เช่าท่านประธานมาปิ๊งรัก 329-336

ตอนที่ 329 ความโมโหและสงครามเย็น 


 


 


ปากซอยของที่นี่แคบมาก เหยียนเค่อจึงไม่ได้ขับรถเข้ามาแต่จอดไว้ด้านนอก ดังนั้นการเดินออกไปเปลี่ยนชุดจึงค่อนข้างกินเวลา เมื่อกลับมาก็เห็นบางคนที่นั่งคอตกอยู่ตรงนั้น 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วก้มหน้าบิดเสื้อโค้ตของตนแล้วพึมพำ “ไม่เกี่ยวอะไรกับฉันสักหน่อย ทำไมต้องโมโหด้วย โมโหมากเดี๋ยวก็หัวล้านหรอก ถ้าหัวล้านคงจะขี้เหร่น่าดู” 


 


 


เธอนึกไปถึงภาพนั้นแล้วก็หัวเราะออกมา 


 


 


หัวล้าน? ดีจริง ดีสุดๆ ไปเลย เหยียนเค่อค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้ๆ “ฉันหัวล้านงั้นเหรอ” 


 


 


“ฮะ?” ซย่าเสี่ยวมั่วเงยหน้าอย่างงุนงง น้ำเสียงขึ้นสูงของประโยคคำถามเจือความระรื่นเอาไว้ 


 


 


รู้สึกเหมือนตัวเองหาเรื่องเลย เหยียนเค่อวางถุงกระดาษลงบนเก้าอี้ไม้ใกล้ๆ เธอ แล้วมองจ้องตาเธอนิ่งๆ ในแววตาบริสุทธิ์นั้น นอกจากร่างของเขาแล้วก็ยังมีทิวทัศน์โดยรอบ 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วรู้สึกได้ถึงความรู้สึกบางอย่างที่พาดผ่านดวงตาของเขา มันเหมือนกับความเศร้าเสียใจ และยังมี…ความลังเล? 


 


 


ยังไม่ทันที่เธอจะรู้สึกตัว ใครบางคนก็หยัดตัวลุกขึ้นทิ้งเธอไว้ตรงนั้นคนเดียว 


 


 


“มันเกิดอะไรขึ้นกันน่ะ” สวีอันหรานมองไปทางด้านนั้นอย่างอยากรู้อยากเห็น เมื่อเห็นว่า 


 


 


เหยียนเค่อเดินเข้ามาแล้วก็รีบหันหน้ากลับไปหาภรรยาของตนอย่างรวดเร็ว 


 


 


เหยียนเค่อไม่สนใจเขาเลยสักนิด เดินหน้านิ่งออกมา 


 


 


“เอ๊ะ” เมื่อกี้ไม่ได้จูจุ๊บกันก็ว่าแปลกแล้ว แต่ทำไมถึงกลับไปทั้งอย่างนี้เลยล่ะ 


 


 


“ไปกินข้าว” อารมณ์ของสวีรั่วชีในตอนนี้ไม่ต่างกับเหยียนเค่อนัก 


 


 


สวีอันหรานพยักหน้าก่อนจะไปจัดการ 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วรู้สึกไร้ทางเลือกกับกองเสื้อผ้าอยู่ตรงนั้น ไม่รู้ว่าจะไปเปลี่ยนชุดที่ไหนได้ 


 


 


สวีรั่วชีขี้เกียจเดินเข้าไป จึงกวักมือเรียกเธอ “รีบมากินข้าวได้แล้ว” 


 


 


เธอตอบกลับอย่างอิดออด ก่อนจะคว้าถุงแล้วเดินไปทางด้านนั้น 


 


 


“ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ” 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วเป็นคนยิ้มง่าย ต่อให้อารมณ์ไม่ดีก็จะไม่ปรากฏอารมณ์นั้นบนใบหน้า  แต่สีหน้าในตอนนี้เห็นได้ชัดว่าไม่พอใจ 


 


 


“เหยียนเค่อทำให้เธอโมโหเหรอ” สวีรั่วชีฉงนใจ เขาใจน้อยขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไรกันนะ 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วส่ายหัว “ฉันทำให้เขาโมโหน่ะสิ” 


 


 


สวีรั่วชีกลอกตา ไม่ต้องบอกก็รู้ เธอเพิ่งจะรู้ตัวหรือไง 


 


 


“เหมือนว่าเขาจะโกรธแล้วอะ” ซย่าเสี่ยวมั่วพันสายเชือกของถุงกระดาษเล่น 


 


 


“ถ้าเธอสาดน้ำใส่ฉัน ฉันจะตัดเพื่อนกับเธอ” สวีรั่วชีบอกเธออย่างจริงจัง แถมเหยียนเค่อยังอดทนแล้วไปหยิบเสื้อผ้ามาให้เธออีก 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วส่ายหน้า “น่าจะไม่ได้โกรธเรื่องนี้นะ” 


 


 


“เรื่องนี้ยังไม่โกรธเนี่ยนะ!” สวีรั่วชีถลึงตามองเธออย่างไม่อยากจะเชื่อ เหยียนเค่อเป็นบ้าหรือไง ถึงไม่โกรธเรื่องนี้น่ะ 


 


 


“เหมือนเขาจะได้ยินว่าฉันบ่นถึงเขาน่ะ…” ซย่าเสี่ยวมั่วบีบน้ำตาออกมาสองหยด 


 


 


สวีรั่วชีสะบัดมือของเธอที่จับแขนเสื้อตนไว้อยู่ เขาทนมองต่อไปไม่ไหวแล้ว คราวนี้ตนยืนอยู่ข้าง 


 


 


เหยียนเค่อเต็มๆ 


 


 


“ไม่เอาสิ!” ซย่าเสี่ยวมั่วเดินซอยเท้าตามหลังเธอไป “เสี่ยวชีที่รัก ฉันมีแค่เธอนะ ฉันจะทำยังไงดี” 


 


 


“ไปฆ่าตัวตายไป” นี่ยังไม่มีความก้าวหน้าอะไรเลยนี่นา เหยียนเค่อตามใจเธอขนาดนี้ ถ้าสองคนนี้มีซัมติงกันจริงละก็ ซย่าเสี่ยวมั่วไม่โดนตามใจจนเคยตัวเลยเหรอ… 


 


 


“ไม่เอาสิ เธอจะปล่อยให้เด็กน้อยน่ารักบริสุทธิ์อย่างฉันไปตายเหรอ” ซย่าเสี่ยวมั่วดึงตัวเขาไว้แน่น  “บอกฉันทีว่าฉันควรทำยังไง” 


 


 


สวีรั่วชีหยุดเดินแล้วหันไปถามเธอ “ทุกครั้งที่เธอทำให้เหยียนเค่อไม่พอใจก็หน้าระรื่นเลยไม่ใช่หรือไง” 


 


 


“ยังไงตอนนี้ฉันก็เป็นคนมีชื่อเสียงเล็กๆ คนหนึ่งเหมือนกันนะ ถ้าเกิดเหยียนเค่อแบนฉันขึ้นมาจะทำยังไง แล้วชื่อเสียงฉันล่ะ” 


 


 


สวีรั่วชีกระอักเลือดในใจ ถ้าเหยียนเค่อได้ยินละก็คงวิ่งไปกระโดดทะเลตายแล้ว จึงพูดตัดบทซย่าเสี่ยวมั่ว “เธอหุบปากไปเลย ถ้าฉันเป็นเหยียนเค่อตอนนี้คงโยนเธอลงทะเลสาบไปเป็นอาหารปลาแล้ว” 


 


 


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 330 เปลี่ยนเสื้อผ้า 


 


 


“ทำไมเธอใจร้ายจัง” ซย่าเสี่ยวมั่วพึมพำ เมื่อสายตาของสวีรั่วชีตวัดมามองก็หุบปากฉับอย่างรู้ตัว 


 


 


“ถ้าเธอทำให้เหยียนเค่อโมโหจนกลับไปก่อนละก็ เธอก็เดินกลับไปเองแล้วกัน” 


 


 


สวีรั่วชีไม่ได้ขู่ให้เธอตกใจนะ สถานที่ห่างไกลขนาดนี้ นอกเสียจากว่าซย่าเสี่ยวมั่วจะมีกำลังกายและความจำที่สุดยอด ไม่อย่างนั้นแม้แต่บ้านชาวบ้านแถวนี้ก็คงเดินออกไปไม่ได้แน่นอน 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วเบะปากอย่างไม่พอใจ เธอเป็นน้องสาวของเสิ่นจิ้งเฉินนะ… 


 


 


เมื่อถึงห้องโถงด้านหน้า ซย่าเสี่ยวมั่วจึงเห็นว่านอกจากพวกเขาสี่คนแล้วก็ยังมีคนอื่นอยู่อีก 


 


 


“ที่นี่มีคนด้วยเหรอ” 


 


 


“ก็บอกว่าพาเธอมากินข้าว จะไม่มีคนทำอาหารได้ยังไง” สวีรั่วชีก้าวเข้าไปด้านในก่อน ส่วน 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วก็เดินตามมาติดๆ 


 


 


“ฉันนึกว่าเธอจะให้ฉันทำอาหารให้น่ะสิ” 


 


 


“…” สวีรั่วชีกำลังจะบอกว่า ‘งั้นเธอเข้าครัวไปทำกับข้าวมาอีกสองสามอย่างไป’ ก็ถูกซย่าเสี่ยวมั่วพูดขัดขึ้นเสียก่อน 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วเห็นเหยียนเค่อนั่งอยู่บนม้านั่งตัวยาวก็ยังเริงร่าได้อยู่ เธอไม่ต้องเดินกลับบ้านแล้ว 


 


 


เหยียนเค่อนั่งยึดพื้นที่บนม้านั่งตัวยาวจนหมด จ้องมองถ้วยชาตรงหน้าด้วยสีหน้าที่ยากจะคาดเดา 


 


 


ไม่รู้ว่าสวีอันหรานไปพูดอะไรที่ข้างหูเขา แต่ดูจากสีหน้าแล้วก็ตัดสินได้ว่าดูอารมณ์ดี 


 


 


“ยังไม่ไปอีกเหรอ” แม้แต่สวีรั่วชียังอดพึมพำขึ้นไม่ได้ จากนิสัยของเหยียนเค่อที่เป็นคนดึงหน้าได้ตลอดเวลานั้น ทำไมยังอยู่ที่นี่อยู่? 


 


 


สวีอันหรานพูดจนเหนื่อยแล้ว แต่อีกฝ่ายยังไม่มีปฏิกิริยาอะไรให้เขาเลย รอยยิ้มยังไม่แม้แต่ปรากฏขึ้นบนใบหน้า ได้ยินเสียงพวกเขาเดินเข้ามาเหมือนกับเห็นคนที่จะมาช่วยตนอย่างไรอย่างนั้น 


 


 


“ทำหน้าอย่างนี้หมายความว่าไง” 


 


 


ใบหน้าอ่อนโยนของสวีอันหรานปรากฏสีหน้าเหมือนจะตายอย่างที่ยากจะได้พบเห็น 


 


 


“ในที่สุดพวกเธอก็มา” สวีอันหรานดึงสวีรั่วชีไปยืนข้างตน ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เราทำอาหารกันเถอะ” 


 


 


สวีรั่วชีมองเหยียนเค่อที่ใจลอยไม่อยู่กับเนื้อกับตัว แล้วลูบศีรษะแฟนของตนด้วยความสงสาร “งั้นเรากินข้าวกันเถอะ ซย่าเสี่ยวมั่วเธอไปช่วยงานในครัว แล้วทำอาหารมาด้วยสองจาน” 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วกอดถุงไว้แล้วจ้องไปที่เธอเขม็ง เธอไม่ได้ทายผิดจริงๆ ด้วย ถึงมีคนครัวก็ต้องเรียกใช้เขาเยอะหน่อย 


 


 


“ก็ได้” 


 


 


เหยียนเค่อโดนความวุ่นวายกระโหมใส่จนไม่ง่วงแล้ว คิดว่ากินข้าวเสร็จแล้วจะกลับไปนอนกลางวัน เขาตัดสินใจแล้วว่าจะเมินซย่าเสี่ยวมั่วไปสักพักหนึ่งให้ตัวเองได้ใจเย็นลงหน่อย ไม่อย่างนั้นถ้าเขาไม่โมโหซย่าเสี่ยวมั่วตายเสียก่อนก็คงบีบคอซย่าเสี่ยวมั่วตายไปเสียก่อน 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วที่ถูกเดินนำไปที่ห้องปีกทางด้านหลังเพื่อเปลี่ยนชุดหยิบเสื้อผ้าในถุงแล้วมุมปากก็กระตุก 


 


 


เธอเปิดดูเสื้อเชิ้ตและกางเกงลำลองของผู้ชายที่ถูกพับเป็นระเบียบเรียบร้อยด้วยมืออันสั่นเทาแล้วก็รู้สึกปวดใจ เหยียนเค่อต้องแก้แค้นเธออยู่แน่ๆ 


 


 


โชคดีที่กางเกงลำลองนั้นมีเชือกผูกเอว ไม่อย่างนั้นเธอคงต้องเดินจับกางเกงออกไป 


 


 


ตอนที่ซย่าเสี่ยวมั่วสวมเสื้อเชิ้ตสีดำตัวโคร่ง จับขากางเกงแล้วยกจานอาหารออกมานั้น สวีรั่วชีส่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างดัง 


 


 


“มีอะไรน่าหัวเราะกัน!” ซย่าเสี่ยวมั่ววางจานลงบนโต๊ะแล้วเลื่อนไปไว้ตรงกลางแล้วดึงกางเกงขึ้น ตอนอยู่ในครัวเธอเกือบจะสะดุดเหยียบชายกางเกงตัวเองล้มหัวคะมำไปแล้ว 


 


 


เหยียนเค่อเงยหน้าขึ้นมองเธอปราดหนึ่ง รอยยิ้มวาดผ่านไปอย่างรวดเร็ว ความอึมครึมจางหายไปไม่น้อย 


 


 


“เอ่อ” มีเพียงสวีอันหรานที่รู้สึกว่ามันไม่เหมาะ จึงเข้าไปกู้หน้าให้ซย่าเสี่ยวมั่ว “บนรถฉันมีเสื้อผ้าของเสี่ยวชีอยู่ เดี๋ยวกินข้าวเสร็จแล้วจะไปหยิบมาให้นะ” 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วพยักหน้าอย่างซาบซึ้งใจ “ขอบคุณนะ!” 


 


 


เหยียนเค่อแสยะยิ้ม ปริปากพูดคำแรกขึ้นมาหลังจากที่มานั่งลงตรงนี้ “ในรถนายมีของเยอะแยะดีเนอะ” 


 


 


สวีอันหรานเสียวสันหลังวูบ ก่อนจะยิ้มอย่างเขินอาย “เหมือนว่าฉันจะเอาออกไปแล้วนะ บนรถไม่มีชุดของเสี่ยวชีหรอก ปัญหานี้เดี๋ยวค่อยว่ากันแล้วกันนะ” 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วมองดูสถานการณ์ที่กลับตาลปัตรด้วยความมึนงง ถึงแม้ว่าเธอจะไม่รู้ว่าทำไมสวีอันหรานถึงกลับคำทีหลัง แต่ต้องเป็นเพราะเหยียนเค่อเล่นสกปรกแน่นอน เธอดึงชายเสื้อเชิ้ตที่โผล่พ้นออกมาด้านนอก ก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ตัวยาวโดยไม่พูดอะไรสักคำ 


ตอนที่ 331 จิตใจบิดเบี้ยว 


 


 


เหยียนเค่อกำหมัดแน่น สะกดความคิดที่อยากจะดึงตัวเธอขึ้นมาแล้วเช็ดม้านั่งให้ คว้าแก้วน้ำชาบนโต๊ะขึ้นมาดื่มแล้วขบคิดในใจ เขาควรจะเช็ดเก้าอี้ให้ก่อนที่เธอจะมานั่ง 


 


 


สวีอันหรานเห็นอากัปอาการของเหยียนเค่อ แต่เดาไม่ออกว่าในใจของเหยียนเค่อคิดอะไรอยู่กันแน่ 


 


 


ตอนที่ซย่าเสี่ยวมั่วถลกแขนเสื้อแล้ววางไว้บนโต๊ะ ในที่สุดเหยียนเค่อก็ทนไม่ไหวเปล่งเสียงออกมา  “เช็ดโต๊ะก่อนได้ไหม แล้วค่อยวางแขนลงไป” 


 


 


ตอนแรกสวีอันหรานยังนึกว่าเหยียนเค่อบอกตน จึงมองเหยียนเค่อปราดหนึ่ง แต่เหยียนเค่อยังคงเอามือเท้าศีรษะมองน้ำชาตรงหน้าของตน มีเพียงหัวคิ้วที่ขมวดเข้าด้วยกัน 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วมองสวีอันหรานหยิบทิชชูเปียกขึ้นมาเช็ดโต๊ะ ไม่รู้สึกเลยแม้แต่นิดว่าเหยียนเค่อหมายถึงตน 


 


 


เหยียนเค่อโมโหจนเจ็บหน้าอก กล้าดีอย่างไรถึงมาเมินเขา! 


 


 


เมื่อสวีอันหรานเช็ดโต๊ะบริเวณของพวกเขาเสร็จแล้วก็กำลังจะยื่นผ้าขี้ริ้วไปให้ซย่าเสี่ยวมั่ว แต่ตรงหน้าของซย่าเสี่ยวมั่วกลับมี ‘ผ้าขี้ริ้ว’ ผืนหนึ่งโยนลงมาตรงหน้าเสียก่อน… 


 


 


ผ้าเช็ดหน้าปักสัญลักษณ์ AMANI ที่โดนความร้อนของน้ำเดือดแล้วจึงมีไอร้อนพวยพุ่งเล็กน้อย วางนอนแน่นิ่งอยู่บนโต๊ะ 


 


 


“รู้ตัวเองหน่อย” ในที่สุดเหยียนเค่อก็เงยหน้าขึ้น มองซย่าเสี่ยวมั่วที่เหมือนเด็กขโมยชุดพ่อมาใส่ก่อนจะพูดขึ้น 


 


 


น้ำเสียงเหวี่ยงๆ ทำเอาซย่าเสี่ยวมั่วตกใจกลัวจนตัวสั่น เบะปากแล้วหยิบผ้าขี้ริ้วมาเช็ดก่อนจะโยนไปไว้อีกด้าน 


 


 


สวีอันหรานหดมือที่ยื่นผ้าขี้ริ้วไปให้กลับมา เขาคิดไปเองอีกแล้ว 


 


 


เหยียนเค่อมองนิ้วมือสองนิ้วของเธอที่กดผ้าขี้ริ้วเอาไว้หลวมๆ แล้วถูไปมาเป็นวงกลม ก็เตือนตัวเองในใจ ‘นายทำเพื่อเสื้อผ้าของตัวเองเท่านั้นแหละ’ ก่อนจะชะโงกตัวไป ปัดมือของเธอที่วางไว้อยู่บนโต๊ะแล้วหยิบผ้าขี้ริ้วมาเช็ดให้เธอเอง 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วกำแขนเสื้อตัวเองอย่างอดกลั้น มองเขาเช็ดโต๊ะไป ส่วนสวีอันหรานคอยไกล่เกลี่ยอยู่ข้างๆ “เสี่ยวมั่วทำกับข้าวตั้งสามอย่างแน่ะ คนอื่นจะได้ไปพักด้วย” 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วไม่ได้เข้าใจความหมายพิเศษในคำพูดนี้ เอาแต่จ้องไปที่อาหารบนโต๊ะเขม็งแล้วกลืนน้ำลาย  “ฉันไม่เหนื่อยแล้วล่ะ ก็แค่หิว” 


 


 


สวีรั่วชีไม่คิดเช่นนั้น เหยียนเค่อก็คิดว่า ต่อให้สวีอันหรานยื่นบันไดไปให้เธอ เธอก็จะกระโดดลงมาอยู่ดี 


 


 


สวีอันหรานยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน “งั้นเรากินข้าวกันเถอะ” ทำดีไม่ได้ดีจริงๆ ต่อไปนี้เขาจะไม่เข้าไปสอดตรงกลางระหว่างซย่าเสี่ยวมั่วกับเหยียนเค่อแล้ว 


 


 


ตอนกินข้าว ตะเกียบของเหยียนเค่อไม่ได้แตะอาหารที่ซย่าเสี่ยวมั่วทำเลยแม้แต่อย่างเดียว ล้วนแต่ยื่นมืออ้อมจานอาหารที่อยู่ตรงหน้าของตน 


 


 


“อาหารจานนี้สลับกันหน่อยไหม” สวีอันหรานพูดออกไปแล้วก็รู้สึกว่าตนช่างยุ่งไม่เข้าเรื่อง เงียบอยู่นานก็ไม่มีใครสนใจ ขณะกำลังจะหยิบตะเกียบขึ้นมากินข้าวต่อ เหยียนเค่อก็ยกผัดผักจานหนึ่งขึ้นมา 


 


 


สวีอันหรานรีบยื่นมือไปรับ แล้วยกจานกะหรี่ไก่ที่ซย่าเสี่ยวมั่วทำไปสลับกับเขา ซย่าเสี่ยวมั่วก็ยื่นมือเข้ามาช่วยสลับจานอาหารให้ด้วย 


 


 


สวีรั่วชีมองเหยียนเค่อที่เอาแต่ทำหน้านิ่งกับซย่าเสี่ยวมั่วที่เห็นได้ชัดว่าอารมณ์ดิ่ง ก่อนจะก้มหน้าก้มตากินข้าวของตัวเองต่อ เธอจะรอดูว่าสองคนนี้จะง้องอนกันไปถึงเมื่อไร 


 


 


หลังจากซย่าเสี่ยวมั่วสลับจานอาหารแล้ว มองจานผัดผักตรงหน้าเรียงรายกันเป็นแถบก็รู้สึกเสียใจขึ้นมาทีหลัง ร้อง ‘เหอะ’ ขึ้นมาเบาๆ 


 


 


สวีรั่วชีเตะขาเธอใต้โต๊ะ เจ็บจนซย่าเสี่ยวมั่วเกือบจะร้องออกมา 


 


 


“เธอทำอะไรเนี่ย!” ซย่าเสี่ยวมั่วกดเสียงต่ำ ปักตะเกียบไว้แล้วหันไปมองเขา 


 


 


“ไม่ชอบขี้หน้า” สวีรั่วชีตอบอย่างคนเอาแต่ใจ คีบใบคื่นช่ายขึ้นมาวางบนในจานของเธอ “กินให้เยอะหน่อยแล้วฉันจะชอบเธอ” 


 


 


“ตัดสินคนจากหน้าตา!” ซย่าเสี่ยวมั่วโซ้ยข้าวเข้าปากอย่างอัดอั้นใจ 


 


 


สวีรั่วชีแสยะยิ้ม “ถ้าฉันตัดสินคนจากหน้าตาละก็ ฉันคงไม่ได้มารู้จักกับเธอหรอก” 


 


 


“…” ซย่าเสี่ยวมั่วที่ได้รับบาดเจ็บอย่างหนักหยุดพูดลงทันที จนเหยียนเค่อทนไม่ไหว เลื่อนจานอาหารในฝั่งของตนไปไว้ตรงหน้าเธอ 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วมองเขาอย่างตกตะลึง นี่คือช่วงเวลาที่เจรจากันอย่างสันติได้แล้วเหรอ 


 


 


“กินข้าวห้ามพูด” น้ำเสียงเยียบเย็นของเหยียนเค่อดังขึ้น 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วก้มหน้าเงียบๆ ที่แท้ก็แค่อยากให้เธอหยุดพูดเท่านั้นสินะ เธอคงคิดมากไปเอง 


 


 


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 332 ไม่ให้ติดรถ 


 


 


“ฉันไปล่ะ” เหยียนเค่อกินข้าวเสร็จก็จะกลับทันที “ตอนกลางคืนมีประชุมอีก” 


 


 


“นายจะเก๊กเป็นพนักงานดีเด่นไปทำไมหา” สวีอันหรานโอบไหล่เขาแล้วกดให้นั่งลง “เมื่อก่อนเที่ยวเก่งกว่าใครเลยนี่ ตอนนี้ก็เที่ยวที่นี่ให้สนุกก่อนเถอะ” 


 


 


“ไม่ล่ะ” เหยียนเค่อปรายตามองมือของเขาที่พาดอยู่บนไหล่ของตน สวีอันหรานลดมือลงเจื่อนๆ ลืมไปว่าเหยียนเค่อไม่ชอบให้คนอื่นมากอดมาโอบเป็นที่สุด 


 


 


“เดี๋ยวไปด้วยกันนี่แหละ เราไม่ได้มาตั้งนานแล้วนะ” สวีอันหรานตัดสินใจใช้ความรู้สึกให้เขาซาบซึ้ง ใช้เหตุผลพูดให้เขาเข้าใจ 


 


 


บ้านแห่งนี้เป็นอสังหาริมทรัพย์ของเสิ่นจิ้งเฉิน แต่อุตสาหกรรมนั้นอยู่ในนามของเหยียนเค่อ หลังจากกลับจากต่างประเทศ ทุกครั้งกลุ่มพวกเขาก็จะมารวมตัวสังสรรค์กันที่นี่ หรือไม่ก็ไปที่ศาลามัวเมาของฉินซื่อหลาน คิดๆ แล้วก็นานแล้วเหมือนกันที่ไม่ได้เข้ามาที่นี่ 


 


 


“คนไม่ครบแล้วจะมาทำไม” เหยียนเค่อไม่มีอารมณ์จะอยู่ต่อ หันกลับไปก็นึกอะไรขึ้นได้ จึงเอ่ยกับซย่าเสี่ยวมั่วที่นั่งเล่นโทรศัพท์อยู่ข้างๆ “ซักผ้าเสร็จแล้วส่งคืนให้ฉันด้วย” 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วรู้สึกว่าตนรองรับความโมโหมาตลอดทั้งวัน เขาดึงเธอลงน้ำไปเองแท้ๆ ทำไมถึงกล้าพูดได้อย่างเต็มปากแบบนี้กันล่ะ 


 


 


“เมื่อก่อนนายไม่เห็นงกแบบนี้เลย!” ซย่าเสี่ยวมั่วขบฟัน แม้กระทั่งเสื้อผ้าก็ต้องส่งคืนเขาด้วย 


 


 


“ตอนนี้บอกว่าเราสองคนไม่ติดค้างกันอีกไม่ใช่หรือไง” 


 


 


“นายรู้ตัวแล้วเหรอ” ซย่าเสี่ยวมั่วโมโหจนสบถเหอะออกมา คนที่บอกว่าเราสองคนไม่ติดค้างกันอีกคือเขา คนที่จู่ๆ ก็โผล่มาตอนนัดบอดก็คือเขา ตอนนี้คนที่จะมาขอเสื้อผ้าคืนก็คือเขาอีก สรุปว่าใครเข้ามาข้องเกี่ยวกับใครก่อนกันแน่ 


 


 


สวีอันหรานเองก็ทนดูต่อไปไม่ไหวแล้ว “พวกนายอย่าเถียงกันเลย ก็เพื่อนกันทั้งนั้นไม่ใช่เหรอ” 


 


 


“ฉันกับเขาน่ะเหรอ?” ทั้งคู่เถียงกลับขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียง 


 


 


สวีอันหรานเจอคำถามนั้นก็ชะงักไป พยักหน้าอย่างุนงง “ก็ใช่น่ะสิ” 


 


 


“ฉันกับเขาจะเป็นอะไรกันก็ได้ แต่สิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลยก็คือ ‘เพื่อน’” ความจริงในคำพูดของซย่าเสี่ยวมั่วมีความเห็นแก่ตัวแฝงอยู่นิดหน่อย แต่เรื่องราวเป็นเช่นนี้จริงๆ พวกเขาสองคนไม่ได้เป็นเพื่อนอะไรกันสักหน่อย 


 


 


เหยียนเค่อเองก็ไม่ได้โต้กลับ เป็นการยอมรับคำพูดของเธอไปโดยปริยาย “ฉันไปก่อนล่ะ” 


 


 


สวีอันหรานอยากจะค้างกับสวีรั่วชีที่นี่สักคืน แล้วทีนี้จะทำยังไงกับซย่าเสี่ยวมั่วดีล่ะ 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วเห็นสีหน้าของพวกเขาแล้วก็รู้ว่าตนเป็นส่วนเกินโดยไม่รู้ตัว จึงควักโทรศัพท์ออกมาอย่างจำใจ “ฉันเรียกแท็กซี่กลับก็ได้” 


 


 


สวีรั่วชีเอามือเท้าแก้ม “ทำไมต้องเปลืองเงินด้วยล่ะ เมื่อกี้มีโอกาสที่สามารถติดรถได้มาวางอยู่ตรงหน้า แต่เธอกลับปฏิเสธมันเสียอย่างนั้น” 


 


 


“เป็นคนมันต้องมีศักดิ์ศรี” 


 


 


“งั้นเธอก็กลับเองแล้วกัน ฉันขอไม่ส่งนะ” สวีรั่วชีโบกมือลา ไม่แม้แต่จะมาส่งเธอขึ้นรถเลย ปล่อยให้ซย่าเสี่ยวมั่วผู้มีศักดิ์ศรีช่วยเหลือตัวเอง 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วหิ้วเสื้อผ้าอันเปียกชุ่มของตัวเอง เดินก้าวเข้าไปที่ห้องโถงข้างหน้าอย่างสง่าผ่าเผยแล้วก็เริ่มซอยเท้าวิ่งหาร่างของเหยียนเค่อไปทุกทิศ 


 


 


อย่างน้อยเธอก็ต้องการให้ใครสักคนนำทางเธอออกไปจากที่นี่นะ แถมทั้งสองคนก็ออกไปทางเดียวกันด้วย แบบนี้จะได้ไม่กระอักกระอ่วนมากนัก 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วหันหัวไปรอบๆ เพื่อมองหา เมื่อเดินไปถึงหน้าประตูแล้วหมุนตัวก็เห็นเหยียนเค่อยืนอยู่ตรงขอบประตู ทำเอาเธอตกใจจนแทบหวีดร้องออกมา 


 


 


เหยียนเค่อมองใครบางคนที่ทำความผิดไว้ปราดหนึ่ง เดินไปข้างหน้าโดยไม่ส่งเสียงใด 


 


 


นี่เขาตั้งใจมายืนรอฉันโดยเฉพาะเลยเหรอ ซย่าเสี่ยวมั่วลูบหน้าอกอย่างเสียขวัญ ก่อนจะเดินตามหลังเขาไป 


 


 


เหยียนเค่อไม่สามารถละเลยเสียงฝีเท้าที่ดูโซซัดโซเซอยู่ด้านหลังและเสียงถอนหายใจฮึดฮัดของ ซย่าเสี่ยวมั่วที่ดังขึ้นเป็นระยะ 


 


 


“เธอช่วยเดินให้มันดีๆ หน่อยได้ไหม” เหยียนเค่อหันตัวกลับไปพูดอย่างรำคาญ 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วที่ขาซ้ายเหยียบขากางเกงข้างขวาพอดีจึงหน้าคะมำไปข้างหน้า 


 


 


เหยียนเค่อจะปรี่เข้าไปรับตัวเธอโดยอัตโนมัติ ตอนที่ยกมือขึ้นมาก็ห้ามตัวเองให้วางมันลง แล้วถอยหลังไปหนึ่งก้าว 


 


 


ดังนั้น ซย่าเสี่ยวมั่วจึงคุกเข่าลงตรงหน้าเขาอย่างสวยงาม 


ตอนที่ 333 อุบัติเหตุ


 


 


กำแพงสีขาว กระเบื้องหลังคาสีดำ ตรอกซอยที่ปูพื้นหิน บริเวณชายคามีหยดน้ำไหลริน สไตล์สิ่งปลูกสร้างที่เห็นอย่างแพร่หลายในหมู่บ้านริมน้ำทางใต้ ภาพงดงามดุจภาพวาดในบทกวีกลับมาถูกทำลายลงเพราะท่าทางประหลาดของซย่าเสี่ยวมั่ว


 


 


“เธอจะทำอะไร จะคุกเข่าให้ฉันหรือไง” เหยียนเค่อก็นึกไม่ถึงว่าเธอจะลงไปนั่งท่านั้น


 


 


สีหน้าของซย่าเสี่ยวมั่วบิดเบี้ยวเหยเกเป็นอย่างมาก แต่เพราะเส้นผมบดบังไว้ เหยียนเค่อจึงไม่เห็นสีหน้าของเธอ


 


 


เธอรู้สึกว่าหัวเข่าของเธอแตกละเอียดไปแล้ว เจ็บปวดจนพูดไม่ออก


 


 


“เป็นอะไรไป” เหยียนเค่อเห็นเธอไม่ส่งเสียง ก็ถามขึ้นอย่างร้อนใจ


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วเอามือยันพื้นแล้วพลิกตัว มือกุมหัวเข่า เจ็บปวดจนต้องกัดฟัน “เหอะ”


 


 


เหยียนเค่อย่อตัวลงยกมือเธอขึ้นมา ก่อนจะยกขาเธอมาดู ไม่มีเลือดไหลเพียงแต่สักพักหนึ่งรอยแดงก็กลายเป็นรอยบวมออกไปทางสีแดงเข้ม


 


 


“เจ็บมากเหรอ”


 


 


“เจ็บ-โคตร-โคตร” ซย่าเสี่ยวมั่วมีสีหน้าเศร้าสลด กัดฟันพูดออกมาทีละคำ


 


 


ถ้ารู้แต่แรกก็คงเข้าไปรับไว้แล้ว เหยียนเค่อวางขาเธอลง “เดี๋ยวฉันแบกเธอ”


 


 


เหยียนเค่อไม่กล้าอุ้มเธอแล้ว ทำได้เพียงแบกเธอเดินกลับไป


 


 


“เจ็บจัง” ซย่าเสี่ยวมั่วโอบรอบคอเขา ใบหน้าแนบกับแผ่นหลังของเขาแล้วโอดครวญ


 


 


“วันนี้ฉันตัดสินใจผิดพลาดจริงๆ ที่ออกมา” เหยียนเค่อแบกคนที่อยู่บนหลังแล้วค่อยๆ เดินกลับไป ทั้งตรอกซอยล้วนมีแต่เสียงสะท้อนของซย่าเสี่ยวมั่ว


 


 


บรรยากาศเวลาบ่าย ดวงอาทิตย์คล้อยไปทางทิศตะวันตก เงาเล็กๆ สองเงาที่ซ้อนทับกันค่อยๆ เดินออกจากตรอกถนนนั้นไป


 


 


“ทำไมเธอหนักขึ้นเยอะขนาดนี้ล่ะ!”


 


 


“มีคนที่กินแล้วไม่อ้วนซะที่ไหนล่ะ” ซย่าเสี่ยวมั่วเงยหน้ามองฟ้า


 


 


“ยายหมู” เหยียนเค่อลองชั่งน้ำหนักของคนบนหลังดู คิดไม่ถึงว่าซย่าเสี่ยวมั่วจะน้ำหนักขึ้นมาเกือบห้ากิโลฯ ได้


 


 


“ฉันไม่เคยหนักถึงห้าสิบสักหน่อย นายเป็นผู้ชายหรือเปล่า แค่ห้าสิบกิโลฯ นนายยังแบกไม่ไหวเลย”


 


 


“เธอท้าทายความสามารถของฉันอีกแล้วนะ ตอนเช้าเธอก็ยอมรับว่ารู้ไม่ใช่เหรอว่าฉันเป็นผู้ชายหรือเปล่า”


 


 


เหยียนเค่อยืดเอวตรง ซย่าเสี่ยวมั่วที่จู่ๆ ก็หงายไปทางด้านหลัง ตกอกตกใจจนเธอรัดคอของเหยียนเค่อแน่น เกือบจะรัดเหยียนเค่อจนสิ้นลม “จะฆ่าฉันหรือไง!”


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วคิดไปถึงคำพูดหน้าไม่อายเหล่านั้นของเหยียนเค่อ คิดในใจอย่างร้ายกาจว่าควรจะรัดคอนายให้ตายสิถึงจะถูก


 


 


เหยียนเค่อแบกเธอกลับไปที่รถ ก่อนจะวางเธอลงด้วยความระมัดระวัง คนบนหลังของตัวเองนั้นก็ช่างโง่เง่าเกินทน ไม่หัวโขกประตูรถก็ต้องหัวโขกคอนโซลหน้ารถ แถมยังถีบเข้ากับประตูรถในตอนที่พลิกตัวอีกต่างหาก…


 


 


“วันนี้ทำไมฉันทำอะไรก็ไม่ราบรื่นเลยนะ” ซย่าเสี่ยวมั่วประคองขาพับของตนอย่างระมัดระวัง


 


 


“ฉันก็ด้วย” เหยียนเค่อมีความรู้สึกเช่นเดียวกัน ปิดประตูรถให้เธอแล้วจึงอ้อมไปขึ้นรถอีกฝั่ง


 


 


“เราสองคนต้องดวงไม่สมพงศ์กันแน่เลย” ซย่าเสี่ยวมั่วนึกไปถึงเซียมซีที่จับขึ้นมาในวัดแห่งนั้น ไหนบอกว่าจะโชคดีเป็นสิริมงคลไง! ทำไมพอมาเจอเหยียนเค่อแล้วถึงแย่อย่างนี้ทุกที!


 


 


เหยียนเค่อกวาดตามองเธอผ่านๆ “ถ้าไม่อยากให้ฉันปล่อยเธอทิ้งละก็ หุบปากไปซะจะดีกว่า”


 


 


“ฉันแค่พูดความจริงนี่นา”


 


 


เธอจิ้มโทรศัพท์โทรออกหาแม่ของตนเพื่อรายงานผลการนัดบอดในวันนี้ คุณนายเสิ่นน่าจะรู้เรื่องที่เธอล้มเหลวก่อนแล้ว ที่อดทนอยู่นานไม่ยอมโทรหาเธอสักทีก็คงจะรอให้เธอเริ่มยอมรับความผิดก่อน


 


 


เหยียนเค่อขับรถขึ้นถนนเลนส์ใหญ่ สายตาของคนข้างๆ ก็ยังเอาแต่จ้องเขาไม่หยุด


 


 


“เธอจะทำอะไร”


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วใช้สองมือจับโทรศัพท์ด้วยสีหน้าจริงใจ “ฉันควรพูดกับแม่ยังไงแม่ถึงจะไม่โมโหแล้วฆ่าฉันน่ะ”


 


 


“เราสองคนไม่ได้เป็นเพื่อนกันไม่ใช่เหรอ” เรื่องก่อนหน้านี้ใช่ว่าจะลืมกันได้ง่ายๆ


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วก็ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน ทุกครั้งที่เธอกับเหยียนเค่อทะเลาะกัน เธอถึงจะชอบหลงลืมความจริงที่ว่าเธอกับเหยียนเค่อยังคงไม่ถูกกันอยู่ จากนั้นก็เรียกร้องความสนใจจากเหยียนเค่ออย่างหน้าไม่อาย


 


 


“ก็ได้” ซย่าเสี่ยวมั่วกดเปิดบัญชีรายชื่อโทรศัพท์อย่างไม่เกรงกลัว


 


 


ท่าทางของเหยียนเค่อราวกับเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับตน แต่ในใจยังคงใส่ใจสถานการณ์ทางด้านนั้น


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 334 ยอมรับผิด


 


 


“ฮัลโหลค่ะแม่” มือหนึ่งของซย่าเสี่ยวมั่ววางลงบนหน้าขาเหนือเข่าของตน พูดโทรศัพท์กับคนปลายสายด้วยเสียงตะกุกตะกัก


 


 


คุณนายเสิ่นตอบกลับเสียงต่ำ


 


 


ผ่านไปเนิ่นนาน ซย่าเสี่ยวมั่วก็ไม่ได้ฟังเสียงตอบกลับจากแม่ตนเสียที ทำได้เพียงยอมแพ้ก่อน “งานนัดบอดล่มอะ”


 


 


คุณแม่ซย่าเงียบอยู่นาน “ฉันรู้แล้ว”


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วน่ะกลัวน้ำเสียงอึมครึมของคุณแม่ซย่าเป็นที่สุด เพราะปกติแล้วจะหมายความว่าจะมีความโมโหที่จะปะทุขึ้นมากขึ้นกว่าเดิม


 


 


เหยียนเค่อได้ยินเธอพูดเรื่องนัดบอดขึ้นมาก่อนก็รู้แล้วว่าการเจรจาของซย่าเสี่ยวมั่วกับแม่ต้องพ่ายแพ้ย่อยยับ จึงยื่นมือไปทำท่าทำทางให้เธอ


 


 


“เปิดสปีกเกอร์” เขาไม่ได้ยินเสียงของคุณแม่ซย่า จึงช่วยซย่าเสี่ยวมั่วแก้ปัญหาไม่ได้


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วกลืนน้ำลาย แล้วเปิดสปีกเกอร์อย่างเชื่อฟัง คุณแม่ซย่าพูดต่อ “แกกลับมาบ้าน เดี๋ยวเราค่อยคุยกัน”


 


 


น้ำเสียงที่เอ่ยคำว่า ‘คุย’ กดลงต่ำ ใครมาฟังก็รู้ว่าเป็นช่วงเวลาที่คุณแม่ซย่าจะคิดบัญชีกับซย่าเสี่ยวมั่ว


 


 


เหยียนเค่อจอดรถตรงข้างทาง ชี้ไปที่ขาของซย่าเสี่ยวมั่วแล้วขยับปากบอกเธอ “ดวง”


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วงงไปพักหนึ่งกว่าจะรู้ตัว ตบหัวตนไปหนึ่งทีแล้วรีบอธิบายให้คุณแม่ซย่าฟัง “หนูกับผู้ชายคนนั้นดวงไม่สมพงศ์กันค่ะ แม่ไม่รู้หรอกว่าวันนี้ลูกสาวแม่สภาพแย่แค่ไหน ออกจากบ้านก็โดนคนขับรถชน ตอนนี้หนูเริ่มสงสัยแล้วว่ากระดูกหัวเข่าหนูจะแตกละเอียดหรือเปล่า ฮือออ”


 


 


“แกคงไม่ได้ขับไปชนรถเขาใช่ไหม”


 


 


นี่แม่แท้ๆ ของฉันงั้นเหรอ? เป็นครั้งที่เท่าไรแล้วไม่รู้ที่ซย่าเสี่ยวมั่วเกิดความสงสัยขึ้นมา


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วตัดสินใจไม่ใช้หัวข้อสนทนานี้มาเรียกร้องความสนใจอีก “หนูว่านายหวังอี้เหว่ยอะไรนั่นไม่ใช่คนดี เอาแต่ตามตื๊อหนูอยู่นั่นแหละ”


 


 


“เหอะๆ แต่เขาไม่ได้บอกฉันแบบนี้นะ เขาบอกว่าแกมีชีวิตส่วนตัวที่วุ่นวาย คบผู้ชายมั่วไปหมด แล้วยังมีผู้ชายที่เกาะผู้หญิงกินคนหนึ่งมาช่วยกู้สถานการณ์ด้วย” คุณแม่ซย่าเอาคำพูดที่หวังอี้เหว่ยบอกเธอเล่าให้ซย่าเสี่ยวมั่วฟังอย่างหมดเปลือก


 


 


“เขาใส่ร้ายหนู” ซย่าเสี่ยวมั่วร้องขอความเห็นใจ “แม่ต้องเชื่อลูกสาวที่ไปที่ไหนใครก็รักสิ”


 


 


“ฉันก็เชื่อแกไง ดังนั้นแกไปเล่นอะไรแผลงๆ อีกถึงทำให้เขาตกใจจนวิ่งหนีหายไปน่ะหา!” แน่นอนว่าคุณแม่ซย่าก็เข้าใจนิสัยลูกสาวของตน เรื่องแบบนี้ไม่ควรเกิดขึ้นกับซย่าเสี่ยวมั่ว ดังนั้นต้องเป็นเรื่องที่


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วกุขึ้นมาแน่นอน ตนต้องไปขอโทษขอโพยอีกฝ่ายที่ทำให้ขายหน้าอยู่ตลอดทั้งช่วงเช้า สะกดกลั้นความโมโหเอาไว้เต็มอก


 


 


“เพื่อนหนูคนหนึ่งน่ะแม่ เขาไปกินข้าวกับเสี่ยวชีแล้วเจอกัน บอกว่าจะช่วยฉันทดสอบผู้ชายคนนี้สักหน่อย ใครจะไปรู้ว่าผู้ชายคนนี้จะทนฟังคำขู่ไม่ไหวกันเล่า หนูยังไม่ทันอธิบายอะไรเลยเขาก็วิ่งหายไปก่อนแล้ว”


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วอาศัยความสามารถในการเข้าใจของตัวเอง เชื่อมต่อคีย์เวิร์ดที่เหยียนเค่อพิมพ์ลงบนโทรศัพท์มาเชื่อมต่อกันเป็นเรื่องเป็นราว


 


 


เฮ้อ ความรู้ใจกันของพวกเขาจะเข้าขากันได้ดีก็เมื่อโกหกเท่านั้นล่ะ เหยียนเค่อมองซย่าเสี่ยวมั่วที่พูดสิ่งที่เขาอยากจะสื่อออกไปได้คร่าวๆ แล้ว จึงวางโทรศัพท์ลงก่อนจะขับรถต่อ


 


 


“รีบกลับมาเดี๋ยวนี้ มีอะไรมาคุยกันต่อหน้า” คุณแม่ซย่าแจ้งให้ทราบ


 


 


“หนูต้องไปโรงพยาบาลก่อน ถ้ากลับบ้านหนูเดินขึ้นบ้านจะลำบากนะ แม่รอหนูขาหายก่อนหนูจะรีบไสหัวกลับไปเลย โอเคไหม” ซย่าเสี่ยวมั่วพูดเสียงเบาต่อรองข้อเสนอกับคุณแม่ซย่าด้วยท่าทีท่าน่าสงสาร


 


 


คุณแม่ซย่าก็หมดสิ้นหนทาง จะว่าอย่างไรก็เป็นลูกสาวของเขาเอง ถึงแม้ว่าเรื่องที่ทำจะไม่ได้ดี แต่ก็จะบีบบังคับเธอเกินไปไม่ได้ จำต้องถอยลงหนึ่งก้าว “ให้เวลาแกอาทิตย์หนึ่ง ถ้าแกไม่กลับมาก็รอเปิดประตูให้แม่ได้เลย”


 


 


“แม่ดีที่สุดเลยค่ะ บ๊ายบาย!” ซย่าเสี่ยวมั่วรีบร้อนวางสาย หลังจากกำจัดเนื้อร้ายในใจไปได้แล้วก็ผ่อนคลายลง มองเหยียนเค่ออย่างอารมณ์ดี “ขอบคุณที่ช่วยนะ”


 


 


แต่เหยียนเค่อไม่สนใจเธอ


 


 


บรรยากาศอันกระอักกระอ่วนแผ่กระจายไปเต็มคันรถ เหยียนเค่อเองก็กลับไปทำตัวไม่รู้จักกับซย่าเสี่ยวมั่วตามเดิม


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วสางผมของตนแล้วพึมพำเสียงเบา “เปลี่ยนเร็วเกินไปไหม วันหลังก็เตือนกันหน่อยสิ”


ตอนที่ 335 แต่งหน้าแต่งตัวประหลาด


 


 


เหยียนเค่อเมินเฉยต่อคำพูดที่เธอเอ่ยพึมพำกับตนเอง แล้วถามจุดหมายของเธออย่างสั่นกระชับได้ใจความ “โรงพยาบาลหรือว่าบ้าน”


 


 


“โรงพยาบาล” นิ้วมือของซย่าเสี่ยวมั่ววาดบริเวณหัวเข่าเป็นวงกลม จู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่าตนเรียกรถแท็กซี่ไว้คันหนึ่ง แต่เธอกลับกับเหยียนเค่อไปแล้ว…


 


 


เธอรีบกลับไปยกเลิกการจองนั้น ด้วยความรู้สึกละอายใจต่อคนขับรถคนนั้นจึงแอบให้อั่งเปาไปสิบหยวน


 


 


เหยียนเค่อเห็นเธอควานหาโทรศัพท์ไปทั่วก็รู้ทันทีโดยไม่ต้องเดาว่า เธอต้องทำเรื่องโง่เง่าลงไปอีกแล้วแน่นอน


 


 


หัวเข่าของซย่าเสี่ยวมั่วเจ็บปวดจนจะตายอยู่แล้ว เหยียนเค่อไม่พูดกับเธอ ส่วนเธอเองก็พูดคนเดียวไม่ได้ ทำได้เพียงลูบหัวเข่าตัวเองเบาๆ


 


 


เหยียนเค่อเห็นเธอจิ้มโทรศัพท์แล้วสูดหายใจเข้าปากด้วยความเจ็บก็อดเอ่ยปากห้ามไม่ได้ “อย่าขยับสิ เดี๋ยวก็เจ็บซ้ำหรอก”


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วกัดริมฝีปาก มือแกะเกาเบาะนั่งหนังแท้ข้างๆ ตัว


 


 


เหยียนเค่อตัดสินใจทำตัวเองให้ใจเย็นลงสักครู่ จะใส่ใจและสนใจซย่าเสี่ยวมั่วเกินกว่าคำว่าเพื่อนต่างเพศไปไม่ได้แล้ว


 


 


เพราะไม่มีใครพูดกับซย่าเสี่ยวมั่ว เหยียนเค่อก็ไม่อนุญาตให้เธอขยับขาอีก ดังนั้นซย่าเสี่ยวมั่วที่ดิ้นไปดิ้นมาอยู่พักใหญ่ก็หลับไประหว่างทาง


 


 


เมื่อขับไปถึงโรงพยาบาลเอกชนของบ้านตระกูลฉิน ซย่าเสี่ยวมั่วยังคงหลับใหลไม่รู้เรื่องอยู่เช่นเดิม


 


 


เหยียนเค่อมองใบหน้างดงามยามหลับของเธอ หลังจากลังเลอยู่สักพัก ก็ยื่นมือออกไปเขย่าปลุกเธอ “ตื่นได้แล้ว”


 


 


“งืม” ซย่าเสี่ยวมั่วเอี้ยวตัวมา ลืมไปหมดสิ้นแล้วว่าขาตัวเองเจ็บอยู่ แต่ความเจ็บแสบที่ทิ่มแทงเข้าไปในเส้นประสาททำให้เธอตื่นขึ้นในฉับพลัน ยืดเอวจะจับหัวเข่าของตนด้วยท่าทางแปลกประหลาด และสีหน้าที่เหมือนวิญญาณจะออกจากร่าง


 


 


เหยียนเค่อดึงมือเธอไว้ “ถึงแล้ว”


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วนอนหมดสภาพอยู่บนเบาะรถ รู้สึกเหมือนเธอจะพิการแล้ว “เจ็บอะ!”


 


 


“ให้ฉันไปเรียกเปลให้มายกเธอเข้าไปไหม” เหยียนเค่อแค่พูดเล่น ใครจะไปรู้ว่าซย่าเสี่ยวมั่วจะพยักหน้ารัวๆ “อือๆๆ”


 


 


เหยียนเค่อพยักหน้าอย่างเอือมระอาแล้วโทรศัพท์หาฉินซื่อหลาน “เรียกเปลหามออกมาหน่อย”


 


 


ฉินซื่อหลานได้ยินคำขอนี้ก็ตื่นตะลึงเป็นอย่างมาก “นายเป็นอัมพาตไปทั้งตัวแล้วหรือไง ทำไมถึงต้องใช้เปลหาม”


 


 


“ซย่าเสี่ยวมั่วขาเจ็บ ตอนนี้อยู่บนรถฉัน”


 


 


ฉินซื่อหลานส่งคนสองคนไปยกซย่าเสี่ยวมั่วขึ้นมาตามคำขอ


 


 


“ฉันไม่ขึ้นไปแล้วกันนะ” เหยียนเค่อเห็นคนสองคนในชุดกาวน์สีขาวเดินออกมาจากประตูใหญ่ผ่านทางกระจกรถแล้วจับเสื้อเชิ้ตบนตัวของซย่าเสี่ยวมั่ว “อย่าลืมซักเสื้อเชิ้ตแล้วส่งมาคืนฉันด้วยนะ”


 


 


“…” คนป่วยที่โดนทำร้ายจิตใจไม่หยุดทำได้เพียงพยักหน้าตอบรับ


 


 


หลังจากที่ซย่าเสี่ยวมั่วถูกยกขึ้นเปลหามแล้วยังคงนั่งอยู่ด้านบนอยู่ เป็นครั้งแรกที่คนของโรงพยาบาลเห็นคนที่ไม่นอนบนเปลหามแต่กลับนั่งเหมือนนั่งเกี้ยว


 


 


ฉินซื่อหลานมองซย่าเสี่ยวมั่วที่ถูกยกเข้ามาด้านในอย่างหมดคำพูด “เธอเจ็บตรงไหน เหยียนเค่อล่ะ?”


 


 


“เขากลับไปแล้ว ฉันหกล้มเข่ากระแทกพื้นน่ะ”


 


 


ฉินซื่อหลานหยิบมีดผ่าตัดกับกรรไกรขึ้นมาจะตัดขากางเกงให้เธอ แต่ทำเอาซย่าเสี่ยวมั่วสะดุ้งตกใจจนถอยหลังไป “อย่ามาจับกางเกงฉันนะ!”


 


 


“กางเกงตัวนี้ของเธอเหรอ ทำไมวันนี้เธอแต่งตัวเท่จังล่ะหืม” ฉินซื่อหลานหยุดมือ แล้วพับขากางเกงขึ้นไปให้เธอ


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วถอนหายใจออกมาเงียบๆ “ไม่ใช่ของฉันหรอก ฉันกับเหยียนเค่อตกน้ำน่ะ แล้วเขาเอามาให้”


 


 


“เหยียนเค่อตกน้ำเหรอ?” ฉินซื่อหลานสวมถุงมือ แล้วค่อยๆ กดกระดูกเข่าของซย่าเสี่ยวมั่ว ไม่มีส่วนไหนที่หักหรือว่าแตกละเอียด เพียงแต่เลือดออกในเนื้อเยื่อและหลอดเลือดฝอยโดนทำร้ายก็เท่านั้น “เขาไข้ขึ้นแล้วยังมาเที่ยวกับเธอแบบไม่ห่วงชีวิตเลยเหรอ”


 


 


“หืม?” ในตอนแรกซย่าเสี่ยวมั่วมัวแต่สนใจขาของตัวเอง ได้ยินฉินซื่อหลานบอกว่าเหยียนเค่อเป็นไข้จึงจะรู้สึกตัว แล้วรู้สึกผิดขึ้นมา เหยียนเค่อเป็นไข้จริง แถมเมื่อกี้ยังโดนน้ำเย็นๆ สาดใส่อีก ไม่รู้ว่าไข้จะขึ้นอีกไหมนะ


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 336 ชีวิตปลอดภัย


 


 


“เธอไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก ทายาก่อนเถอะ เดี๋ยวฉันจะไปเรียกเสี่ยวฝูเอ๋อร์มา” ฉินซื่อหลานยื่นยาขวดหนึ่งให้ซย่าเสี่ยวมั่ว


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วมองขวดกระเบื้องลายครามอย่างสงสัย สมัยนี้ยังมีใครใช้ยาขวดแบบนี้อยู่อีกเหรอ


 


 


ฉินซื่อหลานนึกว่าซย่าเสี่ยวมั่วไม่ไว้วางใจในผลลัพธ์ของยานี้ จึงตบอกรับประกัน “ยานี้


 


 


เหยียนเค่อลองใช้มาแล้ว รับประกันเรื่องผลลัพธ์ได้”


 


 


ที่แท้เหยียนเค่อเป็นหนูทดลองเหรอเนี่ย ซย่าเสี่ยวมั่วเปิดออกแล้วลองดมดู มีเพียงกลิ่นจางๆ เท่านั้น เป็นกลิ่นหอมสดชื่นของพืชสมุนไพร


 


 


ในขณะที่รอเสี่ยวฝูเอ๋อร์ ซย่าเสี่ยวมั่วเพิ่งนึกขึ้นได้จึงถามฉินซื่อหลาน “เสี่ยวฝูเอ๋อร์คือใครเหรอ”


 


 


“น้องสาวน่ะ”


 


 


“อ๋อ ฉินฝูเหรอ?” ซย่าเสี่ยวมั่วทึกทักเอาเอง


 


 


ฉินซื่อหลานก็ไม่ได้แก้ให้ ก่อนจะเปลี่ยนหัวข้อสนทนาด้วยสีหน้าเรียบเฉย “หลี่หมิงฉวีบาดเจ็บที่ขา เธอก็ด้วยเหมือนกัน พวกเธอสองคนทำไมถึงมีวาสนาต่อกันอย่างนี้นะ”


 


 


“เขาเจ็บที่กระดูก แต่ฉันเจ็บที่เนื้อ!” ซย่าเสี่ยวมั่วไม่อยากไปเกี่ยวข้องกับหลี่หมิงฉวีสักหน่อย


 


 


“เหยียนเค่อเจ็บที่เนื้อ เธอก็เจ็บที่เนื้อ งั้นพวกเธอสองคนก็มีวาสนาต่อกันน่ะสิ” ฉินซื่อหลานรอให้เธอติดกับอยู่นี่แหละ


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วกุมหน้า “ฉันเจ็บที่ขา!”


 


 


“แล้วเธออยากเจ็บขาหรือเจ็บเนื้อล่ะ”


 


 


“ฉันเจ็บเนื้อที่ขา!” ซย่าเสี่ยวมั่วชี้ไปที่หัวเข่าที่บวมช้ำกลายเป็นสีเขียวม่วง “น้องสาวนายจะมาเมื่อไรเนี่ย”


 


 


“ใกล้แล้วล่ะ” ฉินซื่อหลานกลัวใครบางคนไล่ฆ่า ไม่กล้าทายาให้ซย่าเสี่ยวมั่วจึงต้องรอให้


 


 


เสี่ยวฝูเอ๋อร์มา “เขาอยู่มอหกน่ะ ลาหยุดมันจะยุ่งยากหน่อยๆ”


 


 


“ฝีมือนายไหวหรือเปล่าเนี่ย แค่ทายายังต้องให้เด็กน้อยมาทำแทน”


 


 


“ถึงแม้ว่าแพทย์ควรจะช่วยเหลือคนโดยไม่คำนึงถึงความสูงต่ำรวยจนและเพศสภาพ แม้กระทั่งต้องมีจริยธรรมในตอนช่วยเหลือคน แต่บางครั้งก็ต้องระวังตัวหน่อยถ้าอยากมีชีวิตที่ปลอดภัยน่ะ”


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วฟังไม่เข้าใจ ก่อนจะเอ่ยสรุปอย่างมึนงง “นายกลัวตายว่างั้น”


 


 


ฉินซื่อหลานที่กำลังเขียนประกาศประชุมมือสั่นเล็กน้อย ความสามารถในการสรุปของซย่าเสี่ยวมั่วนี่ประหลาดเหนือมนุษย์ทั่วไปจริงๆ…


 


 


เมื่อเสี่ยวฝูเอ๋อร์มาถึง ซย่าเสี่ยวมั่วก็หลับไปแล้ว


 


 


“เขาเป็นใครคะ” เสี่ยวฝูเอ๋อร์ถามฉินซื่อหลานเสียงเบา


 


 


ห้องทำงานของฉินซื่อหลานนั้นคนทั่วไปจะเข้ามาไม่ได้ แต่ผู้หญิงคนนี้กลับถูกคนใช้เปลหามเข้ามานั่งตรงโต๊ะตัวเล็ก


 


 


“อะแฮ่ม” ฉินซื่อหลานก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไร “พี่สาวคนหนึ่งน่ะ เธอช่วยทายาให้เขาหน่อย”


 


 


“อ๋อ ฝีมือพี่สู้ฉันไม่ได้ว่างั้น?”


 


 


ฉินซื่อหลานปวดหัว ทำไมความคิดของผู้หญิงสมัยนี้มันน่าโมโหนักนะ เขาจำใจพยักหน้า ก็ดีกว่าบอกเขาว่าตนกลัวตายล่ะนะ


 


 


“ปลุกพี่สาวคนนี้ให้ตื่นดีไหม”


 


 


“ให้เขานอนดีกว่าไหม” อย่างไรเสียฉินซื่อหลานก็ไม่ได้รีบร้อนอะไร ดึงผ้าห่มผืนบางที่ร่นตกไปอยู่ที่ลำตัวของซย่าเสี่ยวมั่ว เมื่อกี้เหยียนเค่อโทรมาหาถามไถ่อาการ บอกว่าตอนซย่าเสี่ยวมั่วหลับอย่าไปปลุกเขาตื่นเด็ดขาด เพราะจะส่งเสียกโหวกเหวกหนวกหูได้…


 


 


เสี่ยวฝูเอ๋อร์สับสนในใจ นี่คงไม่ใช่แฟนของฉินซื่อหลานหรอกนะ ท่าทางเหมือนห่วงใยกันมากเลย


 


 


ทั้งสองคนเงียบไปครู่หนึ่ง ฉินซื่อหลานยื่นมือไปตบบ่าเสี่ยวฝูเอ๋อร์ “คิดอะไรอยู่”


 


 


“เปล่าค่ะ” เสี่ยวฝูเอ๋อร์ออกจากภวังค์แล้ววางกระเป๋านักเรียนลง “ฉันว่าพี่คนนี้ก็ดีนะคะ”


 


 


ฉินซื่อหลานรับกระเป๋าเธอไว้แล้วเอ่ยยิ้มๆ “ฉันก็ว่าไม่เลวเหมือนกัน” แต่น่าเสียดาย มีบางคนถูกกำหนดไว้แล้วว่าเป็นได้แค่เพื่อน


 


 


“พี่ชอบเขาเหรอ” เธอโพล่งประโยคนั้นออกมาโดยไม่ได้ไตร่ตรอง ทั้งคาดหวังและกลัวไปในขณะเดียวกัน


 


 


ฉินซื่อหลานกลับไม่ได้รู้สึกว่าคำพูดของเธอนั้นสื่อความหมายอะไรนอกเหนือไปจากนั้น จึงพยักหน้าอย่างสัตย์จริง “ฉันชอบเขามากเลยล่ะ” ความชอบนี้เป็นความชอบที่มีต่อนิสัยของซย่าเสี่ยวมั่วในฐานะเพื่อนที่เขาชื่นชมและมีความชอบที่เหมือนกัน แต่ในความเข้าใจของเสี่ยวฝูเอ๋อร์นั้น ความหมายกลับผิดเพี้ยนไป


 


 


“อ๋อ ฉันก็ชอบเหมือนกันค่ะ สวยมากเลย”


 


 


“ก็พอได้” ฉินซื่อหลานไม่รู้ว่าทำไมตนต้องมาคุยเรื่องซย่าเสี่ยวมั่วกับเสี่ยวฝูเอ๋อร์ที่นี่ด้วย รู้สึกว่าเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ทั้งคู่อยู่ด้วยกันก็รู้สึกกระอักกระอ่วนแปลกๆ “เธอไปทำการบ้านเถอะ รอให้เขาตื่นค่อยทายาให้เขา”


 


 


“ค่ะ”


 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม