ยอดรักชายาอัปลักษณ์ 321-328

 ตอนที่ 321 ยังไม่หายโกรธ


 


 


หนิงอวี้เทน้ำขิงลงในกระถางต้นสนด้านข้าง แล้วคลุมหนังจิ้งจอกเดินออกกระโจมไป


 


 


“ท่านนายพลหนิง”


 


 


สาวใช้ค้อมกายคำนับ หนิงอวี้พยักหน้าตอบ


 


 


ลมหนาวโชยผ่าน พัดเส้นผมนางพลิ้วไหว “ลมมาแล้ว” หนิงอวี้พึมพำ บนท้องฟ้าไกลจากที่นั่นแดงไปด้วยแสงไฟลุกไหม้ที่สะท้อนขึ้นไป


 


 


เสียงฝีเท้าม้าขบวนหนึ่งแว่วเข้ามา ไกลจากที่นั่้นก็เห็นม้าดำหลายตัวปรากฏขึ้น หนิงอวี้ดึงพับเก็บหนังจิ้งจอก แล้วเขย่งเท้าดูคนเหล่านั้น ตั้งใจมองหาม้าขาวของเว่ยหยวน


 


 


สอดส่องสายตาอยู่ครู่หนึ่ง ม้าดำวิ่งมาถึงด้านหน้า แต่ม้าขาวกลับยังไม่ปรากฏให้เห็นสักที หนิงอวี้ได้ยินเสียงหัวใจตนเต้นรัว รู้สึกเย็นสันหลังวาบอย่างไม่อาจห้ามได้


 


 


เป็นไปได้อย่างไร ไม่มีเว่ยหยวน! หนิงอวี้ขบริมฝีปาก รีบวิ่งออกไปยังพวกเขา มั่วหลีขี่ม้าสีแดงพุทราตัวหนึ่งวิ่งมา รีบลงจากม้าคุกเข่าลงอย่างรวดเร็ว


 


 


“ท่านนายพลหนิง ฮ่องเต้ทรงได้รับบาดเจ็บขอรับ”


 


 


หนิงอวี้ดวงตาเบิกโพลง สาวใช้รีบเข้าไปประคองอย่างรวดเร็ว


 


 


“ท่านนายพลหนิง ระวังร่างกายด้วย”


 


 


หนิงอวี้จิกชายเสื้อไว้นิ่ง ก็พบว่านิ้วตัวเองนั้นเย็นเฉียบดั่งเลือด


 


 


“เขาอยู่ที่ใด”


 


 


หนิงอวี้ย่นคิ้ว ยกมือขึ้นดึงสายบังเ**ยนม้าไว้


 


 


“ฝ่าทรงอยู่ท้ายทัพ ท่านนายพลหนิง ท่าน…”


 


 


ยังไม่ทันจบความ หนิงอวี้ก็พลิกกายขึ้นม้า มือนางข้างหนึ่งกุมท้องน้อย มืออีกข้างรั้งสายบังเ**ยน ขาทั้งสองหนีบท้องม้าไว้แน่น หนิงอวี้ตะโกนขึ้นดัง “ไป!” ม้าออกวิ่งควบไปอย่างรวดเร็ว ทันทีที่ม้าออกวิ่ง ฝุ่นก็ตลบฟุ้ง


 


 


มือมั่วหลีค้างอยู่กลางอากาศ ครั้นแล้วก็หลุดเสียงหัวเราะออกมาหนึ่งทีดัง “พรืด”


 


 


งานนี้สนุกแน่ จะรอดูว่าถึงเวลานั้นจริงฮ่องเต้จะทรงจัดการอย่างไร นายพลหนิงออกวิ่งอย่างคลุ้มคลั่งไปตลอดทาง หัวใจแทบแหลกเป็นผุยผง สุดท้ายก็จะพบว่าพระอังสาของฮ่องเต้แค่ถูกธนูเฉียดผ่านไปเพียงเล็กน้อย


 


 


ท้องฟ้าเริ่มมืดลง หนิงอวี้ไม่สนใจสิ่งอื่นใด เอาแต่สอดส่องตามหาเขาท่ามกลางฝูงชน ได้รับบาดเจ็บ…หนิงอวี้ขบริมฝีปากเบ้าตาแดงก่ำ เขาจะตายไม่ได้ ไม่ได้เด็ดขาด


 


 


ท้องฟ้าจู่ๆ ก็มีหิมะโปรยปราย เกล็ดหิมะราวกับขนห่านเกล็ดหนึ่งร่วงลงบนมือหนิงอวี้ นางไม่ทันสังเกต รู้เพียงว่าสถานการณ์ยิ่งขับคันขึ้นเรื่อยๆ


 


 


ผ่านไปราวครึ่งเค่อ นางก็หาม้าสีขาวตัวนั้นพบกลางฝูงม้าและผู้คน ม้าที่เหลือตัวอื่นต่างออกวิ่งไป เหลือเพียงม้าขาวที่เดินเข้ามาด้านหน้าช้าๆ ดูสบายอารมณ์ไม่น้อย


 


 


ผู้อยู่บนหลังม้าขาวคือเว่ยหยวน น้ำตาที่หนิงอวี้กลั้นอยู่นานสุดท้ายก็ไหลอาบลงมา ร่วงลงบนมือที่กุมสายบังเ**ยนทำให้หิมะเกล็ดนั้นละลายไป


 


 


หนิงอวี้ควบม้าวิ่งตรงไปข้างกายเขา นางน้ำตานองหน้ามาแต่ต้น ทว่า เว่ยหยวนที่อยู่บนหลังม้ากลับไม่ได้บาดเจ็บหนักแต่อย่างใด มีเพียงบริเวณแขนที่มีรอยถากเล็กน้อย มีเลือดซึมออกมาเล็กน้อย


 


 


เว่ยหยวนนิ่งอึ้งกับที่อยู่นาน เขายกมือขึ้นหมายจะซับน้ำตาให้ แต่เขากลับถูกหนิงอวี้ปัดออกโดยพลัน เหตุการณ์ยากจะจัดการ แต่ในใจเขากลับยินดีอย่างยิ่ง หัวใจเต้นดังตุบ แทบจะเต้นทะลุทรวงอกออกมา


 


 


“เจ้าเป็นห่วงข้ามากเลยหรือ”


 


 


“ฮึ! พระองค์บาดเจ็บตรงไหนกัน”


 


 


หนิงอวี้แค่นเสียงหนึ่งที แต่ด้วยน้ำเสียงเบายิ่งนั้น จึงไม่ดูเหมือนเสียงโกรธ แต่กลับฟังดูออดอ้อน


 


 


นางยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาอย่างรีบร้อน แล้วจ้องถมึงทึงไปยังเว่ยหยวนอย่างดุดัน เว่ยหยวนหัวเราะเบาๆ ยื่นมือไปขยำเรือนผมนาง กลับถูกหนิงอวี้ปัดออกอีกครั้ง


 


 


“ข้าได้รับบาดเจ็บจริงๆ” เว่ยหยวนยิ้มงามจรัสดั่งดวงตะวันฤดูใบไม้ผลิเดือนสาม “เจ้าดูสิ บนแขนข้านี้ไม่ใช่หรอกหรือ”


 


 


“มั่วหลีบอกพระองค์บาดเจ็บ! หม่อมฉันคิดว่า…จะบาดเจ็บหนัก!”


 


 


หนิงอวี้พูดเสียงแผ่ว ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าตนช่างบุ่มบ่ามเสียเหลือเกิน


 


 


มั่วหลีไม่ได้บอกว่าบาดเจ็บเช่นไร นางกลับเข้าใจว่าเขาได้รับบาดเจ็บหนัก หากฮ่องเต้ทรงบาดเจ็บหนัก ต้องมีคนนับร้อยคอยอารักขามาส่งอยู่แล้ว ดีไม่ดีอาจใช้เกี้ยวแปดหาบพาตัวกลับมาส่งเสียด้วยซ้ำ แล้วจะทิ้งพระองค์ไว้ท้ายทัพได้อย่างไร


 


 


เมื่อสำนึกได้ว่าตนทำพลาดเอง หนิงอวี้ก็หน้าแดงไปจนถึงใบหู รีบพูดขึ้นมาว่า “ฮึ…โทษพระองค์นั่นแหละ!”


 


 


“ใช่ โทษข้า” เว่ยหยวนยอมรับหน้าชื่น ต้องโทษเขาจริงๆ นั่นแหละ


 


 


เขาได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย กลับสั่งให้มั่วหลีรีบควบม้าออกไปแจ้งเพียงลำพัง สั่งให้เขาพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด สีหน้าเศร้าโศก ดูท่ามั่วหลีแสดงละครได้ไม่เลวทีเดียว ควรตบรางวัลให้อย่างงาม


 


 


ที่จริงแล้ว ก็แค่ยังไม่หายโกรธดี อยากให้อวี้เอ๋อร์ได้รู้ด้วยตัวเองถึงจิตใจอันกลัดกลุ้มกังวลนั้นสักครั้ง คิดไม่ถึงเลยว่า นางกลับควบม้ามาหา ร้องไห้น้ำตานอง


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 322 ธารกำนัล


 


 


วันที่สองนับแต่ตีผานเฉิงแตก ฮ่องเต้แห่งราชวงศ์เหนือก็ส่งทูตมาขอสงบศึก เพราะด้วยต้องปรึกษาหารืออยู่ชั่วเวลาหนึ่ง ยากนักกว่าหนิงอวี้จะได้นอนหลับพักผ่อนบนเตียงเช่นนี้


 


 


นางหลับยาวจนตะวันขึ้นโด่ง ไม่มีผู้ใดกล้าทักท้วง หนิงอวี้พลันนึกถึงหงหลิงขึ้นมา หากนางอยู่คงต้องพล่ามบ่นให้นางตื่นแต่เช้าเป็นแน่ หากบิดารู้เข้า ต้องมายืนตะโกนอยู่หน้าประตูเรียกนางลุกขึ้นมาฝึกวิทยายุทธแน่นอน


 


 


น่าเสียดาย หนิงอวี้ส่ายหน้าช้าๆ ทันใดนั้นก็รู้สึกกลัดกลุ้ม เมื่อคืนหิมะตกหนัก ออกไปเดินเล่นสักหน่อยดีกว่า หนิงอวี้ยืดตัวบิดขี้เกียจแล้วลุกขึ้นนั่ง ปล่อยให้สาวใช้ช่วยแต่งองค์ทรงเครื่อง


 


 


“วันนี้หิมะตกหนัก อยู่พักแต่ในกระโจมเถอะเพคะ”


 


 


สาวใช้หวีผมให้นางอย่างระมัดระวัง หนิงอวี้เลื่อนสายตาไปยังคันฉ่อง สาวใช้หยุดขยับแล้วหลบสายตา


 


 


เมื่อจัดแจงข้าวของเรียบร้อย หนิงอวี้ก็ลุกขึ้นแหวกม่านแล้วเดินออกไปนอกกระโจม พายุหิมะขาวโพลน ทำท้องฟ้ามืดมัว ทันใดนั้นหนิงอวี้ก็รู้สึกว่าตนหดเล็กลงกลายเป็นเพียงจุดดำเล็กจิ๋วเท่านั้น


 


 


“ได้ยินว่า ทูตของราชวงศ์เหนือคือองค์รัชทายาทแห่งราชวงศ์เหนือหรือ เช่นนั้น นายพลหน้ากากผีก็คือรัชทายาทแห่งราชวงศ์เหนือน่ะสิ!”


 


 


“ใช่แล้ว ได้ยินว่าเขาคิดจะแต่งท่านนายพลหนิงเป็น…คารวะท่านนายพลหนิง”


 


 


พลทหารสองนายคุกเข่าลงกับพื้น กำลังตัวสั่นเพราะคำพูดจากปากพล่อยๆ ของตน


 


 


“ลุกขึ้นเถอะ”


 


 


หนิงอวี้ขมวดคิ้ว ที่แท้ทูตของราชวงศ์เหนือคือเขานี่เอง มิน่าเล่า เช่นนี้ที่สาวใช้สีหน้าอึดอัดก็มีเหตุผลอยู่


 


 


ท่ามกลางสายตาคนใต้หล้า ความสัมพันธ์ระหว่างนางกับเว่ยหยวนดูน่าเคลือบแคลง…หนิงอวี้ทอดถอนใจ ทั้งยังรู้ว่าเขากับนางเคยเติบโตมาร่วมกัน


 


 


นางไม่ควรออกมาจริงๆ…เมื่อวานนี้เว่ยหยวนได้เอ่ยเรื่องนี้ หมายความว่าเขาไม่อยากให้นางพัวพันกับมู่หรงเหยียน


 


 


นางเองก็ไม่รู้ว่าควรเผชิญหน้ากับเขาอย่างไรดี หนิงอวี้ยิ้มเศร้า นางแหวกม่านขึ้นกำลังจะเดินเข้าไปด้านใน ก็ได้ยินเสียง “นายพลหนิง” เสียงทุ้มต่ำอันคุ้นเคย เสียงนั้นดูแหลมดังด้วยความตื่นเต้น


 


 


หนิงอวี้สันหลังเย็นวาบ เมื่อหันกายกลับไปก็เห็นกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง คงเพราะเมื่อครู่นางครุ่นคิดจนลืมตัว จึงไม่ได้สังเกตเสียงฝีเท้าของพวกเขา


 


 


เว่ยหยวนสวมชุดสีเหลืองทองทั้งตัว ท่ามกลางฝูงชนดูสะดุดตายิ่งนัก หนิงอวี้สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งที แล้วเดินเข้าไปแสดงความเคารพ


 


 


“หม่อมฉันถวายบังคมฝ่าบาท”


 


 


“ขุนนางที่รักลุกขึ้นเถิด”


 


 


น้ำเสียงมั่นคง เห็นได้ว่าเขาไม่ได้โกรธ ไม่รู้ด้วยเหตุใด นางกลับรู้สึกร้อนตัวเป็นอย่างมาก


 


 


หนิงอวี้ก้มหน้าลง ไม่กล้ามองหน้าเขา และไม่กล้ามองว่าผู้คนว่าเป็นเช่นไรอยู่


 


 


“แม้ท่านนายพลหนิงจะเป็นนายพลของราชวงศ์เรา แต่ยังเป็นคนที่เรารักด้วย อวี้เอ๋อร์โชคร้ายถูกจับตัว เป็นเพราะท่านสร้างเรื่องแสร้งเป็นแต่งนางเข้าวังจึงรอดมาได้ เรารู้สึกซาบซึ้งนัก”


 


 


มู่หรงเหยียนสวมหน้ากากบนหน้า ไม่เห็นสีหน้าเขาได้อย่างชัดเจนนัก นอกจากสายตาอันลุ่มลึกนั้น


 


 


“กระหม่อมกับนายพลหนิงรู้จักกันมานานหลายปี เรื่องเล็กน้อยเพียงนี้ ไม่จำเป็นที่ต้องกล่าวถึง”


 


 


ด้วยประโยคที่ว่า “รู้จักกันมานานหลายปี” หน้ากากอันสุขุมของเว่ยหยวนพลันแตกร้าวในทันใด สายตาของเขาเลื่อนไปมองหนิงอวี้ที่กำลังจิกชายกระโปรงด้วยสีหน้าตื่นเต้นร้อนรนอย่างรวดเร็ว


 


 


เว่ยหยวนยกมุมปากยิ้ม วางท่าแสดงบารมีความเป็นจักรพรรดิ


 


 


“อีกไม่กี่วันต้องกลับนครหลวง คิดว่าคงต้องจากกันอีกนาน”


 


 


“พ่ะย่ะค่ะ” มู่หรงเหยียนพูดแก้สถานการณ์ “กระหม่อมมีเรื่องที่อยากบอกกับท่านนายพลหนิง”


 


 


ทันทีที่ประโยคนี้พูดออกมา เสียงกระซิบพูดคุยก็เงียบลง เหลือเพียงเสียงลมที่พัดโหมผ่าน


 


 


“เราเป็นผู้ใหญ่ไม่ถือ” หนิงอวี้ชำเลืองขึ้นอย่างประหลาดใจ กลับเห็นเว่ยหยวนใบหน้าฉาบด้วยรอยยิ้ม แต่แววตากลับด้วยความเยือกเย็นเชือดเฉือน


 


 


หนิงอวี้นิ่งอึ้งกับที่คิดอะไรไม่ออก นี่หมายความว่าอย่างไรกัน หากหึงหวงก็ควรปฏิเสธนี่ แต่เขากลับเห็นพ้องด้วยแววตาเย็นยะเยือก เขากำลังยิ้ม แต่ก็รู้ได้ทันทีว่ากำลังโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ


 


 


“เป็นพระมหากรุณาธิคุณ”


 


 


เว่ยหยวนมองหลังทั้งสองพลางขมวดคิ้ว ขุนนางใหญ่ผู้หนึ่งด้านข้างพูดแก้สถานการณ์ว่า “ดูไปแล้วท่านนายพลหนิงและรัชทายาทแห่งราชวงศ์เหนือรู้จักกันมานาน คงมีมิตรภาพที่ดีต่อกันไม่น้อย” เดิมทีเขาคิดเพียงพูดให้พร้องตามฮ่องเต้ จึงจงใจพูดคำว่ามิตรภาพออกมา


 


 


แต่การประจบเอาใจนั้นกลับให้ผลผิดคาด เว่ยหยวนกลับแค่นเสียงเยาะหนึ่งที


 


 


“ไม่รู้ผิดชอบชั่วดี”


ตอนที่ 323 จากกันครานี้


 


 


“มีเรื่องอันใด”


 


 


หนิงอวี้ขมวดคิ้วก้มหน้า ความสัมพันธ์ของเขากับนางในสายตาผู้อื่นดูน่าสงสัย ต่อหน้าสาธารณชน เขากลับเอ่ยคำขอเช่นนี้ออกมา


 


 


มู่หรงเหยียนมองหน้านางไม่ชัด แต่เห็นได้ว่านางกำลังเม้มปาก เขายกมุมปากพยายามปั้นหน้ายิ้มแล้วพูดขึ้นเสียงเบา “ไม่มีอะไร แค่เพียงอยากถามไถ่ว่าเจ้าอยู่ดีหรือไม่”


 


 


“ก็ไม่เลวนัก”


 


 


“อืม…เช่นนั้นก็ดี”


 


 


เงียบอยู่ราวครึ่งเค่อ หนิงอวี้ก็หันกายเตรียมเดินจากไป


 


 


“ในเมื่อไม่มีอะไรแล้ว ก็ขอตัวก่อน”


 


 


ชั่วอึดใจเดียว ชายเสื้อสีแดงสดลายดอกโบตั๋นก็ถูกดึงเอาไว้


 


 


มู่หรงเหยียนรู้สึกว่าตนกำลังเสียกิริยาก็คลายมือออกช้าๆ แล้วพูดขึ้นเสียงเบา “จากกันครานี้ ไม่รู้ว่าวันใดจะได้พบกันอีก…อวี้เอ๋อร์ เจ้าอยู่ต่ออีกสักประเดี๋ยวได้หรือไม่”


 


 


“อวี้เอ๋อร์” คำเรียกอันสนิทสนมเช่นนี้กลายเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ขาดสะบั้นลง หนิงอวี้หันกลับโดยพลัน จ้องมองเขาด้วยสายตาเชือดเฉือน ครั้นแล้ว เบ้าตากลับแดงขึ้นระเรื่อ


 


 


“มีสิทธิ์อะไร”


 


 


มู่หรงเหยียนอ้าปากหมายเอ่ยคำแต่ก็ไม่อาจเอ่ยออกมาได้แม้เพียงครึ่งคำ ใช่สิ มีสิทธิ์อะไรหรือ ด้วยความทรงจำน้อยนิดในอดีต หรือด้วยที่ส่งนางกลับคืนในตอนนี้ หากกล่าวโดยแท้แล้ว การที่อวี้เอ๋อร์ต้องทนทุกข์ทรมานที่ราชวงศ์เหนือไม่ใช่เพราะเขาเป็นเหตุหรอกหรือ


 


 


“ด้วยที่เจ้าทำร้ายข้า ด้วยที่เจ้ากักขังข้า และด้วยที่เจ้าสังหารท่านพ่อหรือ” หนิงอวี้พูดขึ้นด้วยเสียงแหบพร่า อารมณ์พลุ่งพล่านจนถึงกับคว้าสาบเสื้อเขาเอาไว้แน่น


 


 


ชุดคลุมลายมังกรซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของตำแหน่งรัชทายาทยับย่น มู่หรงเหยียนทำได้เพียงมองมือที่เต็มไปด้วยรอยแผลมากมายนั้น


 


 


“ข้าไม่อยากสังหารท่านพ่อ”


 


 


เขาเคยคิดที่จะใช้หนิงจื้อหยวนแลกกับชื่อเสียงและความมั่งคั่ง แต่สุดท้ายเขาก็ล้มเลิกความคิดนี้ แม้กระทั่ง เมื่อบิดาบุญธรรมอยู่ในวิกฤต เขายังคิดหาหนทางนับร้อยพันยื่นมือเข้าช่วย


 


 


วินาทีถัดมา หนิงอวี้ก็ปล่อยมือลงช้าๆ มองไปยังเขาแล้วพูดออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “ท่านพ่อรู้ตัวตนเจ้าใช่หรือไม่”


 


 


“ใช่”


 


 


ความอาฆาตแค้นที่นางสะกดเอาไว้และตั้งใจหาทางระเบิดมันออกมา กลับห่อเ**่ยวไร้เรี่ยวแรงลงไปทันใด


 


 


“ไม่มีอะไรต้องถามแล้ว เจ้าไปเสียเถอะ”


 


 


“ข้าอธิบายได้” มู่หรงเหยียนเห็นนางสีหน้านิ่งเฉยก็รีบร้อนเอ่ยถ้อยคำ “ตอนแรกข้า…”


 


 


“ไม่มีความหมายอันใดแล้ว ท่านพ่อยังไม่ตามเอาเรื่องการตายของตน ข้าเองก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะไปสืบสาวราวเรื่อง”


 


 


หนิงอวี้พูดขึ้นอย่างเย็นชา ทว่าไม่มีใครที่จะรู้ถึงความสิ้นหวังในใจนาง


 


 


นางโกรธแค้นด้วยเรื่องนี้จนแทบบ้า นางคลุ้งคลั่งด้วยเรื่องนี้ ทอดทิ้งเว่ยหยวนด้วยเรื่องนี้ เตรียมพร้อมยอมตาย แต่สุดท้าย นางกลับไม่อาจลงมือกับตัวการที่อยู่เบื้องหลัง ยิ่งกว่านั้น สุดท้ายนางก็พบว่าเจ้าตัวยอมรับความตายอย่างสงบ


 


 


“เจ้ายังคงเป็นบุตรบุญธรรมของเขาตลอดไป”


 


 


หนิงอวี้มองเขาปราดหนึ่งอย่างสงบนิ่งแล้วหันกายจากไป แม้เป็นเช่นนี้ นางก็ยังคงไม่อาจให้อภัย


 


 


นางไม่ตามเอาเรื่องกับเรื่องนี้อีก แต่ก็เพียงแค่ไม่ตามเอาความ หากพูดถึงการให้อภัยนั้น แน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้ เขาเป็นบุตรบุญธรรมของบิดาตลอดกาล แต่ไม่ใช่พี่ชายของนางอีกต่อไป


 


 


ภายใต้ท้องฟ้าที่ลอยฟ่องไปด้วยหิมะ มู่หรงเหยียนมองแผ่นหลังนาง ผืนดินที่ถูกปกคลุมจนมิด มีเพียงนางที่สวมชุดแดงดั่งเลือดพร้อมด้วยเส้นผมดำขลับ


 


 


หิมะตกลงมาไม่หยุด ความหนาวเย็นเคลื่อนผ่านซอกนิ้วเข้าสู่ทั่วกายจนถึงหัวใจของเขา มู่หรงเหยียนเหยียดมุมปากยิ้มเศร้า เพียงอึดใจเดียวรอยยิ้มนั้นก็เหือดไป เหมือนยินดีแต่ก็มิยินดี อยากร้องไห้แต่ก็ไร้ซึ่งน้ำตา


 


 


ทั่วทั้งกายหนาวเย็นจนแข็ง ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงวันที่หิมะตกหนักนั้นขึ้นมาได้ บิดาบุญธรรมพาพวกเขาออกล่า ออกตามรอยเจ้าหมีตาบอด


 


 


หากหวนกลับไปได้ก็คงดี ต่อให้เป็นได้เพียงพี่ชาย ขอเพียงได้อยู่ข้างกายนาง แค่นั้นก็พอแล้ว


 


 


มู่หรงเหยียนยืนนิ่งกับที่อยู่นาน จนกระทั่งตาตุ่มจมหายไปในหิมะขาว จึงหันกายเดินจากไป การยืนอยู่กับที่นานจนขาทั้งคู่แข็ง เขาเดินไปอย่างทุลักทุเลท่ามกลางหิมะ


 


 


เมื่อเท้าเขาสะดุดกับก้อนหินที่จมใต้หิมะแล้วล้มลง มู่หรงเหยียนเบ้าตาแดงระเรื่อ วินาทีถัดมาก็หัวเราะออกมาเสียงดัง เสียงหัวเราะสะท้อนก้อง ไม่มีใครได้ยินเสียงนั้น เช่นเดียวกับความพยายามอย่างโศกเศร้าของเขาที่ไม่มีใครรับรู้


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 324 จอมหึงออกโรง


 


 


คนผู้หนึ่งป้วนเปี้ยนไปมาหน้ากระโจมนายพลหนิงไม่หยุด แต่กลับลังเลไม่ยอมเข้าไป หากเป็นเวลาปกติ องครักษ์ต้องพุ่งเข้าไปไล่นานแล้ว


 


 


ทว่า คนผู้นี้สวมชุดมังกรสีเหลืองดูสะดุดตายิ่งนัก องครักษ์ได้แต่กำหอกยาวในมือแน่นโดยไม่ออกเสียง คอยนับว่าเขาเดินไปมากับที่แล้วกี่รอบด้วยความรู้สึกเบื่อหน่าย


 


 


พักใหญ่ เว่ยหยวนแหวกม่านขึ้นด้วยสีหน้าเรียบ กลางกระโจมมีเพียงสาวใช้สองสามนาง


 


 


“ถวายบังคมฝ่าบาท ขอจงทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆ ปี”


 


 


เขาปล่อยม่านลงอย่างหัวเสียแล้วหันกายเดินจากไป เพียงไม่กี่ก้าว เขาก็เดินกลับมาด้วยความโมโห


 


 


สตรีนางนี้ กำลังมีท้องมีไส้ยังจะออกไปเตร็ดเตร่ท่ามกลางหิมะอีก! มันเรื่องอะไรกัน สำคัญขนาดนั้นเชียวหรือ ไม่คุยกันไม่ได้เลยหรือ เว่ยหยวนสีหน้านิ่งเฉยแต่ในใจกลับวิ่งพล่านคำรามร้อง


 


 


ใครอนุญาตให้พวกนางพบกัน เว่ยหยวนขบฟันจ้องถมึงทึงไปยังสาวใช้


 


 


“นายพลหนิงเล่า”


 


 


“ทูลฝ่าบาท ท่านนายพลหนิงออกไปครึ่งชั่วยามก่อนยังไม่กลับเพคะ”


 


 


สาวใช้คุกเข่าลงกับพื้น ตอบพลางสังเกตสีหน้าเขาอย่างระวัง


 


 


ทันทีที่กล่าวเช่นนี้ออกไป สีพระพักตร์ฮ่องเต้ไม่เพียงจะคลายลง แต่กลับบึ้งตึงหนักขึ้น สาวใช้รีบโน้มตัวก้มหน้าลงอย่างลนลาน


 


 


“ฝ่าบาททรงอภัยด้วยเพคะ”


 


 


สาวใช้ที่อยู่ด้านข้างเห็นเช่นนั้น ต่างรีบพากันคุกเข่าลง


 


 


เว่ยหยวนสูดหายใจเข้าลึกหนึ่งทีท่ามกลางเสียงที่อึกทึกไปทั่วแล้วพูดขึ้นเสียงทุ้ม “ออกไป”


 


 


เสียงฝีเท้าก้าวสั้นเบาๆ ค่อยๆ เลือนไป เว่ยหยวนยกชายเสื้อขึ้นแล้วนั่งลงบนเก้าอี้


 


 


“รินน้ำชา”


 


 


ไม่มีใครตอบ ครั้นแล้วผู้ซึ่งมีอำนาจสูงสุดแห่งราชวงศ์ใต้ก็ได้แต่ยื่นมือไปรินน้ำชาจนเต็มจอกด้วยตนเอง เพื่อป้องกันไม่ให้นางกลับมาเห็นในขณะที่ไม่รู้ตัว เว่ยหยวนจึงทำทีเป็นจิบชาอย่างสบายอารมณ์


 


 


ผ่านไปราวครึ่งเค่อ ความสุขุมบนใบหน้าเว่ยหยวนก็บึ้งตึงขึ้นอย่างมาก จนหนึ่งเค่อผ่านไป เว่ยหยวนก็เขย่ากาน้ำชาที่ว่างเปล่าพลางขมวดคิ้ว


 


 


ลมเย็นพัดเข้ามา เว่ยหยวนก็พบว่าปลายนิ้วตนเย็นเฉียบ เขาลุกขึ้นหมายจะดึงผ้าแพรขาว ทันใดนั้นพบในลิ้นชักมีบางสิ่งที่มีสีแดงอยู่ในนั้น


 


 


ดึงลิ้นชักออก ด้านในมีตลับไม้ฝีมือประณีตใบหนึ่ง เว่ยหยวนถือตลับใบนั้นขึ้นหรี่ตามอง กล่องเครื่องประดับหรือ เหตุใดไม่วางหน้าคันฉ่อง


 


 


เว่ยหยวนเหลียวกลับทีหนึ่งเห็นม่านถูกปิดลงสนิท จึงค่อยๆ เปิดตลับไม้ เสียงดังขึ้น “แกรก” ในนั้นคือหยกงามแวววับชิ้นหนึ่ง


 


 


เวลานี้แสงแดดส่องลอดเข้ามาในกระโจม เว่ยหยวนถือหยกประดับไว้ในมือยืนอยู่ที่หน้าต่าง แสงตะวันส่องลงมา ด้านหนึ่งของหยกที่ตอนแรกเป็นสีขาวขุ่นทันใดนั้นก็ปรากฏอักษรคำว่า “อวี้” ขึ้นมา


 


 


เมื่อดูให้ละเอียดถึงรู้ว่าอักษรสีแดงนั้นประกอบขึ้นด้วยด้ายแดงละเอียดดั่งเส้นผม เว่ยหยวนพลิกอีกด้านขึ้นใบหน้าก็นิ่วคิ้วขมวด เป็นดั่งที่คิด ด้านหลังคืออักษรคำว่า “เฝ่ย”


 


 


——


 


 


“ท่านนายพลหนิง ท่านกลับมาแล้ว”


 


 


สาวใช้ต่างคุกเข่าลงกับพื้นอย่างพร้อมเพรียงด้วยร่างกายสั่นเทิ้ม หนิงอวี้เลิกคิ้ว เมื่อแง้มม่านขึ้นก็เห็นเว่ยหยวนนั่งอยู่หน้าโต๊ะกำลังลูบคลึงจอกชาเล่น


 


 


นางหลุบสายตาลง แม้เห็นสีหน้าเขาไม่ชัดแต่ก็เห็นว่าสีหน้าเขาปกติ มุมปากยังยกยิ้มน้อยๆ แต่ไม่รู้ด้วยเหตุใด หนิงอวี้กลับยั้งฝีเท้าลงโดยไม่รู้ตัว


 


 


เว่ยหยวนวางจอกลง แล้วพูดขึ้นอย่างใจเย็น “กลับมาแล้วหรือ”


 


 


หนิงอวี้นิ่งอึ้ง ครั้นแล้วจึงพยักหน้าตอบแล้วเดินเข้าไปด้านหน้า


 


 


“วันนี้อากาศเหน็บหนาว ข้าสั่งห้องเครื่องให้เตรียมน้ำขิง”


 


 


“พระองค์…ไม่มีอะไรจะทรงถามหรือเพคะ”


 


 


เว่ยหยวนขมวดคิ้วเล็กน้อย วินาทีถัดมาก็คลายออก มุมปากอมยิ้ม เขายื่นมือไปลูบหยกประดับบนเอว แล้วชำเลืองขึ้นยิ้ม


 


 


“ข้ามีอะไรต้องถามหรือ”


 


 


หนิงอวี้เห็นเขายิ้มบาง ในใจกลับรู้สึกกระสับกระส่ายยิ่งขึ้น ในขณะที่กำลังก้มหน้าลงเรียบเรียงคำพูด ก็นึกขึ้นได้ทันทีว่า ในเมื่อเว่ยหยวนยอมให้นางพบกับมู่หรงเหยียน เขาย่อมเชื่อใจนาง ทว่านางกลับถามเขาเช่นนั้น ราวกับนางมีท่าทีสงสัยในตัวเว่ยหยวน


 


 


หัวใจหนักอึ้งราวถูกหินทับ หนิงอวี้นั่งลงอย่างสงบ ยื่นมือไปยกกาน้ำชาขึ้นหมายจะเทน้ำชามาดื่มเพื่ออบอุ่นร่างกาย เมื่อเขย่ากาเบาๆ ก็พบว่าน้ำหนักนั้นเบาอย่างยิ่ง


 


 


“พระองค์รอนานแล้วหรือเพคะ”


 


 


เว่ยหยวนที่อ้ำอึ้งอยู่นาน ตอนแรกเตรียมพร้อมจะพูดออกมาทั้งหมดทันทีที่นางถาม ทว่ารอยยิ้มมุมปากพลันเหือดหาย เว่ยหยวนก้มหน้าแค่นเสียงแล้วพูดออกมาอย่างเกรี้ยวกราด “เปล่า! เราต้องสะสางงานราชการ!”



ตอนที่ 325 ดอกไม้ในใจเบ่งบาน


 


 


หิมะปลิวทั่วฟ้า แต่ก็ไม่อาจกั้นความปารถนาที่จะกลับคืนเมืองหลวงอันเร่าร้อนของเหล่าทหารนายพล


 


 


ได้ยินว่าเว่ยหยวนและฮ่องเต้ราชวงศ์เหนือได้สัญญาสงบศึกแล้ว จากนี้คงสงบสุข ชายแดนเปิดให้ค้าขายได้อีกครั้ง ตอนแรกคิดว่าคงต้องโคลงเคลงตลอดเส้นทาง คิดไม่ถึงว่าบนเก้าอี้จะมีเบาะยัดฝ้ายรองเอาไว้ หนิงอวี้นั่งอยู่บนเบาะยัดฝ้าย พิงกายกับผนังรถม้าเคลิ้มหลับ


 


 


คงเพราะสะดุดกับก้อนหินเข้า รถม้าจึงหยุดลงฉับพลัน หนิงอวี้ซวดเซไปหนึ่งที ครั้นแล้วก็ตาสว่าง สาวใช้ลุกขึ้นจากเก้าอี้ด้านข้าง โน้มกายเข้ามาประคองแขนนาง


 


 


ดอกไม้ไหวระย้าบนปิ่นปักผมสะบัดแกว่ง หนิงอวี้มุ่นหัวคิ้วยื่นมือไปลูบหน้าผาก สาวใช้นางหนึ่งประคองแขนนาง อีกนางเห็นเพื่อนพยายามเอาใจ จึงตะคอกออกไปนอกประตูหนึ่งทีว่า “เจ้าบังคับรถม้าเยี่ยงไร ไม่รู้หรือว่าในรถคือท่านนายพลหนิง”


 


 


เสียงค่อยๆ เลือนไป ไม่รู้ว่านางพูดอะไรกับคนรถ หนิงอวี้ปล่อยมือลงแล้วส่ายหน้าช้าๆ สาวใช้ยอบกายคำนับแล้วถอยกลับไปนั่งยังที่


 


 


ม่านบนรถปลิวไหว สายลมอันหนาวเย็นพัดเข้ากลางรถ สาวใช้มุ่นหัวคิ้ว ยื่นมือไปหมายจะดึงม่านก็ได้ยินเสียงนายพลหนิงดังขึ้น “ไม่ต้อง”


 


 


ท่ามกลางลมหนาวที่โกรกเข้ามา เจือด้วยกลิ่นหอมของดวกบ๊วย นางนึกขึ้นมาได้ถึงเมื่อครั้งออกกำราบโจร เว่ยหยวนเด็ดดอกบ๊วยแดงให้นางกำหนึ่ง


 


 


บิดารู้ว่านางออกทัพ ยังเขียนจดหมายฉบับหนึ่งเพื่อกำชับนางเป็นพิเศษ ขุนพลหนิงที่แต่ไหนแต่ไรเคร่งคัดวินัยทหาร กลับกังวลเป็นห่วงบอกกับนางว่าหากสู้ไม่ได้ให้หนีเสีย มีเรื่องใดท่านจะช่วยออกหน้ารับ


 


 


ยังมี…หนิงเฝ่ย เขาเคยส่งข้าวของมานับสิบถุง จัดข้าวของทุกอย่างที่จำเป็นมาให้อย่างเป็นระเบียบ


 


 


หนิงอวี้มุ่นหัวคิ้แล้วเลิกม่านรถม้าขึ้น ท่ามกลางหิมะขาวโพลนกว้างใหญ่ มีสีแดงกระจายประปราย มีสีเขียวแต้มแซมอยู่ท่ามกลาง บ๊วยแดงถูกกลบด้วยหิมะขาว เผยให้เห็นเป็นจุดเล็กๆ กระจัดกระจายสีสันสดใส


 


 


หัวใจเต้นตุบ หนิงอวี้พูดขึ้นเสียงดัง “หยุดรถ!”


 


 


รอยยิ้มพอประมาณบนหน้าสาวใช้เหือดไปทันใด นางอ้าปากกำลังจะเอ่ยคำ กลับเห็นนายพลหนิงเลิกม่านแล้วเดินออกไป


 


 


กระโปรงยาวสีแดงดุจเลือดลากกับพื้น หิมะขาวช่วยขับดุน ยิ่งทำให้ดูสวยงามยิ่งขึ้น หนิงอวี้ย่างเท้าจมลงกลางหิมะเดินไปอย่างทุลักทุเล แววตานางกลับมิได้ฉายแววยากลำบากแม้แต่น้อย แต่ดวงตานั้นกลับเต็มไปด้วยรอยยิ้ม


 


 


มั่วหลีเห็นรถม้าของนายพลหนิงจอดก็ขมวดคิ้ว เมื่อทอดสายตามองออกไปก็เห็นจุดสีแดงจุดหนึ่งกำลังเคลื่อนที่อย่างลำบาก มั่วหลีย่นคิ้วหันศีรษะม้าออกวิ่งไปยังฮ่องเต้


 


 


วันนี้เว่ยหยวนสวมเสื้อคลุมผ้าไหมสีดำ คลุมเสื้อกันลมสีเงิน ใบหน้างดงามดั่งหยก แม้ว่าจะสีหน้าเยือกเย็น แต่ก็ยังคงดูงามสง่าดั่งคุณชายผู้มีสกุล การสู้รบเข่นฆ่าหลายวันมานี้ มิได้เพิ่มความดุดันให้เขาแม้แต่น้อย


 


 


“ฝ่าบาท! ท่านนายพลหนิงหยุดรถม้าพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


เว่ยหยวนขมวดคิ้ว ยื่นมือไปดึงสายบังเ**ยนแล้วพูดขึ้นเสียงเบา “นางทำอะไร…ส่งคนตามไป รับรองความปลอดภัยของนางให้ดี”


 


 


มั่วหลีพยักหน้ารับกำลังจะจากไป แต่ก็ถูกเขาเรียกขึ้น “เจ้าไปด้วยตนเองแล้วกัน เชิญนางกลับขึ้นรถม้าให้ได้”


 


 


มั่วหลีขี่ม้าดำออกวิ่งควบไปโดยเร็ว บนพื้นขาวสะอาดเต็มไปด้วยรอยกีบม้าเป็นสองทาง เว่ยหยวนมองบนพื้นหิมะอยู่ครู่หนึ่งแล้วแค่นเสียงออกจมูกหนึ่งที


 


 


เขารู้สึกว่าการที่ตนเองโกรธนั้นมีเหตุผลสมควรอยู่ แต่หนิงอวี้กลับมิได้สังเกตเห็นแม้แต่น้อย เว่ยหยวนขมวดคิ้ว แส้ยาวในมือตวัดขึ้นหนึ่งที เสียงดังขึ้น “เปรี๊ยะ” แล้วม้าก็ออกวิ่งตะบึงไป


 


 


ครู่หนึ่ง เมื่อมองออกไปไกลก็เห็นจุดสีแดงสดนั้นถูกคนกอดไว้ในอ้อมอก พริบตานั้นเอง ในใจก็พลันเดือดดาลขึ้นมาราวกับไฟลุกโหม หนิงอวี้ทำอะไรอยู่กันแน่!


 


 


เว่ยหยวนโกรธจัด เขาบังคับม้าออกวิ่งตะบึงไป หนิงอวี้เห็นเขามาก็เงยหน้ายิ้มหนึ่งที แต่นางกลับได้ยินเว่ยหยวนสอบถามด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “เจ้าคิดทำอะไรอยู่กันแน่”


 


 


มั่วหลีได้ยินความโกรธที่เขาพยายามอดกลั้นเอาไว้อย่างชัดเจน ก็รีบปล่อยหนิงอวี้ลงอย่างรีบร้อน แล้วคุกเข่าลงกับพื้น


 


 


“เมื่อครู่กระหม่อมเห็นท่านนายพลหนิงกำลังจะล้ม จึงทำไปด้วยเหตุฉุกเฉินพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


เช่นนี้ มั่วหลีคุ้มครองนายด้วยใจ ไม่มีความผิดแม้แต่น้อย เว่ยหยวนสะกดความโกรธแล้วเลื่อนสายตาไปยังหนิงอวี้ ทันใดนั้น ดอกไม้สีแดงช่อหนึ่งก็ปรากฏสู่สายตา เสี้ยววินาทีนั้น ไฟโกรธที่ลุกโชติในจิตใจก็พลันดับสลายลงในพริบตา


 


 


“เอ้า ให้พระองค์เพคะ”


 


 


หนิงอวี้หัวเราะเบาๆ พลางยื่นดอกบ้วยแดงที่ยุ่งเหยิงมัดหนึ่งไปยังเว่ยหยวน


 


 


“หอมเหมือนกับที่พระองค์เคยเด็ดให้หม่อมฉันในวันนั้นเลยเพคะ”


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 326 กลับเมืองหลวง


 


 


“อากาศหนาว ไปเตรียมเตาผิงให้นายพลหนิง”


 


 


“เพคะ”


 


 


“อวี้เอ๋อร์ ชาหลงจิ่งพอดื่มได้หรือไม่”


 


 


“ก็ดีเพคะ”


 


 


“อวี้เอ๋อร์ ข้าสั่งห้องเครื่องให้ทำขนมกุ้ยฮวาซูแล้ว รอประเดี๋ยวก็คงมาส่ง”


 


 


“เพคะ”


 


 


มั่วหลีขี่ม้าอยู่ด้านข้าง มองดูฮ่องเต้ขี่ม้ากลับไปกลับมาด้วยสีหน้าสงบนิ่ง บนม้าสีขาวมีช่อดอกบ๊วยแดงถูกเชือกไหมมัดเอาไว้ เว่ยหยวนใบหน้าประดับยิ้ม คอยก้มลงสูดกลิ่นหอมของดอกไม้อยู่เป็นพักๆ


 


 


คนในชุดสีเหลืองทองจากไปได้ไม่นาน ไม่ทันไรก็บังคับม้าหันศีรษะหวนกลับมา เว่ยหยวนขี่ม้าควบขนานไปกับรถม้า เขาแหวกม่านแล้วพูดขึ้นเสียงเบา “วิงเวียนบ้างไหม ห่างจากเมืองหลวงยังเหลืออีกสองลี้ ไม่สู้พักสักหน่อยหรือ”


 


 


หนิงอวี้ส่ายหน้า ยื่นมือขึ้นป้องปาก ตลอดทางที่รถวิ่งรู้สึกคลื่นไส้อยู่เล็กน้อย หนิงอวี้หน้าซีดเผือดแต่นางกลับส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม


 


 


นางรู้ว่าเว่ยหยวนอารมณ์ไม่ดีแต่ไม่รู้ว่าด้วยเรื่องอันใด คงจะมีปัญหาจากการร่วมหารือกับราชวงศ์เหนือ ม่านรถถูกดึงลง เสียงฝีเท้าม้าดังไกลออกไป หนิงอวี้มุ่นหัวคิ้ว อึดใจเดียวก็ค่อยๆ ยกมุมปากขึ้นยิ้ม รอยยิ้มนั้นดูอ่อนแอทีเดียว


 


 


นางไม่รู้ว่าจะแบ่งเบาความทุกข์ของเขาอย่างไร ทำได้เพียงเด็ดดอกบ๊วยแดงที่นึกขึ้นได้กะทันหันเท่านั้น โชคดีที่ใช้พอได้ผลบ้าง หนิงอวี้คิดไปพลางก้มหน้าไปพลาง นางยื่นมือไปยกชายกระโปรงขึ้น รอยเลือดรอยหนึ่งบนตาตุ่มก็ปรากฏสู่สายตา


 


 


“ท่านนายพลหนิง บ่าวจะไปตาม…”


 


 


“ไม่ต้อง”


 


 


หนิงอวี้ส่ายหน้าสีหน้าเรียบ หากเว่ยหยวนรู้เรื่องนี้ต้องโกรธที่นางบุ่มบ่ามเป็นแน่ ไม่ง่ายเลยกว่าที่จะทำให้เขาสีหน้าเบิกบานขึ้นได้ จะให้บาดแผลน้อยนิดนี้มาทำให้เขาเสียอารมณ์ได้อย่างไร


 


 


วิงเวียนไปทั่วศีรษะ หนิงอวี้เอนกายเคลิ้มหลับ เมื่อสะดุ้งตื่นขึ้นก็เห็นหงหลิงร้องไห้น้ำตานองหน้า


 


 


“พระชายา ในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว…”


 


 


“บ่าวคิดว่าท่านตายไปแล้วจริงๆ ฮือๆๆ”


 


 


หงหลิงสะอึกสะอื้นยื่นมือไปคว้าแขนนางเอาไว้ด้วยความแรงเพราะกลัวว่านางจะหายตัวไปอีก


 


 


หนิงอวี้ยังคงงุนงง เมื่อเห็นหน้านางแดงก่ำเช่นนั้นจึงได้สติหวนคืน ชั่ววินาทีมือก็ยื่นออกไปโดยสัญชาตญาณวางลงบนศีรษะนางอย่างแม่นยำ


 


 


“โอ๋ ไม่ต้องร้องไห้นะ”


 


 


“บ่าวจะร้อง หากท่านทิ้งบ่าวไปอีก บ่าวจะร้องไห้ให้น้ำตาท่วมเมืองหลวงเลยเพคะ” หงหลิงสองตาแดงก่ำจ้องถมึงทึงไปยังนางหนึ่งที ครั้นแล้วก็ก้มหน้าลงอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ “ท่านไม่ต้องการบ่าวแล้ว ใช่หรือไม่เพคะ”


 


 


“ข้าเปล่านะ”


 


 


“เช่นนั้นไยท่านมีชีวิตรอดกลับมาจึงไม่ส่งข่าวคราวมาบ้างเลยเล่าเพคะ”


 


 


หนิงอวี้มุ่นหัวคิ้ว เดิมทีตั้งใจจะอธิบายแต่ก็ไม่อยากให้นางต้องมารู้เรื่องราวเหล่านี้ จึงได้แต่ยิ้มเจื่อนพลางขยี้เรือนผมนาง


 


 


“ตอนนั้นข้าโดนปิดล้อม ไม่มีหนทางส่งข่าว ข้ารับรอง คราวหน้าจะแจ้งข่าวอย่างแน่นอน…”


 


 


“ห้ามมีคราวหน้า!” หงหลิงตะโกนขึ้นดัง เมื่อพูดจบถึงพบว่าตนทำเสียวินัย จึงก้มหน้าลงพูดพึมพำว่า “บ่าว…เป็นห่วงท่านเพคะ”


 


 


หนิงอวี้สังเกตเห็นความหวาดหวั่นของนาง ในใจก็รู้สึกวุ่นวายขึ้นมา นางปรับสีหน้าปล่อยมือที่กำลังขยี้ผมลง นางกุมมือหงหลิงด้วยมือทั้งคู่พลางประสานตากับหงหลิงแล้วพูดขึ้นเสียงเบาว่า “ในสายตาข้า เจ้าไม่เคยเป็นบ่าวไพร่เลย”


 


 


“ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นห่วงข้ามาก คราวหน้าข้าจะระวังแน่นอน”


 


 


“เพคะ”


 


 


หงหลิงพยักหน้าอย่างน้อยใจแล้วใช้ผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งซับหน้าตา


 


 


เสียงฝีเท้าม้าดังขึ้น ตัวหนึ่งสีขาวตัวหนึ่งสีดำกำลังควบเข้ามา หงหลิงช้อนตาขึ้นมอง น้ำตาที่หยุดไหลครั้นแล้วก็พลันพรั่งพรูลงมาอีกครั้งเมื่อเห็นมั่วหลี


 


 


เว่ยหยวนขี่บนหลังม้าตัวสูงใหญ่ โน้มกายลงเล็กน้อยยื่นมือขวามายังนาง หนิงอวี้ยิ้มตอบหนึ่งที นางเดินเข้าไปสองสามก้าวแล้วยื่นมืออกไปวางบนมือเขา


 


 


ชั่วอึดใจเดียว นางก็อยู่ในอ้อมอกของเว่ยหยวนอย่างมั่นคง ผู้คนต่างจดจ้องด้วยสายตาอันอิจฉาหรือไม่ก็ประหลาดใจ แก้มทั้งสองของหนิงอวี้แดงระเรื่อ เว่ยหยวนกลับมีสีหน้าสุขุมนิ่ง


 


 


เว่ยหยวนโน้มกายลง ก้มหน้าประทับจุมพิตบนหน้านาง หน้าแดงระเรื่อยลามไปถึงใบหู หนิงอวี้ยื่นมือไปผลัก แต่เว่ยหยวนกลับยื่นมือไปกุมมือที่ผลักนั้นเอาไว้


 


 


“คนดี”


 


 


หว่างคิ้วร้อนผ่าวหนึ่งที หนิงอวี้ไม่ต้องเหลียวกลับไปมองก็รู้สึกได้ถึงสายตาอันเร่าร้อนของผู้คน คิดเพียงชั่วอึดใจ หนิงอวี้ตัดสินใจมุดลงกลางอกเขาแล้วยื่นมือออกไปดึงชุดคลุมเขามาบังตัวเองไว้


 


 


เว่ยหยวนก้มหน้าลงเห็นนางน่ารักว่าง่ายราวกับลูกแมวน้อยก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเบาๆ เขาตวัดแส้บังคับม้า ม้าร้องเสียงแหลมทะยานขึ้นกลางอากาศแล้วออกตะบึงห้อไปตามทาง


ตอนที่ 327 อยู่เคียงกันไม่แยกจาก ตราบจนแก่เฒ่า


 


 


เมื่อตอนจากกัน ในนางเต็มไปด้วยความรู้สึกเศร้าโศกและห่วงหา เมื่อหวนกลับคืน ในใจราวกับถูกเผาเป็นขี้เถ้า ความสับสนและอาฆาต นางจงใจมองข้ามซุกซ่อนมันเอาไว้ใต้เถ้าถ่าน


 


 


ยังจำได้เลือนรางว่าตอนที่จากไปเถาดอกม่วงระย้าบานสะพรั่ง ตอนนี้กลับคืนมา ดอกไม้ทั้งหลายต่างแห้งเ**่ยวร่วงโรย เหลือเพียงดอกบ๊วยท่ามกลางลมหนาว หนิงอวี้ก้มหน้าเลิกชายกระโปรงขึ้นคุกเข่าลงกับพื้น


 


 


 “ท่านพ่อ ท่านแม่ หนิงอวี้ลูกสาวอกตัญญูผู้นี้กลับมาคารวะแล้ว”


 


 


หงหลิงเห็นนางคุกเข่าก็มุ่นหัวคิ้วไม่หยุด เมื่อยื่นมือไปหมายจะประคองนางขึ้น กลับเห็นเว่ยหยวนใช้แววตาเป็นนัยห้ามเอาไว้ก่อน


 


 


อากาศหนาวยะเยือก ผู้เป็นนายซ้ำยังมีครรภ์…หงหลิงจนปัญญา ได้แต่ก้าวถอยออกมาสองสามก้าว


 


 


เว่ยหยวนขมวดคิ้ว ยื่นมือขึ้นปลดเสื้อคลุมกันลมคลุมไปบนตัวหนิงอวี้ เขาเลิกชายเสื้อขึ้น คุกสองเข่าลงกับพื้นแล้วพูดขึ้นเสียงทุ้มว่า “เว่ยหยวนลูกเขยผู้นี้ มาที่นี่เพื่อคารวะท่านพ่อตา ท่านแม่ยาย”


 


 


หนิงอวี้โขกศีรษะ เส้นผมเกาะติดไปด้วยเกล็ดหิมะสีขาว เมื่อโขกศีรษะคำนับสามครั้งแล้ว หนิงอวี้ก็รู้สึกว่าเกล็ดหิมะน้อยๆ บนหน้าผากกลายเป็นน้ำไหลลดคดเคี้ยวลงมา


 


 


“ท่านพ่อ ท่านว่าอย่างไร ข้าเข้าใจผิด หรือว่าอย่างไรกัน” หนิงอวี้ย่นคิ้ว ริมฝีปากขาวซีด “ข้าคิดว่า ท่านคงให้อภัยเขาใช่หรือไม่”


 


 


เว่ยหยวนได้ยินเสียงอันแผ่วเบาของนางก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว เมื่อเหลือบสายตามองเห็นนางร่างกายสั่นเทิ้มก็รีบประคองนางไว้อย่างรีบร้อน


 


 


“ข้าพยายามทำตามความคิดท่านแล้ว แต่ว่า ข้า…”


 


 


หนิงอวี้ขบริมฝีปาก ตั้งใจจะเอ่ยคำแต่ก็หยุด ทำตามความคิดบิดา เขาหวังให้นางใช้ชีวิตที่เหลือกับเว่ยหยวนอย่างสงบสุข อย่าได้คิดถึงเรื่องราวโสมมทั้งหลายให้มากนัก


 


 


ท่านสิ้นใจไปพบกับมารดยังปรโลก จะเอาเรื่องทางโลกไปรบกวนท่านได้อย่างไร หนิงอวี้คิดถึงจุดนี้ก็ยกมุมปากขึ้นฝืนยิ้ม


 


 


ลองคิดอีกครั้ง สุขทุกข์ทั้งหลายของนางไม่อาจบอกใครไม่มีใครคอยอยู่ข้างหลัง บนโลกนี้ผู้ที่เกี่ยวพันทางสายเลือดคนเดียวของนางได้ตายไปแล้ว


 


 


รอยยิ้มที่เรือนรางอย่างยิ่งบนใบหน้าหนิงอวี้พลันเหือดไป เบ้าแดงก่ำ นางรู้สึกตัวว่ามีใบหน้าเศร้าโศก วินาทีถัดมาก็พยายามยกมุมปากขึ้นยิ้ม แต่ดวงตากลับเอ่อรื้นไปด้วยน้ำตา


 


 


เว่ยหยวนยื่นมือไปปาดน้ำตาที่ไหลจากหางตานางแล้วพูดขึ้นเสียงเบา “อยากร้องไห้ก็ร้องเถิด”


 


 


หนิงอวี้ส่ายหน้า บนใบหน้ายังคงประดับยิ้มทื่อๆเอาไว้ แต่เว่ยหยวนกลับคว้านางเข้ามาในอ้อมกอด


 


 


อ้อมกอดอันอบอุ่น กลิ่นหอมอันคุ้นเคย ชั่วพริบตาเดียว น้ำตาก็พร่างพราวราวสายฝน หงหลิงที่อยู่ด้านข้างเห็นเข้าก็อดไม่ได้ที่จะสะอื้นไห้ ในใจนายหญิงคงเสียใจอยู่ไม่น้อย


 


 


พักหนึ่ง หนิงอวี้ห้ามน้ำตาไว้แล้วผลักเว่ยหยวนออกด้วยหน้าแดงระเรื่อ เว่ยหยวนพลิกมือกลับพลางกุมมือนางเอาไว้แน่นแล้วพูดขึ้นเสียงทุ้ม “ท่านพ่อตา ท่านแม่ยาย ชีวิตที่เหลือจากนี้ไป ข้าจะจูงมือนางเดินไปด้วยกัน อย่าได้เป็นห่วงเลย”


 


 


“มอบหนิงอวี้ให้ข้า ข้าจะไม่ให้นางต้องลำบาก ไม่ให้นางต้องเหน็ดเหนื่อย ไม่ต้องเสียน้ำตาโดยไม่จำเป็นแม้แต่น้อย”


 


 


“ข้าจะคอยดูแลนางให้ดี สุดความสามารถที่มีของข้า”


 


 


เว่ยหยวนเหลียวกลับ กุมมือนางแน่นแล้วก้มหน้าลงจุมพิตหนึ่งที


 


 


หนิงอวี้ยกมุมปากยิ้มบางแล้วกุมมือเขากลับ สิบนิ้วสอดประสาน หนิงอวี้หน้าแดงถึงใบหูแล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ดี อยู่เคียงกันไม่แยกจาก ตราบจนแก่เฒ่า”


 


 


มือที่กุมแน่นถูกชูขึ้น หนิงอวี้น้ำตาคลอเบ้า ท่านพ่อท่านวางใจเถอะ ลูกสาวผู้นี้มีความสุขแน่นอน หลังจากครั้งนี้ไป ไม่จำเป็นต้องกังวลด้วยเรื่องของข้า ท่านกังวลเพราะข้ามาชั่วชีวิตแล้ว…


 


 


หงหลิงที่อยู่ด้านข้างน้ำตาคลอเบ้า พอรู้สึกถึงเสียงสะอื้นของตนก็ก้าวถอยสองสามก้าว ถึงแม้ท่านขุนพลจะจากโลกไปแล้ว แม้นายน้อยขุนพลหนิงหายสาบสูญ แม้นายหญิงไม่เหลือญาติพี่น้องต้องโดดเดี่ยวลำพัง แต่ยังดีที่นางยังได้รับการเอาใจใส่อย่างจริงใจจากฮ่องเต้


 


 


หงหลิงยกมือขึ้นล้วงผ้าเช็ดหน้าออกจากแขนเสื้อ เช็ดสองสามทีก็ทิ้งผ้าเช็ดหน้านั้นไป นางยกมือขึ้นมาเช็ดน้ำตาแทน มั่วหลีอยู่ไม่ไกลจากที่นั่นเห็นนางร้องไห้ ก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วส่ายหน้าแล้วรีบเดินเข้าไป


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 328 พระราชพิธีแต่งตั้งฮองเฮา


 


 


สีเหลืองทองตัดสลับกับสีแดงชาดถูกตกแต่งไปทั้งท้องพระโรง หนิงอวี้สวมมงกุฎหยกประดับระย้ามุก ยิ้มอย่างพอประมาณ


 


 


ขุนนางนับร้อยคุกเข่าลงกับพื้น โหรหลวงเปิดหนังสือสีเหลืองทองออก อ้าปากกล่าวคำพูดที่ฟังดูยิ่งใหญ่เป็นทางการ หนิงอวี้หรี่ตาครึ่งหนึ่ง เมื่อรู้สึกตัวว่ากำลังเสียกิริยาก็พยายามปั้นหน้ายิ้มทำตัวกระปรี้กระเปร่า


 


 


ยิ้มไม่เผยให้เห็นฟันท่าทีดูสง่าผ่าเผย แม้รู้สึกวิงเวียนเล็กน้อย เท้ายังเดินต่อไปไม่หยุด แต่จังหวะก้าวนั้นกลับดูวุ่นวายอยู่บ้าง หงหลิงสังเกตเห็นท่าทีผิดปกติของนางก็รีบเดินเข้าไปประคอง


 


 


หนิงอวี้กุมมือนางแน่นแล้วพยักหน้าเบาๆ เว่ยหยวนลุกขึ้นยืนอยู่บนพรมแดง มองออกมาไกลๆ ยังนาง แววตาแฝงด้วยรอยยิ้มอันอ่อนโยน


 


 


บนศีรษะประดับมงกุฎประดับไข่มุกสว่าง คงหนักราวกับสิบชั่งกว่าได้ หนิงอวี้เดินไปด้วยใบหน้าประดับยิ้ม ในใจก็แอบคิดไปเรื่อยเปื่อย


 


 


เสื้อผ้าบนกายนอกสามชั้นในสามชั้น แม้จะรักษาความอบอุ่นไล่ความหนาวได้ แต่มันกลับทำให้นางเดินเหินไม่สะดวก หลายต่อหลายครั้งที่ย่ำโดนชายกระโปรงเข้า


 


 


หมัวมัวที่อยู่ด้านข้างอดไม่ได้ที่จะส่ายหน้า สุดท้ายก็หันหน้าออกไม่ยอมมอง ก่อนพระราชพิธีแต่งตั้งฮองเฮา ฮองเฮาจำเป็นต้องรับการอบรมธรรมเนียมมารยาทอย่างครบถ้วน


 


 


เฮ้อ จนปัญญาด้วยฮองเฮากำลังทรงครรภ์ ทั้งฮ่องเต้ยังทรงรับสั่งว่าไม่จำเป็นต้องใส่ใจธรรมเรียมหยุมหยิมมากนัก เช่นนั้น ชั่วโมงอบรมมารยาทที่ว่าก็เพียงแค่การมานั่งสัปหงกหลับเท่านั้น


 


 


เว่ยหยวนสังเกตเห็นชายกระโปรงเคลื่อนไหวเบาๆ หนิงอวี้มุ่นหัวคิ้วน้อยๆ เป็นพักๆ ก็รู้ว่าตอนนี้ในใจนางกำลังตื่นเต้นกังวล


 


 


หนิงอวี้จับสัมผัสสายตาเขาที่จดจ้องได้ก็ยกมุมปากขึ้นยิ้มบางอย่างสุดวิสัย ดูเหมือนเรื่องนี้นางทำพลาดเข้าเสียแล้ว แต่สองสามวันมานี้นางอดไม่ได้ที่จะสัปหงกจริงๆ


 


 


รู้สึกผิดอยู่นาน เว่ยหยวนยกเท้าขึ้นเดินเข้ามา รองเท้าสีเหลืองทองเหยียบเดินย่ำไปบนพรมสีแดงชาด ลายมังกรปักดิ้นทองบนชายเสื้อดูราวกับกำลังมีชีวิตจริงๆ


 


 


“ฝ่าบาท มิได้นะพ่ะ…นี่ไม่ถูกต้องตามธรรมเนียมนะพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


โหรหลวงขมวดคิ้ว คิ้วยาวจรดกันในตอนแรกกำลังขมวดเข้าด้วยกันแน่น


 


 


หัวหน้าขันทีสะบัดแส้ในมือแล้วพูดเตือนเสียงเบา “ฮ่องเต้ทรงเป็นมังกรโอรสสวรรค์ จะทำสิ่งใดนั้นสวรรค์ล้วนเห็นชอบ”


 


 


โหรหลวงอ้าปากหมายจะพูดทัดทาน กลับถูกหัวหน้าขันทีถลึงตาใส่ พลันนึกขึ้นได้ว่าสำนักเต๋าของตนกำลังบูรณะครั้งใหญ่อยู่ จึงหุบปากลงเงียบๆ


 


 


ท่ามกลางความเงียบ เว่ยหยวนเดินผ่านพรมแดง ประคองมือนางขึ้นมาอย่างระวังแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เราจะประคองเจ้าไว้ ระวังด้วย”


 


 


หนิงอวี้ก้มหน้า ดวงตาทั้งคู่ชื้นขึ้นเล็กน้อย แม้ว่ารอบข้างจะเงียบสงบแต่นางไม่จำเป็นต้องมองก็รู้ว่าสายตาผู้คนนั้นเป็นอย่างไร โหรหลวงบอกว่านี่ผิดธรรมเนียม แต่เว่ยหยวน เพื่อนางแล้วไม่ได้สนใจกฎเกณฑ์ใดๆ


 


 


เขาเด็ดดอกบ๊วยกลางลมหนาวให้นาง ยอมทิ้งศักดิ์ศรีเพื่อนาง ยอมทิ้งแผ่นดินเพื่อนาง เขายืนอยู่อีกข้าง ไม่ได้ใส่ใจสายตาของผู้คน ไม่ใส่ใจคำพูดครหานินทา เขาเพียงแค่เดินเข้ามาหานางเงียบๆ


 


 


น้ำตาพรั่งพรู เว่ยหยวนยื่นมือขึ้นเช็ดน้ำตาให้นางอย่างอ่อนโยน หนิงอวี้สูดจมูกแล้วยกมุมปากขึ้นยิ้ม


 


 


เดินผ่านพรมแดง หนิงอวี้ก้มหน้าลงมองสองมือที่กุมกันแน่นก็อดยิ้มไม่ได้ ชาติก่อนนั้น นางมองคนผิดไป ได้แต่อดทนกับความเจ็บปวดที่เสียดแทง สุดท้ายต้องตายด้วยสุราพิษ มาชาตินี้ ในที่สุดนางก็ได้พบคนที่จะอยู่เคียงข้างจนแก่เฒ่าไปด้วยกันเสียที


 


 


ภายในอดีตต่างปรากฏขึ้นในความคิด แสงไฟส่องสว่างในถ้ำ โคมไฟอันประณีตกลางสระบัว ขนมถังหูหลู่ในงานโคมไฟที่อำเภอฉางอัน


 


 


คำพูดเยินยอเดิมที่แว่วอยู่ข้างหู ก็เพียงเข้าหูซ้ายออกหูขวา ในสายตานางนั้นมีเพียงหนึ่งเดียว ทั้งหมดก็คือเขา หนิงอวี้กุมนิ้วมืออันเรียวยาวของเขาแล้วพูดขึ้นเสียงเบาว่า “ขอบพระทัยเพคะ”


 


 


ขอบคุณที่ได้พบเจอ ขอบคุณที่ได้รู้จัก ขอบคุณที่รักกัน นางเคยเป็นดั่งเต่า ได้พบความรักก็เอาแต่หดหัวไม่กล้าเดินหน้าต่อ นางเคยคิดว่า ชาตินี้คงต้องอยู่เพียงลำพัง ไม่ก็เมามายอยู่ชายแดน ไม่ก็ออกบวชแสวงทางธรรม พอได้เจอกับเขาจึงได้พบว่าไฟจากเตาผิงนั้นอบอุ่นมากเพียงใด

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม