ยอดรักชายาอัปลักษณ์ 337-344
ตอนที่ 337 แส่ไม่เข้าเรื่อง
สาวใช้ทยอยจากไป บนหิมะขาวเหลือเพียงรอยเท้ากระจัดกระจาย ท่ามกลางความเงียบ คนผู้หนึ่งค่อยๆ ก้าวออกมาจากหลังภูเขาจำลอง เสียงเท้าย่ำลงไปบนพื้นหิมะดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ รอยยิ้มบนหน้าหนิงอวี้หายใปจนสิ้น
“มาหาข้าด้วยเรื่องใด” เดิมทีคิดว่าเมื่อบอกลาที่ชายแดนครั้งนั้นคงไม่มีวันได้พบกันอีก คิดไม่ถึงว่าเขาจะกลับมาเป็นทูตถึงราชวงศ์ใต้
ครั้งแรกที่หนิงอวี้พบเขา คิดว่าเขาคงวิปลาสไปแล้ว หากถูกคนอื่นจับได้ว่ามู่หรงเหยียนคือนายน้อยขุนพลหนิงในอดีต เช่นนั้นบิดาจะมิต้องถูกครหาว่าทรยศบ้านเมืองหรอกหรือ
“เจ้าอยู่ดีหรือไม่” มู่หรงเหยียนเห็นนางไม่ยอมหันกลับมามองหน้าก็เผยความผิดหวังเล็กน้อย “ข้าได้ยินว่าเจ้าตอนที่ให้กำเนิดจงเอ๋อร์นั้นคลอดยาก จนเกือบ…”
“ไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้า”
หนิงอวี้พูดตัดบทด้วยความโกรธ ในเมื่อเป็นห่วงนางเช่นนี้ ไยตอนแรกนั้นจึงกักขังนางไว้
“ข้าแค่เพียง อยากรู้ว่าเจ้าอยู่ดีหรือไม่”
หนิงอวี้แววตาเกรี้ยวกราด เมื่อเห็นเขามีแววตาเศร้าโศกก็รู้สึกตัวได้ว่ากำลังเสียกิริยา นางสะบัดแขนเสื้อหันกายกลับแล้วพยายามพูดอย่างสงบนิ่ง “เจ้าเป็นบุตรบุญธรรมของท่านพ่อ แต่มิใช่พี่ชายข้าอีกต่อไป”
“มู่หรงเหยียน ชาตินี้ข้าและเจ้าไม่เกี่ยวข้องอะไรกันอีกแล้ว” ชายกระโปรงสีแดงชาดลากผ่านพื้นหิมะไปช้าๆ ทิ้งไว้เพียงกลีบดอกไม้สีแดงเป็นจุดๆ
มู่หรงเหยียนยืนกับที่อยู่นาน แล้วค่อยๆ ปลดหน้ากากเขียวเขี้ยวโง้งออกมา เขามองเหม่อไปยังหน้ากาก นานเท่าใดแล้วที่ไม่ได้ถอดหน้ากาก
เขาละทิ้งทุกสิ่งอันล้ำค่า สุดท้ายทำได้เพียงนั่งบนบัลลังก์มังกรแล้วสวมหน้ากากอันจอมปลอมไปชั่วชีวิตเท่านั้นหรือ เสด็จพ่อบอกว่าจะสละราชบัลลังก์ในไม่ช้า แต่ในใจเขากลับไม่ได้ยินดีแม้แต่น้อย
ในวันที่สายลับที่ราชวงศ์ใต้แจ้งข่าวมาว่านางคลอดยากนั้น เขาคลุ้มคลั่งรีบตามพระผู้ใหญ่นับพันมาสวดภาวนา เขาคุกเข่าต่อหน้าพระ ในใจภาวานาเพียงเพื่อนางแต่ผู้เดียว
ชั่วขณะที่โศกเศร้ากังวลจนถึงที่สุดนั้น มือเขาสั่นเทิ้มไม่หยุด วินาทีนั้นเอง เขาก็รู้สึกตัวได้ฉับพลันว่าตนยังมีชีวิตอยู่
เรื่องส่งทูตมาราชวงศ์ใต้ เดิมกำหนดให้เป็นผู้อื่นแต่เขาเข้ามาก้าวก่าย ยอมเสี่ยงกับการถูกเสด็จพ่อเคลือบแคลงใจดึงดันเดินทางมาให้ได้ ได้พบหน้าสักครั้งก็ยังดี ให้แน่ใจว่านางยังอยู่อย่างมีความสุข
มู่หรงเหยียนยกมุมปากขึ้น เหยียดยิ้มอันเยือกเย็นหนึ่งทีพลางสวมหน้ากากแล้วหันกายเดินจากไป เรื่องราวมาถึงขนาดนี้แล้ว ไม่มีทางที่ให้ถอย ไม่มีเรื่องที่ต้องเสียใจอีกต่อไป
จังหวะก้าวสุขุมนิ่ง แววตาเยือกเย็น บนพื้นหิมะที่ตกไปทั่ว ประทับด้วยรอยเท้าสี่ทาง สองทางแต้มด้วยดอกบ๊วยแดงที่ร่วงหล่นกระจาย อีกสองทางกลับแต้มไปด้วยรอยเลือดแดงเป็นจุดๆ
——
“แม่นางจิ้นอิน ท่านมาแล้ว! แต่ว่าฮองเฮามีเรื่องอันใดหรือ”
หัวหน้าขันทีสะบัดแส้ในมือ ก้าวเข้ามาต้อนรับด้วยรอยยิ้มอันสอพลอ
จิ้นอินค้อมกายก้มหน้าแล้วเดินเข้าไปในห้องทรงอักษรโดยเร็ว พวยควันธูปยาวเฟื้อยจากกระถางกำยานสีเงินลอยออกมา ลอยขึ้นกลางอากาศแล้วพลันหายไป
“ข้าน้อยถวายบังคมฮ่องเต้เพคะ”
เว่ยหยวนวางพู่กันขนเพียงพอนลงแล้วเอนหลังลงบนบัลลังก์มังกร
“วันนี้ฮองเฮาหลังเสร็จพิธีฉลองครบหนึ่งเดือนพระราชโอรสแล้วก็เสด็จไปยังอุทยานหลวงชมดอกบ๊วยแดงเพคะ…”
“อืม คลุมเสื้อคลุมกันหนาวหรือไม่”
“คลุมแล้วเพคะ ตอนที่ชมดอกบ๊วยเห็นมีชายเสื้อสีม่วงโผล่ออกมาจากหลังภูเขาจำลอง ฮองเฮาก็รับสั่งให้พวกข้าน้อยออกมา”
เว่ยหยวนได้ยินก็ชะงักเล็กน้อย นึกถึงชายเสื้อของมู่หรงเหยียนขึ้นมาก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว
บรรยากาศราวกับหยุดนิ่ง จิ้นอินก้มหน้าลงแล้วพูดเสียงเบายิ่งขึ้น “ข้าน้อยแอบอยู่ที่ลับยังไม่ได้ไปจากที่นั่น แต่ ด้วยไอกำลังภายในของฮองเฮาที่แผ่ซ่านเลยไม่กล้าเดินเข้าไป ดังนั้นจึงฟังทั้งสองคนพูดได้ไม่ชัด”
เว่ยหยวนยื่นมือออกไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย ลูบไปบนหยกประดับ นิ้วมือร้อนผ่าว หยกประดับเนียนลื่น พอทำให้เขาสงบใจลงได้บ้างแม้จะรู้สึกฝืนใจก็ตาม
ครู่หนึ่งเขาก็ได้สติกลับมา เห็นจิ้นอินที่กำลังคุกเข่าอยู่กับพื้นจึงส่ายมือ
ทำไมนางจึงยอมพูดคุยกับเขา เว่ยหยวนพยายามสงบอารมณ์ ทว่าเส้นเอ็นบนมือทั้งสองกลับปูดโปนขึ้น แพทย์หลวงบอกว่าสาเหตุหลักของการคลอดยากเป็นเพราะนางต้องผจญความลำบากระหว่างตั้งครรภ์
เดิมทีเขาตั้งใจจะเฉลยความข้องใจของนาง จึงได้ตามคนที่รู้จักที่มาของมู่หรงเหยียนในตอนนั้นมา ดูไปแล้ว ช่างเป็นการแส่ไม่เข้าเรื่องเสียจริง
ตอนที่ 338 บังอาจ!
เมื่อฝนวสันต์ห่าแรกตกลงมา หนิงอวี้นั่งอยู่บนชิงช้ามองดูนกนางแอ่นบินผ่าน สายฝนปรอยๆ ตกลงมา หนิงอวี้ลุกขึ้นยืนรับอันเอ๋อร์มาจากมือแม่นมแล้วจับนิ้วชี้เขายื่นไปรองน้ำฝน
“อันเอ๋อร์ เจ้าดูสิ นี่คือฝนวสันต์”
อันเอ๋อร์กระพริบตา มองยังนางพลางยิ้มหวาน ครั้นแล้วก็หดมือกลับหัวเราะคิกคัก หนิงอวี้เห็นเขาหัวเราะอย่างสำราญใจ ก็อดไม่ได้ที่ยิ้มน้อยๆ
“ฮองเฮาเพคะ งานเลี้ยงรับฝนวสันต์จะเริ่มแล้วเพคะ”
หนิงอวี้ลุกขึ้นยืนตรง ปล่อยให้จิ้นอินช่วยจัดระเบียบเครื่องแต่งตัว วันนี้นางสวมชุดกระโปรงสีเขียวอ่อน เพื่อสื่อถึงสรรพสิ่งหวนคือสู่ฤดูใบไม้ผลิ
จัดการทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว หนิงอวี้ก็วางมือลงบนมือจิ้นอิน ค่อยๆ เดินไปยังประตูตำหนัก ประตูตำหนักเปิดออก เว่ยหยวนในชุดสีเหลืองทองยืนอยู่ที่ปากประตู
“หม่อมฉันถวายบังคมฝ่าบาท”
เว่ยหยวนยื่นมือไปประคองนางไว้ก่อนที่นางจะค้อมกายลงคำนับ เขายื่นมือขึ้นแหวกม่านแล้วพูดขึ้นเสียงเบา “ระวังศีรษะนะ”
เพียงครู่เดียว ราชรถก็เคลื่อนมาจอดนิ่งยังอุทยานหลวง กลางอุทยานหลวงจัดแจงปลูกดอกไม้สดไว้มากมายแต่เนิ่นแล้ว พวกมันกำลังแข่งกันเบ่งบานต่างยื้อแย่งกันประชันความงาม
ทว่า ต่อให้ดอกไม้เบ่งบานสีสันสดใสเพียงใดก็ยังเทียบไม่ได้กับเหล่าสาวงามสะคราญร้อยพันนาง รอยยิ้มบนหน้าหนิงอวี้ยังคงอยู่ แต่มือที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อกลับกำหมัดเอาไว้แน่น
“ถวายบังคมฝ่าบาท ขอจงทรงพระเจริญหมื่นปีหมื่นๆ ปี”
“ถวายบังคมฮองเฮา ขอจงทรงพระเจริญพันปีพันๆ ปี”
“ลุกขึ้นเถอะ”
วันนี้หงหลิงสวมเสื้อจีนป้ายกระดุมข้างสีอ่อน ใบหน้ากลับมีน้ำมีนวล นางเดินไปด้านหน้าสองสามก้าวรับมือหนิงอวี้ไว้อย่างคล่องแคล่วแล้วพูดขึ้นเสียงเบา “รอพระองค์อยู่นานเลยเพคะ”
ความหม่นหมองในใจหนิงอวี้พลันจางหาย ใบหน้าเปี่ยมด้วยรอยยิ้ม
“ไปอยู่เป็นเพื่อนข้าที่ตำหนักข้าเร็วหน่อยดีกว่า ไปพร้อมกันเลยก็ได้นะ”
นั่งลงกินอาหาร เพียงแค่ขนมสองสามชิ้นจัดวางบนใบไม้สีเขียวสดประดับด้วยดอกไม้สดช่วยขับดุนให้เด่น ดูแล้วงดงามน่าประทับใจไม่น้อย
หนิงอวี้ยื่นมือไปหยิบขนมขึ้นมาหนึ่งชิ้นแล้วกัดคำเล็กหนึ่งคำ แม้ขนมรสชาติจะอร่อย แต่ใจนางกลับไม่ได้เอามาใส่ใจโดยสิ้นเชิง ไม่รู้ด้วยเหตุใด นับแต่พิธีฉลองครบหนึ่งเดือนพระราชโอรสมา เว่ยหยวนดูจะเย็นชาต่อนางอยู่บ้าง นางคิดอย่างถี่ถ้วนแต่ก็หาเหตุผลไม่ได้เลย
ขุนนางผู้ใหญ่คนหนึ่งลุกขึ้นยืน หนิงอวี้กินขนมไปพลางประเมินเขาและบุตรีอยู่เงียบๆ ไปพลาง นางอดไม่ได้ที่จะแอบทอดถอนใจกับตัวเอง ขุนนางผู้ใหญ่คนนี้พุงย้วย ทั้งยังหัวล้าน บุตรสาวเขากลับเป็นหญิงงามชดช้อยชวนหลงไหล ทุกท่วงท่าทุกรอยยิ้มงามตรึงใจคนยิ่งนัก
หลังจากพูดสร้างบรรยากาศให้กับผู้คน หญิงสาวผู้นั้นก็ออกมาร่ายรำ แขนเสื้อยาวดั่งสายน้ำสะบัดพลิ้ว ไม่ได้ดูงามประณีตชดช้อยเสียเท่าไร แต่กลับมีเสน่ห์น่าหลงใหลไปอีกแบบ
ครั้งสุดท้ายที่ตวัดแขนเสื้อ แขนเสื้อยาวปลิวกระทบลงหน้าโต๊ะของเว่ยหยวน แขนเสื้อสีชมพูเฉียดกราบเบาๆ งามจับใจคนมากไม่น้อย เว่ยหยวนสีหน้ายังคงเดิม เขาก้มหน้าลงคีบขนมขึ้นมาให้หนิงอวี้
หนิงอวี้สีหน้าไม่ยินดี อยากจะแสดงความโกรธออกมาแต่เพราะหงหลิงส่ายหน้าให้นางจึงได้อดทนเอาไว้ นางโกรธถึงขีดสุด ชั่วพริบตาเดียวก็กลับกลายเป็นความระทมเศร้า
“หม่อมฉันด้อยสามารถน่าละอายเพคะ”
หญิงสาวเงยหน้ายิ้มหนึ่งทีแล้วสะบัดแขนเสื้อยาวสองสามที หนิงอวี้หันหน้าไปยิ้มตอบกลับอย่างงามสง่า
“จับตัวไว้!”
ในขณะที่ทุกคนบนที่นั่งกำลังต่างตกตะลึง เว่ยหยวนกลับพูดขึ้นอย่างสุขุมนิ่งว่า “ฟังคำสั่งฮองเฮา” ทันทีที่คำพูดนี้ถูกกล่าว องครักษ์นับไม่ถ้วนก็ถลาเข้าไป จับหญิงสาวผู้บอบบางอ่อนแอตรึงเอาไว้
“หม่อมฉันบริสุทธิ์เพคะ! ฝ่าบาท ทรงช่วยหม่อมฉันด้วย” หญิงสาวหน้าซีดไร้สีเลือด ยื่นมือพยายามดิ้นให้หลุด “ฮองเฮาเพคะ หม่อมฉันทำผิดอันกันหรือเพคะ”
“ใช่พ่ะย่ะค่ะ ฮองเฮา แม่สาวน้อยนางทำผิดอะไรกันหรือ ของพระองค์ตรัสอย่างเป็นธรรมด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ทุกคนบนที่นั่งจดจ้องยังหนิงอวี้ด้วยความเงียบ หนิงอวี้เหยียดปากยิ้มอย่างดูถูกหนึ่งที
“ท่านขุนนางทั้งหลายคงเห็น ว่าแขนเสื้อยาวร่วงลงหน้าโต๊ะฮ่องเต้ มีโทษละเมิดเบื้องสูง หรือว่าข้าใส่ร้ายนางกัน”
ตอนที่ 339 วังหลังมิควรแทรกแซงราชการ
“ใต้เท้า ท่านกลับไปก่อนเถอะ” หัวหน้าขันทีกรีดนิ้ว สีหน้าสัตย์ซื่อ “ในเมื่อเป็นพระราชเสาวนีย์ฮองเฮา ไม่สู้ทูลขอร้องฮองเฮาให้ทรงปล่อยนางเสียดีกว่า”
ขุนนางผู้ใหญ่ที่คุกเข่าอยู่กับพื้นได้ยินดังนั้นก็ขมวดคิ้วถลึงตามอง หมายจะลุกขึ้นยืนแล้วแสดงท่าทีแข็งขืนยอมตาย แต่ด้วยเขายืนอยู่นานจนขาทั้งสองอ่อนล้า ขันทีน้อยที่อยู่ด้านข้างจึงเข้าไปประคองเขาลุกขึ้นอย่างคล่องแคล่ว
“ฮึ! มีอย่างที่ไหนกัน!”
ขุนนางผู้ใหญ่แค่นเสียงออกมาด้วยความโกรธหนึ่งที ใช้มือปัดฝุ่นบนเสื้อผ้า ผลักขันทีน้อยจนซวดเซแล้วเดินจากไป
ผนังฟากหนึ่งบดบังสายตา เว่ยหยวนมองขมวดคิ้วไปยังม้วนหนังวัวม้วนหนึ่งไม่เลิก รายงานด่วนกองทัพแจ้งว่า อาณาจักรจูซางก่อกบฏ จูซางเดิมทีเป็นอาณาจักเล็กที่เป็นเมืองขึ้นของราชวงศ์ใต้ ไม่รู้ด้วยเหตุใดจึงเกิดกบฏขึ้นมากะทันหัน คิดที่แปรพักต์ไปเข้าร่วมกับราชวงศ์เหนือ
ตอนนี้อยู่ในช่วงต้องการกำลังพล แต่จนปัญญาเพราะการออกรบกับราชวงศ์เหนือทั้งสองครั้งล้วนนั้นได้สูญเสียกำลังไปแล้วนับไม่ถ้วน จูซางแม้จะเป็นอาณาจักรเล็กๆ แต่ทหารของอาณาจักรนั้นเก่งกล้าห้าวหาญอย่างยิ่ง ในราชสำนักถ้าจะหาผู้ใดที่มั่นใจได้ว่าจะรบได้ชัยกลับมาล่ะก็…
ในขณะนั้นเองมีเสียงจงใจตะโกนให้ดังลอยแว่วมาจากด้านนอก
“ถวายบังคมฮองเฮา”
เว่ยหยวนนึกถึงเหตุการณ์วุ่นวายที่งานเลี้ยงฝนวสันต์ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตึงหนักพระทัย เขาลุกขึ้นเดินออกไปรับนาง
หนิงอวี้แต่งหน้าอย่างประณีต ติดประดับดอกไห่ถางแก้วไว้ข้างศีรษะ เกสรสีทองนาคงามประณีต ดูมีชีวิตชีวาราวกลับเป็นดอกไม้จริง
“ไม่ต้องคารวะ”
เว่ยหยวนจูงมือนางไว้ กังวลว่านางจะคิดทำเรื่องแผลงๆ ด้วยเรื่องเมื่อวาน หนิงอวี้ลดคิ้วต่ำ ใบหน้าที่ดูเย็นชาในตอนแรกของนางด้วยท่าทีของเขาเช่นนั้นจึงอ่อนโยนลงเล็กน้อย
“ฝ่าบาท เมื่อวานหม่อมฉันบุ่มบ่ามเกินไป วันนี้ โปรดปล่อยนางเถอะเพคะ”
หลังจากความโกรธเคืองเพียงชั่ววูบผ่านไป นางก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียใจ เป็นเช่นนี้ ช่างไม่สมควรเสียจริง
ขุนนางใหญ่จะตบแต่งบุตรเข้าวังแต่ไหนแต่ไรก็เป็นเรื่องปกติ หนำซ้ำตอนนี้วังหลังเองก็ยังว่างเปล่า ในเมื่อเว่ยหยวนเองก็มิได้สนใจแม้แต่น้อย เพียงก้มหน้าจัดขนมให้นาง เท่านี้ก็รู้ใจเขาแล้ว
สามฝ่ายประนอมกัน ถึงจะพอรักษาสันติภาพเพียงภายนอกเอาไว้ได้ แต่เมื่อวานเพราะความโกรธชั่ววูบของนาง จึงฉีกทำลายฉากสันติภาพจอมปลอมนั้นโดยไม่สนใจสิ่งใดไปเสีย ทั้งที่ในความเป็นจริงต่อให้ทั้งหมดเป็นเพียงการเสแสร้ง แต่นางก็ควรยิ้มเผชิญอย่างสุขุม
เว่ยหยวนเห็นนางขมวดคิ้วน้อยๆ ก็รู้ได้ทันทีว่านางมิได้ยินดี เมื่อรู้ว่านางหึงหวงร้ายกาจเพียงใด ก็อดมิได้ที่จะหลุดเสียงหัวเราะออกมา ถัดจากนั้นเขาก็กำหมัดยกขึ้นกระแอมเบาๆ หนึ่งที
“ไม่ต้อง ขังอีกสองสามวันแล้วกัน”
หนิงอวี้ชำเลืองขึ้นมองเห็นเขายิ้มน้อยๆ ก็อดมิได้ที่จะหน้าแดงระเรื่อ พอนึกได้ว่าความในใจเล็กๆ ของตนถูกเปิดเผยในก้นบึ้งนัยน์ตาเขา ใบหูก็พลันแดงมากยิ่งขึ้น
นางเหลียวไปรอบด้านอย่างร้อนรน พยายามเปลี่ยนความสนใจ หางตาก็สังเกตเห็นม้วนหนังวัวมัดด้วยด้ายแดงม้วนหนึ่ง หนิงอวี้ขมวดคิ้วเดินเข้าไปสองสามก้าวหยิบม้วนหนังวัวขึ้นมา เมื่ออ่านจบสีหน้าก็นิ่งไป
เว่ยหยวนเดินเข้าไปสองสามก้าว ยื่นมือไปหมายจะขยี้เรือนผมนาง แต่เพราะด้วยปิ่นปักผมงามหรูของนางจึงไม่อาจลงมือ ได้แต่แตะปลายจมูกนางเบาๆ หนึ่งที
“วังหลังมิควรแทรกแซงราชการ เจ้าลืมแล้วหรือ เพียงเจ้าซุกอยู่ในอ้อมกอดแต่โดยดีก็พอ เรื่องอื่นใดนั้นข้าจัดการเอง”
“หม่อมฉันอยากออกรบเพคะ”
หนิงอวี้ช้อนตาขึ้น แววตาเต็มไปด้วยความหนักแน่น เว่ยหยวนชะงักนิ่ง เมื่อได้สติกลับมาก็ยื่นมือไปชักม้วนหนังวัวออกจากมือนางแล้วพูดขึ้นน้ำเสียงเรียบ “ไม่ได้”
“ฝ่าบาท ตอนนี้ทุกอย่างเริ่มฟื้นตัวดีขึ้นแล้ว เป็นช่วงที่ต้องใช้กำลังพลนะเพคะ” หนิงอวี้คุกเข่าข้างหนึ่งกับพื้น กระโปรงซ้อนสลับชั้นราวกับเปลี่ยนกลายเป็นชุดเกราะ “หม่อมฉันหนิงอวี้ ขอพระบรมราชานุญาติออกรบเพคะ”
รอยยิ้มมุมปากเว่ยหยวนหายไปจนสิ้น เขาก้มหน้าพินิจสีหน้านาง หนิงอวี้ช้อนตาขึ้นมองแล้วยื่นมือไปกุมมือเขาไว้ พลางพูดให้สัญญาว่า “หม่อมฉันจะกำราบจูซางให้ราบ และกลับมาพร้อมชัยเพคะ”
“หนิงอวี้ เจ้าทิ้งให้ข้ารอมาหลายครั้งแล้ว”
เว่ยหยวนโน้มกายลง ยื่นมืออีกข้างไปลูบคลำแก้มนางเล่นด้วยสีหน้าอันลุ่มลึกยากจะคาดเดา
ตอนที่ 340 พิชิตจูซาง
กรงขังนั้นไม่อาจจองจำพญาเหยี่ยว เว่ยหยวนยิ้มบางหนึ่งที ในเมื่อเช่นนี้ก็หักปีกมันเสียเลยแล้วกัน เมื่อไม่ทางหนีก็คงได้แต่ซุกอยู่ในอ้อมกอดเขาอย่างว่าง่ายเท่านั้น
“ในเมื่อเช่นนี้ เราก็ขอสั่งให้เจ้าเดินทางไปยังจูซาง”
“หม่อมฉันรับพระบัญชา”
หนิงอวี้ก้มหน้าลง เส้นผมดำขลับลื่นผ่านบ่าลงมา หล่นลงกับพื้น
แสงแดดส่องลอดม่านไม้ไผ่เข้ามาในห้อง แสงเงาเป็นเหลื่อมซ้อนสลับกัน เว่ยหยวนปล่อยมือลงรวบเส้นผมนางแล้วโน้มกายลงประทับจุตพิตบนศีรษะนางหนึ่งที
“แม่นางจิ้นอินขอ…”
หัวหน้าขันทีโค้งคำนับพลางตะโกนขึ้นเสียงดังที่ประตู วินาทีถัดมาเมื่อเห็นทั้งสองคนอย่างชัดเจนก็รีบเอามือปิดปากอย่างรีบร้อน ให้ตายเถอะ ยิ่งอายุมายิ่งเลอะเลือน เขาคิด
หนิงอวี้ลุกขึ้นยืนใบหน้าแดงด้วยความอาย นางยื่นมือไปดึงสาบเสื้อเว่ยหยวน แล้วซุกศีรษะเข้าไปอย่างเสียมิได้ เว่ยหยวนหัวเราะเบาๆ จุมพิตลงบนเรือนผมนางหนึ่งทีแล้วพูดขึ้นเสียงเบา “เข้ามา”
แก้มที่เจ้าเนื้อบนหน้าหัวหน้าขันทีกระตุกไม่หยุด เขารีบโค้งกายคำนับแล้วถอยออกไปโดยเร็ว เสียงฝีเท้าสั้นๆดังไกลออกไป ไม่นานก็ดังขึ้นอีกครั้ง
“ข้าน้อยถวายบังคมฝ่าบาท ถวายบังคมฮองเฮา ฮองเฮาเพคะ องค์ชายทรงกรรแสงไม่หยุดตั้งแต่หลังบรรทมบ่าย ทรงหันทอดพระเนตรไปมาตลอด คงกำลังมองหาพระองค์อยู่”
หนิงอวี้เห็นนางสีหน้าเคร่งขรึมตอนแรกคิดว่ามีเรื่องอะไรใหญ่โต คิดไม่ถึงว่าเป็นเพียงเรื่องน้อยนิดแค่นี้ คิดไปแล้ว ก่อนหน้านี้นางคอยอยู่ข้างกายอันเอ๋อร์ ตอนนี้กลับไม่อยู่ด้วย อันเอ๋อร์ย่อมต้องร้องไห้แน่นอน
“หม่อมฉันขอทูลลาก่อนเพคะ”
“อืม รอข้าเสร็จราชกิจแล้วจะไปหาเจ้า”
เว่ยหยวนมองนางเดินจนหายลับตาไป ครั้นแล้วก็ยื่นมือไปหยิบม้วนหนังวัวเมื่อครู่ขึ้น อวี้เอ๋อร์ชอบอันเอ๋อร์ นี้ดีทีเดียว หากนางสูญเสียวรยุทธ์กำลังภายในก็คงไม่ถึงกับทำให้หมดอาลัยตายอยากนักหรอก
ดูจากนิสัยนางแล้ว หากนางได้รู้ความคิดตนแล้วต้องหาทางจากไปแน่นอน
ไม่เป็นไร ขอเพียงปิดซ่อนเอาไว้สักหน่อยก็พอ หากไม่หักปีกเสีย พญาเหยี่ยวจะยอมอยู่ในกรงเล็กๆ โดยศิโรราบได้อย่างไร
——
บนสมรภูมิรบเลือดสดไหลหลั่งดั่งธารน้ำ ซากศพกลาดเกลื่อนไปทั่ว หนิงอวี้ยื่นมือไปดึงหอกยาวด้ามหนึ่งออกมาจากศีรษะบนศพร่างหนึ่งแล้วซัดออกไปยังหัวหน้าฝ่ายข้าศึก เพียงชั่วอึดใจเดียวก็แทงทะลุอกของคนผู้นั้น
เสียงดัง “โครม” คนผู้นั้นเลือดทะลักพุ่งออกจากปาก ม้าศึกส่งเสียงร้องแหลม ทะยานขึ้นกลางอากาศสะบัดเขาร่วงลง หนิงอวี้ยกมือขึ้นเช็ดคราบเลือดอุ่นบนหน้า สองวัน เพียงสองวันเท่านั้น อาณาจักรจูซางก็พินาศ
เว่ยหยวนจัดส่งเสบียงอาหารอาวุธยุทโธปกรณ์ชั้นดีมา เหล้าทหารขวัญกำลังใจเต็มเปี่ยม ฮึกห้าวกล้าหาญอย่างยิ่ง หนิงอวี้จัดเหล่าทหารนายพลพิชิตอาณาจักจูซางได้อย่างง่ายดาย
เศษซากปรักหักพัง คือเมืองหลวงแห่งอาณาจักรจูซาง รอยดำไหม้และคราบเลือดแดงบนสิ่งก่อสร้างสาดกระเซ็น ปกปิดหน้าตาเดิมของมันจนสิ้น แต่ยังคงมองเห็นความงดงามโชติช่วงของมันในอดีต
“เจ้าพวกราชวงศ์ใต้สมควรตาย! ฮ่องเต้ราชวงศ์เหนือจะส่งกำลังพลมาช่วยเราแน่!” ชายฉกรรจ์ที่พันกายด้วยหนังสัตว์สบถอยู่ไม่หยุด “พวกเจ้าบุกมาเต็มที่เลย! พวกเราชาวจูซางจะไม่มีวันถอย ไม่ร้องขอชีวิตเด็ดขาด”
หนิงอวี้ตวัดแส้ ม้าเหงื่อโลหิตควบพุ่งไปยังคนผู้นั้น ชายฉกรรจ์สองมือถือดาบคอยรับ แต่ถูกกระบี่ยาวของหนิงอวี้ปัดออก เสียงดังขึ้น “พรูด” เลือดสดพุ่งทะลักออกจากบริเวณลำคอเขา
เลือดสดสาดกระเซ็น เกาะเลอะรอยแผลยาวบนหน้านาง สายลมโหมแรงพัดเส้นผมปลิวไหว หนิงอวี้ยื่นมือไปดึงธงที่อยู่ด้านข้างขึ้นมาชูเหนือศีรษะ
กองกำลังนับพันหมื่นบุกทะลวงประตูวัง ตามหลังเสียงฝีเท้าม้าคือเสียงร่ำไห้ระงมนับไม่ถ้วน หนิงอวี้ถือสายบังเ**ยน ขมวดคิ้วนั่งบนหลังม้ายืนอยู่ที่ประตูวัง
คนผู้นั้นบอกว่าราชวงศ์เหนือจะส่งทหารมาช่วย เห็นได้ว่าราชวงศ์เหนือมีความคิดที่จะทำการรบ ทว่ากองทัพราชวงศ์ใต้โจมตีจูซาง พวกเขากลับอยู่นิ่งไม่แยแส
ได้ยินมาว่า…มู่หรงเหยียนขึ้นครองราชย์เมื่อวานนี้ หนิงอวี้ชำเลืองขึ้นมองออกไปไกลๆ ดูเหมือนเขาคงได้ในสิ่งที่ต้องการแล้ว
‘อำนาจ’ ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่เขาปรารถนามาโดยตลอด เว่ยหลิง มู่หรงเหยียน หรือแม้แต่เว่ยอวิ้นผู้ไร้ความคิดนั้นด้วย
มีเพียงเว่ยหยวน ระหว่างอำนาจกับนางแล้ว เขาเลือกนางโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย หนิงอวี้สีหน้าผ่อนลง แววสังหารบนใบหน้าลดลงไปเล็กน้อย คราบเลือดเป็นดวงๆ ดูละม้ายดอกไม้ที่ผลิบานสวยงาม
ตอนที่ 341 คลื่นใต้น้ำ
เจ็ดวันหลังนำกองทัพแห่งชัยชนะกลับมา เหล่าดอกไม้ต่างบานรับฤดูใบไม้ผลิที่งดงามอย่างน่าหลงใหล กลิ่นหอมดอกไม้โชยมาเป็นระลอกจนทำให้หนิงอวี้รู้สึกเคลิบเคลิ้มไม่น้อย เพราะด้วยการได้เข่นฆ่ากลางสนามรบ ความกลัดกลุ้มในใจดูเหมือนจะเบาลงไปบ้าง
คงเพราะความง่วงในฤดูใบไม้ผลิ นางจึงอดไม่ได้ที่จะเคลิ้มหลับ หนิงอวี้ใช้มือข้างหนึ่งเท้าคาง มืออีกข้างถือก้านไม้ คนน้ำในอ่างกระเบื้องไปมาอย่างเลื่อนลอยเป็นพักๆ
ปลาหลีฮื้อสองสามตัวถูกก้านไม้กวนจนต้องว่ายหนี ต่างพากันว่ายวุ่นวายไปมาอยู่กลางอ่างกระเบื้อง หนิงอวี้หรี่ตา ก้านไม้ในมือหยุดลง วินาทีถัดมาก็ร่วงลงสู่กลางน้ำ
มือข้างหนึ่งที่หนิงอวี้ใช้เท้าคางผล็อยหลับไปครู่หนึ่ง ชั่วขณะหนึ่งเกิดมืออ่อนศีรษะตกลงจึงสะดุ้งตื่นขึ้นมา หนิงอวี้ขมวดคิ้วส่ายหน้า ยื่นมือออกไปค้ำโต๊ะไม้ตั้งใจจะลุกขึ้นก็พบว่าทั้งกายนั้นอ่อนแรง
“ฮองเฮาเพคะ น้ำแกงโอสถของวันนี้เพคะ”
จิ้นอินประคองน้ำแกงสีดำเดินเข้ามา หนิงอวี้ขบริมฝีปากขัดขืน เมื่อนึกถึงคำที่แพทย์หลวงกำชับไว้ขึ้นมา จึงได้ยื่นมือไปยกถ้วยยามาอย่างไม่ยินดี
มือหนึ่งบีบจมูก อีกมือยกถ้วยยาขึ้น เมื่อเห็นก้นถ้วย นางจึงวางถ้วยลงด้วยใบหน้าเหยเก
หมอหลวงบอกว่า ตอนที่นางให้กำเนิดอันเอ๋อร์พลังชีวิตได้รับการกระทบอย่างหนัก ไม่ดีต่อร่างกายเป็นอย่างยิ่ง จากนี้ไปต้องค่อยๆ ดูแลบำรุงจึงจะฟื้นฟูได้ดังเดิม
พุทราหวานยื่นมาจรดริมฝีปาก หนิงอวี้อ้าปากงับพุทราหวานเอาไว้ คิ้วที่ขมวดแน่นจึงค่อยๆ คลายออก
“ฮองเฮาเพคะ ตอนนี้เวลายังเช้าอยู่พักต่ออีกสักหน่อยไม่ดีกว่าหรือเพคะ”
“…ข้านอนกลางวันมานานแค่ไหนแล้ว”
“สองชั่วยามครึ่งเพคะ”
หนิงอวี้ขมวดคิ้วลุกขึ้นยืนแล้วรีบเดินออกประตูตำหนักไป จิ้นอินสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย จึงรีบเดินตามนางแล้วพูดขึ้นเสียงเบา “ฮองเฮา พระองค์เพิ่งเสวยโอสถ พักผ่อนอีกสักหน่อยไม่ดีหรือเพคะ”
หนิงอวี้ส่ายหน้า ไม่รู้ด้วยเหตุใดนางจึงรู้สึกอ่อนแรงเมื่อยล้าทั้งตัวอยู่ตลอดเวลา คงเพราะความง่วงในฤดูใบไม้ผลิ ไม่ก็อาจเพราะเป็นเวลาเจ็ดวันแล้วที่นางไม่ได้ฝึกวิทยายุทธ์
หนิงอวี้ชักกระบี่ยาวข้างกายออกมา ทันใดนั้นก็รู้สึกว่ากระบี่หนักอยู่เล็กน้อย นางถือด้ามกระบี่วิเคราะห์อยู่นาน ก็ไม่พบสิ่งใดผิดปกติ
ความกังวลใจซึ่งไม่รู้ที่มา หนิงอวี้พยายามรวบรวมกำลังตวัดกระบี่ฟันลงบนพื้น ฝุ่นดินลอยขึ้นฟุ้ง ใบไม้ใบหนึ่งร่วงหล่น ตกลงโดนปลายกระบี่พอดีจนขาดเป็นสองเสี่ยง หนิงอวี้ตวัดกระบี่ ฟันใบไม้ขาดเป็นเสี่ยงๆ ความกลัดกลุ้มในใจจึงคลายลงบ้าง
ท่าถัดมาเพลงกระบี่ ‘เป็ดป่าอัสดงเดียวดาย’ หนิงอวี้จิกเท้าลงพื้นดินยื่นมือปล่อยแทงกระบี่ยาวออกไปออกท่าทาง วินาทีถัดมาเกิดเสียงดังขึ้นกังวาน กระบี่ยาวร่วงสู่พื้น
หนิงอวี้ยื่นมือไปกุมข้อมือขวาไว้แน่น จ้องไปยังกระบี่ยาวบนพื้นอยู่นาน แต่กลับไม่เห็นสิ่งใด หากไม่ใช่ปัญหาที่กระบี่ เช่นนั้น…คงเป็นปัญหาที่ตัวนาง
ทั้งๆ ที่กลางสมรภูมิจูซางยังสามารถเข่นฆ่าศัตรูได้อย่างห้าวหาญ เหตุใดกลับมายังวังจึงเป็นเช่นนี้ได้ หนิงอวี้ทิ้งความคิดที่จะฝึกกระบี่เสียแล้วย่อเข่าลงนั่งข้างกระบี่ยาวใคร่ครวญอย่างละเอียด
มีอะไรที่ผิดไปจากเดิมกันนะ ต่อให้บาดเจ็บทั้งกายนางก็ไม่เคยอ่อนแรงจนใช้งานไม่ได้เช่นนี้มาก่อน ครั้นจับสังเกตสายตาคู่หนึ่งได้ หนิงอวี้ชำเลืองขึ้นมองโดยพลันก็พบเข้ากับใบหน้าอันนิ่งสงบของจิ้นอินพอดี
เวลานั้นเองความคิดหนึ่งก็ปรากฏขึ้นมา ต้องเป็นแผนร้ายแน่นอน! บางทีแผนร้ายที่ว่าอาจซ่อนอยู่ในยาน้ำถ้วยนั้น หลังจากกลับมานางก็ดื่มน้ำแกงยามาโดยตลอด เป็นเพราะหมอกำชับสั่งนางจึงไม่กล้าที่จะปฏิเสธ
หากน้ำแกงยานั้นมีปัญหาจริง แล้วตัวการเบื้องหลังคือใคร เป้าหมายเพื่อสิ่งใด ความคิดนับร้อยพันผุดขึ้นมาพร้อมเพรียงกัน หนิงอวี้ขบฟัน นางโกรธจัดถึงขีดสุด
ไม่ว่าจะเป็นใคร หากคิดจะทำลายความภาคภูมิเพียงหนึ่งเดียวของนาง มันไปต้องชดใช้ ที่พึ่งหนึ่งเดียวของนางมีเพียงวิทยายุทธ์ที่นางใช้ป้องกันตัวเท่านั้น
แม้กระทั่ง เมื่อถึงเวลาที่นางต้องจากไป วิทยายุทธ์นี้ก็ช่วยให้นางไม่ถึงกับอยู่ในสภาพที่อนาถนัก หนิงอวี้ปล่อยมือลง นางตัดสินภายในใจอยู่เงียบๆ
นางชำเลืองขึ้น มุมปากยกยิ้มบาง
“ไปบอกหงหลิง ข้าไม่พบนางมาสามวันแล้ว อยากระลึกความหลังกับนาง”
จิ้นสีหน้าไร้ซึ่งอารมณ์ นางทำเพียงยอบกายคารวะแล้วถอยออกไป
“เพคะ”
ตอนที่ 342 ปู่หลานผูกพันแน่นแฟ้น
ในกรงสีเงินอันประณีตมีนกขมิ้นสองตั้วกำลังส่งเสียงร้องกังวานไพเราะอย่างเบิกบาน หนิงอวี้เอนกายครึ่งตัวบนแคร่สนม พลิกอ่านคัมภีร์กระบี่ในมือ เจ้าดำพันอยู่รอบเอวนาง ห้อยหัวลงมาแล้วหลับไป
“คารวะฮูหยินมั่ว ฮองเฮากำลังบรรทมกลางวันเพคะ”
เสียงแว่วมาจากประตู หนิงอวี้ชำเลืองขึ้นมองก็เห็นหงหลิงเดินเข้ามาในห้อง
หงหลิงสีหน้าเคร่งเครียดแต่ก็ยังพยายามฝืนยิ้ม
“ถวายบังคมฮองเฮา”
หนิงอวี้เหลือบสายตามองจิ้นอินหนึ่งทีแล้วพูดขึ้นช้าๆ ว่า “ข้าอยากกินตุ๋นเห็ดหูหนูขาว”
“เพคะ”
จิ้นอินคุกเข่ากับพื้น ครั้นแล้วก็ลุกขึ้นยอบกายคำนับเดินจากไป ประตูไม้สีแดงชาดค่อยๆ ถูกปิด หนิงอวี้รีบลุกขึ้นมาจากแคร่สนมทันที นางรีบเดินไปด้านหน้าหงหลิงแล้วกุมมือนางเอาไว้
เจ้าดำสะดุ้งตื่นขึ้นทันใด มันพันรัดไปรอบเอวนางอยู่สองสามรอบ ครั้นแล้วก็เลื้อยลงไปตามชายกระโปรง เลื้อยคดไปยังบนพื้น
“ฮองเฮา พระองค์…พระองค์ฟังข้าน้อยนะเพคะ” หงหลิงหันซ้ายแลขวาทีหนึ่ง สีหน้านางเคร่งเครียด “หากเศษยาที่พระองค์ให้ข้าน้อยนั้นไม่ผิด มันคือยาสลายกำลังภายในเพคะ”
“เจ้าพูดมาให้ละเอียด” หงหลิงพยักหน้าแล้วรายงานคำพูดที่ตั้งใจท่องจำมาให้กับหนิงอวี้จนครบจบหนึ่ง ครั้นแล้วก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกหนึ่งที
แสงแดดฤดูใบไม้ผลิส่องสว่าง บนตัวนางสวมเสื้อคลุมผ้าไหมบาง หนิงอวี้ยืนอยู่กับที่ จิตใจห่อเ**่ยว เป็นไปตามคาด แต่เมื่อมาได้ยินเข้าจริงๆ นางก็อดไม่ได้ที่รู้สึกสะดุ้งหวาดกลัว
ใครกันที่คิดจะสลายกำลังภายในของนาง คือใครกันที่จะสามารถพอที่จะลงมือผ่านยาของหมอหลวงได้ หนิงอวี้ก้มหน้าลังเลครู่หนึ่ง อีกฝ่ายมีเป้าหมายอะไรกัน
จะตื่นตระหนกไม่ได้ นี่ต้องเป็นแผนการร้ายของคนอื่นแน่ หนิงอวี้ถอยหลังสองสามก้าว จวนเจียนจะเซล้ม หงหลิงเห็นเข้าก็รีบวิ่งเข้าไปประคองนางไว้โดยเร็ว
“ฮองเฮาเพคะ เรื่องนี้ต้องกราบทูลฮ่องเต้นะเพคะ ทูลขอให้สืบให้รู้แจ้ง!”
หงหลิงตั้งท่ากำลังจะออกไป แต่นางกลับถูกหนิงอวี้รั้งเอาไว้
“ไม่ต้อง พระองค์กำลังวุ่นกับราชกิจ”
วินาทีที่ได้สติกลับคืน ความคิดหนึ่งที่ดูเหลวไหลแต่กลับมีเหตุผลก็ผุดขึ้นมาในหัวทันใด หนิงอวี้ส่ายหน้าสลัดความคิดนี้ออก เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด เว่ยหยวน ไม่มีทางทำเรื่องนี้เป็นอันขาด
ทันใดนั้นเสียงหนึ่งก็แว่วเข้ามา หนิงอวี้ผินกายกลับ ก็เห็นกรงนกหลังหนึ่งที่แขวนอยู่โยกไปมาอย่างรุนแรง เจ้าดำแอบรอดช่องว่างเลื้อยเข้าไป งับนกขมิ้นนั้นไปเต็มปาก
นกขมิ้นส่งเสียงร้องหนึ่งที ครั้นแล้วเลือดสดก็สาดกระเซ็น ขนนกที่เลอะไปด้วยคราบเลือดร่วงสู่พื้น หนิงอวี้ยืนมุ่นหัวคิ้วอยู่กับที่
——
“จะพูดหรือไม่พูด” หนิงอวี้ย่อเข่าลงนั่ง นางมองหมอหลวงที่เผ้าผมกระเซอะกระเซิงแล้วยกมุมปากยิ้ม “บอกข้า ใครสั่งให้เจ้าลงมือ”
หมอหลวงพูดออกมาอย่างเลื่อนลอยว่า “ไม่รู้” วินาทีถัดมาก็ก้มหน้าลงโดยพลัน หนิงอวี้นิ่งเงียบไม่เอ่ยวาจา นางยื่นมือไปสำรวจลมหายใจเขาครั้นแล้วก็แค่นเสียงหัวเราะหนึ่งที
แส้ยาวแหวกผ่านอากาศ หวดลงบนกายที่ปกคลุมด้วยเสื้อผ้าที่ขาดวิ่นของหลองหลวง ผ้าฉีกขาด กลิ่นเลือดคาวฟุ้งไปทั่ว แส้นี้ฟาดลงเต็มแรงทำเอาหมอหลวงสะดุ้งตื่นจากความเจ็บ
หนิงอวี้โน้มกายลงอีกครั้ง ชายกระโปรงสีแดงสดโดนคราบเลือดบนพื้นจนเลอะเป็นสีแดงเข้ม
“บอกข้ามา ท่านหมอหลิ่วเจ้าเป็นถึงหัวหน้าสำนักหมอหลวง ถึงอายุควรกลับบ้านเกิดพักผ่อนแล้ว ไยจึงต้องหาเรื่องให้ตัวลำบากด้วย”
หมอหลิ่วสายหน้าหลับตาทั้งคู่ลงช้าๆ เลือดสดๆ ยังคงซึมออกจากมุมปากเขา หนิงอวี้ปรบมือสีหน้านิ่งเฉย เมื่อเสียงกังวานเงียบลง เด็กผู้หนึ่งก็ถูกลากตัวมาด้านหน้า
“ท่านหมอหลิ่ว ท่านลืมตาดูสิ”
ทันทีที่หมอหลิ่วลืมตาทั้งคู่ขึ้น นัยน์ตาก็หดลงทันที ใบหน้าเหยเกเกือบทั้งดวง
“ปล่อยเซิ่งเอ๋อร์นะ เขาเป็นเพียงเด็กน้อยเท่านั้น”
“ฮองเฮา กระหม่อมพูดไม่ได้จริงๆ ขอทรงโปรดปล่อยเซิ่งเอ๋อร์ด้วยเถิด”
“ฮือๆๆ ท่านปู่! ทำไมท่านถึงบาดเจ็บเล่า”
ตอนที่ 343 เสียงพิณเสนาะโสต
ดูเหมือนเด็กน้อยจะเห็นหน้าเขาชัดเจนจึงปล่อยเสียงร่ำไห้ อึดใจเดียวก็พุ่งไปยังข้างกายหนิงอวี้แล้วแกว่งหมัด
“เจ้าคนชั่ว! ห้ามรังแกท่านปู่ข้านะ!”
“เซิ่งเอ๋อร์ ห้ามเสียมารยาท!”
หนิงอวี้ยื่นมือไปคว้าสาบเสื้อเด็กผู้นั้นเอาไว้แล้วพูดขึ้นเสียงทุ้ม “บอกข้ามา ไม่เช่นนั้นวันนี้พวกเจ้าต้องตายที่นี่”
เด็กน้อยในมืออ้าปากปล่อยโฮร้องไห้ออกมาดัง ยกมือขึ้นตีแขนหนิงอวี้อย่างแรง หนิงอวี้มองไปที่หมอหลิ่วสีหน้าเรียบเฉย คอยฟังคำตอบจากเขาอยู่เงียบๆ
“…ฮ่องเต้พ่ะย่ะค่ะ ฮ่องเต้สั่งกระหม่อมให้จ่ายยานี้”
ทันทีที่สิ้นเสียง หมอหลวงหลิ่วก็กระอักเลือดพุ่งกระเซ็นออกมานับไม่ถ้วน
หนิงอวี้นิ่งอึ้ง เด็กน้อยฉวยจังหวะที่ดิ้นหลุด กัดลงบนมือนางหนึ่งทีแล้ววิ่งพุ่งไปยังไปยังเบื้องหน้าหมอหลิ่ว
“ท่านปู่ ตื่นสิ! ท่านไม่ต้องการข้าแล้วหรือ!”
หนิงอวี้โคลงศีรษะมองไปยังทั้งสอง ครั้นแล้วก็หัวเราะเบาๆ หนึ่งที นางออกคำสั่งเสียงทุ้มว่า “ส่งท่านหมอหลิ่วกลับที่พัก แล้วส่งหมอหลวงไปรักษาด้วย”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ชายกระโปรงที่เปรอะเลอะลากไปบนพื้น หนิงอวี้เดินซวดเซยกมือขึ้นค้ำประตูห้องขัง หงหลิงทำตัวไม่ถูก ได้แต่รีบเข้าไปประคองนางไว้
“ฮองเฮา นี่ต้องเป็นแผนยุแยงให้แตกคอกัน ฮ่องเต้ทรงรักใคร่พระองค์ยิ่งนัก แล้วจะทรงทำเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไรกัน”
หนิงอวี้ไม่เอ่ยวาจา ยื่นมือไปคว้ามือนางแล้วเหยียดหลังตรงเดินออกจากห้องขังช้าๆ ท่ามกลางคุกอันมืดมิด แสงเทียนสว่างกระพริบไหว สะท้อนเงานางตกกระทบลงพื้น
——
“ฮองเฮา จะวู่วามไม่ได้นะเพคะ!” หงหลิงเห็นนางเดินเร็วขึ้นเรื่อยๆ ในใจก็รู้สึกกังวลขึ้นมา “คงมีคนอยากยุแยง….กรี๊ด!”
หนิงอวี้ได้ยินเสียงกรีดร้องจึงหันกายกลับโดยพลันก็เห็นหงหลิงหกล้มอยู่กับพื้น ผ้าขาวที่ตาตุ่มมีเลือดสดซึมออกมา ใบหน้าที่นิ่งเฉยของหนิงอวี้พลันปรากฏความร้อนใจขึ้นมาเล็กน้อย นางรีบเดินเข้าไปหมายจะประคองนาง
“ไม่เป็นอะไรเพคะ ฮองเฮา พระองค์อย่าได้เชื่อคำพูดของเขาเป็นอันขาดนะเพคะ!”
หนิงอวี้โบกมือเรียกสาวใช้
“ไปเชิญหมอหลวงมา”
เดิมทีตั้งใจจะประคองหงหลิงลุกขึ้น เมื่อนึกได้ว่านางบาดเจ็บ จะขยับนางสุมสี่สุ่มห้ามิได้ ก็ย่อเข่าลงนั่งประสานตากับนาง
“นางทึ่ม เจ็บไหม”
หงหลิงน้ำตาแทบล้นเบ้า ได้ยินดังนั้นก็สูดหายใจแล้วส่ายหน้าทันที
“ไม่เจ็บเพคะ พระองค์อย่าได้ติดกับเด็ดขาดนะเพคะ ตอนนี้เหล่าขุนนางในราชสำนักต่างหมายจะส่งบุตรสาวเข้าวัง หากพระองค์จากไปต้อง…”
หนิงอวี้ได้ยินนางยืนยันให้เชื่อมั่นในตัวเว่ยหยวนก็อดไม่ได้ที่จะถอนใจ ตอนแรกตั้งใจจะเอาความคิดของตนบอกกล่าวออกไปแต่ก็กลัวนางจะกังวลกลัว ลังเลอยู่ชั่วครู่ก็ได้แต่รับปากนาง
“ข้ารู้แล้ว ข้าแค่จะไปถามพระองค์ก็เท่านั้น”
“รับปากหรือไม่ว่าจะไม่ฉุนเฉียว”
“ข้าจะไม่ฉุนเฉียว”
หงหลิงพยักหน้าอย่างต่อเนื่อง แล้วหันความคิดไปยังตาตุ่มที่บาดเจ็บ นางใช้มือป้องข้างตาตุ่มแล้วร้องขึ้นดัง “โอ๊ยๆ”
“จิ้นอิน เจ้าอยู่ที่นี่ดูแลหงหลิง”
“เพคะ”
หนิงอวี้หันกายกลับ ก็ได้ยินเสียงตะโกนของหงหลิงแว่วมาจากด้านหลัง
“ต้องเชื่อพระทัยฮ่องเต้นะเพคะ!”
หนิงอวี้เดินจากไปโดยเร็ว ดูเหมือนกับทหารที่กำลังรีบหนีกองทัพ ตอนนี้เหล่าขุนนางทั้งหลายต่างรีบหาทางส่งบุตรสาวเข้าวัง ยากนักที่จะมั่นใจในความคิดของเว่ยหยวน
หนึ่ง นางเคยหายตัวกลางสนามรบ ทำให้เขาสิ้นหวัง สอง หากเขาจะรับพระสนมเพิ่ม ต่อให้นางมีเหตุผลมากมายก็ยากที่จะจากที่นี่ไปได้อยู่ดี
อันเอ๋อร์ผูกมัดรั้งเอาไว้ ทั้งวิทยายุทธที่เสื่อมสิ้นจนไม่อาจต่อสู้ได้อีกต่อไป…เว่ยหยวน เจ้าช่างวางแผนได้ดีเหลือเกิน
นางควรรู้แต่แรกแล้ว ว่าเขาใช้ความสามารถของนางจนขึ้นครองบัลลังก์ฮ่องเต้ กุมอำนาจราชวงศใต้เอาไว้ได้ ภายใต้อิทธิพลของเขา หากไม่ได้รับการอนุญาตจากเขาแล้วจะมีใครอีกที่กล้าวางยานาง
เลี้ยวผ่านอุทยานหลวง กำลังมุ่งสู่ห้องทรงอักษร ก็ได้ยินเสียงพิณแว่วมาฟังดูไพเราะไม่น้อย
ตอนที่ 344 สิ้นเยื่อใยอีกครั้ง
หนิงอวี้นิ่งอึ้งกับที่ ทันใดนั้นริมฝีปากก็ขยับขึ้นยิ้มเจื่อน ดูเหมือนคงไม่ต้องไปตามหาแล้ว เขาอยู่ที่นี่เอง
วังหลังไร้เหล่าสนม ทั้งยังมีสาวงามน้อยยิ่ง ดังนั้นจึงไม่มีใครจะมาดีดพิณกลางอุทยานหลวง เสียงพิณไพเราะชวนประทับใจ คิดแล้วนักพิณจะต้องเป็นหญิงงามแน่นอน หนิงอวี้ขบริมฝีปากโกรธจัด ในสัมปชัญญะที่ยังเหลืออยู่ในความคิดเตือนสตินางว่าทั้งหมดนี้เป็นการคาดเดาสุ่มๆ เท่านั้น
เลี้ยวผ่านมุมหนึ่งของภูเขาจำลอง ยังเดินไม่ทันถึงศาลาก็เห็นคนสามคนกำลังนั่งอยู่กลางศาลา หญิงสาวรูปงามกำลังก้มหน้าดีดบรรเลงพิณโบราณ หน้าตาดูอ่อนโยน อีกสองคนที่อยู่หน้านาง ผู้หนึ่งสวมชุดสีเหลืองทอง อีกคนคืออัครเสนาบดีฝ่ายขวา
เดิมทีนางควรโกรธดั่งไฟลุกแต่นางกลับรู้สึกโศกเศร้า ความกังวลรุ่มร้อนในใจนั้นพลันเลือนหายไป จิตใจหดหู่สิ้นหวัง ความรู้สึกนั้นคงเป็นเช่นนี้นี่เอง
“เพลงบทนี้มอบเพื่อสวรรค์เท่านั้น ยากนักที่จะได้ฟัง”
เสียงอันคุ้นเคยดังขึ้น หนิงอวี้ยั้งฝีเท้า วินาทีถัดมาก็เดินไปยังศาลาช้าๆ
“ถวายบังคมฮองเฮา”
หญิงสาวคุกเข่าลงกับพื้น ชุดกระโปรงยาวสีน้ำทะเลดูงามประณีต ชั่ววินาทีที่เดินเฉียดไหล่นาง หนิงอวี้ได้กลิ่นหอมแป้งชาดจากกายนางได้อย่างชัดเจน
“คารวะฝ่าบาท”
“ไม่ต้องคำนับ เวลานี้ควรนอนกลางวันไม่ใช่หรือ”
เว่ยหยวนใบหน้าประดับยิ้ม ยกมือขึ้นมากุมมือนางไว้ แต่เขากลับถูกหนิงอวี้สะบัดออกอย่างเย็นชา
หนิงอวี้หันกายกลับแล้วประคองหญิงสาวผู้นั้นลุกขึ้นด้วยตนเองพลางพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ได้ยินเสียงพิณของแม่นางไพเราะจับใจยิ่งนัก ข้าเองก็อยากร่ายรำด้วยสักหน่อย”
“อวี้เอ๋อร์…”
กระบี่ยาวเลื่อนออกจากฝัก แสงเงินวาวฉายสะท้อนปลาบหนึ่ง หนิงอวี้ตวัดกระบี่ หญิงสาวสีหน้าเผยความหวาดกลัว รีบก้าวถอยอย่างลนลาน ครั้นได้สติกลับก็กลับไปนั่งหน้าพิณ
เว่ยหยวนลุกขึ้นยืน เพียงอึดใจเดียวก็นั่งกลับลงช้าๆ อวี้เอ๋อร์ เจ้าหึงหรือ
กระบี่ยาวผ่าแหวกอากาศ ดอกโบตั๋นดอกหนึ่งถูกฟันขาดครึ่ง กระบี่เงินตวัดผ่าน ใบไม้ร่วงกราวสู่พื้นดิน หนิงอวี้ใช้กำลังทั้งหมดที่มี กำด้ามกระบี่เอาไว้แน่น
หลังจากร่ายรำจนเสร็จ บนพื้นเต็มไปด้วยดอกไม้ใบไม้ สีแดงสลับเขียวกระจายจนเกลื่อน หนิงอวี้เลิกคิ้วเล็กน้อย มุมปากยกยิ้มบางอย่างเย้ยหยัน ใช้กำลังทั้งหมดในกายรวมไว้ที่ปลายดาบ ตวัดมือออกไปจนดอกไม้ใบไม้บนพื้นพลันลอยขึ้นไม่หยุด
รำกระบี่จบลงเพียงเท่านี้ หนิงอวี้หัวเราะเบาๆ เอากระบี่ขึ้นพาดคอ เว่ยหยวนตาเบิกโพลงด้วยความโกรธ เขาลุกขึ้นทันทีแล้วยื่นมือออกไป เพียงอึดใจ เส้นผมปอยหนึ่งก็ร่วงสู่พื้น จังหวะเดียวกันนั้นเอง ดอกไม้ใบไม้ก่อรูปเป็นอักษรคำว่า “เลิก”
หนิงอวี้ปล่อยมือลง เสียงกระบี่ร่วงลงพื้นดัง เคล้ง หนึ่งที กระทบลงบนปอยผมนั้นพอดี
“เว่ยหยวน ระหว่างเราสิ้นสุดเพียงเท่านี้”
“เจ้าพูดอะไร”
เว่ยหยวนย่นคิ้วรีบเดินเข้าไป หนิงอวี้มองเขาอย่างเย็นชาปราดหนึ่ง นางก้าวถอยสองสามก้าวแล้วพูดขึ้น “เรื่องยา…ข้ารู้แล้ว”
“ข้า…”
“เจ้าเพียงแต่บอกข้ามา ว่าเรื่องนี้ เจ้าเห็นด้วยหรือ…เจ้าสั่งการหรือไม่”
หนิงอวี้จ้องตาเว่ยหยวนแล้วพูดขึ้นอย่างชัดถ้อชัดความ นางเห็นความลนลานในสายตาเขาอย่างที่คาดเอาไว้
เว่ยหยวนไม่สนผู้คนที่อยู่ที่นั่น สนใจเพียงแววตาอันเย็นชาของนาง เขายกมือขึ้นคว้ามือนางแล้วพูดขึ้นอย่างรีบร้อนว่า “ฟังข้าอธิบายก่อน”
แขนเจ็บอย่างรุนแรง หนิงอวี้ชำเลืองขึ้นก็เห็นบริเวณข้อมือเต็มไปด้วยเลือด นางนึกได้อย่างเลือนราง ว่านี่คือรอยของฟันที่เด็กน้อยผู้นั้นทิ้งไว้
“จากนี้เราสองขาดกัน เว่ยหยวน เจ้ากับข้าไม่เหลือเยื่อใยต่อกันแล้ว”
หนิงอวี้เขี่ยฝุ่นบนพื้นอย่างใจเย็น แล้วหันกายเดินจากไป
นางคิดว่านางมองในแง่ลบเกินไป ซึ่งความจริงก็ไม่ได้ผิดไปเลยแม้แต่น้อย เขาทำลายเกียรติภูมิของนาง โยนมันลงพื้นเหยียบย่ำจนแหลกซึ่งเขาก็ไม่ได้แตกต่างจากผู้อื่นเลย หนิงอวี้เดินโซซัดโซเซ น้ำตาเอ่อรื้น
แพ้แล้วหรือ ชาตินี้ แพ้จนราบคาบอีกแล้วหรือ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น