วาสนาบันดาลรัก 335-341

ตอนที่ 335 ในถ้ำหุบเขาจำลอง

 

ฮูหยินผู้เฒ่าให้คนไปส่งจดหมายที่ชานเมืองอันเป็นที่ตั้งของค่ายทหาร หลังจากที่นายท่านสี่ทราบข่าวการป่วยของมารดาตนก็รีบลางาน ควบม้าเร็วมาทันที กระทั่งวันถัดมาก็มาถึงจวนทั้งที่ยังไม่ถึงเวลาเที่ยงวันด้วยซ้ำ


 


 


เขารีบพุ่งเข้าไปที่เรือนอี๋อาน ใบหน้าแดงก่ำ แผ่นหลังเปียกโชก เสื้อผ้าแนบกายจนเผยให้เห็นหุ่นบึกบึนนั้นอย่างชัดเจน บรรดาสาวใช้ที่เดินผ่านไปเห็นเข้าต่างก็หน้าแดงทั้งสิ้น


 


 


นายท่านสี่กลับมิสนใจสภาพดูไม่ได้ของตน เขามิรอให้สาวใช้เข้าไปเรียนฮูหยินผู้เฒ่าด้วยซ้ำก็พุ่งเข้าไปในเรือนทันที หลังจากนั้นก็ต้องอึ้งงันมากขึ้นไปอีก


 


 


หญิงชราที่เขาเฝ้าแต่พะวงห่วง ยามนี้กำลังยกถ้วยอาหารขึ้นกินอย่างเอร็ดอร่อยอยู่กับหลานสะใภ้


 


 


ในถ้วยนั้นมีสีสันหลากหลาย มองอยู่นานก็ยังไม่ทราบว่ากำลังกินสิ่งใดอยู่


 


 


“ท่านแม่…” นายท่านสี่ร้องขึ้นอย่างไม่รู้จะร่ำไห้หรือหัวเราะดี


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่ารู้สึกไม่พอใจอยู่บ้าง นางวางถ้วยนั้นลงอย่างอาลัยอาวรณ์แล้วเอ่ยตำหนิว่า “เจ้าสี่ เจ้าโตปานนี้แล้ว เหตุใดจึงบุกเข้ามากะทันหันเช่นนี้เล่า!”


 


 


ไม่เปิดโอกาสให้คนได้ซ่อนสิ่งของใดเลยสักนิด!


 


 


นายท่านสี่อ้าปากค้างเอ่ยสิ่งใดไม่ออก


 


 


เขาคิดว่าเวลานี้ฮูหยินผู้เฒ่าจะล้มป่วยหนักเพียงใดบ้าง ใจร้อนรนดุจไฟเผา ไหนเลยจะไปสนใจเรื่องพวกนั้น ทว่าเมื่อเห็นฮูหยินผู้เฒ่าแข็งแรงคึกคัก ใบหน้ามีเลือดฝาด ทั้งยังมีหลานสะใภ้อยู่ที่นี่ด้วยก็เริ่มรู้สึกว่าตนบุ่มบ่ามเกินไปขึ้นมา


 


 


ผ่านไปครู่หนึ่งจึงรวบรวมคำเอ่ยออกมาได้ว่า “ท่านแม่ ท่านหายเร็วยิ่ง…”


 


 


เขาเป็นบุตร ย่อมมิอาจกล่าวว่ามารดาตนแสร้งป่วยได้


 


 


เจินเมี่ยวนั่งเป็นฉากหลังอยู่ตลอด ครั้นได้ยินวาจานี้ก็เบิกบานจนเกือบเผลอหลุดปากออกมาจึงรีบเม้มริมฝีปากตนแล้วก้มหน้าลง


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่ากระแอมคราหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ความจริงข้าไม่เป็นอันใด แต่เรือนอวี้หยวน…”


 


 


นางเพิ่งจะเอ่ยออกมาเพียงสามคำ นายท่านสี่ก็หน้าเปลี่ยนสีไปทันที เขาเอ่ยตัดบทขึ้นอย่างรีบร้อนว่า “เกิดเรื่องขึ้นกับนางชีหรือขอรับ”


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่ามิได้ตอบในทันที เพียงมองนายท่านสี่ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม


 


 


สีหน้านายท่านสี่กลับแย่ลงกว่าเดิม เขาหมุนกายวิ่งไปด้านนอกทันที เพราะออกตัววิ่งเร็วเกินไป ทั้งร่างกายสูงใหญ่จึงชนเข้ากับขอบประตู


 


 


ขอบประตูสั่นสะเทือนคราหนึ่ง คนทั้งห้องต่างตะลึงลาน แต่นายท่านสี่กลับวิ่งออกไปไกลแล้ว


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่ามองขอบประตูด้วยความเจ็บปวดแล้วเอ่ยบ่นว่า “เจ้าลูกคนนี้รู้จักร้อนใจขึ้นมาบ้างแล้วหรือ”


 


 


เจินเมี่ยวหยักยกมุมปากลอบยิ้ม


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าเหลือบมองนางแล้วเอ่ยว่า “ยิ้มอันใด”


 


 


เจินเมี่ยวเงยหน้าขึ้นเอ่ยว่า “ท่านย่า ท่านอาสี่ร้อนใจก็เพราะท่านแหย่ให้เขาตกใจ”


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าเขียนจดหมายไปบอกว่าตนป่วยแต่สุดท้ายเมื่อพบหน้ากันกลับพบว่ามิได้เป็นอันใด หลังจากนั้นก็เอ่ยถึงเรือนอวี้หยวน นายท่านสี่ย่อมเข้าใจว่าเกิดเรื่องขึ้นกับนางชี และต้องไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ด้วย มิเช่นนั้นฮูหยินผู้เฒ่าคงบอกว่าป่วยแล้วเรียกเขากลับมาหรือ


 


 


“ต้องให้เขาร้อนใจเสียบ้างจึงจะดี” ฮูหยินผู้เฒ่าหรี่ตาเอ่ยออกมา


 


 


เจินเมี่ยวเหลือบตาขึ้นเห็นหางตาฮูหยินผู้เฒ่าเต็มไปด้วยรอยเ**่ยวย่น แต่ไม่ทราบด้วยเหตุใดกลับยิ่งมองยิ่งรู้สึกว่าน่ารัก


 


 


คิดไม่ถึงว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันที “หลานสะใภ้ เมื่อวานต้าหลังมิได้กลับจวนอีกแล้วหรือ”


 


 


“เจ้าค่ะ”


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าหน้าขรึมขึ้นมา “ไป ให้คนส่งจดหมายหาเขาบอกว่าข้าป่วยแล้ว”


 


 


“หา?” เจินเมี่ยวมีสีหน้าไม่อยากเชื่อ ฮูหยินผู้เฒ่าท่านนี้เสพติดการแสร้งป่วยไปแล้วหรือ


 


 


“เร็วเข้า เชื่อย่า” ฮูหยินผู้เฒ่าร้อนรนใจยิ่ง


 


 


เจ้าหลานไม่รักดี เมื่อวานไม่ยอมกลับจวนทำให้นางต้องสิ้นเปลืองเขากวางตุ๋นไก่ดำที่ตั้งใจเตรียมไว้เสียดิบดีไป!


 


 


เจินเมี่ยวลังเลขึ้นมา “ท่านย่า ต้าหลังเขากำลังยุ่งกับงานที่…”


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าไม่พอใจขึ้นมา “งานยุ่งมาก แม้ย่าป่วยก็จะไม่กลับมางั้นหรือ”


 


 


เจินเมี่ยวแทบจะคุกเข่าให้กับฮูหยินผู้เฒ่าที่สดใสเต็มเปี่ยมด้วยพลังผู้นี้แล้ว


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าถอนหายใจออกมา “เจ้าหลานโง่นั่น ยุ่งอยู่กับอันใดทุกวันกัน หลานสะใภ้ เชื่อย่า ไปเถิด”


 


 


เจินเมี่ยวมิใช่คนจริงจังอันใดนัก เมื่อเห็นว่าฮูหยินผู้เฒ่ายังยืนกรานอยู่จึงพยักหน้าแล้วลุกขึ้นจากไป


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าเก็บสายตาที่จ้องมองแผ่นหลังของนางกลับมา แล้วเอ่ยกับแม่นมหยางที่ยืนอยู่ด้านข้างอย่างทอดถอนใจว่า “หลานสะใภ้คงมิได้คิดว่าคนแก่เช่นข้าไร้เหตุผลกระมัง”


 


 


“ไม่ดอกเจ้าค่ะ ต้าไหน่ไหน่เป็นคนฉลาดยิ่ง”


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่ายิ้มออกมา ผ่านไปนานจึงถอนหายใจคราหนึ่ง “อาจเพราะข้าแก่แล้วกระมังจึงอยากจะเห็นลูกหลานเต็มจวนมากที่สุด ทุกคนใช้ชีวิตอย่างสงบและมีความสุขด้วยกัน เหตุใดต้องทุ่มเทเพื่อชื่อเสียงและตำแหน่งกระทั่งไม่มีเวลาให้กับคนในเรือนตน สุดท้ายแล้วได้อันใดกันหรือ เจ้าดูนายท่านผู้เฒ่ากับบุตรชายคนโตผู้อายุสั้นของข้าก็คงรู้แล้ว”


 


 


นางมิขอให้จวนเจิ้นกั๋วกงดีไปมากกว่านี้อีกแล้ว ขอแค่ได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุข ส่วนต้าหลังนั้น เขามักทำให้นางรู้สึกดั่งเป็นบ่อน้ำที่ภายนอกดูสงบนิ่งแต่ภายในกลับมีน้ำเดือดปุดๆ ซ่อนอยู่


 


 


เจินเมี่ยวกำชับให้ชิงเกอไปหาปั้นซย่าให้เขาเอาจดหมายไปส่งให้หลัวเทียนเฉิง ส่วนตัวนางก็เดินนวยนาดระเรื่อยไปตามทางเดินเพื่อกลับไปหาฮูหยินผู้เฒ่า แต่บังเอิญเหลือบไปเห็นดอกเฉียงเวยสีแดงเข้มแซมขาวพุ่มใหญ่ข้างหุบเขาจำลองกำลังบานสะพรั่งก็เกิดความคิดขึ้นว่าหากหลัวเทียนเฉิงกลับมา ตอนเย็นนางทำโจ๊กถั่วเขียวใส่ดอกเฉียงเวยคงไม่เลวเลย


 


 


เมื่อคิดเช่นนี้นางจึงเดินไปฝั่งนั้น


 


 


เมื่อเท้าของนางเหยียบลงบนหญ้าอันอ่อนนุ่ม เจินเมี่ยวก็เดินเข้าไปในพุ่มไม้ นางเลือกเก็บเฉพาะดอกเฉียงเวยที่บานแล้ว นางเดินเข้าไปในพุ่มดอกไม้นั้นลึกมากขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่รู้ตัว


 


 


เวลานี้ดวงอาทิตย์กำลังร้อนแรง แม้นางหลบอยู่ในใต้พุ่มไม้จะเย็นจะสบายอยู่หลายส่วน แต่กลิ่นหอมอันที่รุนแรงเช่นนี้ทำให้คนรู้สึกไม่ค่อยสบายนัก นางจึงก้าวเท้าคิดเดินออกมา


 


 


พลันได้ยินเสียงฝีเท้าแผ่วเบาลอยแว่วมา


 


 


เจินเมี่ยวหยุดเท้าตนตามสัญชาตญาณ พลันเกิดความสงสัยขึ้นในใจ


 


 


เวลานี้แล้วยังมีผู้ใดมาที่นี่อีก หรือจะเป็นคนที่ชมชอบการกินเช่นเดียวกับนาง


 


 


ขณะที่กำลังสงสัยอยู่นั้น เสียงนิ่งเรียบที่กระจ่างใสดุจน้ำพุในฤดูคิมหันต์ก็ดังขึ้น “ท่านมาที่นี่ด้วยเหตุใด”


 


 


เจินเมี่ยวตะลึงอึ้งไป


 


 


เสียงนี้นางจำได้แม่นนัก เป็นเสียงของเยียนเหนียง


 


 


แม้นางจะพบเยียนเหนียงไม่บ่อยนัก แต่อีกฝ่ายงดงามอย่างหาได้ยากยิ่งในสตรีหมื่นคน ทั้งเสียงยังมีลักษณะเด่นยิ่ง เสียงนางมิได้หวานล้ำอย่างสตรีทั่วไปแต่คล้ายสายลมสดใสที่พัดผ่านใบหน้าไป


 


 


“วันนี้สำนักศึกษาหลวงงดการสอน ข้าได้ยินมาว่าเมื่อวานเกิดเรื่องน่าตกใจขึ้นจึงเกิดเป็นห่วงเจ้าขึ้นมา”


 


 


เมื่อเสียงนี้ดังขึ้นก็คล้ายเสียงอัสนีที่เกือบจะฟาดผ่าใส่เจินเมี่ยวจนสลบไป


 


 


บุรุษ…เยียนเหนียงกำลังพูดคุยกับบุรุษ! เสียงนั้นดูยังอยู่ในวัยหนุ่มทั้งคุ้นหูอยู่หลายส่วน เห็นชัดว่ามิใช่อารอง!


 


 


นางปิดปากตนไว้แต่สุดท้ายก็อดไม่ได้ที่ค่อยๆ แหวกพุ่มไม้ดูสักครา


 


 


เมื่อเห็นหน้าคนผู้นั้นอย่างชัดเจน เจินเมี่ยวก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่งจึงแยกออกว่านั่นคือคุณชายรอง!


 


 


แม้คุณชายสามกับคุณชายรองจะหน้าตาคล้ายกัน ทว่ายามนี้คุณชายสามอยู่ที่ค่ายทหาร อีกอย่างทั้งสองคนนั้นมีลักษณะท่าทีที่แตกต่างกัน หากสังเกตให้ดีก็จะเห็นความแตกต่างได้ไม่ยาก


 


 


เยียนเหนียงหันหลังให้นาง นางจึงไม่รู้ว่าเยียนเหนียงมีสีหน้าเช่นไร ได้ยินเพียงเสียงที่เอ่ยว่า “ข้าบอกแล้วว่าต่อไปมิต้องมาหาข้าอีก”


 


 


คุณชายรองมีสีหน้าย่ำแย่ยิ่ง น้ำเสียงที่เอ่ยกลับอ่อนโยนยิ่งอย่างที่เจินเมี่ยวมิเคยได้ยินที่ใดมาก่อน “เจ้ายังโกรธที่ข้าสวมรอยเป็นเจ้าสามอยู่อีกหรือ”


 


 


เจินเมี่ยวได้ยินเขาเอ่ยเช่นนี้ก็อึ้งไปเลยทีเดียว


 


 


วันนั้นที่นายท่านรองตีคุณชายสาม นางบังเอิญเห็นเหตุการณ์เข้าพอดี ฟังจากวาจาของสองสามีภรรยานั้นแล้วจึงเข้าใจได้ว่าคุณชายสามนั้นมีใจให้เยียนเหนียง แม้นางจะรู้สึกว่าคุณชายสามเหมือนคนที่เสียใจอย่างที่สุดเพราะถูกเข้าใจผิด หลายวันมานี่ก็ยังเผลอครุ่นคิดอยู่บ่อยครั้งอย่างอดไม่ได้ แต่กลับคิดไม่ถึงว่าเรื่องราวจะกลับตาลปัตรและ…โสมมเพียงนี้!


 


 


นางกวาดตามองคุณชายรองอย่างดูแคลนคราหนึ่ง


 


 


คนพิกลเช่นนี้เกิดมาได้อย่างไรกัน


 


 


เขาได้บิดาหรือได้มารดามากันแน่ คำถามนี้ทำให้คนหงุดหงิดจริงๆ!


 


 


“วันนั้นข้าเพียงนึกสนุกขึ้นมาเท่านั้น แต่คิดไม่ถึงว่าข้ากลับมิอาจลืมเจ้าได้ ทั้งกลัวว่าเจ้าจะตำหนิที่ข้ายั่วเย้าไปเช่นนั้นจึงมิได้หาโอกาสบอกเจ้าเสียที หากเจ้าโกรธข้า เช่นนั้นข้าจะไปรับผิดกับท่านพ่อเสีย ให้ท่านพ่อลงโทษได้ตามใจ แต่เจ้าจะไม่ไยดีข้าเลยเช่นนี้ไม่ได้เด็ดขาด” คุณชายรองพูดน้ำเสียงอ่อนโอนอ่อนหวาน แต่ในใจนั้นเชื่อมั่นแน่ว่าเยียนเหนียงต้องยกโทษให้เขา


 


 


เขามิใช่คนเช่นน้องสาม สตรีน่ะหรือ ต่อให้เจ้าทำเรื่องอันจริงจังใดๆ เพื่อนางก็ยังมิสู้การพูดคำหวานกับนางให้มาก การพูดคำวาจาเช่นนี้กับสตรีที่เขาชมชอบ เขากลับยินดียิ่ง


 


 


“ไม่ว่าอย่างไร ตอนนี้ข้าก็ตั้งครรภ์แล้ว เรื่องของเราพอแค่นี้เถิด มิเช่นนั้นหากนายท่านทราบเข้า แล้วไม่ดีต่อท่านและข้า” น้ำเสียงของเยียนเหนียงสงบนิ่งยิ่ง


 


 


คุณชายรองรักที่สุดคือท่าทีนิ่งเฉยของนางนี่แล ต่อให้จะเป็นสาวใช้ทงฝังที่ฐานะแสนต่ำต้อยทั้งได้มอบกายให้เขาเชยชมแล้วก็ตาม แต่หากนางสวมอาภรณ์เมื่อใดกลับมีท่าทีงดงามดั่งเทพเซียนอยู่เช่นเดิม ทำให้คนครุ่นคิดวิธีที่จะทำลายท่าทีนิ่งเฉยนี้ของนาง ยามเห็นนางโอนอ่อนออดอ้อนอยู่ใต้ร่างเขา เมื่อเปรียบเทียบท่าทีก่อนหลังแล้วช่างทำให้เขารู้สึกมีความสุขชนิดที่ยากจะเอ่ยออกมาเป็นคำพูดได้


 


 


คุณชายรองคว้าจับมือเยียนเหนียงไว้แล้วแค่นยิ้มเย็น “เด็กคนนี้เป็นของข้ากระมัง ต่อให้เจ้าอยากจะจบกับข้า แต่ข้าจะตัดเขาได้อย่าง”


 


 


เจินมี่ยวได้ฟังเรื่องนี้ถึงกลับอึ้งไปทีเดียว นางอดซูดปากคราหนึ่งมิได้


 


 


แม้เสียงจะเบาแต่ดูเหมือนว่าคุณชายรองจะรู้สึกตัวแล้ว เขาจึงมองไปยังทิศที่นางซ่อนตัวอยู่


 


 


เจินเมี่ยวปิดปากตนไว้แน่ นางตื่นเต้นจนหัวใจเต้นเร็วรัว


 


 


คุณชายรองเก็บสายตาคืนไปแล้วมองเยียนเหนียงอีกครา “อย่าโกรธอีกเลย ข้าจะหาวิธีให้เจ้าได้อยู่กับข้าเอง เจ้ารอสักหน่อยเถิด”


 


 


“รอ?”


 


 


“ใช่ รอให้ผ่านการสอบชุนเหวยในปีหน้าปีไปก่อน”


 


 


หลังจากนั้นเยียนเหนียงก็นิ่งเงียบไปเป็นเวลานาน แล้วจึงเอ่ยขึ้นว่า “ข้ากลับก่อนแล้ว”


 


 


นางมิได้ตอบรับออกมาตรง แต่ด้วยอุปนิสัยของนางนี่กลับเป็นการยินยอมแล้ว คุณชายรองยิ้มส่งเยียนเหนียงไป


 


 


เมื่อเจินเมี่ยวเห็นคุณชายรองหายลับไปหลังหุบเขาจำลอง นางก็รออยู่อีกพักใหญ่ ครั้นไม่เห็นความเคลื่อนไหวใดจึงผ่อนลมหายใจโล่งอกออกมา นางใช้ผ้าห่อดอกเฉียงเวยที่เก็บเสร็จแล้วเดินออกมาจากพุ่มดอกไม้


 


 


เจินเมี่ยวเห็นว่าอาทิตย์เหนือศีรษะเริ่มร้อนแรงขึ้นทุกขณะจึงรีบก้าวเท้าเดินโดยไว ครั้นเดินเลี้ยวผ่านหุบเขาจำลองนั้นไปกลับมีมือยื่นออกมาดึงนางเข้าไปในถ้ำ เพราะทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วเกินไปทำให้นางมิทันได้ขัดขืน


 


 


เสียงอันคุ้นหูนั้นดังขึ้นทั้งแฝงความเ**้ยมเกรียมอยู่หลายส่วน มิไดอ่อนโยนอ่อนหวานดั่งยามที่อยู่ต่อหน้าเยียนเหนียงอีกแล้ว “ข้ากำลังคิดอยู่เชียวว่าผู้ใดมาแอบฟัง ที่แท้ก็เป็นพี่สะใภ้นี่เอง!”


 


 


เจินเมี่ยวเห็นคุณชายรองแล้วกลับสงบนิ่งยิ่ง นางเพียงเหลือบมองเขาคราหนึ่งเท่านั้น


 


 


“พี่สะใภ้คงฟังอย่างสนุกสนานไปเลยกระมัง” คุณชายรองขยับเข้ามาใกล้ทำให้ช่องว่างระหว่างคนทั้งสองลดน้อยลง


 


 


เจินเมี่ยวอยากจะอาเจียนขึ้นมา แต่สีหน้ากลับยังคงสงบนิ่ง กระทั่งคุณชายรองปล่อยมือที่ปิดปากนางไว้ออก จึงเอ่ยเสียงเรียบว่า “ไม่สนุก อยากจะอาเจียน”


 


 


คุณชายรองถูกคำพูดที่ตรงไปตรงมานี่ของนางทำเอาอึ้งงันไป แล้วจึงแค่นยิ้มเย็น “เช่นนั้น พี่สะใภ้คิดจะเอาเรื่องนี้ไปบอกพี่ใหญ่หรือไม่”


 


 


แน่นอนอยู่แล้ว เจินเมี่ยวกลอกตาคราหนึ่งแต่กลับเม้มริมฝีปากไว้ไม่เอ่ยอันใด


 


 


คุณชายรองมีท่าทีเ**้ยมเกรียม เขาเอ่ยเสียงแผ่วว่า “พี่สะใภ้ ท่านว่าหากท่านสิ้นใจอยู่ในถ้ำนี้ จะมีผู้ใดทราบหรือไม่ว่าคนร้ายคือใคร”


 


 


“เยียนเหนียงคงรู้แน่”


 


 


คำตอบนี้ของเจินเมี่ยวผิดจากที่คุณชายรองคาดไว้ยิ่ง เขาอึ้งไปครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า “นางอาจจะเดาได้ แต่นางไม่มีทางพูด”


 


 


เมื่อเห็นเจินเมี่ยวไม่พูด เขาจึงยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ความจริงข้าก็ไม่คิดจะทำร้ายพี่สะใภ้ ขอเพียงท่านไม่พูดอันใดเป็นพอ”


 


 


เขาขยับใกล้เข้ามาอีก แล้วยื่นมือมาปลดถุงหอมที่ผูกไว้ตรงเอวเจินเมี่ยวทันควัน เขายิ้มพลางเอ่ยว่า “ข้าไม่เชื่อใจพี่สะใภ้ ถุงหอมนี้ให้น้องชายเก็บรักษาไว้ให้ท่านเถิด…”


 


 


วาจานี้ยังไม่ทันกล่าวจบก็รู้สึกเจ็บที่ส่วนล่างขึ้นมาฉับพลัน เขาล้มหงายลงทันที


 


 


เจินเมี่ยวพอใจกับพลังเท้าที่นางฝึกฝนมานานนี้ยิ่ง นางก้มกายเก็บถุงหอมขึ้นแล้วแค่นหัวเราะเอ่ยว่า “รู้หรือไม่ว่าสุกรตายอย่างไร พูดพร่ำจนตาย!”


 


 


กล่าวจบก็รู้สึกยังมิคลายโทสะจึงยกเท้าขึ้นเหยียบหน้าคุณชายรองคราหนึ่งแล้วจึงเร่งร้อนจากไป 

 

 


ตอนที่ 336 ไม่ยอม

 

เวลานี้เป็นเดือนหก อาการร้อนมากอย่างยิ่ง รองเท้าที่เจินเมี่ยวใส่นั้นเป็นเย็บด้วยผ้าต่วนสีเขียวอ่อนปักลายแสนบางเบา ลายที่ปักอยู่ด้านบนนั้นมิใช่รูปแบบดาษดื่นทั่วไปแต่เป็นแมวสีขาวที่กำลังนอนหลับอย่างสบาย แมวตัวนั้นช่างดูสมจริงยิ่งกระทั่งหนวดของมันเหมือนจะแยงทะลุออกมาจากรองเท้าก็มิปาน นางเดินไปไกลแล้ว แต่คุณชายรองกลับยังรู้สึกว่าหนวดแมวขาวที่อยู่บนรองเท้านั้นยังคงแหย่อยู่ข้างแก้มเขาไม่รู้คลาย


 


 


ทั้งคัน ทั้งทรมาน


 


 


เขาพลันโกรธเกรี้ยวขึ้นมาเป็นการใหญ่ แล้วลุกขึ้นปัดฝุ่นบนกายตน ใบหน้านั้นนิ่งขรึมเสียจนแทบจะกลายเป็นเกล็ดน้ำค้างแข็งแล้ว


 


 


การหยามเกียรติเช่นนี้ไม่มีบุรุษใดจะทนได้แน่


 


 


นางถึงกับใช้เท้าเหยียบลงบนหน้าเขาทั้งยังเตะส่วนล่างของเขาอีก!


 


 


ความเจ็บปวดจู่โจมเข้าที่ร่างกายส่วนล่างนั้นอีกระลอกหนึ่ง คุณชายรองกัดฟันแล้วหนีบขาตนไว้


 


 


“พี่สะใภ้ วันเวลายังอีกยาวไกล เราคงได้เห็นดีกัน!” คุณชายรองยกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้มอันเย็นเยียบ


 


 


เขาเงยหน้าขึ้นมองดวงอาทิตย์บนท้องฟ้าแล้วยกแขนเสื้อเช็ดขึ้นเช็ดหน้าตนจึงค่อยเดินหนีบขาค่อมกายเดินออกมา


 


 


บ่าวไพร่ที่เห็นท่าทางของคุณชายรองตามทางเดินเดิมคิดจะย่อกายคารวะคุณชาย แต่ต่างก็แสร้งมองไม่เห็นแล้วค่อยๆ หลบเลี่ยงไป คนผู้หนึ่งเอ่ยในใจตนว่าคุณชายรองคงจะรีบไปห้องปลดทุกข์กระมัง


 


 


คุณชายรองทั้งเจ็บทั้งโมโหจึงไม่มีแก่ใจไยดีเรื่องพวกนี้ กลับถึงเรือนก็ทนเจ็บอยู่หลายวันแต่ไม่ยอมเชิญท่านหมอมาตรวจ ในที่สุดก็อดทนจนผ่านไปได้


 


 


นายท่านสี่รีบกลับไปที่เรือนอวี้หยวนทันที ครั้นถึงก็พุ่งไปที่เรือนกลาง


 


 


“ท่านพี่…” นางชีเกิดอาการปวดท้อง แม้ไม่ร้ายแรงแต่ยังคงนอนพักอยู่บนเตียง เมื่อเห็นคนผู้หนึ่งพุ่งเข้ามาในห้อง ยามกลางวันจึงเห็นชัดว่าเป็นนายท่านสี่ นางทั้งตกใจและดีใจไปพร้อมกัน


 


 


“ซีเหนียง เจ้า เจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่” นายท่านสี่วิ่งมาจึงหายใจหอบอยู่บ้าง เม็ดเหงื่อร่วงหล่นลง เพราะเขาขยับเข้าใกล้นางชียิ่ง เหงื่อเม็ดนั้นจึงร่วงตกใส่หลังมือนาง


 


 


กลิ่นเหงื่อที่ปะทะเข้ากับจมูกนางทำให้พะอืดพะอม นางจึงอาเจียนลมออกมาหลายครา


 


 


นายท่านสี่รีบไปยกกระโถนเข้ามาแล้วลูบหลังให้นาง เมื่อนางดีขึ้นจึงขยับออกให้ไกลห่างนางอีกนิด


 


 


“ท่านพี่กลับมาได้อย่างไรหรือ”


 


 


“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”


 


 


“เมื่อวานรู้สึกไม่สบายนิดหน่อย ตอนนี้ดีขึ้นแล้ว”


 


 


นายท่านสี่ถอนหายใจโล่งอกออกมาแล้วจึงเอ่ยอธิบายว่า “ท่านแม่บอกว่าป่วยให้ข้ากลับมา หลังจากกลับมาเห็นท่านแม่ไม่เป็นอันใด ข้าจึงคิดว่าเกิดเรื่องขึ้นกับเจ้าแล้ว”


 


 


“ไม่มีอันใด ข้าสบายดี” นางชีมองนายท่านสีแล้วยิ้มน้อยๆ ออกมา


 


 


“เหตุใดจึงไม่สบายขึ้นมาได้เล่า”


 


 


“ไม่กี่เดือนแรก ย่อมเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้” นางชีไม่คิดเอ่ยอันใดให้มาก แต่กลับเอ่ยขึ้นว่า “ท่านพี่ หูอี๋เหนียงได้รับบาดเจ็บ ท่านไปเยี่ยมสักหน่อยเถิด”


 


 


นายท่านสี่คิดขึ้นมาได้ว่าเมื่อวานนางชีไม่สบาย หูอี๋เหนียงบาดเจ็บ ดูอย่างไรก็มิใช่เรื่องธรรมดา


 


 


เขาพลันเข้าใจขึ้นมาทันใด หากเป็นเรื่องธรรมดา ท่านแม่จะเรียกเขากลับมาด้วยเหตุใดเล่า


 


 


นายท่านสี่กล่าวปลอบขวัญนางชีอยู่หลายประโยคด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง แล้วจึงเอ่ยว่า “เมื่อครู่ข้าวิ่งพุ่งเข้าไปในเรือนท่านแม่ ออกจะเสียกิริยาไปหน่อย ข้าจะกลับไปขออภัยท่านแม่ก่อน”


 


 


เมื่อออกจากเรือนอวี้หยวน นายท่านสี่ก็มุ่งตรงไปที่เรือนอี๋อาน


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่ากำลังรอเขาอยู่ดังคาด ครั้นเห็นเขาก็เอ่ยถามว่า “ไปเยี่ยมภรรยามาแล้วหรือ”


 


 


นายท่านหลัวพยักหน้ารับ


 


 


“แล้วหูอี๋เหนียงเล่า ไปเยี่ยมมาแล้วหรือไม่”


 


 


นายท่านสี่อึ้งงันไปแล้วส่ายหน้า “ลูกยังมิได้พูดคุยสนทนาเป็นเพื่อนท่านแม่เลย”


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าพยักหน้าด้วยความปรีดา นางเอ่ยในใจว่าโชคดีที่เจ้าสี่มิใช่คนเลอะเลือน น่าเสียดายที่ไม้เท้าของนางคงไม่ได้ใช้งานแล้ว


 


 


“ท่านแม่ เมื่อวานเกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือ”


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าจึงเล่าเรื่องทั้งหมดออกมาอย่างไม่มีปิดบัง แล้วเอ่ยว่า “ข้ารู้ว่าหูอี๋เหนียงมีบุญคุณต่อเจ้า ยามนี้ก็ยังสืบไม่ได้ว่านามีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้หรือไม่ แต่คนผู้หนึ่งมีฐานะเช่นไรก็ควรจะปฏิบัติตัวตามกรอบฐานะตน นางเป็นแค่อนุภรรยา แม่นมคนสนิทกลับเจตนาไปสนิทสนมกับคนในห้องครัวใหญ่ จวนของเราให้นางขาดตกบกพร่องเรื่องการดื่มการกินหรือจึงได้ยื่นมือยืดยาวออกมาเพียงนี้ เช่นนั้นก็ อย่าได้ตำหนิหากผู้อื่นจะสงสัยเมื่อเกิดเรื่องใดขึ้น”


 


 


วาจาเหล่านี้ทำให้นายท่านสี่หน้าแดงก่ำไปหมด เขาเอ่ยเสียงแผ่วว่า “เป็นลูกเองที่ก่อเรื่องยุ่งยากนี้ขึ้น”


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่ามองแล้วก็อดสงสารขึ้นมามิได้


 


 


บุตรคนเล็ก หลานคนโตล้วนเป็นชีวิตของคนแก่ วาจานี้ไม่ผิดสักนิด


 


 


นางปรับน้ำเสียงแล้วเอ่ยว่า “แม่รู้ เจ้าเป็นคนกลางย่อมต้องลำบากใจที่สุด หูอี๋เหนียงมีบุญคุณต่อเจ้า และเป็นสามีภรรยากันมาหลายปี ทั้งยังมีเจ้าเจ็ดอีกคน หากทิ้งไปไม่ไยดี ย่อมมิใช่อุปนิสัยของเจ้า เจ้าสี่ การที่เจ้าให้ความสำคัญกับหูอี๋เหนียงย่อมมิใช่เรื่องแปลก อย่าว่าแต่เจ้า ในจวนของเรามีผู้ใดบ้างเห็นนางเป็นเพียงอนุภรรยาชั้นต่ำ แต่มีอยู่อย่างหนึ่ง หากนางก่อเรื่องเดือดร้อนทำร้ายนางชีหรือเจ้าหก แม่คงมิอาจให้อภัยให้ วาจานี้เจ้านำไปบอกต่อหน้านางก็ได้ อย่างน้อยก็เพื่อหลีกเลี่ยงความเสียใจของทุกฝ่ายที่อาจเกิดขึ้นในภายหน้า”


 


 


นายท่านสี่พยักหน้ารับแล้วกลับเรือนอวี้หยวนด้วยฝีเท้าอันหนักอึ้ง หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วก็ไปนั่งเป็นเพื่อนนางชีอยู่ตลอดบ่ายและกินข้าวเย็นกับนาง จากนั้นจึงไปที่เรือนฝั่งตะวันตก


 


 


ครึ่งปีมานี้หูอี๋เหนียงค่อยๆ ซื้อใจคนด้วยเงินมาตลอด ยามนี้เห็นผลแล้ว นางจึงทราบข่าวที่นายท่านสี่กลับจวนมาตั้งแต่เช้าแล้ว นางเฝ้ารอคอยอยู่ตลอดในที่สุดเขาก็มา ดวงตาของนางเป็นประกายขึ้นมาทันที ลักยิ้มข้างแก้มปรากฏขึ้น ช่างดูไร้เดียงสาน่าทะนุถนอมขึ้นมาหลายส่วน “ท่านพี่ ท่านกลับมาเสียที ข้ารอท่านกลับมาอยู่ตลอด”


 


 


นางคลุมผ้าห่มไว้บนกายเห็นเพียงคอเท่านั้น ผมยาวถูกเหน็บไว้หลังใบหู หน้าผากมีผ้าพันแผลพันไว้ ดูแล้วช่างอ่อนแออย่างยิ่ง แต่ความยินดีนั้นคล้ายจะกระโดดออกมาจากดวงตานางแล้วทำให้คนทั้งคนดูมีชีวิตชีวาขึ้นมา


 


 


นายท่านสี่อดชะงักฝีเท้าตนคราหนึ่งมิได้ ตามด้วยเสียงถอนหายใจ แล้วค่อยก้าวเท้าเร็วรี่เข้าไปนั่งลงข้างเตียงนางพลางเอ่ยถามว่า “เจ็บมากหรือไม่”


 


 


หูอี๋เหนียงน้ำตาไหลดุจสายฝนออกมาทันที แต่มุมปากกลับยกเป็นรอยยิ้ม “เห็นท่านพี่ก็ไม่เจ็บแล้ว”


 


 


นายท่านสี่มองหูอี๋เหนียงนิ่ง ได้แต่ยิ้มขื่นในใจ


 


 


วาจานั้นของฮูหยินผู้เฒ่ากระทบใจเขาอย่างแรง และเป็นคำเตือนอย่างหนึ่งด้วย


 


 


เรื่องเมื่อวานเหมยเหนียงไม่ได้รับความเป็นธรรมหรือนางเข้าไปเกี่ยวข้องจริงๆ มันยากจะพูดได้ แต่ใจอันมักใหญ่ของเหมยเหนียงนั้น กระทั่งฮูหยินผู้เฒ่าก็มิอาจทนได้อีกต่อไป


 


 


ดังนั้นการไม่มากล่าวอบรมเหมยเหนียงด้วยตนเอง ว่าไปแล้วก็เพราะยังคงเห็นแก่หน้าเขาผู้เป็นบุตรชายนั่นเอง


 


 


ยามนี้ดูท่าจะเป็นเขาต่างหากที่กำลังหลอกตัวเองอยู่


 


 


หากเหมยเหนียงเป็นอนุภรรยาธรรมดาทั่วไปก็อาจจะไม่มีเรื่องร้ายๆ เช่นนี้เกิดขึ้น แต่เพราะความพิเศษของนางจึงทำให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น


 


 


แต่หากเหมยเหนียงเป็นเพียงอนุภรรยาทั่วไป เขามีหรือจะแต่งอนุ


 


 


ชั่วขณะนั้นแม้แต่นายท่านสี่ก็ยังรู้สึกจนใจกับโชคชะตาที่ฟ้ากลั่นแกล้งคน


 


 


ในที่สุดเขาก็แข็งใจเอ่ยว่า “เรื่องเมื่อวานข้าทราบหมดแล้ว”


 


 


หูอี๋เหนียงเกิดยินดีในใจขึ้นมา


 


 


หรือเพราะได้ยินว่านางบาดเจ็บ ท่านพี่จึงรีบควบม้าเร็วกลับมาที่จวน


 


 


 หรือท่านพี่มีคนไว้ที่จวนคอยสังเกตดูแลความปลอดภัยของพวกนางสองแม่ลูก


 


 


เมื่อคิดถึงตรงนี้หูอี๋เหนียงก็รู้สึกหวานล้ำในหัวใจขึ้นมา ดวงตาจึงหยักโค้งกลายเป็นรอยยิ้มอันแสนเจิดจ้า “ท่านพี่มิต้องเป็นห่วง ข้าไม่เป็นอันใดแล้ว ท่านไม่รู้ดอกว่าตอนที่ฮูหยินรองบอกจะมาค้นเรือนข้า ในใจข้าโกรธมากเพียงใด ท่านกลับมาเยี่ยมข้าทำให้ข้าไม่รู้สึกเอาเปรียบหรือไม่ได้รับความเป็นธรรมเช่นนั้นแล้ว”


 


 


นายท่านสี่เม้มริมฝีปากตน


 


 


หูอี๋เหนียงเงยหน้าขึ้นผลิยิ้มจางๆ “หากทราบว่าท่านจะกลับมา ต่อให้ข้าต้องวิ่งชนกำแพงอีกสักคราข้าก็ยอม”


 


 


นายท่านสี่ไม่อยากฟังต่อไปอีกเพื่อทุกฝ่ายจะได้ไม่รู้สึกแย่ไปกว่านี้ เขาลุกขึ้นแล้วเอ่ยว่า “เหมยเหนียง ต่อไปอย่าให้คนของเจ้าออกจากเรือนอีก”


 


 


“ท่านพี่?” หูอี๋เหนียงไม่อยากจะเชื่อ แต่นางกลับมีสติคืนมาโดยเร็ว “หรือฮูหยินเอ่ยอันใดกับท่าน หรือเป็นฮูหยินผู้เฒ่า”


 


 


น้ำตานางไหลออกมาเป็นทาง “ท่านพี่ เรื่องนั้นได้ตรวจสอบแน่ชัดไปแล้วว่าไม่เกี่ยวอันใดกับข้า ท่านไม่เชื่อข้าหรือ แล้วข้ามีความสามารถมากพอจะทำให้คนในห้องครัวใหญ่ใส่น้ำบุปผาแดงลงในเหอถาวทอดกรอบได้งั้นหรือ”


 


 


นายท่านสี่จ้องหูอี๋เหนียง ผ่านไปนานจึงเอ่ยว่า “ความสามารถเช่นนั้นเจ้าอาจไม่มี แต่หากแค่ลอบสลับจานเหอถาวทอดกรอบก็อาจจะทำได้”


 


 


ใบหน้าของหูอี๋เหนียงซีดขาวไปโดยพลัน นายท่านสี่ถอนหายใจยาวออกมา “เหมยเหนียง หากเจ้าไม่คิดอันใด แล้วเหตุใดยังต้องคอยมองหาผลประโยชน์เช่นตอนที่อยู่ที่อำเภอเป่าหลิงด้วยเล่า เมื่อคนของเจ้าตีสนิทกับคนในห้องครัวใหญ่ บางเรื่องแม้เจ้าอยากจะพิสูจน์ว่าตนบริสุทธิ์มันก็ยากแล้ว ที่นี่…อย่างไรก็ไม่ใช่อำเภอเป่าหลิง”


 


 


“ท่านพี่ ในหมู่ของคนที่สงสัยข้าก็รวมท่านด้วยหรือ”


 


 


ผ่านไปนาน นายท่านหลัวจึงเอ่ยอย่างเรียบนิ่งว่า “ใช้ รวมข้าด้วย”


 


 


เขากล่าวจบก็มองหูอี๋เหนียงคราหนึ่งแล้วหมุนกายเดินจากไป


 


 


ตอนที่เขาเดินออกไปยังจำได้ว่าต้องปิดประตูให้นาง เสียงประตูนั้นเบายิ่งคล้ายมิได้มีเสียงใดเกิดขึ้นเลยด้วยซ้ำแต่คล้ายว่ามันได้ปิดโลกทั้งใบของหูอี๋เหนียงไปแล้ว


 


 


หูอี๋เหนียงนั่งเหม่อลอยอยู่ตรงนั้นเป็นนานกระทั่งแม่นมคนสนิทเดินเข้ามา นางจึงร้องไห้ออกมาด้วยความเจ็บปวด “แม่นม เจ้าว่าทำไปเพื่ออันใด เพื่ออันใด”


 


 


“ไท่ไท่ หรือเราจะกลับอำเภอเป่าหลิงกันดี” แม่นมผู้นั้นเอ่ยเตือนอีกครา


 


 


หูอี๋เหนียงยิ่งอารมณ์ปะทุขึ้นมาอีก นางปัดถ้วยชาล้มคว่ำทันใด “อำเภอเป่าหลิงๆ เหตุใดเจ้าถึงคิดแต่จะกลับอำเภอเป่าหลิง แล้วจังเกอเล่าจะทำฉันใด พาเขาไปด้วย จากคุณชายจวนกั๋วกงกลายไปเป็นคุณชายตระกูลคหบดีงั้นหรือ ให้เขาอยู่ที่นี่ แล้วข้าเล่า ข้ายังเหลืออันใดอี”


 


 


นางพูดถึงตรงนี้ก็แค่นยิ้มเย็นออกมา “ข้าไม่ไป ข้าอยากจะดูนักว่าผู้ใดจะยังยิ้มอยู่ในตอนท้ายที่สุด นางชีนางอยากจะแสร้งเป็นคนดีก็ให้นางทำไป วันเวลายังอีกยาวไกล ใจของบุรุษนั้นมิใช่สิ่งที่เรียกว่าความดีงามจะกอบกำไว้ในมือได้ แต่คนแก่ตายยากต่างหากที่น่าโมโหที่สุด!”


 


 


“ไท่ไท่ ท่านหมายความว่า…”


 


 


หูอี๋เหนียงเม้มริมฝีปาก มิเอ่ยตอบแต่กลับพูดว่า “ในเมื่อท่านพี่บอกว่ามิให้คนในเรือนนี้ออกไปข้างนอกอีก แม่นม ต่อไปเจ้าก็ดูแลพวกนางให้ดีอย่างให้ข้าต้องถูกตบหน้าเช่นนี้อีก”


 


 


รอกระทั่งแม่นมออกไป หูอี๋เหนียงจึงแค่นยิ้มเย็นอยู่หลังผ้าม่านนั้น


 


 


นางผิดไปแล้วจริงๆ สำหรับคนเช่นท่านพี่แล้ว วาจาของมารดาย่อมสำคัญกว่าภรรยามากมายนัก


 


 


ทว่าฮูหยินผู้เฒ่าในจวนแห่งนี้กลับเป็นคนที่มิอาจทนเห็นการโปรดปรานอนุละทิ้งภรรยา!


 


 


คนเราเมื่อแก่ชราก็ไม่แน่แล้วว่าจะจากไปวันใด


 


 


หากเป็นเช่นนั้นก็จะไม่มีคนมาจัดแจงความคิดของท่านอีก ทั้งท่านพี่ยังต้องไว้ทุกข์อีกสามปีมิต้องไปอยู่ที่ค่ายทหารนั้นอีก


 


 


ใจของหูอี๋เหนียงค่อยๆ สงบลง วันเวลายังอีกยาวไกล จะต้องมีสักวันที่นางจะได้เชิดหน้าขึ้นมา


 


 


เมื่อหลัวเทียนเฉิงได้รับจดหมายที่ปั้นซย่ามาส่งก็รีบกลับจวนมาทันทีเช่นกัน


 


 


ครานี้ฮูหยินผู้เฒ่ากับนอนอยู่บนเตียง มีคนท่าทางจะเป็นหมอยืนอยู่ข้างเตียงคล้ายเพิ่งจะตรวจอาการให้ฮูหยินผู้เฒ่าเสร็จ


 


 


“ท่านย่า ท่านเป็นอย่างไรบ้าง”


 


 


“ท่านหมอบอกว่าเป็นไข้เท่านั้น ไม่ต้องห่วง” ฮูหยินผู้เฒ่าไอออกมาอย่างคนไร้เรี่ยวแรง เมื่อเห็นท่าทีร้อนใจของหลานชาย จึงเปลี่ยนไปเอ่ยว่า “ต้าหลัง ย่าว่าเจ้าก็ดูสีหน้าไม่ค่อยจะดีนัก ประจวบเหมาะที่ย่าได้เชิญหมอเทวดามาพอดี ให้เขาตรวจเจ้าด้วยสักหน่อยแล้วกัน”


 


 


“ท่านย่า หลานสบายดี” หลัวเทียนเฉิงรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง


 


 


“ไม่ได้ๆ ย่าเห็นสีหน้าเจ้าเป็นเช่นนี้แล้ว หากไม่ตรวจดูสักหน่อยคงไม่วางใจ ต้าหลัง เจ้าจะไม่ให้ย่าสบายใจได้เลยหรือไร”


 


 


หลัวเทียนเฉิงขยับปากขึ้นคิดจะเอ่ยว่าเขาไม่ได้ป่วยเป็นอันใดแม้เพียงสักนิด แต่เมื่อเห็นสายตาบีบคั้นของฮูหยินผู้เฒ่าเขาจึงพยักหน้ารับ


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยขึ้นด้วยความยินดียิ่งว่า “หมอเทวดาจู้ รีบมาตรวจชีพจรให้หลานชายข้าดูสักหน่อยเถิด!” 

 

 


ตอนที่ 337 ลอบสังหาร

 

หมอเทวดาจู้?


 


 


ชื่อสกุลนี้กลับมิใคร่ได้พบเห็นเท่าใดนัก แต่ชาติก่อนคล้ายว่ามีหมอเทวดาสกุลจู้อยู่ผู้หนึ่งทั้งยังมีชื่อเสียงมากอีกด้วย


 


 


หมอเทวดาจู้ท่านนั้นอาศัยอยู่ที่เป่ยเจียง เมื่อเกิดสงครามขึ้นจึงพลัดถิ่นไปถึงชิงเป่ย เดิมชื่อเสียงมิได้เด่นดังอันใด แต่การที่เขามีชื่อเสียงโด่งดังขึ้นมานั่นมีสาเหตุอยู่อย่างหนึ่ง


 


 


ตอนนั้นจินจั่นสยงน้องชายของฮูหยินลี่อ๋องซึ่งเป็นแม่ทัพผู้กล้าหาญในการทำสงคราม เขามีความชอบอยู่สองอย่างคือหนึ่งทำสงคราม สองหญิงงาม


 


 


จวนของเขานั้นมีเรือนหลังหนึ่งซึ่งใหญ่มาก ที่นั่นเลี้ยงหญิงงามไว้มากมายหลายสิบคน ทว่าที่แปลกคือหญิงงามมากมายเหล่านั้นกลับไม่มีผู้ใดให้กำเนิดบุตรแก่เขาแม้เพียงครึ่งคน


 


 


ต่อมาเขาจึงรู้สึกร้อนใจยิ่ง กระทั่งไม่เลือกหญิงงามแล้วแต่คัดเฉพาะสตรีที่เอวบางบั้นท้ายใหญ่ตามตำรานั้นว่าจะให้กำเนิดบุตรง่าย แต่ก็ยังคงไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงใด


 


 


อาจเพราะเร่งร้อนจึงควานหาหมอไปทั่ว ไม่ทราบด้วยเหตุใดจึงเชิญหมอเทวดาจู้มาได้ หมอเทวดาจู้เอ่ยประโยคหนึ่งที่ทำให้คนตกตะลึง “ปัญหานี้เกิดจากท่านแม่ทัพเอง”


 


 


วาจานี้ดุจอัสนีฟาดผ่าทำให้คนอึ้งงันมึนงงไป


 


 


แม่ทัพจินผู้องอาจกล้าหาญ กำลังเต็มเปี่ยม อย่างไรก็ไม่เหมือนคนไร้ความสามารถด้านนั้น!


 


 


ครั้นสติคืนมา เขาก็โกรธจนจะยกดาบจะฟันหมอเทวดาจู้


 


 


หมอเทวดาจู้เอ่ยว่า “ท่านแม่ทัพจะฟันข้าก็ได้ แต่ก็เป็นการตัดวาสนาของทายาทท่านเช่นกัน”


 


 


ทายาทนั้นสำคัญกับบุรุษยิ่งกว่าชื่อเสียงบารมีเสียอีก แม่ทัพจินจึงมิกล้าฆ่าเขา เมื่อเกินยาที่หมอเทวดาจู้จัดให้ กล่าวไปแล้วก็แปลกยิ่งกินไปเพียงแค่ครึ่งปี หญิงงามในเรือนหลังใหญ่นั้นก็ตั้งครรภ์ไปหลายคน


 


 


ดินแดนทางเหนืออากาศหนาวเหน็บทรมาน จำนวนการตั้งครรภ์ของสตรีนั้นมีน้อยกว่าดินแดนทางใต้ ครานี้เองหมอเทวดาจู้จึงกลายเป็นผู้มีชื่อเสียงเป็นที่ต้องการของผู้คนขึ้นมาทันใด


 


 


หลัวเทียนเฉิงเลิกคิดถึงความทรงจำครั้งเก่า แล้วเหล่มองท่านหมอผู้นั้นคราหนึ่ง เขาอดทอดถอนใจออกมามิได้ สกุลจู้ช่างมีหมอเทวดาเยอะเสียจริง


 


 


เดี๋ยวก่อน!


 


 


ท่านหมอจู้ผู้นี้คงมิใช่หมอเทวดาจู้ผู้นั้นกระมัง


 


 


ครั้นนึกถึงวิชาการแพทย์ที่หมอเทวดาจู้เชี่ยวชาญ หลัวเทียนเฉิงก็หน้าเขียวคล้ำขึ้นมา


 


 


“ท่านย่า หลานว่ามิจำเป็นต้องดูแล้ว หลานมิได้ป่วย!” ครานี้เขาพูดออกมาท่าทีเข็นเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่ไม่น้อย


 


 


ไม่ว่าบุรุษใดถูกสงสัยว่าไร้ความสามารถด้านนั้นย่อมต้องทนไม่ได้อย่างแน่นอน หากมิใช่ย่าของตน เขาคงต่อยไปก่อนสักหมัดแล้วค่อยพูดจาต่อแล้ว


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าหน้าบึ้งขึ้นมา แล้วถอนหายใจยาวแผ่ว “หลานชายโตแล้วจึงมิเอาใจใส่ย่าเท่ายามเยาว์วัย ตอนที่เจ้ายังตัวเล็กๆ กลับรู้ความยิ่ง ย่าป่วยก็ช่วยชิมยาให้ ตอนนี้แค่ท่านหมอตรวจสุขภาพสักหน่อย เจ้าก็ไม่ยอมเสียแล้ว ทั้งยังพร่ำพูดมากมาย…”


 


 


หลัวเทียนเฉิงฟังแล้วถึงกับเส้นโลหิตที่ขมับกระตุกทีเดียว จึงได้แต่พยักหน้ารับโดยไว


 


 


เรื่องการฟังท่านย่าบ่นนั้นเขาไม่สามารถจริงๆ!


 


 


กระทั่งตรวจเสร็จ หมอเทวดาจู้จึงเอ่ยอย่างสุขุมภายใต้สายตาราวกับจะฆ่าคนของหลัวเทียนเฉิงว่า “คุณชายสุขภาพดียิ่ง ฮูหยินวางใจได้”


 


 


“หมอเทวดาจู้ มีวาจาใดก็พูดตามตรงได้ ตระกูลของเราไม่กลัวและพร้อมปฏิบัติตามวิธีรักษาของท่าน”


 


 


หลัวเทียนเฉิงแทบจะพ่นโลหิตออกมาแล้ว


 


 


ท่านย่า ท่านไม่เชื่อในตัวหลานชายเพียงนั้นเชียวหรือ!


 


 


หมอเทวดาจู้ก็ถึงกับมุมปากกระตุกโดยแรงคราหนึ่งเช่นกันแล้วจึงเอ่ยว่า “คุณชายสุขภาพร่างกายแข็งแรงยิ่ง แต่หากฮูหยินผู้เฒ่ายังไม่วางใจ ข้าจะจัดยาลูกกลอนบำรุงร่างกายให้คุณชายแล้วกัน”


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าจึงวางใจยอมให้หมอเทวดาจู้ไปเขียนเทียบยา


 


 


ครั้นหลัวเทียนเฉิงกลับถึงเรือนชิงเฟิง ใบหน้าก็ยังคงดำคล้ำอยู่ไม่หาย


 


 


เขายกชาเย็นชืดถ้วยหนึ่งขึ้นดื่มโดยแรง เมื่อเห็นเจินเมี่ยวเดินมา ไฟโทสะนั้นก็ยิ่งปะทุขึ้นสูง เขาไล่สาวใช้ออกไปจนหมดแล้วอุ้มนางไปวางที่เตียงแล้วขึ้นคร่อมกดร่างนางไว้ทั้งตัว


 


 


กระทั่งฟ้าค่อยๆ มืดลง คนทั้งสองจึงค่อยๆ สงบลง เขาโอบแผ่นหลังเนียนขาวของนางไว้แล้วหรี่ตาเอ่ยถาม “เจี๋ยวเจี่ยว ช่วงนี้ท่านย่าได้พูดอันใดกับเจ้าหรือไม่”


 


 


ท่านย่า?


 


 


เจินเมี่ยวครุ่นคิดครู่หนึ่งก็เข้าใจทันทีว่าเกิดเรื่องใดขึ้น นางจึงอดหัวเราะออกมามิได้ “ท่านย่าคงเป็นห่วงสุขภาพของท่านกระมัง”


 


 


หลัวเทียนเฉิงเม้มริมฝีปากแล้วยกมือขึ้นตีบั้นท้ายนางคราหนึ่ง เขาเอ่ยอย่างหงุดหงิดว่า “เจ้ายังจะหัวเราะอีก!”


 


 


เมื่อเห็นสีหน้าเขาดูย่ำแย่จริงๆ เจินเมี่ยวจึงยกมือขึ้นจิ้มไปที่หน้าอกอันแข็งแกร่งดุจเหล็กของเขา “เหตุใดจึงโกรธถึงเพียงนี้เล่า”


 


 


หลัวเทียนเฉิงเอ่ยขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ท่านย่าเชิญหมอเทวดามาตรวจให้ข้า”


 


 


เจินเมี่ยวอึ้งไปเล็กน้อยแต่ต่อมากลับหัวเราะไม่หยุด


 


 


“เจี๋ยวเจี่ยว…” หลัวเทียนเฉิงกระซิบที่ข้างหูนางแผ่วเบาว่า “เพื่อชื่อเสียงของสามีเจ้า เรามาพยายามมีบุตรกันเถิด”


 


 


เจินเมี่ยวพยักหน้าแต่ในใจกลับรู้สึกหนักอึ้งขึ้นมา


 


 


ร่างกายของนางเกรงว่าจะไม่ง่ายที่จะตั้งครรภ์ คงเกี่ยวกับที่นางตกน้ำถึงสองครา


 


 


หากนางมิอาจให้กำเนิดบุตรได้ แล้วจะเป็นอย่างไรหรือ


 


 


ที่แท้แล้วบางคราแค่ความรักของคนสองคนมันไม่พอจริงๆ


 


 


เมื่อสัมผัสได้ถึงอารมณ์อันดิ่งลงของเจินเมี่ยว หลัวเทียนเฉิงจึงจุมพิตที่แก้มของนางคราหนึ่ง “เป็นอันใดไป”


 


 


ครั้นเขาคิดอันใดขึ้นมาได้จึงรีบเอ่ยว่า “เจ้ามิต้องร้อนใจไป แม้ว่าเราจะต้องพยายาม แต่เขาจะมาเมื่อใดล้วนพึ่งวาสนา เรายังหนุ่มสาว ต่อให้ช้าไปอีกสักสามสี่ปีก็มิเป็นอันใด”


 


 


เจินเมี่ยวไม่อยากพูดเรื่องนี้แล้วจึงเบี่ยงเบนไปหัวข้อสนทนาอื่น “วันนี้ข้าไปทราบเรื่องหนึ่งมา”


 


 


“เรื่องใด”


 


 


เจินเมี่ยวลังเลอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า “ข้าเห็นน้องรองกับ…เยียนเหนียงอยู่ด้วยกัน…”


 


 


นางมองหลัวเทียนเฉิงคราหนึ่ง เมื่อเห็นแววตาเขาไม่มีความเปลี่ยนแปลงใดเลยจึงอดเอ่ยมิได้ว่า “เหตุใดท่านจึงไม่ตกใจเลย หรือท่านทราบนานแล้ว”


 


 


หลัวเทียนเฉิงยิ้มพลางเอ่ยว่า “ใช่”


 


 


แน่นอนว่าเขาสามารถแสร้งทำเป็นว่าได้ยินเป็นครั้งแรกได้ แต่ต่อหน้าเจินเมี่ยวเขากลับไม่คิดทำเช่นนั้น


 


 


หากแม้แต่กับภรรยาตนเขายังต้องใส่หน้ากาก แล้วชีวิตจะมีความหมายใดเล่า


 


 


ครั้นเห็นว่าหลัวเทียนเฉิงทราบแล้ว เจินเมี่ยวจึงคลายความกดดันที่จะกล่าวถึงเรื่องไม่ดีงามของผู้อื่น นางเอ่ยอย่างดูแคลนว่า “น้องรองผู้นั้น ช่างเป็นคนอุปนิสัยต่ำทรามยิ่ง ถึงกลับผลักเรื่องนี้ให้น้องสาม มิน่าเล่าก่อนหน้านี้ไม่กี่วันอารองถึงได้ทุบตีน้องสามอย่างแค้นเคืองเพียงนั้น”


 


 


หลัวเทียนเฉิงหัวเราะเสียงแผ่ว


 


 


บิดาวิวาทกับบุตรชาย พี่น้องผูกความแค้น…มันเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น


 


 


น้องรอไม่อยากให้เด็กในท้องของเยียนเหนียงเกิดมาด้วยมิใช่หรือ บิดาผู้นี้ช่างใจเ**้ยมนัก แม้แต่เขาที่เป็นลุงยังทนไม่ได้!


 


 


เจินเมี่ยวยังคงพูดต่ออีกว่า “คนที่ทำเรื่องชั่วช้าอย่างที่สุดกลับทำตัวดุจตนถูกต้องหนักหนา ผู้ที่ถูกเอาเปรียบกลับกลายเป็นสุนัขที่ทำลายตระกูลเช่นนั้นหรือ”


 


 


นางคิดถึงท่าทางหมดหวังไร้หนทางไปของคุณชายสามในวันนั้นแล้วก็เกิดความสงสารขึ้นมาหลายส่วน


 


 


“เจี๋ยวเจี่ยว เจ้าเป็นห่วงน้องสามหรือ” มุมปากหลัวเทียนเฉิงหยักยกขึ้นเป็นรอยยิ้มที่ออกจะอันตรายอยู่ไม่น้อย


 


 


เจินเมี่ยวถลึงตามองเขาคราหนึ่ง “หากพูดจาส่งเดชอีกข้าจะไปบอกท่านย่าว่าท่านควรกินยาได้แล้ว”


 


 


หลัวเทียนเฉิงลูบจมูกตนไปมา


 


 


สายตาเจินเมี่ยวมองออกไปแสนไกลแล้วเอ่ยมาประโยคหนึ่ง “แค่รู้สึกว่าไม่ยุติธรรมเท่านั้น”


 


 


“วางใจเถิด คนทำอันใดสวรรค์ล้วนเห็นทั้งสิ้น บางครากรรมที่ว่าอาจจะมาช้าไปสักหน่อยเท่านั้นเอง”


 


 


หลัวเทียนเฉิงยิ้มพลางคิดในใจว่าอีกประเดี๋ยวก็จะถึงการสอบบัณฑิตระดับเมืองแล้ว ตามติดด้วยการสอบในเมืองหลวง คนเราต้องให้ปีนขึ้นไปให้สูงเสียก่อนเมื่อตกลงมาจึงจะเจ็บมากสักหน่อย


 


 


เจินเมี่ยวพยักหน้ารับแล้วลุกขึ้นมาจัดการเรื่องอาหารเย็น


 


 


ที่เมืองหลวงดวงอาทิตย์ลอยสูงส่องแสงเจิดจ้า แต่อาการทางเหนือกลับกำลังเย็นสบาย


 


 


ขบวนส่งเสด็จอันยาวเหยียดนั้นค่อยๆ เดินหน้าไปเรื่อยๆ สองข้างทางเต็มไปต้นหญ้าเขียวขจีสูงครึ่งคน หากมองไกลๆ ก็จะเห็นเป็นทุ่งหญ้าอันไร้ขอบเขต ดอกไม้ป่านานาชนิดกำลังเบ่งบาน กระโจมสีขาวราวหมานโถวถูกกางขึ้นมากมายท่ามกลางทุ่งหญ้าๆ


 


 


ชูสยาจวิ้นจู่แหวกผ้าม่านออกมาพิจารณาบรรยากาศด้านนอก


 


 


แรกเริ่มนางยังรู้สึกตื่นเต้นแต่บรรยากาศเช่นนี้นางเห็นมาหลายวันแล้วจึงเริ่มรู้สึกเบื่อหน่ายขึ้นมา


 


 


“เมื่อใดจะถึงดินแดนหมานเหว่ยหรือ” นางโบกมือเรียกองครักษ์ประจำกายมาถาม


 


 


องครักษ์ผู้นั้นยกมือขึ้นประกบกันเป็นการคารวะแล้วเอ่ยว่า “ทูลองค์หญิง ผ่านเขาลูกนั้นไปก็ใกล้จะถึงแล้ว องค์หญิงโปรดวางพระทัย เมื่อวานราชทูตของหมานเหว่ยได้ควบม้าเร็วเร่งรุดไปแจ้งข่าวก่อนแล้วพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


ชูสยาจวิ้นจู่มองภูเขาสลับซับซ้อนที่เห็นอยู่ลิบๆ นั้นแล้วถอนหายใจออกมา


 


 


เมื่อฟ้ามืดลง ขบวนเสด็จก็มาถึงเนินเขาพอดี จึงได้หยุดพักค้างแรมที่นี่


 


 


ชูสยาจวิ้นจู่เดินออกมาจากรถม้าด้วยความอ่อนเพลีย นางซูดอากาศอันสดชื่นนั้นแล้วเงยหน้าขึ้นพลางคิดในใจว่าพื้นที่ของแดนเหนือคล้ายจะอยู่สูงกว่าเมืองหลวงเล็กน้อย


 


 


“องค์หญิง”


 


 


ชูสยาจวิ้นจู่หมุนกายกลับไป แล้วพยักหน้าให้อย่างฝืนใจ


 


 


หลัวจือหยาลอบกัดฟันตนแต่กลับมิได้แสดงอารมณ์นั้นออกมา นางยังคงยิ้มอย่างอ่อนโยนเช่นเดิม “องค์หญิงรู้สึกหนาวหรือไม่เพคะ ที่นี่แม้แต่อากาศก็ยังแตกต่างจากเมืองหลวงมากยิ่งนัก เรื่องอื่นๆ คงยิ่งแตกต่างกัน ครั้นคิดเช่นนี้ใจของหม่อมฉันก็ยิ่งเป็นกังวล”


 


 


นางคิดว่าคนทั้งสองต่างต้องแต่งงานมาแดนไกล หากพูดถึงความรู้สึกคงไม่ต่างกันมากนัก แต่หากเอ่ยถึงฐานะ แม้นางจะมิได้สูงศักดิ์เทียบเท่าองค์หญิงแต่ก็มีฐานะสูงที่สุดในบรรดาคนที่มาจากเมืองหลวง ภายหน้าคนทั้งสองต้องอยู่ที่ดินแดนหมานเหว่ย ย่อมต้องมีใจเป็นหนึ่งเดียว คอยช่วยเหลือกันจึงดี


 


 


เพียงแต่ชูสยาจวิ้นจู่มีอุปนิสัยประหลาดยิ่ง นางยิ้มแย้มเชื้อเชิญอยู่เป็นนาน ถึงตอนนี้จึงยินยอมฝืนทนพูดคุยกับนาง


 


 


ชูสยาจวิ้นจู่คล้ายจะคาดเดาความคิดของหลัวจือหยา นางเพียงบุยปากแล้วเอ่ยว่า “คุณหนูใหญ่สกุลหลัว แค่อากาศไม่เหมือนกันเจ้าก็เป็นกังวลแล้ว เหตุใดความกล้าจึงมีน้อยเพียงนั้นเล่า ช่างไม่เหมือนผู้ที่มาจากจวนกั๋วกงเลย”


 


 


วาจานี้ทำเอาหลัวจือหยาหูแดงหน้าแดงไปหมด ชูสยาจวิ้นจู่บอกว่าจะไปกินข้าว การสนทนาจึงจบลงเท่านี้


 


 


คนทั้งหลายต่างเหนื่อยล้าทั้งสิ้น เมื่อกินข้าวเสร็จแล้วจึงมุดเข้าไปพักผ่อนในกระโจม มีเพียงองครักษ์ที่คอยเฝ้ายามอยู่


 


 


ทว่าเมื่อชูสยาจวิ้นจู่คิดว่าหลังจากข้ามภูเขาลูกนั้นไปแล้วก็เท่ากับได้จากแผ่นดินเกิดไปจริงๆ แล้ว เกรงว่าตลอดชีวิตคงไม่ได้กลับมาอีก นางจึงแหวกผ้าม่านหลังกระโจมแล้วเลือกจุดชมวิวสักแห่งเพื่อมองไปยังทิศที่เมืองหลวงตั้งอยู่


 


 


หลัวจือหยามีใจอยากจะคบค้ากับชูสยาจวิ้นจู่ จึงคอยสังเกตความเคลื่อนไหวของนางอยู่ตลอด เมื่อเห็นว่านางเดินออกมาคนเดียวทั้งมิได้ให้นางกำนัลติดตามมาด้วยจึงเดินตามนางไปเงียบๆ แล้วไปยืนอยู่อีกฝั่งหนึ่งแสร้งทำเป็นว่าบังเอิญพบกัน จึงเอ่ยทักทายอยู่ไกลๆ


 


 


“เหตุใดเจ้าจึงมาอยู่ที่นี่”


 


 


“เมื่อคิดว่าพื้นดินที่เหยียบย่างไปในวันพรุ่งนี้จะมิใช่ต้าโจวแล้วก็นอนไม่หลับ องค์หญิงเล่าเพคะ”


 


 


ได้ยินนางเอ่ยเช่นนี้ อาจเพราะความรู้สึกเดียวกันทำให้ชูสยาจวิ้นจู่ใจอ่อนขึ้นมา น้ำเสียงที่เอ่ยยังอ่อนนุ่มกว่าปกติขึ้นมาก “ข้าก็เช่นกัน คุณหนูใหญ่ เรานั่งคุยเล่นกันที่นี่เถิด”


 


 


หลัวจือหยาดีใจยิ่ง


 


 


นางรู้ว่าตนเลือกเวลาได้ถูกต้องแล้ว ภายหน้าเมื่อถึงดินแดนหมานเหว่ย จะมีอันใดพึ่งพาได้เท่ากับองค์หญิงแห่งต้าโจวเล่า


 


 


คล้อยตาม อ่อนโยน รู้มารยาท ความจริงหลัวจือหยาถูกอบรมมาตามมาตรฐานของคุณหนูตระกูลสูงศักดิ์ทุกอย่าง นางจึงเข้าใจหลักการนี้อย่างลึกซึ้ง นางคล้อยตามไปกับจังหวะของชูสยาจวิ้นจู่ น้ำเสียงที่ใช้สนทนาก็ผ่อนคลายสดใส บางคราก็หยุดสนทนา ทั้งสองต่างไม่มีผู้ใดพูดเพียงนั่งเงียบๆ ในความมืดของสุดเขตแดนต้าโจว เพื่อสงบอารมณ์อันซับซ้อนนั้นของตน


 


 


หลังจากผ่านความเงียบงันไป ชูสยาจวิ้นจู่กำลังคิดจะเอ่ยชวนนางกลับ แต่พลันปิดปากตนไว้อย่างรวดเร็วแล้วค่อยๆ คุกเข่าลง นางพยายามส่งสายตาให้หลัวจือหยา


 


 


หลัวจือหยาอึ้งไปเล็กน้อยแล้วทำตามชูสยาจวิ้นจู่ หลังจากนางคุกเข่าลงก็มองไปยังทิศทางนั้นก็เกือบจะกัดมือที่ปิดปากตนไว้จนเนื้อปริ


 


 


เงามืดทั้งหลายค่อยๆ แทรกตัวเข้าไปในกระโจมอย่างไร้สุ้มเสียงแล้วใช้มีดฟันฉับทันที องครักษ์ที่เฝ้าเวรยามยังมิทันได้ร้องออกมาด้วยซ้ำก็ล้มลงไปเสียก่อน


 


 


ที่ชูสยาจวิ้นจู่เห็นก่อนเพราะขณะที่ดาบถูกยกขึ้นมันกลับสะท้อนเข้ากับแสงจันทราส่องเป็นประกายแวววาวขึ้นมา


 


 


พวกนางนั่งอยู่ตรงนี้มาตลอดทำให้ดวงตาชินกับสภาพแวดล้อมแล้ว ไม่นานก็เห็นเงาดำนั้นเคลื่อนตัวเข้าไปในกระโจมสองกระโจมที่งดงามหรูหราที่สุด 

 

 


ตอนที่ 338 ใจคนยากแท้หยั่งถึง

 

เงาดำเหล่านั้นเคลื่อนไหวเร็วยิ่งทั้งรู้ใจกันยิ่ง ทุกที่ที่พวกเขาผ่านไป ผู้หนึ่งจะปิดปากองครักษ์ไว้ อีกคนยกมีดขึ้นเฉือนคนดั่งหั่นแตงโม การสังหารอันไร้สุ้มเสียงนี้อยู่ในสายตาของสตรีแน่งน้อยทั้งสองทั้งหมด


 


 


หลัวจือหยาตกใจจนตัวสั่น นางแทบจะเอามือยัดใส่ปากอยู่แล้วด้วยกลัวว่าหากมีเสียงเล็ดลอดออกมาสักนิดก็จะเรียกมือสังหารให้มาฆ่าตนได้ แต่เพราะความหวาดกลัวเกินไปทำให้ฟันกระทบกันเกิดเป็นเสียงกึกกักขึ้น


 


 


เสียงนี้ความจริงเบายิ่งแต่สำหรับคนทั้งสองมันไม่ต่างอันใดกับเสียงอัสนีฟาดผ่าที่ทำให้คนตกใจหวาดกลัวเลย


 


 


ชูสยาจวิ้นจู่ถลึงตาใส่นางด้วยความโกรธทั้งต้องหันไประวังกลุ่มคนตรงหน้านั้นอีก


 


 


อาจเพราะนางเคยเผชิญกับการหนีตายในลานหมิงซินของจวนหย่งอ๋องมาแล้ว ชูสยาจวิ้นจู่จึงมีท่าทีเยือกเย็นกว่าสักหน่อย สองมือของนางกำหญ้าเขียวใต้ร่างไว้แน่น พลันสัมผัสเข้ากับวัตถุที่แข็งและเย็นชิ้นหนึ่ง มิต้องก้มลงมอง นางเพียงสัมผัสดูอีกคราก็มั่นใจว่ามันคือก้อนหินที่มีขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็กก้อนหนึ่ง


 


 


ชั่วขณะนั้นนางพลันคิดอันใดขึ้นมาได้ จึงรวบรวมความกล้าโยนก้อนหินนั้นไปใส่องค์รักที่อยู่ใกล้ที่สุดผู้หนึ่ง


 


 


เมื่อก้อนหินร่วงลงพื้น องครักษ์ที่กำลังสัปหงกอยู่นั้นก็พลันสะดุ้งตื่น เขามองเงยหน้าขึ้นตามสัญชาตญาณ นัยน์ตาหรี่เล็กลง แล้วร้องเสียงดังว่า “มีมือสังหาร…”


 


 


เสียงนี้ที่ดังท่ามกลางความเงียบยามราตรีดังก้อนหินที่เจาะทะลุฟ้าก็มิปาน


 


 


มีเสียงเอะอะจากกระโจมภายใน เงาคนเคลื่อนไปมา พลันมีคนมากมากระโจนออกมา


 


 


เงาดำเงาหนึ่งที่เคลื่อนไหวเร็วยิ่งได้เข้าไปในหนึ่งในกระโจมที่สวยงามที่สุดหลังหนึ่ง แล้วใช้ดาบฟันคอนางกำนัลที่มุดออกมาด้วยความแตกตื่นไปทันที


 


 


เสียงร้องโหยหวนของสตรียิ่งทำให้เกิดเสียงร้องพร้อมเพรียงกันขึ้นว่า “คุ้มครององค์หญิง!”


 


 


ชูสยาจวิ้นจู่ถอนหายใจออกมา ด้านหลังเปียกชุ่มได้ด้วยเหงื่อ เมื่อลมยามค่ำคืนพัดมาก็เหน็บหนาวไปทั้งสรรพางค์กาย


 


 


ยังดีที่การมาของมือสังหารได้ถูกเปิดเผยแล้ว มิเช่นนั้นการสังหารเงียบๆ ที่พวกเขาทำนี้ไม่ทราบจะคร่าชีวิตคนไปมากเท่าใด ส่วนนางกำนัลที่คอยติดตามรับใช้นางและหลัวจือหยาคงมิอาจรักษาชีวิตไว้ได้แล้ว หากพวกเขาพบว่าพวกนางไม่ได้อยู่ในกระโจม ไม่แน่ว่าอาจจะออกตามหาจนพบพวกนางอยู่ที่นี่ก็เป็นได้ ถึงตอนนั้นแม้แต่โอกาสจะร้องให้คนช่วย พวกนางก็คงไม่มีแล้ว


 


 


หลัวจือหยาเองก็นั่งลงบนพื้นอย่างหมดแรงด้วยความกลัว โดยไม่ขยับเคลื่อนไปที่ใด แต่ในใจกลับแค่นหัวเราะเสียงเย็นออกมา


 


 


ดูเอาเถิด เมื่อสถานการณ์เช่นนี้มาถึง ทุกคนต่างก็คิดถึงแต่องค์หญิง จะมีผู้ใดใส่ใจความเป็นความตายของนางหรือไม่!


 


 


ไฟถูกจุดขึ้น ทุกที่เต็มไปด้วยเงาคน เสียงฆ่าฟันดังขึ้นไม่ขาดสาย เงาไม่กี่สายนั้นถูกล้อมไว้หมดแล้ว


 


 


แต่เวลานี้เองกลับได้ยินเสียงดังสวบสาบของพงหญ้า ธนูจำนวนนับไม่ถ้วนแหวก อากาศพุ่งเข้าไปที่กระโจมงดงามสองหลังนั้น


 


 


“แย่แล้ว มือสังหารมีกองกำลังหนุน!”


 


 


องครักษ์คุ้มครองชูสยาจวิ้นจู่มีนับร้อยคน ส่วนหนึ่งในนั้นเป็นองครักษ์หลวง ส่วน ที่ เหลือนั้นมีจำนวนมากกว่ามือสังหารมากมายนัก แต่มือสังหารลอบเข้ามาเงียบๆ ใน ยาม ราตรี ทั้งยังซ่อนตัวอยู่รอบนอกเพื่อยิงธนูสังหารคน ชั่วขณะนั้นทุกที่เต็มไปด้วยเสียงร้องโหยหวน


 


 


ราชทูตจากหมานเหว่ยจึงล้วงเอาของสิ่งหนึ่งออกมา แล้วโยนขึ้นฟ้า


 


 


ไฟสีเหลืองทองว่ายแหวกแสงดาวบนท้องฟ้า ส่องสะท้อนให้เห็นสีหน้าหวาดกลัวของทุกคน


 


 


ภายใต้ความวุ่นวายนี้ เงาดำสายหนึ่งค่อยๆ มุ่งตรงมายังสถานที่ที่คนทั้งสองซ่อนตัวอยู่


 


 


ยิ่งคนผู้นั้นขยับใกล้เข้ามาเท่าใดก็คล้ายได้กลิ่นคาวเลือดลอยมา


 


 


หลัวจือหยาปิดปากตนไว้แน่น แววตาเผยความแค้นเคืองออกมา


 


 


เป็นเพราะชูสยาจวิ้นจู่โยนก้อนหินนั่นทำให้มือสังหารรู้ว่าพวกนางอยู่ที่นี่ มิเช่นนั้นจะตามหาเจอได้อย่างไร


 


 


ใช่แล้ว ก้อนหิน…


 


 


เวลา นี้หลัวจือหยากลับหยิบก้อนหินขึ้นมาราวภูตบอกเซียนสั่งแล้วโยนมันใส่ชูสยาจวิ้นจู่


 


 


ก้อนหินร่วงตกลงตรงหน้าไม่ไกลจากชูสยาจวิ้นจู่นัก คล้าย สัญญาณเร่งความตาย ชูสยาจวิ้นจู่เงยหน้าขึ้นทันใดอย่างไม่อยากเชื่อจึงสบตาเข้ากับคนผู้นั้น


 


 


อาจเพราะเมื่อคนเราต้องเผชิญความตายมักจะสำแดงพลังที่ซ่อนอยู่ออกมา ชูสยาจวิ้นจู่ล้วงของสิ่งหนึ่งออกมาจากอกขว้างใส่หน้าคน ผู้นั้น แล้วรีบถอยหลังด้วยความร้อนรน


 


 


คน ผู้นั้นเบี่ยงหน้าหลบ ของสิ่งนั้นร่วงตกลงพื้นกลิ้งหลุนๆอยู่หลายรอบ มันคือแผ่นน้ำตาลที่แข็งและเย็น ด้านบนมีรอยฟันอยู่หลายรอย


 


 


ใบหน้าของคนผู้นั้นบิดเบี้ยวคราหนึ่ง แล้วยกดาบขึ้นฟาดใส่ชูสยาจวิ้นจู่


 


 


เงาร่างสองสายร่วงลงมาจากฟ้า ผู้หนึ่งขวางอยู่ข้างหน้าชูสยาจวิ้นจู่ ผู้หนึ่งบุกเข้าไปต่อสู้ กับคน ผู้นั้น


 


 


“พาองค์หญิงไปที่ที่ปลอดภัยก่อน”


 


 


ชูสยาจวิ้นจู่เห็น องครักษ์ลับ ปรากฏตัว ขึ้น นางจึงโล่งอก ได้ อย่าง แท้จริง


 


 


หลัวจือหยาที่ซ่อนอยู่อีกด้านหนึ่งถึงกับริมฝีปากกระตุกขึ้น นางอยากจะให้องครักษ์ลับที่ปรากฏตัวขึ้นพานางไปด้วย นางพลันเห็นชูสยาจวิ้นจู่หันหน้ามองมายังทิศทางที่นางซ่อนตัวอยู่ด้วยใบหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม


 


 


แววตานี้คล้ายกับน้ำเย็นเฉียบที่ราดรดลงไปบนตัวนางทำเรานางตัวแข็งไปทั้งร่าง


 


 


ยามนี้นางเพิ่งรู้สึกว่าถึงสิ่งที่ตนได้ทำลงไป


 


 


นางเอาก้อนหินโยนใส่ชูสยาจวิ้นจู่!


 


 


หลัวจือหยารู้สึกเสียใจขึ้นมา นางไม่เข้าใจว่าตนนั้นนางคิดอันใด แต่ส่วนลึกในจิตใจกลับคล้ายเข้าใจดี


 


 


เดิมเป้าหมายของมือสังหารนั้นก็คือองค์หญิง หากพบองค์หญิงแล้วผู้ใดจะมาสนใจที่จะฆ่าคนที่ไม่มีความสำคัญเช่นนางเล่า


 


 


ความคิดเช่นนี้ แม้แต่หลัวจือหยาเองก็ไม่อยากยอมรับว่าตนคิด นางคิดว่าตนจะต้องถูกเวทมนตร์อันใดเป็นแน่ แต่หากทุกอย่างสงบลงแล้ว ไม่ว่าอย่างไรองค์หญิงชูสยาก็คงไม่ปล่อยนางแน่!


 


 


บนพื้นที่ที่มีหญ้าขึ้นเต็มไปหมดนั้น หลัวจือหยารู้สึกว่าชีวิตตนช่างต่ำต้อยดุจต้นหญ้า นอกจากตัวนางแล้วก็ไม่มีใครให้พึ่งพิงได้เลย!


 


 


เมื่อมองการต่อสู้กันที่อยู่ไม่ไกลนั้น หลัวจือหยาก็ลอบตัดสินใจอยู่เงียบๆ


 


 


นางต้องหนี!


 


 


 ไม่หนี องค์หญิงชูสยาก็จะต้องฆ่านางแน่!


 


 


ใช่ หนี หนีเถิด นางจะได้ไม่ต้องแต่งกับองค์ชายรองอันใดนั่น!


 


 


ใจหลัวจือหยาเต้นตึกตักขึ้นมา เกิดเป็นความกล้าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตั้งแต่เกิดมา นางค่อยๆ ถอยหลังเข้าไปในพุ่มไม้อันรกชัฏนั้น ไม่ทราบว่าถอยหลังเช่นนี้ไปนานเท่าใด ครั้นนางคิดจะหันหลังกลับไปก็พบว่าตนเหยียบเข้ากับความว่างเปล่า เมื่อเหยียบความว่างเปล่าร่างก็ร่วงตกลงไปทันที


 


 


เสียงฆ่าฟันเกิดขึ้นอยู่ไกลลิบๆ ย่อมไม่มีผู้ใดได้ยินเสียงร้องตกใจของสตรีผู้หนึ่งเป็นแน่


 


 


เมื่อองครักษ์ลับคุ้มครองชูสยาจวิ้นจู่ไปถึงสถานที่ปลอดภัยก็อดเอ่ยขึ้นมิได้ว่า “องค์หญิง พวกกระหม่อมคอยเฝ้าระวังอยู่ตลอดเวลา ต่อไปพระองค์โปรดอย่าได้ขว้างอาวุธลับตอบโต้มือสังหารโดยพลการอีก”


 


 


“อาวุธลับอันใด นั่นเป็นเพียงแผ่นน้ำตาลที่ข้าแทะเล่นยามว่างยามนั่งอยู่ในรถม้าเท่านั้น!” ชูสยาจวิ้นจู่เพิ่งจะหายจากตกใจนางจึงกลอกตาใส่เขา “ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าพวกเจ้าจะคอยเฝ้าอยู่ข้างกายข้าตลอด”


 


 


ความจริงนางรู้ว่าองครักษ์ลับสองคนนั้นจะต้องตามนางตั้งแต่นางออกมาจากกระโจมแล้ว แม้จะไม่รู้ว่าพวกเขาซ่อนตัวอยู่ที่ใด แต่พวกเขาจะต้องอยู่ใกล้ๆ นางอย่างแน่นอน


 


 


แม้จะเป็นเช่นนั้น แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับความตาย นางก็ยังคงมิอาจสงวนท่าทีดั่งว่าจะมีคนมาช่วยเอาไว้ได้ บางทีนางอาจจะมิอาจเป็นองค์หญิงที่สง่างามสุขุมนุ่มลึกเช่นนั้นได้จริงๆ


 


 


ชูสยาจวิ้นจู่หัวเราะเยาะตน แล้วเอ่ยตำหนิว่า “ในเมื่อพวกเจ้าอยู่เฝ้าตลอดเวลา เหตุใดจึงได้เบิกตามองให้คนพวกนั้นบุกเข้าไปในกระโจมเล่า”


 


 


องครักษ์ลับคุกเข่าลงแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “กระหม่อมรับผิดชอบเพียงความปลอดภัยขององค์หญิงเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


ในเมื่อองค์หญิงมิได้อยู่ในกระโจม เหตุใดพวกเขาจะต้องเคลื่อนไหวเปิดเผยที่ซ่อนขององค์หญิงเล่า


 


 


เพราะสตรีโง่งมผู้นั้นทีเดียว เดิมหากรออีกสักหน่อยก็จะเป็นโอกาสอันดีที่พวกเขาจะโจมตีมือสังหาร เช่นนั้นองค์ก็คงมิต้องตกพระทัยเช่นนี้


 


 


แต่พวกเขาเป็นองครักษ์ลับ มิใช่มือสังหาร การจะลงมือจัดการสตรีผู้นั้นหรือไม่คงต้องแล้วแต่พระประสงค์ขององค์หญิงแล้ว


 


 


เสียงต่อสู้กันที่ด้านนอกค่อยๆ สงบลง คนที่เฝ้าอารักขาชูสยาจวิ้นจู่ก็มากขึ้นทุกที ชูสยาจวิ้นจู่จึงเอ่ยกับองครักษ์สองสามคนว่า “ไปเชิญคุณหนูใหญ่สกุลหลัวที่จุดหลบลมด้านหลังกระโจมมา!”


 


 


องครักษ์หลายคนได้รับคำสั่งก็เดินออกไป ไม่นานก็กลับมา หนึ่งในนั้นเอ่ยขึ้นว่า “ทูลองค์หญิง คุณหนูหลัวมิได้อยู่ที่นั่นพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


“เอ๊ะ?” ชูสยาจวิ้นจู่โกรธจนหัวเราะออกมา นางเอ่ยเสียงเย็นว่า “ดี เช่นนั้นพวกเจ้าไปนับดูคน รวมถึงคนที่บาดเจ็บด้วย ดูสิว่าคุณหนูใหญ่สกุลหลัวจะรวมอยู่ในนั้นด้วยหรือไม่”


 


 


กระทั่งคนออกไปหมด นางจึงรู้สึกอ่อนเพลียอย่างที่สุด จึงเผลอหลับไป


 


 


ไม่ทราบเมื่อได้ที่ได้ยินเสียงเอะอะที่ด้านนอก ชูสยาจวิ้นจู่จึงสะดุ้งตื่นขึ้น นางผลักนางกำนัลที่ห้ามตนให้พ้นทางแล้วแหวกม่านกระโจมออกไปดูด้านนอก


 


 


ทางด้านทิศตะวันออกนั้นมีเสียงฝีเท้าม้าดังมาแต่ไกลๆ ฝุ่นตลบคลุ้งขึ้น และมันกำลังมุ่งมาทางด้านนี้


 


 


มีคนตกใจจนร้องออกมา แต่ในเสียงนั้นกลับมีภาษาแปลกๆ สอดแทรกเข้ามาอยู่ตลอด


 


 


การเต้นระบำอันน่าตื่นตกใจของชาวหมานเหว่ยหยุดลง ภายใต้ความงุนงงของทุกคนก็มีคนผู้หนึ่งเอ่ยภาษาคนขึ้นว่า “องค์ชายรองของพวกเราเสด็จมาถึงแล้ว!”


 


 


คนที่อยู่ไกลๆ นั้นได้มาถึงตรงหน้าอย่างรวดเร็ว มีคนผู้หนึ่งในกลุ่มนั้นเป็นบุรุษคิ้วเข้มดวงตาโต ท่าทีองอาจผึ่งผาย เขาต้องเป็นองค์ชายรองอย่างไม่ต้องสงสัย


 


 


เขาดึงบังเ**ยนให้ม้าหยุด แล้วพลิกร่างลงมาทั้งเอ่ยถามด้วยเสียงอันชัดใสว่า “องค์หญิงปลอดภัยดีหรือไม่”


 


 


ท่วงทำนองภาษาของชาวหมานเหว่ยดังขึ้นอีกคำรบ องค์ชายรองเผยท่าทียิ้มแย้มแล้วก้าวเท้ามาหยุดตรงหน้ากระโจมของชูสยาจวิ้นจู่ เขาใช้สองมือแตะที่หน้าอก แล้วโค้งกายคารวะด้วยวิธีขอชาวหมานเหว่ย “องค์หญิง กระหม่อมคือองค์ชายรองแห่งหมานเหว่ย มาเพื่อรับพระองค์โดยเฉพาะ”


 


 


ชูสยาจวิ้นจู่ชำเลืองมององค์ชายหกอย่างรวดเร็ว พลันรู้สึกโล่งอกยิ่ง


 


 


ขอบคุณฟ้าดิน เจินเมี่ยวมิได้โกหกนางจริงๆ องค์ชายรองผึ่งผายสง่างามไม่น้อย แม้รูปร่างจะมิได้ผอมบางอย่างที่พบเห็นทั่วไปในต้าโจว แต่ออกจะสูงใหญ่บึกบึน ไม่เหมือนราชทูตที่ไปรับตัวนางเหล่านั้น แต่ละคนแขนนั้นใหญ่กว่าเอวนางเสียอีก


 


 


เช่นนั้นองค์ชายใหญ่ที่มีพระมารดาร่วมอุทรกับองค์ชายรองก็คงไม่ต่างกันเท่าใดนักแล้ว


 


 


เดิมนางคิดไว้ย่ำแย่ยิ่ง เมื่อเห็นว่าเขาดีกว่าที่ตนจินตนาการไว้มาก ชูสยาจวิ้นจู่ก็อารมณ์ดีขึ้นมาโดยพลัน


 


 


เมื่อนางจัดเก็บทุกอย่างเรียบร้อยแล้วก็สั่งให้คนไปเชิญองค์ชายรองเข้ามา


 


 


องค์ชายรองเห็นชูสยาจวิ้นจู่แล้วก็เผยรอยยิ้มเจิดจ้าออกมาทั้งกล่าวในใจว่า แม้องค์หญิงต้าโจวจะสู้ชายาของเขามิได้ แต่ก็งดงามเช่นกัน พี่ใหญ่เห็นแล้วต้องชอบอย่างแน่นอน


 


 


คนทั้งสองพูดจากันตามมารยาทครู่หนึ่ง องค์ชายรองก็อดถามขึ้นมิได้ว่า “องค์หญิง การอภิเษกครั้งนี้ นอกจากพระองค์แล้วยังมีคุณหนูอีกผู้หนึ่ง กระหม่อมขอพบนางได้หรือไม่”


 


 


ด้วยกลัวว่าชูสยาจวิ้นจู่จะไม่ตอบตกลง องค์ชายรองจึงรีบเอ่ยว่า “กระหม่อมทราบว่า ธรรมเนียมของต้าโจวนั้น บุรุษสตรีที่ยังมิได้แต่งงานกันนั้นไม่เหมาะพบหน้า แต่ดินแดนหมานเหว่ยไม่มีธรรมเนียมเช่นนี้ นางแต่งออกมาไกลบ้านเกิด อารมณ์คงมิใคร่ดีนัก กระหม่อมจึงอยากถามว่านางชอบสิ่งใด จะได้จัดเตรียมไว้ให้ล่วงหน้า ไม่แน่ว่าหากนางเห็นแล้วก็อาจจะอารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง”


 


 


ชูสยาจวิ้นจู่มององค์ชายหกด้วยอารมณ์อันซับซ้อน ผ่านไปครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า “เมื่อวานมีมือสังหารบุกเข้ามา ตอนนี้จึงยังหาร่องรอยของคุณหนูใหญ่สกุลหลัวไม่พบเลย”


 


 


“ห๊ะ?” องค์ชายรองหน้าเปลี่ยนสีไปโดยพลัน มิได้มีท่าทีเบิกบานอย่างที่สุดเช่นเมื่อครู่ เขาพลันก้าวรุกเข้ามาหลายก้าว กระทั่งถูกองครักษ์ขวางไว้จึงมีสติขึ้นมา เขาเอ่ยอย่างเข็นเขี้ยวเคี้ยวฟันว่า “องค์หญิง กระหม่อมจะให้องครักษ์ไปส่งเสด็จพระองค์ก่อน”


 


 


เขาเดินออกมาจากกระโจม เรียกองครักษ์คนสนิทมากล่าววาจาอยู่สองสามประโยค คนเหล่านั้นจึงเดินทางไปดินแดนหมานเหว่ยพร้อมกับขบวนเสด็จขององค์หญิง


 


 


องค์ชายรองนำองครักษ์สิบกว่าคนออกตามหาไปทั่วบริเวณในรัศมีร้อยลี้อยู่สามวันสามคืน แต่ไม่พบสตรีที่เขามีใจให้ ทว่ากลับพบหลัวจือหยาที่บาดเจ็บสาหัสนอนหมดสติอยู่ในเรือนของคนเลี้ยงสัตว์ 

 

 


ตอนที่ 339 เปิดเผยฐานะ

 

องค์ชายรองพิจารณาหลัวจือหยาที่นอนหมดสติอยู่


 


 


บนกายนางสวมชุดที่สตรีชาวหมานเหว่ยมักสวมใส่ แต่ชุดนี้ออกจะเก่าไปสักหน่อย ซักจนสีซีดไปหมด แต่นั่นกลับมิได้ทำลายความงดงามของนางได้เลย เป็นความงามอันอ่อนหวานที่ในสตรีต้าโจวเท่านั้น


 


 


องค์ชายรองรู้สึกผิดหวังอย่างยิ่งแต่ก็รู้สึกยินดีอยู่บ้าง


 


 


นางเป็นสตรีต้าโจว เป็นไปได้ว่าอาจจะเป็นนางกำนัลที่หายสาบสูญไปในคืนนั้น ไม่แน่นางอาจจะรู้เบาะแสของคุณหนูสกุลหลัว


 


 


เพียงแต่นางยังคงหมดสติอยู่ เห็นชัดว่าที่นี่ไม่มีหมอฝีมือดีอยู่แน่


 


 


เสียงฝีเท้ามาดังลอยมา หลังจากนั้นไม่นานผู้กล้านับสิบคนก็มาหยุดตรงหน้า หนึ่งในนั้นคุกเข่าแล้วเอ่ยว่า “องค์ชายรอง ผู้ครองแคว้นให้ท่านกลับไปพ่ะย่ะค่ะ พรุ่งนี้จะเป็นวันอภิเษกขององค์ชายใหญ่แล้ว”


 


 


องค์ชายรองเม้มริมฝีปากแน่น เขาเตะโถกระเบื้องที่วางอยู่ด้านนอกกระโจมอย่างแรงคราหนึ่งแล้วกัดฟันเอ่ยออกไปว่า “อืม!”


 


 


หมานเหว่ยกับต้าโจวไม่เหมือนกัน พวกเขาที่มีฐานะเป็นองค์ชายสามารถมีพระชายาได้สามคน แม้จะแบ่งใหญ่เล็ก แต่กลับมิได้มีความแตกต่างอย่างชัดเจนเช่นภรรยาเอกกับอนุของต้าโจว กระทั่งบุตรของพวกเขาก็ยังมีสิทธิ์ในการสืบทอดอำนาจได้เท่าๆ กัน แต่ต้องดูว่าผู้ใดโดดเด่นกว่ากันเท่านั้น


 


 


แม้พี่ใหญ่จะมีพระชายาแล้วหนึ่งคคน แต่องค์หญิงแห่งต้าโจวย่อมต้องเป็นพระชายาเอก พวกเขาสองพี่น้องรักใคร่กันดียิ่ง พรุ่งนี้เป็นพิธีอภิเษกของพี่ใหญ่ เขามิอาจตามหาคนอยู่ที่นี่ต่อได้


 


 


กล่าวไปแล้วสัมพันธภาพอันดีของต้าโจวและหมานเหว่ยนั้นเกิดขึ้นจากการอภิเษกเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างองค์หญิงต้าโจวและองค์ชายใหญ่แห่งหมานเหว่ย งานอภิเษกของเขาเป็นเพียงสิ่งที่พ่วงมาด้วยเท่านั้น จะมีหรือไม่มีก็ไม่ส่งผลกระทบอันใด


 


 


ต่อให้ต้าโจวจะทราบว่าคุณหนูสกุลหลัวหายสาบสูญหรือแม้แต่ตายก็คงไม่มีท่าทีอันใดมากนัก และนี่จึงเป็นเหตุผลที่กำหนดการวันจัดพิธีอภิเษกยังคงไว้เช่นเดิม


 


 


ทว่าเดิมทีพรุ่งนี้ก็เป็นพิธีอภิเษกของเขาเช่นกัน ตอนนี้สตรีที่เขามีใจรักกลับไม่ทราบอยู่ที่ใด!


 


 


องค์ชายรองรับเชือกม้ามาแล้วพลิกกายขึ้นขี่อย่างคล่องแคล่ว เขากำชับว่า “พวกเจ้าคอยเฝ้าอยู่ที่นี่ ดูแลแม่นางผู้นี้ให้ดี เดี๋ยวข้าจะเชิญท่านหมอมาตรวจอาการนาง หากนางฟื้นขึ้นมาเมื่อใดพวกเจ้ารีบไปรายงานข้าทันที”


 


 


กล่าวจบก็ควบม้าออกไปอย่างรวดเร็วดุจสายลม กระทั่งทิ้งห่างทุกคนไว้ด้านหลัง


 


 


พิธีอภิเษกถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ องค์หญิงต้าโจวสวมชุดสีแดง บนศีรษะสวมมาลาของพระชายา ไข่มุกเม็ดใหญ่ห้อยลงมาตรงหน้าผากยิ่งขับให้คนงดงามจับใจ


 


 


องค์ชายใหญ่จูงมือนางเดินไปบนพรมแดงอย่างช้าๆ เสียงดนตรีบรรเลงดังมาไม่ขาดสายผสมกับเสียงโห่ร้องด้วยความยินดีของคนจำนวนมาก


 


 


องค์ชายรองทั้งชอบใจและเสียใจ รอกระทั่งองค์ชายใหญ่จูงมือองค์หญิงเข้าไปในกระโจมอันงดงามหรูหรานั้นแล้ว เขาจึงขึ้นหลังม้าไปอย่างเงียบๆ กลับไปยังสถานที่พักค้างแรมของขบวนส่งเสด็จองค์หญิงต้าโจวเพื่อตามหาในบริเวณใกล้เคียงนั้นอีกครั้ง


 


 


เมื่อฟ้ามืดลงแต่กลับไม่พบสิ่งใด เขาจึงควบม้าไปที่กระโจมของคนเลี้ยงสัตว์


 


 


บังเอิญเหลือเกินที่สตรีผู้นั้นฟื้นขึ้นมาพอดี


 


 


องค์ชายรองรีบเข้าไปดูนาง คำถามแรกที่ถามคือ “เจ้าเป็นผู้ใด”


 


 


ความจริงหลัวจือหยาฟื้นมาสักพักแล้วแต่เมื่อพบว่าตนอยู่ในที่แปลกถิ่น ทั้งภาษาที่พวกเขาซึ่งสวมเสื้อผ้าประหลาดๆ พูดคุยกันนั้น นางก็ฟังไม่ออกสักนิดจึงได้แต่นิ่งเงียบไว้


 


 


พลันมีบุรุษผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้น ทั้งยังพูดภาษาต้าโจวอีกด้วย!


 


 


นางรู้สึกยินดีขึ้นเล็กน้อยแต่ก็ค่อยๆ สงบลง


 


 


เสื้อผ้าที่คนผู้นี้สวม ไม่แตกต่างกันเท่าใดนักกับคนกลุ่มนั้นที่เฝ้านาง พวกเขาเป็นองครักษ์ของดินแดนหมานเหว่ยและตั้งใจออกมาค้นหาตัวนางโดยเฉพาะงั้นหรือ


 


 


คนผู้นั้นน่าจะเป็นหัวหน้าองครักษ์กระมัง


 


 


“เจ้าเป็นใคร” องค์ชายรองถามอีกครา


 


 


หลัวจือหยาหวั่นใจขึ้นมา ไม่ได้ หากมิอาจเปิดเผยฐานะตน มิเช่นนั้นแค่นางถูกพาเข้าไปในวัง องค์หญิงชูสยาคงต้องฆ่านางตายแน่!


 


 


แต่นางควรจะตอบเช่นใดดีเล่า


 


 


เมื่อมองแววตาบีบคั้นขององค์ชายรอง หลัวจือหยาก็คิดแผนการใดไม่ออก แต่ด้วยความตกใจทำให้เกิดความคิดหนึ่งขึ้น ใบหน้าพลันซีดขาว นางจับขมับตนพลางร้องโหยหวนขึ้นแล้วหมดสติไปทันที


 


 


องค์ชายรองรู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง เขาพึมพำขึ้นว่า “ยังไม่ทันได้พูดก็หมดสติไปอีกแล้ว ไม่รู้ว่าที่แท้แล้วนางเป็นนางกำนัลที่ติดตามองค์หญิงมาหรือไม่”


 


 


หลัวจือหยาหลับตาลงครั้นได้ฟังวาจานี้ก็ยิ่งหวั่นใจ คนผู้นี้ถึงกับคาดเดาว่านางเป็นนางกำนัล เขาจะพานางไปพบกับองค์ใช่หรือไม่


 


 


เวลานี้นางเริ่มรู้สึกเสียใจขึ้นมาแล้วที่แสร้งหมดสติ


 


 


กำลังคิดว่าจะหากโอกาสแสร้งทำเป็นฟื้นดีหรือไม่ กลับได้ยินบุรุษผู้นั้นเอ่ยวาจาที่นางฟังไม่เข้าใจยาวเป็นชุด แล้วเสียงฝีเท้านั้นก็ค่อยๆ ไกลออกไป


 


 


หลัวจือหยาคอยระวังอยู่ตลอด แต่กลับไม่เห็นบุรุษผู้นั้นกลับมา ผ่านไปอีกหลายวันนางอาการดีขึ้นมากแล้ว กระทั่งสามารถเดินได้ด้วยตนเอง แล้วบุรุษผู้นั้นก็ปรากฏกายขึ้นอีก


 


 


เมื่อมีการเตรียมใจมาหลายวันแล้ว ทั้งยังมีคำว่า ‘นางกำนัล’ ที่บุรุษผู้นั้นเอ่ยทิ้งไว้ก่อนจากไป หลัวจือหยาจึงค่อยๆ คิดแผนการออก


 


 


จากการที่บุรุษผู้นั้นมิได้มาที่นี่หลายวันแล้ว ทั้งมิได้พาตัวนางไป หากนางเป็นแค่นางกำนัล เห็นชัดว่าเขาก็มิได้ใส่ใจอันใด เช่นนั้นนางมิใช่จะมีโอกาสหนีหรอกหรือ


 


 


“เจ้าไม่ต้องกลัว บุรุษหมานเหว่ยเช่นพวกเรามิได้กินคนดอก” องค์ชายรองกลัวว่านางจะหมดสติไปอีก จึงพยายามใช้น้ำเสียงอ่อนโยนมากที่เอ่ยกับนางเป็นประโยคแรก


 


 


หลัวจือหยาก้มหน้าลงแล้วพยักหน้า


 


 


“เช่นนั้นเจ้าเป็นนางกำนัลที่ติดตามขบวนเสด็จขององค์หญิงมาหรือไม่”


 


 


หลัวจือหยาใช้มือขยุ้มกระโปรงที่ทำให้ผิวของนางรู้สึกระคายเคือง แล้วพยักหน้าอีกครา นางเอ่ยเสียงแผ่วว่า “ใช่”


 


 


องค์ชายรองมีสีหน้ายินดียิ่ง เขาคว้ามือนางมาจับไว้อย่างอดรนทนไม่ได้อีกต่อไป “วันนั้นมีมือสังหารบุกเข้ามาในกระโจม ในเมื่อเจ้าเป็นผู้ที่สาบสูญไปเช่นกัน เจ้าพบเห็นคุณหนูสกุลหลัวบ้างหรือไม่”


 


 


หลัวจือหยาถูกการกระทำอันเกิดขึ้นอย่างกะทันหันขององค์ชายรองทำให้ตกใจ นางจึงร้องขึ้นเสียงหนึ่ง


 


 


องค์ชายรองจึงนึกขึ้นได้ว่าสตรีต้าโจวไม่เหมือนกับสตรีหมานเหว่ย เขารีบปล่อยมือทันใดแล้วยิ้มให้อย่างขออภัย


 


 


“ข้า…ข้าเห็นคุณหนูหลัวถูกดาบฟันเข้าที่คอแล้วกลิ้งตกลงไป ตอนนั้นข้าคิดจะเข้าไปดึงนางไว้ แต่ไม่ทราบว่าลื่นไปได้อย่างไร ฟื้นขึ้นมาอีกทีก็อยู่ที่นี่แล้ว”


 


 


นางหยุดครู่หนึ่งแล้วเอ่ยอีกว่า “ข้าจำได้รางๆ ว่าตอนนั้นตกลงไปในแม่น้ำ”


 


 


จุดนี้องค์ชายรองได้ถามคนเลี้ยงสัตว์ที่ช่วยนางเอาไว้แล้ว ตอนนั้นแม่นางผู้นี้ถูกพบอยู่ที่ริมแม่น้ำจริงๆ


 


 


แม่น้ำสายน้ำไหลมาจากต้าโจวผ่านหุบเขาเก๋อลาแล้วไหลเรื่อยมาจนถึงดินแดนหมานเหว่ย ชาวหมานเหว่ยขนานนามว่าแม่น้ำหมิงจู


 


 


หลายวันนี้เขาตามหาไปตามแม่น้ำสายนี้ตลอดด้วยหวังว่าจะเกิดปาฏิหาริย์ขึ้น


 


 


แต่เมื่อได้ยินนางกำนัลผู้นี้บอกว่าคุณหนูสกุลกลัวถูกดาบฟันคอ องค์ชายรองก็หน้าเผือดสีไปโดยพลัน


 


 


เขาเบิกตากว้าง ท่าทีถมึงทึงทำให้หลัวจือหยาตกใจจนต้องถอยหลังไปหลายก้าว


 


 


องค์ชายรองจึงมีสติคืนมา เขาหมุนกายเดินออกไปทันทีดุจพายุลูกหนึ่งก็มิปาน


 


 


หลัวจือหยานั่งอยู่บนพรมด้วยใจที่เต้นอย่างบ้าคลั่ง นางกล่าวในใจว่าบุรุษหมานเหว่ยนั้นป่าเถื่อนจริงๆ บุรุษผู้นี้ดูองอาจสง่างามกว่าผู้อื่นอยู่สักหน่อย แต่ก็มิอาจสลัดหลุดอุปนิสัยเดิมได้ ท่าทางเมื่อครู่คล้ายจะกินนางเข้าไปกระนั้น


 


 


องค์ชายรองพุ่งออกไปจากกระโจม มุ่งตรงไปยังริมแม่น้ำแล้วยกน้ำขึ้นล้างหน้าตน เขาเงยหน้าขึ้นเพื่อให้ของเหลวอุ่นร้อนที่เอ่อออกมาจากตาไหลกลับเข้าไปดังเดิม แล้วใช้กำปั้นทุบลงบนโขดหินข้างริมน้ำโดยแรง


 


 


เนื้อของกำปั้นที่แข็งแกร่งนั้นปริแตกออก โลหิตไหลออกมาทันใด


 


 


เขามิได้ยกขึ้นเช่นแต่เอากำปั้นนั้นไปแช่ลงในน้ำ น้ำในแม่น้ำพลันกลายเป็นกลุ่มสีแดงก้อนหนึ่ง แล้วค่อยๆ กระจายหายไป ปลาที่ว่ายหนีไปด้วยความตกใจก่อนหน้านี้กลับแหวกว่ายไปตามกลิ่นคาวเลือดนั้น


 


 


องค์ชายรองนั่งอยู่ที่ริมแม่น้ำนั่นไม่ขยับไปที่ใด เขานั่งอยู่นางจึงลุกขึ้นเดินกลับมาที่กระโจมอีกครั้ง


 


 


หลัวจือหยานั่งคุกเข่า บนโต๊ะมีเนื้อแพะตุ๋น น้ำแกงเนื้อแพะ และผลไม้อีกหนึ่งจาน


 


 


นางทนกลิ่นสาบของเนื้อแพะได้จึงหยิบผลไม้ขึ้นมากินอย่าช้าๆ เมื่อเห็นองค์ชายรองเดินเข้ามา มือก็สั่นจนทำผลไม้ที่กัดกินไปครึ่งหนึ่งร่วงหล่น


 


 


เมื่อทราบข่าวว่านางในดวงใจของตนตายไปแล้ว องค์ชายรองก็ไม่มีกะจิตกะใจอันใดทั้งสิ้น ดวงตาคู่นั้นเปียกชื้นคล้ายหมาป่าตัวน้อยที่ถูกทอดทิ้ง


 


 


เขาพูดเพียงประโยคเดียวว่า “แม่นาง เจ้าพักรักษาตัวให้ดี หากหายแล้วข้าจะพาเจ้าไปพบองค์หญิงต้าโจว” พูดจบก็หมดกายจากไป


 


 


หลัวจือหยาทั้งตกใจทั้งกลัว แผนการที่คิดไว้เต็มท้องกลับมิทันได้พูดออกไป เมื่อมีคนคอยเฝ้าอยู่เช่นนี้นางจะหนีได้อย่างไร จึงเอาแต่อกสั่นขวัญแขวนอยู่ตลอดวัน


 


 


องค์ชายรองนำข่าวการตายของคุณหนูหลัวกลับไปที่วัง


 


 


ราชาผู้ครองดินแดนหมานเหว่ยจึงเอ่ยถามว่า “บุตรข้ายังอยากจะอภิเษกกับสตรีต้าโจวอยู่หรือไม่”


 


 


เพราะเหตุเกิดในเขตแดนของต้าโจว หากกล่าวไปแล้วก็เป็นต้าโจวที่ติดค้างเขา หากฉวยโอกาสนี้ขอสตรีสูงศักดิ์จากต้าโจวให้องค์ชายรองอีกครั้ง จักรพรรดิต้าโจวย่อมต้องรับปากแน่นอน แต่องค์ชายรองกลับส่ายหน้า


 


 


ที่เขาต้องการคือสตรีงดงามที่แม้กระเด็นออกจากรถม้าที่ม้ามีอาการตื่นตกใจแต่ก็ยังคงยิ้มได้ผู้นั้น มิใช่เพราะว่านางเป็นสตรีต้าโจว


 


 


โดยเฉพาะสตรีผู้นั้นที่คนเลี้ยงสัตว์ได้ช่วยเอาไว้ก่อนหน้านี้ไม่นาน นางมักมีท่าทีหวาดกลัวตัวสั่นอยู่ร่ำไป หากสตรีต้าโจวล้วนเป็นเช่นนี้เขายอมเลือกสตรีหมานเหว่ยส่งๆ มาสักคนเพื่อมีบุตรให้เขายังดีกว่า


 


 


ราชาแห่งหมานเหว่ยก็มิได้ฝืนใจเขา จึงส่งราชทูตพิเศษควบม้าเร็วส่งสารไปถึงต้าโจว


 


 


เซียวเหิง แม่ทัพผู้รักษาเมืองอันเป็นชายแดนของทั้งสองแคว้นซึ่งอยู่ในขบวนเสด็จที่ถูกโจมตีขององค์หญิงด้วยได้ส่งคนจำนวนมากไปสืบหาร่องรอยของมือสังหาร ส่วนดินแดนหมานเหว่ยเองก็ส่งผู้กล้าไปสืบเสาะไม่น้อยเลย


 


 


เมืองชายแดนที่อยู่ติดกันของสองแคว้น ชาวบ้านต่างพูดคุยวิจารณ์กันในโรงน้ำชาด้วยเรื่องนี้ทั้งสิ้น ข่าวการจากไปของสตรีสูงศักดิ์จากต้าโจวจึงแพร่สะพัดไกลออกไปเรื่อยๆ


 


 


หลัวจือหยาพักรักษาตัวด้วยใจอันระแวดระวัง นางพอจะทราบข่าวนี้มาบ้างจากคนผ่านทางที่พอจะรู้ภาษาต้าโจว นางก็บอกไม่ถูกว่าตนควรจะดีใจหรือเสียใจดี


 


 


วันนี้เองที่องค์ชายรองกลับมาอีกครั้ง


 


 


“ข้าจะพาเจ้ากลับวัง”


 


 


หลัวจือหยาได้ฟังก็คุกเข่าลงกับพื้นเสียงดังพลั่ก แล้วเอ่ยวิงวอนว่า “ขอท่านโปรดอย่าส่งข้าเข้าวังเลย เดิมข้านั้นมีบิดามารดาอยู่แล้ว การติดตามองค์หญิงมาที่นี่เป็นเรื่องที่ไม่ยอมมิได้ ในเมื่อข้าได้หายสาบสูญไปตั้งแต่วันนั้นแล้ว สำหรับองค์หญิงข้าก็เป็นเพียงคนที่ตายแล้ว ขอท่านโปรดสงสารข้าเถิดช่วยส่งข้ากลับบ้านเกิดด้วยเถิด”


 


 


นางพูดพลางร่ำไห้ออกมา ท่าทีวิงวอนนั้นช่างทำให้คนรู้สึกสงสารยิ่ง


 


 


องค์ชายรองกลับขมวดคิ้วมุ่น เขามีอุปนิสัยตรงไปตรงมา ไม่คิดเล็กคิดน้อย แต่อย่างไรก็เป็นองค์ชาย มิใช่หยาบกระด้างป่าเถื่อน


 


 


องค์หญิงต้าโจวมาที่นี่ได้มากว่าครึ่งเดือนแล้ว ทั้งยังพานางกำนัลมาด้วยจำนวนมาก หลังจากที่ได้พบเห็นนางกำนัลของต้าโจวมาสักพักแล้ว เขาก็เริ่มเกิดความสงสัยขึ้นมาหลายส่วน


 


 


“แม่นาง เจ้าไม่ใช่นางกำนัลกระมัง”


 


 


หลัวจือหยาเบิกตากว้าง


 


 


“ข้ารู้สึกว่าเจ้ากับนางกำนัลจากต้าโจวมิใคร่เหมือนกันเท่าใด เจ้าบอกข้าได้หรือไม่ว่าเจ้าเป็นใครกันแน่”


 


 


“ข้า ข้าเป็นนางกำนัลจริงๆ…”


 


 


“เช่นนั้นแม่นางก็ตามข้ากลับวังให้องค์หญิงทอดพระเนตรสักหน่อยค่อยว่ากัน”


 


 


“ไม่ ข้าไม่ไปพบองค์หญิง!” หลัวจือหยาสะบัดมือจากองค์ชายรองโดยแรง ใบหน้านางไม่มีเลือดฝาดเลยสักนิด


 


 


“เช่นนั้นก็บอกข้าว่าเจ้าเป็นใคร”


 


 


“ข้าพูดแล้ว เจ้าจะไปส่งข้ากลับต้าโจวหรือไม่”


 


 


นายอมที่จะเปิดเผยฐานะตนเพื่อพนันดูสักตั้ง อย่างไรก็ดีกว่าการถูกบุรุษผู้นี้พาไปหาองค์หญิงชูสยาจนต้องจบชีวิต


 


 


อย่างไรเสียคุณหนูสกุลหลัวก็ได้กลายเป็นคนตายไปแล้ว แม้แต่ราชทูตผู้ส่งสารก็ออกเดินทางไปแล้วหลายวัน หากนางขอร้องวิงวอนอย่างน่าสงสาร เขาผู้เป็นหัวหน้าองครักษ์ก็คงมิจำเป็นต้องเพิ่มความยุ่งยากใส่ตนด้วยการพานางกลับไปส่งที่วังกระมัง


 


 


ก่อนหน้านี้เขาก็ตามหานางอยู่นาน กระทั่งข่าวการตายของนางแพร่สะพัดไปทั่วแล้วจึงนำนางกลับไป เช่นนั้นจะต้องได้รับโทษที่ปฏิบัติหน้าที่ล้มเหลวเป็นแน่!


 


 


เมื่อองค์ชายรองถามเค้นเอาความ หลัวจือหยาจึงเอ่ยด้วยปากสั่นระริกว่า “ข้า ความจริง้าเป็นคุณหนูใหญ่จวนเจิ้นกั๋วกง เป็นคู่หมั้นขององค์ชายรองแห่งหมานเหว่ย” 

 

 


ตอนที่ 340 ทำตัวเองแท้ๆ

 

ครั้นวาจานี้เอ่ยออกมาก็เห็นประกายเย็นเยียบวูบผ่านไป ดาบวงพระจันทร์ซึ่งห้อยอยู่ที่เอวองค์ชายรองถูกยกขึ้นจ่อข้างหูหลัวจือหยาอย่างรวดเร็ว เขาแทบจะพูดออกมาอย่างคนระเบิดโทสะว่า “เจ้าพูดเหลวไหล!”


 


 


หลัวจือหยาร้อง “อ๊าก…” เสียงแหลมออกมา นัยน์ตากลอกขึ้นด้านบน


 


 


ครั้งนี้นางหมดสติไปอย่างรวดเร็ว กระทั่งเกือบจะล้มถูกดาบแต่โชคดีที่องค์ชายรองมีปฏิกิริยาว่องไวจึงสะบัดดาบออกได้ทัน


 


 


เมื่อคนที่เฝ้าอยู่ด้านนอกได้ยินเสียงก็พุ่งเข้ามา องค์ชายรองจึงเอ่ยว่า “ไปตามท่านหมอมาแล้วทำให้นางฟื้น”


 


 


เวลาแห่งการรอคอยย่อมยาวนานเป็นพิเศษเสมอ องค์ชายรองมองสตรีที่ตกใจจนหมดสติไปผู้นั้น เมื่อคิดถึงวาจาที่นางเอ่ย เขาก็สับสนวุ่นวายใจยิ่งจึงเดินวนไปมาอยู่ภายในกระโจมด้วยความหงุดหงิด กระทั่งสุดท้ายทนไม่ไหวทุบกำปั้นใส่โต๊ะตัวเตี้ยคราหนึ่ง โต๊ะตัวนั้นถูกทุบจนแตกกระจาย เศษไม้ลอยกระเด็นไปไกล


 


 


ในที่สุดก็ได้ยินเสียงท่านหมอเอ่ยว่าฟื้นแล้ว องค์ชายรองไล่ทุกคนออกไปแล้วนั่งลงข้างหลังจือหยา เขาจ้องนางแน่นิ่ง


 


 


หลัวจือหยาลืมตาขึ้นเห็นองค์ชายรองอยู่ใกล้เพียงคืบ หัวใจก็เต้นรัวเร็วอย่างมิอาจควบคุม ดวงตาของนางเบิกกว้างขึ้นอย่างที่สุด ท่าทีตกใจนั้นคล้ายคนจะหมดสติไปอีกรอบ


 


 


องค์ชายรองมิอาจอดกลั้นได้อีกต่อไปจึงเอ่ยข่มขู่ว่า “หากเจ้ากล้าหมดสติอีก ข้าจะถอดเสื้อผ้าของเจ้าให้หมดแล้วโยนเจ้าเข้าไปในฝูงหมาป่า!”


 


 


หลัวจือหยาหดตัวไปด้านหลัง นางตกใจจนฟันสั่นกระทบกัน แต่ครานี้กลับไม่กล้าหมดสติหนีไปอีก


 


 


“เจ้าช่างเป็นสตรีที่ชมชอบการโป้ปดยิ่ง ก่อนหน้านี้บอกเป็นนางกำนัลขององค์หญิง ยามนี้กลับบอกว่าเป็นคู่หมั้นขององค์ชายรอง ดูท่าข้าคงต้องพาเจ้าไปพบองค์หญิงสักคราแล้ว” องค์ชายรองโกรธแค้นนางไปจนถึงขั้วหัวใจ น้ำเสียงที่เอ่ยจึงเย็นชายิ่ง


 


 


นัยน์ตาเป็ดป่านั้นคล้ายหมาป่าที่ดื้อรั้นดุร้ายตัวหนึ่ง เมื่อสัตว์ที่มันล่าไม่เชื่อฟังก็พร้อมจะใช้เขี้ยวและกรงเล็บแหลมคมของมันฉีกกระชากเป็นชิ้นๆ


 


 


ภายใต้สายตาอันบีบคั้นนี้ หลัวจือหยาก็อดกลั้นต่อไปไม่ไหวเช่นกัน นางร้องไห้ออกมาด้วยความเจ็บปวด นางร้องไห้พลางล้วงมือเข้าไปในอกแล้วหยิบของบางอย่างออกมาส่งให้ทั้งเอ่ยสะอึกสะอื้นว่า “นี่เป็นของที่องค์ชายรองฝากบิดาข้ามาให้ข้าด้วยพระองค์เองตอนไปเป็นแขกที่จวน”


 


 


ด้วยกลัวว่าบุรุษตรงหน้าจะไม่เชื่อนางจึงรีบเอ่ยว่า “องค์ชายรองตรัสว่านี่เป็นมีดสั้นประจำประองค์ เจ้าเอาสิ่งนี้กลับไปแล้วบอกว่าบังเอิญพบเข้าตอนออกตามหาข้า เมื่อพระองค์เห็นมีดสั้นนี้แล้ว เจ้าก็จะทราบว่าข้ามิได้พูดปด ข้าเป็นคุณหนูใหญ่จวนเจิ้นกั๋วกงจริงๆ”


 


 


องค์ชายรองกลับอึ้งงันไป เขารับมีดสั้นนั้นมาด้วยอาการหน้ามืด เขามองหลัวจือหยาคราหนึ่ง แล้วกระโดดวิ่งออกไปราวพายุ


 


 


ทิ้งไว้เพียงหลัวจือหยาที่นั่งมึนงงอยู่ที่เดิม นางคิดในใจว่าบุรุษหมานเหว่ยช่างน่ากลัวเหลือเกิน จู่ๆ ก็ชักดาบออกมาโดยไม่แม้จะพูดจา ขณะกำลังสนทนากันอยู่ดีๆ กลับวิ่งออกไปอย่างบ้าคลั่ง


 


 


หลายวันมานี้นางคอยเฝ้าสังเกตอยู่ตลอด บุรุษที่เฝ้ายามพวกนั้นกินเนื้อคำใหญ่ยิ่ง แม้ว่ามันจะกึ่งสุกกึ่งดิบ บางส่วนยังมีเลือดติดอยู่ด้วยซ้ำ สมแล้วที่เป็นดินแดนอันไร้วัฒนธรรม บุรุษไม่ต่างอันใดกับสัตว์ป่าแม้แต่น้อย ไม่แปลกสักนิดที่คิดจะคลุ้มคลั่งก็คลุ้มคลั่งขึ้นมาทันที!


 


 


ขณะกำลังตกใจหวาดกลัวอยู่นั้นก็มีลมหอบหนึ่งพัดผ่านหน้าไป…องค์ชายรองกลับมาแล้ว


 


 


หลัวจือหยาตกใจจนขยับถอยไปด้านหลัง นางจ้องมององค์ชายรองเขม็งอย่างระแวดระวัง


 


 


คล้ายว่าองค์ชายรองได้วิ่งออกไประบายโทสะตนมาแล้ว อารมณ์จึงสงบลงไปมาก เขากำมีดสั้นสีทองที่ฝังอัญมณีไว้เต็มไปหมดนั้นแน่น แล้วเอ่ยถามอีกคราว่า “มีดสั้นนี้ เป็นของเจ้าจริงๆ หรือ”


 


 


“มิใช่ของข้า แล้วจะมาอยู่ที่ข้าได้อย่างไร ข้าคงไม่มีกำลังไปแย่งชิงจากผู้อื่นมาแน่” หลัวจือหยาเอ่ยอย่างเริ่มสงบสติอารมณ์ตนได้แล้ว


 


 


“เช่นนั้นเมื่อแรกเริ่มที่ข้าพบเจ้า เหตุใดเจ้าจึงไม่ยอมรับฐานะตนเล่า”


 


 


หลัวจือหยาเงียบแต่ในใจกำลังครุ่นคิดอย่างว่องไว


 


 


คนผู้นี้เป็นองครักษ์ของหมานเหว่ย ใจเขาย่อมเอนเอียงไปทางชูสยาจวิ้นจู่ผู้เป็นพระชายาขององค์ชายใหญ่ หากนางบอกว่าเป็นเพราะตนล่วงเกินชูสยาจวิ้นจู่จึงไม่กล้ากลับไปด้วยกลัวชูสยาจวิ้นจู่เอาชีวิต เขาคงรีบพานางกลับไปทันทีเพราะอยากจะได้ความดีความชอบเป็นแน่!


 


 


แล้วนางควรตอบเช่นไรดีเล่า


 


 


ใช่แล้ว…ต่างเล่ากันว่าชาวหมานเหว่ยชื่นชมรักแท้ของบุรุษกับสตรีอย่างยิ่ง…


 


 


หลัวจือหยาพลันคิดขึ้นมาได้ นางจึงเผยท่าทีเศร้าสร้อยออกมาแล้วก้มหน้าลงเล็กน้อย ทำให้ดูอ่อนแอเปราะบางยิ่ง “ความจริง…ข้ามีคนที่อยู่ในใจแล้ว…”


 


 


ใบหน้านางค่อยๆ ระบายด้วยสีแดง แล้วเอ่ยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เขาเป็นญาติผู้พี่ของข้า เราเติบโตด้วยกันมาตั้งแต่เยาว์วัย เราเคยสัญญากันว่าหากมิใช่เขาข้าจะไม่ออกเรือน หากมิใช่ข้าเขาจะไม่แต่งงาน”


 


 


“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เหตุใดเจ้าถึงยอมตกลงกับการอภิเษกครั้งนี้เล่า” องค์ชายรองคล้ายรู้สึกเห็นใจขึ้นมา น้ำเสียงที่เอ่ยจึงอ่อนลงมาก


 


 


หลัวจือหยาแค่นยิ้มขื่น “ในต้าโจวล้วนยกสิทธิ์ในการหาคู่ให้บุตรแก่บิดามารดา ไหนเลยจะมีพื้นที่ให้บุตรสาวได้พูดจา ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงข้าที่ฝ่าบาทเป็นผู้พระราชทานงานอภิเษกให้ แม้จะมีความรักกับญาติผู้พี่เพียงใด แต่เพื่อบิดามารดาข้าจึงมิอาจไม่ทำตาม”


 


 


“กล่าวเช่นนี้ หมายความว่าเจ้ามิคิดอยากจะแต่งมาอยู่ที่ดินแดนหมานเหว่ย?”


 


 


หลัวจือหยาลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วพยักหน้า “ใช่ ใจข้ามีแต่ญาติผู้พี่ เหตุใดถึงจะคิดแต่งให้กับผู้อื่นอีก พี่องครักษ์ ในเมื่อเกิดเหตุผิดพลาดจนข้าหายสาบสูญ ทั้งยังมีข่าวลือว่าตายแล้ว เช่นนั้นบนโลกนี้ก็ไม่มีคุณหนูใหญ่สกุลหลัวแล้ว ข้าขอร้องท่านล่ะ ช่วยส่งข้ากลับบ้านทีเถิด”


 


 


“เจ้าอยากกลับไปหาญาติผู้พี่?”


 


 


หลัวจือหยามองสีหน้าองค์ชายรองคราหนึ่ง แล้วยกมือขึ้นซับน้ำตาพลางเอ่ยว่า “เมื่อต้นปี ตระกูลท่านยายกระทำความผิด บุรุษอายุสิบปีขึ้นไปต่างถูกส่งไปเป็นนักโทษเสริมทัพที่ชิงเป่ยทั้งสิ้น ญาติผู้พี่ข้าเป็นหนึ่งในนั้น ชาตินี้เกรงว่าข้ากับเขาคงยากจะได้พบกันอีก แต่หากได้กลับไปเมืองหลวง ได้อยู่ในที่ที่เขาเคยใช้ชีวิตอยู่ ข้าก็รู้สึกดีใจมากแล้ว”


 


 


เอ่ยถึงตรงนี้ก็สักอึกสะอื้นออกมา หางตาเหลือบมององค์ชายรองอย่างรวดเร็วคราหนึ่ง


 


 


องค์ชายรองมีท่าทีนิ่งอึ้ง แววตายากจะแยกว่าเสียใจหรือดีใจ ทว่าบุปผาแห่งความยินดีอันงดงามนั้นได้เบ่งบานขึ้นที่มุมปากของเขาแล้ว


 


 


สตรีที่เขาหลงรักยังคงมีชีวิตอยู่!


 


 


เขาข่มกลั้นความยินดีไว้แล้วเอ่ยถามด้วยเสียงสั่นๆ ว่า “วันนั้น องค์ชายรองได้ช่วยสตรีผู้หนึ่งที่ม้าเกิดอาการตกใจ สตรีผู้นั้นเป็นคุณหนูจวนเจิ้นกั๋วกง ข้าไม่เข้าใจว่าเหตุใดคุณหนูผู้นั้นจึงกลายเป็นเจ้าได้”


 


 


“ม้าตกใจ?” หลัวจือหยาครุ่นคิดครู่หนึ่งสีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที นางเกือบจะหลุดปากออกมาว่า ‘คุณหนูจวนเจิ้นกั๋วกงอันใดกัน นั่นมันพี่สะใภ้ข้า’ แต่นางกลับกลืนคำพูดนั้นลงคอดุจภูตบอกเทพสั่ง แล้วพิจารณาองค์ชายรองด้วยแววตาสงสัย


 


 


ถึงตอนนี้แล้วนางเพิ่งจะรู้สึกได้ถึงความแปลกแปร่งของบุรุษตรงหน้า


 


 


ว่าไปแล้วหลัวจือหยาก็มิได้ไร้เดียงสาเพียงนั้น ทว่าตั้งแต่คืนที่มีมือสังหารบุกเข้าโจมตีและนางเผลอไปล่วงเกินชูสยาจวิ้นจู่เข้า นางก็ตกอยู่ในความหวาดกลัวอย่างที่สุดมาโดยตลอด ต่อมายังได้รับบาดเจ็บสาหัสอีก คนรอบตัวยังพูดภาษาที่นางไม่เข้าใจสักนิด ชาวหมานเหว่ยมิได้ใส่ใจเรื่องเสื้อผ้านัก องค์ชายรองจึงสวมอาภรณ์ที่ดูใหม่เอี่ยมกว่านักรบทั่วไปแค่เพียงเล็กน้อย ทั้งระยะนี้เอาแต่ออกมาตามหาตัวคน ทุกคราที่พบหลัวจือหยาทั้งหน้าทั้งตาก็มีแต่ฝุ่นดิน ย่อมเป็นเรื่องปกติที่นางจะมิได้คิดไปถึงฐานะองค์ชายของเขา


 


 


 องค์ชายรองเห็นสีหน้าของหลัวจือหยาก็เดาความคิดของนางได้จึงเอ่ยด้วยอารมณ์อันดียิ่งว่า “เฮ้ ข้าก็คือองค์ชายรองแห่งหมานเหว่ยที่เจ้าไม่อยากแต่งงานด้วย…”


 


 


วาจาเพิ่งจะกล่าวออกมาก็เห็นหลัวจือหยากลอกตาทำท่าจะหมดสติไปอีกแล้ว


 


 


“อย่าเป็นลมนะๆ เจ้าทำได้ดียิ่ง!”


 


 


วาจานี้ทำให้หลัวจือหยาหยุดชะงักทันที “ห๊ะ?”


 


 


นางทำดีที่ตรงไหนหรือ เหตุใดนางจึงไม่ทราบ


 


 


องค์ชายรองเกาศีรษะตนอย่างยากจะปิดบังอารมณ์ลิงโลดดีใจนั้นได้ “ข้าหมายความว่า เจ้าไม่อยากแต่งกับข้า ส่วนข้าก็อยากแต่งกับคุณหนูที่ข้าได้ช่วยไว้ในวันนั้น ตอนนี้เรามิได้แต่งงานกัน นี่มิใช่เรื่องที่ดีมากหรอกหรือ”


 


 


หากพวกเขาแต่งงานกัน เขาก็มิอาจแต่งกับคุณหนูผู้นั้นได้แล้ว แต่ตอนนี้ขอเพียงเขากลับวังไปบอกเสด็จพ่อ เสด็จพ่อต้องช่วยเขาเอ่ยขอร้องต่อต้าโจวให้เขาได้แต่งกับสตรีผู้นั้นแน่ๆ


 


 


ครานี้เขาต้องไปด้วยตนเอง จะได้ไม่มีความผิดพลาดใดเกิดขึ้นอีก!


 


 


แรกเริ่มหลัวจือหยารู้สึกอึ้งงัน ต่อมากลับมีความรู้สึกเสียใจอย่างยากจะเอื้อนเอ่ยชนิดหนึ่ง


 


 


นางไม่อยากแต่งนั้นเป็นเรื่องหนึ่ง ผู้อื่นไม่อยากแต่งกับนางก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งเช่นกัน


 


 


ช่างน่าโมโหจริงๆ!


 


 


นางลอบกัดฟันตนแล้วค่อยๆ กลืนโลหิตก้อนนั้นลงคอไป


 


 


ท่าทีขององค์ชายรองดีขึ้นมาก เขาเอ่ยถามอย่างระมัดระวังว่า “คุณหนูผู้นั้นเป็นพี่น้องของเจ้าหรือไม่”


 


 


พี่น้องอันใดกัน นั่นเป็นพี่สะใภ้ของนางต่างหาก! สตรีผู้นั้นช่างไร้ยางอายนัก แต่งงานแล้วแต่กลับยังยั่วเย้าภมรไปทั่ว!


 


 


หลัวจือหยาลอบด่าว่าอยู่ในใจคราหนึ่ง แต่ใบหน้ากลับเผยรอยยิ้มอ่อนโยนขึ้น “เวลาส่วนใหญ่หม่อมฉันมักอยู่แต่ในเรือนอ่านตำรา เย็บปักผ้า เรื่องม้าตกใจอันใดนั้นมิเคยได้ยินเลยเพคะ”


 


 


“อ้อ งั้นหรือ แต่ตอนนั้นข้าถามดู ผู้อื่นบอกว่ารถม้านั่นเป็นของจวนเจิ้นกั๋วกง” องค์ชายรองรู้สึกผิดหวัง


 


 


หลัวจือหยาเห็นเช่นนั้นก็ยิ้ม “หากเป็นรถม้าของจวนหม่อมฉันก็ควรเป็นสตรีจวนหม่อมฉัน ไม่แน่ว่านั่นอาจเป็นพี่สะใภ้เพคะ”


 


 


“พี่สะใภ้?” องค์ชายรองอึ้งงันไป ครั้นเข้าใจในความหมายของคำนั้นก็รีบส่ายหน้าเอ่ยว่า “มิใช่ ตอนนั้นข้าได้ยินสาวใช้เรียกนางว่าคุณหนู”


 


 


ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง!


 


 


หลัวจือหยายิ้มอย่างล้ำลึกมีเลศนัย “งั้นหรือ เช่นนั้นคุณหนูที่อายุใกล้เคียงกับหม่อมฉันในจวนก็มีเพียงน้องสาวซึ่งเป็นบุตรท่านอาสามแล้วเพคะ”


 


 


นางมององค์ชายรองอย่างล้ำลึกคราหนึ่งแล้วเอ่ยเน้นทีละคำว่า “นางชื่อว่าหลัวจือฮุ่ยเพคะ”


 


 


เมื่อมีข่าวว่านางตายแล้ว ภายหน้ากลับเมืองหลวงก็คงมิอาจให้คนเห็นนางในฐานะคุณหนูใหญ่จวนเจิ้นกั๋วกงได้ คงทำได้เพียงแต่แอบไปพบท่านแม่ แล้วแต่งงานไปต่างเมืองในฐานะญาติห่างๆ เท่านั้น


 


 


นางคิดดูแล้ว แม้จะเสียเปรียบอยู่บ้างแต่อย่างไรก็ดีกว่าอยู่ที่หมานเหว่ย ไม่รู้ว่าชูสยาจวิ้นจู่ที่แค้นฝังใจจะบีบให้ตายเมื่อใด


 


 


แต่อย่างไรก็รู้สึกไม่ยินยอมอยู่บ้าง


 


 


นางเป็นถึงคุณหนูใหญ่จวนกั๋วกง ไม่ว่าจะเป็นตระกูลขุนนางบรรดาศักดิ์สูงส่ง กระทั่งเชื้อพระวงศ์ มีตระกูลใดบ้างที่นางไม่คู่ควร


 


 


แต่เพราะเจินเมี่ยว สตรีอัปรีย์นั่นทำให้นางต้องตกอยู่ในสถานการณ์เลวร้ายเช่นนี้ ทำให้นางตกจากเมฆที่ลอยสูงลงมาสู่โคลนอันต่ำตม ตั้งแต่นี้ไปก็ได้แต่เก็บซ่อนชื่อสกุลตนแล้วแต่งให้กับบุรุษธรรมดาทั่วไปผู้หนึ่งเท่านั้น!


 


 


ยังมีหลัวจือฮุ่ยอีกคน นางมีสิทธิ์อันใดถึงได้รับแต่สิ่งดีๆ ตนต่างหากที่เป็นคุณหนูใหญ่ ทว่าผู้ที่ได้เป็นสหายเล่าเรียนขององค์หญิงกลับเป็นหลัวจือฮุ่ย ผู้ที่ฮูหยินลั่วรับเป็นศิษย์ก็คือหลัวจือฮุ่ย ผู้ที่หลีกเลี่ยงการแต่งงานครั้งนี้ได้ก็ยังคงเป็นนาง


 


 


สวรรค์เหตุใดจึงลำเอียงเช่นนี้!


 


 


ในเมื่อเป็นเช่นนี้นางก็อยากจะเห็นนักว่าหลังจากที่องค์ชายรองไปตามหาหญิงในดวงใจที่เมืองหลวง เขาจะขอหลัวจือฮุ่ยแต่งงานหรือเมื่อได้พบเจินเมี่ยวตัวจริงแล้วจะประกาศความในใจตนที่มีต่อสตรีอัปรีย์นั่นให้คนได้รู้กันไปทั่วหล้า


 


 


ไม่ว่าจะเป็นเช่นไรก็ต่างมีละครฉากสนุกให้ชมทั้งสิ้น


 


 


ครั้นทราบชื่อของนางในดวงใจ องค์ชายรองก็รู้สึกพอใจยิ่งจึงเอ่ยกับหลัวจือหยาอย่างเบิกบานว่า “ได้ ข้าจะให้คนไปส่งเจ้า”


 


 


ในเมื่อนางเป็นคุณหนูใหญ่ของจวนเจิ้นกั๋วกงจริงๆ หากเขาพานางกลับวังไปด้วยย่อมเป็นการหาเรื่องใส่ตัว


 


 


“บาดแผลของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง สามารถทนการเดินทางที่ถนนแสนขรุขระได้หรือไม่”


 


 


หลัวจือหยากลัวว่าหากปล่อยไปนานอาจมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอีกจึงรีบเอ่ยว่า “หม่อมฉันหายดีแล้วเพคะ”


 


 


องค์ชายรองจึงรีบจัดหารถม้าให้นางอย่างรวดเร็ว ทั้งยังเตรียมสิ่งของเครื่องใช้อย่างครบครัน รวมทั้งเสื้อหนัง เสื้อขนสัตว์อีกสอง**บ


 


 


“องค์ชายรองทรงเกรงใจเกินไปแล้ว มิต้องเตรียมของเหล่านี้ให้ก็ได้เพคะ”


 


 


องค์ชายรองเอ่ยพลางยิ้มว่า “รอจนล่วงเข้ายามสารท ชิงเป่ยก็จะหนาว เจ้าต้องได้ใช้มันแน่”


 


 


“ชิงเป่ย?” หลัวจือหยาไม่สามารถทำความเข้าใจได้ในเวลากะทันหันเช่นนี้


 


 


“ใช่แล้ว ข้าจะส่งเจ้าไปหาญาติผู้พี่ที่นั่น ต่อไปพวกเจ้าก็มิต้องแยกจากกันแล้ว” องค์ชายรองยิ้มออกมา “เจ้าไม่ต้องขอบใจข้า หากใช้ภาษาของต้าโจวเปรียบเปรย นี่เรียกว่าเราต่างได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย”


 


 


หลัวจือหยานิ่งเงียบไปนานคล้ายถูกอัสนีฟาดผ่าเข้าใส่กระนั้น


 


 


องค์ชายรองกระโดดขึ้นม้าอย่างคล่องแคล่ว แส้ที่สะบัดขึ้นทำให้เห็นพู่อันสวยงามบนแส้นั้นอย่างชัดเจน เขาโบกมือให้นาง พริบตาก็จากไปไกลลิบแล้ว 

 

 


ตอนที่ 341 ฮูหยินผู้เฒ่าล้มป่วย

 

หลัวจือหยาถูกองค์ชายรองส่งไปที่ชิงเป่ยด้วยน้ำใจอันแท้จริงเพื่อให้นางได้สมหวังกับญาติผู้พี่ ส่วนนางจะร่ำไห้จนหมดสติไปในรถม้าหรือไม่นั้นไม่มีผู้ใดทราบได้เช่นกัน 


 


 


องค์ชายรองมุ่งหน้าไปยังเส้นทางของเมืองหลวงแห่งต้าโจวอีกคราด้วยความเบิกบานใจยิ่ง จึงมิขอเอ่ยถึงเรื่องนี้ให้มากความอีก 


 


 


ยามนี้ล่วงเข้าเดือนเจ็ดแล้ว ในเมืองหลวงอากาศร้อนราวตกลงไปในกองไฟ คนบนท้องถนนก็น้อยลงไปมาก 


 


 


จดหมายที่ราชทูตของหมานเหว่ยส่งมาวางอยู่บนโต๊ะของเจาเฟิงตี้ และมันทำให้เขาโกรธเกรี้ยวอย่างยิ่ง 


 


 


ลอบสังหารองค์หญิง เห็นชัดว่านี่เป็นฝีมือของลี่อ๋อง! 


 


 


เมืองและแคว้นเล็กๆ เหล่านั้นอยู่ใกล้กับหมานเหว่ยและชิงเป่ยของต้าโจว ลี่อ๋องคิดจะก่อความวุ่นวาย แต่เมื่อต้าโจวกับหมานเหว่ยผูกไมตรีกันย่อมกระทบต่อชิงเป่ยอย่างมาก ดังนั้นเขาจึงส่งคนมาลงมือกับองค์หญิงอีกครั้ง โชคดีที่ครานี้มือสังหารทำไม่สำเร็จแต่น่าเสียดาย…คุณหนูจวนเจิ้นกั๋วกงผู้นั้นก่อนไปหลัวจือหยายังเคยมาถวายพระพรเพื่อกล่าวอำลาต่อเจาเฟิงตี้ที่หน้าประตูวังอยู่แท้ๆ เจาเฟิงตี้ย้อนคิดไปไกล เขาจำได้รางๆ ว่านางเป็นคุณหนูที่งดงามดุจภาพวาดทั้งอ่อนโยนน่าชิดใกล้ เขาถอนหายใจออกมาแล้วหยิบพู่กันร่างราชโองการฉบับหนึ่ง 


 


 


“ฝ่าบาท เหล่าขุนนางมาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีเอ่ยขึ้นอย่างระมัดระวัง 


 


 


เจาเฟิงตี้วางราชโองการที่ร่างเสร็จแล้วไว้ด้านข้างพลางเอ่ยเสียงเรียบว่า “ให้พวกเขาเข้ามา” 


 


 


หลังจากนั้นไม่นาน บรรดาขุนนางคนสำคัญก็เดินเรียงแถวกันเข้ามา 


 


 


“ขุนนางทั้งหลาย เรื่องที่หารือกันคราวก่อน มีข้อสรุปแล้วหรือไม่” 


 


 


หลี่เก๋อเหล่าเป็นคนแรกที่ลุกขึ้นเอ่ยว่า “ฝ่าบาท หม่อมฉันเห็นว่าเราไม่ควรยกเลิกการปิดการค้าทางทะเลพ่ะย่ะค่ะ สิบปีก่อนเขตทางตะวันออกวุ่นวายยิ่ง ทำให้ราษฎรเดือดร้อน กระทั่งยามนี้แม่ทัพกองพลพยัคฆ์มังกรก็ยังรักษาการณ์อยู่ที่ทางตะวันออกของเจี๋ยวเฝ่ย หากเปิดการค้าทางทะเล ผลลัพธ์นั้นยากจะคาดคะเนได้พ่ะย่ะค่ะ! ทั้งยามนี้ต้องเพิ่มทหารไปรักษาการณ์ชายแดนที่ติดกับหมานเหว่ยอีก ดินแดนทางฝั่งตะวันตกก็มีความเคลื่อนไหวอยู่เนืองๆ หากเราเปิดการค้าทางทะเลย่อมต้องแบ่งกำลังทหารไปอีก เช่นนี้หากเกิดสงครามขึ้น เราอาจลำบากได้พ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


เสนาบดีกรมพิธีการหยางอวี้เต๋อเอ่ยสนับสนุนว่า “ฝ่าบาท หม่อมฉันก็คิดว่าไม่ควรเปิดการค้าทางทะเลพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“อืม ใต้เท้าหยางมีเหตุผลใดหรือ” เจาเฟิงตี้เอ่ยถามสีหน้าเรียบเฉย 


 


 


“ทูลฝ่าบาท กฎระเบียบในดินแดนอื่นมิใคร่ครบถ้วนสมบูรณ์นัก โดยมากป่าเถื่อน แรกเริ่มที่ปิดการค้าทางทะเลก็เพราะทางฝั่งตะวันออกของเรามีการนำคนต่างแดนเข้ามามากเกินไปทำให้กระทบกับราษฎร มีการสอนวัฒนธรรมผิดๆ เกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง ทั้งบรรดาอาจารย์จากต่างแดนยังมาสร้างสำนักศึกษาเพื่อเผยแพร่แนวคิดของตนอยู่ที่นั่นอีกทำให้ราษฎรงมงายยิ่ง หากเปิดการค้าทางทะเลใหม่อีกครั้ง พายุลมครั้งนี้คงทำให้แผ่นดินเราต้องพบภัยพิบัติอันใหญ่หลวงแน่พ่ะย่ะค่ะ!” 


 


 


เจาเฟิงตี้กวาดสายตามองคนอื่นๆ 


 


 


“หม่อมฉันคิดควรเปิดการค้าทางทะเลอีกครั้งพ่ะย่ะค่ะ…เมื่อสี่ปีก่อนเกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่ที่หนานไหว เงินที่นำไปใช้ช่วยเหลือราษฎรและสร้างทุกสิ่งขึ้นใหม่นั้นมากกว่าหนึ่งล้าน กระทั่งยามนี้ท้องพระคลังยังคงว่างเปล่า หากเปิดการค้าทางทะเล แค่เก็บภาษีจากตรงนี้ก็น่าจะพอให้ท้องพระคลังเต็มแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เสนาบดีกรมพระคลังกล่าวขึ้น 


 


 


วาจาของเสนาบดีกรมพระคลังช่างตรงกับความคิดของเจาเฟิงตี้นัก เมื่อต้องเผชิญหน้ากับลี่อ๋องแห่งชิงเป่ยที่มีทหารนับแสนในมือ แต่เขากลับไม่อยากทำลายความสงบของแผ่นดินในตอนนี้ทั้งที่ทราบดีว่าลี่อ๋องคิดจะกบฏก็มิใช่เพราะเรื่องเงินหรอกหรือ เขาจึงคิดหนทางหาเงินให้ได้ก่อนสักหลายปีค่อยลงมือ 


 


 


“เราต้องยอมพาหมาป่าเข้าเรือน เพียงเพื่อเงินงั้นหรือ” หลี่เก๋อเหล่าเอ่ยอย่างมีโทสะ 


 


 


เสนาบดีกรมพระคลังสะบัดแขนเสื้อแล้วเอ่ยว่า “ไม่มีเงิน จะมีเรือนที่ป้องกันหมาป่าได้อย่างไร” 


 


 


ขุนนางทั้งหลายต่างถกเถียงกันไปมา พูดจาจนน้ำลายกระเด็นไปทั่วสารทิศ วุ่นวายไม่ต่างอันใดกับตลาดสดของชาวบ้าน เจาเฟิงตี้ที่นั่งอยู่หลังโต๊ะสะสางราชกิจยกฎีกาฉบับหนึ่งขึ้นบังหน้า สายตาจ้องมองแท่นฝนหมึกสลักลายมังกรนิ่ง แล้วเอ่ยขึ้นก่อนที่เขาจะอดขว้างมันออกไปไม่ได้ “ขุนนางทั้งหลาย เรื่องนี้ค่อยหารือกันวันหลังเถิด” 


 


 


เมื่อไล่คนออกไปหมดแล้ว เจาเฟิงตี้ก็นวดคลึงขมับที่เส้นโลหิตเต้นตุบๆ อยู่นั้นของตน พลางทอดถอนใจว่าแก่แล้วจริงๆ ในอดีตขุนนางเหล่านี้ถกเถียงกันต่อหน้าเขานับสองชั่วยาม เขายังมองด้วยความเพลิดเพลินอย่างเห็นเป็นละครฉากหนึ่ง แต่ตอนนี้กลับรู้สึกอยากจะขว้างแท่นฝนหมึกใส่ศีรษะพวกเขานัก! 


 


 


“ไปร่างราชโองการเถิด” เจาเฟิงตี้กำชับขันทีจบก็ลุกขึ้นเดินออกไปจากห้องอักษรหลวง เมื่อถึงทางแยกกลับชะงักหยุด แล้วเอ่ยว่า “ไปวังอวี้ถัง” 


 


 


ขันทีถึงกับอึ้งงันไป 


 


 


วังอวี้ถังคือพระสนมที่เคยเป็นกุ้ยเฟย แต่ต่อมาถูกลดตำแหน่งเป็นเพียงเจาอี๋…เจี่ยงเจาอี๋ ตั้งแต่เจี่ยงเจาอี๋มิได้รับความโปรดปรานแล้ว เจาเฟิงตี้ก็มิเคยย่างเท้าไปที่วังอวี้ถังอีกเลย 


 


 


เขารู้สึกแปลกใจแต่กลับไม่กล้าแสดงสีหน้าใดทั้งสิ้น เพียงเอ่ยเสียงสูงว่า “ไปวังถังอวี้…” 


 


 


เมื่อเจาเฟิงตี้ไปถึงวังอวี้ถัง วังหลังก็เกิดความวุ่นวายครั้งใหญ่ขึ้นทันที และเมื่อราชโองการไปถึงจวนเจิ้นกั๋วกง ที่นั่นก็เกิดความวุ่นวายครั้งใหญ่ขึ้นเช่นเดียวกัน 


 


 


ตอนที่ขันทีเอ่ยลากเสียงยาวในวาจาคำสุดท้ายจบลง ทุกคนต่างมีสีหน้าเปลี่ยนแปรไปอย่างยิ่ง ยกเว้นหลัวเทียนเฉิงที่ทราบข่าวมาก่อนหน้านี้แล้ว ส่วนนางเถียนนั้นถึงกับล้มพับลงกับพื้นทันทีเลย 


 


 


หลัวจือหยาได้รับการแต่งตั้งบรรดาศักดิ์เป็นเต๋อซินเซี่ยนจู่ นายท่านรองสกุลหลัวได้รับการเลื่อนขั้นเป็นเซ่าชิงใต้เท้าสูงสุดในศาลหงหลู[1] นางเถียนเองก็ได้เลื่อนขั้นจากฮูหยินขั้นหกเป็นฮูหยินขั้นห้า ยิ่งมิต้องพูดถึงเงินทองที่พระราชทานให้เลย ทว่าสิ่งของเหล่าล้วนแลกมาซึ่งชีวิตของบุตรสาวเพียงคนเดียวของนาง! 


 


 


ชั่วเวลานี้นางเถียนพลันรู้สึกว่าสิ่งที่ได้มาทั้งหมดช่างไร้ความหมาย มิทันรอให้ขันทีจากไปด้วยซ้ำนางก็ร้องไห้เจ็บปวดเสียใจออกมาทันที 


 


 


คุณชายสามยังคงอยู่ที่ค่ายทหาร คุณชายรองกำลังยุ่งอยู่กับการเตรียมสอบจึงย้ายไปพักที่สำนักศึกษาหลวงกั๋วจื่อเจี้ยนนานแล้ว เวลานี้จึงยังมิทราบข่าว 


 


 


คนที่อยู่กับนางเถียนมีเพียงคุณชายห้าที่อายุเพียงเจ็ดปี และคุณหนูสามหลัวจือเจินที่อายุมากกว่าคุณชายห้าเพียงหนึ่งปี 


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าหน้าซีดเผือดไปทันใด แต่ยังฝืนโบกมือเอ่ยเสียงเครือว่า “ไปส่งฮูหยินรองกลับเรือนก่อน” 


 


 


หลัวจือเจินกลัวนางเถียนมาตลอดนางจึงไม่กล้าเข้าไปใกล้เพียงยืนอยู่อย่างขลาดกลัว คุณชายห้าเห็นมารดาร้องไห้ปานจะขาดใจก็เข้าไปกอดแขนแล้วร้องไห้ตาม 


 


 


“ไม่ ข้าไม่ไป!” นางเถียนพลันยืนขึ้นแล้วพุ่งเข้าไปหาเจินเมี่ยวรวดเร็วปานพายุ นางยกมือขึ้นหวังจะตบหน้าเจินเมี่ยว ปากก็เอ่ยว่า “เป็นเพราะคนชั่วช้าเช่นเจ้า ทำให้หยวนเหนียง…” 


 


 


นางเวินพลันเจ็บข้อมือ วาจาที่ยังมิทันเอ่ยจุกอยู่ในคอหอยเมื่อหันไปสบเข้ากับแววตาซึ่งซ่อนไว้ด้วยโทสะของหลัวเทียนเฉิง 


 


 


“ฮูหยินรองเสียใจเกินไปทำให้ขาดสติ รีบพากลับเรือนเร็วเข้า!” หลัวเทียนเฉิงออกแรงเพียงเล็กน้อย แต่นางเถียนกลับเจ็บจนหน้ามืด นางยังมิทันจะเอ่ยสิ่งใดอีกก็ถูกประคองกลับเรือนไปเสียแล้ว 


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าถอนหายใจ หลัวเทียนเฉิงและเจินเมี่ยวประคองนางไว้คนละข้าง นางจึงค่อยๆ ก้าวเดินอย่างเชื่องช้ากลับเรือนอี๋อาน ชั่วขณะนี้ดูเหมือนนางจะแก่ชราลงไปอีกหลายปีทีเดียว 


 


 


“คิดไม่ถึงว่าหยวนเหนียงอายุยังน้อยแต่กลับต้องจากไปเช่นนี้ เป็นจวนกั๋วกงที่ผิดต่อนาง!” ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวจบก็มองเจินเมี่ยวอย่างล้ำลึกคราหนึ่ง 


 


 


เมื่อครุ่นคิดให้ลึกลงไป การที่หลัวจือหยาได้รับพระราชทานงานอภิเษกสมรสนี้ก็เป็นเพราะม้าลากรถม้าของเจินเมี่ยวเกิดอาการตกใจ ต่อให้ฮูหยินผู้เฒ่าจะเป็นคนมีเหตุผล แต่เมื่อต้องเสียหลานสาวที่ตนเห็นมาตั้งแต่เล็กแต่น้อยจากไปกะทันหันก็เกิดอารมณ์อันซับซ้อนต่อเจินเมี่ยวขึ้นมา 


 


 


มนุษย์มิใช่เทพเซียน การพาลพาโลนั้นย่อมมีในตัวทุกคน 


 


 


เจินเมี่ยวถูกฮูหยินผู้เฒ่ามองด้วยสายตาเช่นนี้ก็เกิดเสียใจและน้อยใจขึ้นมา หากเป็นนางเถียน นางยังพอจะเอ่ยได้ว่า มีเหตุจึงย่อมมีผล หากมิใช่เพราะคนควบรถม้ามีปัญหา ไหนเลยจะเกิดเรื่องม้าตกใจขึ้นได้ 


 


 


คนควบรถม้านั้นเป็นผู้ใดส่งมา คิดว่านางเถียนย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจ 


 


 


ทว่าเมื่อต้องเผชิญหน้ากับฮูหยินผู้เฒ่าที่เอ็นดูนางมาตลอด นางก็ได้แต่กลืนคำอธิบายทั้งหมดลงท้องไป นางรู้…เวลานี้ฮูหยินผู้เฒ่ากำลังเสียใจ ความจริงการพาลโกรธนางก็เป็นแค่การบันดาลโทสะอีกรูปแบบหนึ่งเท่านั้น 


 


 


นางก้มหน้าลงเล็กน้อย แต่กลับมีมือข้างหนึ่งยื่นมาตบหลังมือนางเงียบๆ เป็นการปลอบใจ 


 


 


เจินเมี่ยวช้อนตาขึ้นก็เห็นหลัวเทียนเฉิงยิ้มให้นางอย่างอ่อนโยน 


 


 


มุมปากเจินเมี่ยวหยักยกขึ้นเป็นสัญญาณว่านางไม่เป็นอันใด 


 


 


เวลานี้เอง เจินกั๋วกงก็วิ่งเข้ามา ใบหน้าเขาเต็มไปด้วยเหงื่อ กางเกงถูกพันขึ้นมาสูงถึงเข่า สองมือจับชายเสื้อห่อเข้าหาตนดั่งถุงผ้า  


 


 


เขาพุ่งเข้าไปตรงหน้าฮูหยินผู้เฒ่าแล้วแง้มฝ่ามือออกเล็กน้อยราวกับกำลังจะมอบอัญมณีให้นางกระนั้น นางจึงเห็นว่าข้างในมีดักแด้อัดแน่อยู่เต็มไปหมด 


 


 


เดิมฮูหยินผู้เฒ่านั้นเสียใจมากอยู่แล้ว เมื่อเห็นดักแด้ก็ทั้งตกใจและโมโหจึงตีไปที่มือเขาคราหนึ่ง สองมือที่จับชายเสื้อทำเป็นถุงผ้าจึงถูกปล่อยออก ดักแด้หล่นกระจายเต็มพื้นทันที 


 


 


ดักแด้ที่มีสีดำแซมเหลืองแต่ละตัวมีขนาดเท้านิ้วก้อยแล้ว สาวใช้ที่อยู่ในห้องเห็นก็ต่างขนหัวลุก แต่พวกนางได้แต่ฝืนตนมิให้เผลอกรีดร้องออกไป 


 


 


เจิ้นกั๋วกงก้มหน้าลงมองดักแด้บนพื้น แล้วหันมองสีหน้าอันย่ำแย่ของฮูหยินผู้เฒ่า พลันกระตุกแขนเสื้อฮูหยินผู้เฒ่าแล้วร้องไห้ออกมาราวกับเด็กน้อยก็มิปาน 


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าทั้งเสียใจที่ทำเช่นนั้นทั้งเสียใจที่หลานสาวจากไป อารมณ์นานาชนิดต่างประดังประเดเข้ามาพร้อมกัน ทำให้สีหน้าย่ำแย่ยิ่งขึ้นไปอีก 


 


 


“ท่านย่า หลานจะไปส่งท่านกลับห้องก่อน” หลัวเทียนเฉิงรีบเข้าไปดึงเจินกั๋วกงออก 


 


 


เจิ้นกั๋วกงหันไปทำหน้าดุดันใส่หลัวเทียนเฉิง แล้วเอ่ยด่าว่าทั้งทุบตี “เจ้าลูกสารเลว กล้ามาสั่งข้าหรือ ข้าจะตีเจ้าให้ตายเดี๋ยวนี้!” 


 


 


หลัวเทียนเฉิงมิอาจทำอันใดท่านปู่ที่เสียสติไปแล้วเช่นนี้ได้ แม้มีกำลังแต่ทำได้เพียงอยู่นิ่งๆ ให้เขาตี 


 


 


เจินเมี่ยวทนดูต่อไปไม่ได้ ทั้งกลัวฮูหยินผู้เฒ่าจะโกรธจนเป็นอันใดขึ้นมาจึงรีบเข้าไปร้องเรียกท่านปู่คำหนึ่ง 


 


 


อาจเพราะนางมักทำอาหารส่งมาที่เรือนอี๋อานบ่อยๆ ก็เป็นได้ เมื่อได้ยินเสียงนาง เจิ้นกั๋วกงกลับหยุดทุบตีคน แล้วหันมามองนางอย่างน่าสงสาร 


 


 


คงอยากกินอันใดขึ้นมาอีกแน่ 


 


 


เจินเมี่ยวชำเลืองมองดักแด้บนพื้นแล้วเกิดความคิดหนึ่งขึ้น “เราเก็บดักแด้พวกนี้ช่วยกันดีกว่า ข้าจะทอดให้ท่านกินดีหรือไม่” 


 


 


“กินได้หรือ” 


 


 


“กินได้ หอมมากด้วย” 


 


 


เจินกั๋วกงยิ้มออกมา “ดี ดี!” 


 


 


คนทั้งสองคุกเข่าก้มหน้างุดๆ เก็บดักแด้เหล่านั้นขึ้นมา 


 


 


เจินเมี่ยวพาเจิ้นกั๋วกงออกไปแล้ว 


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าจึงเก็บสายตาตนกลับมาแล้วถอนหายใจเอ่ยว่า “ต้าหลัง เจ้าก็กลับเถิด ย่าอยากพักผ่อนสักหน่อย” 


 


 


เจินเมี่ยวไปถึงห้องครัวเล็กก็จัดการทำความสะอาดดักแด้เหล่านั้น นางหั่นขึ้นฉ่ายหลายต้นหลายต้นใส่ลงไป รวมทั้งพริกหั่นฝอย ผงฮวาเจียวและเครื่องปรุงอื่นๆ แล้วผัดดักแด้จานใหญ่โดยไม่ใช้น้ำมัน 


 


 


กลิ่มหอมอันยั่วยวนของฮวาเจียวลอยคลุ้งไปทั่ว เจิ้นกั๋วกงที่รออยู่ด้านนอกอย่างว่าง่ายเริ่มกระทืบเท้าประหนึ่งถูกของร้อนลวกด้วยอดรนทนไม่ไหวที่จะได้กินสักคำ  


 


 


เมื่อเห็นเจิ้นกั๋วกงที่ไร้ความกังวลใดๆ เจินเมี่ยวก็เริ่มรู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมามาก 


 


 


“หอมจริงๆ” หลัวเทียนเฉิงไม่ทราบมาตั้งแต่เมื่อใด เขายืนพูดอยู่หน้าประตู 


 


 


เจิ้นกั๋วหงพลันโมโหขึ้นมาเป็นการใหญ่ “ภรรยาเจ้าใกล้คลอดแล้วยังมาทำอันใดแถวนี้ รีบกลับเรือนไปเดี๋ยวนี้!” 


 


 


หลัวเทียนเฉิงจึงจากไปอย่างว่าง่าย 


 


 


เจินเมี่ยวปลอบเจิ้นกั๋วกงจนสงบแล้วจึงเดินกลับเรือนชิงเฟิง 


 


 


หลัวเทียนเฉิงรอนางอยู่ตรงทางเดิน 


 


 


คนทั้งสองเดินเคียงไหล่กันไป เขาพลันเอ่ยขึ้นอย่างจนใจว่า “บางคราท่านปูก็เห็นข้าเป็นท่านพ่อ แล้วตามด้วยการด่าว่าสั่งสอน เจ้าคงมิตกใจกระมัง” 


 


 


“ไม่ ความจริงๆ ท่านปู่ก็เหมือนเด็กน้อยไร้เดียงสาผู้หนึ่งเท่านั้น” 


 


 


“เจี๋ยวเจี่ยว วันนี้ท่านย่าแค่เสียใจมากเกินไป เจ้าอย่าได้เก็บมาใส่ใจเลย” 


 


 


เจินเมี่ยวส่ายหน้า ความจริงนางอยากถามหลัวเทียนเฉิงว่าในชาติก่อนนั้น ตอนที่นางมิใช่นาง และไม่มีเรื่องม้าตกใจเกิดขึ้น หลัวจือหยาก็จากไปเช่นนี้เหมือนกันหรือ 


 


 


คิดดูแล้วก็รู้สึกว่าไม่มีประโยชน์อันใดจึงกลืนมันลงไปเงียบๆ 


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่ากลับล้มป่วยลง 


 


 


ไม่ทราบว่าเพราะอายุมากแล้วหรืออย่างไร การป่วยครั้งนี้นับวันยิ่งทรุดหนักขึ้นเรื่อยๆ 


 


 


นางกุมมือหลัวเทียนเฉิงเอ่ยว่า “ต้าหลัง ย่ากลัวว่าจะไม่ไหวแล้ว ปู่เจ้าก็เลอะเลือนไม่ต่างอันใดกับเด็กน้อยคนหนึ่ง ย่าอยากจะเขียนฎีกาสักฉบับขอให้ฝ่าบาทมอบตำแหน่งกั๋วกงให้เจ้าก่อนกำหนด” 


 


 


ครั้นวาจานี้เอ่ยออกมา ห้องทั้งห้องก็เงียบสงัดลงทันที 


 


 


 


 


 


[1] ศาลหงหลู เป็นชื่อสถานที่ของหน่วยงานราชการในสมัยโบราณ มีหน้าที่ดูแลแขกบ้านแขกเมือง และจัดการพระราชพิธีต่างๆ  

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม