ลิขิตฟ้าชะตารัก 327-334

 ตอนที่ 327 ยอมรับความพ่ายแพ้ 



 


เมื่อได้ยินคำสั่งของนาง หานสือก็รีบบังคับรถม้าไปยังหอจุ้ยเซียนทันที จึงทำให้เห็นว่าหญิงสาวนางนี้มีความสำคัญต่อพวกเขานายบ่าวมากเพียงใด อวี้อาเหราคิดอย่างเคืองๆ ก่อนหน้านี้เหตุใดนางถึงไม่เคยเห็นหานสือเชื่อฟังคำสั่งใครเช่นนี้มาก่อนเลยเล่า 


 


 


เมื่อรถม้าเคลื่อนตัวออกไปแล้ว หญิงสาวผู้นี้ถึงค่อยถอนตัวออกมาจากอ้อมแขนของฉู่ป๋าย 


 


 


อวี้อาเหรามองมายังคนทั้งสอง ในใจของนางก็รู้สึกราวกับเต็มไปด้วยลมอากาศ อึดอัดคับข้องยิ่งนัก ปล่อยก็ไม่ได้ กดไว้ก็ไม่ได้ 


 


 


ที่จริงแล้วนางก็ไม่ได้อยากไปหอจุ้ยเซียนเลย แต่ในเมื่อถูกอีกฝ่ายมัดมือชกเช่นนี้ และยิ่งเห็นสีหน้าที่แสนยินดีของฉู่ป๋ายเพียงนั้น นางก็รู้สึกไม่พอใจขึ้นมาเสียดื้อๆ เช่นนั้นจึงได้ตามคนทั้งสองมา 


 


 


เมื่อมาถึงหอจุ้ยเซียนแล้ว เสี่ยวเอ้อร์ของร้านก็เข้ามาต้อนรับอย่างยินดี เมื่อเห็นคนทั้งสามก็ยิ้มแย้มต้อนรับ “ข้าน้อยคารวะเซิ่นซื่อจื่อและคุณหนูรอง เชิญทางนี้ขอรับ!” 


 


 


“ไปกันเถิด ฉู่ฉู่” หญิงสาวไม่สนใจสายตาของใคร นางดึงแขนของชายหนุ่มเข้าไปในด้านในท่ามกลางสายตาของผู้คน เขาทำเพียงขมวดคิ้วอย่างไม่เห็นด้วย แต่ก็ไม่ได้เอ่ยขัดอะไรขึ้นมา อวี้อาเหราเดินตามหลังพวกเขาไปจนกลายเป็นคนนอกอย่างสมบูรณ์แบบ 


 


 


เสี่ยวเอ้อร์พาพวกเขาเดินเข้าไปด้านในร้านขณะที่หัวเราะยิ้มหัวไปด้วย “เมื่อครู่นี้ท่านอ๋องน้อยจวินและคุณหนูเซิ่นเอ๋อร์ก็มาที่นี่ด้วย ตอนนี้กำลังรอทั้งสามท่านอยู่ในห้องรับรองแล้วขอรับ พวกเขายังกล่าวอีกว่า อีกสักครู่องค์ชายแห่งเป่ยเจียงและคุณหนูเริ่นหว่านเอ๋อร์ก็จะตามมาด้วยขอรับ” 


 


 


“พวกเขาก็มาด้วยหรือ” อวี้อาเหราพลันชะงัก เดิมทีนางก็คิดว่าจะมีเพียงพวกนางสามคนเท่านั้น ไม่คิดว่าจะมีคนมากถึงเพียงนี้ 


 


 


หญิงสาวพยักหน้าลง “ใช่แล้ว ข้าเชิญพวกเขามาเอง” 


 


 


อวี้อาเหราได้ยินดังนั้นแล้วก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก 


 


 


เมื่อยืนอยู่หน้าห้องรับรองยังไม่ทันได้เข้าไป ที่ด้านในห้องก็ปรากฏเสียงเรียกของจวินอู๋เหินมาเสียก่อน เขาออกมาต้อนรับจากด้านใน ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “ในที่สุดพวกเจ้าก็มาเสียที หากต้องรอนานกว่านี้ข้าก็คงจะหิวตายไปแล้ว!” 


 


 


“หากหิวตายไปเลยก็ดีน่ะสิ อย่างไรเสียท่านอ๋องน้อยอยู่ในเมืองเฟิ่งเฉิงแห่งนี้ก็ทำให้คนซวยกันไปทั่วทั้งเมือง หากท่านตายไปเสีย ทั่วทั้งเมืองอาจจะจัดงานเลี้ยงฉลองให้ก็เป็นได้นะ” หญิงสาวพูดขึ้นอย่างไม่ไว้หน้า พูดจนจวินอู๋เหินหน้าเครียดขมึง “หึ เจ้าก็สนใจแต่ฉู่ฉู่ของเจ้า เราจะหิวตายเจ้าก็คงไม่สนใจ” 


 


 


“ท่านรู้ตัวก็ดีแล้ว มิเสียแรงที่หนานหยางอ๋องทรงสั่งสอนท่านอย่างใส่พระทัย” 


 


 


“เหตุใดเจ้าถึงได้ปากคอเราะร้ายเหมือนฉู่ฉู่ของเจ้าไม่มีผิด ช่างไม่เห็นใจผู้อื่นเลยแม้แต่น้อย!” 


 


 


“เหอะ” หญิงสาวไม่สนความโกรธเคืองของเขา ยังคงเดินอ้อมร่างของเขาแล้วเดินเข้าไปด้านใน 


 


 


อวี้อาเหรามองไปทางจวินอู๋เหินเงียบๆ “คิดไม่ถึงว่านอกจากข้าแล้วจะมีผู้ใดกล้าพูดจนเจ้าต้องยอมพ่ายแพ้ไปเช่นนี้อีก” 


 


 


“แพ้อะไรกัน เป็นเพราะเราเห็นว่านางอายุน้อยหรอกถึงได้ปล่อยไป มิเช่นนั้นแล้ว…” จวินอู๋เหินเห็นนางมองมาที่ตนเองด้วยความเย้ยหยัน ทันใดนั้นก็โกรธเคืองขึ้นมา ทำคอแข็งขณะที่เถียง พูดขึ้นยังไม่ทันจบประโยคก็ถูกฉู่ป๋ายขัดจังหวะขึ้นเสียก่อน “ถ้าเช่นนั้นเราจะเรียกนางออกมาเสีย ท่านลองดูเถิด ดีหรือไม่” 


 


 


เมื่อได้ยินดังนั้น จวินอู๋เหินก็รีบส่ายหน้าในทันที “ไม่เป็นไรหรอก เราก็ไม่อยากจะต่อปากต่อคำกับนางนัก” 


 


 


มุมปากของฉู่ป๋ายเผยให้เห็นรอยยิ้มเรียบเย็น เป็นครั้งแรกที่นางเห็นเขายอมอ่อนข้อให้ผู้อื่นเช่นนี้ 


 


 


ทั้งสองคนมีความสัมพันธ์อย่างไรกันแน่? อวี้อาเหราเดาไม่ออกเลยจริงๆ เมื่อเห็นฉู่ป๋ายเดินเข้าไปแล้ว สายตาของนางก็ตกมาอยู่บนร่างของจวินอู๋เหิน “หญิงสาวคนเมื่อครู่นี้เป็นใครกัน เหตุใดพวกเจ้าถึงดูคุ้นเคยกับนางเช่นนี้” 


 


 


“นางน่ะหรือ…” จวินอู๋เหินกำลังจะกล่าววาจา แต่เมื่อเห็นใบหน้าของนางแสดงความกังวลเป็นอย่างมาก ทันใดนั้นก็หยุดพูดเสื้อดื้อๆ “หากอยากรู้เจ้าก็ไปถาม ‘ฉู่ฉู่’ ของเจ้าเองเสียไม่ดีกว่าหรือ?” 


 


 


ในยามที่พูดเขาก็ยังคงเน้นที่คำสองคำนั้น อีกทั้งยังถลึงตาจ้องมองนางอย่างออกรสออกชาติ ใบหน้ายังแสดงให้เห็นถึงรอยยิ้มร้ายกาจ 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 328 ฉู่เกอ 


 


 


 


 


 


“…” อวี้อาเหรากวาดตามองเขาอย่างหมดคำพูด เดินเข้าไปด้านในด้วยสีหน้าไม่น่าดูนัก ได้ยินหญิงสาวผู้นั้นเอาแต่เรียกฉู่ฉู่ไปมา ในใจของนางก็ยากที่จะรับได้เหลือเกิน ราวกับมีก้อนหินก้อนใหญ่กดทับอยู่เช่นนั้น ทำอย่างไรก็ไม่อาจจะเคลื่อนย้ายออกไปได้ 


 


 


เมื่อเข้ามาในห้องรับรองแล้ว ก็เห็นว่าอวิ๋นเซิ่นและหญิงสาวผู้นั้นพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน เมื่อนางเดินเข้ามาเสียงทุกอย่างก็พลันหยุดลง อวิ๋นเซิ่นช้อนตาขึ้นมอง แล้วก้าวยาวๆ เข้ามาหา “คิดไม่ถึงว่าคุณหนูรองจะมาที่หอจุ้ยเซียนแห่งนี้ด้วย วันนี้คงจะคึกคักมากเลยทีเดียว” 


 


 


“ก็จริง” อวี้อาเหราทำทีฝืนยิ้มการค้าอย่างขอไปที 


 


 


“ได้ยินว่าหลายวันมานี้เจ้าไปเที่ยวเล่นที่เมืองตะวันตกมา ทำเอาหลิงอ๋องทรงวิตกแทบแย่ ไม่รู้ว่าที่นั่นมีอะไรน่าเที่ยวหนักหนาหรือ” อวิ๋นเซิ่นถามต่อไป 


 


 


“ไม่มีอะไรน่าเที่ยวหรอก” น้ำเสียงของอวี้อาเหราฟังดูเรียบเฉย 


 


 


“อ๊ะ ท่านก็อย่าได้ถามเรื่องนั่นนี่อีกเลย คุณหนูรองเพิ่งจะกลับมา แน่นอนว่าคงจะเหนื่อยล้านัก ให้นางได้พักผ่อนเสียหน่อยเถิด ใครกันจะเหมือนท่านกับข้าที่เติบโตมาในค่ายทหาร จะไปเปรียบเทียบกันได้อย่างไร” หญิงสาวผู้งดงามเอ่ยวาจาสอดขึ้นมาทันที 


 


 


“ค่ายทหาร?”  


 


 


อวี้อาเหราชะงักไป หรือนางเป็นคุณหนูจากตระกูลไหนในเมืองเฟิ่งเฉิง? แต่นางก็พอจะเดาได้ว่าสถานะของอีกฝ่ายนั้นจะต้องไม่ธรรมดาแน่ หากเป็นคนทั่วไปไหนเลยจะมีรัศมีสูงส่งเกินธรรมดาเช่นนี้ จะต้องเป็นสิ่งที่โดนฝึกฝนมาตั้งแต่เล็กแต่น้อยแน่ 


 


 


“นี่ก็ไม่ผิด เป็นเพราะเกอเอ๋อร์มีสุขภาพที่ไม่ค่อยแข็งแรงนัก จึงได้ถูกส่งตัวไปอยู่ที่ค่ายทหารแห่งซีซานจนเติบใหญ่ที่ค่ายทหาร ผ่านการเคี่ยวกรำมานานหลายปี ถึงได้ไม่อ่อนแอเหมือนหญิงสาวในเมืองเฟิ่งเฉิง” อวิ๋นเซิ่นแย้มยิ้มหัวเราะ 


 


 


“หรือว่านางคือ…” อวี้อาเหราชะงักขึ้นมาในทันที 


 


 


ที่แท้นางก็คือฉู่เกอ น้องสาวของฉู่ป๋าย! 


 


 


มิน่าเล่าถึงได้สนิทสนมกับฉู่ป๋ายถึงเพียงนี้ ที่โดนกอดรัดเช่นนั้นคงจะมีแต่คนที่เป็นน้องสาวแท้ๆ เท่านั้นกระมังจึงจะสามารถทำได้ ก่อนหน้านี้เมื่อมองเห็นคนทั้งสองแล้ว นางยังเผลอคิดว่าฉู่เกอเป็นหญิงในดวงใจของเขาเสียอีก… 


 


 


ตอนนี้ความสงสัยในหัวใจก็ได้คลี่คลายลงแล้ว ท่าทีของอวี้อาเหราก็ผ่อนคลายลงมาก 


 


 


“ใช่แล้ว ข้าก็คือท่านหญิงน้อยแห่งจวนเซิ่นอ๋อง เป็นน้องสาวร่วมพระมารดาเดียวกันกับฉู่ฉู่” ฉู่เกอพยักหน้าแล้วยิ้มบาง ในยามที่มองอวี้อาเหรานั้น สายตาก็เต็มไปด้วยแววพินิจพิเคราะห์ลึกซึ้ง “เมื่อครู่นี้ท่านเห็นข้ากับฉู่ฉู่แล้ว คิดว่าพวกเรามีความสัมพันธ์ต่อกันอย่างไรหรือ” 


 


 


“ไม่ได้คิดอะไรเลยเจ้าค่ะ” อวี้อาเหราถูกนางทำเสียจนพูดไม่ออก หากพูดความในใจของตัวเองออกไปจนหมดก็คงมิแคล้วเสียหน้าเป็นแน่ นางจะไปรู้ได้อย่างไร ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ได้เรียกเขาว่าพี่ชายเสียหน่อย เรียกแต่ฉู่ฉู่อะไรนั่น แล้วจะไม่ให้ผู้ฟังคิดเป็นอื่นได้อย่างไรกัน 


 


 


“จริงหรือ” ฉู่เกอไม่เชื่อ ดวงตาฉายประกายรอยยิ้มวิบวับ 


 


 


“จริงเจ้าค่ะ” อวี้อาเหราพยักหน้าอย่างหนักแน่น นางจะต้องยืนกระต่ายขาเดียวไม่ยอมรับ ต้องห้ามไหลตามน้ำเด็ดขาด 


 


 


“ดูเจ้าสิ เรียกคนอื่นด้วยคำเช่นนี้ไม่ว่าใครก็ต้องเข้าใจผิด อีกทั้งก็เป็นคุณหนูรองรองด้วยแล้ว เมื่อครู่นี้ข้าก็เห็น คนข้างล่างเองก็เห็น แต่เจ้ากลับไม่ประหม่าเลยแม้แต่น้อย ถ้าเป็นคนอื่นใครจะกล้าจูงมือพี่ชายเช่นนี้กัน” อวิ๋นเซิ่นมองฉู่เกอด้วยความขบขัน 


 


 


ฉู่เกอเดินเข้าไปชนเข้ากับร่างของฉู่ป๋าย เงยหน้าขึ้นตัดพ้อ “หรือว่าท่านไม่ชอบที่ข้าเรียกท่านเช่นนี้?” 


 


 


“แน่นอนว่าต้องชอบสิ” ฉู่ป๋ายพยักหน้า 


 


 


“ท่านดูสิ พี่ชายของข้ายังไม่ว่าอะไร แล้วท่านจะว่าอะไรได้เล่า” ฉู่แกอฉีกยิ้มกว้างอย่างยินดีขณะที่มองไปทางอวิ๋นเซิ่น 


 


 


“ก็ได้ พวกเจ้าพี่น้องต่างเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย ข้าคนเดียวคงเถียงเจ้าไม่ได้หรอก อีกอย่างข้าก็คร้านที่จะเถียงกับเจ้าเรื่องนี้ด้วย” อวิ๋นเซิ่นยิ้มด้วยความเหนื่อยหน่าย แล้วจึงเอ่ยขึ้นว่า “เมื่อครู่นี้บ่าวก็มาบอกว่าลูกพี่ลูกน้องของข้าก็จะมาด้วย” 


ตอนที่ 329 ตาบอดกันทั้งหมด 


 


 


 


 


 


“ลูกพี่ลูกน้องของท่าน? นายน้อยแห่งจวนราชเลขากรมกลาโหมน่ะหรือ” ฉู่เกอเงยหน้าขึ้น นึกทบทวนในสมองอย่างละเอียด จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นว่า “ตอนเด็กๆ ข้าจำได้ว่าเขามักจะชอบวิ่งตามหลังท่านเสมอ สลัดเช่นไรก็ไม่หลุด” 


 


 


“ไม่ผิดแล้ว เขานั่นละ” อวิ๋นเซิ่นพยักหน้า จากนั้นก็ยิ้มขึ้น “เจ้าอย่าได้พูดถึงลูกพี่ลูกน้องของข้าเช่นนั้นเลย เจ้าเองเมื่อก่อนก็เอาแต่วิ่งตามพี่ชายของเจ้าเหมือนกัน แต่พี่เจ้าก็ไม่เหมือนกับพวกเรา เขามักจะชอบอยู่คนเดียวเสมอ จนทำให้เจ้าก็เอาแต่หมกตัวอยู่แต่ในจวนไม่โผล่ไปไหนด้วย” 


 


 


“ก็ใช่น่ะสิ จนถึงตอนนี้แล้วฉู่ฉู่ก็ยังมีนิสัยเช่นนี้อยู่” ฉู่เกอพยักเพยิดใบหน้าอย่างหนักแน่น 


 


 


ฉู่ป๋ายจ้องมองนางนิ่ง “แล้วนิสัยของข้าไม่ดีตรงไหนกัน” 


 


 


“ไม่หรอก ดียิ่งนักเจ้าค่ะ!” เมื่อเห็นเขาใช้สายตาสุ่มเสียงเช่นนั้นมองนาง ฉู่เกอก็รีบส่ายหน้าอย่างรู้งาน “ไหนเลยข้าจะกล้าพูดว่าท่านไม่ดีกัน หากกล่าวไปแล้วนี่ก็ไม่ต้องไปโทษผู้ใดเลย เป็นเพราะพี่เซิ่นเอ๋อร์บังคับข้าให้พูดต่างหาก ไม่อย่างนั้นไหนเลยข้าจะกล้าพูดว่าท่าน” 


 


 


“เกอเอ๋อร์” สีหน้าของฉู่ป๋ายเปลี่ยนไป กลายเป็นเย็นชาขึ้นมาทันที 


 


 


ฉู่เกอรู้ทันทีว่าตัวเองได้พูดในสิ่งที่ไม่ควรพูดเสียแล้ว เช่นนั้นจึงก้มหน้าลงอย่างสำนึกผิด แต่ไหนแต่ไรมาฉู่ป๋ายก็อ่อนโยนต่อนางเสมอ แม้ว่านางจะเป็นน้องสาวแท้ๆ ของเขา แต่เมื่อได้สัมผัสถึงจุดที่ลึกที่สุดในจิตใจของเขาแล้ว แม้แต่นางก็ยังรู้สึกกลัว พี่ชายของนางนั้นไม่ใช่คนที่จะล้อเล่นด้วยได้เลย 


 


 


อวี้อาเหราไม่ได้สังเกตถึงความผิดปกติเพียงเล็กน้อยนี้เลย นางกลับพยักหน้าเห็นด้วย “เจ้าพูดถูกแล้ว นิสัยของเขาก็ไม่ได้นับว่าดีอะไรนักหรอก” 


 


 


“คุณ…คุณหนูรอง?” ฉู่เกอไม่กล้าเงยหน้า เมื่อได้ยินนางพูดเช่นนี้ น้ำเสียงของตัวเองก็เริ่มสั่นเทาขึ้นมา คนอื่นไม่อาจทราบถึงอารมณ์ของฉู่ป๋าย แต่คนที่อยู่ร่วมกับเขามานานปีเช่นนางจะดูไม่ออกเชียวหรือ? ตอนนี้เขาคงโกรธนางเสียแล้ว แต่อวี้อาเหรากลับพูดสอดขึ้นมาเช่นนี้อีก นางกำลังรนหาที่ตายหรืออย่างไรกัน 


 


 


นางลอบสังเกตถึงบรรยากาศเย็นชารอบๆ ด้วยลมหายใจแผ่วเบาระมัดระวัง 


 


 


ฉู่ป๋ายคลายความเย็นชาลง แล้วหันไปยิ้มบางให้กับอวี้อาเหรา “อืม ข้านิสัยไม่ดี แล้วนิสัยของเจ้าเล่า เมื่อเทียบกันดูแล้วก็คงไม่ห่างกันเท่าใดหรอกกระมัง” 


 


 


“เจ้าพูดเหลวไหลอะไรกัน? นิสัยข้ามีตรงไหนที่ไม่ดี” ความโกรธของอวี้อาเหราค่อยๆ พวยพุ่งขึ้นมา 


 


 


ฉู่เกอและชิงอวิ๋นจ้องมองคนทั้งสองด้วยความตกตะลึง 


 


 


นี่ฉู่ป๋ายเป็นอะไรไป? คนที่ยั่วโมโหเขานั้นไม่เคยมีจุดจบที่ดีเลย หากเป็นคนอื่นที่พูดขึ้นมาเช่นนี้ก็คงจะโดนตีเสียจนแย่แล้วกระมัง ไหนเลยจะยังยืนอยู่ได้ เมื่อคิดเช่นนี้ในใจของฉู่เกอก็เต้นระรัว คงจะมีเพียงอวี้อาเหราที่กล้าพูดกับพี่ชายของนางเช่นนี้ 


 


 


แม้แต่นางเองก็ยังไม่กล้ายั่วยุโมโหเขาในยามนี้เลยแม้แต่น้อย 


 


 


แต่สิ่งที่น่าแปลกจริงๆ ก็คือ ฉู่ป๋ายกลับไม่มีท่าทีไม่พอใจเลยแม้แต่น้อย เขายังคงล้อเล่นกับอวี้อาเหราต่อไป 


 


 


นี่เป็นสิ่งที่น่าแปลกใจเป็นอย่างยิ่ง แต่ว่าอวี้อาเหรากลับไม่รู้ตัวเลยแม้แต่น้อย นางโมโหโกรธาเป็นการใหญ่เพราะคำพูดของฉู่ป๋ายเมื่อครู่นี้ 


 


 


ฉู่ป๋ายยิ้มบาง มองไปทางฉู่เกอและอวิ๋นเซิ่น “อืม ไม่มีอะไรที่ไม่ดีเลย คงเป็นเพราะข้าตาบอดกระมัง พวกเจ้าว่านางนิสัยเป็นอย่างไรบ้าง” 


 


 


“เรื่องนี้…” ถึงคราวที่ฉู่เกอและอวิ๋นเซิ่นจะต้องลำบากใจเสียแล้ว เห็นท่าทีของอวี้อาเหราที่โมโหจนใกล้จะระเบิด แทบจะไม่มีความอดกลั้นหลงเหลืออยู่อีกแล้ว แล้วนิสัยดีที่ว่านี่มันคืออะไรกัน อีกอย่าง หากพูดความจริงไปก็คงจะเป็นการยั่วโมโหกันเสียเปล่าๆ ไม่ว่าจะตอบเช่นไรก็ไม่มีผลดีทั้งนั้น 


 


 


“ดูแล้ว พวกนางก็คงจะตาบอดเหมือนกับข้าเสียกระมัง” ฉู่ป๋ายยกยิ้มขึ้นมาอีกครั้ง 


 


 


ฉู่เกอมองคนทั้งสองกำลังสู้รบปรบมือกัน แม้แต่ครึ่งคำก็ไม่อาจเช่นขัดขึ้นมาได้เลย 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 330 ที่มีก็คือเงิน  


 


 


 


 


 


“พวกเจ้ากำลังพูดเรื่องอะไรกัน นิสัยดีไม่ดีอะไรหรือ ข้าพลาดเรื่องสนุกอะไรไปหรือไม่” ในยามนี้ จวินอู๋เหินก็เดินเข้ามาพร้อมพูดขึ้น สายตาที่แฝงด้วยประหลาดใจมองกวาดไปทั่ว 


 


 


ที่ด้านหลังของเขายังมีคนอีกสองคนเดินตามเข้ามา ที่แท้ก็คือองค์ชายจากเป่ยเจียงและเริ่นหว่านเอ๋อร์นั่นเอง 


 


 


ทั้งสองยืนเว้นระยะห่างกันมาก สีหน้าเย็นชาไม่พูดไม่จา เพียงดูก็รู้ว่าคนทั้งคู่กำลังทำสงครามเย็นกันอยู่ หากเป็นยามปกติเริ่นหว่านเอ๋อร์คงต้องตามติดเขาแจแล้ว แต่วันนี้นางกลับเงียบขรึม หลายครั้งที่คนทั้งสองมองสบตากันอย่างไม่ตั้งใจ แต่ก็กลับเบนสายตาไปทางอื่นในทันที 


 


 


ฉู่เกอยิ้มขึ้นมาอีกครั้ง “ท่านอยากรู้หรือว่าเมื่อครู่นี้พวกเราคุยอะไรกัน” 


 


 


“อยากสิ” จวินอู๋เหินพยักหน้าอย่างจริงจัง 


 


 


“เช่นนั้นก็ดี ขอเพียงท่านจ่ายเงินข้ามาร้อยตำลึงเงิน ข้าก็จะบอกท่านว่าเมื่อครู่นี้พวกเราคุยกันเรื่องอะไร” ยื่นมือขาวนวลไปทางจวินอู๋เหิน สองตายิ้มจนตาหยี บนใบหน้าของฉู่เกอมีลักยิ้มสองข้าง ยามยิ้มจึงปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน นางนั้นผิวขาวนัก ขาวจนผิวเนื้อเป็นสีชมพู ไม่ดูขาวซีดขี้โรคเหมือนฉู่ป๋ายเลยแม้แต่น้อย 


 


 


คงจะเป็นเพราะความเป็นอยู่ที่ดีตลอดหลายปีมานี้ มิเช่นนั้นคงไม่แข็งแรงถึงเพียงนี้ 


 


 


ก่อนหน้านี้ได้ยินหานสือบอกว่า เป็นเพราะนางใช้เลือดคอยควบคุมโรคกระหายโลหิตของฉู่ป๋ายมาเป็นเวลานาน จึงทำให้ร่างกายอ่อนแอ เมื่อฉู่ป๋ายเริ่มฝึกวิชาเผาไหม้ตัวตนแล้วจึงส่งนางไปยังค่ายทหารเพื่อรักษาสุขภาพ เมื่อเห็นนางเป็นเช่นนี้แล้ว คนที่จะปลื้มใจที่สุดก็คงไม่พ้นฉู่ป๋าย 


 


 


อวี้อาเหราหันกลับไปมองเขา จึงได้เห็นสายตาอันอ่อนโยนของเขาดังที่คาด ราวกับรู้สึกได้ถึงสายตาของนาง เขาจึงผินหน้าและส่งสายตามาที่ร่างของนาง นางไม่ว่าอะไร แต่กลับเบือนหน้าไปทางอื่นเสียอย่างนั้น 


 


 


จวินอู๋เหินก้าวถอยหลังด้วยท่าทีตกใจเกินจริง “อะไรกัน หนึ่งร้องตำลึงเงินเชียวหรือ เจ้าช่างหน้าเลือดเสียยิ่งนัก!” 


 


 


“ท่านจะให้หรือไม่ให้ หากไม่ให้ก็อย่าหวังว่าข้าจะบอกเรื่องที่คุยกันเมื่อครู่นี้ให้รู้เลย” ฉู่เกอชื่นชอบท่าทีเกินจริงของเขา ยังกล่าวอย่างภาคภูมิใจขึ้นมาอีกว่า “แล้วก็ไม่ต้องคิดว่าคนอื่นจะบอกท่าน นอกจากท่านจะจ่ายเงินตามที่ข้าบอก” 


 


 


“เจ้านี่ช่าง…” จวินอู๋เหินโกรธจนนึกเคืองขึ้นมา แล้วพลันตีหน้าน่าสงสารหันไปทางอวี้อาเหรา “อาเหราคนดี เจ้าบอกข้ามาเถิด นางตระหนี่ถี่เหนียวก็ปล่อยนางไป เจ้ากับข้าสนิทกันถึงเพียงนี้ คงจะไม่ปิดบังข้าหรอกใช่หรือไม่” 


 


 


“ข้าก็สนิทกับเจ้ามากจริงๆ ”อวี้อาเหราพยักหน้าคล้อยตาม ยามที่เห็นใบหน้าของเขาฉายแววความยินดี ก็พลันพลิกลิ้นพูดเป็นอื่น “แต่เหตุใดข้าถึงยังจำเรื่องที่เจ้าพาข้ามาทานอาหารที่นี่แต่กลับหนีไปไม่ยอมจ่ายเงิน ทำให้ข้ากลายเป็นเหมือนพวกที่ชอบกินแล้วชักดาบ เจ้าบอกข้ามาสิว่าข้าควรไปคิดบัญชีนี้ที่ใครดี? เจ้าติดค้างอาหารข้าหนึ่งมื้อยังไม่สำนึก แล้วข้าจะยอมสนิทสนมกับเจ้าได้อย่างนั้นหรือ” 


 


 


“สาวน้อย เรื่องนั้นเป็นข้าที่ผิดเอง ครั้งหน้าข้าจะชดใช้ให้เจ้า!” จวินอู๋เหินทำทีท่ารับประกันขึ้นมาในทันที 


 


 


อวี้อาเหราไม่ยอมตกหลุมพรางในครั้งนี้ของเขาอีกแล้ว นางนิ่วหน้าแล้วส่ายศีรษะ “เจ้าหลีกไปเสีย ให้ข้าเชื่อผีพูดเสียยังดีกว่าเชื่อคำโกหกของเจ้า พูดจาก็เหมือนผายลม เอาแต่พูดพล่ามไปทั่ว ชั่วพริบตาก็พลิกลิ้นกลับคำเสียแล้ว หากอยากรู้ว่าเมื่อครู่พวกเราคุยเรื่องอะไรกัน เจ้าก็จ่ายมาหนึ่งร้อยตำลึงเงินเป็นค่าเปิดปากเถิด” 


 


 


หลังจากที่โดนปฏิเสธตรงๆ เช่นนี้ จวินอู๋เหินก็มองไปยังพวกเขาทุกคน “จะไม่บอกจริงๆ หรือ” 


 


 


“ไม่บอก” ทุกคนส่ายหน้า 


 


 


จวินอู๋เหินถอนหายใจออกมาในทันที ดึงตั๋วเงินร้อยตำลึงเงินออกมาจากอกเสื้อแล้วยื่นให้ฉู่เกอ “ก็ได้ เจ้าบอกมาสิ แม้ว่าข้าจะไม่มีอะไรดีเลยสักอย่าง แต่ข้ามีเงิน!” 


ตอนที่ 331 คนแซ่ฉู่ 


 


 


 


 


 


ฉู่เกอรับตั๋วเงินจากมือของเขามาใส่ในกระเป๋าของตัวเอง จากนั้นก็แบมือไปทางเขาอีกครั้ง “เมื่อครู่นี้เป็นค่าเปิดปากของข้าเพียงแค่คนเดียว แต่ที่นี่ก็ยังมีคนอยู่อีกสามคน ท่านก็ต้องให้พวกเขาด้วยเช่นกัน อย่างไรเสียเมื่อครู่นี้พวกเราก็พูดคุยกันทั้งหมดสี่คน เช่นนั้นก็ต้องให้พวกเขายินยอมด้วย มิเช่นนั้นข้าก็ไม่กล้าพูดหรอก” 


 


 


จวินอู๋เหินรู้ทันทีว่าตัวเองโดนแกล้งเสียแล้ว เช่นนั้นจึงกัดฟันหยิบตั๋วเงินหนึ่งร้อยตำลึงออกมาอีกสามใบแล้วส่งให้ “คราวนี้เจ้าจะบอกข้าได้หรือยัง” 


 


 


“ได้สิ” ฉู่เกอพยักหน้า 


 


 


“เมื่อครู่นี้พวกเจ้าคุยเรื่องอะไรกันแน่” จวินอู๋เหินเอียงหูเข้ามาใกล้ เพื่อจะฟังอย่างตั้งใจว่าพวกเขาคุยอะไรกัน จากนั้นทุกอย่างก็ชะงักไปเล็กน้อย ก่อนที่ฉู่เกอจะหัวเราะเสียงดังออกมา “เมื่อครู่นี้พวกเราคุยกันถึงเรื่องความลับ บอกเจ้าไม่ได้หรอก ไม่อย่างนั้นก็จะถูกฟ้าดินลงโทษ ข้าไม่กล้าเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยง” 


 


 


“เจ้าหลอกข้า!” จวินอู๋เหินกัดฟันกรอด ยื่นมือออกไปหมายจะแย่ง “ในเมื่อเจ้าไม่บอก เช่นนั้นก็เอาเงินข้าคืนมา!” 


 


 


“เหตุใดต้องคืนด้วย เมื่อครู่ข้าก็บอกแล้วว่าเป็นค่าเปิดปาก ข้าก็บอกเหตุผลไปหมดแล้ว ไม่ได้นิ่งเงียบไม่พูดอะไรเลยเสียหน่อย ท่านจะมาว่าข้าหลอกลวงท่านได้อย่างไรกัน” เสียงหัวเราะของฉู่เกอดังแว่วเข้ามา ก่อนที่นางจะหลบมือของเขาที่ยื่นเข้ามาด้วยท่าทีสบายๆ จากนั้นก็ไปหลบที่หลังของฉู่ป๋าย แล้วบ่นขึ้นมาอย่างไม่กลัวตายว่า “หากท่านไม่ยอม ก็ลองไปถามพวกเขาเองสิ ไม่แน่เขาอาจจะบอกท่านก็ได้” 


 


 


“พวกคนแซ่ฉู่!” จวินอู๋เหินร้องเรียกฉู่เกอเสียงหนักๆ เพียงฟังจากน้ำเสียงก็รู้สึกได้ถึงความโกรธเคืองของเขา นี่นางกำลังล้อเขาเล่นอยู่ใช่หรือไม่ 


 


 


“ที่นี่มีคนแซ่ฉู่ตั้งสองคน ท่านเรียกใครกันเล่า” ฉู่เกอแลบลิ้นออกมา ไม่สนใจแม้แต่น้อยว่าเขาจะโกรธเคืองมากเพียงใด 


 


 


“เจ้าถอยไปเดี๋ยวนี้!” จวินอู๋เหินถลึงตาจ้องมองฉู่ป๋ายที่ยืนขวางทางอยู่ วันนี้เขาต้องลากตัวเด็กสาวที่อยู่ด้านหลังของเขามาตีเสียให้เข็ดถึงจะสาสม! 


 


 


“ไม่ถอย” ฉู่ป๋ายกลับไม่ขยับ ใบหน้าเรียบเฉยเหมือนผิวน้ำ มองไม่ออกว่ากำลังคิดสิ่งใดอยู่ ราวกับว่าแม้จะโดนพายุถล่มลมฝนกระหน่ำเขาก็จะไม่ขยับแม้แต่น้อย 


 


 


จวินอู๋เหินโกรธจนใบหน้ากลายเป็นสีม่วงคล้ำ ยกนิ้วขึ้นชี้พวกเขา “พวกเจ้าสองพี่น้องนิสัยก็เหมือนกันไม่มีผิด ล้วนแล้วแต่ชอบบีบบังคับผู้อื่น โชคดีที่ข้าเป็นคนมีเงิน เงินสี่ร้อยตำลึงเงินข้าไม่เอาก็ได้!” 


 


 


ทุกคนเห็นแล้วก็ยิ้มออกมาน้อยๆ ต่างรู้สึกขบขันท่าทีโกรธเคืองของจวินอู๋เหินยิ่งนัก 


 


 


ฉู่เกอยื่นหน้าออกมาจากทางด้านหลัง จากนั้นก็โบกตั๋วเงินในมืออย่างได้ใจ “ได้ยินมาว่าครั้งก่อนท่านติดเงินค่าอาหารฉู่ฉู่และคุณหนูรองของข้าหนึ่งมื้อ เงินเหล่านี้ก็เท่ากับเป็นการชดใช้คืนแล้ว เราไม่ได้หลอกท่านเลยแม้แต่น้อย ทุกคนว่าอย่างไรเล่า” 


 


 


“ดียิ่งนัก” อวิ๋นเซิ่นปรบมืออย่างยินดี “มีคนจ่ายค่าอาหารให้ข้าเองก็ยินดียิ่งแล้ว ประหยัดเงินแล้วยังได้ทานอาหารดีๆ อีก” 


 


 


“ตัวเราเองก็ไม่คัดค้าน” ฟู่เส่าชิงลอบมองเริ่นหว่าเอ๋อร์ที่กำลังเบือนหน้ามองไปยังทิศทางอื่นอยู่ จากนั้นจึงค่อยหันกลับมา สายตาตกอยู่ที่ร่างของจวินอู๋เหิน มุมปากเผยให้เห็นรอยยิ้มบาง  


 


 


ฉู่เกอหันไปมองฉู่ป๋ายและอวี้อาเหราที่ยังคงนิ่งเงียบ “ฉู่ฉู่ คุณหนูรอง พวกท่านว่าอย่างไร” 


 


 


“อืม” ทั้งสองคนส่งเสียงตอบรับออกมาพร้อมกัน 


 


 


จวินอู๋เหินที่ถูกหลอกเอาเงินไปเหมือนกับกระโจนลงน้ำ ทำอย่างไรก็ไม่อาจหวนคืนได้ เขาโกรธเสียจนใบหน้ายับยู่ ราวกับมีควันไฟพวยพุ่งขึ้นมาจากศีรษะ จ้องมองอีกฝ่ายด้วยริมฝีปากที่ขบแน่น หมดคำจะเอ่ยอ้าง “ได้ ในเมื่อพวกเจ้าชั่วร้ายถึงเพียงนี้ วันนี้ข้าก็จะกินให้เต็มที่ กินให้คุ้มกับเงินสี่ร้อยตำลึงเงินที่เสียไป และหากเกินสี่ร้อยตำลึงเงินข้าก็จะไม่จ่ายให้แล้วนะ” 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 332 ขายหน้าแย่ 


 


 


 


 


 


“เช่นนั้นท่านก็เชิญกินตามสบายเถิด” ฉู่เกอพยักหน้า แล้วหัวเราะร่าออกมาเสียงดัง “ขอเพียงอย่ากินจนท้องแตกก็พอ เพราะเมื่อถึงตอนนั้นก็ไม่แน่ว่าทางหอจุ้ยเซียนจะรับผิดชอบให้ท่านได้อย่างไร จะเป็นการผิดต่อท่านเสียเปล่าๆ” 


 


 


จวินอู๋เหินไม่สนใจคำพูดถากถางของนาง เพียงสะบัดชายเสื้อแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ 


 


 


ในยามนี้หานสือก็เดินเข้ามาจากทางด้านนอก แล้วทำความเคารพต่อทุกคนที่อยู่ด้านใน จากนั้นจึงยิ้มให้กับฉู่เกอ แล้วกล่าวว่า “ท่านหญิงน้อยอยากทานอะไรหรือขอรับ ข้าน้อยจะได้สั่งการลงไป” 


 


 


“อาหารทุกอย่างในร้านนี้ สั่งมาให้หมด อย่างไรเสียท่านอ๋องน้อยก็เป็นคนจ่ายเงิน” 


 


 


“ขอรับ” 


 


 


หลังจากที่หานสือถอยออกไปแล้ว ภายในห้องก็เหลือเพียงความเงียบงัน 


 


 


ทุกคนต่างนั่งลงประจำที่ตนเอง เผชิญหน้ากันบนเก้าอี้ไม้ไม่พูดไม่จา สีหน้าของเริ่นหว่านเอ๋อร์ดูย่ำแย่ลงอยู่บ้าง นางเดินไปยังข้างกายของฉู่เกอ แล้วเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา “พี่เกอ ข้ารู้สึกไม่ค่อยแข็งแรงเท่าใดนัก ไม่รบกวนเวลาพวกท่านทานอาหารแล้ว เช่นนั้นข้าขอลาก่อนแล้วกันนะเจ้าคะ” 


 


 


“ไม่เอาสิ” ฉู่เกอรั้งนางไว้ “ไม่ง่ายเลยกว่าที่ข้าจะกลับมา เจ้าเห็นหน้าข้าก็จะหนีแล้วหรือ ข้าทำให้เจ้าไม่พอใจหรืออย่างไรกัน หากข้าทำผิดต่อเจ้า ข้าก็ต้องขออภัยด้วย แต่ถ้าหากไม่ใช่เจ้าก็อยู่ทานข้าวด้วยกันก่อนเถิดนะ เจ้าไม่คิดถึงข้า แต่ข้าคิดถึงเจ้าจะแย่แล้ว” 


 


 


“จริงด้วย ทานข้าวด้วยกันก่อนเถิด” อวิ๋นเซิ่นเอ่ยโน้มน้าว 


 


 


“พี่เกอกล่าวเกินไปแล้วเจ้าค่ะ” เริ่นหว่านเอ๋อร์ไม่อาจปฏิเสธได้ เช่นนั้นจึงจำต้องตอบรับคำ “ถ้าเช่นนั้นก็รบกวนแล้วเจ้าค่ะ” 


 


 


“นี่สิเด็กดี” ฉู่เกอลูบศีรษะนางอย่างอ่อนโยน 


 


 


เริ่นหว่านเอ๋อร์อายุน้อยสุดในที่นี้ แต่ฉู่เกอเองก็ไม่ถือว่าแก่กว่านางมากมายนัก เพียงแต่โตกว่าเริ่นหว่านเอ๋อร์อยู่บ้าง แต่ท่าทางของนางกลับดูนิ่งขรึมกว่าอีกฝ่ายมากทีเดียว พูดจามีชีวิตชีวาและน่ารัก แต่ก็รู้ประสา รู้ว่าเวลาไหนควรพูดไม่ควรพูด ทว่าเริ่นหว่านเอ๋อร์กลับเหมือนดอกไม้ที่อยู่ในห้องอันอบอุ่น ไม่รู้ว่าผู้อื่นนั้นคิดเช่นไร 


 


 


นี่คือข้อแตกต่างระหว่างท่านหญิงแห่งจวนอ๋องและคุณหนูธรรมดา 


 


 


อีกอย่าง คนที่เติบโตมาในค่ายทหาร ย่อมไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไปแน่! 


 


 


อวิ๋นเซิ่นเห็นการกระทำของฉู่เกอแล้ว ก็หัวเราะออกมา จากนั้นก็หันไปทางฉู่ป๋าย “เจ้าเองก็ยังไม่ได้โตกว่านางสักเท่าไหร่ แต่กลับยังรู้จักดูแลน้องสาวเช่นนี้ พี่ชายของเจ้าเห็นว่าเจ้ารู้จักประสาเช่นนี้แล้วคงจะต้องภาคภูมิใจอย่างมากเป็นแน่ จริงหรือไม่” 


 


 


“คุณหนูเซิ่นกล่าวได้ถูกต้องนัก” ฉู่ป๋ายเห็นด้วย 


 


 


“ฉู่ฉู่ ไม่คิดว่าท่านจะใส่ใจน้องถึงเพียงนี้” ฉู่เกอกะพริบตาที่ส่องประกายสว่างไสว อย่างไรเสียนางก็เป็นน้องสาวร่วมมารดาเดียวกันกับฉู่ป๋าย นางจึงมีรูปร่างหน้าตาที่คล้ายคลึงกันมาก โดยเฉพาะดวงตาที่หวานซึ้งและส่องประกายสดใส สิ่งเดียวที่ต่างออกไปก็คือนางไม่มีแววตาที่ลึกล้ำราวกับบ่อน้ำโบราณอย่างที่อีกฝ่ายมี ทว่ากลับมีดวงตาที่ดึงดูดราววังน้ำวน เต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา ลำคอขาวผ่องที่โผล่พ้นออกมาจากเส้นผมยาว คงเป็นเพราะก่อนหน้านี้นางขี่ม้ามาจนถึงประตูเมืองจึงทำให้เส้นผมถูกลมตีเสียยุ่งเหยิง 


 


 


“จะพูดจะจาอะไรต้องระวังให้มาก” ฉู่ป๋ายไม่ได้มีท่าทีไม่พอใจ มุมปากยกโค้งขึ้นเล็กน้อย ยามพูดจากับนางนั้นอ่อนโยนกว่าที่พูดกับผู้อื่นอยู่มาก 


 


 


“ก็ข้าชอบเรียกเช่นนี้นี่นา” ฉู่เกอกล่าวเสียงสะบัด แล้วจึงเบี่ยงเบนความสนใจ “เหตุใดหานสือยังไม่นำอาหารมาส่งอีก พวกเรารอตั้งนานแล้วนะ บอกให้คนครัวเตรียมอาหารไว้ก่อนแล้วมิใช่หรอกหรือ ให้พวกเราต้องรอขนาดนี้ช่างไม่เข้าท่ายิ่งนัก ข้าจะต้องไปดูเองเสียแล้ว!” 


 


 


“เจ้ารออยู่ที่นี่เถิด ทางนั้นให้หานสือเป็นคนจัดการ” ฉู่ป๋ายลากเสื้อด้านหลังของนางเพื่อดึงให้นางกลับมานั่งที่ 


 


 


ฉู่เกอไม่พอใจ “ท่านพี่ ท่านก็รีบปล่อยชายเสื้อข้านะ เล่นดึงเช่นนี้ข้าก็อายเขาแย่ ตอนนี้ข้าไม่ใช่เด็กน้อยอายุสามขวบแล้ว เหตุใดท่านยังทำเช่นนี้อยู่อีกเล่า” 


ตอนที่ 333 แกะกุ้ง 


 


 


 


 


 


“เจ้าก็ยืนดีๆ สิ ข้าถึงจะปล่อย” ฉู่ป๋ายต่อรองกับนาง 


 


 


ฉู่เกอจึงยืนนิ่งๆ อยู่ที่เดิมไม่ไหวติง รอจนฉู่ป๋ายปล่อยมือแล้วจึงค่อยก้าวเท้าออกไป “ข้าไม่ฟังท่านหรอก หานสือคนนั้นชอบเอาแต่ตีหน้าเคร่งขรึม แต่สมองทึบเหมือนก้อนหิน ข้าไม่วางใจให้เขาจัดการเรื่องนี้ ให้ข้าไปดูเองเถิด” 


 


 


“เช่นนั้นก็ได้ เจ้าจะไปก็ได้ แต่อย่าได้ไปเล่นซนเสียเล่า” ฉู่ป๋ายจำต้องยอม 


 


 


“ได้ ข้าเข้าใจแล้ว” ใบหน้าของฉู่เกอเผยให้เห็นถึงรอยยิ้มแน่วแน่ เมื่อกำลังที่จะเดินออกไปด้านนอก หานสือก็เดินนำพนักงานยกอาหารเข้ามาพอดี คนทั้งหมดนั่งล้อมกันอยู่บนโต๊ะกลม นั่งล้อมวงกันทานอาหาร 


 


 


อาศัยโอกาสที่อาหารกำลังจะขึ้นตั้งโต๊ะ เมี่ยวอวี้ก็เดินเข้ามากระซิบที่ข้างหูของอวี้อาเหรา “คุณหนู เจาเอ๋อร์ถูกส่งตัวกลับอย่างปลอดภัยแล้ว เพียงแต่มีเรื่องที่ต้องรายงานคุณหนูเจ้าค่ะ” 


 


 


“เรื่องอะไร” อวี้อาเหราปรายสายตามองไปทางนาง 


 


 


“ภายในจวนนั้น…” ยามที่เมี่ยวอวี้กำลังจะพูดขึ้น ฉู่เกอก็ขัดบทสนทนาของพวกนางขึ้นเสียก่อน “คุณหนูรอง รีบทานเข้าเถิด หากยังชักช้าอยู่อาหารจะเย็นชืดเสียหมด หากมีเรื่องอะไรก็ไว้เดี๋ยวค่อยพูดกัน ยามนี้ไม่ต้องรีบร้อน มิเช่นนั้นท่านอ๋องน้อยที่รับปากว่าจะเลี้ยงพวกเราจะผิดหวังเอาได้” 


 


 


เมื่อเห็นดังนี้แล้ว อวี้อาเหราจึงทำได้แต่เพียงโบกมือให้เมี่ยวอวี้ “อีกสักพักค่อยว่ากัน” 


 


 


เมื่อเริ่นหว่านเอ๋อร์เห็นอาหารก็รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นไม่น้อย จึงลดตัวนั่งลงข้างๆ นาง ทิ้งระยะห่างจากฟู่เส่าชิง เพียงดูก็รู้ว่าทั้งสองคนมีท่าทีไม่ญาติดีกันนับตั้งแต่ที่ทะเลาะกันในคราวที่แล้ว นางใช้ตะเกียบคีบกุ้งใส่ในจานของอวี้อาเหรา ขณะที่พูดว่า  


 


 


“พี่เหรา กุ้งแช่เหล้าของหอจุ้ยเซียนนั้นมีชื่อเสียงที่สุด ท่านลองทานดูเถิดว่าอร่อยหรือไม่” 


 


 


“ได้” 


 


 


อวี้อาเหราหยิบขึ้นมาแกะเปลือกกุ้งออก รสชาติก็ไม่เลวเลยจริงๆ เนื้อสัมผัสอ่อนนุ่ม เหมือนกับที่เริ่นหว่านเอ๋อร์กล่าวไว้ไม่มีผิด หลังจากกินไปหนึ่งตัวแล้วก็ต้องอดไม่ได้ที่จะแกะตัวใหม่มากินอีกหลายๆ ตัว นางนั่งกินเงียบๆ ไม่พูดไม่จา แต่ฝีมือการแกะกุ้งของนางนั้นก็ช้ามาก ไม่ทันกับความอยากที่จะทานเอาเสียเลย 


 


 


ฉู่ป๋ายมองนางเล็กน้อย นิ่งไปสักครู่หนึ่ง ก่อนที่จะวางกุ้งที่แกะเปลือกแล้วลงในถ้วยของนาง 


 


 


อวี้อาเหรามองเนื้อกุ้งที่ถูกแกะเปลือกออกแล้วในถ้วยของตัวเอง ชะงักไปเล็กน้อย “หมายความว่าอย่างไร” 


 


 


“กินสิ” เขาไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่านี้ อีกทั้งน้ำเสียงยังเรียบเฉย 


 


 


ทุกคนล้วนก้มหน้าก้มตากินในส่วนของตัวเอง ไม่มีใครสังเกตถึงกระทำเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้เลย ทว่าการกระทำทั้งหมดนี้กลับอยู่ในสายตาของฉู่เกอ นางรีบร้องขึ้นมาว่า “เหตุใดถึงทำเช่นนี้ล่ะฉู่ฉู่ เหตุใดถึงแกะกุ้งให้คุณหนูรองแต่ไม่แกะให้ข้า ข้าเป็นน้องสาวแท้ๆ ของท่านนะ นี่ก็ใจร้ายยิ่งนัก!” 


 


 


“ก็เจ้าไม่ชอบกินนี่” ฉู่ป๋ายทำหน้าอึกอัก 


 


 


“ข้าไม่สน ท่านจะแกะให้ข้าหรือไม่” ฉู่เกอนึกอยากแกล้งขึ้นมา 


 


 


“แกะสิ” ฉู่ป๋ายจำต้องหยิบมาแกะเปลือกออกหนึ่งตัว เพื่อทำให้อีกฝ่ายสงบลง 


 


 


แน่นอนว่าคนอื่นจะต้องได้ยินด้วย สายตาของอวิ๋นเซิ่นส่องประกายวิบวับ มองไปยังร่างของฉู่ป๋าย จากนั้นก็หันไปทางอวี้อาเหรา แล้วค่อยๆ ถอนสายตากลับมา ก็ไม่รู้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ 


 


 


อวี้อาเหรารู้สึกได้ถึงสายตามากมายที่กำลังสาดส่องมายังร่างของตนเอง นางทำคอแข็งแล้วกินกุ้งลงไป แม้ว่าจะมีรสชาติเลิศล้าหาใดเปรียบไม่ได้ แต่ตอนนี้กลับไร้ซึ่งรสชาติใดๆ นางถลึงตาจ้องมองฉู่ป๋ายอย่างอารมณ์ไม่ดี เขาตั้งใจที่จะทำให้นางกินอะไรไม่ลงใช่หรือไม่ 


 


 


ช่างใจร้ายยิ่งนัก! นางขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่ในใจ 


 


 


ภายในห้องเงียบอยู่ได้ไม่นาน ที่ด้านนอกก็พลันมีเสียงฝีเท้าคนดังเข้ามา ทุกคนย้ายสายตาจากถ้วยข้าวของตัวเอง แล้วมองสำรวจออกไปด้านนอก  


 


 


 


 


 


ตอนที่ 334 ธรรมดาสามัญ 


 


 


 


 


 


เห็นเพียงหานสือเดินนำชายหนุ่มหล่อเหลาผู้สวมชุดสีดำรัดกุมเข้ามาด้านใน รอบกายของคนผู้นั้นพลันแผ่กระจายรังสีอำมหิต สายตาที่มองกวาดไปทั่วนั้นเหมือนใบมีดที่เชือดเฉือน ทำให้บรรยากาศภายในห้องนั้นยิ่งน่าอึดอัดเข้าไปอีก 


 


 


“คุณหนูเซิ่น นายน้อยมาแล้วขอรับ” 


 


 


เมื่อได้ยินหานสือพูดออกมาเช่นนั้น นางถึงได้เข้าใจว่าชายหนุ่มที่อยู่ข้างหน้านี้คือลูกพี่ลูกน้องของอวิ๋นเซิ่น และเป็นนายน้อยแห่งจวนราชเลขาแห่งกรมทหาร ได้ยินว่าเขาเพิ่งจะกลับมาจากนอกด่าน จึงไม่แปลกเลยที่ทั่วทั้งร่างของเขาจะเผยให้เห็นถึงความดิบเถื่อน 


 


 


แต่เขากลับมีรูปร่างหน้าตาที่ไม่ดุดันนัก แม้ใบหน้าจะไม่ได้เรียกว่างดงาม แต่ก็มีท่าทีของสุภาพบุรุษ อีกทั้งทั่วทั้งร่างยังแฝงกลิ่นอายแห่งบุรุษเพศเอาไว้ หากเดินไปตามท้องถนนจะต้องดึงดูดสายตาของสตรีเป็นแน่ 


 


 


อวิ๋นเซิ่นลุกขึ้นจากเก้าอี้ “ในที่สุดเจ้าก็มาเสียที จัดการเรื่องให้ท่านลุงเสร็จเรียบร้อยแล้วหรือ” 


 


 


“ท่านพี่โปรดวางใจ จัดการเรียบร้อยแล้วขอรับ” ตานเวยพยักหน้า 


 


 


“รีบมากินข้าวกันเถิด วันนี้ท่านอ๋องน้อยจวินประทานเลี้ยง จะต้องกินให้มากๆ นะ”  


 


 


“อืม” ตานเวยเผยรอยยิ้มให้เห็น ขณะกำลังจะเดินไปนั่งข้างอวิ๋นเซิ่นก็เห็นอวี้อาเหรานั่งอยู่ที่นี่ด้วย เช่นนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ น้ำเสียงพลันฉุนเฉียวขึ้นมา “เหตุใดเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่ได้?” 


 


 


อวี้อาเหรามองชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้าอย่างคนแปลกหน้า นางก็ไม่รู้จักเขาเสียหน่อย แต่เมื่อเห็นสายตาของเขาแล้วก็ดูราวกับว่าเขารู้จักตนเองเช่นนั้น ในสายตาเผยให้เห็นถึงความรังเกียจ นางเห็นแล้วก็ชะงักไป “แล้วเหตุใดข้าจะอยู่ที่นี่ไม่ได้” 


 


 


“เหตุใดถึงไม่ได้น่ะหรือ เจ้าเป็นว่าที่พระชายาขององค์รัชทายาท ก่อนหน้านี้ก็เอาแต่วิ่งตามองค์รัชทายาทไม่ห่าง วันนี้ว่างหรืออย่างไรถึงได้มานั่งทานอาหารกับทุกคนได้ แต่ข้าก็ได้ยินคนในเมืองเฟิ่งเฉิงคุยกันว่าช่วงนี้เจ้าเปลี่ยนไปมาก แต่เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่าเจ้ายังดูธรรมดาสามัญอยู่เลยเล่า” 


 


 


อวี้อาเหราฟังถ้อยคำถากถางของอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจ และสิ่งที่ทำให้นางหมดคำพูดก็คือ นางไปทำให้เขาไม่พอใจตั้งแต่เมื่อไรกัน ดูเหมือนว่าเดิมทีพวกเขาก็ไม่เคยพบหน้ากันมาก่อนเลยมิใช่หรือ 


 


 


อวิ๋นเซิ่นเห็นสถานการณ์เป็นเช่นนี้แล้วก็รีบเข้ามาดึงตานเวยไว้ “กินข้าวอยู่ เจ้าอย่าได้พูดอะไรส่งเดช เจ้านี่ก็ชอบมุทะลุไม่รู้จักควบคุมตัวเองอยู่เรื่อยเชียว” 


 


 


“วาจานี้ของคุณหนูเซิ่นก็น่าขันนัก เจ้าให้เขาอดกลั้นต่อผู้อื่นคงเป็นเรื่องง่าย มีแต่อาเหราเท่านั้นหรอกที่เขาทำไม่ได้” ตะเกียบที่กำลังคีบอาหารของจวินอู๋เหินหยุดลงเล็กน้อย ก่อนจะรินเหล้าใส่จอกของตัวเองอย่างไม่รีบร้อน แล้วค่อยๆ จิบลงไป 


 


 


“พี่อู๋เหิน ที่ท่านพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร” เริ่นหว่านเอ๋อร์เงยหน้าขึ้นมาอย่างไม่เข้าใจนัก สายตาไร้เดียงสามองไปยังอวี้อาเหราและตานเวย  


 


 


“ไม่มีอะไรหรอก” จวินอู๋เหินยิ้มบางๆ แล้วส่ายหน้า บนใบหน้ามีรอยยิ้มลึกล้ำประดับอยู่ 


 


 


เห็นๆ อยู่ว่าต้องมีเรื่องอะไรแน่ แต่เขากลับไม่ยอมเอ่ยออกมา วันนี้บัญชีที่อวี้อาเหรามีต่อเขาก็ยังไม่ได้สะสาง ยามปกติที่เห็นว่าเขานั้นเป็นคนสบายๆ แต่กลับเจ้าคิดเจ้าแค้นยิ่งนัก เขาจะต้องกำลังรอดูละครฉากสนุกๆ อยู่อย่างแน่นอน 


 


 


อวี้อาเหราจัดระเบียบเส้นผมที่ปรกลงมาที่หน้าผากอย่างเงียบงัน เพื่อปิดบังความไม่รู้ของตัวเองเอาไว้ 


 


 


“เรื่องนี้ข้าก็ได้ยินมาบ้าง ราวกับว่าตอนที่พวกเขายังเด็กก็มีเรื่องขุ่นข้องหมองใจกันบางอย่าง ทำให้มองหน้ากันไม่ติดตั้งแต่ตอนนั้น หากได้พบกันก็จะต้องทะเลาะ ตอนนี้เมื่อมาพบกันอีกครั้งก็ยังเป็นเช่นนี้ ดูท่าข่าวลือที่น่าจะเป็นข่าวโคมลอยเชื่อถือไม่ได้ กลับมีความจริงแฝงอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว” 


 


 


ในยามที่จวินอู๋เหินไม่ยอมเปิดปากพูดสาเหตุออกมานั้น ฟู่เส่าชิงที่นิ่งเงียบอยู่เป็นนานกลับแกว่งไกวตะเกียบในมือเบาๆ แล้วพูดออกมา น้ำเสียงของเขาเนิบนาบน่าฟัง พูดขึ้นมาเป็นท่วงทำนอง ท่าทางดูราวกับบัณฑิตหนุ่ม 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม