จารใจรัก 33-39.2

 33.1 หมอหลวงถูกสังหาร

 


 


 


           บนถนนทางการเต็มไปด้วยน้ำฝนท่วมขัง ฝนห่าใหญ่ตกกระทบหลังคาเกิดเสียงดังต่อเนื่อง


 


 


           ถึงแม้จะใช้ม้าพันธุ์ดีลากรถ แต่ม้าต้องเหยียบลงในน้ำฝนท่วมขัง ผิวถนนลื่นอย่างยิ่ง รถม้าจึงวิ่งด้วยความเร็วไม่มากนัก


 


 


           เดินทางไปได้ห้าลี้ เบื้องหน้ามีรถม้าคันหนึ่งจอดอยู่


 


 


           อวี้จั๋วสวมเสื้อกันฝนพร้อมด้วยหมวกงอบ เขาสะบัดน้ำบนหมวกงอบพลางมองไปยังเบื้องหน้าพักหนึ่ง ก่อนเอ่ยบอกคนข้างใน “พี่สะใภ้ ดูเหมือนว่าเป็นรถม้าจวนหมอหลวงซุน”


 


 


           เซี่ยฟางหวาเลิกม่านมองไปข้างนอกแวบหนึ่ง เป็นรถม้าจวนหมอหลวงซุนจริงดังที่บอก นางเอ่ยขึ้น “ท่าทางหมอหลวงซุนจะล่วงหน้ามาก่อนก้าวหนึ่งแล้วหยุดรอเราที่นี่ เจ้าไปบอกพวกเขาว่าให้เดินทางไปพร้อมกันเถอะ”


 


 


           อวี้จั๋วพยักหน้าแล้วขับรถม้าเข้าไปเทียบใกล้ๆ เขาไม่ลงจากรถ แต่พูดกับคนขับว่า “ใช่รถม้าจวนหมอหลวงซุนหรือไม่”


 


 


           คนขับสวมเสื้อกันฝนพร้อมด้วยหมวกงอบเช่นเดียวกัน เอาแต่ก้มหน้าไม่ส่งเสียงใด


 


 


           อวี้จั๋วตะโกนอีกครั้งก็ยังไม่มีการตอบรับ เขาแปลกใจจึงโยนเชือกบังเ**ยนแล้วเดินไปยังรถม้าคันนั้น


 


 


           “อวี้จั๋วหยุดก่อน ยืนอยู่ตรงนั้นอย่าเพิ่งขยับ” เซี่ยฟางหวาสัมผัสได้ถึงความผิดปกติก็รั้งอวี้จั๋วไว้ก่อน


 


 


           อวี้จั๋วหยุดอยู่กับที่ทันที หันกลับมามองยังรถม้า


 


 


           “ลงไปดู” เซี่ยฟางหวาเอ่ยบอกซื่อฮว่ากับซื่อม่อ


 


 


           ทั้งสองสัมผัสได้ถึงความผิดปกติแล้วเช่นกันจึงพยักหน้า คนหนึ่งเลิกม่านให้ อีกคนหนึ่งกางร่มประคองเซี่ยฟางหวาลงจากรถม้า


 


 


           เซี่ยฟางหวาลงจากรถแล้วเดินไปยังรถม้าคันนั้น นางยื่นมือไปดึงหมวกงอบบนศีรษะของคนขับรถออก พบว่าเขากำลังเอียงศีรษะ หลับตาสนิท กริชเล่มหนึ่งปักคาอยู่บริเวณหน้าอก เขาเสียชีวิตไปแล้ว


 


 


           อวี้จั๋วเบิกตากว้างด้วยความตกใจ


 


 


           ซื่อฮว่ากับซื่อม่อรีบประกบซ้ายขวาเพื่อคุ้มกันเซี่ยฟางหวาทันที พลางมองรถม้าคันนี้ด้วยความระวัง


 


 


           เซี่ยฟางหวาเม้มปากมองรถม้าคันนี้พักหนึ่งก่อนก้าวออกไปเลิกม่านออก


 


 


           พบว่าหมอหลวงซุนนั่งอยู่ข้างใน


 


 


           หมอหลวงซุนนั่งพิงผนังรถ หน้าอกมีกริชเล่มหนึ่งปักคาอยู่เช่นเดียวกัน คงอากัปกิริยาเดิมโดยไม่ส่งเสียงใด เห็นได้ชัดว่าเสียชีวิตไปแล้วเช่นกัน


 


 


           “นี่คือหมอหลวงซุนหรือ เขาถูกสังหาร?” อวี้จั๋วมีสีหน้าเปลี่ยนไป


 


 


           ซื่อฮว่ากับซื่อม่อมองคนขับรถและหมอหลวงซุนที่ถูกสังหารด้วยความตระหนกตกใจเช่นเดียวกัน พวกนางมองซ้ายขวาด้วยความระวัง บริเวณโดยรอบนอกจากรถม้าของพวกตนก็ไม่มีผู้ใดอีกแล้ว ทันใดนั้นก็เอ่ยขึ้น “คุณหนู ทำเช่นไรดีเจ้าคะ”


 


 


           “พวกเจ้าสองคนรีบกลับเมืองไปแจ้งความที่ศาลาว่าการของขุนนางจิงจ้าวอิ่น” เซี่ยฟางหวาหรี่ตาลง สั่งงานซื่อฮว่ากับซื่อม่อด้วยใบหน้าเคร่งขรึม


 


 


           “แล้วคุณหนู…” ซื่อฮว่ากับซื่อม่อกังวลใจ


 


 


           “ข้ากับอวี้จั๋วจะรออยู่ที่นี่” เซี่ยฟางหวากล่าวเสียงเข้ม “ไม่อาจเพิกเฉยกับการตายของหมอหลวงซุนแล้วไปค่ายใหญ่เขาตะวันตกได้ ในเมื่อเราเป็นผู้พบศพย่อมไม่อาจเลี่ยงได้”


 


 


           “เจ้าค่ะ เช่นนั้นคุณหนูโปรดระวังตัวด้วย” ซื่อฮว่ากับซื่อม่อมองอวี้จั๋ว


 


 


           “ข้าไปแจ้งความเองดีกว่า” อวี้จั๋วรีบเสนอตัวแทน


 


 


           “เจ้าอยู่ที่นี่แหละ” เซี่ยฟางหวาส่ายหน้าก่อนยกมือไล่ซื่อฮว่ากับซื่อม่อ “ปลดรถม้าออก พวกเจ้าขี่ม้าไป หลังแจ้งความเสร็จแล้วก็ไปแจ้งข่าวให้จวนหมอหลวงซุนทราบด้วย”


 


 


           ซื่อฮว่ากับซื่อม่อพยักหน้ารับ ก่อนเดินกลับไปปลดรถม้าออก ทั้งสองขี่ม้าตัวเดียวกันมุ่งหน้ากลับเมืองหลวงด้วยความว่องไว


 


 


           “พี่สะใภ้ แล้วพวกเราเล่า” อวี้จั๋วมองเหตุการณ์เบื้องหน้า


 


 


           “เรากลับไปรอที่รถม้าของเรา” เซี่ยฟางหวาหันหลังเดินกลับไปที่รถม้าของตัวเอง


 


 


           อวี้จั๋วก็เดินตามมาเช่นกัน พลางกล่าวด้วยความแปลกใจ “ข้าเป็นคนกลับมาส่งข่าวเอง ข้ามาที่จวนอ๋องก่อนแล้วค่อยส่งเด็กรับใช้ไปส่งข่าวบอกจวนหมอหลวงซุน ตามหลักหลังส่งข่าวแล้ว ท่านมิได้ล่าช้า เราจึงออกมาจากจวนทันที หมอหลวงซุนทราบข่าว หากไม่ล่าช้าเช่นกันก็ควรออกมาจากเมืองพร้อมเราถึงจะถูกต้อง เหตุใดเขาถึงล่วงหน้ามาถึงที่นี่ก่อนเราได้”


 


 


           “หากไม่ล่วงหน้ามาที่นี่ก่อนก็จะไม่ตาย” เซี่ยฟางหวาแค่นหัวเราะ “ต้องมีคนล่วงหน้าไปส่งข่าวก่อน ข่าวไปถึงเร็วกว่าเจ้า เขาจึงออกจากจวนมาเร็วกว่าข้า”


 


 


           “พี่สะใภ้ ตอนนี้ฝนตกหนักถึงเพียงนี้ ร่องรอยใดใดคงถูกชะล้างไปหมดแล้ว ถึงแม้ขุนนางจิงจ้าวอิ่นมาถึงจะสืบหาสาเหตุการตายได้แน่หรือ” อวี้จั๋วกังวล “จะไม่ป้ายความผิดให้เราหรอกใช่ไหม”


 


 


           เซี่ยฟางหวามองม่านสายฝนห่าใหญ่เบื้องหน้า รถม้าจอดอยู่ที่นี่มาเป็นเวลาครู่หนึ่งแล้วจึงเกิดแอ่งน้ำสะสม นางแค่นหัวเราะกล่าว “คดีที่เกิดขึ้น ผู้ที่ถูกพบในที่เกิดเหตุต้องเป็นฆาตกรเสมอไปหรือ เช่นนั้นทุกปีคงมีคนมากน้อยต้องตกเป็นแพะ?”


 


 


           “เดิมทีหมอหลวงซุนกับเราจะเดินทางไปค่ายใหญ่เขาตะวันตกด้วยกัน ทว่าตอนนี้หมอหลวงซุนถูกสังหารไปแล้ว เราต้องเสียเวลาอยู่ที่นี่ ขุนนางจิงจ้าวอิ่นทราบข่าวและรีบมาทันทีแต่ก็ต้องใช้เวลาราวหนึ่งชั่วยาม ยังต้องสอบปากคำ ไหนจะบันทึกคำให้การ เวลายิ่งยืดเยื้อออกไปเช่นนี้ พวกเราจะไปถึงค่ายใหญ่เขาตะวันตกเมื่อไร” อวี้จั๋วพยักหน้าก่อนมองท้องฟ้า


 


 


           เซี่ยฟางหวาไม่เอ่ยคำใด ก้มหน้าใช้ความคิด


 


 


           อวี้จั๋วยังอยากกล่าวบางอย่างต่อ เมื่อเห็นใบหน้าเซี่ยฟางหวาประเดี๋ยวสว่างประเดี๋ยวมืดราวกับกำลังไตร่ตรองเหตุการณ์อยู่ เขาจึงไม่กล้ารบกวนนาง ไม่ส่งเสียงใดขึ้นอีก


 


 


           ครึ่งชั่วยามถัดมา หนุ่มน้อยคนหนึ่งควบม้ามาด้วยความรีบร้อน เสียงกีบเท้าม้าเหยียบแอ่งน้ำบนพื้น น้ำขังยิ่งกระเซ็นสูงขึ้นหลายจั้ง


 


 


           หนุ่มน้อยคนนั้นอายุราวสิบสามสิบสี่ ยังไม่โตเต็มวัยแต่โตว่าอวี้จั๋วเล็กน้อย หากแต่ยังคงความอ่อนวัยชัดเจน


 


 


           “มีคนมา” อวี้จั๋วรีบบอกเซี่ยฟางหวา


 


 


           “เขาน่าจะเป็นหลานชายของหมอหลวงซุน พอเขามาถึงแล้วเจ้าก็จับตามองเขาด้วย อย่าให้เขาแตะต้องศพบนรถม้า ห้ามทำลายที่เกิดเหตุ” เซี่ยฟางหวาเงยหน้ามองแล้วเอ่ยขึ้น


 


 


           อวี้จั๋วรับคำแล้วรีบลุกขึ้นยืน


 


 


           หนุ่มน้อยคนนั้นมาถึงในชั่วพริบตา เขาตะโกนเรียกท่านปู่เสียงดัง พลิกกายลงจากม้าก่อนสะบัดเชือกบังเ**ยนทิ้ง จากนั้นก็เดินตรงไปยังรถม้าพลางร้องไห้ครวญคราง


 


 


           อวี้จั๋วรีบเข้าไปห้ามเขา


 


 


           “เจ้าเป็นใคร” หนุ่มน้อยคนนั้นเห็นเด็กอีกคนที่ดูเด็กกว่าตนเล็กน้อยมาขวางทางไว้จึงรีบถาม


 


 


           “ข้าเป็นเด็กรับใช้ของท่านอ๋องน้อยเจิงแห่งจวนอิงชินอ๋อง พระชายาน้อยของเราเพิ่งเดินทางผ่านมา พบว่าหมอหลวงซุนถูกสังหารและได้ส่งคนไปแจ้งขุนนางจิงจ้าวอิ่นแล้ว เจ้าล่ะเป็นใคร” อวี้จั๋วตอบ


 


 


           “ข้าชื่อซุนจั๋ว หมอหลวงซุนคือปู่ของข้า เจ้าหลบไปประเดี๋ยวนี้” ซุนจั๋วผลักอวี้จั๋วออก


 


 


           ถึงอย่างไรอวี้จั๋วก็ฝึกวิทยายุทธ์มาตั้งแต่เด็ก ซุนจั๋วแม้ได้ฝึกฝนทักษะการขี่ม้ายิงธนูมาบ้างเช่นกัน แต่ยังสู้อวี้จั๋วไม่ได้ ดังนั้นแม้เขาผลักอวี้จั๋วออกก็ไม่ได้สะทกสะท้านแต่อย่างใด


 


 


           “เจ้ามาขวางไม่ให้ข้าเข้าไปทำไม” ซุนจั๋วโมโห


 


 


           “เจ้าไปดูปู่เจ้าได้ แต่ห้ามแตะต้องที่เกิดเหตุโดยเด็ดขาด รอขุนนางจิงจ้าวอิ่นมาก่อนจะได้จับตัวฆาตกรเพื่อสะสางคดี” อวี้จั๋วรวบมือเขา เอ่ยเตือนด้วยเสียงดังฟังชัด


 


 


           “รอขุนนางจิงจ้าวอิ่นมาสะสางคดี? ที่นี่ไร้ผู้ใด มีแค่เจ้าที่อยู่ด้วย เจ้าเป็นคนสังหารท่านปู่ใช่หรือไม่” ซุนจั๋วโมโหขึ้นมา


 


 


           “ข้าพบปู่เจ้าถูกสังหารอยู่บนรถก็หมายความว่าข้าเป็นคนสังหารรึ? เจ้าอายุมากกว่าข้าเสียอีก สมองมีปัญหาหรืออย่างไร” อวี้จั๋วเองก็เริ่มโมโหแล้วเช่นกัน


 


 


           ซุนจั๋วหน้าหงาย “ฝนตกหนักถึงเพียงนี้ มีแค่เจ้าที่อยู่ที่นี่ เหตุใดท่านปู่…”


 


 


           “ซุนจั๋ว!” เซี่ยฟางหวาเลิกม่านออก ขัดจังหวะด้วยเสียงราบเรียบ


 


 


           ซุนจั๋วถูกขัดจังหวะก็ตกใจ เขาหันหลังมองไปยังเซี่ยฟางหวาที่นั่งอยู่บนรถม้า


 


 


           “เจ้าทราบข่าวแล้วมาที่นี่ได้อย่างไร เหตุใดถึงมีแค่เจ้าคนเดียว” เซี่ยฟางหวามองเขาด้วยสีหน้านิ่งสงบ


 


 


           “มีสตรีคนหนึ่งบอกว่าท่านปู่ถูกสังหารที่นี่ ข้าจึงรีบมาดู ท่านพ่ออยู่นอกเมืองยังไม่กลับ ท่านแม่กับเอ้อร์เหนียงกำลังรีบนั่งรถม้าตามมาอยู่ข้างหลัง” ซุนจั๋วมองเซี่ยฟางหวา ลังเลครู่หนึ่งแล้วเอ่ยถาม “ท่านคือพระชายาน้อยแห่งจวนอิงชินอ๋องหรือ”


 


 


           “ปู่เจ้าอายุปูนนี้แล้ว ไม่ว่าจะกับจวนอิงชินอ๋องหรือกับจวนจงหย่งโหวต่างมีไมตรีอย่างลึกซึ้ง ข้าย่อมไม่อยากเห็นเขาถูกสังหารอย่างมีเงื่อนงำเช่นกัน ดังนั้นทันทีที่ข้าพบศพจึงส่งคนไปแจ้งความกับขุนนางจิงจ้าวอิ่นแล้ว ขณะเดียวกันก็ให้สาวใช้ของข้าสองคนไปแจ้งจวนหมอหลวงซุน สตรีผู้ไปแจ้งจวนหมอหลวงซุนที่ว่าน่าจะเป็นหนึ่งในสาวใช้ของข้า” เซี่ยฟางหวากล่าวด้วยความสงบ “ข้าให้อวี้จั๋วขวางเจ้าไว้เพราะกลัวว่าเจ้าจะทำลายที่เกิดเหตุเพราะความตื่นตระหนก เมื่อขุนนางจิงจ้าวอิ่นมาแล้วจะกระทบกับการสืบคดี ขอเพียงเจ้าไม่แตะต้องที่เกิดเหตุก็เข้าไปดูได้”


 


 


           “ข้าจะเชื่อเจ้าได้อย่างไร ถึงอย่างมีแค่พวกท่านที่อยู่ตรงนี้ รอบข้างไม่มีผู้อื่น” ซุนจั๋วกล่าวอีก


 


 


           “ปู่เจ้ากับข้าต้องไปค่ายใหญ่เขาตะวันตก เขาออกจากเมืองมาเร็วกว่าข้า ทหารรักษาประตูเมืองเป็นพยานได้ ทั้งเวลาสังหารไม่ตรงกัน นอกจากนี้การสังหารคนต้องมีแรงจูงใจ ข้ามีแรงจูงใจใดต้องทำร้ายหมอหลวงซุนด้วย อีกอย่างหากต้องการตรวจสอบให้กระจ่าง ประเดี๋ยวขุนนางจิงจ้าวอิ่นมาก็ทราบแล้ว หากเกิดคดีฆาตกรรมทั้งในและนอกระยะเก้าเมืองก็น่าจะอยู่ในขอบเขตที่พวกเขาควบคุมไม่ใช่หรือ ตอนนี้เจ้าทำได้เพียงต้องเชื่อข้า” เซี่ยฟางหวาพูดจบก็ปล่อยม่านลง เอ่ยบอกอวี้จั๋ว “อวี้จั๋วหลบไป ให้เขาไปดูศพ”


 


 


           อวี้จั๋วเบี่ยงตัวหลีกทางให้


 


 


           ซุนจั๋วรีบเดินไปยังรถม้าทันที เมื่อเห็นกริชที่ถูกปักคาอกคนขับรถก็มีสีหน้าเปลี่ยน เขาเลิกม่านรถม้าออกด้วยมืออันสั่นเทา เมื่อเห็นหมอหลวงซุนที่ถูกกริชปักหน้าอกจนสิ้นลมหายใจแล้วก็หวีดร้องเสียงดังว่า “ท่านปู่!” ขณะจะถลาเข้าไปกอดร่างผู้เป็นปู่ก็นึกถึงคำพูดของเซี่ยฟางหวาได้จึงหยุดมือทัน จากนั้นก็ทรุดลงบนพื้นแล้วร้องไห้ออกมา


 


 


           อวี้จั๋วเห็นว่าเขาไม่ได้สร้างความวุ่นวายเพิ่ม นับว่ายังรู้ความจึงมาหลบฝนหน้ารถม้า


 


 


           เซี่ยฟางหวามองซุนจั๋วทรุดอยู่บนพื้นพลางร้องไห้ด้วยความเจ็บปวด ไม่คิดว่าหมอหลวงซุนจะมีจุดจบเช่นนี้ หลังนางกลับมาก็ถูกฉินเจิงวางแผนกักขังเอาไว้ที่จวนอิงชินอ๋อง นางได้พูดคุยกับหมอหลวงซุนท่านนี้หลายครั้ง เขาอายุปูนนี้แล้วฟังว่าคิดอยากเกษียณกลับบ้านเกิด เพียงแต่ฝ่าบาททรงประชวรอยู่จึงไม่ยอมให้เขาเกษียณ ไม่นึกเลยว่าจะตายลงเช่นนี้


 


 


           ซุนจั๋วร้องไห้ฟูมฟายพักหนึ่งก่อนลุกขึ้นยืน มองมายังรถม้าของเซี่ยฟางหวาก่อนเดินมาหา เอ่ยขึ้นทั้งที่ลำคอแห้งผาก “พระชายาน้อยโปรดชี้แนะด้วย ข้าควรทำเช่นไรดี ท่านปู่ถูกใครสังหารกันแน่ ท่านทราบหรือไม่”


 


 


           เซี่ยฟางหวายังไม่ทันตอบ เสียงกีบเท้าขบวนหนึ่งพลันดังขึ้นมาจากทางประตูเมือง เสียงกีบเท้าดูรีบร้อนราวกับมีคนมุ่งมาจำนวนมาก


33.2 หมอหลวงถูกสังหาร

 


“ขุนนางจิงจ้าวอิ่นคงมาแล้ว” อวี้จั๋วหันไปมองตามเสียงแล้วเอ่ยขึ้น


           “พระชายาน้อย ขุนนางจิงจ้าวอิ่นจะสะสางคดีได้จริงหรือ ฝนตกหนักถึงเพียงนี้ หากหาตัวฆาตกรไม่เจอจะทำเช่นไร” ซุนจั๋วมองไปยังคนเหล่านั้นเช่นกัน ทั้งเอ่ยถามเซี่ยฟางหวาด้วยความร้อนใจ


           “ต้องหาเจอแน่” เซี่ยฟางหวาตอบเสียงเรียบ


           เสียงของนางแม้เรียบนิ่ง แต่แฝงไปด้วยความรู้สึกที่ทำให้ซุนจั๋วสงบใจ เขาพยักหน้ารับภายใต้ความเจ็บปวด “ต้องไล่หาตัวฆาตกรให้ได้ ท่านปู่อายุปูนนี้แล้ว โดยปกติหาได้ล่วงเกินผู้ใดไม่ เหตุใดถึงได้ถูกสังหารกันลงคอเช่นนี้”


           ระหว่างพูดคุยกัน คนและม้ากลุ่มนั้นก็เคลื่อนเข้ามาใกล้ ทั้งหมดมีจำนวนราวสามสิบกว่าคน ต่างสวมเครื่องแบบศาลาว่าการเหมือนกันทั้งหมด หนึ่งในนั้นที่ขี่ม้านำหน้าอายุสามสิบกว่าปี ไว้นวดเคราและจอนผม สวมหมวกขุนนางทรงสูง ดูแล้วน่าจะเป็นหัวหน้า ข้างกายเขาคือซื่อฮว่ากับซื่อม่อที่ขี่ม้าตัวเดียวกัน


           “ผู้ที่นั่งอยู่หน้ารถม้าคือพระชายาน้อยใช่หรือไม่” คนผู้นั้นลงจากรถม้า ก้าวออกมาทำความเคารพ “ข้าน้อยคือขุนนางจิงจ้าวอิ่นชื่อหลิวอ้าน”


           “ใต้เท้าหลิวไม่ต้องมากพิธี” เซี่ยฟางหวาเลิกม่านออก กางร่มลงจากรถแล้วพยักหน้ารับ


           “ได้ยินสาวใช้สองคนของพระชายาน้อยมาแจ้งความว่า หมอหลวงซุนถูก…เกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่” หลิวอ้านยืดตัวตรง มองบริเวณโดยรอบแล้วเอ่ยถามด้วยความสงสัย


           “เหตุการณ์คือเดิมทีข้าต้องไปค่ายใหญ่เขาตะวันตก ยามผ่านมาทางนี้ก็พบรถม้าหมอหลวงซุน คนขับและเขาต่างเสียชีวิตอยู่บนรถ” เซี่ยฟางหวาพูดสั้นๆ ได้ใจความ “ที่เกิดเหตุยังไม่ถูกทำลายแต่อย่างใด ใต้เท้าหลิวนำขุนนางชันสูตรศพมาด้วยหรือไม่”


           หลิวอ้านพยักหน้าเรียกคนมาสองคนแล้วเดินไปยังรถม้าของหมอหลวงซุน


           เซี่ยฟางหวากางร่มยืนอยู่ที่เดิม รอฟังผลชันสูตร


           ซื่อฮว่ากับซื่อม่อลงจากม้าแล้วเดินมาหาเซี่ยฟางหวา ทั้งสองเปียกปอนไปทั้งตัว กระซิบกล่าวเสียงเบา “บ่าวสองคนเข้าเมืองไปแจ้งความอย่างราบรื่น ใต้เท้าหลิวผู้เป็นขุนนางจิงจ้าวอิ่นท่านนี้ทราบเรื่องก็รีบมาทันที” พูดจบก็กล่าวต่อ “เมื่อแจ้งความเสร็จเราก็ไปจวนหมอหลวงซุน นึกไม่ถึงว่าจวนหมอหลวงจะทราบข่าวแล้ว บอกว่ามีสตรีคนหนึ่งล่วงหน้ามาแจ้งข่าวก่อน”


           “สืบหรือยังว่าสตรีผู้นั้นคือใคร” เซี่ยฟางหวาหรี่ตาลง


           “ข้าส่งข่าวให้คนไปสืบแล้วเจ้าค่ะ” ซื่อฮว่าตอบเสียงเบา


           เซี่ยฟางหวาไม่เอ่ยคำใดอีก


           ขุนนางจิงจ้าวอิ่นเดินไปถึงหน้ารถม้าแล้วก็อุทานด้วยความตกใจ “ผู้ใดมีความแค้นกับหมอหลวงอาวุโสถึงเพียงนี้ ไม่นึกเลยว่าจะปลิดชีพด้วยกระบวนท่าเดียว”


           “ท่านปู่นอกจากถวายการรักษาแก่วังหลวง หากจวนสูงศักดิ์ทั่วไปมีเรื่องใด ขอเพียงมาขอร้องท่านปู่ เขาก็จะไปตรวจดูอาการให้ ไม่เคยล่วงเกินผู้ใดเลย” ซุนจั๋วโกรธแค้น “ไม่รู้ว่าเหตุใดวันนี้ถึงเกิดเรื่องเช่นนี้ได้”


           “ขุนนางชันสูตร เข้าไปตรวจสอบศพ” หลิวอ้านถอยหลังเปิดทางให้


           ขุนนางชันสูตรศพก้าวขึ้นมาทำหน้าที่ คนหนึ่งตรวจสอบศพหมอหลวงซุน อีกคนหนึ่งตรวจสอบศพคนขับรถ ครู่ต่อมาทั้งสองก็สลับกัน หลังหารือกันครู่หนึ่งก็รายงานผลกับหลิวอ้าน “เรียนใต้เท้า หมอหลวงซุนถูกปลิดชีพในกระบวนท่าเดียว ฆาตกรต้องมีวิทยายุทธ์ โจมตีตรงหัวใจหมอหลวงไม่พอ ทั้งยังลงมือก่อเหตุโดยที่หมอหลวงไม่ทันตั้งตัว เสียชีวิตเมื่อประมาณหนึ่งชั่วยามก่อน ส่วนคนขับรถนายนี้ถูกสังหารเหมือนกับหมอหลวงซุนมิผิด ช่วงเวลาก็ไล่เลี่ยกันขอรับ”


           “นอกเหนือจากนี้ ยังมีร่องรอยใดหรือไม่” หลิวอ้านถาม


           “ฝนตกหนักเกินไป ตอนนี้ยังไม่เจอร่องรอยอื่น” ขุนนางชันสูตรศพมองหน้ากันก่อนส่ายหน้า


           “หาร่องรอยอื่นไม่ได้? หาตัวฆาตกรสังหารท่านปู่ไม่ได้อย่างนั้นรึ” ซุนจั๋วรีบถาม


           ขุนนางชันสูตรศพทั้งสองส่ายหน้า


           “เจ้าเป็นหลานของหมอหลวงซุนหรือ” หลิวอ้านมองมายังซุนจั๋ว


           ซุนจั๋วพยักหน้ารับ


           “ระหว่างทางข้าเห็นรถม้าครอบครัวหมอหลวงซุน คงใกล้มาถึงแล้ว รับศพหมอหลวงซุนกลับจวนไปก่อนเถอะ ถึงอย่างไรหมอหลวงซุนก็เป็นหมอหลวงอาวุโสในสำนักหมอหลวง คดีฆาตกรรมร้ายแรงเช่นนี้ ขุนนางจิงจ้าวอิ่นจะมอบให้กรมอาญาสะสางคดีแทน” หลินอ้านทอดถอนใจกล่าว


           ซุนจั๋วมองไปยังเซี่ยฟางหวา


           หลิวอ้านมองไปยังเซี่ยฟางหวาตาม ก่อนประสานมือคำนับ “ในเมื่อพระชายาน้อยเป็นผู้พบศพหมอหลวงซุน เช่นนั้นก็กลับไปที่ศาลาว่าการก่อนเถิด ข้าน้อยต้องบันทึกการสอบปากคำ”


           เซี่ยฟางหวามองหลิวอ้านด้วยแววตาเรียบเฉย ไม่ได้รับปากทันที หากแต่หันไปตั้งคำถามกับขุนนางชันสูตรศพสองคนนั้น “พวกเจ้าแน่ใจหรือว่าชันสูตรศพถูกต้อง”


           สองคนนั้นผงะตกใจ


           “ขุนนางชันสูตรศพในเมืองหลวงทำงานลวกๆ ถึงเพียงนี้เชียวหรือ” น้ำเสียงเซี่ยฟางหวาเคร่งขรึม


           “เราสองคนทำงานนี้มาหลายปีแล้ว ชันสูตรศพมานับไม่ถ้วน พระชายาน้อยมีข้อกังขาในความสามารถของเราสองคนหรือ หรือว่าพระชายาน้อยชันสูตรศพได้แม่นยำกว่าเรา” ขุนนางชันสูตรศพคนนั้นมีสีหน้าเปลี่ยน รีบเอ่ยแย้งทันที


           “ข้าชันสูตรศพไม่เป็น แต่ข้ารู้วิชาแพทย์” เซี่ยฟางหวากางร่มก้าวออกมา ชี้กริชบนหน้าอกของคนขับรถ จากนั้นก็ชี้กริชบนหน้าอกของหมอหลวงซุน “พวกเจ้าดูสิ ถูกปลิดชีพในครั้งเดียวเหมือนกันแท้ๆ เหตุใดกริชสองเล่มถึงไม่เหมือนกัน”


           สองคนนั้นเดินไปดูด้วยความสงสัย พินิจมองพักหนึ่งแล้วส่ายหน้า มองมายังเซี่ยฟางหวา “กริชถูกแทงกลางหน้าอกเหมือนกัน ไม่มีอันใดแตกต่าง”


           “ชันสูตรศพมานานกี่ปีแล้ว? แค่ถูกสังหารกับฆ่าตัวตายยังแยกไม่ออกรึ ข้าว่าพวกเจ้าสองคนไม่ต้องทำอาชีพนี้แล้ว” เซี่ยฟางหวามองทั้งสองด้วยสายตาเย็นชา “วิธีการของคนขับรถนายนี้เห็นชัดว่าเป็นการฆ่าตัวตาย จงใจเลียนแบบตำแหน่งกริชที่ปักคาอกหมอหลวงซุน แต่ยังพลาดไปเล็กน้อย อีกอย่างตำแหน่งของเขาแม้พลาดไปจากหมอหลวงซุนแค่เล็กน้อยเท่านั้น แต่เลือดที่ไหลออกมาเยอะกว่าหมอหลวงซุนมาก เพราะหลังแทงกริชเข้าไปเขาไม่ได้ตายทันที แต่เสียเลือดไปมาก ต้องใช้เวลาพักหนึ่งถึงจะตาย”


           “ฝนครั้งนี้ชะล้างร่องรอยจนหมดแล้ว คราบเลือดบนตัวเขาไม่เหลืออยู่แล้ว พระชายาน้อยดูออกได้อย่างไร” ขุนนางชันสูตรศพคนหนึ่งถาม


           “คราบเลือดบนตัวเขาไม่เหลืออยู่แล้ว แต่คราบเลือดใต้ท้องรถยังอยู่ แม้ฝนตกหนักมากแต่ไม่อาจชะล้างคราบเลือดไปได้ในเวลาเพียงครู่เดียว โดยเฉพาะจุดที่มีน้ำขัง พวกเจ้าลองดูใต้ท้องรถได้ว่าน้ำในแอ่งแดงขนาดไหน เทียบกับตำแหน่งที่หมอหลวงซุนนั่งอยู่ ใต้ท้องรถกลับไม่มีคราบเลือดมากนัก ดังนั้นจึงแยกออกได้” เซี่ยฟางหวาตอบ


           ขุนนางชันสูตรศพทั้งสองรีบก้มลงดูใต้ท้องรถทันที เมื่อมองแล้วก็หน้าซีดขาว


           หลิวอ้านก็ก้มตัวมองเช่นกัน เป็นจริงดังที่เซี่ยฟางหวาบอกไว้ เขาหันกลับมามองเซี่ยฟางหวา “ความหมายของพระชายาน้อยคือ คนขับรถนายนี้ฆ่าตัวตายหรือ เหตุใดเขาต้องฆ่าตัวตายด้วย เพราะหมอหลวงซุนตายอย่างนั้นหรือ เขากลัวว่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย? หรือตัวเขากันแน่ที่เป็นฆาตกร?”


           “ต้องตรวจสอบฐานะคนขับรถนายนี้” เซี่ยฟางหวาตอบเสียงเรียบ


           “พระชายาน้อยบอกว่าคนขับรถนายนี้ฆ่าตัวตาย บอกว่ากริชต่างกัน ข้ากลับมองไม่ออก ผู้ใดก่อเหตุสังหาร ตำแหน่งแทงกริชย่อมไม่เหมือนกันอยู่แล้ว” ขุนนางชันสูตรศพคนหนึ่งกล่าวขึ้น


           เซี่ยฟางหวามองขุนนางชันสูตรศพคนนั้นแวบหนึ่ง ยังไม่ทันอ้าปากพูดพลันได้ยินเสียงกีบเท้าม้าขบวนหนึ่งดังมาจากระยะไกล เสียงที่ตามมาพร้อมกับกีบม้าคือเสียงล้อรถที่บดกับพื้นแล่นมาด้วยความเร็ว นางหันไปมองทันที


           พวกหลิวอ้านก็หันไปมองโดยพร้อมเพรียงเช่นกัน


           พบว่าผู้ที่ขี่ม้านำมาสวมเสื้อกันฝนและอุปกรณ์กันฝนอย่างมิดชิด ทว่ายังคงมองออกว่าเป็นคุณชาย


หลี่มู่ชิงแห่งจวนเสนาบดีฝ่ายขวา นอกจากเขายังมีรถม้าอีกสองคัน เป็นรถม้าที่ครอบครัวของหมอหลวงซุนนั่งมา ข้างหลังตามมาด้วยคนกลุ่มหนึ่งซึ่งสวมเครื่องแบบกรมอาญา เห็นได้ชัดว่าขุนนางจากกรมอาญามาถึงแล้ว


           เมื่อเห็นหลี่มู่ชิง แววตาเซี่ยฟางหวาก็สั่นไหว


           ไม่นานหลี่มู่ชิงก็มาถึง เขาพลิกกายลงจากม้า เดินมาหาเซี่ยฟางหวาพร้อมกล่าวด้วยเสียงนุ่มนวล “เจ้าไม่มีประสบการณ์ในเรื่องนี้มาก่อน ข้าจึงตามมาดู” 


34.1 กลไกศิลายักษ์

 


 


 


           เมื่อเห็นหลี่มู่ชิง พร้อมทั้งได้ยินถ้อยคำที่เขาเอ่ยบอก เซี่ยฟางหวาก็รู้สึกอุ่นใจ


 


 


           คดีฆาตกรรมหมอหลวงซุนเกี่ยวข้องกับคดีสังหารคนที่ค่ายใหญ่เขาตะวันตกอย่างเห็นได้ชัด เพราะหมอหลวงซุนถูกฆาตกรรมระหว่างเดินทางไปค่ายใหญ่เขาตะวันตก ส่วนนางที่เดินทางตามมาทีหลังได้พบที่เกิดเหตุพอดี คดีนี้มีความเกี่ยวพันกันอย่างใหญ่หลวง นอกจากตระกูลหลูแห่งฟ่านหยางกับตระกูลหลี่แห่งจ้าวจวิ้น ยังมีจวนหย่งคังโหว จวนอิงชินอ๋อง และจวนเสนาบดีฝ่ายซ้าย จะต้องมีแผนการลับเบื้องหลังอย่างแน่นอน หากผู้ใดไม่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย แต่กลับพาตัวเองเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องเองนั้นมิใช่การกระทำที่ฉลาดเท่าไรนัก


 


 


           จวนอิงชินอ๋องอย่างไรก็ไม่อาจหลุดพ้นไปได้ แต่หลี่มู่ชิงกับจวนเสนาบดีฝ่ายขวาเลือกที่จะเพิกเฉยไม่เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องด้วยเลยก็ได้


 


 


           ทว่ายามนี้หลี่มู่ชิงยื่นมือมาช่วยเหลือนางเช่นนี้เท่ากับเป็นการเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้อง ทั้งยังฝ่าสายฝนห่าใหญ่ถึงเพียงนี้มาอีก


 


 


           “เจ้าไม่ต้องทำเช่นนี้ก็ได้ เรื่องนี้ข้ารับมือไหว” เซี่ยฟางหวากล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำ


 


 


           “ถ้อยคำที่ข้าเคยพูดกับเจ้า ยังจำได้หรือไม่” หลี่มู่ชิงยิ้ม


 


 


           “จำได้” เซี่ยฟางหวาเม้มปากเล็กน้อยก่อนพยักหน้ารับ


 


 


           “เจ้าจำได้ก็ดีแล้ว ไม่ต้องให้ข้าต้องพูดซ้ำ” หลี่มู่ชิงพูดจบก็ประสานมือคำนับหลิวอ้าน “ใต้เท้าหลิว ต้องการความช่วยเหลือใดหรือไม่”


 


 


           แรกเริ่มหลิวอ้านแปลกใจอย่างยิ่งกับการเห็นหลี่มู่ชิงฝ่าสายฝนมาที่นี่ แต่หลังจากเห็นเขาเดินตรงไปหาเซี่ยฟางหวาก็จำได้โดยพลัน ครั้งหนึ่งคุณชายแห่งจวนเสนาบดีฝ่ายขวาท่านนี้เคยไปสู่ขอคุณหนูฟางหวาแห่งจวนจงหย่งโหว ทว่าน่าเสียดายที่สวรรค์กลั่นแกล้ง ท้ายสุดฝ่าบาททรงมีพระราชโองการสมรสพระราชทานครั้งที่สอง ให้คุณหนูฟางหวาสมรสกับท่านอ๋องน้อยเจิงในปัจจุบันอีกครั้ง ส่วนน้องสาวของเขาได้รับสมรสพระราชทานแก่รัชทายาทในปัจจุบัน


 


 


           แม้งานสมรสระหว่างรัชทายาทกับคุณหนูหลี่แห่งจวนเสนาบดีฝ่ายขวายังไม่เริ่มดำเนินการ แต่ตราบใดที่พระราชโองการสมรสพระราชทานยังมีอยู่ ยากรับรองว่าจะไม่กลายเป็นพระชายารัชทายาทในอนาคต เช่นนั้นเขาซึ่งเป็นพี่ภรรยาของรัชทายาท บางทีอาจได้กลายเป็นพระมาตุลาในอนาคต


 


 


           แม้ตอนนี้หลี่มู่ชิงยังไม่เข้าราชสำนัก แต่ด้วยความรู้ความสามารถของเขา อนาคตย่อมมีเส้นทางให้เลือกเดินได้ไม่จำกัด เขาย่อมไม่กล้าล่วงเกิน


 


 


           “คุณชายหลี่มาได้จังหวะพอดี ขุนนางชันสูตรศพอย่างไรก็เป็นขุนนางชันสูตรศพ ไม่มีวิทยายุทธ์ ตอนนี้การตายของหมอหลวงซุนและคนขับรถนายนี้ที่ขุนนางชันสูตรศพกับความเห็นที่พระชายาน้อยแย้งขึ้นต่างกัน ท่านเป็นผู้ฝึกวิทยายุทธ์ มาช่วยตรวจสอบอีกแรงย่อมดีมาก” หลิวอ้านรีบประสานมือคำนับตอบพร้อมเอ่ยขึ้น


 


 


           หลี่มู่ชิงพยักหน้า “เรื่องที่พอทำได้ข้าย่อมช่วยเหลือเต็มที่ ยิ่งไปกว่านั้นหมอหลวงซุนก็มีไมตรีลึกซึ้งกับจวนเสนาบดีฝ่ายขวาเช่นกัน ไม่อาจปล่อยให้เขาถูกลอบทำร้ายในบั้นปลายชีวิตเช่นนี้ได้ ดังนั้นหลังทราบข่าวข้าก็รีบมาทันที” พูดจบก็กล่าวอีก “หลังข้าทราบข่าวจึงส่งคนไปแจ้งความกับกรมอาญา คนของกรมอาญาก็ใกล้มาถึงแล้วด้วย”


 


 


           “ฐานะของหมอหลวงซุนต่างจากสามัญชนทั่วไป คดีนี้ย่อมยกให้กรมอาญาเป็นผู้ดูแล ข้าซึ่งเป็นขุนนางจิงจ้าวอิ่นเกรงว่าจะไม่อาจดูแลคดีฆาตกรรมเช่นนี้ได้ ไม่นึกเลยว่ากลางวันแสกๆ จะก่อเหตุสังหารในเขตเมืองหลวง น่ารังเกียจยิ่งนัก” หลินอ้านกล่าว


 


 


           หลี่มู่ชิงพยักหน้า ก้าวขึ้นมาตรวจสอบสาเหตุการตายของหมอหลวงซุนกับคนขับรถนายนั้นอย่างถี่ถ้วน


 


 


           หลิวอ้านก้าวขึ้นไปดูด้วยเช่นกัน


 


 


           หลังหลี่มู่ชิงตรวจสอบไปพักหนึ่งก็เอ่ยขึ้น “หมอหลวงซุนถูกฆาตกรรม ส่วนคนขับรถนายนี้เป็นการฆ่าตัวตาย ผู้ฝึกวิทยายุทธ์ทุกคนต่างทราบดีว่า วิธีการสังหารผู้อื่นกับการฆ่าตัวตายนั้นมีส่วนต่างกันเพียงเล็กน้อย”


 


 


           ใบหน้าของขุนนางชันสูตรศพซีดขาวยิ่งกว่าเดิม


 


 


           “คุณชายหลี่ ท่านเพิ่งมาถึงเมื่อครู่คงได้แลกเปลี่ยนข้อมูลกับพระชายาน้อยสินะ” หนึ่งในสองคนนั้นเอ่ยขึ้นอย่างไม่อยากยอมรับ


 


 


           “สิ่งที่ข้าคุยกับพระชายาน้อยเมื่อครู่ไม่ได้ปิดบังผู้ใด หากหูของใต้เท้าหลิวและทุกท่านยังใช้งานได้ดี น่าจะได้ยินชัดเจน” หลี่มู่ชิงหรี่ตาลง หันมาเผชิญหน้ากับความสงสัยของทั้งสอง ทว่าไม่ได้พาลโมโหหากแต่กล่าวเสียงเรียบ


 


 


           คนผู้นั้นหน้าหงาย


 


 


           “ผู้มีวิทยายุทธ์ในเมืองไม่ได้มีแค่ข้าเพียงผู้เดียว ในเมื่อคนของกรมอาญามาแล้ว เช่นนั้นก็ให้ผู้มีวิทยายุทธ์ขั้นดีมากจากกรมอาญามาตรวจสอบดูอีกแรงก็ทราบแล้ว” หลี่มู่ชิงกล่าวขึ้นอีก


 


 


           หลิวอ้านขึงตามองขุนนางชันสูตรศพสองคนนั้น ก่อนรีบเอ่ยขึ้น “คุณชายหลี่พูดถูกแล้ว ฐานะหมอหลวงซุนต่างจากคนธรรมดา ที่ผ่านมาเป็นหมอคนสำคัญในสำนักหมอหลวงกับฝ่าบาท รวมถึงวังหลังด้วย การตายของเขาจำต้องตรวจสอบให้ละเอียดถี่ถ้วน”


 


 


           หลี่มู่ชิงพยักหน้า ไม่กล่าวมากความ


 


 


           ในระหว่างนั้นเองคนจากกรมอาญาและครอบครัวหมอหลวงซุนก็มาถึงแล้ว


 


 


           ใต้เท้าท่านหนึ่งที่มาจากกรมอาญามีนามว่าหานซู่ เขามาถึงยังไม่ทันได้เอ่ยคำใด ลูกสะใภ้สองคนของหมอหลวงซุนก็ลงจากรถม้าแล้วพุ่งเข้ามาหาทั้งที่สะอื้นไห้ ทำใจไม่ได้ที่หมอหลวงซุนที่ถูกทำร้าย


 


 


           ซุนจั๋วเห็นว่าแม่ของตนกับเอ้อร์เหนียงหมายจะเข้าไปแตะต้องศพของหมอหลวงซุน เขาทราบดีว่ายังชันสูตรศพไม่เรียบร้อยดีจึงขวางทั้งสองไว้แล้วเอ่ยขึ้น “ท่านแม่ เอ้อร์เหนียง ท่านปู่ถูกสังหาร ตอนนี้กำลังตรวจสอบคดีอยู่ ท่านสองคนอย่าเพิ่งแตะต้องท่านปู่เลย”


 


 


           “คนใจดำที่ใดกันแน่ที่สังหารท่านพ่อ ที่ผ่านมาท่านพ่อเคยล่วงเกินผู้ใดที่ไหนกัน” แม่ของซุนจั๋วเอ่ยขึ้นด้วยความเสียใจ


 


 


           ซุนจั๋วส่ายหน้า


 


 


           “ท่านพี่ไม่อยู่ที่จวน เกิดเรื่องกับท่านพ่อเช่นนี้ ต่อไปจวนหมอหลวงของเราจะทำเช่นไร” เอ้อร์เหนียงของซุนจั๋วก็สะอื้นกล่าวตามเช่นกัน


 


 


           “ท่านแม่ เอ้อร์เหนียง จะต้องหาตัวฆาตกรเพื่อแก้แค้นให้ท่านปู่ได้เป็นแน่ พวกท่านถอยออกมาก่อนเถอะ ใต้เท้ากรมอาญาจะได้เข้าไปตรวจสอบ” ซุนจั๋วกัดฟันกล่าว


 


 


           ทั้งสองพยักหน้าพร้อมกัน ร้องไห้พลางหลบมายืนด้านข้าง


 


 


           “พระชายาน้อย คุณชายหลี่!” หานซู่ก้าวขึ้นมาทำความเคารพเซี่ยฟางหวากับหลี่มู่ชิง


 


 


           “ใต้เท้าหาน!” ทั้งสองทำความเคารพตอบตามลำดับ


 


 


           “ใต้เท้าหลิว สถานการณ์เป็นเช่นไรบ้าง” หานซู่หันไปมองหลิวอ้าน


 


 


           หานซู่มียศทางราชการสูงกว่าหลิวอ้าน หลิวอ้านจึงรีบทำความเคารพแล้วเอ่ยตอบด้วยความระวัง จากนั้นก็บอกเล่าขั้นตอนที่ได้ทำไปหลังมาถึงให้ฟังคร่าวๆ


 


 


           “หมายความว่าพระชายาน้อยกับคุณชายหลี่และสองขุนนางชันสูตรศพตรวจสอบได้ผลต่างกันหรือ” หานซู่ฟังจบก็เอ่ยขึ้น


 


 


           “ถูกต้อง”


 


 


           “ข้านำคนมาด้วย ให้พวกเขาลองตรวจสอบดูแล้วกัน” หานซู่ยกมือสั่งงาน


 


 


           ขุนนางชันสูตรศพสองคนก้าวขึ้นมา ทั้งสองตรวจสอบดูพักหนึ่งแล้วมองหน้ากัน ก่อนประสานมือคำนับกล่าวต่อหานซู่ “ใต้เท้า เราสองคนคิดว่าพระชายาน้อยกับคุณชายหลี่กล่าวมีเหตุผลขอรับ หมอหลวงซุนถูกฆาตกรรม ส่วนคนขับรถนายนี้ฆ่าตัวตาย แต่อาจผิดพลาดได้เช่นกัน ถึงอย่างไรความผิดพลาดก็เล็กเกินไป ต้องให้ผู้มีวิทยายุทธ์ขั้นสูงมาพิสูจน์ยืนยันอีกแรง”


 


 


           หานซู่พยักหน้ารับ ก่อนกวักมือเรียกองครักษ์สองนายออกมา “พวกเจ้ามาตรวจสอบดู”


 


 


           องครักษ์สองคนนั้นรีบก้าวออกมา ตรวจสอบพักหนึ่งก่อนกล่าวขึ้น “เรียนใต้เท้า หมอหลวงซุนถูกฆาตกรรม ส่วนคนรถขับฆ่าตัวตายจริงขอรับ ใช้กริชเหมือนกันก็จริง การฆ่าตัวตายกับถูกสังหารแม้จะมีรูปแบบเดียวกัน แต่ก็มีจุดต่างกันขอรับ”


 


 


           “พวกเจ้าแน่ใจหรือ” หานซู่ถามซ้ำ


 


 


           ทั้งสองพยักหน้ายืนยัน


 


 


           “หากคนขับรถนายนี้ฆ่าตัวตาย ดูท่านี่คงเป็นข้อสงสัยใหญ่ ตรวจสอบจากคนขับรถนายนี้ก่อนก็แล้วกัน!” หานซู่หันมามองหลิวอ้าน


 


 


           “คดีใหญ่เช่นนี้ย่อมมอบให้กรมอาญาจัดการ” หลินอ้านรีบกล่าว


 


 


           “ด้วยฐานะของหมอหลวงซุน ยามนี้ถูกสังหาร ต้องรายงานรัชทายาทก่อน” หานซู่ถอนหายใจออกมา


 


 


           “ข้าได้ยินว่าหลังรัชทายาททรงทราบว่าเกิดเรื่องขึ้นที่ค่ายใหญ่เขาตะวันตกก็เดินทางไปที่นั่นแล้ว ยามนี้ไม่อยู่ในวังหลวง ไม่อยู่ที่ตำหนักบูรพาด้วยเช่นกัน” หลินอ้านกล่าวต่อ


 


 


           หานซู่พยักหน้า “เรื่องนี้ข้ารู้แล้ว” พูดจบก็หันมามองเซี่ยฟางหวา “พระชายาน้อย ข้าน้อยได้ยินว่าท่านกับหมอหลวงซุนเตรียมตัวเดินทางไปค่ายใหญ่เขาตะวันตก?”


 


 


           เซี่ยฟางหวาพยักหน้าตอบ


 


 


           “ตามหลักแล้ว หมอหลวงซุนควรเดินทางออกจากเมืองพร้อมท่านถึงจะถูก” หานซู่กล่าว


 


 


           เซี่ยฟางหวาหันมามองอวี้จั๋ว


 


 


           อวี้จั๋วรีบอธิบายถึงสาเหตุ หลังอธิบายจบก็มองไปยังซื่อฮว่ากับซื่อม่อ


 


 


           “หมอหลวงซุนถูกสังหาร ข้อสงสัยสำคัญคือ เราสองคนได้รับคำสั่งจากคุณหนูให้เดินทางกลับเมืองไปแจ้งความกับขุนนางจิงจ้าวอิ่น หลังแจ้งความเสร็จแล้วให้ไปส่งข่าวบอกจวนหมอหลวงซุนด้วย ทว่าพอเราสองคนไปถึง พบว่าจวนหมอหลวงซุนทราบข่าวแล้ว ฟังว่ามีสตรีคนหนึ่งมาบอก น่าแปลกใจอย่างยิ่ง” ซื่อฮว่ากับซื่อม่อให้การเพิ่มเติมอีก


 


 


           “มีเรื่องนี้ด้วยรึ” หานซู่หันมองไปครอบครัวของหมอหลวงซุน


 


 


           “ขอรับ พอได้ยินว่าท่านปู่ถูกสังหาร หลังทราบข่าวข้าก็ออกมาก่อน ตอนนั้นพระชายาน้อยบอกว่าส่งสาวใช้ไปแจ้งความและส่งข่าว เดิมข้านึกว่าเป็นสาวใช้ของนาง แต่ตอนนี้เมื่อเห็นพวกนางสองคน ข้าก็มั่นใจว่าสตรีที่ไปส่งข่าวบอกจวนหมอหลวงซุนไม่ใช่หนึ่งในพวกนางแน่นอน” ซุนจั๋วรีบกล่าวทันที


 


 


           “หรือก็คือตอนข้ามาถึงที่นี่และพบศพหมอหลวงซุน มีคนทราบก่อนแล้วก้าวหนึ่ง” เซี่ยฟางหวากล่าว


 


 


           “นี่เป็นข้อสงสัยเช่นกัน ดูท่ามีสตรีทราบว่าหมอหลวงซุนถูกสังหารก่อนที่พระชายาน้อยมาถึง แต่นึกไม่ถึงว่าจะไม่ไปแจ้งกับศาลาว่าการขุนนางจิงจ้าวอิ่น และไม่ไปแจ้งกับกรมอาญา กลับไปแจ้งจวนหมอหลวงซุนก่อน น่าแปลกใจยิ่งนัก” หานซู่พยักหน้า


34.2 กลไกศิลายักษ์

 


 


“ซุนจั๋ว เจ้าวาดภาพเป็นหรือไม่” หลี่มู่ชิงถามซุนจั๋ว 


           “แม้ข้าเรียนวิชาแพทย์กับท่านปู่มาตั้งแต่เด็ก แต่ก็เคยเรียนวาดภาพเช่นกัน” ซุนจั๋วพยักหน้ารับ 


           “เจ้ายังจำรูปร่างของสตรีผู้นั้นได้หรือไม่” หลี่มู่ชิงถาม 


           “จำได้ ตอนนั้นสตรีผู้นั้นแค่พูดกับคนเฝ้าประตูใหญ่ประโยคเดียว แต่ข้ากำลังจะออกจากจวนพอดี ดังนั้นจึงได้เห็นหน้านางแวบหนึ่ง” ซุนจั๋วตอบ “หลังสตรีผู้นั้นจากไป ข้าก็บอกท่านแม่กับเอ้อร์เหนียง จากนั้นก็ขี่ม้าออกมาทันที” 


           “เช่นนี้ เจ้าก็วาดภาพนางขึ้นมาเถอะ” หลี่มู่ชิงกล่าว 


           ซุนจั๋วพยักหน้ารับก่อนกล่าวกับหานซู่ “ใต้เท้าหาน ตอนนี้ต้องกลับเมืองหรือไม่ พอกลับไปแล้วข้าจะได้รีบวาดภาพสตรีผู้นั้นขึ้นมา” 


           หานซู่ลังเลครู่หนึ่งก่อนหันมามองเซี่ยฟางหวา “พระชายาน้อย เริ่มเย็นแล้ว ท่านยังจะเดินทางไปค่ายใหญ่เขาตะวันตกอีกหรือไม่” 


           “แน่นอนว่าต้องไป ใต้เท้าหานมีสิ่งใดให้ข้าทำอีกหรือไม่” เซี่ยฟางหวาถาม “หากบันทึกคำให้การ สาวใช้ทั้งสองของข้าเป็นตัวแทนข้าได้” 


           “เนื่องจากฝ่าบาททรงไม่แข็งแรง ทั้งล้มประชวรอีกครั้ง แต่คดีฆาตกรรมหมอหลวงซุนนั้นเป็นเรื่องใหญ่ ข้าจำต้องรีบรายงานให้องค์รัชทายาททราบโดยเร็วที่สุด เช่นนี้คงต้องรีบเดินทางไปพบรัชทายาทที่ค่ายใหญ่เขาตะวันตก หากพระชายาน้อยก็จะไปที่นั่นด้วย ข้าน้อยจะได้ร่วมเดินทางไปพร้อมกัน” หานซู่รีบกล่าว  


           “แล้วที่นี่เล่า?” เซี่ยฟางหวาถาม 


           “ในเมื่อใต้เท้าหลิวอยู่ที่นี่ด้วย ยังมีกรมอาญาอีกจำนวนหนึ่ง ให้พวกเขาเก็บกวาดที่นี่ก่อนแล้วนำคนกลับไป” หานซู่ตอบ “ถึงอย่างไรคดีฆาตกรรมหมอหลวงซุน เกรงว่าจะมีความเกี่ยวข้องกับคดีที่ค่ายใหญ่เขาตะวันตกด้วย ข้าดูแลกรมอาญา หากอยากตรวจสอบคดีนี้ให้กระจ่าง ช้าเร็วก็ต้องไปค่ายใหญ่เขาตะวันตกอยู่ดี มิสู้ถือโอกาสไปเสียตอนนี้ดีกว่า” 


           “ก็ดี” เซี่ยฟางหวาพยักหน้า มองไปยังหลี่มู่ชิง 


           หลี่มู่ชิงผงกศีรษะ “ข้าว่างพอดี เช่นนั้นก็ไปค่ายใหญ่เขาตะวันตกกับเจ้าด้วยแล้วกัน เริ่มเย็นแล้ว ฝนยังตกหนักเช่นนี้อีก ข้าไม่ค่อยวางใจนัก” 


           “ขอบใจมาก” เซี่ยฟางหวาเองก็ไม่ได้ปฏิเสธ 


           หลังตกลงกันได้เช่นนี้ หานซู่จึงเรียกหลิวอ้านมาคุย ทั้งสองปรึกษาหารือกันพักหนึ่ง ก่อนที่เขาจะเรียกคนของกรมอาญาเข้ามาสั่งงานต่อ 


           ซุนจั๋วก้าวขึ้นมามองเซี่ยฟางหวา “พระชายาน้อย ท่านปู่ข้า…” เขาหยุดครู่หนึ่งแล้วกัดริมฝีปาก “ท่านต้องไปค่ายใหญ่เขาตะวันตก แล้วคดีของท่านปู่จะได้รับการสะสางแน่หรือ” 


           “ขอเพียงมีคนก่อเหตุย่อมสะสางคดีได้แน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นยังมีพิรุธมากถึงเพียงนี้อีก” เซี่ยฟางหวามองเขา ก่อนมองไปยังสตรีอีกสองคนที่กำลังร้องห่มร้องไห้อยู่ด้านข้างจนไม่อาจตัดสินใจเองได้แล้ว ยามนี้มีเพียงเด็กหนุ่มคนนี้ที่ใช้งานได้ ไม่คิดเลยว่าจวนหมอหลวงซุนจะมีคนในครอบครัวน้อยขนาดนี้ นางครุ่นคิดแล้วเอ่ยขึ้น “อย่างนี้แล้วกัน เจ้ากลับไปพร้อมกับคนของกรมอาญาก่อน ข้าจะส่งจดหมายกลับไปที่จวนอิงชินอ๋อง ขอให้พระชายาช่วยดูแลเรื่องนี้ ต้องสะสางคดีเสร็จในเร็ววันแน่นอน” 


           “ขอบคุณพระชายาน้อย” ซุนจั๋วขอบคุณนางด้วยความเคารพ 


           เขาคิดว่าหากไม่ได้เซี่ยฟางหวา เรื่องคนขับรถฆ่าตัวตายเมื่อครู่นี้คงไม่ได้รับการเปิดเผยเป็นแน่ เขาเชื่อเซี่ยฟางหวา ยิ่งไปกว่านั้นเขาได้รับการสั่งสอนมาจากท่านปู่ตั้งแต่เด็ก ระยะหลังมานี้ท่านปู่มักเอ่ยถึงบ่อยๆ ว่าคุณหนูแห่งจวนจงหย่งโหวไม่ธรรมดา มีวิชาแพทย์เข้าขั้นเซียน ตนที่ขวนขวายหาความรู้ในวิชาแพทย์มาทั้งชีวิตยังเทียบนางไม่ได้ สมกับประโยคที่ว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า หากมีโอกาสได้เรียนรู้จากนาง ย่อมทำให้วิชาแพทย์ของตนก้าวหน้าอีกขั้นแน่นอน ถ้อยคำที่เอ่ยถึงเต็มไปด้วยความชื่นชม ดังนั้นเมื่อเทียบกับขุนนางจิงจ้าว 


อิ่นและกรมอาญาแล้ว ยามนี้เมื่อทำใจให้สงบลง กับคดีฆาตกรรมท่านปู่เขาย่อมเชื่อนางมากกว่า 


           ไม่นานหานซู่ก็สั่งงานเรียบร้อย อวี้จั๋วขึ้นรถม้าใหม่อีกครั้ง เซี่ยฟางหวาเข้าไปนั่งข้างใน 


           หลี่มู่ชิงกับหานซู่ต่างสวมเสื้อกันฝนแล้วขี่ม้าออกไปพร้อมกัน 


           ทั้งหมดเริ่มเดินทางไปยังค่ายใหญ่เขาตะวันตกต่อ 


           “โชคดีที่คุณชายหลี่นำคนของกรมอาญามาด้วย หากไม่มีคุณชายหลี่ คุณหนูจะต้องเสียเวลาอยู่ที่นี่นานเป็นแน่ ไม่มีทางปลีกตัวออกเพื่อไปยังค่ายใหญ่เขาตะวันตกต่อ” ซื่อฮว่ากับซื่อม่อนั่งอยู่ในรถ เมื่อออกห่างจากสถานที่เกิดเหตุแล้วก็กล่าวกับเซี่ยฟางหวาเสียงเบา  


           เซี่ยฟางหวาเงียบ 


           “คุณหนู เรื่องวันนี้น่าประหลาดยิ่งนัก หมอหลวงซุนยังดีๆ อยู่เลย นึกไม่ถึงว่าจะถูกสังหารเช่นนี้”  


ซื่อฮว่ากล่าวอีก “ตอนนี้จวนต่างๆ ในเมืองคงทราบข่าวหมดแล้ว ท่านว่าหากทำเพื่อขัดขวางหมอหลวงซุนไปยังค่ายใหญ่เขาตะวันตก เช่นนั้นขัดขวางหมอหลวงซุนคเดียวจะมีประโยชน์ใด ถึงแม้เขาตายไป แต่ยังมีคุณหนูอยู่อีกคน วิชาแพทย์ของคุณหนูเหนือชั้นกว่าหมอหลวงซุนเสียอีก” 


           “ไม่เหมือนกัน หมอหลวงซุนเป็นหมอหลวงอาวุโสจากสำนักหมอหลวง อยู่ในเมืองมานานหลายปี ไม่เคยเข้าไปเกี่ยวข้องกับจวนใดๆ หรือวังหลวงมาก่อน” ซื่อม่อกล่าว “คุณหนูก็ไม่เหมือนกัน วิชาแพทย์ของคุณหนูสูงก็จริง แต่ไม่มียศทางราชการ นอกจากเคยช่วยองค์ชายแปดกับฮูหยินหย่งคังโหวแล้วถูกลือกันออกไปก็ไม่มีผู้ใดทราบอีก” 


           ซื่อฮว่าพยักหน้า ยังอยากกล่าวบางอย่าง แต่เห็นว่าเซี่ยฟางหวาไม่ส่งเสียงใดจึงเงียบลง 


           ซื่อม่อก็เงียบตามเช่นกัน 


           เซี่ยฟางหวานั่งพิงผนังรถเงียบๆ ไม่เอ่ยคำใดตลอดทาง 


           ฝนข้างนอกราวกับตกหนักยิ่งกว่าเดิม ม่านสายฝนตกกระทบหลังคารถ นอกจากฝนยังตามมาด้วยลม โจมตีผู้สัญจรเดินทางอย่างไร้ความปราณี 


           ผ่านไปครู่หนึ่ง เซี่ยฟางหวาก็โพล่งขึ้น “ท่านพี่เดินทางไปได้สามวันแล้วสินะ” 


           “เจ้าค่ะ คุณหนู” 


           “ฝนนี้ดูท่าจะตกทั่วสารทิศ ท่านพี่เองก็น่าจะเดินทางฝ่าสายฝนเช่นนี้เหมือนกัน” เซี่ยฟางหวากล่าว 


           ซื่อฮว่ากับซื่อม่อพยักหน้าพร้อมกัน “คุณหนูไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ทั้งลมทั้งฝนหนักถึงเพียงนี้ หากฝืนเดินทางไม่ไหว ท่านโหวคงหาที่พักระหว่างทางเป็นแน่ ถึงอย่างไรยังมีท่านหญิงเหลียนเดินทางไปด้วย” 


           เซี่ยฟางหวาผงกศีรษะ 


           รถม้าเคลื่อนตัวต่อไป นอกจากเสียงลมและฝนก็ไม่ได้ยินเสียงอื่นอีก 


           เดินทางเช่นนี้ไปได้สิบกว่าลี้จนมาถึงทางภูเขาที่มุ่งตรงไปยังค่ายใหญ่เขาตะวันตก ขณะเลี้ยวเข้าสู่ทางภูเขา ทันใดนั้นก็เกิดเสียงดังสนั่นขึ้นจากบนเนินเขา 


           “รีบถอยกลับ!” หลี่มู่ชิงตะโกนเสียงดัง 


           อวี้จั๋วมีปฏิกิริยาตอบสนองรวดเร็ว รีบดึงเชือกคุมบังเ**ยน รถม้าโงนเงนไปหลายก้าว 


           หลี่มู่ชิงกระโจนม้าขึ้นมาขวางข้างหน้า ตวัดฝ่ามือแย่งเชือกบังเ**ยนมา ออกแรงดึงจนรถม้าถอยหลังไปสิบกว่าก้าว 


           ตามมาด้วยเสียงครั่นครืนขนาดใหญ่ราวกับมีบางสิ่งกลิ้งตกลงมาจากเนินเขา 


           ซื่อฮว่ากับซื่อม่อตกใจ ขณะจะออกไปดู เซี่ยฟางหวาก็ยกมือห้ามทั้งสองไว้แล้วเลิกม่านดู พบว่ามีก้อนหินขนาดใหญ่สิบกว่าก้อนกำลังกลิ้งตกลงมาจากเนินเขาข้างหน้า ตกจากกลางเขากลิ้งมาตามทาง เมื่อครู่หากหลบไม่ทัน เช่นนั้นคงถูกหินขนาดใหญ่ทับตายเป็นแน่ 


           นางมีสีหน้าเยือกเย็น หันไปมองหลี่มู่ชิง 


           หลี่มู่ชิงก็กำลังถือเชือกบังเ**ยนมองมาทางนางเช่นกัน 


           “ที่นี่…เหตุใดถึงมีหินภูเขากลิ้งลงมาได้” อวี้จั๋วตกใจจนหน้าซีดเผือด  


           “มีหินภูเขากลิ้งตกลงมาย่อมเป็นฝีมือมนุษย์!” เซี่ยฟางหวาวางนิ้วโป้งและนิ้วชี้ไว้ที่ริมฝีปาก ทำการผิวปากแผ่วเบา ทันใดนั้นบุรุษชุดดำหลายสิบคนก็ปรากฏตัวขึ้นในที่ลับตาห่างออกไปข้างหลัง จากนั้นก็ทะยานขึ้นไปยังที่ที่มีหินขนาดใหญ่กลิ้งตกลงมาจากกลางเขาด้วยความรวดเร็วดั่งลูกธนู 


           หลี่มู่ชิงเดิมทีก็จะเรียกคนมาเช่นกัน เห็นเช่นนี้จึงวางมือลง 


           หานซู่จากกรมอาญาก็ตกใจเช่นกัน เมื่อครู่เขาขี่ม้าเคียงบ่าเคียงไหล่มาพร้อมหลี่มู่ชิง ทว่าทันทีที่เกิดเรื่องขึ้น หลี่มู่ชิงก็ดันม้าของเขาถอยหลังไปหลายก้าว ส่วนตัวเองก็กระโจนไปข้างหน้า เขาเห็นกับตาว่าหินยักษ์กลิ้งตกลงมาตรงหน้าหลี่มู่ชิง หากเขาใช้วิทยายุทธ์พลาดไปแม้แต่นิดเดียวคงถูกหินทับไปแล้ว 


           หลังหินยักษ์กลิ้งตกลงมาอย่างสะเทือนฟ้าสะเทือนดิน เส้นทางเบื้องหน้าก็ถูกปิดตายด้วยความสูงสองกำแพงกั้น 


           “สะ…เส้นทางนี้ เหตุใดถึงได้…ต่อให้ฝนตกหนักกว่าตอนนี้ หินภูเขาขนาดใหญ่เช่นนี้ย่อมไม่มีทางกลิ้งตกลงมาพร้อมกันได้ ประจวบเหมาะกับตกลงมาในขณะที่เราเดินทางผ่านอีก” หานซู่โมโห “ใครกันแน่ ทำเช่นนี้ได้อย่างไรกัน!” 


           “รอสักครู่ก็ทราบแล้ว” เซี่ยฟางหวาเอ่ยขึ้นด้วยความสุขุม 


           “ดูท่าทางเรื่องในวันนี้จะไม่ใช่เรื่องธรรมดาแล้ว” หลี่มู่ชิงพลันยิ้มออกมา “หลายปีนี้ไม่เคยพบเรื่องน่าสนุกเช่นนี้มาก่อน ก่อคดีสังหารผู้อื่นที่ค่ายใหญ่เขาตะวันตกเมื่อคืนก่อน ตามมาด้วยคดีฆาตกรรมหมอหลวงซุน ยามนี้ยังมีคดีวางแผนสังหารด้วยหินยักษ์อีก” 


           “ค่ายใหญ่เขาตะวันตกห่างจากเมืองหลวงแค่สามสิบลี้ ตอนนี้เพิ่งเดินทางมาได้ยี่สิบลี้ ยังเหลือแค่สิบลี้เท่านั้น หินก้อนใหญ่ขนาดนี้ ก้อนหนึ่งหนักร้อยกว่าชั่ง กว่าจะย้ายเสร็จฟ้าก็มืดพอดี” หานซู่กล่าว 


           “ถึงฟ้ามืดก็ต้องไปให้ถึงค่ายทหาร ข้าก็อยากรู้นักว่าค่ายใหญ่เขาตะวันตกมีเหตุใดให้ไปไม่ถึง”  


เซี่ยฟางหวายิ้มเย็น 


           หานซู่พลันพบว่าตอนพระชายาน้อยเผยสีหน้าเย็นชานั้นดูแล้วดุดันเยือกเย็นเป็นอย่างยิ่ง แตกต่างจากสตรีอ่อนโยนทั่วไป สถานการณ์ตอนนี้ หากเป็นสตรีทั่วไปเกรงว่าคงตกใจจนหวีดร้องขาอ่อนไปแล้ว มิน่าเล่าถึงทำให้ท่านอ๋องน้อยเจิงทุ่มเทความคิดสร้างอุบายเพื่อแต่งเข้าจวนให้ได้ 


           รอมาประมาณสองถ้วยชา ชิงเกอก็นำคนย้อนกลับมา รายงานเซี่ยฟางหวาว่า “เจ้านาย จับตัวผู้ก่อเหตุมิได้ หินขนาดใหญ่ถูกวางกลไกลไว้ก่อนแล้ว อีกด้านหนึ่งของภูเขาติดตั้งกลไกเอาไว้ ขอเพียงดึงโซ่เหล็ก หินขนาดใหญ่ก็จะกลิ้งตกลงมา ตอนที่เราไปถึงก็ไม่พบร่องรอยของผู้ก่อเหตุแล้ว อีกอย่างฝนตกหนักถึงเพียงนี้ นอกจากกลไกที่วางไว้ก็ไม่เหลือร่องรอยใดเลย” 


35.1 

    เซี่ยฟางหวาเม้มปาก นึกไม่ถึงเลยว่าหินยักษ์กลิ้งลงมาเพราะถูกวางกลไกเอาไว้ นางหันไปมองหลี่มู่ชิง 


 


           “วางกลไกแบบใดไว้ เจ้าพอจะอธิบายได้หรือไม่” หลี่มู่ชิงเอ่ยถามชิงเกอ  


 


           “ใช้แผ่นยืดหดติดตั้งล้อกลิ้งและโซ่เอาไว้ ขอเพียงดึงแผ่นยืดหกออก โซ่ก็จะลากล้อกลิ้งกลิ้งไปข้างหน้า เมื่อกระแทกกับหินยักษ์ มันก็จะกลิ้งตกลงมาจากเนินขา” ชิงเกอตอบ “ล้อกลิ้งมีอยู่ราวๆ สิบล้อ พอกลิ้งพร้อมกันจะมีน้ำหนักประมาณหนึ่งร้อยชั่ง ทำให้เกิดแรงพอที่จะกระแทกหินยักษ์ได้” 


 


           “กลไกยอดเยี่ยมถึงเพียงนี้ ไม่ได้สร้างกันแค่ในคืนเดียวเป็นแน่” หลี่มู่ชิงกล่าว 


 


           เซี่ยฟางหวาพยักหน้าเห็นด้วย นางก็เชี่ยวชาญวิชากลไกเช่นกัน หากจะสร้างกลไกเช่นนี้ นอกจากผู้เชี่ยวชาญวิชากลไกโดยเฉพาะ ยังต้องเป็นจอมยุทธ์ทรงพลัง ถึงจะรวบรวมก้อนหินขนาดใหญ่มาพักไว้ที่จุดเดียวกันกลางภูเขาได้ อีกอย่างตรงนี้ห่างจากค่ายใหญ่เขาตะวันตกไม่ถึงสิบลี้ ไม่ใช่ทุกคนที่จะวางแผนสร้างสถานการณ์อย่างเงียบเชียบเช่นนี้ตรงระหว่างเมืองหลวงกับค่ายทหารได้ 


 


           “พี่สะใภ้ ตอนนี้จะทำเช่นไรต่อ” อวี้จั๋วถามพลางมองหินยักษ์เบื้องหน้าที่ปิดทางเป็นภูเขาขนาดย่อม 


 


           เซี่ยฟางหวาไม่ตอบ 


 


           “หินยักษ์มากถึงเพียงนี้ หากอาศัยกำลังคนย้ายออก ด้วยจำนวนคนที่มีในตอนนี้ถึงฟ้ามืดแล้วก็คงย้ายได้ไม่ถึงไหน” หานซู่กล่าว  


 


           หลี่มู่ชิงพยักหน้า “มีอีกวิธีหนึ่งที่จะย้ายหินยักษ์พวกนี้ออกได้อย่างรวดเร็ว เปิดทางให้เดินทางต่อได้” 


 


           “คุณชายหลี่ วิธีใดหรือ” หานซู่รีบถาม 


 


           “ดินปืน” หลี่มู่ชิงตอบ 


 


           หานซู่มีสีหน้าเปลี่ยนไป “ดินปืนเป็นสิ่งที่ใช้กันในกองทัพ ทุกทีจะเก็บไว้ที่คลังทหาร หากไม่มีป้ายคำสั่งจากฝ่าบาท ผู้ใดก็มิอาจนำออกมาใช้ได้” หยุดเว้นช่วงแล้วกล่าวต่อ “ถึงแม้เราจะกลับไปขอพระราชโองการที่เมือง ฝ่าบาททรงอนุญาตให้นำดินปืนมาใช้ได้ เช่นนั้นเมื่อวกกลับมาอีกครั้ง ฟ้าก็มืดแล้วเช่นกัน” 


 


           หลี่มู่ชิงหันไปมองเซี่ยฟางหวา 


 


           “ฟ้ามืดแล้วอย่างไร” เซี่ยฟางหวาเอ่ยขึ้น 


 


           หานซู่มึนงง 


 


           “ทั้งคดีสังหารหมอหลวงซุน สร้างกลไกศิลายักษ์ ทั้งหมดเกิดขึ้นเพื่อขัดขวางเส้นทางไปค่ายใหญ่เขาตะวันตก ทว่าเหตุใดต้องขัดขวางด้วย ถึงแม้วันนี้ขัดขวางได้ แล้วพรุ่งนี้เล่า มีหรือจะไม่เหมือนกัน” เซี่ยฟางหวาพลันหรี่ตาลง  


 


           “พรุ่งนี้เกรงว่าจะหนักกว่า” หลี่มู่ชิงเอ่ยสมทบทันที 


 


           “ถูกต้อง พรุ่งนี้น่าจะหนักกว่า” ใจของเซี่ยฟางหวาเย็นเยียบ “มีคนไม่อยากให้หมอหลวงซุนไปค่ายใหญ่เขาตะวันตก และไม่อยากให้ข้าไปด้วยเช่นกัน” 


 


           “หรือว่าผู้อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้กลัวว่าหากหมอหลวงซุนกับพระชายาน้อยไปถึงที่นั่นแล้วจะเกิดเรื่องใดขึ้น” หานซู่ผงะตกใจ  


 


           “ฟังว่าขุนนางชันสูตรศพที่ค่ายใหญ่เขาตะวันตกใช้งานไม่ได้ ฉินเจิงจึงให้ข้ากับหมอหลวงซุนไปตรวจสอบศพเอง” ใบหน้าเซี่ยฟางหวาเย็นชา “ปัญหาต้องอยู่ที่ศพแน่นอน” 


 


           “ถ้าเป็นเช่นนี้ อย่างไรวันนี้เราก็ต้องไปถึงค่ายใหญ่เขาตะวันตกให้ได้” หานซู่รีบเอ่ยขึ้น 


 


           “อืม” เซี่ยฟางหวาพยักหน้า 


 


           “แล้วหินยักษ์พวกนี้…” หานซู่กัดฟัน “หรือว่าเราต้องย้ายเอง” 


 


           “ไม่ต้องย้ายเอง” เซี่ยฟางหวาหันไปถามชิงเกอ “ภายในครึ่งชั่วยาม นำดินปืนมาได้หรือไม่” 


 


           “ได้” ชิงเกอผงกศีรษะ 


 


           เซี่ยฟางหวายกมือไล่เขา 


 


           ชิงเกอหายตัวไปในชั่วพริบตา 


 


           “พระชายาน้อย ท่านจะนำดินปืนมาใช้เป็นการส่วนตัวหรือ ดินปืนเป็นสิ่งที่ใช้ในกองทัพ หากฝ่าบาททรงทราบเข้า เช่นนั้น…การนำดินปืนมาใช้เป็นการส่วนตัวจะต้องโทษหนัก” หานซู่เห็นเช่นนี้ก็หน้าถอดสี  


 


           “ใต้เท้าหาน คดีค่ายใหญ่เขาตะวันตกหากไม่ตรวจสอบให้กระจ่าง เช่นนั้นท่านรู้หรือไม่ว่าจะเกี่ยวพันไปอีกกี่จวนหรืออีกกี่คน นอกจากนี้คดีหมอหลวงซุนถูกฆาตกรรม บางทีเพราะเส้นทางที่ถูกขัดขวางนี้เองทำให้ถูกใส่ความและไม่อาจพิสูจน์ความบริสุทธิ์ได้ เทียบกับการนำดินปืนมาใช้เป็นการส่วนตัวแล้วถูกฝ่าบาททรงตัดสินโทษพวกเรา อย่างใดสำคัญกว่ากัน” เซี่ยฟางหวามองหานซู่ด้วยสายตาเรียบเฉย  


 


           หานซู่อึ้ง 


 


           “อีกอย่างฝนตกหนักถึงเพียงนี้ ร่องรอยทั้งหมดจะถูกชะล้างออก ผู้อื่นยังสร้างแผนลอบทำร้ายขัดขวางอย่างต่อเนื่องได้ แล้วเหตุใดเราจะนำดินปืนมาใช้เงียบๆ ไม่ได้เล่า ในเมื่อไม่มีหลักฐานมัดตัว ผู้ใดจะเอาผิดเรื่องเราใช้ดินปืนได้” เซี่ยฟางหวามองเขา 


 


           หานซู่ชะงัก 


 


           “หากใต้เท้าหานกลัวว่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องก็ไม่ควรตามเราไปค่ายใหญ่เขาตะวันตก กลับไปตอนนี้ยังทัน” เซี่ยฟางหวากล่าวขึ้นอีก 


 


           หานซู่มีสีหน้าเปลี่ยนไป หันมามองหลี่มู่ชิง 


 


           “ข้าไตร่ตรองไม่ถี่ถ้วนเอง เชิญใต้เท้าออกจากเมืองแล้วยังดึงเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องอีก ต้องขออภัยด้วย แต่พระชายาน้อยกล่าวถูกแล้ว หากใต้เท้ากลับเมืองไปตอนนี้ยังทัน หากกังวลเรื่องความปลอดภัยระหว่างเดินทาง ข้าจะส่งคนคุ้มครองใต้เท้ากลับเมือง” หลี่มู่ชิงส่งยิ้มให้เขา  


 


           หานซู่คล้ายตบตีกับความคิดตัวเอง พักใหญ่ต่อมาก็ส่ายหน้าปฏิเสธ “พระชายาน้อยกล่าวถูกแล้ว คดีใหญ่ถึงเพียงนี้ หากไม่ตรวจสอบให้กระจ่างจะพัวพันไปอีกนับไม่ถ้วน ถึงแม้…ต้องนำดินปืนมาใช้ส่วนตัว แต่ก็เพราะปรับตัวตามสถานการณ์ ฝนตกหนักถึงเพียงนี้ หากหลักฐานถูกชะล้างออกไป ขอเพียงพวกเราไม่ยอมรับ ใครก็ไม่อาจหาหลักฐานที่เราใช้ดินปืนเจอ” 


 


           “ใต้เท้าหานรู้ความและเป็นคนฉลาด ทั้งเป็นคนซื่อสัตย์อย่างหาได้ยาก ราชสำนักหนานฉินต้องการผู้มีความยุติธรรมเช่นใต้เท้าอีกมาก นี่เป็นสาเหตุที่มู่ชิงไปเชิญใต้เท้ามาจากกรมอาญา” หลี่มู่ชิงกล่าว 


 


           “คุณชายหลี่ชมเกินไปแล้ว” หานซู่โบกมือ “ข้าน้อยดูแลกรมอาญา รับตำแหน่งใดแล้วก็ควรมีความรับผิดชอบต่องานนั้น คู่ควรกับเครื่องแบบขุนนางที่สวมใส่อยู่ก็พอแล้ว” 


 


           เซี่ยฟางหวาได้ยินเช่นนี้ก็อดไม่ได้ที่จะมองหานซู่ใหม่ ผู้ที่เอ่ยประโยคเช่นนี้ออกมาได้ สมควรแล้วที่ได้รับคำชมจากหลี่มู่ชิง 


 


           ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม ชิงเกอก็กลับมาใหม่ ปรากฏตัวขึ้นหน้าเซี่ยฟางหวา “เจ้านาย นำดินปืนมาแล้วขอรับ” 


 


           “เร็วถึงเพียงนี้?” เซี่ยฟางหวามองเขา 


 


           “นำมาจากจวนของคุณชายอวิ๋นหลาน ท่านก็ทราบว่าจวนของคุณชายอวิ๋นหลานอยู่นอกเมืองหลวงห้าลี้ ตรงนี้อยู่ใกล้กับจวนของเขาที่สุดแล้ว” ชิงเกอขยับเข้าใกล้นางแล้วกระซิบบอก  


 


           เซี่ยฟางหวาพยักหน้ารับก่อนเอ่ยบอก “ระเบิดเถอะ” 


 


           ชิงเกอผงกศีรษะก่อนหยิบดินปืนออกมา 


 


           “ถอยไปข้างหลัง” เซี่ยฟางหวายกมือสั่ง 


 


           อวี้จั๋วรีบดึงบังเ**ยนจนรถม้าถอยหลัง หานซู่กับหลี่มู่ชิงก็ถอยไปพร้อมรถม้าเช่นกัน 


 


           ชิงเกอนำดินปืนไปฝังเอาไว้ในจุดที่ไม่โดนน้ำฝนข้างใต้ก้อนหินยักษ์ เมื่อฝังเอาไว้ดีแล้วก็ถอยกลับมายืนข้างเซี่ยฟางหวา หยิบแท่งจุดไฟออกมาจุดคบไฟในมือ หลังจากนั้นก็โยนคบไฟไปยังเชือกดินปืนที่ยื่นออกมานอกซอกหินยักษ์ 


 


           คบไฟยังไม่ทันถูกสายฝนชโลมดับก็ลุกลามไปโดนเชือกดินปืนข้างใต้หินยักษ์ เมื่อปลายเชือกถูกติดไฟก็ได้ยินเพียงเสียงสะเทือนฟ้าสะเทือนดิน ‘ปังปังปัง’ ดังขึ้นหลายครั้ง หินยักษ์ถูกระเบิดแตกออกเป็นเสี่ยง เศษผงบ้างก็ถูกระเบิดพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า บ้างก็กระเด็นออกมารอบทิศ 


 


           เซี่ยฟางหวา หลี่มู่ชิง ชิงเกอ อวี้จั๋ว ซื่อฮว่า และซื่อม่อต่างมีวิทยายุทธ์ ทั้งหมดสะบัดฝ่ามือปัดเศษก้อนหินที่กระเด็นเข้าหาใบหน้า สงสารก็แต่หานซู่ เขามีทักษะป้องกันตัวเองเพียงพื้นฐาน ดังนั้นตามใบหน้าและลำตัวจึงถูกเศษหินบาดเป็นรอยแผลเล็กน้อย ดูมอมแมมอยู่บ้าง 


 


           เมื่อหินยักษ์ถูกระเบิดออกพร้อมกับเสียงสะเทือนฟ้าดินระลอกหนึ่งจบลง ความเงียบกลับมาแผ่ปกคลุมอีกครั้ง รอบกายนอกจากกลิ่นดินปืนก็ไม่มีเสียงใดดังขึ้นอีก 


 


           “ดินปืนร้ายแรงนัก” หานซู่อกสั่นขวัญแขวน มองหินยักษ์ที่เคยเป็นภูเขาถูกระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ ด้วยความหวาดผวา ก่อนมองไปยังชิงเกอที่ยืนอยู่ข้างเซี่ยฟางหวาด้วยใจที่ยังหวาดกลัว  


 


           ชิงเกอสวมเสื้อผ้าและหน้ากากสีดำ มีเพียงดวงตาที่โผล่ออกมา ไม่แม้แต่จะแลมองหานซู่ 


 


           “ดินปืนอันนี้มีอานุภาพร้ายแรงกว่าของคลังทหารมาก นี่แค่ถุงเดียวเท่านั้นเอง ข้าเคยเห็นดินปืนในคลังทหาร หากจะระเบิดหินยักษ์ขนาดนี้คงต้องใช้สักสามสี่ถุง นี่…” หานซู่หันไปมองเซี่ยฟางหวาอีกครั้ง 


 


           เซี่ยฟางหวาไม่พูดจาแต่โบกมือไล่ชิงเกอ ชิงเกอรีบพรางตัวหายไปทันที นางเอ่ยขึ้น “ไปกันเถอะ” 


 


           อวี้จั๋วรีบผ่อนเชือกบังเ**ยน รถม้าเคลื่อนไปตามทางที่เปิดออกหลังการระเบิด 


 


           หานซู่มองไปยังหลี่มู่ชิง 


 


           “ใต้เท้าหาน ไม่ใช่ทุกคนที่จะได้เปิดโลกใหม่เช่นนี้ วันนี้ท่านกับข้ามีวาสนา เชิญ” หลี่มู่ชิงยิ้ม 


 


           หานซู่พยักหน้า ซับเหงื่อบนหน้าผากก่อนควบม้าเดินทางต่อ คลับคล้ายคลับคลาว่ายังมองเห็นตัวเขาสั่นเทาเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าเมื่อครู่ตกใจมาก 


 


           เมื่อทั้งหมดออกเดินทางต่อแล้ว สายฝนก็ชะล้างกลิ่นดินปืนเมื่อครู่ไปอย่างรวดเร็ว ร่องรอยก็ถูกชะล้างจนหมดเช่นกัน


35.2 

เดินทางไปได้ราวสามลี้ ทันใดนั้นเสียงประหลาดก็ดังขึ้น 


 


 


           เซี่ยฟางหวาลอบฟังอย่างถี่ถ้วน ก่อนมีสีหน้าเปลี่ยนไป รีบเลิกม่านแล้วสั่งงานอวี้จั๋ว “หยุดรถ” 


 


 


           “มีอะไรหรือพี่สะใภ้” อวี้จั๋วตัวสั่น รีบดึงบังเหยียนแล้วหันมามองเซี่ยฟางหวา 


 


 


           เซี่ยฟางหวาไม่ตอบ มองไปยังที่ราบซึ่งโอบล้อมด้วยภูเขาเบื้องหน้า เพ่งสมาธิพักหนึ่งก็เอ่ยถามหลี่มู่ชิง “เจ้าได้ยินเสียงอะไรหรือไม่” 


 


 


           “คล้ายเป็นเสียงหมาป่า” ในตอนนี้หลี่มู่ชิงก็มองไปยังจุดนั้นเช่นกัน สีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมา 


 


 


           “หากเจ้าก็ได้ยินเหมือนกัน เช่นนั้นข้าคงไม่ได้หูฝาด ไม่ใช่แค่เสียงหมาป่า แต่เป็นเสียงของฝูงหมาป่า” เซี่ยฟางหวากดดันขึ้นมาทันที  


 


 


           “มีฝูงหมาป่าปรากฏขึ้นในรัศมีร้อยลี้จากเมืองหลวงได้อย่างไร” หานซู่ตกใจ 


 


 


           เขาเพิ่งเอ่ยจบ ทันใดนั้นหมาป่าตัวหนึ่งก็ส่งเสียงหอนขึ้นมาจากจุดนั้น ตามมาด้วยเสียงหมาป่าตัวอื่นๆ หอนรับตามกันทีละเสียง หลังจากนั้นหมาป่าตัวแล้วตัวเล่าก็ปรากฏขึ้นจำนวนราวหลายร้อยตัว เงาตะคุ่มกระจุกตัวท่ามกลางฝนตกหนัก 


 


 


           ทันทีที่ฝูงหมาป่าปรากฏตัวขึ้น แม้ระยะห่างค่อนข้างไกล แต่ก็ทำเอาม้าตัวสั่นด้วยความตื่นกลัว ยกขาถีบอย่างเสียการควบคุม 


 


 


           ซื่อฮว่ากับซื่อม่อหน้าซีดทันที พวกนางเข้าคุ้มครองเซี่ยฟางหวาขนาบซ้ายขวา “คุณหนู ทำเช่นไรดีเล่า เรารีบหนีกันเถิด” 


 


 


           “หนี จะหนีหมาป่าพ้นหรือ” เซี่ยฟางหวาหรี่ตาลง 


 


 


           ซื่อฮว่ากับซื่อม่อเงียบลงทันที 


 


 


           “หมาป่ากลัวไฟ เร็วเข้า รีบจุดคบเพลิง” หานซู่ตะโกนเสียงดัง 


 


 


           “ใต้เท้าหาน ตอนนี้ฝนตกหนักมาก ถึงแม้เรากางร่มจุดคบเพลิงได้ แต่คบเพลิงก็ถูกลมพัดอยู่ดี ทั้งลมทั้งฝนแบบนี้คงดับคบเพลิงอย่างรวดเร็ว นี่ไม่เหมือนกับตอนจุดดินปืนเมื่อครู่ ขอเพียงหมาป่ากรูเข้าล้อม คบเพลิงคงต้านได้ไม่นาน” หลี่มู่ชิงกล่าวขึ้น 


 


 


           “แล้ว…แล้วจะทำเช่นไรเล่า…” หานซู่ออกแรงดึงบังเ**ยน ม้าที่เขาขี่อยู่ไม่ฟังการควบคุม หมายจะวิ่งหนีไปให้ได้ 


 


 


           เซี่ยฟางหวาเม้มปาก 


 


 


           “พี่สะใภ้ ข้าเคยฝึกภาษาหมาป่า ใช้ควบคุมหมาป่าได้ แต่ข้าไม่เคยควบคุมหมาป่าจำนวนมากขนาดนี้มาก่อน ไม่รู้ว่าจะควบคุมพวกมันได้หรือไม่…” อวี้จั๋วพลันกระซิบขึ้น  


 


 


           เซี่ยฟางหวาเดิมกำลังนึกหาวิธีก็ล้มเลิกความคิดทันที เอ่ยบอกเขา “เจ้าเคยเรียนมาย่อมดีมาก จะหมาป่าตัวเดียวหรือทั้งฝูงก็ไม่แตกต่าง” พูดจบก็กล่าวต่อ “เจ้าเริ่มตอนนี้เลย หาจ่าฝูงให้เจอ ควบคุมจ่าฝูงให้ได้ ขอเพียงควบคุมมันได้ ตัวอื่นๆ ก็จะไม่โจมตีพวกเรา” 


 


 


           อวี้จั๋วพยักหน้า ทิ้งเชือกบังเ**ยนแล้วลุกขึ้นยืน เลียนแบบเสียงหอนตามภาษาหมาป่า 


 


 


           หมาป่าตัวที่เดิมทีกำลังจะจู่โจมเข้ามาก็ชะงักในฉับพลัน 


 


 


           “ได้ผล อวี้จั๋ว” ซื่อฮว่าดีใจ 


 


 


           อวี้จั๋วคำรามเสียงดังอีกครั้ง 


 


 


           หมาป่าที่ฝ่าสายฝนมาหยุดชะงักเพียงชั่วคราว ทว่าเพียงครู่เดียวก็กรูกันเข้ามาหาอีกครั้ง 


 


 


           อวี้จั๋วคำรามขึ้นอีกครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่ยอมหยุดพัก 


 


 


           ทว่าเพียงพริบตาเดียว ฝูงหมาป่าก็กรูกันเข้ามาหาพวกเซี่ยฟางหวาโดยเหลืออีกไม่ถึงสิบจั้งแล้ว 


 


 


           ซื่อฮว่ากับซื่อม่อชักกระบี่ออกมาคุ้มครองเซี่ยฟางหวา 


 


 


           หานซู่ตกใจจนหน้าซีดเหลือง หลี่มู่ชิงเองก็ดึงดาบออกมาคุ้มครองหานซู่ 


 


 


           ชิงเกอนำกำลังคนหลายสิบคนปรากฏตัวขึ้นท้ายรถม้าอย่างเงียบเชียบ ทุกคนล้วนมีใบหน้าเคร่งขรึม พร้อมเข้าโจมตีทุกเมื่อ 


 


 


           อวี้จั๋วพลันเปลี่ยนเสียงคำราม ส่งเสียงแหลมประหลาดขึ้น ฝูงหมาป่าหยุดชะงักโดยพร้อมเพียงกันทันที หมาป่าตัวผู้ที่นำหน้าสะบัดขนบนตัว แยกเขี้ยวเผยให้เห็นฟันแหลมคม ดวงตาคู่นั้นส่องแสงสีเขียวจ้องมายัง 


 


 


อวี้จั๋วท่ามกลางสายฝน 


 


 


           อวี้จั๋วยกมือแล้วทำท่าไล่ออกไปอย่างมั่นคง พร้อมเอ่ยเชื่องช้า “ถอยไป ถอย…” 


 


 


           หมาป่าตัวผู้ยืนนิ่งไม่ไหวติง ฝูงหมาป่าข้างหลังก็เช่นกัน 


 


 


           อวี้จั๋วจ้องหมาป่าตัวนั้นด้วยแววตาดุดัน ฝ่ามือยังคงทำท่าทางไล่ออกไปดังเดิม ปากก็พร่ำบอกให้ถอยไปไม่หยุด 


 


 


           ผ่านไปพักหนึ่ง หมาป่าตัวผู้ก็ขยับตัว ทว่ามันไม่ได้ถอยกลับไป หากแต่ก้าวออกมาก้าวหนึ่ง 


 


 


           “ถอย!” อวี้จั๋วตะโกนขึ้น สายตาของเขาดุดันพอๆ กับแววตาของจ่าฝูง 


 


 


           หมาป่าตัวผู้หยุดอีกครั้ง หัวสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ หางสะบัดอย่างแรง แววตาหมาป่าเผยท่าทีขัดขืน 


 


 


           “ถอย!” อวี้จั๋วตะโกนขึ้นอีกครั้ง 


 


 


           หมาป่าตัวผู้พลันก้าวขึ้นมาอีกก้าวหนึ่งก่อนหยุดลงอย่างรวดเร็ว จู่ๆ มันก็ยกขาหน้าทั้งสองข้างขึ้น สองขาหลังอยู่ที่เดิม ยกตัวตั้งขึ้นมากลายเป็นท่าทางเตรียมตะครุบเหยื่อ 


 


 


           อวี้จั๋วหน้าซีดคล้ายคุมไม่อยู่แล้ว 


 


 


           “อย่าหยุด บอกมันถอยไป” เซี่ยฟางหวาเอ่ยเสียงทุ้ม 


 


 


           “ถอย!” อวี้จั๋วตะโกนขึ้นอีกหน 


 


 


           หมาป่าตัวผู้ขนตั้งชัน ทั้งสะบัดอย่างแรง ทันใดนั้นก็หันหลังแล้วหอนขึ้นมา ฝูงหมาป่าที่เหลือหันหลังตาม ก่อนพากันย้อนกลับไปยังจุดที่จากมา 


 


 


           หานซู่เห็นเช่นนี้ก็ถอนหายใจโล่งอก ฟุบตัวลงกับหลังม้าอย่างอ่อนแรง 


 


 


           หลี่มู่ชิงก็โล่งอกเช่นกัน เก็บกระบี่ไว้ข้างเอวดังเดิม 


 


 


           อวี้จั๋วขาอ่อน กระโดดขึ้นมานั่งบนรถม้า 


 


 


           ม้าที่เคยถีบขากลางอากาศก็สงบลงแล้วเช่นกัน 


 


 


           ซื่อฮว่ากับซื่อม่อผละออกจากเซี่ยฟางหวา เอ่ยขึ้นด้วยความดีใจ “คุณหนู อวี้จั๋วทำสำเร็จแล้ว ฝูงหมาป่ากลับไปแล้วจริงๆ เจ้าค่ะ” 


 


 


           เซี่ยฟางหวานั่งนิง มองไปยังทางที่หมาป่าวิ่งกลับไป 


 


 


           ซื่อฮว่ากับซื่อม่อผินหน้ามองนาง พบว่าสายตานางราวกับมองไปยังทางที่หมาป่ากลับไป ทั้งราวกับไม่ได้มองอยู่ ร่างกายแม้กำลังนั่ง ทว่าแข็งทื่ออย่างยิ่ง ใบหน้าติดซีดขาวเล็กน้อย 


 


 


           “คุณหนู” ทั้งสองมองหน้ากันก่อนเอ่ยเรียก 


 


 


           เซี่ยฟางหวาเรียกสติคืนมา ลูกตาดำรวบรวมสมาธิเชื่องช้า ร่างกายพลันสั่นระริกขึ้นเล็กน้อย 


 


 


           ซื่อฮว่ากับซื่อม่อมองหน้ากันอีกครั้งด้วยความแปลกใจอย่างยิ่ง คุณหนูไม่คล้ายกับกลัวฝูงหมาป่า ระหว่างเกิดเรื่องก็นิ่งสงบมาก เมื่อครู่ยังบอกให้อวี้จั๋วอย่าหยุด ทว่าเหตุใดเมื่อฝูงหมาป่ากลับไปแล้วถึงได้เป็นเช่นนี้ ทันใดนั้นก็กังวลใจ เอ่ยเรียกนางอีกครั้ง “คุณหนู” 


 


 


           เซี่ยฟางหวาก้มหน้าลงเชื่องช้า เงียบลงพักหนึ่ง ทันใดนั้นก็สงบลงก่อนสั่งงานขึ้น “ไปสืบดูว่าเหตุใดถึงมีฝูงหมาป่าได้ ไม่เพียงแค่ระยะทางจากเมืองหลวงมาค่ายใหญ่เขาตะวันตกสามสิบลี้ แต่ในรัศมีห้าสิบลี้ก็ตรวจสอบดูด้วย ตรวจสอบให้ถี่ถ้วน จะต้องเจอสิ่งใดบ้างเป็นแน่” 


 


 


           “ขอรับ” ชิงเกอขานรับ ยกมือให้สัญญาณแล้วนำกำลังคนกลับไป 


 


 


           เซี่ยฟางหวามองอวี้จั๋วแวบหนึ่ง พบว่าใบหน้าเขาซีดขาว เสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่เปียกโชก นางจึงเอ่ยบอกซื่อฮว่ากับซื่อม่อ “พวกเจ้าไปขับรถแทน” หลังจากนั้นก็กล่าวขึ้นอีก “อวี้จั๋วเข้ามาข้างใน” 


 


 


           ซื่อฮว่ากับซื่อม่อเห็นว่านางไม่เป็นไรแล้วจึงออกมาจากตัวรถม้า พบว่าอวี้จั๋วยังฟุบอยู่ที่หน้ารถจึงผลักเขาเข้าไปข้างใน 


 


 


           เซี่ยฟางหวายื่นมือไปจับข้อมืออวี้จั๋ว 


 


 


           “พี่สะใภ้” อวี้จั๋วสะดุ้งโหยง 


 


 


           “อย่าขยับ ข้าจะใช้พลังอบเสื้อผ้าให้ หากยังเปียกแบบนี้จะเป็นไข้เอา” เซี่ยฟางหวาบอก 


 


 


           อวี้จั๋วพยักหน้า 


 


 


           เซี่ยฟางหวาใช้พลังเพียงครู่เดียว เสื้อผ้าที่เคยเปียกชุ่มของอวี้จั๋วก็ค่อยๆ ถูกนางอบให้จนแห้ง เมื่อแห้งจนทั่วแล้วนางก็ปล่อยมือลงแล้วเอ่ยถาม “ใครสอนวิชาคุมหมาป่าให้เจ้า” 


 


 


           “ข้าเรียนเอง” อวี้จั๋วตอบ 


 


 


           “หืม” เซี่ยฟางหวามองเขา 


 


 


           “ข้าเรียนเองจริงๆ” อวี้จั๋วเกาศีรษะ “ข้าเคยอ่านบันทึกหมาป่า ในนั้นเขียนวิชาคุมหมาป่าไว้ ข้าจึงจับหมาป่าตัวหนึ่งมาลองฝึกดู ต่อมาพบว่าควบคุมมันได้จริงๆ จึงลองจับหมาป่ามาเพิ่มเพื่อฝึกดู แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ต้องควบคุมหมาป่าหลายร้อยตัว เกือบเอาไม่อยู่แล้ว” 


 


 


           “บันทึกหมาป่า…” เซี่ยฟางหวาเม้มปาก “บันทึกหมาป่าเป็นเช่นไร เจ้าจำได้หรือไม่ ลองบอกข้ามา” 


 


 


           “พี่สะใภ้ เจ้าสนใจอยากคุมหมาป่าบ้างหรือ” อวี้จั๋วกะพริบตาปริบ 


 


 


           แววตาของเซี่ยฟางหวาวูบไหวครู่หนึ่ง ก่อนพยักหน้ารับ 


 


 


           อวี้จั๋วรีบบอกนางทันที “บันทึกหมาป่าบันทึกไว้ว่า…” 


 


 


           เซี่ยฟางหวาฟังเงียบๆ 


 


 


           ผ่านไปสองถ้วยชาอวี้จั๋วก็หยุดลง มองเซี่ยฟางหวาแล้วหยั่งเชิงถาม “พี่สะใภ้ หากท่านอยากเรียน ข้าสอนให้ได้” 


 


 


           “หากข้าเดาไม่ผิดล่ะก็ บันทึกหมาป่าที่เจ้าว่าคงเป็นเพียงผ้าไหมชิ้นหนึ่งเท่านั้น” เซี่ยฟางหวาส่ายหน้าก่อนกล่าวเสียงทุ้มต่ำ  


 


 


           “ท่านเดาออกได้อย่างไร” อวี้จั๋วเบิกตากว้าง 


 


 


           เซี่ยฟางหวาพิงผนังรถ ไม่ตอบคำถาม 


 


 


           “พี่สะใภ้ ท่าน…ไม่เป็นไรใช่ไหม รู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือไม่” อวี้จั๋วมองนาง พบว่านางผิดปกติไปเล็กน้อยจึงถามเสียงเบา  


 


 


           เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า “ไม่เป็นไร ผ้าไหมบันทึกหมาป่าที่เจ้าว่ายังอยู่หรือไม่” 


 


 


           “อยู่ แต่ข้าไม่ได้นำมันมาด้วย อยู่ที่บ้านในเมืองผิงหยางโน่น” อวี้จั๋วพยักหน้า 


 


 


           เซี่ยฟางหวาเงียบลงอีกครั้ง 


 


 


           อวี้จั๋วมองนางด้วยสีหน้าเป็นกังวล 


 


 


           ผ่านไปครู่หนึ่งเซี่ยฟางหวาก็ถามอีก “เจ้าได้บันทึกหมาป่ามาจากที่ใด” 


 


 


           “หลายปีก่อน ท่านพี่มาที่เมืองผิงหยาง ข้าขอให้เขาช่วยสอนวิทยายุทธ์ที่ร้ายกาจให้ เขาจึงให้บันทึกหมาป่านี้กับข้า” อวี้จั๋วครุ่นคิดก่อนเอ่ยขึ้น  


 


 


           “เขา…เป็นคนให้เจ้าหรือ” มือของเซี่ยฟางหวาเคาะเข้ากับผนังรถทันที น้ำเสียงแหบแห้งลงฉับพลัน  


 


 


           “ใช่แล้ว ท่านพี่เป็นคนให้ข้า” อวี้จั๋วยืนยัน 


 


 


           “หมายความว่าเขารู้อยู่แล้วว่าเจ้าใช้วิชาคุมหมาป่าได้” เซี่ยฟางหวาเม้มปาก เอ่ยขึ้นเชื่องช้า  


 


 


           “หลังท่านพ่อกับท่านแม่ฝากฝังข้าไว้กับท่านพี่ ท่านพี่ก็เคยถามข้าว่าทำอะไรเป็นบ้าง ข้าจึงบอกท่านพี่ไป” อวี้จั๋วพยักหน้า  


 


 


           “เจ้าทำอะไรเป็นบ้าง” เซี่ยฟางหวาพลันกระตุกมุมปาก 


 


 


           “วิทยายุทธ์ที่ถ่ายทอดจากตระกูลหวางกับตระกูลอวี้ข้าก็ใช้เป็นทั้งหมด นอกจากวิทยายุทธ์ ยังเรียนวิชาแพทย์กับวิชาพิษด้วย แต่สองสิ่งนี้ทำได้เพียงช่วยและปกป้องตัวเองเท่านั้น ไม่ได้เชี่ยวชาญแต่อย่างใด นอกจากนี้ยังมียุทธวิธีการรบ การวางกลไก และวิชาคุมหมาป่านี้” 


 


 


           “หากเสร็จธุระวันนี้แล้ว ส่งคนไปเมืองผิงหยาง นำบันทึกหมาป่าเล่มนั้นมาให้ข้าอ่านดูได้หรือไม่”  


 


 


เซี่ยฟางหวายิ้ม 


 


 


           “ได้สิ” อวี้จั๋วรีบตอบ “ข้าบอกที่เก็บกับท่าน ท่านส่งคนไปเอามาก็พอแล้ว” พูดจบก็ขยับเข้าใกล้นาง กระซิบบอกที่เก็บบันทึกเล่มนั้น 


 


 


           เซี่ยฟางหวาพยักหน้ารับ สื่อความว่าจำได้แล้ว 


36.1 

       ผ่านเหตุการณ์อันตรายล่อแหลมอย่างหมอหลวงซุนถูกสังหาร วางกลไกศิลายักษ์สกัดการเดินทาง รวมถึงฝูงหมาป่าเข้าล้อม คนอื่นยังดี ทว่าหานซู่ผู้นี้แม้ดูแลกรมอาญามาหลายปี แต่ก็ไม่เคยเผชิญหน้ากับเหตุการณ์เป็นตายเท่ากันอันน่าอันตรายเช่นนี้มาก่อนจึงทนไม่ไหว เขาฟุบอยู่บนหลังม้าด้วยความอ่อนแรง 


 


 


           “ใต้เท้าหาน ท่านไม่เป็นไรใช่ไหม” หลี่มู่ชิงมองเขาด้วยความเป็นห่วง 


 


 


           หานซู่ส่ายศีรษะตอบอย่างไร้เรี่ยวแรง 


 


 


           “ท่านรู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือไม่” หลี่มู่ชิงถามอีก 


 


 


           “ข้ายังทนไหว อีกไม่ไกลแล้ว ครั้งนี้คงไม่มีเรื่องใดแล้วกระมัง” หานซู่ตระหนกระคนสั่นเทา 


 


 


           “ก็ไม่แน่” หลี่มู่ชิงส่ายหน้า 


 


 


           “ใครกันแน่ วางแผนลอบทำร้ายต่อเนื่องเช่นนี้หมายจะสังหารพวกเราชัดๆ เมื่อครู่หากไม่ได้อวี้จั๋วไล่ฝูงหมาป่าไป เกรงว่าตอนนี้เราคงถูกฝูงหมาป่าขย้ำตายไปแล้ว ข้าอยู่มาครึ่งชีวิต ทำคดีใหญ่ในกรมอาญามาไม่น้อย ทว่าไม่เคยเจออันตรายเช่นวันนี้มาก่อน” หานซู่ที่กำลังจะยืดตัวนั่งได้ยินเช่นนั้นก็ฟุบลงกับหลังม้าใหม่อย่างหมดแรง  


 


 


           “เมืองหลวงไม่สงบสุขมาตลอด เมื่อก่อนยังพอสร้างจินตนาการแสร้งว่าสงบสุขบังหน้าได้บ้าง ยามนี้แม้แต่จินตนาการยังทำไม่ได้” หลี่มู่ชิงถอนหายใจออกมา  


 


 


           หานซู่ก็ถอนหายใจตาม 


 


 


           หลี่มู่ชิงมองไปยังทิศที่ตั้งค่ายใหญ่เขาตะวันตก สายตามองทะลุผ่านฝนห่าใหญ่ที่เสมือนมุกตกลงมา สีหน้าประหลาดยิ่ง 


 


 


           ผ่านไปครู่หนึ่ง หานซู่ก็กระซิบถามขึ้น “คุณชายหลี่ เด็กรับใช้ของท่านอ๋องน้อยคนนี้เป็นใครมาจากไหน ท่านพอทราบหรือไม่” 


 


 


           หลี่มู่ชิงพยักหน้ารับ “เขาเป็นลูกของบุตรีทายาทจากตระกูลหวาง ตระกูลมารดาของไทเฮา” 


 


 


           “ข้าดูแลกรมอาญา ทราบข้อมูลตระกูลใหญ่ละเอียดราวกับเส้นลายมือตัวเอง บุตรีคนใดหรือ” หานซู่ผงะตกใจ 


 


 


           “หวางชิงเม่ย” 


 


 


           “หวางชิงเม่ยที่เกี่ยวดองกับทายาทตระกูลอวี้จากเป่ยฉีนั่นหรือ” หานซู่มีสีหน้าเปลี่ยนไป ลดน้ำเสียงต่ำลงหลายขุม  


 


 


           หลี่มู่ชิงพยักหน้าตอบ 


 


 


           หานซู่เงียบลงพักหนึ่ง ทันใดนั้นก็ถอนหายใจออกมา “สามร้อยปีก่อน ใต้หล้าเกิดความโกลาหลครั้งใหญ่ ตระกูลใหญ่ต่างเลือกฝ่ายเข้าร่วม โดยที่ตระกูลหวางเข้าร่วมกับฉิน ส่วนตระกูลอวี้เข้าร่วมกับฉี สงครามม่อเป่ยสร้างความเสียหายร้ายแรงให้กับตระกูลหวางและตระกูลอวี้ การทำสงครามปราบปรามหลายปีทำให้สิ้นเปลืองงบประมาณทางทหาร ราษฎรต้องทุกข์ยากลำบากเพียงใดไม่ต้องพูดถึง สองฝ่ายทำได้เพียงฟื้นฟูกองทัพ หนานฉินกับเป่ยฉีต่างมีฐานะเท่าเทียมและสร้างป้อมประจันหน้ากัน พริบตาเดียวก็ผ่านไปสามร้อยปีแล้ว ตระกูลหวางกับตระกูลอวี้ต่างเห็นอีกฝ่ายเป็นศัตรูคู่อาฆาต ไม่นึกเลยว่าจะเกิดกรณีอย่างหวางชิงเม่ยกับอวี้ฉี่เหยียนได้ มิน่าเขาถึงใช้แซ่อวี้” 


 


 


           หลี่มู่ชิงไม่พูดจา 


 


 


           “ท่านอ๋องน้อยเจิงช่างไม่กลัวฟ้าดิน นึกไม่ถึงว่าจะนำอวี้จั๋วคนนี้มาเป็นเด็กรับใช้ประจำกายอย่างเปิดเผย ไม่กลัวว่าฝ่าบาทกับรัชทายาทจะโจมตีประณามเลยแม้แต่น้อย” หานซู่กล่าวอีกครั้งด้วยเสียงทุ้มต่ำ  


 


 


           “ท่านคิดว่าฝ่าบาทกับรัชทายาทมิทรงทราบหรือ” หลี่มู่ชิงส่ายหน้า “ถึงอย่างไรตระกูลหวางก็เป็นตระกูลมารดาของไทเฮา” 


 


 


           หานซู่นึกไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วน ทันใดนั้นก็กระจ่างแจ้ง “จริงด้วย ตระกูลหวางเป็นตระกูลมารดาของไทเฮา ตั้งแต่หนานฉินก่อตั้งขึ้น ตระกูลหวางนอกจากให้กำเนิดพระอาจารย์ของฮ่องเต้และส่งไทเฮาเข้าวังหลวงก็มักวางตัวสงบเสงี่ยมเสมอมา เพียงใช้ชีวิตอย่างสงบที่ไท่อัน ดำรงตำแหน่งไท่อันป๋อ” 


 


 


           หลี่มู่ชิงยิ้มรับ 


 


 


           หานซู่จึงไม่กล่าวมากความอีก เรื่องบางอย่างมิอาจเอ่ยออกมาได้ 


 


 


           เซี่ยฟางหวานั่งอยู่ภายในรถม้า ตั้งแต่นางบำรุงร่างกายและฟื้นฟูกำลังภายในมาได้ ประสาทสัมผัสอันว่องไวก็กลับคืนมาแล้วเช่นกัน ถึงแม้หานซู่ตั้งใจลดน้ำเสียงลง แต่นางก็ยังได้ยินบทสนทนาข้างนอกชัดเจน คิดในใจว่าตระกูลหวางไม่ได้อยากดำรงตำแหน่งไท่อันป๋ออย่างสงบ เพียงแต่ต้องเป็นไท่อันป๋ออย่างไม่มีทางเลือก 


 


 


           ความจริงแล้วตระกูลหวางไร้บุตรมีความสามารถจึงไม่อาจเรียกร้องความเจริญรุ่งเรืองได้ หากใจร้อนก่อความวุ่นวาย เช่นนั้นตระกูลหวางที่ฟื้นฟูมากว่าสองร้อยแปดสิบปีอาจต้องล่มสลายลงในวันหนึ่ง ตระกูลหวางไม่อาจทนรับความเสียหายซ้ำรอยกับเมื่อสองร้อยเจ็ดสิบเก้าปีก่อนได้อีกแล้ว รับไม่ไหวอย่างแน่นอน 


 


 


           ดังนั้นตระกูลหวางจึงได้แต่ต้องอยู่อย่างสงบเสงี่ยม 


 


 


           อีกอย่างสถานการณ์ของตระกูลอวี้กับตระกูลหวางก็แตกต่างกัน ตระกูลอวี้มีบุตรมากพรสวรรค์กำเนิดมาทุกยุคสมัย เพียงแต่รุ่นนี้บุตรมีพรสวรรค์สองคนทยอยกันเกิดเรื่อง คนหนึ่งคืออวี้ฉี่เหยียน คนหนึ่งคือเหยียนเฉิน อวี้ฉี่เหยียนเกิดหลงรักบุตรีจากตระกูลคู่อริ ทั้งสองต่างไม่ยอมรับชะตากรรมของตระกูลจึงได้แต่ออกจากตระกูลมาสร้างตัวข้างนอก ส่วนเหยียนเฉินไปยังเขาไร้นาม หลังลงเขามาแล้วก็เพราะถูกสัญญาของนางผูกมัด เพื่อก่อตั้งหอเทียนจีเก๋อให้นาง ยามนี้เพิ่งจะได้กลับตระกูลอวี้ เพียงแต่เหตุผลหลักที่เดินทางกลับตระกูลอวี้ก็เป็นเพราะนางอีกเช่นกัน 


 


 


           ไม่ว่าตระกูลหวางหรือตระกูลอวี้ เนื้อแท้ต่างเป็นน้ำขุ่นเหมือนกัน 


 


 


           ตระกูลใหญ่อื่นๆ ก็เหมือนกัน อย่างเช่นตระกูลหลูแห่งฟ่านหยาง ตระกูลหลี่แห่งจ้าวจวิ้น ตระกูลชุยแห่งชิงเหอเป็นต้น ความจริงหากไตร่ตรองดูแล้ว ตระกูลเซี่ยในตอนนี้ ตั้งแต่แยกตระกูลและบรรพบุรุษออกถึงได้สงบลงอย่างแท้จริง เมื่อไม่มีเรื่องผลประโยชน์เกี่ยวข้องแล้วจึงกลายเป็นสิ่งที่ทำให้รากฐานสงบสุขมากที่สุด 


 


 


           ระยะทางครึ่งหลังไม่เกิดเหตุการณ์อันตรายใดๆ ขึ้นอีก มาถึงค่ายใหญ่เขาตะวันตกอย่างราบรื่น 


 


 


           ประตูค่ายใหญ่เขาตะวันตกปิดเงียบเชียบ ทหารพร้อมด้วยหอกยาวติดพู่ยืนยามอยู่หน้าประตู ดูเคร่งขรึมอย่างยิ่งท่ามกลางฝนตกหนัก 


 


 


           ซื่อฮว่ากับซื่อม่อหยุดรถม้าแล้วเลิกม่านออก อวี้จั๋วกระโดดลงจากรถก่อน เซี่ยฟางหวากางร่มเดินตามลงมาทีหลัง 


 


 


           หลี่มู่ชิงกับหานซู่ก็ลงจากม้าเช่นกัน 


 


 


           อวี้จั๋วมองเซี่ยฟางหวาแวบหนึ่ง เมื่อเห็นนางพยักหน้าให้ก็ก้าวขึ้นมา “คำสั่งของท่านอ๋องน้อย รับพระชายาน้อยมาถึงแล้ว รีบเข้าไปรายงานด้วย” 


 


 


           ทหารนายหนึ่งเดินหายเข้าไปข้างใน 


 


 


           รออยู่นานก็ไม่มีทีท่าว่าจะมีคนเดินออกมา เซี่ยฟางหวาขมวดคิ้ว หันมามองหลี่มู่ชิง 


 


 


           “คงไม่เกิดเรื่องใดขึ้นหรอกกระมัง” หลี่มู่ชิงเผยสีหน้าเคร่งขรึม 


 


 


           จิตใจของเซี่ยฟางหวาเยือกเย็นขึ้น 


 


 


           “ยามนี้แล้ว อีกครึ่งชั่วยามฟ้าก็มืดแล้ว” หานซู่มองท้องฟ้า ก่อนสะบัดเสื้อผ้าที่เปียกฝนไปครึ่งหนึ่ง  


 


 


           เซี่ยฟางหวาเม้มปากก่อนก้าวเท้าเดินไปข้างใน 


 


 


           ทันทีที่นางขยับตัว ทหารหน้าประตูก็หันหอกเข้าหานางโดยพร้อมเพรียงกัน หนึ่งในนั้นเอ่ยขึ้นด้วยความเคร่งขรึม “ที่นี่คือค่ายทหาร พระชายาน้อยโปรดหยุดเถิด หากไม่มีคำสั่งก็ห้ามเข้าไปโดยเด็ดขาด” 


 


 


           “หากบุกเข้าไปก็มีความผิดใช่หรือไม่” เซี่ยฟางหวาถาม 


 


 


           ทหารนายนั้นกำหอกแน่นขึ้นทันที ทหารทุกคนต่างตื่นตัวเพื่อเตรียมป้องกัน 


 


 


           “บุกเข้าค่ายทหารโดยพลการย่อมมีความผิด แม้เจ้ามีวิทยายุทธ์สูง แต่ก็ทำอันใดทหารที่กรูกันเข้ามาไม่ได้ กองทัพสามแสนนายไม่ได้มีประดับไว้ให้ชื่นชม ในเมื่อพี่ฉินเจิงเป็นคนเชิญเจ้ามาก็รออีกหน่อยเถอะ” หลี่มู่ชิงก้าวขึ้นมากล่าวบอกเซี่ยฟางหวา  


 


 


           เซี่ยฟางหวาพยักหน้า พวกตนมีแค่ไม่กี่คนย่อมบุกเข้าไปข้างในไม่ได้อยู่แล้ว เรื่องนี้นางทราบดี 


 


 


           เวลาเลยผ่านไปทีละน้อย กระทั่งฟ้าใกล้มืดเต็มที ในที่สุดข้างในก็มีการเคลื่อนไหว 


 


 


           ทหารที่เข้าไปรายงานก่อนหน้านี้เดินออกมา ยังมีขันทีอาวุโสที่เดินออกมากับเขาด้วยอีกหนึ่งคน 


 


 


           เซี่ยฟางหวาจำได้ทันทีว่าขันทีอาวุโสคนนี้คืออู๋เฉวียน นางพินิจมองเขา พบว่าเขาเดินมาด้วยใบหน้าเคร่งขรึมพร้อมฝีเท้าอันรีบร้อน 


 


 


           ประตูใหญ่เปิดออก อู๋เฉวียนมองแวบหนึ่งราวกับไม่มีกระจิตกระใจจะทำความเคารพ รีบเอ่ยขึ้นว่า “พระชายาน้อย เร็วเข้า รีบตามกระหม่อมเข้าไปข้างในเถอะ” 


 


 


           เซี่ยฟางหวาได้ยินเช่นนั้นจึงรีบก้าวเท้าเข้าไป 


 


 


           หลี่มู่ชิงกับหานซู่ อวี้จั๋ว ซื่อฮว่าและซื่อม่อเดินตามหลังนางเข้าไป 


 


 


           อู๋เฉวียนเห็นว่าหลี่มู่ชิงกับหานซู่ตามมาด้วยก็ไม่ได้ห้ามแต่อย่างใด เพียงเดินด้วยความรีบร้อนพลาง กล่าวพลาง “พระชายาน้อย เหตุใดท่านถึงเพิ่งมาถึงตอนนี้” 


 


 


           “ระหว่างทางเกิดเรื่องเล็กน้อย” เซี่ยฟางหวามองเขาแวบหนึ่ง 


 


 


           “ตอนนั้นบอกว่าหมอหลวงซุนจะมาด้วยกันมิใช่หรือ หรือว่าฝนตกหนักเกินไป เพราะหมอหลวงซุนชราแล้วจึงมามิได้” อู๋เฉวียนหันมามองเซี่ยฟางหวา พบว่านางตอบสั้นๆ ก็กล่าวขึ้นอีก  


 


 


           “หมอหลวงซุนออกจากเมืองก่อนข้าก้าวหนึ่ง แต่ถูกสังหารระหว่างเดินทางได้ห้าลี้” เซี่ยฟางหวาตอบ 


 


 


           อู๋เฉวียนผงะตกใจ หยุดเท้าโดยพลัน 


 


 


           “ใต้เท้าหานจากกรมอาญาเดินทางมาด้วยเพราะเหตุนี้” เซี่ยฟางหวาหันมามองหานซู่ที่อยู่ข้างหลัง 


 


 


           อู๋เฉวียนสมกับเป็นหัวหน้าขันทีผู้ติดตามฮ่องเต้มาเป็นเวลาหลายปีและเห็นความเป็นตายมาหลายครั้ง เมื่อหายตกใจแล้วก็ไม่เอ่ยคำใดอีก เดินต่อด้วยความรีบร้อน ไม่ซักถามขึ้นอีก 


 


 


           “กงกงท่านมาที่นี่ได้อย่างไร หรือว่าฝ่าบาทก็เสด็จมาด้วยหรือ” เซี่ยฟางหวากลับมีเรื่องอยากถามแทน  


 


 


           “ฝ่าบาทมิได้เสด็จมาด้วย ฟังว่าเกิดเรื่องขึ้นที่ค่ายใหญ่เขาตะวันตก เมื่อรัชทายาททรงได้รับรายงานก็ปฏิบัติตามพระบัญชาของฝ่าบาท ฝ่าบาททรงส่งกระหม่อมมาพร้อมกับรัชทายาทด้วย” อู๋เฉวียนส่ายหน้า 


 


 


           เซี่ยฟางหวาผงกศีรษะ “ฉินเจิงเล่า ตอนนี้อยู่ที่ไหน”  


 


 


           “อยู่ในตำหนักใหญ่ขอรับ” อู๋เฉวียนรีบตอบ 


 


 


           เซี่ยฟางหวาเห็นเขารีบเดินคล้ายมีเรื่องร้อนใจ ทั้งใบหน้ากลัดกลุ้มจึงซักถาม “กงกง เกิดอะไรขึ้นกับ 


 


 


ฉินเจิงใช่หรือไม่” 


 


 


           “มิปิดบังพระชายาน้อย เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นขอรับ” อู๋เฉวียนไม่แม้แต่จะหยุดเดินหากแต่พยักหน้ารับ  


 


 


           “ฉินเจิงเป็นอะไร” เซี่ยฟางหวาเร่งฝีเท้าขึ้นมาคว้าแขนเขาไว้ 


 


 


           “ไอ้หยา พระชายาน้อย ท่านอย่าเพิ่งร้อนใจ ไม่ใช่ท่านอ๋องน้อยเท่านั้นที่เกิดเรื่อง ยังมีองค์รัชทายาทด้วย ท่านมีวิชาแพทย์จึงรอท่านมาถึง รีบไปดูเถิด ท่านเห็นแล้วก็ทราบเอง หมอในค่ายต่างตรวจดูแล้วแต่ก็ไม่ทราบสาเหตุ สองชั่วยามก่อนรัชทายาทกับท่านอ๋องน้อยเจิงสลบมิได้สติ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ฟื้น” 


 


 


           เซี่ยฟางหวาตกใจ ฉินอวี้ด้วยหรือ เขาก็หมดสติไปด้วย นางรีบปล่อยอู๋เฉวียน ไม่ไล่ซักถามต่ออีก แต่รีบเดินตามเขาไปด้วยความรีบร้อนอีกคน 


 


 


           เดินผ่านลานฝึกซ้อม อ้อมบ้านพักนายทหาร ก็มาถึงตำหนักใหญ่ 


 


 


           อู๋เฉวียนหันมามองเซี่ยฟางหวา ก่อนนำนางเดินเข้าไปข้างใน


36.2

ภาพตรงหน้า ภายในห้องรับรองของตำหนักใหญ่เต็มไปด้วยคนกลุ่มหนึ่งทั้งกำลังนั่งและยืนอยู่ คนที่เซี่ยฟางหวารู้จักในนั้นมีเสนาบดีฝ่ายซ้าย หย่งคังโหว ราชเลขากรมกลาโหม รวมถึงชุยอี้จือรองราชเลขากรมกลาโหมที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่ง ยังมีผู้อาวุโสอีกหลายคนที่นางไม่รู้จัก และยังมีผู้สวมเครื่องแบบทหาร เห็นได้ชัดว่าเป็นทหารที่มียศสูงมาก 


 


 


           เมื่ออู๋เฉวียนนำทางเซี่ยฟางหวาเข้ามาก็เอ่ยขึ้น “พระชายาน้อยมาแล้ว นอกจากนาง ยังมีคุณชายหลี่จากจวนเสนาบดีฝ่ายขวา และใต้เท้าหานจากกรมอาญา” 


 


 


           เสนาบดีฝ่ายซ้ายเห็นเซี่ยฟางหวาแล้ว เซี่ยฟางหวาเป็นคนช่วยหลูเสวี่ยอิ๋งบุตรีของตน เขาเห็นนางจึงพยักหน้าให้ด้วยความนุ่มนวล ก่อนถามขึ้น “มีแค่พระชายาน้อยหรือ หมอหลวงซุนเล่า” 


 


 


           อู๋เฉวียนหันมามองเซี่ยฟางหวา 


 


 


           เซี่ยฟางหวาหันมามองหานซู่ 


 


 


           หานซู่เห็นเสนาบดีฝ่ายซ้ายกับหย่งคังโหว ทั้งสองต่างมียศทางราชการสูงกว่าตนจึงรีบก้าวขึ้นมาทำความเคารพ “เสนาบดีฝ่ายซ้าย ท่านโหว หมอหลวงซุนถูกลอบสังหารระหว่างเดินทางมา ข้าน้อยได้ยินว่าองค์รัชทายาทอยู่ที่นี่ คิดว่าหมอหลวงซุนมีฐานะต่างจากคนทั่วไป นอกจากนี้ก็ด้วยเรื่องค่ายใหญ่เขาตะวันตก หมอหลวงซุนจึงถูกสังหารระหว่างเดินทางมาที่นี่ ดังนั้นข้าน้อยจึงมาเพื่อรายงานรัชทายาท และมาเพื่อตรวจสอบขอรับ” 


 


 


           “หมอหลวงซุนถูกสังหารรึ” เสนาบดีฝ่ายซ้ายผงะตกใจอย่างไม่อยากเชื่อ 


 


 


           “ใต้เท้าหาน เหตุใดท่านถึงมอมแมมเช่นนี้” หย่งคังโหวก็ผงะตกใจเช่นกันพลางมองหานซู่ 


 


 


           ทุกคนต่างเห็นว่าบนใบหน้าหานซู่มีบาดแผลทั่วใบหน้า แม้แผลเล็กน้อยแต่ถูกน้ำฝนสาดใส่จึงซีดขาวและบวมเป่ง เสื้อผ้าบนตัวเขาก็มีรอยขาดเช่นกัน ขุนนางใหญ่ในราชสำนักจะมอมแมมเช่นนี้หาได้ยากยิ่ง 


 


 


           “มิอาจบรรยายได้ด้วยคำเดียว ข้าน้อยกับพระชายาน้อย และคุณชายหลี่พบเหตุลอบสังหารต่อเนื่องระหว่างเดินทางมา เกือบจะมาไม่ถึงที่นี่แล้ว” หานซู่ถอนหายใจออกมา กล่าวด้วยความหวาดกลัวที่ยังเหลืออยู่  


 


 


           “เกิดอะไรขึ้น” หย่งคังโหวถามต่อ 


 


 


           เขากำลังจะเอ่ยตอบ เซี่ยฟางหวาก็ยกมือขัดแล้วเอ่ยบอกอู๋เฉวียน “ฉินเจิงอยู่ไหน พาข้าไปหาเขา” 


 


 


           “อยู่ข้างในขอรับ เชิญพระชายาน้อย” อู๋เฉวียนนำทางนางเดินเข้าไปข้างใน 


 


 


           เซี่ยฟางหวารีบเดินตามเขา 


 


 


           หลี่มู่ชิงเองก็เดินตามเซี่ยฟางหวาไปเช่นกัน 


 


 


           เสนาบดีฝ่ายซ้ายลุกขึ้นพร้อมเอ่ยว่า “ความปลอดภัยขององค์รัชทายาทกับท่านอ๋องน้อยสำคัญกว่า เรื่องอื่นพักไว้ก่อนเถอะ” พูดจบก็เดินตามเข้าไปข้างใน 


 


 


           หย่งคังโหวพยักหน้า หยุดซักถามแล้วตามเข้าไปข้างใน 


 


 


           ผู้อาวุโสที่เหลือมองหน้ากันก่อนตามเข้าไปด้วย 


 


 


           หลังเข้ามาในตำหนักชั้นใน เซี่ยฟางหวาก็เห็นฉินอวี้กับฉินเจิงนอนเรียงอยู่บนเตียง ทั้งสองหลับตานิ่งไม่ไหวติง นางรีบก้าวเข้ามาใกล้ๆ ฉินเจิงอยู่ริมหน้าต่างพอดี นางจึงยื่นมือไปจับมือเขา 


 


 


           ทันทีที่นางสัมผัสโดนมือเขาพลันเหมือนถูกไฟดูด กลางฝ่ามือของฉินเจิงมีแสงสีม่วงกลุ่มหนึ่งแล่นโจมตีมือนางโดยตรง เซี่ยฟางหวาไม่ทันตั้งตัว ชั่วพริบตาจึงถูกแรงดีดอย่างรุนแรงจนถอยหลังหนี 


 


 


           เพราะเกิดขึ้นกะทันหัน เซี่ยฟางหวาไม่ได้เตรียมตัวแม้แต่น้อย โชคดีที่หลี่มู่ชิงยืนอยู่ข้างหลังนางจึงเอื้อมมือมารับนางทัน นางจึงไม่ได้ถูกดีดออกไปนอกห้องหรือล้มลง 


 


 


           เซี่ยฟางหวาทรงตัวให้มั่น ก้มมองฝ่ามือตนเอง พบว่าบริเวณที่สัมผัสโดนมือของฉินเจิงมีเลือดไหลซึมออกมา 


 


 


           “เกิดอะไรขึ้น” หลี่มู่ชิงเห็นแล้วก็มีสีหน้าเคร่งเครียดก่อนถามขึ้น  


 


 


           เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า 


 


 


           อู๋เฉวียนก้าวขึ้นมาจากข้างหลัง เมื่อเห็นเช่นนี้ก็อุทาน “ไอ้หยา” ออกมาแล้วรีบขอโทษขอโพย “กระหม่อมสมควรตาย เมื่อครู่ลืมเตือนพระชายาน้อยไปเสียสนิท ตั้งแต่องค์รัชทายาทกับท่านอ๋องน้อยหมดสติไปก็ไม่ยอมให้ผู้ใดแตะต้อง หากใครแตะต้อง ร่างกายของเขาจะปล่อยพลังอันรุนแรงออกมา ดีดผู้แตะต้องกระเด็นออกไป” 


 


 


           “เขาหมดสติไปได้อย่างไร” เซี่ยฟางหวาหรี่ตาลง 


 


 


           “ท่านอ๋องน้อยมาถึงค่ายก่อน องค์รัชทายาทตามมาทีหลัง หลังจากกระหม่อมมาถึงพร้อมองค์รัชทายาท ท่านอ๋องน้อยก็เห็นด้วยกับคำแนะนำของขุนนางชันสูตรศพว่าควรผ่าศพของหลูอี้จากตระกูลหลูแห่งฟานหยางเพื่อตรวจสอบ แต่ตระกูลหลูแห่งฟ่านหยางไม่อนุญาต บอกว่าการผ่าศพเพื่อชันสูตร การฝังคนตายเช่นนี้เชื่อว่าจะทำให้ศพไม่สมบูรณ์ เสนาบดีฝ่ายซ้ายก็ไม่เห็นด้วยเช่นกัน องค์รัชทายาทก็คิดว่าไม่ควรทำ แต่ท่านอ๋องน้อยบอกว่าหากไม่ผ่าศพ เกรงว่าจะไม่อาจหาสาเหตุการตายที่แท้จริงได้ ด้วยเหตุนี้เอง ทั้งสองมีความเห็นไม่ตรงกันจึงเริ่มใช้กำลัง แต่จู่ๆ ก็หมดสติไป” 


 


 


           “พวกเขาประมือกันนานแค่ไหน แลกกันกี่กระบวนท่า” เซี่ยฟางหวาถาม 


 


 


           “ไม่กี่กระบวนท่าก็หมดสติลงแล้ว” อู๋เฉวียนเองก็ไม่เข้าใจ “กระหม่อมอยู่ด้านข้าง ไม่รู้เพราะเหตุใด” 


 


 


           “พวกเขาเถียงกันที่ไหน” เซี่ยฟางหวาถามอีก 


 


 


           “นอกตำหนักขอรับ” อู๋เฉวียนตอบ 


 


 


           “ในเมื่อพวกเขาห้ามใครแตะตัว แล้วย้ายมาที่เตียงได้อย่างไร” เซี่ยฟางหวาถามอีก 


 


 


           “ท่านอ๋องน้อยไม่ยอมให้ผู้ใดแตะตัว แต่องค์รัชทายาทยอมให้แตะได้ ไม่รู้เพราะเหตุใด หลังท่านอ๋องน้อยกับองค์รัชทายาทหมดสติไป ฝ่ามือก็ดึงดูดเข้าหากัน แยกออกจากกันมิได้ เมื่อเคลื่อนย้ายรัชทายาท ท่านอ๋องน้อยก็ย้ายมาที่เตียงด้วยเช่นกัน” อู๋เฉวียนรีบตอบ  


 


 


           เซี่ยฟางหวาก้าวขึ้นมา หมายจะไปแตะตัวฉินเจิงอีกครั้ง 


 


 


           “พระชายาน้อย ระวังด้วย” อู๋เฉวียนรีบเตือน 


 


 


           หลี่มู่ชิงยื่นมือห้ามเซี่ยฟางหวา “ตอนนี้เขาแปลกประหลาดมาก ตรงหว่างคิ้วคลับคล้ายคลับคลาว่ามีกลุ่มพลังไหลเวียนอยู่ สภาพร่างกายราวกับมีกลุ่มพลังกระจัดกระจายในเส้นลมปราณ คล้ายธาตุไฟเข้าแทรก”  


 


 


           เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า “เขาไม่ใช่ธาตุไฟเข้าแทรก” พูดจบนางก็หยุดมือแล้วหันมามองข้างหลัง “นอกจากอู๋กงกงและคุณชายหลี่ ขอให้คนอื่นออกไปก่อน” 


 


 


           “พระชายาน้อย นี่เจตนาใด” สีหน้าเสนาบดีฝ่ายซ้ายไม่พอใจทันที 


 


 


           “ช่วยคน” เซี่ยฟางหวาตอบ “ตอนข้าช่วยคน ไม่ชอบให้ผู้ใดจับตามองอยู่รอบข้าง” พูดจบก็หันไปมองหย่งคังโหว “ท่านโหวน่าจะทราบแล้ว ตอนข้าช่วยฮูหยินของท่านโหวก็ไม่อนุญาตให้มุงดูเช่นกัน” 


 


 


           “เสนาบดีฝ่ายซ้าย เราออกไปรอข้างนอกเถอะ” หย่งคังโหวพยักหน้า 


 


 


           “พระชายาน้อยแน่ใจหรือว่าจะช่วยรัชทายาทกับท่านอ๋องน้อยได้” เสนาบดีฝ่ายซ้ายยืนนิ่ง “เกิดอะไรขึ้นกับพวกเขากันแน่” 


 


 


           “เรื่องนี้ต้องถามรัชทายาท” เซี่ยฟางหวาแค่นหัวเราะ “หากเสนาบดีฝ่ายซ้ายอยากทราบ เมื่อองค์รัชทายาทฟื้นขึ้นมาแล้ว ท่านค่อยถามเขาแล้วกัน” 


 


 


           เสนาบดีฝ่ายซ้ายอึ้ง 


 


 


           เซี่ยฟางหวาไม่พูดมาก แสดงออกชัดเจนว่าให้พวกเขาออกไป 


 


 


           เสนาบดีฝ่ายซ้ายสะบัดแขนเสื้อหันหลังเดินออกไป เมื่อเขาออกไปแล้วทุกคนก็ตามกันออกไป ไม่นานก็เหลือแค่อู๋เฉวียนกับหลี่มู่ชิง 


 


 


           “ไม่ใช่ธาตุไฟเข้าแทรก ฉินอวี้เคยร่ายคำสาปใจเดียวกับข้า แต่ฉินเจิงขวางเอาไว้ก่อน ตอนนี้เป็นผลของคำสาปใจเดียวกำเริบขึ้น” เซี่ยฟางหวากล่าวกับหลี่มู่ชิง  


 


 


           “มีเรื่องแบบนี้ด้วยหรือ” หลี่มู่ชิงตกใจ 


 


 


           เซี่ยฟางหวานึกย้อนถึงวันนั้นที่เมืองผิงหยาง ฉินอวี้กระทำการลับลมคมใน นางช่วยชีซิงไม่สำเร็จ แม้ทำร้ายเขาได้แต่ก็ถูกเขาตลบหลังเช่นกัน หากไม่ได้ฉินเจิงย้ายคำสาปมาไว้บนร่างตัวเอง กลายเป็นนางที่ต้องคำสาป ผลลัพธ์คงไม่อาจจินตนาการได้ แน่นอนว่าเรื่องนี้ถูกปิดเป็นความลับ ฉินเจิงกับฉินอวี้ร่วมแรงกันปกปิดเอาไว้ หลี่มู่ชิงไม่ทราบก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ตอนนี้นางต้องการความช่วยเหลือจากเขา 


 


 


           “ข้าทำสิ่งใดได้บ้าง” เมื่อหลี่มู่ชิงหายตกใจก็มองไปยังทั้งสองที่นอนอยู่บนเตียงก่อนถามขึ้น 


 


 


           “แม้ข้าไม่รู้วิธีถอนคำสาปใจเดียวกัน แต่คิดว่ามีวิธีหนึ่งน่าทดลอง ถึงแม้ถอนคำสาปไม่ได้ แต่แยกพวกเขาออกจากกันได้ เมื่อแยกออกจากกันแล้วก็จะฟื้นขึ้นมาเอง” เซี่ยฟางหวาตอบ 


 


 


           “วิธีการใด” หลี่มู่ชิงถาม 


 


 


           “เลือดจากอกฉินอวี้” เซี่ยฟางหวาตอบ “เจ้าช่วยข้าลงมือหน่อย” 


 


 


           หลี่มู่ชิงชะงัก 


 


 


           อู๋เฉวียนตกใจจนหน้าถอดสี “พระชายาน้อย เรื่องนี้กระทำมิได้ นี่คือรัชทายาท ร่างกายทั้งหมดได้รับมาจากพระองค์ท่านและฮองเฮา…” 


 


 


           “อู๋กงกง!” เซี่ยฟางหวาเอ่ยขัด “หลายวันนี้แท้จริงแล้วฝ่าบาททรงแกล้งประชวรใช่หรือไม่” 


 


 


           อู๋เฉวียนตัวสั่น มองเซี่ยฟางหวาด้วยความขลาดกลัว 


 


 


           “หากเจ้าไม่กล้าลงมือ เช่นนั้นข้าคงได้แต่ต้องทำเอง” เซี่ยฟางหวายิ้มก่อนหันมาบอกหลี่มู่ชิง  


 


 


           หลี่มู่ชิงตกใจไปพักหนึ่ง เมื่อเห็นอู๋เฉวียนรีบก้มหน้าลงทันทีที่เซี่ยฟางหวาเอ่ยประโยคนั้นและไม่กล้าขัดขวางอีก เขาส่ายหน้าแล้วดึงกริชออกมา กระโดดมายังข้างเตียง กรีดคมกริชลงบนแผ่นหลังของฉินอวี้แผ่วเบา บริเวณหัวใจเขาพลันมีเลือดไหลออกมาแทบจะทันที 


 


 


           เซี่ยฟางหวาไม่ได้นำถ้วยมารอง หากแต่เร่งพลัง ใช้เส้นลมปราณห่อหุ้มเลือดสดที่ไหลออกมา ลากประคองเลือดสดมายังบริเวณหว่างคิ้วของฉินเจิง 


 


 


           บริเวณหว่างคิ้วของฉินเจิงคล้ายมีกลุ่มพลังรวมกันกลายเป็นเม็ดขนาดเท่าถั่วแดง ชั่วพริบตาก็ดูดซับเอาเลือดเข้าไป 


 


 


           เวลาผ่านไปราวหนึ่งถ้วยชา ฝ่ามือของฉินอวี้ก็ขยับเล็กน้อย 


 


 


           “หยุดมือ” เซี่ยฟางหวารีบเอ่ยบอกหลี่มู่ชิง 


 


 


           หลี่มู่ชิงดึงกริชเข้าฝักแล้วกระโดดลงจากเตียง 


 


 


           เซี่ยฟางหวากำลังดึงมือกลับมา ฉินอวี้พลันลืมตาขึ้นแล้วยื่นมือมาจับมือเซี่ยฟางหวา ทว่าฝ่ามือจากคนด้านข้างคว้ามือนางมาจับไว้เร็วกว่าเขาก้าวหนึ่ง


ตอนที่ 37-1 ศพที่พิสูจน์ไม่ได้

 


 


 


 


           มือข้างนั้นคือมือของฉินเจิง เซี่ยฟางหวาถูกเขากุมมือไว้ ครั้งนี้ไม่ได้ถูกดีดออกเหมือนก่อนหน้านี้ 


 


 


           ลมปราณวิ่งเพ่นพ่านในร่างกายเขาราวกับซ่อนตัวสงบนิ่งชั่วพริบตา ไร้การเคลื่อนไหวอีก 


 


 


           “ลุกเองได้หรือไม่” เซี่ยฟางหวาลอบถอนหายใจออกมา เอ่ยถามเขาด้วยเสียงทุ้มต่ำ  


 


 


           “เจ้าดึงข้าหน่อย” ฉินเจิงบอก 


 


 


           เซี่ยฟางหวาพยักหน้า กระตุกมือดึงเขาขึ้นมา เขาลุกลงจากเตียงเชื่องช้าแล้วหันไปมองบนเตียง 


 


 


           ทรวงอกของฉินอวี้ยังมีเลือดไหลออกมา อาภรณ์เปื้อนเลือดเป็นวง มือที่ยื่นออกมาก่อนหน้านี้ดึงกลับไปแนบลำตัวตั้งแต่เมื่อไรก็มิทราบ เขานอนบนเตียงนิ่งโดยที่ผินหน้ามองมา 


 


 


           “เจ้ากระตุ้นคำสาปใจเดียว ดึงตัวเองพ่วงเข้ามาด้วย คิดจะทำสิ่งใดกันแน่” ฉินเจิงยิ้มเย็น 


 


 


           ฉินอวี้หรี่ตาลง ไม่ตอบคำถามเขา หากแต่หยุดสายตาบนใบหน้าเซี่ยฟางหวา “นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะใช้วิธีนี้ทำลายคำสาปใจเดียวกัน” 


 


 


           “หากไม่ทำร้ายเขาไปด้วย วันนี้ข้าคงไม่ใช้แค่เลือดจากทรวงอกเจ้าแค่เล็กน้อย แต่จะคว้านหัวใจเจ้าออกมา กระชากต้นคำสาปนั่นมาบดให้ละเอียด” เซี่ยฟางหวานึกถึงเหตุการณ์ที่ถูกเขาร่ายคำสาปใจเดียวกันวันนั้นก็เอ่ยตอบด้วยความเยือกเย็น 


 


 


           “เจ้าดีกับเขาถึงเพียงนี้เชียวรึ ถึงกับอยากให้ข้าตาย” ฉินอวี้ยิ้มออกมา กระตุกมุมปากแค่นหัวเราะ  


 


 


           “เขาเป็นสามีของข้า แต่เจ้าเป็นรัชทายาท” เซี่ยฟางหวาเม้มปาก 


 


 


           “จิตใจเจ้าไม่ได้มีความเมตตาชอบธรรมหรอกหรือ ข้าเป็นรัชทายาท หากข้าตายไป หนานฉินมีหรือจะไม่ตกอยู่ในความโกลาหล” ฉินอวี้จ้องมองนาง “ที่แท้ถ้อยคำเหล่านั้นที่เจ้าใช้สั่งสอนข้าเป็นเพียงคำพูดที่ใช้โจมตีข้าเท่านั้น แค่พูดให้ข้าฟังเฉยๆ ความจริงเจ้าไม่ได้สนใจแม้แต่น้อย” 


 


 


           “เจ้าเป็นรัชทายาท ไหนเลยจะเหมือนข้า ข้าเป็นแค่สตรีผู้หนึ่งเท่านั้น เป็นเพียงผู้หญิงอ่อนแอธรรมดาคนหนึ่ง คุณธรรมบ้านเมืองอันใดนั่นก็แค่พูดส่งๆ ไปเท่านั้นเอง หากทำจริงขึ้นมา ใต้หล้าคงหัวเราะเยาะแย่” เซี่ยฟางหวาแค่นหัวเราะ “ตอนนี้ข้ารู้เพียงแค่หากมีใครทำร้ายสามีของข้า ข้าจะไม่ปล่อยคนผู้นั้นไว้แน่” 


 


 


           “เจ้าเป็นเพียงสตรีอ่อนแอธรรมดาแน่หรือ” ฉินอวี้แค่นหัวเราะ ก่อนมองไปยังฉินเจิง “ได้ยินนางพูดแบบนี้ เจ้าคงลำพองใจมากใช่หรือไม่” 


 


 


           ฉินเจิงมองเขา ไม่เอ่ยคำใด 


 


 


           ฉินอวี้กล่าวขึ้นอีก “ข้าเคยพูดไว้ก่อนหน้านี้แล้ว เจ้าก็ไม่ได้ทำดีไปกว่าข้าเท่าไรนัก คิดวางแผนสร้างอุบาย ทำร้ายผู้อื่นด้วยความโหดเ**้ยมไปไม่น้อยเหมือนกัน เพียงแต่เจ้าช่างมีวาสนาดี” พูดจบก็กล่าวกับ 


 


 


เซี่ยฟางหวา “เจ้าใช้เลือดจากอกข้า ไม่นึกจะทำแผลให้สักหน่อยหรือ หากข้าตาย เขาก็ต้องตายเหมือนกัน” 


 


 


           “แทงเจ้ากระบี่หนึ่งยังไม่ตาย แค่เลือดเพียงเล็กน้อยจะตายได้หรือ” เซี่ยฟางหวาหยิบขวดจากอกเสื้อส่งให้อู๋เฉวียน “นี่เป็นยาห้ามเลือด” 


 


 


           “กระหม่อมทำแผลไม่เป็นนะพ่ะย่ะค่ะ!” อู๋เฉวียนรับมาด้วยมือสั่นเทา เอ่ยบอกด้วยใบหน้าซีดขาว 


 


 


           “ในค่ายทหารมีหมอไม่ใช่หรือ” เซี่ยฟางหวาจูงมือฉินเจิงเดินออกไป 


 


 


           “นี่…หากตามหมอมา เรื่องบาดแผลขององค์รัชทายาทจะถูกเผยแพร่ออกไป…” อู๋เฉวียนมองไปยังฉินอวี้  


 


 


           “หากคนอื่นรู้ว่าเจ้าทำร้ายข้าซึ่งเป็นรัชทายาทเพื่อช่วยเขา เจ้าลองเดาดูสิว่าราษฎรใต้หล้าจะพูดถึงเจ้าเช่นไร” ฉินอวี้มองเซี่ยฟางหวา 


 


 


           “ข้าสนใจที่ไหนกัน” เซี่ยฟางหวาไม่ยี่หระ 


 


 


           “แล้วจวนอิงชินอ๋องเล่า จวนอิงชินอ๋องไม่กลัวว่าจะถูกกล่าวหารึ” ฉินอวี้คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “พวกเจ้าไม่กลัว แล้วท่านลุงไม่กลัวรึ ถึงแม้เขาไม่ได้เอ็นดูข้า แต่จำต้องสนใจบ้านเมืองหนานฉินไม่ใช่หรือ ที่ผ่านมาเขาขยันขันแข็ง ไม่กล้าก้าวพลาดแม้แต่ก้าวเดียว หรือว่าท้ายที่สุดจะยอมให้ถูกผู้คนรุมประณาม” 


 


 


           “ฉินอวี้ เจ้าคุกคามผู้อื่นครั้งแล้วครั้งเล่า มีฐานะเป็นรัชทายาทแท้ๆ เจ้าไม่คิดว่าทำการเช่นนี้นั้นไร้ยางอายบ้างหรือ” เซี่ยฟางหวาหยุดเท้าโดยพลัน หัวหน้ามาด้วยความรวดเร็ว  


 


 


           “ลับหลังเขาก็กระทำเรื่องไร้ยางอายไปไม่น้อย เพียงแต่ไม่ได้แสดงออกต่อหน้าเจ้าเท่านั้น บางครั้งสิ่งที่เขาทำลงไปร้ายแรงกว่าข้าเสียอีก เจ้าว่าเขาไร้ยางอายหรือไม่” ฉินอวี้มองนาง 


 


 


           เซี่ยฟางหวาเม้มปากเงียบ 


 


 


           “ดูท่าจะถือหางคนไม่สนเรื่องราว ในสายตาเจ้า เขาทำสิ่งใดล้วนถูกต้องไปหมด ส่วนข้าทำสิ่งใดกลับผิดทุกอย่าง ต่อให้เป็นเรื่องแบบเดียวกันก็ตาม” ฉินอวี้หัวเราะออกมา 


 


 


           “อย่างน้อยเขาก็มีความรู้สึก ทั้งยังใจอ่อนและมีขอบเขต แต่เจ้าเล่า” เซี่ยฟางหวาอดไม่ได้ที่จะโมโหขึ้นมา “เวลานี้ไม่สนใจคดีฆาตกรรมในค่ายทหาร กลับกระตุ้นคำสาปใจเดียวกัน ทำให้เจ้ากับเขาหมดสติไปพร้อมกัน เจ้ามีเจตนาใดกันแน่” 


 


 


           “ทำไมเจ้าไม่ลองถามเขาดูบ้างเล่าว่าเขาคิดจะทำสิ่งใด หลูอี้เป็นลูกหลานของตระกูลหลูแห่ง 


 


 


ฟ่านหยาง นึกจะผ่าพิสูจน์ศพก็ผ่าได้ทันทีเลยรึ ตระกูลหลูแห่งฟ่านหยางไม่ยินยอม เสนาบดีฝ่ายซ้ายก็ไม่ยินยอมเช่นกัน แต่เขายืนยันจะผ่าศพให้ได้ คนตายมีเกียรติสูงศักดิ์ หลูอี้ตายไปแล้วจะยังไร้ศพอีกหรือ ยิ่งไปกว่านั้น เจ้ารู้หรือไม่ว่าหากข้าอนุญาตให้เขาทำเช่นนี้จะเกิดผลใดตามมา” ใบหน้าของฉินอวี้เคร่งขรึมลง  


 


 


           “ข้ารู้เพียงแค่เขามีเหตุผลที่ต้องผ่าศพเป็นแน่” เซี่ยฟางหวาตอบ 


 


 


           “ใช่ เขาทำสิ่งใดมักมีเหตุผลเสมอ” ฉินอวี้หัวเราะเยาะ  


 


 


           เซี่ยฟางหวาเบือนหน้าไม่สนใจเขา เอื้อมมือดึงฉินเจิงออกมา “เราออกไปกันเถอะ” 


 


 


           ฉินเจิงมองไปยังฉินอวี้ กล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “หลูอี้ตายอย่างไร ผู้อื่นอาจไม่ทราบแน่ชัด แต่ทั้งเจ้าและข้าต่างทราบดี โดยเฉพาะเกิดอะไรขึ้นกับศพหลูอี้ ข้าไม่เชื่อว่าเจ้ามองไม่ออก” 


 


 


           “มองออกแล้วอย่างไร เจ้าจะเปิดโปงรากฐานแผ่นดินหรือ” ฉินอวี้มองเขา 


 


 


           “แล้วเปิดโปงรากฐานแผ่นดินไม่ได้รึ” ฉินเจิงเอ่ยเสียงเย็น 


 


 


           “เปิดโปงแล้วไม่เป็นการดีต่อใครทั้งนั้น” ฉินอวี้บอก “เจ้าไม่กลัวว่าจะเกี่ยวพันไปถึงจวนอิงชินอ๋อง?” 


 


 


           “มีเหตุผลใดต้องกลัว” ฉินเจิงตอบ 


 


 


           “แล้วบ้านเมืองหนานฉินเล่า ลูกหลานตระกูลฉินเหมือนกันแท้ๆ เจ้าลืมคำสั่งสอนของเสด็จย่าในตอนนั้นไปแล้วรึ” ฉินอวี้ถูกยั่วโทสะ ทรวงอกยิ่งมีเลือดทะลักออกมา 


 


 


           อู๋เฉวียนตกใจจนรีบเอ่ยขึ้น “รัชทายาทโปรดระงับความโกรธ อย่าวู่วามเลยพ่ะย่ะค่ะ” พูดจบ เขาเห็นว่าเซี่ยฟางหวาไม่มีทีท่าว่าจะสนใจอีกจึงหยั่งเชิงถามขึ้น “ให้กระหม่อมไปตามหมอในค่ายมาเลยหรือไม่” 


 


 


           “กงกงไม่ต้องไปตามหมอมาหรอก ข้าจะทำแผลให้รัชทายาทเอง” หลี่มู่ชิงเอ่ยขึ้น “แม้ข้ารู้วิชาแพทย์แค่เบื้องต้น แต่ยังพอทำแผลได้” 


 


 


           “ไอ้หยา ลืมคุณชายหลี่ไปเสียสนิท ท่านทำแผลให้รัชทายาทย่อมดีมาก” อู๋เฉวียนรีบส่งยาให้หลี่มู่ชิง 


 


 


           หลี่มู่ชิงรับยามาแล้วเดินมาหน้าเตียง 


 


 


           ฉินอวี้ราวกับเพิ่งมองเห็นหลี่มู่ชิง มองเขาแวบหนึ่งแล้วกระตุกมุมปาก “นางก็ช่างเชื่อใจเจ้านัก” 


 


 


           “รัชทายาทอย่าเพิ่งขยับตัวจะดีกว่า ข้าจะห้ามเลือดท่านก่อน” หลี่มู่ชิงกล่าวด้วยความนุ่มนวล 


 


 


           ฉินอวี้ไม่เอ่ยคำใดอีก 


 


 


           “ข้าไม่ได้ลืมคำสั่งสอนของเสด็จย่า แต่เกรงว่าเจ้าคงลืมไปแล้ว” ฉินเจิงเห็นว่าหลี่มู่ชิงแหวกปกเสื้อบริเวณหน้าอกของฉินอวี้ออก เขาเอ่ยทิ้งท้ายประโยคหนึ่งแล้วจูงเซี่ยฟางหวาเดินออกไป 


 


 


           ทั้งสองออกมาจากตำหนักชั้นใน ทุกคนที่รออยู่ข้างนอกหันมามองโดยพร้อมเพรียงกัน เมื่อเห็นฉินเจิงเดินจูงมือเซี่ยฟางหวาออกมาด้วยสภาพปกติดีจึงลุกขึ้นก้าวออกมาทำความเคารพ 


 


 


           “ท่านอ๋องน้อย องค์รัชทายาทปลอดภัยดีหรือไม่” เสนาบดีฝ่ายซ้ายถาม 


 


 


           “ปลอดภัยดี” ฉินเจิงพยักหน้า 


 


 


           “เกิดอะไรขึ้นกับท่านและองค์รัชทายาทกันแน่ เหตุใดจู่ๆ ถึงหมดสติไปทั้งคู่ แล้วพระชายาน้อยใช้วิธีการใดช่วยพวกท่านฟื้นขึ้นมา” เสนาบดีฝ่ายซ้ายถามต่อ  


 


 


           “ถ้าเจ้าอยากรู้นักก็เข้าไปถามรัชทายาทข้างในได้” ฉินเจิงแสดงออกชัดเจนว่าไม่ตอบคำถามเหล่านั้น 


 


 


           เสนาบดีฝ่ายซ้ายหน้าหงาย 


 


 


           “ท่านอ๋องน้อย ท่านไม่เป็นไรจริงหรือ” หย่งคังโหวรีบก้าวขึ้นมา  


 


 


           ฉินเจิงพยักหน้าตอบ 


 


 


           “ท่านกับรัชทายาทไม่เป็นไรก็ดีแล้ว ทุกคนตรงนี้ไม่มีใครสูงศักดิ์ไปกว่าพวกท่าน หากพวกท่านเป็นอะไรขึ้นมา ฝ่าบาทจะต้องทรงพิโรธเป็นแน่ พวกเราตรงนี้คงหนีการกล่าวโทษจากฝ่าบาทไม่พ้น” หย่งคังโหวดูราวกับขอบคุณฟ้าดิน “ลำบากพระชายาน้อยแล้ว” 


 


 


           เซี่ยฟางหวามองหย่งคังโหวพร้อมถามขึ้น “ศพหลูอี้เล่า” 


 


 


           “หลังรัชทายาทกับท่านอ๋องน้อยหมดสติไป ศพก็ถูกเฝ้าไว้ก่อนชั่วคราว” หย่งคังโหวหันไปมองฉินเจิง พบว่าเขาก็กำลังมองมาจึงรีบตอบ  


 


 


           “ไปนำศพมาที่นี่” ฉินเจิงออกคำสั่ง 


 


 


           “ท่านอ๋องน้อย พวกเราไม่ยินยอมให้ท่านผ่าพิสูจน์ศพ หลูอี้ตายไปก็น่าเวทนาพอแล้ว หรือจะยังไม่มีศพให้ฝังอีก ตระกูลหลูแห่งฟ่านหยางของเราแม้ลูกหลานไม่โดนเด่น แต่ก็ไม่ยอมให้ผู้ใดมารังแกเขาเช่นนี้เหมือนกัน” ผู้อาวุโสคนหนึ่งรีบก้าวขึ้นมาสมทบกล่าวด้วยความร้อนใจ  


 


 


           “ใครรังแกตระกูลหลูแห่งฟ่านหยางของเจ้ากัน” ฉินเจิงเลิกคิ้ว 


 


 


           “ใครไม่รู้บ้างว่าตระกูลหลี่แห่งจ้าวจวิ้นกับตระกูลชุยแห่งชิงเหอ จวนอิงชินอ๋อง และจวนจงหย่งโหวต่างเกี่ยวดองกัน มีเพียงตระกูลหลูแห่งฟ่านหยางของข้าที่ไม่ร่วมเกี่ยวดองกับสหายพี่น้อง ท่านอ๋องน้อยย่อมเข้าข้างตระกูลหลี่แห่งจ้าวจวิ้น เพื่อทำให้หลี่อวิ๋นพ้นจากความผิดฐานฆ่าคนตาย” ผู้อาวุโสคนเดิมรีบตอบ  


 


 


           “บ้านเมืองมีขื่อมีแป ทุกตระกูลย่อมมีกฎเป็นของตัวเอง หากหลี่อวิ๋นสังหารผู้อื่นจริง ไม่ว่าใครก็ปกป้องไม่ได้ทั้งนั้น แต่หากมีเงื่อนงำซุกซ่อนอยู่เล่า ไม่ใช่เป็นการปล่อยให้ฆาตกรลอยนวลเหนือกฎหมายรึ” ฉินเจิงหัวเราะเสียงเย็น  


 


 


           “นั่นเป็นหน้าที่ของการสืบคดี เราไม่ยอมให้ผ่าศพหลูอี้เพื่อพิสูจน์โดยเด็ดขาด” ผู้อาวุโสคนเดิมยืนกราน 


 


 


           ผู้อาวุโสคนอื่นพากันส่งเสียงคล้อยตามกัน 


 


 


           “ท่านอ๋องน้อย การผ่าพิสูจน์ศพใช้สำหรับคนเลวไม่อาจให้อภัยได้ แต่หลูอี้ไม่ใช่คนแบบนั้น อีกอย่างตลอดเวลาที่อยู่ในค่ายทหารเขาก็ไม่เคยทำผิด กลับถูกสังหารอย่างไร้สาเหตุ สุดท้ายแล้วยังจะผ่าพิสูจน์ศพเขาอีก เรื่องนี้อย่างไรก็ทำไม่ได้โดยเด็ดขาด หากท่านอ๋องน้อยยังยืนยันที่จะทำ แม้ข้าต้องตายก็จะขัดขวางท่านอ๋องน้อยให้ได้ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อนุญาต” เสนาบดีฝ่ายซ้ายเอ่ยขึ้นเช่นกัน  


 


 


           “วิชาแพทย์ของข้า ไม่จำเป็นต้องผ่าพิสูจน์ศพ” เซี่ยฟางหวาเอ่ยขึ้น “ทุกท่านไม่ต้องร้อนใจ” 


 


 


           ผู้อาวุโสทุกคนหันมามองเซี่ยฟางหวา 


 


 


           “ไปนำศพมาที่นี่” ฉินเจิงยกมือสั่งงาน ยืนกรานดังเดิม 


 


 


           “ขอรับ!” มีคนรีบออกไป 


 


 


           ผู้อาวุโสทุกคนมองหน้ากัน นึกจะเอ่ยห้าม ทว่าเวลานี้ฉินอวี้ก็เดินออกมาจากตำหนักชั้นใน เอ่ยบอกเซี่ยฟางหวา “ขอเพียงไม่ต้องผ่าศพ เจ้าจะพิสูจน์อย่างไรข้าก็ยินยอม” 


 


 


           ผู้อาวุโสทุกคนกลืนคำพูดที่กำลังจะแย้งออกมาทันที ก่อนทำความเคารพฉินอวี้โดยพร้อมเพรียงกัน 


 


 


           “องค์รัชทายาท ทรงไม่เป็นไรใช่ไหม” เสนาบดีฝ่ายซ้ายก้าวขึ้นมา ดูเป็นห่วงฉินอวี้อย่างมาก 


 


 


           “ไม่เป็นไร” ฉินอวี้ยกมือปรามด้วยความนุ่มนวล สีหน้าไม่พบความผิดปกติ 


 


 


           เสนาบดีฝ่ายซ้ายพินิจมองฉินอวี้ แม้ในใจยังสงสัย แต่ทราบดีว่าเรื่องนี้หากฉินอวี้กับฉินเจิงไม่ยอมพูดเอง ซักถามไปก็ไร้ความหมาย 


 


 


           หลี่มู่ชิงกับอู๋เฉวียนเดินตามหลังออกมา ทั้งสองมีสีหน้าปกติเช่นกัน ผู้อื่นพินิจมองไม่พบสิ่งใดผิดปกติ


ตอนที่ 37-2 ศพที่พิสูจน์ไม่ได้

 


 


 


 


ไม่นานก็มีคนยกศพหลูอี้เข้ามาวางข้างใน 


 


 


           เซี่ยฟางหวาก้าวขึ้นมา พบว่าหลูอี้ผอมอย่างยิ่ง เหมือนบัณฑิตบอบบางคนหนึ่ง ไม่คล้ายกับเป็นผู้สมัครทหารที่มีร่างกายกำยำเลย ไม่รู้ว่าตอนนั้นตระกูลหลูแห่งฟ่านหยางนึกอย่างไรถึงส่งเขามาที่ค่ายทหาร 


 


 


           นางเดินวนดูศพหลูอี้รอบหนึ่ง ก่อนสั่งงานคนด้านข้าง “นำถุงมือ ที่คีบ กรรไกร เข็มกับด้ายมาให้ข้า” 


 


 


           “พระชายาน้อย ห้ามทำลายศพหลานชายคนนี้” ได้ยินคำว่ากรรไกร ผู้อาวุโสท่านหนึ่งก็ก้าวขึ้นมาทันที  


 


 


           “ข้าไม่ทำลายศพเขาหรอก” เซี่ยฟางหวาเงยหน้ามองเขา เน้นย้ำเพื่อสร้างความมั่นใจ  


 


 


           “เช่นนั้นท่านนำกรรไกรมาทำไม” ผู้อาวุโสคนเดิมไม่แน่ใจ 


 


 


           “กรรไกรมีวิธีใช้งานของมัน” เซี่ยฟางหวาตอบ 


 


 


           ผู้อาวุโสคนเดิมมองไปยังฉินอวี้ “รัชทายะ…” 


 


 


           “หลูกงอย่าเพิ่งวู่วาม” ฉินอวี้บอก 


 


 


           ผู้อาวุโสคนเดิมได้แต่ถอยหลังไปก้าวหนึ่ง 


 


 


           เซี่ยฟางหวามองประเมินรอบหนึ่ง จากนั้นก็มองไปยังท้องฟ้า พบว่าท้องฟ้ายังเหลือแสงสว่างเพียงเสี้ยวเดียวเท่านั้น นางจึงเอ่ยขึ้น “ยังเหลือเวลาอีกหนึ่งก้านธูป” 


 


 


           “หมายถึงอะไร” ฉินอวี้ถาม 


 


 


           “อีกหนึ่งก้านธูป ศพนี้ถึงแม้จะไม่ถูกผ่าพิสูจน์ แต่ศพก็จะไม่เหลือแม้แต่กระดูก” เซี่ยฟางหวาตอบ 


 


 


           “อะไรนะ!” ผู้อาวุโสทุกคนผงะตกใจทันที 


 


 


           “พระชายาน้อย อย่าพูดจาเหลวไหล” หลูหย่งรีบเอ่ยขึ้น 


 


 


           “ข้าไม่เคยพูดเหลวไหล ศพนี้น่าจะตายเพราะถูกหนอนพิษจง ต่อมายามเฉิน*[1]วันนี้ก็ถูกคนวางพิษสลายศพอีก พิษนี้จะยังรักษาสภาพศพได้ในหกชั่วยาม แต่หลังหกชั่วยามเป็นต้นไปก็จะค่อยๆ กร่อนศพ ไม่เหลือแม้แต่กระดูก ขนาดผมหรือขนสักเส้นก็ไม่เหลือทิ้งไว้” เซี่ยฟางหวาหัวเราะเสียงเย็น  


 


 


           ทุกคนได้ยินเช่นนี้ก็พากันตกใจ 


 


 


           “พระชายาน้อย ท่านอย่าพูดจาเขย่าขวัญเช่นนี้” หนึ่งในผู้อาวุโสหน้าถอดสี 


 


 


           “ข้าพูดเรื่องจริง หาได้พูดจาเขย่าขวัญไม่” เซี่ยฟางหวามองเขาด้วยแววตาเรียบนิ่ง 


 


 


           “พระชายาน้อย หนอนพิษจงที่ท่านว่าคืออะไร” เสนาบดีฝ่ายซ้ายถาม 


 


 


           “เสนาบดีฝ่ายซ้ายยังจำเหตุเพลิงไหม้และคดีลอบสังหารที่วัดฝ่าฝอซื่อได้หรือไม่” เซี่ยฟางหวามองเขา เมื่อเห็นเขาพยักหน้ารับก็พูดต่อ “ตอนนั้นไต้ซืออู๋ว่างลอบสังหารฉินเจิง ต่อมาเมื่อตายไปพบว่าถูกวิชาหนอนพิษจงซึ่งเหมือนกับหลูอี้ไม่ผิด ฟังว่านี่เป็นวิชาที่ใช้โจมตีควบคุมผู้อื่นรูปแบบหนึ่งในวิชาคำสาปเผ่าภูตผี” 


 


 


           “ข้าจำได้ว่าตอนนั้นศพอู๋ว่างหายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย ต่อมาเหตุเพลิงไหม้และคดีลอบสังหารที่วัดฝ่าฝอซื่อจึงถูกพักไปก่อนชั่วคราว ตอนนี้หลูอี้ถูกวิชาหนอนพิษจงเช่นเดียวกับอู๋ว่างได้อย่างไร” เสนาบดีฝ่ายซ้ายมีสีหน้าเปลี่ยนไป  


 


 


           “เรื่องนี้ต้องถามผู้ร่ายคำสาป” เซี่ยฟางหวาตอบ 


 


 


           “พระชายาน้อยรู้จักวิชาหนอนพิษจงได้อย่างไร ท่านแน่ใจหรือว่าเป็นสิ่งนี้” ผู้อาวุโสคนหนึ่งถามขึ้น 


 


 


           “ผู้เรียนวิชาแพทย์ หากตำราวิชาแพทย์โบราณยังศึกษาไม่ปรุโปร่ง ก็ไม่ต้องเรียกตัวเองว่าหมอแล้ว” เซี่ยฟางหวาตอบเสียงเรียบ 


 


 


           ผู้อาวุโสคนนั้นเงียบทันที 


 


 


           “นอกจากนี้ท่านบอกว่ายามเฉินวันนี้มีคนวางพิษสลายศพอีก เขาตายไปตั้งแต่ก่อนยามเฉินเสียอีก” เสนาบดีฝ่ายซ้ายกล่าวขึ้นอีก 


 


 


           “เรื่องนี้ต้องถามผู้ที่สัมผัสศพแล้ววางพิษสลายศพกับเขา” เซี่ยฟางหวาพยักหน้าตอบ 


 


 


           “พิษสลายศพคืออะไร นึกไม่ถึงว่าจะร้ายแรงขนาดทำให้ไม่เหลือแม้แต่กระดูก ไม่เหมือนกับผงกร่อนศพหรือ” เสนาบดีฝ่ายซ้ายถามขึ้นอีก 


 


 


           “ผงกร่อนศพคือยาผงชนิดหนึ่งที่ทำให้ศพหายสาบสูญไปในตอนนั้น ร้ายกาจมากก็จริง แต่ไม่อาจกร่อนเส้นผมหรือขนไปด้วย ทว่าพิษสลายศพต่างออกไป ฤทธิ์ของมันต้องใช้เวลาหกชั่วยามถึงจะทำให้ศพค่อยๆ แยกโครงร่างและแขนขาออกมา ครั้นแล้วก็กร่อนสลายอีกครั้ง แม้แต่ผมหรือขนสักเส้นก็ไม่เหลือ” เซี่ยฟางหวาตอบ 


 


 


           “พระชายาน้อย ก่อนหน้านี้ขุนนางชันสูตรศพพิสูจน์ไม่ได้ ตอนนี้มีเพียงท่านที่พิสูจน์ศพได้ ท่านจะให้พวกเราเชื่อได้อย่างไรว่าสิ่งที่ท่านพูดมาเป็นความจริง” เสนาบดีฝ่ายซ้ายไล่ถามต่อ 


 


 


           “ของที่ข้าต้องการได้หรือยัง” เซี่ยฟางหวาไม่ตอบกลับเอ่ยถามข้างหลัง 


 


 


           “เรียนพระชายาน้อย ของที่ท่านต้องก่อนได้แล้วขอรับ” มีคนก้าวขึ้นมา ยื่นของที่เซี่ยฟางหวาต้องการให้ 


 


 


           เซี่ยฟางหวาพับแขนเสื้อขึ้น สวมถุงมือเตรียมพร้อม สอดด้ายเข้าเข็มและทิ้งปลายด้ายเอาไว้ยาวพอตัว นางกวาดตามองแล้วเอ่ยกับทุกคน “ข้าจะทำให้พวกท่านเชื่อตอนนี้ แต่ตอนที่ข้าลงมือ ห้ามผู้ใดส่งเสียงโดยเด็ดขาด มิฉะนั้นจะทำลายการสมาธิข้าตอนตรวจพิสูจน์ความจริง อาจกลายเป็นฆาตกรต้องโทษได้ทันที” 


 


 


           ทุกคนได้ยินเช่นนี้ก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที 


 


 


           “ใต้เท้าหานดูแลกรมอาญา คดีฆาตกรรมหมอหลวงซุนกับคดีนี้เกี่ยวเนื่องกัน ถือว่าเป็นคดีเหมือนกัน ที่ผ่านมาใต้เท้าหานได้รับฉายาว่ายุติธรรมเที่ยงตรง ไม่ยอมก้มหัวให้ใคร ข้าคิดว่าขอให้ใต้เท้าหานมาช่วยงานน่าจะไม่มีใครเห็นต่างแล้วกระมัง” เซี่ยฟางหวามองไปยังหานซู่ “นี่เป็นการทำให้ทุกคนเชื่อว่าเรื่องนี้เป็นไปอย่างยุติธรรมเช่นกัน ถึงอย่างไรหมอหลวงซุนก็ถูกสังหารไปแล้ว ข้าคนเดียวคงยากจะเรียกความน่าเชื่อถือ จะได้ไม่มีใครหาว่าข้าวางอุบาย” 


 


 


           “ได้!” ใต้เท้าหานผงกศีรษะก่อนก้าวออกมาก้าวหนึ่ง “ข้าจะช่วยพระชายาน้อยพิสูจน์เอง” 


 


 


           เซี่ยฟางหวาพยักหน้าแล้วบอกอู๋เฉวียน “อู๋กงกง ช่วยมาแหวกเสื้อบริเวณหน้าอกของคนผู้นี้ให้ด้วย” 


 


 


           อู๋เฉวียนรีบก้าวขึ้นมา “พระชายาน้อยโปรดชี้แนะด้วย กระหม่อมมือเท้าเงอะงะ แต่ย่อมให้ความช่วยเหลือ” พูดจบ เขาก็แหวกเสื้อบริเวณหน้าอกของหลูอี้ออก 


 


 


           ผิวหน้าอกของหลูอี้ยังสมบูรณ์แบบเป็นสีปกติทั่วไป มองไม่เห็นความผิดปกติใดแม้แต่น้อย 


 


 


           เซี่ยฟางหวาหยิบเข็มขึ้นมา นางทิ่มเข็มลงบนข้อมือของตัวเองก่อนแผ่วเบา เลือดหยดหนึ่งหยดลงบนหน้าอกหลูอี้ นางทิ่มเข็มเล่มนั้นลงบนหน้าอกของเขา จากนั้นก็ยืดตัวขึ้น ส่งปลายด้ายอีกด้านที่สอดผ่านเข็มให้หานซู่ซึ่งอยู่ด้านข้าง “ใต้เท้าหาน จงถือไว้ให้มั่น ประเดี๋ยวไม่ว่ามองเห็นสิ่งใด ท่านห้ามขยับมือโดยเด็ดขาด” 


 


 


           หานซู่พยักหน้ารับ 


 


 


           “ไปนำจานกับถ้วยมาอย่างละใบ” เซี่ยฟางหวาสั่งงานเพิ่ม 


 


 


           มีคนรีบวิ่งออกไป 


 


 


           ทุกคนต่างมองมาที่นาง หลายคนต่างจับตามองหน้าอกของหลูอี้ไม่ให้คลาดสายตา 


 


 


           ผ่านไปพักหนึ่ง บนหน้าอกหลูอี้พลันปรากฏปุ่มนูนขึ้นจากข้างในร่างกาย ตามมาด้วยหนอนตัวเล็กสีเลือดที่ค่อยๆ เลื้อยขยุกขยิกขึ้นมาตามจุดที่แทงเข็มลงไป 


 


 


           บางคนเบิกตากว้าง บางคนแทบหลุดอุทานด้วยความตกใจ บางคนแทบทรงตัวไม่อยู่ 


 


 


           หนอนตัวเล็กสีเลือดดูดซับเลือดของเซี่ยฟางหวาที่หยดลงบนหน้าอกหลูอี้เมื่อครู่ด้วยความแปลกประหลาดยิ่ง จากนั้นมันก็ขยับขึ้นมาตามเข็มที่เปื้อนเลือดราวกับยังไม่อิ่ม ดูดซับคราบเลือดทั้งหมดจนแห้งในเวลาอันรวดเร็ว จากนั้นก็ขยับไต่ขึ้นมาตามความยาวด้าย 


 


 


           หานซู่ตัวแข็งค้างไปแล้ว ฝ่ามือแทบจะถือปลายด้ายอีกด้านต่อไปไม่ไหว แต่โชคดีที่วันนี้เขาเผชิญกับการวางกลไกศิลายักษ์ลอบสังหารและฝูงหมาป่ารุมล้อม ดังนั้นจึงพอตั้งสติได้อยู่บ้าง เมื่อเห็นหนอนตัวเล็กสีแดงไต่เข้ามาใกล้เรื่อยๆ จนใกล้ถึงปลายนิ้วเขาในเวลาอันรวดเร็ว เขาจึงมองเซี่ยฟางหวาด้วยใบหน้าซีดขาว 


 


 


           เซี่ยฟางหวาถือกรรไกรเตรียมไว้ก่อนแล้ว นางตัดด้ายในมือหานซู่แผ่วเบาทว่าเด็ดขาด ขณะเดียวกันก็ใช้ที่คีบคีบเข็มออกมาอย่างว่องไว เข็มกับด้ายและหนอนสีแดงตัวเล็กมากตกลงไปในจานโดยพร้อมเพรียงกัน นางนำถ้วยมาครอบปิดจานต่ออย่างรวดเร็ว 


 


 


           หานซู่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ร่างกายโงนเงนจนคนข้างหลังเข้ามาพยุงไว้ 


 


 


           “นี่คือหนอนพิษจงในร่างกายของเขา ข้านำมันออกมาแล้ว ทันเวลาพอดี” เซี่ยฟางหวายกจานขึ้นมาแล้วกวาดตามองทุกคน  


 


 


           ทุกคนมองหนอนสีแดงตัวเล็กที่ถูกจานและถ้วยครอบเอาไว้ในมือของนางด้วยความตระหนกตกใจ ยังไม่ทันรวบรวมสติ ทันใดนั้นแขนขาของหลูอี้ที่นอนอยู่บนพื้นก็หลุดแยกออกอย่างรวดเร็ว เสียงเสียดสีดังขึ้นต่อเนื่อง เพียงชั่วพริบตาเดียวศพทั้งร่างก็สูญสลายไป ไม่เหลือแม้แต่ผมหรือขนสักเส้น 


 


 


           มีสองคนอุทานขึ้นด้วยความตกใจแล้วเป็นลมหมดสติไปทันที 


 


 


           เซี่ยฟางหวายิ้มเยาะ “ครั้งนี้พิสูจน์ได้แล้วใช่หรือไม่ว่าข้าพูดจริง มีคนสังหารหมอหลวงซุน วางแผนขัดขวางข้าระหว่างเดินทาง ทั้งหมดก็เพื่อซื้อเวลาให้ศพหลูอี้สลายหายไปจนตรวจสอบไม่ได้” 


 


 


 


 


 


 


 


 


*ยามเฉิน หรือ เวลาเจ็ดโมงถึงเก้าโมงเช้า 


ตอนที่ 38-1 ความจริงกระจ่าง

 


 


 


 


           ความแปลกใจที่ทุกคนได้เห็นหนอนสีแดงถูกดึงออกมาจากร่างกายหลูอี้ยังไม่ทันจางหาย เมื่อเห็นศพเขาค่อยๆ กร่อนสลายจนหายสาบสูญไป ทิ้งเอาไว้เพียงทางน้ำรอยหนึ่ง ทุกคนต่างตื่นตกใจจนนิ่งอยู่กับที่ 


 


 


           แน่นอนว่าในบรรดาผู้ที่ตื่นตกใจไม่รวมถึงฉินเจิง ฉินอวี้ และหลี่มู่ชิง 


 


 


           ทั้งสามต่างเป็นคนที่ต่อให้ภูเขาไท่ซานถล่มลงมาสีหน้าก็ไม่แปรเปลี่ยน 


 


 


           ผ่านไปครู่หนึ่ง ผู้อาวุโสท่านหนึ่งก็อุทานขึ้น “หลูอี้!” 


 


 


           “พระชายาน้อย ท่านใช้กลลวงใดกันแน่” ผู้อาวุโสอีกท่านหนึ่งได้สติกลับคืนมา ชี้หน้าเซี่ยฟางหวาด้วยมือสั่นเทาอย่างหวาดกลัว  


 


 


           “กลลวง” เซี่ยฟางหวาหัวเราะเสียงเย็น “ตอนนี้ตระกูลหลูแห่งฟ่านหยางเหลือแค่ผู้อาวุโสสมองเลอะเทอะหรือ อนุชนรุ่นหลังที่มีตามีสมองตายกันไปหมดแล้วหรืออย่างไร ข้าแค่พิสูจน์ศพเท่านั้น ท้ายที่สุดแล้วกลับสาดโคลนใส่ข้ารึ” 


 


 


           นางเอ่ยด้วยถ้อยคำรุนแรง แววตาเยือกเย็น แผ่รัศมีคุกคาม 


 


 


           ผู้อาวุโสคนเดิมมองนางถูกรัศมีของนางข่มขู่จนตระหนก หนวดเครากระตุกขึ้นราวกับจะเป็นลมไป 


 


 


           “เสนาบดีฝ่ายซ้าย ท่านก็คิดว่าข้าใช้กลลวงด้วยรึ” เซี่ยฟางหวาหันมามองหลูหย่ง  


 


 


           เวลานี้หลูหย่งก็ได้สติกลับคืนมาแล้วเช่นกัน เขามองบนพื้น เดิมทีตรงนั้นเคยมีศพนอนแน่นิ่งอยู่ ยามนี้กลับแปรสภาพกลายเป็นกองน้ำกองหนึ่ง เขาเงยหน้ามองเซี่ยฟางหวา แววตานางเยือกเย็นคล้ายเยาะเย้ยคล้ายเหน็บแหนม เขาตื่นตัวขึ้นมาฉับพลัน มองไปยังฉินอวี้ 


 


 


           ฉินอวี้ไม่เอ่ยคำใด ใบหน้าเรียบเฉย 


 


 


           เขาหันไปมองฉินเจิง 


 


 


           ใบหน้าฉินเจิงเย็นชาเงียบสงบ ไม่แสดงสีหน้าใดเช่นกัน 


 


 


           เขาทำจิตใจให้สงบ ไตร่ตรองก่อนเอ่ยขึ้น “ข้าไม่รู้วิชาแพทย์ กับวิชาคำสาปเผ่าภูตผีก็รู้เพียงแค่ชื่อเท่านั้น พระชายาน้อยเป็นสตรีในหอนอนกลับรู้จักหนอนพิษจงน่าประหลาดเช่นนี้ ทั้งยังรู้จักพิษสลายศพอีก ต้องมองท่านใหม่แล้ว” 


 


 


           สุดท้ายแล้วเมื่ออ้าปากกล่าวก็ไม่ได้เอ่ยถึงวิธีการที่นางกระทำ เพียงเอ่ยว่านางซึ่งเป็นสตรีในหอนอนไม่ควรรู้จักเรื่องพวกนี้ 


 


 


           ชั่วพริบตาก็ชวนให้ทุกคนต่างพากันคาดเดาด้วยความสงสัย 


 


 


           สตรีทั่วไปหากเติบโตมาในหอนอนย่อมรู้จักเพียงเรื่องที่เด็กผู้หญิงพึงกระทำ อย่างเช่นศิลปะทั้งสี่อย่าง งานเย็บปักถักร้อย การประพันธ์บทกลอน ทว่าเรื่องลับลมคมในแบบนี้ไม่ใช่แค่เขย่าขวัญผู้อื่น แต่ยังทำให้ผู้ได้เห็นกับตาไม่อาจลืมเลือนตลอดชีวิต แน่นอนว่าไม่ใช่สิ่งที่สตรีในหอนอนพึงรู้จัก 


 


 


           สายตาของทุกคนที่มองไปยังเซี่ยฟางหวาเต็มไปด้วยความสงสัยระคนคาดเดา 


 


 


           เซี่ยฟางหวาหาได้สนใจไม่ กลับเอ่ยเสียงเรียบ “ตำราในจวนจงหย่งโหวไม่ได้มีแค่หลักร้อยหลักหมื่น แต่มีถึงหลักแสนเล่ม แทบจะครอบคลุมตำราทุกชนิดในหล้า แม้ข้าเป็นสตรีในหอนอน แต่ตลอดหลายปีที่ล้มป่วยจนไม่อาจออกไปไหนมาไหนได้ การอ่านตำราเป็นสิ่งเดียวที่ใช้ฆ่าเวลา การศึกษาตำราแพทย์ ตำราพิษ ตำรายาก็เพื่อนำมารักษาตัวเอง มีสิ่งใดน่าแปลกอย่างนั้นหรือ วิชาหนอนพิษจงของเผ่าภูตผีข้าย่อมได้ศึกษามาบ้าง” หยุดชั่วครู่แล้วจ้องเสนาบดีฝ่ายซ้าย “เสนาบดีฝ่ายซ้ายกำลังสงสัยฐานะคุณหนูแห่งจวนจงหย่งโหวของข้ารึ” 


 


 


           หลูหย่งไม่คิดว่านางจะอธิบายเหตุผลได้อย่างไม่ติดชัดอันใด เวลานี้ได้แค่พึมพำขึ้น “เรื่องในวันนี้สร้างความตื่นตกใจให้ทุกคน หลานชายในตระกูลข้าไม่เหลือศพแบบนี้แล้ว ความจริงนั้น…” 


 


 


           “ข้าบอกพวกท่านแล้ว แต่พวกท่านไม่เชื่อ” เซี่ยฟางหวาขัด 


 


 


           หลูหย่งเถียงไม่ออก หันไปมองรัชทายาท “องค์รัชทายาท…” 


 


 


           “องค์รัชทายาท โปรดตัดสินพระทัยแทนเราด้วย!” ผู้อาวุโสคนหนึ่งคุกเข่าลงกับพื้นทันทีเมื่อกล่าวจบ 


 


 


           ผู้อาวุโสคนอื่นก็รีบคุกเข่าลงกับพื้นเช่นกัน สะอื้นเอ่ยขึ้น “องค์รัชทายาท หลานชายในตระกูลของข้ากลับไม่เหลือแม้แต่ศพให้ฝัง เมื่อไม่มีศพแล้ว พวกเราจะกลับไปอธิบายกับบิดามารดาเขาอย่างไร องค์รัชทายาทโปรดทรงตัดสินด้วยเถิด” 


 


 


           ฉินอวี้เม้มปาก มองไปยังเซี่ยฟางหวาก่อนเอ่ยขึ้น “พวกเจ้าจะให้ข้าตัดสินอย่างไร” 


 


 


           ผู้อาวุโสทุกคนเอ่ยขึ้นเป็นเสียงเดียวกัน “พระชายาน้อยนาง…” 


 


 


           “ไม่เจียมตัว!” ฉินเจิงพลันโมโหขึ้นมา เขาดึงกระบี่จากข้างลำตัวของตนเองออกมา ทันทีที่กระบี่ส่งเสียงครวญออกจากฝัก ชั่วพริบตามันก็ลอยไปปักบนพื้นตรงหน้าผู้อาวุโสทุกคน เขามองผู้อาวุโสแต่ละคนที่คุกเข่าอยู่บนพื้นด้วยแววตาเยือกเย็น “สาเหตุการตายกระจ่างแล้ว ไม่คิดจะสืบคดีต่อกลับสาดโคลนใส่ผู้พิสูจน์ศพแทนอย่างนั้นรึ ตระกูลหลูแห่งฟ่านหยางของพวกเจ้าคงมาถึงจุดจบแล้วสินะ” 


 


 


           ผู้อาวุโสเหล่านั้นมองกระบี่ที่กำลังสั่นระรัวราวกับมันปักลงบนตัวพวกเขา ทุกคนตกใจกลัวจนตัวสั่นเทา 


 


 


           “เจ้าจะทำอะไร” ฉินอวี้หันมามองฉินเจิงด้วยความไม่พอใจ 


 


 


           “ข้าทำอะไร เจ้าควรมองว่าพวกเขาทำอะไรดีกว่า” ฉินเจิงยิ้มเย็น “ข้าว่าไม่ใช่แค่แก่จนสมองเลอะเทอะอย่างเดียว แต่ยังคิดแผนการชั่วร้าย ไม่แน่ว่าหลูอี้คนนี้อาจจะถูกตระกูลหลูแห่งฟ่านหยางนั่นแหละที่สังหารเอง แต่สร้างเรื่องใส่ร้ายป้ายสีผู้อื่น”  


 


 


           เมื่อถ้อยคำนี้เปล่งออกมา ทุกคนต่างผงะตกใจ 


 


 


           ผู้อาวุโสเหล่านั้นขึงตามองฉินเจิงทันที ชี้หน้าเขาด้วยใบหน้าซีดขาว “ท่านอ๋องน้อย นึกไม่ถึงว่าท่าน…ท่านจะใส่ร้ายผู้อื่นอย่างร้ายกาจเช่นนี้!” 


 


 


           “มีแต่พวกเจ้าหรือที่ใส่ร้ายผู้อื่นได้ ข้าใส่ร้ายบ้างไม่ได้รึ” ฉินเจิงมองพวกเขา “ตระกูลหลูแห่งฟ่านหยางทุ่มเทความคิดส่งบุรุษอ่อนแอคนหนึ่งมาในค่ายทหาร แท้จริงมีเจตนาใดกันแน่ ตอนนี้คนผู้นี้ตายไปแล้ว พวกเจ้าไม่นึกหาตัวฆาตกร กลับซักถามพระชายาน้อยของข้าคำแล้วคำเล่า พวกเจ้ามีเจตนาใดกันแน่ จงพูดออกมาให้หมด” 


 


 


           ผู้อาวุโสทุกคนอึ้ง ได้แต่โกรธจนตัวสั่นราวกับจะหมดสติ 


 


 


           สายตาของทุกคนถูกชักนำมาอยู่บนตัวของผู้อาวุโสเหล่านี้ได้สำเร็จ ภายใต้สายตาพินิจคาดเดา ในที่สุดผู้อาวุโสท่านหนึ่งก็ทนรับไม่ไหวจนหมดสติล้มพับไปก่อน 


 


 


           ตามมาด้วยผู้อาวุโสอีกท่านที่หมดสติล้มพับไปด้วยเช่นกัน 


 


 


           แม้ทั้งสองหมดสติไปแล้ว แต่ยังเหลือผู้อาวุโสอีกสามท่าน ทั้งสามเรียกผู้อาวุโสสองคนที่หมดสติไปด้วยความตกใจ 


 


 


           ภายในห้องโถงตำหนักวุ่นวายขึ้นมาชั่วเวลาหนึ่ง 


 


 


           “ผู้อาวุโสทุกท่านทราบข่าวแล้วก็รีบเดินทางมาจากตระกูลหลูแห่งฟ่านหยางในคืนเดียวกัน ทั้งวันยังไม่ได้พักผ่อน ทั้งอ่อนเพลีย ผนวกกับตระหนกตกใจ ดูท่าคงเหนื่อยล้ามาก จัดแจงที่พักให้พวกเขาได้พักผ่อนก่อนเถอะ” ฉินอวี้ยกมือสั่งอู๋เฉวียน  


 


 


           “พ่ะย่ะค่ะ” อู๋เฉวียนรีบนำคนไปพาตัวผู้อาวุโสทั้งสองที่หมดสติออกไป 


 


 


           ผู้อาวุโสอีกสามคนไม่ได้ออกไปด้วย หากแต่ร้องขอฉินอวี้ “องค์รัชทายาท โปรดตัดสินพระทัยด้วย” 


 


 


           “ท่านพี่พูดถูกแล้ว พระชายาน้อยถูกเชิญมาเพื่อพิสูจน์สาเหตุการตายที่แท้จริง ตอนนี้ความจริงกระจ่างแล้วก็ไม่ควรสาดโคลนใส่นาง ยิ่งไปกว่านั้นมีอู๋กงกงกับใต้เท้าหานเป็นผู้ช่วย ใต้เท้าหานมีชื่อเสียงเรื่องความเที่ยงธรรมสัตย์ซื่อ ไม่ยอมก้มหัวให้ผู้ใด ทำคดีด้วยความยุติธรรมเสมอมา อู๋กงกงเป็นขันทีประจำพระวรกายเสด็จพ่อ ถึงแม้เชื่อพระชายาน้อยไม่ได้ แต่ก็ควรเชื่อพวกเขา” ฉินอวี้พูดจบก็ยกมือสั่ง “ทั้งสามท่านกลับไปพักผ่อนก่อนเถอะ ในเมื่อใต้เท้าหานอยู่ที่นี่ด้วยแล้ว คดีนี้ย่อมมอบให้กรมอาญาดูแล” 


 


 


           ทั้งสามยังอยากกล่าวบางอย่าง แต่เมื่อเห็นสีหน้าฉินอวี้แล้วก็พยักหน้า ตามอู๋กงกงออกไป 


 


 


           เมื่อทั้งสามออกไปแล้ว ฉินเจิงก็ดึงกระบี่บนพื้นกลับมา จากนั้นก็จูงมือเซี่ยฟางหวาเดินออกไป 


 


 


           “เจ้าจะไปไหน” ฉินอวี้มึนงง 


 


 


           “กลับจวน!” ฉินเจิงตอบ 


 


 


           “กลับจวนอิงชินอ๋อง?” ฉินอวี้มองเขา 


 


 


           “อืม” ฉินเจิงไม่แม้แต่จะหันกลับมา 


 


 


           “ตอนนี้คดียังไม่กระจ่างเจ้าก็จะกลับแล้วรึ” ฉินอวี้ก้าวออกมาขวางหน้าประตู ขมวดคิ้วมองฉินเจิง  


 


 


           “ข้ามาค่ายใหญ่เขาตะวันตกเดิมเพื่อฝึกหาประสบการณ์ ตอนนั้นเสด็จอาตรัสไว้แล้วว่า ข้ามาเพื่อฝึกหาประสบการณ์ มาเมื่อไรก็ได้ กลับเมื่อไรก็ได้เช่นกัน อีกอย่างข้าไม่ได้มีตำแหน่งในกองทัพ ไม่มีอำนาจแทรกแซงหน้าที่ในค่ายด้วยเช่นกัน คดีนี้ยังไม่กระจ่างแล้วเกี่ยวกับข้าตรงไหน สิ่งที่ข้าควรทำก็ทำแล้ว ช่วยสืบคดีไม่ว่า ยังลำบากพระชายาน้อยของข้าต้องเดินทางมาที่นี่อีก แถมระหว่างทางก็ถูกลอบทำร้าย ตอนนี้หากข้าไม่กลับหรือจะปล่อยให้คนกลุ่มใดไม่รู้จักแยกแยะ ไม่ซาบซึ้งในบุญคุณไม่พอ ยังสาดโคลนใส่พระชายาน้อยของข้าอีกรึ” ฉินเจิงมองเขาด้วยใบหน้าบึ้งตึง  


 


 


           ฉินอวี้อึ้ง 


 


 


           “หลบไป” ฉินเจิงสะบัดมือผลักเขาออก 


 


 


           “เจ้ายังกลับไม่ได้!” ฉินวี้ยกมือขวางเขาอีกหน  


 


 


           “ทำไมข้าจะกลับไม่ได้ ข้าจะมาหรือไปต้องผ่านความเห็นชอบจากเจ้าก่อนรึ” ฉินเจิงแค่นหัวเราะ 


 


 


           ฉินอวี้มองเขาด้วยใบหน้าเคร่งขรึม “แม้เจ้าไม่มีตำแหน่งในกองทัพ ไม่มีอำนาจจัดการ แต่เจ้าอยู่ในค่ายทหารมานานแล้ว ยามนี้เกิดเรื่องขึ้นในค่ายทหาร เจ้าย่อมไม่ควรกลับไป” หยุดชั่วครู่แล้วกล่าวเพิ่มเติม “อย่างน้อยจนกว่าคดีนี้จะกระจ่างก็กลับไปไม่ได้” 


 


 


           “น่าขำ!” ฉินเจิงแค่นหัวเราะเยาะ “คดีเกิดขึ้นเมื่อคืน ข้าไม่ได้อยู่ที่ค่ายใหญ่เขาตะวันตกด้วยซ้ำ วันนี้ถูกตามตัวมาตั้งแต่เช้าตรู่ถือว่าทำเต็มที่แล้ว ตอนนี้มีสิทธิ์ใดไม่ให้ข้ากลับจนกว่าคดีจะกระจ่าง ฉินอวี้ แม้เจ้าเป็นรัชทายาท แต่ตอนนี้ยังไม่มีสิทธิ์มาบงการข้าได้ ข้าไม่ใช่คนของกรมอาญา เหตุใดต้องอยู่เพื่อร่วมสืบคดีด้วย” 


 


 


           “ฉินเจิง” ฉินอวี้เริ่มโมโหขึ้นมา 


 


 


           “ถ้าไม่อย่างนั้น หากองค์รัชทายาทไม่อยากให้ข้ากลับ เจ้าก็ออกคำสั่งมอบหมายอำนาจในการสืบคดีนี้ทั้งหมดให้ข้าสิ ห้ามผู้ใดแทรกแซงการสืบคดี หากเจ้าไม่ตกลง เห็นข้าอยู่ที่นี่เป็นแค่ไม้ประดับ เช่นนั้นก็ถอยไป” ฉินเจิงหรี่ตามองฉินอวี้ พลันยกยิ้มขึ้นมา  


 


 


           “คดีนี้ต้องมอบให้กรมอาญากับศาลต้าหลี่ตรวจสอบร่วมกัน” ฉินอวี้เม้มปาก 


 


 


           “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ไสหัวไป” ฉินเจิงตวัดมือใส่อย่างไม่เกรงใจ 


 


 


           ครั้งนี้ฉินอวี้ไม่ได้ขัดขวางอีก ฉินเจิงจูงมือเซี่ยฟางหวาออกจากตำหนัก 


 


 


           ซื่อฮว่ากับซื่อม่อเดิมทีเฝ้าอยู่นอกตำหนัก เมื่อเห็นทั้งคู่ออกมาก็รีบส่งร่มให้ 


 


 


           ฉินเจิงรับร่มมา โอบเซี่ยฟางหวาเข้าหาอ้อมอก ก่อนกางร่มโอบนางเดินออกไป 


ตอนที่ 38-2 ความจริงกระจ่าง

 


 


 


“พวกเจ้าอย่าทิ้งข้าไว้แบบนี้สิ ข้าก็จะกลับด้วย ข้ายิ่งไม่สมควรอยู่ที่นี่” หลี่มู่ชิงพูดพลางก็เดินตามออกจากตำหนักไป


 


 


           ฉินอวี้มีสีหน้าเคร่งขรึม ทว่าไม่ได้ขัดขวางหลี่มู่ชิง


 


 


           “เดี๋ยวก่อนคุณชายหลี่ พระชายาน้อย…” หานซู่เห็นว่าฉินเจิง เซี่ยฟางหวา และหลี่มู่ชิงกลับไปทันทีที่บอก เขาเดินทางมาพร้อมหลี่มู่ชิงและเซี่ยฟางหวาจึงตะโกนขึ้นอย่างไม่รู้ว่าจะทำเช่นไร จากนั้นก็ค่อยหันมามองฉินอวี้


 


 


           “หากใต้เท้าหานจะไปอีกคนก็ไปได้” สีหน้าฉินอวี้ย่ำแย่มาก มองมาที่หานซู่


 


 


           หานซู่สะดุ้งโหยงจนตัวสั่น รีบกล่าวขึ้นว่า “กระหม่อมมาพร้อมพระชายาน้อยและคุณชายหลี่ก็เพราะคดีฆาตกรรมหมอหลวงซุน ยามนี้…ย่อมกลับไปไม่ได้”


 


 


           “ใต้เท้าหาน ท่านบอกว่าหมอหลวงซุนถูกสังหารหรือ เกิดอะไรขึ้น ท่านอธิบายมาให้ละเอียด” สีหน้าฉินอวี้ปลอดโปร่งขึ้นบ้าง ก่อนหย่อนตัวนั่งลง


 


 


           หานซู่ได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้าตอบ รีบเล่าเรื่องหมอหลวงซุนถูกสังหาร รวมถึงเขา หลี่มู่ชิง และเซี่ยฟางหวาถูกลอบสังหารเพื่อขัดขวางระหว่างเดินทางมาที่นี่ให้ฉินอวี้ฟังอย่างละเอียด


 


 


           “ท่านบอกว่าหมอหลวงซุนถูกสังหาร แต่คนขับรถฆ่าตัวตาย” ฉินอวี้ฟังจบก็ขมวดคิ้ว


 


 


           “เป็นเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ พระชายาน้อยกับคุณชายหลี่จากจวนเสนาบดีฝ่ายขวาต่างบอกเช่นนี้ นอกจากนี้ข้าได้ให้องครักษ์สองนายมาตรวจสอบอีกแรง พวกเขาก็บอกแบบเดียวกัน” หานซู่พยักหน้ายืนยัน


 


 


           “หมายความว่าคนขับรถนายนั้นมีปัญหา” ฉินอวี้กล่าว


 


 


           “ตอนนี้นี่เป็นเบาะแสสำคัญ จำต้องหาเบาะแสเพิ่มเพื่อตรวจสอบให้กระจ่าง” หานซู่ผงกศีรษะ


 


 


           ฉินอวี้ไตร่ตรองพักหนึ่งก่อนเอ่ยถาม “พวกท่านเจอกลไกศิลายักษ์ลอบสังหารกับฝูงหมาป่าล้อมโจมตีด้วย จับตัวคนทำได้หรือยัง”


 


 


           หานซู่ส่ายหน้า “ยังจับตัวมิได้พ่ะย่ะค่ะ” หยุดชั่วครู่แล้วกระซิบเพิ่ม “แต่พระชายาน้อยส่งองครักษ์ของตัวเองไปสืบหาแล้ว บอกว่าในระยะห้าสิบลี้ ต่อให้ค้นหาทุกกระเบียดนิ้วก็ต้องหาเบาะแสให้จงได้”


 


 


           “อวี้จั๋ว…” ฉินอวี้เงียบลงก่อนถามขึ้นอีก “ตอนนั้นท่านเห็นกับตาจริงหรือว่าอวี้จั๋วใช้วิชาคุมหมาป่า”


 


 


           “เห็นเองกับตาพ่ะย่ะค่ะ องค์รัชทายาท กระหม่อมอยู่มาครึ่งชีวิตแล้ว แต่ไม่เคยพบเรื่องน่ากลัวเช่นนี้มาก่อน หมาป่าหลายร้อยตัว หากไม่ได้อวี้จั๋ว พวกเราคงถูกขย้ำเป็นอาหารให้ฝูงหมาป่าแล้ว” หานซู่นึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นก็หวาดหวาในใจ


 


 


           “ท่านลองอธิบายมา ตอนนั้นเขาใช้วิชาคุมหมาป่าอย่างไร” ฉินอวี้ถามอีก


 


 


           “องค์รัชทายาท เรื่องนี้…กระหม่อมมิอาจอธิบายได้ ตอนนั้นตกใจเกินไป” หานซู่ชะงักก่อนรีบเอ่ยขึ้น


 


 


           ฉินอวี้มองเขา พบว่าเขามีท่าทางราวกับไม่รู้จะอธิบายอย่างไรจริงๆ จึงยิ้มออกมาแล้วยกมือปัด “ไม่เป็นไร”


 


 


           หานซู่ผ่อนลมหายใจออกมา


 


 


           “วันนี้ค่ำแล้ว เสนาบดีฝ่ายซ้ายกับท่านโหวจะพักที่นี่หรือว่า…” ฉินอวี้มองไปยังเสนาบดีฝ่ายซ้ายกับหย่งคังโหว


 


 


           “ตอนนี้ฟ้ามืดสนิทแล้ว ทั้งยังมีฝนตกหนักตลอดทั้งวัน ทางภูเขาคงยากจะสัญจรผ่าน กระหม่อมคิดว่าจะพักที่นี่คืนหนึ่ง รัชทายาทเองก็พักที่นี่สักคืนเถิด” เสนาบดีฝ่ายซ้ายมองข้างนอกแวบหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้น


 


 


           “กระหม่อมว่าจะกลับจวนดีกว่า มิฉะนั้นฮูหยินคงเป็นห่วง…” หย่งคังโหวรีบกล่าวต่อ


 


 


           “ท่านโหว ท่านไม่รักชีวิตแล้วหรือ! หากจะกลับ เหตุใดเมื่อครู่ถึงไม่กลับไปพร้อมท่านอ๋องน้อยกับพระชายาน้อย และคุณชายหลี่เล่า จะได้มีคนคอยคุ้มกัน หากกลับไปตอนนี้…” หานซู่หวาดกลัว “ถ้าต้องเดินทางคนเดียว ข้าน้อยคงไม่กล้า”


 


 


           “รัชทายาท…ไม่เสด็จกลับหรือ” หย่งคังโหวมองไปยังฉินอวี้


 


 


           “วันนี้ไม่กลับแล้ว ศพหลูอี้ถูกวางพิษสลายศพจนไม่เหลือหลักฐานยืนยัน เรื่องนี้ต้องตรวจสอบให้ละเอียด ช่วงนี้ในเมืองไม่มีเรื่องใด ข้าจะพักที่นี่คืนหนึ่งแล้วกัน” ฉินอวี้ครุ่นคิดก่อนยกมือปัด


 


 


           “รัชทายาททรงอยู่ที่นี่ด้วยจะได้บำรุงขวัญทหาร” มีหัวหน้าทหารคนหนึ่งเอ่ยขึ้น “หลูอี้ถูกวิชาหนอนพิษจง ทั้งยังถูกวางพิษสลายศพอีก เรื่องนี้เขย่าขวัญผู้คนไม่น้อย หากเผยแพร่ออกไปจะต้องสร้างความหวาดกลัวในกองทัพเป็นแน่”


 


 


           “เช่นนั้นข้าก็…” หย่งคังโหวลังเลอยู่นานสองนาน ที่สุดก็กัดฟันกล่าว “ข้าก็พักที่นี่ด้วยคืนหนึ่งแล้วกัน”


 


 


           “พักที่นี่ให้หมดเถอะ! คุมขังหลี่อวิ๋นไว้ให้ดี พรุ่งนี้เช้าค่อยตรวจสอบ” ฉินอวี้พยักหน้า


 


 


           “พ่ะย่ะค่ะ!” มีคนรีบผงกศีรษะ


 


 


           “หนอนสีแดงที่ออกมาจากร่างกายหลูอี้ถูกพระชายาน้อยนำกลับไปแล้วใช่หรือไม่” เสนาบดีฝ่ายซ้ายโพล่งถามขึ้น


 


 


           ทุกคนขนลุกขนพองขึ้นมาอีกครั้งเมื่อนึกถึงหนอนตัวนั้น มีคนเอ่ยขึ้น “น่าจะเป็นเช่นนั้น ตอนนั้นหนอนถูกครอบด้วยจานและถ้วยในมือพระชายาน้อย เมื่อท่านอ๋องน้อยพานางออกไป คล้ายว่านางจะถือออกไปด้วย”


 


 


           “นั่นเป็นหนอนคำสาป ถ้านางไม่นำกลับไป พวกเราตรงนี้มีใครแตะต้องมันได้บ้าง” ฉินอวี้กวาดตามอง


 


 


           ทุกคนต่างถอยหลังด้วยความกลัว หนอนน่ากลัวถึงเพียงนั้นใครจะกล้าแตะต้องเล่า


 


 


           ฉินอวี้หันหลังเดินกลับเข้าไปในตำหนักชั้นใน สั่งงานอู๋กงกงที่เพิ่งกลับมาจากการจัดแจงที่พักให้ผู้อาวุโสจากตระกูลหลูแห่งฟ่านหยาง “จัดการเรียบร้อยแล้วสินะ”


 


 


           อู๋เฉวียนพยักหน้า ก่อนรีบตามเขาไป


 


 


           มีคนรับจัดการที่พักให้เสนาบดีฝ่ายซ้าย หย่งคังโหว และหานซู่


 


 


           ฝนข้างนอกตกหนักมาตลอดทั้งวันและครึ่งคืนโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลง และมีแนวโน้มว่าจะตกต่อไป


 


 


           ฉินเจิงกับเซี่ยฟางหวาเดินกางร่ม อวี้จั๋วถือโคมไฟออกมาจากประตูค่ายใหญ่เขาตะวันตก ก่อนขึ้นรถม้าที่จอดอยู่ข้างหน้าประตู


 


 


           ทั้งคู่เพิ่งนั่งลง หลี่มู่ชิงก็กระโดดตามเข้ามาในรถด้วย พร้อมเอ่ยบอกฉินเจิง “ขามาข้าต้องตากฝนอยู่ข้างนอกตลอด ไม่กล้าเข้ามาขอเบียดหลบฝนข้างใน ตอนนี้มีเจ้าอยู่ด้วย ข้าก็ไม่ต้องหลบเลี่ยงแล้ว”


 


 


           “ขอบใจมาก” ฉินเจิงเหลือบมองเขาแล้วเอ่ยขึ้น


 


 


           หลี่มู่ชิงมองไปข้างนอกแวบหนึ่งพลางพึมพำขึ้น “ฟ้ามืดแล้ว วันนี้ทั้งวันไม่เห็นแม้แต่ดวงอาทิตย์ อีกอย่างดวงอาทิตย์ก็ขึ้นทางทิศตะวันตกไม่ได้ด้วย ตลอดเวลาที่ผ่านมา นี่เป็นครั้งแรกที่เจ้าขอบคุณข้า”


 


 


           “ไม่อยากฟังก็ลงรถไป” ฉินเจิงแค่นหัวเราะ


 


 


           “แน่นอนว่าอยากฟัง” หลี่มู่ชิงยิ้ม สะบัดแขนเสื้อพลางจ้องมองจานกับถ้วยในมือเซี่ยฟางหวา “เจ้านำสิ่งนี้กลับมาด้วย หนอนตัวนี้จะเก็บรักษาอย่างไร เมื่อครู่ยังเห็นไม่ชัด ขอข้าดูอีกรอบ”


 


 


           “เจ้าไม่กลัวว่ามันจะชอนไชเข้าไปในตัวเจ้าหรือ” เซี่ยฟางหวาเลิกคิ้ว


 


 


           “ข้ารู้สึกว่าหนอนตัวนี้น่าประหลาด” หลี่มู่ชิงส่ายหน้า


 


 


           เซี่ยฟางหวามองเขา แย้มยิ้มออกมาแล้วเลื่อนถ้วยที่ครอบอยู่ออก


 


 


           “เกิดอะไรขึ้น ตายแล้วหรือ” หลี่มู่ชิงมองแล้วก็ชะงักไป


 


 


           “มันไม่ได้ตาย แต่ไม่มีหนอนอยู่ตั้งแต่แรก” เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า


 


 


           หลี่มู่ชิงแปลกใจ มองนางด้วยความสงสัยอย่างยิ่ง


 


 


           “ผู้ถูกวิชาหนอนพิษจง หลังหนอนพิษจงกัดกินหัวใจก็จะสลายตัวแล้วตายไปเอง หลูอี้ตายมาหนึ่งวันและครึ่งวันแล้ว ถึงแม้ในตัวเขามีหนอน แต่มันก็ตายไปตั้งนานแล้ว มีหรือจะถูกข้าดึงออกมาได้อีก ข้าแค่ใช้วิธีบดบังสายตาเท่านั้น หนอนที่พวกเจ้าเห็น ความจริงแล้วเป็นเพียงเลือดที่ข้าใช้เข็มทิ่มข้อมือตัวเอง พอแข็งตัวก็กลายเป็นหนอนสีแดง” เซี่ยฟางหวามองหยดเลือดบนจาน เลือดแห้งไปแล้ว นางหัวเราะเยาะขึ้นก่อนโยนจานทิ้งไว้ในรถ จากนั้นก็อธิบายให้ฟัง


 


 


           “แม้แต่สายตาข้าเจ้ายังตบตาได้ ทำได้อย่างไร ข้าเห็นเองกับตาว่าหนอนตัวนี้ปีนขึ้นมา ทั้งไต่ตามด้ายขึ้นไปยังมือของใต้เท้าหานแล้วถูกเจ้าเก็บกลับมา” หลี่มู่ชิงแปลกใจยิ่งกว่าเดิม มองฉินเจิงแวบหนึ่ง พบว่าฉินเจิงนั่งนิ่งราวกับไม่แปลกใจแม้แต่น้อย เขาจึงเอ่ยขึ้นอย่างไม่อยากเชื่อ


 


 


           “ข้าเคยเรียนวิทยายุทธ์กำลังภายในแขนงหนึ่ง เรียกว่าเคล็ดวิชาแช่แข็ง เมื่อใช้กำลังภายในนี้จะทำให้หยดน้ำกลายเป็นน้ำแข็งได้ ตอนนั้นข้าแค่ฉวยโอกาสระหว่างที่ทุกคนกำลังแปลกใจ ตื่นตระหนก และไม่มีใครทันสังเกตเห็น ข้าจึงนำเลือดหยดนั้นแปรสภาพเป็นรูปร่างหนอน และควบคุมให้มันไต่ขึ้นไปยังมือของใต้เท้าหาน” เซี่ยฟางหวายิ้ม “วิชานี้ง่ายมาก ถ้าเจ้าอยากดูอีกรอบ ข้าแสดงให้เจ้าดูตอนนี้เลยยังได้”


 


 


           หลี่มู่ชิงพูดไม่ออก มองเซี่ยฟางหวาโดยไม่เอ่ยคำใด


 


 


           “เจ้าแค่นึกไม่ถึงว่าข้าจะปลอมหลักฐานขึ้น ดังนั้นแม้รู้สึกแปลกๆ แต่ก็บอกไม่ได้ว่าแปลกตรงไหน” เซี่ยฟางหวาหัวเราะ


 


 


           “ใช่แล้ว” หลี่มู่ชิงยิ้มเจื่อน “แม้แต่ข้ายังตบตาได้ ถึงไม่ใช่ความจริงก็ต้องเป็นความจริง” พูดจบเขาก็สงสัย “เหตุใดต้องสร้างหลักฐานปลอมด้วย”


 


 


           “หากไม่สร้างหลักฐานปลอม เกรงว่าจะเป็นคดียากพิสูจน์จริงๆ จะปล่อยให้ผู้อยู่เบื้องหลังวางแผนร้ายทำเสร็จหรือ” เซี่ยฟางหวาตอบ “เหตุใดฉินเจิงถึงยืนกรานจะให้ผ่าศพ นั่นเพราะรู้ว่าหลูอี้ถูกหนอนกัดกินหัวใจ มีแต่ต้องผ่าศพเท่านั้นถึงจะทราบสาเหตุการตายที่แท้จริงได้ ทว่าตระกูลหลูแห่งฟ่านหยางไม่อนุญาตให้ผ่าศพและขัดขวางทุกวิถีทาง อีกอย่างเขาก็ถูกวางพิษสลายศพด้วย หากไม่พิสูจน์ความจริงภายในหกชั่วยาม ทันทีที่ศพเขาถูกแยกชิ้นส่วนแล้วสลายไป เช่นนั้นจะกลายเป็นศพที่พิสูจน์ไม่ได้จริงๆ ดังนั้นในเมื่อผู้ตายถูกวิชาหนอนพิษจง ข้าจึงสร้างหลักฐานปลอมขึ้น เมื่อทุกคนเห็นเองกับตาว่ามีหนอนไต่ขึ้นมา ถึงไม่เชื่อก็ต้องยอมเชื่อ”


ตอนที่ 39-1 กลับจวนในคืนนั้น

 


 


 


           หลี่มู่ชิงฟังจบก็เงียบลง


 


 


           เซี่ยฟางหวาคิดว่าเรื่องมาถึงขั้นนี้ก็ได้รู้แจ้งแต่ละเรื่องมากแล้ว


 


 


           มีคนใช้วิชาหนอนพิษจงสังหารหลูอี้เพื่อใส่ความหลี่อวิ๋น ทำให้ตระกูลหลูแห่งฟ่านหยางเอาความตระกูลหลี่แห่งจ้าวจวิ้น คนตระกูลหลูแห่งฟ่านหยางยืนกรานจะให้หลี่อวิ๋นชดใช้ด้วยชีวิต แต่บังเอิญว่าหลี่อวิ๋นแม้จะสูญเสียบิดาไปแล้ว แต่กลับมีฮูหยินหย่งคังโหวผู้เป็นอาแท้ๆ คอยให้การสนับสนุนเบื้องหลัง ปฏิบัติกับเขาไม่ได้ด้อยไปกว่าลูกชายตัวเองกระทั่งดีกว่าด้วยซ้ำ ฮูหยินหย่งคังโหวต้องวิ่งร้องขอความช่วยเหลือทุกแห่งหน ตระกูลชุยแห่งชิงเหอ จวนอิงชินอ๋อง รวมไปถึงจวนจงหย่งโหวต่างถูกม้วนเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้อง


 


 


           ขุนนางชันสูตรศพพิสูจน์สาเหตุการตายที่แท้จริงไม่ได้ นั่นเพราะไม่เคยสัมผัสวิชาคำสาปเผ่าภูตผีชนิดนี้มาก่อน พูดง่ายๆ คือผู้คนส่วนใหญ่ในใต้หล้าต่างเห็นเผ่าภูตผีมีอยู่แค่ในตำนาน ยิ่งวิชาคำสาปก็ยิ่งรู้จักน้อยมาก บางคนถึงขั้นไม่เคยได้ยินมาก่อน ขุนนางชันสูตรศพย่อมทำอันใดไม่ได้กับการตายด้วยสาเหตุประหลาดเช่นนี้ มีเพียงพยานหลักฐานที่ถูกคนพบเห็นกับตาว่าหลี่อวิ๋นเป็นผู้สังหารหลูอี้เท่านั้น


 


 


           ฉินเจิงมองสาเหตุการตายของหลูอี้ออก เขายืนกรานว่าจะให้ผ่าพิสูจน์ศพ แต่กลับถูกคนตระกูลหลูแห่งฟ่านหยางขัดขวางอย่างถึงที่สุด ฉินอวี้ยังกระตุ้นคำสาปใจเดียวกันทำให้หมดสติไปพร้อมกับฉินเจิงซ้ำอีก ส่งผลให้ผ่าพิสูจน์ศพไม่ได้


 


 


           หมอหลวงซุนกับนางต้องเดินทางมาที่ค่ายทหาร ทว่าหมอหลวงซุนที่ล่วงหน้ามาก่อนกลับถูกสังหาร คงจะอยากโยงมาถึงนางที่ตามมาทีหลังเพื่อถ่วงเวลานาง ขัดขวางไม่ให้นางมาที่ค่ายทหารได้ แต่ก็หยุดยั้งนางไม่ได้อยู่ดี เพราะหลี่มู่ชิงนำใต้เท้าหานมาด้วยจึงทำให้นางปลีกตัวออกมาได้ ด้วยเหตุนี้ผู้อยู่เบื้องหลังจึงได้แต่ต้องสร้างกลไกศิลายักษ์ระหว่างทาง ชักนำฝูงหมาป่ามาล้อมขัดขวาง ถ้าสังหารนางได้ก็ยิ่งดี แต่หากสังหารไม่ได้ก็ต้องถ่วงเวลานางให้ได้ ขอเพียงเวลาเลยผ่านไปแล้ว ศพก็จะกร่อนสลายหายไป เพื่อบรรลุเป้าหมายกลายเป็นศพที่พิสูจน์ไม่ได้


 


 


           แผนทำร้ายต่อเนื่องนี้ฉวยโอกาสในวันที่ฝนกระหน่ำเทลงมาปานฟ้ารั่ว เรียกได้ว่าเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน


 


 


           เพียงแต่หลังนางคลี่คลายฝูงหมาป่าล้อมมาได้ ก็รีบตัดสินใจให้ชิงเกอทำการตรวจสอบค้นหาทุกกระเบียดนิ้วในรัศมีห้าสิบลี้ หนึ่งเพื่อจะได้เดินทางไปถึงค่ายทหารได้อย่างราบรื่นในอีกระยะทางที่เหลือ สองเพื่อหาเบาะแสของผู้อยู่เบื้องหลัง


 


 


           ยามนี้นับว่าทำลายแผนร้ายของผู้อยู่เบื้องหลังได้แล้วจุดหนึ่ง พิสูจน์ได้ว่าหลูอี้ตายด้วยหนอนพิษจง ทั้งยังถูกวางพิษสลายศพด้วย


 


 


           เช่นนั้นลำดับต่อไปน่าจะต้องหาหลักฐานเพิ่มเติม จะได้ตรวจสอบให้ละเอียดขึ้นอีก


 


 


           “เพิ่งพูดไปหยกๆ ว่าเมืองหลวงเริ่มไม่สงบสุขแล้ว เพียงพริบตาก็ไม่สงบสุขแล้วจริงๆ” หลี่มู่ชิงถอนหายใจออกมา มองไปยังฉินเจิง “เจ้าทราบหรือไม่ว่าใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเรื่องพวกนี้”


 


 


           ฉินเจิงไม่พูดจา


 


 


           “ใช่รัชทายาทหรือไม่” หลี่มู่ชิงเหลือบมอง


 


 


           ฉินเจิงยังคงเงียบ


 


 


           หลี่มู่ชิงมองไปยังเซี่ยฟางหวา ไม่ค่อยเข้าใจว่าฉินเจิงเป็นอะไรไป


 


 


           “เรื่องนี้น่าจะไม่ใช่ฝีมือของฉินอวี้กระมัง ใช่หรือไม่” เซี่ยฟางหวาเหลือบมองฉินเจิง


 


 


           ฉินเจิงเงยหน้าขึ้น มองทั้งสองแล้วเม้มปาก


 


 


           “อู๋เฉวียนไม่เคยอยู่ห่างกายฝ่าบาท ครั้งนี้กลับมาค่ายใหญ่เขาตะวันตกพร้อมฉินอวี้ ไม่ใช่น่าแปลกใจมากหรือ” เซี่ยฟางหวายิ้ม “เจ้ากับฉินอวี้ถกเถียงกันว่าหากเปิดโปงรากฐานแผ่นดิน เช่นนั้นจะไม่เกี่ยวโยงไปถึงจวนอิงชินอ๋องหรือ ผู้ใดคิดอยากลงมือกับจวนอิงชินอ๋อง”


 


 


           “ผู้ใดนึกจะลงมือกับจวนอิงชินอ๋องก็ลงมือได้หรือ” ฉินเจิงยิ้มเยาะ


 


 


           “หากเป็นฝ่าบาทเล่า” เซี่ยฟางหวามองเขา


 


 


           “ผู้ใดก็ตามที่คิดจะลงมือ รวมทั้งเสด็จอาด้วย ย่อมต้องถามความเห็นชอบจากคนของจวนอิงชินอ๋องก่อนเช่นกัน” ฉินเจิงตอบ


 


 


           เซี่ยฟางหวาไม่เอ่ยคำใดอีกพลางก้มหน้าลง


 


 


           หลี่มู่ชิงทอดถอนใจขึ้น “หากเรื่องนี้เป็นฝ่าบาทที่อยู่เบื้องหลัง มิน่ารัชทายาท…” เขาหยุดลง หันไปมองเซี่ยฟางหวา “ที่ตำหนักในค่ายก่อนหน้านี้ เจ้าบอกว่าฝ่าบาททรงแกล้งประชวร”


 


 


           เซี่ยฟางหวาพยักหน้า


 


 


           “เจ้ารู้ได้อย่างไร มองออกจากวิชาแพทย์หรือ” หลี่มู่ชิงถามเสียงต่ำ


 


 


           “พระองค์ทรงประชวรจริง แต่ไม่ถึงขั้นกำเริบฉับพลันและรวดเร็วถึงขั้นที่ชราลงและกล้ามเนื้ออ่อนแรงจนมิอาจลงจากแท่นบรรทมได้ แม้ข้ายังไม่แน่ใจว่าพระองค์ทรงใช้อุบายใดปลอมอาการประชวรขึ้นจนแม้แต่ข้ายังมองไม่ออก แต่ข้ารู้เพียงแค่อาการประชวรของพระองค์ในตอนนี้เป็นการแสดงอย่างแน่นอน” เซี่ยฟางหวาอธิบาย “ข้าปัดถ้วยน้ำชาแตกระหว่างทำพิธียกน้ำชาที่วังหลวง หากประชวรจริง พระองค์จะไม่มีทางรู้ว่าข้าเป็นผู้ลงมือ เพราะตอนนั้นข้ากับฉินเจิงอยู่ใกล้กันมาก ฝ่ามือก็อยู่ใกล้กันมากเช่นกัน หากพระองค์ทรงประชวรจริงจนไร้เรี่ยวแรง เวลานั้นคงไม่พุ่งเป้ามาที่ข้าอย่างมั่นใจ อย่างไรก็ต้องพุ่งไปหาฉินเจิงก่อน”


 


 


           “นี่ก็ไม่อาจยืนยันได้ว่าพระองค์แกล้งประชวร ถึงอย่างไรฝ่าบาทก็ทรงเพียบพร้อมด้วยทักษะบุ๋นบู๊ หากสายพระเนตรยังไม่ฝ้าฟางย่อมสังเกตเห็นเจ้าได้” หลี่มู่ชิงขมวดคิ้ว


 


 


           “นี่เป็นประการแรก ประการที่สองข้าสังเกตจากสีหน้า ผู้เป็นแพทย์จะวินิจฉัยอาการจากสี่สิ่งคือการสังเกต ดมหรือฟัง ถามอาการ และจับชีพจร เหตุใดการสังเกตถึงจัดเป็นอันดับแรก ย่อมเป็นเพราะต้องสังเกตสีหน้าก่อน คนผู้หนึ่งป่วยจริงหรือไม่ย่อมแสดงออกทางสีหน้าสามส่วน แม้พระองค์ชราลงทุกวันคล้ายกับประชวรมาเป็นเวลานาน แต่ข้าสังเกตจากสีหน้าพระองค์แล้วก็ไม่เห็นอาการประชวรแต่อย่างใด” เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า


 


 


           “สิ่งนี้ค่อยมีเหตุผลหน่อย” หลี่มู่ชิงผงกศีรษะ


 


 


           “ถึงอย่างไรข้าก็เคยแกล้งป่วยมาก่อน ทั้งยังกินยาเพื่อสร้างอาการป่วย” เซี่ยฟางหวากล่าวเพิ่ม “หากหลินไท่เฟยทรงหลบพระเนตรพระกรรณของฝ่าบาทพ้น นำห่อยามาให้ข้าพิสูจน์ หากพระองค์เหลือเวลาสองปี ครั้งนี้เหตุใดพระองค์ต้องทรงแกล้งประชวรด้วย หากหลินไท่เฟยทรงหลบพระเนตรพระกรรณของฝ่าบาทไม่พ้น พระนางนำห่อยามาให้ข้าพิสูจน์ หากฝ่าบาททรงทราบเรื่องนี้แต่ไม่ได้ขัดขวาง จงใจให้ทุกคนทราบอาการประชวรของพระองค์ แล้วยามนี้เหตุใดต้องแกล้งประชวรด้วย”


 


 


           หลี่มู่ชิงมีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมาทันที


 


 


           “เมืองหลวงหนานฉินของเรายิ่งน่าสนใจขึ้นทุกวัน” เซี่ยฟางหวายิ้มกล่าว


 


 


           หลี่มู่ชิงถอนหายใจออกมา หันไปมองฉินเจิง “เจ้าเงียบมาตลอดทาง รู้อะไรมาหรือไม่ หรือว่าอารมณ์ไม่ดีกันแน่”


 


 


           ฉินเจิงชำเลืองมองหลี่มู่ชิง ก่อนพิงผนังรถแล้วหลับตาลง “เหนื่อยแล้ว”


 


 


           เซี่ยฟางหวานึกได้ว่าวันนี้เขาเดินทางมาค่ายใหญ่เขาตะวันตกตั้งแต่เช้าตรู่ วันนี้ทั้งวันต้องเหนื่อยล้าเป็นแน่ นางจึงเอ่ยขึ้นเสียงเบา “เราไม่รบกวนเจ้าแล้ว ถ้าเจ้าเหนื่อยก็นอนพักสักครู่เถอะ”


 


 


           ฉินเจิงพยักหน้า


 


 


           เซี่ยฟางหวาไม่เอ่ยคำใดอีก


 


 


           หลี่มู่ชิงเห็นเช่นนี้ก็ไม่เอ่ยคำใดอีกเช่นกัน


 


 


           ซื่อฮว่า ซื่อม่อ และอวี้จั๋วนั่งเบียดกันอยู่ข้างหน้า สองคนถือโคมไฟขนาบ คนหนึ่งขับรถด้วยความระวัง


 


 


           ฝนตกหนักมาก พื้นถนนทั้งเปียกทั้งลื่น ยิ่งเป็นทางภูเขาก็แทบมองไม่เห็นทาง กว่าม้าจะย่างแต่ละก้าวต้องตรวจสอบหยั่งเชิงเส้นทางก่อน การเดินทางเช่นนี้ย่อมช้ามากเป็นธรรมดา


 


 


           เดินทางไปได้ระยะหนึ่ง อวี้จั๋วก็กระซิบบ่นขึ้น “ไม่รู้ว่าท่านพี่คิดอะไรอยู่ ฝนตกหนักถึงเพียงนี้ยังจะเดินทางกลับเมืองอีก พักที่ค่ายทหารก็ได้ไม่ใช่รึ หรือว่าค่ายทหารไม่มีที่พักให้เรา”


 


 


           ซื่อฮว่ากับซื่อม่อไม่ส่งเสียงใด


 


 


           “ถ้ามีคนลอบสังหารอีก เราจะผ่านไปได้หรือไม่” อวี้จั๋วกระซิบขึ้นอีก


 


 


           ซื่อฮว่ากับซื่อม่อได้ยินเช่นนั้นก็ตื่นตัวทันที


 


 


           เซี่ยฟางหวานั่งฟังอยู่ข้างใน กดน้ำเสียงทุ้มต่ำเอ่ยขึ้น “ไม่ต้องกังวล รีบเดินทางเถอะ คนลอบสังหารคงไม่ปรากฏตัวขึ้นอีก หากปรากฏตัวขึ้นก็ดีมาก ตอนนี้เราไม่ต้องรีบไปผ่าพิสูจน์ศพที่ค่ายทหารแล้ว ราตรียังอีกยาวไกล มีเวลาให้จับตัวผู้ลงมือได้เหลือเฟือ”


 


 


           “จริงด้วย” อวี้จั๋วได้ยินเช่นนั้นก็กระตือรือร้นขึ้นมา


 


 


           “ทางกลับเมืองหลวงไม่จำเป็นต้องเกิดการลอบสังหารเสมอไป” หลี่มู่ชิงกดน้ำเสียงต่ำลงเช่นกัน


 


 


           เซี่ยฟางหวาไม่แสดงความเห็น


 


 


           รถม้าเคลื่อนฝ่าสายฝนอย่างมั่นคงสงบนิ่งร่วมหนึ่งชั่วยามกว่าจะออกจากทางภูเขาได้ กลับเข้าสู่ถนนทางการ


 


 


           ถนนทางการเคลื่อนตัวได้สะดวกกว่ามาก อวี้จั๋วสะบัดแส้ ม้าเหยียบลงบนแอ่งน้ำจนกระเซ็นขึ้นมา ทั้งรวดเร็วและมั่นคง


 


 


           ครึ่งชั่วยามให้หลัง รถม้าก็มาถึงประตูเมืองอย่างราบรื่น


 


 


           “ครั้งนี้ไม่มีการลอบสังหารเลย ตลอดทางราบรื่นเกินไปหรือไม่” อวี้จั๋วพึมพำขึ้น


 


 


           ซื่อฮว่ากับซื่อม่อไม่พูดจา คิดในใจว่าหลังจากคุณหนูสั่งให้ชิงเกอไปตรวจสอบ ยังมีใครไม่กลัวตายกล้าลงมืออีกหรือ ทางที่ดีควรเก็บตัวเงียบ ยามนี้ไม่ลงมือนับว่าฉลาดแล้ว คงทราบว่าครั้งนี้ท่านอ๋องน้อยกับพระชายาน้อยกำลังรออยู่จึงไม่กล้าทำการผลีผลาม


 


 


           เมื่อรถม้าเคลื่อนเข้าสู่ตัวเมือง หลี่มู่ชิงเอ่ยขึ้น “เอาล่ะ หยุดรถเถอะ ข้าจะลงตรงนี้”


 


 


           “ไม่ต้องหยุด ไปส่งคุณชายหลี่กลับจวนก่อน” เซี่ยฟางหวาแย้ง


 


 


           “แค่ถนนไม่กี่สาย ข้าขี่ม้ากลับไปก็พอแล้ว ถึงอย่างไรม้าก็วิ่งตามอยู่ข้างหลัง” หลี่มู่ชิงมองเซี่ยฟางหวาพลันยิ้มออกมา


 


 


           “ในเมื่อแค่ถนนไม่กี่สาย หลังส่งเจ้ากลับจวนเสนาบดีฝ่ายขวาแล้วเราค่อยย้อนกลับจวนอิงชินอ๋องก็ไม่เป็นไร” เซี่ยฟางหวาตอบ


 


 


           “ก็ได้” หลี่มู่ชิงไม่พูดมากความ


 


 


           อวี้จั๋วเปลี่ยนเส้นทางอย่างเชื่อฟัง ขับรถม้าไปยังจวนเสนาบดีฝ่ายขวา ไม่นานก็มาถึงหน้าประตูจวน หลี่มู่ชิงเห็นว่าฉินเจิงยังคงหลับตาพักผ่อนอยู่ เขาจึงกล่าวบอกเซี่ยฟางหวาแทน “มีเรื่องใดก็เรียกข้าได้”


 


 


           เซี่ยฟางหวาพยักหน้า


 


 


           หลี่มู่ชิงลงจากรถม้า กลับเข้าไปในจวนเสนาบดีฝ่ายขวา


ตอนที่ 39-2 กลับจวนในคืนนั้น

 


 


 


อวี้จั๋วขับรถม้าไปยังจวนอิงชินอ๋อง หากแต่เมื่อเคลื่อนตัวไปได้พักหนึ่งฉินเจิงก็พลันลืมตาขึ้น เอ่ยบอกเซี่ยฟางหวา “ไปจวนหย่งคังโหวก่อน ส่งข่าวบอกฮูหยินโหวว่าหลี่อวิ๋นไม่เป็นไร”


 


 


           เซี่ยฟางหวาผงะมึนงง


 


 


           “เยี่ยนถิงไม่อยู่ในจวน ตอนนี้หย่งคังโหวอยู่ที่ค่ายทหาร ฝนตกหนักถึงเพียงนี้ หย่งคังโหวคงส่งข่าวกลับมาบอกไม่ได้ หากฮูหยินหย่งคังโหวเป็นอะไรขึ้นมาเพราะเป็นห่วงหลี่อวิ๋นคงต้องลำบากเจ้าช่วยชีวิตนางอีก” ฉินเจิงดึงนางเข้ามากอดพลางกล่าวเสียงเบา


 


 


           “เจ้าพูดถูก ไปจวนหย่งคังโหวก่อนเถอะ” เซี่ยฟางหวาพยักหน้าพลางพิงแผ่นอกเขา


 


 


           ฉินเจิงไม่พูดอะไรอีก


 


 


           อวี้จั๋วได้ยินก็รีบเลี้ยวรถม้าไปยังจวนหย่งคังโหวแทน


 


 


           เมื่อมาถึงจวนหย่งคังโหว เคาะประตูครู่หนึ่งก็มีคนออกมาต้อนรับ อวี้จั๋วเอ่ยขึ้น “ท่านอ๋องน้อยของเรามาส่งข่าวบอกฮูหยินโหว หลี่อวิ๋นไม่เป็นไร ขอให้นางสบายใจได้ คืนนี้ท่านโหวจะค้างที่ค่ายทหารด้วย”


 


 


           “ขอบพระคุณท่านอ๋องน้อย ฮูหยินของเรารอข่าวมาทั้งวันแล้ว จนถึงตอนนี้ยังไม่ได้พักผ่อน มีคำสั่งก่อนแล้วว่าหากคนของท่านโหวส่งข่าวกลับมาให้รีบแจ้งนางทันที ข้าจะรีบไปบอกฮูหยิน” คนเฝ้าประตูดีใจ รีบเอ่ยขึ้น


 


 


           อวี้จั๋วพยักหน้า จากนั้นก็ขับรถม้าออกจากจวนหย่งคังโหว


 


 


           เมื่อกลับมาถึงจวนอิงชินอ๋อง อวี้จั๋วจอดรถม้าแล้วลงไปเคาะประตู ทว่ามือของเขายังไม่ทันสัมผัสโดนบานประตู ประตูก็ถูกเปิดออกจากข้างในเสียก่อน สี่ซุ่นกางร่มยื่นศีรษะออกมาพร้อมอุทานว่า “ไอ้หยา” ก่อนกล่าวต่อ “พระชายาบอกว่าท่านอ๋องน้อยกับพระชายาน้อยจะต้องกลับจวนเป็นแน่ ข้ายังไม่เชื่อ ฝนตกหนักถึงเพียงนี้ อีกอย่างก็ดึกมากแล้วคงเดินทางไม่สะดวก นึกไม่ถึงเลยว่าพระชายาจะพูดถูก”


 


 


           ซื่อฮว่ากับซื่อม่อลงจากรถม้าแล้วเลิกม่านให้


 


 


           ฉินเจิงโอบเซี่ยฟางหวาลงจากรถม้า กางร่มเดินเข้าไปข้างใน


 


 


           สี่ซุ่นเดินตามอยู่ด้านข้างพลาง กล่าวขึ้นพลาง “ตอนนี้ท่านอ๋องกับพระชายายังไม่เข้านอน ยังรอท่านทั้งสองกลับมาก่อน สั่งบ่าวไว้ว่าหากท่านทั้งสองกลับมาแล้วให้ไปที่เรือนหลักก่อน”


 


 


           ฉินเจิงส่งเสียง “อืม” ตอบรับ


 


 


           ทั้งคู่เดินกางร่มมายังเรือนหลัก ข้างในยังจุดตะเกียงสว่างไสว อิงชินอ๋องกับพระชายานั่งรออยู่ในห้องรับรอง ทั้งคู่ต่างชะเง้อคอมองมาข้างนอก เห็นได้ชัดว่าทราบข่าวแล้ว


 


 


           “ฝนตกหนักถึงเพียงนี้ ท่านอ๋องน้อย พระชายาน้อย รีบเข้ามาเถิด” ชุนหลันเลิกม่านให้


 


 


           ฉินเจิงกับเซี่ยฟางหวาเข้าไปข้างใน พระชายาอิงชินอ๋องรีบลุกมาหา “เหตุใดถึงเพิ่งกลับมาป่านนี้”


 


 


           ฉินเจิงวางร่มลง ไม่เอ่ยคำใด


 


 


           เซี่ยฟางหวากำลังจะตอบแทน แต่เห็นว่าฉินเจิงเปียกไปครึ่งหนึ่งเพราะใช้ตัวบังฝนให้นางก็รีบเอ่ยถาม “ท่านแม่ ที่นี่มีเสื้อผ้าของเขาหรือไม่ ให้เขาเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนเถอะ ประเดี๋ยวจะเป็นหวัดเอา”


 


 


           “มี!” พระชายาอิงชินอ๋องรีบบอก “ชุนหลัน ไปนำเสื้อผ้าเขามา”


 


 


           “ไม่ต้องหรอก” ฉินเจิงยกมือห้ามแล้วเอ่ยขึ้น “ประเดี๋ยวก็กลับเรือนแล้ว”


 


 


           “เจ้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน ข้าต้องถามเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ให้ชัดเจน” พระชายาอิงชินอ๋องขึงตามอง


 


 


           “เจ้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะ ข้าจะบอกท่านพ่อกับท่านแม่เอง” เซี่ยฟางหวาดันหลังเขา


 


 


           ฉินเจิงยืนนิ่ง เซี่ยฟางหวาจ้องเขา ฉินเจิงถูกนางจ้องพักหนึ่งก็ยอมเดินเข้าไปข้างใน


 


 


           พระชายาอิงชินอ๋องเห็นว่าเซี่ยฟางหวาตัวแห้งสนิทจึงดึงนางนั่งลง จากนั้นก็รินน้ำให้นางด้วยตัวเอง “เหนื่อยหรือไม่ ถ้าเหนื่อย…”


 


 


           “ขอบคุณท่านแม่ ข้าไม่เหนื่อย” เซี่ยฟางหวาส่ายหน้าแล้วดื่มน้ำอึกหนึ่ง พบว่าทั้งสองต่างมองมาที่ตน นางวางแก้วน้ำลง จากนั้นก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นหลังก้าวออกจากจวนในวันนี้อย่างละเอียด


 


 


           ฉินเจิงเดินกลับออกมาอย่างว่องไว หย่อนกายนั่งข้างเซี่ยฟางหวา ชุนหลันรีบรินน้ำชาให้เขา


 


 


           ฉินเจิงยกน้ำชาขึ้นดื่ม ฟังเซี่ยฟางหวาเล่าว่ามีคนวางกลไกศิลายักษ์ลอบทำร้ายนาง พระชายาอิงชินอ๋องเดือดจัด สีหน้าเขาเผยความเยือกเย็น


 


 


           เมื่อเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นจบลง เซี่ยฟางหวาก็หยุดพูด “เรื่องที่ข้าเผชิญมาก็มีเท่านี้” พูดจบก็หันมามอง


 


 


ฉินเจิง “ส่วนเขาไปถึงค่ายใหญ่เขาตะวันตกเมื่อเช้าแล้วเกิดอะไรขึ้นบ้างนั้น ข้าก็ไม่ทราบเช่นกัน”


 


 


           พระชายาอิงชินอ๋องกุมมือเซี่ยฟางหวา ทั้งพินิจมองนางตั้งแต่หัวจดเท้า เมื่อเห็นว่านางปลอดภัยดีก็ถอนหายใจโล่งอก “ใครกันแน่ นึกไม่ถึงเลยว่าจะโหดเ**้ยมเช่นนี้ หากเจ้าหลบหินยักษ์นั่นไม่ทันจะไม่ถูกทับตายเอาหรือ ยังมีฝูงหมาป่ามากขนาดนั้นอีกเล่ามาจากที่ใดกันแน่ ใครเป็นผู้บงการฝูงหมาป่ากัน”


 


 


           “ข้าส่งคนไปสืบแล้ว ถ้ามีความคืบหน้าต้องกลับมารายงานแน่นอน” เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า


 


 


           พระชายาอิงชินอ๋องพยักหน้ารับ ปล่อยมือนางแล้วหันมามองฉินเจิง “เจ้าเล่ามา”


 


 


           ฉินเจิงกล่าวเสียงเรียบ “ไม่มีอะไร ข้าไปถึงค่ายทหารตอนเช้า ตอนไปถึง ฉินอวี้ก็ตามมาสมทบ เราไปสอบสวนหลี่อวิ๋นก่อน เขาไม่ยอมรับว่าสังหารหลูอี้ เพียงบอกว่าเดิมทีเขานอนอยู่ในห้องตามปกติ ไม่รู้ตัวว่ามาอยู่ที่ลานฝึกซ้อมได้อย่างไร พอเขาได้สติกลับคืนมาก็มีคนตะโกนบอกว่าเขาสังหารคนแล้ว จากนั้นก็พบว่าหลูอี้นอนเป็นศพอยู่ตรงหน้าเขา ต่อมาเขาก็ถูกคุมขัง นอกเหนือจากนั้นก็ไม่รู้อะไรอีกเลย ขุนนางชันสูตรศพมาพิสูจน์ศพ แต่ก็ตรวจหาสาเหตุการตายไม่ได้ จากนั้นมีขุนนางชันสูตรศพคนหนึ่งแนะว่าให้ผ่าพิสูจน์ศพ แต่ผู้อาวุโสตระกูลหลูแห่งฟ่านหยางมาถึงก็ทำเหมือนเป็นบิดาเขาอย่างไรอย่างนั้น ขัดขวางสุดกำลัง เสนาบดีฝ่ายซ้ายก็ไม่เห็นด้วย ต่อมา…” เขาหยุดชั่วครู่ “หวาเอ๋อร์ไปถึง เรื่องหลังจากนั้นพวกท่านก็ทราบแล้ว”


 


 


           “เจ้าเล่าง่ายนัก” พระชายาถลึงตามอง ก่อนหันไปมองอิงชินอ๋อง


 


 


           “นี่คือเมืองหลวงหนานฉิน ค่ายใหญ่เขาตะวันตกที่มีกองทัพสามแสนนาย เหตุใดถึงได้เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ขึ้นได้ ก่อคดีเกี่ยวโยงไปถึงชีวิตผู้คนมากถึงเพียงนี้” อิงชินอ๋องถอนหายใจออกมา


 


 


           “ท่านอ๋อง ท่านคงไม่คิดว่าเมืองหลวงหนานฉินเป็นผืนน้ำที่นิ่งสงบอีกใช่ไหม” พระชายามองเขา


 


 


           “รัชทายาทไม่ให้เจ้ากลับมา เจ้าบอกว่าหากเขายอมมอบคดีนี้ให้เจ้ามีอำนาจจัดการแทนถึงจะยอมอยู่ที่ค่าย ตอนนี้เจ้ากลับมา แสดงว่ารัชทายาทไม่ยินยอม” อิงชินอ๋องคลึงหน้าผากก่อนกล่าวกับฉินเจิง


 


 


           “เข้าจะกล้ารึ ไม่แน่ว่าเบื้องหลังอาจเป็นฝีมือเขาก็เป็นได้ ลองคิดดูสิ แม้ฝนตกหนักถึงเพียงนี้ แต่หากเป็นคนไร้ความสามารถ ใครจะกล้าก่อคดีใหญ่ต่อเนื่องแบบนี้” พระชายาอิงชินอ๋องแค่นหัวเราะ


 


 


           “เจ้าบอกว่ารัชทายาท?” อิงชินอ๋องตกใจ


 


 


           พระชายาอิงชินอ๋องไม่ตอบ


 


 


           อิงชินอ๋องครุ่นคิดพักหนึ่งก่อนส่ายหน้า “ข้าเห็นรัชทายาทเติบโตมาเหมือนกัน ความจริงเด็กคนนี้มีความคิดตรงไปตรงมามากนัก”


 


 


           “ตรงไปตรงมา?” พระชายาอิงชินอ๋องแค่นหัวเราะ “คงมีแต่ท่านที่คิดเช่นนั้นกระมัง อย่าลืมว่าตอนนี้เหตุใดท่านถึงต้องกลับจวนมาแกล้งป่วย ไม่ใช่เพราะเขาหรอกหรือ เขาไหนเลยจะมีความคิดตรงไปตรงมา”


 


 


           “ทุกสิ่งไม่อาจดูได้แค่ภายนอก” อิงชินอ๋องส่ายหน้า มองไปยังฉินเจิง “เจ้าว่าเรื่องนี้ควรจัดการอย่างไร”


 


 


           “คดีใหญ่ถึงเพียงนี้ ถึงแม้กรมอาญากับศาลต้าหลี่ร่วมมือกันจะคลี่คลายได้หรือไม่ แม้คลี่คลายได้ แต่จะมีคนกล้าสืบสาวลงรายละเอียดหรือไม่” ฉินเจิงหัวเราะเสียงเย็น ก่อนดึงเซี่ยฟางหวาลุกขึ้นยืน “ท่านสองคนรีบพักผ่อนเถอะ เราเองก็เหนื่อยแล้วจะกลับไปพักผ่อนเหมือนกัน ส่วนเรื่องคดีนี้ ท่านพ่อป่วยอยู่ ไม่มีกำลังพอจะจัดการ ส่วนข้าน่ะหรือ ตอนนี้ยังไม่ถือว่าเป็นคนในค่ายทหาร ยังตัวเปล่าไม่มีภาระหน้าที่ ก่อนที่จะยุ่งจนตัวตาย ตอนนี้คงพักผ่อนได้เต็มที่สองวัน”


 


 


           เขาพูดจบก็จูงมือเซี่ยฟางหวาเดินกางร่มออกไป


 


 


           พระชายาอิงชินอ๋องตะโกนไล่หลัง เขาไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง เซี่ยฟางหวาถูกเขาลากออกไปจึงได้แต่เดินตามเขาไปด้วย


 


 


           “เจ้าเด็กเลวนี่ พูดอะไรของเขา” อิงชินอ๋องมองฉินเจิงฝ่าสายฝนกลับไปด้วยความโกรธ ชั่วพริบตาก็ไม่เห็นแผ่นหลังแล้ว เขาจึงได้แต่ถลึงตามอง


 


 


           “ลูกชายข้าก็พูดถูก ช่างเถอะ เรากลับไปนอนดีกว่า เหนื่อยจะแย่อยู่แล้ว” พระชายาอิงชินอ๋องหันกลับไปยังเข้าห้องชั้นใน


 


 


           อิงชินอ๋องถลึงตามองม่านประตูที่ยังไหวอยู่พักหนึ่ง ก่อนถอนหายใจออกมาแล้วตามเข้าไปข้างใน


 


 


           ซื่อฮว่า ซื่อม่อ และอวี้จั๋วถือโคมไฟนำทาง ฉินเจิงกับเซี่ยฟางหวาเดินอยู่ข้างหลัง ตลอดทางไม่มีใครเอ่ยคำใดขึ้นมาจนกระทั่งมาถึงเรือนลั่วเหมย


 


 


           เมื่อมาถึงทางเข้า พวกผิ่นจู๋ก็ออกมาต้อนรับ “คุณหนู พอทราบว่าท่านทั้งสองกลับมาแล้วจึงต้มน้ำขิงเตรียมไว้ให้ พร้อมทั้งต้มน้ำอุ่นสำหรับอาบด้วย ท่านกับท่านอ๋องน้อยอาบน้ำขจัดความหนาวแล้วก็ดื่มน้ำขิงแล้วค่อยเข้านอนเถิด จะได้ไม่เป็นหวัดเอา”


 


 


           เซี่ยฟางหวาพยักหน้า เดินเข้าไปในห้องพร้อมฉินเจิง


ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม