บุปผาเคียงบัลลังก์ 342-349
ตอนที่ 342 คำตอบ
เซียงฉือรู้สึกว่าตนเองในขณะนี้เป็นเพื่อนของเหอจิ่นเซ่อและสวี่อี้ เป็นเสมือนแขนของฮ่องเต้ เป็นต้นไม้เล็กๆ ต้นหนึ่งที่งอกเงยอยู่ในตำหนักเจิ้งหยางภายในพระราชวังนี้
เมื่อหยั่งรากลงในที่นี้แล้วก็จะดูดซับความมืดมิด เล่ห์เพทุบาย ความปลิ้นปล้อนของสถานที่นี้ให้เสมือนดั่งปุ๋ย เพื่อให้เจริญเติบโตสืบเนื่องต่อไป
นางไม่ได้เป็นนางที่บริสุทธิ์ไร้เดียงสาคนนั้นอีกแล้ว แต่เป็นเหมือนอาหารที่กลายสภาพ กระทั่งนางเองยังคลื่นไส้
เพราะว่านางในอดีตไม่เคยเจ็บแค้นผู้ใดมาก่อน ทั้งยังไม่เคยคิดจะสับใครให้เป็นหมื่นชิ้น ไม่เคยคิดว่าจะนำเอาวิธีการทรมานคนพวกนั้นจากหนังสือมาอยู่บนตัวนางได้
นางเกลียด นางแค้นใจยิ่งนัก!
จิตใจเซียงฉือเต็มเปี่ยมไปด้วยความเคียดแค้นชิงชัง เป็นความปรารถนาที่ระเบิดออกมาอย่างรุนแรงหลังจากการตำหนิตนเอง
แม้ตอนนี้นางจะอิงร่างเหอจิ่นเซ่ออยู่อย่างว่าง่าย แต่ภายในอกนั้นกำลังเต้นระรัวอย่างรุนแรง ราวกับมีกองไฟที่กำลังเผาไหม้กองหนึ่งสุมอยู่
เซียงฉือกำลังกดอัดมันไว้ แล้วถามเสียงเบาว่าเหอเจี่ยนสุยยังพูดอะไรอีก…เหอจิ่นเซ่อมองสวี่อี้ แต่ก็ตอบออกไปโดยไม่ต้องคิด
“เขาบอกว่าไม่ว่าเวลาใดเจ้าก็ยังคงมีเขาอยู่ หวังว่าเจ้าจะรักษาตัวเองให้ดี”
เหอจิ่นเซ่อกระแอมเบาๆ นางยังไม่เคยส่งคำพูดอ่อนโยนอาลัยอาวรณ์เช่นนี้แทนใครมาก่อน ทั้งยังต้องมาบอกกับหญิงสาวที่อยู่ในอ้อมกอดของนางเสียอีก
สวี่อี้ได้ยินเข้าก็ขวยเขิน ในห้องนี้ส่วนมากจะเป็นหญิงสาวที่ยังไม่เจนโลก ยิ่งกับเรื่องความรัก ใบหน้าจะบางเยี่ยงกระดาษ แดงเรื่อขึ้นได้ทันที
แต่เซียงฉือกลับหนักใจขึ้นมา หากเป็นยามปกติ เมื่อนางได้ยินคำพูดอ่อนโยนอาลัยอาวรณ์เช่นนี้ จะต้องอายม้วนต้วนหน้าแดงราวดอกท้อต้องตะวัน
ทว่าบัดนี้มิได้เป็นเช่นนั้น นางรู้สึกว่ามันเป็นภาระหนักหน่วงที่กดทับนางจนอึดอัด นางไม่ได้รู้สึกว่ามันเป็นความหวานชื่นอีกแล้ว แต่เป็นเครื่องพันธนาการที่รัดนางไว้ในอดีตกับความเป็นจริง
นางเหนื่อย เหน็ดเหนื่อยอย่างยิ่ง
เซียงฉืออิงอยู่ในอ้อมอกเหอจิ่นเซ่อ สูดกลิ่นหมึกจางๆ บนร่างนางเบาๆ กลิ่นหอมที่คุ้นเคยนั้นอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงได้เอ่ยปาก
“พี่จิ่นเซ่อ วานท่านบอกเจี่ยนสุยด้วยว่าอย่าได้รอข้าอีกเลย อวิ๋นเซียงฉือในตอนนี้ไม่ใช่อวิ๋นเซียงฉือที่เขาเคยรู้จักในอดีตอีก หญิงสาวที่เขาเคยรู้จักนั้นได้ตายไปแล้วด้วยความซาบซึ้งใจในตัวเขาในคุกที่กรมราชทัณฑ์”
เซียงฉือไม่อยากพูดอะไรประเภทที่ขอให้เขาหาหญิงสาวที่ดีงามเพื่อร่วมชีวิต ให้มีวันเวลาที่มีความสุขซึ่งนางไม่อาจสมปรารถนาในชาติที่แล้ว
นางติดค้างความรักของเหอเจี่ยนสุย จะขอทดแทนคืนเขาในชาติหน้า
เซียงฉือเข้าใจดีว่า ถึงแม้นางจะสามารถออกนอกประตูวังไปได้ แต่อย่างไรก็ไม่ใช่หญิงสาวน่ารักไร้เดียงสาที่เหอเจี่ยนสุยถนอมราวอัญมณีคนนั้นอีกแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้ นางจะคอยเหนี่ยวรั้งถ่วงชีวิตของเขาไปเพื่ออะไร
มีแต่จะทำให้เขาต้องจมลงสู่นรกอเวจี ถูกจิตใจที่มีมโนธรรมประณามเช่นเดียวกับตน
เสียงของเซียงฉือไม่ดังแต่คนทั้งสองก็ได้ยินชัดเจน เหอจิ่นเซ่อทอดถอนใจ เพราะนางเข้าใจดีว่าเซียงฉือทำเช่นนี้ก็เพื่อเหอเจี่ยนสุย
แต่ผู้น้องที่ลุ่มหลงงมงายของนางคนนั้น อีกทั้งความแข็งกร้าวดื้อรั้นของคนบ้านสกุลเหอของนาง ที่เชื่อว่า ความเพียรพยายามคือหนทางที่จะไต่ขึ้นเทือกเขาแห่งความรู้ฉันใด ความยากลำบากก็คือเรือที่จะใช้ถ่อพายในทะเลแห่งรักจนสู่ฝั่งฉันนั้น
เมื่อเหอเจี่ยนสุยตระหนักว่าเซียงฉือต้องมีชีวิตอยู่ท่ามกลางน้ำลึกไฟสุม เขายิ่งจะไม่ยอมทอดทิ้งนางเป็นอันขาด เขาเป็นสุภาพบุรุษแท้จริงที่คอยช่วยเหลือคนจากความลำบากและไม่เป็นธรรม แล้วจะให้นิ่งดูดายต่อคนรักของตนได้อย่างไร
ทว่าเรื่องบางเรื่องนั้นเป็นดั่งมีบุญพานพบแต่ไร้วาสนาคู่เคียง ซึ่งพวกเขาก็เป็นดั่งนี้ ทั้งที่หมั้นหมายกันแล้วทั้งคู่ แต่ก็ถูกโชคชะตากลั่นแกล้งเช่นนี้
ตอนที่ 343 ไว้ทุกข์
เซียงฉิงพิงไหล่เหอจิ่นเซ่อ หลังพูดคำพูดนั้นแล้วก็หลับตาลงไม่มองอะไร ไม่คิดอื่นใดอีก นางเหมือนสัตว์ตัวน้อยที่ได้รับบาดเจ็บ ดิ้นรนกลับถึงถ้ำของตนและกำลังเลียแผลปลอบโยนตนเองอยู่
เซียงฉือหลับตาเตรียมตัวนอนหลับ นี่ก็ดึกมากแล้ว นางจะรบกวนพี่สาวทั้งสองให้ต้องลำบากเพื่อนางต่อไปได้อย่างไร ดังนั้นจึงปิดตาแล้วนอนหลับ
สวี่อี้มองดูนางแล้วได้แต่เพียงส่ายหน้า ส่วนเหอจิ่นเซ่อรู้สึกว่าบนตัวนางมีจุดหนึ่งที่เปียกชื้นไปด้วยน้ำตา นางต้องหวาดกลัวและเจ็บปวดขนาดไหนกันนะ
เหอจิ่นเซ่อออกไปพร้อมกับสวี่อี้ เมื่อส่งสวี่อี้กลับไปแล้วจึงกลับเข้ามาใหม่ นางผลักประตูเดินเข้าไปแล้วปิดประตูอย่างระมัดระวัง จากนั้นพูดกับเซียงฉือบนเตียงว่า
“รู้ว่าเจ้ายังไม่หลับก็เลยจะถามเจ้าว่าจะลุกขึ้นมาเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อส่งวิญญาณท่านปู่ไหม”
ราชสำนักแตกต่างจากภายนอก เซียงฉือไม่สามารถสวมชุดปอไว้ทุกข์ได้ เหอจิ่นเซ่อจึงจัดกระโปรงสีขาวทั้งชุดให้นางซึ่งเป็นสิ่งที่สามารถทำได้ดีที่สุดแล้ว
นางนำธูปดีออกมาสามดอก เปิดหน้าต่างด้านที่หันไปหลานโจว แล้วไหว้ออกไปด้านนอกหน้าต่างสามครั้ง จากนั้นปักธูปลงในกระถางธูป
เมื่อหันกลับมาก็เห็นเซียงฉือเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว
“ขอบคุณท่านพี่อย่างยิ่งที่ช่วยจัดการให้ข้า บุญคุณครั้งนี้ข้าจะจดจำไว้ตลอดไป”
วันนี้เหอจิ่นเซ่อช่วยเหลือนางหลายอย่าง ที่ผ่านมาก็ช่วยเหลือนางหลายครั้ง นางเป็นญาติผู้พี่ของเหอเจี่ยนสุย ถ้าหากเซียงฉือแต่งงานกับเหอเจี่ยนสุยก็จะกลายเป็นน้องสาวนางเช่นกัน
ทั้งสองคนจะกลายเป็นคนบ้านเดียวกัน แต่เวลานี้เซียงฉือเกิดความคิดที่จะถอนหมั้น นางกับเหอเจี่ยนสุยหมั้นหมายกันไว้แล้วและมีหนังสือเป็นหลักฐาน แต่ว่าหนังสือฉบับนั้นไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ไหนแล้วตั้งแต่วันที่บ้านถูกกวาดล้าง
ตลอดมาจึงเหลือเพียงกำไลหยกขาวเท่านั้นที่เป็นสื่อรัก แต่ก่อนหน้านี้ก็ได้ส่งคืนกำไลไปแล้วจึงไม่ห่วงพะวงอีก
เซียงฉือเปลี่ยนชุดเสร็จแล้วก็เลียนแบบเหอจิ่นเซ่อ หันหน้าไปในทิศทางหลานโจว คุกเข่าลงยกธูปขึ้นเหนือศีรษะ คารวะสามครั้งแล้วจึงลุกขึ้นนำธูปไปปักในกระถางที่วางอยู่บนโต๊ะริมหน้าต่าง
นางคุกเข่าต่ออยู่ที่ใต้ระเบียงมองดูพระจันทร์ดวงหนึ่งด้านนอก คิดถึงคนที่คุ้นเคย
เซียงฉือคุกเข่าอยู่เช่นนั้น เหอจิ่นเซ่อวางเบาะลงใบหนึ่งแล้วนั่งทับเข่าอยู่ข้างนาง ในเวลานั้นทำให้นางได้รู้ว่าเวลาไม่เคยปรานีใคร นางไม่ใช่สาวน้อยวัยสิบกว่าปีในตอนนั้นอีกแล้ว การคุกเข่าเช่นนี้เพียงครู่เดียวก็ทำให้ปวดเมื่อยไปทั้งตัว
นางมีงานต้องทำอยู่ทุกวัน ไม่สามารถมาทรมานตนเองแบบเซียงฉือเช่นนี้ได้
มองดูเซียงฉือแล้วจึงพูดคุยกับนาง
“เซียงฉือ เรื่องของท่านปู่เจ้าต้องระงับความเสียใจและยอมรับการเปลี่ยนแปลง เจ้ารับใช้อยู่ข้างกายฝ่าบาทจะต้องระวังรอบคอบให้ดี เรื่องที่บ้านสำคัญ เรื่องในราชสำนักก็สำคัญเช่นกัน ฝ่าบาทของพวกเราเป็นฮ่องเต้ที่ขยันมัธยัสถ์และกตัญญู ถึงพระองค์จะโปรดเจ้า แต่ไม่ทรงยอมถูกเจ้าจับเล่นอยู่ในอุ้งมือหรอกนะ”
“พี่อายุมากกว่าเจ้าหลายปีและเข้ามาในวังยาวนานมากกว่า มีเรื่องมากมายใช่ว่าเพียงแค่อดทนก็จะผ่านไปได้ แต่เรื่องราวต่างๆ ก็ไม่สามารถใจร้อนด่วนได้ แล้วเจ้าก็ไม่ใช่ตัวคนเดียว”
“ต้องคิดถึงคนที่อยู่ข้างหลังของเจ้าด้วย น้องชายวัยเพียงเจ็ดขวบกับบิดาที่ชราภาพลงเรื่อยๆ ของเจ้า จะต้องเยือกเย็นสุขุมไว้”
เหอจิ่นเซ่อสมเป็นผู้อาวุโสในวังจริงๆ นางรู้เท่าทันความคิดอ่านของเซียงฉือ หากสวี่อี้พูดว่าจะต้องหาตัวฆาตกรคนนั้น ต้องใช้เลือดล้างหนี้เลือด นอกจากนางจะเป็นข้าราชสำนักสตรีแห่งกองคดีแล้ว เพราะนางยังเป็นคนสาวเลือดร้อน มีคนให้การสนับสนุนตลอดมาจนมีฐานะในวันนี้
ส่วนเหอจิ่นเซ่อนั้นแตกต่างกัน นางฉลาดปราดเปรื่องและมากประสบการณ์จึงได้เป็นหัวหน้ากอง ตำแหน่งราชเลขาสตรีขั้นที่สาม ส่วนสวี่อี้ที่เป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้และได้รับความไว้วางใจนั้น ยังเป็นขุนนางขั้นที่หกในระดับเฟิ่งเอิน
ตอนที่ 344 ขุนนางหญิง
ข้าราชสำนักสตรีในวังแบ่งแยกขีดขั้นอย่างชัดเจน เมื่อสอบเข้าได้จะเป็นขั้นที่เก้า จากนั้นจะพิจารณาเลื่อนตามอายุงานและความสามารถ เฉกเช่นเดียวกับขุนนางต่างๆ ที่ก้าวเลื่อนทีละขั้นๆ นอกจากจะมีความดีความชอบใหญ่หลวงแล้วฮ่องเต้โปรดเกล้าส่งเสริมขึ้นมา มิเช่นนั้นก็ต้องค่อยๆ ไต่เต้าไปปีแล้วปีเล่าจนกว่าจะสูงขึ้น
ระดับข้าราชสำนักสตรีแบ่งเป็นสี่ระดับคือ ซั่ง เตี่ยน เฟิ่ง ซือ ไล่จากสูงลงต่ำ และจากข้าราชสำนักสตรีขั้นที่สามลงไปถึงขั้นที่เก้า
ระดับที่หนึ่งคือใต้เท้าซั่ง ดังเช่นสำนักราชเลขาที่มีเหอจิ่นเซ่อเป็นใต้เท้าซั่งซู หัวหน้ากองจัดการรวมจะเป็นใต้เท้าซั่งอี๋ เซียงฉือเป็นซือมั่ว จึงเป็นใต้เท้าซือแห่งกองราชเลขา ส่วนสวี่อี้เป็นเฟิ่งเอินแห่งกองคดี ก็เป็นใต้เท้าเฟิ่ง
หากเซียงฉือพบสวี่อี้จะต้องทำความเคารพเต็มรูปแบบ หากพบท่านราชเลขาเหอจิ่นเซ่อก็ต้องทำความเคารพเต็มรูปแบบ
แต่มิตรภาพระหว่างสวี่อี้กับเซียงฉือเป็นไปด้วยดีตลอดมา ส่วนเหอจิ่นเซ่อนั้น ตั้งแต่นางเข้าตำหนักเจิ้งหยางก็ให้ความเอาใจใส่ต่อนางมากยิ่งขึ้น ดังนั้นระหว่างพวกนางจึงไม่ใส่ใจพิธีการนัก
เซียงฉือไว้ทุกข์ให้ท่านปู่ นางคุกเข่าอยู่กับพื้นไม่ร้องไห้และเอะอะโวยวายแต่คุกเข่าอย่างสงบ นางคิดเสมอมาว่าตนเองเก็บงำความรู้สึกได้ดี คนข้างๆ ไม่สามารถจะมองออกได้ แต่คิดไม่ถึงว่าจะถูกเหอจิ่นเซ่อมองออกอย่างรวดเร็วเช่นนี้
ความเคียดแค้นชิงชังในตานางชัดเจนขนาดนั้นเชียวหรือ
เซียงฉือไม่รู้ว่าเหตุใดนางจึงได้เผยเจตนาแก้แค้นจินกุ้ยเฟยออกมาชัดแจ้งเช่นนั้น แต่นางไม่เกรงกลัวเลย ในโลกนี้คนที่ไม่แยแสกับความตายนั้นเป็นคนที่น่ากลัวจริงๆ
นางไม่รู้ว่าเหอจิ่นเซ่อมองนางออกได้อย่างไร แต่ก็ไม่อาจจะไม่ขอบคุณนางได้ เพราะคำพูดนางเหมือนดั่งปัญญาแห่งทางสว่าง ทำให้นางที่เกือบถูกไฟโทสะเผาผลาญจนลืมตัวตื่นรู้ขึ้นมา ทั้งยังระงับความแค้นลงได้
แล้วเปลี่ยนเรื่องทั้งมวลให้กลายเสมือนหนึ่งเมล็ดพันธุ์ ที่เพาะลงไปในเบื้องลึกกลางใจ
นางรู้ตัวดีว่าอ่อนแอเล็กจ้อยนัก จากมดที่แม้จะถูกบดบี้จนตายก็ไม่มีใครรู้ตัวนั้นกลายมาเป็นหนูที่ได้แต่ก่อความรำคาญแก่ฝ่ายตรงข้าม ด้วยกำลังของนางในขณะนี้ ได้แต่เพียงกัดแทะนางอย่างไม่รู้หน่าย โดยไม่ได้ก่อเกิดผลใหญ่โตอะไร
แต่ว่าเซียงฉือจะไม่ยอมปล่อยไปง่ายๆ
ถ้าหากนางลงมือกระทำการ อย่างมากก็เพียงจัดการได้แต่จินรั่วอวิ๋นคนเดียว ดึงนางให้ร่วงลงมาจากตำแหน่งกุ้ยเฟยได้ก็เป็นความสามารถอย่างเต็มที่ของนางแล้ว
แต่นางไม่พอใจเพียงเท่านั้น นางต้องการให้จินรั่วอวิ๋นชดใช้หนี้เลือดด้วยเลือด เมื่อเป็นเช่นนั้นนางต้องใช้ประโยชน์จากทุกสิ่งที่ก่อประโยชน์ได้ จะต้องทำให้ตนเองแข็งแกร่งขึ้นกว่านี้
มีเพียงนางต้องทำให้ตนเองแข็งแกร่งขึ้นจึงจะสามารถดูแลคนที่นางต้องการจะดูแลได้ สามารถปกป้องคนที่นางต้องปกป้องได้
ถึงแม้นางจะเชื่อใจฮ่องเต้ แต่ก็ไม่อาจไม่ยอมรับว่าหากตนเองขัดแย้งกับจินกุ้ยเฟยแล้วต้องเลือกเพียงคนใดคนหนึ่ง เซียงฉือไม่เชื่อเลยสักนิดเดียวว่าฮ่องเต้จะเลือกสาวใช้อย่างนางที่ไม่มีประโยชน์อะไรเลยแม้แต่น้อย
ด้วยเหตุนี้เซียงฉือยิ่งเข้าใจมากขึ้นว่านางมีแต่ต้องพึ่งพาตนเองเท่านั้น
ดังนั้นนางจึงสงบลง เชื่อฟังคำพูดของเหอจิ่นเซ่อ นางจะต้องกบดานให้ดี ซ่อนเงียบอยู่ในมุมมืด รอจนกว่าจะถึงวันเวลาที่สุกงอม จึงจะกระโดดออกมางับคอฝ่ายตรงข้ามได้
เพียงนางคิดถึงวันเวลานั้น เลือดในกายก็ร้อนพลุ่งพล่านขึ้น
แต่ตอนนี้นางจำเป็นต้องสงบและมีแต่ต้องสงบ
หรงเฉิงเยี่ยกลับเข้าเมืองหลวง ไม่ต้องไปใช้วันเวลาทุกข์ยากท่ามกลางลมฝนอีกแล้ว เขาจึงได้นัดเพื่อนฝูงเตร็ดเตร่ไปในเมืองหลวงและเหอเจี่ยนสุยก็ติดตามไปด้วย เหอเจี่ยนสุยยังเป็นหัวหน้าสำนักศึกษา ทำการสอนนักศึกษาถึงวิธีการทำข้อสอบให้ได้คะแนนสูงขึ้น
เขามีความสามารถสอบได้จิ้นซื่อ เข้ารับราชการในตำแหน่งสูงได้ แต่เขาไม่ต้องการ เขาเป็นถึงบุรุษยอดอัจฉริยะชื่อเสียงกระฉ่อนเมือง แต่ว่าเขาไม่สนใจชื่อเสียงจอมปลอมพวกนั้น เขาปรารถนาเพียงจะอยู่ตรงนี้เพื่อเป็นเพื่อนเซียงฉือ
ตอนที่ 345 เหอเจี่ยนสุย
เหอเจี่ยนสุยคิดเพียงง่ายๆ เขาเพียงต้องการอยู่ในที่ที่จะได้ใกล้ชิดเซียงฉือมากขึ้น ดังนั้นเขาจึงยอมรับการแนะนำของเหลียนชินอ๋อง โดยมาเป็นหัวหน้าฝ่ายการศึกษา
เขามีชาติกำเนิดมาจากตระกูลขุนนาง ศึกษาเล่าเรียนจากอาจารย์มีชื่อเสียง ทุ่มเทศึกษาค้นคว้าอภิปรายภาษาโบราณ เป็นบุรุษอัจฉริยะที่มีชื่อเสียงแห่งยุค
ถึงเขาจะเป็นหัวหน้าสำนักศึกษา แต่ไม่มีอำนาจเสนอความคิดเห็นในราชสำนัก เขารับผิดชอบการสอน ข้าราชสำนักที่ต่ำกว่าขั้นที่เจ็ดจะต้องเข้ารับการศึกษาในสำนักศึกษา แต่ว่าพวกเหล่านั้นมักมีงานยุ่งอยู่เสมอ และจะมีสักกี่คนที่มีใจศึกษาจริงจัง ดังนั้นจึงเป็นเพียงตำแหน่งปลอมๆ เท่านั้น
บ้านของเหอเจี่ยนสุยอยู่นอกเมือง บ้านสกุลเหอของเขาอยู่ในเมืองหลวง แต่เขาเป็นคนที่รักความสงบ เมื่อมาถึงที่นี่และได้รับแต่งตั้งให้ดูแลสำนักศึกษา เขาจึงเลือกที่อยู่ในชนบทที่รายล้อมไปด้วยภูเขาและลำธารนอกเมือง อันเหมาะแก่การก่อสร้างต่อเติม
เขาไม่ได้ทำเพื่อตนเอง แต่ต้องการจะให้บ้านกับเซียงฉือ บ้านในแบบที่นางวาดหวังไว้ สร้างบ้านที่พวกเขาเคยฝันจะใช้ชีวิตร่วมกัน
แต่ระยะนี้เขาคร้านที่จะกลับไป และที่สำคัญเพราะสำนักศึกษานั้นอยู่ข้างกำแพงเมือง เพียงเขาเปิดหน้าต่างก็จะมองเห็นทหารยืนอยู่บนกำแพงนั้น
เขาได้แต่หวังว่าสักวันหนึ่งเซียงฉือจะขึ้นไปยืนอยู่บนกำแพงเมืองนั้น หรืออยู่ในหอกลองด้านหลัง เพื่อให้เขาได้เห็นสักครา
เขากับเซียงฉือเติบโตขึ้นมาด้วยกัน มิตรภาพของเพื่อนที่เล่นด้วยกันมาตั้งแต่เด็กนั้นไม่อาจจะตัดขาดได้โดยง่าย
ก่อนหน้านั้นหรงเฉิงเยี่ยออกมาจากวังแล้วนำกำไลหยกขาวที่เขามอบให้เซียงฉือออกมาคืนให้
พอเขาเห็นเข้าใจก็เย็นวาบ ระยะนี้จึงมักกระสับกระส่าย เขาไม่ได้กังวลว่าเซียงฉือจะเปลี่ยนใจ แต่คิดว่าเซียงฉืออยู่ที่ข้างในนั้นได้รับความทุกข์ยากเพียงไรจึงได้ส่งกำไลหยกขาวออกมา
นางคงถอดใจเลิกหวังจะออกจากวังแล้วกระมัง ตั้งแต่วันที่เซียงฉือเข้าวังเขาก็รู้แล้วว่า ภายในกำแพงแดงอิฐทองคำนั้นเข้าไปยากนัก แต่จะออกมานั้นยิ่งยากกว่า
แต่หนึ่งในหมื่นของความเป็นไปได้คือหลังจากนางอายุยี่สิบห้าปีแล้ว หรืออาจจะมีการนิรโทษกรรมจากฮ่องเต้ นางก็จะออกจากวังมาได้แล้วมิใช่หรือ
เขารู้ว่าเหอจิ่นเซ่อญาติผู้พี่ของตนเป็นราชเลขาอยู่ในวัง มีหน้าที่การงานสำคัญเป็นที่ภาคภูมิใจของบ้านสกุลเหอ เขาเองก็เคารพนับถือญาติผู้พี่คนนี้อย่างยิ่งมาตั้งแต่เด็ก
ภูมิฐานเฉลียวฉลาด สุภาพอ่อนโยน เป็นแบบที่เซียงฉือของเขาจะเป็นเมื่อเติบโตขึ้น
เขาเขียนจดหมายส่งถึงญาติผู้พี่ฉบับหนึ่ง ทั้งคู่มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันเสมอมา เขาจึงได้ถามถึงความเป็นไปได้ในเรื่องนี้
แต่คำตอบของเหอจิ่นเซ่อยืนยันหนักแน่น
‘นักโทษหญิงเข้าวังหากไม่ได้รับการอภัยโทษเป็นการพิเศษจากฮ่องเต้แล้ว นักโทษหญิงนั้นก็ไม่อาจออกจากประตูวังได้เลยชั่วชีวิต’
คำพูดนั้นของนางเหมือนดั่งค้อนยักษ์ทุบความหวังกว่าครึ่งของเหอเจี่ยนสุยแหลกเป็นผุยผง แต่เขาไม่อาจตัดใจจากเซียงฉือ หญิงสาวที่งดงามเช่นนั้นไยจะต้องอยู่ในวังลึกล้ำกระทั่งผมดำเปลี่ยนเป็นผมขาว จากผมขาวตราบกลายเป็นโครงกระดูก เขาตัดใจไม่ได้
ดังนั้นเขาจึงเขียนจดหมายให้เหอจิ่นเซ่ออีก ถามว่าพอจะมีวิธีการอื่นใดได้บ้าง แล้วก็เกิดวิธีครึ่งทางขึ้นมา นั่นคือการสอบข้าราชสำนักสตรี
ดังนั้นตอนที่เซียงฉือไปอ้อนวอนนาง นางจึงกึ่งดีใจกึ่งกังวล
นางเข้าวังมานาน ทำงานอย่างปลอดโปร่งตลอดมา แต่พอมาถึงเรื่องของเซียงฉือ ทำให้นางต้องทุกข์ขึ้น
นางชื่นชอบหญิงสาวคนนี้ เฉลียวฉลาดและรู้จักปกปิด มีปฏิกิริยาว่องไวและรู้จักดูจังหวะ
กองราชเลขาของนางต้องการหญิงสาวลักษณะเช่นนี้อย่างยิ่ง แต่นางก็รู้ว่าการจะส่งเสริมหญิงสาวคนนี้ให้ได้ดีนั้น ความลำบากที่นางจะได้รับมีมากกว่าตนเองและโทษที่นางจะได้รับก็มีมากกว่าตนเองด้วย นั่นเพราะชาติกำเนิดของนางจะถูกผู้คนประณามตลอดไป
และความรักความผูกพันของนางจะเป็นเครื่องพันธนาการตลอดไป
ตอนที่ 346 พบหรงเฉิงเยี่ย
ถ้าหากจะส่งเสริมนางขึ้นมา สิ่งที่เหอจิ่นเซ่อต้องทำก็จะไม่ใช่แบบที่เหอเจี่ยนสุยหวังไว้แต่ต้น ที่จะให้เหอจิ่นเซ่อคอยดูแลนางบ้างขณะที่อยู่ในวัง แต่จะกลายเป็นสิ่งตรงกันข้ามกับการที่จะให้เซียงฉือได้อยู่ในวังอย่างสบายใจบ้าง
เดิมเซียงฉือต้องการเข้ากองเย็บปักซึ่งนางก็เห็นดีด้วย เพราะกองราชเลขาของนางนั้นเป็นแดนอันตรายในเขตรั้วกำแพงนี้ เพียงย่างเข้าไปก็จะมีอันตรายนานาไม่ว่าก่อนหรือหลัง กับตนเองหรือเพื่อนฝูง ล้วนมีอันตรายในทุกที่
นางไม่คิดจะให้นางมาที่นี่แต่แรกอยู่แล้ว แต่พอเซียงฉือไร้สิ้นหนทางแล้วมาหานาง
ทำให้เหอจิ่นเซ่อเกิดใจรักในความสามารถแล้วรั้งนางไว้ แต่ไม่คิดว่าฝ่าบาทจะหมายตานางอยู่เช่นกัน
ความไม่น่าจะเป็นที่ยิ่งเพิ่มความไม่น่าจะเป็นเข้าอีกคงเป็นเช่นนี้
แต่ว่าหนทางข้างหน้ายังคงต้องก้าวเดินไป เหมือนดั่งเซียงฉือที่คุกเข่าอยู่ริมหน้าต่างในขณะนี้ นางร้องไห้โดยไม่หลั่งน้ำตา แต่ดวงตาที่บวมแดงกับแววตาแน่วแน่ของนางนั้น ทำให้เหอจิ่นเซ่อสำนึกเสียใจขึ้นมา
ไม่น่าจะให้นางได้มาอยู่ที่นี่ในวันนี้เลย เพราะความสงสารนั้นไม่รู้ว่าจะกลายเป็นมือคู่ที่จะผลักนางลงสู่หุบเหวลึกหรือไม่
นางเกิดความสำนึกเสียใจ
วันรุ่งขึ้นเซียงฉือกลับตำหนักเจิ้งหยางด้วยดวงตาบวมแดง
เหอจิ่นเซ่อตั้งใจจะให้นางหยุดพักผ่อนอีกหนึ่งวัน แต่เซียงฉือปฏิเสธเจตนาดีของนางด้วยความเกรงใจอย่างยิ่ง
ด้วยเหตุผลง่ายๆ ว่า เวลาที่นางยุ่งอยู่กับงานที่ทำข้างกายฝ่าบาท จะช่วยให้นางลืมความเจ็บปวดในใจได้ชั่วคราว
ความยุ่งเหยิงสำหรับนางเป็นเหมือนยาบำรุงหัวใจขนานหนึ่ง ที่จะกระตุ้นให้นางกระปรี้กระเปร่าขึ้นเป็นร้อยเท่า
ฮ่องเต้ตื่นบรรทมออกประชุมราชสำนักเช้าในท้องพระโรงแล้ว ตอนนี้ท้องฟ้าสว่างขึ้น ขันทีทั้งหลายพากันเดินเรียงเข้ามาเพื่อทำการปัดกวาดเช็ดถู เซียงฉือนั่งอยู่ตรงที่นั่งด้านข้างของฮ่องเต้ นางหยิบรายงานขึ้นฉบับหนึ่ง แต่ไม่สามารถซึมซับอักษรได้สักตัว
นางฝืนตัวเองเกินไปหรือไม่
เป็นนานเซียงฉือก็ยังไม่อาจรวบรวมสมาธิได้และนางก็ไม่ฝืนตัวเองจึงปิดรายงานหนาๆ นั้นดังปัง
พอเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นหรงเฉิงเยี่ย
เขากลับเมืองหลวงมาหลายวันแล้ว ตอนนี้จัดการหน้าตาเรียบร้อย บำรุงผิวพรรณดีแล้ว เส้นผมที่ยุ่งเหยิงรุงรังก็สระหวีเรียบร้อยมุ่นไว้ด้วยปิ่นหยกขาวอันหนึ่ง ริมฝีปากแดงปานบุปผา เขายืนย้อนแสงอยู่ข้างหน้าต่างมองดูเซียงฉือ อยู่ในทิศทางที่ทำให้เขาดูเป็นชายหนุ่มที่ดูดีที่สุดในโลกนี้พอดี
เขาสวมชุดราชสำนัก ชุดสีครามของชินอ๋องแห่งแคว้นเซียวจิ่ง เป็นชุดพิธีการปักลายงูใหญ่พระราชทาน ทั้งยังเป็นงูเหลือมขนดที่สูงศักดิ์ที่สุดอีกด้วย จะเห็นได้ว่าฮ่องเต้ทรงรักใคร่ชิดเชื้อกับเขาเสมอมา
เซียงฉือไม่เคยเห็นเขาแต่งกายเต็มยศเช่นนี้มาก่อนจึงมองอย่างพินิจพิจารณาหลายรอบ
หรงเฉิงเยี่ยเอนพิงขอบหน้าต่างด้านข้างไม่สนใจนาง เขาเข้าเมืองหลวงครั้งนี้เพราะได้รับบาดเจ็บแต่ไม่ได้พูดออกมา ในตอนนี้เซียงฉือกำลังพิจารณาดูเขาซึ่งเขาก็ไม่คิดจะทำลายความสงบนั้น
ดวงตาคู่นั้นของเชียงฉือภายใต้แสงทอผ่านถ้วยแก้วเปล่งประกายเป็นสีน้ำเงิน ชุดสีขาวเรียบๆ ใบหน้าเกลี้ยงเกลา นางดูบริสุทธิ์ดุจดังแมวเปอร์เซียเชื่องๆ ตัวหนึ่ง
หรงเฉิงเยี่ยรับฟังเรื่องราวทางบ้านเซียงฉือจากเหอเจี่ยนสุย เขาเกิดมาก็เป็นองค์ชาย เรื่องราวสกปรกโสมมในหมู่เรือนใหญ่ๆ พวกนั้น มีหรือที่เขาจะไม่รู้ แต่ถึงแม้จะรู้แล้วจะทำอะไรได้ มีแต่จะเพิ่มความทุกข์ใจแก่เขาเท่านั้นเอง
“เจ้ายังสบายดีอยู่ไหม”
หรงเฉิงเยี่ยมองดูสายตานาง ดูเหมือนจะค่อยๆ จมลงไปตามแสงที่อ่อนลง ความเจ็บปวดที่ล้ำลึกนั้นเผาไหม้ดวงตาเขา ทำให้เขาอดไม่ได้ต้องถามออกไปอย่างห่วงใย
เซียงฉือไม่ตอบ นางลุกขึ้นเดินไปข้างกายหรงเฉิงเยี่ยแล้วทำความเคารพต่อเหลียนชินอ๋องผู้นี้อย่างตั้งใจเต็มพิธีการ แตกต่างจากการคารวะในยามปกติ
หรงเฉิงเยี่ยเห็นหน้านางขาวซีดราวกระดาษ แต่ดวงตานั้นกลับบวมแดงทำให้บังเกิดความสงสาร
“ข้าราชสำนักสตรีกองราชเลขาอวิ๋นเซียงฉือถวายบังคมเหลียนชินอ๋อง ขอทรงพระเกษมสำราญเพคะ”
ท่าทางเป็นงานเป็นการของนางทำให้หรงเฉิงเยี่ยรู้สึกขัดเขินขึ้นมา
วันนี้เขากับเสด็จพี่เลิกประชุมราชสำนักแล้วก็นัดกันจะมาปรึกษางานกันที่นี่ แต่หรงจิงกลับถูกขุนนางใหญ่กลุ่มหนึ่งพัวพันไว้
เขาฟังแล้วเบื่อหน่ายจึงผละจากฮ่องเต้อย่างไม่ใส่ใจแล้วมายังตำหนักเจิ้งหยางก่อน คิดว่านั่งรอสักครู่ หรงจิงก็คงจะปลีกตัวออกมาได้แล้ว
แต่เขาไม่คิดว่าจะมาพบกับเซียงฉือแบบนี้ ตอนเขาเข้าประตูมา หลังจากขันทีส่งเสียงแหลมป่าวแจ้งแล้วไม่มีใครออกมาคารวะต้อนรับ เขายังคิดว่าเซียงฉืออยู่ในระหว่างพักผ่อน แต่ไม่คิดว่าพอก้าวเข้ามาในตำหนักฉินเจิ้ง ก็เห็นนางนั่งตัวตรงเรียบร้อยอยู่ตรงนั้น ถือรายงานอยู่เล่มหนึ่งสองตามองดูอย่างเหม่อลอย
หากเป็นยามปกติ เขาคงเข้าไปเคาะกระโหลกนาง แล้วมองดูท่าทางโมโหโทโสของนาง ล้อนางเล่นสักคำสองคำ
แต่เมื่อคืนเหอเจี่ยนสุยเมาสุราแล้วพลั้งเล่าเรื่องทั้งหมดแก่เขา
ในตอนนั้นเขาเป็นห่วงเซียงฉือมาก
เขายอมรับว่าตนเองเป็นสุภาพบุรุษ วันนั้นที่พบเซียงฉือครั้งแรก ท่าจ้องมองของนางยังคงปรากฏเด่นชัด เขารู้ว่าเซียงฉือต้องฝืนใจแค่ไหน แต่เขารู้ระบบในวังอย่างดียิ่ง และยังมีพี่ชายของเขาคนนั้นอีก
เมื่ออวิ๋นเซียงฉือเข้าวังแล้วก็ไม่มีหวังที่จะได้ออกไป จะมามัวทำให้สหายที่เปี่ยมล้นความรู้ของตนคนนั้นรอคอยตลอดชีวิต เสียเวลาไปอย่างเปล่าประโยชน์ได้อย่างไร
คำพูดของเขาเซียงฉือต่อต้านอย่างหนัก แต่ไม่รู้อะไรกระทบใจนางเข้าในตอนนั้น ทำให้นางถอดกำไลที่เหอเจี่ยนสุยมอบให้ออกมา
เมื่อเห็นสายตาซึมค้างของอวิ๋นเซียงฉือ ใจเขาสั่นขึ้นน้อยๆ นางเป็นหญิงสาวที่ทำให้คนรู้สึกสงสารจริงๆ
เซียงฉือย่อกายอยู่ข้างกายเขา หรงเฉิงเยี่ยมัวแต่คิดส่วนเซียงฉือก็ไม่ได้ลุกขึ้น เมื่อเขาค่อยๆ เรียกสติกลับมาเกิดรู้สึกผิดต่อนางจึงรีบประคองนางขึ้น
“ลุกขึ้นเถิด” สามคำนี้ยังไม่ทันออกจากปาก หรงเฉิงเยี่ยก็ได้ยินเสียงหรงจิงดังขึ้นที่เบื้องหลัง
หรงจิงพอย่างเท้าเข้ามาก็เห็นหรงเฉิงเยี่ยกับเซียงฉือกำลังฉุดดึงกันอยู่ที่หน้าตำหนักฉินเจิ้ง เขาขมวดคิ้วแล้วรีบพูดโพล่งขึ้น
“น้องข้า สนใจข้าราชสำนักสตรีของข้าหรือ”
น้ำเสียงหรงจิงฟังคลุมเครือ ถึงจะไม่สบายใจยิ่งแต่ยังคงพูดหยอกเล่นออกมาได้ หรงเฉิงเยี่ยกับเซียงฉือรีบโค้งกายทำความเคารพหรงจิง
น้ำเสียงที่หรงจิงพูดเมื่อครู่เซียงฉือฟังแล้วรู้สึกไม่สู้ดีนัก แต่นางก็ไม่พูดอะไร ไม่ว่าจะยอมรับหรือปฏิเสธ นางล้วนไม่พูด
นางเพียงมองหรงจิงด้วยดวงตาแดงก่ำ
“ขอฝ่าบาททรงพระเกษมสำราญเพคะ”
เซียงฉือย่อกายกล่าวคำทักทาย แต่หรงเฉิงเยี่ยได้ยินคำพูดของหรงจิงแล้วเกิดความตระหนก ก่อนจะหันกลับไปหัวเราะขึ้นมา
“ฝ่าบาทมิสู้ประทานข้าราชสำนักสตรีคนนี้แก่กระหม่อมเถิดพ่ะย่ะค่ะ ตำหนักกระหม่อมยังขาดคู่ที่ดีที่จะมาเป็นเพื่อนต่อกลอนกับกระหม่อม ดีดพิณชมจันทร์ให้ฟังคงจะมีความสุขไม่น้อย กระหม่อมจะได้ไม่ต้องมารบกวนเสด็จพี่ที่นี่อยู่ทุกเมื่อเชื่อวันด้วย”
หรงเฉิงเยี่ยพูดเช่นนี้เซียงฉือก็ตกใจ แต่แล้วหันกลับไปไม่สนใจเขา แต่หรงจิงกลับใช้หยกมรกตแปดเนตรที่กำอยู่ในมือเคาะลงบนศีรษะเขาทีหนึ่ง
“ถ้าเจ้าคิดจะตบแต่งชายาจริงๆ ละก็ ในเมืองหลวงมีสาวน้อยวัยเหมาะสมตั้งมากมาย ไม่ว่าคนไหนพอแต่งเข้าไปแล้วก็เป็นเพื่อนร่ายกลอนดีดพิณชมจันทร์กับเจ้าได้ทั้งนั้น เจ้าต้องจำไว้ว่า ตั้งแต่นางเป็นข้าราชสำนักสตรีของข้าแล้ว ชาตินี้ก็ไม่อาจจะออกนอกประตูวังนี้ไปได้”
ตอนที่ 347 ระแวงสงสัย
ถึงจะเป็นคำพูดล้อเล่นของหรงเฉิงเยี่ย แต่เขาก็มีเจตนาจะลองใจของหรงจิง
แต่คำพูดเล่นของเขาถูกหรงจิงตอบกลับอย่างเคร่งขรึม เขาจึงไม่กล้าพูดต่อ ทำเป็นไม่ใส่ใจฮาเฮผ่านไป
ดวงตาเซียงฉือแดงดุจผลเหอเถา[1] หรงจิงมองเห็น อีกทั้งยังเห็นความหมองซีดไปทั้งตัวของนาง
ถึงหรงเฉิงเยี่ยจะพูดเล่น แต่ท่าทางเช่นนี้ของเซียงฉือ ทำให้เขากังวลใจ
“ถ้ายังไม่หายป่วยไม่ต้องฝืนลุกขึ้นมารับใช้หรอก ข้าก็ไม่ใช่คนไร้น้ำใจสักหน่อย”
หรงจิงนั่งลงที่ด้านหนึ่งของกระดานหมาก ส่วนหรงเฉิงเยี่ยเพียงมองดูสีหน้าของเขา แล้วรีบนั่งลงยังฝั่งตรงข้าม
หรงจิงถอดชุดมังกรที่สวมตอนออกราชสำนัก สวมเพียงชุดตัวในสีขาวลายดิ้นมังกรแล้วคลุมด้วยชุดคลุมลายเมฆสีม่วงอ่อน คาดเข็มขัดหยกขาวนั่งตัวตรง
“เป็นพระกรุณาที่ทรงห่วงใยเพคะ หม่อมฉันหายดีแล้ว หากฝ่าบาทไม่มีพระประสงค์สิ่งใด หม่อมฉันขอออกไปก่อนเพคะ”
คำพูดของหรงจิงกับหรงเฉิงเยี่ยที่เซียงฉือได้ยินเมื่อครู่ยิ่งทำให้เซียงฉือเจ็บปวดทุกข์ใจ
ฮ่องเต้ที่เซียงฉือรับใช้อยู่นี้เป็นฮ่องเต้ที่หมั่นเพียรมีคุณธรรม แต่สำหรับนางแล้วช่างห่างไกลยิ่งนัก สูงส่งยิ่งนัก ระยะห่างของนางกับเขาเพิ่มมากขึ้นทุกที แล้วยังความเกรงกลัวนั่นอีก
หรงจิงได้ยินดังนั้นรู้สึกถึงความผิดปกติของจิตใจเซียงฉือ เมื่อวานจู่ๆ เหอจิ่นเซ่อก็มาขอลางานให้นาง ถึงจะบอกว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่เขาก็ได้บอกว่าจะให้หมอหลวงไปตรวจเซียงฉือ แต่ถูกเหอจิ่นเซ่อปฏิเสธ
เขาเป็นฮ่องเต้มีความขี้สงสัยอยู่แล้ว วันนี้กลับเข้าตำหนักมาก็เห็นเซียงฉือกับหรงเฉิงเยี่ยหยอกเอินกันอยู่ เมื่อวานหรงเฉิงเยี่ยก็เข้าวัง เขาอดไม่ได้ต้องคิดถึงความเกี่ยวพันกันของเรื่องนี้
หรงเฉิงเยี่ยเป็นน้องชายแท้ๆ ของเขา ตลอดมาทั้งคู่สนิทสนมกันเป็นพิเศษและเขาก็ไว้ใจหรงเฉิงเยี่ย แต่ข้าราชสำนักสตรีในวังถึงจะมีตำแหน่งราชการ ทว่าแต่โบราณมาก็ถือเป็นผู้หญิงของฮ่องเต้ที่สามารถจะร่วมหลับนอนและกลายเป็นสนมนางในได้ตลอดเวลา หรงจิงเป็นคนรู้จักควบคุมเรื่องบนเตียงเป็นอย่างดี มิเช่นนั้นคงไม่ได้มีเพียงองค์หญิงสององค์เท่านั้น
ขุนนางทั้งหลายในราชสำนักมักเบาะแว้งกันเรื่องที่เขาไม่มีรัชทายาท พวกขุนนางทัดทานถึงกับทูลขอให้เขาปฏิบัติให้ทั่วถึง ขยายเชื้อพันธุ์ทายาทให้มากๆ อย่างไรเสียการไร้ผู้สืบสกุลถือเป็นความอกตัญญูใหญ่หลวงที่สุดในความอกตัญญูสามประการ
ตอนนี้เขามีอายุยี่สิบหกปีเพิ่งเข้าสู่วัยฉกรรจ์ ส่วนตัวเขาเองนั้นไม่ได้รีบร้อน เพราะตลอดมาเขามีแผนการของตนเองอยู่
แต่พวกขุนนางทัดทานเหล่านั้นจับประเด็นนี้ไม่ยอมปล่อย วันนี้ไม่เพียงแต่ถกกันไปรอบหนึ่งตอนประชุมแล้ว หลังเลิกประชุมยังตามมาเตือนเขาอีก ทำให้เขาเบื่อหน่ายอย่างยิ่ง
พอเพิ่งก้าวเข้าตำหนักก็เห็นกิริยาของหรงเฉิงเยี่ยกับอวิ๋นเซียงฉือ ถึงจะเป็นท่าทางที่ไม่จริงจังอะไร แต่เขารู้สึกว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่นั้นไม่ธรรมดา
ว่ากันตามเหตุผล ทั้งหรงเฉิงเยี่ยกับอวิ๋นเซียงฉือก็ไม่ได้ติดต่อกันมากนัก แต่เหตุใดกิริยาท่าทางของทั้งคู่จึงดูคุ้นเคยกันยิ่ง เขาเข้าใจหรงเฉิงเยี่ย รู้ว่าเขาไม่ใช่คนที่จะเปิดใจได้ง่ายๆ
หรงจิงคิดความเป็นไปได้มากมาย เขากังวลใจ ถึงแม้เรื่องนี้จะไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ในใจหรงจิงแล้ว หรงเฉิงเยี่ยเป็นน้องชายที่เขารักที่สุด ส่วนอวิ๋นเซียงฉือเป็นข้าราชสำนักสตรีข้างกายเขา ถ้าหากคนทั้งคู่จะมีอะไรกันจริงๆ เช่นนั้นแล้วเขาควรกล้ำกลืนฝืนทน หรือจะไม่สนใจความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องแล้วระเบิดโทสะออกมา
“เสด็จพี่ ก้าวนี้คิดนานจังพ่ะย่ะค่ะ สงสัยวันนี้เสด็จพี่จะโค่นกระหม่อมจริงๆ เพื่อไม่ให้กล้ามาต่อกรด้วยอีกเป็นแน่”
หรงเฉิงเยี่ยพูดติดตลกหัวเราะร่า
[1] ผลเหอเถา หรือ ลูกวอลนัท
ตอนที่ 348 ประลองหมาก
เซียงฉือเมื่อไม่เห็นคำสั่งอื่นใดจึงเตรียมจะออกไปชงชาให้ฮ่องเต้กับท่านอ๋อง แต่เมื่อนางหมุนกายก็ถูกคนดึงมือไว้ นางคิดจะหดมือตามสัญชาตญาณ แต่พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นสีหน้าเคร่งขรึมของหรงจิง
เซียงฉือไม่กล้าเคลื่อนไหวในทันที
นางก้มหน้าถามขึ้นเบาๆ ว่า
“ฝ่าบาทมีรับสั่งสิ่งใดอีกหรือเพคะ”
เสียงของเซียงฉือเบาและแฝงความกลัว นางไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดจู่ๆ หรงจิงจึงได้จับมือนางไว้แน่น นางถูกบีบจนรู้สึกเจ็บแต่ไม่กล้าส่งเสียง ไม่กล้าแม้แต่จะขมวดคิ้ว
“เจ้ามานั่งอยู่ข้างข้านี่ ดูการเดินหมาก”
เซียงฉือได้ยินดังนั้นดวงตางดงามทั้งคู่ก็เบิกโพลง นางไม่เข้าใจว่าเหตุใดวันนี้หรงจิงจึงได้ผิดปกติเช่นนี้ เหมือนกับที่นางไม่เข้าใจบุรุษ ไม่สิ ไม่เข้าใจบุรุษที่นอกเหนือจากเหอเจี่ยนสุย เพราะชายผู้นั้นเรียบง่ายอย่างยิ่ง
หรงจิงเป็นประมุขของแคว้น เขาร่ำรวยที่สุดในแผ่นดิน อำนาจมากล้นฟ้า ข้าราชสำนักสตรีในวังล้วนเป็นทรัพย์สินของเขาทั้งหมด เขาซึ่งเป็นเหมือนเจ้าของที่ดิน เมื่อมีชายอื่นมาหมายจ้องทรัพย์สินของเขาเขาจะทำอย่างไร
ก็ต้องทำให้ผู้ชายคนนั้นรู้สำนึกแล้วล่าถอยไป หากเป็นคนอื่นเขาคงฆ่าตายในดาบเดียวไปแล้ว แต่สำหรับหรงเฉิงเยี่ย เขายังคงมีความเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่าการขอร้องเช่นนี้ คงเป็นเพียงความนับถือตนเองของลูกผู้ชายเช่นเขาเท่านั้น
เซียงฉือไม่เข้าใจแต่ไม่กล้าขัดขืนจึงนั่งลงข้างกายหรงจิงตามมือที่จูงไป นางไม่มีทั้งความไม่พอใจหรือความยินดี เพียงนั่งอยู่ข้างกายหรงจิงมองดูการเดินหมาก
หรงจิงเห็นนางว่าง่ายเช่นนั้นจึงวางใจลงแล้วหัวเราะเบาๆ จากนั้นวางเม็ดหมากสีดำลงเม็ดหนึ่ง การเดินหมากของเขากับหรงเฉิงเยี่ย หรงเฉิงเยี่ยจะใช้เม็ดหมากสีขาว ส่วนเขาใช้เม็ดหมากสีดำ ซึ่งกลายเป็นความเคยชินไปแล้ว
หรงเฉิงเยี่ยเห็นดังนั้นก็เพียงขมวดคิ้วน้อยๆ แต่ก็หัวเราะขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
“เสด็จพี่กำลังจะทรงรับพี่สะใภ้คนใหม่ให้กระหม่อมกระมังพ่ะย่ะค่ะ? ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ สายพระเนตรช่างดียิ่งนัก กระหม่อมไม่ทราบมาก่อนว่าเสด็จพี่โปรดปรานดวงตาเหอเถาแบบนี้”
หรงเฉิงเยี่ยหยอกล้อการกระทำของหรงจิง แต่เซียงฉืออับอายจนหน้าแดง ส่วนหรงจิงทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ได้ยินดังนั้นจึงเพียงหัวเราะ ดวงตาทั้งคู่จ้องอยู่บนกระดานหมาก เมื่อเขาวางเม็ดหมากลงบนกระดานแล้ว สามารถกำจัดเม็ดหมากขาวของหรงเฉิงเยี่ยที่ถูกล้อมอยู่ได้อย่างง่ายดาย
หรงเฉิงเยี่ยอึ้งไปไม่กล้าวอกแวกอีกแล้วตั้งใจต่อสู้
เซียงฉือนั่งอยู่ข้างหรงจิงเฝ้าดูการเดินหมากอย่างละเอียด หรงจิงสั่งให้นางดู นางจึงดูจริงๆ ดูจนเคลิบเคลิ้ม หรงเฉิงเยี่ยเก็บความสับสนในดวงตานางไว้ในสายตาตน ค่อยๆ หุบยิ้มสำรวมมากขึ้น
“เจ้าน่ะ เก็บความคิดมาใส่ในเกมกระดานให้มากจะดีกว่า พึงรู้ว่าการเดินหมากก็เหมือนการทำศึก ตอนนี้เจ้าเป็นขุนศึกจริงๆ แล้ว ประจันหน้าอยู่กับข้า ยังจะกล้าหลายจิตหลายใจอีกหรือ”
คำพูดหรงจิงมีความหมายลึกซึ้งชวนฟังเสมอมา แต่ขณะนี้เขาพะวงถึงเซียงฉือที่เฉื่อยเนือย การแสดงออกจึงมักดูแปลกไป
ผ่านไปครู่หนึ่ง หรงเฉิงเยี่ยกับหรงจิงก็เปิดศึกพัวพันกันบนกระดานหมาก
เขาวางหมากได้อย่างประณีตบรรจงดูเหมือนป้อมปราการที่มั่นคง แต่การบุกเข้าไปของหรงจิงก็สามารถทำลายปราการจนบิดเบี้ยวไปมา แต่ไม่ได้ก่อความเสียหายอะไรในขณะเวลานั้น แล้วทั้งคู่ก็เข้าสู้การต่อสู้ติดพันอย่างรวดเร็ว
ความคิดของเซียงฉือถูกเกมหมากดึงดูดเข้าไปแล้ว นางมองนิ่งอยู่นาน เมื่อจู่ๆ เงยหน้าขึ้นมองหรงเฉิงเยี่ยก็เห็นเขาก็กำลังมองนางอยู่ อีกทั้งยังเลิกคิ้วยักไปมาอย่างซุกซน เซียงฉือครุ่นคิด แล้วจึงค่อยๆ ก้มหน้าลงไปมองยังด้านล่างของกระดานหมาก
ตอนที่ 349 องค์หญิงฮุ่ยเหวิน
สายตาเสียงฉือสอดส่ายค้นหาไปยังใต้โต๊ะหมากเหมือนไม่มีเจตนา มิน่าฝ่าบาทจึงรู้สึกว่าหรงเฉิงเยี่ยใจคอวอกแวก เมื่อนางก้มลงไปก็เห็นหรงเฉิงเยี่ยใช้ตัวหมากสีขาวของตนเรียงเป็นตัวอักษรออกมาตัวหนึ่งที่ใต้โต๊ะนั้น
‘รอ’
เซียงฉือเห็นแล้วจึงเงยหน้าขึ้น อมยิ้มพยักหน้าให้หรงเฉิงเยี่ย
ฮ่องเต้อยู่ตรงนั้นตลอดเวลา หรงเฉิงเยี่ยจึงไม่มีโอกาสสนทนากับนางตามลำพังอีก หรงจิงเป็นคนทำอะไรแล้วจะทุ่มเทตั้งใจจริงจัง กับเกมหมากก็หมายจะพิฆาตชี้ขาดอย่างเต็มที่ ถึงหรงเฉิงเยี่ยจะเดินหมากกับฮ่องเต้เป็นเวลานาน แต่เซียงฉือรู้ว่า สุดท้ายแล้วหรงจิงต้องเป็นฝ่ายชนะแน่นอน
เพราะหรงเฉิงเยี่ยใจคอวอกแวก อีกทั้งไม่มีใจคิดเอาชนะ เป็นไปตามคาด หมากกระดานนั้นเดินจนฮ่องเต้รู้สึกหิวจึงกวักมือเรียกหรงเฉิงเยี่ยให้ไปทานอาหารด้วยกัน
นี่ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ไม่ค่อยได้เห็น แต่เซียงฉือไม่อาจร่วมโต๊ะได้และนางเองก็ไม่รู้สึกอยากอาหาร จึงหายตัวไปเองจากเบื้องพระพัตร์ฮ่องเต้และหรงเฉิงเยี่ย กลับไปยังที่คับแคบของตนหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาซับน้ำตาเบาๆ
ระยะนี้กุ้ยเฟยยังถูกกักบริเวณอยู่ ส่วนฮ่องเต้ก็มีราชกิจมากจึงไม่ค่อยได้ไปเยี่ยมนาง ทว่าเหตุใดระยะนี้จึงไม่เห็นซูเฟย ไม่เห็นนางมาแวะเวียนตำหนักเจิ้งหยางเป็นเวลานานแล้ว
เขาว่าห้ามพร่ำพูดถึงใคร เซียงฉือยังไม่ได้คิดอะไรมากก็ได้ยินเสียงแหลมของขันทีที่เฝ้าประตูร้องดังขึ้นมา
“ซูเฟยเสด็จ องค์หญิงฮุ่ยเหวินเสด็จ!”
ฮ่องเต้เพิ่งวางตะเกียบก็ได้ยินเสียงของขันที เขาเป็นฮ่องเต้ ในวันปกติจึงทานอาหารเพียงลำพังทำให้เหงาอยู่บ้าง แต่วันนี้ไม่เพียงแต่หรงเฉิงเยี่ยมาที่นี่ แม้แต่ลูกสาวคนเล็กของเขาก็มาแล้ว
ใบหน้าเย็นชาอยู่เสมอของหรงจิงผุดรอยยิ้มของพ่อที่เมตตาขึ้นมา
ยังไม่ทันเห็นตัวก็ได้ยินเสียงหัวเราะราวกระดิ่งเงินขององค์หญิงน้อยดังเข้ามา
องค์หญิงน้อยมีนามพระราชทานว่าฮุ่ยเหวิน ชื่อเรียกเล่นว่าฟังเอ๋อร์ ฮุ่ย เป็นราชทินนามชั้นสูงสุดสำหรับราชนิกูลหญิงในราชวงศ์ที่ใช้สำหรับองค์หญิงสายรอง
หนูน้อยไม่เข้าใจเรื่องเหล่านี้ นางขาวนวลผุดผ่องราวหยกแกะสลัก ไม่รู้ว่านางกำลังสนุกกับอะไรอยู่จึงได้หัวเราะไม่หยุดก่อนจะพบกับพระบิดา
รอยยิ้มหรงจิงยิ่งกว้างขึ้น เขาไม่ได้พบกับลูกสาวสุดที่รักตัวน้อยมานานพอสมควรแล้ว ครั้งนั้นได้ยินว่าหรงฟังป่วยไข้ ทำให้เขาที่เป็นพ่อรู้สึกสงสารอย่างยิ่ง เด็กเล็กขนาดนี้ดื่มยาก็ไม่ได้ ทั้งยังอาเจียนน้ำนมติดต่อกันหลายวัน ช่างน่าสงสารยิ่งนัก
เพราะจินกุ้ยเฟยเปิดเผยเรื่องนี้ออกมาในงานเลี้ยง ทำให้ซูเฟยถูกหรงจิงตำหนิแต่ไม่รุนแรงนัก ทว่านางจดจำใส่ใจ เมื่อกลับถึงตำหนักและหายเสียใจแล้วเกิดสำนึกได้จึงดูแลหรงฟังอย่างเอาใจใส่
ดังนั้นช่วงเวลาที่ผ่านมาจึงไม่ได้เห็นซูเฟยออกนอกตำหนักบ่อยนัก นางในขณะนี้แลดูซูบซีด ส่วนองค์หญิงน้อยร่าเริงสดใส
หรงจิงดีใจเดินเข้าไปหา มองดูคนที่สวมเสื้อสีชมพูน้อยๆ ในอ้อมอกซูเฟย เห็นดวงตาสดใสคู่นั้นยิ้มจนโค้งหยี
หรงจิงรู้สึกหวานล้ำเข้าไปถึงในกระดูก
เขารับองค์หญิงน้อยหรงฟังข้ามมาจากมือซูเฟย หรงฟังรู้สึกไม่พอใจในตอนแรก นางขมวดคิ้ว จากนั้นก็นิ่งเฉย มองดูหรงจิงนิ่งไม่ยิ้ม
ท่าทางนิ่งขรึมเช่นนั้นมีความประพิมพ์ประพรายคล้ายหรงจิงอยู่
ซูเฟยหัวเราะพรวดออกมา อดไม่ได้เมื่อเห็นท่าทางนิ่งขรึมของหรงฟังเช่นนั้น
ในเวลานั้นในตำหนักเจิ้งหยางก็อบอวลเปี่ยมด้วยความสุขของคนในครอบครัว ตอนนั้นเซียงฉือไม่ได้รับใช้อยู่เบื้องหน้าฮ่องเต้
เวลาฮ่องเต้เสวยจะมีคนคอยรับใช้จัดอาหารถวายอยู่แล้ว เซียงฉือไม่ใช่คนมีหน้าที่เกี่ยวข้องจึงไม่อาจอยู่ดูในที่นั้นได้
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น