพยักหน้า เขาเดินเข้าไปสองสามก้าวแล้วจูงมือหนิงอวี้ หนิงอวี้ปล่อยให้เขาจูงมืออย่างเก้ๆ กังๆ แล้วพูดขึ้นประโยคหนึ่งว่า “ท่านไม่ถือโทษข้าหรือ”


 


 


ทำไมจึงไม่โกรธ ทั้งๆ ที่นาง…พรากทุกสิ่งไปจากเขา หนิงอวี้ช้อนตาขึ้น เห็นมุมปากเว่ยหยวนยกยิ้มจางๆ แต่กลับยิ้มออกมาดูอ่อนโยนอย่างมาก เขาก้มหน้าลงแล้วจุมพิตลงบนหน้านางหนึ่งทีอย่างสนิทสนม


 


 


“ไยต้องถือโทษโกรธเจ้า”


 


 


“ข้า…ข้าทำให้ท่านตาย”


 


 


หากไม่ใช่เพราะการช่วยเหลือของนาง ด้วยวิธีการของเว่ยหยวน คงไม่มีทางเพลี่ยงพล้ำถึงเพียงนี้เด็ดขาด


 


 


“ข้าตายเพราะเจ้าเพียงหนึ่งครั้ง แต่รอดได้เพราะเจ้าถึงสองครั้ง ไม่ว่าสิ่งใด ขอเป็นเพียงสิ่งที่เจ้ามอบให้ ข้าล้วนแต่ชอบทั้งนั้น” เว่ยหยวนใช้มือข้างหนึ่งช้อนหน้านางขึ้น “เพื่อเจ้า การมีชีวิตอยู่นั้นช่างน่ายินดี เพื่อเจ้า แม้ตายก็ขอยอมรับอย่างสงบ”


 


 


ชั่ววินาทีหนึ่ง ภาพในความทรงจำก็ปรากฏขึ้นชัด ภาพชายหน้าตาหล่อเหลาในชุดขาวทับซ้อนกับเด็กชายที่เลอะด้วยโคลนทั้งตัว หนิงอวี้ยกมุมปากยิ้มน้ำตาไหลรินออกมา ยิ้มที่ดูเหมือนไม่ยิ้ม และความปิติที่ไม่แสดงออกมา


 


 


——


 


 


ในวันที่ราชวงศ์ใต้จัดพระราชพิธีแต่งตั้งฮองเฮาขึ้นอีกครั้งนั้น ดอกไม้ต่างพากันบานสะพรั่ง เหล่านกสกุณานับหมื่นออกโบยบิน ผู้คนในโลกต่างโจษจัน ว่านี่ลางมงคล ฮองเฮาผู้นี้คือผู้ที่ฟ้าดินกำหนดมา


 


 


ทูตราชวงศ์เหนือถือคำสั่งของมู่หรงเหยียนฮองเต้พระองค์ใหม่ นำเอาของขวัญอวยพรนับหมื่นชิ้นและสารขอสงบศึกถาวรระหว่างสองราชวงศ์เข้ามา เขายืนอยู่ข้างพรมกำมะหยี่แดง เห็นชายกระโปรงแดงสีแดงสดกุ๊นขอบทองค่อยๆ เฉียดผ่านไป


 


 


ลือกันว่า ฮองเฮาแห่งราชวงศ์ใต้เป็นหญิงผู้มีความสามารถอันพิศวง แม้ไม่ได้พบเจอตัวจริงแต่ก็รู้ได้ว่าเรื่องราวนี้ไม่ใช่เพียงเรื่องหลอกลวง

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม