สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด 34-37

 บทที่ 34 หงส์ดำตัวที่สองที่สมคบเจ้าของร้านลั่ว

โดย

Ink Stone_Fantasy

นี่คงจะเป็นครั้งที่สองที่ลั่วชิวเข้าร่วมงานประมูล


ที่ต่างกันก็คือครั้งแรกเพื่อแผ่นตราหยกขาวแผ่นหนึ่ง อีกทั้งยังเล็กกว่ามาก ไม่ได้พูดถึงเรื่องขนาดของสิ่งของนะ แต่เป็นขนาดของงานและคนที่มารวมตัวกัน ทั้งครั้งก่อนและครั้งนี้ไม่ได้มีอะไรให้เปรียบเทียบ ใช่แล้ว ดูเหมือนว่าเขาจะออกมาปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนอย่างเปิดเผยด้วยภาพลักษณ์ของเจ้าของสมาคม


อย่างไรเสียก็เป็นงานเต้นรำหน้ากาก…เจ้าของร้านลั่วผู้ที่เคยชินกับหน้ากากตัวตลก จึงไม่สนใจจะไปเลือกหน้ากากอันอื่นอีก


ถึงจะบอกว่าเป็นงานเต้นรำ แต่ในสายตาของพนักงานที่อยู่ในงานเต้นรำนั้น งานเลี้ยงนี้ดูเงียบมากจนน่าแปลกใจ


ไม่ใช่ความเงียบเหงาแบบไร้ผู้คน ตรงกันข้าม ที่นี่มีผู้คนมากมาย แต่กลับพูดคุยกันน้อยมาก


แขกที่มาที่นี่เหมือนเป็นแบบนี้มานานจนเป็นธรรมเนียมปฏิบัติไปแล้ว คนส่วนมากล้วนแต่นิ่งเงียบ


เกรงว่ายูริก็ได้มางานเลี้ยงแบบนี้เป็นครั้งแรกเช่นกัน เขานั่งเงียบอยู่ตรงมุมห้องคนเดียว จากนั้นก็ขอแก้วเหล้าจากพนักงานเอาเสียดื้อๆ ก่อนเริ่มรินเหล้า และดื่มเองแบบไม่อินังขังขอบ


ดูแล้วเป็นพฤติกรรมที่ไม่เข้ากับงานนี้เลย แต่ว่าน้อยคนที่จะจำตราประจำตระกูลดีคาปี้ได้ แค่กำลังครุ่นคิดว่าคนผู้นี้เป็นใครในตระกูลนั้นกันแน่


เจ้าของร้านลั่วมองยูริเพียงแวบเดียวก็ละสายตาออกจากเขา ก่อนมองไปทางเด็กเสิร์ฟสองคนที่แม้จะอยู่ห่างกัน แต่กลับคอยมองสื่อสารกันอยู่ตลอดเวลา


ลั่วชิวคิดว่าชาตินี้ตัวเองคงต้องมีชะตากรรมเกี่ยวข้องกับตำรวจต่อไปอีกนานเลยล่ะมั้ง


“คุณก็คือ F&C?”


ทันใดนั้น ลั่วชิวก็ได้ยินเสียงพูดกระซิบเบาๆ ดังมาจากทางด้านหลัง


เป็นเสียงหญิงสาว


นี่ก็เพียงพอให้ลั่วชิวประหลาดใจแล้ว เขาและโยวเย่เบนสายตาจากวิวยามราตรีข้างนอกกลับมา แล้วพบว่าคนที่พูดเป็นหญิงสาวสวมเดรสยาวสายเดี่ยวสีดำ ตรงนี้มีเพียงหญิงสาวคนนี้คนเดียวเท่านั้น นี่เห็นได้ชัดว่าคำพูดเมื่อครู่นั้นก็พูดกับลั่วชิว


“คุณหมายถึงผมเหรอครับ?” ลั่วชิวถามไปก่อน


ไม่ใช่เพียงแค่เดรสยาวสายเดี่ยวสีดำ ขนาดหน้ากาก แม้กระทั่งริมฝีปากก็ทาเป็นสีดำสนิท ช่างดูเย้ายวนอย่างน่าประหลาด


ลั่วชิวผู้มีสายตาเฉียบคม สังเกตเห็นได้ง่ายมากๆ ว่ามีสายตาหลายคู่จับจ้องมาที่หญิงสาวผู้นี้เงียบๆ โดยไม่ให้คนอื่นรู้ หรือบอกได้ว่าอาจมองมาที่ตัวเขา


“อิสระกับตัวตลกจะปรากฏตัวพร้อมกับหน้ากากตัวตลกตลอด” คำพูดของหญิงสาวแฝงน้ำเสียงเย้าหยอกบางอย่าง “งานประมูลครั้งนี้ F&C เป็นคนจัด และเขาก็อยู่ในงาน คุณไม่ได้ตรงคุณสมบัติที่สุดเหรอ?”


“ที่พูดมาก็ถูก” ลั่วชิวพยักหน้าเล็กน้อย แล้วพูดด้วยความอยากรู้อย่างมากว่า “ถ้าเป็นผมเอง แล้วคุณคิดจะทำอะไรล่ะครับ?”


หญิงสาวเดินเข้ามาใกล้ทันที


เดินเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว


ลั่วชิวคิดว่าตัวเองคงจะได้เห็นห่านดำตัวที่สองในชีวิตเข้าแล้ว


ในที่สุดหญิงสาวก็เข้ามาในระยะเกือบประชิดตัวลั่วชิว เธอยื่นมือออกไปโอบรอบคอของเขาไว้ ใกล้จนริมฝีปากอยู่ห่างกันเพียงหน้ากากกั้นเท่านั้น


“ถ้าใช่ล่ะก็ ฉันอยากรู้จริงๆ ว่าคุณเอาภาพออกมาได้ยังไงกันแน่ ได้ยินว่า…”


เธอรู้จักควบคุมจังหวะการพูดเป็นอย่างดี ช่วงที่เว้นวรรคนั้นราวกับจะหยอกเย้าอย่างไรอย่างนั้น ดูเหมือนว่าความสวยงามหยาดเยิ้มในฟลอร์เต้นรำที่ชวนหลงระเริงนี้ ถึงแม้จะอยากปฏิเสธก็ไม่อาจปฏิเสธได้ “เป็นกลอุบายที่หายลับไปราวกับเวทมนตร์”


“ยังมีกลอุบายแบบนี้ด้วยเหรอ?” ลั่วชิวพูดอย่างประหลาดใจ “แบบนี้ ผมก็หวังว่าจะได้เปิดหูเปิดตาบ้างเหมือนกัน”


“จริงเหรอ…ถ้ามีโอกาส” ริมฝีปากสีดำของหญิงสาวขยับ แล้วก็ปล่อยมือทั้งสองข้างออก มือทั้งสองข้างกำลังลูบไล้ไปตามปกเสื้อของลั่วชิวช้าๆ จากนั้นก็ยิ้มแล้วพูดว่า “ฉันว่าฉันไม่ควรรบกวนคุณแล้ว ไม่อย่างนั้นล่ะก็…”


หญิงสาวเอียงหัวมองโยวเย่ข้างกายลั่วชิว ก่อนยิ้มบางๆ แล้วพูดว่า “ถือเป็นการไม่ให้เกียรติคู่เต้นรำของคุณอย่างมาก”


แต่เธอกลับไม่รู้เลยว่าธาตุแท้ของคุณสาวใช้เป็นอย่างไร


คำพูดแบบนี้ไม่ได้ทำให้คุณสาวใช้โกรธเลย แต่กลับพูดด้วยความสนุกว่า “ไม่เป็นไรค่ะ ถ้าคุณทำให้เขามีความสุขได้ ฉันก็ดีใจค่ะ”


นี่…เหมือนจะไม่ใช่การพูดสรรเสริญหรือว่าโต้ตอบกลับ


เวร่าที่ซ่อนใบหน้าอยู่ภายใต้หน้ากากหงส์สีดำคาดไม่ถึง ว่าจะได้ยินคำพูดที่แฝงความหมายอนุญาตแบบนี้จากอีกฝ่าย


เวร่ายิ้มเล็กน้อยแล้วพูดว่า “คุณมีดวงตาที่สวยมาก ฉันเคยเห็นที่ไหนมาก่อนหรือเปล่าคะ?”


ในตอนนี้เอง แสงไฟก็ดับลงทันที เหลือไว้เพียงตำแหน่งด้านหน้า ซึ่งเป็นเวทีที่ยื่นออกมา


แสงไฟกำลังส่องไปบนร่างหญิงสาวงดงามคนหนึ่ง หน้ากากสีทองและริมฝีปากสีแดงอวบอิ่ม คล้ายจะปลุกสัญชาตญาณดิบของผู้ชายขึ้นมาได้เลย


หลังความเงียบที่ยาวนาน เหมือนว่าในที่สุดหัวใจหลักของงานก็กำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว…แต่ตอนนี้เวร่ากลับไม่เห็นเงาของชายหญิงคู่นี้แล้ว


เหมือนเธอคิดอะไรได้แวบหนึ่ง จากนั้นก็หัวเราะขึ้นเบาๆ


วิคก้าหยิบแก้วแชมเปญสองแก้วเดินเข้ามาหา แล้วส่งให้เธอแก้วหนึ่ง “พวกเราประจำตำแหน่ง คอยดูไปก่อนแล้วกัน”


เวร่าพยักหน้า จากนั้นก็ดื่มแชมเปญแก้วหนึ่งอย่างสบายใจ แต่แป๊บเดียวเธอก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ ถึงกับต้องขมวดคิ้วอยู่ภายใต้หน้ากากนั้น


วิคก้าเห็นท่าทางชะงักกึกของเวร่า จึงถามอย่างแปลกใจว่า “เป็นอะไรไปครับ?”


เวร่าส่ายหน้า ก่อนยื่นมือไปตรงขอบปากของตัวเอง จากนั้นก็คายบางอย่างขนาดเท่ากับกระดุมเม็ดหนึ่งออกมา


วิคก้าพูดอย่างสงสัยว่า “ทำไมคุณอมเครื่องติดตามเข้าไปล่ะ?”


เวร่ากลับพูดอย่างเฉยเมยว่า “ของเนี่ย ฉันเพิ่งจะติดไว้บนตัวคนคนหนึ่ง แล้วก็ดันมาโผล่อยู่ในแก้วแชมเปญของนาย เมื่อกี้นี้นายเจอใครมาหรือเปล่า?”


“ผมเหรอ?” วิคก้าอึ้งไปแล้วพูดว่า “ตลอดทางมาผมไม่เจอใครเลยนะ?”


“กลับไปที่นั่งเถอะ” เวร่าไม่ได้พูดอะไร ก่อนยัดของขนาดเท่ากระดุมในมือลงคอเสื้อของชุดเดรสตัวเอง


เวร่านึกถึงดวงตาสีฟ้าไพลินแสนสวยคู่นั้น ทั้งยังเป็นชายหนึ่งหญิงหนึ่งเหมือนกัน เป็นคู่ที่ให้ความรู้สึกพิเศษอย่างมาก เธอเผลอคิดว่า ‘คงไม่ได้บังเอิญขนาดนี้หรอกมั้ง?’



“ฉันเชื่อว่าทุกท่านรอจนทนไม่ไหวกันแล้ว”


ตอนนี้แอนนาที่อยู่บนเวทีพูดขึ้นพร้อมกับรอยยิ้ม ขณะที่พูด เธอก็ตบมืออยู่หลายครั้ง


แล้วก็มีคนจำนวนหนึ่งเดินออกมาจากงานเลี้ยง พวกเขาพากันไล่พนักงานโรงแรมออกไปจากในฮอลล์งานนี้ สุดท้ายก็ปิดประตู แล้วยืนเฝ้าอยู่ที่หน้าประตูทางเข้า


“เช่นนั้น ตอนนี้ก็จะให้ทุกท่านได้เห็นสินค้าเพียงหนึ่งเดียวของงานประมูลครั้งนี้ค่ะ”


ตอนนี้ผู้ชายสองคนยกกล่องใบหนึ่งมาไว้ข้างๆ แอนนา


เปิดออก


แสดงโชว์


ทันใดนั้นก็มีเสียงพูดคุยดังหึ่งอยู่ในงานเลี้ยงเป็นระยะ


แอนนาเห็นว่าสมควรแก่เวลาแล้ว ถึงได้พูดต่อว่า “พวกเราการันตีได้ว่าภาพนี้เป็นของแท้…ถ้าทุกท่านไม่เชื่อ ก็มาดูได้ แต่ว่าห้ามจับนะคะ”


คาดไม่ถึงว่าเธอยังพูดไม่จบ ก็มีเสียงพูดแบบไม่อินังขังขอบดังมาจากมุมห้องว่า “ภาพนี้เป็นของปลอม!”


บทที่ 35 ความแค้นของยูริ

โดย

Ink Stone_Fantasy

แม้ว่าพนักงานโรงแรมที่ถูกเชิญให้ออกจากโถงงานเลี้ยงจะประหลาดใจ แต่ได้ออกไปก็ใช่ว่าจะไม่ดีอะไร


เพราะอะไรน่ะเหรอ?


แน่นอนว่าไม่ต้องทำงานแล้วน่ะสิ!


แต่กลับมีบางคนไม่ได้ยินดีด้วย…อย่างเช่นคุณเยียร์เกอร์นักสืบหนุ่มคนนั้น เพราะพวกเขาเข้ามาในนี้ได้ด้วยข้อมูลจาก ‘นักธุรกิจ’ ที่อยู่เบื้องหลัง


“จ่า…คุณวิคเตอร์ ถ้าเป็นแบบนี้ พวกเราไม่มีทางเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นข้างในได้เลยนะครับ” เยียร์เกอร์ร้อนใจอย่างอดไม่ได้


“อย่าเพิ่งโวยวายไป” วิคเตอร์ขมวดคิ้ว มือแนบไปที่หูราวกับกำลังตั้งใจฟังอย่างระมัดระวัง…แต่เสียงที่เขาพอจะได้ยินส่วนใหญ่ก็แค่เสียงแทรกรบกวนเท่านั้น


ถึงขนาดดังแสบแก้วหูกะทันหัน!


วิคเตอร์รีบดึงหูฟังที่ซ่อนในหูออกตามสัญชาตญาณ สีหน้าไม่น่าดูนัก อย่างกับสุนัขที่เสียเหยื่อชิ้นใหญ่ไป “ข้างในมีเสียงรบกวน บ้าชะมัด!”


“งั้นพวกเราคงได้แต่รอ?” เยียร์เกอร์ขมวดคิ้วถาม “ไม่สู้พวกเราบุกเข้าไป แล้วรวบทั้งตัวผู้กระทำผิดพร้อมหลักฐานเลยล่ะครับ?”


“เป็นความคิดที่ดีมาก!” วิคเตอร์พยักหน้า “ภารกิจนี้มอบให้คุณก็แล้วกัน! วางใจได้ ผมจะหาโอกาสช่วยเก็บศพคุณเอาไว้แน่นอน”


“เอ่อ…”


“คุณรู้หรือเปล่าว่าคนที่อยู่ข้างในเป็นใครบ้าง?” วิคเตอร์พูดยิ้มเยาะ “ถึงแม้คุณจะตายอยู่ที่นี่ พรุ่งนี้หนังสือพิมพ์ทุกฉบับหรือแม้กระทั่งบนหน้าเว็บไซต์ต่างๆ ในมอสโกก็จะไม่เขียนข่าวของคุณเลยสักบรรทัดเดียว!”


เยียร์เกอร์เดินวนไปวนมาด้วยกระวนกระวายใจ แล้วจึงมองนอกหน้าต่างตรงระเบียงทางเดิน ทันใดนั้นก็รีบพูดขึ้นทันที “วิคเตอร์ ลองดูนั่นสิ!”


นั่นเป็นเครนยกที่ใช้ทำความสะอาดกระจกอาคาร มันแขวนอยู่ผนังด้านนอกโรงแรม




“ยูริคิดจะทำอะไรนะ?”


คุณสาวใช้พูดกระซิบข้างหูนายท่านของตนด้วยท่าทางสนใจ…ใช่แล้ว เป็นการบอก ไม่ใช่การถาม ลั่วชิวรู้ว่าเธอแค่อยากรู้เท่านั้น ไม่ใช่ว่าต้องรู้คำตอบให้ได้เดี๋ยวนี้ หรืออาจแค่แกล้งถามทั้งที่รู้คำตอบอยู่แล้ว


“ดูต่อไปก็รู้เอง” ลั่วชิวตอบเบาๆ “ด้วยฐานะของเขาตอนนี้ ถ้าเขาไม่ได้ฆ่าคน เขาก็จะปลอดภัยดี”


คนที่มีหน้ามีตาในสังคม โดยเฉพาะผู้รอดชีวิตในความมืดมิดที่ซ่อนเร้นอยู่ภายใต้อุดมการณ์ของประเทศชาติ ส่วนมากก็จะใจแคบกันทั้งนั้น


อย่างเช่น มีคนพูดว่า ‘ภาพวาดภาพนี้เป็นของปลอม’


เรื่องนี้ไม่ได้ทำให้เกิดเหตุการณ์วุ่นวาย และไม่มีใครมาโต้แย้งเลย บางคนก็เพียงแค่เฝ้าดูเหตุการณ์อยู่เงียบๆ แต่ในฐานะผู้ควบคุมการประมูลในงานครั้งนี้ สายตาของแอนนาย่อมสังเกตเห็นทันที


แต่เธอยังคงรักษาท่าทางสงบไว้ เธอมองดูชายคนนั้นที่ลุกขึ้นเดินโซเซในงานประมูล ชุดทักซิโด้สีขาว คู่กับผ้าปิดตาอย่างง่ายๆ


เหมือนว่าจะเคยเจอที่ไหนมาก่อน ความรู้สึกคุ้นเคยบางอย่างทำให้แอนนารู้สึกสับสน


และก็ในตอนนี้เอง แอนนาได้ยินเสียงหนึ่งดังข้างหูของเธอ…เป็นเสียงของเยฟิม ‘ปล่อยให้หมอนี่เดินมาใกล้ๆ หน่อย ฉันจะดูว่าเขาเป็นใครมาจากไหน’


แน่นอนว่าเยฟิมไม่ได้มาร่วมงานประมูลครั้งนี้ แต่เขากำลังนั่งสบายอารมณ์อยู่ในห้องที่เหมือนป้อมปราการของตัวเอง และดูงานประมูลครั้งนี้ผ่านทางเธอเท่านั้นเอง


“ค่ะ”


แอนนาพูดตอบไปเบาๆ หลังจากนั้นริมฝีปากแดงอวบอิ่มก็ฉีกยิ้ม เธอจัดเข็มกลัดตรงหน้าอก แล้วเดินลงมาจากเวทีอย่างสง่างาม พร้อมเอ่ยขึ้นก่อนว่า “คุณผู้ชาย ถ้าคิดว่าภาพนี้เป็นของปลอม จะลองตรวจสอบสักหน่อยก็ได้นะคะ ความจริงแล้ว ฉันอนุญาตให้ทุกท่านที่นั่งอยู่สามารถตรวจสอบได้เช่นกันค่ะ”


แอนนาเหน็บผมข้างหูตนเอง แล้วมองไปรอบๆ ห้องโถงแห่งนี้แวบหนึ่งพร้อมพูดว่า “ฉันเชื่อว่าของปลอมอาจหลอกได้คนสองคน…แต่คงไม่มีทางหลอกได้ทุกคนหรอกใช่ไหมคะ?”


ทั้งสองคนใกล้กันเรื่อยๆ น่าจะห่างกันไม่ถึงหนึ่งเมตรด้วยซ้ำ จากจุดนี้ แอนนาสามารถเห็นชายชุดขาวคนนี้ได้เต็มตัว


“ตราประจำตระกูลดีคาปี้…ระวังตัวด้วย พยายามอย่าไปขัดใจอีกฝ่ายล่ะ”


แอนนาไม่ค่อยเข้าใจว่าคนในตระกูลดีคาปี้เป็นอย่างไรกันแน่ แต่ขนาดความสามารถระดับเยฟิมยังบอกออกมาตรงๆ ว่าอย่าไปขัดใจเขาล่ะก็ เห็นได้ชัดว่าเบื้องหลังของอีกฝ่ายคงไม่ธรรมดาแน่


“งั้นผมขอตรวจสอบให้ทุกท่านดูสักหน่อยแล้วกัน”


หมอนี่พูดมั่นใจเต็มที่ แต่จากท่าทางแล้ว เหมือนจะเป็นเพราะฤทธิ์เหล้าที่ดื่มมามากกว่า แอนนาจึงหัวเราะเบาๆ พลางพูดว่า “ได้แน่นอนค่ะ ฉันก็อยากรู้เหมือนกัน ว่าคุณผู้ชายท่านนี้มีความเห็นต่างอย่างไรบ้าง”



จำเขาไม่ได้จริงๆ ด้วย


ยูริลอบคิดเงียบๆ ในใจ ถึงแม้ว่าจะใส่ผ้าปิดตาแบบง่ายๆ แต่ก็แทบจะไม่ได้ปิดบังเค้าโครงใบหน้าของเขาเลย


เมื่อก่อนเขาเคยนึกว่า เขาและผู้หญิงคนนี้เข้ากันได้สมบูรณ์แบบเลยทีเดียว เขารู้จักทุกซอกทุกมุมบนตัวเธออย่างดี กลิ่นของเธอ ทุกการเคลื่อนไหวของเธอ เสียงพูดของเธอ เขาเคยคิดว่าเธอก็คงเป็นเหมือนกัน


แต่แอนนากลับจำเสียงพูดของเขาไม่ได้ อาจด้วยเขาแลกทุกอย่างที่มีเพื่อให้ได้สิ่งที่ถือครองอยู่ตอนนี้ ทำให้ไม่หลงเหลือความเกี่ยวข้องใดกับยูริคนเดิม?


หรือบางทีเธออาจไม่เคยมียูริอยู่ในใจเลย เขาได้หายไปจากสถานีรถไฟใต้ดินแห่งนั้นตลอดกาลแล้ว


แต่ผมกลับมาแล้ว


ผมผ่านความตายมาแล้ว ปีนขึ้นมาจากขุมนรกอันเย็นยะเยือก…ยูริสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง แล้วเดินเฉียดผ่านแอนนาไป


เขาพูดขึ้นทันทีว่า “จะว่าไปแล้ว สีแดงของดอกกุหลาบเหมาะกับคุณจริงๆ นะครับ”


เขาพูดด้วยเสียงแผ่วเบาให้แอนนาได้ยินคนเดียว ฉับพลันนั้นเธอก็นึกได้แล้วว่า มีใครบางคนเคยพูดแบบนี้กับเธอ แอนนารีบหันขวับ เธอมองดูด้านหลังของเขาที่เดินไปทางเวที


เธอรู้สึกคุ้นๆ…ทั้งยังสับสนแปลกๆ อยู่เล็กน้อย


แต่ชายสองคนที่ประคองภาพบนเวทีกลับปฏิเสธไม่ให้ยูริเข้าใกล้เกินไป “คุณผู้ชายครับ กรุณารักษาระยะห่างอย่างน้อยหนึ่งเมตรด้วยครับ ระยะห่างเท่านี้น่าจะเพียงพอให้คุณมองดูอย่างละเอียดแล้วนะครับ”


แต่ยูริกลับยักไหล่


เขาหันกลับมามองดูผู้คนในงานทั้งหมด แล้วพูดขึ้นทันทีว่า “ก่อนที่ผมจะพิสูจน์ ผมขอถามว่าที่นี่มีคนคิดว่าภาพนี้เป็นของจริงอยู่กี่คน…อ้อ แล้วก็อย่าให้การขัดจังหวะของผมทำให้ทุกท่านลังเลเลย หรือที่พวกคุณมาถึงที่นี่ ไม่ได้เชื่อมั่นในสายตาของตัวเองเลยเหรอ? หรือจะบอกว่าพวกคุณทั้งหมดเป็นขยะ แค่คำพูดของผมคำเดียวก็เสียความมั่นใจไปแล้ว?”


เขาหันไปยิ้มเยาะใส่ผู้คน…การพูดจาแขวะของเขา ส่งให้แทบทุกคนในที่นี้ไม่พอใจทันที


“คุณจะอวดดีมากเกินไปแล้ว” ในงานเลี้ยง ผู้สูงวัยผอมบางคนหนึ่งพูดเหยียดหยาม “ที่ไม่ได้พูด ไม่ใช่เพราะดูไม่ออกว่าของจริงหรือของปลอม แต่เพราะคุณใจร้อนเกินไปเองต่างหาก”


คนที่มานั่งอยู่ที่นี่ได้ย่อมผ่านประสบการณ์มาโชกโชน และยังทำใจเย็นอยู่ได้ ในจังหวะนี้พวกเขาเลือกที่จะไม่ก่อความวุ่นวาย ถึงแม้งานประมูลครั้งนี้จะเป็นเพียงเรื่องตลกเรื่องหนึ่งเท่านั้น พวกเขาก็จะถือว่าเป็นงานเลี้ยงเต้นรำหน้ากากธรรมดาๆ งานหนึ่งแล้วกัน


ยูริเข้าใจความหมายที่แฝงในคำพูดของผู้สูงวัยคนนี้ แต่โดยเนื้อแท้ของเขาแล้วแตกต่างจากทุกคนที่นี่ ถึงแม้ตอนนี้เขาจะเพียบพร้อมมีทุกอย่างดั่งฝัน แต่เขาก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองอยู่ในโลกใบเดียวกันกับพวกเขาเลย


“งั้นเหรอ” จู่ๆ ยูริก็ผิวปากเล่น “ถ้าอย่างนั้น ผมจะบอกพวกคุณเอง ว่าทำไมภาพนี้ถึงเป็นของปลอม พวกคุณดูสิ ในภาพนี้…”


เขาจงใจเว้นจังหวะพูดตรงนี้ เพื่อดึงดูดความสนใจของคนส่วนใหญ่ แม้กระทั่งชายที่ถือภาพนี้ด้วยเช่นกัน สายตาของพวกเขาต่างมองตามนิ้วของยูริไปโดยอัตโนมัติ


และก็ในตอนนี้เอง


ยูริสาดเหล้าในแก้วไปบนภาพนี้อย่างจัง ด้วยเหล้าที่มีปริมาณแอลกอฮอล์สูง ทำให้วัสดุสีที่ใช้วาดภาพอย่างสีน้ำมันละลายออกมาทันที


เหล้าที่สาดไปบนใบหน้าหญิงสาวบนภาพวาด ทำให้ดวงตาของสุภาพสตรีนิรนามละลายเป็นน้ำทันที เหล้าที่ผสมปนกับสีบนภาพวาดก็เริ่มไหลลงมาจากใบหน้าสุภาพสตรีนิรนาม ราวกับน้ำตาสีดำที่รินไหลลงมา


แล้วยูริก็พูดอย่างเฉยเมยว่า “นั่นเพราะว่า ตอนนี้ภาพวาดนี้กลายเป็นภาพขยะแล้วยังไงล่ะ”


“พระเจ้า!! เขาทำลายภาพ ‘สุภาพสตรีนิรนาม’ นี้แล้ว!!”


เขาทำลายภาพวาดมีชื่อเสียงที่ตกทอดมาตั้งแต่โบราณต่อหน้าผู้คนมากมายได้อย่างง่ายดาย ราวกับคนบ้า ฉับพลันนั้น นักสะสมจำนวนมากก็พากันประณามคนบ้าคนนี้อย่างโกรธแค้น หากแต่ในใจนั้นร่ำไห้ที่สมบัติล้ำค่าในโลกนี้ได้ถูกทำลายไปเสียแล้ว!


“จับตัวหมอนี่เอาไว้!”


แอนนาเห็นดังนั้นก็ตะลึงงันถึงขีดสุด ตอนนี้เธอได้ยินเสียงของเยฟิมที่สะกดกลั้นความหงุดหงิดสุดขีดเอาไว้!


แอนนามีปฏิกิริยาว่องไว เธอรีบหันไปทำสัญญาณมือให้ชายทั้งสองบนเวทีอย่างรวดเร็ว หลังจากสองคนนั้นได้รับคำสั่งก็เดินตรงไปทางยูริทันที “คุณผู้ชาย ผมคิดว่าพวกเราต้องพูดคุยกันเป็นการส่วนตัวหน่อยนะครับ”


ปัง!


ปัง!


คาดไม่ถึงว่ายังไม่ทันที่สองคนจะได้เข้าไปใกล้ ในที่แห่งนี้ก็มีเสียงดังแสบแก้วหูดังขึ้นสองครั้ง เป็นเสียงปืน!


ในชั่วพริบตานั้น พวกเขาพากันมองหน้าอกของตัวเองที่มีเลือดแดงอาบอย่างเหลือเชื่อ แล้วล้มลงไปบนพื้น ตอนนี้เองพบว่ายูรินิ่งสงบผิดปกติ ขวดเหล้าในมืออีกข้างหนึ่งของเขาก็ค่อยๆ รินไปบนตัวของชายทั้งสองคนนี้ แล้วถึงได้รินจนเต็มแก้วเหล้าของตนเอง เขาหันตัวกลับมา ค่อยๆ แสดงความเคารพในระยะไกลต่อผู้อาวุโสท่านหนึ่งที่ถือปืนกระบอกสีเงินอยู่ในห้องโถงงานเลี้ยง


ผู้อาวุโสที่ยิงปืนฆ่าสองคนนั้นในชั่วพริบตาก็คือ…คุณพ่อบ้านแห่งตระกูลดีคาปี้


ในงานประมูลที่ไม่เปิดเผยตัวตนแบบนี้ ผู้มีอิทธิพลมากมาย จะไม่มีคนคอยคุ้มครองข้างตัวได้ยังไงล่ะ?


ในวินาทีที่เสียงปืนดังขึ้นนั้น บอดี้การ์ดของบรรดาแขกเหรื่อต่างก็ปกป้องเจ้านายของตนเองทันที พวกเขาก็มีอาวุธเป็นของตนเองเหมือนกัน และในตอนนี้…พวกเขากำลังระแวดระวังคนรอบๆ ตัว


“นี่คิดจะประกาศสงครามกันเลยใช่ไหม? ดี! ผมไม่สนตระกูลดีคาปี้อะไรแล้ว! แอนนา! จับตัวหมอนี่ไว้! ต้องจับตัวหมอนี่ให้ได้!! ผมจะให้ตระกูลดีคาปี้ชดใช้ค่าเสียหายของผมทั้งหมด!!”


นั่นเป็นเสียงคำรามของเยฟิม


“อย่าปล่อยให้คุณผู้ชายท่านนั้นหนีไปได้” ตอนนี้แอนนาไม่เพียงแค่ส่งสัญญาณมือ เธอยังสั่งด้วยเสียงโกรธสุดขีด


แต่ในตอนนั้นเอง ประตูบานใหญ่ของห้องโถงงานเลี้ยงกลับเปิดออก แล้วชายกำยำในชุดสูทสีขาวรวมสิบกว่าคนก็กรูกันเข้ามาในงาน ได้ยินเพียงคุณพ่อบ้านคนนั้นพูดอย่างเรียบเฉยว่า “คุ้มครองเจ้านาย”


ปังๆ ปังๆ ปังๆ…ปัง!


ปัง!!


“ฮ่าๆๆๆๆๆๆ!!!”


เสียงหัวเราะลั่นบ้าคลั่งของยูริดังขึ้นพร้อมกับเสียงปืนดังสลั่นไม่หยุด


เขากระโดดลงมาอยู่ฝั่งเขาเอง ท่ามกลางเสียงปืนที่ยิงมั่วซั่วของฝั่งแอนนา…ฝั่งแขกเหรื่อมากมาย เขากลับโยกศีรษะไปพร้อมกับรินเหล้า ดื่ม ยิ้ม แล้วก็เดินเซมาจนถึงโต๊ะสี่เหลี่ยมเล็กๆ ตัวหนึ่งตรงมุมห้อง ก่อนหย่อนตัวนั่งลง


คนที่นั่งเงียบๆ อยู่ตรงโต๊ะตัวนี้มาโดยตลอดก็คือ เจ้าของสมาคมและคุณสาวใช้


ไม่ว่าเสียงปืนจะดังวุ่นวายมากเพียงใด ไม่ว่าแขกพวกนั้นจะพลิกโต๊ะล้มแล้วไปซ่อนใต้โต๊ะด้วยความตื่นตกใจเพียงใด และไม่ว่าตอนนี้มีคนมากมายเท่าไรล้มลงไปบนพื้น และไม่ว่าโคมไฟและแก้วพวกนั้นจะโดนกระสุนแตกกระจายมากเพียงใด พวกเขาก็ไม่สนแม้แต่น้อย


ยูริแค่ยิ้มแล้วถอดผ้าปิดตาบนใบหน้าออกทันที จากนั้นก็โยนทิ้งส่งๆ ไปบนพื้น


เขาพูดว่า “น่าดูไหม? สนุกไหมล่ะ? ผมรู้ว่าคุณจะต้องอยู่ที่นี่แน่ๆ…ผมรู้ว่าคุณต้องสนใจสิ่งที่ผมคิดจะทำแน่นอน”


ลั่วชิวกลับพูดเบาๆ ว่า “อืม สัมผัสด้วยตัวเองดีกว่าดูในหนังตั้งเยอะ…นี่ก็คือการแก้แค้นที่คุณลูกค้าต้องการหรือครับ?”


“ไม่ใช่” ยูริวางแก้วในมือ แล้วกรอกเหล้าแรงๆ เข้าปากจากในเหยือกเหล้าราวกับสัตว์ป่า “นี่แค่เริ่มต้นเท่านั้น…ผมยังเหลืออีกยี่สิบเก้าวันไม่ใช่เหรอ?”


“ผมก็ตั้งตารออยู่”



วิคเตอร์และเยียร์เกอร์จำต้องหลบอยู่บนรถเครนยกที่อยู่ติดผนังด้านนอกโรงแรม…เหตุผลสำคัญคือห่ากระสุนในห้องโถงงานเลี้ยงมันหนักเอาการไปหน่อย


“คุณวิคเตอร์ กำลังเสริม! เรียกกำลังเสริมเถอะ! นี่มันไม่ใช่เรื่องเล็กๆ แล้วนะ!”


“ผมรู้! แต่ตอนนี้พวกเรามีสิ่งที่ต้องทำมากกว่าคือ จะปลีกตัวออกจากตรงนี้ยังไง!”


ขณะที่พูด สายเคเบิลข้างหนึ่งของรถเครนยกก็โดนลูกหลงกระสุนตัดขาด กระเช้ารถเครนจึงสูญเสียสมดุลเอียงมาข้างหนึ่งทันที


ท่ามกลางสายลมเย็น นักสืบหนุ่มเยียร์เกอร์และจ่าวิคเตอร์ที่เพิ่งกลับมาทำงานหลังลาพักร้อนไปได้ครึ่งทางต่างพากันโซเซ


ที่จริงเยียร์เกอร์เป็นโรคกลัวความสูง


ดังนั้นเขาก็เลย…


“ช่วยด้วย!!”


บทที่ 36 งานประมูลอีกงานหนึ่ง

โดย

Ink Stone_Fantasy

วิคก้าย่อตัวลง เคลื่อนไหวไปตามใต้โต๊ะที่ใช้วางอาหารและเครื่องดื่มต่างๆ ด้านข้างโถงจัดงานเลี้ยง


เขารู้สึกว่าถึงแม้จะทำแบบนี้ก็ไม่ปลอดภัยเอาเสียเลย ด้วยเหตุนี้เขาจึงแอบยัดจานสีเงินใบหนึ่งไว้ใต้ชุดของตัวเอง


“แบบนี้มันช่วยได้เหรอ?” เวร่าที่อยู่ข้างๆ มองค้อน


วิคก้าพูดอย่างรวดเร็วว่า “มือถือโนเกียไม่ได้ผลิตมานานแล้ว ยังไงเอาอันนี้ไปด้วยก็ดีกว่าไม่มี…เจ้าพวกตระกูลดีคาปี้นี่บ้าไปแล้วหรือยังไง?”


เวร่าชะโงกหัวออกไปมองแวบหนึ่ง แล้วพูดรัวๆ ว่า “พวกเขาบ้าหรือเปล่าฉันไม่รู้ ฉันแค่รู้ว่านายนั่นแหละบ้า นึกไม่ถึงว่าจะซื้อชุดแบบนี้ให้ฉันใส่ นายรู้หรือเปล่าว่าลำบากขนาดไหน?”


“อ้อ ครั้งหน้าผมจะระวัง…ไม่สิ มันจะไม่เกิดขึ้นอีก!”


ตอนนี้เวร่ากลับขมวดคิ้ว ในช่วงโกลาหล เธอมองเห็นคนที่สาดเหล้าใส่ภาพ ‘สุภาพสตรีนิรนาม’ คนนั้นนั่งลงแล้ว…


ตรงโต๊ะที่เขานั่ง มีคนที่ดูสุขุมเด่นชัดสองคนนั่งอยู่ตั้งนานแล้ว “พวกคุณเองเหรอ?”


เวร่าพูดขึ้นอย่างงงงัน


วิคก้าที่ไม่กล้ายื่นหัวออกมา ก็ได้แต่ถามอย่างตื่นเต้นว่า “พวกเขาพวกเธออะไรกันเหรอ?”


เวร่าลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงย่อตัวลงมาถอดรองเท้าส้นสูง จากนั้นก็ฉีกชายกระโปรงยาว แหวกออกจนเกือบถึงสุดขาอ่อน ก่อนมองวิคก้าแวบหนึ่ง “อาวุธของนายล่ะ?”


“อ้อ! ใช่ๆ อาวุธของผม!” วิคก้ารีบล้วงเสื้อผ้าที่อยู่บนตัว “หาเจอแล้ว!”


สิ่งที่สองมือเขาล้วงออกมาอย่างร้อนรนคือ…รีโมต!


เหมือนจะรู้ตัวแล้วว่าของที่ตัวเองหยิบออกมาดูค่อนข้างแย่ วิคก้าเลยรีบยัดกลับไปในเสื้อหลายครั้งอย่างยากลำบาก แล้วถึงได้ล้วงปืนพกสั้นๆ กระบอกหนึ่งออกมา ขนาดใหญ่ไม่ถึงฝ่ามือเลยด้วยซ้ำ


“เป็นไงล่ะ! อันนี้ไหวไหม?”


เวร่าถอนหายใจ แล้วยื่นมือมาคลำหาถาดเหล็กอีกถาดบนโต๊ะ ก่อนส่งไปถึงมือของวิคก้า เธอพูดราวกับอวยพรว่า “ผู้บุกเบิกการปฏิวัติที่ยิ่งใหญ่อย่างวลาดิเมียร์จะปกป้องนายเอง”


“ผมไม่เคยไปจตุรัสเลนิน่าเพื่อแสดงความรำลึกถึงเขาเลยนะ! เวร่า เวร่า เว…”


ฉับพลันนั้นเวร่าก็กลิ้งม้วนตัวออกไปจากที่นี่


แต่วิคก้าไม่กล้าออกไปจากตรงนี้ เขาคิดว่าถึงแม้เวร่าจะให้ถาดเหล็กเขาอีกถาดก็ยังไม่ปลอดภัยอยู่ดี


ดังนั้นเขาจึงหยิบเพิ่มอีกถาด แล้วยัดทั้งสามถาดไว้ด้วยกันในเสื้อ


เขาคิดว่าตัวเองฉลาดโครตๆ เลย!



“ทำไมถึงรู้สึกสนใจเรื่องพวกนี้?” ยูริพูดถามพร้อมกับมองอีกฝ่ายทันที


คนที่ใส่หน้ากากตัวตลกตรงหน้าแย้มยิ้ม ยูริจึงอดคิดบางอย่างไม่ได้ ว่าคำพูดต่อไปของเจ้าของสมาคมต้องเป็นการล้อเขาเล่นแน่


“นั่งอยู่ในที่อุ่นๆ ฟังเรื่องเศร้าชวนให้หดหู่จับใจ ได้รู้สึกถึงความหนาวเหน็บชวนทอดถอนใจอยู่หน้าเตาผิง…” ลั่วชิวพูดช้าๆ “นี่เป็นคำพูดที่คุณยูริพูดไว้ก่อนหน้านี้ ผมคิดว่ามันดีมากเลย”


นี่จะพูดล้อกันจริงๆ ใช่ไหม? แถมยังใช้คำพูดที่เขาเคยพูดเอาไว้อีก…แต่ยูริกลับไม่ได้รู้สึกโกรธ บางทีในใจของเขาอาจจะเชื่อว่า ถ้าอีกฝ่ายไม่ได้ใช้คำพูดติดล้อเล่น ก็จะไม่ใช้วิธีนี้มาทำให้ความปรารถนาของตัวเขาเป็นจริง


“ผมยังไม่รู้จักชื่อของคุณเลย” ยูริส่ายหน้าเล็กน้อยแล้วก็หัวเราะเยาะตัวเอง


ในขณะเดียวกันเขาก็ดูสถานการณ์รอบๆ ตัว ในสถานการณ์ที่ย่ำแย่และอันตรายแบบนี้ คนธรรมดาคงจะหวาดกลัว แต่เขาคิดว่าตัวเองไม่ได้กลัว


เขารู้แค่ว่าชีวิตตัวเองไม่ยืนยาว แล้วเขาก็รู้ว่าตัวเองได้ตายไปแล้วครั้งหนึ่ง ดังนั้นทุกวินาที ทุกนาทีที่ผ่านไป เหมือนว่าไม่มีเรื่องไหนที่น่ากลัวอีกแล้ว


แต่เขายังไม่ทันได้คำตอบจากอีกฝ่าย ก็มีเสียงคุ้นเคยเสียงหนึ่งดังแทรกขึ้นระหว่างการสนทนาของเขาและเจ้าของสมาคม


ยูริรู้สึกว่ากำลังมีคนกดบ่าของเขาไว้อย่างรวดเร็ว แล้วใช้มือล็อกคอของเขาเอาไว้ไม่ให้ขยับเขยื้อนได้


ไม่แน่นมากแต่ก็ไม่ได้หลวม เป็นการรัดแน่นๆ เหมือนแค่มาขู่เท่านั้น


ในขณะเดียวกัน เขาก็รู้สึกได้ว่าถูกของเย็นๆ จ่อเอาไว้ที่ขมับของตน


“หยุดการกระทำของคุณเดี๋ยวนี้…ก่อนจะสายเกินแก้”


คนที่ล็อกคออยู่ด้านหลังยูริ ก็คือแอนนานี่เอง


ยูริกลับหลับตาลง ด้วยคิดจะลบรอยยิ้มของหน้ากากตัวตลกตรงหน้าออกไปจากสมองของเขา ในขณะเดียวกันก็พูดว่า “แอนนา คุณไม่คิดจะดูหน่อยเหรอ ว่าผมเป็นใคร?”


“คุณเป็นใคร?”


แอนนาขมวดคิ้วแน่นตอนที่ถูกเรียกชื่อตรงๆ


ยูริพูดอย่างเฉยเมยว่า “ผมถอดหน้ากากออกแล้ว คุณแค่ดูแป๊บเดียวก็รู้แล้วไม่ใช่เหรอ?”


ยูริยืนขึ้น ยื่นมือไปตบข้อมือของแอนนาที่ล็อกคอเขาไว้เบาๆ “ทำตัวสบายๆ หน่อย คุณเป็นผู้หญิงที่ใจเย็น มั่นใจ และสวยที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็น ทำไมต้องใช้ความน่าเกลียดแบบนี้มาทำลายความสวยของคุณล่ะ?”


แอนนาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงมองรอบๆ เธอพบว่าตั้งแต่เธอเริ่มจับตัวเจ้านี่ไว้ พวกที่ใส่ชุดสีขาวพวกนั้นก็ยั้งมือ อีกทั้งยังทยอยเข้ามาใกล้เธอ


ทันใดนั้นสถานการณ์การยิงกันในโถงจัดงานเลี้ยงก็หยุดชะงัก


แอนนาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง หลังจากปากกระบอกปืนย้ายจากขมับไปที่หลังหัวของอีกฝ่าย เธอก็พูดเสียงทุ้มต่ำว่า “คุณหันมาได้แล้ว”


ยูริหันตัวมา


ตาของแอนนาพลันเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย แล้วอ้าปากค้างทันที


ยูริยกมือทั้งสองข้างของตัวเองให้สูงขึ้นเล็กน้อย ผิวปากหนึ่งครั้งแล้วพูดด้วยเสียงเบาๆ ว่า “แอนนา คุณดูสิ ผมทรยศถูกไหม? ทำไม จำผมไม่ได้แล้วเหรอ? หรือจะบอกว่าแค่โกนหนวดเครา คุณก็ลืมหน้าตาของผมไปแล้ว? เมื่อก่อนคุณไม่ได้ช่วยผมโกนหนวดเคราเหรอ?”


“เป็นไปไม่ได้…”


แอนนาพูดเบาๆ อย่างหวาดกลัว แต่นิ้วมือของเธอเกือบลั่นไกปืนไปโดยสัญชาตญาณแล้ว!


ชู่!


ทว่ามือของเธอกลับเจ็บขึ้นอย่างรุนแรงทันที มีดเล็กแวววับเล่มหนึ่งปักอยู่ที่หลังมือของเธอ…จนเกือบจะแทงทะลุหลังมือเธอไป!


แอนนาร้องโอดครวญ ปืนหล่นลงพื้น แล้วผู้ชายในชุดสูทสีขาวคนหนึ่งก็พุ่งเข้ามาใกล้ ก่อนกดแอนนาลงบนพื้น จากนั้นก็จับข้อมือทั้งสองของเธอมาไพล่ไว้ด้านหลัง กำราบเธอได้โดยสิ้นเชิง


“ท่านครับ เมื่อครู่ทำแบบนั้นอันตรายมากนะครับ”


หลังจากพ่อบ้านชราขยับชุด และคลุมมีดเล่มเล็กที่เสียบอยู่ตรงเอวนั้นเรียบร้อยแล้ว ก็เดินไปข้างๆ ยูริ ก่อนขมวดคิ้วพูด


ยูริตะลึงค้าง เขาคาดไม่ถึงว่าชายชราคนนี้จะคล่องแคล่วว่องไวมาก เขาได้แต่ส่ายหน้า แล้วเดินไปข้างหน้าแอนนาที่มองเขาอย่างหวาดกลัว


เขายื่นมือไปลูบไล้หน้าของเธอ แล้วพูดเบาๆ ว่า “ผมกลับมาแล้ว…คุณบอกว่าคุณจะไม่ลืมผม ตอนนี้จำแม่นเลยหรือเปล่า”


แอนนาส่ายหน้าเล็กน้อยอย่างไม่อยากเชื่อ…เป็นเขาจริงๆ ยูริที่มีพรสวรรค์ด้านวาดรูป แต่กลับยากจนระหกระเหินอยู่บนท้องถนนคนนั้น


เขา…เป็นคนตระกูลดีคาปี้ได้อย่างไร?


ที่สำคัญก็คือ ทำไมเขายังไม่ตาย?


“ท่านครับ จัดการสองคนนี้ยังไงดีครับ?”


ทันใดนั้น ก็มีเสียงของลูกน้องประจำตระกูลดีคาปี้ดังขึ้นจากด้านหลังยูริ เขาหันตัวกลับไปมองก็เห็นลูกน้องกำลังจ่อปืนใส่เจ้าของสมาคมที่มอบทุกอย่างนี้ให้กับตัวเขา


“หัดเกรงใจกันหน่อย สองท่านนี้เป็นเพื่อนคนสำคัญของฉัน” ยูริโบกมือ


ปังๆๆๆๆ!


เขารับปืนมาจากมือเอดการ์ ก่อนยิงสาดกระสุนไปทางฝ้าเพดานจนหมด แล้วเริ่มพูดสิ่งที่ชวนให้คนตกใจว่า “ฟังนะ สองวันให้หลังผมจะจัดการประมูลภาพ ‘สุภาพสตรีนิรนาม’ ขึ้นจริงๆ! เรื่องวันนี้ที่ทำให้พวกคุณทั้งหมดต้องตกใจ ผม!ยูริผู้สืบทอดตระกูลดีคาปี้จะชดเชยให้อย่างงาม!”


บทที่ 37 เวร่าที่กัดนิ้วมือ

โดย

Ink Stone_Fantasy

การประมูลภาพ ‘สุภาพสตรีนิรนาม’ ที่แท้จริง?


ตอนที่ยูริพูดประโยคนี้ออกมา พวกนักสะสมที่ได้รับเชิญมาก็พากันตกใจ ไม่ได้น้อยไปกว่าตอนที่เขาสาดเหล้าบนเวทีเมื่อกี้เลย ถึงขนาดตกใจมากกว่าเดิมอีก


ส่วนการต่อสู้ยิงปืนที่เพิ่งเกิดขึ้นล่ะ?


ก็คงเหมือนเรื่องสัพเพเหระสำหรับคนพวกนี้ ไม่ได้มีอะไรน่าแปลกใจเลย


“ยังมีภาพ ‘สุภาพสตรีนิรนาม’ ภาพที่สองเหรอ?หรือว่าภาพที่คุณเพิ่งทำลายไปเมื่อกี้นี้เป็นภาพปลอมจริงๆ?”


ในเมื่อเจ้าบ้านี่เปิดเผยสถานะที่แท้จริงของตนออกมาแล้ว แถมยังทำท่าชิวๆ อีก ผู้คนย่อมเชื่อคำพูดของเขาสนิทใจ


เขาแค่ดื่มเหล้าไปนิดหน่อยเท่านั้นเอง ไม่ได้เสพกัญชาแล้วสติเลอะเลือน คงไม่ถึงกับเอาชื่อเสียงของทั้งตระกูลมาล้อเล่นที่นี่หรอก


“เกิดอะไรขึ้น? F&C เป็นคนเอาภาพมา งานประมูลนี้เขาก็เป็นคนริเริ่ม…แต่ว่าภาพกลับเป็นของปลอม แถมมาอยู่ในมือคุณอีก? โอ๊ย ผมสับสนไปหมดแล้ว!”


“เป้าหมายของทุกท่านก็แค่ต้องการภาพนั้นเท่านั้น ส่วนระหว่างนั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้น ทุกท่านสนใจจริงๆ เหรอครับ?” ยูริกลับย้อนถามอย่างใจเย็น อีกทั้งยังพูดต่ออีกว่า “ส่วนภาพ…สองวันให้หลัง พวกคุณจะได้เห็นแน่ ส่วนสถานที่ เดี๋ยวคุณพ่อบ้านของผมจะบอกพวกคุณเอง”


หลังจากยูริป่วนงานประมูลนี้อย่างกับคนบ้าแล้ว ตอนนี้เขากำลังโค้งคำนับต่อหน้าฝูงชนด้วยลักษณะไม่คล้ายกับผู้มีอิทธิพลเลยสักนิด “อย่างนั้นขอตัวลาทุกท่านนะครับ…”


เขาหันตัวเดินไปทางประตูเพียงก้าวเดียวเท่านั้น ก็หันตัวกลับมาทันที เหมือนนึกอะไรขึ้นได้ “ใช่แล้ว ผมกำชับคนของผมเอาไว้แล้ว ให้โฟกัสเฉพาะฝ่ายจัดงานประมูลครั้งนี้เท่านั้น พวกคุณดูสิ คนของผมบาดเจ็บไปไม่น้อยเลย ส่วนคนของพวกคุณเหรอ เหมือนยังดีๆ อยู่เลย ผมเลยคิดว่า ทุกท่านคงไม่ทำให้ผมลำบากใจหรอกล่ะมั้งครับ?”


พูดไปก็ไม่สนใจสีหน้าของบรรดาแขกในงาน ยูริพยักหน้าให้ลูกน้องที่สวมชุดสูทสีขาวทั้งหลาย ซึ่งหนึ่งในนั้นฟาดสันมือไปที่หลังคอของแอนนา หลังจากแอนนาสลบไปแล้วถึงพาเดินจากไปพร้อมกับยูริ


“ขออภัยจริงๆ ที่ทำลายบรรยากาศสนุกสนานของทุกท่าน สองวันหลังจากนี้ พวกเราจะต้องต้อนรับทุกท่านอย่างดีแน่นอน” คุณพ่อบ้านเอดการ์ทำหน้าที่เน้นย้ำ


ถึงแม้ว่าน้ำเสียงตลอดจนการกระทำล้วนดูสมบูรณ์แบบ แต่กลับเป็นการพูดด้วยท่าทางแข็งกร้าว


“ส่วนเรื่องสถานที่…”


เอดการ์พูดที่อยู่แห่งหนึ่งอย่างรวดเร็ว ทั้งยังยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่ว่ายังไง ตระกูลดีคาปี้ก็ยังยินดีอย่างยิ่งที่จะคบหากับทุกท่าน”


และในตอนนี้เอง ลูกน้องในชุดสูทสีขาวสามคนกลับชี้ปืนไปทางเด็กเสิร์ฟสองคน แล้วนำตัวไปอยู่ข้างๆ เอดการ์ “สองคนนี้หลบอยู่บนเครนทำความสะอาดกระจกด้านนอกตลอดเลยครับ…”


เขาเดินไปข้างๆ เอดการ์ ก้มหน้าพูดเสียงเบาๆ ว่า “เป็นตำรวจครับ”


สายตาของเอดการ์หรี่ลงเพื่อมองสังเกตเยียร์เกอร์และวิคเตอร์เล็กน้อย เขาพบว่าตอนนี้ตำรวจทั้งสองที่ไม่รู้ว่าลอบเข้ามาได้อย่างไรกลับมีท่าทีสงบเยือกเย็น


พวกเขาคงจะรู้ว่าการพูดหรือทำอะไรที่มากเกินไป ย่อมทำให้พวกเขาตกอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายยิ่งขึ้น


“เอาตัวไปก่อน อย่าตีโพยตีพายไป”


เอดการ์พูดอย่างเฉยเมย และยังคงรักษาความใจเย็นเอาไว้…พ่อบ้านผู้อาวุโสคนนี้ยังดูมีทีท่าเหมือนบอสใหญ่ยิ่งกว่าใครบางคนเสียอีก เขามองทุกคนแวบเดียว พร้อมทำความเคารพตามมาตรฐาน “เช่นนั้นผมขอตัวก่อนนะครับทุกท่าน”



“ไม่เข้าท่า! เฮอะ!!”


หลังจากคนตระกูลดีคาปี้ออกไปหมดแล้ว ชายร่างใหญ่คนหนึ่งในมุมหนึ่งของงานเลี้ยง ก็ตบโต๊ะอย่างแรง “ตระกูลดีคาปี้! ไม่ใช่แค่ไอ้หนุ่มที่ขายอาวุธเป็นอย่างเดียวเหรอ มีอะไรดี! ฮึ!”


ถึงแม้จะพูดแบบนี้ แต่ว่าชายร่างใหญ่ก็เหมือนไม่ได้คิดจะอยู่ที่นี่ต่อ จึงโบกมือแล้วออกจากโถงจัดงานไปพร้อมกับคนของตัวเอง


พอแขกที่เหลือก็มองดูชายร่างใหญ่คนนี้จากไป ต่างก็พากันทยอยออกจากที่นี่ไปโดยไม่พูดไม่จา อย่าล้อเล่นน่า หลังเกิดเหตุการณ์ยิงกันที่นี่ไปแล้วย่อมไม่สามารถอยู่ในที่เกิดเหตุได้ ยิ่งอยู่ห่างๆ ความยุ่งยากก็ยิ่งน้อยลง


ตอนนี้คนของทางเยฟิมไม่กล้าทำอะไรส่งเดช หลังจากแอนนาถูกนำตัวไปแล้ว ลูกน้องอีกคนก็เข้าควบคุมงานแทนทันทีด้วยคำสั่งของเยฟิม


เยฟิมไม่ได้เจตนาจะล่วงเกินแขกที่ไม่พอใจอีก จึงไม่ได้คิดขวางทางแขกเอาไว้


เหมือนไม่มีใครสังเกตเห็นโต๊ะที่เงียบมากๆ โต๊ะนั้น…บางทีพวกเขาอาจจะสังเกตเห็นแล้ว เพียงแค่ไม่ได้คิดว่ามีอะไรผิดปกติ


“ประมูลภาพ ‘สุภาพสตรีนิรนาม’ ที่แท้จริง” ตอนนี้ลั่วชิวกำลังมองไปนอกหน้าต่างที่ลูกกระสุนทำให้แตกกระจายไปหมด


ครั้งนี้ลั่วชิวไม่ได้ทำอะไร แต่เขากำลังรอดูว่ายูริในฐานะลูกค้าคนใหม่ จะเดินไปสู่จุดจบแบบไหน เหมือนเป็นสิ่งที่ไม่อาจคาดเดาได้


ลั่วชิวเหม่อลอยอยู่แบบนี้พักหนึ่ง แล้วเขาก็ยื่นมือไปเคาะโต๊ะเบาๆ จากนั้นก็พูดอย่างเฉยเมยว่า “ยังคิดไม่ออกอีกเหรอครับ? พวกเราจะไปแล้ว”


เงาคนคนหนึ่งคลานออกมาจากใต้โต๊ะที่ผ้าคลุมเปิดออกนี้


ผู้หญิงคนนี้ต่างกับตอนที่เห็นก่อนหน้านี้เล็กน้อย เธอฉีกกระโปรงยาวของตัวเองออกไปแล้ว กระโปรงยาวขาดวิ่น แต่กลับมีความรู้สึกที่ลงตัวยิ่งกว่าเดิม


เวร่ามองดูโถงจัดงานก่อนแวบหนึ่ง เธอพบว่าทั้งโถงจัดงานไม่มีใครอยู่สักคนเดียว นอกจากคนสองคนที่อยู่ตรงโต๊ะนี้…อืม รวมเธอด้วยก็เป็นสามคนถึงจะถูก


เธอนั่งลงบนโต๊ะทันที สองมือค้ำไปด้านหลัง อยู่ในท่าอกผายไหล่ผึ่ง “หาฉันเจอตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอ?”


“ความจริงผมก็แค่ลองเคาะดู”


เธอไม่คิดเลยว่า เจ้าของสมาคมจะพูดประโยคที่คาดไม่ถึงแบบนี้


ลั่วชิวทำไม้ทำมือแล้วพูดว่า “ไม่เคยดูหนังเหรอครับ?คนที่อยู่เป็นคนสุดท้ายก็ใช่ว่าจะเป็นคนสุดท้ายจริงๆ แค่เคาะๆ แกล้งก็ยังคงมีอีกคนโผล่ออกมาเลย”


เวร่าพูดเยาะเย้ยว่า “คุณเห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้นที่นี่เป็นหนังเหรอคะ?”


ลั่วชิวตอบกลับเสียงเบาว่า “ผมคิดว่าน่าดูกว่าหนังอีกครับ”


“คุณเป็นใคร?”


เวร่าก้มหัวมองจากมุมที่สูงกว่าลั่วชิวและโยวเย่ที่นั่งเก้าอี้ “ทำไมเมื่อกี้ยูริถึงมานั่งคุยกับคุณอยู่ตรงนี้?”


“คุณผู้หญิงไม่คิดว่าการเข้าใกล้มากจนเกินไปจะไม่สุภาพเหรอคะ?” โยวเย่พูดเตือนด้วยน้ำเสียงธรรมดา


เวร่ายักไหล่ แต่ก็ไม่ได้ลงมาจากโต๊ะ


“คุณเวร่า วันนี้พอเท่านี้ก่อนเถอะครับ”


ลั่วชิวยืนขึ้นมา พูดว่า “ผมเป็นเพียงพ่อค้าคนหนึ่งเท่านั้น ถ้าคุณเวร่าอยากทำธุรกิจกับผม พวกเราก็ยินดีต้อนรับตลอดเวลาครับ”


เธอตกใจที่อีกฝ่ายเรียกชื่อเธอตรงๆ


เธอแอบคาดเดาที่มาที่ไปของคนคนนี้ ก่อนถามด้วยน้ำเสียงและสีหน้าสงบนิ่งที่สุด “จริงเหรอคะ? ขนาดคุณทำธุรกิจอะไรฉันก็ยังไม่รู้เลย แล้วยิ่งไม่รู้ที่อยู่ด้วย การต้อนรับแบบนี้ออกจะไม่จริงใจไปหน่อยนะคะ?”


“ถ้ามีความปรารถนา คุณเวร่าก็จะหาผมเจอ” ลั่วชิวพูดเสียงเบาๆ ว่า “ขอแค่คุณคิดถึงผมอยู่ในใจ ผมก็จะปรากฏตัวตรงหน้าคุณ”


แววตาของเวร่าสั่นไหว ทั้งรู้สึกน่าสนใจทั้งรู้สึกแปลกๆ เธอไม่ได้สนใจผู้ชายคนนี้ เพียงแค่สนใจคำพูดของเขาเท่านั้น


เหมือนมีกลิ่นอายลึกลับลอยฟุ้งอยู่รอบตัวคนคนนี้ตลอด สำหรับเธอผู้มีสัญชาตญาณค้นหาที่แทบเหมือนโรคจิต นี่ไม่ต่างกับอะไรกับแรงดึงดูดอันมหาศาล


ฉับพลันเธอก็อยากทำลายบรรยากาศแบบนี้


สัญชาติญาณของเธอก็เป็นแบบนี้ ไม่ชอบอยู่ในสถานการณ์ที่เป็นฝ่ายถูกกระทำตลอด เธอจึงลงมาจากโต๊ะ เดินมาตรงหน้าคนลึกลับผู้นี้แล้วกระซิบที่ข้างหูของเขาว่า “จริงเหรอคะ?แม้ว่าฉันอยู่ในห้องของฉัน คุณก็จะมาเหรอคะ?”


“ใช่ครับ แม้ว่าคุณเวร่าจะอยู่ในห้องของคุณ ขอแค่คุณต้องการผม…พวกเราจะมาปรากฏตัวต่อหน้าคุณ” ลั่วชิวไม่ได้คิดจะขยับ


มีเรื่องบางเรื่องที่เขาไม่ยินดีจะอธิบายให้ละเอียดที่นี่…แต่ก็มีเรื่องบางเรื่อง ที่เขากลับสนใจพูดออกไปมาก “เพราะว่าบนตัวคุณเวร่ามีความสวยงามที่ทำให้ผมหลงใหล”


“ขอบคุณที่ชม”


เวร่าสร้างระยะห่างระหว่างคนทั้งสองอย่างเฉยเมย


เธอสะอิดสะเอียนคำว่า ‘สวย’ ที่ใช้พูดถึงตัวเธอตามสัญชาตญาณ



ในขณะที่ประตูโถงจัดงานเลี้ยงเปิดขึ้นอีกครั้ง วิคก้าถึงได้โผล่มาจากที่ซ่อน แล้วรีบวิ่งไปข้างๆ เวร่า เขาถามอย่างประหลาดใจว่า “ชายหญิงคู่เมื่อกี้นี้เป็นใครกัน?”


“คนประหลาด”


‘อีกทั้งยังเป็นคนประหลาดที่รู้ฐานะของฉัน’ เวร่าไม่ได้พูดประโยคนี้ออกมา


ความใจเย็นในตอนที่คุยกันได้หายไป


น้อยนักที่วิคก้าจะได้เห็นเวร่าพยายามปกปิดสีหน้าไม่สบายใจของตัวเองไว้เช่นนี้ ไม่ต้องสงสัยเลย เวร่ามีขาเรียวยาวได้สัดส่วนจนสมบูรณ์แบบ อีกทั้งฉีกชายกระโปรงออกก็ยิ่งน่าดึงดูดใจ แต่สำหรับวิคก้า ความละลานตานี้เทียบไม่ได้กับการเปลี่ยนแปลงของสีหน้าเธอเลย


พระเจ้า…นอกจากพวกคนแก่ดื้อดึงที่อยู่ในบ้านแล้ว ไม่นึกเลยว่ายังมีคนทำให้คุณหนูใหญ่คนนี้ปวดหัวได้ ผมตาฝาดไปหรือเปล่า…ความคิดพวกนี้เริ่มปรากฏขึ้นในหัวของวิคก้า


“แม้ว่าแพ้ไปแล้วหนึ่งครั้ง แต่เมื่อกี้นี้ฉันน่าจะลองติดเครื่องติดตามไว้บนตัวหมอนั่น…” เวร่ากัดเล็บมือของตัวเองเบาๆ แล้วพูดพึมพำกับตัวเอง


ไหนเลยจะรู้ว่าการกระทำแบบนี้ยิ่งทำให้วิคก้าเหนือคาด


เป็นความรู้สึกประมาณไหนน่ะเหรอ?


ประมาณว่า…อายุจะสั้นน่ะ!!!


“นายกำลังมองอะไร?” ตอนนี้จู่ๆ เวร่าก็ขมวดคิ้วมองวิคก้า


วิคก้ารีบส่ายหน้าแล้วพูดว่า “รอคำสั่งคุณไงล่ะ คุณต่างหากที่เป็นเจ้านายจ่ายเงินเดือนผม”


เวร่ามองตาขวาง…จากนั้นเธอก็เอามือไปลูบกลางหน้าอกของตัวเอง แล้วล้วงกระจกแต่งหน้าเล็กๆ อันหนึ่งออกมาจากชุดราตรีเกาะอก


ตลับกระจกที่เปิดออกมาไม่ใช่บานกระจก แต่เป็นของที่คล้ายกับหน้าจอ เวร่าหัวเราะเบาๆ แล้วจึงยัดมันลงในมือของวิคก้า “จ้องมันเอาไว้ ลองดูว่าหยุดอยู่ที่ไหน”


“นี่คือ…”


“ตำแหน่งของเจ้าของตระกูลดีคาปี้” เวร่าพูดอย่างเฉยเมยว่า “ฉันแอบติดตั้งไว้ในพื้นรองเท้าของเขา”

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม