วาสนาบันดาลรัก 321-327

ตอนที่ 322 พระราชนัดดาตัวปลอม

 

 


 


“เจี๋ยวเจี่ยว เจ้าคิดว่าไท่จื่อเฟยเจตนาใช้พระราชนัดดามากลั่นแกล้งเจ้าหรือ”


 


 


เจินเมี่ยวพยักหน้า “ข้ารู้ว่าคิดเช่นนี้นั้นมันดูเหลวไหลยิ่ง จะมีมารดาคนใดที่จะใช้ชีวิตของบุตรตนมากลั่นแกล้งผู้อื่น โดยเฉพาะคนในเชื้อพระวงศ์ บุตรชายนั้นมีความสำคัญต่อสตรียิ่งจนมิต้องพูดอันใดให้มากความ ดังนั้นจึงมิอาจพูดเรื่องนี้ต่อหน้าผู้อื่นได้ มิเช่นนั้นคนคงคิดว่าข้าสติไม่ดี แต่ข้าค่อนข้างเชื่อในความรู้สึกของตนเอง จิ่นหมิง ท่านคงไม่คิดว่าข้าคิดเหลวไหลไปเองกระมัง”


 


 


“จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไรเล่า” หลัวเทียนเฉิงยื่นมือไปลูบผมเจินเมี่ยว เขาหรี่ตาลงเล็กน้อยแล้วค่อยเอ่ยขึ้นว่า “บางที ความรู้สึกของเจ้าอาจจะถูกก็ได้”


 


 


เขามองเจินเมี่ยวอย่างล้ำลึกคราหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “หากพระราชนัดดาผู้นี้มิใช่พระราชนัดดาเล่า”


 


 


เจินเมี่ยวตกตะลึงไปใหญ่ “ท่านหมายความว่าพระราชนัดดาผู้นี้เป็นตัวปลอมงั้นหรือ เป็นไปไม่ได้กระมัง ก่อนหน้านี้ข้าก็เคยเห็นเขามาแล้ว อีกอย่าง ตอนนั้นอ๋องทั้งสามพระองค์ก็อยู่ด้วย หากเป็นตัวปลอมก็จะดูไม่ออกเลยหรือ”


 


 


หลัวเทียนเฉิงก้มหน้าปิดบังแววตาเย็นชาของตนไว้ “พระราชนัดดาเป็นเพียงเด็กน้อยผู้หนึ่ง ต่อให้จะมีฐานันดรศักดิ์สูงส่งแต่ในสถานการณ์เช่นนั้นจะมีผู้ใดไปใส่ใจสังเกต เมื่อเป็นเช่นนี้ขอเพียงเด็กน้อยผู้นั้นมีความคล้ายพระราชนัดดาสักเจ็ดแปดส่วนก็สามารถหลอกตาผู้คนได้แล้ว”


 


 


การเลี้ยงเด็กเพื่อไว้ใช้เป็นตัวตายตัวแทนของบุคคลที่มีฐานันดรสูงศักดิ์เหล่านั้นมิใช่เรื่องพบเห็นได้ยากอันใด หากซูหันผู้เป็นพ่อตาของไท่จื่อจะปิดหน้าต่างก่อนฝนพรำด้วยการเลี้ยงดูเด็กน้อยที่หน้าตาคล้ายพระราชนัดดาไว้ก็มิใช่เรื่องแปลกสักนิด


 


 


ชาติก่อนหลังจากที่ไท่จื่อถูกปลดจากตำแหน่ง พระราชนัดดาก็สิ้นในเวลาต่อมาจึงมิได้มีคลื่นลมแห่งความวุ่นวายใดเกิดขึ้น หากเขาเดาไม่ผิดก็น่าจะลอบสับเปลี่ยนพระราชนัดดาตัวจริงออกไปจากวังเงียบๆ ปล่อยให้ได้ใช้ชีวิตอย่างคนธรรมดาต่อไป


 


 


หากชาตินี้จะให้เขาทำตามแผนการเดิมก็มิเป็นอันใด เพราะอย่างไรบุตรชายของรัชทายาทที่ถูกปลดนั้นก็มิสามารถก่อคลื่นลมใดได้อยู่แล้ว แต่ไท่จื่อเฟยกลับทำเรื่องที่หมื่นไม่ควรพันไม่ควรลงไปด้วยการดึงเจี๋ยวเจี่ยวไปเกี่ยวข้อง ในเมื่ออีกฝ่ายไม่มีมนุษยธรรมก็อย่าตำหนิว่าเขาไร้น้ำใจเลย


 


 


หลัวเทียนเฉิงจึงลอบส่งคนไปสืบความจริง ส่วนไท่จื่อเฟยกลับไปทูลฟ้องไท่โฮ่วถึงตำหนัก


 


 


ในวันที่ไท่จื่อก่อกบฏก็ได้ส่งคนกลุ่มหนึ่งไปควบคุมตัวไท่โฮ่วแต่ยังมิทันสำเร็จก็ถูกคนของหลัวเทียนเฉิงสกัดไว้ก่อน เจาเฟิงตี้ห่วงว่าหากไท่โฮ่วทราบเรื่องจะทรงเสียพระทัยจนประชวรจึงปิดบังเรื่องนี้ไว้


 


 


ไท่โฮ่วได้ฟังวาจาเอ่ยฟ้องทั้งน้ำตาของไท่จื่อเฟยแล้วก็โกรธกริ้วอย่างยิ่ง “ขันที จงไปแจ้งแก่เจียหมิงเซี่ยนจู่ให้นางเข้าวังมาตอนนี้เลย”


 


 


หลังจากนั้นหนึ่งชั่วยาม ไท่โฮ่วก็ได้เห็นเจินเมี่ยวก็มาคุกเข่าอยู่ตรงหน้าตน ไท่โฮ่วมีสีหน้าเคร่งขรึมยิ่ง กระทั่งผ่านไปนานจึงเอ่ยขึ้นว่า “ลุกขึ้นเถิด”


 


 


“ขอบพระทัยไท่โฮ่ว” เจินเมี่ยวฝืนตัวยืนขึ้นด้วยความปวดและชาหนึบที่บริเวณหัวเข่าตน


 


 


“เจียหมิง เรื่องที่เกิดขึ้นในวันก่อนไท่จื่อเฟยเล่าให้ข้าฟังแล้ว เจ้าเป็นถึงเซี่ยนจู่เหตุใดจึงกระทำการบุ่มบ่ามเช่นนั้นเล่า เจ้ารู้หรือไม่ว่ายามนี้รุ่ยเกอกำลังไม่สบาย!”


 


 


ไท่จื่อเฟยที่นั่งถัดลงมาจากไท่โฮ่วค่อยๆ ยกมุมปากตนขึ้นแค่นยิ้มเย็นอยู่เงียบๆ


 


 


หลังจากที่นางกลับวังมาก็ตั้งใจทิ้งเวลาไว้สักสองวัน รอกระทั่งเด็กน้อยเริ่มตัวร้อนจึงมาร้องห่มร้องไห้กับไท่โฮ่ว เมื่อไท่โฮ่วได้ยินว่าพระราชนัดดามีไข้สูงเพราะตกน้ำก็โกรธกริ้วขึ้นมาทันใด


 


 


ครานี้นางอยากจะรู้เช่นกันว่าเจียหมิงเซี่ยนจู่จะสลัดหลุดจากเรื่องนี้อย่างไร!


 


 


การใช้ชีวิตของเด็กน้อยที่อย่างไรก็ต้องตายมาแลกกับความเกลียดชังของไท่โฮ่วที่มีต่อเจียหมิงเซี่ยนจู่นั้นทำได้จริงๆ


 


 


เจินเมี่ยวย่อกายถวายพระพรแล้วเอ่ยว่า “ไท่โฮ่ว เกิดเรื่องเช่นนั้นกับพระราชนัดดา หม่อมฉันก็เสียใจเช่นกันจึงได้ส่งของบำรุงไปภายในวันนั้นทันที แต่น่าเสียดายที่ไท่จื่อเฟยกลับปฏิเสธที่จะรับไว้”


 


 


“พระราชนัดดาตกน้ำเพราะเจ้า ของที่เจ้าส่งมาให้ข้าไหนเลยจะกล้ารับ!”


 


 


เจินเมี่ยวมองไท่จื่อเฟยคราหนึ่งก็ยิ้มออกมาโดยพลัน “ไท่จื่อเฟยเอ่ยเช่นนี้ก็มิถูก ของบำรุงที่หม่อมฉันส่งไปนั้นเป็นน้ำใจเท่านั้น หากบอกว่าการตกน้ำของพระราชนัดดาเกี่ยวกับหม่อมฉัน ความผิดนี้หม่อมฉันคงมิอาจรับไว้ได้!”


 


 


“เสด็จย่า พระองค์ดูเอาเถิด ถึงตอนนี้แล้วเจียหมิงเซี่ยนจู่ยังคงเฉไฉอยู่อีก!”


 


 


ไท่โฮ่วมีสีหน้านิ่งดุจสายน้ำ นางยกมือขึ้นโบกคราหนึ่ง “นำคนเข้ามาให้หมด”


 


 


หลังจากนั้นเพียงครู่ จังเฉาฮวาและบรรดาบ่าวไพร่ของพระราชนัดดาที่คอยรับใช้ในวันนั้นก็เดินเรียงกันเป็นแถวเข้ามา


 


 


“นางจัง เจ้าพูดก่อน”


 


 


จังเฉาหวาคุกเข่าลงด้วยจิตใจอันหวาดหวั่น


 


 


“นางจัง เจ้าแค่เล่าเรื่องที่เห็นทั้งหมดในวันนั้นออกมาให้หมดก็พอ…มิต้องกลัว” ไท่โฮ่วเห็นนางดูเคร่งเครียดจึงเอ่ยเสริมสำทับอีกคำหนึ่ง


 


 


จังเฉาหวาจึงรวบรวมความกล้าเอ่ยขึ้นว่า “วันนั้น หม่อมฉันเดินตามหลังเจียหมิงเซี่ยนจู่ไป พระราชนัดดาวิ่งมาจากอีกฝั่งของสะพาน กระทั่งมาหยุดตรงหน้าเจียหมิงเซี่ยนจู่จึงตกลงไปในน้ำเพคะ”


 


 


“เช่นนั้นเขาถูกเจียหมิงเซี่ยนจู่ชนตกน้ำจริงหรือไม่เล่า”


 


 


จังเฉาหวาคิดครู่หนึ่งจึงพยักหน้ายืนยันว่า “เพคะ”


 


 


ความจริงเรื่องมาถึงตอนนี้นางเองก็จำเรื่องราวในวันนั้นไม่ค่อยได้แล้วว่าเป็นเช่นไร เหมือนจะเห็นเจียหมิงเซี่ยนจู่ชนพระราชนัดดา แต่เมื่อคิดให้ถี่ถ้วนอีกทีกลับมิกล้ายืนยัน ทว่านางเคยพูดไปกับคนหลายคนแล้วว่าเจียหมิงเซี่ยนจู่ชนพระราชนัดดาตกน้ำ แล้วจะกลับคำได้อย่างไรเล่า


 


 


“พวกเจ้าเล่า?” ไท่โฮ่วกวาดตามองบรรดาบ่าวไพร่ที่คุกเข่าอยู่บนพื้นด้วยท่าทีงามสง่าทั้งดุดัน


 


 


คนเหล่านั้นย่อมตอบรับอย่างพร้อมเพรียงเป็นธรรมดา


 


 


ไท่โฮ่วมองเจินเมี่ยวคราหนึ่ง “เจียหมิงเจ้าชนรุ่ยเกอตกน้ำ แต่ยังคงปากแข็งไม่ยอมรับ ช่างเป็นพฤติกรรมที่สร้างความเสื่อมเสียให้กับพระบรมวงศานุวงศ์จริงๆ บรรดาศักดิ์เซี่ยนจู่ของเจ้าฝ่าบาทเป็นผู้ประทานให้ ข้าจึงมิอาจไม่ยอมรับ แต่การกระทำผิดครั้งนี้หากลงโทษสถานเบา เกรงว่าภายหน้าเจ้าจะยิ่งทำเรื่องที่เสื่อมเสียต่อพระบรมวงศานุวงศ์หนักหนามากขึ้นกว่าเดิม เช่นนี้เถิด ข้าจะให้เจ้าไปบำเพ็ญตนที่วัดต้าฝูครึ่งปีเพื่อขอพรให้รุ่ยเกอ”


 


 


ไท่จื่อเฟยเกือบจะหลุดหัวเราะร่าออกมาจึงได้แต่มองเจินเมี่ยวด้วยความเบิกบานอย่างหาใดเปรียบ


 


 


“เจียหมิง เจ้ายอมรับหรือไม่” ไท่โฮ่วเอ่ยเป็นมารยาทแต่สายตาคู่นั้นกลับจ้องเจินเมี่ยวเขม็ง


 


 


เจินเมี่ยวจัดระเบียบเสื้อผ้าตนแล้วคุกเข่าลงเอ่ยเสียงแจ่มชัดว่า “ไท่โฮ่วทรงพระเมตตานัก การ


 


 


ลงโทษเช่นนี้ต่อคนที่ทำให้พระราชนัดดาตกน้ำนั้นนับว่าเบายิ่ง แต่หม่อมฉันยังมีคำถามอยู่ข้อหนึ่งเพคะ”


 


 


“ว่ามา” ไท่โฮ่วเอ่ยเสียงเรียบ


 


 


หากถึงตอนนี้แล้วนางยังไม่ยอมรับผิด เช่นนั้นก็อย่าตำหนิว่านางไม่ไว้หน้าแล้วกัน


 


 


เจินเมี่ยวเองก็ไม่คิดจะดึงดันเรื่องนี้อีก นางเพียงเงยหน้าขึ้นกวาดตามองบ่าวไพร่ทั้งหลายเหล่านั้นคราหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “วันนั้นพระราชนัดดาวิ่งขึ้นมาบนสะพานเพียงคนเดียว ว่าไปแล้วก็ย่อมเป็นเพราะบ่าวไพร่เหล่านั้นดูแลไม่รัดกุม ไม่ทราบว่าไท่โฮ่วจะทรงจัดการพวกนางเช่นไรหรือเพคะ”


 


 


หากมิทำนางก่อน นางก็มิทำผู้อื่นเช่นกัน ในเมื่อรับคำสั่งจากไท่จื่อเฟยมาให้เป็นพยานเท็จก็ย่อมต้องจ่ายค่าตอบแทนให้นางเช่นกัน


 


 


ครั้นวาจานี้กล่าวออกไป ใบหน้าของคนเหล่านั้นก็ดำมืดดุจก้อนดินแล้วหันมองไท่จื่อเฟยด้วยความหวาดหวั่นลนลาน


 


 


สำหรับไท่โฮ่วแล้วบ่าวไพร่เหล่านี้ก็ไม่ต่างอันใดกับเศษธุลี ในเมื่อเจียหมิงเซี่ยนจู่ยอมรับผิด บ่าวไพร่พวกนั้นก็ย่อมมิอาจหลุดพ้นจากความผิดไปได้ นางจึงเอ่ยอย่างไม่คิดอันใดว่า “พระราชนัดดาไม่สบายอยู่ ไม่อาจเห็นโลหิตคาว เช่นนั้นก็ส่งคนพวกนี้ไปทำงานที่โรงซักผ้าแล้วกัน”


 


 


“ไท่โฮ่วทรงโปรดอภัยและละเว้นหม่อมฉันด้วยเถิดเพคะ!” คนเหล่านั้นรู้สึกดั่งฟ้าพลิกคว่ำ ต่างพากันก้มหน้าต่ำอย่างเอาเป็นเอาตาย


 


 


ไม่ง่ายเลยกว่าที่พวกนางจะได้ไปอยู่ที่ตำหนักตงกงทั้งยังได้รับใช้พระราชนัดดา ไม่แน่ว่าภายหน้าอาจมีอนาคตอันสดใส แต่หากถูกส่งไปยังโรงซักผ้า พวกนางที่เคยชินกับชีวิตที่สุขสบายแล้วคงอยู่ที่นั่นได้ไม่นานก็คงถูกทรมานจนตายแน่


 


 


เมื่อคนเหล่านั้นเห็นไท่โฮ่วแสดงสีหน้ารำคาญใจก็หันไปขอร้องไท่จื่อเฟยแทน


 


 


ไท่จือเฟยมีสีหน้าย่ำแย่ยิ่ง


 


 


นางคิดไม่ถึงว่าเจียหมิงเซี่ยนจู่จะกัดพวกบ่าวไพร่ไม่ปล่อยเช่นนี้ หากเจียหมิงไม่พูดออกมา ไท่โฮ่วที่อายุมากแล้วเช่นนี้จะนึกเรื่องนี้ออกได้อย่างไร ถึงตอนนั้นนางก็แค่ทำโทษให้ที่แจ้งตกรางวัลในที่ลับให้บ่าวไพร่รับใช้นางอย่างดีต่อไปก็สิ้นเรื่องแล้ว


 


 


แต่ยามนี้นางมิอาจขอร้องแทนพวกเขาได้ เมื่อเป็นบ่าว การดูแลนายนั้นเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลยิ่ง หากดูแลไม่ดี การลงโทษก็เป็นเรื่องที่สมควร


 


 


นางจึงทำได้เพียงส่งสายตาปลอบใจไปให้คนเหล่านั้น


 


 


ไม่นานคนเหล่านั้นก็ถูกลากออกไป


 


 


ไท่โฮ่วยกถ้วยชาขึ้นแล้วเอ่ยว่า “เจียหมิง เช่นนั้นเจ้ากลับไปเก็บของ พรุ่งนี้ค่อยไปแล้วกัน”


 


 


เจินเมี่ยวคุกเข่าอยู่ไม่ยอมลุกขึ้น “ไท่โฮ่วเพคะ วันนี้ฝ่าบาททรงเรียกให้ท่านพี่เข้าเฝ้า หม่อมฉันไม่มีสิ่งของใดมากนัก ประเดี๋ยวก็ให้ท่านพี่พาหม่อมฉันไปส่งที่วัดต้าฝูเลยได้หรือไม่เพคะ”


 


 


ไท่โฮ่วหนังตากระตุกขึ้นมาทันใด


 


 


นางเกือบจะลืมไปแล้วว่าฝ่าบาทให้ความสำคัญกับหลัวเทียนเฉิงแตกต่างจากผู้อื่น เขาถูกกักบริเวณยังไม่ถึงเดือนด้วยซ้ำก็เรียกตัวเข้าวังแล้วหรือ


 


 


ไม่ว่าอย่างไรไท่โฮ่วก็ย่อมต้องคำนึงถึงเจาเฟิงตี้เช่นกัน นางจึงพยักหน้ารับ


 


 


ในเวลานี้เองขันทีกลับร้องขึ้นมาว่า “ฝ่าบาทเสด็จ…”


 


 


เจาเฟิงตี้เดินเข้ามาด้านใน ข้างหลังมีหลัวเทียนเฉิงติดตามมาด้วย สายตาของเขามองไปยังเจินเมี่ยวที่คุกเข่าอยู่แล้วเม้มริมฝีปากตน


 


 


เจินเมี่ยวสบเข้ากับสายตานั้นแล้วส่ายหน้าเล็กน้อยเป็นการบอกว่านางไม่เป็นไร


 


 


“เหตุใดจึงไม่นอนพักผ่อนให้สบาย แต่กลับมาที่นี่เล่า?” ไท่โฮ่วเอ่ยตำหนิ


 


 


เจาเฟิงตี้ก็ไม่ใคร่จะขึ้นว่าราชการที่ท้องพระโรงแล้วมาตั้งแต่ต้นปีแล้ว ไท่โฮ่วจึงห่วงใยสุขภาพของเขาอย่างยิ่ง


 


 


“ได้ยินว่ารุ่ยเกอไม่สบายจึงมาเยี่ยมสักหน่อย”


 


 


เมื่อไท่โฮ่วได้ยินว่ารุ่ยเกอไม่สบายก็ย้ายเขาจากตำหนักตงกงมาที่นี่ แต่มิได้บอกเรื่องนี้กับเจาเฟิงตี้


 


 


นางจึงมองไท่จื่อเฟยคราหนึ่ง


 


 


การที่ไท่จื่อเฟยมาหานางที่นี่โดยมิไปรบกวนเจาเฟิงตี้นั้นทำให้นางค่อนข้างจะพอใจอยู่ แล้วเหตุใดเขาถึงมาที่นี่ได้เล่า หรือคิดว่านางลงโทษเจียหมิงเซี่ยนจู่ด้วยโทษสถานเบาเกินไป?


 


 


ว่าไปแล้วในสายตานางนั้นบรรดาศักดิ์เจียหมิงเซี่ยนจู่กลับมินับเป็นอันใดได้ แต่เพราะนางเป็นฮูหยินของคุณชายผู้สืบทอดจวนเจิ้นกั๋วกง หากลงโทษหนักเกินไปคงไม่ดีนัก ไท่จื่อเฟยคงมิได้ไม่เข้าใจแม้แต่จุดนี้กระมัง


 


 


ไท่จื่อเฟยก็เคร่งเครียดเช่นกัน แม้ฝ่าบาทจะไม่มีทางรู้ฐานะที่แท้จริงของเด็กน้อยคนนั้น แต่อย่างไรก็เป็นจักรพรรดิของแผ่นดินนี้ ทั้งยังรังเกียจนางและบุตร หากเผลอแสดงพิรุธอันใดต่อหน้าไท่โฮ่วออกมาแม้เพียงน้อยนิด วันข้างนางของนางคงยิ่งยากลำบากแล้ว


 


 


“ฝ่าบาท กระหม่อมได้ยินว่าพระราชนัดดาตกน้ำ ทั้งยังเกี่ยวข้องกับฮูหยินของกระหม่อม จึงอยากจะมาเยี่ยมอยู่โดยตลอด วันนี้กลับประจวบเหมาะยิ่ง ขอพระองค์ทรงเมตตาพวกเราสองสามีภรรยาด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


เจาเฟิงตี้พยักหน้ารับคราหนึ่ง


 


 


จังเฉาหวานั้นถูกคนเชิญกลับจวนไปเสียนานแล้ว คนทั้งสี่จึงไปหารุ่ยเกอพร้อมกัน


 


 


เวลานี้รุ่ยเกอกำลังนอนหลับอยู่ เจาเฟิงตี้พิเคราะห์เด็กน้อยหน้าตาขาวซีดนั้นแล้วพลันแค่นยิ้มเย็นออกมา “เหตุใดเราจึงรู้สึกว่าเด็กน้อยคนนี้มิใช่รุ่ยเกอเล่า”


 


 


ไท่จื่อเฟยตกใจยิ่งนางถอยหลังไปสองก้าวในทันที


 


 


เจาเฟิงตี้มองไปที่นางแล้วถามว่า “ไท่จื่อเฟยเป็นอันใดไปหรือ”


 


 


ไท่จื่อเฟยพลันคุกเข่าลงทันใด นางข่มใจที่เต้นรัวเร็วนั้นแล้วฝืนยิ้มพลางเอ่ยว่า “เสด็จพ่อทรงล้อเล่นเช่นนี้ ทำให้สะใภ้ตกใจยิ่งเพคะ”


 


 


ไท่โฮ่วมองไท่จื่อเฟยแล้วหันไปมองเจาเฟิงตี้ นางรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง “ฝ่าบาท มีอันใดหรือ”


 


 


ไท่โฮ่วอยู่ในวังมานานย่อมรับรู้ได้ถึงกลิ่นตุๆ อันไม่ธรรมดานี้ แต่วาจาที่เจาเฟิงตี้เอ่ยออกมานั้นออกจะประหลาดเกินไป ทำให้นางยากจะเข้าใจได้


 


 


เจาเฟิงตี้มองไท่จื่อเฟยที่ก้มหน้าก้มตาอยู่ เขาถอนหายใจยาวออกมาแล้วหันไปเอ่ยกับขันทีข้างกายว่า “ไปพาพระราชนัดดามาเถิด”


 


 


ไท่จื่อเฟยพลันเงยหน้าขึ้นคล้ายได้ยินเรื่องอันน่าอัศจรรย์อันใดเทือกนั้น


 


 


ผ่านไปครู่หนึ่ง ขันทีก็เดินโค้งกายจูงเด็กชายอายุไม่ถึงสิบปีดีเข้ามาด้วย


 


 


เด็กชายผู้นั้นหน้าตาสดใส ใบหน้าแดงเรื่อ บริเวณคอมีสร้อยทองแปดอัญมณี เห็นชัดว่าเป็นรุ่ยเกออย่างไม่ต้องสงสัย


 


 


ไท่โฮ่วจ้องมองรุ่ยเกอที่เพิ่งปรากฏตัวขึ้นมานั้นเขม็งแล้วหันไปมองรุ่ยเกอที่นอนอยู่บนเตียง พลันรู้สึกหน้ามืดตาลายขึ้นมา


 


 


นางกุมหน้าผากตนแล้วเอ่ยเสียงดุดันว่า “ไท่จื่อเฟย นี่มันเกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่!” 

 

 


ตอนที่ 323 ผีผา

 

ไท่จื่อเฟยค่อยๆ นั่งลงบนพื้น ตัวนางสั่นระริกดุจร่อนข้าว ขณะที่ไท่โฮ่วคาดคั้นสอบถามนางกลับพูดไม่ออกแม้เพียงคำ


 


 


“พระมารดา…” รุ่ยเกอสะบัดมือออกจากขันทีแล้ววิ่งเข้าไปหาไท่จื่อเฟย


 


 


ร่างอันนุ่มนิ่มอุ่นร้อนพุ่งเข้าสู่อ้อมอกนาง ไท่จื่อเฟยโอบรุ่ยเกอไว้แน่นแล้วร้องไห้เสียงดังออกมาอย่างเจ็บปวด


 


 


รุ่ยเกอตกใจจนแน่นิ่งไป เขายื่นมือออกมาลูบใบหน้าไท่จื่อเฟย “พระมารดา เหตุใดท่านจึงร้องไห้เล่า”


 


 


เขาเงยหน้าขึ้นมองด้วยความแปลกใจ เมื่อเห็นเด็กน้อยที่นอนอยู่บนเตียงก็ตะลึงไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยถามว่า “พระมารดา เขาเป็นใคร เหตุใดจึงหน้าตาคล้ายข้ายิ่ง”


 


 


ไท่จื่อเฟยพูดอันใดไม่ออกจึงเพียงกอดรุ่ยเกอไว้พลางร่ำไห้ไร้สุ้มเสียง


 


 


ไท่โฮ่วคล้ายเข้าใจอันบางอย่างขึ้นมา หน้าตาจึงเขียวคล้ำยิ่ง นางเอ่ยถามเน้นย้ำทีละคำว่า “ใช่แล้ว ไท่จื่อเฟย เจ้าบอกข้าได้หรือไม่ว่าหากเด็กที่อยู่ในอ้อมกอดเจ้าคือรุ่ยเกอ แล้วที่นอนอยู่บนเตียงนั้นคือผู้ใดกันเล่า”


 


 


รุ่ยเกอยกแขนโอบรอบคอไท่จื่อเฟยพลางกัดฟันเอ่ยถามว่า “พระมารดา เกิดอันใดขึ้นกันแน่”


 


 


รุ่ยเกอนับว่าเป็นเด็กที่อยู่ในวัยกำลังเติบใหญ่ทั้งยังโตในวัง ความคิดความอ่านย่อมมีมากกว่าเด็กอายุเท่ากันทั่วไป เขากระตุกแขนไท่จื่อเฟยคราหนึ่งแล้วใช้สายตาขอร้องอ้อนวอนมองไปยังไท่โฮ่ว


 


 


ไท่โฮ่วถูกมองเช่นนั้นก็เริ่มรู้สึกใจอ่อน แต่ด้วยรู้ว่าต้องมีปัญหาใหญ่อันใดบางอย่างซ่อนอยู่แน่จึงได้แข็งใจเบนสายตาหนีแล้วหันไปเอ่ยกับเจาเฟิงตี้ว่า “ให้รุ่ยเกอออกไปก่อนเถิด”


 


 


เจาเฟิงตี้พยักหน้า แล้วส่งสัญญาณให้ขันทีพารุ่ยเกอออกไป เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยขึ้นว่า “เจียหมิง เจ้าก็ออกไปเล่นเป็นเพื่อนรุ่ยเกอก่อนเถิด”


 


 


ไท่จื่อเฟยกอดรุ่ยเกอแน่นไม่ยอมปล่อยมือ


 


 


ไท่โฮ่วจึงเอ่ยเสียงเย็นว่า “หรือเจ้าอยากจะอธิบายเรื่องทั้งหมดต่อหน้ารุ่ยเกอ”


 


 


ไท่จื่อเฟยพลันสลดไป มือนั้นค่อยๆ คลายออก


 


 


“พระมารดา พระมารดา…” รุ่ยเกอไม่รู้ว่าเกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่จึงรู้สึกหวาดหวั่นอยู่ในใจ


 


 


รอกระทั่งรุ่ยเกอถูกพาออกไปแล้ว ไท่โฮ่วจึงค่อยๆ นั่งลงแล้วกวาดตามอง ‘พระราชนัดดา’ ที่ยังนอนปิดตาหลับสนิทอยู่บนเตียงคราหนึ่ง แล้วเอ่ยถามไท่จื่อเฟยว่า “พูดเถิด เรื่องราวเป็นเช่นใดกันแน่”


 


 


ไท่จื่อเฟยพลันพูดไม่ออกไปชั่วขณะ เล็บมือยาวจิกลงไปที่กลางฝามือจนหักเกิดเป็นรอยพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวสีแดงขึ้นมา


 


 


ยังคงเป็นเจาเฟิงตี้เอ่ยปากขึ้นก่อนว่า “เสด็จแม่ เป็นลูกเองที่มิได้บอกกับท่านตั้งแต่แรก วันที่ชูสยาออกเดินทางนั้นไท่จื่อวางแผนบุกเข้ามาในวังเพื่อก่อกบฏ ยามนี้ถูกลูกกักตัวไว้แล้ว”


 


 


“หา!” ไท่โฮ่วพลันลุกขึ้นจ้องเจาเฟิงตี้เขม็ง ผ่านไปครู่ใหญ่สีหน้าจึงเริ่มกลับสู่ความสงบนิ่ง แต่น้ำเสียงยังคงสั่นเครืออยู่บ้าง “ฝ่าบาท เรื่องใหญ่เพียงนี้ เจ้ากลับปิดบังข้ามาตลอด ดูท่าข้าคงแก่แล้วจริงๆ”


 


 


“เสด็จแม่ ลูกผิดไปแล้ว ลูกแค่กลัวว่าท่านจะเป็นห่วง…” เจาเฟิงตี้เอ่ยถึงเรื่องนี้แล้วก็รู้สึกอ่อนเพลียจึงหอบหายใจยาวออกมา


 


 


ไท่โฮ่วเห็นก็ร้องไห้ ในใจของนางนั้นผู้ใดก็เทียบไม่ได้กับบุตรชายคนนี้ ไท่จื่อกับรุ่ยเกอล้วนเทียบไม่ได้ทั้งสิ้น


 


 


ควรต้องทราบว่าหลานและเหลนนั้นนางมีอยู่มากมาย แต่บุตรชายที่เป็นจักรพรรดินั้นนางมีเพียงคนเดียว!


 


 


“เช่นนั้นเจ้าบอกมาว่ารุ่ยเกอตัวปลอมคืออันใดกันแน่” ไท่โฮ่วเดินเข้าไปหาแล้วก้มลงมองไท่จื่อเฟยที่นั่งคุกเข่าอยู่บนพื้น


 


 


เมื่อเรื่องถึงขั้นนี้แล้วไท่จื่อเฟยย่อมทราบว่ามิอาจทำอันใดได้แล้ว หากยังปิดบังต่อไปจนยั่วโทสะของเจาเฟิงตี้และไท่โฮ่ว ไม่แน่ว่าอาจจัดการรุ่ยเกอทันทีเลยก็เป็นได้ หากบอกไปตามตรง บางทีก็อาจจะเห็นแก่สายเลือดที่อยู่ในตัวรุ่ยเกอและปล่อยให้บุตรของนางมีชีวิตอยู่ต่อไปก็เป็นได้


 


 


นางก้มหน้าลงแล้วเอ่ยปากในที่สุด “เป็นตัวตายตัวแทนที่บิดาหม่อมฉันเตรียมไว้ให้ และอาศัยโอกาสตอนที่ออกจากวังไปร่วมไว้อาลัยในพิธีศพเปลี่ยนเอาตัวรุ่ยเกอออกไปเพคะ”


 


 


“แล้วเอาไปไว้ที่ใด หรือยังคิดจะก่อความวุ่นวายในแผ่นดินนี้อีก” เจาเฟิงตี้เอ่ยถามเสียงเย็น


 


 


ไท่จื่อเฟยส่ายหน้าอย่างร้อนรน “สะใภ้มิบังอาจ แค่อยากรักษาชีวิตของรุ่ยเกอไว้ให้เขาได้มีชีวิตต่อไปอย่างสามัญชนเท่านั้นเพคะ”


 


 


“เช่นนั้นเด็กคนนี้เล่า เหตุใดจึงได้เหมือนกับรุ่ยเกอเพียงนี้” ไท่โฮ่วชี้ไปยังเด็กน้อยที่นอนอยู่บนเตียง


 


 


ไท่จื่อเฟยเม้มริมฝีปากตนแล้วเอ่ยพูดโดยมิได้หันไปมองเด็กคนนั้นเลยสักนิด “เป็นญาติห่างๆ ของตระกูลเรา ท่านพ่อได้พบเขาตั้งแต่อายุไม่กี่ปี ด้วยเห็นว่าเขามีส่วนคล้ายกับรุ่ยเกออยู่หลายส่วนจึงได้นำมาเลี้ยงไว้”


 


 


“จิตใจช่างชั่วร้ายจริงๆ!” ไท่โฮ่วทอดถอนใจยาวออกมา


 


 


ไท่จื่อเฟยอดเอ่ยแก้ตัวแทนบิดาตนไม่ได้ “เด็กผู้นี้สุขภาพย่ำแย่มานาน คนทั่วไปไม่มีทางดูแลได้แน่ หากมิใช่บิดาเกรงว่าเขาจากโลกนี้ไปนานแล้วเพคะ”


 


 


ไท่โฮ่วหัวเราะเยาะหยันออกมาเสียงหนึ่ง แล้วหันไปมองไท่จื่อเฟยด้วยสายตาเย็นชา “หรือจะบอกว่าการขุนสุกรตัวหนึ่งที่กำลังจะถูกเชือดให้อ้วนสักระยะหนึ่งนั้น มันควรต้องซาบซึ้งในพระคุณของคนที่เลี้ยง ช่างเป็นเรื่องที่น่าขบขันที่สุดในใต้หล้าจริงๆ เชียว!”


 


 


ไท่จื่อเฟยถึงกับหน้าก่ำหูแดงไปกับคำพูดนี้


 


 


“กล่าวเช่นนี้ หมายความว่าเรื่องที่เด็กผู้นั้นตกน้ำ เจียหมิงเซี่ยนจู่เป็นผู้ถูกใส่ร้ายใช่หรือไม่”


 


 


เดิมไท่จื่อเฟยคิดจะส่ายหน้าปฏิเสธ แต่พลันรู้สึกถึงสายตาอันเย็นเยียบสายหนึ่งที่มองมายังตน นางจึงเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยก็เห็นหลัวเทียนเฉิงมองนิ่งมายังนาง


 


 


เขายืนอยู่ไม่ไกลนัก ใบหน้าคล้ายหยกเนื้อเย็น ในดวงตาเคลือบด้วยเกล็ดหิมะ ทั้งที่มิได้เอ่ยวาจาใดออกมาสักคำแต่กลับสามารถแช่แข็งคำพูดที่นางคิดจะเอ่ยเอาไว้ได้


 


 


หัวใจของไท่จื่อเฟยค่อยๆ เหน็บหนาวขึ้นมา


 


 


ระยะเวลาสั้นๆ แค่เพียงสองวัน เขากลับคาดเดาเรื่องพระราชนัดดาตัวปลอมได้ทั้งยังหารุ่ยเกอตัวจริงออกมาได้ นี่เป็นเรื่องที่คนธรรมดาสามารถทำได้งั้นหรือ


 


 


เขา…เขาจะต้องเป็นปีศาจเป็นแน่!


 


 


ครั้นเห็นไท่จื่อเฟยอึ้งงันไม่พูดจา ไท่โฮ่วก็ถอนหายใจออกมา “ข้าเข้าใจแล้ว”


 


 


เจาเฟิงตี้กับไท่โฮ่วจึงถามนางอีกครู่หนึ่ง ส่วนเจินเมี่ยวที่ถูกพาตัวไปยังห้องด้านข้างก็กำลังนั่งหันหน้าเข้าหารุ่ยเกอ


 


 


เมื่อเจินเมี่ยวต้องเผชิญหน้ากับรุ่ยเกอ อารมณ์ของนางก็ออกจะซับซ้อนอยู่บ้าง


 


 


นางโกรธแค้นที่ไท่จื่อเฟยดึงนางเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยและเพราะเหตุนี้ทำให้พระราชนัดดาตัวจริงที่ควรได้รับอิสรภาพต้องกลับเข้ามาอยู่ในกรงเช่นเดิมอีกครั้ง แม้อาจกล่าวได้ว่าไท่จื่อเฟยทำตัวเองแต่เมื่อเห็นเด็กที่อายุน้อยเพียงนี้ที่อาจจะตายไปอย่างไร้สุ้มเสียงภายใต้การเปลี่ยนแปลงในวังผู้นี้แล้ว เมื่อต้องเผชิญหน้าเช่นนี้หากนางสามารถทำใจให้นิ่งดุจสายน้ำได้ นั่นคงมิใช่นางแล้ว


 


 


ด้วยเหตุนี้เจินเมี่ยวจึงเอาแต่จ้องผลผีผา[1] ที่ถูกจัดวางไว้บนโต๊ะตรงหน้านิ่ง


 


 


“เจ้าอยากกิน?” เสียงเด็กน้อยดังขึ้น


 


 


เจินเมี่ยวหันไปมองด้วยความแปลกใจก็เห็นรุ่ยเกอจ้องมองนางด้วยความรังเกียจ


 


 


เขายื่นมือไปหยิบผลผีผาส่งให้นาง “อะ เจ้ากินเถิด”


 


 


เจินเมี่ยวรับมาโดยไม่รู้จะพูดอันใดดีในชั่วขณะนั้น


 


 


เสียงของรุ่ยเกอดังขึ้นอีก “คนที่เหมือนกับข้าผู้นั้นเป็นใคร”


 


 


เมื่อเห็นเจินเมี่ยวไม่พูด เขาก็ก้มหน้าลงครุ่นคิด แล้วเอ่ยว่า “พระมารดาต้องการให้ข้าไปใช้ชีวิตอยู่ข้างนอกเพราะจะให้คนผู้นั้นมาอยู่กับพระมารดาแทนข้าใช่หรือไม่”


 


 


“โชคดีที่ท่านอาผู้นั้นพาข้ากลับมา มิเช่นนั้นเขาคงแย่งพระมารดาข้าไปแล้ว!” รุ่ยเกอขมวดคิ้ว ยื่นมือออกไปผลักเจินเมี่ยวคราหนึ่ง “นี่ เจ้าเป็นใบ้หรือ ถึงไม่พูดอันใดเลย เกลียดจริงๆ เลย!”


 


 


เขาลุกขึ้นแล้ววิ่งออกไปด้านนอกเพื่อไปหาไท่จื่อเฟย แต่ถูกขันทีขวางไว้เสียก่อน


 


 


เวลานี้หลัวเทียนเฉิงได้ออกมาแล้ว เขายิ้มให้กับเจินเมี่ยวแล้วเอ่ยว่า “ไม่มีอันใดแล้ว เรากลับจวนเถิด”


 


 


ระหว่างทางบนรถม้า เจินเมี่ยวเห็นเขาหน้าซีดจึงเอ่ยตำหนิว่า “ท่านบาดเจ็บยังไม่หายดี เหตุใดต้องเข้าวังมาด้วยตนเองเล่า”


 


 


“เรื่องสำคัญเช่นนี้ ต้องมาเองข้าจึงสบายใจ อีกอย่างเจ้าก็อยู่ในวังด้วย”


 


 


เจินเมี่ยวเริ่มสงบใจลงได้ นางก้มลงมองผลผีผาที่กำไว้ในมือตนอยู่ตลอดแล้วนิ่งเงียบ


 


 


“เป็นอันใดไป?” หลัวเทียนเฉิงขยับเข้ามาใกล้ แล้วเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม


 


 


ครั้นมองใบหน้าหล่อเหลาใจกว้างนั้นแล้วเจินเมี่ยวก็เม้มริมฝีปากเอ่ยถามว่า “ฝ่าบาทจะจัดการเช่นไรกับไท่จื่อเฟยและพระราชนัดดาหรือ”


 


 


“เรื่องนี้ฝ่าบาทไหนเลยจะตรัสกับข้าเล่า”


 


 


“ท่านลองคาดเดาดูมิได้หรือ”


 


 


หลัวเทียนเฉิงนิ่งเงียบครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า “หากให้ข้าคาดเดาก็คิดว่าไท่จื่อเฟยนั้นย่อมมิอาจเก็บเอาไว้ได้ พระราชนัดดาตัวปลอมก็เช่นกัน ส่วนตัวจริงนั้นพูดยาก คงต้องดูว่าฝ่าบาทกับไท่โฮ่วจะพระทัยอ่อนหรือไม่ เป็นอันใด เจ้าสงสารพระราชนัดดาหรือ”


 


 


“หากบอกว่าสงสาร พระราชนัดดาตัวปลอมกลับน่าสงสารกว่า แต่ไม่ว่าอย่างไรเด็กน้อยก็เป็นผู้บริสุทธิ์”


 


 


หลัวเทียนเฉิงแค่นยิ้ม “วาจานี้ข้าไม่เห็นด้วย”


 


 


“หืม?”


 


 


เขายื่นมือหยิกแก้มนาง “ข้ากลับคิดว่าหนี้บิดาบุตรชดใช้นั้นสมเหตุสมผลยิ่ง เจ้าคิดดู หากไท่จื่อก่อกบฏสำเร็จ ต่อไปผู้ที่ได้รับผลประโยชน์มิใช่พระราชนัดดาหรือ ผู้ที่เคราะห์ร้ายก็คือองค์ชายและพระราชนัดดาองค์อื่นๆ หากครานี้ไท่จื่อเฟยใส่ร้ายเจ้าสำเร็จ ผู้ที่ได้รับอิสระมิใช่พระราชนัดดาหรือ ส่วนคนเคราะห์ร้ายก็คือเจ้า แล้วอย่างไร โลกนี้ไหนเลยจะมีเรื่องดีๆ ที่คนเราจะรับแต่ประโยชน์ ไม่ยอมรับโทษใดๆ หากเป็นเช่นนั้น คงมีคนที่ยอมกระทำการเสี่ยงอันตรายเมื่อสิ้นไร้หนทางมากกว่านี้แน่”


 


 


“ที่ท่านพูดก็มีเหตุผล” เจินเมี่ยวพยักหน้าช้าๆ


 


 


แต่เมื่อคิดถึงโชคชะตาที่เด็กน้อยอายุไม่ถึงสิบปีต้องเผชิญแล้วอย่างไรก็มิใช่เรื่องที่ทำให้คนเบิกบานใจสักนิด แต่นางทำอันใดไม่ได้ เพียงปรารถนาให้คนรอบกายมีชีวิตที่ดีเท่านั้น


 


 


ครั้นจังเฉาหวาถูกส่งกลับไปยังจวนหย่งจยาโหวก็ถูกฮูหยินผู้เฒ่าเรียกไปสอบถาม เมื่อเห็นว่านางเฉียวแม่สามีก็อยู่ด้วยจึงรีบย่อกายคารวะ


 


 


“เจ้าพูดว่าอย่างไรบ้าง” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยถามตามตรง


 


 


จังเฉาฮวาเผยรอยยิ้มออกมา “หลานสะใภ้ก็ตอบไปตามความจริงเจ้าค่ะ”


 


 


นางอุปนิสัยร่าเริง ชอบเจรจาชอบยิ้มแย้ม ทั้งยังเป็นสหายสนิทกับคุณหนูใหญ่ หลังจากแต่งเข้ามาก็ได้รับความเอ็นดูจากฮูหยินผู้เฒ่าและแม่สามียิ่ง วันเวลาที่ผ่านมาจึงผ่านไปอย่างราบรื่นด้วยดี


 


 


“เช่นนั้นไท่โฮ่วทรงว่าอย่างไรบ้าง”


 


 


“ข้าลอบสังเกตดูเห็นว่าไท่โฮ่วทรงมิใคร่โปรดเจียหมิงเซี่ยนจู่เท่าใดนัก บ่าวไพร่ที่ค่อยรับใช้พระราชนัดดาที่ไท่จื่อเฟยพาไปด้วยต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวข้าเจ้าค่ะ”


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่ากับนางเฉียวมองสบตากันแล้วพยักหน้าน้อยๆ


 


 


ในเมื่อไท่โฮ่วและไท่จื่อเฟยเห็นตรงกัน เช่นนั้นหากแม้นางจังไม่มีความหมายอื่น อย่างน้อยก็ไม่มีความผิด


 


 


เช่นนี้ดียิ่ง!


 


 


“นางจัง วันนี้เจ้าคงเหนื่อยแล้วรีบไปพักผ่อนเถิด ไม่ว่าอย่างไรต่อไปพยายามอย่าพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาอีก”


 


 


“หลานสะใภ้ทราบแล้วเจ้าค่ะ” จังเฉาหวารับปากทันทีแล้วยิ้มจนหางตาหยักโค้ง


 


 


คนที่อายุมากแล้วนั้นย่อมชมชอบเห็นรอยยิ้มทั้งสิ้น ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นแล้วก็สบายใจขึ้น สีหน้าจึงผ่อนคลายลงหลายส่วน


 


 


เวลานี้เองกลับมีสาวใช้ผู้หนึ่งรีบเดินเข้ามารายงานว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าเจ้าคะ มีคนจากวังหลวงมาเจ้าค่ะ!”


 


 


“รีบเชิญเข้ามาเร็ว!” ฮูหยินผู้เฒ่าตกใจยิ่ง นางลุกขึ้นเดินออกไปต้อนรับด้วยตนเอง


 


 


ขันทีผู้นั้นเดินเข้ามาแล้วพูดว่า “ที่พวกเรามาวันนี้เพื่อถ่ายทอดรับสั่งของไท่โฮ่ว เรื่องพระราชนัดดาตกน้ำนั้นได้รับการตรวจสอบจนแน่ชัดแล้วว่าไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับเจียหมิงเซี่ยนจู่!”


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อยแล้วหันไปมองจังเฉาหวา


 


 


จังเฉาหวามีสีหน้าท่าทางตกใจไม่อยากเชื่อ


 


 


ขันทีผู้นั้นมองมาแล้วเอ่ยเสียงแหลมเล็กว่า “ท่านนี้คงเป็นนางจังกระมัง ไท่โฮ่วยังรับสั่งอีกว่า ต่อไปท่านพบเจอเหตุการณ์ใดให้ดูให้ชัดเจนก่อนค่อยพูด อย่าได้พูดไปตามผู้อื่นทั้งที่ตนไม่เห็นจริงๆ!”


 


 


เขาพูดจบก็ยกมือขึ้นประกบกันเป็นการแสดงความเคารพ “พวกเราคงต้องกลับวังไปทูลรายงานแล้ว”


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าอดกลั้นต่อสถานการณ์อันย่ำแย่นี้แล้วส่งสัญญาณให้สาวใช้นำถุงใส่ตำลึงทองมอบให้เขาไป


 


 


ขันทีผู้นั้นกลับมิได้ผลักไส แต่กลับยัดมันเข้าไปในแขนเสื้อแล้วจากไป


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าหันกลับไปมองจังเฉาหวาคราหนึ่งแล้วเอ่ยเสียงเรียบกับนางเฉียวว่า “เจ้าเป็นแม่สามีของนางจัง นางอายุยังน้อยจึงมีบ้างที่สะเพร่าไป เจ้าดูแลอบรมให้ดี มิเช่นนั้นหยวนหย่งจยาโหวอาจเสื่อมเสียได้!”


 


 


นางเฉียวอดกลั้นโทสะเอ่ยรับคำไป เมื่อนางและจังเฉาหวากลับถึงเรือนตนก็มิอาจเก็บโทสะเอาไว้ได้อีกจึงเอ่ยอบรมสั่งสอนนางเป็นการใหญ่แล้วทำโทษกักบริเวณนางหนึ่งเดือน


 


 


จังเฉาหวารู้สึกอับอายยิ่งจึงทะเลาะกับสามีตนเพราะเรื่องนี้ สองสามีภรรยาจึงทำสงครามเย็นใส่กันอยู่พักใหญ่ แต่นี่เป็นเรื่องหลังจากนั้นจึงไม่ขอเอ่ยถึงอีก


 


 


 


 


——


 


 


[1] ผลผีผา(枇杷)หรือปี่แป๊ มีลูกสีส้มทอง เปลือกบางมีขน ฉ่ำน้ำ รสหวานอมเปรี้ยว มักเกิดในพื้นที่อากาศอบอุ่น มีสรรพคุณช่วยแก้ไอ เนื่องจากรูปร่างคล้ายเครื่องดนตรีผีผา (琵琶)จึงมีชื่อเหมือนกัน แต่เขียนคนละแบบ  

 

 


ตอนที่ 324 ตั้งครรภ์

 

มีข่าวออกมาจากวังหลวงว่าพระราชนัดดารู้สึกตัวแล้ว ทั้งยังบอกว่าเรื่องที่ตนตกน้ำในวันนั้นไม่เกี่ยวอันใดกับเจียหมิงเซี่ยนจู่ ด้วยเหตุนี้ไท่จื่อเฟยจึงได้ส่งของขวัญมากมายไปที่จวนเจิ้นกั๋วกง


 


 


เดิมคิดว่าเรื่องคงผ่านไปเช่นนี้แล้ว แต่ไม่นานกลับเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นอีก พระราชนัดดาไข้ขึ้น ตัวร้อนจัดลดเลย เอาแต่นอนได้สะลึมสะลืออยู่เช่นนั้นไปครึ่งเดือนก็สิ้นใจ ไท่จื่อเฟยเสียใจอย่างยิ่งทำให้ล้มป่วยหนัก หลังจากที่รักษาอาการหายจนทุกอย่างสงบลง แต่สติปัญญากลับมิใคร่สมประดีนัก


 


 


ไม่ว่าสาเหตุเริ่มแรกของเรื่องจะเกี่ยวข้องกับเจินเมี่ยวหรือไม่แต่นางก็ถูกลากเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยเหล่าขุนนางและผู้มีบรรดาศักดิ์ทั้งหลายในเมืองหลวงต่างคาดเดากันไปต่างๆ นานาว่าเจียหมิงเซี่ยนจู่คงต้องถูกกริ้วด้วยเป็นแน่ แต่คิดไม่ถึงว่าหลัวเทียนเฉิง คุณชายผู้สืบทอดจวนเจิ้นกั๋วกงที่ถูกกักบริเวณกลับได้กลับมารับตำแหน่งเดิมในเวลานี้ทำให้บรรดาคนที่กำลังคิดไปต่างๆ นานากลับต้องหันมาให้ความสำคัญกับจวนเจิ้นกั๋วกงมากยิ่งขึ้น


 


 


ใกล้จะล่วงเข้าเดือนห้าแล้ว อากาศจึงอบอุ่นขึ้นทุกวัน ต้นทับทิมข้างกำแพงกำลังออกดอกงดงาม เชวี่ยเอ๋อร์เด็ดไปหลายดอกแล้ววิ่งเข้าห้องไปช่วยใส่ผมให้เจินเมี่ยวด้วยรอยยิ้มเต็มหน้า


 


 


เมื่อเห็นดอกทับทิมสีแดงเพลิงที่ปักอยู่บนมวยผม เยี่ยอิงก็เอ่ยชมว่า “ต้าไหน่ไหน่ช่างงดงามนักเจ้าค่ะ”


 


 


เจินเมี่ยวเม้มปากเป็นรอยยิ้มแล้วเอ่ยว่า “เพราะเยี่ยอิงมีฝีมือแท้ๆ”


 


 


เชวี่ยเอ๋อร์ยังคงเอ่ยอีกว่า “ต้าไหน่ไหน่ ไม่ใช่เพราะดอกไม้ที่บ่าวเก็บมางดงามหรือเจ้าคะ”


 


 


ขณะที่นายและบ่าวกำลังขบขันกันอยู่ ไป่หลิงก็เดินเข้ามารายงานว่า “ต้าไหน่ไหน่ พี่จื่อซูมาน้อมทักทายท่านเจ้าค่ะ”


 


 


เจินเมี่ยวดีใยยิ่ง “รีบให้นางเข้ามา”


 


 


จื่อซูแต่งออกไปได้สามเดือนแล้ว ตอนนั้นนางบอกว่าให้จื่อซูหยุดได้สองเดือน พริบตาก็ครบกำหนดแล้ว


 


 


ไม่นานม่านมุกก็ถูกแหวกออก จื่อซูที่แต่งกายอย่างสตรีออกเรือนแล้วเดินเข้ามา


 


 


นางสวมชุดสีม่วงอ่อนทั้งยังใส่ต่างหูมุกคู่หนึ่ง แม้สีมุกจะดูธรรมดาแต่ขนาดนั้นใหญ่เท่าเม็ดบัวทีเดียว ด้วยฐานะของนางนับว่ายากยิ่งแล้ว


 


 


แต่เมื่อดูใบหน้านางกลับรู้สึกว่ามันช่างขาวซีด คล้ายว่านางดูผอมบางกว่าก่อนจะออกเรือน รอยยิ้มบนริมฝีปากเจินเมี่ยวเจื่อนไปทันที นางจึงเอ่ยถามว่า “เหตุใดจึงผอมเพียงนี้”


 


 


จื่อซูคล้ายจะเกิดความประหม่าขึ้นมา นางจึงเม้มริมฝีปากไม่พูดจากสักคำ


 


 


“หรือหลัวเป้าปฏิบัติต่อเจ้าไม่ดี” เสียงเจินเมี่ยวเย็นเยียบ “หากเป็นเช่นนั้น ข้าจะไปพูดกับซื่อจื่อ เจ้าเป็นสาวใช้ใหญ่คนสนิทที่สุดของข้า แต่งออกไปกลับถูกรังแก เช่นนั้นก็เท่ากับการตบหน้าข้า!”


 


 


จื่อซูจึงรีบเอ่ยว่า “ไม่ใช่เจ้าค่ะ ต้าไหน่ไหน่ เขา เขาดีต่อบ่าวอย่างยิ่งเจ้าค่ะ”


 


 


นางพูดด้วยใบหน้าแดงเรื่อขึ้นอีกชั้นว่า “บ่าว…บ่าวมีข่าวดีแล้วเจ้าค่ะ ทั้งยังมีอาการแพ้หนัก…”


 


 


เจินเมี่ยวอึ้งงันไป “เจ้า มีข่าวดีแล้ว?”


 


 


จื่อซูคล้ายเขินอายจึงก้มหน้าลงเอ่ยว่า “เพิ่งจะตั้งครรภ์เดือนนี้เจ้าค่ะ”


 


 


“พี่จื่อซูช่างมีวาสนานัก ยินดีกับท่านด้วยเจ้าค่ะ” สาวใช้น้อยหลายคนเอ่ยพลางหัวเราะคิกคัก


 


 


เจินเมี่ยวเองก็หัวเราะเช่นกัน “ช่างเป็นเรื่องที่ดีจริงๆ ใช่แล้ว ต่างบอกกันว่าสามเดือนแรกครรภ์ยังอ่อนแอ ต้องดูแลบำรุงอย่างดี เจ้ารีบกลับไปพักผ่อนเถิด เรื่องทำงานรอให้บุตรเจ้าหย่านมก่อนค่อยว่ากัน”


 


 


เจินเมี่ยวยังสั่งให้ไป๋เสาไปเอาของบำรุงส่วนหนึ่งมาให้จื่อซูอีกด้วยทำให้สาวใช้น้อยใหญ่ที่รับใช้ในเรือนชิงเฟิงต่างพากันอิจฉาจนแทบทนไม่ไหว


 


 


กระทั่งหลัวเทียนเฉิงกลับมาจากศาลาว่าการ เขาเห็นเจินเมี่ยวดูอารมณ์ดีจึงเอ่ยถามว่า “วันนี้มีเรื่องดีอันใดหรือ ถึงได้เบิกบานเพียงนี้”


 


 


เจินเมี่ยวผลิยิ้มแล้วเอ่ยว่า “หากจะพูดถึงเรื่องดีนั้นย่อมมีอย่างแน่นอน วันนี้จื่อซูมาน้อมทักทายข้า นางตั้งครรภ์ได้หนึ่งเดือนแล้ว”


 


 


“ช่างเป็นเรื่องดีจริงๆ” หลัวเทียนเฉิงพยักหน้า


 


 


แต่เจินเมี่ยวกลับเอ่ยเสริมขึ้นอีกประโยคว่า “ว่าไปแล้ว หลัวเป้านั้นก็มีความสามารถไม่น้อยเลยจริงๆ”


 


 


“หืม?” หลัวเทียนเฉิงเลิกคิ้วขึ้น “เจ้าพูดอีกครั้งได้หรือไม่”


 


 


ผู้ใดมีความสามารถกัน?


 


 


ดูท่าหลัวเป้าคงไม่อยากอยู่กับเขาแล้วกระมัง นายตนยังมิไม่มีข่าวดีใดแต่เขากลับกล้ามีบุตรนำหน้าไปก่อน?


 


 


เจินเมี่ยวรู้ว่าตนพูดผิดไปจึงยิ้มแห้งๆ ออกมา


 


 


หลัวเทียนเฉิงโน้มตัวอุ้มนางขึ้นมา เดินเข้าไปในห้องนอนแล้ววางนางลงบนเตียง


 


 


เขาโน้มตัวเข้ามาทั้งกาย ลมหายใจของเขาเป่ารดใบหน้าเจินเมี่ยวจนนางหน้าแดงเป็นดอกท้อแล้ว


 


 


“เจ้าไม่ได้กินยาแล้วใช่หรือไม่”


 


 


เจินเมี่ยวพยักหน้า ทั้งรู้สึกว้าวุ่นขึ้นมาเล็กน้อย “ท่านยังบาดเจ็บอยู่”


 


 


“เกือบจะหายสนิทแล้ว ข้าระวังหน่อยก็มิเป็นไรแล้ว” เปลวไฟในดวงตาของหลัวเทียนเฉิงค่อยๆ โชติช่วงขึ้นมา จุมพิตผะแผ่วประทับลงบนติ่งหูของนาง ตามด้วยหน้าผาก คิ้ว คาง ไล้ระเรื่อยลงมาตาลำคอระหง อาภรณ์ของคนทั้งสองถูกปลดทิ้งลงพื้นดั่งบุปผาที่บานสะพรั่งอย่างเอาแต่ใจดอกหนึ่ง


 


 


ผ้าม่านสีเขียวปักลายเด็กน้อยละเล่นกันพลิ้วไหวเป็นระลอกคล้ายถูกลมพัดเป่าดุจคลื่นที่ซัดสาดบนผิวน้ำ ระลอกคลื่นนับหมื่นนับพันนี้ได้สาดกระทบเข้าไปในใจคนไม่มีที่สิ้นสุด


 


 


อาหารค่ำที่อุ่นไว้แล้วนั้นเย็นเสียแล้ว ด้านนอกเต็มไปด้วยดวงดาวที่เกลื่อนทั่วฟ้า


 


 


เจินเมี่ยวรู้สึกดั่งร่างกายแตกเป็นเสี่ยงๆ กระดูกทุกส่วนต่างเคลื่อนไปหมด นางยกเท้าขึ้นถีบคนผู้นั้นอย่างไร้เรี่ยวแรง แต่กลับถูกเขาคว้าจับไว้ แล้วยิ้มน้อยๆ อย่างพอใจพลางเอ่ยว่า “หากไม่ขยันสักหน่อยจะได้อย่างไรเล่า เจ้าไม่อยากมีบุตรที่เป็นของเราสองคนหรือ”


 


 


“เรื่องนี้…มิใช่ว่าจะสมปรารถนาง่ายๆ อย่างที่คิดเสียหน่อย” เจินเมี่ยวเอ่ยอย่างหมดแรง


 


 


นางอายุยังไม่ถึงสิบเจ็ดปี ว่าไปแล้วหากมีบุตรตอนนี้นับว่าเร็วไปสักหน่อย ทว่าในยุคสมัยนี้ก็เป็นเช่นนี้ นางจึงมิอาจทำตัวแปลกแตกต่างจากผู้อื่นอยู่เพียงคนเดียวได้


 


 


หลัวเทียนเฉิงเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “แต่หากไม่คิด ลูกน้อยก็คงไม่กระโดดออกมาจากก้อนหินเป็นแน่”


 


 


ครั้นคิดถึงสุขภาพของเจินเมี่ยว เขาก็กุมมือนางแล้วเอ่ยว่า “แต่การมีบุตรนั้นเป็นเรื่องของวาสนา เราเองก็มิต้องไปฝืนบังคับ จะมีเมื่อใดก็ตามแต่ลิขิตสวรรค์เถิด แต่เจ้ามิอาจปล่อยให้ข้ากินแต่มังสวิรัติต่อไปเช่นนี้อีก มิฉะนั้นข้าคงต้องกลายเป็นพระไปจริงๆ เป็นแน่”


 


 


ใบหน้าเจินเมี่ยวเห่อร้อนขึ้นมาแต่ยังคงพยักหน้า


 


 


เพราะคนทั้งสองออกกำลังมากไปหน่อยจึงต่างกินข้าวเพิ่มขึ้นอีกถ้วย


 


 


กระทั่งถึงวันเทศกาลตวนอู่ ทุกคนต่างมารวมตัวกันห่อบ๊ะจ่าง นายท่านสี่สกุลหลัวที่ประจำอยู่กองทัพก็กลับจวนมาเช่นกัน


 


 


ครานี้เขาได้หยุดพักเกือบครึ่งเดือน เมื่อถึงคราวต้องกลับกองทัพก็จะพาคุณชายสามไปด้วย เพราะเหตุนี้คุณชายสามจึงมีท่าทียิ้มแย้มมากขึ้น อุปนิสัยร่าเริงเดิมๆ ของเขาเริ่มฟื้นกลับมาบ้างแล้ว


 


 


ครานี้เจินเมี่ยวได้แสดงฝีมืออย่างเต็มที่ นางห่อบ๊ะจ่างทั้งหมดสิบแปดไส้ ทุกก้อนมีขนาดเท่าลูกเหอถาวเท่านั้นและใช้เชือกชนิดต่างๆ มัดไว้ แล้วค่อยๆ ร้อยรวมเป็นพวงเดียวกัน


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นแล้วก็ยิ้มพลางเอ่ยว่า “หลานสะใภ้ เจ้ามีความสามารถจึงต้องเหนื่อยหน่อย ห่อเช่นนี้มากสักหน่อย นำไปเป็นของฝากน่าจะดียิ่ง ถึงวันพรุ่งคนทั่วเมืองหลวงคงได้รู้ว่าจวนเจิ้นกั๋วกงมีหลานสะใภ้ที่มากฝีมือเพียงใด”


 


 


“ท่านย่าท่านเย้าเล่นอีกแล้วนะเจ้าคะ ลองชิมดูตอนกำลังร้อนๆ นี่เถิดว่าอร่อยหรือไม่” เจินเมี่ยวแกะห่อบ๊ะจ่างไข่แดงนั้นด้วยตนเองแล้วส่งให้ฮูหยินผู้เฒ่า


 


 


บ๊ะจ่างไข่แดงนี้มิใคร่เป็นที่พบเห็นนักในเมืองหลวง นางเลือกไข่เป็ดอย่างดีที่ดองกำลังได้ที่ผสมเข้ากับข้าวเหนียวชั้นดี เมื่อรวมเข้ากับกลิ่นหอมอ่อนๆ ของใบไผ่แล้วช่างยั่วยวนผู้คนยิ่ง


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าชิมคำหนึ่งแล้วเอ่ยชมเป็นการใหญ่ “ไม่เลว”


 


 


คนอื่นๆ จึงยกพวงของตนขึ้นมาถามว่า “อันไหนคือไส้ไข่แดงหรือ”


 


 


“อันที่ผูกเชือกสีเขียวนั่นแล” เจินเมี่ยวเอ่ยอธิบาย


 


 


คนทั้งหลายต่างรีบแก้เชือกสีเขียวของบ๊ะจ่างออกมากิน


 


 


นางชีแกะบ๊ะจ่างให้นายท่านสี่ เจ้าหกและเจ้าเจ็ดคนละชิ้น แล้วค่อยแกะของตนเองขึ้นมากัดกิน ผู้ใดจะทราบนางเพียงกัดไปเพียงคำก็รู้สึกคลื่นไส้ขึ้นมาจึงเดินออกไปด้านนอก


 


 


นายท่านสี่หน้าเปลี่ยนสีไปโดยพลันแล้วรีบเดินตามไปจับมือนางชีไว้ “เป็นอันใดหรือ”


 


 


นางชีมิอาจอดกลั้นไว้ได้จึงอาเจียนลมออกมาคราหนึ่ง


 


 


นายท่านสี่ร้อนใจยิ่ง “หรือกินของแสลงเข้าไป”


 


 


นางชีหน้าแดงเรื่อขึ้นแล้วหันกลับไปมองฮูหยินผู้เฒ่าคราหนึ่ง


 


 


ใบหน้าฮูหยินเต็มไปด้วยความยินดี แล้วเอ่ยถามอย่างไม่อยากเชื่อว่า “นางชี หรือเจ้ากำลังตั้งครรภ์” พูดพลางหันไปบอกสาวใช้ไปเชิญหมอมา


 


 


เมื่อท่ามกลางสายตาคนทั้งหลายทำให้นางชีรู้สึกเขินอายยิ่ง นางจึงเอ่ยแผ่วเบาว่า “สะใภ้ก็มิแน่ใจเจ้าค่ะ”


 


 


นางไม่ระดูมาสองเดือนแล้ว บางทีอาจจะมีตั้งแต่นายท่านสี่กลับมาเมื่อคราก่อนนั้นแล้ว แต่นางอายุเท่านี้แล้วจึงรู้สึกไม่อยากจะเชื่ออยู่บ้าง


 


 


ความจริงนางชีอายุยังไม่ถึงสามสิบปีด้วยซ้ำ เดิมมิได้นับว่าอายุมากอันใด เพียงแต่นางเคยผ่านความเศร้าตรมดุจตายไปแล้ว ในความรู้สึกนั้นคล้ายยาวนานเกือบชั่วชีวิตทำให้คิดว่าตนอายุมากแล้ว


 


 


กระทั่งท่านหมอมาตรวจชีพจรจึงเอ่ยแสดงความยินดีต่อนางอยู่หลายครา


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่ายินดียิ่ง ด้วยความยินดีนี้จึงขอให้ท่านหมอช่วยตรวจสุขภาพให้กับฮูหยินทั้งหลายในจวน


 


 


นางเถียนและนางซ่งเพียงทำไปตามสถานการณ์เท่านั้น เพราะสายตาของคนทั้งหลายนั้นพุ่งตรงไปที่เจินเมี่ยวเสียมากกว่า


 


 


เจินเมี่ยวมีปากก็ยากจะพูดอันใด พวกเขาเพิ่งได้มีสัมพันธ์ฉันสามีภรรยากันเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาเท่านั้น แม้เด็กน้อยจะบินมาเกิดก็คงมิรวดเร็วปานนั้นกระมัง!


 


 


ดั่งคาดไว้ไม่มีผิด ท่านหมอเพียงเอ่ยว่านางสุขภาพร่างกายแข็งแรงดียิ่งเท่านั้น


 


 


ความผิดหวังปรากฏวูบในแววตาฮูหยินผู้เฒ่า เพียงครู่ก็กลับคืนสู่ภาวะปกติ นางยิ้มแล้วให้สาวใช้ไปส่งท่านหมอ


 


 


แต่กลับเป็นนายท่านรองเสียมากกว่าที่นั่งไม่ติดที่ เขาจึงลุกขึ้นเอ่ยเนิบนาบว่า “ท่านแม่ เยียนเหนียงดูเหมือนจะไม่สบายเช่นกัน ให้ท่านหมอไปช่วยตรวจดูได้หรือไม่”


 


 


หมอท่านนั้นฟังแล้วก็รู้สึกไม่พอใจขึ้นมา


 


 


เยียนเหนียงผู้นี้เป็นใครเขาไม่ทราบ แต่แค่ตรองดูก็รู้ว่าน่าจะเป็นอนุหรือไม่ก็สาวใช้ทงฝังของนายท่านรองสกุลหลัวแน่ อย่างน้อยเขาก็เป็นหมอที่มีชื่อเสียงเทียบหมอหลวง คนธรรมดานั้นยากจะเชิญเขามาตรวจให้ได้ แม้จวนเจิ้นกั๋วกงจะสูงศักดิ์ไม่ธรรมดา แต่การให้เขาไปตรวจสาวใช้ทงฝังผู้หนึ่งนั้นมิใช่เกินไปหน่อยหรอกหรือ


 


 


แต่ต่อหน้าท่านหมอผู้นี้ก็ย่อมไม่อยากจะล่วงเกินผู้มีบรรดาศักดิ์เช่นนี้จึงรอให้ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยปากเสียก่อน


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่ามีอาการอึ้งงันก่อนเป็นอันดับแรก นางเก็บรอยยิ้มตนแล้วเอ่ยว่า “เยียนเหนียงมีฐานะอันใดกันถึงจะรบกวนท่านหมอไปตรวจได้ อย่าได้ลดทอดวาสนาของท่านหมอเลย! ให้ท่านหมอเฝิงไปตรวจดูแล้วกัน”


 


 


เมื่อท่านหมอผู้นั้นได้ฟังสีหน้าก็เริ่มดีขึ้น เขายกมือขึ้นประกบกันเป็นการบอกลา


 


 


นายท่านรองได้ฟังก็ร้อนใจจึงรีบเอ่ยไปทันทีว่า “ไม่ได้ขอรับ!”


 


 


ท่านหมอเฝิงเป็นเช่นไรเขามีหรือจะไม่รู้


 


 


เขาถูกนางเถียนซื้อตัวไปนานแล้ว หากใช้เขาไปกลั่นแกล้งต้าหลังนั้นย่อมดีแน่นอน แต่หากจะให้ไปตรวจอาการของเยียนเหนียง เขาอาจจะฟังคำสั่งของนางเถียนจนทำร้ายเยียนเหนียงแล้วจะทำฉันใดเล่า


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าแค่นยิ้มเย็น “จวนเราเลี้ยงหมอเฝิงมานับสิบปีแล้ว เหตุใดจึงไม่อาจตรวจสาวใช้ทงฝังผู้หนึ่งได้ เจ้ารอง หรือเจ้าคิดว่าเยียนเหนียงล้ำค่าดั่งทองต้องให้ท่านหมอท่านนี้ไปตรวจให้ได้”


 


 


ตอนที่นางเถียนได้ยินว่านายท่านรองจะให้ท่านหมอไปตรวจอาการเยียนเหนียง ใจของนางก็เย็นเยียบขึ้นมาจนแทบกรีดร้องออกมา แต่เมื่อผ่านเรื่องการล่มสลายของตระกูลมานางจึงสุขุมขึ้นมาก นางนั่งนิ่งหลังตรงดุจพู่กันอยู่ที่นั่นปล่อยให้ฮูหยินผู้เฒ่าเป็นคนจัดการ


 


 


เวลานี้นางดีใจยิ่งที่ฮูหยินผู้เฒ่าเป็นคนเข้าใจกฎธรรมเนียมจึงไม่ยอมหักหน้าสะใภ้เพียงเพราะสาวใช้ทงฝังผู้หนึ่ง


 


 


เมื่อสัมผัสได้ถึงสายตาไม่เห็นด้วยของน้องชายทั้งสอง ทั้งยังมีหลัวเทียนเฉิงที่คอยมองอยู่อีก นายท่านรองรู้สึกย่ำแย่ยิ่งแต่ก็มิกล้าขัดฮูหยินผู้เฒ่า ครั้นชำเลืองมองเจินเมี่ยวแล้วก็เอ่ยอย่างคิดอันใดขึ้นมาได้ “ท่านแม่ ดูเหมือนว่าท่านหมอเฝิงจะมิใคร่ชำนาญโรคสตรีเท่าใดนัก มิสู้เชิญจี้เหนียงจื่อมาตรวจสักหน่อย”


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าฟังแล้วจึงพยักหน้า


 


 


ทุกคนต่างกินอาหารมื้อนี้ด้วยใจอันเหม่อลอย ยังมิทันกินเสร็จก็มีสาวใช้พาจี้เหนียงจื่อมาที่นี่


 


 


“อี๋เหนียงในจวนตั้งครรภ์ได้หนึ่งเดือนกว่าแล้วเจ้าค่ะ” จี้เหนียงจื่อเอ่ย


 


 


ฟึบ เนื้อติดกระดูกที่อยู่บนตะเกียบในมือคุณชายรองร่วงหล่นลงจาน 

 

 


ตอนที่ 325 พี่น้อง

 

“ห๊ะ?” นางเถียนมีปฏิกิริยาที่ค่อนข้างรุนแรงอยู่สักหน่อย นางลุกขึ้นทันทีจนเก้าอี้ล้มคว่ำไป ทำให้ท่าทีอันเล็กน้อยนั้นของคุณชายรองถูกมองข้ามไป มีเพียงหลัวเทียนเฉิงที่เหลือบไปเห็น เขาจึงยิ้มออกมาอย่างล้ำลึก


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าขมวดคิ้วมองนางเถียนคราหนึ่ง


 


 


นางเถียนมิสนใจสายตาคนรอบข้างสักนิด นางจ้องจี้เหนียงจื่อเขม็งพลางถามว่า “เยียนเหนียงตั้งครรภ์จริงๆ หรือ”


 


 


คลื่นลูกใหญ่สาดซัดขึ้นมาในใจนางทันที


 


 


ครั้งที่นางได้ยาที่สามารถยั่วยวนบุรุษมาจากตระกูลมารดานั้น นางก็ได้ถามเพิ่มอีกประโยคว่ามียาที่สามารถทำให้บุรุษมิอาจมีบุตรหรือไม่


 


 


คำตอบนั้นย่อมไม่มีแน่นอน แต่ท่านอาใหญ่บอกว่าหากบุรุษกินขึ้นฉ่ายเป็นเวลานานก็สามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้เช่นกัน แต่หากหยุดกินร่างกายก็จะฟื้นฟูกลับมาเหมือนเดิม


 


 


วิธีนี้นางมือไม่ยาวพอที่จะไปใช้ในเรือนชิงเฟิงจึงลงมือกับนายท่านรองแทน


 


 


อาหารทุกๆ วันของนายท่านรองจะต้องมีกับข้าวหนึ่งอย่างที่ใส่ขึ้นฉ่าย


 


 


แต่น่าเสียดายที่ตระกูลมารดานางล่มสลาไปแล้ว ท่านอาใหญ่ก็นับเป็นบุคคลที่กระทำความผิดด้วย นางจึงไร้หนทางจะไปสอบถามได้


 


 


“เรื่องนี้ ข้าย่อมไม่มีทางตรวจผิดแน่” จี้เหนียงจื่อเอ่ยอย่างด้วยน้ำเสียงไร้ความอวดเบ่ง


 


 


นางเถียนฝืนยิ้มออกมา “เช่นนั้นจี้เหนียงจื่อช่วยจัดยาบำรุงครรภ์ให้ด้วยเถิด ต่อไปก็มาคอยตรวจอาการที่จวนบ่อยๆ หากมีอันใดผิดแปลกไปจะได้บอกกับข้าและฮูหยินผู้เฒ่าทันท่วงที”


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าลอบพยักหน้า


 


 


ตั้งแต่ตระกูลเถียนล่มสลายไป นางเถียนกลับปฏิบัติตัวดียิ่งขึ้น


 


 


ทว่าเยียนเหนียงตั้งครรภ์ ฮูหยินผู้เฒ่ากลับมิได้ดีใจสักนิด นางจึงเอ่ยเสียงเรียบว่า “แค่สาวใช้ทงฝัง มิจำเป็นต้องมารายงานให้ข้าทราบดอก”


 


 


นายท่านรองได้ยินก็หน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย เขาคิดจะพูดแทนเยียนเหนียงสักสองสามประโยค แต่เมื่อเห็นสีหน้าอันเรียบเฉยของฮูหยินผู้เฒ่าแล้วก็ได้แต่กลืนคำเหล่านั้นลงท้องไป


 


 


ช่างเถิด อย่างไรเขาก็ไม่มีอันใดต้องทำในศาลาว่าการอยู่แล้วจึงสามารถอยู่ที่จวนให้มากหน่อยเพื่อดูแลเยียนเหนียงได้ มิให้นางเถียนภรรยาชั่วช้ามาทำนางได้


 


 


เมื่ออาหารมื้อที่ไร้รสชาตินั้นได้ผ่านไป


 


 


นายท่านสี่จึงกลับเรือนอวี้หยวนกับนางชีด้วยความเบิกบานใจ


 


 


หูอี๋เหนียงเป็นอนุจึงไม่มีสิทธิ์มากินอาหารค่ำของตระกูลในวันนี้ได้ เมื่อนางทราบว่านายท่านสี่กลับมาแล้วก็เอาแต่คอยมองไม่กินแม้แต่ข้าว


 


 


ในที่สุดก็เห็นหันจู สาวใช้ของนางชีพาจังเกอมาส่ง เมื่อไม่เห็นเงาของนายท่านสี่ นางจึงรับจังเกอกลับเข้าเรือนไปอย่างยากจะปิดบังความผิดหวังได้


 


 


ครั้นตกดึกจึงส่งอาซิ่งไปแจ้งที่เรือนกลาง


 


 


“นายท่าน คุณชายเจ็ดไม่สบาย อี๋เหนียงเชิญท่านไปดูอาการสักหน่อยเจ้าค่ะ”


 


 


นายท่านสี่ขมวดคิ้วมุ่น “เชิญท่านหมอแล้วหรือไม่”


 


 


“ยังเจ้าค่ะ คุณชายเจ็ดเอาแต่ร้องไห้เรียกหาท่าน”


 


 


นางชีจึงเอ่ยว่า “ท่านพี่ ในเมื่อเจ้าเจ็ดไม่สบาย ท่านก็รีบไปดูเถิด”


 


 


นายท่านสี่รู้สึกลำบากใจยิ่ง


 


 


จังเกออ่อนแอมาตั้งแต่เยาว์วัย เขาเองทราบดี ในฐานะของบิดามีหรือจะไม่เป็นห่วง แต่นางชีเพิ่งตั้งครรภ์ เป็นช่วงที่ต้องการคนดูแล…


 


 


เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง นางชีรู้สึกอบอุ่นใจขึ้นมา นางผลักเขาคราหนึ่ง “ท่านพี่ รีบไปเถิด เข้าโตป่านนี้แล้ว จะมีเรื่องใดได้ แต่เจ้าเจ็ดกำลังต้องการท่าน”


 


 


นายท่านสี่กุมมือนางชีแล้วพยักหน้าพลางเอ่ยเสียงอ่อนโยนว่า “เช่นนั้นข้าจะไปดูเขาสักหน่อย หากเขาไม่เป็นอันใดแล้วข้าก็จะกลับมา”


 


 


นางชีมองเขาด้วยสายตาตำหนิ “ดึกดื่นป่านนี้แล้วไยต้องกลับไปกลับมาให้เหนื่อยเล่า ท่านพักอยู่ที่นั่นเถิด อีกอย่างข้ากำลังตั้งครรภ์ ตามธรรมเนียมแล้วควรแยกห้องกันนอน”


 


 


นายท่านสี่ห่มผ้าให้นางแล้วค่อยจากไป


 


 


กระทั่งถึงเรือนปีกข้าง นายท่านสี่เห็นหูอี๋เหนียงที่ยืนรออยู่ที่หน้าประตูก็ถามว่า “เจ้าเจ็ดเล่า”


 


 


“เจ้าเจ็ดเพิ่งจะเข้านอนก็อาเจียนออกมา อาจเพราะกินข้าวเหนียวมากไปทำให้ไม่ย่อย” นางหูมองนายท่านสี่ด้วยสายตาคาดหวังคราหนึ่ง เชิญชวนให้เข้าเขามาด้านใน


 


 


สายตาของนายท่านสี่ร่วงตกไปที่ดอกเสาเย่าอันสวยงามบนข้างหูหูอี๋เหนียง แล้วขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย “ข้าจะไปเจ้าเจ็ดสักหน่อย”


 


 


คุณชายเจ็ดนั้นพักอยู่ที่ห้องฝั่งตะวันตก ร่างเล็กๆ มุดอยู่ในผ้านวมเผยเพียงใบหน้าเล็กเท่าฝ่ามือใหญ่ออกมา หน้าเตียงมีโคมแสงขมุกขมัวตั้งอยู่ ทำให้มองไม่เห็นว่าสีหน้าของเขาเป็นเช่นไรกันแน่


 


 


เมื่อมองบุตรชายคนเล็กแล้ว นายท่านสี่ก็ใจอ่อนขึ้นมา


 


 


เมื่อครู่เขายังรู้สึกสงสัยอยู่บ้างว่าหูอี๋เหนียงอาจนำลูกน้อยมาเป็นข้ออ้างเพื่อเรียกเขามา แต่เรื่องที่บุตรคนเล็กสุขภาพไม่ดีมาตั้งแต่เยาว์นั้นอย่างไรก็เป็นความจริง


 


 


บางทีเขาอาจจะคิดมากไปเอง


 


 


“ท่านพี่ เจ้าเจ็ดเพิ่งหลับไป เราอย่าไปทำให้เขาตื่นเลย ไปพักผ่อนก่อนเถิด” หูอี๋เหนียงเงยหน้าขึ้น ใบหน้าเต็มไปด้วยความอ่อนโยน


 


 


นายท่านสี่นิ่งเงียบอยู่นาน ในที่สุดก็พยักหน้ารับ


 


 


เขาอยู่ที่ค่ายทหารมาตลอด กลับมาก็เพียงไม่กี่ครั้ง ทุกคราที่กลับมาก็จะอยู่เพียงไม่กี่วัน หากนับดูเขาก็มิได้มาที่นี่นานมากแล้ว


 


 


นางเป็นอนุภรรยาทั้งยังเคยใช้ชีวิตร่วมกันมาหลายปีในฐานะภรรยาเอก ในเมื่อตามเขากลับมาที่จวนกั๋วกงแล้ว ไม่ว่าในด้านความรู้สึกหรือเหตุผลก็มิควรปล่อยให้นางอยู่ในเรือนอย่างโดดเดี่ยวอ้างว้าง


 


 


หูอี๋เหนียงเห็นนายท่านสี่พยักหน้า ความยินดีก็กระจายเต็มหน้า นางเอาใจปรนนิบัติประคองเขานอนลงเตียง สายตาจ้องไปยังเปลวเทียนสีแดงที่ยังคงเผาไหม้ด้วยแล้วยิ้มออกมาอย่างภาคภูมิใจ


 


 


ไม่อาจกินข้าวร่วมกับตระกูลแล้วอย่างไร วันแรกที่กลับมาถึงจวนก็ยังมานอนที่เรือนนาง


 


 


มิรู้เช่นกันว่าวันนี้นางชีจะนอนหลับหรือไม่


 


 


“เหมยเหนียง ฮูหยินนางตั้งครรภ์แล้ว” เสียงของนายท่านสี่ดังลอยขึ้น


 


 


หูอี๋เหนียงตัวแข็งทื่อไปทั้งร่าง นางหยิกตนเองไว้โดยแรงจึงสามารถหาเสียงตนเจอ “เช่นนั้นก็น่ายินดียิ่งแล้ว พรุ่งนี้ข้าจะไปแสดงว่ายินดีกับฮูหยิน”


 


 


กล่าวถึงตรงนี้ เสียงของหูอี๋เหนียงก็พลันสะอื้นขึ้น นางหันหน้าไปสบตากับนายท่านสี่ มือขาวเนียนนั้นโอบรอบคอเขาไว้แล้วเอ่ยตัดพ้ออย่างเด็กน้อยแสนแง่งอน “ท่านพี่ ได้ยินข่าวดีเช่นนี้แล้ว ข้าดีใจแทนฮูหยินยิ่ง แต่ไม่รู้เหตุใดจึงรู้สึกทุกข์ทนอยู่บางส่วน เจ้าเจ็ดร่างกายอ่อนแอมาตั้งแต่เยาว์ ใจนี้ของข้าดั่งถูกบีบเค้นอยู่ร่ำไป…”


 


 


นายท่านสี่ตบหลังนางคราหนึ่ง “มีท่านหมอผู้เชี่ยวชาญคอยดูแลเขาอยู่ เขาต้องดีขึ้นเรื่อยๆ แน่”


 


 


หูอี๋เหนียงรับคำ “อืม” แล้วเริ่มรุกเร้าเข้าหาเขา


 


 


ไม่นานยวนยางก็เริ่มกอดกระหวัดพลอดรักกันเสียจนคลื่นน้ำกระเพื่อมไหว เมื่อหูอี๋เหนียงคิดว่านางชีตั้งครรภ์ ในใจดั่งมีกองไฟสุมอยู่ นางจึงเว้าวอนรัดรึงนายท่านสี่จนดึกดื่น สาวใช้ต้องยกน้ำมาให้ถึงสามคราทุกอย่างจึงสงบลงได้


 


 


ครั้นฟ้าสางนางก็เอ่ยเสียงอ่อนอยู่ในอ้อมอกนายท่านสี่ว่า “ท่านพี่ ข้าได้ยินว่าปีนี้จะมีการจัดสอบในเมืองต่างๆ ปีหน้าก็จะมีการสอบครั้งใหญ่ ถึงตอนนั้นผู้มากความสามารถจากทั่วสารทิศก็จะมารวมตัวกันที่เมืองหลวง ท่านก็ทราบว่าฉีเกอ น้องชายข้าแม้ยังเล็กแต่กลับร่ำเรียนตำราได้ดียิ่ง ข้าอยากให้เขามาหาประสบการณ์ที่เมืองหลวง จะต้องมีประโยชน์ต่อการทำการค้าของเขามากเป็นแน่”


 


 


นายท่านสี่นั้นมีความรู้สึกที่ดีกับฉีเกอ น้องชายของนางหูไม่น้อย เขาไม่เพียงเป็นคนฉลาดแต่ยังมีอุปนิสัยที่ดีด้วย การให้เขามาเมืองหลวงกลับเป็นเรื่องที่นายท่านสี่หวังให้เกิดขึ้นเช่นกัน


 


 


“เช่นนั้นเจ้าเขียนจดหมายไปบอกเขาก่อน หากฉีเกอยินยอม ข้าจะส่งคนไปรับเขาเอง”


 


 


“ยังต้องถามอีกหรือ ท่านพี่ส่งคนไปรับเขาเลยก็สิ้นเรื่องแล้ว” นางหูเอ่ยด้วยใจยินดี


 


 


นายท่านสี่ส่ายหน้า “แม้ฉีเกอยังเล็กแต่เขาเป็นคนมีความคิดเป็นของตน เจ้าไปพูดกับเขาให้เรียบร้อยก่อนดีกว่า”


 


 


หูอี๋เหนียงจึงพยักหน้ารับ กระทั่งนายท่านสี่จากไปนางก็เขียนจดหมายทันทีแล้วสั่งให้คนไปส่งที่อำเภอเป่าหลิง


 


 


ตั้งแต่ทราบว่าเยียนเหนียงตั้งครรภ์ ใจของคุณชายรองก็เกิดคลื่นลูกใหญ่ซัดสาดไม่หยุดจนมิอาจนอนหลับได้ทั้งคืน วันต่อมาขอบตาจึงคล้ำเขียวยิ่ง


 


 


เขาก็ไม่ทราบว่าเหตุใดทั้งที่ตนคิดจะใช้ประโยชน์จากเยียนเหนียงไปกลั่นแกล้งพี่ใหญ่ แต่ภายหลังกลับเผลอใจให้กับนางเสียเอง


 


 


แน่นอนว่าเขามิใช้น้องสามที่แสนดื้อดึงนั่น เขาไม่เสียใจที่ชอบเยียนเหนียง และไม่มีทางเสียขวัญจะเป็นจะตายเช่นนั้นแน่!


 


 


อย่างไรก็เป็นเพียงแค่สาวใช้ทงฝัง มิใช่อนุที่ถูกบันทึกรายนามของจวนเสียหน่อย รอบิดาเบื่อแล้ว เขาแค่วางแผนให้บิดาขายเยียนเหนียงออกไป เขาค่อยหาที่สักแห่งให้นางอยู่ก็มิใช่เรื่องที่ทำมิได้


 


 


แต่เวลานี้เยียนเหนียงกลับตั้งครรภ์ช่างทำให้คนรู้สึกอยากจะบ้าเสียจริง


 


 


หากเด็กผู้นี้เกิดมา ภายหน้าจะนับว่าเป็นน้องชายหรือบุตรของเขากันแน่


 


 


หากเป็นบุตรของบิดา ต่อให้ภายหน้าเยียนเหนียงถูกไล่ออกไปแล้วแต่เขาไหนเลยจะยังเก็บสตรีที่คลอดบุตรของบิดาไว้ได้ หากภายหน้ามีบุตรขึ้นมาอีกจะนับเป็นเรื่องเช่นใดกันเล่า


 


 


คุณชายรองเดินกลับไปกลับมา เขาอยากจะพุ่งเข้าใส่กำแพงจริงๆ


 


 


ไม่ได้ เขาจะต้องไปพบกับเยียนเหนียงสักครา!


 


 


อาจเพราะดีใจมากอย่างยิ่ง นายท่านรองจึงคอยอยู่เฝ้าเยียนเหนียงทั้งกลางวันกลางคืนติดต่อกันหลายวัน คุณชายรองจึงทำได้เพียงเก็บความคิดตนไว้ก่อน เมื่อมีความกังวลใจท่าทีจึงมิสู้ดีนัก บังเอิญเหลือเกินที่สหายร่วมเรียนก็เชิญเขาไปดื่มสุราพอดีจึงออกจากจวนไป


 


 


หลัวจากคุณชายสามทราบข่าวนี้ หัวใจที่กำลังลิงโลดเพราะจะได้ไปค่ายกองทัพทหารนั้นกลับห่อเ**่ยวลง


 


 


สำหรับสตรีที่กระโจนเข้ามาในหัวใจของเขาเพียงแค่แรกพบสบตาในคืนนั้น หากบอกว่าตอนนี้เขาสามารถตัดใจได้อย่างหมดจดคงเป็นไปไม่ได้ แต่หลังจากเขาทราบว่าเป็นสตรีของบิดา ความรู้สึกนี้ก็ถูกซ่อนไว้ในซอกหลืบที่ลึกที่สุด หลังจากที่เขารู้ว่านางมีบุตรกับบิดา เขาก็เข้าใจในทันทีว่าถึงเวลาแล้วที่ต้องตัดทิ้งความรักอันไร้เดียงสาในคราแรกเริ่มนั้นทิ้งไปเสีย


 


 


อาจเพราะพระจันทร์คืนนี้ช่างดูพิสุทธิ์ทั้งสูงส่ง หรืออาจเพราะอารมณ์สับสนที่คอยรัดรึงหัวใจเขาอยู่ทำให้คุณชายสามอดที่จะเปิดประตูเดินไปยังสถานที่ที่พวกเขาพบกันครั้งแรกอย่างอดไม่ได้


 


 


เมื่อเรื่องเริ่มขึ้นที่นี่ก็ควรจบที่นี่เช่นกัน…มันดีแล้ว


 


 


คุณชายสามยิ้มเยาะตนออกมา


 


 


แต่ทันใดนั้นกลับมีมือเสลาคู่หนึ่งยื่นออกมาโอบรอบคอเขาไว้ คุณชายสามหันไปโดยพลัน ท่าทีที่พร้อมจะสลัดแขนนั้นออกหายไปทันทีที่เห็นชัดว่าคือผู้ใด เขายังมิทันได้สติคืนมาด้วยซ้ำก็ถูกนางพาเข้าไปในถ้ำของหุบเขาจำลองนั่น


 


 


คุณชายสามมองใบหน้างดงามนั้นด้วยความตะลึงลาน เมื่อตื่นจากภวังค์จึงสะบัดมือนางออกแล้วหมุนกายจากไป


 


 


“คุณชายสาม…” เสียงแผ่วเบานั้นดั่งน้ำที่ราดรดลงไปยังบัวหยก หางเสียงมีความอาลัยอาวรณ์ฉุดรั้งฝีเท้าของเขาได้ชะงัดนัก


 


 


คุณชายสามหันหลังให้นาง เขาพยายามอย่างยิ่งที่จะสลัดหลุดจากน้ำเสียงอันอาลัยอาวรณ์นั้น “เยียนเหนียง โปรดระวังท่าที…”


 


 


เอ่ยถึงตรงนี้กลับพูดต่อไปมิได้อีก อย่างไรเสียก็เป็นเองที่หวั่นไหวก่อน นางมิได้เกี่ยวอันใดด้วยเสียหน่อย


 


 


ทว่านางดึงเขามาที่นี่ด้วยเหตุใดเล่า


 


 


ชั่วขณะนั้นใจของคุณชายสามก็เกิดสับสนขึ้นมาอีก เขากลั้นใจก้าวเท้าเดินหนีไป


 


 


ร่างอันอ่อนนุ่มทั้งหอมละมุนกลับขยับเข้ามาประชิด สองแขนโอบเอวเขาไว้ดุจเถาวัลย์


 


 


คุณชายสามยืนนิ่งไม่ไหวติงดุจถูกฟ้าผ่า


 


 


นางใช้ใบหน้าอันอ่อนนุ่มนั้นถูไถไปมาที่แผ่นหลังเขา แล้วผ่อนลมหายใจอันหอมละมุนดุจกล้วยไม้ออกมา “คุณชายสาม เด็กผู้นี้เป็นบุตรของท่าน ท่านรู้หรือไม่”


 


 


“ห๊ะ?” คุณชายสามหันไปถลึงตาใส่เยียนเหนียงทันใด


 


 


ใบหน้าเยียนเหนียงขาวนวลดุจหยกหิมะ มีเพียงสองแก้มที่แดงเรื่อเล็กน้อยคล้ายสีของบุปผาที่กำลังผลิบาน ดูบริสุทธิ์และงดงามอย่างที่สุด


 


 


แต่วาจาที่นางเอ่ยกลับทำให้เขารู้สึกมึนงงยิ่ง “หลายวันมานี้ท่านไม่มาหาข้าเลย คืนนี้ข้าจึงตั้งใจให้นายท่านปลีกตัวออกจากข้า เพราะอยากจะไปหาท่าน บังเอิญเหลือเกินที่ได้พบกันที่นี่…”


 


 


วาจายังมิทันเอ่ยจบ ข้อมือนางก็ถูกคุณชายสามจับไว้แน่น “เจ้าบอกว่า เจ้ามีบุตรกับข้างั้นหรือ” 

 

 


ตอนที่ 326 ทะเลาะวิวาท

 

ขนตาเยียนเหนียงกระพือไหวดุจปีกจักจั่นคล้ายสงสัยคล้ายเขินอายและขลาดกลัว เสียงของนางแผ่วเบาทั้งเว้าวอนอยู่ในที่ แต่สำหรับคุณชายสามแล้วเสียงนั้นกลับดังราวอัสนีฟาดผ่ายามวสันต์ทำเอาเขามึนงงโง่งมไปเลยทีเดียว


 


 


“ก่อนหน้านี้ที่ท่านไปหาข้านั้น ข้านับวันดูแล้ว เด็กน่าจะเป็นบุตรของท่าน…”


 


 


นางก้มหน้าลง ผมดำขลับดุจขนกาเผยให้เห็นใบหูเล็กกลมเกลี้ยง เสียงนั้นแผ่วเบาจนแทบจะไม่ได้ยิน “มีอันใดหรือ ท่านสงสัยว่าเขาจะเป็นบุตรของนายท่านหรือ ข้าเป็นมารดาย่อมต้องรู้ดีที่สุด หากท่านไม่เชื่อข้า ข้า…”


 


 


นางเงยหน้าขึ้น ดวงตาคู่นั้นถูกเมฆหมอกปกคลุมไว้ มิได้ดูอ่อนแอบอบบางเช่นสตรีทั่วไปแต่กลับเผยแววเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ออกมา “เช่นนั้นต่อไปท่านก็ไม่จำเป็นต้องมาหาข้าอีก กลับไปข้าจะเก็บตะเกียงแก้วรูปสาวงามนั้นไปเสีย”


 


 


“ตะเกียงแก้วรูปสาวงาม?” คุณชายสามเอ่ยพึมพำ


 


 


เยียนเหนียงยืดหลังขึ้นตรงแล้วแค่นยิ้ม “เป็นอันใด มิได้ไปหาข้าแค่ไม่กี่วันท่านก็ลืมแล้วหรือ ตะเกียงแก้วรูปสาวงามนั่นท่านซื้อมาให้ข้าเมื่อตอนเทศกาลโคมไฟอย่างไรเล่า ทุกคราที่นายท่านไม่อยู่ ข้าก็จะจุดมัน…”


 


 


“แล้วข้าก็จะไปหาเจ้า?” คุณชายสามหลุบม่านตาลงครึ่งหนึ่ง เสียงนั้นคล้ายแว่วมาจากปลายขอบฟ้า


 


 


เยียนเหนียงชำเลืองมองเขาคราหนึ่ง แววตาคล้ายแค้นเคืองคล้ายตัดพ้อ เสียงอันอ่อนระโหยคลอเคลียไปกับเสียงนั้น “ไม่ใช่ท่าน แล้วจะเป็นผู้ใดเล่า”


 


 


ไม่ใช่ท่าน แล้วจะเป็นผู้ใดเล่า


 


 


วาจานี้คล้ายอัสนีสายหนึ่งที่ผ่าลงข้างหูคุณชายสาม ทำเขาตกใจจนต้องถอยหลังไปโดยพลันกระทั่งแผ่นหลังชนกับผนังถ้ำ ความเย็นเยียบสัมผัสกายจึงตื่นจากภวังค์ดุจฝันไป


 


 


เขามองเยียนเหนียงคราหนึ่ง


 


 


คนงามดุจหยก รูปร่างสะโอดสะองนี่ค่อยๆ ซ้อนทับกับสตรีงามในราตรีนั้น เพียงแต่ขาดความเยือกเย็นไปเล็กน้อยและเพิ่มความเขินอายและขลาดกลัวขึ้นมาเท่านั้น


 


 


“คุณชายสาม…” เยียนเหนียงขมวดคิ้วขึ้นด้วยความสงสัยอย่างยิ่ง “วันนี้ท่านเป็นอันใดไป ดูแปลกๆ พิกล”


 


 


นางก้าวเท้าเข้าไปใกล้คุณชายสามอีก แต่เขากลับถอยหลังไปอย่างซวนเซจนเกือบจะสะดุดล้มแต่ก็รีบคว้าผนังถ้ำไว้ เขามองเยียนเหนียงอย่างล้ำลึกคราหนึ่งแล้วหมุนกายวิ่งจากไป


 


 


เขารูปร่างสูงขายาว เมื่อวิ่งเร็วเช่นนั้น ไม่นานก็ค่อยๆ หายลับไปในความมืด


 


 


เยียนเหนียงยืดกายขึ้น แล้วยกมือจัดผมเผ้าตน มุมปากหยักยกขึ้นเป็นรอยยิ้มบางเบาอย่างที่สุด แล้วค่อยเดินนวยนาดจากไป


 


 


คุณชายสามวิ่งไปข้างหน้าตลอดทาง ลมพัดหวีดหวิวปะทะหน้าเขา ทั้งที่เป็นเดือนห้าแท้ๆ แต่กลับรู้สึกหนาวเย็นไปถึงกระดูก


 


 


เขารู้สึกว่าใจของเขานั้นได้ถูกแช่แข็งไปแล้ว


 


 


คุณชายสามวิ่งกระทั่งถึงทางตรงหน้า เขายกเท้าเตะประตูเสียงปัง แล้ววิ่งเข้าไป


 


 


ทว่ากลับมีบ่าวเข้ามาขวางไว้ “คุณชายสาม คุณชายรองกำลังอาบน้ำอยู่…”


 


 


คุณชายสามบีบคอบ่าวผู้นั้นแน่นแล้วยกเขาขึ้นพลางพ่นวาจาออกมาคำหนึ่งว่า “ไสหัวไป!”


 


 


พูดจบก็ผลักเขาออกแล้วเดินตรงเข้าไป


 


 


บ่าวผู้นั้นลูบจมูกตนแล้วรีบหลบไปเฝ้าที่หน้าประตูใหญ่ทันที


 


 


อย่างไรก็เป็นพี่น้องฝาแฝดจะชกต่อยกันหนักหนาเพียงใดกัน?


 


 


คุณชายสามพุ่งเข้าไปทันที เมื่อเห็นเสื้อผ้าที่พาดอยู่บนฉากบังลมก็เดินอ้อมไปด้านหลัง


 


 


กล่าวไปแล้วนางเถียนก็ปฏิบัติต่อบุตรชายทั้งสองและหลัวเทียนเฉิงไม่เหมือนกัน


 


 


ตอนที่หลัวเทียนเฉิงเพิ่งจะรู้ความนางก็จัดเตรียมสาวใช้ทงฝังหน้าตางดงามดุจบุปผาดั่งหยกหลายคนมาคอยปรนนิบัติ หากเอ่ยให้น่าฟังคือต้าหลังไม่มีมารดา สตรีนั้นมีความละเอียดมากกว่าย่อมดูแลเขาได้ครบถ้วนมากกว่า


 


 


ทว่าเมื่อวัยอันสมควรของคุณชายรองและคุณชายสาม แม้นางจะจัดหาสาวใช้ทงฝังให้เช่นกัน แต่ชีวิตประจำวันกลับยังคงให้บ่าวหนุ่มดูแล คุณชายรองนั้นแล้วไปเถิด คุณชายสามกลับไม่สนใจ แม้แต่สาวใช้ทงฝังที่เตรียมไว้แล้วเขาก็ไม่ต้องการ นางเถียนยิ่งเบิกบานใจที่จะไม่มีปีศาจจิ้งจอกมาคอยยั่วยวนให้บุตรชายไขว้เขว


 


 


เวลานี้คุณชายรองกำลังนั่งอยู่ในถังไม้ มีบ่าวหนุ่มผู้หนึ่งคอยเติมน้ำให้เขา


 


 


เมื่อบ่าวผู้นั้นเห็นคุณชายสามบุกเข้ามาก็ตกใจเบิกตากว้างจนลืมเติมน้ำไป


 


 


คุณชายสามถลึงตาใส่ “ไสหัวไป!”


 


 


อาจเพราะคุณชายสามและคุณชายรองหน้าคล้ายกันยิ่ง บ่าวผู้นั้นจึงออกไปด้วยท่าทีมึนงง


 


 


คุณชายรองหรี่ตาลงเล็กน้อย “เจ้าสาม มีอันใด…”


 


 


วาจายังมิทันกล่าวจบก็เห็นคุณชายสามพุ่งเข้ามาต่อยหน้าเขาดุจลูกธนู


 


 


คุณชายรองนั่งอยู่ในถังอาบน้ำ มิอาจหลบได้จึงถูกต่อยเข้าไปเต็มๆ เลือดกำเดาไหลออกมาเป็นทางในทันใด


 


 


วันคุณชายรองออกไปสังสรรค์กับสหายเพราะมีเรื่องไม่สบายใจ เขาดื่มสุรามามาก แม้หลังจากกลับมาจะดื่มน้ำแกงสร่างเมาและอาบน้ำจนเริ่มมีสติขึ้นมาหลายส่วนแล้ว ทว่าเมื่อถูกหมัดของคุณชายสามเข้าไปกลับอาการมึนเมานั้นก็กลับมาอีกครั้ง เขาจึงลุกขึ้นสวนหมัดคืนไปโดยลืมไปว่าตนกำลังเปลือยกายอยู่


 


 


หากพูดถึงพลังยุทธ์ คุณชายรองย่อมมิใช่คู่ต่อสู้ของคุณชายสาม ยิ่งมิต้องพูดถึงสถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้านี้เลย แม้คุณชายสามจะโกรธเกรี้ยวอย่างยิ่งแต่ร่างกายของเขากลับหลบได้อย่างว่องไว ทั้งยังคว้าจับมือคุณชายรองไว้แล้วเอ่ยถามอย่างเข็นเขี้ยวเคี้ยวฟันว่า “พี่รอง ข้าอยากจะถามท่านว่า เรื่องเยียนเหนียงเป็นมาอย่างไรกันแน่”


 


 


“อันใดกัน?” ครั้นเอ่ยวาจานี้ออกมาคุณชายรองก็เริ่มมีสติกลับมาบ้างแล้ว


 


 


คุณชายสามมองท่าทีเช่นนี้ของเขาแล้วกลับยิ่งโมโหจนแทบบ้า


 


 


“พี่รอง ท่านมีความสัมพันธ์กับเยียนเหนียงใช่หรือไม่” เขาเขย่าคุณชายรองจนตัวคลอนโดยไม่สนว่าน้ำที่กระเซ็นนั้นจะทำเสื้อผ้าตนเปียก “ทั้งยังใช้นามของข้าอีกด้วย?”


 


 


“หากใช่แล้วอย่างไร?” คุณชายรองเริ่มรู้สึกหงุดหงิดเช่นกัน เขาออกแรงสลัดให้หลุด


 


 


ในสายตาเขามันก็เป็นเพียงความคิดที่เกิดขึ้นชั่ววูบเท่านั้น ในเมื่อคุณชายสามเผยความในใจต่อเยียนเหนียงก่อน เหตุใดเขาต้องเผยตัวตนออกมาอีกด้วยเล่า อย่างไรก็เป็นพี่น้องกันแค่สตรีผู้เดียวจำต้องเป็นถึงเพียงนี้เชียวหรือ


 


 


หากเป็นยามปกติเมื่อเขาเห็นคุณชายสามอารมณ์ร้อนเช่นนี้ เขาอาจจะพูดจาให้คุณชายสามอารมณ์เย็นลงก่อน แต่วันนี้เขาก็ดื่มสุรามาเช่นกัน ภายใต้การกระชากดึงอันรุนแรงนี้ ปากของเขาจึงมิอาจควบคุมได้อีกต่อไปแล้ว


 


 


เมื่อเห็นว่าคุณชายรองยอมรับออกมาเช่นนี้ ทั้งยังยอมรับอย่างตรงไปตรงมา ไม่มีความไยดีใดๆ เลยสักนิด คุณชายสามจึงอึ้งงันไปครู่หนึ่ง ตามด้วยโทสะที่มากมายอย่างมิอาจควบคุมได้


 


 


เขายกเท้าขึ้นถีบถังอาบน้ำไปโดยแรง


 


 


ถังอาบน้ำกลับทนทานยิ่งจึงมิได้แตกพักแต่ล้มคว่ำพาร่างคุณชายรองกลิ้งหลุนๆ ไปหลายตลบ ในที่สุดร่างเปลือยเปล่าของคุณชายรองก็กระเด็นหลุดออกมา


 


 


การล้มลุกคลุกคลานอันทุลักทุเลนี้ของคุณชายรองเสียงดังเลื่อนลั่นจนน่าตกใจยิ่ง


 


 


บ่าวทั้งสองที่ถูกไล่ออกไปจึงบุกเข้ามาอย่างอดรนทนไม่ได้อีกต่อไป


 


 


เมื่อเข้ามาจึงเห็นนายตนล้มหน้าคะมำดุจสุนัขกินอาจมอยู่บนพื้น บั้นท้ายขาวผ่องส่ายไปมาจนคนมองตาลายไปหมด


 


 


ทว่าคุณชายสามกลับยังไม่คลายโทสะ เขากระโจนเข้าไปขี่หลังคุณชายรองแล้วลงมือต่อยตีอย่างหน้ามืดตามัว


 


 


บ่าวทั้งสองต่างมองหน้ากัน


 


 


จบกันๆ หากเป็นเช่นนี้ต่อไปคงได้ตีจนมีคนตายแน่


 


 


นายตนดื่มสุรามา ไม่แน่ว่าคุณชายสามเองก็ดื่มมาเช่นกัน คนเราเมื่อสุราเข้าปากจะมีสติที่ใดกันเล่า


 


 


บ่าวทั้งสองมิกล้ากระทำการโดยพลการจึงรีบไปรายงานทันที


 


 


ในค่ำคืนดึกสงัด เสียงเคลื่อนไหวใดๆ ล้วนดังลอยไปไกลเสมอ เสียงเอะอะที่เกิดขึ้นนี้ทำให้คนไม่น้อยแตกตื่น และเวลานี้เองก็มีผู้ใดไม่ทราบตะโกนขึ้นว่า “เร็วเข้ารีบมาช่วยกันเร็ว มีคนเข้ามาทำมิดีมิร้ายที่เรือนคุณชายรอง…”


 


 


บ่าวไพร่ทั้งหลายจึงพากันกรูไปที่เรือนคุณชายรอง ครั้นเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างชัดเจนเต็มตา ความอลหม่านก็เกิดขึ้นทันที


 


 


วันนี้นายท่านรองสกุลหลังไม่อยู่พอดี กว่าข่าวนี้จะไปส่งถึงนางเถียน เรื่องราวก็เปลี่ยนเป็นมีคนบุกเข้ามาข่มเหง ทำมิดีมิร้ายคุณชายรองไปเสียแล้ว


 


 


นางเถียนยังมิทันนอนแต่เปลี่ยนชุดนอนแล้ว ครั้นได้ฟังรายงานนี้นางก็ตกใจจนวิญญาณแทบหลุดจากร่าง ยังมิทันเปลี่ยนแม้กระทั่งรองเท้าก็ออกจากเรือนไปทันที


 


 


เมื่อมาถึงเรือนหน้าบ่าวไพร่ก็ได้แยกพวกเขาออกจากกันแล้ว แต่ทั้งสองยังคงจ้องมองกันด้วยโทสะอยู่ไม่วางตา นางเกิดหน้ามืดขึ้นมารู้สึกเหมือนจะหมดสติไปให้ได้


 


 


“เจ้ารอง นี่…นี่มันเกิดอันใดขึ้น”


 


 


ครั้นเห็นบุตรชายที่มีท่าทีสง่างามมาเสมอมีเพียงเสื้อตัวนอกคลุมไว้อย่างทุลักทุเล ท่อนขาเปลือยเปล่าที่โผล่ออกมาทำให้คนต่างทราบว่าด้านในมิได้ใส่อันใดไว้เลย หากเป็นเช่นนี้ก็แล้วไปเถิด แต่ด้านหลังเสื้อคลุมกลับเปียกไปเกือบหมดทั้งยังลู่ติดกายทำให้เห็นรูปทรงบั้นท้ายอันแข็งแกร่งนั้นอย่างชัดเจน


 


 


ผมของคุณชายรองปล่อยสยาย ทั่วกายเต็มไปด้วยรอยเลือด เมื่อมองไปบนพื้นก็มีแต่น้ำ


 


 


หากมองแค่เพียงผิวเผินก็คล้ายถูกคนข่มเหงกระทำมิดีมิร้ายจริงๆ


 


 


“เจ้า…เจ้ารอง มีคนเข้ามาข่มเหงเจ้าจริงๆ หรือ” นางเถียนเบิกตากว้างจ้องมองคุณชายรองด้วยความตกใจ หากเขาพยักหน้าเกรงว่านางคงหมดสติไปในทันทีเป็นแน่


 


 


ช่างสมควรตายนัก นางทราบดีว่าหากสตรีคนใดต้องพบกับเรื่องเช่นนี้ ผู้เป็นบิดามารดาย่อมรู้สึกดั่งฟ้าถล่มลงมา ทว่าคิดไม่ถึงว่าแม้เป็นบุตรชายก็ยังคงรู้สึกเช่นเดียวกัน!


 


 


ความจริงยามนี้คุณชายรองได้มีสติคนมาโดยสมบูรณ์แล้ว แม้ท่าทีเช่นนี้จะน่าอับอายไม่น้อย แต่ก็มีเพียงบ่าวไพร่จำนวนหนึ่งเท่านั้นที่เห็น อีกอย่างก็แค่การทะเลาะกันของพี่น้อง แค่กำชับสักหน่อยก็สิ้นเรื่องแล้ว ทว่าเมื่อนางเถียนเอ่ยเช่นนี้ออกมา เขาลอบเอ่ยในใจว่าแย่แล้ว แต่ยังกล้ำกลืนความเจ็บปวดทั่วกายตะโกนออกมาว่า “ท่านแม่ ไม่มีอันใด ข้ากับน้องสามดื่มสุราแล้วเกิดพูดจาไม่เข้าหูกันจึงชกต่อยกันเท่านั้น”


 


 


เขาพูดพลางส่งสายตาไปให้คุณชายสาม “ใช่หรือไม่ น้องสาม”


 


 


พี่น้องกัน แม้ทุบจนกระดูกหักแต่เส้นเอ็นก็ยังไม่ขาด[1] ความสัมพันธ์ของพี่น้องฝาแฝดย่อมลึกซึ้งมากขึ้นไปอีก หากในอดีตคนทั้งสองจะทะเลาะชกต่อยกันมากเพียงแต่ก็ยังคงเลือกจะปกป้องอีกฝ่าย


 


 


คุณชายรองสร่างเมาแล้ว คุณชายสามเองก็มีสติขึ้นมาเช่นกัน ทว่าเขากลับเข้าใจทุกอย่างชัดเจนยิ่งขึ้นและยิ่งรู้สึกเหน็บหนาวไปสุดขั้วหัวใจ


 


 


ล่อลวงสาวใช้ทงฝังของบิดาทั้งยังทำให้นางตั้งครรภ์ หากเรื่องมีเพียงเท่านี้เขายังอาจพูดได้ว่าโชคชะตากลั่นแกล้งคน เพราะสตรีผู้นั้นช่างงดงามเหลือเกินทำให้คนมิอาจห้ามใจได้ หากเรื่องนี้เปิดเผยออกมา เพื่อความพี่น้องแล้วเขายอมกระทั่งรับผิดแทนคุณชายรอง


 


 


ทว่าพี่รองที่แสนดีของเขากลับสวมรอยเป็นเขาตั้งแต่แรก ในเวลาเช่นนี้เขายังคิดที่จะกลบเกลื่อนทุกอย่างไว้อีก!


 


 


พี่น้องเช่นนี้ทำให้รู้สึกอยากจะอาเจียนเหลือเกิน!


 


 


คุณชายสามดึงปิ่นหยกบนผมตนออกมา เขาหักมันเป็นสองท่อนแล้วทิ้งลงพื้น แค่นหัวเราะเสียงเย็นเอ่ยว่า “พี่รอง นี่เป็นครั้งสุดท้ายที่ข้าจะเรียกท่านว่าพี่รอง ต่อไปให้เราเดินทางใครทางมัน ท่านก็อย่าได้คิดเอาเรื่องอันใดมาผลักไสให้ข้าอีก!”


 


 


เขาพูดจบก็ยิ้มเศร้าๆ ให้กับนางเถียนที่นิ่งงันเป็นระกาไม้ “ท่านแม่ วันนี้รู้สึกไม่ค่อยสบาย พรุ่งนี้คอยไปขอรับโทษจากท่าน!” กล่าวจบก็หมุนกายเดินจากไปดุจบินได้


 


 


ผ่านไปครู่หนึ่งนางเถียนจึงมีสติคืนมา นางจับมือคุณชายรองพลางถามว่า “เจ้ารอง เกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่”


 


 


คุณชายรองมีอุปนิสัยนิ่งเฉยเย็นชาอยู่สักหน่อย เมื่อเขาดึงความนิ่งขรึมตนกลับมาได้จึงเอ่ยกับมารดาว่า “ท่านแม่ เข้าไปในเรือนก่อนเถิดลูกจะได้เล่าให้ท่านฟังอย่างละเอียด”


 


 


พูดพลางกวาดตามองบ่าวไพร่แล้วเอ่ยเสียงเรียบว่า “แยกย้ายกันได้แล้ว หากเรื่องวันนี้แพร่ออกไปแม้เพียงคำ พวกเจ้าก็มิต้องอยู่ที่จวนกั๋วกงอีกต่อไป!”


 


 


บ่าวไพร่ที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างรีบปลีกตัวออกมาทันใด


 


 


ครั้นเข้าไปในเรือน คุณชายรองก็คุกเข่าลงข้างกายนางเถียน เมื่อนางเถียนเค้นถามมากเข้า เขาก็ถอนหายใจยาวและเอ่ยออกมาในที่สุด “ท่านแม่ เดิมลูกไม่คิดจะพูด แต่เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วคงมิอาจปิดบังท่านได้อีกต่อไป”


 


 


นางเถียนเจ็บแปลบขึ้นมาในหัวใจ นางเอ่ยถามเสียงสั่นว่า “เจ้ารอง เกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่ เจ้าพูดมาเดี๋ยวนี้!”


 


 


คุณชายรองก้มหน้าลงจ้องมองมือตนแล้วถอนหายใจยาวออกมาคราหนึ่ง


 


 


น้องสาม แม้ความแตกแล้วแต่ถ้ามันเป็นเรื่องที่มีเพียงเราสองคนพี่น้องที่รู้ก็ช่างมันเถิด ทว่าเจ้ากลับมาตัดความสัมพันธ์พี่น้องกับข้าผู้เป็นพี่ เช่นนั้นก็อย่าได้โทษข้าเลย


 


 


 


 


——


 


 


[1] ทุบจนกระดูกหักแต่เส้นเอ็นก็ยังไม่ขาด เป็นประโยคเปรียบเปรยถึงความสัมพันธ์อันลึกซึ้งระหว่างพี่น้อง ไม่ว่าขัดแย้งกันแค่ไหนก็ยังตัดสัมพันธ์กันไม่ขาด 

 

 


ตอนที่ 327 ชื่อเสียงด่างพร้อย

 

 


 


“ท่านแม่ ความชมชอบที่น้องสามมีต่อเยียนเหนียงนั้นมิเคยหายไปเลย…”


 


 


“ห๊ะ!” นางเถียนผุดลุกขึ้นทันที เพราะการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วนี้ทำให้นางหน้ามืด ร่างโงนเงนไปชั่วขณะ


 


 


คุณชายรองประคองนางเถียนไว้ “ท่านแม่ อย่าเพิ่งกังวลเกินไปประเดี๋ยวจะกระเทือนถึงสุขภาพ”


 


 


นางเถียนยิ้มเศร้าออกมา “เจ้าตัวอัปรีย์นั้นไหนเลยจะไยดีข้าผู้เป็นมารดา!”


 


 


ท่าทีเศร้าอาดูรของนางพลันเปลี่ยนไปดั่งพบเหตุการณ์อันเ**้ยมโหดทารุณ “เช่นนั้นบุตรของเยียนเหนียง…”


 


 


คุณชายรองหลุบม่านตาลง แล้วเอ่ยเสียงแผ่วว่า “คิดว่าน้องสามคงมิกล้าหาญเพียงนั้น…”


 


 


“ไม่ได้ ข้าต้องไปถามเขา!” นางเถียนก้าวเท้าออกไปด้านนอกโดยไม่สนสุขภาพอันไม่เอื้อของตน แต่ก็ถูกคุณชายรองเข้ามาขวางไว้เสียก่อน


 


 


“ท่านแม่ ที่เราทะเลาะกันเมื่อครู่ก็เพราะเรื่องนี้ ท่านก็รู้อุปนิสัยของน้องสามดี หากท่านไปหาเขาแล้วเขาเอ่ยโต้งๆ ออกมาโดยไม่สนใจสิ่งใดแล้วจะทำฉันใดเล่า หรือท่านลืมไปแล้วว่าเมื่อต้นปีน้องสามเกือบจะปลิดชีพตนเพราะเรื่องนี้”


 


 


นางเถียนสูดลมหายใจเข้าคราหนึ่งแล้วทรุดตัวลงนั่งบนเตียง


 


 


“ท่านแม่…” คุณชายรองนั่งคุกเข่าคอยบีบนวดขาให้นางเถียน “ข้าคิดว่าแม้น้องสามจะมีใจให้เยียนเหนียง แต่คงมิกล้าทำเรื่องเช่นนั้นแน่ อาจเพราะเขาเรียนรู้เรื่องพวกนี้ช้าเกินไป แม้แต่สาวใช้ทงฝังสักคนก็ไม่มี ทำให้ลุ่มหลงเลอะเลือนง่ายๆ เช่นนี้”


 


 


นางเถียนฟังแล้วก็พยักหน้า พลันเกิดความคิดหนึ่งขึ้น


 


 


เจ้ารองกับเจ้าสามอายุสิบแปดแล้ว เดิมก็เป็นอายุที่เหมาะแก่การแต่งงาน หากมิใช่เพราะครึ่งปีนี้มีแต่เรื่องไม่ดีเกิดขึ้น ตระกูลเถียนก็พังทลายทำให้ตระกูลที่เคยทาบทามกันไว้ห่างหายไปไม่ทราบข่าวคราว มิเช่นนั้นงานแต่งของคนทั้งสองคงถูกกำหนดไปเรียบร้อยแล้ว


 


 


ดูท่านางควรต้องรีบหาภรรยาให้เจ้าสามเสียแล้ว เขาจะได้ตัดใจ


 


 


ส่วนเยียนเหนียงไม่ว่านางจะมีความสัมพันธ์กับเจ้าสามหรือไม่ก็มิอาจเก็บเด็กผู้นี้ไว้ได้!


 


 


เดิมนางควรขายสตรีแพศยาผู้นี้ไปให้ไกลแสนไกล ทว่าท่านพี่กลับคอยเฝ้าเยียนเหนียงไม่วางตาอยู่ทุกวันประหนึ่งสุนัขเฝ้ากระดูกก็มิปาน ทำให้นางไม่รู้จะลงมืออย่างไร ทั้งตอนนี้เยียนเหนียงยังตั้งครรภ์ขึ้นมาอีก หากจะขายนางออกไป ฮูหยินผู้เฒ่าก็ย่อมไม่มีทางเห็นด้วย


 


 


ทว่านางก็มิอาจพูดกับผู้อื่นได้ความกังวลใจนี้ หากคนอื่นทราบถึงความคิดของเจ้าสาม ชีวิตของบุตรชายตนคงพังทลายไม่เหลือชิ้นดีแน่!


 


 


เมื่อนางเถียนตื่นจากภวังค์นางก็หันไปยิ้มแกนๆ ให้คุณชายรอง “เจ้ารอง เจ้าก็เตือนน้องเจ้าสักหน่อยเถิด แม่กลับเรือนก่อนแล้ว”


 


 


คุณชายรองไปส่งนางเถียนที่หน้าประตู แล้วกลับมานั่งเงียบๆ อยู่บนเตียง ท่าทีเหม่อลอย


 


 


เด็กในครรภ์ของเยียนเหนียงนั้นมิอาจเก็บไว้ได้จริงๆ แต่เขาไม่อาจเสี่ยงจึงทำแค่อาศัยมารดาให้ช่วยกำจัดเด็กนั่นไปเสีย


 


 


เขาอาจจะดูใจเ**้ยมไปสักหน่อย ทว่าที่เขาต้องการจริงๆ ก็คือเยียนเหนียง ส่วนบุตรนั้นอย่างไรก็ควรจะต้องเกิดกับภรรยาเอก


 


 


อีกอย่างหากเด็กเกิดมาในสถานการณ์เช่นนี้ เมื่อเกิดมาแล้วต่อไปทุกครั้งที่เจอหน้ากัน เขาคงเอาแต่ครุ่นคิดคาดเดาอยู่ตลอดเวลาดั่งกางที่ติดอยู่ในคอหอยก็มิปาน


 


 


คุณชายรองนั่งอยู่นาน จิตใจที่ลังเลนั้นจึงค่อยๆ แน่วแน่ขึ้น


 


 


ครั้นคุณชายสามกลับมาถึงเรือนตนก็พุ่งเข้าไปที่บ่อน้ำทันที เขาชักรอกน้ำเย็นจากบ่อขึ้นมาล้างหน้าตน เมื่อเริ่มมีสติแจ่มชัดขึ้นมาบ้างแล้วก็ยืนตัวตรงขึ้น


 


 


เขาไม่เสียใจกับสิ่งที่ทำแต่เหตุใดใจดวงนี้ถึงได้ทุกข์ทรมานเช่นนี้เล่า


 


 


คุณชายสามเดินเข้าเรือนไปอย่างไร้จิตวิญญาณ เขาไล่บ่าวรับใช้ออกไปแล้วนั่งเหม่อลอยอยู่เป็นนาน เมื่อลุกขึ้นก็เดินมุ่งหน้าไปยังเรือนหลัง


 


 


เวลานี้ประตูที่ผ่านไปยังเรือนหลังได้นั้นยังมิได้ลงกลอน คุณชายสามเดินทะลุทางเดินลาดยาวแสนคับแคบกระทั่งถึงเรือนซินหยวน เมื่อถึงหน้าประตูเรือนซินหยวนกลับลังเลขึ้นมา


 


 


แม้เขากับพี่รองจะตัดขาดกันแล้วแต่เมื่อพบท่านแม่แล้วจะพูดอย่างไร หรือจะบอกว่าพี่รองกับเยียนเหนียงมีความสัมพันธ์กัน และเด็กในครรภ์ของนางเป็นบุตรของพี่รองงั้นหรือ


 


 


หากเป็นเช่นนั้นท่านแม่จะต้องรับไม่ได้แน่ เกรงว่าชีวิตของเยียนเหนียงคงมิอาจรักษาไว้ได้ ส่วนพี่รอง…


 


 


คุณชายสามยิ้มเยาะตน ต่อให้จะแค้นเพียงใดแต่เขาก็เป็นพี่ชายที่เติบโตมาด้วยกัน ตนไหนเลยจะทนเห็นเขาเสียชื่อเสียง ชีวิตย่อยยับพังทลายได้


 


 


คุณชายสามหมุนกายเดินจากไปไกลขึ้นทุกทีคล้ายวิญญาณเร่ร่อนอันโดดเดี่ยว คิดไม่ถึงว่ากลับเกินถึงเรือนชิงเฟิงโดยไม่รู้ตัว


 


 


“คุณชายสาม?” สาวใช้ที่เฝ้าหน้าประตูเห็นเข้าก็ตกใจยิ่ง


 


 


คุณชายสามพลันมีสติคืนมา ภายใต้สายตาแปลกใจสงสัยของสาวใช้ เขาเผลอเอ่ยออกไปว่า “ข้ามาหาพี่ใหญ่”


 


 


“คุณชายสามโปรดรอสักครู่” สาวใช้ผู้นั้นจึงรีบเข้าไปรายงาน


 


 


ไม่นาน ไป่หลิงก็เดินออกมา นางเชิญคุณชายสามเข้าไปรอที่ห้องโถง


 


 


เมื่อเห็นคนที่อยู่ในห้องโถง คุณชายสามก็รู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง “พี่สะใภ้?” ตามด้วยความลนลาน ครั้นก้มลงมองเสื้อผ้าที่ยังมิทันได้เปลี่ยนของตนจึงยกมือขึ้นจับผมอันยุ่งเหยิงของตนโดยไม่รู้ตัว เขาเอ่ยถามออกไปด้วยใบหน้าที่แดงขึ้นมาอย่างฉับพลันนั้น “พี่ใหญ่เล่า”


 


 


เจินเมี่ยวสั่งให้อาหลวนไปยกชามา แล้วเอ่ยอธิบายว่า “พี่ใหญ่เจ้ากลับจวนค่ำมาสองวันแล้ว แต่ทุกวันมักกลับมาเวลานี้ อีกสักประเดี๋ยวก็น่าจะถึงแล้ว เจ้านั่งรอสักครู่เถิด”


 


 


สีหน้านางยังคงเรียบเฉยแต่ในใจนั้นรู้สึกแปลกใจยิ่งกว่าคุณชายสามเสียอีก


 


 


เหตุใดสภาพของคุณชายสามประหนึ่งหนีภัยมากระนั้น เขามาที่นี่ในเวลานี้ทำให้นางเข้าใจว่าเกิดเรื่องใหญ่อันใดขึ้นเสียอีก!


 


 


“ข้ากลับก่อนดีกว่า!” คุณชายสามลุกขึ้นยืนแล้วหมุนกายจากไปทันที


 


 


เขาเดินมาที่นี่เพราะความใจลอย กระทั่งเกิดความคิดที่จะพบหน้าพี่ใหญ่สักครา ตัวเขาเองก็บอกไม่ถูกว่าเพราะเหตุใด ทั้งพี่ใหญ่ยังไม่อยู่อีก


 


 


กับพี่สะใภ้ผู้นี้เขารู้สึกไม่คุ้นเคยด้วยสักนิด


 


 


เจินเมี่ยวเห็นเช่นนั้นก็มิได้ว่าอันใด เพียงเดินไปส่งคุณชายสามที่หน้าประตู


 


 


กระทั่งคุณชายสามจากไปแล้ว นางมาครุ่นคิดดูจึงกำชับไป่หลิงว่า “พรุ่งนี้เช้าไปสอบถามมาสักหน่อยแล้วกันว่ามีเรื่องใดเกิดขึ้นที่เรือนหน้าหรือไม่”


 


 


ผ่านไปไม่นานหลัวเทียนเฉิงก็กลับมา เจินเมี่ยวจึงเล่าเรื่องที่คุณชายสามมาหาให้เขาฟัง


 


 


หลัวเทียนเฉิงเลิกคิ้วขึ้นอย่างคาดไม่ถึง แล้วจึงเอ่ยกำชับกับนางว่า “ต่อไปเรือนนี้ ไม่อนุญาตให้คนของบ้านรองเข้า”


 


 


เจินเมี่ยวตกใจและสงสัยยิ่ง


 


 


เขาขมวดคิ้วแล้วยื่นมือมาดีดหน้าผากนางคราหนึ่ง “จำไว้ โดยเฉพาะเจ้ารอง เจ้าสาม พวกเขาเป็นบุรุษ หากเกิดบ้าคลั่งขึ้นมา สาวใช้แค่กลุ่มเดียวไหนเลยจะขวางได้ เจ้ามิใช่ต้องเสียเปรียบแล้วหรอกหรือ”


 


 


เจินเมี่ยวรู้สึกลังเลเล็กน้อย “เช่นนี้จะไม่เกินไปหน่อยหรือ” อย่างไรเสียต่อหน้าก็มิเคยแสดงความขัดแย้งกันเลย


 


 


นางคิดครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า “เช่นนั้นต่อไปหากคุณชายรอง คุณชายสามมาหาท่านตอนที่ท่านไม่อยู่ จะหาข้ออ้างสักอย่างเพื่อให้พวกเขากลับไป หากเป็นอาสะใภ้รอง นางเป็นผู้อาวุโส คงไม่ดีนักหากจะให้นางรออยู่หน้าประตู”


 


 


เมื่อเห็นหลัวเทียนเฉิงมีสีหน้าไม่พอใจ นางจึงกะพริบตาปริบๆ คราหนึ่ง “ระยะนี้อาสะใภ้รองสุขภาพไม่ค่อยดี วางใจเถิด หากมีเรื่องอันใดขึ้นมาจริงๆ คนที่เสียเปรียบยอมไม่ใช่ข้าแน่”


 


 


หลัวเทียนเฉิงอึ้งงันไป แล้วหัวเราะออกมาเสียงดัง


 


 


เขากลับลืมไปเสียได้ว่าเจี๋ยวเจี่ยวมิใช่คนที่ชอบแสร้งเป็นคนดีทั้งโอนอ่อนต่อผู้อื่นอันใดเทือกนั้น เรื่องนี้ช่างดีเหลือเกินจริงๆ


 


 


รอกระทั่งเจินเมี่ยวหลับ เขาจึงลูบผมดำขลับที่สยายออกมานั้นของนางพลางครุ่นคิดถึงเจตนาในการมาที่นี่ของคุณชายสาม


 


 


เจ้าเด็กนั้นมาหาเขาด้วยเหตุใด วันนี้มิใช่คึกคักยิ่งแล้วหรอกหรือ


 


 


หรือ…จะสังเกตเห็นเขามีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้


 


 


หลัวเทียนเฉิงส่ายหน้า หากเป็นเช่นนั้นก็คงมิใช่เจ้าสามแล้วที่มา


 


 


คิดไปคิดมาก็นึกขึ้นมาได้ถึงความเป็นไปได้ที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ที่สุดข้อหนึ่ง


 


 


หรือเขาจะมาหาพี่ใหญ่อย่างเขาเพื่อระบาย


 


 


เขาเคยมีประสบการณ์มาก่อนย่อมต้องเข้าใจดี คนเราเมื่อถึงช่วงเวลาที่สิ้นหวังอย่างถึงที่สุดก็มักจะคิดถึงคนคนหนึ่งที่สามารถรับฟังเขาได้


 


 


หลัวเทียนเฉิงพลันบอกไม่ถูกว่าใจตนนั้นรู้สึกเช่นไรกันแน่


 


 


สุดท้ายจึงแค่นยิ้มเย็นออกมา เรื่องที่ยังมิได้เกิดขึ้นเหล่านั้นก็เป็นเพียงเพราะความเปลี่ยนแปลงของเขามันจึงมิได้เกิดขึ้น มิใช่เพราะสองสามีภรรยาใจเ**้ยมคู่นั้นเกิดสำนึกเสียใจ ดังนั้นเขาไม่ควรละทิ้งการแก้แค้นบ้านรอง ส่วนเจ้าสาม เขาก็จะขอเฝ้าดูอยู่เงียบๆ แล้วกัน


 


 


ราตรีนี้ช่างเหน็บหนาวจันทราโดดเดี่ยว ไม่ทราบว่ามีคนมากเท่าใดที่ยากจะหลับลง


 


 


วันรุ่งขึ้นไป่หลิงก็รีบนำข้อมูลที่ไปสอบถามมารายงานต่อเจินเมี่ยว “ต้าไหน่ไหน่ เขาเล่ากันว่าเมื่อคืนมีคนบุกเข้ามาในเรือนคุณชายรอง แล้ว…แล้ว…”


 


 


“หืม?” เจินเมี่ยวลูบปิ่นลายหงส์คราหนึ่งแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ไป่หลิง เหตุใดเจ้าจึงพูดจาอ้ำๆ อึ้งๆ เช่นนี้เล่า”


 


 


ไป่หลิงเขี่ยเท้าไปมา แล้วเอ่ยด้วยใบหน้าแดงก่ำ “คนผู้นั้นข่มเหงคุณชายรองเจ้าค่ะ!”


 


 


เชวี่ยเอ๋อร์กำลังยกโจ๊กไป่เหอเข้าได้พอดี เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็เอ่ยขึ้นด้วยความตกใจว่า “บุรุษก็ถูกข่มเหงได้หรือ”


 


 


เรื่องนี้ออกจะเกินจริงไปสักหน่อยกระมัง!


 


 


เจินเมี่ยวพยักหน้าหนักๆ แล้วกระแอมไอคราหนึ่งภายใต้แววตาสงสัยของบรรดาสาวใช้ “เหลวไหลทั้งเพ!”


 


 


“จริงเจ้าค่ะ คนด้านนอกต่างลือกันไปทั่วว่าตอนนั้นคุณชายสามสวมอาภรณ์ไว้เพียงหมิ่นเหม่ ทั้งยังมีรอยเลือดเต็มกาย แม้แต่…แม้แต่…” ไป่หลิงเขินอายอย่างที่สุด “เฮ้อ วาจานั้นบ่าวพูดออกมาไม่ได้จริงๆ เจ้าค่ะ”


 


 


เจินเมี่ยวยกโจ๊กไป่เหอขึ้นกินคำหนึ่งแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มบางเบาว่า “หากพูดไม่ได้ เช่นนั้นก็มิต้องพูดแล้ว”


 


 


ห๊ะ?


 


 


ไป่หลิงสำลักไปเลยทีเดียว แล้วมองเจินเมี่ยวด้วยความเศร้ากึ่งคับแค้นใจ


 


 


ต้าไหน่ไหน่จะทำเช่นนี้ไม่ได้เด็ดขาด แม้ผู้อื่นจะเขินอายยิ่ง ทว่าเมื่อไปสอบถามข้อมูลที่แปลกจนยากจะจินตนาการได้มาแล้ว หากมิพูดให้หมดคงได้ทำคนอัดอั้นตายแน่!


 


 


นางกระแอมคราหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “บ่าวพูดไม่ได้จริงๆ เจ้าค่ะ แต่ในเมื่อต้าไหน่ไหน่ให้บ่าวไปสอบถามข้อมูลมา บ่าวก็จำต้องยอมหน้าหนาเอ่ยมันออกมาแล้วเจ้าค่ะ ข้างนอกต่างลือกันว่ามีคนบุกเข้ามาข่มเหงคุณชายรองจริงๆ หากผู้ใดไม่เชื่อก็ไปดูได้เลยว่าที่บั้นท้ายของคุณชายรองมีปานขนาดเท่าพุทราแดงอยู่หรือไม่!”


 


 


พรืด เจินเมี่ยวพ่นโจ๊กไป่เหอในปากตนออกมา แล้วเอ่ยอย่างไม่รู้จะหัวเราะหรือร่ำไห้ดีว่า “ไป่หลิง เรื่องนี้ เจ้าไม่พูดก็มิเป็นไรจริงๆ นะ”


 


 


กระทั่งเจินเมี่ยวกินโจ๊กรองท้องเรียบร้อยแล้วจึงรีบไปน้อมทักทายฮูหยินผู้เฒ่าที่เรือนอี๋อาน


 


 


เมื่อถึงหน้าประตูก็ได้ยินนางเถียนร่ำไห้พลางเอ่ยฟ้องว่า “ฮูหยินผู้เฒ่า เมื่อวานพวกเขาสองพี่น้องดื่มมากไปหน่อยทำให้ลงไม้ลงมือกันขึ้นมา ทว่าผู้ใดจะทราบฟ้ายังไม่ทันสางเลยด้วยซ้ำก็มีข่าวลืออันยากจะทนฟังได้แพร่ออกไป ท่านคิดว่าต่อไปเจ้ารองจะมีหน้าไปพบผู้คนได้อย่างไร จะไปร่ำเรียนได้อย่างไรเจ้าคะ!”


 


 


เมื่อชื่อเสียงด่างพร้อย ต่อให้มีความสามารถมากเพียงใดคิดว่าก็ยากจะโดดเด่นเหนือบัณฑิตทั้งมวลได้ หากไม่มีความสามารถทั้งยังมีชื่อเสียงเช่นนี้อีกคงไม่มีสิทธิ์กระทั่งเข้าร่วมสอบแล้ว


 


 


“เมื่อวานพวกเขาสองพี่น้องทะเลาะกัน ผู้ที่เห็นเหตุการณ์มีเพียงบ่าวไพร่จำนวนหนึ่งเท่านั้น ผู้ใดจะทราบว่าจะมีคนกล้าบิดเบือนจนเรื่องราวเป็นเช่นนี้ ฮูหยินผู้เฒ่า มิใช่สะใภ้อยากต่อว่า ทว่าหลานสะใภ้อย่างไรก็อายุยังน้อย การดูแลจัดการจวนย่อมมีเผอเรอไปบ้างจึงมิได้กำราบบ่าวไพร่ให้ดี แต่น่าเสียดายที่เจ้ารองต้องมาเสียชื่อเสียงทั้งที่ไม่เป็นความจริง!”


 


 


เจินเมี่ยวเดินเข้ามา นางย่อกายคารวะแล้วรีบเอ่ยขอรับผิดทันที “ท่านย่า อาสะใภ้รองพูดถูกเจ้าค่ะ หลังจากที่ข้าได้ทำหน้าที่ดูแลจวนแล้วก็มิเคยปรับเปลี่ยนบ่าวไพร่ในการปฏิบัติหน้าที่ต่างๆ ทั้งในส่วนเรือนหน้าและเรือนหลัง คิดว่าคงถึงเวลาแล้วจริงๆ โชคดีที่อาสะใภ้เอ่ยเตือนเจ้าค่ะ”


 


 


เจินเมี่ยวเอ่ยคำขอบคุณซ้ำอีกครั้งแต่กลับทำเอานางเถียนสำลักเกือบตาย


 


 


นางบอกว่ามิได้เปลี่ยนบ่าวไพร่ในการปฏิบัติหน้าที่ นั่นมิใช่บอกว่าคนก่อนหน้านี้ที่หน้าจัดไว้ไม่ทำตามหน้าที่ ทั้งเจตนาขัดแข้งขัดขาต้าไหน่ไหน่ในการดูแลจัดการจวนหรอกหรือ


 


 


ความหมายที่ซ่อนอยู่ในวาจานี้ของนางคือต้องการเปลี่ยนบ่าวไพร่ที่ปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งต่างๆ ทั้งในส่วนเรือนหน้าและเรือนหลังงั้นหรือ


 


 


นางดูแลจวนเจิ้นกั๋วกงอันกว้างใหญ่แห่งนี้มานับสิบปีแล้ว ต่างจัดคนแทรกซึมไปในทุกที่ แม้ยามนี้จะมอบอำนาจการดูแลจวนให้เจินเมี่ยวแล้ว แต่ไม่ว่านางจะพูดหรือทำอันใดก็ยังเกิดผลอยู่เช่นเดิม แต่หากเปลี่ยนตำแหน่งการปฏิบัติงานของบ่าวไพร่ขึ้นมาจริงๆ เช่นนั้นภายหน้านางคงยากจะก้าวเดินต่อไปได้แล้ว

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม