บุปผาเคียงบัลลังก์ 326-333

 ตอนที่ 326 พบตัวเซียงฉือ


 


 


กุ้ยเฟยเพิ่งพูดจบหรงจิงยังไม่ทันเอ่ยปาก สวี่อี้ก็ได้ผลักประตูหน้าห้องนอนกุ้ยเฟยนำเอาความเย็นเข้ามา  เมื่อเข้าไปใกล้แล้วจึงคุกเข่าลงต่อหน้าหรงจิง พูดขึ้นเสียงทุ้มว่า


 


 


“สวี่อี้ถวายบังคมฝ่าบาท พบตัวอวิ๋นเซียงฉือแล้วเพคะ ตอนที่พบนางถูกคนตีสลบไป หม่อมฉันได้อ้างพระดำรัสฝ่าบาทไปเชิญข้าราชสำนักสตรีจากกองโอสถคนหนึ่ง ตอนนี้นางฟื้นแล้ว ฝ่าบาทจะทรงพบหรือไม่เพคะ”


 


 


สวี่อี้เข้ามาเพื่อถามฮ่องเต้ แต่จินกุ้ยเฟยแค้นเคืองจนแทบจะเข้ากัดคน คนสลบก็ปล่อยให้สลบไปสิ เหตุใดต้องไปเรียกข้าราชสำนักสตรีไปช่วยให้นางฟื้นขึ้นมาด้วย แถมยังหามมาถึงหน้าประตูเพื่อจะถามฝ่าบาทว่าจะพบหรือไม่ มีหรือที่ฝ่าบาทจะไม่พบ


 


 


แม้ใจจินกุ้ยเฟยจะร้อนรนแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เห็นแต่ฝ่าบาทพยักหน้าให้นำคนเข้ามา


 


 


เหตุที่กุ้ยเฟยจัดให้ฝ่าบาทเข้าห้องเพื่อพักผ่อนก่อนนั้นเพราะทางเข้าห้องลับก็คือเตียงหยกอันประณีต มีไม้สาลี่ฉลุเป็นรูปมังกรเคียงคู่หงส์นั่นเอง


 


 


เพียงนางยืนอยู่ตรงนั้น ต่อให้ทั้งห้องนอนจะถูกพลิกค้นสักกี่รอบก็ย่อมไม่อาจพบจุดน่าสงสัย


 


 


ขณะนางกำลังได้ใจอยู่ก็ได้ยินสวี่อี้กลับมารายงานว่าหาคนคนนั้นพบแล้ว


 


 


กุ้ยเฟยมองหวังหมัวหมัวที่ด้านหลังด้วยไฟโทสะลุกท่วม แต่ยังต้องฝืนยิ้มอิงแอบอยู่ข้างกายฮ่องเต้อย่างนุ่มนวล


 


 


เซียงฉือออกจากห้องลับโดยมีคนสามคนช่วยกันหามออกไปกระทั่งเปลี่ยนเป็นคนเดียวแบกพาดบ่าไว้ นางรู้สึกแต่เพียงโลกหมุนไปหมด แสงสว่างยิ่งมืดลงทุกทีคิดถึงคำสั่งของกุ้ยเฟยขึ้นมาก็รู้ว่าจะให้นำนางไปยังที่ลุ่มชุ่มน้ำ หรือก็คือที่ที่หลิวชิงตายตรงนั้น


 


 


เซียงฉือคิดว่าตนยังสามารถรักษาชีวิตอยู่ได้นับว่าดีไม่น้อยแล้ว แต่ทว่า เดินไปยังไม่ไกลมากนักก็ได้ยินเสียงตะโกนสอบถามมาแต่ไกล แล้วองครักษ์ที่ถือโคมไฟหลายคนก็กรูกันเข้ามา ขันทีคนนั้นจึงโยนเซียงฉือลงพื้นอย่างแรงแล้วหลบหนีไป


 


 


เซียงฉือทั้งกลัวและตกใจ วิงเวียนฟุบอยู่บนพื้นสลบไปในทันที


 


 


นางไม่รู้ว่าตนเองกลับมาตำหนักอวี้หยวนได้อย่างไร แต่ตอนที่ฟื้นขึ้นมาก็กำลังได้รับการป้อนยาจากสตรีที่นั่งหาว แต่งกายด้วยชุดชาววังสีเหลืองอ่อน


 


 


ถัดจากนั้นจึงเห็นสวี่อี้ปรากฏออกมาที่เบื้องหน้า เซียงฉือเห็นสวี่อี้ถึงกับร้องไห้ออกมาด้วยความดีใจอย่างถึงที่สุด


 


 


สวี่อี้รู้ว่านางผ่านความตกใจกลัวมาจึงลูบหลังนางเป็นการปลอบโยน


 


 


แล้วบอกกับนางว่าเรื่องนี้ฝ่าบาทจะให้ความเป็นธรรมกับนาง ขอเพียงให้นางพูดความจริง ฝ่าบาทจะต้องใช้เรื่องนี้ลงโทษกุ้ยเฟยอย่างสาสม


 


 


เซียงฉือรับฟังด้วยความซาบซึ้งใจ


 


 


แต่ยังไม่ทันได้ถามอะไรสวี่อี้ก็รีบผละไป  แล้วนางก็มารอคอยการเรียกตัวอยู่ด้านนอกห้องบรรทมในตำหนักอวี้หยวน


 


 


แต่สิ่งที่เซียงฉือกำลังคิดอยู่นี้มีมากกว่าที่สวี่อี้บอกไว้เมื่อครู่มากนัก


 


 


เพราะนางในขณะนี้ไม่อาจจะทำอะไรโดยผลีผลามได้


 


 


ฮ่องเต้มีรับสั่งให้เซียงฉือเข้าเฝ้า นางจัดแจงตนเองแล้วเดินเข้าห้องบรรทมไปช้าๆ หยุดยืนอยู่เบื้องหน้าห่างจากที่นั่งหรงจิงไปช่วงหนึ่ง


 


 


แล้วค้อมกายทำความเคารพตามแบบฉบับข้าราชสำนักสตรี


 


 


“หม่อมฉันอวิ๋นเซียงฉือ ถวายบังคมฝ่าบาท ถวายบังคมกุ้ยเฟยเพคะ”


 


 


เมื่อพูดจบนางก็ทำความเคารพใต้เท้าเหอที่ข้างกายฮ่องเต้ตามธรรมเนียม เพราะว่านางเป็นราชเลขาในกองงานของอีกฝ่าย


 


 


เหอจิ่นเซ่อพยักหน้าให้นางน้อยๆ แต่กับคำพูดที่สวี่อี้กระซิบที่ข้างหูเมื่อครู่ นางส่ายหน้าเบาๆ


 


 


แต่ในตอนนี้นางไม่อาจให้คำแนะนำกับเซียงฉือได้ทันจึงได้แต่หวังว่านางจะไม่วู่วามเป็นดีที่สุด


 


 


เซียงฉือยืนนิ่งมองดูกุ้ยเฟยกับฝ่าบาทด้วยท่าทางสงบไม่มีความคับแค้นแม้แต่น้อย นางสงบนิ่งอย่างยิ่ง สงบเรียบราวสายน้ำดุจเดียวกับในวันอื่นๆ


 


 


 


 


ตอนที่ 327 กุ้ยเฟยข่มขู่


 


 


หลังจากเซียงฉือทำความเคารพอย่างนอบน้อมแล้วก็ยืนนิ่งอยู่ด้านหน้าไม่พูดสักคำ ไม่เอ่ยสักครั้ง สวี่อี้ร้อนรนจนต้องพูดขึ้นก่อน


 


 


“ฝ่าบาท ใต้เท้าอวิ๋นถูกลักพาตัวจนบัดนี้ยังคงหวาดผวาอยู่ เช่นนั้นยังคงให้หม่อมฉันเป็นคนทูลเรื่องราวความเป็นไปจะดีกว่า หากมีจุดที่ขาดตกไป ขอฝ่าบาททรงโปรดให้ใต้เท้าอวิ๋นทูลถวายเพิ่มเติมเพคะ”


 


 


การที่สวี่อี้ลนลานเอ่ยออกมาไม่ใช่เพราะต้องการทำอะไรกุ้ยเฟย แต่เพราะนางถือว่าเซียงฉือเป็นดั่งเพื่อนรู้ใจ ในเมื่อกุ้ยเฟยคิดจะกำจัดนาง หากช้าไปเพียงแค่ก้าวเดียว เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าเซียงฉือจะถูกคนฆ่าตายอย่างเงียบเชียบไปแล้ว เมื่อย้อนคิดขึ้นมาทำให้นางหวาดหวั่น


 


 


หรงจิงไม่พูดอะไรแสดงว่าอนุญาตแล้ว สวี่อี้จึงเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นนี้ทั้งหมดออกมาอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง หนำซ้ำยังบรรยายเหตุการณ์ตอนพบเซียงฉืออย่างละเอียดเกินจริงด้วยเสียงเศร้าเคล้าน้ำตา


 


 


กุ้ยเฟยฟัง แม้ใจจะโกรธจนแทบทนไม่ไหว แต่ตอนนี้อย่างมากที่นางทำได้คือคอยดูสีหน้าหรงจิงด้วยใจหวาดหวั่นกังวล


 


 


สวี่อี้พูดจบไปแล้วเซียงฉือก็ยังไม่พูดอะไรเหมือนคนได้รับบาดเจ็บสาหัส เอาแต่มองดูตาหรงจิงอย่างสงบนิ่ง


 


 


หรงจิงก็มองดูนางเช่นกัน ดวงตาคู่นั้นบ่งบอกความรู้สึกมากมายทั้งความอยุติธรรม โกรธเคืองและอดกลั้น


 


 


เมื่อมองออกเช่นนั้นหรงจิงก็ไม่พูดอะไร จินกุ้ยเฟยจึงได้พูดขึ้น


 


 


“โถ ฝ่าบาททรงฟังสิเพคะ ใต้เท้าสวี่อี้มีวาทศิลป์ยิ่งนัก เล่าเรื่องที่เซียงฉือประสบมาเสียจนฟังแล้วสงสารจับใจ เห็นแล้วน้ำตาไหล หม่อมฉันเสียอีกไม่มีความสามารถเช่นนี้”


 


 


“แต่ว่าฝ่าบาท เซียงฉือเดิมเป็นคนที่ออกไปจากตำหนักของหม่อมฉัน หม่อมฉันเอ็นดูนางมาโดยตลอด นางเข้ามาในตำหนักอวี้หยวนได้ไม่ถึงสามเดือน หม่อมฉันก็เลื่อนนางจากนางกำนัลขั้นที่สามไปเป็นนางกำนัลขั้นที่หนึ่งแล้ว และเมื่อนางมีความสามารถจะไปสอบเป็นข้าราชสำนักสตรี หม่อมฉันก็สนับสนุนนางทุกอย่าง”


 


 


“โถๆๆ เดิมนางเป็นทายาทของขุนนางต้องโทษ ทั้งครอบครัวควรต้องถูกประหารหลังฤดุใบไม้ร่วง แต่เพราะฝ่าบาททรงมีเมตตาธรรม สั่งนิรโทษกรรมทั่วทั้งหล้านางจึงยังคงมีชีวิตมาอยู่รับใช้ข้างพระองค์เช่นนี้ คนอะไรช่างน่าสงสารนัก เหตุใดชะตาชีวิตถึงได้น่าเศร้าแบบนี้”


 


 


เมื่อกุ้ยเฟยพูดถึงจุดที่สะเทือนใจน้ำตาก็ไหลอาบหน้า ทำให้คนที่ไม่รู้ตื้นลึกหนาบางคิดว่านางสงสารเซียงฉืออย่างจริงใจ


 


 


เซียงฉือผุดยิ้มหยันที่มุมปาก แต่ก็หุบแล้วสำรวมอย่างเรียบร้อย คำพูดตอนท้ายของกุ้ยเฟย สำหรับนางแล้ว ไม่ต่างกับถูกธนูนับพันทะลวงหัวใจ


 


 


กุ้ยเฟยพูดออกมาแบบนั้นก็ไม่มีใครไปโต้แย้งกับนาง หรงจิงเอาแต่นิ่งเงียบ มองดูทุกเรื่องราวทุกสิ่งอันที่เกิดขึ้นเบื้องหน้า


 


 


กุ้ยเฟยพูดขึ้นทันทีอีกว่า


 


 


“เซียงฉือเอ๊ย ดูร่างกายที่บาดเจ็บไปทั่วของเจ้าสิ ถ้าหากคนในครอบครัวของเจ้าที่ทำงานหนักอยู่ในค่ายทางตะวันตกเฉียงเหนือเห็นเข้าละก็ ไม่รู้ว่าจะต้องเสียใจขนาดไหน ฝ่าบาทเพคะ เดิมบ้านสกุลอวิ๋นก็เป็นตระกูลขุนน้ำขุนนางใหญ่ นางเองก็เป็นคุณหนูใหญ่สายเลือดตรงที่ถูกฟูมฟักเลี้ยงดูมาอย่างดี หม่อมฉันดูออกว่านางเป็นคนน่ารักน่าสงสาร ทั้งยังรู้การรู้งานดีที่สุดอีกด้วย”


 


 


กุ้ยเฟยพูดเช่นนี้ทำให้เซียงฉือหนาวสะท้านและร่างสั่นเทาขึ้นมา แต่ก็กลับมาสงบลงได้โดยเร็ว


 


 


เรื่องที่ครอบครัวบ้านสกุลอวิ๋นถูกส่งไปทำงานหนักทางตะวันตกเฉียงเหนือเซียงฉือย่อมรู้ดี เดิมนางเป็นนางกำนัลเล็กๆ ถูกปิดกั้นจากข่าวคราว ทำให้ไม่รู้เรื่องราว


 


 


แต่ตั้งแต่ไปรับใช้อยู่ข้างกายกุ้ยเฟย เพื่อที่จะให้คนในครอบครัวมีความเป็นอยู่ดีขึ้นจึงได้อ้อนวอนกุ้ยเฟยให้เขียนจดหมายถึงบิดาของนางที่อยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือ ให้ช่วยดูแลครอบครัวนางด้วย


 


 


แต่นางไม่คิดว่าพอมาถึงวันนี้เรื่องนี้กลับกลายมาเป็นจุดอ่อนของนาง แต่จะให้นางทำอย่างไรได้


 


 


จึงเพียงยิ้มแล้วตอบไป


 


 


“กุ้ยเฟยทรงมีพระเมตตา มีพระกรุณาธิคุณต่อหม่อมฉันอย่างล้นพ้นซึ่งหม่อมฉันจดจำไว้เสมอมา มิกล้าลืมเลือนเพคะ”


ตอนที่ 328 คำตอบของเซียงฉือ


 


 


ก่อนที่เซียงฉือจะย่างเข้าตำหนักอวี้หยวนก็รู้ว่า ถึงนางจะเป็นข้าราชสำนักสตรีข้างกายฝ่าบาท แต่ท้ายที่สุดยังคงเป็นเพียงตัวละครที่เล็กจ้อยในผงธุลี ไม่มีความดีความชอบต่อแผ่นดิน ไร้ประโยชน์ต่อฮ่องเต้


 


 


การที่หรงจิงมาด้วยตนเองในวันนี้ เมื่อฟังจากคำพูดสวี่อี้แล้วนางก็เข้าใจ ว่าเพราะนี่เป็นพระเกียรติของฮ่องเต้


 


 


เซียงฉือก็เหมือนของใกล้ตัวสิ่งหนึ่งของหรงจิง เมื่อมีคนบังอาจมาฉกชิงถึงใต้หนังตา เห็นพระราชอำนาจของเขาเป็นอะไร และการที่เขาโมโหโกรธาก็ไม่ใช่เพราะนางแต่เพราะกุ้ยเฟย


 


 


ถ้าหากเซียงฉือตายไปก็จะทำให้โทษทัณฑ์กุ้ยเฟยยิ่งหนักขึ้น การตีข้าราชสำนักสตรีจนตายนั้นมีโทษดุจเดียวกับกบฏ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเซียงฉือเป็นถึงข้าราชสำนักสตรีข้างกายฝ่าบาท สำหรับหรงจิงแล้วคงต้องโกรธอย่างยิ่ง ถึงขนาดสามารถส่งกุ้ยเฟยเข้าตำหนักเย็นได้


 


 


แต่ว่านางคือจินกุ้ยเฟย วันใดที่ขุนพลจินยังไม่ล้ม วันนั้นๆ นางก็ยังคงเป็นจินกุ้ยเฟยที่สามารถสั่งลมเรียกฝนในวังได้


 


 


เซียงฉือเลิกแยแส นางเข้าใจเรื่องพวกนี้ ดังนั้นจึงไม่พูดอะไรมาโดยตลอด


 


 


นางเพียงแต่รอให้กุ้ยเฟยลนลาน รอนางเอ่ยปากคุกคามนางขึ้นมาก่อน


 


 


คำพูดโจ่งแจ้งเช่นนี้ทุกคนในเหตุการณ์ย่อมต้องฟังเข้าใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งฝ่าบาท


 


 


เซียงฉือเข้าใจจุดนี้ดี และก็คิดกระจ่างแล้วว่าวิบากทั้งปวงที่นางได้รับในวันนี้จะต้องไม่สูญเปล่า แต่จะให้ฝ่าบาทลงโทษกุ้ยเฟยนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้ ถึงแม้จะลงโทษจริงก็ไม่รุนแรงอะไร


 


 


แต่ถ้าหากนางวู่วามเพียงชั่วขณะ เกรงว่าจะต้องชดใช้ด้วยชีวิตของคนทั้งครอบครัว


 


 


เซียงฉือไม่กล้าเสี่ยง นางทำเช่นนี้เพื่อให้ฮ่องเต้รู้ว่าไม่ใช่ว่านางไม่ต้องการพูด แต่ว่าลิ้นของนางถูกผูกไว้ด้วยชีวิตของคนทั้งครอบครัว


 


 


เมื่อครู่ก่อนฝ่าบาทกับนางเพิ่งถกเรื่องการเลือกระหว่างคนในครอบครัวกับฮ่องเต้ ในเวลานี้นางจำเป็นต้องพูดเสริมอีกเพียงเล็กน้อย


 


 


เซียงฉือจึงคุกเข่าลง


 


 


“กุ้ยเฟยทรงมีพระเมตตา ตั้งแต่วันที่หม่อมฉันเข้าตำหนักอวี้หยวน พระองค์ก็ได้ทรงดูแลคนในครอบครัวของหม่อมฉัน พระกรุณานี้หม่อมฉันจดจำมิรู้ลืม ถึงจะไม่สามารถรับใช้อยู่ข้างพระองค์ แต่ย่อมจะไม่ทำให้กุ้ยเฟยกับหวังหมัวหมัวต้องแบกรับความผิดนี้เพคะ”


 


 


“ใต้เท้าเหอห่วงใยหม่อมฉัน ทำให้หม่อมฉันซาบซึ้งยิ่งนัก ใต้เท้าสวี่รักษากฎหมายผดุงความยุติธรรม ทั้งยังช่วยชีวิตหม่อมฉันไว้อีกด้วย หม่อมฉันสำนึกในบุญคุณใต้เท้าสวี่ที่ช่วยชีวิต แต่ว่า…”


 


 


เซียงฉือคุกเข่าอยู่บนพื้น เมื่อพูดเรื่องนี้ก็ค้อมกายประสานมือคำนับใต้เท้าสวี่กับใต้เท้าเหอ อีกทั้งกราบจินกุ้ยเฟย


 


 


นางเงยหน้ามองกุ้ยเฟยที่ด้านข้าง เซียงฉือมองดูนางแล้วพูดปดออกไปตาไม่กะพริบ


 


 


เพราะนางคิดคำพูดไว้เรียบร้อยแล้ว คิดไว้ตั้งแต่ก่อนจะเข้ามาในห้องบรรทม


 


 


อีกทั้งยังคิดทบทวนในอกอยู่หลายรอบ แม้จะไม่ถึงกับไร้ข้อบกพร่อง แต่ก็ไม่ได้มีช่องโหว่มากนัก ขอเพียงคนที่อยู่ในเหตุการณ์นี้คอยผสมโรงสักหน่อยก็จะไปได้ดี


 


 


เซียงฉือมองกุ้ยเฟย ริมฝีปากบางขยับขึ้นน้อยๆ เหมือนจะยิ้ม พูดขึ้นว่า


 


 


“ฝ่าบาท กุ้ยเฟย ใต้เท้าทั้งสอง เรื่องวันนี้เกิดขึ้นเนื่องจากคดีของหลิวชิงในครั้งนั้น วันนี้ฝ่าบาททรงอนุญาตให้หม่อมฉันได้พัก หม่อมฉันจึงฝึกเขียนหนังสืออยู่ในห้อง แต่ไม่นานนักก็มีคนสองคนไปเคาะประตู คนหนึ่งเป็นขันทีส่วนอีกคนหนึ่งเป็นนางกำนัล ซึ่งล้วนเป็นคนของตำหนักอวี้หยวน ถึงแม้หม่อมฉันจะไม่รู้จักชื่อ แต่คุ้นหน้าคุ้นตาดี”


 


 


“สองคนนั้นอ้างว่ากุ้ยเฟสทรงมีรับสั่งด่วนเรียกให้หม่อมฉันรีบไป หม่อมฉันสำนึกในพระกรุณาธิคุณที่กุ้ยเฟยทรงดูแลส่งเสริม จึงติดตามพวกเขาไปโดยไม่สงสัยอะไร”


 


 


เซียงฉือเล่าเหตุการณ์ในตอนนี้อย่างไม่ผิดความจริงนัก อย่างน้อยก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้น แต่คำพูดหลังจากนั้นล้วนเป็นเรื่องโกหกทั้งสิ้น


 


 


 


 


ตอนที่ 329 แนบเนียน


 


 


เซียงฉือกลืนน้ำลายลงคออึกหนึ่งแล้วมองดูกุ้ยเฟย แสดงออกชัดเจนผ่านท่าทางว่า ‘คำพูดของข้า เซียงฉือคนนี้ กุ้ยเฟย ท่านพอใจหรือไม่’


 


 


เซียงฉือเห็นกุ้ยเฟยเผยอริมฝีปากแล้วกลับหุบลง หัวคิ้วขมวดน้อยๆ แต่ไม่ได้พูดตัดบทนาง นางจึงพูดต่อ


 


 


“จากนั้นพวกเขาได้พาหม่อมฉันเดินห่างออกไปเรื่อยๆ หม่อมฉันรู้จักเส้นทางไปตำหนักอวี้หยวนดีจึงเริ่มสงสัยคนทั้งสอง แล้วจู่ๆ พวกเขาก็ออกลาย จับหม่อมฉันมัดไว้”


 


 


“กงกงคนนั้นเรี่ยวแรงเยอะมากดูไม่เหมือนขันที แล้วพวกมันก็พูดออกมาว่าจะแก้แค้นแทนหลิวชิง จะผลักหม่อมฉันลงแม่น้ำไป”


 


 


“ขณะนั้นทหารองครักษ์ในละแวกนั้นผ่านมาพอดี คนคนนั้นกลัวว่าจะถูกพบจึงชกหม่อมฉันหมัดหนึ่ง หม่อมฉันศีรษะกระแทกพื้นจึงสลบไปแล้วจำอะไรหลังจากนั้นไม่ได้อีกเลยเพคะ”


 


 


เซียงฉือบอกกล่าวเรื่องที่ตนถูกจับ ถูกค้นพบ เรื่องที่ว่าเหตุใดตนจึงไปอยู่ใกล้ที่ลุ่มนั้นออกมาอย่างแจ่มแจ้ง


 


 


กุ้ยเฟยฟังแล้วก็เหลือบมองหวังโมโม จากนั้นจึงนั่งสงบนิ่ง ค่อยๆ ผ่อนหายใจออก มองดูเซียงฉืออย่างสมใจเต็มที่


 


 


ใครๆ ก็รู้ว่าการกล่าวเท็จต่อฮ่องเต้มีโทษถึงตาย แต่บ่อยครั้งมากที่ไม่โกหกก็ไม่ได้


 


 


หรงจิงฟังแล้วก็เคาะนิ้วเบาๆ บนถ้วย  ทั้งห้องเงียบสนิท มีเพียงนิ้วของหรงจิงที่กระทบถ้วยน้ำช้าๆ ไม่รู้ว่าโกรธหรือคับอกคับใจ


 


 


เขาไม่พูด จินกุ้ยเฟยในตอนนี้ก็เงียบ นั่นเป็นเรื่องที่นางคิดจะไปทำ


 


 


ส่วนสวี่อี้เมื่อได้ยินคำพูดคุกคามของจินกุ้ยเฟยต่อเซียงฉือจึงเข้าใจสถานภาพของเซียงฉือในตอนนี้ดี


 


 


วันนี้นางถูกหยามหยันมากถึงเพียงนี้แต่ยังคงยิ้มอย่างนุ่มนวลได้อยู่ นี่ไม่ใช่เซียงฉือคนที่นางรู้จักมักคุ้น เกิดความรู้สึกว่าเซียงฉือในตอนนี้มีความคล้ายคลึงกับใต้เท้าเหอที่อยู่ข้างตัวขึ้นมา


 


 


รักเหยียดล้วนไม่สะทก สงบเยือกเย็นเป็นธรรมชาติ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับนาง จากเด็กสาวที่รู้จักตอบโต้ปกป้องตนเอง เพียงไปอยู่ข้างกายฝ่าบาทไม่นานดูเติบโตขึ้นไม่น้อย


 


 


สายตาเหอจิ่นเซ่อที่มองดูเซียงฉือยามนี้ไหวเล็กน้อย จู่ๆ นางบังเกิดความกลัวขึ้นมา ไม่รู้ว่าเซียงฉือที่เป็นแบบนี้ จะใช่ผลลัพธ์ตามที่นางต้องการหรือไม่


 


 


นางหวังจะเห็นเซียงฉือเติบโต หวังให้นางเป็นเหมือนสวี่อี้ ทว่าความเกลียดแค้นที่วูบผ่านไปแวบหนึ่งในดวงตาของนางนั้นทำให้นางหวาดหวั่น นางรู้สึกว่าเซียงฉือกำลังเตรียมจะทำเรื่องใหญ่ชนิดแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ


 


 


หรงจิงฟังคำพูดของนางและเห็นท่าทางใจเย็นของนางเช่นนั้น เขาไม่ได้ใส่ใจฟังคำพูดช่วงหลัง เพียงได้ยินประโยคที่ว่าตั้งแต่นางเข้าตำหนักอวี้หยวน ครอบครัวของนางได้รับการดูแลจากกุ้ยเฟยเป็นพิเศษ


 


 


เขาเพียงเข้าใจความหมายของประโยคนี้ก็เพียงพอแล้ว


 


 


ส่วนที่เหลือนั้น ไม่ผิดคาดหมาย ผู้คุมตำหนักอวี้หยวนเข้ามารายงานอย่างรวดเร็ว


 


 


“ฝ่าบาท กุ้ยเฟย องครักษ์ประจำตำหนักอวี้หยวนจางเหมิ่งกับนางกำนัลขั้นสามหมิ่นเอ๋อร์ได้กระโดดน้ำฆ่าตัวตายแล้วพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


“ตามคำบอกเล่าของพวกคนรับใช้ สองคนนี้เคยได้รับบุญคุณจากหลิวชิงมาก่อน คิดว่าคงต้องการแก้แค้นให้กับหลิวชิง เรื่องนี้ไม่ทราบว่าควรดำเนินการอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


ขันทีคนนั้นทูลเรื่องนี้ต่อฮ่องเต้และกุ้ยเฟยด้วยเสียงแหลมน้ำเสียงลนลาน แต่หากดูจากฝีเท้าแล้วไม่เห็นความลนลานสับสน กลับดูเป็นความวุ่นวายอย่างมีแบบแผน กุ้ยเฟยได้ยินดังนั้นจึงรีบลุกขึ้นยืนใบหน้ายิ้มเศร้า


 


 


สวี่อี้กำลังจะนำคนออกไปตรวจสอบก็เห็นสัญญาณจากเหอจิ่นเซ่อ นางไม่พูดอะไรแล้วถอยกลับไปในที่เดิมเหมือนไม่มีตัวตน


 


 


กุ้ยเฟยเริ่มมีชีวิตชีวา นางหันหน้าไปมองสวี่อี้และเหอจิ่นเซ่อ พูดขึ้นว่า


 


 


“ใต้เท้าทั้งสองยังมีอะไรจะพูดอีกหรือไม่ ใต้เท้าเหอรับปากไว้แล้ว หาคำอธิบายดีๆ มาให้ข้าด้วยล่ะ”


ตอนที่ 330 คำตัดสิน


 


 


เรื่องโกหกของเซียงฉือได้รับการยืนยันอย่างสมบูรณ์แบบ จากความช่วยเหลือของกุ้ยเฟยในการจบห่วงโซ่สุดท้าย ตายอย่างไม่เหลือหลักฐาน


 


 


เซียงฉืออดไม่ได้ต้องยิ้มออกมา ชีวิตคนในวังก็เพียงเท่านี้


 


 


ทหารองครักษ์คนหนึ่งกับนางกำนัลอีกคนต้องตายไปอย่างง่ายดายเช่นนี้เพียงเพราะจะให้ฝ่าบาทเชื่อว่า เรื่องที่เซียงฉือเล่ามาเป็นจริงตามนั้นจริงๆ


 


 


เซียงฉือยิ้มแต่ไม่พูดอะไร ในตอนนี้ฝ่าบาทพิโรธแล้ว


 


 


ผ้าห่มของหรงจิงหล่นลงบนโต๊ะ รังสีเย็นเฉียบฉาบผ่านบนใบหน้า


 


 


“บังอาจ! ดึกดื่นขนาดนี้ให้ข้ามาดูเรื่องพวกนี้น่ะหรือ กุ้ยเฟย ไม่ปัดกวาดบ้านตัวเองแล้วจะปัดกวาดแผ่นดินได้อย่างไร ตำหนักเจ้าเองยังไม่สะอาด เห็นทีเจ้าคงไม่สามารถช่วยข้าดูแลจัดการฝ่ายในได้แล้ว”


 


 


คำพูดฮ่องเต้ไม่หนักไม่เบา แต่ทำให้คนทั้งห้องรู้สึกถึงรังสีความหนาวเหน็บพาดกายถึงสามครั้ง ต่างพากันคุกเข่าลงในทันที แม้แต่กุ้ยเฟยที่หยิ่งจองหองยังคุกเข่าเสียงอ่อนอยู่ข้างกาย ตอนนี้นางเข้าใจแล้ว ถึงแม้คำพูดของเซียงฉือจะปัดภาระของนางกับหวังหมัวหมัวออกไปได้ แต่อย่างไรก็ยังเป็นคนของตำหนักอวี้หยวน


 


 


และย่อมเพราะนางที่เป็นกุ้ยเฟยดูแลไม่ดี ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็ไม่อาจปฏิเสธความผิดได้ แต่ขอเพียงไม่ใช่หวังหมัวหมัว ฮ่องเต้ก็จะไม่สงสัยถึงนาง เพียงพวกระดับล่างตายไปสองคนจะอะไรหนักหนา นอกจากคนสนิทของนางแล้ว คนพวกนั้นต้องการสักเท่าไรก็หาได้ ตายแล้วให้ค่าชดเชยก็จบกันไป


 


 


เดิมนางคิดเพียงปกป้องตนเองกับหวังหมัวหมัว แต่กลับลืมคิดไปว่าตนเองเป็นกุ้ยเฟย ขณะนี้ฝ่ายในไม่มีฮองเฮา นางจึงช่วยดูแลอยู่ แต่ก็มาเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นที่ฝ่ายในอีกทั้งยังเป็นคนในตำหนักของนางอีกด้วย


 


 


นางคิดจะขอความเมตตา แต่พอเห็นสีหน้าหรงจิงแล้วก็กลืนคำพูดที่กำลังจะพูดออกมากลับเข้าไป


 


 


ได้แต่ฟังคำพูดของหรงจิงต่อไปด้วยสีหน้าขมขื่น


 


 


หรงจิงเพียงมองนางครั้งหนึ่งแล้วพูดต่อว่า


 


 


“กุ้ยเฟยปกครองไร้ประสิทธิภาพ ไร้ความสามารถในการควบคุม ให้ถอดถอนอำนาจช่วยดูแลฝ่ายใน มอบให้จิ้งเฟยกับซูเฟยแทน แล้วให้ปิดประตูสำนึกความผิดครึ่งเดือน”


 


 


กุ้ยเฟยได้ยินดังนั้นก็กำนิ้วมือแน่นแต่ไม่กล้าต่อต้าน นางฝืนยิ้มออกมาแล้วตอบรับอย่างน้อยใจ


 


 


“เป็นพระมหากรุณาธิคุณที่อภัยโทษเพคะ หม่อมฉันน้อมรับพระบัญชาเพคะ”


 


 


กุ้ยเฟยปากไม่ตรงกับใจ หรงจิงค้านจะตอแยด้วย แต่เมื่อคิดถึงสถานะนางแล้วก็ถอนใจ พยุงนางขึ้น


 


 


“เจ้านี่นะ ใส่ใจกับเรื่องจุกจิกของฝ่ายในสักหน่อย การดูแลบ้านไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะฝ่ายในที่กว้างใหญ่ของข้าด้วยแล้ว ไม่มีเรื่องใดจะใหญ่หรือเล็ก เจ้าเป็นคนไม่รอบคอบ ยังจะต้องฝึกฝนอีกมาก”


 


 


ถึงหรงจิงจะลงโทษนาง แต่คำพูดนั้นไม่เหมือนกับโกรธจริงทำให้กุ้ยเฟยค่อยเบาใจ อย่างไรเรื่องในวันนี้นางก็ทำผิดพลาดไปจริงๆ


 


 


ก็พอจะเป็นการปลอบใจได้บ้าง แต่สายตาหรงจิงกวาดไปยังเหอจิ่นเซ่อ สวี่อี้และเซียงฉือที่คุกเข่าอยู่ทั้งสามคนอย่างรวดเร็ว


 


 


สายตานั้นตกลงบนร่างสวี่อี้ก่อน เขาพูดเสียงเรียบว่า


 


 


“ใต้เท้าสวี่ถึงจะเป็นหญิงสาวที่มีความสามารถ แต่ยังคงต้องหล่อหลอมต่อไป กองคดีควบคุมกฎหมายของฝ่ายใน ต้องไม่โอนเอนลำเอียง ไม่ตกใจลนลาน เรื่องเหล่านี้เจ้ายังควรต้องไปคิดไตร่ตรองให้ดี ส่วนเรื่องนี้ก็จบกันไปไม่ต้องสืบสวนอีก”


 


 


จากนั้นมองทางเหอจิ่นเซ่อ เพียงยิ้มแล้วพูดว่า


 


 


“ใต้เท้าเหอ คืนนี้ลำบากแล้ว”


 


 


เหอจิ่นเซ่อได้ยินแล้วรีบกราบกราน


 


 


“เป็นหน้าที่ของหม่อมฉัน มิอาจกล่าวว่าลำบากได้เพคะ ความจริงเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยกลับต้องรบกวนฝ่าบาท หม่อมฉันไม่ตรวจสอบให้ดี เป็นความผิดของหม่อมฉันเพคะ”


 


 


หรงจิงยื่นฝ่ามือออกไปห้ามเหอจิ่นเซ่อมิให้ขอโทษ แล้วยิ้มพูดว่า


 


 


“ท่านมีความผิดที่ไหนกัน ลุกขึ้นเถอะ”


 


 


สุดท้ายหรงจิงมองไปยังเซียงฉือ เจ้าเด็กคนนี้ นี่เป็นการเปลี่ยนวิธีขอความเมตตาจากเขาหรืออย่างไร


 


 


 


 


ตอนที่ 331 เข้าใจเรื่องราว


 


 


เขามองแล้วมองเล่า คิดแล้วคิดอีก ส่วนเซียงฉือก็เอาแต่มองเขาอยู่อย่างนั้นด้วยสายตาอ้อนวอนอย่างยิ่ง สายตาแบบนั้นทำให้หรงจิงปวดใจ ท้ายที่สุดอดไม่ได้ต้องพูดขึ้น


 


 


“ส่วนอวิ๋นเซียงฉือให้กลับคืนตำแหน่งเดิม เพราะเห็นแก่อยู่ในหน้าที่สำคัญ หากยังต้องห่วงกังวลพ่อแม่ที่ถูกเนรเทศไปไกล ข้าไม่ต้องการให้นางมีห่วงกับครอบครัวจนไม่มีใจทำงานราชการ ดังนั้นสั่งการลงไปให้กรมข้าราชการพลเรือนจัดการให้ครอบครัวนางทั้งครอบครัวกลับไปเป็นสามัญชนยังภูมิลำเนาเดิมที่หลานโจว”


 


 


เซียงฉือหมอบลงกับพื้น กราบกรานอย่างเคารพบูชาที่สุดและสำนึกบุญคุณอย่างจริงใจที่สุดตั้งแต่นางได้เข้าวังมา


 


 


“หม่อมฉันอวิ๋นเซียงฉือ ยินยอมพร้อมใจถวายชีวิตนี้แด่ฝ่าบาทอย่างสุดกำลังเพคะ”


 


 


เซียงฉือซาบซึ้งใจขนาดไหน ความรู้สึกท่วมท้นเพียงใดไม่อาจจะถ่ายทอดออกมาได้หมด ขณะนี้นางสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น ซาบซึ้งใจจนน้ำตาไหลพราก นางพูดไม่ออกร่างสั่นเทิ้มเบาๆ แทนความรู้สึกที่นางไม่สามารถพูดออกมาได้ในขณะนี้


 


 


หลายคนแอบยินดีกับเซียงฉืออยู่ในใจ แต่ก็มีคนคนหนึ่ง แววตานางดั่งพยัคฆ์ร้าย ทำไมนางจะไม่รู้ว่าอวิ๋นเซียงฉือจงใจให้เป็นเช่นนั้น


 


 


จินกุ้ยเฟยยามนี้แค้นจนอยากเชือดเนื้อเถือหนังนางแต่ก็ต้องอดกลั้นไว้ ต้องมีสักวันที่นางจะทำให้อวิ๋นเซียงฉือต้องเจ็บปวดเป็นร้อยเท่าพันเท่า


 


 


นางมองเห็นหรงจิงที่เหมือนจะยิ้มยามมองดูเซียงฉือแล้วสั่นเทิ้มไปทั้งตัว


 


 


ผู้หญิงคนนี้ช่างทำให้นางเกลียดชังลึกซึ้ง อวิ๋นเซียงฉือที่อยู่ในความนึกคิดของจินกุ้ยเฟยน่าจะตายไปนับครั้งไม่ถ้วนแล้ว


 


 


แต่ตอนนี้อวิ๋นเซียงฉือไม่อาจสนใจนาง


 


 


เมื่อหรงจิงพูดจบก็ไม่คิดจะอยู่ในที่นั้นอีก จึงลุกขึ้นเตรียมออกไป สีหน้ากุ้ยเฟยแข็งทื่อขึ้นทันทีแล้วรีบลุกตาม หมายจะรั้งหรงจิงให้เข้าไปข้างในตำหนัก แต่คำพูดของหรงจิงทำให้สีหน้านางเปลี่ยนแปลงอย่างแรง


 


 


“ข้าจะกลับตำหนักเจิ้งหยางแล้ว น่าเบื่อ”


 


 


กุ้ยเฟยหน้าซีด ไม่กล้าดึงแขนเสื้อหรงจิงเพื่อจะรั้งไว้อีก แล้วน้อมกายคำนับถอยกลับที่เดิม เซียงฉือยังคงคุกเข่าไม่มีปฏิกิริยาอะไรอยู่กับพื้น หรงจิงเดินเฉียดไปข้างกายนางแล้วหันหน้าไปมอง พูดอย่างถากถางว่า


 


 


“อวิ๋นเซียงฉือ เรื่องแค่นี้ถึงกับทำให้เจ้าขยับเดินไม่ไหวเชียวหรือ ยังไม่ตามข้ากลับไปอีก”


 


 


เซียงฉือได้ยินดังนั้นก็รีบลุกขึ้น แต่ว่าวันนี้นางมีอาการวิงเวียน เมื่อลุกขึ้นฉับพลันเช่นนั้นร่างก็หมุนเคว้งซวนเซ ขณะเซียงฉือกำลังจะล้มนั้น หรงจิงพลันยื่นแขนข้างหนึ่งออกไปรับนางไว้ได้ทันที


 


 


หรงจิงเพียงทำไปตามสัญชาตญาณ แต่ไม่ได้เป็นเช่นนั้นในสายตาของผู้ที่อยู่ตรงนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งจินกุ้ยเฟย ใบหน้านั้นราวกับถูกสาดด้วยถาดสี ปรากฏสีสันขึ้นสารพัด


 


 


เซียงฉือถูกหรงจิงประคองไว้ นางนวดศีรษะช้าๆ เมื่อรู้สึกแจ่มชัดขึ้นจึงลุกขึ้นด้วยตนเอง


 


 


หรงจิงไม่เห็นว่าการกระทำนี้มีอะไรไม่โปร่งใส จึงถามขึ้นว่า


 


 


“ยังไหวไหม”


 


 


เซียงฉือพยักหน้า คลายมือหรงจิงที่พยุงนางไว้แล้วทำความเคารพ จากนั้นเดินก้าวเท้ายาวอย่างรวดเร็วตามหรงจิงออกจากตำหนักอวี้หยวน


 


 


เพียงพ้นประตู ด้านในบังเกิดเสียงเพล้งดังขึ้น ถ้วยชามกาน้ำชาพากันวอดวาย


 


 


หรงจิงเพียงยิ้มเยือกเย็นแล้วเดินจากไปอย่างไม่รู้สึกอะไร เหอจิ่นเซ่อกับสวี่อี้ที่ตามอยู่ข้างหลังสบตากันแล้วคารวะลา แยกจากหรงจิงกับเซียงฉือ ต่างกลับสู่กองงานตน


 


 


หรงจิงกับเซียงฉือเดินกันไปช้าๆ ตามทางสายเล็กที่ไม่ยาวนัก พวกซูกงกงเมื่อเห็นสีหน้าแววตาฮ่องเต้แล้วต่างพากันหลบห่าง จึงเห็นแต่เพียงเค้าโครงของคนสองคนบนทางลื่นที่มืดมิด มีเซียงฉือเดินถือโคมไฟนำหน้าหรงจิงอยู่ไม่ห่างนัก


ตอนที่ 332 จากไป


 


 


ตำหนักอวี้หยวนเป็นตำหนักที่อยู่ใกล้ตำหนักเจิ้งหยางที่สุด หากมิใช่เช่นนี้ ในตอนนั้นจินกุ้ยเฟยคงไม่ทูลขอฝ่าบาทให้บูรณะขึ้นใหม่เพื่อให้เป็นตำหนักของนาง


 


 


ค่ำคืนฤดูร้อนลมพัดเย็นให้ความรู้สึกสบาย หรงจิงไม่นั่งเกี้ยว ค่อยๆ เดินไปสองคนกับเซียงฉือ


 


 


หรงจิงมีคำถาม เซียงฉือก็มี แต่ทั้งสองคนเดินมุ่งหน้าไปทางตำหนักเจิ้งหยางอย่างเงียบๆ


 


 


สายลมโชยมาทำให้กิ่งไม้เบื้องหน้าสั่นไหว  เช่นเดียวกับโคมไฟในมือเซียงฉือที่สั่นจนละลานตา นางจึงหยุดเดินเพื่อจับโคมไฟให้นิ่งจึงได้เห็นดอกไม้ร่วงปลิวออกมาจากดงดอกไม้ข้างหน้า


 


 


“เมืองหลวงตั้งอยู่ทางด้านเหนืออากาศสดใสดอกท้อก็จึงบานให้เห็นอยู่ได้นาน แต่ถึงดอกจะสวยทว่าล่วงเลยช่วงเวลาผลิบานมาแล้ว ตอนนี้ดอกไห่ถังกำลังจะผลิบานละมัง”


 


 


หรงจิงเอ่ยขึ้นเรียบๆ ดวงตาพิจารณาเซียงฉือ คำพูดนั้นมีความหมายอย่างไรเซียงฉือไม่กล้าคาดเดา เพียงคล้อยตามคำพูดเรื่องดอกไม้ของหรงจิงว่า “ในอุทยานวังหลวงนี้ ไม่ว่าจะเป็นดอกไม้ในฤดูใบไม้ผลิหรือฤดูร้อน ล้วนเป็นดอกไม้ของฝ่าบาท เพียงสามารถเป็นที่ต้องพระราชหฤทัย ก็ย่อมเป็นวาสนาของพวกมันเพคะ”


 


 


วันนี้เซียงฉือดูจะว่าง่ายเป็นพิเศษ หรงจิงเองก็อารมณ์ดีอย่างยิ่ง ส่วนคำเยินยอของเซียงฉือนี้ก็พูดออกมาได้อย่างเหมาะเจาะ ทำให้จิตใจเขาปลอดโปร่งสบาย


 


 


เขาเป็นฮ่องเต้ ไม่ว่าราชสำนักฝ่ายหน้าหรือฝ่ายในล้วนเป็นโลกของเขาแต่เพียงผู้เดียว จะให้มีใครมาขัดขืนคิดคดทรยศต่อเขามิได้เด็ดขาด แต่โบราณกาลมาการกบฏต่อฮ่องเต้มีโทษยึดทรัพย์และประหารทั้งวงศ์ตระกูล ก็เพราะความประสงค์ของฮ่องเต้ ห้ามมิให้ขัดขืน


 


 


หรงจิงตบบ่านาง เมื่อมองเห็นดอกท้อที่ปลิวว่อนก็ยิ้ม จิตใจไหวขึ้นน้อยๆ ท่องกลอนออกมาบทหนึ่ง


 


 


“วันนี้ปีกลายข้างประตูนี้ โฉมนารีอีกดอกท้อแดงไสว ประชาชนเจ้าเอยอยู่หนใด ดอกท้อไซร้ยังคงยิ้มชื่นบาน”


 


 


“ฮ่า ฮ่าฮ่าฮ่า…”


 


 


หรงจิงร่ายกลอนจบก็หัวเราะคนเดียวเสียงดังแล้วเดินเตร่ไกลออกไป เซียงฉือท่องบทกลอนนี้ตามอยู่ในใจ เร่งรีบเดินตามไปเช่นกัน


 


 


ใครๆ ก็บอกว่าใจของราชาล้ำลึกสุดหยั่ง เซียงฉือซึ่งได้อยู่ข้างกายฮ่องเต้ ถึงแม้จะพอคาดเดาได้บ้าง แต่ว่าจิตใจที่แท้จริงของเขาเป็นเช่นไร นางเองก็ไม่อาจคะเนได้แม่นยำ


 


 


จึงไม่กล้าที่จะชี้ขาดลงไปว่าเจ้าของใบหน้านั้นเป็นใคร แม้ดอกท้อจะยังคงเดิม เซียงฉือได้แต่คิดสะเปะสะปะอยู่ในใจ


 


 


ค่ำคืนนี้หวาดหวั่นจนสับสน แม้ดอกท้อจะปลิวว่อนแต่ก็ยังคงร่วงลงดินเป็นธุลี ไม่ว่าจะเป็นกุ้ยเฟยหรือเซียงฉือต่างก็มีเรื่องที่ตนเองไม่พอใจ และก็มีบ้างที่ได้ดั่งใจ


 


 


ทว่าสิ่งที่เซียงฉือได้มาคือสุดยอดปรารถนาของนาง ส่วนจินกุ้ยเฟยนั้นไม่มีทางเลือกที่ดีไปกว่านั้นอีกแล้ว


 


 


เซียงฉือกับหรงจิงไปกันไกลแล้ว แต่หวังหมัวหมัวยังคงคอยปลอบโยนอยู่ข้างกายกุ้ยเฟย


 


 


เจ้านายนางคนนี้ความอดทนน้อยเกินไป การไปจับคนที่อยู่ข้างกายฝ่าบาทนั้นหวังหมัวหมัวไม่เห็นด้วยแต่ต้น แต่ทว่ากุ้ยเฟยยังคงดึงดันจะทำตามใจตัว แม้ตอนนั้นจะตกลงกันแล้วว่าเพียงนำตัวมาสอบถามดึงเข้าพวก แต่คิดไม่ถึงว่าพอนางได้ฟังคำพูดของนังหลิ่วเหยียนคนชั่วนั่นแล้วก็เปลี่ยนใจ หมายจะฆ่าเซียงฉือขึ้นมา


 


 


ถึงตอนนี้หวังหมัวหมัวจะไม่พอใจแต่ก็ไม่กล้าเอาโทสะไปลงกับกุ้ยเฟย กุ้ยเฟยเพิ่งจะรักษาตัวให้ดีขึ้นก็มาถูกกระตุ้นโทสะจนอาการปวดศีรษะกำเริบ


 


 


หวังหมัวหมัวขบฟัน เรื่องนี้ไม่อาจโทษกุ้ยเฟย หรือจะโทษตนเองก็ไม่ถูก และยิ่งไม่ควรจะไปโทษเซียงฉือ


 


 


ส่วนคนที่คอยยุแหย่ให้เกิดเรื่องนั้นย่อมเป็นหลิ่วเหยียน หากไม่ใช่เพราะนางจงใจไปบอกเรื่องที่อวิ๋นเซียงฉือไปหอทิงเฟิงพร้อมกับฝ่าบาทในเวลานั้น กุ้ยเฟยก็คงไม่คิดจะเอาชีวิตนาง


 


 


และนางยังสังเกตรายละเอียดได้อีกเรื่องหนึ่งว่ามีคนไปแจ้งข่าวกับเหอจิ่นเซ่อ มิเช่นนั้นแล้วเรื่องที่พวกนางไปจับอวิ๋นเซียงฉือคงจะไม่ถูกพบเห็นอย่างรวดเร็วและถูกลากเข้าไปพัวพันด้วยเช่นนี้


 


 


หวังหมัวหมัวคิดได้แล้วสีหน้าก็เคร่งขรึมลง นางใคร่ครวญดูแล้วคนคนนี้จะต้องอยู่ในตำหนักอวี้หยวน เมื่อเป็นเช่นนั้นแสดงว่ามีหนอนบ่อนไส้ที่ใกล้ตัว


 


 


 


 


ตอนที่ 333 ใครช่วยนาง


 


 


ตอนกลางคืนหลิ่วจุ้ยตื่นขึ้นเข้าห้องน้ำ คืนนี้เป็นเวรหลิ่วเหยียนอยู่รับใช้กุ้ยเฟย ส่วนกุ้ยเฟยในเวลานั้นยังคุยกับหวังหมัวหมัวอยู่ ซึ่งผิดวิสัยกุ้ยเฟยที่จะเข้านอนไวแต่ไรมา


 


 


แต่หลิ่วจุ้ยก็ไม่ได้ใส่ใจคิดมาก ขณะนั่งคู้อยู่ในห้องส้วมก็ได้ยินเสียงคนเดินมา คนคนนั้นก็พูดเบาๆ แต่เพราะอยู่ไม่ไกลจึงได้ยินอย่างชัดเจน


 


 


“กำลังจะออกไปจับนังเด็กอวิ๋นเซียงฉือที่ตำหนักเจิ้งหยางอยู่แล้วเจ้ายังจะมัวเข้าส้วมอีก ถ้าหากหวังหมัวหมัวรู้เข้า เจ้าต้องเดือดร้อนแน่”


 


 


คนที่พูดคือหลินหมัวหมัวที่กุ้ยเฟยค่อนข้างไว้ใจใช้งาน พอพูดจบก็ได้ยินเสียงตอบอย่างหงุดหงิดออกมาจากห้องส้วม


 


 


“รู้แล้วๆ น่ะ เจ้าไม่พูดข้าไม่พูด แล้วใครล่ะจะรู้”


 


 


แล้วจึงได้ยินเสียงคนคนนั้นรีบลุกขึ้น ทั้งสองคนสนทนากันออกไปจากห้องสุขา


 


 


ในตำหนักอวี้หยวนหากเป็นหน้าหนาวไม่ว่าคนรับใช้สาวหรือแก่ต่างถ่ายทุกข์กันอยู่ภายในห้อง แต่หากหน้าร้อนก็จะออกไปใช้ห้องสุขากันด้านนอก มิเช่นนั้นคนในห้องคงไม่เป็นอันหลับนอนเพราะกลิ่นปัสสาวะ


 


 


หลิ่วจุ้ยได้ยินคำพูดนั้นแล้วลนลานยิ่ง รีบลุกออกไปเช่นกัน


 


 


นางหวาดหวั่นใจ แต่ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี


 


 


เมื่อคิดว่าเซียงฉือจะถูกกุ้ยเฟยตีและฆ่านางทำใจไม่ได้ จึงคลุมเสื้อตัวนอกแล้วย่องออกไปจากตำหนักอวี้หยวนทางประตูข้าง


 


 


สถานที่นี้เป็นที่เร้นลับ ยามค่ำคืนบางครั้งจะมีทหารองครักษ์เดินไปมาบ้าง หลิ่วจุ้ยหวั่นเกรงเซียงฉือจะถูกฆ่า แต่ขณะที่ออกมาอย่างร้อนรนก็ไม่รู้ว่าควรจะต้องไปหาใคร


 


 


คิดอยู่ครู่หนึ่งก็นึกถึงสวี่อี้ได้ จึงรีบวิ่งไปอย่างไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น สวี่อี้พักอยู่ในกองคดีมาตลอด กองคดีแตกต่างจากสถานที่อื่น ข้างห้องนางมีประตูข้างที่สามารถเข้าออกได้ตลอดเวลา


 


 


หลิ่วจุ้ยรีบมุ่งไปยังห้องหนังสือของสวี่อี้ เมื่อเห็นแสงไฟยังสว่างอยู่ จึงผลักประตูเดินเข้าไปโดยไม่อาจสนใจสิ่งใด


 


 


“ใต้เท้าสวี่ช่วยด้วยเจ้าค่ะ!”


 


 


พอเข้าไปถึงหลิ่วจุ้ยก็คุกเข่าพลั่กลงเบื้องหน้าสวี่อี้แล้วถ่ายทอดคำพูดเมื่อครู่ให้สวี่อี้ฟังจนหมด


 


 


ทั้งยังเล่าเรื่องที่กุ้ยเฟยไม่พอใจเซียงฉือในยามปกติกับทั้งเรื่องที่หลิ่วเหยียนรายงานต่อกุ้ยเฟยในวันนี้อีกด้วย นางบอกว่าเซียงฉือไปครั้งนี้คงไม่ได้กลับมาอีก จึงทุกข์กังวลใจ


 


 


สวี่อี้เมื่อฟังแล้วก็ตกใจเป็นการใหญ่ สั่งนางรีบกลับเข้าตำหนักอวี้หยวน จากนั้นรีบออกไปเพื่อจะไปตำหนักเจิ้งหยาง


 


 


นางจะต้องรู้ให้แน่ชัดว่าเซียงฉือปลอดภัยอยู่หรือไม่ แต่เมื่อไปถึงตำหนักเจิ้งหยางก็พบว่าเซียงฉือถูกคนพาตัวไปแล้ว นางจึงกังวลใจขึ้นจริงจัง ขณะกำลังร้อนรนจะไปทูลเรื่องนี้กับฮ่องเต้ ก็ได้พบเหอจิ่นเซ่อเข้าที่ด้านนอกตำหนักเจิ้งหยาง


 


 


จึงเล่าเรื่องของเซียงฉือออกมาจนหมด เหอจิ่นเซ่อจึงคิดวิธีการขึ้นมา นางจะไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทและทูลเรื่องบางอย่างก่อน จบเรื่องแล้วก็จะให้คนไปตามนางเข้าไป


 


 


สวี่อี้ฟังวิธีการของเหอจิ่นเซ่อแล้วจึงแยกย้ายไป


 


 


เหอจิ่นเซ่อทูลเรื่องงานวันนี้ต่อฮ่องเต้ตามที่เคยปฏิบัติ และเตรียมรับงานที่ฮ่องเต้จะให้ทำต่อไป ขณะนั้นขันทีคนหนึ่งเดินเข้ามาหาแล้วกระซิบที่ข้างหูนาง


 


 


เหอจิ่นเซ่อเตรียมทูลลา แต่ฮ่องเต้เหลือบเห็นสวี่อี้ที่หน้าประตูจึงสั่งคนให้เรียกนางเข้าไป


 


 


“ใต้เท้าสวี่ ดึกป่านนี้แล้วเหตุใดจึงยังมาตำหนักเจิ้งหยางอีก”


 


 


หรงจิงเพียงรู้สึกสงสัย มาคนหนึ่งแล้วนี่อีกคนหนึ่ง มีเรื่องอะไรต้องมารายงานกันในเวลาเช่นนี้


 


 


เขาที่เป็นฮ่องเต้คนนี้คงไม่ต้องลำบากตรากตรำเพื่อชาติทั้งวันคืนเช่นนี้กระมัง แต่สวี่อี้รีบคุกเข่าแล้วทูลเรื่องเซียงฉือ พูดอีกว่านางคิดจะสอบถามใต้เท้าเหอว่าได้เรียกตัวเซียงฉือออกไปจากตำหนักเจิ้งหยางหรือไม่


 


 


แต่แล้วจู่ๆ หรงจิงก็บันดาลโทสะขึ้นรุนแรง


 


 


 พานางทั้งสองคนไปยังตำหนักอวี้หยวน


 


 


ส่วนหลิ่วจุ้ยที่กลับเข้าตำหนักอวี้หยวนก็ปะปนเข้าไปในฝูงคนกบดานเงียบ เหมือนไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม