วาสนาบันดาลรัก 328-334

ตอนที่ 328 สอบปากคำ

 

นางเถียนร้อนใจจนเหงื่อเย็นไหลซึม ขณะกำลังจะพูดบางอย่าง เจินเมี่ยวกลับเอ่ยออกมาเบาๆ ว่า “ท่านย่า ยามนี้อาสะใภ้สี่ตั้งครรภ์ อาสะใภ้สามก็กำลังเป็นกังวลกับสินเดิมที่จะมอบให้น้องรอง ข้าเป็นคนโง่เขลาคนหนึ่งเท่านั้น หากอาสะใภ้รองสุขภาพแข็งแรงดีแล้วก็มิสู้ให้อาสะใภ้รองจัดการดูแลจวนเช่นเดิมเถิด ข้าเพียงคอยติดตามร่ำเรียนเอาความรู้ก็พอแล้ว”


 


 


บ่าวไพร่ที่เห็นบั้นท้ายของคุณชายรองมีมากมายนัก ถึงตอนนั้นต้องลงโทษคนไปมากเท่าใดกัน หากนางลงโทษเบาเกินไปก็มิดี ลงโทษหนักเกินไปก็ไม่ได้ เช่นนั้นก็มอบให้มารดาของผู้ประสบเคราะห์จัดการเองเถิด


 


 


แรกเริ่มนั้นนางเถียนยินดียิ่งแต่ต่อมากลับลังเลขึ้นหลายส่วน


 


 


จะมีผู้ใดยอมยกอำนาจการดูแลจวนให้ผู้อื่นบ้าง คงมิได้มีแผนอันใดกระมัง


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าได้ยินเช่นนั้นกลับหันไปมองนางเถียนคราหนึ่ง แล้วเอ่ยถามด้วยความห่วงใยว่า “นางเถียน สุขภาพเจ้าช่วงนี้เป็นอย่างไรบ้างแล้ว”


 


 


นางเถียนอึ้งงันไป


 


 


ต่อไปตระกูลมารดาก็มิอาจช่วยเหลือนางได้อีก หลานสาวทั้งสองก็มาอาศัยอยู่ที่จวนกับนาง งานมงคลของบุตรชายทั้งสองก็ต้องจัดให้สมเกียรติ หากจะใช้แค่เงินของจวนที่มีไว้เพื่อจัดงานมงคลคงไม่พอแน่ หากนางมิอาศัยโอกาสนี้รับเอาอำนาจการดูแลจวนกลับมา ต่อไปคงยิ่งไม่มีโอกาสแล้ว


 


 


นางเผยรอยยิ้มออกมา “สะใภ้หายดีแล้วเจ้าค่ะ”


 


 


“เช่นนั้นก็ทำตามที่หลานสะใภ้พูดเถิด พวกเจ้าสองคนช่วยกันดูแลไปก่อน เจ้าเป็นอาสะใภ้ก็แนะนำหลานสะใภ้ให้มากๆ หน่อยแล้วกัน”


 


 


“สะใภ้ทราบแล้วเจ้าค่ะ” นางเถียนลอบยินดีอยู่ในใจ


 


 


เจินเมี่ยวเองก็ยิ้มออกมาเช่นกัน


 


 


หลังจากนั้นนางเถียนก็เรียกตัวบ่าวไพร่ที่อยู่ในเหตุการณ์คืนนั้นมาสอบถามที่ห้องประชุม หากยามสารภาพจะได้รับโทษสถานเบา ผู้ใดปากมากเอ่ยเรื่องนั้นนางก็สั่งให้คนโบยสักสองหลายทีก่อนค่อยว่ากล่าวต่อไป


 


 


บรรยากาศภายในห้องอึมครึมยิ่ง นางเถียนชำเลืองมองเจินเมี่ยวคราหนึ่ง “หลานสะใภ้ การดูแลจวนนั้นจะต้องรู้จักอ่อนรู้จักแข็ง มิอาจใจอ่อนได้โดยง่าย มิเช่นนั้นบ่าวไพร่จะเหิมเกริมมากเกินไป”


 


 


เจินเมี่ยวพยักหน้าหงึกหงัก “อาสะใภ้รองพูดถูก ข้าใจอ่อนเกินไป ดังนั้นการสั่งสอนบ่าวไพร่นี้จึงยังคงต้องให้อาสะใภ้รองจัดการเจ้าค่ะ”


 


 


เมื่อมองหลานสะใภ้ที่ก้มหน้าก้มหน้าอยู่นี้ ใจของนางเถียนกลับเต้นตึกตักขึ้นมาอีกครา


 


 


หลานสะใภ้มิใช่คนโอนอ่อนตามโดยง่าย เหตุใดยามนี้ถึงได้ว่าง่ายนักเล่า


 


 


นางร้อนใจในการตามหาคนที่สร้างข่าวลือนั้น สติจึงมิมั่นคงนัก ครั้นความคิดนี้เกิดขึ้นในใจก็มิได้ไปใคร่ครวญให้ลึกซึ้งอันใด


 


 


ทว่าบ่าวไพร่ทั้งหลายกลับเงียบงันดุจจักจั่นยามเหมันต์ทั้งเริ่มรู้สึกเสียใจขึ้นมาอย่างที่สุด


 


 


เพราะพวกเขาเอาแต่คิดแต่ผู้ที่มีอำนาจที่แท้จริงๆ คือนางเถียน หลังจากที่เจินเมี่ยวเข้ามาดูแลจัดการจวนก็มีคนบางจำพวกที่มักแสร้งทำเป็นทำตามแต่ในใจกลับต่อต้าน ทว่ายามนี้กลับคิดว่าให้ต้าไหน่ไหน่ดูแลจวนเสียดีกว่า อย่างน้อยก็มิได้ลงมือโหดเ**้ยมเพียงนี้!


 


 


เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ พวกเจ้าเห็นแล้วไม่พอจะกล้าเอาไปแต่งเรื่องบิดเบือนทั้งยังป่าวประกาศให้คนรู้ไปทั่ว ทั้งผู้ที่เอาเรื่องราวไปพูดต่อนั้นยังเอ่ยไปคนละขอบฟ้าอีกด้วย คุณชายรองถูกคนบุกเข้ามาข่มเหงอันใดกัน แค่พี่น้องทะเลาะต่อยตีกันเท่านั้น


 


 


บ่าวไพร่กลุ่มหนึ่งนั่งคุกเข่าอยู่บนพื้น แม้พระอาทิตย์เดือนห้ามิได้ร้อนแรงเพียงนั้น แต่กลับเจิดจ้าเสียจนทำให้คนตาลาย ในใจก็ทั้งน้อยใจ หวาดกลัวและเสียใจ ภาพลักษณ์อันสุขุมใจดีมีเมตตาของนางเถียนที่มีมานับสิบปีพลันมลายหายไปจนหมดสิ้น


 


 


ยังไม่ถึงยามเที่ยงด้วยซ้ำนายท่านรองก็กลับมาแล้ว เขาพุ่งตรงมาที่นี่ด้วยใบหน้าดำคล้ำ เมื่อเห็นนางเถียนก็ถามว่า “นางเถียน เมื่อวานข้ามิได้กลับมา เหตุใดจึงเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นในจวนได้ เจ้ารองเล่า?”


 


 


“เจ้ารองไปสำนักศึกษาหลวงกั๋วจื่อเจี้ยนแล้ว”


 


 


“สำนักศึกษาหลวง?” นายท่านรองเอ่ยเสียงสูง “เกิด…เกิดเรื่องขึ้นกับเขามิใช่หรือ เหตุใดยังไปที่สำนักศึกษาหลวงเล่า?”


 


 


นางเถียนอึ้งงันไป แล้วจึงเริ่มเข้าใจขึ้นมา นางกัดฟันเอ่ยว่า “ท่านพี่ เหตุใดท่านจึงไปฟังวาจาเหลวไหลของคนข้างนอก มันไม่มีเรื่องเช่นนั้นเกิดขึ้นเลยสักนิด!”


 


 


“ไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้น? เช่นนั้นเหตุใดคนข้างนอกถึงได้พูดเป็นตุเป็นตะเพียงนั้นเล่า พูดถึงกระทั่งปานที่บั้นท้ายของเจ้ารองด้วยซ้ำ”


 


 


นางเถียนฟังแล้วก็ทั้งเขินอายทั้งโมโห นางรีบส่งสายตาให้ทราบว่าเจินเมี่ยวก็อยู่ที่นี่ด้วย


 


 


นายท่านรองจึงเพิ่งสังเกตเห้นเจินเมี่ยว เขาจึงเอ่ยอย่างไม่พอใจว่า “นางเจิน ที่นี่วุ่นวายโหวกเหวก ทั้งมีแต่บ่าวไพร่หนุ่มๆ เหตุใดเจ้าจึงมาอยู่ที่นี่ด้วยเล่า”


 


 


เดิมเจินเมี่ยวก็เอาแต่ก้มหน้าเฝ้ามองนางเถียนสั่งสอนบ่าวไพร่ แต่คิดไม่ถึงว่าท่านอารองผู้นี้มาถึงลากนางไปเกี่ยวด้วย ทั้งยังพูดจาไม่น่าฟังยิ่ง


 


 


นี่มิใช่การตำหนิว่านางไม่ระวังกริยา ชอบสอดแทรกตนเข้าไปอยู่กับกลุ่มบุรุษหรอกหรือ


 


 


ผู้อาวุโสเช่นนี้ก็เหลือเกินจริงๆ!


 


 


เจินเมี่ยวหน้าเคร่งขึ้นมาทันที นางเอ่ยเสียงเรียบว่า “ท่านย่ากำชับให้ข้าติดตามอาสะใภ้รองมาเรียนรู้การจัดการดูแลจวน ส่วนบ่าวไพร่หนุ่มเหล่านี้ก็ล้วนเป็นคนของจวนกั๋วกง ข้าในฐานะที่เป็นฮูหยินของคุณชายผู้สืบทอด หากมิตั้งใจศึกษาเรียนรู้กับอาสะใภ้ให้ดี ภายหน้าหากรับหน้าที่ไปทำต่อคงต้องกังวลจนศีรษะเน่าเหม็นแน่”


 


 


วาจานี้ทำเอานายท่านรองและนางเวินถึงกับสะอึกไปพักหนึ่ง


 


 


นายท่านรองส่งเสียง ฮึ ด้วยความหงุดหงิดโมโห แล้วเอ่ยถามนางเวินโดยไม่สนใจเจินเมี่ยวอีก “ข้าถามเจ้า เมื่อวานเกิดเรื่องใดขึ้นแน่”


 


 


“เมื่อวานเจ้ารองกับเจ้าสามดื่มสุรามากไปหน่อยแล้วเกิดทะเลาะชกต่อยกัน ผู้ใดจะทราบว่าเหตุใดเรื่องจึงแพร่สะพัดออกไปเช่นนั้นได้!”


 


 


นายท่านรองฟังแล้วปากก็สั่นระริกขึ้นมา สุดท้ายจึงด่าทอโดยแรงว่า “นางเถียน เจ้าช่างเลี้ยงบุตรชายได้ดีนัก!”


 


 


นางเถียนโมโหยิ่ง


 


 


อันใดที่เรียกว่านางเลี้ยงบุตรชายได้ดีนัก นางคนเดียวจะเลี้ยงบุตรชายจนเป็นเช่นนี้ได้หรือ


 


 


ยามนี้นางได้กลับมามีอำนาจในการดูแลจวนอีกครั้ง เขาไม่เกียรตินางสักนิดทั้งที่อยู่ต่อหน้าบ่าวไพร่ เช่นนั้นต่อไปจะควบคุมคนได้อย่างไร!


 


 


“ท่านพี่ ภารกิจเร่งด่วนตอนนี้คือการหาตัวบ่าวไพร่ปากพล่อยนั้นออกมา แล้วหาวิธีหยุดข่าวลือพวกนั้นเสีย ส่วนเจ้ารอง เจ้าสาม หากต่อไปท่านอยากจะสั่งสอนก็มีโอกาสอีกมากมายนัก จะสั่งสอนอบรมเช่นใดย่อมได้ อย่างไรพวกเขาทั้งสองก็เป็นบุตรชายของท่าน”


 


 


นายท่านรองโกรธเกรี้ยวมากขึ้นไปอีก “ผู้ใดบอกว่าข้ามีแค่บุตรชายสองคนนี้ หาก…” กล่าวถึงตรงนี้กลับหยุดชะงัก


 


 


แม้หลังจากที่เขารู้ว่าเยียนเหนียงตั้งครรภ์จะดีใจจนแทบบินได้ แม้แต่ตอนที่ทราบว่านางเถียนตั้งครรภ์ครั้งแรกก็มิเคยรู้สึกเช่นนี้มาก่อน แต่เขายังคงเข้าใจดีเยียนเหนียงอาจจะมิได้มีบุตรชายให้เขาก็เป็นได้ หรือต่อให้เป็นบุตรชาย เมื่อเกิดมาเขาก็เป็นเพียงบุตรอนุ ต่อให้รักใคร่เพียงใดก็ไม่มีทางสำคัญไปกว่าบุตรชายของภรรยาเอก


 


 


นางเถียนเองก็รู้สึกเจ็บปวดในใจเช่นกัน


 


 


ดีเหลือเกิน เดรัจฉานน้อยนั่นยังมิทันได้เกิดมาด้วยซ้ำก็คิดจะให้บุตรชายทั้งสองของนางหลีกทางให้เสียแล้ว คอยดีว่ามันจะมีวาสนาได้ปีนป่ายออกมาจากท้องของมารดาหรือไม่!


 


 


เมื่อโกรธเกรี้ยวอย่างที่สุดแล้วนางเถียนกลับมีสงบลง


 


 


นางทราบดีว่าสุขภาพของนางเริ่มเสื่อมถอยลงตั้งแต่ปีก่อนแล้ว โดยเฉพาะหลังจากที่นางกระอักเลือดออกมาเมื่อคราตระกูลมารดาเกิดเรื่อง เมื่อร่างกายเสียหายต่อให้ภายนอกดูดีเพียงใดภายในกลับกลวงโบ๋ นางมิอาจเสียใจหรือโมโหมากเกินไปได้อีกแล้ว นางจะต้องมีชีวิตต่อไปเพื่อมองดูบุตรชายทั้งสองมีหลานให้นางอุ้ม!


 


 


นางเถียนกลับคืนสู่ท่าทีอย่างฮูหยินผู้เป็นใหญ่ “ท่านพี่ว่าอันใดหรือ”


 


 


นายท่านรองรู้ว่าตนพลั้งปากไปจึงรีบส่ายหน้า “ไม่…ไม่มีอันใด อย่างไรก็รีบสอบปากคำบ่าวไพร่พวกนี้ก่อนเถิด”


 


 


เจินเมี่ยวนั่งดูละครอยู่บนเก้าอี้ แม้นางจะไม่ค่อยชอบนางเถียน แต่ที่เห็นในยามนี้กลับรู้สึกว่านายท่านรองช่างชั่วช้ายิ่ง ทั้งยังเป็นชนิดที่ชั่วช้าที่สุดอีกด้วย!


 


 


นางมองนางเถียนด้วยความเห็นใจคราหนึ่ง


 


 


อาสะใภ้รองใช้ชีวิตกับคนชั่วช้าเช่นนี้นี่เอง มิน่าเล่าถึงได้ค่อยๆ กลายเป็นคนจิตใจวิปริต


 


 


เมื่อรับรู้ได้ถึงสายตาเห็นใจของเจินเมี่ยว นางเถียนก็โมโหจนแทบกระอักเลือดออกมา


 


 


คนเรานั้นมิกลัวการล้ม เพียงแต่กลัวว่าตนจะล้มลงข้างแทบเท้าคนที่ตนแค้นจนอยากจะเหยียบให้จมดิน และคนผู้นั้นยังมองตนด้วยความเห็นใจคราหนึ่งค่อยเดินจากไป


 


 


“ฮูหยิน” นายท่านหลัวปรับน้ำเสียงให้อ่อนลงหลายส่วน “เจ้าสอบปากคำเช่นนี้ไม่ได้ ข้าเอง”


 


 


นางเถียนไม่เอ่ยสิ่งใดนับเป็นการเห็นด้วย


 


 


นายท่านรองเอ่ยว่า “เรียกแต่ละคนเข้าไปในห้อง ข้าจะสอบถามตัวต่อตัว ผู้ใดให้เบาะแสจะมีรางวัลให้อย่างงาม หากผู้ใดปิดบังไม่บอกหรือพูดไม่สอดคล้องกับผู้อื่นจะโบยห้าสิบไม้แล้วขายทิ้งไปทั้งบ้านไม่ว่าเด็กหรือแก่!”


 


 


เขาพูดจบก็กวาดตามองไปโดยรอบด้วยท่าทีดุดัน แล้วค่อยเผยยิ้มออกมา “วางใจ หากผู้ใดให้เบาะแส ข้าจะไม่เปิดเผยตัวตนของเจ้าเด็ดขาด”


 


 


เมื่อนายท่านรองประกาศเรียบร้อยแล้วก็ใช้วิธีนี้สอบสวนทุกคนกระทั่งถึงยามบ่าย ในที่สุดก็มีบ่าวผู้หนึ่งยอมบอกออกมา


 


 


“เป็นตังกุยกับไป๋จู๋บ่าวรับใช้ของคุณชายรองพูดขอรับ”


 


 


นายท่านรอฟังแล้วก็รีบเรียกสองคนนั้นเข้ามา


 


 


“ตังกุย ไป๋จู๋ มีคนบอกว่าพวกเจ้าสองคนเป็นผู้ปล่อยข่าวลือ พวกเจ้ารับผิดหรือไม่”


 


 


ตังกุยกับไป๋จู๋โขกศีรษะติดกันหลายคราพลางเอ่ยวิงวอน “นายท่าน เราเป็นบ่าวรับใช้คุณชายรองมาตั้งแต่เล็ก ผู้ใดอาจปล่อยข่าวลือนั้นได้ แต่พวกเราไม่มีทางทำแน่นอน ขอนายท่านโปรดพิจารณาด้วย!”


 


 


นายท่านรองสอบถามอยู่ค่อนวันแล้ว จิตใจนั้นสับสนวุ่นวายไปหมด เขาแค่นยิ้มเย็นพลางเอ่ยว่า “คนมากมายเพียงนั้น เหตุใดมิบอกว่าเป็นผู้อื่น แต่กลับเป็นพวกเจ้าสองคนเล่า”


 


 


ตังกุยกับไป๋จู๋รีบโขกศีรษะติดต่อกันอีกหลายครา


 


 


“หรือเป็นหนึ่งในพวกเจ้าสองคนที่พูด ท่านพี่ ข้าคิดว่าเราใช้วิธีของท่านเมื่อครู่สอบถามดีกว่า” นางเถียนยกถ้วยชาขึ้นจิบให้ชุ่มคอ


 


 


ตังกุยกับไป๋จู๋สบตากัน


 


 


หากข่าวนั้นเป็นเรื่องจริงพวกเขาคงสงสัยว่าอีกฝ่ายปล่อยข่าวจนทำให้ตนต้องเข้าไปเกี่ยวพันด้วย แต่เมื่อคืนตอนที่คุณชายรองและคุณชายสามทะเลาะกัน ผู้อื่นไม่รู้ ทว่าผู้เขากลับได้ยินเรื่องอันตกใจอย่างที่สุดเข้า


 


 


พวกเขารับใช้คุณชายรองมาตั้งแต่ยังเล็กย่อมต้องเชื่อฟังคุณชายรองอย่างที่สุด คุณชายรองกำชับหนักหนาให้พวกเขาเก็บเรื่องที่ได้ยินเมื่อคืนนั้นให้เน่าเสียอยู่ในใจ พวกเขาก็คิดเช่นนั้นทว่าเมื่อเกิดข่าวลือไม่หยุดเช่นนี้ หากพวกเขาไม่พูดอันใดออกมาให้ชัดเจนเกรงว่าคงไร้หนทางสลัดหลุดไปได้แน่


 


 


ไป๋จู๋พลันหมดแรงไปโดยพลัน เขาเอ่ยตะกุกตะกักว่า “น่ายท่าน ข้าน้อยมีวาจาจะเอ่ย…”


 


 


“ไป๋จู๋ เจ้าบ้าไปแล้ว!” ตังกุยกระชากเขาอย่างโดยแรง “เจ้าลืมคำสั่งของคุณชายแล้วหรือ”


 


 


ไป๋จู๋ร่ำไห้พลางเอ่ยว่า “ข้าก็ไม่อยากทำ หากข้าตัวคนเดียวก็แล้วไป ตังกุย ข้ามิได้ตัวคนเดียวเช่นเจ้า ข้ายังมีบิดามารดาน้องชายน้องสาวอีก ข้าตายนั้นมิเป็นไรแต่มิอาจทำลายพวกเขาไปด้วย”


 


 


“เจ้าพูดมาเถิด” นายท่านรองเห็นว่าเรื่องราวมีความคืบหน้าก็เริ่มผ่อนคลายลง


 


 


ไป๋จู๋หมอบลงจนหน้าติดพื้นแล้วเอ่ยว่า “นายท่าน ข้าน้อยมิอาจปล่อยข่าวเช่นนั้นไปได้ เพราะเมื่อคืนเราสองคนเห็นกับตาว่าคุณชายรองกับคุณชายสามทะเลาะชกต่อยกัน ทั้งยังได้ยินอีกว่า…”


 


 


“ได้ยินอันใด”


 


 


ไป๋จู๋แข็งใจกัดฟันเอ่ยไปว่า “ได้ยินคุณชายทั้งสองท่านเอ่ยถึงเยียนเหนียง แต่ตอนนั้นข้าน้อยเฝ้าอยู่ด้านนอกจึงมิได้ยินรายละเอียดชัดเจน…”


 


 


วาจานี้ยังมิทันกล่าวจบ นายท่านรองก็ลุกพรวดขึ้น เขาจ้องนางเถียนเขม็งคล้ายจะกลืนกินนางทั้งเป็น แล้วเอ่ยถามอย่างร้อนรนว่า “เจ้าสามเล่า?” 

 

 


ตอนที่ 329 ความเชื่อใจที่เหนือความคาด...

 

นายท่านรองโกรธกระทั่งหัวใจสั่น


 


 


เขาก็รู้ดี ความผิดอันใดมักโทษสาวใช้ เจ้าตัวอัปรีย์นั่นยังคิดถึงเยียนเหนียง ยังไม่ลืมสตรีของข้า!


 


 


แววตาของเขานั้นคล้ายจะกลืนคนไปทั้งคน นางเถียนขยับตัวไม่ได้แล้ว


 


 


นางคิดไม่ถึงว่าเรื่องที่ตนพยายามปิดบังไว้แทบตายกลับถูกบ่าวรับใช้ของคุณชายรองเปิดเผยออกมาเสียได้!


 


 


“เจ้าสาม เจ้าสาม…” นางเถียนรู้ฝาดเฝื่อนอยู่ในลำคอ


 


 


นายท่านรองกลับไม่สนใจอันใดแล้ว เขารีบก้าวเท้ายาวมุ่งไปด้านนอกทันที


 


 


นางเถียนหวั่นใจขึ้นมาจึงรีบตามไป


 


 


เหลือเพียงเจินเมี่ยวที่กวาดตามมองกุยตังและไป๋ซูซึ่งคุกเข่าอยู่บนพื้น นางกำชับคนให้เฝ้าไว้ให้ดีแล้วก้าวเท้าเดินตามออกไป


 


 


ใจของนางเต้นตึกตักๆ นี่มันเรื่องราวใดกัน


 


 


น้องชายทั้งสองของหลัวเทียนเฉิงทะเลาะกัน เหตุใดจึงโยงไปถึงสาวใช้ทงฝังของอารองได้เล่า


 


 


นายท่านรอเตะประตูเรือนของคุณชายให้เปิดออกก็เห็นเขากำลังนั่งดื่มสุราอยู่ใต้ซุ้มผูเถา


 


 


เวลานี้ผูเถายังไม่ออกผล มีเพียงดอกของมันที่บานสะพรั่งเป็นสาย ใบอันหนาทึบกลับมิอาจบดบังแสงอาทิตย์ที่ลอดลงมาได้ส่องร่างคุณชายสามจนเกิดเป็นเงาขับให้ดูโดดเดี่ยวขึ้นมาหลายส่วน


 


 


ข้างเท้าเขามีขวดสุราเปล่าวางทิ้งไว้หลายขวด เมื่อได้ยินเสียงเคลื่อนไหวจึงค่อยๆ เบนสายตาไปมองคราหนึ่ง แล้วหยิบจอกสุราข้างมือตนขึ้นมาดื่มอีก


 


 


นายท่านรองเห็นแล้วโทสะก็ยิ่งพุ่งขึ้นศีรษะ เขามองซ้ายแลขวา แล้วหยิบไม้คัดประตูท่อนหนึ่งเดินเข้าไป


 


 


เมื่อเข้าไปใกล้ก็ได้แต่กดข่มอารมณ์ชั่ววูบที่อยากจะฟาดใส่เขาไม่ยั้งไว้ แล้วกัดฟันเอ่ยว่า “เจ้าตัวอัปรีย์ ข้าขอถามเจ้า เมื่อคืนเจ้าไปหาพี่รองของเจ้า เกี่ยวข้องอันใดกับเยียนเหนียงหรือไม่”


 


 


ความขมขื่นในท้องของคุณชายสามไร้คนให้ระบาย เขาดื่มไปมากจนมึนเมาแล้ว เมื่อได้ยินเช่นนั้นจึงพยักหน้า “ใช่”


 


 


เมื่อได้ยินคำตอบเช่นนั้น นายท่านรองก็ทนไม่ได้อีกต่อไปจึงฟาดท่อนไม้นั้นตีเขาไม่ยั้ง “ข้าจะตีตัวอัปรีย์เช่นเจ้าให้ตาย! เจ้าเดรัจฉานที่ไม่มีแม้แต่ความเป็นมนุษย์ คิดไม่ดีต่อสตรีของบิดาตนยังไม่พอ ยังลงมือกับพี่ชายที่เอ่ยตักเตือนอีก ข้าควรบีบคอเจ้าให้ตายตั้งแต่มารดาคลอดเจ้าออกมาแล้ว จะได้มิต้องทำมาเรื่องที่ชั่วช้า ไร้ค่ากว่าหมาแมวเสียอีก”


 


 


คุณชายสามเห็นไม้ที่จะฟาดใส่ตนแล้วเดิมคิดจะหลบแต่เมื่อได้ยินวาจาของนายท่านรอง ร่างทั้งร่างก็แข็งทื่อไปทันทีจึงถูกตีเข้าเต็มๆ แต่กลับมิอาจตีหัวใจอันแข็งกร้าวของเขาให้แตกได้


 


 


เขานั่งนิ่งปล่อยให้ไม้ฟาดลงบนกายตามใจชอบ เพียงเอ่ยถามด้วยดวงตาแดงก่ำว่า “ท่านพ่อ ท่านพูดอันใด”


 


 


“พูดอันใด” นายท่านรองโกรธจนตาแดงก่ำ ทั้งด่าทั้งตี “เจ้าเดรัจฉานเช่นเจ้าทำเรื่องใดไว้กลับจำไม่ได้แล้ว เมื่อคืนพี่รองของเจ้าเตือนเจ้าให้ล้มเลิกความคิดสกปรกนั่นเสีย เจ้าจึงชกต่อยกับเขาใช่หรือไม่ อาศัยแค่กำลังโง่ๆ ที่มีทำร้ายพี่รองเจ้าจนย่ำแย่ ยามนี้ผู้คนต่างลือกันว่าเขาถูกบุรุษข่มเหง นี่คง…คงมิใช่เจ้าเอาไปพูดจาเหลวไหลกระมัง?”


 


 


นายท่านรองโกรธเกรี้ยวยิ่ง “เจ้าตัวอัปรีย์ เพื่อปกปิดความคิดอันน่าละอายของตน แม้แต่ชื่อเสียงของพี่รองเจ้าก็ไม่สนแล้ว เจ้ารู้หรือไม่ว่าหากพี่รองของเจ้ามีชื่อเสียงเช่นนี้เกรงว่าเขาคงไม่มีวาสนาเข้าร่วมการสอบบัณฑิตระดับเมืองแล้ว!”


 


 


คุณชายสามนั่งนิ่งคล้ายตุ๊กตาไม้ที่สูญเสียความรู้สึกทั้งมวลไป เขาเพียงพึมพำกับตนเองว่า “ข้าทำลายพี่รอง? ข้าทำร้ายพี่รอง?”


 


 


เขาถลึงตาจ้องนายท่านรองนิ่ง “ท่านพ่อ พี่รองพูดเช่นนี้หรือ”


 


 


“เจ้าถลึงตาใส่ผู้ใด” นายท่านรองเห็นท่าทีไม่รู้จักสำนึกผิดของคุณชายสามแล้วก็ลงมือตีเขาอีก “เรื่องนี้ยังต้องให้พี่รองเจ้าพูดอีกหรือ ความคิดชั่วช้าของเจ้ามันถูกเปิดเผยออกมาตั้งแต่ปีก่อนแล้วมิใช่หรือ ตอนนั้นข้าควรจะตีเจ้าให้ตายเสีย จะได้ไม่มาทำให้พี่รองผู้ไร้ความผิดของเจ้าต้องเดือดร้อนไปด้วย!”


 


 


“ท่านพี่ หยุดเดี๋ยวนี้!” นางเถียนร้องเสียงแหลมขึ้นแล้ววิ่งเข้ามาขวางหน้าคุณชายรองไว้


 


 


นายท่านรองยกไม้นั่นฟาดลงไปจึงตีถูกร่างนางเถียนพอดี


 


 


นางเถียนร้องด้วยความเจ็บปวดเกือบล้มคะมำไป


 


 


แต่เวลานี้คุณชายสามกำลังโศกเศร้าดั่งใจสลาย แม้เห็นเช่นนั้นก็มิได้เข้าไปประคอง


 


 


“นางเถียน เจ้าดูบุตรชายที่แสนดีของเจ้า เขาเสียสติไปแล้ว แม้แต่เจ้าที่เป็นมารดาแท้ๆ เขายังไม่ไยดี!”


 


 


อย่างไรนางเถียนก็ห่วงบุตรชายตน นางเอ่ยปกป้องคุณชายสามด้วยเสียงดุดัน “ท่านพี่ ที่ทู้ใดกันแน่ที่เสียสติ หากท่านไม่เลอะเลือนคงไม่พาหายนะเช่นนั้นเข้ามาในจวนตั้งแต่แรก และเรื่องเช่นวันนี้คงไม่เกิดขึ้น!”


 


 


เอ่ยถึงตรงนี้นางก็แค้นเคืองอย่างที่สุด “ตอนนี้ท่านควรไปกำจัดตัวหายนะเสียก่อน มิใช่มาทุบตีบุตรชายแท้ๆ ของตัวเองเช่นนี้!”


 


 


นางพูดพลางกอดคุณชายสามร้องไห้ไปด้วยความเจ็บปวด “เจ้าสาม เป็นอันใดหรือไม่ เจ้าเด็กโง่ เหตุใดจึงไม่หลบเล่า”


 


 


นัยน์ตาคุณชายสามกลิ้งกลอกไปมา เขาค่อยๆ รู้สึกถึงความอบอุ่นขึ้นมาอีกหลายส่วน


 


 


“นางเถียน เจ้าหลีกไป วันนี้ข้าจะตีเจ้าเดรัจฉานนี้ให้ตาย!”


 


 


นางเถียนไม่ถอยแม้เพียงก้าว “ข้ามิได้ใจดำเช่นท่าน หากจะตีเจ้าสามให้ตายก็ตีข้าให้ตายก่อนเถิด!”


 


 


นางพูดพลางแค่นหัวเราะเสียงเย็น “ท่านพี่ เจ้าสามอายุยังน้อย เมื่อกระทำผิด ผู้เป็นบิดาก็แค่อบรมสั่งสอนก็พอแล้ว แต่ท่านกลับลงมือต่อบุตรชายแท้ๆ ของตนอย่างโหดเ**้ยมเพราะตัวหายนะนั่น! ท่านยังสู้เจ้ารองไม่ได้ด้วยซ้ำ เขายังรู้จักปกปิดช่วยน้องชาย!”


 


 


นายท่านรองยังมิท่านได้พูดอันใด คุณชายสามกลับเงยหน้าขึ้นจ้องมองนางเถียน แล้วเอ่ยถามเน้นย้ำทีละคำว่า “ท่านแม่ พี่รองบอกกับท่านเช่นนี้หรือ”


 


 


นางเถียนถูกมองเช่นนี้ก็เริ่มหวาดหวั่น นางเม้มริมฝีปากแล้วเอ่ยว่า “เจ้าสาม พี่รองเจ้าพูดเรื่องนี้กับข้าเพราะกลัวว่าเจ้าจะพลั้งเผลอเดินผิดทาง…”


 


 


“ฮ่าๆๆ” คุณชายสามเงยหน้าขึ้นหัวเราะร่วน เมื่อหัวเราะเสร็จแล้วก็หันกลับมาจ้องนางเถียนนิ่ง “ท่านแม่ ท่านคงเชื่อแค่วาจาของพี่รองเท่านั้น ใช่หรือไม่”


 


 


นางเถียนถอยหลังไปสองก้าวตามสัญชาตญาณแต่มิได้ส่งเสียงใด


 


 


คุณชายสามกลับเข้าใจโดยพลัน เขาหัวเราะขึ้นมาอีกครั้ง


 


 


เสียงหัวเราะนี้ยั่วโทสะนายท่านรองยิ่ง เขาจึงเงื้อมือขึ้นจะตีคุณชายสามอีก ครานี้นางเถียนมัวแต่เหม่อลอยจึงมิทันเข้าไปขวาง


 


 


พลันเสียงสดใสกังวานเสียงหนึ่งจึงดังขึ้น “หยุด!”


 


 


นายท่านรองสกุลหลัวหันกลับไปมองทั้งที่มือยังถือไม้อยู่ก็เห็นเจินเมี่ยวเดินเข้ามาหา


 


 


ครั้นเห็นท่าทีอเนจอนาถของคุณชายสาม เจินเมี่ยวก็ขมวดคิ้วมุ่น “อารอง ท่านมีวาจาใดก็ว่ากล่าวดีๆ มิจำเป็นต้องใช้มีดใช้ไม้ตี หากเขาเป็นอันใดขึ้นมา ผู้ที่เสียใจก็มิใช่ท่านกับอาสะใภ้รองหรอกหรือ”


 


 


นางจะไม่สนใจเรื่องของบ้านรองก็ได้ ทว่าคนทั้งคนถูกตีจนมีสภาพเช่นนี้ต่อหน้านาง หากมิพูดอันใดเลยนางกลับทำไม่ได้จริงๆ


 


 


นายท่านรองมองมาที่เจินเมี่ยวแล้วแค่นยิ้มเย็น “นางเจิน ข้าสั่งสอนบุตรตน เจ้าเป็นแค่หลานสะใภ้จะต้องสอดมือสอดไม้ให้ได้เชียวหรือ”


 


 


คล้ายว่าความโชคร้ายของเขาจะเริ่มขึ้นตั้งแต่นางเจินเข้าจวนมา คิดถึงตรงนี้แล้วนายท่านรองไฟโทสะก็ลุกขึ้นมาในจิตใจอีก เดิมคิดจะตีเขาเพียงไม่กี่ทีก็จะหยุดแล้ว ทว่ายามนี้โทสะกลับยิ่งเพิ่มมากขึ้น นายท่านรองชำเลืองมองเจินเมี่ยว แล้วยกไม้นั้นขึ้นคิดจะฟาดใส่คุณชายสามอีกคล้ายต้องการแสดงอำนาจกระนั้น


 


 


“ชิงไต้ นายท่านรองดื่มมากแล้วเจ้าประคองกลับเรือนหน่อย!”


 


 


เจินเมี่ยวเอ่ยจบชิงไต้ก็เคลื่อนไปหยุดตรงหน้านายท่านรองอย่างรวดเร็ว นางแย่งเอาท่อนไม้ในมือเขาไปแล้วบังคับลากเขาให้เดินไป


 


 


“อาสะใภ้รอง น้องสามเจ็บไม่น้อย ท่านรีบไปเชิญท่านหมอมาดูอาการเถิด” เจินเมี่ยวพูดจบก็มองที่คุณชายสามคราหนึ่งแล้วหมุนกายจากไป


 


 


นางเถียนจึงได้สติคืนมา นางก้าวขาไปข้างหนึ่งแล้วดึงคุณชายสามให้ลุกขึ้นแต่เขากลับสะบัดออกโดยแรง


 


 


แขนของคุณชายสามถูกตีจนเลือดออก เมื่อเขาสะบัดมือเช่นนี้โลหิตที่คล้ายยังอุ่นร้อนอยู่นั้นก็กระเด็นใส่หน้านางเถียน


 


 


นางเถียนร้องเสียงแหลมขึ้น ร่างกายที่อ่อนแออยู่แต่เดิมนั้นมิอาจทนต่อการสะบัดอย่างแรงนี้ได้ นางจึงล้มพับลงกับพื้น


 


 


เจินเมี่ยวได้ยินเสียงร้องจึงหันกลับมา เมื่อเห็นนางเถียนหงายล้มลงกับพื้น แต่คุณชายสามกลับนั่งนิ่ง นางหยักยกมุมปากแล้วหมุนกายเดินเข้าไปหาทั้งกำชับชิงเกอว่า “ประคองฮูหยินรองไปเข้าเรือนไปก่อน รอชิงเกอกลับมาแล้ว เจ้าค่อยไปเชิญท่านหมอ”


 


 


นางไม่เห็นบ่าวไพร่ในเรือนนี้แม้เพียงสักคน ชิงไต้ก็พานายท่านรองกลับเรือน นางจึงไม่คิดจะให้ชิงเกอไปตอนนี้ ทิ้งไว้เพียงนางกับคุณชายสามสองคน อย่างไรก็ต้องระวังไว้ก่อน อาสะใภ้รบกวนท่านช่วยหมดสติไปอีกสักพักเถิด หากไม่ไหวจริงๆ ข้าก็ยังมีไม้ตายการหยิกคนให้ฟื้นอยู่


 


 


ชิงเกออุ้มนางเถียนอย่างสบายมือแล้วเดินเข้าไปในเรือน


 


 


เจินเมี่ยวมองคุณชายสามเหม่อลอยดุจวิญญาณออกจากร่างไปแล้วก็เอ่ยเตือนว่า “น้องสาม เข้าก็เข้าเรือนเถิด”


 


 


คุณชายสามตื่นจากภวังค์ สายตาร่วงตกไปที่ใบหน้าเจินเมี่ยว ท่าทีคล้ายเศร้าโศกคล้ายยินดี ในขณะที่เจินเมี่ยวคิดว่าเขาคงจะเงียบเช่นนี้ต่อไป เขากลับเอ่ยขึ้นว่า “พี่สะใภ้ วาจาเหล่านี้ท่านได้ยินหมดแล้ว”


 


 


เจินเมี่ยวเม้มริมฝีปากแล้วพยักหน้า


 


 


“เช่นนั้นท่านก็คิดว่าข้าหน้าไม่อายทำลายกระทั่งพี่รอง ทั้งหมดเป็นความผิดของข้าใช่หรือไม่” เขาจ้องมองเจินเมี่ยวนิ่ง กระทั่งเดินเข้าไปใกล้นางโดยไม่รู้ตัว


 


 


เขากับหลัวเทียนเฉิงมิได้หน้าตาคล้ายกันสักนิด แต่วันนี้ที่เจินเมี่ยวได้พินิจอย่างละเอียดกลับพบว่าเขาเป็นเด็กหนุ่มที่รูปงามองอาจทั้งยังแฝงความไร้เดียงสาไว้ด้วย


 


 


ทว่าในสายตาเจินเมี่ยวนั้นความไร้เดียงสานี้คล้ายถูกครอบงำด้วยมนต์ปีศาจกระนั้น ความไร้เสียงค่อยๆ เลือนหายไปเหลือเพียงความสิ้นหวัง เฉยชาปกคลุมดวงตาคู่นั้นไว้


 


 


สายตาที่เขามองมาเต็มไปด้วยความเศร้าโศกเสียใจอย่างที่สุด ทว่ากลับมิได้ทำให้คนรู้สึกถึงความเศร้าอาดูรนั้น เพียงรู้สึกหนาวยะเยือกขึ้นมา


 


 


ไม่ทราบเหตุใดเจินเมี่ยวกลับรับรู้ได้ นางรู้สึกอยู่ลึกๆ ว่าคำตอบของนางอาจจะสำคัญอย่างยิ่งกับเด็กหนุ่มที่กำลังโตผู้อยู่ตรงหน้านี้ ดังนั้นนางจึงต้องคิดให้ดีเสียก่อน


 


 


นางมิคิดจะเอ่ยสิ่งที่ขัดแย้งกับใจเพื่อหลอกเขา อย่างไรเสียก็ไม่มีความจำเป็น แต่อย่างน้อยนางต้องรับผิดชอบต่อคำพูดของตนเอง


 


 


เจินเมี่ยวสบตากับเขาแล้วตัดสินใจที่จะตอบออกไปตามที่ใจรู้สึก “ไม่ ข้ามิได้คิดเช่นนั้น”


 


 


คุณชายสามมองหน้าอย่างไม่อยากเชื่อ แล้วหัวเราะพลางเอ่ยว่า “พี่สะใภ้ ท่านกำลังปลอบใจข้าใช่หรือไม่”


 


 


เจินเมี่ยวส่ายหน้า “บิดามารดาเจ้ายังไม่ปลอบใจเจ้าเลย เหตุใดข้าต้องปลอบใจเจ้าด้วยเล่า”


 


 


ในขณะที่คุณชายสามกำลังตกตะลึงอยู่นั้น นางก็เอ่ยอย่างทอดถอนใจว่า “ข้าเพียงรู้สึกว่าคนที่ทำความผิดจริงๆ แต่ไม่อยากยอมรับคงไม่มีแววตาเศร้าเสียใจอย่างที่สุดเช่นนี้แน่”


 


 


นางพูดเพียงประโยคนี้และไม่ได้พูดอันใดต่ออีก ทว่าคุณชายสามกลับนั่งล้มพับลงข้างเท้านาง แล้วร้องไห้เสียงดังออกมาอย่างหมดท่า


 


 


เขาทั้งร่ำไห้ทั้งหัวเราะไปพลาง “ท่านพ่อไม่เชื่อข้า ท่านแม่ไม่เชื่อข้า คิดไม่ถึงว่าคนที่เชื่อข้ากลับเป็นพี่สะใภ้ที่ข้าไม่เคยให้ความเคารพจากใจ มันช่างน่าเศร้าและน่าขบขันไปพร้อมๆ กันจริงๆ!”


 


 


เจินเมี่ยวเดินมุ่งไปทางประตูเงียบๆ


 


 


การพูดจากอย่างจริงใจและตรงไปตรงมากับคนที่รู้จักเพียงผิวเผินนั้น นางคงพูดได้เพียงเท่านี้แล้ว


 


 


ไม่นานชิงไต้ก็กลับมา “ต้าไหน่ไหน่ นายท่านรองโมโหยิ่ง ทั้งยังขู่ว่าจะบอกฮูหยินผู้เฒ่าด้วยเจ้าค่ะ”


 


 


เจินเมี่ยวแค่นยิ้ม “ตามแต่เขาเถิด ข้าไม่เชื่อว่าเขาจะพูดอันใดกับฮูหยินผู้เฒ่าได้!”


 


 


นางผู้มองจากสายตาคนนอกยังรู้สึกว่าเรื่องราวภายในของบ้านรองอาจจะสกปรกและวุ่นวายกว่านี้ด้วยซ้ำ นอกจากนายท่านรองจะถูกลาถีบจนเสียสติไปแล้วนั่นแลจึงจะกล้าไปฟ้องฮูหยินผู้เฒ่า


 


 


“ชิงเกอ เจ้าไปเชิญท่านหมอเถิด” เจินเมี่ยวขมวดคิ้วแล้วพึมพำว่า “บ่าวไพร่ในเรือนหลังนี้ไม่รู้ไปอยู่ที่ใดกันหมด”


 


 


บ่าวไพร่ที่คอยรับใช้คุณชายที่เรือนหน้านั้นมีไม่มาก นอกจากคนที่ไว้ใช้แรงงานแล้วก็มีบ่าวคนสนิทติดตามรับใช้แค่สองคน แต่ยามนี้กลับไม่เห็นแม้เพียงคน ช่างแปลกเสียจริง


 


 


คิดไม่ถึงว่าคุณชายสามกลับตอบคำว่า “ข้าดื่มสุราจึงรำคาญที่พวกเขายุ่มย่ามเลยไล่ออกไปข้างนอก”


 


 


เจินเมี่ยวอึ้งงันไป นางพยักหน้าเข้าใจ ไม่นานหมอเฝิงก็เร่งรุดมาถึง

 

 

 


ตอนที่ 330 กำหนดฤกษ์แต่งงานของคุณชายสาม

 

 


 


ท่านหมอเฝิงมาตรวจดูอาการให้คุณชายสามและนางเถียนก็มิได้พูดอันใดให้มากความนัก


 


 


นายท่านรองรออยู่ที่เรือนซินหยวนด้วยโทสะที่กักเก็บไว้เต็มท้อง รออยู่นานนางเถียนจึงกลับไป เขาเอ่ยอย่างไม่พอใจว่า “เป็นอย่างไร เจ้ายังไปอยู่ที่นั่นคอยปลอบใจเจ้าเดรัจฉานอีกหรือ”


 


 


นางเถียนคิดถึงแววตาเย็นชาของคุณชายสามแล้วก็รู้สึกเจ็บปวดขึ้นคราหนึ่ง ครั้นได้ยินนายท่านรองเอ่ยเช่นนี้อีกจึงอดเอ่ยออกไปมิได้ว่า “ท่านพี่ ท่านเอาแต่ด่าว่าเจ้าสามเป็นเดรัจฉาน เช่นนั้นสองคนเป็นอันใดหรือ”


 


 


นายท่านหลัวโกรธจนมือสั่น เขาเงื้อมือขึ้นตบนางเถียนคราหนึ่ง


 


 


นางเถียนถูกตบจนมึนงง แต่หลังจากนั้นก็กระโจนเข้าใส่ร่างนายท่านรองอย่างบ้าคลั่ง “ข้าขอสู้ตายกับท่าน อย่างไรตั้งแต่มีเยียนเหนียง ท่านก็มิเคยมองข้าเป็นคนอีกเลย หยวนเหนียงออกเรือนไปแล้ว ข้าจะพาบุตรชายทั้งสามไปตายเอาดาบหน้า ท่านก็ยกเยียนเหนียงมาเป็นภรรยาเอก ใช้ชีวิตอยู่กับนางคอยดูแลเดรัจฉานน้อยที่นางให้กำเนิดไปแล้วกัน!”


 


 


นางเถียนร่ำไห้โวยวายยกใหญ่ ทว่าการร้องไห้ครั้งนี้กลับเรียกสติของนายท่านรองกลับมาได้หลายส่วน


 


 


ใช่แล้ว หากไม่มีภรรยาผู้โง่งมคนนี้ เยียนเหนียงเป็นเพียงสาวใช้ทงฝัง อย่างไรก็ไม่มีทางยกเป็นภรรยาเอกได้ หากแต่งภรรยาใหม่ตระกูลมารดานางอาจมีอำนาจบารมีมิอาจยั่วยุได้ อย่างไรคงไม่ดีเท่าตอนนี้แน่


 


 


อย่างน้อยตอนนี้ต่อให้เขาหลงใหลรักใคร่เยียนเหนียงอย่างไร นางเถียนก็ไม่มีตระกูลมารดาคอยช่วยเหลือแล้ว!


 


 


อีกอย่างสิ่งที่สำคัญที่สุดก็ยังคงเป็นบุตรชาย


 


 


เขาผลักนางเถียนออก เมื่อสงบใจลงได้จึงเอ่ยว่า “นางเถียน เลิกโวยวายได้แล้ว เรามาหารือกันด้วยดีสักคราเถิด”


 


 


“หารืออันใด”


 


 


“ย่อมต้องเป็นเรื่องของเจ้ารองกับเจ้าสามแน่นอน เจ้ารองฉลาดหลักแหลมมาตั้งแต่เยาว์วัย การเรียนโดดเด่น ย่อมมิอาจปล่อยให้ข่าวลือทำลายชื่อเสียงเขา!”


 


 


ในบรรดาบุตรทั้งสี่คุณชายรองเป็นบุตรคนโตและฉลาดที่สุด ไม่ว่านายท่านรองหรือนางเถียนต่างก็รักใคร่เขาที่สุด เมื่อได้ยินนายท่านรองเอ่ยเช่นนี้ นางเถียนจึงถามว่า “ความหมายของท่านพี่คือ…”


 


 


นายท่านรองกัดฟันแล้วถอนหายใจออกมา “ก็ผลักข่าวลือนั่นให้เป็นเจ้าสามแทน อย่างไรพวกเขาก็เป็นฝาแฝดกัน”


 


 


นางเถียนสะดุ้งตกใจคราหนึ่ง “ท่านพี่ ได้อย่างไร ข่าวลือนั้นช่างกระดากหูนัก บุรุษใดจะรับการหยามเกียรติเช่นนั้นได้!”


 


 


นายท่านรองแค่นหัวเราะ “หากไม่ทำเช่นนี้ หรือจะให้เจ้ารองรับข่าวนี้ไปเล่า เจ้าอย่าลืมว่าปีนี้จะมีการจัดสอบบัณฑิตระดับเมืองแล้ว ด้วยความสามารถของเจ้ารองจะต้องสอบผ่านแน่ แต่หากยังมีข่าวลือเช่นนี้อยู่ เขาจะมีสมาธิเตรียมสอบได้อย่างไร แล้วหากมีคนนำเรื่องนี้ไปกลั่นแกล้ง ไม่แน่ว่าแม้แต่สิทธิ์ที่จะได้เข้าสอบก็อาจจะไม่มีแล้ว!”


 


 


“เดิมก็เป็นเพียงข่าว รอให้มันซาไปเองก็พอ หรือจะให้คนแอบไปปล่อยข่าวว่าพวกเขาสองพี่น้องแค่ทะเลาะกันเท่านั้น คนลือกันไปผิดแล้ว”


 


 


นายท่านรองหัวเราะเยาะออกมาคราหนึ่ง “โง่เง่า หากทำเช่นนั้นก็เท่ากับไปเพิ่มความวุ่นวายมากขึ้นไปอีก พี่น้องทะเลาะกัน มีบ้านใดไม่เคยเกิดเรื่องเช่นนี้บ้าง เดิมมิใช่เรื่องใหญ่อันใด อย่างไรฟันก็ต้องมีวันกัดถูกริมฝีปากอยู่แล้ว แต่หากแพร่สะพัดออกไปว่าพี่น้องทะเลาะชกต่อยกัน มันจะเป็นเรื่องดีได้อย่างไร แล้วจะไม่มีผลใดกับเจ้ารองเลยเชียวหรือ”


 


 


เมื่อเห็นนางเถียนไม่พูด เขาจึงเอ่ยต่อว่า “ก็ส่งคนไปปล่อยข่าวเงียบๆ ว่าความจริงคนที่เกิดเรื่องเมื่อวานคือเจ้าสาม มิใช่เจ้ารอง แต่เพราะพวกเขาเป็นฝาแฝด หน้าตาคล้ายกันยิ่งคนจึงเข้าใจผิด อย่างไรก็เป็นเพียงข่าวลือ ผู้ใดจะไปสืบเสาะว่าจริงหรือไม่ อีกอย่างหากข่าวลือยิ่งมากยิ่งวุ่น คนกลับจะไม่ค่อยเชื่อถือแล้ว”


 


 


เมื่อเห็นนางเถียนไม่พูดจา นายท่านรองจึงแค่นยิ้มเอ่ยว่า “เจ้าเดรัจฉานนั่นก็ควรได้รับการลงโทษบ้าง! ตอนนี้เขายังกล้าคิดเรื่องที่ไม่ควรคิดนั่นอีก หากไม่สั่งสอนเสียบ้าง ภายหน้ามิใช่จะยิ่งอาจหาญทำเรื่องอันไม่สมควรกว่านี้อีกหรือ ทั้งเขาเองก็ไม่ต้องการไปสอบบัณฑิตด้วย แม้มีข่าวลือก็ไม่กระทบเขามากนักทั้งยังได้กำราบนิสัยเขาด้วย ไม่แน่อาจจะเป็นเรื่องดีก็ได้”


 


 


นางเถียนจึงพยักหน้านับเป็นการยอมรับว่าเห็นด้วย


 


 


คุณชายรองไปร่ำเรียนที่สำนักศึกษาหลวงกั๋วจื่อเจี้ยน แต่มิได้พักที่นั่น ทุกวันเขายังต้องกลับจวน วันนี้ทั้งวันกลับไม่มีคนเอ่ยอันใด แต่วันถัดมาเขากลับรู้สึกว่าสหายร่วมเรียนมองเขาด้วยสายตาแปลกประหลาดอย่างยิ่ง


 


 


กระทั่งเลิกเรียน คนผู้หนึ่งที่ไม่ถูกกับคุณชายรองมาตลอดก็เดินเข้ามา สาวตามองเขาอย่างพิจารณา แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มคิกคัก “คุณชายรองสกุลหลัว ข้าได้ยินว่าที่บั้นท้ายเจ้ามีปานขนาดเท่าพุทราอยู่ ใช่หรือไม่ ให้พวกเราดูสักหน่อยได้หรือไม่”


 


 


คุณชายรองอึ้งงันไป


 


 


เขาอยู่ที่สำนักศึกษาหลวงตลอดทั้งวัน เมื่อกลับจวนก็อาบน้ำล้างหน้าพักผ่อน ย่อมมิได้ยินข่าวลือเหล่านั้นเป็นธรรมดา


 


 


เขาเริ่มวุ่นวายใจขึ้นมา ไม่ทราบว่ามีข่าวลือเช่นไรบ้างที่ด้านนอกนั้น แต่ยังคงรักษาใบหน้านิ่งขรึมไว้เช่นเดิม เขาเอ่ยเสียงเย็นว่า “ข้าก็ได้ยินมาว่าที่บั้นท้ายเจ้ามีแผลเป็นเย็บเป็นตะเข็บใหญ่เพราะตกต้นไม้ตอนไปขโมยพุทราของเพื่อนบ้าน เช่นนั้นเจ้าก็ถอนกางเกงออกมาให้พวกเราดูสักหน่อยดีหรือไม่”


 


 


“เจ้า!” คนผู้นั้นถูกคุณชายรองพูดดักไว้จนเอ่ยอันใดไม่ออก


 


 


ที่บั้นท้ายเขาย่อมไม่มีแผลเป็นแน่นอน แต่เขาก็มิอาจถอดกางเกงเพื่อยืนยันได้ คุณชายรองสกุลหลัวผู้นี้ช่างน่าชังนัก ปากคอเราะรายมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว! มีอันใดสูงส่งนักหนาหรือ หากภายหน้าเขาแยกเรือนออกจากจวนเจิ้นกั๋วกงก็จะกลายเป็นเพียงบุตรชายของขุนนางเล็กๆ เท่านั้น


 


 


สหายข้างๆ ที่คบกันมาด้วยดีตลอดเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “คุณชายสามสกุลหยางซุกซนมาตั้งแต่เล็ก หากบั้นท้ายจะมีแผลเป็นก็ไม่เห็นเป็นไร ขอแค่ภรรยาในอนาคตไม่รังเกียจก็พอแล้ว”


 


 


วาจานี้ทำให้คนทั้งหลายต่างหัวเราะครืนขึ้นมา


 


 


คนผู้นั้นใช้สายตาแปลกประหลาดเหล่มองคุณชายรอง แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มอันล้ำลึกว่า “แต่เรื่องปานของคุณชายรองสกุลหลัวกลับมีข่าวลือหลุดออกมาได้อย่างไรนั้นน่าสนใจยิ่ง”


 


 


ส่วนน่าสนใจอย่างไรนั้นเขากลับมิได้พูด คนทั้งหลายได้ฟังเขาเอ่ยเช่นนั้นต่างก็เผยยิ้มอย่างเข้าใจ


 


 


มีเพียงคุณชายรองที่ทั้งอับอายทั้งโมโห เขาเอ่ยเสียงเย็นว่า “ข้าจะไปทราบได้อย่างไรกัน!”


 


 


กระทั่งกลับไปถึงจวนจึงรีบเข้าไปถามนางเถียนทำให้ทราบว่าเกิดเรื่องราวใดขึ้นกันแน่


 


 


ตอนนั้นคุณชายรองหงุดหงิดโมโหเป็นการใหญ่


 


 


“เจ้ารอง เจ้ามิต้องร้อนใจไป” นางเถียนเอ่ยปลอบ แล้วค่อยบอกเล่าเรื่องที่ตนคุยกับนายท่านรองไว้ออกมา “แม้จะรู้สึกผิดต่อเจ้าสามอยู่บ้าง แต่ในเมื่อเขาทำผิดก่อนทั้งยังทำให้เจ้าลำบากไปด้วย การให้เขารับเรื่องนี้ไปก็เป็นการสมควรแล้ว”


 


 


คุณชายรองฟังแล้วก็ลอบแค่นยิ้มเย็นอยู่ในใจ


 


 


ไม่แน่ว่าข่าวลือนี้อาจเป็นเจ้าสามปล่อยออกไปก็ได้


 


 


 เมื่อคิดถึงท่าทีตัดพี่ตัดน้องในวันนั้นแล้ว เขาไหนเลยยังจะเห็นตนผู้เป็นพี่อยู่ในสายตาอยู่อีก


 


 


“ท่านแม่ จะให้น้องสามแบกรับชื่อเสียงเช่นนั้นไปได้อย่างไร ข้าเป็นพี่ชาย มีเรื่องอันใดก็ควรให้ข้าออกหน้ารับก่อน”


 


 


“เจ้ารอง” นางเถียนรู้สึกซึ้งใจยิ่ง นางมองบุตรชายแล้วเอ่ยปลอบว่า “แค่เจ้ามีใจเช่นนี้ก็พอแล้ว ปีนี้แค่เตรียมตัวสอบระดับเมืองให้ดีก็พอ หากปีหน้าสามารถสอบผ่านในการสอบชุยเหวยจนได้เป็นขุนนางอย่างราบรื่น ภายหน้าก็คอยช่วยเหลือพยุงน้องชายเจ้าให้ดีก็พอ”


 


 


“ท่านแม่ ท่านวางใจเถิด พี่น้องกันแม้ทุบจนกระดูกหักแต่เส้นเอ็นก็ยังไม่ขาด ต่อให้ยามนี้เจ้าสามจะยังเข้าใจในตัวข้าแต่ต่อไปเติบใหญ่ขึ้น รู้ความขึ้นก็คงคิดได้”


 


 


นางเถียนพยักหน้าหงึกหงักแล้วเล่าเรื่องที่ตนคิดไว้ในช่วงสองวันนี้ออกมา “เจ้าสามเป็นคนใจร้อนจึงได้ก่อเรื่องเช่นนี้ขึ้นมาได้ แม่คิดว่าควรให้เขารีบแต่งงานจะได้เป็นผู้ใหญ่เร็วขึ้น เจ้ารอง แม้เจ้าจะเป็ฯพี่ชายแต่ก็เป็นฝาแฝด เจ้าสามแต่งงานก่อนคงมินับว่าผิดธรรมเนียม ทั้งเจ้ายังต้องเข้าร่วมการสอบบัณฑิต ข้ากับบิดาเจ้าคิดว่าจะให้เจ้าแต่งงานหลังจากการสอบชุยเหวยในปีหน้าผ่านไปก่อน หากตอนนั้นเจ้าสอบได้เป็นจิ้นซื่อ ตัวเลือกของเจ้าก็จะมากขึ้นด้วย”


 


 


“เรื่องนี้ลูกเชื่อฟังท่านพ่อท่านแม่ขอรับ” คุณชายรองยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ไม่ทราบว่าเรื่องคู่หมายของน้องสาม ท่านแม่คิดจะทำฉันใดหรือ”


 


 


นางเถียนลังเลอครู่หนึ่งจึงถามว่า “เจ้ารอง เจ้าคิดว่าญาติผู้น้องเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”


 


 


“ญาติผู้น้อง?” คุณชายรองเลิกคิ้ว “น้องเถียนอิ๋งหรือ”


 


 


“ไม่ใช่ เถียนเสวี่ย แม้นางอายุน้อยกว่าเถียนอิ๋ง แต่นางค่อนข้างจะรู้ความเลยทีเดียว”


 


 


คุณชายรองพยักหน้าแฝงรอยยิ้ม “น้องเถียนเสวี่ยก็ไม่เลวขอรับ”


 


 


นางจึงนับว่าตัดสินใจขึ้นมาอย่างแน่วแน่


 


 


เดิมแม้นางจะชอบหลานสาวผู้นั้นมากอยู่ แต่เมื่อตระกูลมารดาล้มไปจึงรู้สึกว่าเถียนเสวี่ยไม่เหมาะสมกับบุตรชายตน ทว่าหากเรื่องที่เจ้าสามชมชอบเยียนเหนียงถูกเปิดเผยออกมา นั่นเป็นเรื่องที่ถึงแก่ชีวิตทีเดียว อย่างไรก็ควรให้เขารีบแต่งงานจะได้ล้มเลิกความคิดนั้นเสีย


 


 


ยามนี้ข่าวลือนั้นก็ได้แพร่ออกไปแล้ว อย่างไรก็มีผลกระทบต่อชื่อเสียงของคุณชายสาม คิดว่าหากจะหาคู่หมายให้เขาในยามนี้ก็คงยากยิ่ง ในเมื่อเป็นเช่นนี้การให้เถียนเสวี่ยหมั้นบุตรชายตนก็เป็นเรื่องที่จำต้องทำแล้ว


 


 


“เพียงแต่ตระกูลท่ายายเจ้าล่มสลายไปแล้ว เจ้าสามจึงออกจะเสียเปรียบอยู่บ้าง”


 


 


คุณชายรองจึงเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ท่านแม่ ต่อให้ตระกูลท่านยายล้มไปแล้ว แต่อย่างไรก็เป็นตระกูลมารดาท่าน เราไม่มีเหตุผลต้องรังเกียจ หรือจะให้ลูกแต่งกับญาติผู้น้องแทนก็ได้”


 


 


นางเถียนร้อนใจเป็นการใหญ่ “อย่าพูดเหลวไหล เจ้าเป็นบุตรคนโต ไหนเลยจะหาคู่หมายอย่างลวกๆ ได้!”


 


 


เอ่ยถึงตรงนี้ก็เกิดตกใจขึ้นมา “เจ้ารอง เจ้าคงมิได้ชมชอบญาติผู้น้อง…”


 


 


“ท่านแม่ ลูกเห็นญาติผู้น้องทั้งสองเป็นดั่งน้องสาวแท้ๆ ตลอดมา ท่านพูดเช่นนี้ทำให้ลูกไม่ทราบจะเอาหน้าไปไว้ที่ใดแล้ว ลูกแค่เห็นท่านลำบากใจ…”


 


 


“ต่อให้ลำบากกว่านี้ก็ไม่มีทางหาคู่หมายอย่างส่งๆ ให้เจ้าแน่!” เมื่อคุณชายรองเอ่ยเช่นนี้ออกมาทำให้นางเถียนตัดสินใจได้ในที่สุด


 


 


คุณชายรองยิ้มน้อยๆ ออกมา


 


 


กระทั่งผ่านไปอีกวันสองวัน ข่าวลือด้านนอกก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป เมื่อคุณชายรองไปที่สำนักศึกษาหลวงกั๋วจื่อเจี้ยนก็มีคนใช้น้ำเสียงเห็นใจเอ่ยถึงคุณชายสาม


 


 


คุณชายรองปกป้องคุณชายสามอย่างที่สุด “เราล้วนเป็นบัณฑิตศึกษาตำราแห่งจริยธรรม จำต้องไปพูดคุยถึงเรื่องน่าขบขันอันเหลวไหลนั้นหรือ! หากเอาแต่คล้อยตามผู้อื่นไม่มีความคิดเป็นของตน แล้วจะเป็นคนที่มีปณิธานแน่วแน่ จิตใจเที่ยงธรรมถูกต้องได้อย่างไร”


 


 


วาจานี้ทำให้คนไม่น้อยถึงกับเขินอาย ชีวิตในสำนักศึกษาหลวงของคุณชายรองจึงกลับคืนสู่ภาวะปกติในที่สุด


 


 


เมื่อคุณชายสามได้ยินข่าวลือนั้นเขาก็หัวเราะออกมาเสียงดังอยู่หลายครา แล้วไปหานายท่านสี่ขอให้เขาพาตนไปที่ค่ายทัพทหารโดยเร็วที่สุด


 


 


เขาไม่อยากกลับมาที่จวนแห่งนี้อีกแล้ว!


 


 


เวลาพักของนายท่านสี่ยังไม่หมดทั้งนางชียังต้องครรภ์อีก เขาย่อมมิอยากกลับค่ายทหารก่อนกำหนด ทว่าเมื่อเห็นท่าทีของหลานชายแล้วก็สงสารอย่างที่สุดจึงพยักหน้ารับแล้วพาคุณชายสามกลับค่ายทหารไปด้วยก่อนเวลาที่เคยกำหนดไว้


 


 


เดิมนางเถียนคิดจะไปพูดกับคุณชายสามก่อน ทว่าหลายวันมานี่เขาเอาแต่หลบหน้านาง ยามนี้ก็ไม่อยู่และคงไม่กลับมาอีกพักใหญ่ หลังจากปรึกษากับนายท่านรอแล้วไม่เห็นเขาคัดค้านนางจึงไปที่บ้านมารดาตนทันที อย่างไรการแต่งงานก็เป็นสิ่งที่บิดามารดากำหนด คุณชายสามไม่ทราบเรื่องก็มิเป็นไร


 


 


เมื่อทราบว่านางเถียนจะให้เถียนเสวี่ยแต่งกับคุณชายสาม มารดานางเถียนก็ดีใจยิ่ง นางเรียกมารดาของเถียนเสวี่ยมาเพื่อพูดคุย มารดาเถียนเสวี่ยก็ยิ้มแย้มยินดียิ่ง


 


 


ข่าวลือด้านนอกนั้นนางก็ได้ยินมาบ้าง ทว่าเรื่องน่าขบขันเช่นนี้ไหนเลยจะถือเป็นจริงเป็นจังได้ อีกอย่างแม้จะมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นจริงแล้วอย่างไร ในสถานการณ์ที่ตระกูลเถียนเป็นอยู่เช่นนี้การที่บุตรสาวได้แต่งเข้าจวนกั๋วกงนั้นก็นับเป็นเรื่องดีที่สวรรค์ประทานให้แล้ว


 


 


กระทั่งนางเถียนจากไปแล้ว มารดาของเถียนอิ๋งจึงทราบเรื่องเข้าก็โมโหจนแทบทนไม่ไหว


 


 


ต่างก็เป็นหลานสาวในตระกูลมารดาเช่นกัน ทั้งเถียนอิ๋งก็เกิดก่อนเถียนเสวี่ยหลายเดือน น้องสามีจะให้บุตรชายหมั้นหมายกลับไม่เลือกเถียนอิ๋งแต่เลือกเถียนเสวี่ย ช่างรังแกกันมาเกินไปแล้ว!


 


 


แต่นางทราบดีว่าตอนนี้มิอาจล่วงเกินนางเถียนได้ ต่อให้โกรธเกรี้ยวเพียงใดก็ได้แต่เก็บไว้ในใจ แต่ยังคงเอ่ยวาจาเหน็บแนมมารดาเถียนเสวี่ยไปไม่น้อย แต่มารดาเถียนเสวี่ยเป็นผู้ได้รับผลประโยชน์นี้นางจึงไม่สนใจอันใด


 


 


ทั้งสองตระกูลตกลงกันเรียบร้อย ไม่นานก็ได้ฤกษ์มา พิธีแต่งงานจะถูกจัดขึ้นเมื่อวันตรุษในปีหน้ามาถึง 

 

 


ตอนที่ 331 ความกังวลของฮูหยินผู้เฒ่า

 

 เมื่อเรื่องงานมงคลของคุณชายสามถูกกำหนดไว้เรียบร้อยแล้ว นางเถียนจึงวางใจลงได้ นางจึงเริ่มมีแรงมาคิดวิธีจัดการกับตัวหายนะที่เรือนฝั่งตะวันตกเสียที


 


 


หากพูดถึงเยียนเหนียง นางจะอยู่แต่ในเรือนเล็กๆ ของตนไม่ก้าวออกจากประตูแม้เพียงก้าวทำให้นางเถียนไม่มีโอกาสเลย หากมิใช่เพราะนายท่านรองคอยแต่วิ่งไปที่นั่นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน นางเถียนคงคิดว่านางเป็นผู้รู้จักเจียมตัว


 


 


นางเถียนฝืนสังขารทำหน้าที่ดูแลจวน นั่นย่อมมีผลประโยชน์ที่มากมาย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงห้องครัวใหญ่ที่นางได้สอดแทรกคนไปไว้ที่นั่นนานแล้ว ตอนนี้ก็แค่เพียงรอโอกาสอันเหมาะสมเท่านั้น


 


 


ทางด้านนางเถียนเริ่มแผนการจัดการเยียนเหนียง ส่วนเรือนฝั่งตะวันตกของเรือนอวี้หยวนก็วุ่นวายไม่ต่างกัน


 


 


ก่อนหน้านี้หูอี๋เหนียงได้เขียนจดหมายไปหาน้องชายคนเล็กแต่ก็มิได้รับจดหมายกลับมา นางจึงส่งคนไปหาที่อำเภอเป่าหลิงแทน


 


 


อำเภอเป่าหลิงอยู่ห่างจากเมืองหลวงไม่ไกลนัก ควบม้าเร็วไปกลับไม่เกินสิบวัน


 


 


ในที่สุดบ่าวที่หูอี๋เหนียงส่งไปรับคนก็นำความกลับมาถึงตน


 


 


“คุณชายบอกว่ากิจการการค้ายุ่งยากยิ่งจึงไม่มาขอรับ”


 


 


หูอี๋เหนียงไม่พอใจยิ่ง นางพร่ำบ่นกับแม่นมคนสนิทว่า “แม่นม เจ้าว่าเหตุใดฉีเกอจึงไม่ยอมมาเล่า เขาอายุแค่สิบปี กิจการการค้าจะยุ่งยากเพียงใดกัน”


 


 


แม่นมผู้นั้นรีบเอ่ยปลอบทันที “คุณชายเป็นคนฉลาดมาตั้งแต่เยาว์วัย เขาร่ำเรียนกับอาจารย์ผู้นั้นจนคุ้นชินแล้วกระมัง คงรู้สึกว่าการมาที่เมืองหลวงจะเสียเวลา…”


 


 


หูอี๋เหนียงจับมือตนแล้วเอ่ยว่า “เขาอายุยังน้อยจะไปเข้าใจอันใด เมืองหลวงจึงเป็นศูนย์รวมของนักปราชญ์ รอเขามาถึงก็เลือกอาจารย์ผู้มีความรู้มาสอนเขาสักคน ผ่านไปอีกสักสองปีข้าขอให้ท่านพี่ช่วยเขาเข้าไปร่ำเรียนในสำนักศึกษาหลวงกั๋วจื่อเจี้ยน ภายหน้าตำแหน่งบัณฑิตชั้นสูงก็มิใช่จะร่วงตกสู่มือเขาอย่างง่ายดายหรอกหรือ”


 


 


แม่นมผู้นั้นไม่ทราบจะพูดอันใดดีแล้ว การร่ำเรียนของคุณชายน้อยเป็นเรื่องใหญ่ นางเป็นเพียงแม่นมย่อมไม่ทราบอันใดและมิอาจพูดจาส่งเดช


 


 


“ไม่ได้” หูอี๋เหนียงสะบัดผ้าเช็ดหน้าคราหนึ่ง “ข้าจะเขียนจดหมายไปเร่งรัดเขาอีก”


 


 


นางยกพู่กันขึ้นเขียนจดหมายอย่างคล่องแคล่ว บอกเล่าถึงข้อดีของการมาเมืองหลวงอย่างละเอียด เมื่อเขียนเสร็จก็เป่าหมึกให้แห้งแล้วเอ่ยว่า “ฉีเกอโตแล้วย่อมมีความคิด อย่างไรก็ต้องพูดกับเขาให้เข้าใจ มิเช่นนั้นข้าผู้เป็นพี่สาวที่หวังดีต่อเขา เขากลับไม่รับน้ำใจ”


 


 


“ดูท่านพูดเข้าสิ คุณชายไหนเลยจะไม่คิดถึงท่านเล่า ท่านเป็นผู้ดูแลเขามาจนเติบใหญ่แท้ๆ”


 


 


นางหูจึงเม้มริมฝีปากผลิยิ้ม ในหัวปรากฏภาพคนตัวน้อยที่มีท่าทีแสนจริงๆ ผู้หนึ่ง ยิ่งคิดก็ยิ่งคิดถึงน้องชายของตน


 


 


แม้พี่น้องจะมีสายเลือดเดียวกัน แต่ความรู้สึกของคนเราจะลึกซึ้งขึ้นได้ต้องใช้วันเวลาร่วมกัน น้องชายอยู่ที่อำเภอเป่าหลิงมาตั้งแต่เล็ก ต่อให้มีจวนกั๋วกงคอยคุ้มครองแต่เขาอายุยังน้อย ทั้งยังมุ่งมั่นกับการศึกษาร่ำเรียนจึงยากที่จะมิถูกญาติๆ ในตระกูลปิดบังเรื่องราวในบางเรื่องได้


 


 


น้องชายคนเล็กภายหน้าจะต้องมีอนาคตที่สดใสแน่ หากสามารถสอบเป็นจิ้นซื่อ นางผู้เป็นพี่สาวแม้เป็นเพียงอนุภรรยาแต่ก็จะมีหน้ามีตาขึ้นมาหลายส่วนเช่นกัน


 


 


เมื่อคิดถึงตรงนี้หูอี๋เหนียงก็เริ่มเจ็บปวดใจขึ้นมาอีก ใจของท่านพี่ช่างดำนัก พวกเขาเคยเป็นสามีภรรยากันมาแท้ๆ แต่ยามนี้ท่านพี่รักษากฎที่ว่าภรรยาและอนุย่อมแตกต่างจึงยากนักจะมาหานางแต่ละครั้งได้ นางต้องอ้างชื่อของจังเกอเขาจึงยอมมาหานางสักคราได้


 


 


นางชีตั้งครรภ์มิอาจปรนนิบัติท่านพี่ได้ เขากลับยอมอยู่แต่ห้องตำรา น้อยครั้งนักจะมาหานาง ว่าไปแล้วก็มิใช่เพราะนางเป็นอนุหรอกหรือ!


 


 


นางเคยครุ่นคิดอย่างละเอียดแล้ว นางกับนางชีล้วนเคยใช้ชีวิตในฐานะภรรยาเอกกับท่านมีมาหลายปีเช่นเดียวกัน นางชีมีบุตรชาย นางเองก็มี ที่นางด้อยกว่านางชีก็เพียงฐานะ เพราะท่านพี่เป็นคุณชายในจวนกั๋วกงและตระกูลของเขาให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ นางเองจึงทำอันใดไม่ได้


 


 


แต่หากนางชีสิ้นไป…


 


 


ความคิดนี้อยู่ในใจของนางหูมานานมากแล้ว


 


 


ด้วยบุญคุณที่นางเคยช่วยชีวิตท่านพี่ ไม่แน่ว่าอาจจะสามารถทำลายกฎนั้นไปเสียจนท่านพี่ยอมเชิดชูนางให้เป็นภรรยาเอก


 


 


อย่างไรท่านพี่ก็ไม่ใช่บุตรชายคนโตทั้งเป็นแม่ทัพ ต่อให้มีบางอย่างที่มิเคร่งครัดตามธรรมเนียมบ้างก็มินับเป็นอันใดได้


 


 


หากถอยไปอีกหมื่นก้าวแม้นางจะยังคงเป็นแค่อี๋เหนียง ท่านพี่แต่งภรรยาใหม่เข้ามา สตรีผู้มาใหม่นั้นก็มิได้มีความรักผูกพันกับท่านพี่ฉันสามีภรรยามาหลายปีเช่นนาง ทั้งไม่มีบุตรชาย หากคิดจะกดข่มนางอย่างที่นางชีเป็นย่อมทำไม่ได้


 


 


หูอี๋เหนียงดึงหน้าเช็ดหน้าขึ้นบังแล้วเอ่ยถามเสียงแผ่วว่า “ซื้อตัวคนในห้องครัวได้แล้วหรือไม่”


 


 


แม่นมพยักหน้า


 


 


หูอี๋เหนียงยิ้มออกมา


 


 


สิ่งอื่นนางไม่มีแต่นางมีเงิน


 


 


นางรู้ดีที่สุดว่าบ่าวไพร่พวกนั้นมีผู้ใดบ้างเห็นเงินแล้วจะไม่ตาโต สิ่งที่เรียกว่าความซื่อสัตย์นั้นก็แค่เพราะเงินที่ให้ไปไม่มากพอต่างหาก


 


 


แต่ปกที่นางให้เงินคนเหล่านั้นก็มิได้เรียกร้องอันใดมาก นานวันเข้าคนพวกนั้นก็เอาเงินนางไปมากขึ้นทุกทีโดยไม่รู้ตัว หากคิดจะไม่รับเงินนางอีกคงยากแล้ว


 


 


เมื่อเอาเงินคนไปแล้วหากนางต้องการให้ช่วยเหลือจะกล้าปฏิเสธอยู่หรือ


 


 


“มิต้องรีบลงมือ ข้าคิดว่าฮูหยินรองเรือนซินหยวนคงมิอาจทนให้สาวใช้ทงฝังผู้นั้นคลอดบุตรออกมาแน่ ถึงตอนนั้นเราก็ผลักเรือไปตามน้ำก็พอ เช่นนี้ต่อให้เรื่องแดงออกมาก็ไม่เกี่ยวอันใดกับเรา”


 


 


แม่นมผู้นั้นพยักหน้าด้วยความลังเล นางอยากจะเตือนแต่สุดท้ายก็กลืนคำเหล่านั้นลงคอไป


 


 


นางเห็นหูอี๋เหนียงมาตั้งแต่เล็ก เพราะมารดาจากโลกไปเร็วเกินไป นางจึงมิได้รับความเอาใจใส่เช่นคุณหนูบ้านอื่นๆ ต่อมาบิดาก็สิ้นใจ ความยากลำบากที่หูอี๋เหนียงได้รับมีมากมายเพียงใดนางรับรู้มาโดยตลอด หูอี๋เหนียงพยุงดูแลการค้าตระกูลตนมาได้เช่นนั้นมีหรือจะไม่ทราบเล่ห์กลอันใดสักนิด


 


 


การลงมือต่อนางชีนั้น สำหรับนางคิดว่าออกจะเกินไป ทว่าเรื่องที่หูอี๋เหนียงตัดสินใจแล้วก็ไม่มีผู้ใดสามารถเปลี่ยนแปลงได้


 


 


ไม่นานก็ล่วงเลยไปถึงเดือนหก อากาศจึงเริ่มร้อนขึ้นมาแล้ว นกกาที่อยู่บนต้นไม้นอกเรือนต่างก็ร้องเสียงเจื้อยแจ้วทำให้คนรู้สึกรำคาญ


 


 


วันนี้เจินเมี่ยวไปน้อมคารวะฮูหยินผู้เฒ่าทั้งยังตั้งใจนำขนมเฝ่ยชุ่ยเหลียงกั่วไปให้เพื่อแก้เลี่ยนทั้งช่วยคลายร้อน


 


 


ปีที่แล้วฮูหยินผู้เฒ่าได้กินก็อยากจะกินอีกมาตลอด เมื่อเห็นก็พลันอารมณ์ดีขึ้นมาอย่างยิ่งจึงกัดกินไปสองคำต่อหน้าเจินเมี่ยว ทั้งยิ้มพลางเอ่ยว่า “อาสะใภ้รองเจ้าเอาแต่ดูแลจวน ข้าเห็นว่าหน้าสีหน้าไม่ใคร่ดีนักจึงมิให้นางมาน้อมทักทายข้าทุกวันก็ได้ ส่วนอาสะใภ้สี่มีครรภ์จึงต้องดูแลบำรุงเป็นพิเศษ เรือนของข้าจึงเงียบเหงาอยู่สักหน่อย โชคดีที่มีเจ้าอยู่ มิเช่นนั้นคนแก่เช่นข้าคงไม่มีแม้แต่ความสนใจจะกินอาหารแล้ว”


 


 


เจินเมี่ยวยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ท่านย่าชอบกินของที่ข้าทำ ข้าก็ดีใจยิ่งเจ้าค่ะ”


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าดื่มชาไปคำหนึ่งแล้วเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ข้าได้ยินว่าสาวใช้ทงฝังที่ออกเรือนไปแล้วของต้าหลังตั้งครรภ์แล้ว?”


 


 


รอยยิ้มที่มุมปากของเจินเมี่ยวแข็งค้างไปทันที


 


 


สาวใช้ทงฝังสองคนนั้นนางมิได้ใส่ใจสักนิด ไหนเลยจะไปสอบถามว่าพวกนางตั้งครรภ์แล้วหรือไม่ ฮูหยินผู้เฒ่ากลับใส่ใจเรื่องนี้ด้วย?


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นท่าทีของเจินเมี่ยวแล้วมีหรือไม่จะไม่ทราบว่านางคิดอันใด ทว่าใจของคนแก่เช่นนางกลับขมขื่นยิ่ง


 


 


เจ้าว่าบุตรชายเพียงคนเดียวของนายท่านใหญ่จวนกั๋วกงแต่งงานมาเกือบจะสองปีแล้วแต่ยามนี้ภรรยาของเขายังไม่มีวี่แววว่าจะตั้งครรภ์เลย แม้ฮูหยินผู้เฒ่าจะมิได้แสดงออกอันใดทางสีหน้าแต่ใจนั้นจะไม่ร้อนรนได้อย่างไร ว่าหรือไม่


 


 


เรื่องนี้กลับมิใช่สิ่งที่ฮูหยินผู้เฒ่ากังวลใจที่สุด หลังจากสาวใช้ทงฝังสองคนออกเรือนไป ฮูหยินผู้เฒ่านั้นกังวลไม่น้อยจึงส่งคนไปสังเกตการณ์ คิดไม่ถึงว่าพวกนางออกเรือนไปไม่ถึงสามเดือนกลับตั้งครรภ์กันทั้งสิ้น!


 


 


ครานี้ฮูหยินผู้เฒ่าเริ่มรู้สึกเป็นกังวลขึ้นมาอย่างที่สุดแล้ว


 


 


หากพูดให้ไม่น่าฟังสักหน่อยก็คือไม่กลัวภรรยามิอาจตั้งครรภ์ แต่กลัวบุรุษมิอาจมีบุตรมากกว่า!


 


 


หลานชายคนโตของนางนั้นดูท่าทีแข็งแรงมีกำลังยิ่ง หรือว่ามีปัญหาใดที่มิอาจมองออกได้แค่เพียงภายนอก


 


 


เมื่อเห็นฮูหยินผู้เฒ่ามองตนไม่วางตา เจินเมี่ยวจึงฝืนยิ้มออกมา “ได้เป็นภรรยาเองทั้งได้ให้กำเนิดบุตรอีก พวกนางช่างมีวาสนานัก ว่าไปแล้วก็เป็นข้าเองที่ละเลยมิได้ใส่ใจเรื่องนี้สักเท่าใด เรื่องหาบุรุษที่เหมาะสมให้พวกนางล้วนเป็นซื่อจื่อจัดการทั้งสิ้น”


 


 


ได้ยินตรงนี้อารมณ์ของฮูหยินผู้เฒ่าก็ยิ่งดิ่งลงไปอีก


 


 


ว่าไปแล้วสาวใช้ทงฝังทั้งสองของเขานั้นก็งดงามดุจหยกดั่งบุปผา หลานชายตนให้พวกนางออกเรือนไปก็แล้วไปเถิด แต่ยังเลือกคู่ให้อย่างดีโดยที่ไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจสักนิดเลยหรือ คงมิใช่เพราะต้าหลังไร้ความสามารถด้านนั้นกระมัง


 


 


“หลานสะใภ้ เจ้าแต่งเข้ามาได้ปีกว่าแล้วกระมัง” ฮูหยินผู้เฒ่าตบมือเจินเมี่ยว


 


 


เจินเมี่ยวยิ้มทื่อๆ ออกมา


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยเกริ่นนำเช่นนี้ ประโยคต่อไปคงมิใช่บอกว่าจะหาสาวใช้ทงฝังให้ซื่อจื่อกระมัง


 


 


แม้ยามนี้พวกเขาสามีภรรยาจะรักใคร่กลมเกลียวกันดีจนอยากจะอยู่ด้วยกันทุกคืนวันกระทั่งไม่สามารถมีผู้ใดแทรกกลางได้ ทว่าหากฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยปาก นางเป็นเพียงหลานสะใภ้ทั้งยังแต่งเข้ามาปีกว่าแล้วแต่กลับยังไม่ตั้งครรภ์จึงยากที่จะเอ่ยปากปฏิเสธได้


 


 


ยากนักที่เรือนของนางจะสะอาดบริสุทธิ์เช่นนี้ได้ แต่ให้เข้ามาเป็นเพียงเครื่องประดับ ใจของนางคิดแล้วก็ยังรู้สึกหงุดหงิด เชิญเทพมานั้นง่าย ส่งเทพไปนั้นยาก หากสาวใช้ทงฝังที่ถูกส่งเข้ามาใหม่ถูกไล่ออกไปอีก ถึงตอนนั้นชื่อเสียงของนางคงมิใคร่จะดีนักแน่


 


 


เจินเมี่ยวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็คิดตกทันที


 


 


ช่างเถิด ชีวิตคนเราไหนเลยจะสมใจไปเสียทุกด้าน นางจะไม่ยอมสร้างความทุกข์ใจให้ตนเพียงเพราะชื่อเสียงเป็นแน่ ในเมื่อชื่อเสียงนี้ไม่นานก็ต้องหายไป เช่นนั้นก็มิต้องรอถึงภายหน้า อย่างน้อยก็มิต้องทนทุกข์ใจ หากฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยปากขึ้นตอนนี้ นางก็จะเอ่ยปฏิเสธออกไปตามตรงอย่างคนหน้าหนา ชื่อเสียงมิอาจกินดื่มได้ นางไม่มีเวลาไปดูแลเลี้ยงดูมันดอก!


 


 


เจินเมี่ยวตัดสินใจที่จะปฏิเสธทันที แต่สีหน้ากลับคล้อยตามยิ่ง นางเอ่ยด้วยรอยยิ้มบางเบาว่า “ใช่เจ้าค่ะ วันเวลาช่างผ่านไปเร็วนัก ตอนนั้นข้าเพิ่งจะเข้าพิธีปักปิ่นแท้ๆ”


 


 


เรื่องในห้องหอของสามีภรรยา หลานสะใภ้ย่อมมิอาจเอ่ยปากได้ ฮูหยินผู้เฒ่าจึงแสร้งเอ่ยขึ้นว่า “หลานสะใภ้ ดูเอาเถิดเจ้าต้องทรมานใจมานานเพียงนี้ เหตุใดจึงไม่พูดกับย่าเล่า”


 


 


ห๊ะ?


 


 


เจินเมี่ยวกะพริบตาปริบๆ


 


 


เดี๋ยวก่อน วาจานี้คล้ายมีสิ่งใดไม่ถูกต้องแล้ว!


 


 


นางทนทุกข์กับเรื่องใดหรือ


 


 


หรือว่าเพราะหลัวเทียนเฉิงฟื้นคืนมาอีกครา ดังนั้นจึงมีท่าทีที่แปลกไป โดยเฉพาะเรื่องที่เขาประเดี๋ยวดีประเดี๋ยวร้ายกับนางจะถูกฮูหยินผู้เฒ่าสังเกตเห็นแล้ว?


 


 


คงเป็นไปไม่ได้กระมัง เรื่องนี้เป็นเรื่องที่พวกเขาสองคนปิดประตูคุยกันอย่างมิดชิด ฮูหยินผู้เฒ่าจะทราบได้อย่างไร หรือที่เรือนชิงเฟิงมีคนขอฮูหยินผู้เฒ่าแฝงตัวอยู่


 


 


เจินเมี่ยวว้าวุ่นใจไปหมด เมื่อเห็นฮูหยินผู้เฒ่าชำเลืองจ้องตน นางจึงรีบเอ่ยรับหน้าไปก่อนว่า “ข้าไม่ได้ทุกข์ทรมานอันใดเลยเจ้าค่ะ ต้าหลัง…ต้าหลังในยามนี้ดียิ่ง…”


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่ากลับสูดหายใจเข้าลึก


 


 


อันใดกัน ยามนี้ดียิ่ง หมายความว่าก่อนหน้านี้ไม่ดีใช่หรือไม่ เมื่อเห็นท่าทีฝืนๆ ของหลานสะใภ้แล้ว ไม่แน่ว่าตอนนี้ก็อาจจะมีปัญหาอยู่!


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่ารู้สึกย่ำแย่ไปทั่วร่าง นางอดเอ่ยออกมามิได้ว่า “หลานสะใภ้ ตั้งแต่เจ้าแต่งเข้ามา ย่าก็เห็นเจ้าเป็นดั่งหลานแท้ๆ เจ้าทุกข์ใจถึงเพียงนั้นเหตุใดจึงได้เอาแต่เก็บไว้ในใจคนเดียวเล่า!”


 


 


เจินเมี่ยวรู้สึกซาบซึ้งใจยิ่งทั้งรู้สึกผิดอยู่หลายส่วน ที่แท้ฮูหยินผู้เฒ่าไม่ได้คิดจะหาสาวใช้ทงฝังให้หลัวเทียนเฉิงแต่เป็นห่วงว่านางจะมีเรื่องทุกข์ใจ


 


 


“ท่านย่า หลานสะใภ้ไม่เคยรู้สึกทุกข์ใจอันใดเลย ท่านวางใจได้เจ้าค่ะ”


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าไร้หนทางจะหายใจแล้ว นางทาบอกตนแล้วเอ่ยว่า “ข้าไม่มีทางวางใจได้ หลานสะใภ้ ต้าหลังมีปัญหาด้านสุขภาพเช่นนี้ เหตุใดเจ้าจึงไม่รีบพูด สตรีมีปัญหาด้านสุขภาพต้องรักษา บุรุษก็เช่นกัน ต้าหลังรักศักดิ์ศรีจึงมิเอ่ย แต่เหตุใดเจ้าถึงเลอะเลือนไปด้วยเล่า”


 


 


ห๊ะ? 

 

 


ตอนที่ 332 เหอถาวทอดกรอบ

 

เจินเมี่ยวอึ้งงันไปครู่ใหญ่จึงเข้าใจความหมายของฮูหยินผู้เฒ่า แต่นางก็ถึงกลับติดอ่างไปเลยทีเดียว “ท่าน…ท่านย่า ต้าหลังเขามิได้มีปัญหาด้านสุขภาพ…”


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าเช็ดน้ำตา “ถึงขั้นนี้แล้ว เหตุใดเจ้ายังปิดบังแทนเขาอีก”


 


 


“ท่านย่า ข้ามิได้ปิดบังแทนจริงๆ…” เจินเมี่ยวหน้าแดงเป็นกุ้งแล้ว ในใจก็กล่าวว่าเหตุใดฮูหยินผู้เฒ่าถึงได้หักเหมาพูดถึงปสุขภาพด้านนั้นของซื่อจื่อได้ แรกเริ่มมิใช่เอ่ยชมว่าขนมเฝ่ยชุ่ยเหลียงกั่วอร่อยหรอกหรือ


 


 


“หลานสะใภ้ เจ้าพูดความจริงกับย่าเถิด ตอนนี้ต้าหลังเขามีปัญหาเช่นใดบ้าง”


 


 


เจินเมี่ยวไม่รู้จะร้องไห้หรือหัวเราะดี “ท่านย่า ข้าพูดความจริงเจ้าค่ะ ต้าหลังเขาสุขภาพแข็งแรงยิ่ง…”


 


 


การพูดเรื่องความสามารถด้านนั้นของบุรุษตนกับฮูหยินผู้เฒ่า นางรู้สึกว่าจริยธรรมอันดีของตนได้ร่วงตกลงพื้นไปอีกระดับแล้ว


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นท่าทีกระอักกระอ่วนของเจินเมี่ยวแล้วก็เอ่ยในใจว่าช่างเถิด สามีภรรยาหนุ่มสาวอย่างไรก็หน้าบาง ทั้งไม่รู้ถึงความสำคัญของการมีทายาท เรื่องของต้าหลังนางคงต้องใส่ใจเพิ่มขึ้นอีกสักหน่อยแล้ว


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าคิดได้เช่นนั้นจึงยอมปล่อยเจินเมี่ยว นางชี้ขนมเฝ่ยชุ่ยเหลียงกั่วที่มีหน้าตางดงามน่ากินด้วยความเบิกบานใจแล้วยิ้มพลางเอ่ยว่า “ขนมนี้มองแล้วสบายตายิ่ง กินเข้าไปยิ่งอร่อย อาสะใภ้สี่ของเจ้าช่วงนี้มีอาการแพ้หนักยิ่ง เจ้ายกสิ่งนี้ไปให้นางเถิด”


 


 


เจินเมี่ยวลอบผ่อนลมหายใจ แล้วยิ้มเต็มหน้าพลางเอ่ยว่า “ท่านย่า นี่เป็นขนมที่ข้าทำมาให้ท่าน ท่านเก็บไว้กินเถิด ข้ายังมีที่เหลืออีกมาก ประเดี๋ยวจะให้คนเอาไปให้อาสะใภ้สี่เองเจ้าค่ะ”


 


 


กล่าวจบก็เกิดกลัวว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะพูดจาอันใดที่ทำให้คนตกใจขึ้นอีกจึงรีบเอ่ยอำลา


 


 


ระหว่างทางที่เดินเหงื่อก็ไหลซึมออกมา กระทั่งถึงเรือนชิงเฟิง อาหลวนจึงรีบนำผ้ามาเช็ดเหงื่อให้นาง มุมห้องต่างจัดกระถางน้ำแข็งเพื่อให้กระจายความเย็นไปทั่วห้อง เจินเมี่ยวสูดลมหายใจเข้าลึกทำให้รู้สึกสบายตัวขึ้นมาไม่น้อย


 


 


นางกำชับกับชิงเกอว่า “เอาขนมเฝ่ยชุ่ยเหลียงกั่วที่ทำเสร็จแล้วใส่จานไปส่งที่เรือนอวี้หยวน”


 


 


เมื่อคิดไปคิดมาจึงลุกขึ้นพลางเอ่ยว่า “ช่างเถิด ข้าไปเองดีกว่า”


 


 


อาจเพราะพวกเขาสองสามีภรรยาเป็นผู้ตามหานายท่านสี่สกุลหลัวกลับมาได้กระมังทำให้นางชีดีต่อนางไม่น้อย


 


 


แต่ไหนแต่ไรเจินเมี่ยวก็เป็นคนที่หากเจ้าเคารพข้าหนึ่งฉื่อข้าก็เคารพเจ้าหนึ่งจั้ง เมื่อคิดว่านางชีกำลังตั้งครรภ์แต่นายท่านสี่กลับอยู่ไกลถึงค่ายทหาร ไม่แน่ว่าอาจจะมีความกังวล นางไปเยี่ยมบ่อยๆ ก็เป็นเรื่องที่สมควร


 


 


โชคดีที่ตอนนี้ยังเช้าอยู่จึงยังไม่ถึงช่วงเวลาที่ดวงอาทิตย์ส่องแสงกล้า เจินเมี่ยวเดินทอดน่องไปเรื่อยๆ กระทั่งถึงเรือนอวี้หยวน อย่างไรครั้งนี้ก็ดีกว่าตอนหลบหนีจากจวนฮูหยินผู้เฒ่ากลับเรือนชิงเฟิงยิ่ง


 


 


หลังจากสาวใช้ไปรายงานแล้วเจินเมี่ยวก็ถูกเชิญเข้าไปด้านใน นางชีเอ่ยตำหนิว่า “อากาศเช่นนี้ ข้าอยู่ในเรือนยังแทบทนไม่ได้ เหตุใดเจ้าต้องมาเองด้วยเล่า”


 


 


เพราะนางมีครรภ์จึงไม่กล้าวางกระถางน้ำแข็งไว้ในเรือน เมื่อเจินเมี่ยวเดินเข้าไปก็สัมผัสได้ถึงความร้อนที่มากกว่าที่อื่นๆ เมื่อเห็นสีหน้าอันไม่ค่อยจะดีนักของนางชี แต่สายตากลับเผยแววชมชอบอย่างจริงใจ นางจึงยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ก็เพราะคิดถึงอาสะใภ้อย่างไรเล่า”


 


 


นางส่งสัญญาณให้ชิงเกอยกตะกร้าอาหารเข้ามา สายตากวาดมองไปที่อาหารหลายอย่างบนโต๊ะแล้วดวงตาก็เป็นประกายขึ้นมา “อาสะใภ้สี่ยังมิได้กินข้าวหรือ”


 


 


“เพิ่งยกเข้ามาน่ะ”


 


 


“เช่นนั้นข้าก็มาไม่ถูกจังหวะแล้ว ทำให้ท่านต้องเสียเวลากินข้าว”


 


 


นางชีส่ายหน้า “ข้าไม่อยากกิน และก็กินไม่ลงด้วย”


 


 


พูดพลางยกมือขึ้นชี้ “แต่เหอถาวทอดกรอบจานนี้ข้ากินแล้วรู้สึกไม่เลวเลย สองสามวันนี้มักจะยกเข้ามากับอาหารเช้าด้วย ท่านหมอบอกว่ากินเหอถาวนั้นดีต่อครรภ์ยิ่ง”


 


 


นางพูดพลางคีบเหอถาวทอดนั้นขึ้นมากินชิ้นหนึ่ง นางทราบว่าเจินเมี่ยวเป็นคนรักการกินจึงเอ่ยยิ้มๆ ว่า “หลานสะใภ้ เจ้าลองชิมดูเถิด แต่ข้าดูเหมือนว่ามันจะไม่หอมเท่าของสองวันที่ผ่านมา”


 


 


นางชีชำเลืองมองเหอถาวทอดกรอบที่จัดวางในจานกระเบื้องสีขาวคราหนึ่ง แล้วเอ่ยขึ้นทันควันว่า “ใช่แล้ว เหอถาวทอดกรอบวันนี้มิได้ใส่งาด้วย”


 


 


เจินเมี่ยวเป็นคนชอบกินของอร่อย เหอถาวทอดกรอบสีเหลืองทองนี้ช่างเย้ายวนผู้คนยิ่ง นางย่อมมิอาจปฏิเสธ เมื่อรับตะเกียบมาจากสาวใช้ก็คีบใส่ปากทันที นางเคี้ยวช้าๆ อย่างพินิจแล้วผลิยิ้มเอ่ยออกมาว่า “อาสะใภ้สี่ รสชาติของเหอถาวทอดกรอบนี้อร่อยสู้ที่ข้าทำไม่ได้เลย”


 


 


ระดับไฟในการทอดเหอถาวนั้นสำคัญยิ่ง การปรุงรสก็สำคัญมากเช่นกัน ตอนเคี้ยวน้ำตาลสำหรับราดเหอถาวควรต้องใส่น้ำมะนาวด้วยรสชาติถึงจะอร่อยมากขึ้น เห็นชัดว่าอาหารจานนี้มิได้ใส่แน่นอน


 


 


แต่อาสะใภ้สี่ที่ยังคงมีอาการแพ้อยู่กลับยังรู้สึกว่ามันอร่อย


 


 


“เจ้าทำเป็นหรือ”


 


 


คนเรามักจะภาคภูมิใจในสิ่งที่ตนชำนาญเสมอ เจินเมี่ยวจึงเม้มริมฝีปากผลิยิ้มออกมา “อาหารจานนี้ทำง่ายมาก มีแค่เตาเล็กอันหนึ่งก็ทำได้แล้ว หากท่านอยากกินก็ให้คนไปเอาวัตถุดิบจากห้องครัวใหญ่มา หลานสะใภ้ทำแล้ว ท่านลองชิมดูได้ว่าจานไหนอร่อยกว่ากัน”


 


 


นางชียิ้มออกมา “ได้ วันนี้ข้ามีลาภปากแล้ว”


 


 


เจินเมี่ยวเปิดตะกร้าอาหารขึ้นมาแล้วยกเฝ่ยชุ่ยเหลียงกั่วออกมา “อาสะใภ้หากท่านกินอย่างอื่นไม่ลง ก็กินขนมนี่รองท้องก่อนเถิด ส่วนเหอถาวทอดกรอบนั้นรอให้ข้าทำเสร็จแล้ว ท่านคอยชิมแล้วว่าจานใดอร่อยกว่าก็ค่อยกินจานนั้น เพราะหากตอนนี้กินมากเกินไป ประเดี๋ยวคงกินไม่ลงแล้ว”


 


 


นางชีพยักหน้ายิ้มๆ นางกินเฝ่ยชุ่ยเหลียงกั่วไปชิ้นหนึ่ง แต่เมื่อกินชิ้นที่สองก็ขมวดคิ้วมุ่นขึ้น นางกุมท้องตนไว้ ขนมเฝ่ยชุ่ยเหลียงกั่วที่กัดไปแล้วคำหนึ่งร่วงตกลงพื้น


 


 


“อาสะใภ้สี่?” เจินเมี่ยวตกใจยิ่ง


 


 


เวลาแค่เพียงไม่นานเหงื่อก็ผุดขึ้นเต็มหน้าผากนางชี นางกัดฟันเอ่ยว่า “ข้ารู้สึกปวดท้อง…”


 


 


สาวใช้ในห้องเริ่มลนลานขึ้นมา


 


 


เจินเมี่ยวก็เริ่มทำอันใดไม่ถูกแล้วเช่นกัน นางรีบเอ่ยขึ้นว่า “รีบไปตามท่านหมอเร็ว”


 


 


นางหันไปมองขนมเฝ่ยชุ่ยเหลียงกั่วที่ร่วงตกอยู่บนพื้นอย่างไม่ตั้งใจ สีของมันใสวาวออกเขียว งดงามดั่งอัญมณีทำให้คนเห็นแล้วรู้สึกเย็นสบาย


 


 


ความเย็นสบายนี่เองที่ทำให้นางคิดขึ้นมาได้ นางจึงเอ่ยกำชับอย่างชาญฉลาดว่า “ชิงเกอ อาหารที่วางอยู่บนโต๊ะนี้ ให้มันอยู่ที่เดิม ทุกอย่างที่กินได้ไม่ว่าจะเป็นกินหรือดื่ม เจ้าคอยเฝ้าไว้ให้ดีอย่าให้ใครแตะต้องเด็ดขาด”


 


 


นางมิเคยได้ยินว่าครรภ์ของนางชีไม่แข็งแรง การปวดท้องรุนแรงเพียงนี้ไม่มีทางเกิดขึ้นโดยไร้สาเหตุแน่ แล้วถ้าหากมันเกี่ยวข้องกับขนมเฝ่ยชุ่ยเหลียงกั่วที่นางเอามาให้กินเล่า…


 


 


เจินเมี่ยวแค่คิดก็เหงื่อออกท่วมกายแล้ว


 


 


หากเป็นเช่นนั้น ไม่ว่าความจริงจะเป็นเช่นไร นางก็ยากจะอธิบายทั้งสิ้น!


 


 


เจินเมี่ยวประคองนางชีไปที่เตียง รอกระทั่งท่านหมอมาถึงนางก็อาศัยจังหวะอันวุ่นวายนี้เข้าไปถามอาหลวนว่า “ครัวเล็กของเราไม่มีคนนอกหรือว่าผู้ใดเข้ามาเลยใช่หรือไม่”


 


 


ตั้งแต่เกิดเรื่องของเจี้ยงจู หลัวเทียนเฉิงก็ได้ทำความสะอาดเรือนชิงเฟิงครั้งใหญ่ ครานี้แม้แต่สาวใช้ที่ติดตามนางมาจากจวนก็ไม่เว้น เขาตรวจสอบทุกคนอย่างละเอียด บ่าวไพร่ทั้งหลายเองก็เริ่มรู้ตื่นตัวมากขึ้น เมื่อได้ยินเจินเมี่ยวถามเช่นนี้ อาหลวนก็เอ่ยเสียงเบาว่า “ไม่มีเจ้าค่ะ ห้องครัวเล็กมิใช่สถานที่ธรรมดาจะมีคนคอยเฝ้าอยู่ทั้งวัน แต่หากเป็นอาหารที่ทำให้นายท่านทั้งหลาย ชิงเกอก็จะเฝ้าดูด้วยตนเองเจ้าค่ะ”


 


 


เจินเมี่ยวจึงวางใจลงเล็กน้อย


 


 


เวลานี้ฮูหยินผู้เฒ่า นางเถียนและนางซ่งต่างก็ทราบข่าวและเร่งรุดมาถึงแล้ว


 


 


“น้องสะใภ้สี่เป็นอันใดหรือ” ครั้นเข้าเรือนมา นางเถียนก็เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง


 


 


“ท่านหมอยังคงตรวจอาการอยู่ด้านในเจ้าค่ะ” เจินเมี่ยวกล่าว


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่านั่งลงแต่มิได้เอ่ยอันใด


 


 


ผ่านไปไม่นาน ท่านหมอก็ออกมา ฮูหยินผู้เฒ่ารีบลุกขึ้น “ท่านหมอ สะใภ้ข้าเป็นอย่างไรบ้าง”


 


 


ท่านหมอยกมือขึ้นประกบกันพลางเอ่ยว่า “ครรภ์ของฮูหยินได้รับการกระทบกระเทือน แต่โชคดีที่ไม่ร้ายแรงนัก ประเดี๋ยวกินยาบำรุงครรภ์ก็มิเป็นไรแล้ว”


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าขมวดคิ้ว “แข็งแรงดีแท้ๆ เหตุใดจึงได้รับการกระทบกระเทือนได้”


 


 


นางกวาดตามองบ่าวไพร่ในเรือนคราหนึ่ง “หรือฮูหยินพวกเจ้าล้ม ชนอันใดเข้า”


 


 


สาวใช้ทั่วห้องต่างก้มหน้าไม่กล้าพูดอันใด


 


 


ท่านหมอคล้ายจะพูดบางอย่างแต่ก็เงียบไป


 


 


“หากท่านหมอมีวาจาใดจะกล่าวก็เชิญพูดได้เลย สะใภ้ข้าอายุไม่น้อยแล้ว การตั้งครรภ์ครั้งนี้คงยากลำบากกว่าสตรีทั่วไปอยู่บ้าง ปกติก็ควรจะต้องดูแลใส่ใจให้มากสักหน่อยอยู่แล้ว”


 


 


นี่เป็นจวนเจิ้นกั๋วกง ยามนี้กำลังเป็นที่โปรดปรานของจักรพรรดิ ท่านหมอขบคิดครู่หนึ่งจึงเอ่ยความจริงออกมาว่า “อาการของฮูหยินคล้ายกินสิ่งที่ไม่ควรกินเข้าไป แต่โชคดีที่กินไปเพียงน้อยนิด”


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าหวาดหวั่นใจขึ้นมาทันใด แล้วมองไปที่เจินเมี่ยว


 


 


เพราะเมื่อครู่นางให้หลานสะใภ้เอาเฝ่ยชุ่ยเหลียงกั่วมาให้นางชีกิน หรือเป็นเพราะเหตุนี้กันแน่


 


 


นางย่อมไม่เชื่อว่าหลานสะใภ้จะทำร้ายนางชี คนหนึ่งเป็นฮูหยินขของคุณชายผู้สืบทอด คนหนึ่งเป็นภรรยาของนายท่านสี่ จะมีอันใดขัดแย้งกันได้


 


 


แต่หากมีคนยืมมือหลานสะใภ้ทำร้ายนางชีเล่า


 


 


เคราะห์ดีที่นางกินน้อย บุตรจึงไม่เป็นอันใด หากเกิดแท้งขึ้นมาจริงๆ ต่อให้หาคนทำผิดได้ แต่หลานสะใภ้คงยากที่จะอยู่อย่างไร้มลทินได้


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าหยุดความคิดที่จะเอ่ยถามเอาความต่อหน้าคนทั้งหลายจึงเอ่ยกับท่านหมอว่า “จวนเรามิได้มีบุตรหลานมานานแล้ว ห้องครัวคงเผลอละเลยส่งของที่คนตั้งครรภ์ไม่ควรกินมาก็เป็นได้ อย่างไรคงต้องรบกวนท่านหมอช่วยเขียนรายการที่ต้องห้ามสำหรับสตรีมีครรภ์ให้ด้วย ข้าจะได้นำไปให้ห้องครัว”


 


 


นางเถียนฟังแล้วก็ไม่พอใจยิ่ง ยามนี้นางเป็นคนดูแลจวน ห้องครัวนั้นเป็นสถานที่สำคัญยิ่งกว่าคำสำคัญ ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยเช่นนี้มิใช่หมายความว่านางดูแลจวนไม่ดีหรอกหรือ


 


 


กระทั่งท่านหมอไปเขียนสั่งยาที่ห้องด้านข้าง นางเถียนจึงเอ่ยว่า “ฮูหยินผู้เฒ่า สะใภ้ได้กำชับกับห้องครัวไว้แต่แรกแล้วว่าให้ระวังเรื่องอาหารที่จะส่งมาที่เรือนอวี้หยวนให้มาก”


 


 


นางเห็นขนมเฝ่ยชุ่ยเหลียงกั่วที่ร่วงตกลงพื้นตั้งนานแล้ว และรู้ว่านี่เป็นขนมที่เจินเมี่ยวทำได้เพียงคนเดียวจึงแค่นยิ้มเย็นอยู่ในใจ แล้วเอ่ยด้วยใบหน้าเรียบเฉยว่า “ฮูหยินผู้เฒ่า ข้าว่าเรื่องนี้ควรสอบถามให้ชัดเจนดีกว่า หากเป็นเพราะความเผอเรอของสาวใช้ในเรือนที่เอาอันใดไม่ควรกินมาให้น้องสะใภ้กิน ต่อให้ข้ากำชับห้องครัวไว้ดีเพียงใดก็มิอาจห้ามเรื่องเช่นนี้มิให้เกิดขึ้นได้”


 


 


เมื่อเห็นฮูหยินผู้เฒ่าลังเล นางเถียนก็ถลึงตาใส่บรรดาสาวใช้ที่อยู่ในห้องแล้วเอ่ยเสียงดุดันว่า “วันนี้ฮูหยินกินอันใดเข้าไปบ้าง พวกเจ้าพูดมาให้หมด หากปิดบังแม้แต่น้อยจะขายทิ้งออกไปให้หมด!”


 


 


นางรู้สึกเสียดายอยู่ในใจอยู่บ้าง


 


 


วันนี้เป็นวันที่นางลงมือต่อตัวหายนะนั่น บังเอิญว่านางชีก็เกิดเรื่องขึ้นเช่นกัน หากนางชีเกิดแท้งึ้นมา ต่อให้ตัวหายนะนั่นเกิดเรื่องอันใดขึ้นก็คงไม่มีผู้ใดสนใจนางแน่


 


 


สาวใช้หลายคนตกใจจนคุกเข่าลงแล้วเอ่ยอ้อนวอนกันระงม


 


 


เจินเมี่ยวเห็นเช่นนั้นก็คลี่ยิ้มบางเบาขึ้น “อาสะใภ้รองพูดถูก อาสะใภ้สี่ตั้งครรภ์ หากกินของอันตรายเข้าไปย่อมเป็นเรื่องใหญ่ อย่างไรก็ควรตรวจสอบให้ละเอียดเป็นการดีที่สุด”


 


 


นางเข้าใจจิตใจที่อยากปกป้องของฮูหยินผู้เฒ่า แต่หากมิตรวจสอบเรื่องในวันนี้ให้ละเอียด ต่อให้ผู้อื่นไม่พูดนางก็คงต้องกลายเป็นคนผิดไปโดยปริยาย


 


 


ในเมื่อจะตรวจสอบหรือไม่ตรวจสอบก็มีผลเช่นนั้นอยู่ดีก็มิสู้ตรวจสอบไปเสีย บางทีอาจจะพบเบาะแสบางอย่างขึ้นมาก็ได้


 


 


หากคิดจะเอาจานอุจจาระมาราดศีรษะนางก็คงต้องดูว่าตนมีความสูงมากพอหรือไม่


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นเหตุการณ์เป็นเช่นนี้แล้วก็ได้แต่ลอบถอนหายใจ แล้วเอ่ยว่า “ฮูหยินรองถามพวกเจ้า พวกเจ้าก็พูดเถิด ข้ารู้ว่าพวกเจ้ารับใช้ฮูหยินสี่อย่างเต็มกำลังแล้ว ขอเพียงพูดความจริงจะไม่ตำหนิหรือลงโทษพวกเจ้าแน่นอน”


 


 


ทันใดนั้นสาวใช้ผู้หนึ่งก็เอ่ยพูดตะกุกตะกักขึ้นว่า “ฮูหยินสี่มิได้กินอันใดมาตั้งแต่เช้า เพียงดื่มน้ำไปเล็กน้อย แล้วก็…แล้วก็…”


 


 


นางชำเลืองมองเจินเมี่ยวคราหนึ่งแล้วโพล่งออกมาว่า “แล้วก็กินขนมเฝ่ยชุ่ยเหลียงกั่วที่ต้าไหน่ไหน่เอามาให้ไปชิ้นหนึ่ง พอกินชิ้นที่สองได้คำหนึ่งก็เกิดปวดท้องขึ้นมาเจ้าค่ะ” 

 

 


ตอนที่ 333 สุนัขกัดสุนัข

 

 ชั่วขณะนั้นสายตาทุกคู่ต่างมองไปที่ขนมเฝ่ยชุ่ยเหลียงกั่วที่หล่นอยู่บนพื้นนั่น


 


 


ขนมเฝ่ยชุ่ยเหลียงกั่วที่ถูกกัดไปคำหนึ่งนั่นเผยให้เห็นไส้ถั่วสีขาวอยู่ภายใน มันยังคงงดงามยวนตาคนดั่งอัญมณี ทว่าในสายตาทุกคนในยามนี้กลับคล้ายมันได้แผ่ไอเย็นออกมากระนั้น


 


 


พวกเขาต่างหันไปมองเจินเมี่ยวพร้อมกัน


 


 


เจินเมี่ยวเห็นอารมณ์ทอดถอนใจในแววตาของฮูหยินผู้เฒ่า ความยินดีในเบื้องลึกดวงตาของนางเถียนและความห่วงใยที่แฝงในแววตาอันสงบนิ่งของนางซ่งอย่างชัดเจน


 


 


นางลุกขึ้นแล้วเดินไปที่โต๊ะอาหารแล้วยกมือขึ้นชี้พลางเอ่ยว่า “ข้าไม่รู้ว่าฮูหยินของพวกเจ้ากินอันใดมาบ้างตั้งแต่เช้ากระทั่งตอนนี้ แต่เหอถาวจานนี้นางก็กินมันไปเช่นกัน”


 


 


เมื่อวาจานี้เอ่ยออกมาแต่ละคนก็มีสีหน้าแตกต่างกันไป


 


 


โดยเฉพาะนางเถียน นางตัวสั่นขึ้นมาเล็กน้อย ความตกใจพาดผ่านใบหน้านางไปวูบหนึ่ง เคราะห์ดีที่ตอนนี้สายตาของทุกคนต่างมองไปที่เจินเมี่ยวจึงไม่มีผู้ใดสนใจนาง


 


 


นางลอบผ่อนลมหายใจออกมาแต่ในใจกลับเกิดขึ้นซัดสาดขึ้นมาอีกครา


 


 


นี่มันเรื่องราวใดกัน คนของนางอยู่ที่ห้องครัวใหญ่มาตลอดและรายงานแก่นางว่าระยะนี้เยียนเหนียงชอบกินเหอถาวทอดกรอบ นางจึงสั่งให้ลงมือกับอาหารจานนี้


 


 


หรือที่นางชีปวดท้องมิใช่เพราะกินเฝ่ยชุ่ยเหลียงกั่วของนางเจินแต่เพราะกินเหอถาวทอดกรอบ


 


 


นางเถียนเริ่มหวั่นใจขึ้นมาจึงนิ่งเงียบ


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าจ้องสาวใช้คุกเข่าอยู่บนพื้นแล้วเอ่ยเสียงขรึมว่า “ฮูหยินสี่กินจานนั้นด้วยหรือไม่”


 


 


สาวใช้หลายคนต่างพยักหน้าหงึกหงัก “กินเจ้าคะ ตอนนั้นฮูหยินกินไปเพียงคำ บ่าวจึงลืมนึกไปเจ้าค่ะ”


 


 


“เช่นนั้นพวกเจ้าก็คิดอีกทีให้ดีๆ ว่าฮูหยินยังกินอันใดเข้าไปอีกบ้าง หากครั้งนี้สะเพร่าอีกจะไม่ยกโทษให้โดยง่ายแน่” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยเสียงเรียบ


 


 


สาวใช้ทั้งหลายต่างมองหน้ากัน เมื่อครุ่นคิดอย่างละเอียดแล้วจึงส่ายหน้าอย่างพร้อมเพรียง


 


 


นางชีที่นอนอยู่ในห้องต่างได้ยินทุกคำที่สนทนากัน นางเพียงประคองท้องตนแล้วถอนหายใจออกมา


 


 


ด้วยอุปนิสัยของนาง หากยามปกตินางคงเอ่ยปากเพื่อให้ทุกอย่างจบลงด้วยดี แต่ครานี้เกี่ยวพันถึงลูกน้อยในครรภ์ นางจึงมิอาจทำเช่นนั้นได้


 


 


นางรักและทะนุถนอมบุตรในครรภ์ผู้นี้ยิ่ง นี่เป็นบุตรของนางกับนายท่านสี่


 


 


นางเคยคิดว่าคงต้องใช้ชีวิตกันเพียงลำพังกับเจ้าหกไปตลอดชีวิต คิดไม่ถึงว่าสวรรค์จะเห็นใจส่งท่านพี่กลับมาหานางอีก ทั้งยังมอบบุตรอีกคนให้นาง ต่อไปบุตรชายของนางก็จะมีพี่น้องมารดาเดียวกันเพิ่มขึ้นอีกคนแล้ว ช่างเป็นเรื่องที่ดีเหลือเกิน


 


 


ดังนั้นไม่ว่าผู้ใดที่ลงมือต่อบุตรของนาง นางล้วนมิอาจปล่อยไปได้โดยง่าย


 


 


บรรยากาศนอกห้องเต็มไปด้วยความอึมครึมเคร่งเครียด


 


 


เจินเมี่ยวกลับเอ่ยออกมาทันทีว่า “ท่านย่า ในเมื่อบรรดาสาวใช้ต่างบอกว่า อาสะใภ้สี่ได้กินทั้งเฝ่ายชุ่ยเหลียงกั่วและเหอถาวทอดกรอบ ตอนนี้ท่านหมอก็ยังอยู่ที่นี่ เช่นนั้นก็ให้ท่านหมอตรวจสอบอาหารสองจานนี้สักหน่อยเถิดเจ้าค่ะ”


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่านิ่งเงียบไปครู่หนึ่งจึงพยักหน้าแล้วสั่งให้คนไปเชิญท่านหมอมา


 


 


หลังจากที่หมอได้ฟังวาจาของฮูหยินผู้เฒ่าแล้วก็หยิบเฝ่ยชุ่ยเหลียงกั่วขึ้นมาพินิจโดยละเอียด ทั้งยังกัดกินไปคำหนึ่งอย่างระมัดระวังแต่มิได้รีบกลืนลงท้องแต่ใช้ลิ้นละเลียดรสชาติของมันอย่างละเอียด


 


 


อร่อยจริงๆ!


 


 


ท่านหมอจึงกัดกินไปอีกคำหนึ่ง


 


 


ผู้คนทั้งหลายต่างหวั่นใจ หรือปัญหาจะอยู่ที่เฝ่ยชุ่ยเหลียงกั่วนี่จริงๆ


 


 


ท่านหมอกัดกินไปอีกคำหนึ่งภายใต้สายตาอันเบิกตะลึงของคนทั้งหาย เมื่อกินหมดไปหนึ่งชิ้นก็อาจกินได้อีกจึงจำต้องหยิบเหอถาวทอดกรอบขึ้นมาด้วยความเสียดาย


 


 


หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ขมวดคิ้วขึ้นและหยุดชะงักไป


 


 


คนทั้งหลายต่างอกสั่นขวัญแขวนตามไปด้วย


 


 


ท่านหมอมองฮูหยินผู้เฒ่าแล้วยกมือขึ้นประกบกันพลางเอ่ยว่า “หากข้ามิได้ชิมผิด เหอถาวทอดกรอบจานนี้ได้ใส่น้ำบุปผาแดงลงไปด้วย”


 


 


“ห๊ะ!” แม้ฮูหยินผู้เฒ่าจะเตรียมใจไว้แล้วแต่เมื่อได้ยินคำว่า ‘บุปผาแดง’ ก็ยังคงอดใจสั่นขึ้นมามิได้


 


 


ใส่น้ำบุปผาแดง นั่นมิใช่แค่อาหารที่แสลงสำหรับคนตั้งครรภ์ธรรมดาทั่วไป แต่หมายความว่ามีคนเจตนาทำลายหลานของจวนกั๋วกง!


 


 


“เคราะห์ดีที่กินไปน้อย ยามนี้จึงไม่เป็นอันใดแล้ว” ท่านหมอเอ่ยต่อ


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าหน้าเคร่งเครียดขึ้นมา นางส่งสัญญาณให้สาวใช้ไปส่งท่านหมอกลับ


 


 


หลังจากที่ท่านหมอกลับไปแล้วก็พลันได้ยินเสียงร้องไห้ของนางชีดังออกมาจากในห้องนอน


 


 


คนทั้งหลายต่างรีบเข้าไปดู


 


 


นางชีเงยหน้าขึ้น ขอบตานางแดงก่ำ เมื่อเห็นเจินเมี่ยวน้ำตาก็ไหลออกมาทั้งยังเอ่ยวาจาด้วยความซาบซึ้งอย่างที่สุด “หลานสะใภ้ ครานี้ต้องขอบใจเจ้าแล้ว”


 


 


เมื่อคิดย้อนไปนางประคองท้องตนด้วยความรู้สึกหวาดกลัว “หากเกิดเรื่องขึ้นกับเด็กผู้นี้ ข้าก็ไม่รู้จะทำอย่างไรแล้วจริงๆ”


 


 


หลังจากที่นางสูญเสียสามีและได้เขากลับคืนมาแล้วก็คล้ายว่านางจะมิอาจทนรับกับการสูญเสียใดๆ ได้อีกแล้ว


 


 


อารมณ์ของนางชีออกจะไม่มั่นคงนัก นางยื่นมือออกมาคล้ายอยากจะคว้าจับมือเจินเมี่ยว


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าที่ยืนอยู่ด้านหลังจึงตบหลังเจินเมี่ยวเบาๆ คราหนึ่ง


 


 


เจินเมี่ยวจึงรีบเดินเข้าไปกุมมือที่ยื่นออกมาของนางชีแล้วเอ่ยปลอบว่า “อาสะใภ้สี่ ท่านอย่าร้องไห้เลย อันตรายนั้นได้ผ่านไปแล้วเป็นการยืนยันว่าเด็กผู้นี้มีวาสนานัก”


 


 


นางชีกุมมือเจินเมี่ยวแน่นคล้ายสงบใจลงได้บ้างแล้วจึงเผยรอยยิ้มจางๆ ออกมา “หากพูดถึงวาสนาก็คงเพราะได้มาจากพี่สะใภ้เช่นเจ้านั่นแลา”


 


 


“นางชี ที่แท้เกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่” ในที่สุดฮูหยินผู้เฒ่าก็อดเอ่ยถามออกมามิได้


 


 


นางชีมองนางเถียนและนางซ่งที่มองนางอยู่เช่นกันแล้วเอ่ยอธิบายว่า “หลานสะใภ้บอกว่าเหอถาวทอดกรอบที่ห้องครัวใหญ่ส่งมาไม่อร่อยเท่านางทำ นางบอกว่าจะทำให้ข้ากินจึงมิให้ข้ากินอีก”


 


 


กล่าวถึงตรงนี้นางก็รู้สึกกลัวขึ้นมาอีก “ดังนั้นสะใภ้จึงกินไปเพียงคำเดียว หากเป็นยามปกติก็มักจะกินจนหมดไปมากกว่าครึ่งจาน”


 


 


ห๊ะ เพราะนางเจินอยากอวดฝีมือตนจึงทำให้นางชีพ้นภัยครานี้ไปได้งั้นหรือ นางเถียนลอบขย้ำผ้าเช็ดหน้าตน นางกัดฟันสีเงินในปากจนแทบแตกเป็นผุยผงแล้ว


 


 


ตอนนี้นางชีไม่เป็นอันใดแล้วยังพอว่า แต่เมื่อเหอถาวทอดกรอบนั้นถูกตรวจพบเช่นนี้ ไม่รู้ว่าตัวหายนะที่เรือนนางเป็นอย่างไรบ้างแล้ว แต่ไม่ว่าอย่างไรขอแค่มิแหวกหญ้าให้งูตื่นก็พอแล้ว!


 


 


สายตาที่ฮูหยินผู้เฒ่ามองเจินเมี่ยวนั้นเต็มไปด้วยความรักใคร่เมตตา “ครั้งนี้คงต้องขอบใจหลานสะใภ้จริงๆ แล้ว”


 


 


เจินเมี่ยวเม้มริมฝีปากผลิยิ้มออกมา “ต้องเป็นเพราะโชคดีจากท่านย่าที่ส่งผ่านมาให้ข้าอย่างแน่นอน ข้าจึงได้ส่งผ่านโชคดีนี้มาให้อาสะใภ้สี่ หากวันนี้ท่านมิเป็นห่วงว่าอาสะใภ้สี่กินอันใดไม่ค่อยได้จึงให้ข้าเอาขนมเฝ่ยชุ่ยเหลียงกั่วมาส่ง บางทีข้าอาจจะไม่มาที่นี่ก็ได้ ดังนั้นแท้จริงแล้วโชคดีนี้จึงมาจากท่านย่าอย่างไรเล่า”


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าได้ฟังก็ยิ่งเบิกบานใจ “เจ้าเด็กคนนี้ ปากช่างหวานนัก”


 


 


หวานจนนางเบิกบานไปถึงหัวใจ!


 


 


คนไร้คุณธรรม โชควาสนาย่อมอยู่ไม่นาน คนมีคุณธรรม โชควาสนาย่อมอยู่ยาวนาน


 


 


หลานสะใภ้มีโชควาสนาอันดี ก็มิใช่เพราะนางมีคุณธรรมหรอกหรือ จิตใจที่ดีย่อมนำโชควาสนาอันดีมาให้


 


 


ได้แต่หวังว่านางจะมีจิตใจเช่นนี้ตลอดไป และคอยอยู่เคียงข้างหลานชายที่นับวันยิ่งดูไม่ออกว่าคิดอันใดอยู่ทั้งนำพาจวนกั๋วกงไปสู่วันเวลาอันความโชติช่วงยิ่งๆ ขึ้นไป


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าอารมณ์ดีขึ้นมาทันใด ทว่าเรื่องนี้จำเป็นต้องสืบสวนต่อไป นางมองนางเถียนคราหนึ่ง “นางเถียนยามนี้เจ้าเป็นผู้ดูแลจวน เหตุใดจึงเกิดเรื่องเช่นนี้ในห้องครัวใหญ่ได้เล่า”


 


 


นางเถียนหน้าร้อนเห่อขึ้นมา “เป็นความผิดของสะใภ้เองเจ้าค่ะ เพียงแต่สะใภ้คิดไม่ถึงว่าจะมีคนใจชั่วช้าลอบลงมือต่อน้องสะใภ้สี่…”


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่ารู้สึกผิดหวังต่อนางเถียนไม่น้อยแต่สีหน้ายังคงเรียบเฉย นางมองไปที่นางซ่ง “นางซ่ง เรื่องนี้เจ้าเห็นเช่นไร”


 


 


นางซ่งเอ่ยเสียงเรียบว่า “ฮูหยินผู้เฒ่า สะใภ้คิดว่าในเมื่อเจตนาทำร้ายคนคงหนีไม่พ้นคำว่า ‘ผลลประโยชน์’ อย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”


 


 


ความหมายนี้ชัดเจนยิ่ง หากอยากรู้ว่าผู้ใดคิดร้ายต่อนางชี คงต้องดูว่าหากบุตรนางสิ้นไป ผู้ใดจะได้ผลประโยชน์


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่ามองสะใภ้ทั้งสามและหลานสะใภ้ตน


 


 


นางชีเป็นสะใภ้คนที่สี่ การตั้งครรภ์ของนางย่อมไม่ขัดผลประโยชน์ของบ้านใดทั้งสิ้น นางคิดไม่ออกว่าเด็กผู้นี้ไปขัดตาผู้ใดกันแน่ หากพูดถึงผู้ที่จะได้รับผลกระทบที่สุดหากนางชีตั้งครรภ์ เกรงว่าคงเป็นอนุเพียงคนเดียวในจวนผู้นั้นแล้ว


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่ารีบกดข่มความคิดที่จะเรียกหูอี๋เหนียงให้มาพบ


 


 


ยามนี้ไม่มีหลักฐาน ไม่ว่าผู้ใดย่อมมิอาจยอมรับ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสตรีวาณิชที่ฉลาดเป็นกรดเช่นนั้นเรื่องนี้คงต้องไปตรวจสอบที่ห้องครัวใหญ่ให้ชัดเจนเสียก่อนค่อยว่ากัน


 


 


“นางซ่ง เรื่องในห้องครัวใหญ่คงต้องให้เจ้าไปสอบถามดูสักหน่อยแล้ว”


 


 


คล้ายว่านางซ่งเองก็คาดเดาไว้แล้วว่าฮูหยินผู้เฒ่าต้องให้ตนไปจัดการ นางจึงรับคำเสียงเรียบแล้วลุกขึ้นจากไป


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยกับนางชีว่า “นางชี เช่นนั้นเจ้าก็พักผ่อนเถิด พวกเราไปก่อนแล้ว”


 


 


“ฮูหยินผู้เฒ่าเจ้าคะ” นางชีเงยหน้าขึ้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงแน่วแน่ว่า “สะใภ้นอนอยู่ผู้เดียวคงเอาแต่คิดวุ่นวายไปเรื่อย อย่างไรก็อยากรอฟังความเป็นไปที่พี่สะใภ้สามถามความมาได้เจ้าค่ะ”


 


 


นางมิใช่คนโง่ หากเป็นฝีมือหูอี๋เหนียงจริง ต่อให้ต้องทำผิดต่อท่านพี่ นางก็ไม่มีทางยอมได้!


 


 


หูอี๋เหนียงเคยช่วยชีวิตท่านพี่ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดแต่ท่านพี่ก็ยังมีชีวิตอยู่ แค่จุดนี้ต่อให้ในจวนจะมีเพียงเรือนนางที่มีอนุภรรยา แต่นางก็ยอมรับได้ กระทั่งหากท่านพี่จะรักหูอี๋เหนียงมากกว่าสักหน่อย นางก็ทนได้ ทว่ามีแค่อย่างเดียวคืออย่าได้มาทำร้ายบุตรของนาง นี่เป็นสิ่งเดียวที่นางมิอาจยอมได้โดยเด็ดขาด!


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าจึงพยักหน้ารับ


 


 


นางเถียนเห็นเช่นนั้นก็เริ่มลนลานขึ้นมา นางรีบเอ่ยว่า “ฮูหยินผู้เฒ่า สะใภ้ว่าเรื่องนี้คงต้องเกี่ยวข้องกับหูอี๋เหนียงแน่นอน เช่นนั้นไปเรียกนางมาสอบถามจะดีกว่าเจ้าค่ะ”


 


 


“ไม่มีหลักฐาน จะไปถามเอาอันใด”


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าเพิ่งจะกล่าวจบก็มีสาวใช้มารายงานว่า “หูอี๋เหนียงขอพบเจ้าค่ะ”


 


 


“ให้นางเข้ามา”


 


 


หลังจากนั้นไม่นานหูอี๋เหนียงก็เดินเข้ามา นางเถียนชิงเอ่ยก่อนผู้ใดว่า “หูอี๋เหนียง เหอถาวทอดกรอบที่ฮูหยินสี่กินเข้าไปมีบุปผาน้ำแดงผสมอยู่ เรื่องนี้เกี่ยวข้องอันใดกับเจ้าหรือไม่”


 


 


เจินเมี่ยวฟังแล้วก็ลอบกลอกตาคราหนึ่ง


 


 


หูอี๋เหนียงมิใช่คนโง่ เอ่ยถามนางเช่นนี้นางมีหรือจะยอมรับโดยง่าย ปกติอาสะใภ้รองก็มิได้ดูโง่เขลาเพียงนี้มิใช่หรือ


 


 


เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าได้ฟังก็เจ็บแปลบที่ใจขึ้นมาดั่งคาด นางลอบเอ่ยในใจว่านางเถียนสุขภาพย่ำแย่ลงแม้แต่สติปัญญาก็แย่ตามไปด้วย


 


 


หูอี๋เหนียงเบิกตากว้างขึ้นแล้วคุกเข่าลงเสียงดังพลั่ก “ฮูหยินรอง ข้าไม่รู้ว่าท่านพูดอันใด”


 


 


นางเงยหน้าขึ้น ขอบตาแดงก่ำ “ฮูหยินผู้เฒ่า ข้าได้ยินว่าฮูหยินไม่สบายจึงรีบรุดมาเยี่ยม ฮูหยินรองพูดเรื่องน้ำบุปผาแดงอันใดกันเจ้าคะ ทั้งยังบอกว่าเกี่ยวข้องกับข้าอีก เช่นนี้มิใช่ต้องการชีวิตข้าหรอกหรือ”


 


 


นางเถียนแค่นยิ้มเย็น “หูอี๋เหนียงเจ้าอย่าเพิ่งร้องป่าวว่าตนถูกใส่ร้าย เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเจ้าหรือไม่แค่ไปค้นห้องเจ้าก็รู้แล้ว แม่นมเถียนพวกเจ้าไปค้นห้องของหูอี๋เหนียงที่เรือนฝั่งตะวันตกเดี๋ยวนี้!”


 


 


นางย่อมมิใช่คนโง่ที่แหวกหญ้าให้งูตื่น แต่นางต้องรีบโยนความผิดให้หูอี๋เหนียงก่อนที่นางซ่งจะไปสอบถามจนได้เบาะแสอันใดที่ห้องครัวใหญ่กลับมาเสียก่อน


 


 


แม้นางไม่ทราบว่าเหตุใดเหอถาวทอดกรอบผสมน้ำบุปผาแดงที่ควรยกไปที่ให้เยียนเหนียงมาโผล่เรือนนางชีได้อย่างไร แล้วห้องครัวใหญ่จัดการทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้วหรือไม่ นางซ่งจะสอบถามจนได้เบาะแสใดมาหรือไม่ แต่การหาแพะรับบาปให้ได้ก่อนต่างหากจึงเป็นการรับประกันความผิดพลาดได้ดีที่สุด


 


 


ส่วนในห้องหูอี๋เหนียงจะมีน้ำบุปผาแดงหรือไม่นั้น…


 


 


นางเถียนแค่นยิ้มเย็นอยู่ในใจ ขอเพียงได้ค้นห้องหูอี๋เหนียง หากนางอยากให้มีก็ย่อมต้องมีอย่างแน่นอน!


 


 


หูอี๋เหนียงเห็นเช่นนั้นก็ร้อนใจขึ้นมาเป็นการใหญ่


 


 


แน่นอนว่าห้องของนางย่อมไม่มีน้ำบุปผาแดง เรื่องในวันนี้นางเพียงผลักเรือตามน้ำด้วยการลอบสลับจานเหอถาวทอดกรอบเท่านั้น จานที่นางชีกินคือจานที่ควรจะส่งไปให้เยียนเหนียงนั่นเอง!


 


 


แต่นางเถียนกลับสั่งการรวดเร็วดุจอัสนีฟาดผ่าให้คนไปค้นห้องนาง การใส่ร้ายโยนความผิดเหล่านั้นนางมีหรือจะมิเคยพบเห็น


 


 


แผนการในยามนี้มีเพียงต้องถ่วงเวลาเท่านั้น นางต้องถ่วงเวลารอให้ฮูหยินสามไปสืบความจากห้องครัวใหญ่กลับมาเสียก่อน


 


 


หูอี๋เหนียงร่ำไห้อย่างหนักแล้วเอ่ยว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าเจ้าคะ ในเมื่อฮูหยินรองไม่เชื่อข้า เช่นนั้นข้าคงต้องตายเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์แล้ว!” นางพูดพลางวิ่งเข้าชนกำแพงด้านที่ไม่มีคนยืนขวางอยู่ทันที


 


 


เสียงตึงดังขึ้น ตามด้วยโลหิตที่สาดกระเซ็นไปทั่วบริเวณ 

 

 


ตอนที่ 334 ต่างย่ำแย่ทั้งสิ้น

 

โลหิตไหลออกมาจากหน้าผากของหูอี๋เหนียง นางพลันล้มตึงลงไปเสียงดังสนั่น


 


 


เสียงกรีดร้องดังขึ้นภายในห้อง ทุกอย่างพลันวุ่นวายไปหมด นางชีตั้งครรภ์อยู่ไหนเลยจะทนเห็นภาพเหตุการณ์เช่นนี้ได้ นางจึงหน้ามืดหมดสติไปทันที


 


 


เจินเมี่ยวเป็นห่วงว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะรับไม่ไหวจึงรีบเข้าไปประคอง


 


 


แต่ฮูหยินผู้เฒ่ากลับสุขุมยิ่ง นางถือไม้เท้าจ้องมองหูอี๋เหนียงที่นอนอยู่บนพื้นนิ่ง คิ้วขมวดบิดเป็นขนมหมาฮวา ในก็เอ่ยว่าหรือนี่คือหนึ่งร่ำไห้สองโวยวายสามแขวนคอตายในตำนาน ได้ยินมาว่าบรรดาสะใภ้ในตระกูลยากจนชอบทำเช่นนี้ที่สุด


 


 


“ท่านย่า…” เจินเมี่ยวร้องขึ้นด้วยความเป็นห่วง


 


 


คนอายุมากแล้ว หากเป็นโรคความดันโลหิตสูงก็อาจตกใจแตกตื่นกับเหตุการณ์เช่นนี้คงแย่แน่


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าหันมาตบมือเจินเมี่ยวแล้วเอ่ยปลอบว่า “ไม่ต้องกลัว”


 


 


กล่าวจบก็หันไปกำชับอีกว่า “หงฝู ข้าคงต้องให้เจ้ารีบไปตามท่านหมอเมื่อครู่กลับมาแล้วล่ะ! หงสี่รีบไปตามหมอเฝิงมาตรวจดูฮูหยินสี่ก่อน พวกเจ้าที่เหลือรีบพาหูอี๋เหนียงไปที่ห้องด้านข้างก่อน แล้วเอาผ้าทำแผลมาปิดแผลไว้ด้วย”


 


 


หลังจากนั้นก็ยังไม่ลืมส่งสายตาให้แม่นมหยางด้วยคราหนึ่ง


 


 


แม่นมหยางเข้าใจทันที นางจึงเดินเข้าไปตรวจสอบลมหายใจของหูอี๋เหนียง แล้วเดินกลับมาพยักหน้าเบาๆ ให้ฮูหยินผู้เฒ่า


 


 


ความหมายของท่าทีนั้นคือหูอี๋เหนียงยังไม่ตาย


 


 


ในชั่วขณะนั้นบ่าวไพร่ทั้งหลายต่างก็เริ่มลงมือกันอย่างไม่ลนลานอีก


 


 


เจินเมี่ยว “…”


 


 


นี่คือสตรีชราอันใดกัน ยังไม่ยอมให้คนหนุ่มสาวได้แสดงความสามารถเลยหรือไร!


 


 


ท่านหมอเฝิงยังไม่ทันมาถึง นางชีก็เริ่มรู้สึกตัวขึ้นแล้ว ประโยคแรกที่นางถามคือ “หูอี๋เหนียงเป็นอย่างไรบ้างแล้ว”


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยเสียงขรึมว่า “นางชี เจ้านอนพักอย่างสบายใจเถิด หากหมอเฝิงมาถึงก็จะให้รีบตรวจอาการนางทันที แม้ได้รับบาดเจ็บแต่คงไม่ถึงชีวิตเป็นแน่”


 


 


นางชีฟังแล้วก็เริ่มรู้สึกสบายใจขึ้น


 


 


หากหูอี๋เหนียงถูกใส่ร้ายแล้วนางตายไปเช่นนี้ เรื่องแพร่ออกไปคงกลายเป็นว่านางบีบคั้นให้คนต้องตาย แล้วท่านพี่จะคิดเช่นไรเล่า


 


 


นางชีเป็นคุณหนูตระกูลสูงศักดิ์อย่างแท้จริง แม้ฐานะของหูอี๋เหนียงจะไม่ธรรมดา แต่หลังจากกลายเป็นอนุภรรยา นางก็มิได้เก็บเอามาใส่ใจอีก เพราะนางรู้ดีว่านายท่านรองจะมิให้อันใดกับหูอี๋เหนียงมาเกินกว่าที่อนุภรรยาพึงได้ หากหูอี๋เหนียงพยายามที่จะแย่งชิงก็มีแต่จะทำให้ความรักของท่านรองลดน้อยถอยลงเท่านั้น


 


 


ในทางกลับกันนางกลับยิ่งไม่อยากให้หูอี๋เหนียงตายไปทั้งที่ทุกอย่างไม่กระจ่าง และกลับกลายไปเป็นสตรีที่พิเศษที่สุดในใจของนายท่านรอง


 


 


เวลานี้เองท่านหมอเฝิงก็มาถึงพอดี สาวใช้พาเขาไปที่ห้องด้านข้างทันที


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าปลอบใจนางชีอยู่หลายประโยคแล้วจึงไปรอที่ห้องด้านนอก


 


 


นางเถียนเห็นสถานการณ์เป็นเช่นนี้ก็ทราบว่าคงไปค้นที่ห้องหูอี๋เหนียงไม่ได้แล้ว จึงลอบด่าว่าอัปมงคลอยู่ในใจ สตรีวาณิชผู้นี้ช่างใจเ**้ยมกับตนเองได้ลงคอ นางยังไม่เคยเห็นผู้ใดคิดฆ่าตัวตายเพียงเพราะถูกกล่าวหาแค่เพียงเล็กน้อยเท่านี้เลย


 


 


ไม่รู้ว่านางซ่งจะกลับมาเมื่อใด นางเริ่มหวั่นใจขึ้นมาอีกแล้ว แต่หากเอ่ยปากจะกลับในตอนนี้คงไม่เป็นไปไม่ได้ คงทำได้เพียงแข็งใจรอต่อไป


 


 


ท่านหมอผู้นั้นเองก็เร่งกลับมาด้วยความรีบร้อนเช่นกัน เหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดขึ้นที่หน้าผาก เขาแสดงความเคารพต่อฮูหยินผู้เฒ่าแล้วมองไปโดยรอบ


 


 


นางเถียนจึงเอ่ยว่า “คนอยู่ที่ห้องด้านข้าง รีบพาท่านหมอไปเร็วเข้า”


 


 


ท่านหมอผู้นั้นยังมิทันได้ก้าวเท้าออกไปก็ได้ยินฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยขึ้นคำหนึ่งว่า “เมื่อครู่สะใภ้ข้าหน้ามืดไป แม้ตอนนี้ฟื้นแล้ว แต่ข้ากลัวจะมีอันตราย อย่างไรคงต้องรบกวนท่านช่วยตรวจดูให้อีกสักครั้ง หงฝูพาท่านหมอไปตรวจอาการฮูหยินสี่ที”


 


 


ท่านหมอเกิดความสงสัยขึ้นในใจแต่ยังคงเดินตามหงฝูเข้าไปด้านในด้วยสีหน้าเรียบเฉย


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าชำเลืองมองนางเถียนคราหนึ่ง


 


 


นางเถียนรู้สึกประหม่าขึ้นมา


 


 


นางคิดว่าฮูหยินผู้เฒ่าเรียกท่านหมอผู้นั้นกลับมาเพราะให้มาตรวจดูอาการของหูอี๋เหนียงเสียอีก แม้หูอี๋เหนียงจะฐานะต่ำต้อย แต่การกระโดดพุ่งชนกำแพงนั้นช่างเป็นภาพที่น่าตกใจยิ่ง ฮูหยินผู้เฒ่าจะไม่ตกใจสักนิดเลยหรือ


 


 


ความจริงมิใช่ฮูหยินผู้เฒ่าใจเ**้ยมอันใด แต่นางเคยกระทั่งเข้าร่วมสนามรบมาแล้ว เมื่อเห็นเลือดก็มิได้เป็นลมล้มพับดั่งสตรีธรรมดาทั่วไป หูอี๋เหนียงเองแค่บาดเจ็บภายนอก แต่ท่านหมอผู้นี้เชี่ยวชาญในการตรวจสตรีมีครรภ์ การให้เขาไปตรวจจึงมิจำเป็นยิ่งทั้งยังยุ่งยากกว่าเดิมเสียอีก


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าลอบหงุดหงิดที่นางเถียนเอ่ยวาจาผิดไปจึงไม่ไยดีนางอีก เพียงเอ่ยพูดคุยกับเจินเมี่ยวเท่านั้น


 


 


นางเถียนจ้องมองเจินเมี่ยวอย่างเอาเป็นเอาตาย นางรู้สึกว่าวันนี้ช่างเป็นวันที่มีแต่เรื่องย่ำแย่ให้หงุดหงิดใจ


 


 


กระทั่งท่านหมอผู้นั้นตรวจเสร็จแล้วลากลับ ท่านหมอเฝิงก็เดินออกมาจากห้องด้านข้างพอดี


 


 


หูอี๋เหนียงมิได้เป็นอันตรายถึงชีวิตดั่งคาด แต่ก็ต้องนอนพักรักษาตัวอยู่บนเตียงนิ่งๆ


 


 


ครั้นท่านหมอเฝิงออกมาแล้ว นางซ่งก็พาคนมาถึงเช่นกัน


 


 


เมื่อเห็นคนที่อยู่ด้านหลังนางซ่ง ฮูหยินผู้เฒ่าก็เอ่ยถามว่า “นางคือ…”


 


 


“ฮูหยินผู้เฒ่านางคือสาวใช้ที่คอยปรนนิบัติเยียนเหนียงเจ้าค่ะ”


 


 


“เหตุใดจึงพานางมาเล่า” ฮูหยินผู้เฒ่ายกถ้วยชาขึ้นจิบคำหนึ่ง


 


 


นางซ่งจึงเอ่ยอย่างคล่องแคล่วว่า “สะใภ้ไปสอบถามที่ห้องครัวใหญ่ได้ความว่าในช่วงสองสามวันนี้ห้องครัวใหญ่จะทำเหอถาวทอดกรอบทุกวัน วันละสองจาน จานหนึ่งส่งมาที่เรือนอวี้หยวนให้น้องสะใภ้สี่ อีกจานส่งไปที่เรือนซินหยวนให้เยียนเหนียงเจ้าค่ะ”


 


 


คนทั้งสองตั้งครรภ์ในเวลาเดียวกัน แม้ฐานะแตกต่างทว่าจวนเจิ้นกั๋วกงมิเคยตระหนี่กับเรื่องเสื้อผ้า อาหารการกิน ฮูหยินผู้เฒ่าเคยกล่าวไว้ว่าคนทั้งสองนั้นสามารถสั่งให้ทำอาหารอื่นๆ ได้


 


 


“สะใภ้เห็นเช่นนั้นจึงไปที่เรือนเยียนเหนียง คิดไม่ถึงว่าจะบังเอิญยิ่ง ตอนนั้นเหอถาวทอดกรอบที่จัดวางอยู่บนโต๊ะอาหารในเรือนเยียนเหนียงยังมิทันได้เก็บไปพอดี แต่ดูท่าทางแล้วกลับมิได้แตะต้องมันสักคำเจ้าค่ะ”


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าฟังแล้วก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยเป็นสัญญาณให้นางซ่งเอ่ยต่อ


 


 


นางซ่งจึงชี้ไปที่สาวใช้ที่ตามตนมา “ตอนนั้นสาวใช้ผู้นี้เอ่ยอธิบายกับสะใภ้เจ้าค่ะ” “เจ้าพูดในสิ่งที่พูดกับข้าให้ฮูหยินผู้เฒ่าฟังอีกรอบเถิด”


 


 


สาวใช้ผู้นี้เป็นคนที่นายท่านรองเลือกให้มารับใช้เยียนเหนียงด้วยตนเอง เพราะนางเห็นนายท่านรองหลัวเอาใจเยียนเหนียงจนชิน ความกล้าจึงมีมากกว่าสาวใช้อื่นๆ ยามนั้นจึงเอ่ยวาจาออกมาอย่างคล่องแคล่วต่อหน้าฮูหยินทั้งหลาย “เรียนฮูหยินผู้เฒ่า นายของข้ามิได้แตะต้องเหอถาวทอดกรอบจานนั้นเลยสักนิดเพราะหลังจากที่มีอาการแพ้ท้องก็มิอาจกินงาได้ ถ้ากินเข้าไปก็จะอาเจียนออกมาทันที”


 


 


“อ้อ เช่นนั้นเหตุใดห้องครัวใหญ่จึงได้ทำเหอถาวทอดกรอบส่งไปให้ติดต่อกันหลายวันเพียงนี้เล่า” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยถามเสียงเรียบ


 


 


สาวใช้ผู้นั้นรีบตอบว่า “เพราะก่อนหน้านี้ข้าได้เคยบอกห้องครัวใหญ่เอาไว้แล้ว ดังนั้นเหอถาวทอดกรอบที่ส่งไปจึงมิได้ใส่งา ทว่าไม่ทราบเหตุใดวันนี้จึงใส่งาด้วยทั้งยังใส่ไปจำนวนไม่น้อยเลย ดังนั้นนายข้าจึงมิได้กินแม้เพียงชิ้นเจ้าค่ะ”


 


 


ได้ยินถึงตรงนี้ นางเถียนก็หน้าขาวซีดไปทันใด


 


 


นางซ่งให้สาวใช้คนสนิทของตนยกเหอถาวทอดกรอบจานที่ถูกส่งไปยังเรือนเยียนเหนียงมาให้ฮูหยินผู้เฒ่าดู


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าจึงเอ่ยขึ้นทันใดว่า “ไปเอาจานที่ฮูหยินสี่กินมาให้ข้าดูที”


 


 


หงฝูรีบยกเข้ามาทันที เมื่อเหอถาวทอดกรอบสองจานมาวางอยู่ด้วยกันจึงเห็นชัดว่าจานหนึ่งโรยงาขาวเต็มไปหมด อีกจานกลับไม่มีงาแม้เพียงสักเม็ด


 


 


เรื่องมาถึงขั้นนี้ทุกคนจึงเข้าใจได้ทันทีว่าเหอถาวทอดกลับสองจานนี้ถูกส่งไปผิดที่


 


 


เช่นนั้นจานที่ผสมน้ำบุปผาแดงคงควรที่จะถูกส่งไปที่เรือนเยียนเหนียงกระมัง


 


 


หากเป็นเช่นนี้หูอี๋เหนียงก็คงมิใช่คนทำกระมัง นางไม่มีเหตุผลที่จะทำร้ายเยียนเหนียง!


 


 


สายตาของคนทั้งหลายต่างร่วงตกไปที่นางเถียน


 


 


อยู่ในช่วงเดือนหกแท้ๆ ทว่านางเถียนกลับมีเหงื่อออกเต็มหน้าผากไปหมด นางอ้าปากขึ้นแต่กลับรู้สึกลำคอแห้งผาก ทว่านางรู้ดีว่าควรต้องเอ่ยอันใดออกมาบ้างในสถานการณ์เช่นนี้


 


 


เมื่อเกิดร้อนใจขึ้นเช่นนี้จึงรู้สึกเวียนหัวขึ้นมา นางยกมือขึ้นทาบหน้าผากแล้วเอ่ยด้วยสีหน้ารู้สึกผิดว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าล้วนเป็นเพราะสะใภ้ดูแลไม่เข้มงวดจึงทำให้เกิดเรื่องวุ่นวายเช่นนี้ในห้องครัวใหญ่ กลับไปสะใภ้จะตรวจสอบให้แน่ชัดเจ้าค่ะ!”


 


 


นางซ่งมองดูเงียบๆ แล้วยิ้มออกมาอย่างคนสงวนท่าที


 


 


พี่สะใภ้รองนับวันยิ่งหน้าหนาขึ้นทุกทีแล้ว เห็นผู้อื่นเป็นคนโง่หรือไร เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ผู้ใดจะไม่ทราบบ้างว่าใครเป็นคนลงมือ เยียนเหนียงตั้งครรภ์จะไปขวางตาผู้ใดได้เล่า


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยเสียงเรียบว่า “ในเมื่อเรื่องห้องครัวใหญ่ได้มอบให้นางซ่งตรวจสอบแล้วก็ให้นางตรวจสอบต่อไปเถิด นางเถียนข้าคิดว่าเจ้าดูจะไม่ค่อยแข็งแรงเท่าใด ระยะนี้ก็พักรักษาตัวน่าจะดีกว่า”


 


 


นี่นับเป็นการยึดอำนาจการดูแลจวนของนางไปอีกครา


 


 


นางซ่งก็ตกใจเช่นกัน สำหรับนางแล้วเยียนเหนียงเป็นแค่สาวใช้ทงฝัง ต่อให้ฮูหยินผู้เฒ่าไม่พอใจการกระทำของนางเถียนก็คงไม่หักหน้านางเพียงเพราะสาวใช้ทงฝังผู้หนึ่ง เรื่องให้ห้องครัวใหญ่ก็ควรมอบให้นางเถียนจัดการให้สะอาดหมดจดเสีย ในขณะเดียวกันก็เป็นการตักเตือนว่าต่อไปไม่ควรกระทำส่งเดชอีก แต่คิดไม่ถึงว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะให้นางตรวจสอบต่อไปอีก


 


 


นางเถียนหน้าขาวซีดไป “ฮูหยินผู้เฒ่า?”


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่ายิ่งผิดหวังในตัวนางเถียนมากขึ้น แรกเริ่มนางตั้งใจจัดหาคนไปเพื่อป้องกันมิให้เยียนเหนียงตั้งครรภ์ ผลสุดท้ายกลับถูกนางเถียนและบุตรสาวทำพังไม่เป็นท่า ยามนี้คนตั้งครรภ์ขึ้นมาแล้ว ทั้งมิใช่ตั้งครรภ์ก่อนจะเข้าจวนเช่นซูเหนียง อย่างไรก็เป็นลูกหลานของจวนกั๋วกง การลงมือโหดเ**้ยมเช่นนี้อีกนับว่าเกินไปจริงๆ


 


 


ต่อหน้าคนทั้งหลายอย่างไรนางก็มิคิดจะหักหน้านางเถียนไปมากกว่านี้จึงเอ่ยเสียงเรียบว่า “เจ้าพักผ่อนอย่างสบายใจเถิด มีน้องสะใภ้สามกับหลานสะใภ้ของเจ้าอยู่คงมิเกิดเรื่องวุ่นวายใดขึ้นแน่”


 


 


กล่าวจบก็ลุกขึ้นเอ่ยว่า “หลานสะใภ้ประคองย่ากลับเรือนอี๋อานที”


 


 


เมื่อผ่านเรื่องราวมากมายเช่นนี้ไป ครั้นกลับถึงเรือนอี๋อานและถึงเวลาอาหารกลางวัน ฮูหยินผู้เฒ่าจึงไม่มีใจอยากกินอันใดสักนิด นางกินไปเพียงไม่กี่คำก็วางลง


 


 


เจินเมี่ยวกลับมิเป็นเช่นนั้น ทำอย่างไรได้นางกระเพาะใหญ่จึงยังคงกินข้าวสองถ้วยเช่นเดิม เมื่อเห็นฮูหยินผู้เฒ่าจ้องนางเช่นนั้นจึงเอ่ยอย่างขัดเขินว่า “กินน้อยเกินไปทำให้ใจสับสนกระวนกระวาย…”


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าหัวเราะออกมาเสียงดัง ความขัดข้องหมองใจพลันสลายไปไม่น้อย นางโบกมือให้บ่าวไพร่ออกไป แล้วเอ่ยถามว่า “หลานสะใภ้ เจ้าว่าเรื่องวันนี้ควรจะสืบต่อไปหรือไม่”


 


 


ความจริงชัดเจนยิ่ง นางเถียนคิดจะทำร้ายบุตรในครรภ์ของเยียนเหนียงจึงได้ลงมือกับเหอถาวทอดกรอบแต่สุดท้ายกลับถูกหยิบไปผิดจาน หากสืบต่อไปมิใช่เป็นการตบหน้านางเถียนหรอกหรือ


 


 


แม้เรื่องนี้นางจะทำไม่ถูกแต่เพราะสาวใช้ทงฝัง…ทั้งยังเป็นสาวใช้ทงฝังที่ฮูหยินผู้เฒ่าไม่ชอบชอบมาตั้งแต่คราแรกอีก ไม่ว่าอย่างไรก็คงมิลงโทษนางเถียนหนักเกินไป การยึดอำนาจดูแลจวนคืนนั้นนับว่ามากพอแล้ว


 


 


นี่คือความคิดของคนส่วนใหญ่ แต่เวลานี้ฮูหยินผู้เฒ่ากลับเลือกที่จะถามเจินเมี่ยวโดยเฉพาะ


 


 


เจินเมี่ยวกลับมิได้มีความคิดที่ถูกตีกรอบเช่นนี้ นางครุ่นคิดอย่างจริงจังแล้วเอ่ยว่า “หากถามข้า เรื่องนี้อย่างไรก็ควรสืบต่อไปให้กระจ่างเจ้าค่ะ”


 


 


“หืม?”


 


 


เจินเมี่ยวเม้มริมฝีปากผลิยิ้มแล้วเอ่ยว่า “เมื่อสืบสวนเรื่องราวจนกระจ่างแล้ว ควรจะจัดการอย่างไรหรือไม่จัดการเลย นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่หากไม่สืบต่อไปไม่แน่ว่าอาจจะตกหล่นสิ่งใดไปก็ได้เจ้าค่ะ”


 


 


“หลานสะใภ้คิดว่าอาจจะมีอันใดตกหล่นไปหรือ”


 


 


“เรื่องอื่นข้าไม่ทราบแต่มีเพียงจุดเดียวคือเรื่องการหยิบจานสลับผิดไป มันอาจจะดูเหมือนบังเอิญ แต่จะมีอันใดหรือไม่นั้นก็คงต้องสืบดูก่อนจึงจะทราบได้”


 


 


ฮูหยินฟังแล้วก็หัวเราะเสียงดัง


 


 


 เรื่องนี้นางก็คิดอยู่เช่นกัน หูอี๋เหนียงคิดใช้ความตายพิสูจน์ความบริสุทธิ์ แต่ความบริสุทธิ์นี้มิใช่สิ่งที่การตายจะช่วยพิสูจน์ได้ บุตรสาวจากตระกูลสามัญชนเหตุใดจึงไม่เข้าใจจุดนี้เล่า!


 


 


ไม่นานนางซ่งก็มารายงานอย่างเงียบๆ ว่านางสืบพบว่าสาวใช้เฝ้าเตานั้นมีความสนิทสนมกับแม่นมคนสนิทของหูอี๋เหนียง แน่นอนว่าสาวใช้นั้นต้องไม่ยอมรับแน่ว่าตนทำเรื่องใดลงไป เมื่อไม่มีหลักฐาน นางซ่งก็จนใจเช่นกัน


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าฟังแล้วก็เงียบไปครู่หนึ่งแล้วเรียกคนให้เข้ามาทั้งเอ่ยว่า “ไปที่ค่ายทหารบอกแก่นายท่านสี่ว่าข้าป่วยให้เขากลับมา”

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม