วาสนาบันดาลรัก 342-348

ตอนที่ 342 วาจานักพรต

 

“ท่านย่า!” หลัวเทียนเฉิงคุกเข่าลงข้างหนึ่ง “ท่านจะต้องดีขึ้นอย่างแน่นอน หลานรับรอง!” 


 


 


เขาไม่รู้ว่าเกิดความผิดพลาดขึ้นที่ใด ชาติก่อนท่านย่าต้องจากเขาไปในวันเทศกาลโคมไฟเพราะกินขนมบัวลอยแล้วเกิดติดคอจึงตายอย่างกะทันหัน ใจเขาเฝ้าคิดป้องกันเหตุไม่คาดฝันที่จะเกิดในอนาคตนั้นมาตลอดแต่คิดไม่ถึงว่าท่านย่ากลับล้มป่วยลงก่อนเช่นนี้ 


 


 


เพราะการจากไปอย่างกะทันหันของหยวนเหนียงหรือ 


 


 


ชาติก่อนผู้ที่ออกเรือนไปไกลถึงหมานเหว่ยมิใช่หยวนเหนียงแต่เป็นคุณหนูโอวหยางเถาจวนแม่ทัพโอวหยาง 


 


 


โอวหยางเถาเป็นสหายเล่าเรียนขององค์หญิงฟังโหรวเช่นเดียวกับน้องหลัวจือฮุ่ย เพราะเหล่าไท่จวินสกุลตู้จวนแม่ทัพโอวหยางสนิทสนมกับท่านย่า ลูกหลานของทั้งสองจวนจึงไปมาหาสู่กันเสมอ ด้วยเหตุนี้เองเขาจึงจำได้ว่าองค์ชายรองบังเอิญไปเห็นท่าทีงามสง่าเฉิดฉายยามนางอยู่บนหลังม้าของนางเพราะนางเชี่ยวชาญการขี่ม้า องค์ชายรองแห่งหมานเหว่ยจึงขออภิเษกกับโอวหยางเถา 


 


 


ขบวนส่งเสด็จถูกมือสังหารลอบทำร้ายเช่นเดียวกันแต่ที่ไม่เหมือนกันคือโอวหยางเถาหายสาบสูญไป ภายหลังองค์ชายรองก็ตามหานางจนเจอ พิธีอภิเษกของคนทั้งสองจึงเพียงเลื่อนออกไปสักระยะเท่านั้น 


 


 


ส่วนหยวนเหนียง นางแต่งให้กับบุตรชายคนรองของเจาอวิ๋นจั่งกงจู่ แต่น่าเสียดายที่ต้องตายไปเพราะคลอดบุตรยาก ทว่าเรื่องนี้เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากท่านย่าได้ล่วงลับไปแล้ว 


 


 


บางครั้งหลัวเทียนยเฉิงก็คิดเช่นกันว่าบุคคลที่มีโชคชะตาเปลี่ยนไปในชาตินี้เหล่านั้นจะมีชีวิตเช่นไร เช่นโอวหยางเถา นางเป็นคุณหนูน้อยที่สดใสร่าเริง เดิมนางต้องอภิเษกไปกับองค์ชายรองแห่งหมานเหว่ย แล้วตอนนี้นางจะแต่งให้ผู้ใดเล่า 


 


 


หากโชคชะตาของคนเหล่านี้สามารถเปลี่ยนแปลงได้ เช่นนั้นชีวิตของท่านย่าเล่า…ก็อาจจะเกิดความคลาดเคลื่อนขึ้นได้เช่นกัน! 


 


 


หลัวเทียนเฉิงรู้สึกร้อนใจดุจไฟสุม เขาจึงเข้าวังไปเชิญหมอหลวงจังด้วยตนเอง 


 


 


หมอหลวงจังเป็นหมอที่ได้รับการยอมรับว่ามีฝีมือการแพทย์โดดเด่นที่สุดในสำนักแพทย์หลวง ตั้งแต่พลานามัยของเจาเฟิงตี้เริ่มทรุดหนักลง เขาก็เข้าเวรประจำอยู่ในวังตลอด มิได้ตรวจรักษาผู้ใดอื่นเลย 


 


 


ทั่วทั้งจวนกั๋วกงต่างเงียบสงัดลง บรรดาบ่าวไพร่แม้เดินไปมาตามทางยังมิกล้าส่งเสียงดัง 


 


 


มีเพียงเจิ้นกั๋วกงที่กำลังพาหลานตัวน้อยทั้งหลายไปจับมดอย่างไม่เข้าใจว่าเกิดเรื่องใดขึ้น เสียงจักจั่นบนต้นไม้ดังเสียจนคนรู้สึกหงุดหงิดอย่างที่สุด 


 


 


อารมณ์ของนายท่านรองสกุลหลัวและฮูหยินรองก็ย่ำแย่ลงไปอีก 


 


 


คุณชายรองผลักประตูเดินเข้ามาแล้วเอ่ยด้วยเสียงแหบพร่าเล็กน้อยว่า “ท่านพ่อ ท่านแม่ ดื่มน้ำก่อนเถิด” 


 


 


นางเถียนเงยหน้าขึ้น ครั้นเห็นคุณชายรองมาถึงก็เริ่มร้องไห้ “เจ้ารอง น้องสาวเจ้าตายแล้ว หากฮูหยินผู้เฒ่าล้มป่วยหนักไปอีกคน จะทำฉันใดดี!” 


 


 


ความจริงตอนนี้นางเถียนไม่ปรารถนาให้ฮูหยินผู้เฒ่าเป็นอันใดไปมากที่สุดเลยเชียวล่ะ 


 


 


คุณชายรองใกล้จะสอบบัณฑิตในระดับเมืองแล้ว หากฮูหยินผู้เฒ่าเป็นอันใดไป เขาต้องไว้ทุกข์หนึ่งปี เช่นนั้นย่อมต้องพลาดการสอบชุนเหวยที่นานปีจะจัดขึ้นสักครั้ง สำหรับบุตรของนางแล้ว การมิได้เข้าร่วมสอบย่อมเป็นความเสียใจอันมากยิ่งอย่างไม่ต้องสงสัย 


 


 


นอกจากเรื่องนี้แล้ว นางเถียนยังได้เข้าใจคำกล่าวที่ว่า ‘มีผู้เฒ่าผู้แก่อยู่ในเรือนก็น่ายินดีพอๆ กับการมีเด็กทารกเกิดใหม่’ อย่างลึกซึ้งในที่สุด 


 


 


หากไม่มีฮูหยินผู้เฒ่า แล้วนายท่านรองเกิดก่อเรื่องวุ่นวายขึ้นมาอีก เกรงว่านางที่ไม่มีตระกูลมารดาคอยสนับสนุนคงไม่มีวิธีรับมือเป็นแน่ 


 


 


“ท่านแม่ ท่านย่าจะต้องไม่เป็นอันใดแน่ ไม่เป็นอันใดแน่ๆ” ระยะเวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่วัน คุณชายรองกลับผ่ายผอมลงไปมาก เส้นโลหิตฝอยแผ่ขยายทั่วนัยน์ตาเขา ทั้งหมดที่เอ่ยมานั้นไม่ทราบว่าเขากำลังเอ่ยปลอบนางเถียนหรือปลอบตนกันแน่ 


 


 


เวลานี้เองเขาก็เกิดแค้นสวรรค์ที่ไม่ยุติธรรมขึ้นมาสุดใจ 


 


 


ท่านย่าล้มป่วยหนัก ทั้งยังคิดจะให้พี่ใหญ่รับตำแหน่งกั๋วกงก่อนกำหนดอีก ต่อให้พี่ใหญ่ต้องไว้ทุกข์อีกสามปีแล้วอย่างไร เขาเพิ่งจะยี่สิบต้นๆ เท่านั้นแต่กลับมีบรรดาศักดิ์เป็นถึงกั๋วกง 


 


 


แล้วตนเล่า แม้จะไว้ทุกข์เพียงหนึ่งปีแต่กลับต้องพลาดการสอบระดับเมืองในปีนี้ หากต้องรออีกสามปีเขาจึงจะสอบผ่านเป็นจวี่เหริน[1] แล้วปีถัดมาสอบเป็นจิ้นซื่อได้อย่างราบรื่นจริง แต่เมื่อเทียบกับพี่ใหญ่ที่มีบรรดาศักดิ์ขั้นหนึ่งเป็นกั๋วกงทั้งยังเป็นขุนนางขั้นสามตำแหน่งหัวหน้าผู้บัญชาการแห่งหน่วยองครักษ์จิ่นหลินแล้ว เขาก็แตกต่างกับพี่ใหญ่จนน่าหัวเราะเลยทีเดียวเชียว! 


 


 


“เจ้าสามเล่า?” นางเถียนเอ่ยถาม 


 


 


นี่เป็นการกลับจวนครั้งแรกหลังจากที่คุณชายสามเดินทางไปค่ายทหาร แต่กลับยังไม่มาน้อมทักทายนายท่านรองและฮูหยินเลย 


 


 


“น้องสามยังเฝ้าท่านย่าอยู่ในห้องขอรับ” 


 


 


“เจ้าตัวอัปรีย์นั่นยังมีหน้ากลับมาอีกหรือ!” เดิมนายท่านรองสกุลหลัวก็อารมณ์ไม่ดีอยู่แล้ว เมื่อนึกถึงบุตรชายผู้นั้นจึงมีโทสะขึ้นมาทันควัน 


 


 


นางเถียนทำตาขวางใส่เขาคราหนึ่ง “ยังอยู่ในบริเวณเรือนฮูหยินผู้เฒ่าแท้ๆ ท่านพี่ ท่านเบาเสียงลงสักหน่อยจะดีกว่า!” 


 


 


นางพูดจบก็ชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนพึมพำว่า “ช่วงนี้ในจวนมีแต่เรื่อง หรือว่ามีเคราะห์อันใด มิสู้เชิญนักพรตมาช่วยตรวจดูสักหน่อย” 


 


 


นายท่านรองถลึงตาใส่นาง “พูดจาเหลวไหลอันใด” 


 


 


“ข้าพูดเหลวไหลอันใด ท่านดูเอาเถิดว่าระยะนี้มีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นมากเท่าใด แรกเริ่มบุตรสาวของข้าก็จากไปทั้งที่อายุยังน้อย ตอนนี้ฮูหยินผู้เฒ่ากลับล้มป่วยกะทันหันขึ้นมา ไม่แน่ว่าต่อไปอาจถึงตาท่านหรือข้าแล้ว…” 


 


 


“หุบปาก!” นายท่านรองรู้สึกมีโทสะขึ้นมากหลายส่วน จึงเดินไปเยี่ยมฮูหยินผู้เฒ่าที่เรือนกลาง 


 


 


หากฮูหยินผู้เฒ่าล่วงลับไป หลัวเทียนเฉิงก็ต้องไว้ทุกข์สามปี เจาเฟิงตี้ที่ให้ความสำคัญกับเขายิ่งย่อมไม่ปรารถนาให้เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นแน่ ก่อนที่เขาจะไปเชิญหมอหลวงจังมาที่จวน เจาเฟิงตี้ยังพระราชทานโอสถล้ำค่าหายากให้มากมาย 


 


 


“ท่านหมอจัง ท่านย่าเป็นอย่างไรบ้าง” 


 


 


“ที่ฮูหยินผู้เฒ่าล้มป่วยกะทันหันนั้นคล้ายว่าแรงที่ฝืนอดทนมาตลอดได้หมดสิ้นไปแล้ว ทั้งอายุก็มาก เมื่อจู่ๆ หมดแรงลงไป โรคภัยไข้เจ็บจึงรุมเร้าเข้ามา อาการเช่นนี้ปกติกินยาก็ไม่ค่อยได้ผลสักเท่าใด ทำได้เพียงค่อยๆ พักฟื้นเท่านั้น ฮูหยินผู้เฒ่าเป็นคนดีสวรรค์ต้องคุ้มครองให้ผ่านโรคภัยครั้งนี้ไปได้แน่” หมอหลวงจังพูดด้วยความเกรงใจ แต่สำหรับคนที่ได้ฟังกลับหัวใจหนักอึ้งขึ้นมาทันที 


 


 


เช่นนี้มิใช่บอกว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะอยู่หรือตายก็คงต้องดูลิขิตสวรรค์แล้ว? 


 


 


นายท่านรองมองนางเถียนอีกคราหนึ่ง เวลานี้เขากลับรู้สึกว่าความคิดของนางนั้นไม่เลวเลย 


 


 


ครั้นไปส่งหมอหลวงจังแล้ว นายท่านทุกคนต่างก็มารวมตัวกันที่เรือนกลาง นายท่านรองจึงเอ่ยปากว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าล้มป่วยอย่างน่าสงสัย แม้แต่หมอหลวงจังยังไร้หนทางรักษา น้องสาม น้องสี่ พวกเจ้าว่าเราควรเชิญนักพรตหรือพระอาจารย์ระดับสูงมาตรวจดูสักหน่อยดีหรือไม่” 


 


 


ในยุคสมัยนี้นั้น ลัทธิเต๋าและศาสนาพุทธเฟื่องฟูยิ่ง การกระทำบางอย่างเพื่อให้จิตใจสงบลงบ้างก็เป็นเรื่องดีเช่นกัน 


 


 


นายท่านสามและนายท่านสี่จึงมิคัดค้านความคิดนี้ 


 


 


นายท่านรองหันไปมองหลัวเทียนเฉิง “ต้าหลัง เจ้าเห็นอย่างไร” 


 


 


ตามหลักแล้วเรื่องนี้แค่อาทั้งสามของเขาก็สามารถตัดสินใจได้แล้ว แต่ฐานะของหลัวเทียนเฉิงไม่ธรรมดา เขาเป็นหลานชายคนโตผู้สืบทอดบรรดาศักดิ์ของตระกูล เวลานี้ย่อมต้องขอความคิดเห็นจากเขา 


 


 


หลัวเทียนเฉิงไม่มีเหตุผลที่จะคัดค้าน 


 


 


ในชาติก่อนเขาไม่เชื่อเรื่องผีสางเทวดา แต่เมื่อผ่านความยากลำบากมานับไม่ถ้วนกระทั่งได้ฟื้นคืนมีชีวิตอีกครั้งเขากลับเชื่อเสียแล้ว หากเขาไม่เชื่อแล้วตัวเขาคืออันใดกัน 


 


 


หากมันสามารถช่วยชีวิตท่านย่าได้ ลองดูสักครั้งก็มิเห็นเป็นอันใด! 


 


 


สำนักฉังชุนอยู่นอกเมืองออกไปไกลนับสิบลี้ เป็นสำนักพรตที่มีชื่อเสียงอย่างยิ่ง ไม่นานนายท่านรองสกุลหลัวก็ออกหน้าไปเชิญนักพรตผู้หนึ่งมา 


 


 


นักพรตผู้นั้นอายุสี่สิบกว่าปีได้ เขาสวมชุดนักพรตและสวมหมวกทรงสี่เหลี่ยมสีดำ มือถือแส้นักพรตสีขาว ท่าทีดุจเทพเซียน 


 


 


เขาเดินรอบจวนคราหนึ่ง ปากก็สวดคาถาไปด้วย แล้วยกวาดแส้สีขาวขึ้นพลางเอ่ยว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าคิ้วงามดุจจันทร์เสี้ยว วาสนาล้ำลึก บุตรหลานมากมาย ทั้งยังอายุยืนยาวดุจภูผา เพียงแต่เนินเขามีเรื่องวุ่นวาย จึงต้องพบเจอวิบากกรรมสักครา ทว่าจะเกิดขึ้นหลายปีหลังจากนี้ เมื่อผ่านพ้นไปจะอยู่ยืนยาวเห็นลูกหลานเต็มจวน แต่ข้าสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอัปมงคลของชีวิตใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นในจวน นี่จึงทำให้วิบากกรรมมาเยือนก่อนเวลาอันควรจนฮูหยินผู้เฒ่าล้มป่วย” 


 


 


“ความหมายของท่านนักพรตคือ…” 


 


 


“ในจวนมีสตรีตั้งครรภ์หรือไม่ หากมี…ดีที่สุดให้ย้ายออกไปอยู่ที่อื่นก่อน เพราะไออัปมงคลมาจากครรภ์นั้น หลังจากเด็กคลอดออกมาก็อย่าให้พบหน้ากับฮูหยินผู้เฒ่ากระทั่งอายุสิบปีเพื่อคงไว้ซึ่งความปลอดภัยของฮูหยินผู้เฒ่าเอง” 


 


 


“เหลวไหลทั้งเพ!” นายท่านสี่เตะเท้าออกไปทันที นักพรตที่มีท่าทีดุจเทพเซียนนั้นถึงกลับเซถลา 


 


 


นายท่านสี่ยังเอ่ยด้วยใบหน้าดำคล้ำอย่างไม่คลายโทสะว่า “นักพรตโจร พูดจาเหลวไหลทั้งเพ ประเดี๋ยวคงบอกว่าอยากได้เงินเราเพื่อแลกกับการให้ช่วยหาทางแก้วิบากกรรมกระมัง” 


 


 


ไม่แปลกที่นายท่านสี่จะโกรธเกรี้ยวเพียงนี้ เพราะหากเอ่ยถึงสตรีที่กำลังตั้งครรภ์ในจวน ไม่ว่าผู้ใดย่อมคิดถึงนางชีเป็นคนแรกอย่างแน่นอน 


 


 


แล้วนักพรตโจรผู้นี้พูดอันใดหรือ สตรีมีครรภ์ต้องย้ายออกไปจากจวนยังพอว่า แต่ภายหน้าเด็กที่เกิดมายังไม่อาจพามาพบฮูหยินผู้เฒ่าได้อีกด้วย หากเชื่อวาจาของนักพรตผู้นี้ แล้วจะให้ภรรยาและบุตรของเขาไปอยู่ที่ใดเล่า! 


 


 


นักพรตผู้นั้นถูกถีบก้นจนเจ็บไปหมด เพลิงโทสะจึงเกิดขึ้นในใจ เขาสะบัดแขนเสื้อแล้วเอ่ยว่า “ในเมื่อจวนของท่านยินดีจะฟังแต่คำมงคล เหตุใดจึงเชิญนักพรตเช่นข้ามาเล่า ข้าขอตัวก่อนแล้ว” 


 


 


นางเถียนเห็นนักพรตจะไปจึงรีบเอ่ยว่า “ท่านนักพรตโปรดหยุดก่อน!” 


 


 


นางหันไปมองนายท่านสี่ แล้วเอ่ยอย่างไม่พอใจว่า “น้องสี่ ครั้งนี้เจ้าทำไม่ถูก ยามนี้ไม่มีอันใดสำคัญเท่ากับฮูหยินผู้เฒ่า แม้วาจาของท่านนักพรตจะไม่น่าฟัง แต่เพราะเหตุนี้เราถึงยังพอหาวิธีแก้ไขได้ มิเช่นนั้นจะให้ลืมตามองฮูหยินผู้เฒ่าป่วยหนักลงไปเรื่อยๆ หรืออย่างไร” 


 


 


เมื่อนายท่านสี่สงบสติอารมณ์ลงได้บ้างแล้ว เขาจึงจ้องมองนางเถียนอย่างคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “เดิมนักพรตผู้นั้นก็พูดจาเกินจริงจนทำให้คนหวาดหวั่น หากทำตามวิธีแก้เคล็ดของเขามิใช่จะทำให้เขาสมปรารถนาหรอกหรือ แน่นอนว่าหากคิดให้ดีพี่สะใภ้รองคงยินยอมที่จะเชื่อวาจาของนักพรตโจรผู้นี้อย่างที่สุด” 


 


 


เขาพูดอย่างอ้อมค้อมแต่ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างเข้าใจทั้งสิ้น 


 


 


เยียนเหนียงเรือนซินหยวนก็ตั้งครรภ์ไล่เลี่ยกับนางชีมิใช่หรือ 


 


 


นางเถียนโกรธนายท่านสี่จนหัวใจปวดร้าวไปหมด แต่มิคิดจะเอ่ยอันใดออกมา คนจะได้ไม่เข้าใจไปว่านางร้อนตัว 


 


 


แต่ตอนที่นางได้ยินนักพรตผู้นั้นเอ่ยออกมา นางก็อยากจะร้องขึ้นเหลือเกินว่า ‘ดี’ 


 


 


หากอาศัยโอกาสนี้กำจัดเยียนเหนียงที่แสนขวางตาได้ ทั้งยังทำให้บ้านสี่ได้รับการสั่งสอนสักหน่อย แล้วอาการป่วยของฮูหยินผู้เฒ่ายังดีขึ้นมาได้ นั่นย่อมเป็นเรื่องดีเหลือเกินแล้ว 


 


 


ตอนนั้นมีเพียงนายท่านรองที่ยังคงมึนงงอยู่ แต่เขาก็มิใช่คนโง่ ไม่นานจึงคิดขึ้นได้ ใบหน้าพลันเปลี่ยนสีไปทันที 


 


 


ยามนี้เยียนเหนียงเป็นดั่งดวงใจของเขา เขาตื่นเต้นกับบุตรคนนี้มากกว่าตอนที่นางเถียนตั้งครรภ์คุณชายรอง คุณชายสามเป็นครั้งแรกเสียอีก! 


 


 


แต่น้องสี่สามารถเอ่ยวาจาสงสัยในตัวนักพรตผู้นั้นได้ ทว่าเขากลับมิอาจเอ่ย คนผู้นี้เขาออกหน้าเชิญมาเอง เพราะคนที่อยากจะไปเชิญนักพรตหรือพระอาจารย์ระดับสูงมาเป็นเขา หากยามนี้เอ่ยคัดค้านขึ้นมาก็เท่ากับเป็นการบอกผู้อื่นอย่างโต้งๆ ว่าเขายอมทำทุกอย่างเพื่อสาวใช้ทงฝังผู้หนึ่งโดยไม่สนความเป็นความตายของมารดาเลยสักนิด ต่อให้เขารักถนอมเยียนเหนียงเพียงใดก็มิกล้าแบกชื่อเสียงเช่นนั้นเอาไว้ได้! 


 


 


เวลานี้ นายท่านรองหลัวจึงเริ่มโมโหนางเถียนขึ้นมาในใจ 


 


 


หากมิใช่นางเกลี้ยกล่อมให้เขาทำ เขาย่อมไม่มีทางออกหน้า เมื่อผู้อื่นเป็นคนเสนอวิธีนี้ เขาก็จะสามารถทำทีไม่เชื่อแล้วไล่นักพรตไปอย่างน้องสี่ได้ 


 


 


เมื่อเห็นนายท่านรองไม่พูดจา นายท่านสี่จึงหันมองหลัวเทียนเฉิง “ต้าหลัง ฮูหยินผู้เฒ่าพูดเองว่าให้เจ้ารับตำแหน่งกั๋วกงก่อนกำหนด แต่เดิมเจ้าก็เป็นคุณชายผู้สืบทอดอยู่แล้ว แม้พวกเราจะเป็นอา แต่ผู้ที่ใหญ่สุดในจวนก็คือเจ้า เรื่องนี้เจ้าเห็นว่าควรจัดการเช่นไร” 


 


 


นายท่านสี่เชื่อถือในตัวหลัวเทียนเฉิงมาก หลานชายผู้นี้ของเขามากความสามารถยิ่ง ย่อมมิเชื่อเรื่องหลอกลวงเหลวไหลเช่นนี้อย่างคนโง่เขลาและไร้ความรู้เป็นแน่ 


 


 


แต่ที่ผิดจากความคาดหมายของนายท่านสี่คือความเงียบของหลัวเทียนเฉิง  


 


 


ผู้อื่นไม่ทราบ แต่เขาทราบดีว่าหลังจากนี้สองปีท่านย่าจะต้องจบชีวิตลง…จุดนี้นักพรตกลับพูดถูก 


 


 


เขากำลังคิดถึงกลิ่นอายอัปมงคลของชีวิตใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นอย่างที่นักพรตผู้นั้นบอก 


 


 


ชาติก่อนที่ท่านย่ามิได้ล้มป่วยหนักเป็นเพราะไม่มีกลิ่นอายอัปมงคลของชีวิตที่กำลังจะเกิดใหม่งั้นหรือ 


 


 


ควรต้องทราบว่าชาติก่อนนายท่านสี่มิได้กลับมาที่จวน เขาเองก็มิได้วางแผนให้เยียนเหนียงไปเป็นสาวใช้ทงฝังของอารอง กล่าวกันตามจริงแล้วเด็กน้อยทั้งสองไม่ควรจะมีตัวตนขึ้นมาจริงๆ นั่นแล! 


 


 


 


 


 


 


 


 


 


 


 


[1] จวี่เหริน คือบัณฑิตที่สอบผ่านระดับเมืองจะได้เป็นจวี่เหริน  

 

 


ตอนที่ 343 ยุยง

 

 


 


 


ครั้นผ่านการกลั่นแกล้งใส่ร้ายและการเข่นฆ่ามาแล้วเมื่อชาติก่อน ใจของหลัวเทียนเฉิงจึงเย็นชาต่อผู้อื่นดุจเหล็กเย็นท่อนหนึ่งไปนานแล้ว 


 


 


หากการมีชีวิตของเด็กสองคนนั้นเป็นภัยต่อชีวิตท่านย่า แน่นอนว่าเขามิอาจยอมให้อยู่ในจวนแน่ 


 


 


เขามองไปที่นักพรตผู้นั้น “ท่านนักพรต ไม่ทราบว่ามีวิธีแก้เช่นใดบ้างหรือ” 


 


 


นักพรตผู้นั้นทราบดีว่าฐานะของหลัวเทียนเฉิงไม่เหมือนผู้อื่น แม้สีหน้ายังมีโทสะเคลือบอยู่ แต่น้ำเสียงกลับนบน้อมขึ้นมากโดยไม่รู้ตัว “ข้าได้พูดไปชัดเจนแล้ว หากอยากให้ฮูหยินผู้เฒ่าผ่านวิบากกรรมครั้งนี้ไปได้ ต้องให้สตรีมีครรภ์ในจวนท่านย้ายออกไปอยู่ข้างนอก ส่วนท่านจะเชื่อหรือไม่นั้น ข้ามิอาจไปบังคับได้ ข้าขอตัวก่อนแล้ว” 


 


 


“ท่านนักพรต ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนจากไปสักนิด” หลัวเทียนเฉิงยิ้มน้อยๆ “ท่านนักพรตพักอยู่ในจวนก่อนเถิด หากท่านย่าอาการดีขึ้นหลังจากที่ข้าได้ทำตามคำแนะนำของท่านแล้ว ข้ายังต้องแสดงความขอบคุณต่อท่านนักพรตอย่างเต็มที่” 


 


 


เมื่อถูกหลัวจ้องนิ่งก็เริ่มรู้สึกอึดอัด นักพรตผู้นั้นจึงไอแห้งๆ ออกมา แล้วสะบัดแส้ตนคราหนึ่ง “สำนักฉังชุนอยู่นอกเมือง ข้ากลับสำนักน่าจะสะดวกกว่า หากฮูหยินผู้เฒ่าหายดีก็มิจำเป็นต้องขอบคุณข้า แค่ไปจุดธูปที่สำนักสักหลายดอกหน่อยก็พอ” 


 


 


หลัวเทียนเฉิงหุบยิ้มแล้วเอ่ยเสียงเรียบว่า “พวกเจ้าเชิญท่านนักพรตไปพักผ่อนก่อน” 


 


 


ไม่ทราบว่าองครักษ์สองคนมาจากที่ใดเข้ามายืนประกบทั้งซ้ายขวานักพรตด้วยใบหน้านิ่งแล้วพาเดินออกไป 


 


 


เสียงดิ้นรนฟึดฟัดด้วยโทสะของนักพรตยังคงวนเวียนอยู่ในหู แต่ภายในห้องกลับเงียบสงัดยิ่ง 


 


 


“ต้าหลัง เหตุใดเจ้าถึงให้นักพรตโจรนั่นอยู่ที่นี่” นายท่านสี่ถาม 


 


 


“อาสี่ ท่านมิสู้พาอาสะใภ้ไปพักที่จวนตระกูลมารดาสักระยะก่อนเถิด” 


 


 


“ห๊ะ” นายท่านสี่ตกใจยกใหญ่ “ต้าหลัง เจ้าเชื่อวาจาเหลวไหลหลอกลวงเช่นนั้นหรือ” 


 


 


หลัวเทียนเฉิงหลุบตาลง เอ่ยเสียงเรียบว่า “มิใช่มีคำกล่าวที่ว่า ‘ยอมเชื่อว่ามันมีจริงแต่จะไม่เชื่อเด็ดขาดว่ามันไม่มีอยู่จริง’ หรอกหรือ อาสี่แค่พาอาสะใภ้กลับไปพักที่จวนตระกูลมารดาก่อนสักระยะ หากท่านย่าไม่ดีขึ้นก็เป็นการพิสูจน์ได้ว่านักพรตผู้นั้นพูดจาเหลวไหล เมื่อญาติผู้น้องเกิดมาจะได้มิถูกผู้คนครหา หากท่านย่าเกิดหายขึ้นมาจริงๆ…” 


 


 


เขาพูดถึงตรงนี้ก็ชะงักไป แล้วหันมองนายท่านสี่ด้วยใบหน้าสุขุม “เพื่อท่านย่า คิดว่าอาสะใภ้สี่คงยอมที่จะเสียสละสักเล็กน้อยเป็นแน่” 


 


 


ต่อให้นักพรตผู้นั้นพูดความจริง ภายหน้าเด็กน้อยเกิดมาแล้วก็แค่มิอาจพบหน้ากับท่านย่าได้ภายในช่วงเวลาสิบปี เมื่อเทียบกับชีวิตของท่านย่าแล้ว นั่นนับเป็นอันใดได้ 


 


 


แน่นอนว่าเขาย่อมต้องสืบให้แน่ชัดเสียก่อนว่านักพรตผู้นั้นมีเล่ห์กลอันใดหรือไม่ 


 


 


นายท่านสี่รู้สึกไม่อยากเชื่ออย่างยิ่งอยู่หลายส่วน เขาไม่เคยคิดเลยว่าหลานชายผู้นี้จะเชื่อเรื่องพรรค์นี้ดั่งพวกอ่อนแอขี้ขลาด มันช่างเหลวไหลเสียจริง! 


 


 


ปกติความสัมพันธ์ของอาหลานทั้งสองนั้นดียิ่ง ทั้งยังมีน้ำใจที่ช่วยตามเขากลับมาอีก สำหรับใจเขาแล้ว หลัวเทียนเฉิงไม่ต่างอันใดกับบุตรชายแท้ๆ เลย เพราะเหตุนี้แม้จะมีโทสะอยู่มาก แต่กลับมิได้พูดอันใดอีก เพียงกัดฟันเอ่ยว่า “ได้ วันนี้ข้าจะพาอาสะใภ้สี่ของเจ้ากลับจวนตระกูลมารดานางเสีย!” 


 


 


หลัวเทียนเฉิงหันไปมองนายท่านรอง “อารอง ไม่ทราบว่าท่านคิดจะทำจัดการอย่างไรกับเยียนเหนียงหรือ” 


 


 


“จัดการอย่างไร? เยียนเหนียงมิได้ทำอันใดผิด เหตุใดต้องจัดการ” นายท่านรองตกใจขึ้นมายกใหญ่ 


 


 


หรือต้าหลังคิดจะให้เยียนเหนียงทำแท้งให้ได้ 


 


 


หลัวเทียนเฉิงยิ้มเล็กน้อย “อารอง เยียนเหนียงเป็นเพียงสาวใช้ทงฝัง ทั้งไม่มีตระกูลมารดาให้กลับอีก” 


 


 


ไม่ทราบด้วยเหตุใด นายท่านรองกลับรู้สึกว่ารอยยิ้มนั้นมันทำให้เขาขนหัวลุกขึ้นมา จึงพูดติดกันถึงสองคราว่า “นางมีเรือนให้กลับแน่ นางมีเรือนให้กลับ” 


 


 


ด้วยกลัวว่าหลัวเทียนเฉิงจะไม่เชื่อจึงรีบเอ่ยเสริมอีกคำว่า “ข้ามีเรือนเล็กๆ อยู่ที่ตรอกซิ่งฮวา ก่อนหน้านี้เยียนเหนียงก็อยู่ที่นี่ ให้นางกลับไปพักที่นั่นสักระยะแล้วกัน” 


 


 


หากเป็นยามปกติ นายท่านรองหลัวย่อมไม่มีทางกลัวหลัวเทียนเฉิงถึงเพียงนี้ อย่างไรเขาก็เป็นผู้อาวุโส เขาไม่ยอมเสียอย่าง หลานชายจะกล้าลงไม้ลงมือกับเขาเชียวหรือ 


 


 


แต่จุดสำคัญอยู่ที่หลัวเทียนเฉิงถามนายท่านสี่ก่อน แม้แต่ฮูหยินสี่ยังต้องย้ายออกไป นายท่านรองย่อมรู้แก่ใจดีถึงจะโมโหยิ่งก็ตาม เพราะแม้แต่ภรรยาเอกของน้องชายยังต้องย้ายออกจากจวน แล้วสาวใช้ทงฝังของเขายังจะกล้าอยู่ในจวนอีกหรือ 


 


 


มิอาจไม่พูดได้ว่านี่คือสงครามประสาทชนิดหนึ่ง 


 


 


“ตรอกซิ่งฮวา?” นางเถียนแค่นยิ้มเย็น “ท่านพี่ เรือนนั้นท่านยังไม่จัดการอีกหรือ แล้วเงินที่ท่านให้ข้าเมื่อคราก่อนคืออันใด” 


 


 


นางยิ่งพูดยิ่งแค้น “ดูท่าเงินส่วนตัวที่ท่านซ่อนไว้คงมีไม่น้อยเลย!” 


 


 


นายท่านรองโมโหขึ้นมายกใหญ่ “ยามนี้ใช่เวลาที่จะพูดเรื่องพวกนี้หรือ เจ้าช่างไม่รู้จักดูสถานการณ์เลยจริงๆ!” 


 


 


เงินส่วนตัวที่ซ่อนไว้อันใดกัน หลายปีก่อนเขาสร้างเรือนไว้ที่ตรอกซิ่งฮวาก็เพื่อเลี้ยงดูซูเหนียง ต่อมายังเลี้ยงดูเยียนเหนียงอีก เงินส่วนตัวที่ซ่อนไว้จึงหมดไปนานแล้ว ส่วนเงินที่ให้นางเถียนครั้งก่อน เขาไปหยิบยืมมาจากสหายร่วมงาน แล้วหลอกนางว่าขายเรือนนั้นไปแล้ว ตอนนี้ยังคืนหนี้ไม่หมดเลยด้วยซ้ำ! 


 


 


หากเขาทราบว่าตระกูลของภรรยาโง่งมผู้นี้จะทำให้อับอายขายหน้า นับวันก็มิอาจเชิดหน้าชูตาอันใดได้ เขาไหนเลยจะให้เกียรตินางปานนั้น จะไปตายที่ใดก็ไปเถิด! 


 


 


นายท่านรองยิ่งคิดยิ่งมีโทสะ พลันชำเลืองมองเห็นท่าทีเรียบเฉยของหลัวเทียนเฉิงก็ยิ่งหงุดหงิดขึ้นไปอีก จึงเอ่ยถามคำหนึ่งว่า “ต้าหลัง อารองรู้สึกแปลกใจจริงๆ ว่าหากหลานสะใภ้ตั้งครรภ์เช่นกัน เจ้าจะทำฉันใด” 


 


 


หลัวเทียนเฉิงอึ้งงันเล็กน้อย เขาหันไปมองเจินเมี่ยวโดยไม่รู้ตัว แล้วเอ่ยเสียงเรียบว่า “เรื่องนี้ท่านอารองมิต้องเป็นห่วง หากภรรยาข้าท้อง ข้าก็จะส่งนางกลับจวนเจี้ยนอันปั๋วด้วยตัวเอง” 


 


 


นายท่านรองกวาดตามองเจินเมี่ยวคราหนึ่ง แล้วรู้สึกสะใจยิ่ง 


 


 


หลานสะใภ้มิได้ตั้งครรภ์แล้วอย่างไร แค่วาจานี้ของเขามันก็มากพอแล้ว 


 


 


นายท่านสี่ขมวดคิ้วแน่นพลางเอ่ยในใจว่าการทำเช่นนี้แม้ไม่รู้ว่ามันถูกหรือผิดแต่ก็เพื่อฮูหยินผู้เฒ่าทั้งสิ้น แม้ผู้อาวุโสโกรธเคืองเพียงใด…แต่การเจตนาสร้างความขัดแย้งให้กับพวกเขาสามีภรรยานั้นออกจะเป็นเรื่องเกินไปอยู่สักหน่อย 


 


 


หลัวเทียนเฉิงมิได้กลับเรือนชิงเฟิงไปพร้อมเจินเมี่ยว แต่ออกไปข้างนอกอยู่ค่อนวันจึงค่อยกลับมา 


 


 


“ต้าไหน่ไหน่เล่า” 


 


 


“ต้าไหน่ไหน่ไปเฝ้าอาการฮูหยินผู้เฒ่าที่เรือนอี๋อานเจ้าค่ะ” 


 


 


เมื่อไปถึงที่นั่นเขาก็เห็นเจินเมี่ยวกำลังบิดผ้า คอยเช็ดหน้าเช็ดตาให้ฮูหยินผู้เฒ่า ครั้นได้ยินเสียงนางจึงหันไปมองแล้วเอ่ยทักทายขึ้น “ซื่อจื่อมาแล้วหรือ” 


 


 


หลัวเทียนเฉิงก้าวเข้าไปหาอย่างรวดเร็ว เขาพิจารณาฮูหยินผู้เฒ่าอย่างละเอียดคราหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ท่านย่าเป็นอย่างไรบ้าง” 


 


 


“นอนหลับตลอดเวลา ยังไม่เห็นตื่นขึ้นมาเลยสักครา” เจินเมี่ยวไม่มองหลัวเทียนเฉิงสักนิด นางหันหลังให้เขา คอยเช็ดหน้าให้ฮูหยินผู้เฒ่าด้วยความตั้งใจ พลันรู้สึกว่าเสื้อตนถูกกระตุกดึง นางจึงหันไปมองแล้วเม้มริมฝีปากก่อนเอ่ยว่า “ซื่อจื่อทำอันใด” 


 


 


“เจี๋ยวเจี่ยว เรื่องเมื่อเช้า เจ้าโกรธข้าหรือ” 


 


 


เจินเมี่ยวแค่นเสียงเย็น ‘ฮึ’ คราหนึ่ง 


 


 


หลัวเทียนเฉิงส่งสายตาให้สาวใช้ทั้งหลายออกไป แล้วถอนหายใจเอ่ยว่า “เจี๋ยวเจี่ยว เจ้าไม่รู้…ข้ากำพร้ามาตั้งแต่เล็ก ท่านย่าเลี้ยงดูข้ามาตลอดจนเติบใหญ่ พูดได้ว่าความรักที่มีต่อท่านย่านั้นลึกซึ้งกว่ามารดาแท้ๆ เสียอีก ข้าจึงยอมที่จะลองดูสักครั้ง” 


 


 


เจินเมี่ยวเอาผ้าเช็ดหน้าวางไว้ด้านข้างแล้วหันไปสบตากับหลัวเทียนเฉิง “ซื่อจื่อ หากนักพรตผู้นั้นบอกว่ามิอาจเก็บเด็กเอาไว้ได้ แล้วข้าตั้งครรภ์ ท่านคิดว่าจะทำฉันใดหรือ” 


 


 


นางรู้ว่าคำถามนั้นของนายท่านรองมีเจตนาให้พวกเขาหมางใจกัน แต่นางเป็นสตรี ภายหน้ายังต้องเป็นแม่คน อาสะใภ้สี่ต้องกลับจวนตระกูลมารดาตนเพราะท่านย่า นางจึงอดคิดไม่ได้ว่าหากนักพรตบอกว่ามิอาจเก็บเด็กเอาไว้ได้ เขาก็จะทำลายเด็กคนนั้นอย่างไม่ลังเลเลยสักนิดใช่หรือไม่ 


 


 


นางเองก็รักและเคารพท่านย่า แต่การเสียสละบุตรของตนเพื่อช่วยท่านย่า นางไม่อาจยอมรับได้โดยเด็ดขาด 


 


 


เจินเมี่ยวเงยหน้าขึ้นจ้องดวงตาหลัวเทียนเฉิง นัยน์ตาเขาเป็นประกายดั่งดารา แต่ยิ่งมองกลับยิ่งรู้สึกว่ามันล้ำลึกจนยากจะเห็นก้นบึ้ง คลื่นอันดำมืดแสนเย็นเยียบกำลังซัดสาดอยู่ภายใน มือที่ถือผ้าเปียกชื้นนั้นกลับเย็นเฉียบมากขึ้นไปอีก 


 


 


นางถูมือไปมากับหน้ากระโปรงโดยไม่รู้ตัวแล้วหันหลังกลับไป น้ำเสียงนางสั่นเครือเล็กน้อย “ท่านกลับไปก่อนเถิด ส่วนท่านย่าให้ข้าดูแลเอง วันนี้ข้าจะนอนที่นี่” 


 


 


“เจี๋ยวเจี่ยว…” หลัวเทียนเฉิงยื่นมือออกไปวางไว้บนไหล่บอบบางของนาง 


 


 


เจินเมี่ยวมิได้หันกลับไปมอง 


 


 


นางคิดในใจว่าบุรุษผู้นี้ เหตุใดจึงไม่เหมือนในนิทานที่หากผู้ใดมาทำร้ายสตรีที่เขารักแม้เพียงเส้นขน เขาก็สามารถทำลายโลกทั้งใบได้ 


 


 


ทว่าเมื่อคิดทบทวนอีกครา…หากบุรุษผู้หนึ่งยอมทำเพื่อสตรีที่ตนรักโดยไม่สนผู้ใดเลยจริงๆ บุรุษเช่นนั้นมิใช่น่ากลัวมากหรอกหรือ 


 


 


เจินเมี่ยวรู้สึกขัดแย้งในใจตนอย่างที่สุด ทั้งโกรธหลัวเทียนเฉิงและโกรธตนเอง น้ำตานางไหลออกมา ร่วงหล่นใส่หลังมือ 


 


 


เสียงน้ำตาร่วงที่แสนแผ่วเบานั้น หลัวเทียนเฉิงได้ยินอยู่ในหูตนชัดเจน มันคล้ายก้อนหินเล็กๆ ที่ถูกขว้างลงทะเลหัวใจของเขา 


 


 


“เจี๋ยวเจี่ยว…” เขาอ้าปากขึ้น รู้สึกจนใจทั้งรู้สึกเป็นห่วง จึงจับร่างนางให้หันมาแล้วยกมือขึ้นถูไถสันจมูกนาง 


 


 


“เจ้ากำลังคิดเหลวไหลอันใดอยู่ หากให้ทำลายบุตรจริง ข้าจะรับปากได้อย่างไรเล่า” 


 


 


“เช่นนั้นแล้วท่านย่าเล่า” 


 


 


“ตอนนี้แค่ให้หลบออกไปจากจวน เพื่ออาการป่วยของท่านย่าจะได้ดีขึ้น นั่นเป็นเรื่องที่คุ้มค่า แต่หากต้องทำลายบุตร ท่านย่าฟื้นขึ้นมาแล้วรู้ว่าชีวิตตนต้องแลกมาด้วยชีวิตของลูกหลาน ท่านย่าย่อมมิอาจมีชีวิตอยู่ต่อไปได้แน่ เจี๋ยวเจี่ยว ข้ารู้ว่าเจ้าคิดอันใดอยู่ แต่เจ้าวางใจเถิด เรื่องเช่นนั้นจะไม่มีทางเกิดขึ้นอย่างเด็ดขาด” เขาปัดนิ้วมือถูไถริมฝีปากเจินเมี่ยวคราหนึ่ง “เลิกคิดฟุ้งซ่านได้แล้ว” 


 


 


“ซื่อจื่อ ท่านเชื่อวาจาของนักพรตนั่นจริงๆ หรือ” 


 


 


หลัวเทียนเฉิงยิ้ม “เชื่อหรือไม่ ให้ข้าไปตรวจสอบก่อนค่อยว่าเถิด” 


 


 


บุรุษมิใคร่จะใส่เรื่องในเรือนหลังนัก แต่ด้วยฐานะของเขา หากคิดจะตรวจสอบขึ้นมาจริงๆ ย่อมทิ้งห่างจากคนทั่วไปจนไม่เห็นฝุ่นเลยทีเดียว 


 


 


หลังจากที่นางชีและเยียนเหนียงออกจากจวนไปได้สามวัน หลัวเทียนเฉิงก็ไปปรากฏตัวขึ้นตรงหน้านักพรตผู้นั้นอีกครั้ง “ท่านนักพรต ข้าได้ให้สตรีมีครรภ์ออกไปจากจวนตามวาจาของท่านแล้ว แต่ท่านย่าของข้าเหตุใดจึงยังไม่ดีขึ้นเลยเล่า” 


 


 


นักพรตผู้นั้นยกมือขึ้นเช็ดเหงื่อเย็นของตน “ต้องรอสี่สิบเก้าวันจึงจะเห็นผล” 


 


 


“สี่สิบเก้าวัน?” หลัวเทียนเฉิงแค่นยิ้มเย็น “หากรอจนถึงตอนนั้นแล้วท่านย่าข้าเป็นอันใดไป ข้าจะไปเผาสำนักฉังชุนของท่าน” 


 


 


พูดถึงตรงนี้เขาก็หัวเราะออกมา “อ้อ บางทีเรื่องนี้คงมิอาจใช้มาข่มขู่ท่านได้ ท่านเป็นนักพรตสำนักเฟยเซียนจากทางตะวันตกของแม่น้ำไหวกระมัง แต่มาผูกไมตรีกับสำนักฉางชุนที่เมืองหลวงเมื่อห้าปีก่อน สารทฤดูนี้ก็จะกลับแล้วใช่หรือไม่” 


 


 


เขามิได้พูดวาจาใดให้สิ้นเปลืองอีก ไม่กระทั่งไยดีสีหน้าที่เปลี่ยนไปเล็กน้อยของนักพรตผู้นั้น เพียงยกมือสะบัดขึ้นอย่างเกียจคร้าน 


 


 


หลังจากนั้นไม่นานก็มีบุรุษท่าทางจะเป็นบ่าวไพร่ในจวนถูกจับตัวเข้ามา หลัวเทียนเฉิงพูดเพียงคำเดียวว่า “โบย!” 


 


 


ท่อนไม้ถูกโบยใส่เขาครั้งแล้วครั้งเล่า พริบตาเนื้อของเขาก็ปริแตกออกมา 


 


 


นายท่ายทั้งสามนั้นยังมีสีหน้าดีอยู่สักหน่อย แต่นางเถียนและนางซ่งกลับเบนสายตาหนี 


 


 


เมื่อโบยจนบ่าวหนุ่มผู้นั้นปางตายแล้ว หลัวเทียนเฉิงจึงหันไปถามนักพรตว่า “ท่านจำคนผู้นี้ได้กระมัง” 


 


 


“ไม่ จำไม่ได้!” 


 


 


หลัวเทียนเฉิงไม่พูดอันใดให้มากความ เพียงเอ่ยมาคำเดียวเช่นเคยว่า “โบย!” 


 


 


บ่าวที่ถือไม้โบยทั้งสองกำลังจะฟาดไม้ลง แต่เขากลับเอ่ยขึ้นอย่างไม่ช้าไม่เร็วว่า “ผิดแล้ว โบยคนผู้นี้ต่างหาก” 


 


 


นักพรตเห็นมือของเขาชี้มาที่ตน สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที สองขาสั่นระริกไปหมด 


 


 


หนึ่งในนั้นจึงถือไม้เข้ามาตีเขา นักพรตร้องโหยหวนขึ้นเสียงหนึ่ง แล้วหมอบลงไปกับพื้น 


 


 


“เมื่อใดที่ท่านนักพรตจำเขาได้แล้ว พวกเจ้าค่อยหยุดมือ” 


 


 


แต่ถูกโบยไปเพียงไม่กี่ครา นักพรตผู้นั้นก็ทนไม่ไหว เขาเอ่ยด้วยน้ำตานองหน้าว่า “ข้าจำได้แล้ว จำได้แล้ว!”  

 

 


ตอนที่ 344 โน้มน้าวใจ

 

“คน…คนผู้นี้ให้เงินห้าร้อยตำลึงกับข้าแล้วบอกให้ข้าพูดไปเช่นนั้น…” 


 


 


แววสังหารปรากฏขึ้นในก้นบึ้งของดวงตานายท่านสี่ทันที เขาลูบดาบที่เอวตน แต่นายท่านรองกลับด่าทอออกมาก่อนว่า “นักพรตไร้ศักดิ์ศรี เพื่อเงินไม่กี่ร้อยตำลึง เจ้ากลับกล้าพูดวาจาต่ำช้าน่ารังเกียจนั้นออกมา ต้าหลัง เจ้าต้องลงโทษนักพรตผู้นี้ให้หนักไปเลย!” 


 


 


หลัวเทียนเฉิงโบกมือคราหนึ่ง คนทั้งสองจึงลากนักพรตออกไป เหลือไว้เพียงบรรดานายท่าน 


 


 


“ท่านอาทั้งสามอย่าเพิ่งร้อนใจไป อย่างไรก็ต้องสอบถามให้ละเอียดก่อนค่อยว่าตัดสิน” เขาเตะบ่าวรับใช้ที่ถูกโบยปางใต้อยู่บนพื้นคราหนึ่ง “หากเจ้ายอมบอกตอนนี้ ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า ข้า…คุณชายผู้สืบทอดพูดคำไหนคำนั้น” 


 


 


บ่าวผู้นั้นเงยหน้าขึ้นด้วยสภาพน่าเวทนาอย่างที่สุด 


 


 


“หากเจ้าไม่พูดก็มิเป็นไร ข้าไปถามผู้อื่นได้ จะมีเจ้าหรือไม่มีไม่ใช่ปัญหาอันใด” หลัวเทียนเฉิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบคล้ายว่าคนบนพื้นมิใช่คนแต่เป็นเพียงมดตัวหนึ่งเท่านั้น 


 


 


“เป็น…เป็นหูอี๋เหนียงขอรับ!” 


 


 


“เจ้าพูดอีกครั้งสิ!” นายท่านสี่ขยับเข้ามาใกล้ในทันที มือหนึ่งก็กำกระชากคอเสื้อของบ่าวผู้นั้นไว้ 


 


 


บ่าวผู้นั้นถูกระชากคอเสื้อจนหายใจไม่ออก เขาพยายามดิ้นรนสุดชีวิต 


 


 


“น้องสี่ เจ้าทำเขาหายใจไม่ออกแล้ว เขายังจะพูดอันใดได้อีก” นายท่านรองเอ่ยอย่างเบิกบานเมื่อเห็นผู้อื่นมีความทุกข์ 


 


 


“หูอี๋เหนียงให้เงินบ่าวเพื่อให้บ่าวทำเช่นนั้นขอรับ” เขาอาศัยจังหวะที่นายท่านสี่คลายมือเอ่ยมันออกมา 


 


 


“ในเมื่อเป็นเรื่องในเรือนของน้องสี่ เจ้าก็ตัดสินใจเองเถิดว่าควรจัดการเช่นไร” นางเถียนเอ่ยขึ้นด้วยเจตนาอันดี 


 


 


นายท่านรองแค่นยิ้มเย็น “น้องสี่ มิใช่พี่รองตำหนิเจ้า แต่อี๋เหนียงของเจ้าช่างใจใหญ่ใจกล้านัก มือที่ยื่นออกมาก็ยืดยาวเหลือเกิน ยามนี้นางถึงกับใช้การป่วยของฮูหยินผู้เฒ่ามาเป็นข้ออ้างในการกำจัดน้องสะใภ้ ภายหน้ามิทราบจะทำเรื่องอันใดขึ้นมาอีกบ้าง ข้าว่าเจ้ารีบไล่นางออกไปให้เร็วที่สุดจะดีกว่า!” 


 


 


หูอี๋เหนียงผู้นั้น รูปโฉมธรรมดายิ่งแต่กลับสามารถกุมใจของน้องสี่เอาไว้ได้ ช่างน่าประหลาดใจนัก 


 


 


ไหนเลยจะเหมือนเยียนเหนียงของเขาที่มีรูปโฉมงดงามเสียจนวิหคตกฟ้า มัจฉาจมน้ำ ทั้งยังว่าง่ายยิ่ง 


 


 


นายท่านสี่หลับตาลงแล้วลืมตาขึ้นอีกครา “พี่รองวางใจได้ หากนางหูทำผิดจริงๆ ข้าจะไม่ละเว้นนางเด็ดขาด!” 


 


 


เขาหันไปมองหลัวเทียนเฉิงด้วยใบหน้านิ่งดุจสายน้ำ “ต้าหลัง ข้าจะไปพานางหูมาที่นี่ เพื่อพิสูจน์ว่าคำพูดของบ่าวผู้นี้เป็นจริงหรือไม่” 


 


 


“น้องสี่ถึงขั้นนี้แล้วยังต้องพิสูจน์อันใดกันอีก นางเป็นอนุของเจ้า จะให้มาพิสูจน์ถกเถียงกับบ่าวไพร่ผู้หนึ่งไปไย คนที่อับอายขายหน้าก็คือเจ้า” 


 


 


“จะลงโทษผู้ใดต้องสืบความให้กระจ่างเสียก่อน ต่อให้นางหูกระทำเรื่องผิดมหันต์กว่านี้ก็มิอาจไล่นางไปทั้งที่ทุกอย่างยังไม่กระจ่างชัดได้” นายท่านสี่เอ่ยเสียงสั่นเล็กน้อยแต่ใบหน้ากลับมาเยือกเย็นเช่นเดิมแล้ว เขาหันกายเดินออกไปด้านนอก 


 


 


“ท่านอาสี่ ข้ายังสอบถามไม่เสร็จ ท่านใจเย็นก่อน อย่าเพิ่งวู่วามไป” หลัวเทียนเฉิงพูดจบก็ปรบมือคราหนึ่ง 


 


 


คนอีกผู้หนึ่งถูกคุมตัวเข้ามา เป็นบ่าวชราผมขาวโพลนทั้งศีรษะ 


 


 


บ่าวหนุ่มผู้นั้นพลันมีแรงขึ้นมาทันที เขาตะโกนร้องด้วยความหวาดกลัวว่า “ท่านปู่…” 


 


 


ผมของบ่าวชราถูกปล่อยสยาย สภาพน่าเวทนายิ่ง เขาร้องขึ้นว่า “เจ้าลูกสุนัข เจ้าไปทำความผิดใดมากันแน่ แค่กๆ…” 


 


 


เขาไออย่างรุนแรงไม่หยุด หลัวเทียนเฉิงโบกมือให้คนพาตัวเขาไปไว้ที่ห้องด้านข้าง 


 


 


“จะเอาอย่างไร หากยังไม่พูดความจริงอีก ปู่ของเจ้าคงต้องรับโทษแทนเจ้าแล้ว” 


 


 


บ่าวหนุ่มสูดปากคราหนึ่ง “ซื่อจื่อ ท่าน…ท่านมิอาจทำเช่นนั้นได้ ปู่ของบ่าวรับใช้ในจวนมาตั้งแต่นายท่านผู้เฒ่ายังเป็นหนุ่ม ยามนี้อายุก็ล่วงเลยมาจนแก่ชราแล้ว ไหนเลยจะทนการทรมานใดๆ ได้” 


 


 


“โบย” หลัวเทียนเฉิงเอ่ยออกมาคำหนึ่ง เสียงร้องโหยหวนจากห้องด้านข้างจึงดังลอยมา 


 


 


เจินเมี่ยวกัดริมฝีปากตนแล้วชำเลืองมองหลัวเทียนเฉิงด้วยความรู้สึกยากจะรับได้ 


 


 


หลัวเทียนเฉิงคล้ายไม่เห็นกระนั้น เขายังคงจ้องบ่าวหนุ่มด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ วาจาชัดถ้อยชัดคำ ดั่งไข่มุกน้ำแข็งที่ฟาดลงบนหัวใจคนก็มิปาน “ข้าแค่อยากฟังความจริง ไม่อยากฟังวาจาไร้สาระ ข้าจะให้โอกาสเจ้าอีกครั้ง หากเจ้าพูด ข้าก็จะไว้ชีวิตเจ้า ให้เจ้าได้อยู่ดูแลปู่เจ้าไปจนวาระสุดท้าย หากไม่พูด เช่นนั้นก็ลงไปตอบแทนบุญคุณปู่เจ้าที่ใต้พื้นพิภพเถิด ใช่แล้ว ยังมีย่าที่นอนป่วยอยู่บนเตียงของเจ้าอีกคนด้วย!” 


 


 


บ่าวผู้นั้นสั่นไปทั้งตัว เขาเบิกตาโพลงมองหลัวเทียนเฉิงด้วยความหวาดกลัว หลังจากนั้นก็ขาอ่อนล้มลงไปกับพื้น 


 


 


ที่แท้ซื่อจื่อก็ทราบทุกอย่างมาก่อนแล้ว! 


 


 


เขากำพร้าบิดามารดามาตั้งแต่เยาว์วัย ท่านปู่ท่านย่าเป็นผู้เลี้ยงดูเขามาจนเติบใหญ่ ที่เขายอมทำงานให้ท่านผู้นั้นก็เพราะต้องการเงินมากสักหน่อยเพื่อไปรักษาท่านย่า แต่หากยังปิดบังต่อไปคงพลอยทำให้ท่านปู่ ท่านย่าต้องตายไปด้วยแน่ เช่นนั้นเขายังจะอยากได้เงินมาทำอันใดอีก 


 


 


“บ่าว…บ่าวพูดแล้ว…เป็นคุณชายรองขอรับ” 


 


 


ครั้นวาจานี้เอ่ยออกมา บรรยากาศพลันอึมครึมขึ้นคล้ายว่าเวลาได้หยุดนิ่งไปในชั่วขณะนั้นก็มิปาน 


 


 


หลังจากนั้นนายท่านรองจึงตะโกนขึ้นด้วยความโมโหว่า “เหลวไหล!” 


 


 


เขายกเท้าขึ้นถีบยอดอกบ่าวผู้นั้นทันที 


 


 


บ่าวหนุ่มถูกถีบเข้าอย่างจังจึงกระอักโลหิตออกมา 


 


 


เขายังไม่คลายโทสะจึงจะกระทืบบ่าวผู้นั้นอีก แต่หลัวเทียนเฉิงเข้าไปขวางไว้ 


 


 


นายท่านรองโกรธเกรี้ยวอย่างยิ่ง “ต้าหลัง เจ้าไพร่ผู้นี้มันใส่ร้ายน้องชายเจ้า เจ้ายังจะขวางข้าอีกหรือ” 


 


 


น้ำเสียงหลัวเทียนเฉิงเย็นชายิ่ง “อารอง ฟังเขาพูดให้จบก่อนเถิด” 


 


 


บ่าวผู้นั้นฝืนพยุงร่างตนขึ้น เขาเช็ดโลหิตที่มุมปากแล้วเอ่ยว่า “ซื่อจื่อขอรับ ครั้งนี้บ่าวมิได้โกหกจริงๆ คุณชายรองเป็นคนสั่งบ่าว เขาเอาเงินร้อยตำลึงให้บ่าวทั้งยังให้โสมแก่อีกต้นหนึ่งเพื่อให้บ่าวเอาไปต้มบำรุงร่างกายท่านย่าขอรับ” 


 


 


หลัวเทียนเฉิงส่งสัญญาณให้องครักษ์พาตัวบ่าวหนุ่มออกไป หลังจากนั้นไม่นานก็พาตัวคนมาอีกสองคน 


 


 


หนึ่งในนั้นคือผู้คุมบัญชีห้องโอสถในเรือนหน้า อีกคนหนึ่งคือหงโต้วผู้เป็นสาวใช้ในเรือนนางเถียน 


 


 


หงโต้วถูกมัดแขนไพล่ไปด้านหลัง ปากยังถูกยัดด้วยผ้าเช็ดหน้าอีกด้วย 


 


 


นางเถียนเห็นหงโต้วแล้วหน้าซีดไปทันที 


 


 


หงโต้วเป็นน้องสาวแท้ๆ ของจูเหยียนอดีตสาวใช้คนสนิทของนาง ตั้งแต่จูเหยียนถูกไฟไหม้จนผมกร่อนทำให้อับอายจนมิอาจกลับมาเป็นคนเดิมได้ ปีที่แล้วก็ให้นางออกเรือนไป หงโต้วจึงเข้ามาอยู่รับใช้ในเรือนตั้งแต่นั้น 


 


 


ครั้นนึกถึงจูเหยียนก็รู้สึกเสียดายขึ้นมา นางให้ความสำคัญกับหงโต้วมาก เมื่อต้นปีจึงยกนางขึ้นเป็นสาวใช้ขั้นสอง การมีฐานะเช่นนี้ท่ามกลางสาวใช้ที่ทำงานผ่านประสบการณ์มามากมายได้นั้นนับว่ายากยิ่งแล้ว 


 


 


หรือเรื่องนี้จะเกี่ยวกับเจ้ารองจริงๆ 


 


 


ผู้คุมบัญชีห้องโอสถในเรือนหน้าเข้ามาก็เปิดบัญชีโอสถทันที แล้วชี้ไปที่จุดหนึ่งพลางเอ่ยว่า “นี่เป็นจำนวนโสมที่เรือนซินหยวนมาเบิกในช่วงครึ่งปีนี้” 


 


 


หลัวเทียนเฉิงรับบัญชีนั้นมาแล้วส่งให้นายท่านรองดู “ท่านอารองเชิญดูเถิด ตั้งแต่อาสะใภ้รองเริ่มสุขภาพไม่ดีในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ทุกเดือนจะต้องเบิกโสมจากห้องโอสถไปหนึ่งต้น แต่ไม่กี่วันก่อนกลับมาเอาเพิ่มไปอีกหนึ่งต้น” 


 


 


ผู้คุมบัญชีชำเลืองมองหงโต้วคราหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ผู้ช่วยในห้องโอสถบอกว่าพี่สาวที่อยู่เรือนซินหยวนมาเบิกและเล่าว่าคุณหนูใหญ่สิ้นแล้ว ฮูหยินรองทำใจไม่ได้ สุขภาพเลยยิ่งย่ำแย่ ดังนั้นจึงมาเบิกโสมเพิ่มอีกต้น แต่วันนี้ผู้ช่วยคนนั้นลากลับบ้านเพราะมารดาป่วยเจ้าค่ะ” 


 


 


“เรื่องนี้เกี่ยวกับเจ้ารองงั้นหรือ” นายท่านรองยังคงไม่เชื่อ บุตรชายคนโตที่เขาภาคภูมิใจที่สุดจะมีความเกี่ยวข้องกับสตรีในเรือนหลังได้อย่างไร  


 


 


หลัวเทียนเฉิงโบกมือให้คนทั้งสองออกไปแล้วหันมองนางเถียน 


 


 


นางเถียนหน้าขาวซีด ริมฝีปากสั่น นางพยายามฝืนเอ่ยออกมาประโยคหนึ่งว่า “ใช่ เป็นข้าเองที่ให้หงโต้วไปเบิกโสม ตอนที่ทราบข่าวว่าหยวนเหนียงตายก็มิอาจฝืนสังขารตนได้อีกต่อไปจริงๆ” 


 


 


หลัวเทียนเฉิงมีท่าทีคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “อาสะใภ้รองให้หงโต้วไปเบิกโสมจริงๆ หรือ” 


 


 


เจินเมี่ยวที่ดูเหตุการณ์อยู่เงียบๆ กลับสะดุดใจขึ้นคราหนึ่ง นางรู้สึกว่าคำถามนี้ของซื่อจื่อออกจะแปลกพิกลอยู่สักหน่อย 


 


 


นางเถียนร้อนใจอยากช่วยคุณชายรองปกปิดเรื่องราว นางจึงพยักเอ่ยว่า “ใช่ ข้ายังจำได้ว่าวันที่หงโต้วไปเบิกโสมกลับมานั้น ข้าเห็นนางเหงื่อออกท่วมตัวจึงตกรางวัลเป็นแหวนเงินให้นางเป็นพิเศษด้วย” 


 


 


วาจานี้นางเถียนตั้งใจเอ่ยให้หงโต้วฟังเพื่อบอกใบ้ให้นางรู้ว่าหากคล้อยตามคำพูดตน ต่อไปนางจะได้รับผลประโยชน์อีกมากมาย 


 


 


ความคิดของสตรีผู้นี้ช่างบิดเบี้ยวเหลือเกินจริงๆ 


 


 


หลัวเทียนเฉิงแค่นยิ้มเย็นอยู่ในใจ แต่ใบหน้ายังคงเรียบเฉย เขาเบนสายตาไปมองหงโต้วแล้วจึงเอ่ยว่า “วาจานี้ของอาสะใภ้รองทำให้หลานชายงุนงงมากขึ้นไปอีก” 


 


 


เขากำชับองครักษ์ผู้หนึ่งว่า “ไปเอาตัวคนเข้ามา” 


 


 


เมื่อเสียงม่านมุกดังขึ้นก็ปรากฏร่างสตรีผู้หนึ่งที่แต่งตัวอย่างสาวใช้เดินเข้ามา นางเถียนมองนางนิ่งแล้วเผลอเอ่ยออกมาว่า “เสี่ยวเถา?” 


 


 


“นี่มันเรื่องราวใดกัน” นางมองเสี่ยวเถาคราหนึ่ง แล้วมองหงโต้วคราหนึ่ง รู้สึกมึนงงไปหมด 


 


 


เสี่ยวเถาคุกเข่าลงแล้วเอ่ยมาประโยคหนึ่งว่า “โสมแก่นั้นบ่าวเป็นผู้ไปเบิกเองเจ้าค่ะ หลังจากได้มาแล้วก็นำไปให้คุณชายรอง” 


 


 


“บ่าวชั่วช้า หยุดพูดจาเหลวไหลเดี๋ยวนี้!” นางเถียนยกมือขึ้นตบหน้าเสี่ยวเถาคราหนึ่ง 


 


 


เสี่ยวเถากุมหน้าตนไว้แล้วเอ่ยเสียงสะอื้นว่า “ฮูหยิน บ่าวไร้หนทางแล้วจริงๆ ซื่อจื่อสืบความจนกระจ่างหมดแล้ว บ่าวจึงมิอาจปิดบังต่อไปได้อีกเจ้าค่ะ” 


 


 


“ต้าหลัง ข้าเป็นอาสะใภ้รองของเจ้า หรือเจ้าเชื่อบ่าวชั่วช้านี้แต่ไม่เชื่อข้า ข้าเป็นคนให้หงโต้วไปเอาโสมเอง” 


 


 


หลัวเทียนเฉิงเลิกคิ้วขึ้น “เช่นนั้นอาสะใภ้รองช่วยนึกสักหน่อยได้หรือไม่ว่าวันนั้นท่านให้หงโต้วไปเอาโสมในเวลาใด” 


 


 


นางเถียนอึ้งไปเล็กน้อย แต่ก็คิดได้อย่างรวดเร็ว 


 


 


เจ้ารองเป็นคนรอบคอบมาแต่ไหนแต่ไร หากเขาส่งคนไปเบิกโสมเพิ่มอีกต้นจริง เช่นนั้นย่อมต้องให้คนไปเบิกตามเวลาเดิมที่นางมักจะให้สาวใช้ไปเบิกเป็นแน่ 


 


 


นางจึงตัดสินใจเอ่ยว่า “การไปเบิกของเช่นนี้ก็มีกฎเกณฑ์ของมันอยู่ ดังนั้นทุกครั้งจึงไปเวลาเดิมเสมอ” 


 


 


หลัวเทียนเฉิงพลิกบัญชีโอสถที่ผู้คุมบัญชีทิ้งไว้แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ในบัญชีบันทึกว่าทุกครั้งจะมาเบิกในยามซื่อ[1] และครั้งสุดท้ายก็เช่นกัน” 


 


 


นางเถียนผ่อนหายใจโล่งอกออกมาโดยแรง 


 


 


แต่กลับได้ยินหลัวเทียนเฉิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เปลี่ยนไปว่า “แต่เวลานั้น แม่นางหงโต้วน่าจะกำลังสนทนาอยู่กับแขกตนกระมัง” 


 


 


เขาโบกมือคราหนึ่ง องครักษ์ก็เอาผ้าที่ยัดปากหงโต้วออก หงโต้วคุกเข่าลงพื้นดังพลั่ก แล้วร้องไห้ออกมา “ฮูหยิน เช้าวันนั้น พี่สาวบ่าวมาหา บ่าวจึงอยู่คุยกับนางเป็นครึ่งค่อนวัน ทั้งยังให้นางอยู่กินข้าวด้วย ตอนนั้นหญิงรับใช้ที่เฝ้าหน้าประตูและคนในห้องครัวต่างก็ทราบดี บ่าวผิดต่อท่าน ขอท่านโปรดอภัยให้บ่าวด้วยเถิดเจ้าค่ะ” 


 


 


บ่าวไพร่ในจวนกั๋วกงนั้นมีมากยิ่ง ย่อมมีคนจำนวนหนึ่งที่ญาติมิได้อยู่ในจวน บางคราหากมีธุระก็มาหาบ้าง หงโต้วเป็นสาวใช้ขั้นสองของเรือนฮูหยินรอง ทั้งจูเหยียนเองก็เคยเป็นสาวใช้ขั้นหนึ่งมาก่อนแต่ออกเรือนไปแล้วเท่านั้น มีหรือที่บ่าวไพร่คนอื่นๆ จะมิให้เกียรติ 


 


 


นางเถียนหน้าถอดสีไปทันที นางเอ่ยอย่างแค้นเคืองว่า “บ่าวชั่ว!” 


 


 


หงโต้วหมอบลงกับพื้น สะอื้นไห้ตัวสั่น 


 


 


หลัวเทียนเฉิงยกมุมปากขึ้นคราหนึ่ง ไม่มีหงโต้ว (ถั่วแดง) ก็ยังมีหวงโต้ว (ถั่วเหลือง) หลี่ว์โต้ว (ถั่วเขียว) เฮยโต้ว (ถั่วดำ) เรือนซินหยวนมีบ่าวไพร่มากเพียงนั้น อย่างไรก็ต้องมีสักคนที่ติดธุระทำให้ไปห้องโอสถไม่ได้ เขาแค่อยากให้นางเถียนเอ่ยออกมาเองเพื่อให้คำโป้ปดนั้นไร้น้ำหนักมากขึ้นไปอีก 


 


 


“ไปเชิญคุณชายรองและคุณชายสามมาที” 


 


 


เจินเมี่ยวมองหลัวเทียนเฉิงอย่างล้ำลึกคราหนึ่ง แล้วก้มลงจัดอาภรณ์ตนด้วยใจสั่นไหว 


 


 


ซื่อจื่อให้คุณชายสามมาทำอันใดกัน 


 


 


ครั้นคิดถึงคุณชายรองที่สาดน้ำสกปรกใส่ผู้อื่นด้วยใบหน้าเรียบเฉย นางก็เริ่มเข้าใจอันใดขึ้นมาบ้างแล้ว 


 


 


ซื่อจื่อคิดจะให้คุณชายสามได้เห็นธาตุแท้ของคุณชายรองมากยิ่งขึ้น แล้วพี่น้องคงจะแตกหักกันอย่างถึงที่สุดกระมัง 


 


 


ทั้งที่รู้ดีว่าหลัวเทียนเฉิงทำเช่นนี้ไม่นับว่าผิด แต่เจินเมี่ยวกลับยังคงเศร้าใจอย่างบอกไม่ถูกเหมือนตอนที่เขาตอบคำถามนั้นของนายท่านรองไม่มีผิด 


 


 


ไม่นานคุณชายรองกับคุณชายสามก็มาถึง 


 


 


 


 


 


 


 


 


[1] ยามซื่อ ช่วงเวลา 9.00-10.59 นาฬิกา  

 

 


ตอนที่ 345 แต่งงานเพื่อความเป็นสิริมงคล

 

เมื่อพยานหลักฐานพร้อมเขาย่อมไร้หนทางแก้ต่าง 


 


 


คุณชายรองคุกเข่าลง แผ่นหลังตั้งตรงดุจพู่กันคล้ายต้นไผ่ต้นหนึ่ง แล้วเอ่ยด้วยเสียงพร่าต่ำว่า “ลูกเป็นคนทำเองขอรับ” 


 


 


ใบหน้าเขาซูบซีดยิ่ง ชุดคลุมยาวเข้ารูปสีเขียวนั้นหลวมโพรกไปไม่น้อย ให้ความรู้สึกอ่อนแอเสียจนอาภรณ์ยังทนไม่ได้ หากเทียบกันแล้ว คุณชายสามที่ใบหน้าคล้ำและร่างกายกำยำขึ้นเพราะไปฝึกยุทธ์ที่ค่ายทหารกลับดูเย็นชาไร้หัวใจมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด 


 


 


“เจ้ารอง เจ้าพูดจริงหรือ” นายท่านรองเอ่ยเสียงสูงขึ้น ถึงตอนนี้ก็ยังไม่เชื่อว่าบุตรชายที่ตนภูมิใจจะกล้าทำเรื่องเช่นนี้ได้ 


 


 


“ขอรับ ลูกทำเอง” คุณชายรองหลับตาลง แต่เมื่อลืมตาขึ้นก็หันไปมองคุณชายสามคราหนึ่ง “ท่านย่าล้มป่วย ในจวนมีแต่เรื่องวุ่นวาย หากเกิดเรื่องใดขึ้นอีก ลูกเกรงว่าท่านย่าจะทนรับไม่ไหวจึงคิดวิธีนี้ขึ้นมา แต่ลูกเองก็มีความเห็นแก่ตัวอยู่ด้วย น้องสาวเพิ่งตายไป ท่านแม่สุขภาพยิ่งแย่ลง หากท่านแม่ไม่ต้องทนเห็นหน้าบุตรของอนุท่านพ่อที่กำลังจะคลอดออกมาในภายหน้า สุขภาพท่านแม่อาจจะดีขึ้นก็ได้” 


 


 


เขาพูดถึงตรงนี้ก็หันไปมองนางเถียนด้วยสายตาล้ำลึกคราหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ลูกเสียน้องสาวแท้ๆ ไปคนหนึ่งแล้ว มิอาจเสียมารดาไปอีก หากท่านพ่อจะลงโทษก็ลงโทษลูกเถิด” 


 


 


นายท่านรองยกมือขึ้นจะต่อยเขา แต่นางเถียนพุ่งเข้ามาขวางไว้พลางตะโกนว่า “ท่านพี่ หากท่านจะตีก็ตีข้าเถิด เพราะข้าสุขภาพไม่แข็งแรงถึงทำให้เจ้ารองที่ใกล้จะสอบแล้วต้องกังวลใจ” 


 


 


กล่าวถึงตรงนี้นางก็ชะงักไป แล้วเอ่ยเตือนนายท่านรองอย่างแฝงเจตนาบางอย่างว่า “ท่านพี่ เจ้ารองพูดถึง ยามนี้คนในจวนมีมากยิ่ง หากเกิดเหตุวุ่นวายใดขึ้นอีกจะทำเช่นไรเล่า” 


 


 


วาจาของนางดูคลุมเครือแต่นายท่านรอง หลัวเทียนเฉิงและเจินเมี่ยวกลับเข้าใจดี 


 


 


คุณชายสามมองคุณชายรองโอดครวญอย่างเฉยชา เขารู้สึกดั่งตนเองนั่งดูละครลวงโลกอยู่อีกฟากหนึ่งกระนั้น 


 


 


กระทั่งนายท่านรองหันมองมามองเขา เขาจึงเพิ่งเข้าใจว่าแม้กระทั่งตอนนี้พี่รองที่แสนดีของเขาก็ยังไม่หยุดที่จะใส่ร้ายเขา! 


 


 


ที่บอกว่าท่านย่าป่วย คนในจวนมีมากมายเกรงว่าจะเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้น คงเป็นการบอกใบ้กับท่านพ่อท่านแม่ว่ากลัวเขาจะกลับจากค่ายทหารมาก่อเรื่องงามหน้าในจวนอีกกระมัง 


 


 


ทั้งที่เอ่ยมาเช่นนี้แล้วนายท่านรองยังคิดว่าเขาเป็นบุตรที่จิตใจดีมีความกตัญญูยิ่ง ช่างเป็นเรื่องน่าขบขันเสียเหลือเกิน! 


 


 


ต่อให้เขาจะไร้อนาคต และห้ามใจตนไม่ได้เพียงใดก็ไม่มีทางจะไปข้องเกี่ยวกับสตรีของบิดาตนอีกแน่! 


 


 


คุณชายสามกำหมัดแน่น เขาอยากจะกระชากหนังหน้าอันไร้ยางอายของคุณชายรองออกมาเหลือเกิน ทว่าเมื่อเห็นท่าทีของบิดาก็พลันหมดความอยากขึ้นมาทันที 


 


 


เพราะต่อให้เขาเปิดโปงความจริงออกมา บิดาผู้นี้คงคิดว่าเขาสาดน้ำสกปรกใส่พี่ชายตนเป็นแน่ 


 


 


เรื่องจริงไม่มีทางเป็นเรื่องเท็จฉันใด เรื่องเท็จก็ไม่มีทางเป็นเรื่องจริงได้ฉันนั้น รอให้ท่านย่าอาการดีขึ้นเสียก่อน เขาจะกลับค่ายทหารทันที คอยดูสิว่าเรือนซินหยวนจะเหม็นโฉ่โสมมไปจนถึงขั้นใด 


 


 


ความอบอุ่นในก้นบึ้งแห่งดวงตาของคุณชายสามหายไป แล้วกลับมามีท่าทีเย็นชาดั่งมิใช่เรื่องตนเช่นเดิม 


 


 


“ท่านพ่อ ขอท่านโปรดลงโทษลูกด้วยเถิด” ไม่ทราบว่าคุณชายรองไปล้วงเอาแส้จากที่ใดออกมากันแน่ 


 


 


เจินเมี่ยวจ้องนิ่ง ดีเหลือเกิน  


 


 


แส้ยาวเส้นนั้นถักจากหวาย สีของมันยังสดใหม่อยู่แท้ๆ คุณชายรองคงเตรียมมันก่อนมาที่นี่กระมัง 


 


 


นายท่านรองกำแส้หวายแน่นด้วยความหงุดหงิดและโมโหให้คุณชายรอง ทั้งยังมีความรู้สึกที่บอกไม่ถูกอีกหลายส่วนผสมปนเปอยู่ด้วย เขายกแส้ขึ้นแล้วขึ้นอีกแต่สุดท้ายก็ตัดใจฟาดใส่คุณชายรองไม่ลง 


 


 


เขาขว้างแส้หวายลงพื้นโดยแรง เมื่อหางตาเหลือบไปเห็นคุณชายสามที่ยืนอยู่อย่างไม่ไยดีต่อสิ่งใด โทสะทั้งหลายจึงทะยานพุ่งขึ้นมาอีก เขาเตะเท้าออกไป ปากก็ด่าทอว่า “เจ้าลูกเนรคุณ หากไม่ใช่เพราะเจ้า…” 


 


 


“ท่านพี่!” นางเถียนร้องขึ้นเสียงดังเพื่อหยุดยั้งมิให้นายท่านรองหลุดปากพูดอันใดออกไป 


 


 


คุณชายสามจับขานายท่านรองไว้ น้ำเสียงที่เอ่ยราบเรียบไร้คลื่นลม “ท่านพ่อ ระวังเอวเคล็ดขอรับ” 


 


 


นายท่านรองโน้มตัวลงคิดจะหยิบแส้หวายขึ้นมา  


 


 


ในที่สุดเจินเมี่ยวก็เอ่ยออกมาอย่างทนดูไม่ได้อีกต่อไป “อารอง ตอนนี้ผู้ที่ทำความผิดคือน้องรอง ท่านตีผิดคนแล้วกระมัง หรือเพราะพวกเขาเป็นพี่น้องฝาแฝด ท่านถึงได้จำผิดคน” 


 


 


หลัวเทียนเฉิงมองเจินเมี่ยวคราหนึ่งด้วยความจนใจทั้งไม่พอใจเล็กน้อย 


 


 


เมื่อใดกันที่นางห่วงความเป็นความตายของน้องสามถึงเพียงนี้ 


 


 


ความแปลกใจปรากฏวูบขึ้นในดวงตาคุณชายสาม ท่าทีเขาดูผ่อนคลายลงเล็กน้อย 


 


 


นายท่านรองโมโหจนหน้าดำคล้ำไปหมด “ต้าหลัง นี่มันเรื่องใดกัน ภรรยาเจ้าไหนเลยจะมีสิทธิ์พูดได้!” 


 


 


“อารอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใด นางเป็นภรรยาข้า ย่อมต้องมีสิทธิ์พูดแน่นอน” หลัวเทียนเฉิงพลันมีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมา 


 


 


ท่าทีคุกคามที่แสดงออกมาอย่างกะทันหันนั้นทำให้นายท่านรองถอยหลังไปสองก้าวโดยไม่รู้ตัว 


 


 


เจินเมี่ยวเลิกคิ้วขึ้น เอวยืดตรงดุจพู่กัน แล้วยิ้มบางเบาพลางเอ่ยว่า “อารอง นอกจวนผู้คนต่างทราบว่าข้าเป็นเซี่ยนจู่ที่ฝ่าบาทแต่งตั้ง ในจวนบ่าวไพร่ก็รู้ดีว่าข้าเป็นฮูหยินของคุณชายผู้สืบทอดจวนกั๋วกง ภายหน้าคือฮูหยินจวนกั๋วกง แม้หลานสะใภ้จะให้ความเคารพต่อผู้อาวุโสมาตลอด แต่หลานสะใภ้คิดว่าตนมีสิทธิ์พูดเสมอไม่ว่าเรื่องใดก็ตามเจ้าค่ะ” 


 


 


กล่าวจบก็กวาดตามองไปที่คุณชายรองแล้วพูดต่อว่า “ไม่ว่าน้องรองจะมีเหตุผลใด แต่การที่ซื้อตัวนักพรตให้เขาพูดจาจนทุกคนเข้าใจผิดและยังใส่ร้ายหูอี๋เหนียงอีก เรื่องนี้ไม่เพียงทำให้อาสะใภ้สี่และเยียนเหนียงต้องพลอยลำบากไปด้วย แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือหากเราเชื่อวาจาของนักพรตจริงๆ แล้วยอมรออีกสี่สิบเก้าวัน นั่นมิใช่ทำให้การรักษาอาการป่วยของท่านย่าต้องล่าช้าไปอีกหรือ อารองและอาสะใภ้รองคงมิปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไปโดยมิพูดอันใดเพียงเพราะน้องรองบอกว่าทำทุกอย่างด้วยความหวังดีต่อท่านทั้งสองกระมัง ยิ่งไม่ต้องพูดเรื่องที่ท่านหันไปลงมือต่อน้องสามเลย มันทำให้หลานสะใภ้สงสัยยิ่งว่าหรือเรื่องนี้จะมีความเกี่ยวข้องกับน้องสามด้วย” 


 


 


ต่อให้นายท่านรองจะโมโหคุณชายสามมากเพียงใดก็มิอาจพูดเรื่องทั้งหมดออกมาได้ หากเรื่องโสมมพรรค์นั้นแพร่ออกไป คนในเรือนเขาคงมิอาจเงยหน้าขึ้นได้อีกเป็นแน่ 


 


 


วาจาของเจินเมี่ยวช่างต้อนคนให้จนมุมนัก แต่ทุกประโยคกลับมีเหตุผลยิ่ง เขาจึงจำต้องเอ่ยถามขึ้นว่า “ต้าหลัง เช่นนั้นเจ้าก็ตัดสินใจเอาเถิดว่าลงโทษเจ้ารองอย่างไร เรื่องนี้ข้าไม่ขอยุ่งเกี่ยวแล้ว” 


 


 


เจ้ารองใกล้จะเข้าร่วมการสอบบัณฑิตระดับเมืองแล้ว เขาเชื่อว่าต้าหลังย่อมไม่กล้าทำลายอนาคตของเจ้ารองแน่ เพราะหากเป็นเช่นนั้น ฮูหยินผู้เฒ่าคงไม่ยอมแน่ ต้าหลังจะกล้าขัดใจฮูหยินผู้เฒ่าหรือ 


 


 


หลัวเทียนเฉิงทำอย่างที่นายท่านรองคิดจริงๆ เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้มบางเบาว่า “เรื่องราวทุกอย่างกระจ่างชัดก็ดีแล้ว ส่วนน้องรอง เขากำลังจะสอบแล้ว ไม่ว่าจะลงโทษเช่นไรก็รอให้เขาสอบเสร็จก่อนค่อยว่ากันเถิด” 


 


 


คุณชายรองก้มหน้ายิ้ม…สอบเสร็จ? 


 


 


หากเขาสอบได้เป็นจวี่เหรินก็ยังต้องเข้าร่วมการสอบชุนเหวยในปีหน้าอีก แล้วจะลงโทษเขาได้อย่างไรกัน 


 


 


หากปีหน้าเขาสอบผ่านอีก หึๆ ถึงตอนนั้นผู้ใดจะจำได้ว่าต้องลงโทษเขาเล่า 


 


 


แต่หากสอบไม่ผ่าน… 


 


 


นั่นช่างเป็นเรื่องน่าขำสิ้นดี หากเขาไม่มีแม้แต่ความมั่นใจว่าจะสอบผ่านในระดับเมือง แล้วเขามีสิทธิ์อันใดที่คิดจะไปแข่งขันแย่งชิงกับพี่ใหญ่เล่า 


 


 


เรื่องวุ่นวายในครานี้จึงจบลงเช่นนี้เอง ส่วนนักพรตและบ่าวไพร่ที่ทำความผิด ผู้ใดควรถูกลงโทษก็ลงโทษ ผู้ใดควรถูกไล่ออกก็ไล่ออก ทว่าอาการป่วยของฮูหยินผู้เฒ่ากลับยังไม่ดีขึ้นเลย 


 


 


เจินเมี่ยวกำลังจะไปที่เรือนอี๋อานก็ถูกหลัวเทียนเฉิงดึงมือไว้ “เราไปด้วยกันเถิด” 


 


 


นางดึงมือกลับตามสัญชาตญาณตนแล้วพยักหน้าเบาๆ 


 


 


คนทั้งสองเดินเคียงกันไป เมื่อเห็นนางไม่พูดจา หลัวเทียนเฉิงก็รู้สึกเจ็บปวดในใจอย่างยากจะทนไหว 


 


 


นางเกลียดที่ตนลงมือเ**้ยมโหดหรือ หากวันใดนางรู้ว่าเรื่องที่อารองและบุตรชายทั้งสองขัดแย้งกันเพราะเยียนเหนียงเป็นแผนของเขาตั้งแต่ต้น นางจะมองเขาอย่างไรเล่า 


 


 


หลัวเทียนเฉิงยิ้มขื่นในใจ 


 


 


แม้จะบอกว่าสามีภรรยาควรเปิดเผยจริงใจต่อกัน แต่บางเรื่องเหมือนเนื้อที่เน่าเปื่อยอยู่ในใจ อย่างไรก็มิอาจให้ผู้อื่นรู้ได้ 


 


 


เขากำลังกังวลใจจึงนิ่งเงียบไม่เอ่ยวาจาเช่นกัน 


 


 


ชั่วขณะนั้นคนทั้งสองต่างเดินไปข้างหน้าอย่างเงียบๆ มีเพียงเสียงของจักจั่นบนต้นไม้ที่ดังระงมเป็นระลอกคลื่นทำให้คนรู้สึกหงุดหงิดยิ่ง 


 


 


“พวกเจ้าไปจับจักจั่นบนต้นไม้ลงมาให้หมด!” หลัวเทียนเฉิงกำชับบ่าวที่เดินตามหลังตนมา 


 


 


เมื่อไล่คนไปแล้ว เขาจึงดึงมือเจินเมี่ยวมากุมไว้อีกคราโดยไม่ยอมให้นางสลัดออก เขาเอ่ยเสียงต่ำว่า “เจี๋ยวเจี่ยว เจ้ากำลังหนีอันใด” 


 


 


เจินเมี่ยวเงยหน้าขึ้น เมื่อสบเข้ากับดวงตาอันล้ำลึกนั้นของเขา นางก็เอ่ยอย่างทอดถอนใจว่า “ข้ามิได้หนี ข้าแค่กลัวเท่านั้น” 


 


 


“เจ้ากลัวข้า?” หัวใจของหลัวเทียนเฉิงคล้ายถูกต่อรุมต่อยกระนั้น มันเจ็บแปลบไปถึงขั้วหัวใจ 


 


 


เขาทั้งโมโหหงุดหงิดและน้อยเนื้อต่ำใจ แต่เพราะอยู่ต่อหน้าเจินเมี่ยวเขาจึงเก็บโทสะที่กระจายไปทั่วร่างนั้นแล้วยิ้มขื่นพลางกล่าวว่า “เจี๋ยวเจี่ยว เจ้ากลัวอันใดข้า หรือเจ้าไม่รู้ว่าหากให้เลือกว่าใครที่ข้าไม่อยากจะทำร้ายที่สุดบนโลกนี้ได้เพียงคนเดียว คนผู้นั้นก็คือเจ้า” 


 


 


เจินเมี่ยวมิได้มองเขา สายตายาวทอดมองออกไปแสนไกล 


 


 


ใบบัวเขียวในสระเชื่อมติดกับท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ ดอกบัวชูช่อกิ่งก้านตั้งตรงคล้ายสาวน้อยที่กำลังแย้มยิ้มด้วยความขวยเขินอยู่ใต้แสงอาทิตย์  


 


 


ปลาจิ๋นหลี่สีแดงกระโดดขึ้นมาแล้วกระโจนลงไปเช่นเดิมทำให้น้ำสาดกระเซ็นไปโดยรอบ จุดศูนย์กลางของระลอกคลื่นเริ่มจากตรงนั้นแล้วค่อยๆ กระจายออกเป็นวงกว้างผลักไสใบบัวให้ลอยออกไปคล้ายกระโปรงสีเขียวที่กำลังพลิ้วสะบัดตามการหมุนตัวของสาวน้อยผู้หนึ่ง 


 


 


เจินเมี่ยวเก็บสายตาตนกลับคืนมา ผิวสว่างดุจอัญมณีใต้แสงอาทิตย์นั้นขาวเสียจนแทบจะโปร่งแสงแล้ว นางจ้องมองหลัวเทียนเฉิงนิ่ง “จิ่นหมิง ข้ามิได้กลัวท่านทำร้ายข้า ข้ากลัวว่าสุดท้ายท่านจะเป็นคนที่แม้แต่ตัวท่านเองก็ไม่รู้จักต่างหากเล่า” 


 


 


“เจี๋ยวเจี่ยว ข้ารู้ดีมาตลอดมาตัวเองกำลังทำอันใดอยู่” น้ำเสียงของหลัวเทียนเฉิงออกจะราบเรียบอยู่บ้าง 


 


 


“เช่นนั้นก็ดีแล้ว” เจินเมี่ยวยิ้มออกมา 


 


 


นางคิดในใจว่าความจริงนางเองก็มิได้เปิดเผยจริงใจปานนั้น แม้จะบอกว่าไม่กลัวเขาทำร้ายนาง แต่เมื่ออยู่คนเดียวในยามค่ำคืน นางกลับอดคิดไม่ได้ว่าหากนักพรตผู้นั้นบำเพ็ญเพียรจนแก่กล้าวิชาจริง และบอกว่าชีวิตของบุตรนางสามารถแลกกับชีวิตของฮูหยินผู้เฒ่าได้ เมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่สามารถปิดบังฮูหยินผู้เฒ่าไว้ได้ เขาจะเลือกทำเช่นใดกันแน่ 


 


 


นางรู้ว่าเรื่องนี้คงไม่มีคำว่า ‘หาก’ แต่ผู้ใดให้สตรีทุกคนชอบถามว่า ‘หาก’ กันเล่า ทั้งเขายังเคยเอ่ยวาจาเช่นนั้นมาก่อนแล้วด้วย 


 


 


การรักกันนั้นง่ายแต่การอยู่ร่วมกันนั้นยาก ในอดีตเจินเมี่ยวมักคิดว่าวาจานี้พูดไปเพื่อความสวยหรูเท่านั้น แต่ตอนนี้นางกลับเริ่มเข้าใจขึ้นมาหลายส่วนแล้ว 


 


 


อาการป่วยของฮูหยินผู้เฒ่าทรงๆ ทรุดๆ มาตลอด 


 


 


ท่านหมอที่เชิญมาตรวจรักษาต่างทยอยกันมาดุจสายน้ำแต่กลับไม่มีผู้ใดรักษาได้ ยามนี้ได้ล่วงเข้าปลายเดือนเจ็ดแล้ว บรรยากาศในจวนเจิ้นกั๋วกงจึงยิ่งอึมครึม 


 


 


วันนี้นางเฝิงน้องสะใภ้ในตระกูลมารดาของนางเถียนมาหาถึงจวน ครั้นได้ฟังจุดประสงค์การมาที่นี่ของนาง นางเถียนก็เผลอเอ่ยออกมาว่า “ห๊ะ น้องสะใภ้ เจ้าหมายความว่าอยากจะให้เสวี่ยเจี่ยแต่งเข้ามาก่อนกำหนดเพื่อสร้างความเป็นสิริมงคลให้ฮูหยินผู้เฒ่าหรือ” 


 


 


การแต่งงานยามมีคนเจ็บไข้ในบ้านนั้นเป็นเรื่องที่คนทั่วไปมิใคร่ยินดีนัก เพราะหากผู้ป่วยมิหายดีขึ้นมา คนส่วนมากก็มักจะตำหนิว่าเจ้าสาวเป็นตัวอัปมงคล แต่ถ้าหากผู้ป่วยอาการดีขึ้นจริง การแต่งเข้ามาอย่างกะทันหันเพราะเรื่องนี้กลับเป็นการทำให้บุตรสาวตนต้องเสียเปรียบอยู่วันยังค่ำ ภายหน้าเกรงว่าอาจถูกผู้คนดูแคลนเอาได้เช่นกัน 


 


 


แม้นางเถียนจะกลัวว่าฮูหยินผู้เฒ่าอาจจากไปเช่นนี้ แต่ก็มิเคยคิดจะเอ่ยถึงเรื่องการแต่งงานก่อนกำหนดกับตระกูลมารดาตนเลย 


 


 


แน่นอนว่าลึกๆ แล้วนางเฝิงย่อมมิอยากทำเช่นนี้ แต่นางเป็นคนฉลาด เมื่อได้ยินว่าฮูหยินผู้เฒ่าล้มป่วยหนักก็คิดว่าหากฮูหยินผู้เฒ่าสิ้นใจไป ภายในสามปีนี้ย่อมมิอาจจัดงานมงคลได้แน่ แล้วผู้ใดจะทราบว่าผ่านไปอีกสามปีเหตุการณ์จะเปลี่ยนแปรเช่นไรบ้าง ถึงตอนนั้นหากคุณชายสามเกิดมีหน้าที่การงานที่ดี แต่ตระกูลเถียนกลับยิ่งตกต่ำลง การหมั้นหมายครั้งนี้อาจถูกยกเลิกไปก็เป็นได้ 


 


 


ในเมื่อวสันต์ฤดูมาถึงก็ต้องออกเรือนอยู่แล้ว มิสู้แต่งเข้ามาตอนนี้เสียเลยดีกว่า คิดว่าเพื่อฮูหยินผู้เฒ่าแล้ว คนในจวนคงไม่มีทางปฏิบัติตัวแย่ๆ ต่อเสวี่ยเจี่ยเป็นแน่ 


 


 


ทว่ายังมีสิ่งหนึ่งที่นางเฝิงไม่อยากจะไปคิดให้ลึกซึ้งเท่าใดนัก นั่นคือสินเดิมที่ให้บุตรสาวอาจจะน้อยไปสักหน่อยเพราะการออกเรือนอย่างกะทันหันเช่นนี้ 


 


 


เมื่อได้ฟังความในใจของนางเฝิง นางเถียนก็เริ่มมีท่าทีที่ดีขึ้น หลังจากปรึกษากับนายท่านรองเรียบร้อยแล้วจึงส่งคนไปเรียกคุณชายสามมาพบทันที  

 

 


ตอนที่ 346 เถียนเสวี่ยแต่งเข้าจวน

 

คุณชายสามมายืนอยู่ต่อหน้านายท่ารองและนางเถียนด้วยใบหน้าเรียบเฉย “ท่านพ่อ ท่านแม่เรียกข้ามาหรือขอรับ” 


 


 


นายท่านรองแค่นเสียงเย็นคราหนึ่ง แล้วนั่งลงบนเก้าอี้ไท่ซือไม่พูดจา 


 


 


เส้นโลหิตบนขมับของคุณชายสามเต้นกระตุกทันที “ท่านพ่อ ท่านแม่ หากไม่มีอันใด ลูกขอตัวกลับก่อนแล้ว” 


 


 


เขาหมุนกายคิดจากไป แต่นางเถียนเรียกไว้เสียก่อน 


 


 


“เจ้าสาม…” นางเถียนสังเกตท่าทีบุตรชายก่อนแล้วเอ่ยว่า “หลังจากที่เจ้าไปอยู่ค่ายทหารก็ไม่กลับมาจวนเลย แม่จึงมิทันได้บอกเจ้าว่าแม่หมั้นหมายสตรีให้เจ้าเรียบร้อยแล้วตั้งแต่เมื่อสองเดือนก่อน” 


 


 


คุณชายสามพลันเบิกตากว้างขึ้น เขากำหมัดแน่นดังกร๊อบๆ “ท่านแม่พูดว่าอันใดกัน” 


 


 


นายท่านรองสกุลหลัวขว้างถ้วยชาใส่เขาทันที “เจ้าเดรัจฉาน เจ้าทำท่าทางเช่นนี้หมายความอย่างไร แม่เจ้าจัดการหาคู่หมายให้แล้วยังต้องฟังความเห็นจากเจ้าด้วยงั้นหรือ” 


 


 


เจ้าสามมีท่าทีไม่ยินยอมเช่นนี้ เพราะยังมิตัดใจจากเยียนเหนียงกระมัง 


 


 


ตัวอัปรีย์! นายท่านรองหน้าเขียวคล้ำยิ่ง เขาแค้นจนอยากจะกินคุณชายสามเข้าไปแล้ว  


 


 


คุณชายสามหลบถ้วยชาใบนั้นด้วยท่าทีสบายๆ เขาปล่อยให้มันตกแตกกระจุยอยู่ข้างเท้าตน แต่สายตายังคงจ้องนิ่งที่นางเถียน แล้วเอ่ยถามออกไปเสียงดังคล้ายใช้แรงทั้งหมดกระนั้น “ไม่ทราบว่าท่านแม่หมั้นหมายคุณหนูตระกูลใดให้ลูกหรือ” 


 


 


ยามนี้นางเถียนก็คล้ายรู้สึกผิดขึ้นมาเล็กน้อย แต่เมื่อคิดว่าชื่อเสียงของคุณชายสามในยามนี้กลับไม่ได้ดีนัก ทั้งความคิดนั้นของเขาอีก นางจึงกดความรู้สึกผิดของตนลงได้ แล้วเอ่ยว่า “เป็นญาติผู้น้องของเจ้าเอง” 


 


 


“ห๊ะ!” ชื่อที่คุณชายสามคิดถึงเป็นชื่อแรกคือเถียนอิ๋ง 


 


 


ทว่ามิใช่เพราะเขามีความรู้สึกพิเศษใดกับเถียนอิ๋งดอก แต่เป็นเพราะญาติผู้น้องทั้งสองในตระกูลเถียนนั้น เถียนอิ๋งอายุมากกว่า หากต้องหมั้นหมายกัน คนแรกที่เขาจะนึกถึงย่อมเป็นนาง 


 


 


หัวใจดวงนั้นของคุณชายสามคล้ายจมลงไปในกระทะน้ำมันก็มิปาน มันร้อนเสียจนเขาแทบหายใจไม่ออก 


 


 


“ท่านแม่ ท่านให้ข้าหมั้นหมายกับญาติผู้น้องจริงหรือ” คุณชายสามถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ในหัวของเขาปรากฏท่าทีชอบข่มผู้คนตั้งแต่เล็กจนโตของเถียนอิ๋งขึ้นมา 


 


 


เขาอดยิ้มออกมามิได้ “ท่านแม่ พี่รองเป็นพี่ ข้าเป็นน้อง เขายังไม่มีคู่หมายเลย เหตุใดท่านถึงได้กำหนดคู่หมายให้ข้าแล้วเล่า” 


 


 


“ตัวอัปรีย์ เจ้ายังมีหน้ามาถามอีกหรือ” นายท่านรองเอ่ยขึ้นด้วยโทสะ “เจ้าลองคิดถึงเรื่องต่ำช้าที่เจ้าทำดูสิ เจ้ามีสิทธิ์อันใดเอาตัวไปเปรียบกับพี่รองเจ้า” 


 


 


“ข้าย่อมมิอาจเทียบกับพี่รองได้แน่” คุณชายสามยิ้มเย็น หัวใจเต้นเร็วระรัวอยู่ในอกคล้ายว่าหากมิพูดอันใดสักอย่างมันคงปริแตกออกมาเป็นแน่ “ข้าไม่เคยซื้อตัวนักพรตให้มาพูดจาเหลวไหล ทั้งไม่เคย…” 


 


 


เขาเอ่ยเสียงดังจนทำให้คุณชายห้าที่นอนหลับอยู่ห้องด้านข้างตกใจตื่น 


 


 


คุณชายห้าวิ่งพรวดเข้ามา เมื่อเห็นเหตุการณ์ภายในห้องก็ตกใจจนวิ่งเข้าไปกอดขาคุณชายสามไว้ “พี่สาม…” 


 


 


คุณชายสามเพียงรู้สึกว่ามีอันใดบางอย่างติดอยู่ที่คอหอย วาจาที่คิดจะเอ่ยกลับพูดไม่ออกเสียแล้ว 


 


 


คนทั้งสองตรงหน้าคือบิดามารดาของเขา หากพูดออกมาจริงๆ ว่าบุตรในท้องของเยียนเหนียงเป็นบุตรของพี่รอง เช่นนั้นบ้านหลังนี้คงพังทลายลงแน่ ถึงตอนนั้นน้องห้าจะทำเช่นไรเล่า 


 


 


คุณชายสามพลันท้อแท้สิ้นหวังขึ้นมา เขาลูบหัวคุณชายห้าแล้วเอ่ยกับนางเถียนอย่างอ่อนแรงว่า “ลูกทราบแล้ว หากไม่มีเรื่องใด ลูกขอตัวก่อน” 


 


 


“เจ้าสาม” นางเถียนเรียกคุณชายสามไว้แล้วเอ่ยอ้ำๆ อึ้งๆ ว่า “ป้าสะใภ้รองของเจ้ามาหา บอกว่าอยากจะให้เจ้ากับญาติผู้น้องแต่งงานกันเร็วกว่ากำหนดสักหน่อยเพื่อนำเรื่องอันเป็นมงคลมาสู่จวน ให้ฮูหยินผู้เฒ่าได้เบิกบานใจขึ้นบ้าง” 


 


 


“ป้าสะใภ้รอง?” คุณชายสามอึ้งงันไป “เหตุใดจึงเป็นป้าสะใภ้รองเล่า” 


 


 


นางเถียนมีพี่น้องสามคน เถียนอิ๋งเป็นบุตรสาวของลุงใหญ่ แล้วเกี่ยวอันใดกับป้าสะใภ้รองเล่า 


 


 


“ผู้ที่เจ้าหมั้นหมายด้วยคือเถียนเสวี่ย หากป้าสะใภ้รองไม่มาแล้วจะให้ท่านยายเจ้ามาเองหรือไร” 


 


 


คุณชายสามผ่อนลมหายใจโล่งอกออกมาทันที 


 


 


มิใช่เพราะเขามีความรู้สึกฉันชู้สาวกับเถียนเสวี่ย แต่ไม่ว่าเรื่องใดย่อมต้องมีการเปรียบเทียบ เดิมเขาคิดว่าต้องแต่งกับเถียนอิ๋ง ยามนี้เปลี่ยนเป็นเถียนเสวี่ยกลับรู้สึกโชคดีขึ้นมาหลายส่วนทีเดียว 


 


 


ไม่ว่าอย่างไรอุปนิสัยของเถียนเสวี่ยก็ดียิ่ง 


 


 


ภาพของเถียนเสวี่ยปรากฏขึ้นมาให้หัวของเขา แม้มิอาจพูดได้ว่าชมชอบแต่ก็มิได้รู้สึกต่อต้านการแต่งงานครั้งนี้ถึงเพียงนั้นแล้ว 


 


 


“ลูกทราบแล้ว” 


 


 


คุณชายสามจะเดินออกไปด้านนอกแต่ถูกคุณชายห้าฉุดไว้ “พี่สาม ท่านมิได้พาข้าออกไปเที่ยวเล่นนานแล้วนะ” 


 


 


“ไปเถิด” คุณชายสามตบมือคุณชายห้า แล้วอุ้มเขาออกไปโดยไม่หันหลังกลับมามองแม้แต่น้อย 


 


 


คุณชายห้าไม่พอใจอย่างยิ่ง ทั้งยังบ่นว่า “พี่สาม ข้าอายุเจ็ดปีแล้ว รีบวางข้าลงเดี๋ยวนี้!” 


 


 


เมื่อบุตรชายทั้งสองเดินไปไกลแล้ว นางเถียนจึงหันกลับมามองนายท่านรอง แล้วเอ่ยอย่างทอดถอนใจว่า “ท่านพี่ เจ้าสามก็รับปากเรื่องแต่งงานด้วยดีแล้ว ต่อไปท่านอย่าได้เอ่ยเรื่องนั้นขึ้นมาอีกเลย เขาอายุยังน้อยไร้ประสบการณ์จึงเลอะเลือนกระทำผิดไปเท่านั้น เราปิดเรื่องนี้ไว้ไม่เอ่ยถึงมันอีก รอเขาแต่งงานมีบุตรก็ไม่มีอันใดแล้ว” 


 


 


“ฮึ หากมันยังกล้าคิดอันใดอีก ข้าจะตีขามันให้หักเอง!” 


 


 


นางเถียนพลันรู้สึกไม่พอใจขึ้นมา น้ำเสียงจึงเปลี่ยนไปทันที “ปรบมือข้างเดียวจะดังได้อย่างไร ท่านพี่ หรือเยียนเหนียงไม่มีความผิดใดเลยสักนิด” 


 


 


นายท่านรองเห็นเยียนเหนียงเป็นดั่งดวงใจไปเสียนานแล้วจึงไม่ยอมให้ผู้ใดแตะต้องหรือกล่าวว่า ครั้นได้ยินเช่นนั้นจึงโมโหขึ้นมา “เยียนเหนียงเกิดมารูปโฉมงดงามก็เป็นความผิดงั้นหรือ” 


 


 


นางเถียนแค่นยิ้มเย็น “หลานสะใภ้ใหญ่ก็รูปงามเช่นกัน เหตุใดจึงไม่เห็นเจ้าสามเหลียวมองสักคราเล่า เห็นชัดว่าเยียนเหนียงมิทำตัวให้เหมาะสมทำให้คุณชายในจวนเสียคน!” 


 


 


“นางเถียน ยามนี้เกิดเรื่องในจวนเรามากมาย ข้าไม่อยากจะทะเลาะกับเจ้าอีก พรุ่งนี้ข้าจะไปรับเยียนเหนียงกลับ!” นายท่านรองเอ่ยจบก็สะบัดแขนเสื้อจากไป 


 


 


เยียนเหนียงกลับไปพักที่เรือนในตรอกซิ่งฮวาอีกครา ยามนี้นางดูเยือกเย็นมากขึ้นกว่าเดิมเสียอีกไม่เหมือนผู้ที่กำลังจะเป็นมารดาคนสักนิด 


 


 


ครั้นถึงเวลากินข้าว ควันขาวโขมงจากหน้าต่างของเรือนแต่ละหลังก็ลอยฟุ้งขึ้นฟ้า คนผู้หนึ่งปีนข้ามกำแพงที่ไม่นับว่าสูงนักเข้ามาภายในเรือน แล้วฉวยโอกาสตอนที่แม่ครัวไปเอาฟืนมาเติมไฟลอบโรยผงยาลงไปในน้ำแกงที่กำลังต้มอยู่ 


 


 


เพียงแต่หลังจากที่เขาไปแล้วก็มีคนผู้หนึ่งปรากฏกายขึ้นเงียบๆ แล้วปัดหม้อน้ำแกงนั้นคว่ำลงทันที 


 


 


เมื่อแม่ครัวอุ้มฟืนกลับมาก็ต้องตะโกนด่าเสียงดังว่า “แมวป่าที่ใดมาก่อกวนอีกแล้ว อยากจะสับมันเป็นพันชิ้นเสียจริงๆ!” 


 


 


นางจึงต้มน้ำแกงใหม่อีกครา ทั้งปากก็ด่าทอไปด้วย 


 


 


วันถัดมาเยียนเหนียงก็ถูกรับกลับจวนเช่นเดิม คุณชายรองที่ยืนซ่อนตัวในที่ลับตาอยู่ค่อนวันถึงกับชกต้นไม้โดยแรงคราหนึ่ง 


 


 


ต้นไม้สั่นไหว ใบไม้ร่วงกราวลงมาไม่น้อย นกที่เกาะอยู่บนกิ่งไม้ก็บินหนีไป ด้วยความตกใจมันจึงถ่ายมูลออกมาและบังเอิญตกใส่ศีรษะของคุณชายรองพอดี 


 


 


คุณชายรองรู้สึกว่ามีบางอย่างตกใส่ศีรษะตนจึงยื่นมือไปคลำดู สีหน้าเขาเปลี่ยนไปทันที แล้วทะยานกลับเรือนอย่างรวดเร็วดุจไฟลนก้นโดยมิทันมีเวลาครุ่นคิดว่าเหตุใดบุตรในครรภ์ของเยียนเหนียงถึงยังอยู่รอดปลอดภัยได้ 


 


 


เมื่อเยียนเหนียงจัดการจนนายท่านรองสกุลหลัวยอมไปแล้ว นางก็นั่งเหม่อลอยอยู่ริมหน้าตามองผูเถาในเรือนตน 


 


 


เวลานี้ผูเถาสุกเต็มที่แล้ว แต่ละพวงต่างห้อยแขวนซ่อนตัวอยู่ในกลุ่มใบไม้สีเขียว ผลของมันสีม่วงมันวาวดุจอัญมณี 


 


 


“ไปตัดผูเถามาให้ข้าสักหลายพวงหน่อย” นางไล่สาวใช้ที่คอยปรนนิบัติตนออกไป แล้วลูบที่ท้องตนคราหนึ่ง 


 


 


ซื่อจื่อคงอยากให้เด็กคนนี้เกิดมากระมัง เพราะคุณชายรองมิอยากเก็บไว้! 


 


 


นางรู้มานานแล้วว่ายิ่งคุณชายรองไม่ต้องการ ซื่อจื่อก็ยิ่งปรารถนาจะเห็นมันเกิดขึ้น 


 


 


บางครานางก็อดคิดไม่ได้ว่าซื่อจื่อมีความแค้นลึกซึ้งมากเพียงใดกันแน่กับบ้านของนายท่านรองถึงได้วางแผนจัดการเขาเป็นขั้นเป็นตอนปานนี้ 


 


 


แต่นางเข้าใจดีว่าตนมีฐานะเป็นเพียงหมากตัวหนึ่ง ในเมื่อคราแรกที่ซื่อจื่อช่วยนางให้ออกมาจากสถานที่ที่ไม่ต่างอันใดกับนรก ทั้งยังรับปากจะแก้แค้นให้นาง นางก็ควรรักษาสัญญาที่ให้ไว้ว่าจะยอมทุ่มเททุกอย่างที่มีเพื่อทำเรื่องที่ซื่อจื่อมอบหมายให้สำเร็จ 


 


 


นางลูบครรภ์ตนเบาๆ ไปมา สามเดือนกว่าแล้ว บางครายังรู้สึกถึงสายเลือดที่ผูกพันกันอยู่อย่างน่าอัศจรรย์ 


 


 


เด็กคนนี้เกิดมาก็ถูกกำหนดให้โชคร้ายเสียแล้ว แต่หากเทียบกับความแค้นอันลึกล้ำดั่งทะเลเลือดของคนในตระกูลหลายสิบคนของนางแล้ว นี่กลับเป็นค่าตอบแทนที่นางควรต้องจ่าย นางไม่โทษผู้ใดทั้งสิ้น! 


 


 


ภาพเหตุการณ์นั้นปรากฏขึ้นต่อหน้าเยียนเหนียงอีกครา 


 


 


เขาแทงบุรุษอ้วนดุจสุกรนั้นด้วยดาบเดียว แล้วเดินเข้ามายืนอยู่ตรงหน้านางพลางถามว่า “ข้าจะพาเจ้าไปจากที่นี่ จะแก้แค้นแทนเจ้า เจ้ายอมที่จะทำเรื่องบางอย่างให้ข้าหรือไม่ เรื่องนี้อาจจะทำให้เจ้าต้องเปลืองตัวและเสียศักดิ์ศรี กระทั่งชีวิต ข้าขอพูดให้ชัดเจนก่อนว่าข้ามิใช่ผู้รู้จักรักถนอมหยกงาม ข้าช่วยชีวิตเจ้า แก้แค้นให้เจ้าเพื่อการแลกเปลี่ยนบางอย่าง ดังนั้นอาจพูดได้ว่าเจ้าอาศัยกำลังของตนในการแก้แค้นครั้งนี้ เจ้าคิดให้ดี หากรับปากแล้วก็มิอาจเสียใจภายหลังได้” 


 


 


นางพยักหน้าอย่างแทบจะไม่ลังเลเลย 


 


 


ร่างกายและศักดิ์ศรีของนางมันสูญสิ้นไปนานแล้ว ขอเพียงสามารถแก้แค้นให้ตระกูลได้ ไม่มีอันใดที่นางสละมิได้ 


 


 


“เยียนเหนียง ล้างผูเถาเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ” 


 


 


เยียนเหนียงกลับคืนสู่ท่าทีนิ่งขรึมอีกคราแล้วเอ่ยเสียงเรียบว่า “วางไว้ตรงนั้นเถิด”  


 


 


ผ่านไปเพียงไม่กี่วันจวนเจิ้นกั๋วก็ปกคลุมไปด้วยสีแดง ทุกคนต่างช่วยกันจัดงานมงคลนี้อย่างดี แม้จะฉุกละหุกไปหน่อยแต่ผู้ที่มาร่วมแสดงความยินดีกลับมากจนนับไม่ถ้วน 


 


 


นางเมิ่งมารดาของเถียนอิ๋งเห็นภาพในงานแล้วก็อิจฉาเสียจนขอบตาแดงก่ำ หลังจากกลับเรือนตนไปจึงลอบด่านางเถียนอีกหนึ่งคำรบ 


 


 


ทว่าเถียนอิ๋งกลับบังเอิญได้ยินเข้า นางจึงเอ่ยด้วยใบหน้าบึ้งตึงว่า “ท่านแม่ ท่านพูดอันใดกัน ลูกจะแต่งออกเรือนไปไม่ได้เลยเชียวหรือถึงต้องให้คนมาเลือกระหว่างลูกกับญาติผู้น้อง” 


 


 


นางเมิ่งแค้นเคืองที่มิได้ดั่งใจตน “เด็กโง่ เจ้าคิดว่าตระกูลเรายังคงเป็นเช่นเดิมอยู่อีกหรือ แต่ต่อให้เป็นเช่นเดิมตระกูลของเราก็ยากนักจะแต่งเข้าตระกูลญาติผู้พี่เจ้าได้! แต่ที่แม่โมโหมากที่สุดคืออาของเจ้าลำเอียง เรื่องดีใดๆ ล้วนคิดถึงแต่เถียนเสวี่ย ยามนี้เถียนเสวี่ยโชคดีได้แต่งงานกับตระกูลสูงศักดิ์แต่กลับทำให้เจ้ามิอาจพักอยู่ในเรือนอาเจ้าได้อย่างสะดวกอีกต่อไป!” 


 


 


ตั้งแต่เถียนเสวี่ยกับคุณชายสามหมั้นหมายกัน เถียนเสวี่ยก็ย่อมมิอาจพักอยู่ในจวนกั๋วกงได้อีกต่อไป ทำให้เถียนอิ๋งจำต้องกลับตระกูลเถียนด้วยเช่นกัน 


 


 


“ไม่ได้การแล้ว รอให้ผ่านไปอีกสักระยะ แม่จะต้องไปพูดกับอาเจ้าให้รับเจ้าไปอยู่ด้วย” 


 


 


“ข้าไม่ไป!” 


 


 


“เจ้ากล้า!” นางเมิ่งยื่นมือออกไปดีดหน้าผากเถียนอิ๋งโดยแรงคราหนึ่ง 


 


 


เถียนอิ๋งขอบตาแดงเรื่อขึ้น แล้วร้องไห้ออกมา 


 


 


กระทั่งถึงวันยกน้ำชาในวันถัดมา เจินเมี่ยวจึงมีโอกาสได้พินิจน้องสะใภ้สามอย่างละเอียดถี่ถ้วนแม้เถียนเสวี่ยจะพักอยู่ในจวนกั๋วกงมาสักระยะแล้ว แต่ปกติพวกนางน้อยนักจะได้พบหน้ากัน ยามนี้เมื่อพินิจอย่างจริงจังจึงพบว่านางเป็นสตรีที่หมดจดงดงามและมีท่าทีสุขุมเรียบร้อยยิ่ง 


 


 


นางสวมกระโปรงสีแดงปักลายบงกช ฝีเท้าเยื้องย่างแผ่วเบา และคอยยกน้ำชาให้ผู้อาวุโสแต่ละท่านตามคุณชายสามอย่างเป็นขั้นเป็นตอน 


 


 


คุณชายสามมักจะรอนางอยู่ครู่หนึ่งเสมอ เผยให้เห็นการดูแลเอาใจใส่ต่อเจ้าสาวหมาดๆ โดยที่เขาเองก็ไม่รู้ตัว 


 


 


หลังจากคารวะเจิ้นกั๋วกงเสร็จ เจ้าสาวหมาดๆ จึงยกน้ำชาไปให้ฮูหยินผู้เฒ่าที่ข้างเตียง 


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่ายังคงหลับอยู่ แต่เจ้าสาวคนใหม่ยังคงรักษาความสุขุมเอาไว้ได้ ทุกกิริยาท่าทางที่แสดงออกล้วนเผยให้เห็นถึงความเคารพที่มีต่อฮูหยินผู้เฒ่าเย่างเต็มเปี่ยม นางคุกเข่าอยู่บนพื้นนานถึงหนึ่งเค่อจึงลุกขึ้น 


 


 


เจินเมี่ยวมีความประทับใจอันดีกับเถียนเสวี่ยไม่น้อย นางจึงมอบปิ่นทองระย้าฝังทับทิมลายหางอินทรีย์ให้เป็นของขวัญ เม็ดทับทิมนั้นมีขนาดเท่าเม็ดบัวทีเดียว มันส่องแสงระยิบระยับเป็นประกายยิ่ง 


 


 


เถียนเสวี่ยรับมาแล้วรู้สึกทำตัวไม่ถูกอยู่บ้าง นางจึงชำเลืองไปมองคุณชายสามโดยไม่รู้ตัว 


 


 


“พี่สะใภ้ใหญ่ให้เจ้า เจ้าก็รับไว้เถิด ยังไม่รีบขอบคุณพี่สะใภ้อีก” 


 


 


เถียนเสวี่ยรีบเอ่ยขอบคุณ นางเถียนพลันรู้สึกขัดใจขึ้นมาทันใด 


 


 


นางเจินใจกว้าง นางผู้เป็นแม่สามีของเถียนเสวี่ยย่อมพลอยได้หน้าไปด้วย แต่ใจกว้างเสียจนของขวัญที่ให้นั้นดีกว่าแม่สามีอย่างนางเสียอีก…นี่มิใช่ต้องการกลั่นแกล้งนางหรอกหรือ! 


 


 


เจินเมี่ยวมองนางเถียนคราหนึ่งแล้วยิ้มออกมาอย่างไม่เห็นมีเรื่องใดสำคัญ 


 


 


ยามนี้นางมีเงิน จะทำตามใจตนบ้างแล้วอย่างไร นางไม่มีอารมณ์ไปใส่ใจคนที่ในท้องเต็มไปด้วยน้ำเน่าเสียดอก!  

 

 


ตอนที่ 347 องค์ชายรองเข้าเมืองหลวง

 

ว่าไปแล้วก็แปลกยิ่งเพราะตั้งแต่เถียนเสวี่ยแต่งเข้ามา อาการป่วยของฮูหยินผู้เฒ่ากลับดีขึ้นเรื่อยๆ 


 


 


เมื่อเป็นเช่นนี้จึงไม่มีผู้ใดมีใจดูแคลนเจ้าสาวหมาดๆ ที่แต่งเข้ามาอย่างฉุกละหุก แต่กลับให้เกียรติมากขึ้นอีกขั้นหนึ่งแทน นางเถียนจึงพลอยได้หน้าไปด้วย หากมองไปคราใดก็จะเห็นท่าทีภาคภูมิใจของนางอยู่เสมอ 


 


 


ยามอยู่ตามลำพังนางจึงสอนเถียนเสวี่ยว่า “ไปดูแลฮูหยินผู้เฒ่าที่เรือนให้มากสักหน่อย อาการป่วยของฮูหยินผู้เฒ่าดีขึ้นเพราะเจ้านำความเป็นสิริมงคลเข้ามา เจ้าไปคอยเฝ้าดูแลให้ดี ต่อไปฮูหยินผู้เฒ่าย่อมให้ความสำคัญกับเจ้ามากขึ้นอีกขั้น เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าเอ็นดูเจ้า ถึงตอนนั้นเจ้าก็ไม่มีทางด้อยไปกว่านางเจินแน่” 


 


 


ระยะนี้นางเถียนกลับคิดขึ้นมาได้ว่าการที่ฮูหยินผู้เฒ่าล้มป่วยหนักนั้นมิใช่เพราะการตายของหยวนเหนียงหรอกหรือ แล้วต้นเหตุที่แท้จริงที่หยวนเหนียงต้องแต่งไปยังดินแดนหมานเหว่ยก็เป็นเพราะนางเจินสารเลวนั่น! 


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าอาจไม่พูดแต่ในใจย่อมต้องรู้แจ้งดียิ่ง เกรงว่าต่อไปคงมิได้รักเอ็นดูนางเถียนอย่างไม่สนใจสิ่งใดเช่นที่ผ่านมาเป็นแน่ 


 


 


คนเรามิอาจสุขสบายไปได้นับพันวัน บุปผาย่อมไม่มีวันสวยสดไปได้นับร้อยราตรี นางจะคอยดูว่าสตรีชั่วช้าที่ทำร้ายบุตรสาวนางจะมีจุดจบเช่นไร! 


 


 


ทุกคราที่เอ่ยถึงเจินเมี่ยว แววตาของนางเถียนมักจะฉายความเ**้ยมเกรียมออกมาเสมอ เถียนเสวี่ยเห็นแล้วรู้สึกเหน็บหนาวไปถึงขั้วหัวใจเลยทีเดียว 


 


 


“ได้ยินหรือไม่” 


 


 


“ท่านอา การดูแลปรนนิบัติท่านย่าเป็นหน้าที่ของหลานอยู่แล้ว ไม่ว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะชมชอบหรือไม่ หลานก็ต้องทำให้ดีที่สุดเจ้าค่ะ” 


 


 


ว่าไปแล้วคนเราก็แปลกนัก 


 


 


ที่ผ่านมานางเถียนคิดว่าเถียนเสวี่ยรู้ความและสุขุมยิ่ง ทว่ายามนี้เมื่อมองในมุมของแม่สามี กลับรู้สึกว่านางช่างทึ่มทื่อเหลือเกิน ไยไม่รู้จักประจบเอาใจอย่างนางเจินสักนิด 


 


 


นางเถียนขมวดคิ้วมุ่น ไม่รู้เมื่อใดที่รอยเ**่ยวย่นตรงหางตามันมากเสียจนหนีบแมลงวันให้ตายได้ “ต่อไปอยู่ในจวนอย่าเรียกว่าอาอีก ตอนนี้เจ้าเป็นสะใภ้จวนกั๋วกง หากผู้อื่นได้ยินเข้าคงไม่เหมาะ” 


 


 


เถียนเสวี่ยหน้าแดงเรื่อขึ้นมาทันใด นางข่มกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมาแล้วเอ่ยรับคำว่า ‘เจ้าค่ะ’ 


 


 


ครั้นนางกลับไปถึงเรือนตน เห็นคุณชายสามกำลังฝึกหมัดมวยอยู่ที่ลานกลางเรือนจึงยืนดูอยู่ด้านข้างเงียบๆ กระทั่งคุณชายสามฝึกเสร็จ นางก็ล้วงเอาผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดเหงื่อให้เขา 


 


 


“ข้าทำเองดีกว่า” คุณชายสามรู้สึกขัดเขินเล็กน้อยจึงยื่นมือออกไปรับผ้าเช็ดหน้า 


 


 


เถียนเสวี่ยไม่เอ่ยวาจาใด นางยังคงเขย่งเท้าคอยเช็ดเหงื่อให้เขาอย่างตั้งใจ 


 


 


กลิ่นหอมอ่อนๆ ของสตรีลอยวนอยู่ตรงปลายจมูกเขา ครั้นคิดถึงความวาบหวามละมุนละไมที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนั้นแล้ว ใบหูของคุณชายสามก็แดงระเรื่อขึ้น 


 


 


กับเถียนเสวี่ย เขาไม่ได้มีความรู้สึกอันร้อนแรงเช่นที่มีต่อเยียนเหนียง ในใจของเขานั้นเยียนเหนียงเปรียบดั่งพระจันทร์ในน้ำ บุปผาในคันฉ่อง แม้จะงดงามยิ่งแต่กลับเป็นความเจ็บปวดที่ชั่วชีวิตนี้เขามิอาจไปแตะต้องได้ 


 


 


แต่เถียนเสวี่ย อ่อนโยนดุจสายน้ำ ยามอยู่กับนางเขารู้สึกผ่อนคลายและสบายใจยิ่ง คิดดูแล้วหากสามารถใช้ชีวิตด้วยกันเช่นนี้ตลอดไปได้ก็ไม่เลวเลย 


 


 


เขาจึงมิได้หลบหลีกอีก ครั้นจ้องมองเถียนเสวี่ยกลับเห็นว่านางขอบตาแดงเรื่อเล็กน้อยจึงเอ่ยถามว่า “เป็นอันใดหรือ” 


 


 


“ลมแรงทำให้แสบตา ประเดี๋ยวก็ดีขึ้นแล้ว” 


 


 


ครั้นคิดได้ว่าเถียนเสวี่ยเพิ่งกลับมาจากเรือนซินหยวน คุณชายสามก็หน้าขรึมลง “หากท่านแม่เอ่ยอันใด เจ้าอย่าเก็บไปใส่ใจเลย คิดว่าตนควรทำเช่นไรก็ทำเช่นนั้นเถิด” 


 


 


“พี่สาม?” เถียนเสวี่ยทั้งตกใจและแปลกใจ 


 


 


คุณชายสามหันหลังให้นาง ครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า “ญาติผู้น้อง ที่เจ้าเป็นมาตลอดนั้นดีที่สุดแล้ว” 


 


 


เขาก้าวเท้ายาวจากไปคล้ายคิดจะหลบหนีบางสิ่ง ทิ้งเถียนเสวี่ยให้ยืนอยู่ที่นั่นเงียบๆ คนเดียว นางบีบดอกเชียนหนิว[1] ที่เลื้อยอยู่บนต้นดอกกุ้ย ในใจก็คล้ายเข้าใจอันใดขึ้นมาบ้างแล้ว 


 


 


เจินเมี่ยวนั่งเหม่อลอยอยู่บนชิงช้า นกเอี้ยงกับแมวขาวก็ทะเลาะกันอยู่ข้างเท้านางนั่นแล 


 


 


อาจเพราะคุ้นเคยกันแล้ว แม้ทั้งสองตัวจะวิวาทกันก็มิได้เอาเป็นเอาตายเหมือนเมื่อก่อนแล้ว แต่กลับดูเหมือนเป็นการวิวาทเพื่อฆ่าเวลาเท่านั้น 


 


 


หลัวเทียนเฉิงรีบร้อนกลับมาจากศาลาว่าการ แล้วหยุดยืนอยู่ที่หน้าประตูเย่ว์ต้ง ครั้นเห็นภาพนี้ก็เกิดอารมณ์อันยากจะบรรยายขึ้นมา 


 


 


“ซื่อจื่อ…” 


 


 


หลัวเทียนเฉิงโบกมือส่งสัญญาณให้บรรดาสาวใช้ออกไป แล้วเดินเข้าไปเงียบๆ 


 


 


เจินเมี่ยวกำลังเหม่อลอยอยู่จึงมิรับรู้ถึงการเคลื่อนไหวของคนด้านหลังตน ทว่าชิงช้ากลับถูกแกว่งขึ้นมาทันใด 


 


 


ชิงช้าลอยสูงละลิ่ว กระโปรงสีเขียวอ่อนกระพือไปตามแรงลมคล้ายผีเสื้อโบยบิน นางตกใจร้องเสียงหนึ่งแล้วหันหลังไปมอง นางเอ่ยอย่างแฝงโทสะอยู่หลายส่วนว่า “หลัวเทียนเฉิง…” 


 


 


หางเสียงลากยาวที่ใสดุจน้ำพุของสาวน้อยวัยแรกแย้ม ทำให้คนฟังคันยุบยิบในหัวใจ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงสายตาที่หันชำเลืองมานั้นเลย มันช่างเป็นลักษณะพิเศษเพียงหนึ่งเดียวยามหญิงงามขุ่นเคืองโดยแท้ 


 


 


ดังนั้นองค์ชายรองแห่งหมานเหว่ยจึงเดินทางเข้าเมืองหลวงอีกคราโดยไม่หวั่นแม้ไกลนับหมื่นลี้กระมัง 


 


 


คิดถึงตรงนี้แล้วหลัวเทียนเฉิงก็โมโหขึ้นมาอีก เมื่อบวกกับความหมางเมินที่คล้ายมีคล้ายไม่มีของทั้งสองในระยะหลังนี้เข้าไปด้วย เขาก็ยิ่งใช้แรงผลักชิงช้าให้สูงขึ้นอีก 


 


 


สุดท้ายในขณะที่ชิงช้าเกือบจะหยุดนิ่งลงแล้วกลับได้ยินเพียงเสียงร้องตกใจของเจินเมี่ยว แม้แต่จิ่นเหยียนนกเอี้ยงก้นลายและแมวขาวตาสองสียังต้องตกใจอึ้งงัน พวกมันหยุดการวิวาทกันแล้วหันไปมองด้วยความแปลกใจ 


 


 


“หลัวเทียนเฉิง เจ้าคนชั่วช้า…” มือเจินเมี่ยวหลุดจากเชือกชิงช้า ร่างทั้งร่างจึงลอยกระเด็นหลุดไป 


 


 


หลัวเทียนเฉิงกระโดดลอยตัวขึ้นไปรับนางอยู่กลางอากาศ แล้วหมุนตัวอีกสองสามตลบก็ถึงพื้น เจินเมี่ยวรู้สึกเวียนหัวตาลายอยู่เล็กน้อย นางผลักเขาออกแล้วเอ่ยว่า “ท่านเป็นบ้าไปแล้วหรือไร” 


 


 


“ตอนนั้นเขาก็รับเจ้าไว้เช่นนี้กระมัง” 


 


 


“ห๊ะ?” 


 


 


หลัวเทียนเฉิงอุ้มนางไปนั่งลงที่ชิงช้าโดยไม่เอ่ยวาจาใดสักคำ 


 


 


จิ่นเหยียนและแมวขาวต่างเบิกตากลมโตคอยสังเกตการณ์ 


 


 


หลัวเทียนเฉิงไม่ชมชอบเจ้าสองตัวนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เจ้านกนั่นเป็นศัตรูกับเขามาตั้งแต่แรกเริ่มเลยทีเดียว ประหนึ่งเขากินบรรพบุรุษของมันไปแปดชั่วโคตรกระนั้น ส่วนแมวขาว แม้เขาจะเป็นคนมอบมันให้คอยเป็นเพื่อนเจินเมี่ยวแต่กลับกลายเป็นการชักหมาป่าเข้าเรือนตน เพราะมันชอบกระโดดเข้ามาในอกเจินเมี่ยวทุกคราที่พวกเขาสามีภรรยาใกล้ชิดกัน 


 


 


เขาไม่เข้าใจจริงๆ พื้นที่เล็กน้อยเพียงนั้น มันจะมาแย่งอันใดกับเขาหนักหนา 


 


 


“ไปให้พ้น” 


 


 


เจินเมี่ยวได้ยินก็โกรธยิ่งจึงลุกขึ้นเดินหนีไป 


 


 


หลัวเทียนเฉิงรีบดึงนางกลับมา เส้นโลหิตตรงขมับเต้นตุบๆ ไม่หยุด “ข้าไล่พวกมัน” 


 


 


จิ่นเหยียนและแมวขาวจึงจากไปคล้ายมิใคร่เต็มใจนัก 


 


 


“องค์ชายรองแห่งหมานเหว่ยเข้าเมืองหลวงมาอีกแล้ว” เขาพลันเอ่ยประโยคหนึ่งขึ้น 


 


 


เจินเมี่ยวไม่คิดเดินหนีแล้ว ความสงสัยปรากฏวูบขึ้นในดวงตานาง 


 


 


“องค์ชายรองเข้าวังไปเข้าเฝ้าฝ่าบาท ทรงเอ่ยขออภิเษกสมรสกับน้องรอง” 


 


 


“น้องรอง? ท่านหมายถึงหลัวจือฮุ่ย แต่นางมีคู่หมายแล้วมิใช่หรือ!” เจินเมี่ยวตกใจไม่น้อย 


 


 


หลัวเทียนเฉิงยิ่งหน้าดำคล้ำขึ้นไปอีก มือเขากำเชือกชิงช้าแน่น สายตาจ้องมองเจินเมี่ยวนิ่ง 


 


 


เจินเมี่ยวใจหายวาบขึ้นมา นางเอ่ยถามว่า “ฝ่าบาทคงมิใช่รับปากไปแล้วกระมัง” 


 


 


“เจี๋ยวเจี่ยว เจ้าอยากให้ฝ่าบาททรงรับปากหรือไม่” หลัวเทียนเฉิงถามหยั่งเชิงนาง 


 


 


อันใดที่ว่าดินแดนหมานเหว่ยให้อิสระกับสตรีไม่น้อย เนื้อวัวเนื้อแพะที่หมานเหว่ยหอมกว่าเมืองหลวง องค์ชายแดนหมานเหว่ยไม่เลวเลย นางถึงกับเคยเอ่ยวาจาเหล่านี้ มันทำให้เขาโมโหแทบตายแล้วจริงๆ ! 


 


 


“ย่อมไม่อยากอยู่แล้ว แม้องค์ชายรองแห่งหมานเหว่ยจะไม่เลวเลย แต่น้องรองหมั้นหมายแล้ว ทั้งคุณชายเฮ่อที่ตาบอดแต่ใจไม่บอดก็เป็นคนดีเหลือเกิน ข้าเห็นว่าน้องรองมิได้รู้สึกต่อต้านกับงานมงคลครั้งนี้ สักนิดแล้วเหตุใดต้องไปทำลายมันด้วยเล่า” 


 


 


“องค์ชายรองแห่งหมานเหว่ยไม่เลวเลย เฮ่อหลางก็เป็นคนดีเหลือเกิน?” หลัวเถียนเฉิงเอ่ยถามด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก แต่มือกลับกำเชือกชิงช้าแน่น 


 


 


เจินเมี่ยวจ้องไปยังที่ตรงนั้นแล้วเอ่ยเตือนว่า “ปล่อยมือ!” 


 


 


ยามนี้คนทั้งสองนั่งอยู่บนชิงช้าด้วยกัน มือหนึ่งของหลัวเทียนเฉิงโอบเจินเมี่ยวไว้ อีกมือหนึ่งจับเชือกชิงช้า 


 


 


เมื่อได้ยินเจินเมี่ยวเอ่ยเช่นนี้ เขาพลันเข้าใจว่านางโกรธและต้องการให้เขาปล่อยนาง 


 


 


“ไม่ปล่อย!” 


 


 


ส่วนเจินเมี่ยวก็ได้เบิกตามองเชือกนั้นค่อยๆ ขาดผึงลง คนทั้งสองล้มลงไปกองกับพื้นด้วยกัน 


 


 


ครั้นมองหลัวเทียนเฉิงที่นอนอยู่ใต้ร่างตน เจินเมี่ยวก็รู้สึกหัวเราะมิออกร้องไห้มิได้ขึ้นมา “ข้าคงไม่ถูกชะตากับชิงช้าเป็นแน่” 


 


 


คนทั้งสองลุกขึ้นมาด้วยสภาพทุลักทุเลเล็กน้อย แต่มันกลับทำลายระยะห่างที่คล้ายมีคล้ายไม่มีในระยะหลังนี้ของพวกเขาไปจนสิ้น 


 


 


“เช่นนั้นฝ่าบาททรงรับปากหรือไม่” 


 


 


“ตอนนั้นข้าอยู่ด้วยพอดี จึงทูลฝ่าบาทไปว่าน้องรองได้หมั้นหมายเรียบร้อยแล้ว ฝ่าบาทจึงรีบตรัสยับยั้งองค์ชายรองไว้” 


 


 


หลัวเทียนเฉิงกลับมิห่วงหลัวจือฮุ่ยสักนิด เขารู้ดีแก่ใจว่าคนที่องค์ชายรองต้องการคือผู้ใด! หากองค์ชายรองดึงดันที่จะอภิเษกให้ได้ เขาก็แค่ทำให้พระองค์รู้ว่าน้องรองไม่ใช่คนผู้นั้นเสีย 


 


 


แต่ครั้นคิดว่ามีคนเดินทางไกลนับหมื่นลี้มาที่นี่เพื่อใช้จอบขุดใต้กำแพงเรือนเขา เขาก็เกิดอารมณ์ชั่ววูบที่จะกดศีรษะคนผู้นั้นให้จมอยู่ใต้กำแพงไปเสียทันที 


 


 


“เจี๋ยวเจี่ยว เจ้าคงไม่คิดว่าองค์ชายรองหลงใหลคุณหนูทุกคนในจวนเจิ้นกั๋วกงกระมัง” หลัวเทียนเฉิงเอ่ยถามประโยคหนึ่ง แล้วถอนหายใจออกมา 


 


 


“ระยะนี้เจ้างดไปร่วมงานเลี้ยงฉลองต่างๆ หน่อยดีกว่า” 


 


 


ต่อให้เขาไม่กลัวฐานะอันพิเศษขององค์ชายรอง แต่ก็กลัวว่าข่าวลือเรื่องที่องค์ชายรองคิดแย่งชิงภรรยาของเขาแพร่ออกไป ผู้ใดให้ในหัวของชาวหมานเหว่ยมีแต่กล้ามเนื้อกันเล่า! 


 


 


เจินเมี่ยวเข้าใจในทันที นางหน้าเห่อร้อนขึ้นมาเล็กน้อย แล้วพยักหน้าอย่างว่าง่าย 


 


 


“เจี๋ยวเจี่ยว” หลัวเทียนเฉิงขวางนางไว้ แล้วถอนหายใจออกมา “พวกเขาล้วนดีกว่าข้าทั้งสิ้นใช่หรือไม่”  


 


 


เจินเมี่ยวพลันลังเลขึ้นมา จะพูดความจริงดีหรือไม่ เรื่องนี่เป็นปัญหาจริงๆ 


 


 


“เจี๋ยวเจี่ยว?” 


 


 


“อุปนิสัยของพวกเขาดีกว่าท่านเล็กน้อยเท่านั้น” 


 


 


หลัวเทียนเฉิงกระชับมือที่โอบนางให้แน่นขึ้นอีกนิด แล้วขมวดคิ้วมุ่น “หืม? นี่คือวาจาจากใจจริงของเจ้า?” 


 


 


สตรีผู้นี้คิดจะยั่วให้เขาโกรธกระมัง เห็นชัดว่านางเคยพูดว่าชอบเขา แล้วผู้อื่นจะดีกว่าเขาได้อย่างไร 


 


 


“เจี๋ยวเจี่ยว ข้าอยากฟังความจริงจากใจเจ้า” 


 


 


“จริงหรือ” เจินเมี่ยวมิใคร่แน่ใจเท่าใดนัก 


 


 


“จริง แล้วในใจเจ้า พวกเขาอุปนิสัยดีกว่าข้าเล็กน้อยจริงหรือ” 


 


 


เห็นชัดว่าไม่จริง พวกเขาอุปนิสัยดีกว่าท่านมากเหลือเกินแล้ว ผู้ใดอารมณ์แปรปรวน ทั้งความคิดลึกล้ำดุจมหาสมุทร กระทำเรื่องใดล้วนไม่เลือกวิธีการเช่นท่านบ้าง! 


 


 


เจินเมี่ยวยื่นมือออกไปวาดภาพวงกลมที่ใหญ่ขึ้นอีกเล็กน้อย “ความจริงแล้ว ดีกว่าไม่น้อยเลย” 


 


 


“คุณหนูสี่สกุลเจิน!” 


 


 


เจินเมี่ยวเห็นแล้วก็ขำ นางรั้งเขาไว้แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านมิใช่อยากฟังความจริงหรอกหรือ” 


 


 


หลัวเทียนเฉิงชำเลืองมองนางโดยไม่เอ่ยสิ่งใด 


 


 


“ซื่อจื่อ ต่อให้พวกเขาจะดีเพียงใด แต่ในใจของข้ามีอยู่ข้อหนึ่งที่พวกเขาเทียบกับท่านไม่ได้เลยสักนิด” 


 


 


“ข้อใด” แววตาหลัวเทียนเฉิงเป็นประกายขึ้นมา 


 


 


เขาอยากฟังความจริงในใจเช่นนี้ต่างหากเล่า! 


 


 


“ไม่แต่งอนุ ไม่รับสาวใช้ทงฝัง” เจินเมี่ยวเอ่ยความจริงในใจออกมา 


 


 


สองข้อนี้ หรืออาจพูดว่ามันเป็นข้อเดียวกัน คือเหตุผลที่สำคัญที่สุดที่ทำให้นางยอมยกใจให้เขา ส่วนเรื่องอุปนิสัยอันขัดแย้งกันของทั้งสองฝ่าย นางคิดว่ามันสามารถค่อยๆ ปรับเปลี่ยนกันได้ 


 


 


“ภรรยาขี้อิจฉา ความจริงในใจเช่นนี้เจ้ากลับกล้าพูดออกมาได้” ใบหน้าหล่อเหลาของหลัวเทียนเฉิงเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มทำให้ดูรูปงามเป็นพิเศษ 


 


 


เมฆหมอกที่ก่อตัวขึ้นในหลายวันนี้พลันมลายหายไป เขาจูงมือนางไว้แล้วเอ่ยเสียงแผ่วต่ำว่า “เจี๋ยวเจี่ยว ข้าจะดีต่อเจ้าให้มาก ดีต่อเจ้าเพียงคนเดียว แต่เรื่องอื่นๆ ข้าก็มีจุดยืนของข้า แต่รับรองได้ว่าข้าจะไม่ทำร้ายผู้บริสุทธิ์เด็ดขาด” 


 


 


“ข้าแค่กลัวว่าท่านจะถลำลึกลงไปใน…” 


 


 


“ไม่มีทาง!” หลัวเทียนเฉิงตัดบทนางทันที “หากมีวันนั้นจริงๆ เจ้าก็มาด่าเตือนสติข้าได้เลย แต่ไม่อนุญาตให้เจ้าสร้างกำแพงขึ้นมากั้นระยะห่างระหว่างเราเด็ดขาด มิเช่นนั้นข้าคงนอนอยู่ในนั้นไม่ออกมาแล้ว หากเกิดเบื่อหน่ายก็จะลากคนอีกมากมายลงไปอยู่เป็นเพื่อน” 


 


 


เจ้าคนเชื่อถือไม่ได้! เจินเมี่ยวกลอกตาให้เขา แต่อารมณ์กลับดีขึ้นมากแล้ว 


 


 


คนทั้งสองจึงช่วยกันผูกเชือกชิงช้าเข้ากับต้นไม้อีกครา 


 


 


 


 


 


[1] ดอกเชียนหนิว คือดอก morning glory หรือดอกผักบุ้งฝรั่ง  

 

 


ตอนที่ 348 ยืนหยัดแน่วแน่

 

หลัวเทียนเฉิงคิดไว้แล้ว หากองค์ชายรองกล้ามา เขาจะต่อยตีกับอีกฝ่ายกระทั่งไม่มีผู้ใดจำผู้ใดได้เลยทีเดียว 


 


 


แต่น่าเสียดายที่เกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่ที่แม่น้ำไหวทั้งสองฝั่งขึ้นกะทันหัน องค์ชายหกที่รับผิดชอบในกรมโยธาจึงเร่งรุดไปดูทันที 


 


 


เจาเฟิงตี้โกรธกริ้วยิ่ง เพราะเมื่อสี่ปีก่อนแม่น้ำไหวก็เกิดน้ำท่วมภูเขา ตอนนั้นมีราษฎรมากมายที่อพยพและสูญหาย ราชสำนักใช้เงินมากมายไปกับการแก้ไขอุทกภัยนี้ทั้งยังสร้างเขื่อนอีก แม้ปีนี้ฝนจะมากกว่าสองปีก่อน แต่ก็มิควรเกิดเหตุอันตรายเช่นนี้ขึ้น 


 


 


เขาสงสัยว่าเงินที่นำไปใช้เพื่อแก้ไขการเกิดอุทกภัยครั้งนี้อาจถูกฉ้อโกงไปจึงส่งหน่วยองครักษ์จิ่นหลินไปสืบเงียบๆ หลัวเทียนเฉิงเป็นหัวหน้าผู้บัญชาการย่อมต้องด้วยตนเองสักครา 


 


 


ยามนี้นายท่านรองสกุลหลัวรับตำแหน่งเป็นเซ่าชิงใต้เท้าสูงสุดในศาลหงหลู มีหน้าที่รับรองแขกต่างแคว้น รวมทั้งการจัดงานเลี้ยงต้อนรับและงานเลี้ยงส่ง องค์ชายรองจึงยิ่งเกาะติดเขาไม่ห่าง “ใต้เท้าหลัว เดิมท่านควรเป็นพ่อตาของข้า แต่น่าเสียดายข้ากับบุตรสาวท่านไร้วาสนาต่อกัน แต่ข้ายังอยากจะไปที่จวนของท่านเพื่อดูที่ที่นางเคยใช้ชีวิตอยู่สักครา” 


 


 


นายท่านรองไม่กล้าปฏิเสธจึงพาเขาไปที่จวน 


 


 


ครั้งแรกที่ไปมิได้พบคุณหนูรอง วันต่อมาองค์ชายรองจึงไปอีกด้วยข้ออ้างที่ว่าอาหารจวนกั๋วกงอร่อยยิ่ง 


 


 


องค์ชายรองไปติดต่อกันเช่นนี้เป็นเวลาเดือนกว่าก็ยังไม่พบคุณหนูรอง เมื่อเขาทนไม่ได้อีกต่อแล้วจึงเอ่ยตามตรงว่า “ข้าอยากพบคุณหนูรองจวนท่านสักครา” 


 


 


ด้วยอุปนิสัยของเขา เขาอยากจะเอ่ยขอพบตั้งแต่วันแรกที่มาแล้วด้วยซ้ำ 


 


 


ในความคิดของเขา หากเขานางเป็นสตรีผู้นั้นที่เขาตามหา เขาก็จะเปิดเผยความในใจของตนออกมาให้หมด ดูสิว่าจะทำให้นางหวั่นไหวได้หรือไม่ ขอเพียงนางต้องการติดตามเขาไป ไม่ว่านางจะมีคู่หมั้นแล้วหรือแต่งงานแล้ว เขาก็จะพานางไปให้ได้ หากนางไม่ยินยอม เขาเองย่อมไม่ฝืนใจ เช่นนี้แล้วจะชักช้าอันใดอยู่เล่า 


 


 


แต่น่าเสียดาย…บ่าวผู้หนึ่งที่ใช้ชีวิตอยู่ในต้าโจวมาหลายสิบปีกลับบอกเขาว่า ต้าโจวนั้นมีกฎระเบียบระหว่างชายหญิงมากยิ่ง หากเข้ามาถึงก็เอ่ยเช่นนี้เกรงว่าต่อไปคงเข้ามาไม่ได้แม้แต่ประตูจวนแล้ว 


 


 


องค์ชายรองมองคนทั้งห้องที่มีสีหน้าเปลี่ยนไปโดยพลัน พลางคิดในใจว่าหากรู้ว่าเสียเวลาถึงเดือนกว่าก็ยังเป็นเช่นเดิม ไม่สู้เขาพูดตรงๆ ตั้งแต่คราแรกที่มาเลยเสียดีกว่า 


 


 


“แต่ไม่ว่าอย่างไรวันนี้หากไม่ได้พบคุณหนูรอง ข้าก็จะไม่ไปเด็ดขาด” 


 


 


คนทั้งหลาย “…” 


 


 


ผ่านไปครู่หนึ่ง นายท่านรองสกุลหลัวจึงหาเสียงของตนเจอ “องค์ชายรอง เรื่องนี้ผิดกฎเกณฑ์ สตรีต้าโจวมิอาจพบกับบุรุษภายนอกได้พ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“ข้ามิใช่คนต้าโจว” องค์ชายรองเผยสีหน้าอย่างผู้ไร้ความผิด 


 


 


มารดามันเถอะ นายท่านรองลอบด่าอยู่ในใจ ต่อไปผู้ใดกล่าวว่าชนเผ่าต่างแคว้นโง่เขลา เขาจะมีเรื่องกับคนผู้นั้นให้ดู! 


 


 


“แค่กๆ องค์ชายรองพ่ะย่ะค่ะ ท่านยายของบุตรสาวหม่อมฉันไม่สบาย นางจึงติดตามมารดาไปเยี่ยมด้วย ยามนี้ไม่อยู่ที่จวนพ่ะย่ะค่ะ” นายท่านสามเอ่ยขึ้น 


 


 


นายท่านสามชำนาญการวาดภาพบุคคล ยามมองคน สิ่งแรกที่มองคือดวงตา องค์ชายรองมีดวงตาดำขลับ สีดำกับสีขาวตัดกันชัดเจน ท่าทางเป็นเด็กหนุ่มที่ไม่เลวเลยทีเดียว เมื่อได้พูดคุยกันคุณชายสามก็เริ่มรู้สึกไม่ชมชอบเฮ่อหลางผู้ดวงตามิอาจมองเห็นสิ่งใดได้ขึ้นมาเล็กน้อย 


 


 


ในสายตาของเขา คนผู้หนึ่งตาบอดแล้วย่อมมิอาจเห็นภูผาสูงใหญ่ ลำธารใสเย็น มองไม่เห็นทัศนียภาพอันงดงาม และยิ่งมิอาจได้เห็นสตรีรูปโฉมเฉิดฉันทั้งหลาย ช่างเป็นความบกพร่องอันยิ่งใหญ่เสียจริง บุตรสาวต้องคอยติดตามคนเช่นนั้นช่างเป็นเรื่องที่ไม่ยุติธรรมเสียเลย 


 


 


ทว่าเมื่อเขาเผยความคิดนี้ออกมาแม้เพียงเล็กน้อยก็ถูกนางซ่งทำโทษให้คุกเข่าลงบนแผ่นไม้ซักผ้านานหนึ่งราตรี ทำให้ไม่กล้าพูดจาเหลวไหลอันใดอีก 


 


 


“ไม่อยู่ที่จวน?” 


 


 


“ใช่พ่ะย่ะค่ะ ไม่อยู่ที่จวน” 


 


 


องค์ชายรองผิดหวังอย่างยิ่งจึงจากไปอย่างเงียบงัน 


 


 


ระหว่างทางองค์ชายรองมีท่าทีไม่เบิกบานสักนิด บ่าวไพร่ที่ติดตามมาจึงเสนอว่า “องค์ชายพ่ะย่ะค่ะ หม่อมฉันได้ยินมาว่าคุณหนูรองจวนกั๋วกงเป็นสหายร่วมเรียนขององค์หญิง หากพระองค์อยากพบนางก็ไปดักรอที่หน้าประตูวังตอนนางเลิกเรียนดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ไม่แน่ว่าอาจจะพบนางก็เป็นได้” 


 


 


องค์ชายรองได้ฟังก็ยินดียิ่งจึงรีบวิ่งไปดักรอบนถนนเส้นที่อยู่ไม่ไกลจากหน้าประตูวังนักทันที 


 


 


ครั้นถึงยามเว่ย[1] รถม้าคันเล็กประณีตงดงามคันหนึ่งก็วิ่งออกมา บ่าวผู้ติดตามร้องขึ้นด้วยความตื่นเต้น “องค์ชายทรงเห็นหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ รถม้าคันสุดท้ายนั้นเป็นของจวนเจิ้นกั๋วกง” 


 


 


“เจ้าแน่ใจ?” 


 


 


บ่าวผู้ติดตามพยักหน้ารับ “หม่อมฉันใช้ชีวิตอยู่ที่ต้าโจวมาสิบกว่าปีแล้วย่อมรู้ดีว่ารถม้าของตระกูลสูงศักดิ์จะมีสัญลักษณ์เฉพาะของตนเอง ระยะนี้หม่อมฉันคอยสังเกตอยู่ตลอด สัญลักษณ์ของจวนเจิ้นกั๋วกงเป็นเช่นรถม้าคันนั้นแลพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


องค์ชายรองยากที่จะปิดบังความตื่นเต้นของตนเอาไว้ได้ เมื่อรอจนรถม้าคันข้างหน้าวิ่งไปไกลแล้วทั้งรถม้าคันสุดท้ายกำลังเลี้ยวไปบนเส้นทางอันเงียบสงบ เขาก็ควบม้าเข้าไปขวางรถม้าคันนั้นทันที 


 


 


“ขอถามสักหน่อยเถิด แม่นางที่นั่งอยู่ข้างในคือคุณหนูรองจวนเจิ้นกั๋วกงหรือไม่ ข้าคือองค์ชายรองแห่งดินแดนหมานเหว่ย ข้า…ข้าอยากพบเจ้าสักครา” ไม่ทราบด้วยเหตุใดองค์ชายรองที่มิเคยกลัวสิ่งใดมาก่อนกลับรู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมาเมื่อเห็นว่ารถม้าคันนั้นช่างเงียบงันไร้สุ้มเสียง 


 


 


จู่ๆ ก็มีแตงโมครึ่งลูกลอยออกมาจากรถม้า 


 


 


องค์ชายรองรับไว้แล้วยิ้มยิงฟันออกมาพลางเอ่ยว่า “เจ้าเชิญข้ากินแตงโมหรือ” 


 


 


ม่านรถม้าพลันถูกเปิดออก สตรีแต่งกายด้วยชุดขี่ม้ากระโดดออกมาทันที 


 


 


สตรีผู้นี้รูปร่างสูงโปร่ง ชุดขี่ม้าสีแดงสดบนกายยิ่งขับให้ดวงตานางเป็นประกาย ฟันขาวสะอาดมากยิ่งขึ้น นางคือโอวหยางเถาจากตระกูลแม่ทัพโอวหยางและเป็นสหายร่วมเรียนอีกผู้หนึ่งขององค์หญิงฟังโหรว 


 


 


วันนี้เป็นวันเรียนขี่ม้าพอดี นางยังมิทันได้เปลี่ยนอาภรณ์ ในมือยังถือแส้หวดม้าไว้ด้วย เมื่อนางสะบัดแส้ออกมา แส้นั้นก็วาดลวดลายอันสวยงามขึ้นกลางอากาศ ใบหน้างดงามกลับดูถมึงทึงยิ่ง นางแค่นเสียงเย็นเอ่ยว่า “ข้ามิได้จะเชิญพระองค์กินแตงโม แค่รู้สึกว่าหนังหน้าพระองค์หนากว่าเปลือกแตงโมเสียอีก! พระองค์เป็นอันใดกับคุณหนูรองสกุลหลัว อยากพบนางก็มีสิทธิ์พบได้ทุกเมื่อหรือ พระองค์รู้หรือไม่ว่าการที่มาหานางทุกวันเช่นนี้ทำให้นางกลายเป็นขี้ปากของคนทั้งหลายไปแล้ว” 


 


 


“เจ้ามิใช่คุณหนูรองสกุลหลัว?” 


 


 


“แน่นอนว่าไม่ใช่ มิเช่นนั้นคงได้ฟาดแส้ใส่พระองค์เป็นการระบายโทสะไปแล้ว! องค์ชายรอง เลิกเอาฐานะองค์ชายต่างแดนมาอ้างเพื่อแสร้งทำเป็นไม่รู้อันใดไปหน่อยเลย คุณหนูรองสกุลหลัวมีคู่หมั้นแล้ว พระองค์มิได้ทรงชอบนางสักนิด แต่กำลังทำร้ายนางต่างหาก การรักชอบใครสักคนย่อมไม่มีวันทำเช่นท่านแน่!” 


 


 


“แล้วต้องทำเช่นไรเล่า” องค์ชายรองฟังแล้วถึงกับมึนงง 


 


 


“การชมชอบใครสักคนก็ควรจะดีใจกับนาง หากมีผู้ใดสามารถมอบความสุขให้นางได้ และยินดีกับนาง อวยพรให้นาง ไม่ทำร้ายหรือสร้างความลำบากใจให้นาง!” 


 


 


องค์ชายรองฟังแล้วเบิกตากว้างอ้าปากค้างไปทันที “นี่มิใช่การชมชอบใครสักคนเป็นแน่ แต่เป็นคนโง่ต่างหากเล่า” 


 


 


“ฮึ! แมลงยามคิมหันต์ย่อมไม่มีวันรู้จักน้ำแข็ง![2]” โอวหยางเถาโกรธจนใบหน้าบิดเบี้ยว ดวงตาถลึงโตคล้ายลูกท้ออย่างไรอย่างนั้น 


 


 


“อีกอย่างข้าแค่อยากพบคุณหนูรองสกุลหลัวสักครา ส่วนจะชมชอบนางหรือไม่ก็ต้องพบก่อนจึงจะทราบ” อาจเพราะตั้งแต่มาถึงเมืองหลวง องค์ชายรองก็ไม่เคยพบคนที่พูดจาโจ่งแจ้งปานนี้เลย เขาจึงเผลอเอ่ยความในใจตนออกมา 


 


 


โอวหยางเถาฟังแล้วโมโหยิ่ง คิ้วงามขมวดตึง นางจึงด่าทอด้วยโทสะออกมาว่า “บุรุษชั่วช้า!” 


 


 


นางฟาดแส้ออกไปอีก แต่องค์ชายรองหลบทันแล้วคว้าแส้อ่อนที่เหน็บตรงเอวตนออกมาเช่นกัน เขาเพียงสะบัดมือคราหนึ่ง แส้นั้นก็รัดแส้ของโอหยางเถาไว้แน่นดุจงูมีชีวิตก็มิปาน 


 


 


โอวหยางเถาเพียงรู้สึกมืออ่อนไปครู่หนึ่ง แส้ที่ตนหวงแหนนักก็ตกไปอยู่ในมือคนผู้นั้นแล้ว 


 


 


ไม่ใช่…มันเกี่ยวรัดอยู่กับแส้เส้นยาวในมือคนผู้นั้นต่างหาก 


 


 


เมื่อเห็นเหตุการณ์เป็นเช่นนั้น โอวหยางเถาก็รู้สึกทั้งอับอายทั้งโมโห หน้าจึงแดงเรื่อขึ้นมา 


 


 


“เกิดเรื่องใดขึ้นหรือ” น้ำเสียงสดใดแต่แฝงไปด้วยความมึนงงดังขึ้น 


 


 


เมื่อม่านถูกเปิดออกก็เผยให้เห็นสตรีงดงามหมดจดที่ดวงตาเปิดปรืออย่างคนเพิ่งตื่นนอน 


 


 


นางกะพริบตาด้วยความมึนงง ประเดี๋ยวมองสหายตน ประเดี๋ยวมององค์ชายรอง 


 


 


วันนี้นางรู้สึกไม่ค่อยสบายนัก โอวหยางเถาไม่วางใจจึงนั่งมาเป็นเพื่อนนาง ครั้นขึ้นรถม้านางก็เผลอหลับไป แล้วเหตุใดสหายสนิทถึงได้ทะเลาะวิวาทอยู่กับบุรุษแปลกหน้าเล่า 


 


 


“เจ้าคือคุณหนูรองสกุลหลัว?” องค์ชายรองรู้สึกสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง เขาจ้องมองหลัวจือฮุ่ยอย่างเอาเป็นเอาตาย 


 


 


ยามหลัวจือฮุ่ยวาดภาพจะมีสมาธิยิ่ง แต่ยามปกติกลับเป็นคนเรื่อยเปื่อยมิใส่ใจสิ่งใด นางจึงมิรู้สึกอันใดกับท่าทีดุดันโกรธเกรี้ยวขององค์ชายรองสักนิดนางยิ้มบางเบาแล้วเอ่ยว่า “ใช่แล้ว” 


 


 


ต่อมากลับรู้สึกหงุดหงิดยิ่ง ท่านแม่บอกว่ามิให้ยิ้มให้ผู้ใดโดยง่าย โดยเฉพาะกับคนแปลกหน้า เช่นนั้นจะทำให้ดูเป็นคนไม่สุขุม นางลืมอีกแล้ว 


 


 


องค์ชายรองกลับคล้ายกระต่ายที่ตื่นตระหนก เมื่อนางยิ้มให้ เขากลับดึงเชือกม้าให้ถอยหลังไปหลายก้าว แล้วควบมันทะยานออกไปในเวลาต่อมา 


 


 


หลัวจือฮุ่ยกับโอวหยางเถาจึงได้แต่ตกตะลึงขึ้นพร้อมกัน 


 


 


หลัวจือฮุ่ยคิดในใจว่ามารดามิได้พูดปดจริงๆ ด้วย นางทำให้คนตกใจหนีไปเสียแล้ว 


 


 


ครั้นโอวหยางเถามีสติคืนมาก็ยิ่งโมโหหนักขึ้นไปอีก “คนสารเลวนั่น เอาแส้ของข้าไปด้วย!” 


 


 


ครั้นกลับเข้าไปในรถม้า นางก็โกรธจนน้ำตาไหลออกมา “แส้นั้นเป็นของที่ท่านพี่มอบให้ข้าหลังจากที่ได้รับคัดเลือกเป็นสหายร่วมเรียนขององค์หญิงเชียวนะ!” 


 


 


“เขาเป็นใครกัน” 


 


 


โอวหยางเถาเบิกตาโพลง “เจ้ายังไม่รู้อีกหรือว่าเขาเป็นใคร” 


 


 


เมื่อเห็นหลัวจือฮุ่ยมีสีหน้างุนงง นางจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงแค้นเคืองว่า “เขาคือองค์ชายรองผู้ที่ไปคอยดักพบเจ้าที่จวนทุกวันอย่างไรเล่า!” 


 


 


หลัวจือฮุ่ยพลันยิ้มออกมา “อาเถา เช่นนั้นเจ้าก็มิต้องเป็นกังวลเลย รอให้พระองค์ไปที่จวนข้าอีก ข้าจะให้คนไปเอาคืนมาเอง” 


 


 


นี่…นี่เป็นเรื่องสำคัญที่เจ้าควรกังวลงั้นหรือ โอวหยางเถาทุบข้างฝารถม้าคราหนึ่ง แล้วร้องไห้ออกมาด้วยความโกรธ 


 


 


องค์ชายรองวิ่งออกไปไกลมาก ในที่สุดเขาก็ลงจากหลังม้าแล้วจูงมันเดินตรงไปข้างหน้าอย่างคนวิญญาณหลุดลอย 


 


 


“ไม่ใช่สักคนๆ นางอยู่ที่ใดกันแน่” 


 


 


บ่าวผู้ติดตามวิ่งตามมาด้วยลมหายใจหอบ 


 


 


“ข้าจำได้ว่าจวนเจิ้นกั๋วกงมีคุณหนูสามคนใช่หรือไม่” 


 


 


“พ่ะย่ะค่ะ แต่ได้ยินมาว่าคุณหนูคนสุดท้ายอายุแค่แปดปีเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


องค์ชายรองฟังแล้วผิดหวังยิ่ง หรือนางจะมิใช่คนของจวนเจิ้นกั๋วกง? 


 


 


ไม่มีทาง เขาเคยพบหน้าที่จวนเจิ้นกั๋วกงชัดๆ ตอนนั้นสาวใช้ที่นำทางไปยังเรียกนางว่าต้าไหน่ไหน่อยู่เลย 


 


 


“อาถ่า แล้วสตรีที่มีสามีแล้วต่างก็เรียกขานนางว่าต้าไหน่ไหน่หรือไม่” 


 


 


อาถ่าได้ฟังก็ส่ายหน้า “ที่หม่อมฉันจำได้ควรเรียกว่ากูไหน่ไหน่พ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


อันใดกัน? องค์ชายรองอยากจะเอาศีรษะโหม่งพื้นเสียจริงๆ ภาษาของต้าโจวซับซ้อนเกินไปแล้ว 


 


 


อาถ่าพลันเอ่ยจู่โจมเขาขึ้นอีกคำหนึ่งว่า “ส่วนที่เรียกว่าต้าไหน่ไหน่มักจะเป็นนายหญิงของจวนนั้นๆ พ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


นายหญิง? นายหญิง! 


 


 


องค์ชายรองพลันนึกถึงวาจาที่คุณหนูใหญ่สกุลหลัวเคยกล่าวไว้ได้ 


 


 


‘ผู้ที่นั่งรถม้าไปในวันนั้นอาจจะเป็นพี่สะใภ้ของหม่อมฉันก็เป็นได้เพคะ!’ 


 


 


ที่แท้นางก็แต่งงานแล้ว! 


 


 


องค์ชายรองพลันรู้สึกโหวงเหวงในหัวใจขึ้นมาทันทีจึงถามบ่าวผู้ติดตามว่า “อาถ่า เจ้าว่าหากข้าแย่งชิงนางกลับไปด้วย คนที่เรานำมาจะสามารถคุ้มครองเรากลับหมานเหว่ยได้อย่างราบรื่นหรือไม่” 


 


 


บ่าวผู้ติดตามแทบจะร้องไห้ออกมาแล้ว “องค์ชายพ่ะย่ะค่ะ ที่นี่ไม่เหมือนกับดินแดนหมานเหว่ย เรามิอาจแย่งชิงสตรีที่แต่งงานแล้วพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


องค์ชายรองคิดแล้วก็รู้สึกไม่ยินยอม อย่างไรต้องไปถามนางด้วยตนเองให้ได้ 


 


 


ครานี้เขาจึงกลับไปที่จวนเจิ้นกั๋วกงอีก นายท่านรองสกุลหลัวรีบเอ่ยก่อนทันทีว่า “หลานสาวหม่อมฉันไม่อยู่ที่จวนจริงๆ ขอพระราชทานอภัยด้วยพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


เมื่อวานองค์ชายรองถึงกลับไปดักรอคนที่หน้าประตูวัง วันนี้จวนเขาจึงรีบส่งคนไปแจ้งการลาชั่วคราว ส่วนนางซ่งก็รีบพาหลัวจือฮุ่ยกลับไปเยี่ยมตระกูลมารดาตนจริงๆ เสียเลย คาดว่าคงไม่กลับมาแน่ตราบใดที่องค์ชายรองยังอยู่ในเมืองหลวง 


 


 


ความจริงสำหรับนายท่านรองแล้ว เขาไม่สนสักนิดว่าหลัวจือฮุ่ยจะแต่งกับใคร แต่หากพูดถึงผลประโยชน์ เขาก็หวังว่านางจะแต่งให้องค์ชายรองมากกว่า เช่นนี้ฝ่าบาทจึงจะให้ความสำคัญกับจวนกั๋วกงมากขึ้นไปอีก 


 


 


น่าเสียดายที่ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยปากแล้วว่าหากเขาขวางองค์ชายรองไว้ไม่ได้จนทำให้หลัวจือฮุ่ยต้องเข้าไปข้องแวะด้วยอีก ฮูหยินผู้เฒ่าจะไม่นับว่าเขาเป็นลูกอีกต่อไป 


 


 


ยามนี้นายท่านรองกลัวเหลือเกินว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะเป็นอันใดไป ไหนเลยจะกล้าไม่เชื่อฟัง 


 


 


เขายกน้ำชาขึ้นรอให้องค์ชายรองตัดใจถอยไปเอง 


 


 


องค์ชายรองเกาศีรษะตนคราหนึ่ง “เช่นนั้นข้าขอพบต้าไหน่ไหน่ของจวนแห่งนี้ได้หรือไม่” 


 


 


พรวด นายท่านรองพ่นน้ำชาออกมาทันใด 


 


 


 


 


 


[1] ยามเว่ย คือเวลา13.00-14.59 นาฬิกา 


 


 


[2] แมลงยามคิมหันต์ย่อมไม่มีวันรู้จักน้ำแข็ง เป็นสำนวนเปรียบเปรยว่าพูดคุยกับคนที่มีความรู้น้อย หรือความรู้จำกัด เหมือนการพูดเรื่องน้ำแข็งกับแมลงที่มีชีวิตอยู่แค่ช่วงฤดูร้อน อธิบายอย่างไร แมลงเหล่านั้นก็ไม่เข้าใจว่าน้ำแข็งคืออะไร มีหน้าตาอย่างไร 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม