ลิขิตฟ้าชะตารัก 335-342

 ตอนที่ 335 อับอายขายขี้หน้า 



 


ที่แท้ก็เป็นเจ้าของร่างเดิมที่สร้างเรื่อง! อวี้อาเหราหลุบตาลงเงียบๆ อย่าเข้าใจ อารมณ์ความรู้สึกจมดิ่งถลำลึก 


 


 


“นี่ก็ต่างเป็นเรื่องในอดีต ในยามเยาว์วัยก็เป็นธรรมดาที่จะต้องทำผิดพลาดไปบ้าง น้องชาย เจ้านั่งลงก่อนเถิด” 


 


 


อวิ๋นเซิ่นลากตานเวยให้เข้ามา เขาถึงค่อยๆ เบนสายตาชิงชังออกจากร่างอวี้อาเหรา ทว่าแม้เขาจะไม่มองนางแล้ว แต่ก็ยังคงรู้สึกได้ถึงความเย็นชาที่แผ่ซานออกมาจากร่างของเขา อวี้อาเหรารู้สึกจนใจอยู่บ้าง ตัวนางไปทำผิดอะไรรต่อเขากันนะ? 


 


 


แม้แต่ความผิดเรื่องอะไรนางก็ยังไม่รู้ ความทรงจำในสมองนั้นเลือนรางยิ่งนัก ราวกับไม่เคยอยู่ในความทรงจำของคุณหนูรองแห่งจวนหลิงอ๋องเลยแม้แต่น้อย 


 


 


“ไม่พูดแล้ว พวกเรามาทานกันต่อเถิด หานสือ เจ้าไปเอาชามกับตะเกียบมาเพิ่มสิ” ฉู่เกอเอ่ยปากอย่างประนีประนอม เพื่อให้บรรยากาศผ่อนคลายความตึงเครียดลง 


 


 


หลังจากนำตะเกียบและถ้วยมาให้ตานเวยแล้ว คนทั้งหมดก็ก้มลงทานอย่างเงียบๆ แน่นอนว่าคนที่ทานได้อย่างเบิกบานที่สุดย่อมเป็นจวินอู๋เหิน เขาไม่สนใจสีหน้าเย็นชาของตานเวยเลยแม้แต่น้อย แต่กลับทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อย ราวกับกลัวว่าจะมีใครมาแย่งไป 


 


 


คงเป็นเพราะความโกรธที่มีต่อพวกเขาก่อนหน้านี้ ยามนี้เขาจึงคิดอยากจะทานทุกอย่างให้พุงกางเสียเลย 


 


 


“พี่เหรา ทำไมถึงไม่ทานแล้วล่ะเจ้าคะ” เริ่นหว่านเอ๋อร์งับตะเกียบแล้วค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองบรรยากาศแปลกๆ รอบกายอย่างระมัดระวัง เช่นนั้นถึงได้เห็นอวี้อาเหราก้มหน้าลงด้วยอาการเหม่อลอย ไม่ขยับตะเกียบในมือเป็นเวลานาน 


 


 


“ข้าก็กำลังกินอยู่” อวี้อาเหราได้สติกลับมาในทันที ก่อนจะฝืนยิ้มให้นางเล็กน้อย 


 


 


ยามที่นางเผลอมองตานเวย เขาก็ยังคงจ้องเขม็งมาที่ร่างของนางในบางครั้ง หากไม่ใช่เพราะตอนนี้มีคนอยู่มากถึงเพียงนี้ เขาก็คงจะเตะนางอัดกำแพงเข้าแล้วก็เป็นได้ เมื่อรู้สึกถึงสายตาที่มองมา ตานเวยจึงหันกลับไป อวี้อาเหราจึงรีบก้มหน้าลงไปในทันที 


 


 


ท่าทีเคืองแค้นถึงเพียงนี้ นางไปทำอะไรให้เขากันนะ? 


 


 


ในเมื่อคิดไม่ออกก็ไม่ต้องคิดแล้ว 


 


 


ทว่าแม้นางจะไม่คิดแล้ว แต่ก็ยังมีคนที่ยังไม่ยอมแพ้ 


 


 


ฟู่เส่าชิงมองมาด้วยสายตาประหลาดใจ แล้วเอ่ยถามขึ้นท่ามกลางบรรยากาศอันแสนอึดอัด “นี่สาวน้อย เจ้ามีความแค้นอะไรกับเจ้าหนุ่มแซ่ตานคนนั้นกันแน่ รู้สึกว่าเขาจะแค้นเจ้าเสียจนอยากจะฆ่าเจ้าให้ตายกับมือของตัวเองเลยทีเดียวนะ” 


 


 


“…” อวี้อาเหราเม้มริมฝีปากแน่น ก่อนจะกลอกตาค้อนเขาหนักๆ นางเองก็อยากจะรู้เหมือนกันนั่นละ! 


 


 


เมื่อเห็นนางไม่พูด ฟู่เส่าชิงก็ยังคงรบเร้าถามต่อไป “หรือเจ้าไปทำเรื่องอะไรที่ทำให้รู้สึกผิดจนไม่กล้าเอ่ยออกมา? อย่ากลัวไปเลย ที่นี่ก็มีพวกเราอยู่ตั้งมาก ถึงแม้เจ้าจะพูดออกมาเขาก็ไม่กล้าทำอะไรเจ้าหรอก แม้ว่าข้าเองจะไม่ได้ถือว่าเป็นคนที่ดีอะไรนัก แต่สำนึกผิดชอบชั่วดีก็ยังพอมีอยู่บ้าง เจ้าบอกข้ามาเถิด” 


 


 


“ข้าไม่รู้ พอได้หรือยัง” อวี้อาเหราถูกยั่วจนโมโหขึ้นมาบ้างแล้ว คิดว่าฟู่เส่าชิงคนนี้ช่างกวนประสาทเสียยิ่งนัก เห็นอยู่ว่าสถานการณ์ในตอนนี้น่าอึดอัดเพียงใด แต่เขาก็ยังจะกวนน้ำให้ขุ่นขึ้นมาอีก นี่เขาก็ตั้งใจให้เกิดเรื่องขึ้นชัดๆ! 


 


 


“เอ๋? เจ้าโกรธหรือ ดูท่าแล้วเจ้าคงทำเรื่องที่ผิดมากเลยสินะ!” ฟู่เส่าชิงหัวเราะร่า ไม่สนใจสีหน้าโกรธเคืองของนางเลยแม้แต่น้อย แต่กลับยิ่งหัวเราะเสียงดังมากขึ้น โบกตะเกียบในมือใส่หน้านางด้วยความยั่วเย้า 


 


 


“เจ้าพอได้แล้ว!” อวี้อาเหราวางตะเกียบลงเสียงดัง ปัง! น้ำเสียงนั้นเข้มขึ้นมาก 


 


 


ยามนี้น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความไม่พอใจ แม้แต่คนโง่ก็ยังดูออกว่านางกำลังโกรธจัด 


 


 


“เจ้านั่นละพอได้แล้ว!” ตานเวยสะบัดตะเกียบออกจากมือ ก่อนจะลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้ สายตาเย็นเยียบมองมายังอวี้อาเหรา “หากเจ้าไม่เผ่นมาทำตัวเองขายหน้าถึงที่นี่ ใครจะมาวิจารณ์เจ้าได้? อย่างไรเสียเจ้าก็เป็นถึงธิดาเอกแห่งจวนอ๋อง ยังจะวิ่งพล่านนึกสนุกไปทั่ว หลิงอ๋องมีธิดาเช่นเจ้าก็มิแคล้วจะต้องอับอายขายขี้หน้า!” 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 336 เต่าหรือตะพาบ 


 


 


 


 


 


“ข้าทำเรื่องอับอายขายขี้หน้าอะไรกัน? เจ้าก็บอกเหตุผลมาให้ข้าฟังเสียสิ ไม่อย่างนั้นข้าก็จะไม่สนว่าเจ้าจะเป็นนายน้อยนายใหญ่มาจากไหน เจ้าจะได้เห็นดีกันแน่” อวี้อาเหราถูกเขาต่อว่าด้วยวาจาร้ายกาจเช่นนี้ก็รู้สึกโกรธเคืองยิ่งนัก นางอุตส่าห์นั่งนิ่งไม่พูดไม่จาแล้ว ยังจะขวางหูขวางตาใครอีกหรือ? 


 


 


ตานเวยแปลกใจเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่านางจะเปลี่ยนไปไม่เหมือนเมื่อก่อนอย่างที่คนอื่นร่ำลือจริงๆ 


 


 


หลังจากลังเลอยู่เล็กน้อย เขาก็หัวเราะขึ้นเสียงเย็น “หญิงสาวตระกูลสูงศักดิ์ที่เอาแต่วิ่งไล่ตามองค์รัชทายาทก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าอายหรอกหรือ” 


 


 


“น่าอายบ้านแกน่ะสิ!” อวี้อาเหรากำหมัดแน่น เห็นว่านางไม่ต่อปากต่อคำแล้วคิดว่านางจะกลัวอย่างนั้นหรือ? ตัวนางในตอนนี้ไม่ใช่คุณหนูรองผู้อ่อนแอคนเดิมอีกต่อไปแล้ว นางเป็นคนที่มาจากศตวรรษที่ 21 ไหนเลยจะยอมให้ตัวเองโดนรังแกเช่นนี้ได้?  


 


 


“เจ้าว่าอะไรนะ” ตายเวยหรี่ตาลงด้วยแววตาอันตราย 


 


 


“เจ้าก็ดีแต่ว่าคนนั้นคนนี้ไม่ดีอย่างนั้นไม่ดีอย่างนี้ราวกับผู้หญิง ไหนเลยจะมีท่าทีของคุณชายผู้มากความรู้ เอาแต่พูดว่าคนนั้นถูกคนนี้ผิด เจ้าบอกว่าข้าหน้าด้านไม่รู้จักอายใช่หรือไม่? ในเมื่อเจ้าว่าข้าเช่นนั้น แล้วตัวเจ้าเองเล่าดีนักหรืออย่างไรกัน เจ้าว่าตะพาบกับเต่านั้นต่างกันหรือไม่” 


 


 


“เจ้า! เจ้าพูดพล่ามอะไรของเจ้ากัน!” ตานเวยถูกอวี้อาเหราว่าขานเช่นนี้ก็ถึงกับพูดไม่ออก 


 


 


ทุกคนหัวเราะให้กับคำเปรียบเทียบของนาง ไม่คิดเลยว่าอวี้อาเหราจะกล้าพูดเช่นนี้ออกมาได้ นางด่าคนก็ด่าออกมาตรงๆ เอาเสียจนอีกฝ่ายถึงกับพูดไม่ออกเลยทีเดียว 


 


 


“ตะพาบคืออะไรกัน” เริ่นหว่านเอ๋อร์มองไปยังทุกคนที่กำลังหัวเราะอยู่อย่างไม่เข้าใจ 


 


 


“ตะพาบก็คือเต่าน่ะสิ!” จวินอู๋เหินที่กำลังกินข้าวอยู่ก็ยังไม่วายเงยหน้าขึ้นมาร่วมวงด้วย 


 


 


“ถ้าเช่นนั้นก็ไม่ต่างกันน่ะสิ” เริ่นหว่านเอ๋อร์คิดวิเคราะห์อย่างจริงจัง 


 


 


สายตาของทุกคนต่างจ้องมองมาที่นาง เต่ากับตะพาบน่ะหรือ ก็แทบจะไม่มีอะไรต่างกันเลยจริงๆ น่ะซี! 


 


 


“วันนี้ข้าจะฆ่านางผู้หญิงคนนี้ให้ได้!” สีหน้าของตานเวยดูหยาบกระด้างขึ้นมากโข อารมณ์พุ่งขึ้นสูง ทันใดนั้นก็ชักกระบี่ที่เหน็บเอาไว้ที่เอวออกมาแล้วพุ่งตรงไปหาอวี้อาเหรา จี้ไปทางอกของอวี้อาเหราด้วยความลังเลเล็กน้อย ยังไม่กล้าที่จะฟันลงไปจริงๆ 


 


 


อวิ๋นเซิ่นตกใจจนรีบคว้ามือของเขาเอาไว้ “ตานเวย เจ้าเป็นบ้าไปแล้วหรืออย่างไร รีบเก็บกระบี่เดี๋ยวนี้!” 


 


 


“เจ้าจะฆ่าข้าจริงๆ น่ะหรือ” แม้ยามที่ตานเวยพุ่งกระบี่เข้ามา นางก็ไม่แม้แต่จะสะทกสะท้าน เชิดคอขึ้นตรงเผชิญหน้ารับกับคมกระบี่ ที่มุมปากยกโค้งขึ้นกลายเป็นรอยยิ้มถือดี “หากข้าอวี้อาเหรากลัวเจ้าล่ะก็ เช่นนั้นก็คงไม่ใช่คนแซ่อวี้แล้ว” 


 


 


“เจ้า…” ตานเวยหมดคำจะกล่าวไปชั่วขณะ 


 


 


เมื่อเห็นว่าสถานการณ์เริ่มจะตึงเครียดขึ้นเรื่อยๆ เริ่นหว่านเอ๋อร์ก็จ้องมองไปยังกระบี่ที่จ่อเตรียมจะฟันร่างของอวี้อาเหราที่อยู่ตรงหน้า นางเติบโตมาจนถึงป่านนี้ก็ยังไม่เคยพบเจอกับสถานการณ์ที่น่าตกใจขนาดนี้มาก่อน แต่พี่เหราคนนี้กลับไม่แสดงท่าทีหวาดกลัวขึ้นมาให้เห็นเลยแม้แต่น้อย นี่ก็ช่างน่าชื่นชมยิ่งนัก 


 


 


จวินอู๋เหินและฟู่เส่าชิงวางตะเกียบในมือพร้อมๆ กัน แล้วรีบเข้ามา “ตานเวย เจ้าก็บ้าไปแล้วจริงๆ หรืออย่างไร คำพูดก็เป็นเพียงคำพูด มีความแค้นอะไรต่อกันถึงจะได้ลงมือรุนแรงเช่นนี้ นี่เจ้าก็ไม่กลัวถูกคนอื่นหัวเราะเยาะหรืออย่างไร พอได้แล้ว!” 


 


 


“จริงด้วย พี่ตานเวย แม้ท่านจะโกรธเพียงใดแต่ก็ไม่ควรที่จะถือดาบหันเข้าใส่คุณหนูรองเช่นนี้เลย หากไม่ระวังเพียงน้อย เป็นอันตรายถึงชีวิตเชียวนะ!” ฉู่เกอทนมองไม่ได้อีกต่อไปแล้ว 


 


 


ตานเวยก็ยังคงยกดาบขึ้น จ้องมองอวี้อาเหราไม่วางตา ไม่สนใจคำพูดของพวกเขาแม้แต่น้อย 


 


 


“เอาเถิด” ในขณะที่ทุกคนยังคงตัวแข็งทื่ออยู่เช่นนี้ ฉู่ป๋ายที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็ขมวดคิ้วอย่างรำคาญใจ แล้วเอ่ยปากขึ้นอย่างเงียบๆ “หากเจ้าคิดอยากจะเข่นฆ่านางให้ตายตกไปจริงๆ ก็เชิญเถิด แต่หากเจ้าตวัดเพียงดาบเดียวทะลุหน้าอกนาง คิดหรือว่าหลิงอ๋องจะปล่อยเจ้าและจวนราชเลขาของเจ้าไป? หากเจ้าไม่กลัวก็ลงมือเสียเลยสิ” 


ตอนที่ 337 ไม่ให้เงิน 


 


 


 


 


 


ไม่กลัวก็ลงมือได้เลยหรือ? หากเขากล้าที่จะลงมือสังหารอวี้อาเหราจริงๆ ผลลัพธ์จะเป็นเช่นไรนั้นแน่นอนว่าทุกคนล้วนรู้ถึงมันดี หากตานเวยสังหารธิดารักของหลิงอ๋องจริงๆ แล้ว เขาจะยังนั่งนิ่งดูดายได้อยู่หรือ? ไม่ใช่เพียงชีวิตเขาชีวิตเดียวเท่านั้น แต่แม้แต่ทุกคนในจวนราชเลขาก็พลอยคงโดนหางเลขไปด้วย ฮ่องเต้เองก็คงจะต้องยินยอมไม่อิดออดแน่ 


 


 


ในเมื่อเป็นเช่นนั้น นี่ก็เท่ากับเป็นการฆ่าตัวตายชัดๆ! 


 


 


“ครั้งนี้ข้าจะยอมปล่อยเจ้าไปสักครั้ง หากมีครั้งหน้าก็ไม่แน่” 


 


 


ตานเวยจ้องมองอวี้อาเหราอย่างลังเลอยู่สักครู่ ก่อนที่จะถอนสายตากลับไปเช่นเดิม เมื่อเห็นท่าทีเป็นกังวลของอวิ๋นเซิ่นแล้ว เขาก็วางมือลงในที่สุด ยอมเก็บกระบี่เข้าฝักแล้วเดินออกไปข้างนอก เสื้อผ้าพลิ้วไหวไปตามสายลม เห็นได้ชัดว่าฝีเท้าของเขานั้นช่างรีบร้อนและสับสน 


 


 


อวี้อาเหราพลันขาอ่อนขึ้นมาในทันที ร่างทั้งร่างของนางทรุดลงไปกับเก้าอี้ 


 


 


นางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ปลายกระบี่เมื่อครู่จ่อมาที่หน้าอกของนาง อีกเพียงนิดเดียวก็จะแทงทะลุเนื้อนางเสียแล้ว ในสถานการณ์ที่เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายเช่นนี้ หากจะบอกว่าไม่กลัวเลยก็คงจะเป็นไปไม่ได้ เพียงแต่ในยามนี้ นางก็ไม่อาจเผยให้เห็นถึงความรู้สึกขลาดกลัวของตัวเองออกไปได้ 


 


 


ที่ด้านข้างมีเพียงมือที่ยื่นถ้วยน้ำชาเข้ามาให้ นางหันกลับไปมองอย่างอึ้งๆ นิ่งอยู่เป็นครู่จึงค่อยรับเอามา พยักหน้าให้ฉู่ป๋ายเล็กน้อย “ขอบคุณมาก” 


 


 


ฉู่ป๋ายไม่ว่าอะไร เพียงแต่ถอนมือกลับไปอย่างนิ่งเงียบ 


 


 


เมื่อน้ำชาร้อนๆ ไหลลงคอ อวี้อาเหราก็รู้สึกดีขึ้นมาก  


 


 


อวิ๋นเซิ่นยืนอยู่ที่มุมสุดของสายตา จ้องมองแผ่นหลังที่หายไปของตานเวยด้วยความสับสน แล้วจึงเอ่ยขอโทษต่ออวี้อาเหรา “ต้องขออภัยคุณหนูรอง ญาติผู้น้องของข้านั้นมักจะมุทะลุเช่นนี้อยู่เสมอ เขาคงจะเข้าใจอะไรเจ้าผิดไปบางอย่างถึงได้ทำเช่นนี้ อย่าได้ใส่ใจเลยนะ” 


 


 


นางเกือบจะตายอยู่แล้ว จะไม่ให้ใส่ใจได้อย่างไรกัน 


 


 


สายตาของอวี้เหราเต็มไปด้วยความเย็นชาสุดประมาณ 


 


 


อวิ๋นเซิ่นเห็นว่าสีหน้าของนางดูไม่ดีนัก เช่นนั้นจึงไม่อยากจะรบกวนอะไรอีก ได้แต่เดินตามหลังตานเวยออกไป 


 


 


อาหารมื้อนี้จึงได้จบลงด้วยความไม่อภิรมย์ บรรยากาศที่เคยมีกลับถูกทำลายลงจนน่าสับสน 


 


 


ฉู่เกอมองไปทางอวี้อาเหรา “คุณหนูรอง ท่านไม่เป็นอะไรแน่นะ?” 


 


 


“ไม่เป็นอะไร” อวี้อาเหราส่ายหน้า 


 


 


“ถ้าเช่นนั้นพวกเราก็ทานกันต่อเถิด” ฉู่เกอเอ่ยขึ้นอย่างระมัดระวัง 


 


 


“ไม่แล้วล่ะ ข้าอิ่มแล้ว ขอบคุณท่านหญิงน้อยมากที่เลี้ยงอาหารข้าในคืนนี้ ข้าคงต้องขอตัวกลับก่อน” อวี้อาเหราเอ่ยวาจาปฏิเสธ ก่อนจะลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้ เมื่อครู่นางก็เกือบจะไม่มีชีวิตอยู่แล้ว ไหนเลยจะมีอารมณ์ทานอาหารได้อีกเล่า 


 


 


เมื่อเห็นว่านางต้องการจะจากไป ครั้งนี้ฉู่เกอก็ไม่อาจจะรั้งนางเอาไว้ได้อีก 


 


 


ฉู่ป๋ายลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้ “ข้าจะไปส่งคุณหนูรองก็แล้วกัน” 


 


 


“ถ้าเช่นนั้นข้าก็จะกลับไปพร้อมท่านด้วย” ฉู่เกอลุกขึ้นยืนตาม 


 


 


บนโต๊ะอาหารจึงเหลือเพียงจวินอู๋เหิน ฟู่เส่าชิงและเริ่นหว่านเอ๋อร์สามคน เมื่อเห็นว่าทุกคนแทบจะกลับไปกันหมดแล้ว แต่จวินอู๋เหินก็ยังคงกัดน่องไก่ในมือต่อไป ทั้งๆ ที่เพิ่งเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นแท้ๆ แต่เพียงไม่นานเขาก็กลับมาทานอาหารได้อย่างเอร็ดอร่อย นี่ก็ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ 


 


 


“หากพวกเจ้าจะกลับไปก็รีบกลับไปเถิด เราจะอยู่กินต่อ” 


 


 


ฟู่เส่าชิงมองเขาอย่างนึกขัน “เช่นนั้นเจ้าก็ค่อยๆ กินเถิด ข้ากลับก่อนแล้วกัน” เมื่อกล่าวจบแล้วก็หันไปทางเริ่นหว่านเอ๋อร์ เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “ต้องไปส่งเจ้าหรือไม่”  


 


 


“ไม่ต้อง!” เริ่นหว่านเอ๋อร์ผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ แล้วเดินออกไปนอกประตู 


 


 


จวินอู๋เหินเห็นฟู่เส่าชิงยิ้มออกมาอย่างขมขื่น เช่นนั้นก็กล่าวว่า “พวกเจ้าสองคนนี่ก็ช่างแปลกนัก” 


 


 


ฟู่เส่าชิงชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะหมุนกายแล้วเดินจากไป 


 


 


เสี่ยวเอ้อร์จึงเดินเข้ามาคิดเงิน 


 


 


“ท่านอ๋องน้อย ทั้งหมดเป็นเงินหนึ่งพันตำลึง จะให้ข้าน้อยเก็บเงินเลยหรือลงบัญชีไว้พ่ะย่ะค่ะ?” 


 


 


“ท่านหญิงน้อยแห่งจวนเซิ่นอ๋องยังไม่ได้จ่ายเงินหรือ” 


 


 


“ท่านหญิงรีบจากไป เช่นนั้นถึงได้ให้มาถามกับท่านอ๋องน้อยพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“เจ้าคนแซ่ฉู่!” จวินอู๋เหินแทบจะบีบถ้วยชาในมือจนแตกละเอียด 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 338 เรื่องสำคัญ 


 


 


 


 


 


รถม้าของจวนเซิ่นอ๋องควบไปตามทางที่จวนหลิงอ๋องตั้งอยู่ สองพี่น้องฉู่ป๋ายและฉู่เกอมาส่งอวี้อาเหราและเมี่ยวอวี้กลับจวนก่อน จากนั้นก็จากไป 


 


 


อวี้อาเหรายืนนิ่งอยู่ที่หน้าประตูใหญ่ของจวนหลิงอ๋อง เหม่อมองไปทางที่รถม้าที่จากไปไกล ในใจนางก็รู้สึกกระวนกระวาย เดิมทีอาหารดีๆ หนึ่งมื้อต้องถูกตานเวยทำลายบรรยากาศไปเสีย และก็ไม่รู้ว่าเจ้าของร่างเดิมไปทำอะไรเขาไว้กันแน่ ทำให้นางเกือบจะโดนสังหารเสียแล้ว หากเป็นคนธรรมดาที่เกลียดชังกันธรรมดาก็คงไม่ลงมือหนักถึงเพียงนี้ 


 


 


เมี่ยวอวี้ค่อยๆ เงยหน้าขึ้น “คุณหนู ด้านนอกลมแรงนักเจ้าค่ะ พวกเราเข้าไปข้างในกันแล้วค่อยคุยกันเถิดเจ้าค่ะ” 


 


 


“อืม” อวี้อาเหราก้าวเท้าไปข้างหน้า วันนี้จวนหลิงอ๋องคึกคักกว่าเดิมมาก ทั่วทุกที่เต็มไปด้วยโคมไฟสว่างไสว แต่ก็ไม่แปลกอะไรนักเพราะตอนนี้ใกล้จะถึงช่วงเวลาปีใหม่แล้ว แน่นอนว่าจะต้องตกแต่งให้สวยงาม บ่าวไพร่ต่างจัดการทุกอย่างจนเรียบร้อย หลังจากที่อนุสี่ได้รับหน้าที่นี้ งานบ้านทุกอย่างก็ถูกจัดการไม่เลวเลยทีเดียว มิเสียแรงที่นางสนับสนุนให้ทำหน้าที่นี้ 


 


 


หลังจากถอนสายตากลับมาแล้ว นางถึงได้เอ่ยถามขึ้นพลางมองหน้าเมี่ยวอวี้ไปด้วย “ตอนที่อยู่ที่หอจุ้ยเซียนนั้นเจ้ามีอะไรจะพูดกับข้ามิใช่หรือ เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่” 


 


 


“เรียนคุณหนูเจ้าค่ะ ยามที่ชิงอวิ๋นมาส่งเจาเอ๋อร์นั้นก็ได้ยินคนในจวนกล่าวว่าเป็นเพราะท่านอ๋องทูลขอพระราชานุญาตจากฝ่าบาท เพราะฉะนั้นอีกไม่นานนายน้อยสามก็จะกลับมาจากค่ายทหารแห่งซีซานแล้วเจ้าค่ะ” เมี่ยวอวี้ตอบ 


 


 


“ฝ่าบาททรงอนุญาตแล้วหรือ” อวี้อาเหราเลิกคิ้วขึ้น 


 


 


ความคิดที่จะส่งอวี้จื้อไปสู่ค่ายใหญ่แห่งเขาซีซานนั้นไม่ใช่ความของหลิงอ๋องมาแต่แรก แต่เป็นพระประสงค์ของฮ่องเต้ที่ตั้งพระทัยส่งเขาไปที่นั่นโดยเฉพาะ แต่ไหนแต่ไรมาจวนหลิงอ๋องเป็นตระกูลนักรบเสมอ ได้รับการฝึกฝนมาตั้งแต่เด็ก อีกด้านหนึ่งคงเป็นเพราะความเห็นแก่ตัวของฮ่องเต้เอง จวนหลิงอ๋องนั้นมีอำนาจไม่อาจโค่นล้มได้ สำหรับฮ่องเต้แล้วย่อมต้องรู้สึกสั่นคลอนเป็นธรรมดา ตอนนี้อวี้จื้ออยู่ในการควบคุมของเขา แน่นอนว่าก็ไม่ต้องกลัวว่าหลิงอ๋องจะทำเรื่องใดที่ไม่ควรกระทำ 


 


 


และเพราะจวนหลิงอ๋องมีทายาทที่เป็นบุรุษเพียงคนเดียว เช่นนั้นจะทำอะไรก็จำต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ 


 


 


อวี้อาเหราไม่อาจยินดีกับข่าวที่เพิ่งได้ยิน ไม่คิดว่าเขาจะกลับมาเร็วถึงเพียงนี้ ในเมื่ออนุรองและลูกสาวของนางยังเป็นเช่นนั้น ลูกชายของนางก็คงไม่หนีจากกันมากนัก แม่เป็นอย่างไรลูกก็คงเป็นอย่างนั้น หากเป็นเช่นนี้สถานการณ์ของนางก็ก็คงเหมือนยืนอยู่บนหน้าผา แล้วจะให้นางดีใจได้อย่างไร? 


 


 


เมี่ยวอวี้มองดูสีหน้าของนาง “ถ้าเช่นนั้นแล้ว เรื่องที่ท่านออกจากเมืองในครั้งนี้ จะไปพบท่านอ๋องเพื่อรับผิดหรือว่า…” 


 


 


อวี้อาเหรายังไม่ทันที่จะตอบคำก็มีสาวใช้คนหนึ่งวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาก่อน แล้วรีบรายงานอย่างเร่งร้อนว่า “ได้ยินว่าคุณหนูกลับมาแล้ว ท่านอ๋องจึงส่งบ่าวมาเชิญคุณหนูไปยังโถงรับรอง ตรัสว่ามีเรื่องสำคัญจะคุยด้วยเจ้าค่ะ” 


 


 


“เรื่องสำคัญ? เรื่องอะไรกัน” เมี่ยวอวี้ชะงัก 


 


 


สาวใช้คนนั้นรีบส่ายหน้าระรัว “บ่าวก็ไม่แน่ใจเจ้าค่ะ” 


 


 


อวี้อาเหราส่งสายตาไปหานาง “เจ้าลุกขึ้นก่อนเถิด แล้วเดินนำข้าไป” 


 


 


“เจ้าค่ะ” สาวใช้ผู้นั้นไม่กล่าวอะไรหากแต่ผุดกายลุกขึ้น แล้วนำทางอวี้อาเหราไปยังโถงหน้า 


 


 


เมี่ยวอวี้มีท่าทีกระวนกระวาย พยายามกดเสียงให้ต่ำลง คิ้วขมวดเล็กน้อย “คุณหนู ที่ท่านอ๋องเชิญท่านไปพบครั้งนี้เป็นเพราะทรงพิโรธเรื่องที่ท่านแอบหนีออกไปนอกเมืองหรือไม่เจ้าคะ” 


 


 


“ไม่รู้สิ” ท่าทีของอวี้อาเหรานั้นยากที่จะคาดเดาได้ หนังตาของนางกระตุก รู้สึกได้ว่ากำลังจะมีเรื่องไม่ดีนักเกิดขึ้น “หากเสด็จพ่อจะทรงพิโรธจริงก็คงทำไปเสียนานแล้ว คงไม่ให้เจ้าตามไปอารักขาข้าหรอก หรือหากพิโรธจริงข้าก็ไม่กลัว ข้าเพียงเกลี้ยกล่อมนิดหน่อยก็หาย แต่กลัวว่าจะเป็นเพราะเรื่องนี้ต่างหาก” 


ตอนที่ 339 ผิดที่ตรงไหน 


 


 


 


 


 


สาวใช้คนนั้นนำทางพวกนางนายบ่าวสองคนไปสู่ห้องโถงด้านหน้า จากนั้นจึงได้ถอยออกไปอย่างรู้งาน 


 


 


อวี้อาเหรารีรออยู่ที่หน้าประตูครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อยๆ สาวเท้าก้าวเข้าไปด้านใน ถึงได้เห็นว่าหลิงอ๋องกำลังนั่งหันหลังอยู่ที่เก้าอี้ตัวนั้น ข้างกายมีอนุรองและอวี้จื่อเยียนนั่งอยู่ เมื่อเห็นนางเดินเข้ามาแล้ว มุมปากของอวี้จื่อเยียนก็เหยียดเป็นรอยยิ้มเย้ยหยัน 


 


 


“เสด็จพ่อ น้องสาวมาแล้วเพคะ” 


 


 


หลิงอ๋องและอนุรองต่างก็ส่งสายตาเคลือบแคลงมา 


 


 


อวี้อาเหรามองอวี้จื่อเยียนด้วยแววตาสงสัย ที่พวกนางสองแม่ลูกสู้อุตส่าห์มาถึงที่นี่ก็คงเพราะสบโอกาสที่จะว่าร้ายนางต่อหน้าหลิงอ๋องเป็นแน่ จากนั้นนางก็เบนสายตา เดินไปข้างหน้าสองสามก้าว แล้วคุกเข่าลงต่อหน้าหลิงอ๋อง “ลูกคารวะเสด็จพ่อเพคะ” 


 


 


“เจ้ายังรู้จักกลับมาด้วยรึ” หลิงอ๋องหันขวับกลับมาในทันที ดวงตาส่องประกายจ้องมองร่างของนางนิ่ง ใบหน้าแสดงให้เห็นถึงความโกรธเคืองสุดแสน น้ำเสียงยังแฝงด้วยความสั่นเทา 


 


 


“ที่นี่คือจวนหลิงอ๋อง ลูกที่เป็นธิดาเอกแห่งจวนหลิงอ๋องย่อมจะต้องกลับมาอยู่แล้วเพคะ” อวี้อาเหราเชิดใบหน้า ไร้ซึ่งความกลัวเกรงแม้แต่น้อย สายตาจ้องมองหลิงอ๋องอย่างกล้าหาญ น้ำเสียงแน่วแน่ ราวกับพูดเรื่องจริงที่สมเหตุสมผลเป็นที่สุด 


 


 


ที่นางพูดก็ไม่ผิด ในเมื่อนางเป็นธิดาเอกแห่งจวนหลิงอ๋อง เช่นนั้นย่อมต้องกลับมาอยู่แล้ว 


 


 


“นี่เจ้า!” หลิงอ๋องโกรธเสียจนตีสีหน้าแข็งกระด้าง โกรธจัดจนหัวเราะออกมา “ดี เจ้าหนีออกไปนอกจวนเพียงครั้งเดียว แต่ฝีปากกลับกล้าแกร่งขึ้นมากนัก แม้แต่เราก็เถียงเจ้าไม่ได้ แต่เจ้าละเลยคำสั่งของเรา ออกจากจวนไปโดยพลการ จะต้องได้รับโทษสถานใด?” 


 


 


“ลูกผิดไปแล้ว แต่เสด็จพ่อก็โปรดอภัยให้ลูกด้วยเพคะ” อวี้อาเหราก้มหน้าลง คุกเข่าอยู่เป็นนานก็ไม่ยอมลุกขึ้นมา 


 


 


ในใจของนางนั้นไม่ได้นึกกลัวเสียเท่าไร เพราะหากหลิงอ๋องจะโกรธจริงๆ แล้ว เขาก็คงไม่แอบส่งเมี่ยวอวี้ไปอารักขานางแน่ เพราะฉะนั้นนางคิดว่าหลิงอ๋องคงจะไม่ลงโทษอะไรนางนัก 


 


 


น้ำเสียงของหลิงอ๋องฉายแววขุ่นหมอง ในสายตาเต็มไปด้วยความจนใจอยู่หลายส่วน คิดอยู่เป็นนานจึงค่อยเอ่ยขึ้นว่า “ในเมื่อเจ้าสำนึกผิดจริงๆ เราก็จะลงโทษเจ้าสถานเบา กักบริเวณเจ้าเป็นเวลาหนึ่งเดือน หากไม่ได้รับคำสั่งจากเรา ห้ามเจ้าก้าวเท้าออกนอกจนวนเด็ดขาด ได้ยินหรือไม่?” 


 


 


“ลูกเข้าใจแล้วเพคะ” มุมปากของอวี้อาเหราโค้งขึ้นแล้วก็พยักหน้า 


 


 


อนุรองและอวี้จื่อเยียนที่ได้ยินเช่นนั้นก็ไม่พอใจเป็นอย่างมาก อวี้จื่อเยียนโกรธจนแทบจะระงับอารมณ์เอาไว้ไม่อยู่ “เสด็จพ่อ เหตุใดถึงได้ทรงเลือกที่รักมักที่ชังเช่นนี้เล่าเพคะ หากตามกฎของจวนของเรา ในเมื่อมีสถานะเป็นธิดาเอก แต่ไม่ทำตามกฎที่ตั้งไว้นี่ก็ถือเป็นโทษหนัก หากแค่เพียงกักบริเวณนางเป็นเวลาหนึ่งเดือน อย่าว่าแต่ลูกเองจะไม่เชื่อฟังเลยเพคะ แม้กระทั่งพวกบ่าวไพร่จะควบคุมกันได้อย่างไร” 


 


 


“ในเมื่อตั้งกฎนี้ขึ้นได้ เพราะฉะนั้นมันก็เป็นธรรมดาที่จะต้องปรับเปลี่ยนได้” อวี้อาเหราเอ่ยแทรกขึ้นมา 


 


 


“ปรับเปลี่ยนได้หรือ? เจ้าก็พูดง่ายสิ กฎข้อนี้ตั้งขึ้นมาหลายปีแล้ว แต่กลับปรับเปลี่ยนตามใจเจ้าเช่นนี้ นี่ก็จะเป็นการไม่เคารพบรรพบุรุษ และยิ่งเป็นการไม่ให้ความเคารพต่อเสด็จพ่อ จะให้เปลี่ยนไปตามใจเจ้าได้หรืออย่างไร” อวี้จื่อเยียนได้ยินนางพูดด้วยท่าทีผ่อนคลายเช่นนี้ก็อดไม่ได้ที่จะขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างโกรธเคือง 


 


 


“ในเมื่อพี่สาวกล่าวออกเช่นนี้ ก่อนหน้านี้ที่ท่านไม่ให้ความเคารพต่อตัวข้า อีกทั้งยังกระทำความผิดเสียมากมาย คิดร้ายวางแผนที่จะทำร้ายธิดาเอก กล่าววาจาโป้ปดว่าข้าตายเพื่อหวังประโยชน์ในภายหลัง เรื่องราวเหล่านี้หากนำมาไต่สวนใหม่อีกครั้ง ลงโทษท่านตามกฎจวนเล่าท่านจะว่าอย่างไร? อีกอย่างเรื่องบัวกลีบม้าและน้ำแกงตะพาบน้ำก่อนหน้านี้เล่า ท่านเองก็ถูกเสด็จพ่อคาดโทษเอาไว้ ลองคิดดูเสียดีๆ เถิด ตอนนี้ก็ยังไม่ถึงวันเวลาที่เสด็จพ่อบอกเอาไว้มิใช่หรือ? แล้วท่านกลับโผล่มาอยู่ตรงนี้ได้ ไม่ไปนั่งภาวนาสำนึกผิดนี่มันหมายความว่าอย่างไร หรือว่ากฎเกณฑ์ในสายตาของอวี้จื่อเยียนนั้นเป็นเพียงคำพูดไร้สาระเท่านั้นหรือ” 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 340 ขู่เข็ญเป็นช่องเป็นฉาก 


 


 


 


 


 


อวี้อาเหราพูดขู่เข็ญเป็นฉากๆ ไม่ไว้หน้าเลยแม้แต่น้อย วาจาเชือดเฉือนหลุดออกมาจากปากของนาง น้ำเสียงเยียบเย็น พุ่งกระแทกใจของอีกฝ่ายประโยคแล้วประโยคเล่า 


 


 


“เจ้า…” อวี้จื่อเยียนได้ยินแล้วใบหน้าก็แดงก่ำไปจนถึงใบหู ไม่อาจหาข้อแก้ตัวให้ตัวเองได้ จ้องมองอีกฝ่ายคอแข็งตาถลน แต่กลับไม่กล้าทำอะไรนางจริงๆ ทำได้แต่เพียงโกรธเคืองแต่ไม่กล้าตอบโต้ 


 


 


อวี้อาเหราเองก็ชอบมองท่าทางที่นางเห็นตนเองไม่เข้าตาแต่กลับไม่สามารถทำอะไรตนเองได้เช่นนี้ ในใจพลันมีความรื่นเริงเป็นอย่างมาก ได้กล่าววาจาต่อว่าต่อขานออกไป ได้มองอวี้จื่อเยียนที่มีท่าทีคอแข็งใบหน้าโกรธขึ้ง นางก็ยิ้มอย่างสาสมใจ “หากพี่สาวไม่ว่าอะไร เช่นนั้นก็ขอเชิญว่ากฎของจวนอีกครั้งเถิด ข้าไม่กลัวอยู่แล้ว” 


 


 


“เจ้า…ข้า…” อวี้จื่อเยียนไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดี 


 


 


“เลิกเจ้าๆ ข้าๆ เสียที ในเมื่อเจ้าไม่ยอมปล่อยข้าเอง ไฉนเลยข้าจะเมตตาต่อเจ้ากัน?” อวี้อาเหราแค่นเสียงเย็นชา เอียงหน้ามองไปทางหลิงอ๋องแล้วยิ้มขึ้น “เสด็จพ่อว่าเช่นนี้ยุติธรรมดีหรือไม่เพคะ” 


 


 


อวี้จื่อเยียนไม่ยอมปล่อยนางไปดีๆ แต่คนอย่างอวี้อาเหราก็ไม่ยอมปล่อยอีกฝ่ายให้อยู่สบายๆ แน่ หากนางจะต้องตาย นางก็ต้องลากอีกฝ่ายให้ตายตกไปตามกัน อย่างนั้นซีถึงจะเป็นตัวนาง 


 


 


“พอได้แล้ว เมตตาไม่เมตตาอันใดกัน ตอนนี้เรากำลังพูดกันถึงเรื่องของเจ้า เรื่องของเยียนเอ๋อร์นั้นผ่านไปแล้ว” หลิงอ๋องไม่คล้อยตามคำพูดของอวี้อาเหรา กลับดุนางอีกด้วย 


 


 


อวี้จื่อเยียนมองเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง 


 


 


อวี้อาเหราเองก็ชะงักไปเช่นกัน แต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกไปนัก ในเมื่อนางยกเรื่องของอวี้จื่อเยียนขึ้นมาเช่นนี้ แน่นอนย่อมรู้ว่าตัวเองคงไม่ได้มีผลลัพธ์ที่ดีไปกว่ากันเสียเท่าไร หากไม่ถึงคราวคับขันจริงๆ นางก็คงไม่จำเป็นต้องทำร้ายศัตรูจนตนเองลำบาก นี่ก็ไม่คุ้มกันเลย  


 


 


ในเมื่อเอ่ยออกมาเช่นนี้ แน่นอนว่าหลิงอ๋องคงไม่จัดการอวี้จื่อเยียนแน่ เขาหันไปหาอนุรองและลูกสาว “พวกเจ้าว่าจะต้องลงโทษอย่างไรจึงจะดี” 


 


 


“ลูก…” แม้ว่าอวี้จื่อเยียนจะไม่คิดว่าตัวเองจะถูกลากเข้ามาร่วมในเรื่องนี้ด้วย แต่เมื่อได้เห็นอวี้อาเหราได้รับโทษเพียงแค่นี้ก็รู้สึกไม่ค่อยพอใจนัก แต่ก็ไม่กล้าที่จะพูดในสิ่งที่ตัวเองคิดออกไป ได้แต่คิดอยู่ในใจอย่างอึดอัดคับข้อง 


 


 


อนุรองเองก็รีบยอมรับ “ท่านอ๋องทรงทำถูกแล้วเพคะ แม้ว่าคุณหนูรองจะลอบออกจากจวนโดยพลการ แต่ก็ไม่ได้ก่อเรื่องอะไรมากมาย สิ่งที่ท่านอ๋องตรัสได้นั้นเหมาะควรแล้วเพคะ” 


 


 


หลิงอ๋องพยักหน้าอย่างพอใจ โบกมือไปทางอวี้อาเหรา “เจ้าออกไปหลายวันคงจะเหนื่อยนัก กลับไปพักเถิด อีกสักพักพ่อจะไปหาเจ้า” 


 


 


“เพคะ” อวี้อาเหรากำลังเตรียมตัวจะเดินจากไป ทันใดนั้นอนุรองที่นั่งอยู่ก็ยืนขึ้น แล้วร้องเรียกทุกคน ใบหน้าฉายรอยยิ้มไปทางหลิงอ๋องอย่างอ่อนโยน “ท่านอ๋อง หม่อมฉันยังมีเรื่องสำคัญที่อยากจะทูลให้ทราบ เรื่องนี้ก็เกี่ยวข้องกับคุณหนูรองด้วย เช่นนั้นก็เชิญคุณหนูรองอยู่ร่วมฟังด้วยกันเถิดเพคะ” 


 


 


เรื่องสำคัญหรือ? อวี้อาเหราขมวดคิ้วอย่างไม่รู้ตัว เมื่อได้ยินจากปากของอนุรองว่าเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับนางแล้ว แน่นอนว่าย่อมไม่ใช่เรื่องดีอะไรแน่ แต่ที่นางพูดต่อหน้าทุกคนเช่นนี้ นางคงไม่อาจหนีหายไปไหนได้ 


 


 


ในใจของหลิงอ๋องเกิดนึกสงสัยขึ้นมา จึงเรียกอวี้อาเหราให้อยู่ฟังด้วย 


 


 


อนุรองเงยหน้าขึ้นมองอวี้อาเหรา จากนั้นจึงค่อยพูดขึ้นมาว่า “ที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรนัก แต่ว่าหากท่านอ๋องได้ฟังแล้วก็ขออย่าทรงกริ้ว หม่อมฉันกลัวว่าพระองค์จะโกรธเสียจนกระทบต่อสุขภาพ” 


 


 


“เรารับได้ มีเรื่องอะไรก็รีบพูดมาเถิด” หลิงอ๋องโบกมือ 


 


 


“เรื่องก็เป็นเช่นนี้เพคะ เมื่อสองวันก่อนหม่อมฉันอยู่ในจวนกับเยียนเอ๋อร์แล้วรู้สึกเบื่อยิ่งนัก ดังนั้นจึงออกไปเดินเล่นในสวนด้านหลัง แต่กลับไม่คิดว่าจะได้พบกับหวังหลงจู๊ที่ดูแลเรื่องเสบียงกำลังหารือกับองครักษ์ในจวนผู้หนึ่งอย่างส่วนตัวเข้าพอดี นี่ก็ทำให้พวกเราตกใจเป็นอย่างมากเพคะ” 


ตอนที่ 341 พายุโหมพัดอีกครา 


 


 


 


 


 


“ในจวนของเรามีกฎ บ่าวไพร่ไม่อาจทำตามใจตัวเองได้ เมื่อเห็นพวกเขาแลกเปลี่ยนเงินทองจำนวนมากเช่นนั้น แน่นอนว่าย่อมรู้สึกสงสัย เพราะอย่างนั้นถึงได้ส่งคนไปตรวจสอบ จึงพบว่า…” 


 


 


อนุรองเว้นจังหวะการพูดเอาไว้ 


 


 


“เจ้าพบอะไรก็รีบพูดมาเถิด” หลิงอ๋องที่ก่อนหน้านี้นับว่ามีสีหน้าผ่อนคลายอยู่บ้าง เมื่อได้ยินนางพูดเช่นนี้แล้ว สีหน้าก็เริ่มแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย 


 


 


“กลับพบว่าหวังหลงจู๊นั้นได้แอบโกงเงินของจวนของเราไปเป็นจำนวนมาก ตามที่หม่อมฉันทราบนั้นเป็นจำนวนหลายล้านตำลึงทอง และยังมีที่ไม่ทราบอีก ซึ่งการฉ้อโกงครั้งนี้เกือบจะเท่ากับครั้งก่อนเลยนะเพคะ” 


 


 


“หลายล้านตำลึงทองรึ! เจ้าหวังหลงจู๊ที่สมควรตายนั่น กลับกล้าที่จะยักยอกเงินของเราได้ ช่างน่ารังเกียจยิ่งนัก!” เมื่อหลิงอ๋องได้ยินดังนั้นก็โกรธขึ้นมาในทันที 


 


 


“เสด็จพ่ออย่าทรงกริ้วไปเลยเพคะ” อวี้อาเหราเอ่ยปากปลอบโยน ก่อนที่จะมองไปทางอนุรองแล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ในเมื่ออนุรองรู้เสียนานแล้ว เหตุใดจึงไม่รายงานเสด็จพ่อให้ทรงทราบในทันที แต่ต้องรอให้ถึงตอนนี้ด้วย?”  


 


 


“ที่คุณหนูรองกล่าวมานั้นไม่ผิด แต่เพราะข้าน้อยเป็นเพียงหญิง ไม่กล้าที่จะพูดออกไปลอยๆ แต่กระนั้นก็กลัวว่าจะถูกคนอื่นจารกรรมทรัพย์สมบัติไปจนหมดจวนอ๋อง เพราะอย่างนั้นถึงได้แอบตรวจสอบอย่างลับๆ เพื่อให้แน่ใจจึงค่อยพูดความจริงออกไป” อนุรองพูดตรงๆ ไม่อ้อมค้อม 


 


 


“อย่างนั้นหรือ” อวี้อาเหราพูดขึ้นอย่างไม่อยากจะเชื่อถือ พูดช่วงไหนก็ไม่พูด กลับรอจนนางกลับมาจากหัวเมืองตะวันตกถึงค่อยพูดเช่นนี้ ทั้งยังเรียกให้นางอยู่รับฟังอีก นี่ก็ชัดเจนแล้วว่าต้องการที่จะโจมตีนางแน่ๆ 


 


 


“คุณหนูรองหมายความว่าอย่างไร หรือท่านคิดว่าข้าน้อยจะใส่ความหวังหลงจู๊กัน? ก่อนหน้านี้มีเรื่องเฉียนหลงจู๊ยักยอกเงินในจวน เป็นใครก็ย่อมเกิดความรู้สึกแคลงใจเป็นธรรมดา แต่เมื่อได้ยินคุณหนูรองพูดเช่นนี้ ท่านก็ทำราวกับข้าน้อยพูดจาส่งเดชเพื่อกวนน้ำให้ขุ่น ช่างน่าเจ็บปวดใจยิ่งนัก” อนุรองพูดแจกแจงเหตุผล แล้วจึงเสแสร้งทำตัวน่าสงสาร 


 


 


อวี้อาเหราไม่รู้จะพูดอย่างไร “ข้าเพียงแต่ถามไปอย่างนั้นเอง เหตุใดอนุรองจึงต้องแสดงท่าทีใหญ่โตถึงเพียงนี้เล่า หรือว่าข้าพูดจี้ใจดำเข้าเสียแล้ว? อย่างไรเสียเรื่องของเฉียนหลงจู๊ก็เป็นอนุรองที่จัดการเขากับมือตัวเองนี่นา” 


 


 


“เรื่องของเฉียนหลงจู๊นั่นเขาก็สมควรถูกลงโทษแล้ว ข้าน้อยเพียงแต่ช่วยท่านอ๋องดูแลกิจการภายในจวนก็เท่านั้น อีกอย่างตอนนี้ข้าน้อยเองก็กำลังตั้งครรภ์ จึงทนฟังเรื่องราวชั่วร้ายพวกนั้นไม่ได้ ขอให้คุณหนูรองโปรดอภัยให้ข้าน้อยด้วย” อนุรองจู่ๆ ก็ยกเรื่องเด็กในท้องขึ้นมาเป็นข้ออ้างในการสังหารเฉียนหลงจู๊เสียอย่างนั้น 


 


 


คนที่มีสายตาแหลมคนเท่านั้นที่จะมองเห็น อนุรองนั้นภายนอกดูเป็นคนสุภาพอ่อนโยน หากเป็นเหตุการณ์ปกติไหนเลยจะกล้าลงมือฆ่าคนได้ นอกจากจะเป็นเรื่องที่ส่งผลร้ายต่อนางเท่านั้น เพียงแต่น่าเสียดายนัก ใครอยากให้นางตั้งครรภ์ขึ้นมาในช่วงเวลานี้พอดีเล่า หลิงอ๋องยินดีเป็นอย่างยิ่ง เพื่อเห็นแก่ทารกในครรภ์แล้ว แน่นอนว่าก็ไม่ได้สืบถามหาความอะไรอีก 


 


 


อีกอย่าง เงินที่ยักยอกไปนั้นก็เพียงแค่ห้าพันตำลึง ไม่ถือว่ามากมายอะไร เทียบกับครั้งนี้ไม่ได้เลยแม้แต่น้อย 


 


 


ทว่าเรื่องของเฉียนหลงจู๊เพิ่งจะซาไปได้ไม่นานนัก จู่ๆ ก็เกิดเรื่องการยักยอกทรัพย์ของหวังหลงจู๊ขึ้นมาอีก นี่ก็ช่างเป็นเรื่องบังเอิญเสียเหลือเกิน สิ่งที่นางไม่เข้าใจมากที่สุดก็คือนับตั้งแต่เฉียนหลงจู๊ตายไป หลงจู๊ที่ยังเหลืออยู่อีกสองคนที่ยังคงมีจิตใจต่อต้านอยู่ก็โดนอวี้อาเหราขู่จนเข็ดหลาบไปกันหมดแล้ว ไหนเลยจะกล้าทำผิดอีกเล่า? 


 


 


หรือว่า ที่เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นก็เป็นเพราะ… 


 


 


ทั่วทั้งห้องโถงใหญ่เงียบสนิท ทุกคนเอาแต่สูดลมหายใจ ไม่มีใครกล้าที่จะส่งเสียงออกมา 


 


 


ผ่านไปนานทีเดียว หลิงอ๋องจึงค่อยรวบรวมสมาธิ ใบหน้าเคร่งขรึม เงยหน้าขึ้นมองไปด้านนอก แล้วจึงค่อยออกคำสั่งต่อองครักษ์ที่รออยู่ด้านนอก 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 342 หุบปากเสีย 


 


 


 


 


 


“เมื่ออนุรองพูดออกมาเช่นนี้แล้ว พวกเจ้าก็รีบไปสืบหาความจริงมาให้กระจ่าง ไปจับตัวหวังหลงจู๊และองครักษ์ที่มันคบค้าด้วยมาให้เรา เราอยากจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นมาจวนแห่งนี้กันแน่ สรุปเรื่องราวเป็นขั้นเป็นตอนมา ครั้งนี้ เราจะต้องชำระความให้รู้เรื่อง!” 


 


 


“พ่ะย่ะค่ะ!” เหล่าองครักษ์ชุดดำรับคำแล้วก็พลันหายตัวไปในพริบตา 


 


 


ดูแล้วพวกเขาคงเป็นองครักษ์ข้างกายของหลิงอ๋อง หากจะตรวจสอบอะไรก็คงรวดเร็วกว่าผู้อื่นไม่น้อย 


 


 


หลังจากที่ออกคำสั่งไปเช่นนั้น หลิงอ๋องก็ทอดสายตามองมายังร่างของอนุรอง “เจ้ายังมีเรื่องอะไรอีกก็พูดมาให้หมดเถิด” 


 


 


“เพคะ หม่อมฉันรับบัญชา” ดวงตาของอนุรองส่องประกาย มองออกว่านางนั้นตื่นเต้นเป็นอันมาก จากนั้นจึงเอ่ยต่อว่า “ความจริงแล้วยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่หม่อมฉันไม่ใคร่กล้าพูดนัก เกรงว่าหากท่านอ๋องและคุณหนูรองได้ยินเข้าจะยิ่งโกรธเคืองเพคะ” 


 


 


“ยังมีเรื่องน่าโมโหอะไรกันอีก รีบบอกเรามาเดี๋ยวนี้” หลิงอ๋องนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย แต่ก็เป็นเพียงชั่วขณะเดียวเท่านั้น 


 


 


“หลังจากเกิดเรื่องของเฉียนหลงจู๊วันนั้นแล้ว ท่านอ๋องก็ทรงอนุญาตให้คุณหนูรองมอบหน้าที่ดูแลเรื่องเสบียงและที่นาให้กับสาวใช้คนสนิทเจาเอ๋อร์ แต่หลังจากที่หม่อมฉันตรวจสอบเรื่องของหวังหลงจู๊แล้วจึงพบว่าที่หลงจู๊หวังสามารถยักยอกเงินได้มากถึงเพียงนี้ เหตุผลสำคัญก็เพราะเจาเอ๋อร์ใส่ตัวเลขในบัญชีส่งเดช จึงทำให้หลงจู๊หวังได้รับผลประโยชน์โดยที่คนอื่นๆ ไม่ทราบ หม่อมฉันจึงไม่กล้าที่จะพูดออกไปมั่วๆ เพคะ เพราะกลัวว่าคุณหนูรองจะเห็นว่าหม่อมฉันจงใจที่จะใส่ร้ายนางและสาวใช้ข้างกาย แต่ที่หม่อมฉันทำเช่นนี้ก็เพื่อจวนของเรา ไหนเลยจะกล้าปิดบังท่านอ๋องได้ ในเมื่อโลกเรามีคนชั่วที่พร้อมจะทำร้ายผู้อื่นตลอดเวลา หม่อมฉันจึงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษเพคะ” 


 


 


วาจาที่อนุรองกล่าวออกมาทั้งหมดนั้น ราวกับทุกประโยคทุกคำคิดถึงเพียงแต่ประโยชน์ของจวนอ๋อง อีกทั้งยังต้องการที่จะทำให้อวี้อาเหราตกที่นั่งลำบาก หากคนอื่นมองก็คงคิดว่านางมองโลกในแง่ร้าย หากแต่ใจของอวี้อาเหรานั้นรู้ดีเป็นที่สุด 


 


 


ที่นางพูดออกมาเช่นนี้ นี่ก็ไม่เพียงแต่หวังจะได้ความดีความชอบต่อหน้าท่านอ๋อง แต่ทั้งยังลากเอาเรื่องเช่นนี้เข้ามาเกี่ยวข้องกับเจาเอ๋อร์อีกด้วย เพราะเจาเอ๋อร์เป็นผู้ดูแลเกี่ยวกับเสบียงและที่นา เมื่อเกิดข้อผิดพลาดขึ้น แน่นอนว่าจะต้องเป็นนางที่ต้องรับผิดชอบเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด 


 


 


เมื่อวิเคราะห์ถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ก็ทราบว่าเจาเอ๋อร์นั้นกำลังตกอยู่ในที่นั่งลำบากเสียแล้ว 


 


 


เมื่อหลิงอ๋องได้ยินดังนี้ ก็รีบออกคำสั่งต่อเมี่ยวอวี้ที่อยู่ด้านนอก “เจ้าไปเรียกเจาเอ๋อร์มาเดี๋ยวนี้ หากเป็นนางที่ก่อเรื่องขึ้น เราจะไม่ปล่อยนางเอาไว้แน่” 


 


 


“เสด็จพ่อ…” อวี้อาเหราออกปากเพื่อจะห้าม เจาเอ๋อร์เกือบจะต้องไปยมโลกเพราะช่วยชีวิตนาง ทั้งตอนนี้ยังอยู่ในช่วงรักษาตัว แล้วจะยอมให้นางรับโทษทัณฑ์ได้อย่างไร ถ้าหากเรื่องทั้งหมดนี้ไม่ใช่เพราะนางที่เป็นคนจัดแตง แล้วเจาเอ๋อร์จะถูกจัดการได้อย่างไร เมื่อคิดมาถึงตรงนี้แล้ว นางก็ไม่อาจที่จะยอมรับได้  


 


 


เมื่อเพิ่งจะเอ่ยปากออกมา ก็ถูกเสียงหัวเราะเย็นชาของอวี้จื่อเยียนตัดบทเสียก่อน “น้องสาว เจ้าเพิ่งจะกลับถึงจวนก็ไปพักผ่อนเสียดีๆ เถิด เรื่องนี้ปล่อยให้เสด็จพ่อเป็นผู้จัดการก็ดีแล้ว อย่าปล่อยให้สาวใช้เพียงคนเดียวทำให้จวนอ๋องของเราต้องมัวหมองเลย” 


 


 


“เจ้าหุบปากเดี๋ยวนี้!” อวี้อาเหราจ้องมองตาถลน 


 


 


หญิงนางนี้ไม่ยอมปล่อยให้นางและเจาเอ๋อร์มีชีวิตที่สงบสุข ตอนนี้นางขัดคอไม่ให้พูด หากเจาเอ๋อร์มาถึงที่นี่จริงๆ คงต้องโดนสองแม่ลูกรังแกเป็นแน่ พวกนางสองแม่ลูกไม่ชอบตน เช่นนั้นนั้นจึงลากสาวใช้ของนางมาระบายอารมณ์ 


 


 


อีกทั้งตอนนี้นางเพิ่งกลับมาจากตลาดมืด แน่นอนว่าย่อมไม่รู้เรื่องของหวังหลงจู๊ เช่นนั้นจึงไม่อาจจะช่วยเหลือเจาเอ๋อร์ได้ จึงได้แต่จ้องมองเมี่ยวอวี้เดินออกไปตามเจาเอ๋อร์ตามคำสั่งของหลิงอ๋อง 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม