ยอดรักชายาอัปลักษณ์ 329-336

 ตอนที่ 329 ไม่ยอมกินข้าว ต้องจับตีก้น


 


 


“ข้าไม่กิน ออกไป!”


 


 


หนิงอวี้ขมวดคิ้ว สะบัดแขนเสื้อกวาดอาหารที่อยู่บนจานตกคว่ำกับพื้นจนหมด จานชามตกกลิ้งกับพื้นเสียงดังกังวาน หนิงวี้ลุกขึ้นยืน


 


 


เหล่าสาวใช้ต่างคุกเข่าลงแล้วพูดขึ้นเสียงดัง “ฮองเฮา โปรดทรงคำนึงถึงโอรสมังกรในพระครรภ์ เสวยพระกระยาหารด้วยเพคะ”


 


 


หนิงอวี้เห็นพวกนางพูดอย่างน้อยใจก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาทันใด อดมิได้ที่จะตำหนิตัวเองที่ขี้โมโหเกินกำลัง นับแต่พระราชพิธีแต่งตั้งฮองเฮามาก็ห้าเดือนแล้ว จากหิมะกลางฤดูหนาวกลับกลายเป็นฤดูใบไม้ผลิที่ดอกไม้บานสะพรั่ง ดอกไม้ฤดูใบไม้ผลิร่วงโรยไป ดอกบัวฤดูร้อนก็เริ่มเบ่งบาน


 


 


อากาศเริ่มร้อนขึ้น นางจึงใจร้อนอย่างอดมิได้ รู้สึกง่วงเหงาหาวนอนอยู่ตลอด ตื่นขึ้นมากลับไม่ยอมกินอาหาร เว่ยหยวนกล่อมนางนับพันครั้ง สุดท้ายก็ได้แต่กำชับสาวใช้ให้เฝ้าดูนางกินอาหาร


 


 


กลิ่นหอมของอาหารโชยมา หนิงอวี้กลับรู้สึกอยากจะอาเจียนอย่างมิอาจทนได้จึงยกมือขึ้นป้องปากไว้ สาวใช้ที่อยู่ด้านข้างเห็นเข้าก็ยกอ่างไม้เดินเข้ามาอย่างรีบร้อน


 


 


หนิงอวี้มองลายดอกโบตั๋นแกะสลักบนอ่างไม้ พยายามห้ามอาเจียนไว้ นางยื่นมือไปส่งสัญญาณให้ถอยออกไป อึดใจเดียว เสียงฝีเท้าก็แว่วเข้ามา


 


 


“ฮองเฮา? รีบไปเอาน้ำชามา!”


 


 


เสียงใสไพเราะชวนหลง หนิงอวี้ช้อนตาขึ้นพลางเหยียดริมฝีปากขาวซีดยิ้มแล้วพูดขึ้นเสียงเบา “เจ้ามาจนได้”


 


 


หงหลิงพยักหน้า ยกมือขึ้นเรียกสาวใช้ให้รีบเดินเข้ามาแล้วประคองนางนั่งลง


 


 


“ข้าน้อยรู้ว่าพระองค์ไม่ยอมเสวย แต่พระองค์จะไม่เสวยแม้แต่น้อยไม่ได้นะเพคะ”


 


 


น้ำชาถูกยกมา หนิงอวี้จิบเบาๆ หนึ่งคำ นางอ้าปากหมายจะเอ่ยคำก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้น สาวใช้สองนางย้าย**บไม้ใบหนึ่งเดินเข้ามา พวกนางเปิด**บไม้ออกล้วงเอาน้ำแข็งออกมาวางไว้ในอ่างไม้กลางห้อง แล้วจึงยอบกายคำนับจากไป


 


 


“สองสามวันนี้มั่วหลีไม่อยู่ เจ้าไม่สู้มาพักที่นี่สักสองสามวันเป็นอย่างไร”


 


 


เมื่อหงหลิงนึกถึงมั่วหลีขึ้นมาก็อดไม่ได้ที่จะยกมุมปากยิ้ม เพียงอึดใจเดียวมุมปากก็ตกลง นางพูดขึ้นเสียงเบา “ข้าน้อยอยู่บ้านเก็บข้าวของรอเขาดีกว่าเพคะ สองสามวันนี้…เอาแต่คิดถึงเขาอยู่ตลอดเลย”


 


 


หนิงอวี้กุมมือนางไว้ น้ำเสียงดูไร้เรี่ยวแรง “ลำบากเจ้าแล้ว ประเดี๋ยวข้าจะทูลกับฮ่องเต้ ขอให้พระองค์โปรดให้มั่วหลีกลับมา”


 


 


“ไม่จำเป็นต้องลำบากเลยเพคะ เขามีราชการต้องจัดการ”


 


 


หงหลิงจัดระเบียบแขนเสื้อพลางแสร้งเป็นใจกว้าง ในแววตากลับเต็มไปด้วยความรู้สึกเปล่าเปลี่ยวจนยากจะซ่อนได้


 


 


——


 


 


ช่วงเวลายามบ่าย เว่ยหยวนเดินเข้ายังท้องพระโรง หลบผ่านฉากบังตาไปก็เห็นหนิงอวี้นอนพักอยู่บนแคร่สนม คงเพราะฤดูร้อนอากาศอบอ้าว ผ้าแพรบางคลุมบนไหล่จึงถูกปล่อยให้เลื่อนลงต่ำ


 


 


สาวใช้ที่อยู่ด้านข้างคุกเข่าลงกับพื้น มือโบกพัดกลมไปมาไม่หยุด หน้าต่างถูกงับปิดครึ่งหนึ่ง ลมพัดโชยมาเป็นครั้งคราว ม่านแพรบางขยับไหวเบาๆ


 


 


อาจเพราะม่านแพรบางพลิ้วพัดดังสวบสาบ อาจเพราะฤดูร้อนอากาศอบอ้าว หรืออาจเพราะนอนหลับฝัน หนิงอวี้จึงยังคงขมวดคิ้วแน่น


 


 


เว่ยหยวนเห็นเสื้อผ้านางไม่ค่อยเป็นระเบียบก็ย่นคิ้ว เขาเลื่อนสายตาลงเห็นท้องน้อยนางนูนป่องก็อดยิ้มไม่ได้ จะเป็นแม่คนอยู่แล้ว กลับเอาแต่ทำตัวอย่างกับเด็ก


 


 


“ถวายบัง…”


 


 


“ไม่ต้อง”


 


 


เว่ยหยวนเดินเข้าไปสองสามก้าวแล้วรับพัดกลมมาจากมือสาวใช้พลางโบกไปมา


 


 


“ฮองเฮาเสวยอาหารเที่ยงหรือยัง”


 


 


“ทูลฝ่าบาท” สาวใช้พยักหน้าก็เห็นเขาส่งสัญญาณมือให้เงียบจึงลดเสียงพูดต่ออย่างรีบร้อน “ฮองเฮาทรงเสวยหัวผักตุ๋นเห็ดหอมครึ่งถ้วย เห็ดหูหนูขาวตุ๋นหนึ่งถ้วย แล้วก็ไม่เสวยต่ออีกเพคะ”


 


 


เว่ยหยวนเหลียวกลับไปมองหนิงอวี้ที่เพิ่งผ่อนคลายสีหน้าลงปราดหนึ่งแล้วก็ยิ้มเจื่อนพร้อมส่ายหน้า อวี้เอ๋อร์ช่วงนี้นับวันยิ่งขี้โมโห อะไรนิดหน่อยก็เป็นต้องระเบิดอารมณ์


 


 


เขาสั่งกับหัวหน้าขันทีเป็นพิเศษให้กำชับฝ่ายใน ให้เตรียมน้ำแข็งและขนมอุ่นๆ สั่งให้ทั่วแผ่นดินตามหาพ่อครัวเลื่องชื่อมา หวังให้หนิงอวี้ยอมกินอาหารแต่โดยดี วิธีการนับร้อย ในที่สุดก็ทำให้นางยอมอ้าปากกินอาหารบ้าง


 


 


สาวใช้เห็นฮ่องเต้แววพระเนตรอ่อนโยนจดจ้องไปยังฮองเฮาก็รู้ว่าตนเป็นส่วนเกิน จึงก้าวถอยหลังไป แต่มุมกระโปรงเกี่ยวเข้ากับขาค้ำมุมหนึ่งของฉากบังตา วินาทีถัดมาเสียงผ้าฉีกขาดเสียงหนึ่งก็ดังแว่วเข้ามา


 


 


สาวใช้รีบคุกเข่าลงกับพื้นอย่างลนลาน เว่ยหยวนขมวดคิ้วก็เห็นหนิงอวี้ขมวดคิ้วตื่นขึ้น


 


 


“ฝ่าบาททรงระงับโทสะด้วยเพคะ ข้าน้อยสมควรตายเป็นหมื่นๆ ครั้ง”


 


 


“ออกไปเถิด”


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 330 คลอดยาก


 


 


หนิงอวี้ลืมตาอย่างลำบากก็เห็นเว่ยหยวนกำลังถือพัดกลมในมือ บนพัดกลมมีภาพสาวน้อยไล่จับผีเสื้อท่ามกลางดอกไม้ เว่ยหยวนเพิ่งออกจากมาจากห้องทรงอักษร ยังคงสวมชุดคลุมสีเหลืองสะดุดตา พัดกลมในมือทำให้เขาดูประหลาดตาไม่น้อย


 


 


หนิงอวี้ชูมือขึ้นบิดขี้เกียจราวกับแมวพันธุ์ล้ำค่าจอมเกียจคร้านตัวหนึ่ง นางยกมือไปพาดบนคอเขาแล้วพูดขึ้นเสียงเบา “พระองค์เสด็จมาได้อย่างไรเพคะ”


 


 


เว่ยหยวนยื่นมือซ้ายไปโอบนางไว้แน่น มือขวายังคงขยับพัดโบกอยู่


 


 


“ได้พักสักประเดี๋ยว ก็เลยมาดูเจ้า”


 


 


หนิงอวี้หัวเราะเบาๆ รอยยิ้มที่มุมปากยังไม่เลือนหาย


 


 


“ทรงรับสั่งเสียไพเราะ หม่อมฉันว่าทรงมาเพื่อถามว่าหม่อมฉันรับอาหารเที่ยงหรือยังมากกว่า”


 


 


เว่ยหยวนพยักหน้าแล้วปล่อยนางลงบนแคร่สนม เขาดึงผ้าแพรบางบนไหล่นางอย่างระวังมือไปคลุมบนบ่าที่ขาวดั่งหิมะของนาง


 


 


หนิงอวี้เห็นเขาไม่ตอบจึงเข้าใจไปว่าเขาโกรธ เลยได้แต่กล่าวรับปากว่า “วันนี้อากาศอบอ้าวเหลือเกิน ไว้พรุ่งนี้หม่อมฉันจะกินแต่โดยดีเพคะ”


 


 


“อืม ข้ารู้ หมอหลวงบอกว่า เป็นเพราะเจ้า…ร่างกายอ่อนแอมาก ต้องบำรุงให้ดีๆ”


 


 


หนิงอวี้เผยอปาก แต่นั่นก็ไม่ถึงกับต้องทำไก่ตุ๋นโสม หรือปลากะพงอาเจียวเลยนี่ เว่ยหยวนเห็นนางท่าทีน้อยใจก็กล่อมนางด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “โอ๋ อีกไม่ถึงเดือนแล้ว อดทนอีกหน่อยนะ”


 


 


หนิงอวี้ได้ยิน คำพูดที่ตั้งใจจะพูดในตอนแรกทันใดนั้นก็ต้องกลืนกลับลงไป นางก้มหน้าจ้องเหม่อไปยังมังกรทองไร้เล็บบนชุดคลุมของเขา


 


 


ถ้าหาก นางตายจะเป็นอย่างไร ได้ยินว่าสตรีที่คลอดยากก็ไม่ต่างจากการมีชีวิตรอดจากปากประตูเมืองผี ไหนยัง…มารดาเอง ก็ต้องมาตายไปเพราะนาง


 


 


แต่ก่อนนางไม่เคยเกรงกลัวความตาย แต่ถึงตอนนี้นางก็มีภาระผูกพัน นางได้รู้ด้วยตัวเองจึงเข้าใจความลำบากของบิดา หากนางตายไป เว่ยหยวนจะเป็นอย่างไร ลูกจะคิดเช่นไร จะคอยตำหนิตนเองทุกวี่วันอย่างเช่นนางหรือไม่


 


 


นางเคยแอบถามหัวหน้าสำนักหมอหลวง จึงได้รู้มาว่าสตรีที่คลอดยากนั้นมีไม่น้อยรายเลย เดิมทีนางคิดจะถามว่าตนจะมีโอกาสเพียงใด ทว่าคอกลับตีบตัน ไม่กล้าถามออกไป


 


 


สตรีที่บำรุงครรภ์อย่างดียังไม่อาจหนีพ้นชะตากรรมการคลอดยาก แล้วนับประสาอะไรกับนาง เรื่องที่นางประสบ ณ ราชวงศ์เหนือ ได้รับบาดเจ็บมานับไม่ถ้วน ลำบากมานับไม่ถ้วน ไม่รู้ว่า ลูกจะเป็นอย่างไรบ้าง…


 


 


โหรหลวงกำชับว่าต้องบำรุงมาก แต่นางกลับอดไม่ได้ที่จะร้อนรนใจ เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาก็รู้สึกกลัดกลุ้มอย่างห้ามมิได้ ตอนแรกตั้งใจจะระบายกับหงหลิง แต่นางเองก็กำลังกังวลใจด้วยเรื่องของมั่วหลีอยู่


 


 


รออยู่นานก็ยังไม่ได้คำตอบ เว่ยหยวนหันหน้ากลับก็เห็นหนิงอวี้สองตาแดงก่ำ


 


 


“เป็นอะไรหรือ”


 


 


หนิงอวี้มองเขาด้วยดวงตาอันแดงก่ำแล้วขบฟันส่ายหน้า


 


 


เว่ยหยวนขมวดคิ้ว เขาวางพัดกลมในมือลง ยื่นมือไปรวบหนิงอวี้มาไว้ในอ้อมกอดแล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เสียใจด้วยเหตุใด”


 


 


“หม่อมฉัน…หากหม่อมฉันตาย…”


 


 


“เหลวไหล!”


 


 


หนิงอวี้จ้องเว่ยหยวน นางยกมือขึ้นกุมท้องน้อยแล้วกล่าวต่อ “หากหม่อมฉันตาย พระองค์ต้องหาฮองเฮาใหม่นะเพคะ…ไม่นะ…ห้ามหา!”


 


 


เว่ยหยวนอึ้งงันไปเล็กน้อย ครั้นพอได้สติกลับคืนก็พูดกล่อมนางอย่างรีบร้อน “ไม่มีอะไรหรอก ข้ารับรอง หัวหน้าสำนักหมอหลวง หรือจะหมอเทวดาที่อยู่ท่ามกลางประชาชนข้าก็จะไปเชิญมา วางใจแล้วดูแลตัวเองให้ดี ต้องปลอดภัยอย่างแน่นอน”


 


 


“แต่ ถ้าหาก…”


 


 


“ไม่มีถ้าหาก เจ้าต้องกินยาแต่โดยดี กินอาหารแต่โดยดีด้วย” เว่ยหยวนกอดนางแน่นยิ่งขึ้น “ข้ารับรอง ว่าจะไม่ให้มีอะไรผิดพลาดแม้แต่น้อย”


 


 


“หม่อมฉันกังวลว่า…หม่อมฉันจะเป็นเช่นท่านแม่” หนิงอวี้อดทนพยายามฟังคำพูดสองสามประโยคนั้นไว้ แต่ในใจกลับยังคงโศกเศร้าอย่างยิ่ง “หากหม่อมฉันจากไปจริง พระองค์ต้องดูแลลูกให้ดีนะเพคะ”


 


 


เว่ยหยวนหัวเราะด้วยความโกรธ เขากดเสียงต่ำฟังดูดุดัน “หากเจ้าจากไป ข้าจะไปกับเจ้า”


 


 


ยังไม่ทันสิ้นเสียง เขาก็รู้สึกเสียใจกับน้ำเสียงเมื่อครู่จึงรีบเปลี่ยนน้ำเสียงให้เบาลงแล้วพูดกล่อม “ในเมื่อกังวล พรุ่งนี้ก็กินอาหารแต่โดยดี ข้าตั้งใจหาคนไปเสาะหายาในหมู่ชาวบ้านมา พรุ่งนี้ห้องเครื่องจะจัดการหุงหาให้”


ตอนที่ 331 เพียงสองคนทุกภพทุกชาติ


 


 


มุมหนึ่งของตำหนักเจียวหลานฟุ้งตลบไปด้วยธูปกำยานพวยควันขาวลอยขึ้นอยู่เป็นพักๆ หนิงอวี้ซุกตัวพักผ่อนอยู่บนแคร่สนม ด้านหลังฉากบังตาชุดหนึ่งนั้น เว่ยหยวนกำลังจัดการงานราชการอยู่


 


 


เมื่ออ่านฎีการายงานการทุจริตจบก็ยื่นมือไปหยิบเอกสารอีกฉบับขึ้นมา อัครเสนาบดีฝ่ายซ้ายอายุก็กว่าเจ็ดสิบแล้ว แต่ที่บ้านมีลูกสาวอายุน้อยกำลังอยู่ในวัยสมควรออกเรือน เป็นที่รู้กันทั่วเมืองหลวงว่าทุกวันต้องส่งฎีกามาทักท้วง ทั้งยังส่งมาอย่างตรงเวลาด้วย


 


 


เว่ยหยวนอ่านคำพูดทัดทานที่กล้าหาญสัตย์ซื่อนั้นอย่างละเอียด เขาเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ อัครเสนาบดีฝ่ายซ้ายกล่าวว่าฮองเฮากลับมาทั้งกำลังมีครรภ์ไม่อาจปรนนิบัติได้ สถานการณ์ปัจจุบันมั่นคงแล้ว ชายแดนสงบสุข จึงควรคิดเรื่องพระราชโอรส ควรสรรหาบุตรีจากตระกูลใหญ่ทั้งหลายเพื่อคัดหญิงงามเข้าวังหลัง


 


 


เว่ยหยวนกวาดสายตามองเนื้อหาในฎีกาปราดหนึ่งจึงวางฎีกานั้นลงกับโต๊ะ เขาวางมือลงบนหยกประดับบนเอวแล้วสีมือ สัมผัสนั้นช่างอ่อนโยน


 


 


เขาเอนกายพิงไปบนพนักเก้าอี้ ชำเลืองขึ้นมองไปยังลายปักร้อยปักษีเฝ้าพญาหงส์บนฉากบังตาเงียบๆ ไม่ส่งเสียง ตามหลักแล้ว เขาควรใส่ใจคัดเลือกหญิงสาวจากตระกูลสูงเข้าวัง เพื่อรักษาอำนาจทุกด้านเอาไว้ แม้จะเพียงแค่ใช้เป็นดอกไม้ประดับแจกัน ก็ยังดีกว่าวันๆ ต้องมาอ่านฎีกาตามรบเร้าเช่นนี้


 


 


ทว่าเขากลับไม่ยินยอม เขาไม่อยากให้อวี้เอ๋อร์คิดฟุ้งซ่าน ยิ่งไปกว่านั้น เรื่องราวอุทาหรณ์ของมารดายังคงอยู่ต่อหน้าเขา


 


 


วันที่อวี้เอ๋อร์ช่วยเขาในวันนั้น เขาตะลึงงันกับกระโปรงแดงอันงดงามของนาง นับแต่นั้นช่วงที่คอยแอบติดตามนาง ไม่ใช่เพียงครั้งเดียวที่เขาคิดว่าหากวันหนึ่งได้กอดนางไว้ในอก จะรักใคร่เอ็นดูนางแต่ผู้เดียว มีเพียงสองคนทุกภพทุกชาติไป


 


 


เสียงคลอเพลงเสียงหนึ่งดังแว่วมาจากนอกฉากบังตา ครั้นแล้วก็เปลี่ยนเป็นเสียงพลิกตัวในทันใด เว่ยหยวนมุมปากประดับยิ้ม ลุกขึ้นเดินผ่านฉากบังตาไปช้าๆ


 


 


หนิงอวี้วางมือหนึ่งลงบนท้องน้อยที่นูนขึ้น มืออีกข้างวางบนที่พักแขนอย่างอ่อนแรง ผ้าห่มไหมบางร่วงลง ครึ่งหนึ่งพาดอยู่บนแคร่สนม อีกครึ่งร่วงอยู่กับพื้น


 


 


เว่ยหยวนย่อเข่านั่งลงเก็บผ้าห่มไหมบางแล้วกางมันออกคลุมกายนาง เขานั่งยองกับพื้น ยื่นมือไปทัดปอยผมนางไว้หลังหู


 


 


หนิงอวี้หลับอย่างสนิท มุมบางยังคงประดับยิ้มบางๆ เว่ยหยวนใบหน้าอ่อนโยนขึ้น ก้มหน้าลงประทับจุมพิตร้อนเร่าลงบนหน้าผากนางแล้วกดเสียงต่ำพูดขึ้นว่า “ลำบากเจ้าแล้ว”


 


 


——


 


 


สายลมกลางฤดูร้อนโชยผ่าน ใบบัวทั่วทั้งสระต่างไหวอยู่ไม่หยุด ดูราวกับลูกคลื่นสีเขียวที่พัดขึ้นลง ผิวน้ำกระเพื่อมไหว ปลาหลีฮื้อยื่นหน้าพ้นผิวน้ำขึ้นมาเป็นพักๆ คอยพ่นฟองน้ำออกมาสองสามฟอง


 


 


หนิงอวี้ดื่มน้ำแกงไก่ต้มโสมจนหมดภายใต้การจับตามองของหงหลิงแล้วลุกขึ้นนั่งชันเข่าบนเก้าอี้กลางศาลา สาวใช้เดินเข้ามาสองสามก้าวเพื่อเก็บถ้วยชามแล้วจัดขนมหวานขึ้นวางแทน


 


 


หงหลิงเห็นท่านั่งของนางดูไม่งามจึงกระแอมเพื่อเตือนเบาๆ หนึ่งที หนิงอวี้ได้สติก็ลุกขึ้นยืนพลางยื่นมือไปหยิบตลับไม้ด้านข้างขึ้นมา


 


 


ในตลับไม้มีอาหารใส่ไว้จนเต็ม หนิงอวี้ยื่นมือไปโปรยหนึ่งกำ อาหารปลาร่วงสู่กลางน้ำ ปลาหลีฮื้อนับไม่ถ้วนมุดน้ำขึ้นมา มีทั้งสีทอง สีขาวล้วน สีแสดแดง ไม่ก็สองสีตัดสลับกัน กลางน้ำราวกับดอกไม้บานสะพรั่ง สีสันหลากหลายดาษดื่นตา


 


 


ทันใดนั้น ฝูงปลาก็เปลี่ยนทิศทางแหวกว่ายไปออกไปไกล หนิงอวี้ช้อนตาขึ้นมองก็เห็นอีกฝั่งไกลออกไปนั้นมีหญิงสาวนางหนึ่งยืนอยู่ แม้จะเห็นหน้าไม่ชัดแต่ด้วยรูปร่างอันสะโอดสะองเรียวบางนั้นต้องเป็นหญิงงามนางหนึ่งอย่างแน่นอน


 


 


ในวังไม่มีไทเฮา ทั้งไม่มีองค์หญิง หากมีบุตรีตระกูลขุนนางใดมาก็ควรมาถวายคารวะนาง แต่คนผู้นี้มาจากที่ใดกัน หนิงอวี้ขมวดคิ้วยื่นมือหยิบตลับไม้โยนลงกลางน้ำ


 


 


เสียงดังขึ้น “ตูม” หนึ่ง ครั้นแล้วฝูงปลาต่างว่ายหนีกระเจิง หงหลิงลุกขึ้นยืน ใบหน้าประดับยิ้ม


 


 


“ไปเชิญแม่นางผู้นั้นมา”


 


 


นางกำนัลคุกเข่าอยู่บนพื้น มองหน้ากันไปมาอย่างระวัง ครั้นแล้วก็ลุกขึ้นวิ่งก้าวสั้นไปยังที่แห่งนั้น


 


 


หนิงอวี้เห็นนางกำนัลไปไกลแล้วก็พูดขึ้นเสียงเบา “ไม่ต้อง”


 


 


หงหลิงสั่งให้ผู้คนถอยไปสามก้าวแล้วรีบเดินเข้าไปกระซิบข้างหูนางว่า “ตอนนี้ในราชสำนักขุนนางน้อยใหญ่ต่างยื่นฎีกาเสนอให้รับสนมเข้าวังหลังเพคะ คนผู้นี้มาปรากฏอย่างไม่รู้ที่มา เกรงว่าคงมีเป้าหมายไม่บริสุทธิ์แน่เพคะ”


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 332 ถอยโดยไม่สู้


 


 


หนิงอวี้จ้องตานาง ครั้นแล้วก็หลุบสายตาลงมองรองเท้าปักลาย พักใหญ่จึงพูดออกมาหนึ่งประโยคว่า “นี่เป็นเรื่องจนปัญญาที่จะปฏิเสธได้”


 


 


ต่อให้เป็นเพียงการถ่วงดุลอำนาจ แต่วังหลังยังต้องมีสาวงามถึงสามพันนาง มิหนำซ้ำสายเลือดจักรพรรดิจำต้องสืบทอดขยายเชื้อสายออกไป แต่โบราณมา รัชทายาทคือเรื่องสำคัญยิ่งใหญ่ระดับต้น


 


 


นางไม่รู้ว่าในใจเว่ยหยวนคิดเช่นไรและไม่กล้าที่จะสืบค้น นางไม่อาจปฏิเสธไม่ยอมรับ หนึ่งเหตุผลที่จิตใจว้าวุ่นช่วงตั้งครรภ์นี้ก็คือกลัวว่าเขาจะแต่งสนมเข้าวัง


 


 


เรื่องนี้ นางไม่กล้าเอ่ยกับเขา แม้กระทั่งตกดึกค่ำคืนนึกขึ้นมาก็ต้องเตือนตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่าว่านี่ไม่ถูกต้อง การมีอนุน้อยใหญ่เป็นเรื่องสามัญ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงฮ่องเต้


 


 


เสียงฝีเท้าดังขึ้น หนิงอวี้ชำเลืองขึ้นมอง มุมปากยกยิ้มน้อยๆ ดูงดงามและภูมิฐานไม่น้อย ชายกระโปรงแดงลากกับพื้นราวกับดอกแปะเจียกที่เบ่งบาน


 


 


สาวงามเบื้องหน้ารูปงามสะคราญ สวมชุดกระโปรงยาวสีฟ้าน้ำทะเล บนศีรษะปักดอกโบตั๋นขาวไว้ดอกหนึ่ง นางเดินมาจนถึงหน้าโต๊ะแล้วยอบกายคำนับอย่างสุขุม แววตากลับดูน่ารักมีชีวิตชีวา


 


 


“ซือเย่ว์ถวายบังคมฮองเฮาเพคะ”


 


 


รอยยิ้มมุมปากหนิงอวี้เหือดไป นางพยายามปั้นหน้ายิ้มอีกครั้งแต่กระเทือนเข้ากับรอยแผลยาวบนหน้า หนิงอวี้มองไปยังดวงหน้าขาวผ่องสว่างดั่งเนื้อหยกของนาง รอยยิ้มพลันดูเจื่อนอย่างเต็มประดา


 


 


 “ลุกขึ้นเถอะ”


 


 


หงหลิงเห็นหนิงอวี้ยิ้มเจื่อนก็รู้ว่านางกำลังเศร้าใจ เมื่อเห็นว่าสถานการณ์กำลังจะไม่ดีก็รีบเดินเข้าไปสองสามก้าวแล้วพูดขึ้นเสียงดัง


 


 


สาวน้อยลุกขึ้นอย่างเรียบร้อยเป็นระเบียบ ในแววตากลับไม่อาจซ่อนรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ไว้ได้ หนิงอวี้พยายามปั้นยิ้มแล้วพูดขึ้นอย่างอ่อนโยน “นั่งสิ” ซือเย่ว์หรือ ดูเหมือนนางจะเป็นบุตรีตระกูลสูงเป็นแน่


 


 


“ซือเย่ว์ขอบพระทัยฮองเฮา”


 


 


“เดิมทีซือเย่ว์ตั้งใจจะมาถวายบังคมฮองเฮาก่อน แต่เห็นว่าตอนนี้ก็เที่ยงแล้ว ซือเย่วคิดว่าพระองค์กำลังบรรทมกลางวันเพคะ”


 


 


“อืม”


 


 


ชายกระโปรงกระตุกไหวเบาๆ หนิงอวี้ไม่ต้องเงยหน้าขึ้นมองก็รู้ว่าหงหลิงกำลังร้อนใจอย่างยิ่ง อันที่จริงนางสามารถโยนหินถามทางสอบถามว่านางเข้าวังด้วยเหตุใด


 


 


แต่ทันทีที่เห็นหน้านางก็รู้สึกอายความงามของตนที่สู้นางมิได้ ซือเย่ว์กำลังอยู่ในวัยงามเปล่งปลั่งดูสดใสร่างเริงน่ารัก กิริยาท่าทางยังคงมารยาท แต่นางเล่า บนหน้ามีรอยแผลยาว นิสัยใจคอมุทะลุดุดัน


 


 


ต่อหน้ากองทัพนับพันหมื่น นางไม่เคยก้าวถอยแม้เพียงครึ่งก้าว แต่ต่อหน้าสาวงาม นางกลับถอยหนีไม่สู้ ในใจหนิงอวี้รู้สึกขื่นขมแต่ยังคงยืนอยู่ด้วยใบหน้าสุขุมนิ่ง นางพูดอย่างอ่อนโยนว่า “ดอกบัวหน้าร้อนชูก้าน ซือเย่ว์ค่อยๆ เชยชมเถิด”


 


 


“ซือเย่ว์ส่งเสด็จฮองเฮา”


 


 


หนิงอวี้หันกายกลับ จังหวะเดินสุขุมสง่า มีเพียงมือที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อเท่านั้นที่สั่นเทิ้มอย่างอดมิได้


 


 


หงหลิงขมวดคิ้ว เดิมทีตั้งใจจะเอ่ยปากแต่เมื่อเห็นแขนเสื้อนางกระตุกอยู่เบาๆ จึงยกมือขึ้นคว้ามือนางเอาไว้แน่นแล้วพูดขึ้นเสียงเบา “ฮองเฮาเพคะ ตอนนี้ยังเช้าอยู่ ไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ที่ห้องทรงอักษรหน่อยดีกว่าหรือเพคะ”


 


 


มือที่กุมแน่นสั่นเบาๆ หนิงอวี้ส่ายหน้าแล้วพูดขึ้นเสียงเบา “กลับตำหนัก” ความหมายของหงหลิงนั้น นางเข้าอย่างยิ่ง ทว่า นางเกิดไม่มีความกล้าขึ้นมาเสียอย่างนั้น


 


 


หากเว่ยหยวนเห็นด้วยกับเรื่องนี้นางควรทำอย่างไรดี หรือนางต้องม้วนเสื่อกลับบ้านดี แต่หากต้องอยู่ต่อ นางก็คงอดคิดไม่ได้ว่าตัวเองคงต้องค่อยๆ ตายไปทีละนิดแน่


 


 


ชาติก่อน นางต้องคอยวนเวียนอยู่กับหญิงสาวนับไม่ถ้วน พยายามแย่งชิงความรักส่วนที่ใหญ่ที่สุด แต่มาชาตินี้ นางไม่อยากเป็นเช่นนั้น การปรากฏตัวของเว่ยหยวน คำพูดของเขา ยืนยันรับรองว่านางจะเป็นเพียงหนึ่งเดียวของเขา


 


 


แต่ถ้าหากเขาเปลี่ยนใจเล่า การร่วมหัวลงโรง บางครั้งยังเทียบมิได้กับรอยยิ้มเพียงครั้งเดียวของสาวงาม หนิงอวี้หยุดฝีเท้า มองเหม่อไปยังแปลงดอกไม้ ดอกไม้กลางแปลง ดอกโบตั๋นขาวดอกหนึ่งกำลังบานสะพรั่ง ดอกแปะเจียกอีกดอกนั้นกลับกำลังร่วงโรย


 


 


“ใครก็ได้ มาขุดโบตั๋นขาวต้นนี้ไปทิ้ง!”


 


 


หงหลิงมุ่นหัวคิ้วโบกมือสั่งกำชับนางกำนัล หนิงอวี้กลับส่ายหน้าแล้วพูดขึ้นเสียงเบา “ไม่ต้อง”


 


 


ไม่มีดอกโบตั๋นขาวก็ยังมีกุหลาบเลื้อยสีม่วง ไม่มีกุหลาบเลื้อยสีม่วง ก็ยังมีดอกไม้อื่นอีก


 


 


บางที ควรไปจากที่นี่หรือไม่ หนิงอวี้ยื่นมือไปลูบท้องน้อยแล้วถามอย่างเงียบเชียบ “เจ้าอยากไปกับแม่หรือไม่ รออีกหน่อยนะ”


ตอนที่ 333 คลอดแล้ว


 


 


เมื่อห่อของจัดเก็บเรียบร้อย หนิงอวี้กลับนั่งอยู่บนแคร่สนมมองออกไปไกลๆ เพียงลำพัง อย่างน้อยตอนนี้ ยังไม่มีสนมเข้าวัง ภายใต้ความกดดันหลายอย่าง เว่ยหยวนยังคงไม่เอ่ยปากถึงการคัดเลือก ในเมื่อเช่นนี้แล้ว ในใจเขา นางย่อมมีความสำคัญอย่างแน่นอน


 


 


ผ้าแพรบางถูกเลิกขึ้น สายลมอบอุ่นพัดเข้ากลางห้องแต่พัดเอาไอเย็นจากน้ำแข็งลอยเข้ามา หนิงอวี้ลูบท้องน้อยที่โป่งนูนของตน พลางก้มหน้าครุ่นคิด


 


 


ประการแรก นางใกล้ถึงกำหนดคลอดแล้ว ไม่ควรเดินทางไกล ประการที่สอง นางไปไม่อยากไปจากเว่ยหยวน…อย่างน้อย ความจริงอันนองเลือดเช่นนั้นก็ยังไม่ได้ปรากฏต่อหน้า


 


 


นกเหยี่ยวที่บินวนเหนือทุ่งหญ้าในตอนแรกกลับบินถลาลงกลางรังงู นางกินมันเป็นอาหารแต่กลับถูกพันรัดขาทั้งคู่เอาไว้แน่น พยายามที่จะตะเกียกตะกาย สุดท้ายกลับยอมอยู่ข้างกายมันแต่โดยดี ต่อให้ต้องกลายเป็นอาหารงูดำนั้นก็ตาม


 


 


ในจังหวะนั้นเอง เจ้าดำก็เลื้อยไปบนอิฐปูพื้นสีเทาเลื้อยผ่านพรมเปอร์เซีย เกล็ดอันละเอียดเสียดสีไปบนขนกำมะหยี่เกิดเสียงดังชวนขนลุก


 


 


บนมือสัมผัสได้ถึงความยะเยือก เจ้าดำเลื้อยวนไปบนแขน ชูลำตัวครึ่งบนจ้องไปยังหนิงอวี้ ดวงตาเล็กเรียวสีเหลืองทองดูเยือกเย็นไร้ซึ่งอารมณ์ หนิงอวี้มองประสานตากับมันสีหน้านิ่งเฉย ครั้นแล้วก็ถอนหายใจเบาๆ หนึ่งที


 


 


เจ้าดำคายลิ้นสองแฉกสีแดงสดออกมาแล้วเลียไปบนหน้าของนางอย่างสนิทสนม ครั้นแล้วก็พันขดเป็นก้อนนอนหลับอย่างว่าง่าย


 


 


หนิงอวี้ยกมุมปากยิ้มน้อยๆ ที่จริงแล้ว เจ้าดำไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้น มันพร้อมที่จะหุบซ่อนเขี้ยวโค้งของมันเพื่อนาง คอยตามอยู่ข้างกายนางด้วยความสนิทสนมและดื้อดึง


 


 


——


 


 


“เร็วเข้า รีบไปตามหมอตำแยมา!” หงหลิงใบหน้าแดงก่ำด้วยความร้อนใจ นางตะโกนร้องเสียงดัง “รีบไปตามหมอหลวงมา ฮองเอาจะให้ประสูติแล้ว!”


 


 


“เจ้าค่ะ”


 


 


หงหลิงมองไปยังหนิงอวี้ที่กำลังใบหน้าเหยเกด้วยความเจ็บปวดก็ร้อนใจจนกระทืบเท้า คว้าตัวบ่าวหญิงนางหนึ่งแล้วพูด “ไปเชิญเสด็จฮ่องเต้มาดูแลด้วย”


 


 


หนิงอวี้เหงื่อผุดพรายบนหน้าผาก นางปวดจนแทบสิ้นสติ แต่ยังคงได้ยินเสียงพูดคุยอย่างชัดเจน เสียงเคาะระฆังดังแว่วมา น่าจะรุ่งเช้าแล้ว


 


 


“ไม่…ต้องเชิญเสด็จพระองค์”


 


 


หนิงอวี้ขบริมฝีปากเค้นคำพูดออกมาประโยคหนึ่ง ครั้นแล้วก็หมดสติไป หงหลิงเห็นนางอ่อนยวบลงกับเตียงก็รีบเดินเข้าไป ร้อนใจจนน้ำตาพรั่งพรูราวกับน้ำพุ


 


 


“ฮองเฮาเพคะ! รีบไปเชิญหมอหลวงมา มัวแต่ตะลึงอะไรกันอยู่!”


 


 


“น้ำร้อน กรรไกร ผ้า รีบไปเอามาสิ!”


 


 


หงหลิงร้อนรนใจจนหัวหมุน คอยสั่งสาวใช้วิ่งเข้าออกตำหนัก หมอหลวงพาเย่าถงรีบวิ่งเข้ามา เครายาวสีขาวสองแฉกขยับไปมา


 


 


“ฮูหยินมั่ว จะให้เชิญเสด็จฮ่องเต้หรือไม่เจ้าคะ”


 


 


หงหลิงนิ่งอึ้ง ครั้นแล้วก็กดเสียงต่ำพูดขึ้นว่า “ส่งคนไปเฝ้าอยู่ข้างตำหนักจินหลวน หากฮ่องเต้ทรงเลิกประชุมแล้วให้เชิญเสด็จมาทันที”


 


 


ทันทีที่สิ้นคำ หนิงอวี้ก็ร้องขึ้นหนึ่งครั้งด้วยความเจ็บปวด ชายกระโปรงสาดย้อมจนแดงด้วยเลือด หงหลิงก้าวเข้าไปสองสามก้าว ยื่นมือไปกุมมือนางไว้แน่นแล้วตะโกนขึ้นเสียงดัง “นายหญิง พระองค์อย่าได้กลัว ฝ่าบาทเลิกประชุมแล้วจะรีบเสด็จมาแน่ บ่าวจะคอยอยู่ข้างพระองค์ตลอดเลยเพคะ”


 


 


หนิงอวี้สะดุ้งตื่นด้วยความเจ็บ พยายามประคองสติกลับมาก็เห็นหงหลิงร่ำไห้จนสองตาแดงก่ำ ภาพใบหน้าหงหลิงเริ่มพร่ามัว หนิงอวี้ฝืนยกมุมปากยิ้ม เหงื่อที่ผุดบนหน้าผากไหลลงมา


 


 


“ข้ารู้”


 


 


เสียงอื้ออึงข้างหู สตินางค่อยๆ เลือนรางไป เจ็บ เจ็บยิ่งกว่าบาดแผลทั้งหมดที่เคยโดนมาทั้งหมดรวมกันเสียอีก คงจะมีเพียงความเจ็บปวดถึงขั้วหัวใจเมื่อชาติก่อน ตอนที่ยาพิษไหลผ่านลำคอไปนั้นถึงจะเทียบกันได้


 


 


ที่แท้ ตอนที่มารดาให้กำเนิดนางนั้น เจ็บปวดเช่นนี้นี่เอง หนิงอวี้คิดด้วยสติอันเลอะเลือน เหลียวไปมองก็เห็นคนกลุ่มหนึ่งกำลังยืนอยู่ข้างเตียง หงหลิง จิ้นอิน แพทย์หลวง คนที่เหลือไม่รู้จัก


 


 


หนิงอวี้พลิกตัว เว่ยหยวนอยู่ไหน อ๋อ เขากำลังว่าราชการ หนิงอวี้คิดไปพลางน้ำตาไหลออกมาอย่างมิอาจทนได้ ที่จริงแล้วนางกลัวมาก กลัวเจ็บกลัวตาย กลัวที่จะต้องเผชิญทั้งหมดนี้เพียงลำพังคนเดียว


 


 


“ท่านหมอหลวง ฮองเฮาเป็นเช่นไรบ้าง”


 


 


“เอ่อ รีบไปต้มน้ำโสมมา”


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 334 รักษาแม่หรือรักษาเด็ก


 


 


ความเจ็บปวดอย่างรุนแรงปะทุขึ้นเป็นระยะโหมมาระลอกแล้วระลอกเล่า หนิงอวี้ถอนหายใจเฮือกใหญ่ เหงื่อไหลราวกับสายฝน นางยื่นมือไปทึ้งผ้าห่มนวมปักลายโบตั๋นพญาหงส์คู่ สติใกล้จะเลือนลางเต็มที


 


 


“ฮองเฮา ออกแรงอีกหน่อยพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


“จะคลอดแล้ว! นายหญิงเพคะ!”


 


 


มือหนิงอวี้ขยำผ้าขี้ริ้วจนเป็นก้อน เล็บสีแดงสดถูกเสียดสีจนลอกเป็นลายพร้อย


 


 


น้ำโสมคำหนึ่งถูกป้อนลงในปาก หนิงอวี้ยืดคอขึ้นพยายามกลืนลงไปอย่างลำบาก หงหลิงเห็นนางริมฝีปากซีดเผือดเต็มไปด้วยรอยฟันขบก็อดไม่ได้ที่จะปวดร้าวใจ นางรีบหยิบผ้าชุบน้ำร้อนขึ้นมาอุดลงกลางปากนาง


 


 


 “นายหญิง ทนอีกนิดนะเพคะ” หงหลิงนั่งข้างกายนาง เอาผ้าชุบน้ำร้อนซับเหงื่อบนหน้าผากนาง “ใกล้จะเสร็จแล้ว ข้าน้อยรู้ว่าพระองค์กลัวเจ็บ”


 


 


ทันทีที่สิ้นเสียง น้ำตาที่กลั้นไว้อยู่นานก็พรั่งพรูออกมา หนิงอวี้สีหน้าซีดขาว มองไปยังหงหลิงพลางพยักหน้า ครั้นแล้วก็ยื่นมือไปดึงผ้าห่มแพรแน่น


 


 


“ฝ่าบาท! พระองค์จะเสด็จเข้าไปไม่ได้นะพ่ะย่ะคะ นี่ไม่ต้องตามธรรมเนียมนะพ่ะย่ะค่ะ!”


 


 


เสียงหัวหน้าขันทีแว่วมาจากนอกประตู หงหลิงหันไปพยักหน้ากับหนิงอวี้ ครั้นแล้วก็รีบเดินออกห้องไป


 


 


“ถอยไป”


 


 


เว่ยหยวนกวาดสายตามองผู้คนที่คุกเข่ากับพื้นสีหน้าเรียบเฉยแล้วยกเท้าก้าวเดินไป หัวหน้าขันทีโผเข้าไปกอดเท้าเขาไว้ แล้วตะโกนเสียงดัง “ฝ่าบาท เช่นนี้ผิดธรรมเนียมนะพ่ะย่ะค่ะ แต่โบราณมาไม่เคยมีเรื่องเช่นนี้ พระองค์ทรงทำเช่นนี้…จะเป็นการละเมิด…”


 


 


คำพูดหยุดขึ้นลงกลางครัน หัวหน้าขันทีรีบก้มหน้าลงยกมือขึ้นตบหน้าตัวเอง “ข้าน้อยสมควรตาย ข้าน้อยสมควรตาย”


 


 


เว่ยหยวนยกเท้าขึ้นถีบเขาจนคว่ำกับพื้นแล้วยื่นมือไปหมายจะเปิดประตู วินาทีนั้น ประตูห้องก็เปิดขึ้นเอง หงหลิงคุกเข่าลงกับพื้น


 


 


“ถวายบังคมฝ่าบาท เพลานี้ฮองเฮากำลังให้ประสูติพระราชโอรสในห้องเพคะ”


 


 


เว่ยหยวนพยักหน้ารับด้วยสีหน้าเยือกเย็น แต่มือทั้งคู่กลับกำหมัดแน่นจนเส้นเลือดปูดโปน เว่ยหยวนยกเท้าขึ้นตั้งใจจะก้าวข้ามธรณีประตู หงหลิงกลับพูดขึ้นโดยฉับพลัน “ฝ่าบาท ไม่ได้เด็ดขาดนะเพคะ”


 


 


เหล่าสาวใช้ที่ถือผ้าที่ชุ่มไปด้วยเลือดสดทยอยเดินออกมา สาวใช้ต่างใช้มือประคองอ่างน้ำร้อนเดินตามกันเข้าไป เว่ยหยวนกวาดสายมองฝูงคนที่กำลังโกลาหลกันปราดหนึ่งแล้วก้าวข้ามธรณีประตูไปโดยไม่แยแส


 


 


อวี้เอ๋อร์กำลังทนทรมานอยู่ด้านใน แล้วเขาจะมัวยั้งฝีเท้าเพราะเรื่องไร้สาระเหล่านี้ได้อย่างไร เขาเคยบอก ว่าชีวิตนี้จะไม่ทำให้นางต้องร้องไห้ ไม่ให้นางต้องเจ็บปวด ไม่ให้นางต้องลำบาก


 


 


แต่ว่าตอนนี้นางอยู่ด้านใน กำลังทนกับความเจ็บปวดอยู่เพียงลำพัง นางกำลังทรมาน กำลังทนทุกข์ จนห้ามน้ำตาไว้ไม่อยู่เป็นแน่ ต่อให้มีทหารนับพันหมื่นขวางกั้น เขาก็จะฝ่าไปอย่างสุขุมนิ่ง นับประสาอะไรกับประตูที่ขวางกั้นเพียงบานเดียวและธรรมเนียมปฏิบัติเพียงเล็กน้อยนี้


 


 


ฉลองพระบาทสีเหลืองทองย่ำลงบนแผ่นหินปูพื้นสีเทาอมน้ำเงิน ฝีเท้าเร่งรีบ ทั้งๆที่ห่างเพียงไม่ถึงสิบก้าว แต่เขากลับรู้สึกว่ามันช่างยาวนานยิ่งนัก


 


 


คนกลุ่มหนึ่งรายล้อมอยู่หน้าเตียง กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งตลบไปทั่วห้อง เว่ยหยวนเดินผ่านคราบเลือดบนพื้นไปโดยไม่ใส่ใจ ปล่อยให้ฉลองพระองค์มังกรสีเหลืองทองอันเป็นสัญลักษณ์แห่งอำนาจเลอะด้วยคราบเลือด


 


 


 “อวี้เอ๋อร์ ขอโทษที่ข้ามาช้า”


 


 


หนิงอวี้สองมือกุมผ้าห่มไหมแน่น ดึงทึ้งจนขาดเป็นรูโหว่ขึ้นมาหนึ่งรู ได้ยินดังนั้นก็ยิ้มขึ้นมาอย่างน่าเวทนา น้ำตาเอ่อรื้นหางตา เหงื่อไหลรินออกจากหน้าผาก


 


 


“ฝ่าบาท”


 


 


“ไม่ต้องคารวะ ฮองเฮาเป็นเช่นไรบ้าง”


 


 


“ทูลฝ่าบาท คาดว่าฮองเฮา…”


 


 


“อันตรายถึงชีวิตหรือไม่”


 


 


หมอหลวงคุกเข่าลงกับพื้น มือทั้งคู่ที่เลอะไปด้วยเลือดสั่นเทาไม่หยุด


 


 


“อาจเป็นไปได้…ขอฝ่าบาททรงพิจารณาด้วยพ่ะย่ะค่ะ ว่าจะรักษาแม่หรือเด็กไว้”


 


 


หนิงอวี้ได้ยินก็อึ้งไปชั่วครู่ มือนางค่อยๆ คลายออก แล้วยกมือขึ้นอย่างลำบากดึงชายเสื้อเว่ยหยวนเอาไว้แน่น


 


 


“รักษาแม่”


 


 


เว่ยหยวนกุมมือนาง ทันใดนั้นก็พบว่านิ้วมือนางเย็นเฉียบอย่างมาก เขานั่งอยู่ขอบเตียงก้มหน้าจุมพิตลงบนมือนางหนึ่งที


 


 


หนิงอวี้ส่ายหน้า ไม่ได้นะ เด็กคนนี้ เขาคือคนที่ทำให้นางมีความหวังท่ามกลางความลำบาก


ตอนที่ 335 กัดข้อมือข้าไว้


 


 


มิหนำซ้ำ ตัวเลือกของมารดาในตอนนั้นก็คือรักษาเด็กเอาไว้ เขายังไม่คลอดออกมา ยังไม่เคยแม้แต่เห็นแสงตะวันบนโลกมนุษย์ ไม่เคยแม้แต่ได้กลิ่นหอมของมวลดอกไม้เลยด้วยซ้ำ


 


 


หนิงอวี้อ้าปากหมายจะเอ่ยคำ แต่จนปัญญาด้วยผ้าอุดปากนางเอาไว้แน่น นางได้แต่ส่ายหน้าด้วยน้ำตา แล้วดึงแขนเสื้อเขา เว่ยหยวนยกมือขึ้นปาดเหงื่อบนหน้าผากนางเบาๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ข้าต้องการเพียงเจ้าก็พอ”


 


 


“หากเจ้าตาย” เว่ยหยวนสีหน้าสุขุมนิ่ง พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสงบ “ข้าจะฆ่าตัวตาย ไปปรภพเป็นเพื่อนเจ้า”


 


 


“หนทางที่นั่นมืดยิ่งนัก กลางคืนที่นั่นยังเหน็บหนาว ข้าจะเป็นเพื่อเจ้าคอยจูงมือเจ้าไว้”


 


 


เว่ยหยวนลุกขึ้นยืนแล้วตะโกนออกคำสั่ง “ต้องรักษาชีวิตฮองเฮาไว้ให้ได้ ส่วนเด็ก ทำให้เต็มที่ส่วนที่เหลือแล้วแต่สวรรค์”


 


 


หัวหน้าขันทีคุกเข่าลงกับพื้น เขาคิดไปว่าเว่ยหยวนทรงเป็นฮ่องเต้ผู้เด็ดเดี่ยวยิ่งนัก


 


 


เขาออกรบเข่นฆ่าเด็ดขาด ทุกท่วงท่าล้วนแต่สามารถปลิดชีพผู้คนนับไม่ถ้วน เขาออกศึกพิชิตสมรภูมิ เพียงแค่จัดขบวนทัพก็สามารถบั่นเศียรหัวหน้าฝ่ายข้าศึกได้ แม้ยามที่เขาสังหารพระราชบิดา ท่าทีกลับสุขุมใบหน้าประดับด้วยยิ้ม


 


 


เขาคิดไปว่า ราชวงศ์ใต้ได้ฮ่องเต้ผู้เ**้ยมหาญเด็ดเดี่ยว ใครจะไปคิดว่า การที่ฮ่องเต้ทรงเ**้ยมโหดนั้น ทั้งหมดก็เพื่อความอ่อนโยนเพียงเรื่องเดียวนี้


 


 


หัวหน้าขันทีขาอ่อนยวบลงกับพื้น ความยิ่งใหญ่หรือพินาศของราชวงศ์ใต้มิได้อยู่ในพระหัตถ์ของฮ่องเต้ ไม่ได้อยู่ที่การจัดการวางแผนของขุนนาง แต่กลับอยู่ในมือฮองเฮา ทุกการกระทำของนาง ทุกการเคลื่อนไหวของนาง ส่งผลต่อทั้งราชวงศ์


 


 


เว่ยหยวนหันกลับไปข้างกายหนิงอวี้ เขากุมมือนางไว้แน่นด้วยความรู้สึกผิด


 


 


“ข้ารับรอง ว่าจากนี้จะไม่ให้เจ้าต้องลำบากเช่นนี้อีก”


 


 


หนิงอวี้ยังคงจมอยู่กับคำพูดนั้นที่ว่า ‘แล้วแต่สวรรค์ของเขา’ นางได้ยินแล้วอยากจะระเบิดความโกรธออกมา แต่ก็ทำได้เพียงขมวดคิ้วแน่นโดยไร้ซึ่งเรี่ยวแรง นางได้แต่จ้องถมึงทึงยังเว่ยหยวน พยายามเต็มสุดแรงที่จะกุมมือเขาไว้ให้แน่น


 


 


ถึงแม้จะถลึงตาจ้อง แต่เพราะไร้ซึ่งเรี่ยวแรงจึงดูอ่อนแอยิ่งนัก เว่ยหยวนยื่นมือไปดึงผ้าออกจากปากนาง แล้ววางมือนางลงยังขอบเตียง หนิงอวี้ชะงักนิ่ง อ้าปากหมายจะเอ่ยคำ ทันใดนั้นกลับได้ยินเสียงหมอตำแยตะโกนขึ้นดัง


 


 


“ฮองเฮา พระองค์ออกแรงหน่อยเพคะ ศีรษะจะโผล่ออกมาแล้ว”


 


 


แม้ว่าจะเจ็บปวดเป็นละลอก หนิงอวี้สีหน้ายังคงตกใจและยินดี เว่ยหยวนได้ยินเช่นนั้นสีหน้ายังคงนิ่งสุขุม ไม่แสดงความโศกเศร้าหรือยินดี ได้แต่จ้องหนิงอวี้อยู่เงียบๆ แล้วพูดขึ้นเสียงเบาว่า “กัดข้อมือข้าไว้”


 


 


หลังจากอวี้เอ๋อร์กลับมาจากราชวงศ์เหนือ เขามักจะคิดว่านางทำเกินไปอยู่บ้าง ความโกรธเคืองคละเคล้า ทำให้เขาอดคิดที่จะทรมานนางไม่ได้ แต่เมื่อสุดท้ายแล้วกลับเป็นเขานั่นเองที่ทำร้ายนางอย่างรุนแรงที่สุด


 


 


“หม่อมฉัน…โอ๊ย…ต้องการเด็กคนนี้!”


 


 


ประโยคที่ติดขัด แทรกด้วยเสียงหายใจหอบจากความเจ็บปวดอย่างถึงที่สุด เว่ยหยวนก้มหน้าลงแล้วกระซิบข้างหูนางอย่างอ่อนโยน “ได้ เจ้าอยากได้อะไรข้ารับปากหมด”


 


 


“ข้าเพียงแต่ขอร้องเจ้า อย่าจากข้าไป”


 


 


ช่วงเวลาเที่ยง องครักษ์ปีนขึ้นไปบนหอสูงผลักไม้ซุงท่อนเขื่องตีกระทบระฆัง ทารกแรกเกิดเลือดท่วมทั้งกาย หลับตาร้องไห้เสียงดัง เสียงทั้งสองดังขึ้นประสานกัน เว่ยหยวนก้มหน้าลงลูบแก้มนาง “ข้าขอโทษ”


 


 


“ขอแสดงความยินดีพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท ฮองเฮา พระราชโอรสผู้เปรื่องปราดและน่ารักพ่ะย่ะค่ะ!”


 


 


ผู้คนทั้งหลายคุกเข่าลงทั่วพื้น ต่างตะโกนพูดขึ้นมาอย่างพร้อมเพียงกัน มือที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อในที่สุดก็หยุดสั่น


 


 


หนิงอวี้เหยียกปากยิ้มหนึ่งที่อย่างอ่อนแรง นางยื่นมือไปหมายจะค้ำเตียงผลักตัวลุกขึ้นแต่นางกลับถูกเว่ยหยวนใช้แรงกดไว้อย่างแข็งกร้าวแต่อ่อนโยน


 


 


“เว่ยหยวน…”


 


 


“ข้ารู้ว่าเจ้าเหนื่อย หลับเถอะนะ ข้าจะอยู่เป็นเพื่อนเจ้า”


 


 


เว่ยหยวนก้มหน้าลงจุมพิตบนหน้าผากนางแล้วดึงผ้าห่มขึ้นห่มให้


 


 


หงหลิงรับเด็กมาจากมือหมอตำแย หยอกเย้าเล่นด้วยรอยยิ้มอ่อนหวาน นางอ้าปากกำลังจะเอ่ยคำ ก็เห็นหนิงอวี้ท่าทางอ่อนแออย่างยิ่งหางตาก็พลันน้ำตาไหลออกมาอย่างไม่อาจห้ามได้


 


 


“ฮองเฮา พักผ่อนก่อนเถิดเพคะ หม่อมฉันจะดูแลพระโอรสองค์น้อยเอง พระองค์ทรงโปรดวางใจเถอะเพคะ”


 


 


หนิงอวี้ได้ยินหงหลิงพูดรับปากอย่างสัตย์ซื่อ จึงหลับตาทั้งคู่ลงช้าๆ


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 336 มาโดยไม่ได้รับเชิญ


 


 


ประสูติกาลของพระราชโอรส เสียงระฆังดังระงมไปทั่วทั้งวังหลวง ทันใดนั้นหิมะก็โปรยปรายลงมา ปกคลุมไปทั่วเมืองหลวงอย่างอ่อนโยน


 


 


เว่ยหยวนนั่งอ่านหนังสือราชการอยู่ข้างเตียง คอยชำเลืองมองหนิงอวี้อยู่พักๆ เพื่อให้แน่ใจว่านางไม่ได้เตะผ้าห่มทิ้ง สำหรับเรื่องเด็ก ให้ชื่อว่า ‘จงเอ๋อร์’ ไม่ใช่ ‘จง’ ที่แปลว่า ‘ระฆัง’ แต่เป็น ‘จง’ ที่หมายถึง ‘ความรักมั่นลึกซึ้ง’


 


 


หนิงอวี้นอนหลับอย่างสงบ มุมปากแฝงด้วยรอยยิ้มเลือนราง เว่ยหยวนวางวางหนังสือราชการลงแล้วลูบไปบนหน้านาง


 


 


——


 


 


เมื่อพระโอรสได้หนึ่งเดือน ทั่วเมืองหลวงต่างประดับด้วยโคมและผ้าสีขาวราวหยกสลับสีแดงสดแต่งประดับดาษดื่นไปทั่ว หนิงอวี้ในชุดกระโปรงแดงซ้อนสลับหลายชั้นตัวหนึ่ง อุ้มทารกในผ้าอ้อมสีเหลืองทองไว้ในมือ


 


 


เด็กน้อยในผ้าอ้อมสีเหลืองทองใบหน้าขาวผ่องดั่งหยก มุมปากประดับยิ้ม ยื่นนิ้วอันอวบอ้วนชี้เล่นไปกลางอากาศ หนิงอวี้ก้มหน้ายิ้มหวานแล้วยื่นนิ้วชี้แตะนิ้วเขา นางพูดขึ้นเสียงเบา “อันเอ๋อร์เด็กดี”


 


 


เด็กน้อยยิ้มน้อยๆ คิ้วดำขลับคมเข้มเหยียดโค้ง หนิงอวี้หัวเราะเบาๆ เหวี่ยงทารกในอ้อมกอดไปมาเบาๆ ท่วงท่าดูงุ่มง่ามอยู่เล็กน้อย


 


 


ชื่อเล่นของเด็กผู้นี้ คือ ‘อันเอ๋อร์’ นางผ่านเรื่องราวมามากมาย สุดท้ายปรารถนาก็เพียงแค่มีชีวิตอยู่อย่างสงบสุข “อันเอ๋อร์” หนิงอวี้จ้องไปยังดวงตาน้อยที่กลอกมองไปมาไม่หยุดของเขาอย่างตั้งใจ


 


 


“แม่ไม่ขอให้เจ้าสร้างคุณงามความชอบยิ่งใหญ่ ขอแค่เจ้ามีชีวิตอยู่ด้วยสุขสงบก็พอ”


 


 


สุขสงบนะ หนิงอวี้ยกมุมปากยิ้ม เบ้าตากลับมีน้ำตาเอ่อล้น บิดาก่อนสิ้นใจ ประโยคที่พูดไว้เพียงครึ่งคำก็คือคำว่า ‘สุขสงบ’ นั่นเอง


 


 


 “ฮองเฮาเพคะ ได้เวลาแล้วเพคะ”


 


 


แม่นมที่อยู่ด้านข้างเดินเข้ามา รับตัวอันเอ๋อร์ไปพลางยอบกายคำนับแล้วถอยออกสองสามก้าว หนิงอวี้พยักหน้าแล้วเดินเข้าไปกลางท้องพระโรงโดยมีจิ้นอินคอยพยุง


 


 


เหล่าขุนนางทั่วทั้งท้องพระโรงคุกเข่าลงกับพื้น เว่ยหยวนในชุดสีเหลืองทองทั้งตัวนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรจ้องมายังนางด้วยแววตาอ่อนโยน หนิงอวี้ใบหูเห่อร้อนขึ้นมาเล็กน้อย อดไม่ได้ที่จะยินดีกับตัวเองที่วันนี้นางทาแป้งชาดมาด้วย


 


 


ชุดกระโปรงแดงยาวซ้นสลับหลายชั้น ปักลายพญาหงส์จุติกลางเพลิงตัวหนึ่ง เส้นผมดำขลับถูกรวบตึง สวมด้วยมงกุฎหงส์อันวิจิตรหรูหรา หนิงอวี้ใบหน้าประดับยิ้มพอประมาณ ทุกย่างก้าวงามสง่าสุขุม


 


 


ขุนนางนับร้อยคุกเข่ากับพื้น มีเพียงสองสามคนข้างพรมกำมะหยี่แดงที่ไม่ได้คุกเข่า ได้ยินว่าเป็นทูตจากราชวงศ์เหนือ รอยยิ้มบนมุมปากหนิงอวี้จางไปเล็กน้อย ชั่วอึดใจเดียวก็เหือดไปจนสิ้น ในหมู่ทูตมีคนผู้หนึ่งหันมา คนผู้นั้นสวมชุดสีม่วง บนหน้าสวมหน้ากากเขียวเขี้ยวโง้ง เขาคือหนิงเฝ่ย


 


 


หนิงอวี้ชะงักเล็กน้อย สาวใช้ที่อยู่ด้านข้างสังเกตได้ก็รีบเข้าไปประคองนางอย่างรีบร้อน เมื่อเห็นสายตาเว่ยหยวนที่จดจ้องนาง หนิงอวี้ก็ชำเลืองขึ้นฝืนปั้นหน้ายิ้มออกมาหนึ่งทีเพื่อให้สบายใจ


 


 


ราชวงศ์เหนือใต้อยู่ร่วมกันอย่างสันติ ไม่ต้อสู้รบพุ่งชนกันอีก บางครั้งได้ยินเหล่าขุนนางคุยกันว่าฮ่องเต้แห่งราชวงศ์เหนือจะสละราชบัลลังก์ในไม่ช้า มู่หรงเหยียนจะขึ้นครองราชย์เป็นฮ่องเต้


 


 


เว่ยหยวนลุกขึ้นยืนแล้วเดินลงบันไดช้าๆ เขาจูงมือนางก้าวขึ้นบันใด มือถูกห่อหุ้มด้วยความอบอุ่น ความกลัดกลุ้มรุ่มร้อนในใจพลันหายไปกว่าครึ่ง หนิงอวี้ชำเลืองขึ้นแล้วมองไปยังเขาปราดหนึ่งด้วยรอยยิ้มอ่อนหวาน


 


 


เกิดเรื่องต่างๆ มากมาย เผชิญหน้ากับความเป็นความตาย สุดท้ายคนที่ยังอยู่เคียงข้างนางก็คือเขา จงเอ๋อร์อยู่ในอ้อมกอดแม่นมกำลังหัวเราะคิกๆ ไม่หยุด พลางยื่นนิ้วน้อยๆ ออกมา


 


 


กลางอุทยานหลวงปลูกต้นบ๊วยแดงจนทั่ว กลิ่นหอมโชยไกลสิบลี้ บัดนี้ปลายฤดูหนาว ดอกบ๊วยแดงร่วงโรยหล่นลงเป็นจุดแดงๆ บนหิมะขาว


 


 


หนิงอวี้ยืนอยู่ใต้ต้นไม้ ยืนมือข้างหนึ่งก่ายไปบนกิ่งบ๊วยแล้วยิ้มน้อยๆ ชุดบนกายนางยังไม่ทันเปลี่ยน พญางหงส์จุติกลางเพลิงแต้มไปด้วยจุดแดงน้อยๆ ดูคล้ายเปลวไฟสีแดงสดลุกโชติ


 


 


เสียงเล็กๆ เสียงหนึ่งดังขึ้น หนิงอวี้ช้อนตามองก็เห็นหลังภูเขาจำลองมีชายเสื้อสีม่วงปรากฏขึ้นเป็นจุดเล็กๆ…ชายเสื้อสีม่วง หนิงอวี้มุ่นหัวคิ้วหันกายกลับ วินาทีต่อมานางยั้งฝีเท้าลงแล้วพูดขึ้นเสียงเบา “พวกเจ้าไปก่อน ข้าชมดอกบ๊วยลำพังได้ จิ้นอิน ดูแลอันเอ๋อร์ให้ดีด้วย”


 


 


“เพคะ”


 


 


จิ้นอินค้อมกายคำนับ เหลือบหางตามองไปยังภูเขาจำลองปราดหนึ่ง แววตาแอบแฝงซ่อนเร้น นางก้มหน้ารีบคำนับแล้วถอยออกไป

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม