ฮูหยินข้าอายุสามขวบครึ่ง 333-340
ตอนที่ 333 ข่มขวัญ
น่าอวี้เล่าเรื่องราวระหว่างความแค้นของนางและเจี่ยงเหว่ยตั้งแต่ต้นจนจบ รายละเอียดทั้งหมดให้เฝิงเยี่ยไป๋ฟัง รวมถึงที่นางยืมดาบฆ่าคนฆ่าลูกชายเจี่ยงเหว่ยอย่างไร พอพูดจบ ก็พูดสิ่งที่เสี่ยงจะล่วงเกินเขาว่า “ตอนที่ฝ่าบาทเลือกข้านั้น เพื่อจะได้ผูกสัมพันธ์กับจวนท่านอ๋อง เขาแทบจะไล่ให้ข้าแต่งเข้ามา หากข้าไม่แต่งก็เอาน้องชายข้ามาขู่ข้า สัตว์เดรัจฉานนี้ ข้าจะต้องฆ่าเขาให้ได้!”
เฝิงเยี่ยไป๋ชื่มชมผู้หญิงที่ฉลาด แต่ก็เพียงแค่ชื่นชมเท่านั้น อยู่ร่วมกับผู้หญิงที่ฉลาดไม่ต้องพูดมาก พูดไปเล็กน้อยก็เข้าใจแล้ว แต่หากจะแต่งกลับมาเป็นภรรยาแล้วละก็ ยังเป็นเว่ยเฉินยางที่เหมาะกับเขา โง่สักหน่อย มีความเจ้าเล่ห์เล็กน้อยในบางครั้งก็พอให้มีความสุขแล้ว เมื่อต้องอยู่ด้วยกันก็ไม่ต้องกังวล สบายใจดี
เพียงแต่สำหรับเขาแล้วน่าอวี้นั้นแตกต่างออกไป แม่นางผู้นี้มีแผนการมีความกล้ากลับไม่ได้เ**้ยมโหดเลย สามารถหาหลักฐานได้ แถมยังนึกถึงวิธียืมดาบฆ่าคนเช่นนี้อีก หากนางเจ้าเล่ห์ขึ้นมาจริงๆ ไม่ใช่ง่ายๆ แน่นอน นอกจากชื่นชมแล้ว ยังต้องระวังไว้เสียหน่อย ทุกเรื่องระวังเอาไว้ไม่ใช่เรื่องเสียหาย
จนหลังเที่ยงคืนน่าอวี้ถึงได้กลับไปที่ห้องของตัวเอง อวี๋เอ๋อร์ตำหนินางว่าไม่ควรพูดเรื่องของเจี่ยงเหว่ยออกมา หากตั้งแต่นี้เฝิงเยี่ยไป๋คิดว่านางเป็นคนที่มีความคิดลึกซึ้ง วันหลังอย่าว่าแต่แย่งชิงความรักเลย ระแวงนางยังไม่ทันเลย!
น่าอวี้กลับทำท่าไม่ใส่ใจนัก “ฮ่องเต้เพื่อจะจัดการเขาสร้างความเคลื่อนไหวใหญ่เช่นนี้ก็เพียงพอที่จะบอกว่าเขานั้นไม่ใช่คนง่ายๆ นัก ในเมื่อไม่ง่าย เช่นนั้นจะมากจะน้อยเขาก็มีความระแวงกับทุกคน ไม่สืบเบื้องลึกของพวกเราให้หมดเขาไม่วางใจแน่ แทนที่จะรอให้เขามาสืบออกมาแล้วสงสัยอีก ไม่สู้พูดเองไปเสีย ความขัดแย้งระหว่างข้าและเจี่ยงเหว่ย อย่างน้อยก็ตัดความสงสัยเรื่องที่ข้าเป็นคนที่ฮ่องเต้ส่งมา ต่อให้เขาสงสัยข้า ก็เพียงกังวลว่าข้าจะเป็นภัยต่อเฉินยาง พวกเราขอแค่เอาใจพระชายาผู้นี้อย่างระวัง อยู่ที่เขานั้นพอมองผ่านไปได้ก็พอแล้ว”
อวี๋เอ๋อร์พูดด้วยความกังวลอีกว่า “หากถูกเขารู้เข้า พวกเราไม่…”
“ไม่!” นางทำสีหน้าเคร่งเครียดทันที “ตอนนี้มีเพียงเฝิงเยี่ยไป๋เท่านั้นที่ช่วยน่ายงได้ ข้าต้องช่วยน่ายงออกมาก่อนถึงจะคิดเรื่องอื่นได้”
ถูกคนกุมจุดอ่อนเอาไว้ จะทำอะไรก็ไม่ถนัด ไม่ช่วยน่ายงออกมา อย่างไรเสียนางก็ไม่วางใจ
ค่ำคืนนี้เฉินยางหลับได้ไม่สงบนัก ความฝันในตอนกลางคืนนั้น นางฝันเห็นเฝิงเยี่ยไป๋กอดน่าอวี้ไว้ ทั้งสองคนพูดคุยกันสนิทสนมเดินผ่านหน้านาง ในอ้อมกอดยังมีเด็กทารกอยู่ เฝิงเยี่ยไป๋ชี้นางพูดว่า “ข้าไม่เอาเจ้าแล้ว” จากนั้นก็ยื่นหนังสือหย่าให้นางไป น่าอวี้อิงแอบอยู่ในอ้อมกอดของเฝิงเยี่ยไป๋ยิ้มให้นาง เด็กทารกที่อยู่ในอ้อมกอดพวกเขานั้นไม่ได้ร้องไห้ แต่กลับยิ้มอยู่ จากนั้นทุกคนก็หัวเราะนาง สีหน้าเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน บอกว่านางไม่เจียมตัว ไม่คู่ควรกับเฝิงเยี่ยไป๋
เช้าวันถัดมานางตกใจตื่นขึ้นมา ลืมตาก็เห็นใบหน้าซั่งเหมยกับซั่งเซียง ทั้งสองคนนี้ลูบอกตัวเองด้วยท่าทางหวาดผวา “ท่านตื่นเสียที เมื่อครู่ท่านฝันร้ายรู้หรือไม่ พูดอย่างเดียวว่าไม่เอาๆ ทำเอาบ่าวตกใจแทบแย่”
ซั่งเซียงเก็บม่านขึ้น เห็นสองตาของนางก็ตกใจ “นายหญิงของข้า เมื่อคืนท่านร้องไห้หรือ ดูตาของท่านบวมเช่นนี้แล้ว พระชายารองทั้งสามท่านที่อยู่ข้างนอกมาน้อมทักทายท่านแต่เช้าเลย เพียงแต่สภาพของท่านเช่นนี้จะพบคนได้อย่างไร”
เฉินยางตกใจนั่งตัวตรง “มาตั้งแต่เช้าแล้วหรือ เร็วๆ เข้า อย่าให้พวกนางรอนาน โอ๊ย ไฉนพวกเจ้าถึงไม่ปลุกข้า”
ซั่งเหมยกลับเก็บของให้นางอย่างช้าๆ ด้วยความจงใจ “รีบร้อนอะไรกัน ก็ควรจะข่มขวัญพวกนางเสียหน่อย ไม่เช่นนั้นพวกนางจะข่มท่านก่อนเอาได้”
——
ตอนที่ 334 ไฉนตอนแรกถึงเลือกเจ้าเข้าจวน
ทำอยู่เรื่อยไป รอให้เก็บกวาดเสร็จแล้วมาที่โถงใหญ่ เวลาก็ยังช้าไปชั่วหนึ่งก้านธูป[1]
น่าอวี้ไม่ได้รู้สึกอะไร ยังคงมีสีหน้ามีความสุข เพียงแต่ทั้งสองคนที่เหลือนั้นไม่ได้มีสีหน้าที่ดีเท่าไรนัก ก่อนจะน้อมทักทาย ก็ทำเสียงหึเบาๆ ไม่แม้จะมองตรงไปที่เฉินยาง
ซั่งเหมยอารมณ์ร้อนทนไม่ได้ นางหึเบาๆ อ้าปากพูดขึ้นมาว่า “พระชายารองทั้งสองท่าน คงไม่ใช่ว่าไม่ได้เรียนระเบียบจากในบ้านกระมัง เหนียงเหนียงพวกเราเป็นพระชายาตัวจริง ทั้งสองท่านทำตาขาวใส่นี้หมายความว่าอย่างไร ดูถูกคนหรือ”
เฉินยางก็เห็นแล้ว ตาขาวที่กลอกตามองบนใส่นั่นแทบจะขึ้นฟ้าไปแล้ว เหมือนดั่งกลัวว่านางจะไม่เห็นความดูถูกของสายตาพวกนางเช่นนั้น ตอนแรกนางคิดจะให้ทุกคนอยู่ด้วยกันดีๆ วันหลังก็ได้เป็นเพื่อนกันชีวิตก็ได้ราบรื่น เพียงแต่นี่เป็นพวกนางที่มาหาเรื่องนางก่อน เฉินยางก็นึกถึงฝันของเมื่อคืน ก็กระตุกในใจขึ้นมา ฝันนั้นไม่ใช่เป็นรางหรือ หากเป็นเช่นนี้ต่อไป นางยังจะอยู่ต่อไปได้อีกหรือ
นางก็อยากเ**้ยมโหดสักครั้ง เรียกคนใช้มา ก็มีคนส่งแส้กับมือนาง จากนั้นก็ฟาดสองคนนี้เสีย แต่ก็ได้เพียงแค่คิด จะให้นางฟาดจริงๆ นางก็ฟาดไม่ลง สุดท้ายจึงได้แต่กัดฟัน แล้วกระฟัดกระเฟียดเหมือนดั่งเด็กไม่สนใจสองคนนั้น นางลุกขึ้นยืน แล้วไปจูงมือน่าอวี้อย่างสนิทสนมว่า “เจ้ามาก็ดีแล้ว เจ้ามาแล้วข้าก็มีเพื่อน เมื่อคืนหลับสบายหรือไม่ พวกเราสองคนอยู่ใกล้กัน วันหลังจะคุยกันก็สะดวก”
น่าอวี้ป้องปากยิ้ม “ก็จริง ข้ากำลังคิดอยู่เลย แต่ก็กลัวท่านจะหึงหวงแล้วไม่สนใจข้า เพียงแต่ยามนี้ได้ยินท่านพูดเช่นนั้นข้าก็สบายใจแล้ว”
สองคนนั้นเห็นเฉินยางไม่สนใจพวกนาง จึงสบตากันแล้วพูดว่า “ในเมื่อพระชายามีคนที่พูดคุยได้แล้ว เช่นนั้นพวกเราก็ขอลาไปก่อน จะได้ไม่รบกวนพวกท่านคุยกัน”
ดูท่าทางของเฉินยางเข้า พวกนางทำตาขาวใส่นาง ยังไม่สั่งสอนพวกนางอีกหรือ อารมณ์ใหญ่ยิ่งกว่านางอีก นางเหมือนเจ้านายเสียที่ใด พวกนางถึงเป็นเจ้านายมากกว่ากระมัง!
เฉินยางโมโหขึ้นมา นางตบโต๊ะ ความโกรธพุ่งขึ้นมา เรียกสองคนนั้นที่กำลังจะก้าวออกจากประตู “หยุดเดี๋ยวนี้! ข้าให้พวกเจ้าไปแล้วหรือ จะไปก็ไป ไม่เห็นข้าอยู่ในสายตาแล้วกระมัง!”
ซั่งเหมยคิดในใจว่าเจ้านายคนนี้ฉลาดขึ้นมาเสียที จึงยิ่งได้ใจว่า “พระชายารองทั้งสองท่าน ท่านยังไม่ได้น้อมทักทายเจ้านายพวกเราเลย รีบร้อนเช่นนี้คือจะไปที่ใดหรือ”
หลานสาวของเจ้ากรมศาลต้าหลี่ซื่อก็อารมณ์ร้อน นางมีชื่อที่ไพเราะว่า ‘ซ่งจู’ เพียงแต่ยามที่พูดกลับเหมือนดั่งประทัด “เจ้าเป็นเพียงคนใช้ เจ้านายของพวกเจ้ายังไม่ได้ถามข้าเลย ถึงที่ให้เจ้าอ้าปากแล้วหรือ”
ลูกสาวของปราชญ์มหาสำนักกลับสงบนิ่ง อย่างไรเสียพ่อของนางก็เป็นนักปราชญ์ การสั่งสอนในบ้านวางอยู่ตรงนั้น ในใจจะดูถูกอย่างไร ก็ไม่ถึงกับด่ากราดไปทั่ว มีคนออกหน้าให้ นางก็ยืนดูเรื่องสนุกอยู่ตรงนั้นก็พอแล้ว
แม้ว่าปกติซั่งเหมยจะใช้ไม่ค่อยได้นัก เพียงแต่ยามที่ปรนนิบัตินางก็ยังถือว่าทำเต็มที่ วันนี้นางออกหน้าเพื่อนาง นางจะยืนดูอยู่เช่นนั้นก็ไม่ได้กระมัง นางยืนออกมาขวางอยู่ข้างหน้าซั่งเหมย เชิดคางพูดว่า “นางเป็นคนของข้า คำพูดที่ออกมาย่อมเป็นข้าที่อนุญาต ไฉนถึงไม่ใช่ที่ให้นางอ้าปากแล้ว ยังจะเป็นหลานสาวเจ้ากรมศาลต้าหลี่ซื่ออีก ไฉนตอนแรกข้าถึงดลือกเจ้าเข้ามาในจวนแล้ว”
ซ่งจูหึเบาๆ พูดว่า “ทั้งๆ ที่ท่านอ๋องเป็นคนเลือกพวกเราเข้าจวน แล้วเกี่ยวอะไรกับเจ้า”
ซั่งเหมยยิ้มพูด “มองดูก็รู้ว่าท่านเป็นคนไร้ความรู้ คนที่จะเป็นพระชายารองล้วนเป็นเจ้านายของพวกเราที่เลือกให้ท่านอ๋อง เจ้านายของพวกเราเลือกว่าเป็นใครก็คือคนนั้น พูดตามตรง คนที่ยกให้พวกเจ้าเข้ามาในจวนท่านอ๋องได้ก็คือเจ้านายพวกเรา!”
——
[1] ชั่วหนึ่งก้านธูป หน่วยบอกเวลาในสมัยโบราณ ประมาณ 30 นาที
ตอนที่ 335 ผู้ไกล่เกลี่ย
น่าอวี้เหลือบเห็นสาวใช้เล็กที่อยู่ตรงประตูวิ่งออกไปอย่างร้อนรน ในห้องทั้งหมดล้วนเป็นเจ้านาย พวกนางกล่อมไม่ได้และก็ไม่กล้ากล่อม จะทำอย่างไรดี ก็ได้แต่หาเจ้านายที่ใหญ่กว่ามา เจ้านายที่ใหญ่ยิ่งกว่านี้ก็คือเฝิงเยี่ยไป๋ เรียกเขามา ใครไม่ถูกปราบจนสิ้นลายหรือ
ซ่งจูยิ่งพูดยิ่งได้แรง นางเป็นหลานสาวของเจ้ากรมศาลต้าหลี่ซื่อ เป็นคนชนชั้นสูง เว่ยเฉินยางนี้มาจากที่ใด เป็นเพียงสาวชนบทคนหนึ่ง อาศัยอะไรมาโมโหใส่นาง ความทะนงตัวปล่อยวางไม่ลง ตอนแรกได้แต่งกับ ‘ท่านอ๋องใกล้ตาย’ ที่ไม่เคยเห็นหน้าก็น้อยใจมากพอแล้ว ตอนนี้ยังต้องทนรับอารมณ์ของนางอีก เป็นไปไม่ได้!
ทั้งสองฝั่งตั้งท่าใส่กัน เห็นว่ากำลังจะตีกันขึ้นมาแล้ว น่าอวี้เห็นได้จังหวะ ก็ยืนออกมาเป็นผู้ไกล่เกลี่ย นางพูดกับซ่งจูว่า “พรชายารองซ่ง พระชายาเข้ามาเป็นคนแรก และก็เป็นภรรยาที่ท่านอ๋องแต่งตามพิธี ยกชาน้อมทักทายให้พระชายาก็เป็นหน้าที่ของพวกเราตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ท่านทำเช่นนี้ก็เกินไปเสียหน่อยแล้ว”
ซ่งจูกลับไม่รับความหวังดีของนาง นางเท้าเอวด่าน่าอวี้ไปด้วย “ถึงที่ให้เจ้าพูดแล้วหรือ เป็นเพียงลูกสาวนอกสมรส หุบปากได้ก็หุบปากเสียเถิด ที่นี่ไม่มีที่ให้เจ้าพูด อย่างมาแสร้งทำตัวเป็นคนดีอยู๋ที่นี่ นางอาจจะไม่รับความหวังดีของเจ้าก็ได้”
เฉินยางรู้เพียงว่าน่าอวี้เป็นลูกสาวของเจี่ยงเหว่ย ส่วนที่ว่าเจี่ยงเหว่ยไฉนจู่ๆ ถึงมีลูกสาวที่โตเช่นนี้โผล่ออกมานั้น นางก็ไม่เคยถาม เพียงแต่น่าอวี้ได้ยินคำว่าลูกสาวนอกสมรสสีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที ก็รู้ว่าถูกนางจี้จุดเจ็บเข้าให้ เฉินยางโกรธจนกำหมัดแน่น ชี้ไปที่ซ่งจูพูดว่า “เจ้าพูดอีกครั้ง! ข้าว่าก็เพราะเจ้าอิจฉาที่คนอื่นสวยกว่าเจ้า เจ้ามีสิทธิ์อะไรว่าคนอื่น เจ้าก็เป็นเพียงหลานสาวของเจ้ากรมศาลต้าหลี่ซื่อไม่ใช่หรือ หลานสาวจะใกล้ชิดเท่าลูกสาวได้อย่างไร หากเกิดเรื่องขึ้นจริงๆ เจ้าคอยดูเถิดใครจะมาช่วยเจ้า!”
ฝั่งนี้ซ่งจูก็กำหมัดจะเข้าใส่ น่าอวี้เริ่มรับมือไม่ไหวแล้ว เห็นว่าสองมือหวดเข้ามา ที่ประตูก็มีเสียงตะโกนดังขึ้น “หยุดเดี๋ยวนี้!” ทำเอาสองมือนั้นค้างอยู่กลางอากาศ
เป็นเฝิงเยี่ยไป๋ เขาสวมชุดสีเขียวปกติ มัดผมเอาไว้ ทั้งคนดูแล้วมีชีวิตชีวา เพียงแต่ยังมีสีหน้าที่แสดงอาการป่วยอยู่บ้าง แต่เมื่อเทียบกับที่น่าอวี้เห็นเขาตอนนั้นแล้วก็ดีขึ้นมากแล้ว
ซ่งจูเก็บมือกลับไปก่อน นางย่อตัวลงคำนับแล้วแอบเหลือบมอง ยามที่ไม่เห็นยังบ่นอยู่ในใจ ในเมื่อป่วยจนลงจากเตียงไม่ได้แล้ว เช่นนั้นก็ต้องซูบผอม เบ้าตาลึก เหลือเพียงหนังหุ้มกระดูกเสียแล้ว ต่อให้ตอนแรกจะหน้าตาดี ยามนี้จะดูดีได้เพียงใดเชียว
นึกไม่ถึงว่าพอได้เหลือบมอง ช่างน่าตบปากตัวเองเสียจริง ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าช่างไร้ที่ติโดยแท้ แม้แต่ผมที่อยู่บนศีรษะของเขานั้นก็ทำเอานางชอบจนควบคุมตัวเองไม่ได้ ใต้ฟ้าบนดิน ยังจะหาคนที่สมบูรณ์แบบเช่นนี้ได้ที่ใดอีก
หลี่หรูที่เป็นลูกสาวนักปราชญ์ ก็มองจนเหม่อลอย ในใจเริ่มสั่นคลอนขึ้นมา หัวใจเต้นหนึ่งจังหวะหยุดหนึ่งจังหวะ เอามือลูบหน้า ก็รู้สึกร้อนผ่าว นางรีบเก็บอาการแล้วย่อตัวคำนับ
“ไม่เป็นไรกระมัง” คำพูดหวานซึ้งทำเอาหัวใจแทบละลาย เฉินยางเก็บมือกลับไปเห็นเขาจูงมือน่าอวี้ ถามด้วยสีหน้าที่เป็นห่วง
น่าอวี้กลับหดมือกลับไปเหมือนดั่งแตะถูกของร้อนเข้าให้ หางตาของนางกวาดไปที่เฉินยาง เป็นนัยให้เฝิงเยี่ยไป๋เข้าไป
โกรธกันมาก็หลายวันแล้ว เมื่อได้เจอกันก็ไม่ค่อยราบรื่นนัก ใครจะรู้ว่าช่วงหลายวันนี้เขาทรมานเพียงใด กลางคืนยืนอยู่ในสวนของนางก็ไม่เข้าไปพบนาง ถือตัวสูงส่งรอให้นางมาขอคืนดี แต่สุดท้ายเล่า ก็ไม่ได้อะไรกลับมาเลย
——
ตอนที่ 336 เจ้าตามข้าไป
เฉินยางเห็นเขาไปประคองน่าอวี้ ในใจก็รู้สึกเศร้าจนบอกไม่ถูก ว่าแล้วผู้ชายล้วนเป็นเช่นเดียวกันหมด พอได้ใหม่แล้วก็ลืมรักเก่า ภรรยาที่เขาเพิ่งแต่งเข้ามาใหม่ก็รังแกนาง แต่ละคน ล้วนคิดว่านางถูกรังแกได้ง่ายๆ หรือ
เฝิงเยี่ยไป๋ขยับก้าวเท้าไปตรงหน้าเฉินยาง เขาขมวดคิ้ว ทั้งๆ ที่อยากจะถามนางดีๆ เพียงแต่คำพูดถึงปากก็เปลี่ยนความหมายแล้ว “วุ่นวายกันแต่เช้า เกิดเรื่องใดขึ้น”
เขาไม่ถามคนที่ก่อเรื่องก่อนกลับมาถามนาง อยู่ในใจเขานางก็เป็นคนชอบก่อนเรื่องเช่นนั้นหรือ เฉินยางรู้สึกน้อยใจ นางทำหน้าบูดบึ้ง “ไปถามภรรยาใหม่ของท่านไป เป็นนางที่ก่อเรื่องขึ้นก่อน ย่อมรู้เป็นอย่างดี”
ภรรยาใหม่ ดูนางพูดเข้า จงใจเสียดแทงเขาไม่ใช่หรือ เฝิงเยี่ยไป๋ยื่นมือกุมกำปั้นเล็กๆ ของนาง มือของนางก็เล็กเสียจริง สามารถถูกหุ้มอยู่ในฝ่ามือของเขา เขาแกะออกทีละนิ้ว แล้วจังมือประสานกับนาง เสียงค่อยๆ อ่อนลง “ยังดีๆ กันอยู่เลยไฉนถึงได้ลงมือเสียแล้ว” เขามองซ่งจูตาขวาง น้ำเสียงจู่ๆ ก็แข็งกร้าวขึ้นมา “เป็นเจ้าที่ก่อเรื่องก่อนงั้นหรือ ไปเอาความกล้ามาจากที่ใดกล้าลงมือกับพระชายา?”
ซ่งจูตกใจ รีบขึ้นไปโค้งคำนับพูดว่า “ขอให้ท่านอ๋องตรวจสอบอย่างละเอียด เป็น…เป็นบ่าวที่อยู่ข้างกายพระชายาพูดจาไร้มารยาท ข้าเพียงแค่อยากจะสั่งสอนบ่าวนี้แทนพระชายา ใครจะรู้ว่า…พระชายาถึงกับปกป้องด้วยตัวเอง…นี่…ไม่เกี่ยวกับข้า ไม่ใช่ข้าที่ก่อเรื่องก่อน!”
เฝิงเยี่ยไป๋หันศีรษะไปถามเฉินยาง “เป็นเช่นนั้นหรือ”
ตอนแรกก็ไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่โตเท่าไรนัก เขาไม่มา พวกนางตบตีไปเสียก็อาจจะดีขึ้นแล้ว เพียงแต่เขามาแล้ว พอถามเช่นนี้ แม้ว่าความหมายจะเข้าหานาง เพียงแต่ในใจไม่แน่อาจจะเอียงไปอีกคน
ผู้หญิงล้วนใจแคบ เฉินยางก็ไม่ยกเว้น ไม่เพียงใจแคบ แถมยังชอบคิดไปเอง นางสะบัดมือเฝิงเยี่ยไป๋ออก พูดด้วยความหม่นหมองว่า “ไม่ต้องให้ท่านเป็นกังวลนักหรอก เรื่องของพวกเราข้าจัดการเองได้”
ประโยคเดียวก็ผลักเขาไปไกลๆ ยามที่พูดก็ไม่มองเขา ขมวดคิ้ว สีหน้าบูดบึ้งและเม้มปากเอาไว้ ท่าทางราวกับปัดคนอื่นให้ไปไกลๆ อยู่เช่นนั้น
เฝิงเยี่ยไป๋เสียหน้า เขาจ้องมองนางอยู่นาน คิดว่าเจ้าเด็กคนนี้ไฉนถึงไม่รู้ผิดชอบชั่วดีเช่นนี้ โกรธอยู่หลายวันสุดท้ายก็ยังเป็นเขาที่มาขอคืนดีไม่ใช่อีกหรือ เขาถอยให้นางมากมายเช่นนี้แล้ว มาถึงที่นางนี้ ที่ถอยให้นางล้วนเสียเปล่า นางไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย ที่เย็นชาใส่ก็ยังคงเหมือนเดิม
ทั้งสองคนนี้ก็เป็นคู่กรรมอยู่เช่นนี้ เฉินยางก็เป็นคนที่นิสัยดื้อดึง เดินไปจนสุดทางคนเดียว ใครกล่อมก็กล่อมไม่ได้ นางฝืนอดกลั้นมีคำถามมากมายเต็มอกอยากจะถามเขา แต่ก็ถามไม่ออก ความเศร้าก็ระบายไม่ออก จึงได้มีสภาพที่น้อยใจเช่นนี้
เฝิงเยี่ยไป๋เสียหน้าเพราะนาง คำพูดที่เตรียมไว้ตอนจะมาก็ไร้ประโยชน์แล้ว ตอนแรกยังคิดจะขอคืนดี เพียงแต่ตอนนี้ดูแล้วเป็นเขาที่ตามใจนางมากเกินไป ตอนนี้ถึงได้ชักสีหน้าใส่เขา คิดว่าเขาจะไม่มีอารมณ์โกรธเสียแล้วหรืออย่างไร
“ได้ ในเมื่อพระชายาบอกว่าพวกเจ้าจัดการเองได้ เช่นนั้นข้าก็จะไม่ยุ่งแล้ว! น่าอวี้ เจ้าตามข้าไป พวกนางชอบวุ่นวายนักก็ปล่อยให้พวกนางวุ่นวายไป!”
เขาเรียกเพียงน่าอวี้แล้วสะบัดแขนเสื้อจากไป เฉินยางจ้องใส่เขาอย่างโกรธแค้น ก็ดี เขาได้คนรักใหม่แล้ว เช่นนั้นก็หย่ากับนางเสียเถิด จะได้ต่างคนต่างอยู่ นางก็จะได้ไม่ต้องคอยกังวลว่าเขาจะรักคนอื่นแล้วเย็นชาใส่ตัวเองจนทำให้ตัวเองกินไม่อิ่มนอนไม่หลับ
หากเฉินยางสามารถพูดความในใจเหล่านี้ให้เฝิงเยี่ยไป๋ เขาก็คงดีใจจนลอยขึ้นฟ้า เพียงแต่นางไม่ยอมพูด นางกลัวว่าพูดออกมาแล้วก็กลายเป็นนางที่เข้าหาเขาเอง จนกลายเป็นข้ออ้างที่เขาจะว่านางได้ ดังนั้นนางจึงยอมน้อยใจแต่ก็ไม่ยอมพูดออกมา
ตอนที่ 337 ใจผู้หญิงยากจะเดา
น่าอวี้เดินหนึ่งก้าวหันศีรษะกลับมามองสามครั้งตามเฝิงเยี่ยไป๋จากไป นางอยากจะกล่อมเขา เพียงแต่ตอนนี้เขากำลังโกรธอยู่ พูดไปก็เหมือนดั่งใส่ไฟเพิ่มขึ้นไปอีก นางตามเขาเดินออกจากเรือนของเฉินยาง เห็นฝีเท้าของเขามั่นคง ผ่านไปเพียงคืนเดียวก็ไม่มีท่าทางป่วยของเมื่อวานแล้ว ในใจก็รู้สึกประหลาด จึงอดไม่ได้ถามเขาว่า “ท่านอ๋อง ร่างกายของท่านดีขึ้นแล้วหรือ ข้าเห็นว่าวันนี้ท่านมีสีหน้าสดชื่น เดินก็มั่นคง คือหายดีแล้วหรือ”
ฮ่องเต้พระราชทานงานสมรสก็ไม่ใช่ว่าเพื่ออยากให้เขารีบหายดีหรือ การแกล้งป่วยก็ไม่ใช่แผนที่อยู่ยาวนานได้นัก เขานับดูแล้วช่วงเวลานี้ฝั่งซู่อ๋องนั้นก็น่าจะมีข่าวออกมาแล้ว ฉวยโอกาสนี้ให้เล่นไปตามแผน ฝั่งฮองเฮานั้นก็จะได้ไม่ต้องมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นอีก
เขาเดินขึ้นบนสะพานโค้ง แล้วหยุดลงยื่นมือไปดึงน่าอวี้เข้ามาหา เขาบิดตัวเล็กน้อย สีหน้าเจือด้วยรอยยิ้ม “เพราะพระกรุณาธิคุณของฝ่าบาท ได้ส่งหญิงงามที่ดวงสมพงศ์กับข้าหลายคน ถูกเรื่องดีๆ เช่นนี้เข้ามาแก้ มีผีร้ายเท่าใดก็ถูกขับไล่ไปแล้ว”
จะบอกว่าดีขึ้นแล้วก็ไม่อาจเร็วเกินไป ไม่เช่นนั้นจะทำให้คนอื่นสงสัยเอาได้ เขางอตัวกระแอมสองที น่าอวี้รีบลูบหลังให้เขา เขาหายใจสะดวกขึ้นแล้ว ก็จูงมือนางไปนั่งลงที่ศาลาอีกฝั่ง
ท่าทางของเฉินยางทำเอาเขารู้สึกท้อ หลายปีแล้ว เขาไม่เคยพลาดท่าให้กับแม่นางคนใด วันนี้กลับเกิดขึ้นกับนางเสียหมด สองสามประโยคก็ทำเอาเขาพูดไม่ออก เขาไม่เคยเห็นคนที่เป็นเช่นนี้ คำพูดดีหรือไม่ดีก็ฟังไม่เคยเข้าใจเลย
“เมื่อครู่เจ้าอยู่ตลอด ตกลงเกิดเรื่องอะไรขึ้น” บอกว่าเฉินยางนั้นหาเรื่องก่อนเขาไม่อาจเชื่อ นางเห็นคนแปลกหน้าสามารถพูดคุยได้ก็ไม่เลวแล้ว จะไม่ไปหาเรื่องก่อนอย่างแน่แท้
น่าอวี้คิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็พูดเป็นกลางว่า “ลูกสาวขุนนางใหญ่ นิสัยมักจะยโสไม่มากก็น้อย ระเบียบหลังจากแต่งงานแล้วก็ไม่ได้เข้าใจมากมายนัก ยังไม่ทันได้ยกชาน้อมทักทายก็จะไป ซั่งเหมยที่อยู่ข้างกายพระชายาจึงว่านางเสียเล็กน้อย นางทนถูกสาวใช้ทำให้เสียหน้าได้อย่างไร ถึงได้ก่อเรื่องขึ้นมา เจอกับพระชายาก็เป็นคนที่ปกป้องคนของตัวเอง ข้าเข้าไปห้าม แต่ห้ามไม่ไหว เห็นว่ากำลังจะตีกันขึ้นมา ท่านมาแล้ว พอตะโกนออกมา พวกนางถึงได้หยุดมือ”
ไม่ได้เข้าข้างใคร ไม่ว่าเป็นใคร ก็จะพูดเหมือนกับนาง พูดไปตามความจริง เช่นนี้แล้วจะได้ไม่ผิดใจกับใคร
เฝิงเยี่ยไป๋รู้นิสัยเฉินยางเป็นอย่างดี นางเป็นคนที่หากเจ้าเคารพนาง นางก็เคารพเจ้า หากเจ้ารุกล้ำนาง นางก็จะรุกล้ำเจ้า ไม่เอาเปรียบคนอื่น แต่ก็ไม่ยอมแพ้แม้แต่นิดเดียว เพียงแต่วิถีไม่ฉลาดนัก ฐานะพระชายาของนางนี่ไม่ได้เรียกเปล่า ก็เพื่อจะให้นางระบายอารมณ์ เพียงแต่นางใช้ไม่เป็น ใช้ฐานะของพระชายาตะโกนว่า “บ่าว” จะระบายอารมณ์ยังต้องถึงมือนางได้อย่างไร
“ท่านอ๋อง เมื่อครู่ท่านก็ไม่ได้ดูออกเลยว่าพระชายากำลังหึงอยู่หรือ” น่าอวี้ยิ้มพูด “หากพระชายาไม่สนใจท่านแม้แต่น้อย เมื่อครู่ก็จะไม่ทะเลาะกับพระชายารองซ่งขึ้นมาแล้ว หากผู้หญิงไม่สนใจผู้ชายคนหนึ่งจริงๆ ก็จะไม่สนใจผู้หญิงของเขา พระชายาโกรธพระชายารองซ่ง เพียงแต่ที่นางโกรธไม่ใช่พระชายาซ่ง แต่เป็นท่านนะ!”
ยามที่เจ้าไม่ได้รักใครคนหนึ่งนั้น คิดจะมองนางให้ออก ช่างง่ายดายนัก แต่หากเจ้าได้รักคนหนึ่งเข้าให้แล้ว อยากจะมองนางให้ออกกลับไม่ง่ายเสียแล้ว เพราะในนั้นยังมีอารมณ์ของตัวเองซ่อนอยู่ อารมณ์ความรู้สึกและการกระทำทุกอย่างล้วนผูกอยู่กับนาง ดั่งที่ว่าคนนอกมองออกคนในมองไม่ออก ความหมายก็เป็นเช่นนี้ ตัวเองอยู่ในเรื่องนี้กลับมองธาตุแท้ไม่ออก คนอื่นกลับสามารถมองออกได้อย่างชัดเจนนัก
เขาคิดอยู่พักใหญ่ สุดท้ายก็พูดออกมาประโยคหนึ่ง “มิน่าคนมักกล่าวว่าใจผู้หญิงยากจะเดา!”
——
ตอนที่ 338 มีความสุขกับคนอื่น
ร่างกายของเฝิงเยี่ยไป๋ค่อยๆ ดีขึ้นในทุกๆ วัน ซ่งจูและหลี่หรูก็เกิดความคิดที่อยากจะแย่งความรักขึ้นมา ในเมื่อคิดจะแย่งความรัก ก็ย่อมเห็นความผิดปกติระหว่างเฉินยางและเฝิงเยี่ยไป๋อย่างแน่นอน ต่อให้เฝิงเยี่ยไป๋จะโกรธนางอย่างไร เพียงแต่ของกินของใช้ก็ไม่เคยขาดตกบกพร่อง ล้วนให้ของที่ดีที่สุดกับนาง จุดนี้คนอื่นเทียบไม่ได้ เว่ยเฉินยางและเฝิงเยี่ยไป๋จะทะเลาะกันรุนแรงอย่างไร ก็ยังคงเป็นสิ่งล้ำค่าของเขา ไม่อาจล่วงเกินได้!
นอกจากวันที่เกือบจะตีกับซ่งจูนั้น เฝิงเยี่ยไป๋ได้จัดมื้อเย็นกินกับนางที่นี่ หลังจากนั้น ก็ได้ยินว่าล้วนกินอยู่ที่ห้องของน่าอวี้ มีอยู่หลายคืนนางอุ้มต้าหมี่ออกไปเดินเล่น เจอกับเฝิงเยี่ยไป๋และน่าอวี้กำลังคุยกันอย่างมีความสุขพอดี เฝิงเยี่ยไป๋ทำหน้าเหมือนเป็นเรื่องปกติ น่าอวี้ตกใจร้อนรน อยากจะเข้ามาอธิบายกับนาง เพียงแต่นางไม่ฟัง หันศีรษะแล้วก็เดินจากไป
ซั่งเหมยกลับมาจากห้องครัวทั้งมือเปล่า เฉินยางเห็นไม่มีบ๊วยที่ตัวเองคิดถึงอยู่ก็รู้สึกเศร้าใจ “ไฉนถึงไม่ได้เอามา ไม่ใช่ว่าเจ้าลืมอีกแล้วหรือ”
ซั่งเหมยแบมือออก “ไม่ได้เป็นเช่นนั้น ข้าน้อยจะกล้าลืมได้อย่างไร ที่ห้องครัวไม่มีบ๊วยแล้ว ตอนแรกบ่าวอยากจะเอาอิงเถา[1]มาให้ท่านกินเล็กน้อย เพียงแต่พ่อครัวที่ห้องครัวบอกว่าอิงเถาตะกร้าสุดท้ายถูกพระชายารองเจี่ยงเอาไปแล้ว”
เฉินยางอยากจะแค้นแต่ก็แค้นไม่ลง น่าอวี้ก็ไม่ได้รู้ว่านางอยากจะกินของเปรี้ยว นางนวดให้ต้าหมี่เล็กน้อย แล้วถอนหายใจนอนลงบนเตียง พูดด้วยเสียงอ่อนว่า “คนที่ห้องครัวเมื่อไหร่จะออกไปซื้อของ บอกพวกเขา ให้พวกเขาเอาบ๊วยกลับมาหน่อย”
ซั่งเหมยร้องทุกข์แทนนาง “ท่านถึงเป็นพระชายาเอก เหตุผลใดที่จะกินสิ่งใดยังต้องต่อแถวอยู่หลังพระชายารองคนหนึ่ง บ่าวจะไปเอาให้ท่าน ความไม่ยุติธรรมนี้พวกเราจะเฉยไม่ได้”
นางและน่าอวี้ยังไม่ถึงกับจะทะเลาะเพราะอิงเถาเพียงตะกร้าเดียว อีกอย่าง เพราะอิงเถาตะกร้าเดียวก็ทะเลาะกับคนอื่นหากเรื่องนี้แพร่ออกไปแล้วก็ไม่น่าฟังนัก นางยังไม่ได้ใจแคบเช่นนั้น นางโบกมือ พูดด้วยความใจกว้างว่า “ช่างเถิด ข้าก็ไม่ได้ชอบกินอิงเถา ไม่มีอิงเถากินอย่างอื่นก็ได้เช่นกัน”
ซั่งเซียงที่ปกติไม่ค่อยพูดนักวันนี้ก็ยืนอยู่ข้างซั่งเหมย “ท่านมักเป็นเช่นนี้อยู่ตลอด นานวันเข้า คนจะรู้สึกท่านถูกรังแกได้ง่ายนัก ล้วนมารังแกท่าน ในจวนนอกจากท่านอ๋องแล้วก็เป็นท่านที่ใหญ่ที่สุด ท่านต้องเอามาดของเจ้านายออกมาถึงจะได้”
“ใช่ๆๆ!” ซั่งเหมยอุ้มต้าหมี่ออกจากอ้อมกอดของนาง “ท่านก็อย่าได้เอาแต่นอนอยู่ในห้องเลย ออกไปเดินเล่นข้างนอกบ้าง หากยังนอนอยู่ต่อไป คนก็จะขึ้นราเสียแล้ว”
เฉินยางปล่อยให้พวกนางมาดึงตัวเอง แต่ก็ลุกไม่ขึ้น นางขี้เกียจจนไร้เรี่ยวแรง “ข้าไม่อยากออกไป ข้างนอกร้อนจนหนังแทบถลก ไม่สู้อยู่ในห้องเย็นสบาย ต้าหมี่เล่า ไปหาต้าหมี่มาให้ข้า ข้าจะนอนกลางวัน!”
ต้าหมี่มีนิสัยเป็นไปตามเจ้านายของมัน มันถูกซั่งเหมยอุ้มไปแล้ว ก็กลับมาเองอีกครั้ง มันร้องเมี้ยวแล้วก็กระโดดอยู่บนตัวเฉินยาง อุ้งเท้าเหยียบอยู่บนท้องนาง หาท่าที่สบายแล้วหมอบลง
“ท่าน… ท่านจะให้พวกเราว่าท่านอย่างไรดี ท่านลองนับเองดู ท่านอ๋องไม่ได้มานานเพียงใดแล้ว แต่กลับไปที่พระชายารองเจี่ยงนั่นอยู่บ่อยๆ หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ท่านก็จะไม่มีตัวตนในสายตาของท่านอ๋องเลย”
เฉินยางหลับตาลง หัวใจเต้นไปหยุดไป นางสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วพูดต่อว่า “เขาจะมาหรือไม่อยู่ที่เขา หากเบื่อข้าแล้วจริงๆ ถึงจะขอให้เขามาก็ไร้ค่า สิ่งที่คนอื่นอยากได้นักหนาข้ากลับไม่เห็นค่า ดูว่าใครจะทนได้มากกว่ากัน!”
มีใครทะเลาะกับสามีตัวเองเช่นนี้อีก สองคนนี้ได้ยินแล้วก็ส่ายหน้าไม่หยุด หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าสถานการณ์จะแย่เอา!
——
[1] อิงเถา คือผลเชอรี่
ตอนที่ 339 ต้มแกงนกพิราบ
คนที่ฮ่องเต้ส่งไปแจกของช่วยภัยแล้ง ว่าแล้วก็เป็นอย่างที่เฝิงเยี่ยไป๋คิดไว้ ระหว่างทางที่ผ่านเมืองเหมิงถูกซู่อ๋องดักปล้น ไม่เหลือแม้แต่ตำลึงเดียว รวมทั้งสิ้นแปดแสนตำลึงทอง ล้วนเข้าไปอยู่ในกระเป๋าซู่อ๋อง
ซู่อ๋องใช้ทองแปดแสนตำลึงนี้ซื้อข้าว เส้นหมี่ ธัญพืช แล้วตั้งกระโจมแจกข้าวต้มอยู่นอกเมือง ไม่เพียงเท่านั้น ซู่อ๋องยังตั้งแท่นบูชาขอฝนกับเทวดา ถึงขั้นไปเยี่ยมประชาชนที่เดือดร้อนด้วยตัวท่านเอง ประชาชนที่เดือดร้อนบริเวณรอบๆ หลายเมืองก็ค่อยๆ มารวมกันที่เมืองเหมิง ถึงขั้นประชาชนจากเมืองซึ่งอยู่ไกลออกไปก็ยังมากันอยู่เรื่อยๆ
ฮ่องเต้อยากจะส่งทหารไปยืดเงินช่วยเหลือภัยแล้งก็ไม่ได้ ห่กเป็นซู่อ๋องที่โกงเงินช่วยภัยแล้งนี้ เขายังมีข้ออ้างที่จะส่งทหารไป เพียงแต่ซู่อ๋องยืมดอกไม้ถวายพระ ซู่อ๋องเอาเงินในพระคลังของพระองค์เพื่อให้ตัวเองได้หน้า แสดงให้เห็นว่าตัวเองเป็นเหมือนดั่งอ๋องผู้ปราดเปรื่อง พร้อมเสียดสีฮ่องเต้ในคราวเดียวกัน หากฮ่องเต้ส่งทหารมายืดเงินช่วยเหลือภัยแล้งในยามนี้คืน กลับกลายเป็นว่าเป็นฮ่องเต้ผู้เ**้ยมโหดที่ไม่สนชีวิตประชาชน อีกอย่างประชาชนที่เดือดร้อนจากภัยแล้งก็เฝ้าอยู่รอบๆ เมือง พระองค์คิดจะบุกเมืองก็ต้องฆ่าประชาชนเหล่านี้เสียก่อน หากฆ่าประชาชนเหล่านี้ ไม่ต้องรอให้ซู่อ๋องลงมือ เพียงแค่ทหารชาวบ้านที่ถูกบีบบังคับจนร้อนรนก็สามารถกบฏได้แล้ว
ฮ่องเต้คิดจะให้ภัยแล้งกูสถานการณ์กลับคืนมา กลับนึกไม่ถึงว่าสุดท้ายแล้วจะพลาดท่าเสียเอง!
เพียงพูดถึงการวางแผนแล้ว ฮ่องเต้ยังห่างไกลกับซู่อ๋อง พระองค์คิดเพียงแต่ว่าจะกู้พระพักตร์พระองค์อย่างไร กลับลืมไปว่า ‘กระต่ายเมื่อร้อนรนก็กัดคนเป็น’ หากตอนแรกก็จัดให้เมืองเหมิงอยู่ในรายชื่อเมืองที่จะช่วยภัยแล้ง ก็อาจจะใช้ความเมตตาซื้อใจประชาชนกลับมาได้บ้าง เพียงแต่ครั้งนี้ กลับแพ้ยับเยิน
เรื่องที่บุกตีเมืองเมืองเหมิงจึงได้แต่ปล่อยเอาไว้ก่อน
การป่วยของเฝิงเยี่ยไป๋นี้ ก็ป่วยได้จังหวะพอดี! ไม่เช่นนั้นคนที่ถูกส่งไปช่วยภัยแล้งก็เป็นเขาแล้ว ความผิดอันใหญ่หลวงนี้ลงมาที่เขา ฮ่องเต้จะฆ่าเขา ไม่ใช่ว่าอยากลงมือเมื่อใดก็ได้เมื่อนั้นอีกหรือ!
ฮ่องเต้กริ้วหนักอยู่ที่ตำหนักไท่เหอ ฉีกฎีกาทั้งหมดสิบสองเล่ม ฆ่าเจ้าเมืองไปหลายคน ที่พลาดท่านี้บอกใครไม่ได้ สำหรับฮ่องเต้แล้วสูญเสียใหญ่หลวงยิ่งนัก ความโกรธระบายออกไปไม่ได้ จึงได้แต่ระบายใส่คนของพระองค์
นอกจากนั้น เจี่ยชีก็ได้พบนกพิราบส่งสารตัวหนึ่งที่จวนท่านอ๋อง ครั้งนี้ไม่ใช่บินมาผิดที่ แต่บินมาตรงๆ เลย ที่ขามีจดหมายมัดติดอยู่ฉบับหนึ่ง บนนั้นเขียนว่า ‘สามวันถัดไป พบกันที่ฉื่อเจียนฝูเซิง’ ลงท้ายนามว่า ‘เหยา’
เป็นซู่อ๋องที่อยากจะพบเขา
การพบกันของเฝิงเยี่ยไป๋และซู่อ๋องไม่ได้มีมาก อีกอย่างยามนี้ซู่อ๋องกำลังเป็นข่าวใหญ่โต เรื่องใหญ่เพียงใดก็ไม่ถึงกับต้องมาหารือกับเขา ที่จะพบเขานั้น เกรงว่าก็คงจะเป็นเรื่อง ‘ตรงๆ ‘ อย่างหนึ่งเสียกระมัง!
เรื่องนี้แม้แต่เฉาเต๋อหลุนเขาก็ไม่ได้พูด เขาเผาจดหมายทิ้งไป แล้วต้มนกพิราบเป็นแกง ให้เฉาเต๋อหลุนส่งไปให้เฉินยางบำรุงร่างหาย
เฉาเต๋อหลุนขานรับ นึกถึงเมื่อครู่ได้เจอซั่งเหมยในสวน นางดึงเขาเอาไว้พูดอยู่มากมาย ล้วนเกี่ยวกับเฉินยาง เมื่อครู่ตอนที่ยืมปรนนิบัติอยู่นั้นก็พิจารณาอยู่ ตอนแรกยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะพูดหรือไม่พูด ยามนี้ถือแกงนกพิราบ ก็รู้สึกวางใจขึ้นมา เขาขึ้นไปโค้งตัวพูดว่า “ท่านอ๋อง เมื่อครู่บ่าวได้เจอซั่งเหมย ซั่งเหมยพูดถึงพระชายากับบ่าว บอกว่าสองวันนี้พระชายาร่างกายไม่ค่อยดีนัก ขี้เกียจ ไม่มีชีวิตชีวายังมักอยากจะนอน วันนี้ตอนเช้าบอกว่าอยากกินบ๊วย ที่ห้องครัวหมดแล้ว ซั่งเหมยบอกว่าตอนแรกอิงเถาตะกร้านั้นที่จะให้พระชายากินนั้นก็เช่นกัน เพียงแต่อิงเถาตะกร้าสุดท้ายถูกพระชายารองเจี่ยงเอาไปแล้ว ที่ผ่านมาหลายวัน อะไรก็ไม่อยากกิน วันนี้ตอนเช้าจนถึงยามนี้ นอกจากนมที่กินไปตอนเช้าก็ไม่ได้กินอะไรอีกเลย”
——
ตอนที่ 340 ในใจท่านอ๋องเศร้านัก
เฉาเต๋อหลุนเห็นเขาขมวดคิ้ว ในใจก็รู้ว่าคำพูดของเขานั้นเข้าถึงในใจของเขาแล้ว จึงพูดอีกว่า “ท่านไม่ได้ไปเยี่ยมพระชายานานเช่นนี้แล้ว ไม่เช่นนั้น…คืนนี้บ่าวจะจัดอาหารเย็นไว้ที่สวนของพระชายา”
จัดที่นางหรือ จัดที่นางเพื่ออะไร เอาความรู้สึกดีๆ ไปให้ความรู้สึกเย็นชาของนางหรือ
“เจ้านี่ เรื่องดีๆ ทำไม่กี่เรื่อง คาดเดาความคิดเจ้านายกลับใส่ใจนัก” บอกว่าไม่เป็นห่วงนั้นก็เป็นการโกหก ไม่กินไม่ดื่ม ทะเลาะกับเขาถึงขั้นอดอาหารเสียแล้ว? นางคิดจะดื้อดึงไปถึงเมื่อใด ตัวอักษรในหนังสือก็ไม่เข้าตาเสียแล้ว จึงวางหนังสือลง แล้วจัดแขนเสื้อลุกขึ้นมา เดินไปข้างนอกสองก้าวแล้วเดินกลับมาอีก “ก่อนหน้านี้ไม่ใช่บอกว่ามีจดหมายมาจากหรู่หนานอยู่ฉบับหนึ่งหรือ เอามาให้ข้า”
เฉาเต๋อหลุนอึ้งเล็กน้อย “จดหมายนั้นได้มอบให้ท่านแล้ว บ่าวให้ไว้กับมือท่านเอง ท่านยังบอกอีกว่าจะเอาจดหมายให้พระชายาดูอยู่เลย ตอนหลังยุ่งนักจึงได้ล่าช้าไป”
นั่นเป็นจดหมายที่เว่ยฟูจื่อเขียนให้เฉินยาง ไม่กี่วันก่อนนางยังคิดถึงท่านพ่อของนาง บ่นอยู่ว่าจะรับพ่อของนางมา ไม่ได้พบหน้ากัน มีจดหมายสามารถปลอบใจได้ คิดว่านางก็คงจะดีใจ
เพียงแต่จดหมายนี้….เขาตบศีรษะตัวเองก็นึกขึ้นมาแล้ว จดหมายนั้นถูกเขาสอดอยู่ในหนังสือ ‘ภาพค่ำคืนแห่งความสุข’ เล่มหนึ่งเสียแล้ว เขาพลิกหนังสือออกมา จดหมายกำอยู่ในมือช่างร้อนยิ่งนัก คนเป็นผู้ชาย ดูสิ่งเหล่านี้ไม่น่าแปลก บ้านใครก็ต้องมีกันอยู่บ้าง ยามที่ยังเป็นเด็ก วิชาล้วนเรียนจากในหนังสือภาพ ตอนหลังวิชาแกร่งกล้า ฝีมือท่าทางก็เยอะ ไหนเลยยังจะต้องใช้หนังสือนี้อีก เป็นเพราะช่วงนี้ไฟราคะยากจะระบาย เฉินยางก็ทะเลาะกับเขา คนอื่นเขาก็ไม่สนใจ จึงได้แต่จินตนาการเอง เอาใบหน้าของผู้หญิงที่อยู่ในภาพเปลี่ยนเป็นใบหน้าของนาง ท่าทางการยิ้ม การยกแขนการหมุนตัว เพียงแค่คิดก็เป็นความสุขมากมาย
อาการหน้าแดงของเขาเกิดขึ้นเพียงครู่เดียว ตัวเองเป็นผู้ชายปกติที่มีภรรยาสามคนสี่คน ถึงกับต้องอยู่ในสภาพเช่นนี้ ถูกคนอื่นรู้เข้าไม่หัวเราะแย่หรือ
หนังสือถูกเขาเอามารองขาโต๊ะ ตอนที่ไปเขาส่งสายตาเป็นการเตือนเฉาเต๋อหลุน เฉาเต๋อหลุนตกใจ รีบแกล้งทำเป็นมองไม่เห็น เรื่องนี้พูดออกไปแล้วขายหน้ายิ่งนัก เขาเข้าใจดี ย่อมไม่กล้าแพร่ออกไปข้างนอก หน้าของผู้ชายสำคัญที่สุด แม้ว่าเขาจะขาดแท่งนั้นไป เพียงแต่การล้อเล่นในปกตินั้นก็ไม่ยอมให้ใครเอา ‘ขันที’ มาล้อกันเล่น น่าเสียดายนัก ความเศร้าในใจท่านอ๋อง ชาตินี้เขาไม่ได้ลิ้มรสเสียแล้ว
เฉินยางนอนไปพักหนึ่งก็ตื่นขึ้นมาเอง ตื่นขึ้นมาก็ดื่มชา จุ๊ปากเล็กน้อย รู้สึกขาดรสบางอย่างไป จึงเรียกซั่งเซียงมา ให้นางไปดูที่ห้องครัวว่ามีอะไรที่มีรสเปรี้ยวกินได้บ้างให้เอามาให้นางกิน
ซั่งเซียงขานรับแล้วเดินออกไปข้างนอก พอไปถึงประตูก็ถูกซั่งเหมยขวางเอาไว้ “นายหญิง ฤดูนี้ ท่านอยากกินของหวานใดเลือกได้ตามสบาย แตงโมลูกท้อพุทราอะไรนั่น เฉ่าเหมย[1]อิงเถา ฮามี่กวา[2] สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นของบรรณาการจากแคว้นทางใต้ ไม่ต้องพูดถึงเลยว่ารสชาติดีอย่างไร ของเปรี้ยวมีอะไรน่ากินหรือ ของหวานๆ คลุกกับน้ำแข็งผสมกับนม เหมาะกินกับอากาศเช่นนี้”
เฝิงเยี่ยไป๋มาถึงหน้าประตู เขาส่งสัญญาณมือให้คนที่ส่งสารไปข้างในเงียบเสียง แล้วย่องเข้าไปในห้อง เขาฟังผ่านฉากกั้นแกะสลัก ได้ยินเฉินยางพูดอย่างขี้เกียจว่า “แต่ข้าไม่อยากกินของหวาน กินแล้วเลี่ยนนัก ข้าอยากกินของเปรี้ยว ไม่จำเป็นต้องเป็นผลไม้ เป็นเพียงน้ำส้มสายชูหมักผักกาดขาวก็ได้….ไม่ได้ๆ มีกลิ่นน้ำมัน ข้าดมแล้วอยากจะอ้วก ไม่เช่นนั้นเจ้าให้เสี่ยวอันที่อยู่ห้องครัววิ่งออกไปซื้อ ให้เงินเขาสองตำลึง ให้เขาซื้อลูกไหนมาให้ข้า แล้วก็ซื้อองุ่นเปรี้ยวสักเล็กน้อย รีบไป!”
——
[1] เฉ่าเหมย คือ สตรอเบอร์รี่
[2] ฮามี่กวา คือ แคนตาลูป
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น