เช่าท่านประธานมาปิ๊งรัก 321-328

 ตอนที่ 321 ภาพบาดตา 


 


 


เมื่อก่อนเหยียนเค่อไม่เคยรับเงินทอนคืนมาเลย ครั้งนี้ก็แค่เผลอไผลไปเท่านั้น เขาเองก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงเอาเงินทอนยัดให้ซย่าเสี่ยวมั่ว 


 


 


“ไปเถอะ” เหยียนเค่อก็เหนื่อยแล้ว กลับมาจากหนานซานตั้งแต่เช้าตรู่ แถมยังยืนรออยู่ตั้งนานสองนาน เขาอยากกลับไปพักแล้ว 


 


 


“ฉันมากับสวีรั่วชี” ซย่าเสี่ยวมั่วไม่สนใจว่าเขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร คนสองคนที่อยู่คนละโลกก็ต้องเจียมตัวเองเสียบ้าง “ฉันจะกลับกับเขา” 


 


 


เหยียนเค่อกลอกตาใส่เธอ คิดเยอะจริงๆ คิดจะหลบหน้าเขาหรือไง 


 


 


“ฉันมากับสวีอันหราน ดังนั้น…” เธอคิดว่าเขายังจะสนใจตัวเองอยู่หรือไง? เหยียนเค่อหันไปมองคนดื้อรั้น 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วหันกลับไปมองสวีรั่วชี เขาไม่เชื่อหรอก ต่อให้เป็นเพื่อนสาวก็เป็นเพื่อนนะ! จะเทียบกับสวีอันหรานได้อย่างไร! 


 


 


เหยียนเค่อเบี่ยงตัวหลีกทางให้เธอ ซย่าเสี่ยวมั่วเดินไปด้านหลังเพื่อไปหาสวีรั่วชี ขณะกำลังจะตะโกนเรียกสวีรั่วชีอยู่นั้น เมื่อก้าวเท้าไปก็เห็นหัวกลมๆ ของคนสองคนโผล่พ้นขึ้นมาจากโต๊ะ… 


 


 


เธอรีบหมุนตัวกลับทันที ทำทีเป็นไม่รู้ไม่เห็นแล้วเดินกลับไป เมื่อเดินผ่านเหยียนเค่อก็สูดลมหายใจแล้วเอ่ยขึ้น “เรากลับกันก่อนเถอะ” 


 


 


เพื่อนสาวไม่สำคัญเท่าสามีทองคำจริงๆ เสียด้วยสินะ เสี่ยวชีผู้ใสซื่อของเธอกลับมากอดจูบกับคนอื่นในร้านกาแฟเนี่ยนะ! แถมยังเป็นผู้ชายอีก…ความรู้สึกหดหู่ผุดขึ้นมาในใจ 


 


 


“ฉันก็บอกแล้วไง…” เหยียนเค่อเอ่ยขึ้นลอยๆ “เห็นภาพบาดตามาล่ะสิ” 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วเงยหน้าขึ้นมองเขาปราดหนึ่งเหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่เสียงของสวีอันหรานเรียกเหยียนเค่อก็ดังขึ้นไล่หลังมาเสียก่อน ไม่รู้ทำไมเธอถึงรู้สึกเบิกบานใจจนยิ้มออกมา ทำเอา 


 


 


เหยียนเค่อรู้สึกแปลกๆ 


 


 


ทั้งคู่หันกลับไปอย่างเชื่องช้า ให้สองคนนั้นได้มีเวลาเขินอายกันอีกสักหน่อย 


 


 


เมื่อครู่สวีอันหรานกำลังจูบกับหญิงสาวที่ตนหลงรักอย่างลึกซึ้งอยู่ ก็รู้สึกว่าด้านหลังถูกหยิกอย่างเต็มแรง จนเกือบจะกัดปากของสวีรั่วชีเสียแล้ว 


 


 


หลังจากสวีรั่วชีผละออกเว้นระยะห่างจากเขาแล้วก็โมโหกลบเกลื่อนความเขิน “เมื่อกี้ซย่าเสี่ยวมั่วเดินมา!” 


 


 


สวีอันหรานจูบเลียริมฝีปากสีแดงก่ำของเธออย่างไม่รู้จักพอแล้วเอ่ยขึ้นเสียงอู้อี้ “ทำไมเหรอ” 


 


 


สวีรั่วชีซุกใบหน้าเข้ากับซอกคอของสวีอันหราน หลบเลี่ยงริมฝีปากที่ไล่จูบมาไม่หยุด “ ฉันโมโหแล้วนะ!” 


 


 


สวีอันหรานตื่นจากภวังค์ความลุ่มหลง ก่อนจะเอ่ยยิ้มๆ “เขินเหรอ” 


 


 


“หุบปากไปเลย ไปเรียกพวกเขากลับมา!” 


 


 


สวีอันหรานมองเธอที่เขินอายไม่กล้ามองตน จำต้องไปเรียกสองคนนั้นกลับมา 


 


 


เมื่อสองคนนั้นเดินกลับมา สวีรั่วชีกำลังจัดทรงผมอยู่ ส่วนสวีอันหรานก็ยืนอยู่ข้างๆ 


 


 


“นายจะเรียกพวกเรากลับมาทำไม” เหยียนเค่อนั่งลงบนเก้าอี้ตัวเดิมของตน ไม่พอใจสวีอันหรานที่กำลังจะทำลายแผนที่จะกลับไปนอนพักผ่อนของตนนัก 


 


 


“ก็ไม่อยากเอาเปรียบนายน่ะสิ” สวีอันหรานขยับออก ให้เธอกับสวีรั่วชีได้นั่งด้วยกัน ส่วนตนก็ไปนั่งลงข้างๆ เหยียนเค่อ 


 


 


“เหมาะสมกันจัง” สวีรั่วชีพูดขึ้นเสียงเบาให้ซย่าเสี่ยวมั่วได้ยิน 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วกำลังจะพูด แต่เหยียนเค่อก็เอนศีรษะซบบ่าของสวีอันหรานเสียก่อน “ขอฉันพิงหน่อย” 


 


 


สวีรั่วชีถอนหายใจยาวเหยียด ก่อนจะเอ่ยกับซย่าเสี่ยวมั่วอย่างจริงจัง “ฉันต้องหยุดความสัมพันธ์ของพวกเขาใช่ไหม” 


 


 


“ให้ตายเถอะ คนที่จู๋จี๋กันมืดฟ้ามัวดินเมื่อกี้ไม่รู้ว่าใครกันเนอะ” ซย่าเสี่ยวมั่วไม่หลงกลเข้าข้างเธอหรอก 


 


 


สวีรั่วชีทำเป็นไม่สนใจสายตาของคนไม่รู้จักได้ แต่ให้คนที่สนิทสนมใกล้ชิดกับตนมาเห็นภาพนั้นแล้วก็รู้สึกขัดเขินขึ้นมา จึงรีบใช้มือปิดปากซย่าเสี่ยวมั่วไว้ และเอ่ยห้ามอย่างป่าเถื่อน “หยุดพูดได้แล้ว!” 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วรู้นิสัยของเธอดี จึงหุบปากฉับอย่างรู้หน้าที่ เพื่อไม่ให้โดนมีดผ่าตัดปาดคอ 


 


 


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 322 ฆาตกรรมอำพราง  


 


 


สวีอันหรานเสยผมนุ่มหน้าม้านิ่มๆ ของเหยียนเค่อแล้วเอ่ยถาม “นายไปทำอะไรมา ถึงเหนื่อยจนดูไม่ได้ขนาดนี้” 


 


 


เหยียนเค่อเงียบ 


 


 


“หลับแล้วเหรอ” สวีอันหรานจิ้มเข้าที่ผิวนุ่มละเอียดของเหยียนเค่อ ความรู้สึกที่ได้สัมผัสช่างดีเหลือเกิน 


 


 


เมื่อก่อนซย่าเสี่ยวมั่วก็เคยจับ จึงรู้ว่าผิวของเหยียนเค่อดีขนาดไหน เมื่อเห็นแล้วก็รู้สึกคันไม้คันมืออยากจับบ้าง 


 


 


“ไสหัวไป” คิ้วตวัดขยับขึ้น ริมฝีปากบางพ่นคำหนึ่งออกมา 


 


 


“ไม่ได้หลับหรอกเหรอ งั้นเราไปเที่ยวหนานซานกันไหม” สวีอันหรานนี่ชอบพูดแต่เรื่องที่ไม่ควรพูดจริงๆ 


 


 


เหยียนเค่อยืดตัวขึ้น “ฉันว่าช่วงนี้นายชอบท้าทายขีดความอดทนของฉันมากเลยนะ” 


 


 


“เฮ้ ใครอนุญาตให้นายใช้น้ำเสียงแบบนี้พูดกับแฟนฉันหา” สวีรั่วชีต้องปกป้องเข้าข้างเขาอยู่แล้ว รู้สึกเจ็บใจแทนสวีอันหรานขึ้นมาทันที 


 


 


เหยียนเค่อกุมหน้าผาก คู่นี้นี่มันเหมาะสมกันจริงๆ ทำตัวไร้เหตุผลกันทั้งคู่ 


 


 


“ให้มันน้อยๆ หน่อย ยายคนที่มีแฟนแต่ไม่มีมนุษยธรรม เมื่อกี้ตอนฉันจะเรียกเธอ เธอทำอะไรอยู่หา” ซย่าเสี่ยวมั่วขุดเอาเรื่องของสวีรั่วชีขึ้นมาพูดอีกครั้ง 


 


 


“หุบปากไปเลย!” สวีรั่วชีไม่กล้าตะคอกใส่ซย่าเสี่ยวมั่ว รู้สึกกินปูนร้อนท้อง 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วเป็นคนที่อยู่ชั้นบนสุดของห่วงโซ่อาหารนี้ เธอกลอกตามองเขา “ฉันจะกลับไปนอน” 


 


 


“เอาแต่นอนทั้งวันเลยนะเธอ นอกจากนอนนี่ทำอะไรเป็นบ้าง” 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วพูดแขวะตัวเอง “กินไง” เมื่อพูดจบก็มองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า “ไม่เหมือนเธอหรอก จู๋จี๋ไม่เลือกที่” 


 


 


สวีรั่วชีโมโหเพราะความเขินจนจะบ้าตายอยู่แล้ว จึงดันซย่าเสี่ยวมั่วออกไป “ไปนั่งตรงนั้นเลย ฉันจะนั่งกับสวีอันหราน” 


 


 


สวีอันหรานและเหยียนเค่อได้ยินไม่ชัดว่าทั้งคู่กระซิบกระซาบอะไรกัน ทำได้เพียงเดาเรื่องคร่าวๆ จากสีหน้าของสวีรั่วชี 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วที่สลับที่กับสวีอันหรานแล้วก็ยังปากร้ายไม่หยุด เพียงแต่ระดับเสียงจากที่ได้ยินกันแค่สองคน ตอนนี้ดังจนได้ยินกันทั้งสี่คนแล้ว 


 


 


สวีอันหรานเพิ่งจะรู้ว่าฝีปากที่แท้จริงของซย่าเสี่ยวมั่วไม่ได้ใช้ด่าเหยียนเค่อเท่านั้น แต่ยังใช้ด่าแฟนของเขาอีกด้วย 


 


 


สวีรั่วชีกวักมือเรียกพนักงานเพื่อสั่งกาแฟสองแก้ว ซย่าเสี่ยวมั่วแสยะยิ้ม “เมื่อคืนนอนดึกล่ะสิ” 


 


 


กาแฟมาเสิร์ฟเรียบร้อยแล้ว สวีรั่วชีสั่งกาแฟดำ ซย่าเสี่ยวมั่วประคองชานมของตัวเองและแสยะยิ้มต่อ “ไม่คิดจะเก็บเด็กไว้หรือไง” 


 


 


สวีอันหรานช่วงเติมน้ำตาลก้อนลงในกาแฟให้สวีรั่วชี ซย่าเสี่ยวมั่วกุมหน้าผาก “พอแต่งงานแล้วสมองก็เปลี้ยเลยนะ” 


 


 


เหยียนเค่อมองสวีอันหรานที่อยากปกป้องแฟนตัวเองแต่ก็ไม่อยากไปต่อล้อต่อเถียงกับซย่าเสี่ยวมั่วแล้วอยากจะหัวเราะ ยกมือตบศีรษะของซย่าเสี่ยวมั่ว “กินของเธอไปเถอะน่า กินไปคุยไป เดี๋ยวก็สำลักตายหรอก” 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วเพิ่งดูดน้ำมะพร้าวไปคำหนึ่งก็โดนเขาตบหัวเข้าให้ จึงสำลัก เกือบจะพ่นชานมออกมา หลังจากฝืนกลืนลงไปแล้วก็ไอโขลกเสียงดังสนั่น 


 


 


“เอ่อ…” เหยียนเค่อชะงักไป มือที่ตบหัวของเธอหยุดค้างอยู่กลางอากาศ ก่อนจะเลื่อนลงไปลูบหลัง “เธอไม่เป็นไรนะ?” 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วตีเข้าที่แผงอกของเขา แล้วตวัดตามองอย่างโมโห โกรธแค้นอะไรกันนักหนา ถึงมาทำกับเธอแบบนี้! 


 


 


เหยียนเค่อไม่ได้ตั้งใจจริงๆ ยื่นมือไปดึงกระดาษทิชชูมาเช็ดน้ำตาให้เธอ 


 


 


สวีรั่วชีนั่งสะใจอยู่ข้างๆ “คงไม่ได้ไอแพร่เชื้ออะไรออกมาใช่ไหม” 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วไอโขลกอยู่พักหนึ่งจึงดีขึ้น ก่อนจะหยัดตัวตรงแล้วหายใจเข้าลึก 


 


 


เหยียนเค่อรินน้ำอุ่นให้เธอ ซย่าเสี่ยวมั่วดื่มน้ำเข้าไปอีกหลายอึกจากแก้วในมือของเหยียนเค่อ ภายในลำคอจึงดีขึ้นกว่าเมื่อครู่ 


 


 


สวีรั่วชีมองเหยียนเค่อที่กังวลกับท่าทีของซย่าเสี่ยวมั่วก็ไม่ยิ้มสะใจอีก ก่อนจะเสนอ “เดี๋ยวออกไปกินข้าวเที่ยงกันเถอะ” 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วดื่มน้ำ ยังรู้สึกคอแห้งอยู่ “ฉันอยู่กับผู้หญิงร้ายกาจแบบเธอต่อไปไม่ได้แล้ว ฉันจะกลับบ้านไปนอน” 


 


 


เธอยกมือขึ้นจับมือของเหยียนเค่อที่ยังลูบหลังเธออยู่ให้หยุด “มีแต่คนคิดจะทำร้ายข้า มีแค่เตียงเท่านั้นที่น่าเชื่อถือ” 


 


 


“อย่ามาไร้สาระ ไปกินข้าวกัน ไม่แกล้งเธอแล้วน่า” สวีรั่วชีร้องขอแกมบังคับ 


ตอนที่ 323 ไม่กล้า 


 


 


คำพูดเมื่อกี้ของซย่าเสี่ยวมั่วพูดราวกับว่าเหยียนเค่อจงใจทำร้ายเธออย่างไรอย่างนั้น สวีรั่วชียังดูออกว่าเหยียนเค่อไม่ได้ตั้งใจจริงๆ แถมเมื่อครู่ยังกังวลในอาการของซย่าเสี่ยวมั่วอีกต่างหาก ซย่าเสี่ยวมั่วพูดแบบนี้มันเกินไปหน่อย 


 


 


เหยียนเค่อถูกปัดมือออกก็ไม่อธิบายอะไร ไม่แสดงความเห็นเกี่ยวกับเนื้อหาที่พวกเขาพูดคุยกัน 


 


 


“ไปกัน” 


 


 


เมื่อทั้งสี่เดินมาถึงหน้าประตูร้าน ก็แยกกันไปสองทาง 


 


 


“ฉันมีของจะให้นาย” จู่ๆ เหยียนเค่อที่เดินตามอยู่ข้างหลังก็เอ่ยปาก 


 


 


สวีอันหรานมองเขาอย่างงุนงง “ให้ฉัน?” 


 


 


“อืม” 


 


 


ขณะที่สวีอันหรานกำลังจะพูดว่า ‘นายค่อยให้ฉันตอนกินข้าวแล้วกัน’ เหยียนเค่อก็ก้าวเดินนำหน้าเขาไปเสียแล้ว 


 


 


พวกเขาเพิ่งเดินมาถึงหน้าประตู เหยียนเค่อก็ขับรถมาจอดข้างหน้าร้านแล้ว เปิดกระจกรถแล้วยื่นของให้สวีอันหราน 


 


 


“นายพาซย่าเสี่ยวมั่วไปละกัน ฉันจะไปกับสวีรั่วชี” สวีอันหรานรับมาแล้วพลิกเปิดดูของสิ่งนั้นคร่าวๆ “ฉลองความสำเร็จให้นายไง” 


 


 


“ไม่ล่ะ ฉันไม่ไป กลับก่อนล่ะ” กระจกรถค่อยๆ เลื่อนขึ้นปิด ใบหน้าขาวงดงามประดุจหยกค่อยๆ ถูกปิดกั้นด้วยกระจกสีดำ 


 


 


สวีอันหรานขยับไปข้างๆ เรื่องที่เหยียนเค่อไม่อยากทำ ใครก็ไปบีบบังคับเขาไม่ได้ ทำได้เพียงปล่อยให้เขาจากไป 


 


 


รถ Aston Martin one 77 รูปทรงปราดเปรียวดุจลูกศรอันว่องไวขับลับเข้าไปในฝูงรถที่วิ่งแล่นไปมา 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วเห็นเขากลับไปแล้วก็รู้สึกโล่งอก แต่ขณะเดียวกันก็รู้สึกเหมือนอะไรบางอย่างขาดหายไป 


 


 


สวีรั่วชีรั้งเธอไว้ “เมื่อกี้เธอพูดเกินไปหน่อยนะ” 


 


 


“เมื่อกี้ฉันพูดอะไรเหรอ” ซย่าเสี่ยวมั่วมองเธออย่างงุนงง “ที่ฉันด่าเธอน่ะนะ?” 


 


 


สวีรั่วชีหยิกเข้าที่เนื้อหลังมือของเธอ “เมื่อกี้ที่เธอว่าเหยียนเค่อไง” 


 


 


“ฉันไม่ได้ว่าเหยียนเค่อสักหน่อย ฉันจะไปกล้าว่าเขาได้ไง” ซย่าเสี่ยวมั่วไม่อยากจะเชื่อ 


 


 


ถึงเธอจะกล้าแค่ไหน แต่ก็ไม่กล้าด่าเหยียนเค่อหรอก 


 


 


“เมื่อกี้เธอบอกว่ามีแต่คนชั่วจะทำร้ายเธอ ก็ว่ากระทบเหยียนเค่อไม่ใช่หรือไง” 


 


 


“ใครว่ากระทบเขาเหรอ” ซย่าเสี่ยวมั่วก็แค่หลุดปากเผลอพูดออกมาเท่านั้น ไม่ได้พุ่งเป้าไปที่ใครเลย 


 


 


“เธอไม่ได้หมายถึงเขาเหรอ” 


 


 


“ฉันด่าเธอ ไม่ได้ด่าเขาสักหน่อย” ซย่าเสี่ยวมั่วยืนยัน เธอรู้ว่าเหยียนเค่อไม่ได้ตั้งใจ จะไปว่าเขาได้อย่างไรเล่า 


 


 


สวีอันหรานได้ฟังคำอธิบายของซย่าเสี่ยวมั่วแล้วก็รู้สึกงงเป็นอย่างมาก “เมื่อกี้เธอดันเขาออก แถมยังพูดแบบนั้นอีก ไม่ให้คนคิดมากก็คงยาก” 


 


 


คนใจใหญ่อย่างซย่าเสี่ยวมั่วปกติจะไม่เก็บคำพูดของคนอื่นมาคิดมากอยู่แล้ว 


 


 


สวีอันหรานยิ้มอ่อน “เขากลับไปแล้ว จะพูดอีกก็ไม่มีประโยชน์ หลายวันก่อนเขาเป็นไข้ แถมยังต้องไปคุยเรื่องสัญญาอีก วันนี้เช้าเพิ่งจะกลับมา ให้เขากลับไปพักผ่อนก็ดี” 


 


 


คำพูดของสวีอันหรานฟังแล้วเหมือนเป็นการปลอบโยนซย่าเสี่ยวมั่ว แต่ความจริงนั้นทำให้ซย่าเสี่ยวมั่วรู้สึกละอายใจมากขึ้นกว่าเดิมเสียอีก 


 


 


ป่วยแล้วต้องไปทำงาน แถมยังมาโดนเขาทำร้ายจิตใจอีก…น่าสงสารขนาดไหนกันนะ ซย่าเสี่ยวมั่วรู้สึกผิดบาปในใจ 


 


 


“ฉันไม่ได้ตั้งใจจริงๆ นะ” 


 


 


“เมื่อกี้เหยียนเค่อก็ไม่ได้ตั้งใจเหมือนกัน” สวีรั่วชีสะบัดผมของตน 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วพยักหน้า “ฉันรู้ว่าเขาไม่ได้ตั้งใจ ดังนั้นคำที่ฉันพูดไปไม่ได้พุ่งเป้าไปที่เขา” เธอดึงแขนเสื้อของตัวเอง “ถ้าเขาจงใจ ฉันจะมีชีวิตอยู่มาจนถึงตอนนี้เหรอ” 


 


 


“ก็จริง โง่ๆ อย่างเธอน่ะ” สวีรั่วชีคล้องแขนเธอให้เดินออกไปด้านนอก 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วพึมพำ “เมื่อก่อนเขาก็ไม่ได้ใจน้อยขนาดนี้นี่นา…” 


 


 


เหยียนเค่อรู้สึกแย่เพราะคำพูดนั้นของซย่าเสี่ยวมั่วจริงๆ ไม่ว่าซย่าเสี่ยวมั่วจะพูดไปด้วยความตั้งใจหรือไม่ก็ตาม แต่คำพูดนั้นทำให้เขามีความรู้สึกตำหนิตัวเองไม่มากก็น้อย 


 


 


ดังนั้นไม่ต้องเห็นหน้าดีกว่าจะได้ก็ไม่รำคาญใจ คนใจร้ายบางคนจะได้ไม่เห็นเขาเหมือนเห็นศัตรู 


 


 


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 324 เปลี่ยนใจกลางคัน 


 


 


สวีอันหรานกับสวีรั่วชีมาเป็นคู่ ส่วนเธอก็มาเป็นก.ข.ค.อย่างเห็นได้ชัด ซย่าเสี่ยวมั่วรู้สึกไม่เป็นตัวเอง จึงว่าจะขอตัวกลับก่อน 


 


 


“เมื่อกี้เธอไม่กลับกับเหยียนเค่อ ตอนนี้เธอจะใช้ทักษะการขับรถที่ห่วยกว่าคนธรรมดานี้ขับกลับบ้านเหรอ” 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วมองถนนที่มีรถแล่นขวักไขว่ เธอไม่กล้าขับรถขึ้นถนนหรอก และก็ไม่ได้คาดหวังกับคนคู่นี้ด้วย “ฉันนั่งรถเมล์กลับแล้วกัน” 


 


 


“ไม่ต้องเลย จะอายอะไรกัน” สวีรั่วชีเชยคางเธอด้วยสีหน้าท่าทางเหมือนพวกนักเลง 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วเลิกคิ้ว “นี่เป็นคำพูดที่ฉันพูดกับเธอเมื่อกี้ไม่ใช่หรือไง” 


 


 


“ไสหัวไปเลย” สวีรั่วชีนึกถึงเรื่องเมื่อครู่ก็รู้สึกอายขึ้นมาอีกครั้ง 


 


 


เหยียนเค่อรถติดอยู่กลางทางก็ได้รับโทรศัพท์จากสวีอันหรานให้เขากลับมารับซย่าเสี่ยวมั่ว 


 


 


“นายบ้าหรือเปล่า” เหยียนเค่อขมวดคิ้วด้วยใบหน้าเย็นชา 


 


 


สวีอันหรานสาปแช่งในใจ “นายคงไม่ได้ถึงบ้านแล้วหรอกนะ” 


 


 


“ฉันเพิ่งขับไปได้สองแยก รถติดอยู่ ให้เขาเดินมา” เหยียนเค่อพูดจบก็จะตัดสาย แต่ก่อนจะตัดสายก็เปลี่ยนใจกะทันหัน “ช่างเถอะ เดี๋ยวฉันวนรถกลับไปรับ” 


 


 


สวีอันหรานรู้แต่แรกแล้วว่าเขาต้องเปลี่ยนใจ ก็ไม่กล้าหยอกล้อเขาในตอนนี้ “ได้ รออยู่หน้าประตูนะ” 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วอยากพูดอะไรสักอย่างกับสวีรั่วชี แต่ก็ไม่ได้พูดออกมา สุดท้ายก็ยอมรับแต่โดยดี ทว่าเธอไม่คิดว่าสวีรั่วชีจะไม่เสียเวลามาอยู่รอเหยียนเค่อเป็นเพื่อนเธอเลย 


 


 


ตอนเหยียนเค่อกลับมาก็เห็นซย่าเสี่ยวมั่วยืนเหม่ออยู่คนเดียว ถ้ามีภาพประกอบล่ะก็ คงจะมีใบไม้ใบหนึ่งพัดปลิวอยู่ตรงหน้าของซย่าเสี่ยวมั่วแน่นอน 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วออกจากภวังค์เพราะเสียงแตรของรถยนต์ เงยหน้าขึ้นมองปราดหนึ่ง ก่อนจะก้มหน้าลงตามเดิม จึงจะนึกขึ้นได้ว่านี่เป็นรถของเหยียนเค่อ ทันใดนั้นวิธีการที่จะใช้รับมือกับเขาในสมองก็แหลกสลายกลายเป็นจุณ 


 


 


“ขึ้นรถ” กระจกรถลดลงมานิดหนึ่ง ซย่าเสี่ยวมั่วเห็นเพียงดวงตาของเหยียนเค่อเท่านั้น 


 


 


เหยียนเค่อมองเธอเดินอ้อมมาขึ้นรถ 


 


 


“เธอจะไปไหน” 


 


 


“กลับบ้าน” 


 


 


“บ้านไหน” 


 


 


“บ้านฉัน” ซย่าเสี่ยวมั่วจ้องมองเครื่องประดับที่แขวนไว้ตรงกระจกมองหลัง มือเกาแกะสายกระเป๋าถืออย่างประหม่า 


 


 


เหยียนเค่อเห็นเธอไม่กล้าขยับเขยื้อนก็เริ่มหงุดหงิด “ทำไม กลัวฉันเหรอ” 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วยังไม่กดคางลง เหยียนเค่อก็พูดขู่ขึ้นก่อน “ถ้าเธอกล้าพยักหน้าเธอตายแน่” 


 


 


ศีรษะของซย่าเสี่ยวมั่วค้างเติ่งอยู่ที่เดิมไม่กล้าขยับเขยื้อน ทำเพียงครางอืมตอบกลับอย่างน่าสงสาร 


 


 


“เธอยังกล้า ‘อืม’ อีกเหรอ” เหยียนเค่อเหลือบหันมามองเธอปราดหนึ่ง จึงขับเลยไฟแดงมา 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วจับเข็มขัดนิรภัยไว้แน่น “นายขับรถดีๆ ได้ไหม อย่ามาคุยกับฉัน!” 


 


 


เหยียนเค่อเหยียบคันเร่งจนมิด เพิ่มความเร็วขึ้นเรื่อยๆ ทำเอาซย่าเสี่ยวมั่วหวาดผวาจนหลังแนบกับพนักเก้าอี้ มือหนึ่งกำเข็มขัดนิรภัยไว้แน่น ส่วนอีกมือก็ดึงแขนของเหยียนเค่อไว้ไม่ปล่อย 


 


 


“นายช้าหน่อย! ฉันผิดไปแล้ว!” เสียงของซย่าเสี่ยวมั่วสั่นระริก 


 


 


เหยียนเค่อรับประกันความปลอดภัยในชีวิตของซย่าเสี่ยวมั่วได้แน่นอนอยู่แล้ว เห็นท่าทางของซย่าเสี่ยวมั่วที่ไม่ไว้วางใจในตัวเองก็รู้สึกไม่สบายใจ จึงค่อยๆ ลดความเร็วรถลง 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วมองทิวทัศน์นอกหน้าต่างที่ค่อยๆ มองเห็นได้ชัดขึ้น มือที่ดึงแขนเสื้อของเหยียนเค่อไว้ก็คลายลง 


 


 


เมื่อความร้อนที่แขนเสื้อมลายไปก็รู้สึกถึงความเย็นชื้นเหงื่อ 


 


 


“ยังกลัวอยู่ไหม” 


 


 


ถามบ้าๆ ซย่าเสี่ยวมั่วเหงื่อแตกซ่กแล้ว แต่พวงมาลัยยังอยู่ในมือเขาอยู่จึงทำได้เพียงส่ายหัว “ไม่” 


 


 


เหยียนเค่อเอ่ยหยอก “งั้นฉันขับเร็วขึ้นหน่อยนะ?” 


 


 


“ไสหัวไปเลย!” ซย่าเสี่ยวมั่วชกเข้าที่ต้นแขนของเขา “ฉันจะลงรถ!” เธอโมโหแล้วจริงๆ ที่เขากล้าเอาชีวิตมาล้อเล่นแบบนี้ 


 


 


เหยียนเค่อเห็นว่าด้านหลังไม่มีรถ จึงแฉลบออกไปจอดลงข้างถนน 


ตอนที่ 325 ประกาศข่าว 


 


 


คนที่จะลงจากรถอยากจะกัดลิ้นตัวเองนัก 


 


 


นี่มันที่ไหนเธอยังไม่รู้เลย ถ้าเขาปล่อยเธอทิ้งจริงๆ เธอคงเดินกลับบ้านไม่ถูกแน่นอน… 


 


 


เหยียนเค่อหยิบโทรศัพท์ที่กำลังสั่นมาจากคอนโซลหน้ารถ 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วกระหยิ่มยิ้มย่องในใจ ที่แท้แค่จะรับโทรศัพท์นี่เอง 


 


 


น้ำเสียงเยียบเย็นของเหยียนเค่อเหมือนกับน้ำแข็งกะละมังใหญ่ที่เทราดลงบนศีรษะของเธอ “ลงรถ” 


 


 


ณ วินาทีนี้ซย่าเสี่ยวมั่วอยากจะทุบเขาแล้วบอกว่า ‘นายมันใจร้าย ไร้สาระ ไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย’ แต่เธอไม่กล้า ทำได้เพียงเปิดประตูอย่างหวาดกลัว เมื่อเห็นว่าประตูไม่ได้ปลดล็อกก็หันไปเตือน 


 


 


เหยียนเค่ออย่างหดหู่ “นายยังไม่เปิดประตู” 


 


 


ไม่รู้ว่าเหยียนเค่อรับโทรศัพท์จากใคร ตลอดสายนั้นไม่ได้ปริปากพูดเลยสักคำ มีเพียงคำว่า ‘อืม’ ในตอนท้ายก่อนจะกดตัดสายเท่านั้น 


 


 


“นายนี่ไม่มีมารยาทเอาเสียเลย” อย่างไรเสียเธอก็ต้องเดินกลับบ้านอยู่แล้ว ทำให้เขาโมโหหน่อยก็คงไม่เป็นไรหรอก 


 


 


“เธอยังกล้าพูดอีกเหรอ” เมื่อพูดถึงเรื่องนี้แล้ว เหยียนเค่อก็โมโหขึ้นมา “หลายวันก่อนเธอก็วางหูใส่ฉันไม่ใช่หรือไง! แล้วตอนส่งข้อความมา คำสุดท้ายเธอพูดกับฉันว่ายังไงนะ?” 


 


 


“เอ่อ…” ไม่รู้ว่าความรู้สึกใจฝ่อนี้ผุดขึ้นมาจากไหน 


 


 


เหยียนเค่อโยนโทรศัพท์ลงบนหน้าท้องของเธอ “ลองคิดดูดีๆ แล้วกัน” 


 


 


ฉันต้องเป็นคนสั่งสอนเขาไม่ใช่หรือไง ทำไมถึงเป็นฝ่ายโดนสั่งสอนเขาแทนล่ะ ซย่าเสี่ยวมั่วหยิบโทรศัพท์บนตัวกลับไปวางให้เขาที่เดิม “นายไม่ได้เปิดประตู” 


 


 


“สวีอันหรานให้เรากลับไป” 


 


 


“ทำไม” 


 


 


เหยียนเค่อไม่ต้องเดาก็ยังรู้ความประสงค์ของสวีอันหรานเลย แต่ยายโง่นี่กลับถามด้วยหน้าตาจริงจังว่า ‘ทำไม’ เสียอย่างนั้น 


 


 


หรือจะให้เขาบอกว่า ‘ก็สวีอันหรานให้เธอมาง้อฉันเสร็จแล้วก็จะให้ฉันกลับไปงั้นเหรอ’ 


 


 


“เธอโง่หรือเปล่าเนี่ย” 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วไม่อยากรู้คำตอบแล้ว “ฉันจะลงรถ” 


 


 


เหยียนเค่อโยนโทรศัพท์ให้เธอ “เชื่อมบลูทูธ ฉันขอพักสักหน่อย” 


 


 


การต่อต้านของเธอไม่เป็นผล จำต้องเปิดโทรศัพท์เพื่อเชื่อมต่อบลูทูธ 


 


 


เหยียนเค่อกลับไปทางเดิม ซย่าเสี่ยวมั่วหัวใจสั่นระรัวกลัวว่าเขาจะขับรถเร็วอีก ถือโทรศัพท์ไว้ในมือแล้วถามเขา “นายอยากฟังอะไรเหรอ” 


 


 


“มีประกาศข่าวอยู่” 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วกดเล่นประกาศข่าวของเมือง N เมื่อหลายวันก่อนอย่างอิดออด 


 


 


ลำโพงรถส่งเสียงไพเราะของผู้ประกาศออกมา ซย่าเสี่ยวมั่วคาดไม่ถึง เหยียนเค่อเองก็ยิ่งคาดไม่ถึงกับเนื้อหาข่าวในครั้งนี้ 


 


 


[โครงการเปิดภูเขาหนานซานได้ดำเนินการขึ้นอีกขั้น บริษัท YAN บริษัทบันเทิงชื่อดังของเมือง N ได้ร่วมมือกันอย่างเป็นทางการกับทางสนามบินหนานซานในช่วงเช้าของวันนี้ โดยการเซ็นสัญญาการเช่าเก้าสิบปี นี่…] 


 


 


“เปลี่ยนซิ” ไม่ใช่ครั้งแรกที่เหยียนเค่อได้ยินข่าวที่เกี่ยวกับบริษัทของตน หรือข่าวที่เกี่ยวกับตนโดยตรง แต่ให้ซย่าเสี่ยวมั่วมารู้เรื่องพวกนี้ด้วยแล้วก็รู้สึกแตกต่างออกไป 


 


 


“วันนั้นฉันดูรายการข่าวสดแล้ว” ซย่าเสี่ยวมั่วบอกเขาอย่างไม่ยี่หระ 


 


 


เขายังนึกว่าซย่าเสี่ยวมั่วฟังแล้วจะหัวเราะ ‘เหอะๆ’ ออกมาเสียอีก นึกไม่ถึงว่าจะเคยได้ยินมาแล้ว 


 


 


“โดนบังคับน่ะ” ตอนที่ซย่าเสี่ยวมั่วเห็นข่าวก็หัวเราะ ‘เหอะๆ’ ออกมาเหมือนกัน “บริษัทเราเปิดคลิปข่าววนไปวนมาตั้งสองวัน” 


 


 


ตอนนั้นซย่าเสี่ยวมั่วถามอันหร่านว่าทำไมบริษัทถึงเป็นบ้าแบบนี้ แต่อันหร่านก็ไม่รู้เช่นกัน 


 


 


เหยียนเค่อคิดว่าเขาเงียบปากไว้เป็นดีที่สุด 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วเปลี่ยนเป็นประกาศข่าวบันเทิงที่ตนชอบ “งั้นเราฟังอันนี้ก็แล้วกัน เรื่องราวหลังจากที่ดาราชายที่กำลังโด่งดังคบกับดาราเด็กที่เด็กกว่าเขาหลายปี” 


 


 


“มีแฟนก่อนวัยอันควรเหรอ” 


 


 


“ฮะ? โตเป็นผู้ใหญ่กันหมดแล้วนะ” 


 


 


“เธอบอกว่าเป็นดาราเด็กไม่ใช่เหรอ” 


 


 


“ก็ใช่ไง เมื่อก่อนเขาเป็นดาราเด็ก แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่โตเสียหน่อย” ซย่าเสี่ยวมั่วไม่ยอมรับว่าที่ตนพูดก็มีส่วนผิด ฟังนักข่าวก็อซซิปตามไปรายงานสถานการณ์อย่างกระชั้นชิดด้วยความสนอกสนใจ 


 


 


“เธอสนใจดาราชายคนนั้นเหรอ” 


 


 


“ไม่หรอก” ซย่าเสี่ยวมั่วส่ายหัวทันที ออร่าหน้าตายังดีไม่เท่าเหยียนเค่อเลย 


 


 


“งั้นเธอก็สนใจผู้หญิงน่ะสิ?” 


 


 


“ก็ไม่ใช่หรอก” หน้าตาก็ไม่ได้สวยเท่าสวีรั่วชีเลย ซย่าเสี่ยวมั่วลูบคาง แล้วคิดวิเคราะห์ “ฉันก็แค่สนใจเรื่องพวกเขาสองคนเท่านั้นแหละ” 


 


 


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 326 เนรคุณ 


 


 


เหยียนเค่อฟังข่าวก็อซซิปตลอดทาง ตอนลงรถก็ยังมึนๆ นิดหน่อย 


 


 


“ที่นี่ที่ไหนเนี่ย จะไปหาสวีอันหรานไม่ไม่ใช่เหรอ” ซย่าเสี่ยวมั่วดึงแขนเสื้อเขา รู้สึกว่าเขามาผิดทาง 


 


 


“สวีอันหรานจะมาเลี้ยงข้าวที่นี่” เหยียนเค่อปล่อยให้เธอดึง ก่อนจะเดินเลี้ยวเข้าไปด้านใน 


 


 


ในตรอกซอยอันเงียบงัน กำแพงสีขาวหลังคากระเบื้องสีดำที่เรียงรายกันอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ถ้าซย่าเสี่ยวมั่วไม่ดึงแขนเหยียนเค่อไว้คงจะเดินหลงทางจริงๆ 


 


 


เหยียนเค่อง่วงมาก ยกมือขึ้นนวดขมับตัวเอง “กินข้าวเสร็จแล้วฉันจะไปส่งเธอกลับ” 


 


 


“สวีรั่วชีไม่ปล่อยฉันไว้อย่างนั้นหรอก” ซย่าเสี่ยวมั่วมองทะลุปรุโปร่งถึงนิสัยที่ฝังลึกอยู่ในใจของ 


 


 


สวีรั่วชี แต่ความรู้สึกตระการตาในสิ่งก่อสร้างเหล่านี้นั้นมีมากกว่าความกลัวที่มีต่อสวีรั่วชีแล้ว 


 


 


“นี่เป็นกลุ่มสิ่งก่อสร้างเก่าที่ยังเหลืออยู่ที่ตอนเหนือของเมือง เมื่อก่อนตอนปรับปรุงสิ่งปลูกสร้างใหม่ก็ถูกเก็บรักษาไว้แล้ว” เหยียนเค่อคุ้นเคยกับพื้นที่นี้ดี “บ้านของเสิ่นจิ้งเฉินอยู่ที่ตอนเหนือของเมือง ดังนั้นที่นี่ก็มีถิ่นของเขาอยู่ด้วย” 


 


 


นอกจากรู้ว่าเสิ่นจิ้งเฉินบ้านอยู่ตอนเหนือของเมืองแล้ว ซย่าเสี่ยวมั่วก็ไม่รู้อะไรเลย ทำได้เพียงยืนพยักหน้าอยู่ข้างๆ 


 


 


การหลอกถามของเหยียนเค่อไม่สำเร็จ เริ่มสงสัยในสติปัญญาของตนเสียแล้ว คนโง่อย่างซย่าเสี่ยวมั่ว ไม่ว่าจะพูดอะไรก็มีท่าทีแบบนี้หมด การหลอกถามอ้อมๆ นั้นไม่มีประโยชน์เลย 


 


 


เหยียนเค่อพาซย่าเสี่ยวมั่วเดินเข้าไปในตัวบ้านที่มีกลิ่นอายของความโบราณ ในเรือนที่ไม่ใหญ่นักวางล้อมไปด้วยกระถางต้นไม้ ในเรือนหลักที่ตั้งอยู่ตรงข้ามหน้าประตูใหญ่มีโต๊ะเก้าอี้ไม้เก่าแก่ตั้งอยู่ หน้าเรือนมีซุ้มเถาองุ่นตั้งไว้ บริเวณชายคาแขวนกระดิ่งทองแดงและกระเบื้องสีดำที่มีตะไคร่ขึ้น 


 


 


“ว้าว” 


 


 


“สวยเหรอ” เหยียนเค่อถามขึ้นเมื่อเห็นสีหน้าประหลาดใจของเธอ 


 


 


“เก่าจังอะ” ซย่าเสี่ยวมั่วไม่อยากตอบให้ตรงกับความต้องการของเขา ถึงปากจะบอกว่าเก่าแต่สีหน้ากลับเปี่ยมไปด้วยความพึงพอใจ 


 


 


เหยียนเค่อพาเธอเดินอ้อมไปทางซุ้มดอกไม้ที่อยู่ด้านหลัง มองผ่านดอกไม้ต้นไม้ที่ร่วงโรยก็เห็น 


 


 


สวีอันหรานกับสวีรั่วชีกำลังนั่งดื่มชาอยู่ด้านใน 


 


 


“ตรงนี้เพิ่งสร้างทีหลังใช่ไหม” ข้างหน้ากับข้างหลังไม่ได้ไปทิศทางเดียวกันเลย 


 


 


“อืม” เหยียนเค่อ “ประวัติของเรือนนี้จะยาวนานกว่า ส่วนซุ้มศาลานี้จะสร้างขึ้นหลังๆ หน่อย” 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วพึมพำ “แต่ก็ดูยาวนานทั้งคู่” 


 


 


เหยียนเค่อคอยระวังให้เธอเดินก้าวข้ามขั้นบันไดหินที่สูงเกือบเมตร แต่ซย่าเสี่ยวมั่วก็ขาสั้นเกินไป แถมชายกระโปรงยังค่อนข้างรัดรูป ทำให้ก้าวข้ามไปไม่ได้ 


 


 


“ทำไมสูงจังอะ!” เธอต้องใช้มือกับเท้าคลานจึงจะคลานขึ้นไปได้ 


 


 


เหยียนเค่อยกขาก้าวข้ามไปอย่างสบายๆ มองซย่าเสี่ยวมั่วที่ศีรษะอยู่เท่าเข่าตัวเองแล้วรู้สึกประสบความสำเร็จ “ขอร้องฉันสิ ฉันจะพาเธอเดินขึ้นไป” 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วยอมใช้มือและเท้าคลานขึ้นไปดีกว่ายอมขอร้องเขา “ฝันไปเถอะ” 


 


 


“เฮ้อ” เหยียนเค่อมองท่าทางตะเกียกตะกายของเธอแล้วก็ถอนหายใจ ขยับไปด้านหลังแล้วค่อยๆ ย่อตัวลงแล้วยื่นมือไปทางเธอ 


 


 


“ทำอะไร” 


 


 


“เอามือคล้องคอฉัน เดี๋ยวฉันจะอุ้มเธอขึ้นไป” สายตาของเหยียนเค่อเหมือนคนมองคนเอ๋ออย่างไรอย่างนั้น 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วปัดเศษหินที่ติดอยู่บนฝ่ามือ เตรียมตัวจะพาดมือลงบนร่างของเขา 


 


 


“เธอจับข้อมือของตัวเองไป ห้ามมาจับตัวฉัน!” 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วขบฟัน สังขารไม่เอื้อแล้วยังมาโดนเขาด่าอีก อยากจะกดหน้าเหยียนเค่อลงกับพื้นดินจริงๆ 


 


 


เธอยังคิดจินตนาการในใจอยู่ แขนทรงพลังสอดเข้าไปใต้รักแร้ของเธอ ก่อนจะยกขึ้นอุ้มเธอเอาไว้ 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วรู้สึกได้ถึงความอุ่นของฝ่ามือตรงแผ่นหลังกับบริเวณเอวก็ชะงักไป เมื่อทั้งสองคนสบตากันก็ค่อยๆ ยกมือขึ้นสัมผัสหน้าของเขา… 


 


 


“ซย่าเสี่ยวมั่ว!” เหยียนเค่ออยากจะโยนเธอลงไปด้วยความโมโห 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วขยิบตาอย่างซุกซน “รู้สึกถึงกลิ่นหอมของดินโคลนใช่ไหมล่า” 


 


 


“ฟู่ว” เหยียนเค่อพ่นลมหายใจออกมายืดยาว ห้ามความคิดที่อยากจะบีบคอเธอไว้แล้ววางเธอลง ก่อนจะเดินเข้าไปหาน้ำด้านใน 


ตอนที่ 327 ล้างมือข้างน้ำพุ 


 


 


สวีอันหรานและสวีรั่วชีอยู่ตั้งไกลก็ยังได้ยินเสียงโกรธเคืองของเหยียนเค่อ 


 


 


“ฉันไม่เคยได้ยินเหยียนเค่อตะคอกใส่ใครแบบไม่สนใจภาพลักษณ์แบบนี้มาก่อนเลย” ซย่าเสี่ยวมั่วมีชีวิตอยู่มาได้อย่างไรกันเนี่ย 


 


 


สวีรั่วชีเอามือเท้าคาง รู้สึกเห็นด้วยสุดๆ กับปฏิกิริยาตอบรับของเหยียนเค่อ “บางครั้งฉันรู้สึกแบบนี้กับซย่าเสี่ยวมั่ว อยากจะหยิบมีดมาฆ่าเขานัก” 


 


 


สวีอันหรานยิ้มบางๆ “งั้นการที่เขามีชีวิตอยู่รอดมาได้คงเป็นเรื่องมหัศจรรย์” 


 


 


“ฉันจำได้ว่าตอนเด็กๆ ซย่าเสี่ยวมั่วชอบทำเรื่องโง่ๆ อย่างเลี้ยงปลาในนม ปลูกต้นไม้ในยาฆ่าแมลง…คนอารมณ์ดีอย่างคุณลุงซย่ายังโมโหเขาเลย” สวีรั่วชีนึกถึงแสงสว่างเพียงเล็กน้อยในวัยอันมืดดำเหล่านั้นที่เธอไม่อยากจดจำ 


 


 


สวีอันหรานลูบผมของเธอ “เสี่ยวชีของเราฉลาดที่สุด” 


 


 


สวีรั่วชีแบมือ “แน่นอน แต่ซย่าเสี่ยวมั่วน่ะเป็นผู้หญิงแบบที่ทุกคนชื่นชอบ ฉันน่าจะฉลาดเกินไป” 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วเดินอ้อมเข้าไปในระเบียงทางเดิน ได้ยินสวีรั่วชีพูดเช่นนี้ก็เอนตัวลงพาดบนตัวของ 


 


 


สวีรั่วชี “เธอเริ่มหลงตัวเองอีกแล้วนะ เมาแล้วเหรอ” 


 


 


“เธอ…” สวีรั่วชีกำลังจะพูดก็เห็นสองมือของซย่าเสี่ยวมั่วที่เปรอะเปื้อนไปด้วยเศษฝุ่นดินโคลนสีน้ำตาล จึงหลับตาลงอย่างอดกลั้น ก่อนจะตะคอกขึ้น “ไปล้างมือเดี๋ยวนี้!” 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วที่โดนไล่ตะเพิดไปริมน้ำพุอย่างน่าสงสาร ส่วนเหยียนเค่อที่กำลังล้างหน้าอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่นั้นก็เหลือบมองเธออย่างเย็นชา ทำเอาเธอกลัวจนตัวสั่นไปหมด 


 


 


“มานี่” น้ำเสียงราบเรียบ เขาโมโหจนเลิกโมโหแล้ว 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วเขยิบเข้าไปใกล้อย่างระมัดระวัง ก่อนจะคาดเดา “นายคงไม่ได้จะผลักฉันลงน้ำหรอกใช่ไหม” 


 


 


เขาพูดเสียงดุ “ถ้าทำได้อะนะ” นิ้วที่เย็นเล็กน้อยดึงมือของเธอไว้ให้เธอย่อตัวนั่งลง 


 


 


เหยียนเค่อล้างมือให้เธอทุกซอกทุกมุม วักน้ำพุเย็นๆ วาดผ่านฝ่ามือ ส่วนนิ้วโป้งก็ขัดถูให้ 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วมองเขาที่เหมือนล้างหัวไชเท้า ค่อยๆ ขัดถูลายมือตรงฝ่ามือให้เธออย่างละเอียดลออ 


 


 


“มือฉันสกปรกขนาดนั้นเลยเหรอ” เธอไม่มีแม้แต่ความคิดดีๆ ในหัว อย่างไรเสียก็โดนท่าทางจริงจังของเหยียนเค่อทำร้ายเข้าให้แล้ว 


 


 


“สกปรกมาก” เหยียนเค่อพูดตามตรง ดึงมือที่ล้างจนสะอาดแล้วจุ่มลงไปในน้ำแล้วล้างต่อ 


 


 


“ทำไมนายไม่เอาหน้านายจุ่มน้ำแล้วล้างแบบนี้บ้างล่ะ” 


 


 


“สกปรก” เหยียนเค่อรังเกียจน้ำพวกนี้เช่นกัน เพียงแต่เพราะเป็นน้ำจากธรรมชาติก็เลยอดทนเอาไว้ 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วมองหยดน้ำที่ยังรินไหลอยู่บนใบหน้าของเขา ไล่ตามกรอบหน้างดงามมารวมกันที่บริเวณคางก่อนจะหยดร่วงลง บนหน้าผากก็มีหยดน้ำอยู่เช่นกัน เมื่อโดนแสงแดดส่องก็สะท้อนเป็นแสงเหลืองทอง 


 


 


“สกปรกแล้วนายก็ยังล้างเนี่ยนะ” 


 


 


“เทียบกับน้ำแล้ว มือเธอที่ตบหน้าฉันสกปรกกว่าอีก” เหยียนเค่อจับข้อมือของเธอแล้วขยับวาดไปมาในน้ำ 


 


 


“เชอะ!” เธอเป็นหัวไชเท้าที่สะอาดชัดๆ! 


 


 


เหยียนเค่อมองสองมือตรงหน้าของตนที่จู่ๆ ก็วักน้ำสาดขึ้นมาไม่หยุด ความเย็นบริเวณแผ่นอกทำให้มุมปากเขากระตุก 


 


 


ตอนล้างมือเหยียนเค่ออยู่ข้างหน้าเพื่อกันไม่ให้เธอตกน้ำ พอเธอวักน้ำสาดแบบนี้ ก็มีเพียงแขนของเธอที่โดนน้ำสะบัดใส่เท่านั้น นอกนั้นล้วนสาดมาโดนตัวเหยียนเค่อเต็มๆ 


 


 


เสื้อเชิ้ตสีม่วงเข้มของเหยียนเค่อถูกน้ำสาดใส่จนสีเข้มดำขึ้นกว่าเดิมแถมน้ำยังไหลลงอย่างต่อเนื่อง บริเวณลำคอล้วนมีแต่น้ำ 


 


 


“ซย่าเสี่ยวมั่ว!” เมื่อได้ยินเสียงคำรามของเหยียนเค่ออีกครั้ง ทั้งสองคนก็สบตากันปราดหนึ่ง ก่อนจะก้มหน้าก้มตาดื่มชาต่อ 


 


 


“ฉันอยากจะขอคำแนะนำจากซย่าเสี่ยวมั่วจริงๆ ว่าเขามีชีวิตอยู่ใกล้ๆ เหยียนเค่อได้อย่างไร” สวีอันหรานดมกลิ่นหอมสดชื่นของใบชา ราวกับไม่ต้องการฟังเสียงโหวกเหวกโวยวายทางด้านนั้น 


 


 


“นอกจากว่าพี่จะเป็นเขา ไม่อย่างนั้นชาตินี้ก็อย่าหวังเลย” สวีรั่วชีมองทั้งสองคนที่โหวกเหวกโวยวายก่อนจะเฉลยให้สวีอันหราน 


 


 


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 328 ตกน้ำ 


 


 


เหยียนเค่ออยากจะผลักเธอลงน้ำเสียจริง ใช้สายตาราวกับจะกัดกินจับจ้องไปที่ซย่าเสี่ยวมั่ว 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วอยากจะสลัดจากมือของเขาแล้ววิ่งออกไป แต่ยังไม่ทันดิ้นหลุดก็ถูกเหยียนเค่อดึงกลับมาเสียก่อน 


 


 


“ถ้าไม่สั่งสอนเธอฉันคงเป็นเทวดาแล้วสินะ!” 


 


 


“ฉันผิดไปแล้ว” ซย่าเสี่ยวมั่วรู้สึกว่าตนถูกเขาดึงตัวกลับ ก็นึกว่าเขาจะโยนตนลงน้ำ จึงขยับขืนตัวไปด้านหลังอย่างหวาดกลัว 


 


 


“เธอกลับมาเดี๋ยวนี้นะ!” 


 


 


พละกำลังของซย่าเสี่ยวมั่วไม่ได้มากมายเลยในสายตาของเหยียนเค่อ แค่ออกแรงนิดเดียวก็กระชากคนที่ถอยไปสองก้าวกลับมาได้ 


 


 


สุดท้าย ไม่รู้ว่าเหยียนเค่อออกแรงมากไปหรือว่าซย่าเสี่ยวมั่วตัวเบากันแน่ ว่าการตามกฎของแรงเฉื่อย ซย่าเสี่ยวมั่วก้าวพลาดไปหนึ่งก้าว เหยียนเค่อก็ยังไม่ทันได้เก็บแรงกลับมาแล้วถอยหลังไปหนึ่งก้าวเช่นกัน 


 


 


“ฮือออ ฉันผิดไปแล้วจริงๆ อย่าโยนฉันลงน้ำเลยนะ” 


 


 


เหยียนเค่อมองคนที่พาดอยู่บนตัวแล้วแสร้งร้องไห้ รวมไปถึงหินก้อนกรวดที่ตนกับซย่าเสี่ยวมั่วเหยียบอยู่ก็โมโหจนยิ้มออกมา 


 


 


“เธอโง่หรือเปล่าเนี่ย!” เหยียนเค่อมองบ่อน้ำพุที่ลึกเพียงน่องและมองคนที่ยังไม่รู้ว่าตัวเองตกลงมาในน้ำเรียบร้อยแล้ว จึงเอ่ยปากด่าออกมา 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วรู้สึกว่าบริเวณน่องเปียกเย็น ก็ยิ่งแสร้งร้องไห้หนักกว่าเดิม 


 


 


“ฮือๆๆๆ นายผลักฉันลงน้ำเหรอ” 


 


 


เหยียนเค่ออุ้มเธอขึ้นมาอย่างปวดหัว “เธออย่าแหกปากได้ไหม” 


 


 


เหยียนเค่อรู้สึกว่าตลอดทั้งวันสมองยังไม่ปลอดโปร่งเท่าตอนนี้เลย ความเปียกเย็นแผ่ซ่านไปทั้งตัว แถมยังมีเสียงโวยวายน่ารำคาญดังขึ้นที่ข้างหูอีก ความเหนื่อย, อยากนอน ต่างมลายสิ้นไปจนหมด 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วเปียกไปจนถึงขาอ่อน แต่เธอใส่กระโปรงยาว จึงไม่ได้รู้สึกแย่มากนัก ส่วนครึ่งล่างขากางเกงสูทของเหยียนเค่อนั้นแนบไปกับน่อง ในรองเท้าหนังล้วนมีแต่น้ำ รู้สึกไม่สบายตัวสุดๆ 


 


 


“นายรู้สึกไม่โอเคเหรอ” ซย่าเสี่ยวมั่วตัดสินความคิดในหัวของเหยียนเค่อจากใบหน้าเรียบนิ่งไร้ซึ่งความรู้สึกนั้น แต่ไม่กล้าแสดงออกว่าสะใจ ขยับเข้าไปนั่งอยู่ริมฝั่งเพื่อผึ่งเท้าให้แห้ง 


 


 


เหยียนเค่อบิดชายเสื้อโค้ตไหมพรมจนหมาดแล้วโยนใส่ตัวเธอ จากนั้นก็เดินจากไปโดยไม่เหลียวกลับมามองอีก 


 


 


ตอนที่เดินผ่านสวีอันหรานและสวีรั่วชี คนหนึ่งเกือบจะพ่นน้ำชาออกมา ส่วนอีกคนนั้นพ่นน้ำชาออกมาจากปากแล้วเรียบร้อย 


 


 


“เกิดอะไรขึ้น” 


 


 


“ตัวเปียกเลยเหรอ” 


 


 


ทั้งคู่มองหน้ากันเลิ่กลั่ก รู้สึกเสียดายที่ไม่ได้เข้าไปดูเรื่องสนุก 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วที่ถูกทิ้งให้นั่งผึ่งเท้าให้แห้งที่เดิมท่ามกลางสายลมในฤดูใบไม้ร่วงที่พัดไหว มองดูแผ่นหลังที่สภาพดูไม่ได้แต่กลับค่อยๆ เดินห่างไปไกลอย่างสงบนิ่ง ก็รู้สึกละอายใจและเศร้าซึมจากการโดนปล่อยทิ้งไว้ตรงนี้ 


 


 


“เหยียนเค่อต้องโกรธจนกลับไปแล้วแน่เลย คราวหน้าถ้าเรียกเขามาอีกฉันต้องโดนตีตายแน่” สวีอันหรานเอ่ยอย่างมุ่งมั่น 


 


 


สวีรั่วชีมองซย่าเสี่ยวมั่วที่ตัวหดเหลือสองนิ้วปราดหนึ่งก่อนจะส่ายหัว “เป็นไปไม่ได้” 


 


 


ซย่าเสี่ยวมั่วที่ไม่มีใครมาถามไถ่ก็ยืนกอดเสื้อไหมพรมของตัวเองเหมือนเด็กผู้ถูกทอดทิ้ง 


 


 


สิบนาทีผ่านไป ยี่สิบนาทีผ่านไป สวีอันหรานก็กระดิกนิ้วเรียกสวีรั่วชีอย่างกวนประสาท “ไงล่ะ ฉันพูดถูกใช่ไหม” 


 


 


สวีรั่วชียอมรับผลสรุป จึงค่อยๆ เขยิบเข้าไปใกล้ ก่อนที่ใครคนนั้นจะก้าวขึ้นขั้นบันไดหินไป 


 


 


“ชิ ที่สาธารณะแบบนี้ คนเห็นกันหมด” เหยียนเค่อพูดทิ้งท้ายไว้ ไม่แม้แต่จะชายตามองสองคนนั้นก็ถือของเดินออกไปทันที 


 


 


“ก…กลับมาแล้วเหรอ” สวีอันหรานรับไม่ไหวกับเหยียนเค่อในโหมดที่ตนไม่รู้จัก 


 


 


สวีรั่วชีรู้สึกอายอยู่ลึกๆ จึงบิดเข้าที่แขนของสวีอันหรานแรงๆ “เพราะพี่นั่นแหละ!” ทำเธอขายหน้าหมดเลย 


 


 


สวีอันหรานรู้สึกว่าตัวเองทุกข์ระทมยิ่งกว่าโต้วเอ๋อ[1]]เสียอีก จึงยิ้มแห้งๆ “ทำไมเขาถึงกลับมาได้ล่ะ มันไม่สอดคล้องกับหลักเหตุผลเลยนี่นา” 


 


 


เหยียนเค่อสนใจว่าคนอื่นจะเป็นจะตายตั้งแต่เมื่อไรกัน โลกนี้มันแฟนตาซีไปแล้วหรืออย่างไร 


 


 


 


 


 


—— 


 


 


[1] โต้วเอ๋อ เป็นตัวละครจากบทละครเรื่อง ความทุกข์ระทมของโต้วเอ๋อ ประพันธ์โดยกวานฮั่นชิง นักเขียนในราชวงศ์หยวน 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม