บุปผาเคียงบัลลังก์ 334-341

 ตอนที่ 334 จดหมายจากทางบ้าน


 


 


แต่เมื่อกลับเข้าตำหนักอวี้หยวนแล้วหลิ่วจุ้ยก็ไม่อาจสงบใจลงได้ นางกังวลว่าตนเองจะถูกเปิดเผยแล้วถูกหวังหมัวหมัวตีจนตาย แต่นางก็กลัวว่าหากไม่ทำเช่นนั้นก็จะไม่สามารถช่วยชีวิตเซียงฉือได้


 


 


นางใช้ชีวิตอยู่ในวังมาไม่ใช่สั้นๆ สามารถไต่เต้าจากเด็กรับใช้ที่ไม่รู้อะไรเลยจนมาเป็นนางกำนัลขั้นที่หนึ่งในวันนี้ได้ ตลอดมานางเป็นคนรอบคอบระมัดระวังอาศัยความรอบคอบและฉลาดเฉลียวที่มีจำกัดของตน รักษาตนเองอยู่รอดปลอดภัยมาได้จนบัดนี้


 


 


อีกไม่กี่ปีนางจะได้ออกจากวังแล้ว นำสิ่งที่กุ้ยเฟยประทานให้กับที่ตนเก็บอดออมมาไปซื้อร้านเล็กๆ สักร้านหนึ่ง แล้วใช้ชีวิตอย่างไม่ต้องห่วงกังวล หรืออาจหาชายหนุ่มสักคนเพื่อฝากชีวิต


 


 


ถ้าหากคนคนนั้นไม่ใช่อวิ๋นเซียงฉือ นางย่อมไม่มีทางจะทำเรื่องเสี่ยงออกไปเช่นนี้


 


 


แม้นางจะรู้ดีว่ามีโอกาสสูงมากที่จะถูกเปิดเผยตัว แต่นางก็ทำลงไปแล้ว แม้จะไม่รู้อนาคต แต่นางไม่ได้สำนึกเสียใจเลย


 


 


ค่ำคืนนี้วุ่นวายโกลาหลนัก แต่ท้ายที่สุดยังคงเป็นเพียงความตระหนกที่ไม่เกิดภัย กุ้ยเฟยพิโรธจนปวดศีรษะต้องเรียกหมอหลวงเข้าตำหนักในคืนนั้น


 


 


ส่วนหวังหมัวหมัวก็ใช้แส้เฆี่ยนหลิ่วเหยียน ถึงจะไม่บาดเจ็บสาหัสนัก แต่หลายวันนี้ก็ไม่สามารถรับใช้ข้างกายกุ้ยเฟยได้


 


 


ดังนั้นการดูแลรับใช้ใกล้ชิดจึงมีเพียงหลิ่วจุ้ยกับหวังหมัวหมัวที่สลับเวรกัน


 


 


ช่วงเวลานั้นทุกคนในตำหนักอวี้หยวนต่างรู้สึกถึงอันตรายแต่ก็อยู่กันมาได้อย่างปลอดภัย


 


 


เมื่อเซียงฉือกลับตำหนักไปกับฮ่องเต้แล้วเขาก็ไม่ได้ทำให้นางลำบากอีกและอนุญาตให้นางกลับไปพักผ่อน ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เซียงฉือก็เฝ้าคอยแต่จดหมายแจ้งความปลอดภัยจากทางบ้าน ผ่านวันเวลาไปอย่างสบายไร้กังวลยิ่ง


 


 


แต่นางไม่รู้เลยว่าวันเวลาที่สงบสุขเช่นนั้นกำลังจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว


 


 


พอย่างเข้าเดือนเก้า ดอกท้อที่ยังพอมีดอกหร็อมแหร็มอยู่บ้างก็ไม่มีแล้ว มีเพียงสีเขียวเต็มต้น เซียงฉือไม่รู้สึกถึงความไม่ปกติ เพราะอากาศของที่นี่ต่างจากหลานโจวที่นางเติบโตมา


 


 


ระยะนี้ภัยแล้งที่ไหวอานได้ผ่านพ้นไปแล้ว ฝ่าบาทได้พระราชทานเสบียงและเงินบรรเทาภัยให้ใต้เท้าเถี่ยหมิงผู้มีชื่อเสียงเรื่องความสุจริตอย่างยิ่งเป็นคนคุมไปจนถึงไหวอานด้วยตนเองจึงได้บรรเทาภัยแล้งครั้งใหญ่ลงได้ ราษฎรเริ่มลงมือเพาะปลูกและสามารถผ่านพ้นชะตากรรมในปีนี้ไปได้


 


 


ฮ่องเต้ดีพระทัยมากจึงเลื่อนตำแหน่งให้เถี่ยหมิง และยังคงดีใจเช่นนั้นอยู่หลายวัน เมื่อเซียงฉือเห็นฮ่องเต้ดีใจนางก็ดีใจด้วย ระยะนี้การปรึกษาหารืองานในตำหนักเจิ้งหยางจะมีใต้เท้าหน้าดำเคร่งขรึมเพิ่มเข้ามาคนหนึ่ง ทุกครั้งเซียงฉือจะแอบอยู่ด้านหลังฉากบังลมฟังการปรึกษาเรื่องงานเมืองของพวกเขา


 


 


ถึงหรงจิงจะรู้ว่านางแอบอยู่ข้างหลังแต่ก็ไม่เคยเปิดโปงนาง คิดว่านางคงมีความสนใจใคร่รู้ บางครั้งยังจงใจถามเซียงฉือว่าสนใจใต้เท้าคนนั้นหรือ รอให้นางอายุครบยี่สิบห้าแล้วจะให้นางแต่งงานกับใต้เท้าคนนั้น


 


 


คำพูดของหรงจิงทำให้เซียงฉืออายจนหน้าแดงก่ำ นางยืดคอทำปากแข็งบอกไปว่าชีวิตนี้จะไม่แต่งงาน จะอยู่รับใช้ฮ่องเต้ทั้งชีวิตเพื่อช่วยแบ่งเบาราชกิจ


 


 


หรงจิงเห็นนางเป็นเพียงเด็กน้อย เซียงฉือเข้ากองราชเลขาตอนอายุสิบหกปี อีกไม่กี่วันก็จะสิบเจ็ดปีแล้ว มีหลายสิ่งหลายอย่างที่คล้ายคลึงกับหรงจิงเมื่อครั้งขึ้นครองราชย์ในวัยเยาว์


 


 


หรงจิงขึ้นครองราชย์ตั้งแต่อายุสิบหก เขามุ่งมั่นทุ่มเทสร้างความเจริญให้ประเทศ พออายุสิบแปดปีก็สำเร็จราชการด้วยตนเอง อายุยี่สิบปียกทัพปราบกบฎ และนำทัพอาชาเหล็กแห่งแคว้นเซียวจิ่งถล่มกองทัพหมาป่าทมิฬแห่งแคว้นหรงเสวี่ยราบคาบในวัยยี่สิบสี่ปี แคว้นหรงเสวี่ยที่ลำพองเสมอมาจึงศิโรราบไม่กล้าก่อเหตุรุกรานอีก


 


 


ขณะนี้หรงจิงอายุยี่สิบหกปี ครองราชย์มาได้สิบปีแล้ว แต่เขากลับนับวันยิ่งว้าเหว่ และยิ่งเข้าใจแจ่มชัดถึงการทอดถอนใจของพระบิดาในตอนนั้น


 


 


เป็นเพราะเหตุนี้เขาจึงได้ตามใจเซียงฉือไม่มีเจตนาบังคับนาง ขอเพียงไม่เกินเลยขอบเขตเขาก็ยินดีให้อภัย เซียงฉือเองก็รู้สำนึกต่อเขา จึงยิ่งทุ่มเททำงานที่เขาสั่งอย่างเต็มสติกำลัง


 


 


ส่วนเรื่องที่ไม่ได้สั่งหากเพียงนางสามารถทำได้ ก็จะคิดหาวิธีทำให้ดียิ่งขึ้น


 


 


แต่ไม่ว่านางจะทำอะไร มีเพียงเรื่องเดียวที่นางยังคงรอคอยมาตลอด คือการรอที่จะได้รับจดหมายแจ้งความปลอดภัยจากครอบครัวของนาง


 


 


 


 


ตอนที่ 335 จดหมายที่มาช้า


 


 


เซียงฉือรอและคอยมานานยิ่ง ทว่าจดหมายจากทางบ้านฉบับนั้นดูเหมือนจะมีความแค้นกับนางจึงไม่ยอมมาถึงมือนางสักที


 


 


หลายว่ามานี้ยิ่งขมวดคิ้วเศร้าสร้อย ร่างกายผ่ายผอมลง ทุกครั้งที่สวี่อี้เห็นเซียงฉือก็จะพูดว่า


 


 


“ไม่มี ข้าถามทางกองบริหารจัดการรวมแล้ว ไม่มี”


 


 


ท่าทางยืนยันแข็งขันของสวี่อี้ ยิ่งทำให้เซียงฉือหมดอาลัยตายอยาก


 


 


แต่ก็ยังคงรอคอยเช่นนั้นต่อไป อากาศเริ่มเย็นขึ้นแล้ว


 


 


วันนี้เซียงฉือไปหอทิงเฟิงกับฝ่าบาทเพื่อร่วมดื่มกับเหลียนชินอ๋อง แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะลมและทรายในดินแดนทะเลทรายทางเหนือรุนแรงเกินไปหรือเนื้อหมาป่ากินไม่อร่อย ใบหน้าเหลียนชินอ๋องจึงดูตอบไป


 


 


เมื่อเซียงฉือเห็นหรงเฉิงเยี่ยในตอนแรกก็ถูกดวงตาที่เหมือนหมาป่านั้นทำให้ตกใจจนต้องไปหลบอยู่หลังฮ่องเต้


 


 


“ฝ่าบาท คนเถื่อนจากแคว้นหรงเสวี่ยมาแล้ว พระองค์เสด็จนำหน้าเถิดเพคะ”


 


 


เซียงฉือรู้อยู่ก่อนแล้วว่าหรงเฉิงเยี่ยจะเข้าวังในวันนี้ ส่วนหรงจิงก็กำลังเล่าเรื่องสนุกตอนที่เขายกทัพไปรบแคว้นหรงเสวี่ยในตอนนั้น ขณะกำลังเล่าถึงคนเถื่อน หรงเฉิงเยี่ยที่หนวดเครารุงรังก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าเซียงฉือ


 


 


นางตกใจแล้วรีบแอบ ซึ่งจะโทษนางก็ไม่ได้ เพราะนิทานของหรงจิงเล่าได้เห็นภาพมาก และลักษณะของคนเถื่อนนั้นก็เป็นแบบเดียวกับหรงเฉิงเยี่ยในตอนนี้


 


 


หรงเฉิงเยี่ยเสียงแหบ เขาสวมชุดทหาร เพราะความรีบเร่ง จึงทำเอาผมของเขายุ่งไปอยู่บ้าง ความจริงเหลียนชินอ๋องที่มีใบหน้าขาวผุดผาดจัดเป็นชายงามคนหนึ่งของเมืองหลวงเลยทีเดียว


 


 


แต่ดูรูปลักษณ์ของเขาในตอนนี้ ใบหน้าดำคล้ำ หนวดเครายังไม่ทันได้จัดการโกน ริมฝีปากแห้งเป็นขุย


 


 


หรงเฉิงเยี่ยยิ้มอย่างอ่อนใจ เซียงฉือรู้ตัวได้ไวจึงรีบทำความเคารพ


 


 


จากนั้นจึงคิดจะวิ่งหนีออกไปไม่ให้ทันสังเกต ทว่าหรงจิงตาแหลม เขายิ้มแล้วพูดขึ้นว่า


 


 


“เซียงฉือ ไปนำอุปกรณ์ทำความสะอาดหน้าของข้ามา ข้าจะลงมือจัดการหน้าตาเฉิงเยี่ยให้เอง”


 


 


หรงเฉิงเยี่ยรีบบอกมิกล้า แต่ทว่าหรงจิงกระตือรือร้นอย่างยิ่งจนเขาไม่กล้าปฏิเสธอีก จากนั้นจึงถอดชุดออก เผยให้เห็นร่างกายที่กำยำ นั่งอยู่ในโถงส่องกระจกมองดูตนเองแล้วเอาแต่ส่ายหน้า


 


 


“สารรูปของกระหม่อมนี่ ทำให้เด็กๆ ตกใจง่ายจริงๆ”


 


 


หรงจิงก็ยิ้มแล้วพูดว่า


 


 


“ทำให้เด็กๆ ตกใจไม่สู้กระไรนัก แต่ถ้าทำให้สาวสวยตกใจละก็ เจ้ายังไม่ได้แต่งงานเสียด้วย จะทำอย่างไรดี”


 


 


เซียงฉือได้ยินก็ขำพรืด แต่ก็รีบสำรวมโดยเร็ว จากนั้นหลบออกไปนอกห้อง


 


 


พอออกนอกประตูก็เห็นซูกงกงยิ้มอย่างดีใจวิ่งเข้ามา


 


 


“โอ้ ใต้เท้าอวิ๋น จดหมายทางบ้านที่ท่านเฝ้าเดือนถามดาวมาถึงแล้ว เพิ่งไปถึงกองบริหารจัดการรวม ใต้เท้าสวี่ก็รีบนำมาให้ท่านแล้ว ทั้งกำชับข้าว่าต้องนำมาให้ท่านในทันทีอีกด้วย”


 


 


“ได้รับจดหมายจากทางบ้านแล้ว คราวนี้ท่านคงจะวางใจได้แล้วกระมัง”


 


 


ซูกงกงก็รู้ว่าระยะนี้เซียงฉือกังวลใจกับเรื่องที่บ้านมาตลอด ดังนั้นเมื่อได้รับจดหมายจากทางบ้านนางจึงรีบส่งมาให้


 


 


เซียงฉือมองดูอักษรสีดำบนแผ่นหนังขาว เป็นจดหมายจากทางบ้านที่บิดาเป็นคนเขียน นางดีใจจนน้ำตาไหล


 


 


กอดจดหมายจากทางบ้านไว้หัวเราะเสียงใสราวระฆังเงิน ซูกงกงได้ยินก็พลอยดีใจไปด้วย


 


 


แต่ยังไม่ทันที่เซียงฉือจะได้เปิดจดหมายก็ได้ยินเสียงเรียกจากฮ่องเต้ หรงจิงเป็นถึงฮ่องเต้ ไม่เคยต้องทำความสะอาดใบหน้าด้วยตนเอง ตอนนี้เมื่อมีอุปกรณ์วางอยู่เบื้องหน้ามากมายก็ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร


 


 


พอคิดถึงซูกงกงขึ้นมาจึงเปิดหน้าต่างรีบเรียกเขาให้เข้าไป หรงจิงเป็นถึงฮ่องเต้แต่เป็นคนประหลาด เขามีความชอบมากมายและสนใจไปเสียทุกอย่าง กับเรื่องที่เขาคิดจะทำ ยังไม่เคยมีสิ่งใดที่เขาทำไม่ได้


ตอนที่ 336 ข่าวร้าย 


 


 


เซียงฉือไม่สนใจว่าจะเกิดเรื่องอะไรข้างหลังตน นางกอดจดหมายทางบ้านไว้คิดจะรีบเปิดอ่าน แต่คิดขึ้นได้ว่ายังมีเซียงซืออยู่ในวังก็เลยรีบเร่งจะไปหานางเพื่ออ่านจดหมายด้วยกัน 


 


 


เซียงฉือรีบเร่งไปหาเซียงซือยังกองราชเลขา แต่เพียงไปถึงหน้าประตูก็เห็นเซียงซือเดินออกมาจากกองราชเลขาพอดี 


 


 


เซียงฉือยิ้มพุ่งเข้าไปหา ยังไม่ทันเข้าไปใกล้ก็ชูจดหมายทางบ้านขึ้นสูง ใบหน้ายิ้มแย้มมองเซียงซืออย่างดีใจแล้ววิ่งเข้าไป พูดแทบจะเป็นตะโกนกับเซียงซือ 


 


 


“พี่เซียงซือดูนี่ๆ จดหมายจากทางบ้านพวกเรามาถึงแล้ว!” 


 


 


พอเซียงฉือเข้าไปถึงเบื้องหน้ากลับถูกเซียงซือตบสวนกลับมาฉาดหนึ่ง 


 


 


เพียะ! 


 


 


เสียงดังก้อง เลือดซึมออกจากมุมปากอวิ๋นเซียงฉือ นางรีบยกมือขึ้นบังใบหน้า แต่พอคิดถึงจดหมาย นางไม่ต้องการให้เปรอะเปื้อนจึงเอามือออก 


 


 


เพียะ! 


 


 


เซียงซือยกมือขวา น้ำตาร่วงลงจากหางตาแล้วตบไปบนใบหน้าเซียงฉืออีกทีหนึ่ง เซียงฉือไม่เข้าใจ ทำไม นี่เรื่องอะไรกัน 


 


 


ยังไม่ทันที่นางจะทันถาม เซียงซือก็ผลักนางออกจนเซียงฉือล้มลงกับพื้น เซียงฉือกุมหน้า ญาติผู้พี่ของนางเหตุใดจู่ๆ จึงได้บ้าคลั่งขึ้นเช่นนี้ 


 


 


“พี่เซียงซือ เหตุใดจึงทำเช่นนี้” 


 


 


เซียงฉือแววตาวาวโรจน์ รู้สึกถึงกลิ่นคาวเลือดในปาก นางกำลังจะโกรธ แต่กลับเห็นเซียงซือคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าปิดหน้าด้วยท่าทางท้อแท้หมดอาลัย กัดริมฝีปากน้ำตาร่วงเผาะราวสายฝนไม่ส่งเสียงร้องใด 


 


 


เซียงฉือลนลาน นางเห็นท่าทางเซียงซือแล้วก็ลืมความเจ็บบนใบหน้าของตน ขยับตัวเข้าไปใกล้คิดจะกอดนาง แต่ถูกเซียงซือผลักออก 


 


 


“เป็นเพราะเจ้า เพราะเจ้า ล้วนเพราะเจ้าไปล่วงเกินกุ้ยเฟย ถึงได้ทำให้ท่านปู่ต้องตาย ท่านพ่อของข้าต้องตาย” 


 


 


“อวิ๋นเซียงฉือ เป็นเพราะเจ้าอวดฉลาด ทำให้พวกเราทั้งบ้านต้องตาย!” 


 


 


 “เจ้าคืนชีวิตของพ่อข้ามานะ!” 


 


 


เซียงซือมองเซียงฉือด้วยสายตาอาฆาตสุดประมาณ ชี้นิ้วใส่นาง ร่างกายสั่นเทิ้มเพราะสะกดกลั้นความเศร้าเสียใจอย่างใหญ่หลวงไว้ 


 


 


เซียงฉือได้ยินคำพูดเซียงซือแล้วดวงตาเบิกโพลง นางไม่กล้าเชื่อหูตัวเอง ไม่กล้าเชื่อ 


 


 


“ไม่ ไม่ เป็นไปไม่ได้ ฝ่าบาททรงรับปากแล้วว่าจะปล่อยครอบครัวเรากลับบ้านเกิด ฝ่าบาททรงรับปากแล้ว!” 


 


 


ขอบตาเซียงฉือแดงเรื่อ รู้สึกถึงความว่างโหวงในสมองแทบจะเป็นลมล้มพับไป นิ้วมือนางกุมหน้าอกไว้แน่น 


 


 


นางไม่กล้าเชื่อแต่ละคำพูดที่ออกมาจากปากเซียงซือ 


 


 


ขณะนั้นนัยน์ตานางเอ่อล้นไปด้วยน้ำตาแต่ยังไม่หยดลงมา ในความเลือนรางของน้ำตา นางคิดถึงจดหมายในมือขึ้นได้ 


 


 


จึงฝืนความเจ็บปวด กอดความหวังสุดท้ายนั้นไว้ รีบเปิดจดหมายอย่างร้อนรน 


 


 


เซียงซือไม่ขัดคำพูดนางและไม่วุ่นวายกับนาง เอาแต่ปิดหน้านั่งลงกับพื้นร้องไห้โฮออกมา 


 


 


เซียงฉือยกมือขึ้นปาดน้ำตาบนใบหน้า พยายามฝืนยิ้ม 


 


 


“ไม่ใช่ ไม่ใช่แน่ จะต้องไม่เป็นแบบนั้น เพียงให้ข้าได้อ่านจดหมาย ก็จะยืนยันได้ว่ามันไม่ใช่เช่นนั้น” 


 


 


เซียงฉือฉีกซองจดหมาย ดึงกระดาษสีขาวในนั้นออกมา กระดาษหนาๆ สามหน้า นางคลี่จดหมาย ไม่กล้าลืมตา ในอกสั่นระทึกอย่างรุนแรง นิ้วมือสั่นเทาอย่างควบคุมไม่ได้ 


 


 


“เป็นไปได้อย่างไร ฝ่าบาทรับปากข้าแล้วว่าจะให้ครอบครัวข้ากลับถึงบ้านเกิดอย่างปลอดภัย พวกเราไม่ใช่นักโทษอีกแล้ว ไม่ใช่นะ ท่านปู่ต้องไม่ตาย ไม่ว่าใครก็จะไม่ตาย!” 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 337 ข้อความในจดหมาย 


 


 


เซียงฉือปลอบใจตัวเองเสร็จแล้วจึงเปิดจดหมายทางบ้าน 


 


 


นางปาดคราบน้ำตาออกจึงได้เห็นตัวอักษรบนจดหมายนั้นอย่างชัดเจนบรรทัดหนึ่ง 


 


 


“จากกันแรมปีคิดถึงยิ่งนัก ทางบ้านสบายดีเจ้าไม่ต้องเป็นห่วง แต่ท่านปู่กับท่านอาเจ้าได้เสียชีวิตไปแล้ว เป็นเรื่องเศร้าสลดใจอย่างยิ่ง ขอให้เซียงฉือลูกพ่อดูแลตัวเองให้ดี อย่าให้ป่วยไข้ เจ้าอยู่หลังกำแพงวังลึกล้ำยิ่ง พ่อหวั่นเกรง…” 


 


 


ท่านปู่กับท่านอาเสียชีวิตไปไล่เลี่ยกัน ถึงแม้จดหมายในมือเซียงฉือจะหนาเป็นตั้ง แต่อ่านไปได้เพียงเท่านี้ น้ำตาก็พรั่งพรูไหลหลั่ง 


 


 


ร่างเซียงฉือระทวยอ่อนแรงอิงอยู่บนร่างเซียงซือ ทั้งคู่ส่งเสียงร่ำไห้ระงม 


 


 


เซียงซือลงมือต่อเซียงฉือที่หน้าประตูกองราชเลขา เรื่องนี้ถึงหูเหอจิ่นเซ่อในทันที แต่เมื่อนางออกมาถึงก็เห็นเซียงฉือตาลอยพิงเซียงซืออยู่ 


 


 


เซียงซือก็ขบริมฝีปากร้องไห้จนเป็นมนุษย์น้ำตา 


 


 


เหอจิ่นเซ่อหยิบจดหมายที่เซียงฉือทิ้งอยู่บนพื้นขึ้นอ่านจึงเข้าใจ ความรู้สึกเห็นใจ โกรธขึ้ง เคียดแค้นชิงชังสารพันปนเปกันแวบขึ้นมา แต่แล้วรีบเก็บอารมณ์อย่างรวดเร็ว 


 


 


ออกคำสั่งไปว่า “เป็นตอไม้กันหรือไร ยังไม่รีบพยุงคนเข้าไปในห้องอีก” 


 


 


สิ้นคำสั่งเหอจิ่นเซ่อ ทั้งคู่ก็ถูกคนในกองราชเลขาหามกันออกไปคนละไม้ละมือ 


 


 


ร่างเซียงฉือเหมือนถูกถอดกระดูกออกไปหมด สายตานางว่างเปล่า มีเพียงน้ำตาที่หลั่งริน ไร้ปฏิกิริยาตอบสนอง 


 


 


เหอจิ่นเซ่อจัดให้เซียงฉืออยู่ในห้องของตน ไม่ใช่เพราะนางเจตนาจะดูแลเซียงฉือ แต่เพราะเซียงฉือเป็นข้าราชสำนักสตรีงานอักษร ห้องของนางอยู่ในตำหนักเจิ้งหยาง 


 


 


เหอจิ่นเซ่อประคองนางไปถึงห้องแล้วให้เอนบนเตียงตน นางอ่านจดหมายจากทางบ้านฉบับนั้นแล้วก็ลอบถอนใจ 


 


 


เพียงครู่เดียวเซียวอวี๋หรงผู้เปรียบเสมือนแขนซ้ายขวาของเหอจิ่นเซ่อก็รีบนำจดหมายฉบับหนึ่งเข้ามารายงาน 


 


 


ฉบับนี้เป็นจดหมายจากมารดาอวิ๋นเซียงซือที่เขียนถึงเซียงซือ ในจดหมายพูดถึงว่าขณะครอบครัวเดินทางกลับบ้านเกิดนั้น ระหว่างทางมีพวกพลทหารคอยกลั่นแกล้ง ทำร้ายท่านปู่อวิ๋นเทียนบนถนนจนบาดเจ็บสาหัส อวิ๋นฉือบิดาของอวิ๋นเซียงซือถูกตีตายในทันที ส่วนอวิ๋นเฉิงบิดาอวิ๋นเซียงฉือเพราะเดินทางกลับไปเตรียมการก่อน จึงรอดพ้นจากวิบากในครั้งนี้ 


 


 


อักษรทุกตัวดั่งเพลิงเผาใจ ทำให้เหอจิ่นเซ่อที่ได้อ่านถึงกับสะเทือนใจน้ำตาไหล แต่เหตุใดมารดาของอวิ๋นเซียงซือจึงได้จงใจโทษการตายของอวิ๋นฉือบิดานางไปที่อวิ๋นเซียงฉือ 


 


 


ความจริงฝ่าบาททรงมีราชโองการความว่า เพราะสงสารเด็กและคนชราจึงทรงอนุญาตให้กลับภูมิลำเนาเดิมได้ มีเพียงเซียงซือกับเซียงฉือสองคนที่เป็นข้าราชสำนักสตรีไปแล้วไม่อาจกลับ ส่วนคนอื่นๆ ในครอบครัวรวมทั้งมารดาของเซียงซือก็ได้ถูกส่งตัวจากสำนักแรงงานกลับไปแล้วเช่นกัน 


 


 


สกุลอวิ๋นมีทายาทน้อยยิ่งอยู่แล้ว อวิ๋นเทียนผู้เป็นประมุขมีบุตรชายสองคนหญิงหนึ่งคน บุตรชายคนโตอวิ๋นเฉิง ภรรยาเสียชีวิตขณะคลอดบุตรเมื่อห้าปีที่แล้ว มีบุตรชายหนึ่งหญิงหนึ่ง บุตรสาวคนโตอวิ๋นเซียงฉืออายุสิบหกปี บุตรชายคนเล็กอวิ๋นห้าวอายุเพียงห้าปี เด็กน้อยเยาว์วัยต้องติดตามอวิ๋นเฉิงและคนอื่นๆ ไปยังดินแดนตะวันตกเฉียงเหนือที่หนาวกันดารในครั้งนั้นด้วย 


 


 


บุตรชายคนรองอวิ๋นฉือเกิดจากภรรยารอง เป็นบิดาของเซียงซือ เซียงซือมีน้องสาวอีกคนหนึ่งอายุเพียงแปดขวบ ในตอนนั้นเพราะยังอายุน้อยจึงถูกส่งไปยังกองฝึกอบรม เพื่อฝึกสอนเตรียมนางไว้เป็นนางรำ และครั้งนี้ก็ได้กลับบ้านเกิดไปพร้อมมารดาด้วย 


 


 


ส่วนบุตรสาวเพียงคนเดียวอวิ๋นเหอได้แต่งงานและติดตามสามีไปยังแคว้นเยี่ยกวน เงียบหายไม่มีข่าวคราวมาหลายปีแล้ว 


 


 


ตอนนี้ทายาทบ้านสกุลอวิ๋นจึงเหลือเพียงบิดาเซียงฉือกับลูกชายอวิ๋นห้าวที่ดูแลกัน ส่วนมารดาของเซียงซือนางหวังซื่อได้ฝากฝังเซียงหมิงน้องสาวเซียงซือกับอวิ๋นเฉิงแล้ว ไม่รู้ไปอยู่ที่ใด 


 


 


เหอจิ่นเซ่อเมื่ออ่านจดหมายทั้งสองฉบับแล้วอัดอั้นไปทั้งใจ 


ตอนที่ 338 วิเคราะห์ 


 


 


เหอจิ่นเซ่อทุบอก ใช้แรงที่นิ้วเล็กน้อยทุบจนอกดังโครมคราม 


 


 


“รังแกกันเกินไปแล้ว!” 


 


 


เหอจิ่นเซ่อไม่ได้บันดาลโทสะมานานแล้ว แต่ขณะที่นางกล่าวคำนี้ออกมาถึงกับขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน เซียวอวี๋หรงก็ได้อ่านจดหมายฉบับนี้แล้วเช่นกัน 


 


 


สตรีเช่นพวกนางล้วนได้รับการฟูมฟักเลี้ยงดูอย่างทุ่มเทจากวงศ์ตระกูล ส่วนมากจะเป็นบุตรสาวสายตรงของครอบครัว ได้รับการอบรมสั่งสอนจากครอบครัวตั้งแต่เล็ก ให้รู้จักปกป้องวงศ์ตระกูลและคนในตระกูล 


 


 


เซียงฉือก็เป็นเช่นนั้น นางดิ้นรนสุดชีวิต แม้จะได้รับความอยุติธรรมอย่างไรก็ไม่โวยวาย เพียงปรารถนาจะให้คนในครอบครัวปลอดภัย 


 


 


แต่ต้องมาเป็นเช่นนี้ 


 


 


เซียงฉือเอนนอนอยู่เช่นนั้นอย่างสงบ ดวงตาเบิกโพลง ผ้าเช็ดเหงื่อทั้งสองข้างเปียกชุ่มไปหมด เหอจิ่นเซ่อไม่ทำอะไรให้สะเทือนอารมณ์นางอีก นางกระซิบสั่งความข้างหูเซียวอวี๋หรง 


 


 


“เจ้าไปขอให้ข้าราชสำนักสตรีกองโอสถจัดและปรุงยากล่อมประสาทมา บอกว่าระยะนี้ข้านอนไม่ค่อยหลับก็แล้วกัน ขอให้พวกเขาช่วยสักหน่อย จากนั้นไปกองคดีเชิญใต้เท้าสวี่อี้มาสนทนากันด้วย” 


 


 


เหอจิ่นเซ่อมองดูเซียงฉือที่ด้านหลัง รู้ว่าจิตใจนางตอนนี้ปวดร้าวขนาดไหน และนางในขณะนี้ไม่สามารถรับความจริงนี้ได้ เหอจิ่นเซ่อเชื่อว่าเพียงให้เวลานาง จะต้องดีขึ้นอย่างแน่นอน 


 


 


แต่ไม่รู้ว่าเวลาเช่นนี้จะนานเท่าไร แน่นอนว่าเหอจิ่นเซ่อย่อมไม่กำจัดนางออก แต่ช่วงจากนี้ไป เซียงฉือคนนี้ได้แตกสลายไปเสียแล้ว 


 


 


สิ่งที่น่ากลัวที่สุดในวังนี้คือการเป็นคนท้อแท้สิ้นหวัง ไร้จิตใจตายด้าน นางกำลังโทษและเกลียดตัวเอง สำนึกเสียใจในสิ่งที่ตนทำลงไป ซึ่งจะทำให้นางหลงทางได้ง่ายที่สุด 


 


 


เหอจิ่นเซ่อกลับอยากให้เซียงฉือคลุ้มคลั่งร้องไห้อาละวาดในเวลานี้ ซึ่งจะดีกว่าให้นางทรมานตนเองอยู่เช่นนี้ 


 


 


เซียวอวี๋หรงทำงานได้คล่องแคล่วยิ่ง ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นที่หน้าประตูกองราชเลขาจึงสงบลงอย่างรวดเร็ว และจะไม่มีใครพูดเรื่องนี้สู่ภายนอก ส่วนเซียงฉือยังคงแหงนมองเพดานห้องด้วยสายตาเฉยเมย 


 


 


นางฟังคำพูดของอวิ๋นเซียงซือแล้วก็จมลงสู่การตำหนิตนเองอย่างลึกล้ำ 


 


 


ความรู้สึกนั้นเหมือนเป็นการที่นางปิดกั้นตัวเอง หลบไปแอบร้องไห้อยู่ในห้องเล็กและมืด สวี่อี้มาถึงอย่างรวดเร็ว พอเห็นสภาพเซียงฉือก็ถึงกับตกใจ 


 


 


เหอจิ่นเซ่อเล่าเรื่องทั้งหมดให้นางฟัง ในเวลาเช่นนี้ทั้งคู่ไม่อาจมัวพะวงกับเรื่องกฎมารยาทจึงได้อ่านจดหมายส่วนตัวของเซียงฉือ 


 


 


สวี่อี้ไม่ใช่เหอจิ่นเซ่อ นางไม่เหมือนคนอื่นที่อ้อมค้อม ตลอดมานางทำงานอย่างแยกแยะบุญคุณความแค้น เรื่องนี้เห็นชัดว่าเป็นการแก้แค้นของกุ้ยเฟย 


 


 


และนางก็ไม่ใช่คนโง่ อักษรทุกตัวของมารดาอวิ๋นเซียงซือล้วนกล่าวหาว่าเป็นเพราะอวิ๋นเซียงฉือปากมาก ทำให้ครอบครัวของพวกนางต้องถูกทำร้าย 


 


 


เมื่อเป็นเช่นนี้จึงมีเพียงสองสาเหตุเท่านั้นที่ทำให้มารดาของอวิ๋นเซียงซือพูดออกมาเช่นนี้ 


 


 


ประการแรกคือมีคนต้องการให้นางพูดเช่นนั้นหรืออาจมีคนเขียนแทน เรื่องนี้จะต้องให้อวิ๋นเซียงซือพิสูจน์ว่าเป็นลายมือของมารดานางจริงหรือไม่ แต่เมื่อพิจารณาตัวอักษรแล้วดูไม่เหมือนลายมือสตรีนัก 


 


 


ประการที่สอง ขณะเกิดเรื่องนี้คนที่ลงมือฆ่าได้บอกออกไปว่าเป็นเพราะเซียงฉือปากมากจึงมาแก้แค้น แต่ก็ยังปล่อยแม่และน้องสาวเซียงซือให้รอด อีกทั้งยังมีจดหมายลักษณะนี้ผ่านทางกองบริหารจัดการมาได้อย่างเปิดเผยโดยไม่ตกถึงมือกุ้ยเฟย ทั้งตัดหน้าอวิ๋นเซียงฉือไปตกถึงมืออวิ๋นเซียงซือก่อนอีกด้วย 


 


 


แต่ความเป็นไปได้ในข้อนี้มีไม่มาก เหอจิ่นเซ่อจึงตัดทิ้งไป 


 


 


นางคิดถึงความเป็นไปได้ข้อแรก คิดถึงนางหวังซื่อมารดาอวิ๋นเซียงซือ เมื่อนางนำบุตรสาวไปฝากที่บ้านพี่สามีแล้ว ตัวเองก็หายไปไร้ร่องรอย เรื่องนี้น่าสงสัยอย่างยิ่ง 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 339 แก้ไขด้วยตนเอง 


 


 


เหอจิ่นเซ่อวิเคราะห์ออกมาเช่นนี้ สวี่อี้คอยปะติดปะต่อเรื่องราว จนท้ายที่สุดก็ปรากฏรูปคดีที่สมบูรณ์ออกมา 


 


 


เพราะฝ่าบาทสงสารเซียงฉือที่ถูกคนจับไปจึงใช้โอกาสนี้อภัยโทษให้ครอบครัวนาง จุดประสงค์สำคัญคือเพื่อไม่ต้องการให้เซียงฉือถูกคนอื่นควบคุม เรื่องนี้สามารถเข้าใจได้ 


 


 


แต่เพราะเหตุนี้ทำให้กุ้ยเฟยไม่พอพระทัยซึ่งก็เข้าใจได้โดยไม่ต้องอธิบายเช่นกัน ดินแดนแถบตะวันตกเฉียงเหนือเป็นถิ่นของครอบครัวเดิมจินกุ้ยเฟย จึงเหมือนไม้ใหญ่ที่หยั่งรากลึกลงในดินแดนนั้น ส่วนคนในครอบครัวอวิ๋นเซียงฉือเป็นเพียงนักโทษของราชสำนักเท่านั้น 


 


 


เมื่อเหอจิ่นเซ่อคิดเช่นนี้ก็อธิบายได้อย่างชัดเจน จินกุ้ยเฟยเพียงเขียนจดหมายแจ้งเรื่องที่เกิดขึ้นในวังแก่ทางบ้าน ขุนพลใหญ่สกุลจินที่ใส่ใจแต่คนในครอบครัวตนโดยไม่สนใจคนอื่นตลอดมาย่อมต้องการแก้แค้นให้บุตรสาว 


 


 


เมื่อเป็นเช่นนี้ คนที่ฆ่าบุตรชายคนรองบ้านสกุลอวิ๋นและทำร้ายอวิ๋นเทียนปู่ของเซียงฉือบาดเจ็บสาหัสกระทั่งเสียชีวิตในที่สุดก็คือคนทางบ้านของกุ้ยเฟยเป็นการกระทำของจวนขุนพลจิน 


 


 


เช่นนั้นเรื่องนี้ก็หนักหนาเสียแล้ว หากไปทูลฮ่องเต้ จะกลายเป็นเรื่องท้าทายพระราชอำนาจที่รุนแรงที่สุดเลยทีเดียว 


 


 


แต่ในตอนนี้เป็นเพียงการคาดเดาของเหอจิ่นเซ่อกับสวี่อี้เท่านั้น ทั้งคู่ยังไม่มีหลักฐานแน่ชัดจึงได้แต่เพียงคิดกันไปโดยไม่กล้าทูลฮ่องเต้ 


 


 


เรื่องที่ยังไม่ได้ตรวจสอบแน่ชัดก็ไปกราบทูล นั่นมิเท่ากับไปรนหาความตายหรอกหรือ ฝ่าบาทต้องสะสางราชกิจมากมายในแต่ละวัน จะมีเวลามาสนใจเรื่องเล็กน้อยที่ไม่มีความสำคัญได้อย่างไร 


 


 


ดังนั้นพวกนางต้องหาหลักฐานเสียก่อน เพื่อมัดจินกุ้ยเฟยให้ดิ้นไม่หลุด จึงจะจัดการได้อยู่หมัด มิเช่นนั้นเรื่องนี้ด้วยความสัมพันธ์ของจินกุ้ยเฟยกับไม้ใหญ่รากลึกนั่นแล้วย่อมสามารถปัดออกไปให้พ้นตัวได้ 


 


 


แม้จะคิดและมีแผนการแล้ว แต่ท่าทางของเซียงฉือที่เอาแต่จ้องมองด้วยสองตาเบิกโพลงไปบนมุ้งลายดอกบัวในทะเลสาบสีครามเหนือเตียงนอนนั้นก็ทำให้สวี่อี้ทอดถอนใจ นางมองเหอจิ่นเซ่อ ถอนใจแล้วเคาะนิ้วลงบนโต๊ะ แหวนทองบนนิ้วชี้ส่งเสียงเป็นจังหวะ 


 


 


“จะทำอย่างไรกับนางดี จะทูลฝ่าบาทอย่างไร” 


 


 


สวี่อี้ถามเหอจิ่นเซ่อ แล้วยังคงเคาะนิ้วเป็นจังหวะ แหวนวงนี้ไม่ใช่อื่นใด แต่เป็นลูกกุญแจของแม่กุญแจชนิดพิเศษดอกหนึ่งของกองคดี 


 


 


มันมีชื่อว่ากลอนวงแหวน เป็นกุญแจสำหรับไขตู้ใส่เอกสารที่เก็บเอกสารสำคัญต่างๆ และที่สำคัญที่สุดคือบันทึกเรื่องราวที่ทางกองคดีจัดการให้ฮ่องเต้เป็นพิเศษ 


 


 


เป็นความลับที่ใหญ่ที่สุดในวังตลอดหลายปีที่ผ่านมาและตอนนี้ตกมาอยู่ในมือสวี่อี้ ซึ่งหมายความว่าหรงจิงมีความตั้งใจจะส่งเสริมนาง แสดงออกให้รู้ว่าจะให้นางเป็นผู้สืบทอดกองคดีคนต่อไป 


 


 


เสียงเคาะแต่ละทีๆ เป็นเสียงทุ้มลึก ให้ความรู้สึกคล้ายแม่กุญแจใหญ่โบราณกำลังค่อยๆ ไขออก 


 


 


เหอจิ่นเซ่อได้ยินเสียงนั้นจึงจับมือนางขึ้นมา 


 


 


“ฝ่าบาททรงมอบแหวนใคร่ครวญแก่เจ้าแล้ว สวี่อี้ หน้าที่ของเจ้าจะสำคัญขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเจ้าควรจะรู้ว่าในวังนี้ คนที่จะช่วยได้นั้นก็มีแต่ตัวเอง” 


 


 


“ข้าได้ทูลขอลางานให้นางจากฝ่าบาทหนึ่งวันแล้ว พรุ่งนี้ก็นำนางไปทิ้งไว้หน้าประตูตำหนักเจิ้งหยาง และถ้าหากนางยังคงอยู่ในสภาพนี้ เช่นนั้นก็ให้บิดากับน้องชายคนเล็กที่ยังเหลืออยู่ของนางถูกฝังไปพร้อมกับนางด้วยเลยก็แล้วกัน” 


 


 


ความร้ายกาจของเหอจิ่นเซ่อ ไม่อาจกล่าวได้ว่าไม่อำมหิต แต่คำพูดเช่นนี้ในเวลาแบบนี้กลับมีประสิทธิภาพที่สุด 


 


 


เพราะเซียงฉือกำลังโทษตนเอง นางไม่รู้ว่าตนเองทำผิดที่ตรงไหน เหตุใดจึงได้ลงเอยเช่นนี้ ท่านปู่ของนางตายแล้ว 


 


 


เรื่องที่ท่านปู่ของนางเสียชีวิตไปแล้ว ความจริงในเรื่องนี้นางจำต้องใช้เวลาเพื่อยอมรับ


ตอนที่ 340 เหมือนดั่งความฝัน 


 


 


เซียงฉือไม่ได้แค่จ้องมองอย่างเซื่องซึมเท่านั้น ใจของนางเจ็บปวดอย่างยิ่ง คนอื่นไม่เข้าใจ ตอนนางเกิดมายังไม่ครบสามเดือน อวิ๋นเฉิงผู้เป็นบิดาก็ถูกย้ายไปรับตำแหน่งซือหม่าขุนนางขั้นเจ็ดที่ชิงโจวซึ่งชิงโจวอยู่ห่างจากหลานโจวเป็นพันลี้ 


 


 


บิดาเมื่อได้รับราชโองการก็ไม่กล้ารีรอ แต่เพราะเซียงฉือร่างกายอ่อนแอจึงต้องทิ้งไว้ให้อยู่ข้างกายท่านปู่ โดยมีแม่นมนางสวี่ซื่อเป็นผู้ดูแล บิดาหลังจากไปรับตำแหน่งแล้วก็ราบรื่นเสมอมากระทั่งได้เลื่อนขึ้นเป็นผู้ว่าการชิงโจว เป็นขุนนางขั้นที่ห้าของราชสำนัก มารดาก็ให้กำเนิดน้องชาย ส่วนนางใช้ชีวิตอยู่ข้างกายท่านปู่มาโดยตลอด 


 


 


ตรุษจีนของทุกปีนางจะได้พบกับบิดาแต่ทว่าไม่สนิทนสมนักไม่เหมือนกับท่านปู่ เป็นเวลานานในบ้านเก่าหลังนั้นที่มีเพียงเซียงฉือกับท่านปู่และเซียงฉือกับเหอเจี่ยนสุย 


 


 


เซียงฉืออยู่เป็นเพื่อนท่านปู่ และท่านปู่ก็ดูแลเซียงฉือ พวกนางเป็นเหมือนดั่งคนคู่ที่พึ่งพาอาศัยกันดุจดั่งต้นไม้ใหญ่กับนกน้อย 


 


 


เซียงฉือค่อยๆ เติบใหญ่ภายใต้การดูแลของท่านปู่ ท่านปู่ตั้งความหวังกับนางไว้สูงมาก ไม่ว่าเรื่องอะไรจะต้องทำให้ดีที่สุด และนางก็ไม่เคยทำให้ท่านปู่ผิดหวัง 


 


 


บ่อยครั้งคนที่นางห่วงใยที่สุดคือท่านปู่ ถึงแม้จะเป็นความสัมพันธ์ข้ามรุ่น แต่คนที่เซียงฉือใส่ใจที่สุดก็ยังเป็นท่านปู่ของนาง 


 


 


แต่ตอนนี้ได้รับข่าวการเสียชีวิตของท่านปู่ ทั้งเซียงซือยังพูดออกมาทุกคำว่านางเป็นคนทำให้ท่านปู่ต้องตาย นางเสียใจและเจ็บปวดใจ ตำหนิตนเอง กลายเป็นความโศกเศร้าที่จะไม่อาจแบกรับไหว 


 


 


กดทับอกนางจนปวดร้าวแทบหายใจไม่ออก 


 


 


เป็นครั้งแรกที่เซียงฉือหวาดกลัววังลึกล้ำแห่งนี้ นางค่อนข้างตามใจตัวเองเสมอมา ตอนอยู่ในตำหนักอวี้หยวน การอยู่กับกุ้ยเฟยก็เหมือนกับการได้พบกับครูผู้สอน เสแสร้งทำท่าทางหัวอ่อนเชื่อฟัง ทำให้คนสงสาร 


 


 


ส่วนอยู่กับฮ่องเต้ก็เหมือนอยู่กับท่านปู่ ซึ่งถึงแม้จะเข้มงวดต่อนางแต่ก็ใช่ว่าจะไม่เอ็นดูนาง และทั้งยังเริ่มรู้จักกันตั้งแต่ก่อนหน้านั้นในฐานะของทหารองครักษ์อีกด้วย 


 


 


แต่เซียงฉือมักเข้าใจผิด ถึงเขาจะเป็นแบบท่านปู่ แต่ว่าการจัดการงานต่างกัน ถึงจะปฏิบัติต่อนางไม่แตกต่างก็ตาม 


 


 


นางลืมไป เพราะความเข้าใจผิดนี้ทำให้นางลืมไปว่าคนพวกนี้ สถานที่แห่งนี้ เป็นศูนย์กลางของอำนาจในโลกนี้ 


 


 


คำพูดเพียงคำเดียว การเคลื่อนไหวเพียงครั้งเดียวของพวกเขา สามารถทำให้ชีวิตคนนับพันนับหมื่นเปลี่ยนแปลงตลอดไป 


 


 


นางลืม กุ้ยเฟยไม่ใช่ครูสอนที่เข้มงวด แต่เป็นหญิงในวังนี้ที่สามารถปิดฟ้าได้ด้วยมือเพียงข้างเดียว ใจคอโหดเ**้ยมน้ำมืออำมหิต 


 


 


ฝ่าบาทนั้นเป็นถึงเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน เซียงฉือคิดเสมอมาว่าขอเพียงได้รับความรักและเชื่อถือจากพระองค์ พระองค์ก็จะเป็นดั่งร่มใหญ่ที่สุดที่จะปกป้องนางได้ เป็นเสมือนอ่าวอันอบอุ่นสำหรับให้นางใช้หลบลมได้ตลอดเวลาไม่เหมือนท่านปู่ 


 


 


บางครั้งนางทำผิด และยังเป็นความผิดที่ใหญ่มหันต์ 


 


 


ฝ่าบาทมีความยิ่งใหญ่ เพียงคำพูดของเขาประโยคเดียว พระราชโองการฉบับเดียวก็สามารถตัดสินคนคนหนึ่ง วงศ์ตระกูลหนึ่ง เมืองเมืองหนึ่งให้ดำรงคงอยู่หรือสลายไปได้ 


 


 


เขาสูงส่งสุดประมาณขนาดนั้น หาใช่ที่นางจะสามารถสนิทสนมเคารพนับถือได้ นางไม่รู้ว่าตนเองหุนหันเพียงใด แต่ความหุนหัน ความเข้าใจผิดของนาง ทำให้ท่านปู่ต้องตาย 


 


 


นางเป็นคนบาป เป็นคนบาปตราบนิรันดร์ นางควรไปขอขมาต่อเบื้องหน้าท่านปู่และท่านอา นางควรต้องคุกเข่ากระทั่งหัวเข่าติดไปกับพื้น คุกเข่าอยู่อย่างยาวนานโดยไม่ลุกขึ้น แต่ถึงจะทำเช่นนั้นนางก็ไม่สามารถยกโทษให้กับความโง่เขลาและหุนหันของตนเองได้ 


 


 


เซียงฉือตำหนิตนเองอย่างรุนแรง 


 


 


แต่สมองนางตื่นขึ้นแจ่มชัดทันทีที่ได้ยินเสียงนิ้วเคาะโต๊ะของสวี่อี้ เสียงติงตังนั้นเหมือนกับเสียงท่านปู่ใช้ไม้เคาะโต๊ะขณะที่นางฝึกหัดคัดหนังสือเป็นอย่างยิ่ง 


 


 


นางตื่นขึ้นมาขณะหนึ่ง ราวกับวิญญาณจากแดนไกลกลับเข้าสู่ร่าง สิ่งที่ผ่านมาเมื่อครู่เหมือนดั่งความฝัน 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 341 รู้สึกตัว 


 


 


เซียงฉือลุกขึ้นนั่งทันใด ทำให้เหอจิ่นเซ่อกับสวี่อี้ที่อยู่ในห้องถึงกับตกตะลึงหันไปมองนาง จากนั้นวิ่งเข้าไปหาอย่างดีใจ 


 


 


คำพูดของเหอจิ่นเซ่อเข้าถึงหูของเซียงฉือ 


 


 


“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ดีขึ้นบ้างไหม เรื่องของทางบ้านก็ระงับความโศกเศร้าแล้วยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นเถิดนะ ในเมื่อเรื่องก็เกิดขึ้นมาแล้ว มีเพียงเผชิญหน้ารับความจริง ที่เจ้าควรทำในตอนนี้คือลุกขึ้นแล้วไปจุดธูปไหว้ท่านปู่กับท่านอาเจ้า โขกศีรษะคำนับสามครั้ง” 


 


 


เหอจิ่นเซ่อกอดไหล่เซียงฉือไว้ สัมผัสร่างกายที่เย็นราวน้ำแข็งของนาง ดุจร่างที่จมอยู่ในส่วนลึกสุดในทะเลสาบที่เหน็บหนาวเข้ากระดูก 


 


 


เหอจิ่นเซ่ออดไม่ได้ต้องกอดนางแนบแน่น เมื่อเห็นดวงตานางค่อยๆ แจ่มใสขึ้นจึงพูดต่อ 


 


 


“ในวังมีข้อห้ามเผากระดาษเงินกระดาษทอง ไม่อนุญาตให้สวมชุดปอไว้ทุกข์ แต่นอกเหนือจากนี้หากเจ้าต้องการทำให้เต็มพิธีก็สามารถทำได้ จะไว้ทุกข์สามปีก็ได้ แต่ขอให้เจ้ามุ่งมั่นขึ้นมา เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดเจ้า ไม่ใช่เลย” 


 


 


ตอนนั้นที่เหอจิ่นเซ่อไปถึง เซียงซือกำลังกล่าวโทษโยนความผิดให้เซียงฉืออย่างเอาเป็นเอาตาย ซึ่งเป็นเรื่องแปลก นางเข้าใจเซียงฉือและรู้ว่าสิ่งที่นางเจ็บปวดที่สุดนั้นคือนางคิดว่าตนเองเป็นคนทำให้ท่านปู่ต้องตาย 


 


 


หากเป็นเช่นนั้นย่อมเป็นไปได้มากว่านางจะทรุดลงจนลุกไม่ขึ้นอีก ซึ่งนางจะต้องทำให้นางเข้าใจว่านี่ไม่ใช่ความผิดของนาง ให้นางหลุดออกมาจากเงามืดแห่งการตำหนิติโทษตนเอง 


 


 


เมื่อครู่สวี่อี้ได้ยินทั้งหมดและเข้าใจเจตนาของเหอจิ่นเซ่อจึงรีบพูดเสริมขึ้นมา 


 


 


“เซียงฉือ เจ้าอย่าได้ทำเรื่องโง่ๆ นะ แล้วก็คิดให้ตกด้วย เจ้าหมดอาลัยท้อแท้ ตำหนิโทษตัวเองแบบนี้ มีแต่จะทำให้พวกที่ทำร้ายท่านปู่เจ้าสุขสบายไปเท่านั้นเอง” 


 


 


“เจ้าจะต้องกระตือรือร้นขึ้นมา จะต้องแก้แค้นให้ท่านปู่ของเจ้านะ” 


 


 


เมื่อเซียงฉือได้ยินประโยคนี้ดวงตาก็ตะลึงงัน นางไม่เข้าใจว่าเหตุใดจึงพูดเช่นนั้น แก้แค้น คำนี้มาจากไหน นางควรไปแก้แค้นใครและทำอย่างไร ก็นางไม่ใช่หรือที่เป็นเพชฌฆาต 


 


 


น้ำตาของเซียงฉือยิ่งไหลนอง นางปิดหน้าร่ำไห้เสียงดังออกมาเป็นครั้งแรก 


 


 


เหอจิ่นเซ่อห้ามสวี่อี้ไม่ให้พูดต่อแล้วหันไปกอดเซียงฉือไว้ 


 


 


“สาวน้อย เจี่ยนสุยฝากข้ามาบอกเจ้าว่าท่านปู่ชอบรอยยิ้มราวบุปผาของเจ้าที่สุด อย่าได้ร้องไห้จนหน้าตาเลอะเทอะทำให้ท่านปู่หลับไม่สนิทและคอยกังวลว่าเจ้าถูกใครกลั่นแกล้ง ท่านก็ล่วงลับไปแล้ว การให้ท่านได้วางใจอย่างสงบจึงเป็นความกตัญญูนะ” 


 


 


เหอเจี่ยนสุยที่อยู่นอกวังก็ได้รับข่าวนี้เช่นกัน เข้าร้อนใจอย่างมากจึงได้ฝากจดหมายกับหรงเฉิงเยี่ยที่เข้าวังในวันนี้ให้ส่งให้เหอจิ่นเซ่อ 


 


 


เพราะเขารู้สถานะพิเศษของเซียงฉือจึงส่งเป็นจดหมายจากทางบ้านไปถึงสำนักราชเลขาเพื่อไม่ให้เป็นที่น่าสงสัย 


 


 


สุดท้ายยังคงเป็นเหอเจี่ยนสุยที่เข้าใจเซียงฉือที่สุด คำพูดนั้นยังไม่ทันสิ้นเสียงเซียงฉือก็หยุดร้องไห้แล้วจริงๆ นางอิงแอบอยู่ในอ้อมกอดเหอจิ่นเซ่อราวเด็กน้อย 


 


 


“เขายังพูดอะไรอีก” 


 


 


เซียงฉือคิดถึงเขา คนที่นางสนิทชิดเชื้อที่สุดคนนั้น เพียงเพราะประตูวังกางกั้น ปิดกั้นเรื่องราวในอดีตที่ผ่านมามากมาย นางกลับไปไม่ได้อีกแล้ว นับวันนางก็ยิ่งเข้าใจความจริงในข้อนี้ 


 


 


นางเป็นข้าราชสำนักสตรีแล้ว ทั้งยังเป็นเจ้าหน้าที่งานอักษรของฝ่าบาทซึ่งนับวันฝ่าบาทก็ยิ่งเห็นความสำคัญของนาง และความผูกพันของนางกับวังหลวงนี้นับวันยิ่งใกล้ชิดเข้าไปทุกที 


 


 


หากเป็นตอนที่นางเพิ่งเข้าวัง นางยังคงบริสุทธิ์ดุจเดียวกับกำไลที่เหอเจี่ยนสุยมอบให้ ใสซื่อและสะอาด ถึงจะไม่ถึงกับไร้เดียงสาไม่ประสาในเรื่องราวใดๆ แต่ในใจนางนั้นยังบริสุทธิ์ผุดผ่อง 


 


 


ส่วนความสัมพันธ์ของนางกับพระราชวังอันตระการนี้นั้น เป็นเสมือนดั่งคนไร้ความสำคัญที่ไปอาศัยอยู่ใต้ชายคาผู้อื่น จะอยู่หรือไปก็ไม่ได้ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอันใด 


 


 


ทว่าตอนนี้แตกต่างไปแล้ว เกิดความยุ่งยากซับซ้อนที่ยากจะแก้ไข เรื่องราวที่พัวพันโยงใย นางเคยหวังที่จะหยั่งรากลงในที่นี้ดูเหมือนจะเป็นความจริงขึ้นแล้ว 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม