แพทย์เทวะ หัตถ์ปีศาจ 319-345

ตอนที่ 319

 

งานแต่งงาน

หนึ่งในภาพเขียนโบราณมีค่าใช้จ่ายที่สูงกว่าเงินออมทั้งหมดของนาง และพวกเขาอนุญาตให้ชายชราประเมินมูลค่าของหยกบางชิ้น จากนั้นพวกเขาก็รวมรวมเงินจนครบ 120,000 เหรียญเงินเพื่อให้พวกเขาไป


เมื่อเห็นชายชราเดินออกไปพร้อมกับตั๋วแลกเงินจำนวนมหาศาล ฮูหยินผู้เฒ่าอยากจะให้คนไปแอบปล้นเขาในภายหลัง เงินที่นางสะสมไว้ในชีวิตนี้ถูกนำไปเพราะภาพวาดบัดซบนั่น นางรู้สึกไม่พอใจเลย! นางไม่พอใจสักนิดเดียว !


ใครจะรู้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่ขณะที่นางเริ่มโกรธเฟิงหยูเฮง นางจ้องมองเฟิงหยูเฮง นางแอบก่อนด่าในใจอย่างไม่มีที่สิ้นสุด อย่าคิดว่านางไม่รู้ แม้ว่าร้านค้าจะเป็นของเหยาซื่อ แต่ก็ยังคงเป็นเฟิงหยูเฮงที่เป็นผู้จัดการร้านค้าเหล่านั้น ตราบใดที่เฟิงหยูเฮงเอ่ยปากออกมา นางก็ไม่ต้องจ่ายเงิน 120,000 เหรียญเงิน


น่าเสียดายเมื่อเฟิงหยูเฮงเอ่ยปากออกมา อย่างไรก็ตามนางกับพูดในทิศทางที่ตรงกันข้าม ตระกูลเฟิงอาจจะปฏิเสธการจ่ายเงินไปเรื่อย ๆ แต่หากนางพูดออกไป ใครยังมีใบหน้าหลงเหลืออีกบ้าง ?


เจ้ากำลังจะแต่งงานกับฮูหยินคนใหม่ แต่เจ้ายังคงต้องการเงินจากฮูหยินคนเก่าของเจ้าอีกหรือ ? เจ้าช่างไร้ยางอายสิ้นดี


เฟิงหยูเฮงเฝ้าดูฮูหยินผู้เฒ่าที่จ้องมองนางอย่างต่อเนื่อง และนางก็อดไม่ได้ที่จะพูดว่า “ท่านย่าอย่าได้ทุกข์ใจไปเลย โดยปกติแล้วมารดาควรให้ความช่วยเหลือเล็กน้อยสำหรับงานแต่งที่ใหญ่โตของบุตรชาย นี่คือความรักระหว่างมารดากับบุตรเจ้าค่ะ”


ฮูหยินผู้เฒ่าโกรธและไม่ต้องการที่จะนั่งในห้องต่อไป นางกุมมือของยายจาวไว้เพื่อให้ช่วยประคองนางลุกยืนขึ้น “กลับเรือน ! ”


ยายจาวช่วยประคองนางกลับไปที่เรือนซูหยาอย่างรวดเร็วโดยทิ้งห้องที่เต็มไปด้วยอนุและบุตรไว้อย่างนั้น


เมื่อมองไปที่ห้องที่เต็มไปด้วยเครื่องเรือนทองคำและหยก ใบหน้าของทุกคนดูหม่นหมอง แม้แต่เฟิงเฉินหยูก็ไม่มีความสุข นี่คือวิธีที่หัวหน้าครอบครัวทำหรือ ? หลังจากได้รับผลประโยชน์บางอย่าง นางก็ยังคงปรารถนามันต่อไป หลังจากได้รับตำแหน่งฮูหยินขั้นหนึ่ง คนอื่น ๆ ไม่ได้แสดงออกมากนัก แต่นางส่งของมีค่าและเงินจำนวนมากให้ย่าของนาง อย่างไรก็ตามนางยังคงขอเพิ่มในวันนี้ ! นางเป็นหมาป่าจริง ๆ ที่เอาแต่ได้


อย่างไรก็ตามฮันชิมองดูห้องที่เต็มไปด้วยสิ่งต่าง ๆ และไม่มีความสุข นางคิดว่านางเคยได้รับความโปรดปรานมากแค่ไหน อย่างไรก็ตามเฟิงจินหยวนไม่เคยให้อะไรกับนางเลย ห้องของนางโทรมมาก


ทุกคนครุ่นคิดเรื่องของตนเอง ระหว่างทางกลับไปที่เรือนตงเซิง หวงซวนก็ไม่สามารถกลั้นเสียงหัวเราะของนางได้อีกต่อไป “คุณหนูเก่งจริง ๆ คุณหนูเห็นใบหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าหรือไม่เจ้าคะ ? นางโกรธมากจนหน้าเปลี่ยนเป็นสีม่วง”


เฟิงหยูเฮงยักไหล่ “นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้เห็นใครซักคนไร้ยางอายเช่นนี้ ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นจริง ๆ ”


“แน่นอนเจ้าค่ะ” หวงซวนกล่าว “ข้าได้ยินมาว่าสิ่งที่ถูกส่งไปให้ฮูหยินผู้เฒ่าเฟิงเข้าไปในห้องเก็บของและไม่เคยนำออกมา คราวนี้นางต้องจ่ายด้วยตัวเอง บางทีนางอาจจะล้มป่วย แต่สิ่งที่คุณหนูพูดเป็นความจริงมากเจ้าค่ะ เพียงแค่มีคนพูดว่าองค์หญิงใหญ่ของเฉียนโจวชอบภาพวาดของฟานจงเทียน เสนาบดีเฟิงก็ไปซื้อของจริงให้ ข้าไม่รู้จริง ๆ ว่าเขาเป็นเสนาบดีได้อย่างไรด้วยหัวสมองเช่นนั้น ข้าได้ยินมาว่าเขาอยู่ในอันดับต้น ๆ เมื่อเขาเข้าสอบจอหงวน ฮ่า มันเป็นปาฏิหาริย์อย่างแท้จริง”


เฟิงหยูเฮงยิ้มแย้มและพูดว่า “ข้าได้ยินมาว่าเฟิงจินหยวนไม่เคยเลินเล่อในเรื่องราชสำนักแม้แต่เล็กน้อย รวมไปถึงการบรรเทาภัยพิบัติในภาคเหนือ หากเขาทำงานได้ไม่ดี ฮ่องเต้จะไม่ทรงตรัสชมเชยมากนัก หากเขายังไม่ได้ขึ้นสู่ขั้นหนึ่ง บางทีการเลื่อนตำแหน่งของเขาอาจจะไม่ไกล นี่เป็นการพิสูจน์ว่าไม่ใช่สมองของเขาที่ผิดปกติ มันแสดงให้เห็นว่าเขามีข้อบกพร่องเมื่อจัดการกับเรื่องภายในเรือนของเขา เมื่อมันเต็มไปด้วยอุบายและเล่ห์กล ผู้ชายก็ทำได้ไม่ดีนัก ประกอบกับความจริงที่ว่าไม่มีฮูหยินใหญ่คอยจัดการเรื่องครอบครัวในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา และความจริงที่ว่าเขามีมารดาที่โลภมาก มันคงจะแปลกสำหรับเขาที่จะตกอยู่ในสภาพเช่นนี้”


เมื่อเฟิงจินหยวนกลับมาที่คฤหาสน์ในคืนนั้น เขาก็ถูกเรียกไปที่เรือนซูหยาของฮูหยินผู้เฒ่า ระหว่างทางเฮ่อจงอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นในระหว่างวัน และเฟิงจินหยวนรู้สึกว่าศีรษะของเขาพองโต


เขาไม่เคยจัดการเรื่องการเงินของคฤหาสน์ ดังนั้นเขาจึงไม่คิดเมื่อใช้เงิน นอกจากนี้ยังมีสิ่งต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมายในช่วงเวลาที่ผ่านมา นอกจากนี้เขาไม่รู้ว่าเขาใช้เงินไปเท่าไหร่ เขาจะรู้ได้อย่างไรว่าจริง ๆ แล้ว เขาจะไม่สามารถจ่ายได้ !


เมื่อเข้าสู่เรือนซูหยา เขาสามารถบอกได้ว่าบรรยากาศนั้นย่ำแย่เพียงใด แม้ว่าบ่าวรับใช้ทุกคนจะโค้งคำนับเขา แต่เขาก็ไม่รู้ว่ามันเป็นผลทางจิตวิทยาหรืออะไรบางอย่าง แต่มันดูราวกับว่าบ่าวรับใช้และยายมองเขาด้วยความดูถูก เมื่อนึกได้ว่าเขาเสียหน้าเพราะร้านสมบัติที่ยอดเยี่ยมเป็นของเหยาซื่อ เฟิงจินหยวนกัดฟัน เขาเต็มไปด้วยความโกรธ เขาพร้อมที่จะไปที่เรือนตงเซิงในภายหลังเพื่อเอาเรื่อง


ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นเขาในห้องนอนของนาง เพราะนางใช้เงินไปมาก นางจึงล้มป่วยและนอนอยู่บนเตียง ผ้าขนหนูอุ่นวางอยู่บนหัวของนางขณะที่นางยังส่งเสียงครวญคราง


เฟิงจินหยวนรีบไปที่ด้านข้างฮูหยินผู้เฒ่า ก่อนที่เขาจะพูดอะไรก็ได้ เขาได้ยินเสียงของฮูหยินผู้เฒ่าตะโกนว่า “ลูกชายไม่เอาถ่าน ! คุกเข่า ! “


เขาตกตะลึงแล้วจ้องมองยายจาวที่อยู่ด้านข้างและรู้สึกว่ามันน่าขายหน้า เขาจึงไม่คุกเข่า


ฮูหยินผู้เฒ่าโกรธ นางกระแทกไม้เท้าบนเตียงของนาง นางร้องไห้และกรีดร้อง “ฮูหยินยังไม่ได้แต่งเข้าคฤหาสน์ เจ้าก็ไม่สนใจข้า ชีวิตของข้าช่างน่าสังเวช ! ฮูหยินขั้นหนึ่งอย่างข้าถูกบุตรชายของตัวเองทอดทิ้ง ยายจาว ! พรุ่งนี้ข้าจะคุกเข่าที่ประตูพระราชวัง ข้าจะไปร้องเรียนกับฮ่องเต้ ! ไม่ ! ไม่ใช่พรุ่งนี้ ข้าจะไปตอนนี้ ! ”


ฮูหยินผู้เฒ่าพยายามดิ้นรนและลุกขึ้นยืนคร่ำครวญ ยายจาวจับนางไว้และพูดอย่างรวดเร็วว่า “ตอนนี้ค่ำแล้วเจ้าค่ะ ประตูของพระราชวังปิดไปแล้ว แม้ว่าท่านจะคุกเข่าจนกระทั่งถึงรุ่งสางก็ไม่มีประโยชน์อะไร ! ” ยายจาวเก่งมากในการอธิบายสถานการณ์ เมื่อเห็นความดื้อรั้นของเฟิงจินหยวน นางรู้ว่ามันเป็นเพราะนางอยู่ด้วย ดังนั้นนางจึงพูดว่า “ท่านฮูหยินผู้เฒ่า ถ้าท่านมีบางอย่างที่จะพูด ท่านก็คุยแบบมารดาและบุตรชายนะเจ้าคะ ไม่มีความขัดแย้งที่ไม่สามารถแก้ไขได้ บ่าวรับใช้จะออกไปรอข้างนอกเจ้าค่ะ”


เมื่อเห็นว่าฮูหยินผู้เฒ่าหยุด ยายจาวรีบออกจากห้องและปิดประตูจากด้านนอก


เมื่อนั้นเฟิงจินหยวนหยวนก็เริ่มคำนึงถึงสิ่งต่าง ๆ ในขณะที่เขาคุกเข่าอยู่หน้าเตียงของฮูหยินผู้เฒ่า “ข้าสร้างปัญหาให้ท่านแม่”


ฮูหยินผู้เฒ่าโกรธมากจนแทบหายใจไม่ออก “สิ่งที่ข้าเป็นห่วงคือไม่มีปัญหา ! ” ถ้าเป็นปัญหาก็คงจะดี สิ่งที่นางเสียใจก็คือเงิน !


“ยังไม่มีสิ่งใดที่ข้าทำได้ ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่ฮ่องเต้ต้องการเห็น ! ” เฟิงจินหยวนกลัวว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะทำสิ่งที่ไม่ดีดังนั้นเขาจึงแอบอ้างชื่อของฮ่องเต้


ใครจะรู้ว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะตกหลุมพรางเหมือนคราวก่อน “ทำไมฮ่องเต้ถึงต้องสนพระทัยถ้าเจ้าซื้อของดี ๆ สำหรับฮูหยินคนใหม่ของเจ้า”


เฟิงจินหยวนหมดข้อแก้ตัว “ฮ่องเต้ไม่สนพระทัย แต่คนที่ลูกกำลังจะแต่งงานด้วยเป็นถึงองค์หญิงใหญ่ของเฉียนโจว บางทีท่านแม่ไม่รู้ว่าสถานะของคังอี้เทียบเท่าผู้ปกครองของเฉียนโจว มารดาของผู้ปกครองคนนั้นล่วงลับไปแล้ว และก็เป็นคังอี้ที่เลี้ยงเขาอย่างดี พี่สาวคนโตของเขาเป็นเหมือนมารดา ยิ่งกว่านั้นพี่สาวคนโตผู้นี้ก็ช่วยให้เขาขึ้นครองบัลลังก์ของฮ่องเต้ ! เป็นไปได้หรือไม่ที่ฮ่องเต้จะไม่สนพระทัยการแต่งงานครั้งนี้”


เมื่อได้ยินเขาพูดเช่นนี้ ท่าทีของฮูหยินผู้เฒ่าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย เฟิงจินหยวนจึงพูดอย่างรวดเร็ว “เพราะองค์ชายแห่งกูซูมาขอแต่งงาน ฮ่องเต้นอนไม่หลับหลายคืน หากมีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ เกี่ยวกับการแต่งงาน ความเป็นไปได้ของการแต่งงานเชื่อมสัมพันธไมตรีระหว่างเฉียนโจวและกูซูคงจะไม่ดีอย่างยิ่งสำหรับราชวงศ์ต้าชุนของเรา ข้าจึงจัดให้มีการแต่งงานในช่วงเดือนแรกเท่านั้น เฉียนโจวอยู่ไกลจากราชวงศ์ต้าชุนมาก โดยปกติเราควรส่งขันหมากไป แต่ไม่มีสถานที่ส่งพวกมันไป ข้าทำได้เพียงซื้อของมาตกแต่งที่เรือนเทียนเซียงให้ดีที่สุด ไม่ว่าในกรณีใดมันเป็นการแสดงท่าทีของเรา”


“เจ้ากำลังจะบอกว่าเจ้าซื้อของเหล่านี้เพื่อเป็นขันหมากหรือ ? ” ฮูหยินผ็เฒ่าไตร่ตรองเล็กน้อยแล้วพูดว่า “โดยปกติเมื่อแต่งงานกับองค์หญิงใหญ่ การใช้จ่ายไม่กี่แสนเหรียญเงินก็ไม่มากนัก แต่ขันหมากควรส่งไปยังครอบครัวมารดา แต่เจ้าวางพวกมันทั้งหมดในเรือนของนาง ถ้าผู้คนจากเฉียนโจวมา เราจะทำอย่างไร ?”


“ท่านแม่ไม่ต้องห่วง คังอี้ได้กล่าวแล้วว่าเฉียนโจวไม่ต้องการขันหมากใด ๆ ยิ่งกว่านั้นระยะทางห่างกันมาก ถ้าเราส่งมันจะไม่ถึงในเวลานี้ และพวกเขาจะส่งกลับมาก็เป็นไปได้ยากยิ่งขึ้น”


ฮูหยินผู้เฒ่าพยักหน้า “นั่นก็เรื่องจริง แต่ถ้าเจ้าให้ขันหมาก แล้วสินเดิมของนางล่ะ ? ”


เฟิงจินหยวนรู้ว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะถามเกี่ยวกับเรื่องนี้ ในขณะที่เขาพูดอย่างรวดเร็ว “ฮ่องเต้ได้ทรงอักษรถึงผู้ปกครองของเฉียนโจวด้วยพระองค์เอง ข้าคิดว่าเขาคงส่งสินเดิมมาไม่ทันงานแต่งงาน นับตั้งแต่เวลาที่จดหมายไปถึงพวกเขา อย่างเร็วที่สุดก็ต้องต้องใช้เวลาอีก 3 เดือนกว่าจดหมายจะไปถึง คังอี้กล่าวว่าผู้ปกครองของเฉียนโจวให้ความสำคัญกับนางมากที่สุด เขาได้พูดไปแล้วว่าถ้าพี่สาวของเขาแต่งงานอีกครั้ง โดยไม่คำนึงว่านางแต่งงานกับใคร พวกเขาจะไม่ขอขันหมาก และสินเดิมก็มีมากมาย”


ในที่สุดฮูหยินผู้เฒ่าดีใจ ขณะที่นางลุกขึ้นนั่งบนเตียงและถามเฟิงจินหยวน “เจ้าทำให้มันฟังดูค่อนข้างดี แต่เจ้าเคยคิดบ้างไหมว่าครอบครัวควรทำอย่างไรถ้าเจ้าใช้เงินทั้งหมดในคลัง ? นอกจากนี้ข้าจ่ายค่าภาพวาดโบราณที่มีราคาถึง 120,000 เหรียญเงิน” นางหลีกเลี่ยงการพูดถึงว่านางฉีกมันเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย


เฟิงจินหยวนปลอบโยนนางแล้วพูดว่า “ท่านแม่ไม่ต้องห่วงขอรับ เราจะจัดการด้านการเงิน เรือนแต่ละแห่งมีเงินออมของตัวเอง และบ่าวรับใช้ได้รับเงินเดือนของพวกเขาแล้วในตอนสิ้นปี ส่วนที่ท่านแม่จ่ายเงินไป 120,000 เหรียญเงิน ข้าจะจ่ายคืนให้ 2 เท่าเมื่อสินเดิมของคังอี้มาถึงคฤหาสน์”


“2 เท่าหรือ ? ” ฮูหยินผู้เฒ่ากลับมาคึกคักอีกครั้ง “เจ้าสามารถตัดสินใจเรื่องนี้แทนคังอี้ได้หรือ ? ”


“ข้าตัดสินใจกันแล้ว คังอี้และรุ่ยเจียยังมองท่านแม่ด้วยความเคารพ แม้ว่าท่านแม่ไม่ต้องการมัน พวกเขาก็จะมอบให้ท่านแม่อยู่ดี”


“ดีแล้ว นั่นเป็นสิ่งที่ดี” ในที่สุดฮูหยินผู้เฒ่าก็สงบลง เมื่อคิดอีกเล็กน้อย นางถามว่า “สำหรับเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ ฮ่องเต้จะมาร่วมงานด้วยพระองค์เองหรือไม่ ? อ่า ! ไม่ดี ! ข้าต้องสั่งตัดชุดใหม่หรือไม่ ? ”


เฟิงจินหยวนกล่าวว่า “สุขภาพของพระองค์ไม่ดี พระองค์ไม่ได้ออกจากพระราชวังมาหลายปีแล้ว ถึงแม้ว่าฮ่องเต้จะไม่สามารถมาถึงได้ แต่พระองค์ได้ส่งองค์ชายใหญ่มาทำหน้าที่แทนพระองค์ ท่านแม่ไม่จำเป็นต้องเตรียมเสื้อผ้าอะไรเลย อย่างที่ข้าเห็นชุดราชสำนักของท่านแม่จะเหมาะสมที่สุดแล้วขอรับ”


เมื่อเขาพูดอย่างนี้ฮูหยินผู้เฒ่าก็จำได้ ถูกต้อง ! ไม่ว่าเสื้อผ้าราคาแพงแค่ไหนมันก็แค่ผ้า แต่ชุดราชสำนักแสดงถึงสถานะของนางในฐานะฮูหยินขั้นหนึ่งอย่างแท้จริง “ข้าจะสวมชุดราชสำนัก ! ” ใบหน้าของนางยิ้ม แต่เมื่อนางได้ยินว่าองค์ชายใหญ่กำลังจะมาทำพิธีแต่งงาน นางเป็นกังวลเล็กน้อย “จินหยวน ! เจ้าต้องจับตาดูสถานการณ์ปัจจุบัน ให้ความสนใจมากขึ้นและคิดให้หนักขึ้น แม้ว่าเจ้าจะได้เลือกองค์ชายสามแล้ว แต่เจ้าก็ยังสามารถเปลี่ยนใจได้ ! เมื่อเร็ว ๆ นี้ฮ่องเต้ทรงโปรดปรานองค์ชายใหญ่ คิดให้รอบคอบ เป็นองค์ชายสามหรือไม่ที่ควรค่าแก่การสนับสนุน”


เฟิงจินหยวนพยักหน้า และพูดว่า “ลูกเข้าใจ ท่านแม่ไม่ต้องเป็นห่วงขอรับ”


ฮูหยินผู้เฒ่าถอนหายใจ “ไม่มีความจำเป็นที่หญิงชราอย่างข้าจะพูดมากเกินไปเกี่ยวกับเรื่องของราชสำนัก แต่เจ้าต้องจำไว้ การตัดสินใจของเจ้าเพียงอย่างเดียวนั้นเกี่ยวข้องกับความเจริญรุ่งเรืองหรือความตกต่ำของตระกูลเฟิง ไม่เป็นไร สิ่งสำคัญคือควรดูว่าเจ้าสามารถแก้ไขได้ทันเวลาหรือไม่ ตอนนี้คังอี้กำลังจะแต่งเข้าคฤหาสน์ เนื่องจากเจ้าบอกว่านางมีความสามารถที่ดีในการสนับสนุนน้องชายของนางให้อยู่ในตำแหน่งที่มีอำนาจ มันจะดีสำหรับพวกเจ้าสองคนที่จะพูดคุยกัน ดูว่านางจะมีความคิดอะไรดี ๆ สำหรับเจ้าหรือไม่”


เฟิงจินหยวนคำนับ “ท่านแม่พูดถูก ลูกชายจะจดจำคำสอนนี้ขอรับ”


ฮูหยินผู้เฒ่าไม่ได้พูดมากเพราะนางไม่รู้ว่าบุตรชายของนางคิดอะไรอยู่ เฟิงจินหยวนยืนขึ้นแล้วรินน้ำชาให้นาง เมื่อเขานำมันมาให้ฮูหยินผู้เฒ่า ในที่สุดนางก็พูดว่า “งานแต่งงานจะมีค่าใช้จ่ายมาก เจ้าเป็นเสนาบดี และองค์ชายใหญ่จะมาทำหน้าที่แทนฮ่องเต้ แม้แต่ขุนนางที่ไม่เป็นพวกของเจ้าในอดีตก็จะมา เจ้าต้องคิดแผนเตรียมตัว จะหาเงินจำนวนมากมาจากที่ไหน ! ”


คำพูดเหล่านี้ทำให้เฟิงจินหยวนตกใจ ถูกต้อง ! งานเลี้ยงงานแต่งงานและความบันเทิงมีค่าใช้จ่ายสูง


แต่มันก็ไม่เหมือนว่าเขาจะหมดหนทาง แต่เขาก็ยังเป็นเสนาบดี การหาคนมาช่วยเขาไม่ใช่เรื่องยากอะไร


ในพริบตาวันที่ 26 ในคฤหาสน์ตระกูลเฟิงมีผู้คนพลุกพล่าน งานแต่งงานมาถึงอย่างรวดเร็ว…

 

 

 


ตอนที่ 320

 

ทำไมคุณหนูรองยังไม่มา ?

วันแต่งงานของเฟิงจินหยวนและคังอี้เป็นช่วงเวลาที่หนาวเย็นเป็นพิเศษ แม้ว่าสิ้นเดือนหนึ่งแล้วแต่ก็ยังมีหิมะตกหนัก


ทุกคนบอกว่านี่เป็นการที่สวรรค์แสดงความยินดีต่อองค์หญิงใหญ่จากเฉียนโจว เพราะเฉียนโจวถูกปกคลุมด้วยน้ำแข็งและหิมะมานานกว่า 1,000 ปี หิมะตกหนักเช่นนี้ถือคำอวยพรสำหรับคังอี้


สิ่งแรกในตอนเช้าที่ฮูหยินผู้เฒ่าทำคือการสวดอ้อนวอนขอให้โชคดีและจุดธูป นับตั้งแต่วินาทีที่นางลืมตา เปลือกตาขวาของนางกระตุกไม่หยุด ทำให้คนอื่นรู้สึกไม่สบายใจเช่นกัน นางหวังว่างานแต่งงานในวันนี้จะราบรื่นและไม่มีอะไรผิดพลาด


เฟิงจินหยวนนอนในห้องนอนของเขาที่เรือนไผ่หยกเมื่อคืนก่อน เขาตื่นแต่เช้าแล้วก็ล้างหน้า จากนั้นแต่งตัวด้วยความช่วยเหลือจากบ่าวรับใช้ของเขา เมื่อเขาสวมชุดแต่งงาน เขาก็พร้อมที่จะไปรับนางจากพระราชวัง


เนื่องจากบ้านของคังอี้นั้นอยู่ไกล ฮ่องเต้จึงอนุญาตให้นางออกไปจากพระราชวังของฮ่องเต้ เมื่อองค์หญิงต่างแคว้นมาที่ราชวงศ์ต้าชุน พวกเขาสามารถปฏิบัติต่อนางได้เช่นเดียวกับองค์หญิง แม้ในกรณีเช่นนี้มันเป็นเกียรติสูงสุดที่เป็นไปได้สำหรับองค์หญิงต่างแคว้น


เฟิงจินหยวนหน้าตาสดชื่น เขารู้สึกดีขึ้นกว่าเวลาที่เขาแต่งงานกับเหย้าซื่อ บ่าวรับใช้ที่ดูแลเขาพูดประจบว่า “หลังจากงานแต่งงานของท่านใต้เท้าจะมีการเฉลิมฉลองที่ยิ่งใหญ่กว่า ข้าเชื่อว่าหลังจากองค์หญิงใหญ่เข้ามาในคฤหาสน์ นางจะสามารถให้กำเนิดเด็กน้อยตัวอ้วนท้วนอย่างรวดเร็วแน่นอนเจ้าค่ะ ในเวลานั้นคฤหาสน์จะมีชีวิตชีวามากยิ่งขึ้น”


เฟิงจินหยวนยิ้มและลูบหัวเขา “เจ้าพูดถูกใจจริง ๆ”


“เจ้าค่ะ” บ่าวรับใช้บอกเฟิงจินหยวน “คุณหนูใหญ่มาเช้านี้ ในเวลานั้นท่านใต้เท้ายังไม่ตื่น คุณหนูใหญ่ที่รออยู่ในห้องโถง ท่านใต้เท้าจะไปพบคุณหนูหรือให้คุณหนูเข้ามาเจ้าค่ะ”


เฟิงจินหยวนไตร่ตรองเล็กน้อย “ให้นางเข้ามา”


บ่าวใช้ออกไปและกลับเข้ามาพร้อมกับเฟิงเฉินหยู เฟิงจินหยวนสวมชุดแต่งงานสีแดงและนั่งเก้าอี้ในห้องด้านนอกของห้องนอนของเขา เมื่อมองไปที่เฟิงเฉินหยูด้วยรอยยิ้ม เขาอนุญาตให้เฟิงเฉินหยูรู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อยจากฉากนี้


เป็นเวลานานแล้วที่เฟิงจินหยวนไม่ได้มองนางด้วยรอยยิ้ม ซึ่งทำให้นางรู้สึกงุนงงอยู่ครู่หนึ่งเพราะนางรู้สึกว่าเขากลับมาเป็นบิดาที่ทุ่มเทความพยายามทั้งหมดเพื่อเลี้ยงดูนาง เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่ในพริบตาเสื้อผ้าสีแดงเตือนนางอีกครั้งว่าสิ่งต่าง ๆ ในตอนนี้เปลี่ยนไป วันนี้บิดาของนางจะแต่งงานกับองค์หญิงใหญ่จากต่างแคว้น และนาง… “ท่านพ่อ” เฟิงเฉินหยูเอ่ยออกมาแล้วไปคำนับ “ข้ามาแสดงความยินดีกับท่านพ่อเจ้าค่ะ”


เฟิงจินหยวนหัวเราะ “ข้าได้ยินว่าเจ้ามาแต่เช้า มีเรื่องอะไรหรือ ? ”


เฟิงเฉินหยูพยักหน้าแล้วก้าวไปข้างหน้าอีกสองสามก้าว เมื่อมาถึงเฟิงจินหยวน นางถือบางอย่างไว้ในมือของนาง “ข้ารู้ว่าท่านพ่อใช้เงินจำนวนมากจากคลังเพื่อจัดหาเครื่องเรือนให้องค์หญิงใหญ่ งานแต่งงานในวันนี้ก็มีค่าใช้จ่ายอีกมากมาย นี่เป็นของที่ข้ามอบให้ท่านพ่อในวันนี้แต่งงานเจ้าค่ะ”


เฟิงจินหยวนรับของจากมือแล้วมอง จริง ๆ แล้วมันคือตั๋วแลกเงิน 4 ใบ แต่ละใบมีมูลค่า 5,000 เหรียญเงิน รวมเป็น 20,000 เหรียญเงิน


เขาประหลาดใจมาก “เจ้ายังมีเงินอยู่อีกหรือ ? ”


เฟิงเฉินหยูกล่าวว่า “นั่นคือทั้งหมดที่เหลืออยู่ แต่ข้าก็ยังคงเก็บไว้เพื่อใช้ ไม่กี่วันที่ผ่านมาข้าให้ท่านย่า 10,000 เหรียญเงิน และส่วนนี้จะมอบให้ท่านพ่อ ข้าไม่เหลือเงินแล้วจ้าค่ะ”


“จริงหรือ ? ” เฟิงจินหยวนรู้สึกลังเลเล็กน้อยที่จะเชื่อนาง


เฟิงเฉินหยูบอกเขาว่า “ตระกูลเฉินกำลังประสบปัญหาในตอนนี้ ข้าต้องดูแลตัวเอง เงินจำนวนนี้เป็นขีดจำกัดแล้วเจ้าค่ะ”


“อืม” เฟิงจินหยวนพยักหน้า ตระกูลเฉินประสบปัญหาอย่างกะทันหัน เฟิงเฉินหยูไม่สามารถเตรียมการล่วงหน้าได้ย่อมเป็นเรื่องปกติ “ค่าใช้จ่ายในวันนี้ค่อนข้างสูง ข้าจะคิดถึงเจ้าเสมอ ไม่ต้องกังวล องค์หญิงใหญ่ก็พูดแล้วว่านางจะไม่เพิกเฉยต่ออนาคตของเจ้าอย่างแน่นอน”


เฟิงเฉินหยูกำลังรอสิ่งนี้อยู่ขณะที่นางคุกเข่าบนพื้น “ลูกมีร่างกายที่บริสุทธิ์ และหวังว่าท่านพ่อกับท่านแม่จะมีความเห็นอกเห็นใจข้าเจ้าค่ะ”


นางพูดอีกครั้งว่าร่างกายของนางบริสุทธิ์เพื่อแจ้งให้เฟิงจินหยวนทราบว่านางได้รับการรักษาจากเฟิงหยูเฮงแล้ว เฟิงจินหยวนก็อารมณ์ดีเล็กน้อย เขายื่นมือออกไปตบไหล่นางกล่าวว่า “เจ้าเป็นทุกข์ ข้ารู้เรื่องนี้ เฉินหยู เจ้าเป็นเด็กที่มีความเข้าใจที่ดีมาก เมื่อมารดาของเจ้าแต่งเข้ามา ครอบครัวนี้ยังต้องการให้เจ้าช่วยเหลือในการเข้าสังคมมากขึ้น”


“นี่คือสิ่งที่เฉินหยูควรทำเจ้าค่ะ”


บทสนทนาระหว่างบิดากับบุตรสาว เห็นได้ชัดว่าบิดารับเงินและบุตรสาวได้รับสัญญา ทั้งสองหัวเราะและเดินไปที่เรือนด้านหน้าด้วยกัน ในเวลานี้ฮูหยินผู้เฒ่านำทุกคนในตระกูลเฟิงนั่งอยู่ในห้องโถงของเรือนโบตั๋น พวกเขาแค่รอให้เฟิงจินหยวนมาถึง


หลังจากเฟิงจินหยวนเข้ามาในห้องโถง เขาได้คารวะฮูหยินผู้เฒ่าก่อนจากนั้นก็ไปคุยกับอนุและบุตรสาวของเขาครู่หนึ่ง หลังจากนั้นเขาก็จากไปอย่างมีความสุข ขึ้นไปบนม้าของเขา เขานำหน้าเกี้ยวแต่งงานและมุ่งหน้าไปยังพระราชวังเพื่อรับฮูหยินของเขา


หลังจากที่เขาจากไป ทุกคนในคฤหาสน์เฟิงก็เริ่มทำงานทันที พวกเขาเตรียมงานเลี้ยงและตกแต่ง เฮ่อจงนำบ่าวรับใช้ชายที่มีทักษะในการพูดคุยและบ่าวรับใช้หญิงที่เรียบร้อยมาต้อนรับแขก


ฮูหยินผู้เฒ่าให้ทุกคนนั่งที่เรือนโบตั๋น และให้คำแนะนำซ้ำ ๆ ว่า “ฮูหยินใหญ่เข้ามาในคฤหาสน์ อนุไม่ต้องไปที่หน้าบ้านเพื่อต้อนรับนาง อีกสักครู่เจ้าจะไปรอที่เรือนเทียนเซียง หลังจากที่พวกเขาได้ทำพิธี และนางถูกส่งไปยังห้องเจ้าสาว เจ้าสามารถเข้าไปคารวะฮูหยินใหญ่ได้”


ใบหน้าของฮันชิไม่มีความสุข และจินเฉินดูเหมือนจะเสียใจ ฮูหยินผู้เฒ่ามองดูพวกเขาอย่างว่างเปล่า “พวกเจ้าต้องชัดเจนในสถานะของตัวเอง เป็นไปได้หรือไม่ที่เจ้าทั้งสองคนยังหวังว่าจะได้เป็นฮูหยินใหญ่ ? ไม่ว่าจะทางไหนก็ไม่มีใครออกไปทำธุระในวันนี้ แม้ว่าเจ้าจะต้องเสแสร้ง พวกเจ้าก็ต้องทำ พวกเจ้าเข้าใจหรือไม่ ? “


อันชิคนหนึ่งเป็นผู้นำ และกล่าวว่า “อนุผู้นี้จะจำไว้เจ้าค่ะ”


ฮันชิและจินเฉินทำตาม และกล่าวว่า “อนุผู้นี้จะจำไว้เจ้าค่ะ”


ในที่สุดฮูหยินผู้เฒ่าก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ จากนั้นนางก็มองดูหลานสาวของนาง “ในอีกสักครู่เจ้าจะไปที่ลานหน้าบ้านพร้อมกับข้า” เมื่อพูดถึงเรื่องนี้นางมองที่เฟิงเฉินหยูว่า “อืม เจ้าแต่งหน้าได้งดงามในวันนี้ มันเบาบางและสวยงาม ไม่สามารถแย่งความสง่าราศีจากฮูหยินใหญ่ได้ รอยแผลเป็นบนหน้าผากของเจ้าก็ปิดไว้อย่างดี… ทำไมอาเฮงยังไม่มา ? ” หลังจากที่ให้คำแนะนำไป ในที่สุดนางก็มาถึงเรื่องที่สำคัญที่สุด เช้านี้ทุกคนมาที่เรือนโบตั๋น ตอนนี้ขาดเพียงเฟิงหยูเฮงคนเดียว มีเฟิงหยูเฮงเพียงคนเดียวที่ไม่ได้อยู่ที่นั่น


อันชิกล่าวว่า “เรือนตงเซิงอยู่ไกลและวันนี้มีหิมะตกหนัก มีความเป็นไปได้ที่คุณหนูรองอยู่ระหว่างการเดินทางมาที่นี่เจ้าค่ะ”


ฮูหยินผู้เฒ่าไม่พอใจ อย่างไรก็ตามนางไม่สามารถพูดอะไรได้ นางได้แต่ทำท่าฮึดฮัดไม่พอใจอย่างเงียบ ๆ


ไม่นานแขกเริ่มมาถึงคฤหาสน์ ผู้คนจากคลังขนโต๊ะและเก้าอี้ไปที่ทางเข้าเพื่อวางของกำนัลงานแต่งงาน ไม่ว่าแขกจะคิดอะไรอยู่ พวกเขาทุกคนก็ทำท่าประจบประแจง เมื่อพวกเขามาถึง ของกำนัลงานแต่งงานพวกเขาทั้งหมดดูดี ท้ายที่สุดแล้วเฟิงจินหยวนเป็นเสนาบดีของราชสำนัก และเขาได้แต่งงานกับองค์หญิงใหญ่ของเฉียนโจว ยิ่งกว่านั้นบุตรสาวของเขาคือองค์หญิงแห่งมณฑลจี่อัน ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดของกำนัลก็ควรมีค่า


งานแต่งงานของเฟิงจินหยวนจะทำพิธีโดยองค์ชายใหญ่, ซวนเทียนฉี ซวนเทียนฉีย่อมมาถึงเป็นคนแรก หลังจากนั้นองค์ชายองค์อื่น ๆ ก็มาถึง พวกเขาเป็นองค์ชายสอง,ซวนเทียนหลิง องค์ชายสาม,ซวนเทียนเย่ องค์ชายสี่, ซวนเทียนยี่ และองค์ชายห้า,ซวนเทียนหยาน สำหรับคนอื่น ๆ พวกเขายังไม่ได้ปรากฏตัว


หลังจากการมาถึงขององค์ชาย อ๋องเหวินซวนมาถึงกับซวนเทียนเก้อ แม่ทัพปิงหนานพาซีเฟิง และเสนาบดีเฟิงมาถึงพร้อมกับเทียนหยู ช่างฝีมือเป่ยยังมาพร้อมกับฟู่หรง


ด้วยองค์ชาย อ๋องและองค์หญิงมาถึง ฮูหยินผู้เฒ่าย่อมต้องออกไปข้างนอกและทักทายพวกเขาโดยนำกลุ่มหลานสาวไปด้วย สักพักคฤหาสน์เฟิงก็มีชีวิตชีวามาก


แต่เฟิงหยูเฮงยังไม่มาถึง เปลือกตาขวาของฮูหยินผู้เฒ่าเริ่มกระตุกอีกครั้งเพราะนางรู้สึกว่ามีบางสิ่งไม่ดีกำลังจะเกิดขึ้น หัวใจของนางเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก เมื่อมองไปรอบ ๆ นางพบว่าพระชายาเหวินซวนไม่มา และนางก็อดไม่ได้ที่จะถามยายจาว “เจ้ารู้หรือไม่ว่าทำไมพระชายาเหวินซวนถึงไม่มา ? ”


ยายยายจ้าวกล่าวว่า “ข้าได้ถามไปแล้ว พวกเขาบอกว่าพระชายาเหวินซวนมาพร้อมกับท่านอ๋องแล้ว แต่หลังจากลงจากรถม้า พระชายาไปที่คฤหาสน์ขององค์หญิงแห่งมณฑลเจ้าค่ะ ข้ากำลังคิดว่าพระชายามีความสัมพันธ์ที่ดีกับเหยาซื่อ บางทีพระชายาอาจเป็นห่วงว่าเหยาซื่อจะเสียใจ พระชายาเหวินซวนอาจจะไปปลอบใจนางเจ้าค่ะ”


ฮูหยินผู้เฒ่านิ่งเงียบไปก่อนจะกล่าวว่า “หากนางไม่ยืนยันที่จะหย่าร้างกับเฟิงจินหยวน นางจะรู้สึกเสียใจในวันนี้ได้อย่างไร”


เช่นเดียวกับที่นางพูดสิ่งนี้ เฮ่อจงคุกเข่าคลานเข้าแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “รายงานฮูหยินผู้เฒ่า เกี้ยวแต่งงานมาถึงทางเข้าแล้วขอรับ รีบไปนั่งในห้องโถงหน้าเพื่อรอฮูหยินใหญ่คนใหม่มาคำนับท่านขอรับ ! ”


เมื่อได้ยินว่าพวกเขากลับมาอย่างรวดเร็ว ฮูหยินผ็เฒ่ารีบบอกยายจาว “รีบพาไปที่โถงหน้า”


หลังจากฮูหยินผู้เฒ่านั่งลงในห้องโถง เฟิงจินหยวนก็เข้ามาในคฤหาสน์พร้อมกับฮูหยินคนใหม่ของเขา


คังอี้สวมชุดแต่งงานสีแดงมีลวดลายหงซึ่งเย็บด้วยด้ายสีทอง มันดูหรูหราและมันเหมาะกับสถานะของนางในฐานะองค์หญิงใหญ่ของต่างแคว้น เมื่อมองไปที่ผ้าคลุมเจ้าสาวบนหัวของนางดูเหมือนว่าจะทำจากผ้าไหมตำหนักจันทราและมันก็มีสีอ่อนกว่าชุดแต่งงานเล็กน้อย อย่างไรก็ตามมันมีความสง่างามแตกต่างกัน


ไม่ใช่ว่าทุกคนที่มาร่วมในพิธีนี้ล้วนแต่มาที่พระราชวัง สำหรับพวกเขา นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาเห็นผ้าไหมตำหนักจันทรา และพวกเขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกแปลกใจและยกย่องว่าดีที่สุด


ฮูหยินผู้เฒ่ามองดูทั้งสองเดินผ่านหน้าบ้านและเดินไปที่ห้องโถง ขณะที่นางเริ่มรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย ในช่วงเวลาของการแต่งงานครั้งแรกของเฟิงจินหยวน เขาเพิ่งได้อันดับหนึ่งในการสอบจอหงวนและนางเพิ่งย้ายจากบ้านเก่า ตระกูลเฟิงเป็นผู้มาใหม่ในเมืองหลวง ไม่มีรากฐานหรืออำนาจ พวกเขาไม่มีเวลาที่จะทำให้คฤหาสน์ที่ฮ่องเต้ทรงมอบให้เขาเป็นระเบียบ สำหรับตระกูลเหยาเป็นตระกูลที่รุ่งเรืองในเมืองหลวง อย่างไรก็ตามพวกเขาบอกว่าบุตรสาวของหมอไม่คู่ควรกับบัณฑิตซึ่งสอบจอหงวนได้ แต่ตระกูลเฟิงเข้าใจว่าด้วยความสามารถในการแต่งงานกับเหยาซื่อ ตระกูลเฟิงจะสามารถตั้งหลักในเมืองหลวงได้อย่างแท้จริง


นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมสำหรับงานแต่งงานครั้งแรก ความโดดเด่นของตระกูลเฟิงถูกตระกูลเหยาบดบังรัศมี แขกเกือบทั้งหมดมาเพื่อตระกูลเหยา ขุนนางที่มาไม่ได้ใส่ใจแม้แต่กับมารดาของจอหงวน


แต่วันนี้แตกต่าง แม้ว่ารากฐานของตระกูลเฟิงจะไม่ลึก แต่ก็ไม่สามารถเทียบได้กับเมื่อ 20 ปีก่อน นอกจากนี้เฟิงจินหยวนเป็นเสนาบดีมาหลายปีแล้ว เขาไม่ได้เป็นเด็กหนุ่มที่บ้าบิ่นอีกต่อไปแล้ว แม้ว่าคังอี้จะเป็นองค์หญิงใหญ่ของเฉียนโจว และถึงแม้ว่านางจะมีผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวที่ทำจากผ้าไหมตำหนักจันทรา นางก็ทำให้ตระกูลเฟิงดูดียิ่งขึ้น นางจะไม่บดบังรัศมีของตระกูลเฟิง


เมื่อได้ยินถึงความประหลาดใจของทุกคน อารมณ์ของฮูหยินผู้เฒ่าก็ดีขึ้นอย่างมาก เปลือกตาขวาของนางหยุดกระตุกและนางสามารถยิ้มได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนางเห็นรอยยิ้มที่จริงใจของบุตรชายนาง ราวกับว่านางได้เห็นอนาคตที่สดใสของตระกูลเฟิง เฉพาะกับเฟิงจินหยวนและฮูหยินใหญ่มีความสุขเท่านั้น ที่จะทำให้คฤหาสน์สงบสุข !


นางยิ้มและนับฝีเท้าของพวกเขา นางคาดว่าพวกเขาจะมาถึงห้องโถงด้านหน้าภายใน 5 ก้าว ดังนั้นนางจึงมียายจาวช่วยนางปรับท่าทางในเก้าอี้ของนาง ขณะที่นางรอให้ทั้งสองเข้ามาและทำพิธีแต่งงาน


แต่นางไม่ได้คิดว่าในเวลานี้เสียงของฝูงชนจะดังขึ้นอย่างกะทันหัน ราวกับว่าทะเลอันสงบสุขเริ่มปั่นป่วนขึ้นอย่างกะทันหัน ขณะที่ทุกคนเปล่งเสียง “อ่า” จากนั้นทุกคนก็นิ่งเงียบเมื่อมองไปในทิศทางหนึ่งด้วยความแปลกใจ

 

 

 


ตอนที่ 321

 

ข้ากำลังพยายามขโมยความโดดเด่นของเจ้า

ปฏิกิริยาแรกของฮูหยินผู้เฒ่าคือสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น เมื่อเห็นว่าเฟิงจินหยวนและคังอี้หยุดเคลื่อนไหวเพื่อมอง นางไม่สามารถนั่งนิ่งได้อีกต่อไป นางลุกขึ้นแต่นางถูกยายจาวกดให้นั่งต่อไป “ท่านฮูหยินผู้เฒ่าอย่าลุกขึ้นเจ้าค่ะ ท่านจะต้องสงบมากที่สุด”


ฮูหยินผู้เฒ่าได้แต่นั่งลง แต่จิตใจของนางเริ่มสั่นไหวอย่างน่ากลัว นางแอบมองคนที่ทำพิธีแต่งงาน ซวนเทียนฉี และเห็นว่าเขาทำราวกับว่าเขาไม่ได้เห็นอะไรเลย เขายังคงยืนอยู่อย่างนั้นต่อไปโดยไม่มองออกไป และรอยยิ้มรื่นเริงยังคงอยู่บนใบหน้าของเขา ดังนั้นนางจึงปลอบใจตัวเองพูดกับตัวเองซ้ำ ๆ : เรียนรู้จากพระองค์อีกเล็กน้อย เรียนรู้จากพระองค์อีกเล็กน้อย


ในเวลานี้ปฏิกิริยาจากผู้คนที่อยู่ข้างนอกพัฒนาไปไกลกว่านี้ ในขณะที่คุณหนูจากครอบครัวไหนไม่รู้ตะโกนขึ้นมา ”องค์หญิงแห่งมณฑลใส่ชุดอะไรมา ? ”


เมื่อได้ยินว่าเฟิงหยูเฮงมาถึงแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่ารู้สึกว่าหัวใจของนางบีบรัดแน่น เฟิงหยูเฮงมาไม่ได้ตลอดทั้งวัน นางมักจะรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างเกิดขึ้น และตอนนี้ก็มีบางอย่างเกิดขึ้น


ด้วยการคาดเดาของฮูหยินผู้เฒ่าคาดเดาและผู้คนที่อยู่ข้างนอกคุยกัน เด็กสาวสวมชุดสีชมพูเข้ามาในห้องจากประตูด้านขวา ทุกคนจ้องมองชุดของนางและรู้สึกราวกับว่าชุดสีชมพูทำให้ดูราวกับว่าถูกปกคลุมด้วยกลีบดอกไม้ในฤดูร้อน มันเหมือนของจริงและเป็นประกาย แต่มันไม่ได้ทำให้เกิดความรู้สึกอิจฉา ไม่มีรอยย่นแม้แต่น้อยในเนื้อผ้า ไม่เพียงแต่จะไม่มีรอยย่นแม้หิมะตกก็ไม่ทิ้งร่องรอยใดๆ สิ่งนี้ทำให้คนรู้สึกว่ามันเป็นเหมือนสิ่งที่ล่องลอยอยู่ท่ามกลางหมู่เมฆเช่นหมอกหรือควัน และมันมาจากสถานที่ลึกลับบางแห่ง


ภาพที่ตระการตานี้ได้ขโมยความสง่างามของเจ้าสาวไปโดยสิ้นเชิง ผู้คนที่ให้ความสำคัญกับผ้าคลุมหน้าซึ่งทำจากผ้าไหมตำหนักจันทราของคังอี้ก็พุ่งความสนใจไปที่พวกมันทันที


ทุกคนสับสน หลังจากนั้นไม่นานมีคนพูดว่า “ชุดนี้…ทำจากผ้าทอเมฆาเคลื่อนคล้อย ? ผ้าทอเมฆาเคลื่อนคล้อย ของกูโม่ ? ”


คนที่รู้จักกับสิ่งเหล่านี้เริ่มวิเคราะห์ “ไม่ใช่แค่นั้น ดูดอกไม้เย็บลงบนผ้า เห็นได้ชัดว่าพวกมันไม่ได้ถูกเย็บติดเพราะดูเหมือนว่าจะบานสะพรั่งจากชุด ในขณะที่หิมะตกหนักอย่างนี้มันดูบอบบางมาก เพื่อให้สามารถแสดงผลนี้ นี่คือ…ผ้าไหมตำหนักจันทราถูกตัดและใช้เส้นด้ายปักเพื่อเย็บมัน ! ”


อ้าปากค้าง !


ทุกคนหายใจเข้าอย่างรวดเร็ว การตัดผ้าไหมตำหนักจันทรานั้นเป็นสิ่งที่แม้แต่พระสนมของจักรพรรดิในพระราชวังก็ไม่สามารถทำได้


“เจ้าเห็นผ้าแพรที่เอวขององค์หญิงหรือไม่? ถ้าข้าจำไม่ผิดนั่นน่าจะเป็นสมบัติประจำชาติของกูซูซึ่งเป็นผ้าแพรสุขาวดี”


“การใช้ผ้าทอเมฆาเคลื่อนคล้อยเพื่อทำเสื้อผ้า ผ้าไหมตำหนักจันทราสำหรับงานปัก และผ้าทอสุขาวดีเป็นเครื่องตกแต่ง เมื่อดูแล้ว สิ่งที่ขาดหายไปคือผ้าทอดิ้นเงิน-ทองธรรมดา”


“เหลวไหล  ผ้าทอดิ้นเงิน-ทองธรรมดาจะมีสีแดงหลายเฉด แต่สิ่งที่สวยที่สุดและแพงที่สุดคือสีแดงสดที่ใช้ในการทำชุดแต่งงาน เห็นได้ชัดว่ากูซูพยายามอย่างหนักถึงจะได้ผ้าพับสีแดงสด 1 พับในทุก ๆ สิบปี เมื่อเสร็จแล้วและกลายเป็นชุดแต่งงาน มันจะให้ความรู้สึกของนกหงส์เพลิงที่เกิดใหม่จากไฟ มันเพียงพอแล้วที่จะทำให้ทุกคนในโลกปรบมือให้”


ผู้คนกลับมาพร้อมการสนทนาเนื่องจากความสนใจของทุกคนรวมตัวกันที่ชุดนี้ พวกเขาลืมไปอย่างสิ้นเชิงว่าพวกเขามาเพื่อเป็นสักขีพยานในพิธีแต่งงาน ไม่ต้องพูดถึงความประหลาดใจของผู้หญิง แม้แต่ผู้ชายก็อดไม่ได้ที่จะมองไปที่สิ่งมหัศจรรย์นี้


เฟิงจินหยวนจ้องที่เจ้าของชุดนี้ นางคือบุตรสาวคนที่สองของเขา เฟิงหยูเฮง สายตาของเขามีความเกลียดชังที่เยือกเย็น เขาไม่คิดอย่างแน่นอนว่าเฟิงหยูเฮงจะสวมชุดแบบนี้จริง ๆ เขาจะเอาหน้าไปไว้ไหน?


หลังจากนั้นไม่นานองค์ชายซวนเทียนฉีเอ่ยขึ้นมาจากด้านในห้องโถงว่า “ตอนนี้ได้เวลาอันเป็นมงคลแล้ว เจ้าสาว และเจ้าบ่าวจะเข้าห้องโถงหรือไม่ ! ”


จากนั้นทุกคนก็จำเหตุการณ์สำคัญของวันนี้ได้ เนื่องจากพวกเขาถอนสายตาออกจากเฟิงหยูเฮง จากนั้นพวกเขายังคงส่งเสียงอวยพรให้เฟิงจินหยวน


เฟิงหยูเฮงก็คำนับบิดาของนาง ขณะที่นางประสานมือไว้ด้านหน้าและเดินเข้าไปในห้องโถง


เสียงพิธีแต่งงานเริ่มดังขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เฟิงจินหยวนและคังอี้โค้ง 3 ครั้งและคำนับ 9 ครั้ง ในที่สุดพวกเขากลายเป็นสามีภรรยาอย่างเป็นทางการ และหิมะที่ตกหนักก็หยุดลงอย่างกะทันหัน


เมื่อหิมะหยุดตก งานเลี้ยงก็เริ่มขึ้น บุตรของตระกูลเฟิงรวมตัวกันและยืนอยู่ในลาน มันเป็นฉากที่สวยงามอย่างแท้จริง


องค์ชายห้ามองเฟิงเฟินไดโดยไม่ละสายตาเพราะเขาไม่เคยหยุดคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันแรกของปี เขายังไม่สามารถมาที่คฤหาสน์เฟิงเพื่อมาหาเฟิงเฟินไดได้ เขาต้องการไปคุยกับเฟิงเฟินไดแต่เขาไม่อาจทำได้ ในขณะที่องค์ชายองค์อื่นๆ ยังพูดกับเขาต่อไป เขาถูกทิ้งไว้เพียงแค่ความกังวลเพราะเขาไม่สามารถจากไปได้


ไม่นานเฟิงจินหยวนกลับไปที่หน้าบ้านเพื่อดูแลแขก ผู้คนที่มาหาคฤหาสน์ในวันนี้ล้วนเป็นแขกคนสำคัญ ไม่เพียงแต่มีองค์ชายห้าที่มาเท่านั้น บางคนจากอาณาจักรเพื่อนบ้านก็มาส่งของกำนัล อย่างไรก็ตามมีเพียงราชทูตจากกูโม่เท่านั้นที่มาถึงคฤหาสน์เป็นการส่วนตัว


สำหรับอาณาจักรอื่น ๆ คังอี้เป็นผู้นำหญิง ดังนั้นนางจึงไม่นับ หลี่คุนและเฟิงจินหยวนไม่ได้เป็นมิตรกัน ดังนั้นเขาจึงออกจากเมืองหลวงก่อนงานแต่งงานครั้งนี้ ส่วนองค์ชายจากกูซู เขาก็ออกเดินทางไปสองสามวันก่อนหน้าเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหา เพราะเขาได้เสนอการแต่งงานกับคังอี้


ช่วงเริ่มต้นของงานเลี้ยง บรรดาฮูหยินและคุณหนูบางคนรู้สึกว่าชุดของเฟิงหยูเฮงนั้นช่างงดงามเสียจริง และพวกเขาก็เข้ามาเพื่อดูใกล้ ๆ เฟิงหยูเฮงพูดคุยกับพวกเขาในขณะที่พูดกับเฟิงเซียงหรู “ข้ามอบชุดผ้าทอเมฆาเคลื่อนคล้อยให้เจ้าด้วย ทำไมเจ้าถึงไม่ใส่มา ? ”


เฟิงเซียงหรูบิดผ้าเช็ดหน้าของนางแล้วพูดว่า “ข้าลังเล ข้าต้องการ… ข้าอยากเก็บไว้ใส่ในภายหลัง “


เฟิงหยูเฮงหัวเราะเยาะความโง่เขลาของนาง “เจ้ากำลังเจริญเติบโต ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าเจ้าจะโตขึ้นจนเจ้าอาจจะใส่ไม่ได้ มันจะไม่น่าเสียดายหรือ ? ”


เฟิงเซียงหรูคิดว่าเป็นแบบนั้น ดังนั้นนางจึงยิ้มและพูดว่า “ข้าจะใส่บ่อยขึ้นในอนาคต”


เมื่อได้ยินว่าองค์หญิงแห่งมณฑลจี่อันสามารถแจกจ่ายสิ่งที่มีราคาแพงออกไปได้ ทุกคนเริ่มคิดว่าคุณหนูสามของตระกูลเฟิงได้รับการปฏิบัติอย่างดีจากนาง ดังนั้นพวกเขาจึงเริ่มตีสนิทกับเฟิงเซียงหรู เมื่อเห็นพวกเขาประจบประแจงนาง เฟิงเฟินไดเริ่มจ้องมองนางด้วยความอิจฉา


ตรงกันข้าม เฟิงเฉินหยูก็สงบลง นางจับจองทุกอย่างที่นางมีกับคังอี้แล้ว ถ้ามีคนกล่าวว่าองค์หญิงใหญ่ที่ช่วยพระอนุชาของนางขึ้นครองบัลลังก์ของฮ่องเต้ไม่สามารถเอาชนะเด็กหญิงอายุ 13 ปี เฟิงเฉินหยูคงไม่เชื่ออย่างแน่นอน


เนื่องจากกูโม่เป็นเพียงหนึ่งในสี่อาณาจักรเล็ก ๆ ที่มีราชทูต เขาจึงต้องใช้ความคิดริเริ่มเพื่อพูดคุยกับองค์ชายแห่งราชวงศ์ต้าชุน เฟิงหยูเฮงเริ่มให้ความสนใจกับคนผู้นั้นมานานแล้ว เป็นผู้ชายอายุ 30 ปี เขาสูงและแข็งแรง และผิวของเขาดำ ในขณะที่เดินบันไดของเขามีพลัง ดังนั้นเขาควรจะเป็นเจ้าหน้าที่ทหาร


นางมองเขาเริ่มต้นด้วยการอวยพรขององค์ชายซวนเทียนฉีก่อนที่จะเป็นองค์ชายองค์อื่น ๆ แม้กระนั้นเขาก็ตกตะลึงเล็กน้อยเมื่อได้รับคำอวยพร จากตำแหน่งของเฟิงหยูเฮง นางสามารถเห็นหน้าซวนเทียนเย่โดยตรง และนางเห็นเขาเหลียวไปมองที่ด้านข้างของซวนเทียนเย่ แม้ว่ามันจะเกิดขึ้นเร็วมาก แต่นางก็เห็น หลังจากคนผู้นั้นได้ดื่มอวยพรให้ซวนเทียนเย่ก็เหลียวไปตามทิศทางของนาง จากนั้นก็พูดกับคนอื่นต่อไป


เฟิงหยูเฮงพูดคุยกับบรรดาฮูหยินและคุณหนูคนอื่น ๆ อีกเล็กน้อยก่อนจะหาข้ออ้างที่จะออกจากลานหน้าบ้าน ขณะที่นางเดินไปตามทางเล็ก ๆ ไม่นานนางก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเร่งรีบ นางหยุดและหันหลังกลับ นางเห็นราชทูตจากกูโม่เดินมาหานาง


“ถ้าเจ้าเข้าใจวิธีก้าวเท้า ไม่ว่าเจ้าจะเดินเร็วแค่ไหน เสียงฝีเท้าของเจ้าก็จะไม่ดังขนาดนี้” นางอดเตือนขึ้นมาไม่ได้


ราชทูตจากกูโมรู้สึกอับอายเล็กน้อยขณะที่เขาคำนับนางอย่างรวดเร็ว “องค์หญิงแห่งมณฑล”


เฟิงหยูเฮงคำนับกลับ “แม่ทัพโจวเก่งพอสมควร” ซวนเทียนหมิงส่งเป่ยจื่อมาบอกนางก่อนหน้านี้ ราชทูตจากกูโม่เป็นแม่ทัพ ในช่วงเวลาที่เขาอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือ เขาได้ช่วยองค์ชายใหญ่ของกูโม่ในขณะที่เขาอยู่ที่นั่น ใครจะรู้ว่าองค์ชายจะกลายเป็นฮ่องเต้ในอีกครึ่งปีต่อมา หลังจากต่อสู้อย่างหนักเพื่อปกป้องเขาจากศัตรูของเขา เจ้าหน้าที่คนหนึ่งชื่อหลู่โชวได้รับการเลื่อนตำแหน่งให้เป็นแม่ทัพ ตอนนี้เขามาที่ราชวงศ์ต้าชุนเพื่อมาส่งเครื่องบรรณาการ เขาย่อมอยู่ฝ่ายซวนเทียนหมิงเป็นธรรมดา


ตั้งแต่ครั้งแรกที่ซวนเทียนหมิงบอกหลู่โจวเกี่ยวกับเฟิงหยูเฮง เขาเข้าใจดีว่าองค์หญิงแห่งมณฑลจี่อันแตกต่างจากคนอื่นอย่างแน่นอน มิฉะนั้นซวนเทียนหมิงจะไม่พูดออกมาอย่างแน่นอน เขาฟังสิ่งที่ซวนเทียนหมิงพูด ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น บอกเฟิงหยูเฮงก็เหมือนกับบอกเขา


เขามองไปรอบ ๆ และเห็นว่าไม่มีใครอยู่ เขาพูดอย่างรวดเร็วว่า “แม่ทัพผู้ต่ำต้อยคนนี้มีเรื่องจะบอกขอรับ ในงานเลี้ยงเมื่อข้าเห็นองค์ชายสาม ข้าได้ใคร่ครวญอย่างรอบคอบ ข้าจำได้ว่าเป็นคนที่ข้าเคยเห็นที่ภาคตะวันตกเฉียงเหนือ ในเวลานั้นองค์ชายเก้าถูกล้อมรอบในภูเขา เมื่อแม่ทัพผู้นี้ไปช่วยพระองค์ ข้าเห็นหน้าองค์ชายสาม ในเวลานั้นข้าได้ยินว่าเขามีสำเนียงต้าชุน ดังนั้นข้าจึงคิดว่าเขาเป็นคนที่มากับองค์ชายเก้า ดังนั้นข้าจึงไม่ได้คิดอะไรมาก แต่เมื่อเห็นเขาในวันนี้ ข้าเห็นเขายืนอยู่ที่ด้านข้างขององค์ชายสาม ไม่ใช่ว่าองค์ชายสาม… บนเส้นทางที่แตกต่างไปจากองค์ชายเก้าหรือ ? ”


เฟิงหยูเฮงพยักหน้า “พวกเขาอยู่ในเส้นทางที่แตกต่างกัน” จากนั้นนางถามว่า “คนผู้นั้นจำท่านได้หรือไม่ ? ”


หลู่โจวส่ายหัว “เขาจำข้าไม่ได้ ในเวลานั้นเขาเป็นคนเดียวจากต้าชุน แต่มีเกือบหมื่นคนจากกูโม่ มันไม่ยากที่เราจะจำเขาได้ สำหรับเขาที่จะจำเรานั้นเป็นไปไม่ได้แม้แต่น้อย”


เฟิงหยูเฮงรู้สึกว่าจิตใจหนาวเหน็บ นางสงสัยว่าการลอบฆ่าในภาคตะวันตกเฉียงเหนืออาจไม่ได้เกิดจากกลุ่มนักแม่นธนูจากเฉียนโจวเท่านั้น จะต้องมีปัจจัยอื่น ๆ อีก มิเช่นนั้นขึ้นอยู่กับความสามารถในการต่อสู้และความรู้เรื่องสงครามของซวนเทียนหมิง เขาจะติดกับอยู่ในภูเขาได้อย่างไร เมื่อคิดถึงตอนนี้อาจมีเพียงเหตุผลเดียวเท่านั้น คนทรยศ


ในฐานะองค์ชาย มันเป็นที่เข้าใจได้สำหรับซวนเทียนเย่ที่สามารถควบคุมการต่อสู้ในภาคตะวันตกเฉียงเหนือได้ ในเวลานั้นฮ่องเต้องค์เก่าของกูโม่ยังไม่เสียชีวิตและมีแต่ความไม่สงบที่ชายแดนตะวันตกเฉียงเหนือ แม้ว่ากองทัพจะชนะทุกครั้งก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ว่าจะต้องมีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต ดังนั้นการรับสมัครทหารจึงเป็นเรื่องธรรมดา และอาจมีคนแอบเข้ามาเป็นไส้ศึกในกองทัพก็เป็นได้


ดวงตาเป็นประกายเย็นชาขึ้นมาแต่ก็สงบลงอย่างรวดเร็ว นางพูดกับหลู่โจวเพียงว่า “ข้าเข้าใจแล้ว ข้าจะบอกองค์ชายหยู ขอให้แม่ทัพเพลิดเพลินไปกับงานเลี้ยงวันนี้ เรื่องอื่นเดี๋ยวข้าจัดการเอง”


หลู่โจวคำนับแล้วหันกลับไปและรีบกลับไปที่งานเลี้ยง ในขณะที่กลับมาเขารู้สึกเย็นหลังไปหมด ก่อนหน้านี้เขาเคยได้ยินว่าองค์หญิงแห่งมณฑลจี่อันนั้นไม่ธรรมดา และเขารู้เพียงว่านางเป็นคนที่ซวนเทียนหมิงสนใจ อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้คาดหวังว่าเฟิงหยูเฮงจะรอบรู้ตั้งแต่อายุยังน้อย นางอาจจะเป็นคุณหนูรองของตระกูลเฟิงและนางก็เป็นองค์หญิงแห่งมณฑลด้วยสายตาที่เยือกเย็น การเปลี่ยนแปลงของอารมณ์เป็นสิ่งที่ผู้คนไม่สามารถเชื่อได้ ไม่จำเป็นต้องพูดถึงเลย เด็กสาวคนนี้รู้วิธีการหลอมเหล็กซึ่งทำให้อาวุธแร่เหล็กของซงซุยหัก


หลู่โจวกลับไปงานเลี้ยงด้วยความตกใจ ไม่นานเฟิงหยูเฮงก็กลับมาเช่นกัน


หลังจากที่ทั้งสองนั่งลง ฮูหยินคนใหม่คังอี้ได้ปลดผ้าคลุมหนาและเดินออกไปท่ามกลางบ่าวรับใช้


ตามกฎของอาณาจักร ถ้าองค์หญิงของต่างแคว้นแต่งงานกับขุนนางขั้น 2 หรือสูงกว่าก็เป็นตัวแทนของการแต่งงานกระชับความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองอาณาจักร สถานะของนางไม่ใช่แค่ฮูหยินคนใหม่ นางมีบทบาทสำคัญในความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างทั้งสองอาณาจักร นางต้องออกมาทักทายแขก


คังอี้เก่งมากเมื่อพูดถึงการประชาสัมพันธ์ แม้ว่านางจะเป็นฮูหยินที่เพิ่งแต่งงาน แต่นางก็ไม่ได้ขี้อายแม้แต่น้อย นางใจดีและพูดสิ่งที่ใจดีมาก องค์ชายอดไม่ได้ที่จะปรบมือให้และสรรเสริญนาง


หลังจากที่ฮูหยินคนใหม่ต้อนรับแขกตามกฎแล้ว บุตรของตระกูลเฟิงจะต้องไปดูและทักทายฮูหยินคนใหม่


เด็ก ๆ ยืนขึ้น หันหน้าไปทางรอยยิ้มที่สวยงามและสง่างามของคังอี้ พวกเขาเดินไปที่จุดศูนย์กลางของฉาก ไม่มีใครสังเกตว่าเฟิงหยูเฮงยกมือขึ้นเบา ๆ และปักปิ่นสีทองที่ผมของนาง

 

 

 


ตอนที่ 322

 

ข้าไว้หน้าเจ้า แต่เจ้าต้องการสร้างปัญหา

เฟิงจินหยวนยืนเคียงข้างกับคังอี้แล้วเมื่อนางออกมา ในความเป็นจริงพวกเขาทั้งสองคนดูเหมาะสมกันมาก เฟิงจินหยวนรูปงามมาก แม้ว่าเขาจะอายุ 40 ปี แต่เขาก็ไม่ได้ดูแก่กว่า เขาดูเหมือนอายุ 30 ต้น ๆ นอกจากจะมีความสง่างาม เขายังเป็นเสนาบดีมานานหลายปีแล้ว ก็ไม่เป็นการพูดเกินจริงที่จะกล่าวว่าเขาเป็นคนที่ดูดี ไม่เช่นนั้นจากรูปลักษณ์ของเฉินซื่อ เฉินหยูจะเกิดมาพร้อมกับความงามเช่นนี้ได้อย่างไร


เมื่อเห็นบุตรสาวทั้งสี่ของเขาออกมาข้างหน้า มันคงเป็นเรื่องไร้สาระที่จะบอกว่าเฟิงจินหยวนไม่รู้สึกภูมิใจ แม้ว่าเขาจะห่างเหินกับเฟิงหยูเฮงเล็กน้อย แต่นั่นก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับครอบครัว จะมีคนภายนอกสักกี่คนที่รู้เรื่องนี้ ? สำหรับคนนอก องค์หญิงแห่งมณฑลจี่อันที่มีชื่อเสียงคือบุตรสาวคนรองของเขา หญิงสาวที่งดงามที่สุดในเมืองหลวงอย่างเฟิงเฉินหยูเป็นบุตรสาวคนโตของเขา นี่คือเหตุผลที่ทำให้เขารู้สึกภูมิใจอย่างแน่นอน


ยิ่งกว่านั้นเมื่อเด็กทั้งสี่เดินไปข้างหน้า อีกคนก็ออกมาจากอีกด้านหนึ่ง มันไม่ใช่ใครอื่นนอกจากรุ่ยเจียที่เข้ามาในคฤหาสน์พร้อมกับคังอี้


เฟิงจินหยวนรู้สึกดีมากขึ้น คิดดูสิ ! ตอนนี้แม้แต่องค์หญิงต่างแคว้นก็ต้องเรียกเขาว่าบิดาของนาง เมื่อมองในราชวงศ์ต้าชุนไม่มีใครที่สามารถแต่งงานกับองค์หญิงต่างแคว้นได้


ด้วยความยินดีนี้ เขาช่วยคังอี้นั่งลงและเตรียมรับการคำนับจากเด็ก ๆ


หลังจากหิมะหยุดตกท้องฟ้าเริ่มแจ่มใส ขณะที่เด็กหญิงทั้งห้าคุกเข่าลงพร้อมเพรียงเมื่อแสงไฟส่องลงมา บังเอิญมันส่องสว่างที่ปิ่นทองปักผมของเฟิงหยูเฮง


คังอี้รู้สึกว่ามันสว่างเกินไปและขมวดคิ้วเล็กน้อย อย่างไรก็ตามก่อนที่หัวเข่าของเฟิงหยูเฮงจะมาถึงพื้นดิน เฟิงจินหยวนก็ตะโกนว่า “หยุด ! ”


ทุกคนต่างก็ตัวแข็งทื่อรวมถึงแขกที่ได้รับชาจอกใหม่ซึ่งมองไปที่เขาและคังอี้ด้วยความงุนงง และมองเฟิงหยูเฮงด้วยความสับสน อย่างไรก็ตามนางเห็นเฟิงจินหยวนยืนขึ้น ทันใดนั้นก็เกือบหยุดเฟิงหยูเฮงที่กำลังจะคุกเข่า


ในเวลานี้นอกจากเฟิงหยูเฮง อีก 4 คนกำลังคุกเข่าอยู่แล้ว รุ่ยเจียเห็นเฟิงจินหยวนหยุด นางสับสนมากและถามว่า “ลุงเฟิง ลุงกำลังทำอะไรอยู่”


คังอี้ดุนางอย่างรวดเร็ว “เจ้าต้องเรียกเขาว่าท่านพ่อ”


รุ่ยเจียก็รู้ว่านางเรียกผิดขณะที่นางขอโทษอย่างรวดเร็ว “มันเป็นความผิดพลาดของรุ่ยเจีย ข้าหวังว่าท่านพ่อจะให้อภัยข้า”


แต่เฟิงจินหยวนไม่มีเวลาที่จะต้องสนใจนาง ความสนใจของเขามุ่งเน้นไปที่ปิ่นทองที่ปักอยู่บนผมของเฟิงหยูเฮง ยิ่งเขามองมันมากเท่าไหร่เขาก็ยิ่งตกใจมากขึ้นเท่านั้น


ปิ่นปักผมหงส์เพลิง ! จริง ๆ แล้วนางปักปิ่นปักผมหงส์เพลิง


โชคดีที่ดวงอาทิตย์ขึ้นมา และมันก็เป็นโชคดีที่เขาได้เห็นสิ่งนี้ มิฉะนั้นหากเขาให้เฟิงหยูเฮงคุกเข่าขณะมีปิ่นปักผมหงส์เพลิง เขาจะยังคงมีชีวิตรอดอีกต่อไปได้อย่างไร ?


คนที่จำปิ่นปักผมหงส์เพลิงได้ก็มีจำนวนไม่น้อยแต่ก็ไม่มากเช่นกัน ตัวอย่างเช่นแขกที่มาร่วมงานนอกเหนือจากองค์ชาย ขุนนาง องค์หญิง และขุนนาง ก็ไม่มีใครที่จำได้อีก ไม่มีใครเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นกับเสนาบดีเฟิง ทำไมเขาถึงตกใจกับปิ่นปักผมที่บุตรสาวของเขาปักมา ?


รุ่ยเจียรู้สึกสับสนมากขึ้น ดังนั้นนางจึงลุกขึ้นจากพื้นดินและมองไปที่หัวของเฟิงหยูเฮง นางแก่กว่าเฟิงหยูเฮง 3 ปี ดังนั้นนางจึงสูงกว่าเล็กน้อย นางมองดูปิ่นปักผมสีทองและดวงตาของนางก็เป็นประกายขึ้นทันที ในขณะที่นางพูดว่า “ปิ่นปักผมสีทอง ทำไมมันช่างสวยงามเช่นนี้ ! ” ในขณะที่พูดอย่างนี้นางยื่นมือออกไปสัมผัส


เฟิงหยูเฮงมองนางอย่างเย็นชา มุมปากของนางขดเป็นรอยยิ้มชั่วร้าย ขณะที่นางพูดอย่างเงียบ ๆ ว่า “องค์หญิง ถ้าองค์หญิงกล้าสัมผัสสิ่งนี้ องค์หญิงเชื่อไหมว่ามือขององค์หญิงจะถูกตัดออกเป็นชิ้น ๆ ? ”


“เจ้าพูดว่าอะไรนะ ? ” รุ่ยเจียโกรธ “มันไม่ใช่ปิ่นปักผมธรรมดา มันสวยจริง ๆ แต่มันทำจากทองคำ มันไม่สามารถเปรียบเทียบกับสิ่งที่ทำจากหยกได้ มันจะเกิดอะไร ถ้าองค์หญิงผู้นี้แตะต้องมันล่ะ ? ” นางไม่เชื่อและพยายามเอื้อมือไปแตะ


แต่นางได้ยินคังอี้ตะโกนดังขึ้นมา “รุ่ยเจียหยุด ! “


ในเวลาเดียวกันเฟิงเฉินหยูยังกรีดร้องออกมาว่า “อย่าแตะต้องมัน ! ”


ส่วนเฟิงจินหยวน เขาจับข้อมือของนางและหยุดมือกลางอากาศ


รุ่ยเจียโกรธมาก !


“หึ ! ท่านพ่อ ถึงแม้ว่าข้าไม่ใช่บุตรสาวของท่านเอง แต่ข้าก็ยังเป็นองค์หญิงของเฉียนโจว ท่านไม่สามารถทำเช่นนี้กับข้าได้ ! ต่อหน้าผู้คนมากมาย ท่านยังกล้าเข้าข้างบุตรสาวของท่านเอง ท่านจะปฏิบัติต่อข้าและท่านแม่ของข้าอย่างไร ? ”


ในขณะที่นางกำลังสร้างปัญหา ฮูหยินผู้เฒ่าซึ่งนั่งอยู่บนเวทีเข้าใจสถานการณ์อย่างชัดเจน แต่นางไม่ได้แทรกแซงรุ่ยเจียที่ยังคงเรียกตัวเองว่าองค์หญิงแห่งเฉียนโจว นางเข้ามาในคฤหาสน์เฟิงแล้ว แต่นางก็ยังใช้สถานะทางครอบครัวของนาง นี่เป็นปัญหาที่ไม่พึงประสงค์ เป็นไปได้หรือไม่ที่คฤหาสน์เฟิงจะต้องยื่นข้อเสนอให้นาง ?


“หืมม ! ” ฮูหยินผู้เฒ่าพูดกับยายจาว “อาเฮงทำได้ดีมาก แม้ว่าองค์หญิงขั้นหนึ่งจากต่างแคว้น แต่เมื่อมาถึงราชวงศ์ต้าชุนและเปรียบเทียบกับสถานะองค์หญิงแห่งมณฑลขั้นสอง รุ่ยเจียยังเป็นรองนาง สิ่งนี้เรียกว่าการแสดงพลังครั้งแรก นี่จะทำให้นางรู้ว่านี่คือคฤหาสน์เฟิง ไม่ใช่เฉียนโจวของพวกเขา”


เมื่อรุ่ยเจียสร้างปัญหา คังอี้ก็เดินออกมาข้างหน้า นางแกะมือของรุ่ยเจียออกจากจากมือของเฟิงจินหยวน นางก็ดุรุ่ยเจียเบา ๆ “อย่าพูดเหลวไหล ต้าชุนมีกฎมากมาย เจ้าไม่สามารถพูดได้ ! ”


รุ่ยเจียไม่พอใจ และพูดว่า “ท่านพ่อกำลังลำเอียง ! ”


“เมื่อใดกันที่พ่อของเจ้าลำเอียง ? ” นางยังคงต่อว่า “เมื่อใดก็ตามที่เจ้าอยากได้อะไร เขาก็มอบให้เจ้าทุกอย่าง เขาไม่ได้ทำทุกอย่างเพื่อเจ้าหรือ ! ”


รุ่ยเจียจ้องคังอี้ “ถ้าข้าบอกว่าอยากได้ปิ่นปักผมสีทองนี่ ท่านพ่อจะมอบให้ข้าหรือไม่ ? ”


“นั่นเป็นของน้องสาวของเจ้า พ่อของเจ้าจะมอบให้เจ้าได้อย่างไร” คังอี้บีบข้อมือของรุ่ยเจียอย่างแรง “วันนี้มีเหตุผลหน่อย แค่รอให้ท่านพ่อพูดจบ ! ”


เฟิงจินหยวนอธิบายอย่างรวดเร็ว “รุ่ยเจีย นี่คือสิ่งที่ฮ่องเต้พระราชทานให้ และเจ้าไม่สามารถแตะต้องมันได้ ! ”


คำพูดที่ว่าฮ่องเต้พระราชทานให้นั้นชัดเจนว่านี่เป็นสิ่งที่มีค่ามาก แต่รุ่ยเจียยังไม่เข้าใจ “ถ้าเช่นนั้นทำไมฮ่องเต้ถึงพระราชทานให้ ? เป็นไปได้หรือไม่ที่ไม่สามารถแบ่งปันระหว่างพี่น้องสตรีได้ ? ”


เฟิงหยูเฮงมองนางด้วยรอยยิ้ม และพยักหน้า “ไม่ได้เพคะ”


“เจ้า…” นางรู้ว่าองค์หญิงแห่งมณฑลนี้พูดคุยด้วยยาก อย่างไรก็ตามนางไม่เคยคิดเลยว่าเฟิงหยูเฮงจะกล่าวเช่นนี้ออกมา นางไม่มีถ้อยคำที่ดีกว่านี้หรือ ? นางพูดออกมาตรง ๆ เช่นนี้ นางไม่กลัวว่าจะทำให้อีกฝ่ายขุ่นเคืองเลยหรือ ?


นางจะรู้ได้อย่างไรว่าเฟิงหยูเฮงไม่กลัวว่าทำให้คนอื่นโดยเฉพาะคนอย่างรุ่ยเจียซึ่งไม่เข้าใจสถานการณ์ขุ่นเคือง  ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ทำไมนางต้องสุภาพด้วย !


การที่เห็นรุ่ยเจียไม่เต็มใจที่จะยอมจำนน แม้กระทั่งเฟิงเซียงหรูที่ใจเย็นที่สุดก็หงุดหงิดเล็กน้อย และนางก็ทนไม่ได้และอธิบายให้รุ่ยเจียฟังว่า “ปิ่นปักผมของพี่รองคือปิ่นปักผมหงส์เพลิง มันเป็นสมบัติที่ฮองเฮาแห่งต้าชุนทรงใช้”


“ฮองเฮา ? ” รุ่ยเจียมองราวกับว่านางเคยได้ยินเรื่องตลกที่สนุกที่สุดมาก่อน “ว่าที่สามีของเจ้าพิการไม่ใช่หรือ ? ข้าได้ยินมาว่าเขาไม่สามารถมีบุตรได้ คนเช่นนี้จะกลายเป็นฮ่องเต้ได้อย่างไร ? เรื่องตลกอะไรเช่นนี้”


ด้วยคำพูดนี้ ทุกคนเงียบด้วยความตกใจ บรรยากาศเยือกเย็นและบางคนก็ลืมหายใจ สิ่งที่เหลืออยู่คือความสยองขวัญ


นางดูถูกซวนเทียนหมิงในที่สาธารณะ ? องค์หญิงจากเฉียนโจวไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้วหรือ ? แม้ว่าซวนเทียนหมิงจะไม่มาด้วยตัวเองในวันนี้ แต่ดูเหมือนว่าอารมณ์ขององค์หญิงแห่งมณฑลจี่อันเหมือนกับองค์ชายเก้า !


ในขณะที่ทุกคนกำลังคิดพวกเขาเห็นองค์หญิงแห่งมณฑลสวมชุดผ้าทอเมฆาเคลื่อนคล้อยอันประณีตของนางและปิ่นปักผมหงส์เพลิง ทันใดนั้นนางก็ยกมือขึ้นและตบหน้ารุ่ยเจียโดยไม่พูดอะไรเลย “เพี้ยะ, เพี้ยะ, เพี้ยะ, เพี้ยะ” ความเร็วนั้นเร็วมากจนผู้คนไม่สามารถมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นและได้ยินเพียงเสียงเท่านั้น แม้แต่องค์หญิงคังอี้ที่ต้องการปกป้องรุ่ยเจีย นางยังทำไม่ทัน นางทำได้แค่มองบุตรสาวของนางถูกตบ 4 ครั้ง


คังอี้ตกตะลึง วันนี้เป็นวันอะไร แม้ว่ารุ่ยเจียจะทำผิดพลาดกับสิ่งที่นางพูด แต่ก็มีผู้อาวุโสอยู่ที่นี่ เฟิงหยูเฮงกล้าเกินไปแล้ว


นางกระตือรือร้นที่จะปกป้องบุตรสาวของนางและอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แม้กระนั้นนางพบว่าหน้าของรุ่ยเจียบวมเหมือนมีซาลาเปา 2 ลูกบนใบหน้าของนาง เลือดไหลจากมุมปากและไหลลงที่คอของนาง


เห็นได้ชัดว่าไม่ได้คิดว่าเฟิงหยูเฮงใช้แรงเต็มที่ แต่การตบ 4 ครั้งทำให้บุตรสาวของนางเป็นแบบนี้ นางไม่มีเวลาที่จะวิเคราะห์ว่าใครถูกใครผิดเพราะนางถูกทิ้งให้อยู่กับคำถามเดียวสำหรับนางว่า “องค์หญิงแห่งมณฑลจี่อันแข็งแกร่งแค่ไหน”


นางจะรู้ได้อย่างไรว่าเฟิงหยูเฮงสามารถถือธนูโฮยี่ซึ่งหนักถึง 186 จินได้ด้วยมือเดียว นางไม่เพียงแต่สามารถถือมันได้เท่านั้น นางยังสามารถยิงลูกธนู 10 ดอกพร้อมกันได้อีกด้วย แม้ว่ามันจะดูเหมือนว่านางไม่ได้ใช้ความแข็งแกร่ง แต่ก็ยังเพียงพอที่จะทำให้เลือดไหลออกมาจากปากของรุ่ยเจีย


รุ่ยเจียถูกตบจนถึงจุดที่นางพูดไม่ได้ ปากของนางบวม ถ้าไม่ใช่เพราะบ่าวรับใช้ช่วยจับนางไว้ บางทีนางอาจจะล้มลงกับพื้นแล้ว


แต่ดูเหมือนว่าเฟิงหยูเฮงดูเหมือนจะไม่พอใจ เมื่อนางเอื้อมมือไปที่แขนเสื้อของนางแล้วดึงแส้ออกมา


เมื่อเห็นสถานการณ์นี้ เฟิงจินหยวนรู้ว่ามีบางอย่างไม่ดีเกิดขึ้น ขณะที่เขาพูดด้วยความตกใจอย่างรวดเร็วว่า “เจ้าตีนางไม่ได้ เจ้าตีนางไม่ได้ ! ”


อย่างไรก็ตามคำพูดของเขาไม่มีผลใด ๆ ในชีวิตนาง เฟิงหยูเฮงเกลียด 2 สิ่งนี้มากที่สุด สิ่งแรกคือคนตระกูลเฉินที่พยายามจะทำร้ายเฟิงจื่อหรู อีกคนคือคนที่พูดไม่ดีต่อซวนเทียนหมิง


นางไม่กลัวความขัดแย้งเลย เมื่อมันมาถึงการต่อสู้ด้วยดาบและหอกจริงในสนามรบ ถ้าใครบางคนสามารถเอาชนะและฆ่าซวนเทียนหมิงได้ นั่นก็หมายความว่าเขาขี้เกียจฝึกซ้อม ผู้หญิงที่ชอบนินทาเช่นนี้เป็นคนที่น่ารังเกียจที่สุด นางไม่มีความสามารถอย่างแน่นอน สักแต่ว่ามีปาก พูดอะไรโดยไม่รู้จักกลั่นกรอง นางยังหวังจะพูดอะไรได้อีก


รุ่ยเจียคนนี้ปากดีนักใช่หรือไม่ ? เฟิงหยูเฮงกล้าที่จะตบนางจนกว่าปากนางจะฉีกออกมาได้ !


ถ้าผิวหนังของคนไม่เรียบเนียน พวกมันจะไร้ค่าหรือไม่ ? จากนั้นเฟิงหยูเฮงจะเฆี่ยนนางจนผิวหนังและเนื้อของนางเต็มไปด้วยเลือด !


เมื่อแส้อยู่ในมือของนาง นางก็เฆี่ยนทันที และไม่มีใครเร็วกว่านาง ในพริบตามีรอยเปื้อนเลือดปรากฎบนข้อมือของรุ่ยเจีย


นี่ยังไม่จบ มีครั้งที่ 2  ครั้งที่ 3 ครั้งที่ 4… ในท้ายที่สุดรุ่ยเจียถูกเฆี่ยน 8 ครั้ง ในตอนท้ายรุ่ยเจียกลิ้งไปมาบนพื้น และคังอี้ร้องไห้เสียงดัง จากนั้นนางก็หยุดและส่งแส้ให้หวงซวน แล้วกล่าวอย่างเย็นชาว่า “ทำความสะอาดสิ่งนี้ให้กับองค์หญิงแห่งมณฑลด้วย เก็บไว้ใช้ในอนาคต”


การเฆี่ยนตีนี้ทำให้จิตใจของทุกคนสั่นด้วยความกลัว หลายคนเข้าใจว่าองค์หญิงแห่งมณฑลจี่อันและองค์ชายหยูอารมณ์ร้อน แต่จำนวนคนที่เคยเห็นซวนเทียนหมิงเฆี่ยนตีผู้คนนั้นค่อนข้างมาก ฉากในวันนี้ทำให้ทุกคนได้เห็นองค์หญิงแห่งมณฑลจี่อันไม่เพียงแต่มีอารมณ์เช่นเดียวกับองค์ชายหยู แต่นางดุร้ายยิ่งกว่า !


เมื่อเห็นว่านางหยุดลงในที่สุด คังอี้ก็รีบวิ่งไปหารุ่ยเจีย แต่บุตรสาวตรงหน้านางทำให้นางไม่รู้จริง ๆ ว่านางควรทำอย่างไร ใบหน้าของรุ่ยเจียบวมเหมือนหมูและร่างกายของนางเต็มไปด้วยเลือดราวกับว่ามีคนถลกหนังของนาง เสื้อหนาวหนา ๆ ฉีกขาด ผิวหนังและเนื้อสามารถมองเห็นได้


แม้ว่าจิตใจของนางจะสงบและนางก็มีความสามารถในการสนับสนุนน้องชายของนางให้อยู่ในตำแหน่งผู้ปกครอง นางก็ระงับอารมณ์ไม่อยู่อีกต่อไป นางจ้องมองเฟิงหยูเฮงราวกับจ้องมองศัตรู ดวงตาของนางเต็มไปด้วยไฟอันแรงกล้า และนางกำหมัดของนางแน่น ร่างกายของนางเหมือนเสือดาวที่กำลังจะกระโจนใส่และต่อสู้กับเฟิงหยูเฮง


อย่างไรก็ตามพวกเขาได้ยินเฟิงจินหยวนพูดด้วยความโล่งใจ “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร เราโชคดีมาก ! ”

 

 

 


ตอนที่ 323

 

กล่าวหาเจ้าในข้อหาก่อกบฏ

 


คังอี้รู้สึกประหลาดใจ นางหันไปมองเฟิงจินหยวน “เจ้าพูดว่าอย่างไร ? ”


เฟิงจินหยวนพูดซ้ำตัวเอง “ไม่เป็นไร วันนี้อาเฮงเป็นคนลงมือ โชคดีที่องค์ชายหยูไม่อยู่ ไม่อย่างนั้นรุ่ยเจียจะยังมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร ! ”


เฟิงจินหยวนไม่ใช่คนเดียวที่คิดว่านี่เป็นเรื่องที่โชคดี แม้แต่เฟิงเฟินไดก็หน้าซีดและกล่าวว่า “ถ้าปีศาจนั่นอยู่ที่นี่ การเฉลิมฉลองวันนี้จะกลายเป็นงานศพแทนแน่นอน”


ฮูหยินผู้เฒ่าก็เห็นด้วย เมื่อเห็นฉากนี้นางถอนหายใจและกระทืบเท้าด้วยความโกรธ


เมื่อเห็นฮูหยินผู้เฒ่ามา คังอี้คิดว่านางได้รับการสนับสนุนบ้าง นางกอดต้นขาของฮูหยินผู้เฒ่าและร้องไห้ “ท่านแม่ รุ่ยเจียน่าสงสารมากเจ้าค่ะ ! ”


ในตอนแรกนางหวังว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะแสดงความเห็นอกเห็นใจ แต่ฮูหยินผู้เฒ่าจะแสดงความเห็นอกเห็นใจต่อมารดาและบุตรสาวคู่นี้ได้อย่างไร ในเวลานี้นางเกลียดที่นางไม่สามารถบีบคอคังอี้ให้ตายได้ “ชั่วร้าย ! ชั่วร้ายมาก ! ” นางพูดอย่างนี้ในขณะที่ชี้ไปที่รุ่ยเจียและถามคังอี้ “เจ้ารู้ไหมว่าหายนะประเภทใดที่บุตรสาวของเจ้ากำลังนำมาสู่คฤหาสน์เฟิงของข้า ? เจ้ารู้หรือไม่ว่าผลกระทบอะไรที่จะเกิดขึ้นกับการดูถูกองค์ชายเก้าของราชวงศ์ต้าชุน ? ”


เฟิงเฟินไดรู้สึกขนแขนลุก ในขณะที่นางยังจำได้ว่าซวนเทียนหมิงเฆี่ยนนางอย่างไร นางยังจำได้ว่าซวนเทียนหมิงทำให้นางตกลงไปในทะเลสาบในเรือนตงเซิงได้อย่างไร ความรู้สึกจมน้ำในทะเลสาบนั้นเป็นสิ่งที่นางลืมไม่ได้


นางพึมพำราวกับว่านางกำลังพูดกับตัวเอง แต่มันก็เหมือนกับว่านางกำลังเตือนคังอี้ “ในราชวงศ์ต้าชุน การดูหมิ่นองค์ชายเก้านั้นมีผลที่น่ากลัวมากกว่าการดูถูกฮ่องเต้”


ในไม่ช้าร่างของคังอี้ก็หยุดนิ่ง ราวกับว่านางจำบางสิ่งได้ทันใดนั้น ในเวลานี้เฟิงจินหยวนก้าวไปข้างหน้าและวางมือบนไหล่ของนาง เขาพูดกับนางด้วยน้ำเสียงที่หวาดกลัวเล็กน้อย “คิดให้ดี องค์ชายเก้าไม่พอใจจะเกิดอะไรขึ้น”


ก่อนหน้านี้คังอี้รู้สึกงงงวยกับการโจมตีของเฟิงหยูเฮงและนางก็ลืมคิดไปอย่างสิ้นเชิง ตอนนี้นางได้รับการเตือนจากทุกคน นางจำรายงานลับที่นางได้รับเกี่ยวกับองค์ชายเก้าก่อนที่จะมาที่ราชวงศ์ต้าชุน


รายงานลับกล่าวว่าบุคคลนี้เป็นบุตรของพระชายาที่ฮ่องเต้ทรงโปรดปรานมากที่สุด ตั้งแต่อายุยังน้อยเขาได้รับการสนับสนุนจากฮ่องเต้ เขากล้าหาญและต่อสู้อย่างฉลาด แต่เขาไม่คำนึงถึงความรู้สึกของมนุษย์อย่างแน่นอน อารมณ์ของเขาไม่มั่นคงและเขาก็จงใจ ไม่มีทางที่จะให้เหตุผลกับนางได้ และเขาจะทำทุกอย่างที่เขาต้องการ ในความเป็นจริง เขากล้าที่จะใช้แส้ต่อหน้าฮ่องเต้และฆ่าพระสนมของฮ่องเต้ที่ได้รับความโปรดปราน ฮ่องเต้ไม่ได้ตำหนิเขาแม้แต่น้อย


นางยังจำบางสิ่งได้ตั้งแต่วันแรกของปี แม้ว่านางจะไม่ได้เห็นมันเป็นการส่วนตัว แต่นางก็ได้ยินว่าในขณะที่ฮองเฮากำลังพูด องค์ชายเก้าทุ่มโต๊ะอยู่ข้างหน้าองค์ชายสามด้วยเหตุผลบางอย่าง องค์ชายสามโกรธมาก แต่ฮ่องเต้และฮองเฮาออกหน้าแทนองค์ชายเก้า ในท้ายที่สุดองค์ชายสามถูกฮองเฮาตำหนิว่าไร้เหตุผล หลังจากนั้นมีคนพูดว่าการที่องค์ชายเก้าทำเช่นนั้นเพื่อช่วยคลายความหงุดหงิดขององค์หญิงแห่งมณฑลจีอันเนื่องจากองค์ชายองค์ที่สามโต้เถียงกับนางก่อนงานเลี้ยง


วันนี้รุ่ยเจียได้ดูถูกคนแบบนั้นและนางก็ทำมันต่อหน้าเฟิงหยูเฮง ไม่แปลกใจเลยที่เฟิงจินหยวนบอกว่าโชคดี ถ้าองค์ชายเก้านั้นอยู่ที่นี่วันนี้…


คังอี้ไม่กล้าคิดอย่างต่อเลย ในวันที่หนาวเย็นนี้ นางถูกปกคลุมด้วยเหงื่อเย็นจริง ๆ


“มันเป็นวันแห่งการเฉลิมฉลองที่ยิ่งใหญ่ เจ้าทำอะไร ? ” องค์ชายสาม, ซวนเทียนเย่จู่ ๆ ก็ส่งเสียงของเขา “ท่านเสนาบดีเฟิงทำไมเจ้าไม่ให้คนพาองค์หญิงรุ่ยเจียกลับไปที่เรือนของนาง จากนั้นส่งคนไปเชิญหมอหลวงมา คฤหาสน์เฟิงเป็นเจ้าภาพจัดงานฉลองวันนี้ มันต้องไม่ถูกรบกวน” เขาพูดขณะที่พูดกับแขกว่า “เป็นความขัดแย้งระหว่างหญิงสาว ไม่ต้องคิดมาก ดื่มกันเถิด”


ซวนเทียนเย่กำลังมาเพื่อแก้ไขสถานการณ์ และเฟิงจินหยวนชื่นชมท่าทางนี้ ในขณะที่เขาสั่งให้บ่าวรับใช้พารุ่ยเจียออกไปอย่างรวดเร็ว


อย่างไรก็ตามเฟิงหยูเฮงขมวดคิ้ว และพูดด้วยเสียงดังกว่าของซวนเทียนเย่ “พี่ใหญ่ ! องค์หญิงต่างแคว้นดูถูกองค์ชายต้าชุนของเรา นี่ถือเป็นเป็นอาชญากรรมประเภทใด ? ”


เสียงดังนี้ทำให้คังอี้หน้าซีด นางอยากจะคุกเข่าต่อหน้าเฟิงหยูเฮง แต่เดิมองค์ชายสามอาจถือได้ว่าเรื่องมันแล้วไปแล้ว แต่ทำไมนางถึงไม่ฟัง ?


เฟิงหยูเฮงไม่ได้เป็นเพียงคนเดียวที่ไม่ยกโทษ ในฐานะองค์ชายใหญ่, ซวนเทียนฉีก็รู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ควรได้รับการพิจารณาว่าได้รับการแก้ไขแล้ว เมื่อได้ยินสิ่งที่เฟิงหยูเฮงถามเขา เขาก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าวแล้วยืนต่อหน้าตระกูลเฟิง เมื่อมองไปที่รุ่ยเจียและคังอี้ ในที่สุดเขาก็พูดกับเฟิงจินหยวนว่า “องค์หญิงต่างแคว้นที่ดูถูกองค์ชายแห่งราชวงศ์ต้าชุนควรได้รับการพิจารณาว่าเป็นการกบฏ”


เฟิงจินหยวนรู้สึกว่าคอของเขาเปียกโชกไปด้วยเหงื่อเย็น และขาของคังอี้รู้สึกหมดแรง นางไม่สามารถประคองตัวได้อีกต่อไป นางเอนไปมาและกำลังจะล้มลงกับพื้น โชคดีที่นางกำนัลช่วยประคองนาง และเตือนนางอย่างเงียบ ๆ ว่า “องค์หญิงใหญ่ อย่าตกใจเพคะ พระองค์ต้องช่วยองค์หญิงเพคะ ! ”


โดยปกติคังอี้เป็นคนที่อดทนมากและมันก็ยากมากที่จะทำให้นางตื่นตระหนก แต่นางก็ยังเป็นมารดา และไม่มีมารดาคนใดในโลกที่สามารถสงบสติอารมณ์หลังจากเห็นว่าบุตรสาวของพวกเขาได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่นางกำนัลผู้นี้พูดถูก นางไม่สามารถตื่นตระหนกและนางต้องช่วยรุ่ยเจีย


ดังนั้นนางจึงรวบรวมสติและใช้ความคิด “ฝ่าบาท การกบฏเป็นสิ่งที่ข้าไม่สามารถคาดคิดมาก่อน ! ไม่ว่าจะเป็นคังอี้หรือรุ่ยเจีย เราเป็นผู้หญิงธรรมดาในเรือนของคฤหาสน์ บางครั้งจะมีข้อโต้แย้งบางอย่าง และพวกเขาจะถือว่าเป็นเรื่องปกติ ข้าหวังว่าฝ่าบาทจะให้อภัยเพคะ”


นางพยายามที่จะทำให้มันเป็นเรื่องของการต่อสู้ที่เกิดขึ้นภายในคฤหาสน์เพื่อให้ผู้ชายหุบปาก แต่ซวนเทียนฉีส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ข้าไม่เคยได้ยินเรื่องการโต้เถียงระหว่างเด็กสาว แต่ข้าได้ยินการดูถูกองค์ชาย ถ้าข้าเป็นเสด็จพ่อ หากมีข้อผิดพลาดใด ๆ ข้าจะยอมรับการลงโทษจากเสด็จพ่อและฮองเฮาเป็นธรรมดา แม้ว่านางจะเป็นพระชายาของฮ่องเต้ แต่นางก็ต้องไว้หน้าขององค์ชายและไม่อาจแบกความรับผิดชอบมากเกินไป แต่ข้าไม่เคยคิดเลยว่าน้องเก้าซึ่งเป็นที่โปรดปรานของเสด็จพ่อจะได้รับการดูถูกเหยียดหยามจากองค์หญิงต่างแคว้น มันทำให้ข้าโกรธจริง ๆ ”


ในขณะที่ซวนเทียนฉีพูดเขาก็จ้องมองอย่างเย็นชา มันเย็นชามากจนทำให้ร่างกายของคังอี้รู้สึกหนาวเช่นกัน


ซวนเทียนเย่ขมวดคิ้วและพูดว่า “พี่ใหญ่ วันนี้เป็นวันแต่งงานของเสนาบดีเฟิง ลืมมันไปเถิด ! ” พูดอย่างนี้เขาหันไปหาแขกแล้วถาม “พวกเจ้าเห็นด้วยหรือไม่ ? “


จะต้องมีการกล่าวว่าหากมีการถามก่อนหน้านี้ เขาจะได้รับการสนับสนุนอย่างแน่นอนโดยไม่ต้องสงสัย แต่ตั้งแต่ฮ่องเต้เริ่มโปรดปรานองค์ชายใหญ่มากขึ้นเรื่อย ๆ สถานการณ์ในราชสำนักก็เปลี่ยนไป บรรดาขุนนางไม่ได้อยู่ข้างซวนเทียนเย่อีกต่อไป ครั้งนี้เมื่อถูกถาม ไม่มีใครกล้าตอบออกมาสักคน ทำให้บรรยากาศน่าอึดอัดใจ


เฟิงหยูเฮงมองไปที่ซวนเทียนเย่อย่างเย็นชา


คังอี้เปลี่ยนกลยุทธ์ของนางอีกครั้ง และเปลี่ยนน้ำเสียงของนางโดยกล่าวว่า “รุ่ยเจียไม่มีบิดาตั้งแต่นางยังเด็ก และเสด็จลุงของนางก็ดูแลนางแทน นางถูกตามใจจนนิสัยเสียในขณะที่โตขึ้น ดังนั้นจึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะทำให้นางนิสัยเสีย นี่เป็นครั้งแรกที่นางมาที่ราชวงศ์ต้าชุนและนางไม่เข้าใจกฎนี้ ข้าหวังว่าฝ่าบาทจะให้โอกาสนางอีกครั้ง คังอี้จะให้นางกำนัลอาวุโสมาสอนนางอย่างเหมาะสม”


“มันเป็นอย่างนั้นหรือ?” ซวนเทียนฉีพูดอย่างสุขุม “พูดอย่างนั้นองค์หญิงรุ่ยเจียเป็นคนที่น่าสงสารมาก”


เมื่อได้ยินแบบนี้คังอี้พูดอย่างรวดเร็ว “ฝ่าบาทโปรดอย่ากังวลเพคะ รุ่ยเจียจะเรียนรู้อย่างถูกต้องเกี่ยวกับมารยาทและกฏของราชวงศ์ต้าชุน หลังจากนางเรียนรู้อย่างถูกต้องแล้ว คังอี้จะพานางไปที่ตำหนักหยูเพื่อขออภัยเป็นการส่วนตัวเพคะ”


ครั้งนี้มีการกล่าวกันว่าทุกคนในตระกูลเฟิงก็ตัวสั่น และเฟิงจินหยวนพูดอย่างเงียบ ๆ ว่า “ไม่จำเป็นต้องขออภัย”


คังอี้มองเขาด้วยความสับสน แล้วได้ยินฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวว่า “เจ้าอยากมีปัญหากับตำหนักหยูหรือ ? ”


เฟิงเฉินหยูให้คำแนะนำนาง “ถ้าเรื่องในอดีตก็ปล่อยไว้เช่นนี้ ท่านแม่ต้องไม่สะกิดความทรงจำองค์ชายหยู”


เฟิงหยูเฮงเหลือบมองไปที่คังอี้แล้วพึมพำ “รุ่ยเจียไม่เข้าใจกฎของต้าชุน และขาดวินัย…”


ซวนเทียนฉีเข้าใจทันทีว่าเฟิงหยูเฮงหมายถึงอะไร และพูดว่า “เนื่องจากเป็นกรณีนี้หลังจากการแต่งงานในวันนี้ องค์ชายผู้นี้จะส่งองค์หญิงรุ่ยเจียไปที่พระราชวังด้วยตัวเอง ข้าจะให้นางกำนัลของพระราชวังดูแลสั่งสอนนางเป็นการส่วนตัว” หลังจากพูดอย่างนี้เขาโบกมือ “วันนี้เป็นงานแต่งงานของเสนาบดีเฟิง เราจะไม่ขัดจังหวะแล้ว”


ด้วยข้อสรุปของเขาแขกทุกคนพยักหน้าเห็นด้วย ความแตกต่างในการสนับสนุนที่ได้รับเมื่อเปรียบเทียบกับซวนเทียนเย่คือความแตกต่างระหว่างสวรรค์และโลก


สีหน้าของคังอี้นั้นดูไม่น่าดูเลยทีเดียว นางเกิดมาเป็นราชนิกูลและเติบโตในราชนิกูล นางย่อมเข้าใจเป็นอย่างดี การส่งบุตรสาวของนางไปที่พระราชวังเพื่อรับการสอน แม้ว่านางจะไม่ตาย นางก็จะเสียชั้นผิวหนัง !


นางต้องการขอความช่วยเหลือจากเฟิงจินหยวน แต่เฟิงจินหยวนส่ายหัวเล็กน้อยเพื่อนางแสดงว่าเขาไร้อำนาจ


หัวใจของนางเริ่มหนาวเหน็บลงเรื่อย ๆ


ซวนเทียนฉีได้พูด และฮูหยินผู้เฒ่าเป็นคนแรกที่ตอบโต้ และบอกบ่าวรับใช้อย่างรวดเร็วว่า “พาองค์หญิงรุ่ยเจียกลับไปที่เรือนจินฟูเร็ว และส่งคนไปเชิญหมอหลวง จากนั้นเปลี่ยนเสื้อผ้าให้นาง เมื่องานแต่งงานจบลงแล้ว ให้รุ่ยเจียเข้าไปพระราชวังพร้อมกับองค์ชายใหญ่”


บ่าวรับใช้ของตระกูลเฟิงรีบไปช่วยรุ่ยเจียอย่างรวดเร็ว


คังอี้ไม่ต้องการที่จะอยู่ที่ลานหน้าอีกต่อไป เพราะนางมีนางกำนัลคอยรุนหลังของนาง


นางอยากไปดูรุ่ยเจียจริง ๆ แต่บ่าวรับใช้ของเรือนเทียนเซียงคนหนึ่งกล่าวว่า “องค์หญิงเป็นฮูหยินที่แต่งงานใหม่วันนี้ หลังจากรับรองแขก องค์หญิงต้องกลับไปที่ห้องหอ พระองค์ยังไปเรือนไม่ได้เพคะ นี่คือกฎ”


คังอี้ยกหัวของนางเพื่อมอง และพบว่าเป็นบ่าวรับใช้อายุประมาณ 17 หรือ 18 ปี นางจำได้ว่านางเคยเห็นบ่าวรับใช้คนนี้ในเรือนของฮูหยินผู้เฒ่ามาก่อน เมื่อคิดถึงเรื่องนี้คงเป็นเพราะฮูหยินผู้เฒ่าให้คนผู้นี้อยู่ข้างนาง


นางเข้าใจกฎนี้จึงไม่ได้พูดอะไรเลย ด้วยความช่วยเหลือของบ่าวรับใช้ประคองนางนั่งลงบนเก้าอี้ของนาง


บ่าวรับใช้เริ่มแนะนำตัวเอง “ช้าชื่อเซี่ยชาน ก่อนหน้านี้ข้าเคยทำงานที่เรือนซูหยา แต่ท่านฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวว่าเมื่อองค์หญิงใหญ่เข้ามาในคฤหาสน์ องค์หญิงต้องมีคนที่อยู่ในคฤหาสน์มาเป็นเวลานานอยู่ด้วย  ดังนั้นท่านฮูหยินผู้เฒ่าจึงมอบหมายให้ข้ามาดูแล ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปบ่าวรับใช้คนนี้จะอยู่กับองค์หญิงใหญ่ ถ้าข้าทำผิด องค์หญิงใหญ่โปรดบอกข้า และลงโทษข้าได้เลยเพคะ”


เซี่ยชานสดใสมากเพราะนางมีรอยยิ้มที่ทำให้คนปฏิเสธนางไม่ได้ แม้ว่าคังอี้จะยังไม่มีความสุข นางก็พบว่ามันยากที่จะแสดงมันต่อหน้าของรอยยิ้มอันสดใสนี้ ยิ่งกว่านั้นวันนี้วันแต่งงานของนาง สถานการณ์ของรุ่ยเจียได้ข้อสรุปแล้ว และนางไม่สามารถทำผิดพลาดได้อีกไม่ว่าในกรณีใด ๆ


นางยิ้มและพูดว่า “เซี่ยชานเป็นชื่อที่ไพเราะมาก ข้าทำให้เจ้าเห็นบางสิ่งที่ไร้สาระในสนามหน้าบ้าน มันคือทั้งหมด… มันล้มเหลวมั้งหมดในการให้คำแนะนำที่เพียงพอ เมื่อรุ่ยเจียกลับจากพระราชวัง ข้าอยากให้เจ้าบอกเรา” นางพูดขณะถอดกำไลหยกและวางไว้บนข้อมือของเซี่ยชาน


แม้ว่าเซี่ยชานมีความสุขแต่นางก็คุ้นเคยกับการดูแลฮูหยินผู้เฒ่า กำไลหยกเพียงอันเดียวนั้นไม่เพียงพอที่จะทำให้นางลืมมารยาทของนาง ดังนั้นนางจึงขอบพระคุณและกล่าวว่า “ท่านฮูหยินไม่ต้องกังวลเจ้าค่ะ คุณหนูจะสามารถออกจากพระราชวังได้อย่างรวดเร็วเจ้าค่ะ” ในขณะที่นางพูด นางเรียกคังอี้ว่าท่านฮูหยิน และรุ่ยเจียก็กลายเป็นคุณหนู สิ่งนี้ช่วยให้คังอี้รู้สึกดีขึ้นมาก “ท่านฮูหยินนั่งสักครู่ก่อนเจ้าคะ ท่านยังไม่สามารถทานอะไรได้ ไม่นานท่านฮูหยินผู้เฒ่าจะมาถึง บรรดาอนุและคุณหนูก็จะมากับท่านฮูหยินผู้เฒ่า บ่าวรับใช้คนนี้จะไปเตรียมชาก่อนเจ้าค่ะ”


เรือนเทียนเซียงไม่ว่างและลานด้านหน้าของคฤหาสน์เฟิงก็มีชีวิตชีวาอีกครั้ง ดูเหมือนว่าเรื่องของรุ่ยเจียจะไม่ส่งผลกระทบต่อบรรยากาศ แต่องค์ชายสาม, ซวนเทียนเย่ถือจอกสุราและชูไปทางเฟิงหยูเฮง

 

 

 


ตอนที่ 324

 

คนเจ้าเล่ห์

ซวนเทียนเย่นั่งลงบนเก้าอี้ว่างถัดจากเฟิงหยูเฮง เมื่อเห็นว่าเขาเข้ามาแล้ว คุณหนูทุกคนต่างก็พากันเงียบและก้มหน้าลง ไม่มีใครอยากมีปัญหาใด ๆ แม้แต่เฟิงเฟินไดก็ไม่กล้ามองซวนเทียนเย่


ซวนเทียนเย่แตกต่างจากองค์ชายองค์อื่น ๆ เขาดูเหมือนจะโกรธอยู่ตลอดเวลา แค่มองเขาก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ผู้คนหวาดกลัว


เฟิงหยูเฮงก็ไม่มองเขาเช่นกัน อย่างไรก็ตามนางไม่ได้กลัวเขา นางหิวมากจริง ๆ ถ้านางไม่ใช้เวลาในการทานอาหารบนโต๊ะ มันจะเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์


ซวนเทียนเย่จ้องมองนางแบบนี้จนกระทั่งนางกินปลาไปครึ่งตัว ในที่สุดเขาก็ไม่สามารถทนดูต่อไปได้ เขาลดเสียงพูดและเอ่ยว่า “องค์หญิงแห่งมณฑล เจ้าบอกว่าทำปิ่นหงส์เพลิงหายไม่ใช่หรือ ? ”


เมื่อเฟิงหยูเฮงทานปลาเสร็จแล้ว บ่าวรับใช้ก็นำน้ำแกงมาขึ้นโต๊ะ นางนั่งจิบแล้วส่ายหัว “ไม่อร่อยเลย” จากนั้นนางก็วางช้อนและก็เริ่มพูดกับซวนเทียนเย่ อย่างไรก็ตามนางเริ่มด้วยคำถามของนางเอง “ใครบอกว่าปิ่นหงส์เพลิงของข้าหายไป ? ”


ซวนเทียนเย่ตกใจ และในที่สุดก็จำได้ว่าข่าวลือที่องค์หญิงแห่งมณฑลจี่อันทำปิ่นหงส์เพลิงหาย มันเป็นเพียงข่าวลือ ! ข่าวลือเกี่ยวกับการที่นางถูกฮ่องเต้ลงโทษโดยการกักขังในคฤหาสน์ก็เป็นเพียงข่าวลือด้วยเช่นกัน ! ใครคือคนที่บอกว่าเฟิงหยูเฮงทำปิ่นหงส์เพลิงหาย ? นี่เป็นหนี้ที่ไม่สามารถเรียกเก็บได้อย่างแท้จริง


ใบหน้าของเขายิ่งมืดครึ้มมากขึ้นและเขาดูเหมือนจะโกรธมากขึ้น ทำให้เด็กผู้หญิงคนอื่น ๆ ที่โต๊ะก้มหน้าลงมากกว่าเดิม


ในเวลานี้บ่าวรับใช้คนหนึ่งวิ่งไปยืนข้างโต๊ะพูดว่า “ท่านฮูหยินใหญ่กลับไปที่เรือนเทียนเซียงแล้วขอรับ ท่านฮูหยินผู้เฒ่าเรียกให้พวกคุณหนูไปพบขอรับ”


เฟิงหยูเฮงดื่มชาอึกสุดท้ายแล้วจ้องมองที่ซวนเทียนเย่ จากนั้นนางจ้องมองบ่าวรับใช้ก่อนที่จะหันหลังกลับ และออกไปพร้อมกับแค่นเสียงเย็นชา


ซวนเทียนเย่โกรธมาก ปอดของเขากำลังจะระเบิด แต่เขาจะปล่อยให้มันระเบิดได้อย่างไร เขาไม่สามารถทุบตีนางและเขาไม่สามารถสาปแช่งนาง หากคำพูดของเขาซึ่งโกรธแค้นหญิงสาวอย่างนางถูกรายงานที่พระราชวังของฮ่องเต้ คนที่แพ้ก็คงเป็นเขา ซวนเทียนเย่รู้สึกว่าเฟิงหยูเฮงเป็นคนที่ดุร้ายตามธรรมชาติ ใครก็ตามที่เข้าไปอยู่ในกำมือของนางและไม่ตายจากความโกรธจะต้องโชคดีมาก !


เมื่อบุตรสาวของตระกูลเฟิงเข้าไปในห้องหลักของเรือนเทียนเซียง ฮูหยินผู้เฒ่าก็นั่งอยู่ข้างในแล้วพูดคุยกับคังอี้ ทั้งสองคนไม่ได้พูดถึงเรื่องของรุ่ยเจีย คังอี้ซึ่งเคยร้องไห้อยู่ที่หน้าคฤหาสน์ได้แต่งหน้าใหม่ และนางก็ดูสง่างามเช่นเดิม


เมื่อเห็นเด็ก ๆ เข้ามา ฮูหยินผู้เฒ่าก็โบกมือให้พวกนาง “เรื่องก่อนหน้านี้เกิดขึ้นกะทันหันและพวกเจ้ายังไม่ได้คารวะมารดาเลย มาเร็ว ๆ แล้วคารวะมารดา”


เฟิงเฉินหยูนำทางและเดินไปข้างหน้าโค้งคำนับ “ลูกคารวะท่านแม่เจ้าค่ะ”


เด็กสาวอีก 3 คนก็ก้าวไปข้างหน้าแล้วก็ทักทายว่า “คารวะท่านแม่เจ้าค่ะ”


รอยยิ้มบนใบหน้าของคังอี้นั้นเด่นชัดยิ่งขึ้นเมื่อนางช่วยพวกนางอย่างรวดเร็ว และกล่าวว่า “ลุกขึ้นเร็ว พวกเจ้าเป็นเด็กดีมาก ในอนาคตเราจะเป็นครอบครัวเดียวกัน ไม่จำเป็นต้องทำตามระเบียบเหล่านี้ทั้งหมด” หลังจากพูดอย่างนี้นางมองเฟิงหยูเฮงแล้วจับมือนางกล่าวว่า “อาเอเฮงอย่าตำหนิรุ่ยเจีย เป็นเพราะเสด็จลุงที่ทำให้นางนิสัยเสีย อย่างที่ข้าเห็นนี่เป็นสิ่งที่ดีเช่นกัน สิ่งนี้จะช่วยให้นางเข้าใจได้เร็วขึ้นว่าการอยู่ในราชวงศ์ต้าชุนนั้นไม่เหมือนกับอยู่ในเฉียนโจว วันนี้นางทำผิด แต่ถ้ามีวันหนึ่งที่นางทำผิดในพระราชวัง เราจะไม่โชคดีอย่างวันนี้ ข้าจะขอโทษเจ้าแทนรุ่ยเจียด้วย หากเจ้ามีปัญหาใด ๆ โปรดมาบอกข้าเกี่ยวกับพวกมัน ถ้าข้าสามารถช่วยได้ ข้าจะสนับสนุนเจ้าแน่นอน”


คำพูดของคังอี้นั้นฟังดูดีมาก และแม้แต่ฮูหยินผู้เฒ่าก็ต้องพยักหน้า นางถอนหายใจ และคิดว่านี่เป็นองค์หญิงใหญ่ของเฉียนโจว พระธิดาของนางถูกตี แต่นางก็ยังสามารถยิ้มได้หลังจากช่วงเวลาสั้น ๆ ความสามารถแบบนี้ไม่ใช่สิ่งที่คนปกติมี


เฟิงหยูเฮงมองการแสดงออกที่เหมาะสมของคังอี้และไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้จากก่อนหน้านี้ นางเปลี่ยนหัวข้อ “ท่านแม่ ข้าพึ่งนึกถึงบางอย่างขึ้นได้”


คังอี้ยิ้มแล้วพูดว่า “พูดมา”


เฟิงหยูเฮงกล่าวว่า “ข้าสนใจเรือนเหลียงซินซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเรือนเทียนเซียง ข้าจะหาโอกาสคุยหลังจากงานแต่งงาน ข้าอยากให้ท่านแม่คุยกับท่านย่าให้เจ้าค่ะ ข้าจะย้ายมาที่เรือนเหลียงซินได้หรือไม่เจ้าค่ะ เนื่องจากท่านแม่ได้กล่าวไว้แล้ว อาเฮงจะขอให้ท่านแม่สนับสนุนข้าเจ้าด้วยค่ะ ! ”


คังอี้กังวลอย่างแท้จริงว่านางจะขอ ตอนนี้นางได้ยินว่านางแค่ต้องการเรือนในคฤหาสน์เฟิง นางก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจอย่างโล่งอกเงียบ ๆ “ได้สิ ข้าสัญญาว่าจะช่วยเจ้า”


เฟิงหยูเฮงพยักหน้ามองที่ฮูหยินผู้เฒ่า “ตอนนี้ท่านแม่สามารถจัดการเรื่องของครอบครัวได้แล้ว ท่านย่าจะมีเวลาว่างเพิ่มขึ้นเยอะเลยเจ้าค่ะ”


ฮูหยินผู้เฒ่าไม่มีความสุข แต่ไม่ใช่เพราะนางไม่ต้องการมอบเรือนแก่เฟิงหยูเฮง เดิมทีนางวางแผนที่จะจัดระเบียบเรือนในคฤหาสน์เฟิงสำหรับเฟิงหยูเฮงที่จะอาศัยอยู่ นอกจากนี้นางเป็นบุตรสาวที่ยังไม่ได้แต่งงาน ด้วยสถานะที่โดดเด่นเช่นนี้ ไม่ว่าใครจะมอง ตระกูลเฟิงก็ไม่อาจปฏิบัติต่อนางไม่ดีได้ แต่นั่นก็ต่อเมื่อนางเป็นคนทำ ตอนนี้ที่คังอี้ให้สิ่งนี้กับนาง มันไม่ได้บอกชัดเจนว่านางกำลังแบ่งอำนาจของนางหรือไม่ ?


เมื่อเห็นว่าใบหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าเริ่มดูไม่ดี คังอี้รีบเกลี้ยกล่อมนางอย่างรวดเร็วโดยกล่าวว่า “ท่านแม่ได้โปรดเข้าใจลูกสะใภ้ด้วยเจ้าค่ะ ลูกสะใภ้หวังจะรักษาความสัมพันธ์กับอาเฮง โปรดดูสิ่งนี้จะช่วยกระชับความสัมพันธ์สำหรับลูกสะใภ้ ลูกสะใภ้จะไม่ลืมความเมตตาของท่านแม่ สำหรับเรื่องใหญ่ ๆ ในคฤหาสน์ ลูกสะใภ้เป็นเพียงคนต่างแคว้น ข้าจะเข้าใจกฎของราชวงศ์ต้าชุนได้อย่างไร ข้าจะไม่สามารถจัดการพวกมันได้”


เมื่อได้ยินนางพูดแบบนี้หัวใจของฮูหยินผู้เฒ่าก็รู้สึกสบายใจ ผงกศีรษะนางพูดกับเฟิงหยูเฮง “เจ้าเป็นบุตรของตระกูลเฟิง เจ้าควรมีเรือนเป็นของตัวเองอยู่ แม้ว่าจะมีเรือนศจีอยู่แต่มันก็โทรมเกินไป เรือนเหลียงซินค่อนข้างดีและอยู่บนพื้นดินที่สูงขึ้นเล็กน้อย มีหอคอย 3 ชั้นอยู่ข้างในด้วย มันเหมาะที่จะไว้ชมทิวทัศน์และเหมาะมากสำหรับเจ้าที่จะเข้าไปอยู่”


เรือนเหลียงซินมีหอคอย 3 ชั้น และนี่คือสิ่งที่เฟิงหยูเฮงให้ความสนใจ ประการแรกมันเป็นสถานที่ที่สูงกว่า และอย่างที่สองนางต้องการแปลงหอคอยแห่งนี้ให้เป็นร้านขายยา มันจะสะดวกกว่าที่จะใช้งาน


“แต่…” ฮูหยินผู้เฒ่านั้นมีปัญหาและพูดว่า “ไม่มีใครที่จะอยู่ในเรือนเหลียงซิน การทำความสะอาดเป็นเรื่องง่ายที่จะจัดการ แต่เครื่องเรือน… ปกติแล้วทางคฤหาสน์ควรให้เงินคุณหนูเพื่อตกแต่งเรือนของพวกเขา แต่ที่คลังไม่มีเงิน ! ” พูดอย่างนี้นางมองไปรอบ ๆ ห้อง และความโกรธปรากฏบนใบหน้าของนาง


คังอี้จะไม่เข้าใจได้อย่างไรว่านี่เป็นปัญหาที่เกิดขึ้น ดังนั้นนางจึงพูดอย่างรวดเร็ว “สามีทำสิ่งนี้เพื่อลูกสะใภ้และลูกสะใภ้เข้าใจดี ท่านแม่ได้โปรดอย่ากังวล สามีปฏิบัติต่อคังอี้เป็นอย่างดี ดังนั้นคังอี้จะทำอย่างดีที่สุดเพื่อพิจารณาเรื่องตระกูลเฟิงของเรา ไม่กี่วันที่ผ่านมาลูกสะใภ้ส่งจดหมายถึงน้องชายของข้าแล้ว เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ราชทูตควรจะเดินทางมาแล้ว การดูแลเรือนภายในของอาเฮง ลูกสะใภ้จะเป็นคนจัดการเองเจ้าค่ะ ท่านแม่โปรดสบายใจ ส่วนเรือนซูหยา ข้าจะให้ของบางอย่างด้วย ท่านแม่คิดดูก่อนเจ้าค่ะว่าท่านแม่อยากได้อะไร”


เมื่อได้ยินคังอี้พูดเช่นนี้ ฮูหยินผู้เฒ่าก็สงบลงเช่นกัน เมื่อคิดถึงเรื่องนี้แล้วก็เป็นเช่นนั้น ในฐานะองค์หญิงใหญ่ของต่างแคว้น สินเดิมที่มาจากเฉียนโจวจะไม่น้อยหน้าใครอย่างแน่นอน ดูเหมือนว่าคังอี้จะเป็นคนที่สมเหตุสมผล พร้อมกับบุตรสาวของนาง ทั้งสองจะอาศัยอยู่ในราชวงศ์ต้าชุน หากไม่มีการสนับสนุนใด ๆ พวกเขาจะลงหลักปักฐานในราชวงศ์ต้าชุนได้อย่างไร พวกเขาต้องเริ่มจากตระกูลเฟิงก่อน หากพวกเขาต้องการลงหลักปักฐานในตระกูลเฟิง พวกเขาจะต้องติดสินบนฮูหยินผู้เฒ่าอย่างแน่นอน


รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของฮูหยินผู้เฒ่า ขณะที่นางพูดกับเฟิงหยูเฮง “เช่นนั้นเราจะทำตามที่มารดาของเจ้าพูด เซี่ยชาน” นางเรียกบ่าวรับใช้ที่อยู่ข้าง ๆ “ดูแลท่านฮูหยินใหญ่อย่างดี ไปเรียกพวกบ่าวรับใช้ในความดูแลของฮูหยินใหม่มา ยังต้องปฏิบัติตามกฎของราชวงศ์ต้าชุนอีกด้วย”


เซี่ยชานกล่าว “เจ้าค่ะ ! ท่านฮูหยินผู้เฒ่าอย่ากังวลเลยเจ้าค่ะ บ่าวรับใช้คนนี้จะดูแลสิ่งต่าง ๆ ที่นี่อย่างแน่นอน”


มีแต่ฮูหยินผู้เฒ่าเท่านั้นที่รู้สึกพึงพอใจและพาทุกคนออกไปจากห้อง เมื่อเห็นเฟิงหยูเฮงเดินไปข้าง ๆ นางก็คิดเล็กน้อยแล้วพูดว่า “เจ้าทำได้ดีมากในการแสดงพลังครั้งแรก แม้ว่าการแต่งงานของนางจะเป็นผลดีต่ออาชีพการงานของบิดาของเจ้า แต่นางก็ยังต้องรู้สึกยับยั้งชั่งใจเรื่องคฤหาสน์อีกเล็กน้อย นางไม่สามารถมองตนเองในฐานะองค์หญิงต่างแคว้นได้อีกต่อไป ไม่เช่นนั้นในอีกสองปี ข้ากลัวว่านางจะไม่สามารถอยู่ในคฤหาสน์ต่อไปได้”


เฟิงหยูเฮงยิ้ม และกล่าวว่า “โดยไม่เอ่ยถึงเรื่องอื่น ข้ากลัวว่าท่านย่าจะต้องมอบหน้าที่ของท่านย่าให้ท่านแม่” นางพูดอย่างนี้จากนั้นก็เพิ่มความเร็วของนาง และมุ่งหน้าไปที่ลาน


ฮูหยินผู้เฒ่าหยุดเดิน เมื่อนึกถึงหน้าที่ของนาง นางเริ่มรู้สึกเศร้าใจในทันที อย่างไรก็ตามเฟิงหยูเฮงนั้นพูดถูกต้อง เมื่อฮูหยินใหญ่เข้ามาในคฤหาสน์ ฮูหยินผู้เฒ่าจึงไม่มีเหตุผลที่นางจะดูแลสิ่งเหล่านี้ต่อไป


ในเวลานี้งานเลี้ยงเต็มไปด้วยความสนุก เฟิงจินหยวนต้อนรับแขกและดื่มกับแขก ด้วยเหตุนี้เขาจึงดื่มมากขึ้น แต่องค์ชายไม่ต้องการดื่ม องค์ชายรอง องค์ชายสี่ และองค์ชายห้ากลับไปแล้ว ในขณะที่องค์ชายใหญ่กำลังรอหมอหลวงที่จะมารักษาอาการบาดเจ็บของรุ่ยเจีย หลังจากรักษาแล้วเขาจะออกเดินทางพร้อมรุ่ยเจีย สำหรับองค์ชายสาม เขาก็นั่งที่ศาลาซึ่งไกลออกไปเล็กน้อยจากงานเลี้ยงกับองครักษ์ บางครั้งเขาก็มองไปที่เฟิงจินหยวน และดูเหมือนว่าเขากำลังรอให้เขาทำธุระให้เสร็จก่อนที่จะพูดอะไรบางอย่างกับเขา


เมื่อเฟิงหยูเฮงกลับมา นางมองซวนเทียนเย่จากที่ไกล ๆ แล้วคิดเล็กน้อย นางหยิบผลไม้จากโต๊ะแล้วเดินไปที่ศาลา


ซวนเทียนเย่เฝ้าดูนางเดินมาหาเขา และคิ้วขวาของเขากระตุกอย่างไม่สามารถควบคุมได้ 2 ครั้ง ทุกครั้งที่เขาคุยกับเฟิงหยูเฮง เขาไม่เคยได้รับชัยชนะแม้แต่ครั้งเดียว ตอนนี้ผู้หญิงคนนี้กำลังเริ่มที่จะมาพูดคุยกับเขา ซวนเทียนเย่อดใจไม่ได้ที่จะคาดเดาว่านางต้องการอะไร


ก่อนที่เขาจะเข้าใจอย่างถ่องแท้ นางก็มาถึงแล้ว ด้วยเสื้อผ้าที่ทำจากผ้าไหมเมฆาเคลื่อนคล้อยอันประณีต และปิ่นหงส์ทองที่บนหัวของนางซึ่งทำให้เฟิงหยูเฮงดูฉลาดมากขึ้น ทำให้รู้สึกว่านางมีสถานะที่สูงส่งกว่าเขา ราชวงศ์ต้าชุนไม่ได้มีองค์หญิงใด ๆ แต่แม้ว่าจะมีบางทีพวกเขาไม่สามารถห้ามองค์หญิงแห่งมณฑลผู้นี้ได้ !


“พี่สาม มาที่นี่เพื่อซ่อนและผ่อนคลายหรือเพคะ” นางมาถึงศาลาและพูดทันที ”อาเฮงเห็นท่านนี่นั่งอยู่ที่นี่คนเดียว และท่านดูเหงามาก ข้าเลยถือจานผลไม้มาด้วย ถือว่าเป็นสิ่งที่ช่วยดับความกระหายของท่าน”


นางไม่ได้เดินเข้าไปใกล้เกินไป และนางไม่ได้วางจานผลไม้ลงบนโต๊ะด้วยตัวเอง นางยื่นมือออกไปให้องครักษ์แทน


องครักษ์ไม่ได้คิดมากนักเพราะเขาเป็นบ่าวรับใช้ นี่เป็นสิ่งที่เขาทำบ่อยครั้งมาก อย่างไรก็ตามเขาไม่คิดว่าก่อนที่เขากำลังจะรับ เฟิงหยูเฮงก็ปล่อยทันที จานผลไม้ตกลงไปที่พื้นทันที


ผลไม้และแตงโมกระจัดกระจาย จานแตกเป็นชิ้น ๆ


เฟิงหยูเฮงโกรธมาก “เจ้าช่างบังอาจ ! องค์หญิงแห่งมณฑลคนนี้ได้นำผลไม้มาให้เจ้านายของเจ้า แต่เจ้ากล้าที่จะทิ้งมันหรือ ? นี่เป็นอาชญากรรมแบบไหน ? ”


เฟิงหยูเฮงตะโกนอย่างน่ากลัวอย่างแท้จริง ไม่เพียงแต่เสียงจะแหลมมันเต็มไปด้วยความโกรธ และความรุนแรง เขาอยู่กับซวนเทียนเย่มาเป็นเวลานาน ดังนั้นเขาจึงมีภูมิคุ้มกันเล็กน้อยต่อการแสดงออกที่น่าหดหู่ของผู้อื่น อย่างไรก็ตามด้วยเหตุผลบางอย่าง เมื่อเขาเห็นการจ้องมองของเฟิงหยูเฮง เขาไม่สามารถหยุดตัวเองจากความตกใจได้ จิตใจของเขาเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกทันทีที่เขาไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี


เฟิงหยูเฮงกล่าวเพิ่ม “บ่าวรับใช้คุกเข่าลงเดี่ยวนี้ ! ”


หลังจากที่เฟิงหยูเฮงพูดจบ หวงซวนที่อยู่ข้าง ๆ เตะที่หัวเข่าของเขา ชายที่มีความทนทานสูงประมาณ 7 ฟุตรีบเข้าคุกเข่าลง


สิ่งที่โชคร้ายที่สุดคือองครักษ์คุกเข่าบนจานที่แตก เลือดไหลออกจากหัวเข่าของเขาทันที


ไม่เพียงแค่นี้ ในทันทีที่เขาคุกเข่าเขาก็รู้สึกว่านอกเหนือจากจานหักดูเหมือนจะมีเข็ม มีหลายเล่มตั้งตรงและมันก็แทงลงไปที่เข่าของเขา ความเจ็บปวดที่ได้รับเกือบทำให้เขากัดลิ้นตัวเอง 

 

 


ตอนที่ 325

 

“องครักษ์ขององค์ชายเซียง ท่านโทษว่าตระกูลเฟิงของข้าเพราะไม่รับรองแขกให้ดีหรือ เจ้ารังเกียจองค์หญิงแห่งมณฑลขั้นสองเพราะไม่อยู่ในสถานะที่สูงพอหรือ ? ในเมื่อเจ้ารังเกียจผลไม้จานนั้น”


องครักษ์คุกเข่าบนพื้นด้วยสีหน้าที่ไม่เต็มใจ เขาพยายามจะลุกขึ้นยืน แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างหัวเข่าของเขารู้สึกเจ็บปวดจนกลายเป็นชาแทบไม่มีความรู้สึก ไม่ว่าเขาจะทำเช่นไร เขาไม่สามารถใช้กำลังเพื่อลุกขึ้นยืนได้


เฟิงหยูเฮงมองที่เขาด้วยแววตาที่ทำให้เขารู้สึกตกใจ “เจ้าเป็นใคร ? เจ้าเป็นแค่องครักษ์ที่ต่ำต้อย แต่องค์หญิงแห่งมณฑลผู้นี้ไม่มีสิทธิ์ที่จะลงโทษเจ้าเช่นนั้นหรือ ? ”


ยิ่งองครักษ์มองเฟิงหยูเฮงเท่าไหร่ก็ยิ่งรู้สึกตกใจมากขึ้นเท่านั้น เขาได้แต่หันหน้าไปมองซวนเทียนเย่ แต่เขาเห็นซวนเทียนเย่พยักหน้าให้เขา ดังนั้นเขาจึงตอบว่า “บ่าวรับใช้ผู้ต่ำต้อยไม่กล้าขอรับ!”


“เจ้าไม่กล้าหรือ ? ” แสงเย็นๆ ในดวงตาของเฟิงหยูเฮงปะทุขึ้น “เท่าที่ข้าเห็น มันไม่มีอะไรที่เจ้าไม่กล้าทำ ! ” นางเอนกายเล็กน้อยและพาตัวเองเข้าไปใกล้กับองครักษ์


ความรู้สึกกดดันที่เพิ่มมากขึ้นทำให้คิ้วขององครักษ์ชุ่มไปด้วยเหงื่อ เขาต้องการหลีกเลี่ยงนาง แต่เขาขยับขาไม่ได้ เมื่อใบหน้าของเฟิงหยูเฮงเข้ามาใกล้เขามากขึ้น การหายใจของเขาก็หยุดนิ่ง


“องค์..องค์หญิงแห่งมณฑลขอรับ!”


“หืมม ! ” เฟิงหยูเฮงเหวี่ยงแขนเสื้อแล้วลุกขึ้นยืน “ไม่ใช่ว่าเจ้ากำลังดูถูกองค์หญิงแห่งมณฑลผู้นี้ เช่นนั้นก็คุกเข่าต่อไป ! จงอยู่ที่นั่นจนกระทั่งกลางคืนก่อนจะกลับไปหาองค์ชาย ! ”


ซวนเทียนเย่ขมวดคิ้วและถามด้วยความสงสัยต่อเฟิงหยูเฮง “เจ้าหาเรื่องบ่าวรับใช้ทำไม ? ”


เฟิงหยูเฮงหัวเราะเยือกเย็นเนื่องจากคำที่หลู่โชวจากกูโม่พูดกับนางดังก้องในหูของนางอีกครั้ง ในขณะที่องค์ชายเก้าถูกล้อมรอบบนภูเขา แม่ทัพผู้ต่ำต้อยคนนี้ข้าพบเขาเผชิญหน้า…


นางกัดฟันแน่นและดวงตาของนางก็มีแสงพุ่งออกมา เมื่อนางมองซวนเทียนเย่อีกครั้ง นางก็ไม่แสดงความมีน้ำใจอีกต่อไป นางพูดว่า “ไม่มีประเด็นใดที่จะโกรธบ่าวรับใช้ ข้าแค่เตือนเจ้านายของเขา จำสิ่งที่เคยทำมาในอดีตให้ดี วันหนึ่งข้าจะคิดบัญชี” นางหันหลังกลับแล้วเดินจากไป อย่างไรก็ตามนางพูดเสียงดังขึ้นว่า “ไม่ช้าก็เร็ว วันหนึ่งจะมาถึงตาท่าน ! ”


เมื่อนางพูดสิ่งนี้นางปล่อยให้พวกเขาตัวสั่นอยู่ในศาลา


ซวนเทียนเย่กำหมัดแน่นจนข้อมือของเขาเปลี่ยนเป็นขาว คนที่เดินจากไปเหมือนกับหนามแหลมที่ทิ่มแทงใจและเขาก็เกลียดที่ไม่สามารถดึงมันออกได้


น่าเสียดายที่เขาทำไม่ได้


“ในเวลานั้นเจ้าทิ้งร่องรอยอะไรที่ทำให้ระบุว่าเป็นเจ้าไว้หรือไม่ ? ” เขาถามองครักษ์ที่คุกเข่าอยู่ข้างเขา


องครักษ์คิดเล็กน้อยแล้วพูดว่า “บ่าวรับใช้คนนี้ระวังตัวเสมอ ข้าไม่เคยเปิดเผยใบหน้าต่อหน้าแม่ทัพของราชวงศ์ต้าชุน เป็นไปไม่ได้ที่องค์หญิงแห่งมณฑลจี่อันจะรู้เรื่องนี้พะยะค่ะ”


ซวนเทียนเย่กัดฟัน จากนั้นเขาก็ตบองครักษ์ “แต่วันนี้นางมาหาเรื่องเจ้าอย่างชัดเจน ! ” เขาชี้ไปที่เลือดไหลออกมาจากขาขององครักษ์ “ในการต่อสู้ครั้งนั้นขาของซวนเทียนหมิงถูกทำลาย เห็นได้ชัดว่านางได้แก้แค้นแทนซวนเทียนหมิงแล้ว ! ”


“องค์ชาย ! ”


“ลืมมันซะ!” ซวนเทียนเย่โบกมือ “ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะโกรธพวกเขา เจ้าคุกเข่าต่อไป ขาคู่นี้… ถือว่าชดใช้ให้เขา”


งานแต่งงานในวันนี้สิ้นสุดลงหลังจากพระอาทิตย์ตกดิน โดยแขกที่มาร่วมงานทยอยกลับไปมาอย่างเป็นระเบียบ เฟิงจินหยวนส่งแขกคนสำคัญออกไปด้วยตัวเอง กลุ่มสุดท้ายคือซวนเทียนฉี ตามด้วยกลุ่มบ่าวรับใช้ในพระราชวังที่พารุ่ยเจียออกจากคฤหาสน์


เฟิงจินหยวนมองรุ่ยเจียและเขารู้สึกว่าหัวใจของเขากระตุก บุตรสาวคนนี้ยังไม่ได้เข้ามาในคฤหาสน์ แต่นางก็มีปัญหามากมายแล้ว เขาจะอธิบายให้คังอี้ทราบได้อย่างไร !


มองดูรถม้าของซวนเทียนฉีหายไปลับตา เฟิงจินหยวนก็เริ่มรู้สึกปวดหัวจากการดื่มสุรามากเกินไป หันกลับมา เขาเดินกลับเข้าไปในคฤหาสน์ สวมชุดแต่งงานสีแดง เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยเพราะไม่รู้ว่าจะเผชิญหน้ากับคังอี้ได้อย่างไร


“วันนี้ท่านพ่อดื่มหนัก ลูกสาวได้เขียนใบสั่งยาไว้แล้วเพื่อช่วยให้ท่านพ่อหายเมาค้าง และมอบมันให้กับบ่าวรับใช้เพื่อเตรียมยาแล้วเจ้าค่ะ” เฟิงจินหยวนเงยหน้าขึ้นและเห็นเฟิงหยูเฮงเดินมาหาเขา


เขาตัวแข็งชั่วครู่จากนั้นก็รู้สึกว่าแอลกอฮอล์ส่งผลกระทบกับเขาอย่างแรงอีกครั้ง เขาจับไหล่เฟิงหยูเฮงและขอร้องนางว่า “อาเฮงช่วยพ่อด้วย เจ้าช่วยรุ่ยเจียได้หรือไม่ ? ”


เฟิงหยูเฮงงงงวย “องค์หญิงรุ่ยเจียจะเข้าไปในพระราชวังเพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับกฎของราชวงศ์ต้าชุน นี่คือสิ่งที่ดี ทำไมท่านพ่อถึงจะให้ข้าช่วยนางเจ้าคะ ? ”


“อ๊ะ ! ” เฟิงจินหยวนกระทืบเท้า “ลูกสาวที่รัก แค่เจ้าช่วยพ่อครั้งนี้ ถือว่าพ่อขอร้องเจ้าได้หรือไม่ ? ”


“ขอให้ข้าช่วยหรือเจ้าคะ ? ” เฟิงหยูเฮงหัวเราะ “ท่านพ่อ ครั้งสุดท้ายที่ท่านพ่อขอร้องลูก ท่านสละคฤหาสน์เฟิง ครั้งนี้ท่านพ่อพร้อมจะสละสิ่งใด ? ” นางหัวเราะเยาะและก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าว “ลูกจะบอกท่านพ่ออย่างตรงไปตรงมา ถ้านางกล้าพูดเช่นนั้นอีกครั้ง ข้าจะส่งนางไปพบเสด็จพ่อโดยตรง ! ”


เฟิงจินหยวนก็ถอยห่างออกไปสองสามก้าวด้วยความกลัว ด้วยใจของเขาสับสน เขาก้าวพลาดและล้มลง


บ่าวรับใช้ที่อยู่ข้างหลังเขาพยุงเขาแล้วหันหลังกลับ อย่างไรก็ตามเขาพบว่าเฟิงหยูเฮงจากไปแล้ว ร่างที่จากไปของนางนั้นหยิ่งและไร้ความรู้สึก เรื่องนี้ทำให้เขาสงสัยว่านางยังเป็นบุตรสาวของเฟิงจินหยวนหรือไม่


“ท่านใต้เท้า” บ่าวรับใช้เตือนเขาจากด้านข้าง “รีบกลับเรือนเถิดเจ้าค่ะ ท่านฮูหยินใหญ่รออยู่ที่เรือนเทียนเซียงนานแล้ว ท่านใต้เท้ากลับได้แล้วเจ้าค่ะ”


คงจะดีกว่านี้ถ้าเขาไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องนี้ เมื่อพูดถึงเรื่องนี้เฟิงจินหยวนก็ยิ่งหดหู่มากขึ้น


เขาคอไม่แข็ง ถ้าเขามีสติ ด้วยความสามารถของเขาในฐานะเสนาบดี เขาจะยังคงมีความสามารถในการโน้มน้าวและการสื่อสาร แต่เมื่อเขาดื่มสุรา และในฐานะเจ้าภาพเขาดื่มมากกว่าปกติ ความสามารถในการเดินเป็นเส้นตรงคือขีดจำกัดของเขา หากเขาถูกขอให้เผชิญหน้ากับคังอี้ซึ่งกำลังขอร้องแทนบุตรสาวของนางอยู่ เฟิงจินหยวนก็รู้สึกว่าศีรษะของเขาพองโตอย่างแท้จริง


ขณะที่เขาลังเล เขาเห็นบ่าวรับใช้อายุน้อยรีบวิ่งมา เมื่อเห็นเฟิงจินหยวน นางพูดอย่างรวดเร็ว “ท่านใต้เท้า! ท่านใต้เท้า อนุฮันเจ็บท้องมาครึ่งชั่วยามแล้วเจ้าค่ะ รีบไปดูเถิดเจ้าค่ะ ! ”


“อะไรนะ ? ” เฟิงจินหยวนตกตะลึงอย่างยิ่ง ในเวลาเดียวกันด้วยเหตุผลบางอย่างเขาก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกเล็กน้อย หากมีสิ่งใดเกิดขึ้นกับครรภ์ของฮันชิ เขาก็มีเหตุผลที่จะไปเยี่ยมนาง แม้ว่าเขาจะไม่สามารถหลีกเลี่ยงปัญหานี้ได้ตลอดไป แต่ก็เป็นเรื่องดีที่จะหลีกเลี่ยงในตอนนี้ ดังนั้นเขาจึงรีบพูดว่า “ไปเร็ว! ไปที่เรือนหยูหลานกันเถอะ”


เมื่อบ่าวรับใช้คนนี้มารายงาน เฟิงหยูเฮงยังเดินไปได้ไม่ไกล นางได้ยินเสียงเบา ๆ เกี่ยวกับครรภ์ของฮันชิเลยทำให้นางหันไปมอง เฟิงจินหยวนกำลังติดตามบ่าวรับใช้และเดินไปในทิศทางของเรือนหยูหลาน


หวงซวนกล่าวว่า “วันนี้เป็นวันแต่งงานและฮูหยินคนใหม่กำลังรออยู่ในห้องเจ้าสาว แต่เสนาบดีเฟิงคนนี้กำลังจะไปที่ห้องของอนุ ถ้าองค์หญิงคังอี้รู้นางจะไม่โกรธหรือ?”


เฟิงหยูเฮงคิดไตร่ตรองเล็กน้อยจากสิ่งที่น่าสนใจ และพูดว่า “ไปกันเถอะ”


ด้านในเรือนของยูหลานกำลังวุ่นวาย ฮันชิร้องตลอด เสียงร้องของนางสร้างความตกใจ เมื่อเฟิงจินหยวนเข้าไปในสนามหญ้า เขาถูกเฟิงเฟินไดยึดตัวเขากล่าวซ้ำ ๆ ว่า “ท่านพ่อ  ท่านพ่อไม่สามารถเพิกเฉยต่อแม่รองได้ นางกำลังทุกข์ทรมานอย่างมากกับการตั้งครรภ์บุตรคนนี้ นางยุ่งตลอดทั้งวัน ตอนนี้นางปวดท้องมากเจ้าค่ะ นางเรียกหาท่านพ่อตลอดเวลา”


แต่แน่นอนเสียงกรีดร้องของฮันชินั้น เฟิงจินหยวนที่อยู่หน้าเรือนก็ได้ยิน “ท่านพี่ ! ทำไมท่านพี่ไม่ต้องการข้า ข้ากำลังตั้งครรภ์บุตรของท่านพี่อยู่ ! ”


เฟิงจินหยวนกังวลเรื่องการได้ยิน เฟินไดถูกดึงไปตามเขาเข้าไปในห้องของฮันชิ ขณะเดินนางพูดว่า “หยุดตะโกน อย่าทำร้ายเด็กนะ” ในขณะเดียวกันเขาก็ถามเฟินไดว่า “เรียกหมอมาหรือยัง ? ”


เฟิงเฟินไดส่ายหัว “วันนี้เป็นวันแห่งการเฉลิมฉลอง การเชิญแพทย์มาที่คฤหาสน์เป็นความโชคร้ายนะเจ้าคะ ! ”


หญิงสาวคนหนึ่งที่อยู่ข้าง ๆ นั้นกล่าวอย่างรวดเร็ว “ไม่ใช่ว่ามีหมอหลวงมารักษาองค์หญิงรุ่ยเจียหรือเจ้าคะ ? ”


เฟิงเฟินไดดุนาง “ทำไมเจ้าพูดเช่นนี้ ? นางเป็นองค์หญิง เอาแม่รองฮันไปเปรียบเทียบกับนางได้อย่างไร?”


เมื่อได้ยินเช่นนี้ เฟิงจินหยวนก็ไม่มีความสุข “เด็กที่อยู่ในท้องของฮันชิคือเลือดเนื้อของข้า จะเปรียบเทียบไม่ได้อย่างไร รีบไปเรียกหมอมา ! ”


ในเวลานี้พวกเขาเดินไปที่เตียง และฮันชิก็คว้ามือของเฟิงจินหยวนทันทีว่า “ท่านพี่ ท่านไม่สามารถเรียกหมอได้ วันนี้เป็นวันแห่งการเฉลิมฉลองที่คฤหาสน์ อนุผู้นี้ไม่สามารถก่อเรื่องกับฮูหยินใหญ่ได้ ! ”


เมื่อนางพูดเช่นนี้ทำให้เฟิงจินหยวนสงสารนาง ในขณะที่เขาจับมือนางไว้ และพูดว่า “บุตรในท้องของเจ้ามีความสำคัญ หากคังอี้จะอยู่ที่นี่ นางก็จะให้เรียกหมอเข้ามา”


“ท่านพี่ ! ” น้ำตาของฮันชิเริ่มไหล “อนุผู้นี้คิดว่าเมื่อองค์หญิงเข้ามา อนุผู้นี้จะไม่ได้เห็นหน้าท่านพี่อีกแล้ว ท่านพี่…” ขณะที่นางพูดสิ่งนี้ นางเริ่มร้องไห้


นางร้องไห้ เฟิงเฟินไดก็เช็ดน้ำตาให้ “ท่านพ่อ แม่รองร้องไห้ตลอด 3-4 วันที่ผ่านมา ลูกสาวจะไม่ขออะไรอย่างอื่น ข้าจะขอให้ท่านพ่อมาเยี่ยมแม่รองที่เป็นอนุบ่อยกว่านี้ก่อนที่น้องของข้าจะคลอด เพียงแค่… ให้ถือว่ามันเป็นการดูแลน้องชายที่ยังไม่เกิดของข้านะเจ้าคะ”


เฟิงจินหยวนพยักหน้า “เป็นสิ่งที่ข้าควรทำ ข้าสัญญา ดังนั้นหยุดร้องไห้ได้แล้ว”


เขาพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อปลอบใจพวกเขา เมื่อบ่าวรับใช้อีกคนมารายงาน “ท่านใต้เท้า คุณหนูรองมาถึงแล้วเจ้าค่ะ”


“นางมาทำอะไรที่นี่ ? ” เฟิงเฟินไดกรอกตา ขณะที่ดวงตาของนางสว่างขึ้น


อย่างไรก็ตามเฟิงจินหยวนกล่าวว่า “นางมาทันเวลาพอดี ก่อนที่หมอจะมาถึง ให้นางตรวจมารดาของเจ้าก่อน เมื่อตรวจแล้วเราจะได้วางใจได้”


ฮันชิไม่เห็นด้วยกับการให้เฟิงหยูเฮงตรวจรักษา นางขณะที่นางร้องซ้ำ ๆ “ไม่ ข้าไม่ต้องการให้ใครมาตรวจข้า อนุผู้นี้ต้องการให้ท่านพี่อยู่กับข้าเท่านั้น ข้าไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว ! ”


ในเวลานี้เฟิงหยูเฮงได้เข้าไปในห้องแล้ว ในขณะที่เดินนางพูดว่า “แม่รองฮัน แม้ว่าเจ้าจะไม่คิดถึงตัวเอง เจ้าต้องพิจารณาเลือดเนื้อของตระกูลเฟิงที่อยู่ในท้องของเจ้า” ขณะที่นางพูดแบบนี้ นางก็หยุดอยู่ตรงหน้าพวกเขาแล้ว เมื่อมองที่เฟิงจินหยวน นางก็ถามว่า “ท่านพ่ออนุญาตให้ข้าตรวจหรือไม่เจ้าคะ ? ”


เฟิงจินหยวนปลอ่ยมือฮันชิ และเปิดทางให้เฟิงหยูเฮง


ฮันชิตื่นเต้นมาก ๆ เมื่อมองไปที่เฟิงหยูเฮง นางอยากจะหายตัวไปจากเตียงอย่างหมดหวัง อย่างไรก็ตามเฟิงหยูเฮงจับข้อมือนางแล้ว ดูเหมือนว่าจะไม่ใช้กำลังมาก แต่ฮันชิไม่สามารถเคลื่อนไหวได้แม้แต่น้อย นางได้แต่ยอมให้เฟิงหยูเฮงตรวจนาง


หลังจากนั้น เฟิงหยูเฮงกล่าวว่า “อารมณ์ของนางอ่อนไหวและนางเครียด นางวิตกกังวลมากไป และทารกในครรภ์ก็ไม่แข็งแรง”


“นั่นหมายความว่าอย่างไร ? ” เฟิงจินหยวนถามนาง“ ทารกในครรภ์ไม่แข็งแรง”


นางปล่อยข้อมือของฮันชิและกล่าวกับเฟิงจินหยวน “แม่รองฮันกำลังทุกข์ทรมานจากอาการป่วยทางจิต และความเครียดของนางส่งผลต่อทารกในครรภ์ เราจะต้องทำให้นางอารมณ์ดีให้มากที่สุด เพื่อให้ทารกแข็งแรง”


เมื่อได้ยินเช่นนี้ เฟินไดก็ตกตะลึง เฟิงหยูเฮงถึงช่วยพูดแทนฮันชิ ? ทำไม ?


นางไม่สามารถเข้าใจได้ แต่เมื่อนางได้ยินสิ่งที่ตามมา นางก็เข้าใจทันที ในขณะที่นางได้ยินเฟิงหยูเฮงกล่าวเพิ่ม “สภาพของแม่รองฮัน ท่านพ่อก็เห็นแล้ว สิ่งที่หญิงตั้งครรภ์ต้องการมากที่สุดคือความใส่ใจของสามี แต่ท่านพ่อไม่เพียงแต่ไม่ดูแลนาง ท่านพ่อยังพาฮูหยินคนใหม่เข้ามาในเวลานี้ แม่รองฮันจะทนรับได้อย่างไร”


เฟิงจินหยวนตื่นตกใจ จากนั้นเขาก็มองเฟิงหยูเฮงและถามนางว่า “ถ้าอย่างนั้นจะต้องทำอย่างไร ? มียาสำหรับอาการป่วยนี้หรือไม่?”


เฟิงหยูเฮงกล่าวว่า “วิธีที่ดีที่สุดคือไม่ทานยา ท่านพ่อควรจะอยู่เฝ้าอนุฮันในคืนนี้ บางทีอาการป่วยนี้จะดีขึ้นในเช้าวันพรุ่งนี้”


เฟินไดเข้าใจในทันที เฟิงหยูเฮงไม่ชอบคังอี้และบุตรสาวของนาง นางได้เฆี่ยนรุ่ยเจียอย่างไร้ความปราณีในระหว่างงานแต่งงาน และตอนนี้นางต้องการใช้ฮันชิทำลายเทียนมงคลในห้องเจ้าสาวของคังอี้ แต่นี่ก็ดี นี่จะเป็นการสอนบทเรียนให้กับองค์หญิงทั้งสองคนนั้น ต่อให้เจ้าเป็นองค์หญิงใหญ่แล้วอย่างไรล่ะ ?  เมื่อก้าวเข้ามาในตระกูลเฟิง นางก็ไม่สามารถวางก้าวได้


เฟิงจินหยวนรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่เหมาะสมและเขาต้องการกลับที่เรือนเทียนเซียง แต่ขาของเขาไม่ขยับไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น หลังจากคิดอีกเล็กน้อยแทนที่จะไปเผชิญหน้ากับฮูหยินที่รอบุตรสาวของนาง ฮันชิได้ให้เหตุผลที่เหมาะสมแก่เขา


ดังนั้นเขาพยักหน้า และพูดว่า “ได้ เพื่อความปลอดภัยของบุตรของตระกูลเฟิง คืนนี้ข้าจะอยู่ดูแลอนุฮันเอง” 

 

 


ตอนที่ 326

 

คืนนั้นเฟิงจินหยวนอยู่ที่เรือนยูหลาน


เมื่อข่าวนี้มาถึงเรือนเทียนเซียง คังอี้รอคอยอย่างมีความหวังว่าเฟิงจินหยวนจะกลับมาดื่มสุรามงคลสมรส นางหิวมาทั้งวันและยังไม่ได้กินอะไรเลย อาหารบนโต๊ะถูกอุ่นอีกครั้ง ในที่สุดมันก็กลับมาพร้อมกับข่าวที่ว่าเฟิงจินหยวนอยู่ที่เรือนยูหลาน


เซียชานบ่าวรับใช้พูดกับนางว่า “ข้าได้ยินมาว่าอนุฮันปวดท้องอย่างรุนแรงเจ้าค่ะ และเชิญท่านหมอไปรักษา บางทีท่านใต้เท้าอาจไม่สามารถปลีกตัวออกมาได้ ดังนั้น…”


“เขาควรจะทำเช่นนั้น” คังอี้มีความเข้าใจ และแสดงออกอย่างใจกว้าง “เหนือสิ่งอื่นใด บุตรชายเป็นคนสำคัญที่สุดเสมอ แม้ว่าท่านพี่จะกลับมาคืนนี้ ตราบใดที่มีอะไรเกิดขึ้นที่เรือนยูหลาน ข้าก็จะให้เขาไปดู” ในขณะที่พูดสิ่งนี้ นางเปลี่ยนชุดแต่งงานที่นางสวมใส่อยู่เป็นชุดปกติ จากนั้นนางก็รีบบอกบ่าวรับใช้ให้เตรียมยาบำรุงและพูดกับเซียชาน “เราไปดูกันเถิด ตอนนี้อนุฮันร่างกายอ่อนแอ ดังนั้นมันจะดีที่สุดถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้น”


เซียชานไม่ได้พูดอะไรเลย ตอนนี้คังอี้เป็นฮูหยินใหญ่ ดังนั้นนางย่อมมีสิทธิ์เป็นธรรมดา นอกจากนี้ฮูหยินผู้เฒ่ายังสั่งให้เซียชานมาดูแลคังอี้เพื่อสังเกตชีวิตประจำวันของนาง ตอนนี้นางทำได้ดีมาก


ยาบำรุงในเรือนเทียนเซียงก็ถูกเตรียมขึ้นอย่างรวดเร็ว และคังอี้ไม่ได้นำคนไปมาก นางพาเซียชาน และบ่าวรับใช้อีก 2 คนที่มาจากเฉียนโจวไปด้วย ทั้งสี่รีบไปที่เรือนของฮันชิ


เนื่องจากมีหิมะตกในระหว่างวันถนนจึงลื่นมาก ในที่สุดเมื่อพวกเขามาถึงเรือนยูหลานด้วยความยากลำบาก พวกเขาพบว่าเรือนมืดไปแล้ว ไม่มีแสงไฟแม้ดวงเดียว


บ่าวรับใช้ที่คอยเฝ้าดูพวกเขาและทำความเคารพอย่างรวดเร็ว คังอี้สับสนและถามว่า “อนุฮันไม่สบายไม่ใช่หรือ ? ข้าควรมาดูนาง” เมื่อนางแต่งงานกับตระกูลเฟิง นางไม่ได้พูดแทนตัวเองว่า “ข้าผู้นี้” อีกต่อไป


บ่าวรับใช้ที่คอยเฝ้าดูอยู่นั้นไม่สบายใจเมื่อได้ยินเรื่องนี้ หลังจากไตร่ตรองนิดหน่อย ในที่สุดนางก็ตอบว่า “เรียนท่านฮูหยินใหญ่ ตอนนี้อนุฮันรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย แต่อารมณ์ของนางยังไม่มั่นคงเจ้าค่ะ ตอนนี้ท่านใต้เท้านอนที่เรือนเพื่อดูแลนาง  หากท่านฮูหยินใหญ่จะเข้าไปตอนนี้… ข้ากลัวว่าจะไม่เหมาะสมเจ้าค่ะ”


คังอี้ตกตะลึง เขานอนแล้ว นี่เป็นคำเยาะเย้ยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เป็นไปได้อย่างแท้จริงสำหรับฮูหยินคนาใหม่ที่แต่งเข้ามาในคฤหาสน์ เจ้าบ่าวเลือกที่จะนอนในห้องของอนุ สถานการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร ? ตอนแรกนางต้องการที่จะมาดูก่อนที่จะพาเฟิงจินหยวนกลับไป แต่ตอนนี้เขานอนแล้ว ถ้านางเข้าไปปลุกเขาขึ้นมา นั่นจะเป็นความผิดของนาง เมื่อฮันชิได้รับความตกใจ แล้วนางเกิดเป็นอะไรขึ้นมา นางจะกลายเป็นคนผิดทันที นางทนไม่ได้ !


คังอี้ไตร่ตรองมาพักหนึ่งเรียกสติกลับมา “เช่นนั้นก็ช่วยไม่ได้ ข้านำยาบำรุงมา เก็บไว้ก่อน พรุ่งนี้เช้าอย่าลืมบอกท่านพี่ว่าข้าจะมาเยี่ยม”


“เจ้าค่ะ ! ” บ่าวรับใช้รับยาบำรุงอย่างรวดเร็วและขอบคุณคังอี้ซ้ำ ๆ หลังจากส่งคังอี้กลับไป บ่าวรับใช้ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก สถานการณ์แบบนี้คืออะไร ? โชคดีที่ฮูหยินใหญ่ไม่โกรธ มิฉะนั้นอาจจะไม่มีความสงบสุขในคืนนี้


ในวันแต่งงานคังอี้ยังคงอยู่ในห้องว่างคนเดียว อย่างไรก็ตามนางไม่มีข้อร้องเรียนใด ๆ นางพูดกับเซียชาน “อย่าบอกท่านแม่เกี่ยวกับเรื่องนี้ เพื่อไม่ให้นางเครียด”


ในเช้าวันรุ่งขึ้นเฟิงจินหยวนเดินทางตรงจากเรือนเทียนเซียงไปยังราชสำนัก ฮ่องเต้ให้เขาลางาน 5 วัน แม้กระนั้นเขาไม่ได้หยุดวันเดียว


แต่ในวันนี้ก็เป็นวันที่ฮูหยินคนใหม่จะยกน้ำชาให้ฮูหยินผู้เฒ่า คังอี้เปลี่ยนเสื้อผ้าที่สะอาดในตอนเช้า จากนั้นก็ไปที่เรือนซูหยาพร้อมกับบ่าวรับใช้ของนาง


ในเวลาเดียวกันกับฮูหยินคนใหม่ที่ยกน้ำชาให้ฮูหยินผู้เฒ่า และอนุก็ต้องยกน้ำชาให้ฮูหยินใหญ่คนใหม่ นั่นเป็นเหตุผลที่เมื่อคังอี้มาถึง อันชิ ฮันชิ และจินเฉินก็อยู่ในห้องโถงแล้ว เมื่อพวกเขาเห็นคังอี้เข้ามา พวกเขาทั้งหมดก็ลุกขึ้นยืน


คังอี้รีบไปประคองฮันชิอย่างรวดเร็ว โดยพูดด้วยความกังวลว่า “ร่างของน้องสาวมีความสำคัญ ข้าไม่สามารถรับการคำนับนี้ได้ นั่งเร็ว” ในขณะที่พูดสิ่งนี้ ใบหน้าของนางสงบและมีเกียรติ


สีหน้าของฮันชิวันนี้ดีมาก ใบหน้าของนางเป็นสีดอกกุหลาบและเงางาม เมื่อได้ยินคำพูดของคังอี้ นางเปิดเผยถึงความเขินอายเล็กน้อย เมื่อคังอี้ช่วยนางนั่งลง นางก็รู้สึกสบายใจขึ้น แต่ทัศนคติของคังอี้นั้นยอดเยี่ยมมาก นางไม่เพียงช่วยฮันชินั่งลงเท่านั้น นางยังพูดอย่างใจดีกับนางด้วยว่า “ข้าไม่รู้จะช่วยยังไง นับจากวันนี้เป็นต้นไปหากเจ้าต้องการอะไรเจ้าต้องบอกข้า ตอนนี้เราเป็นครอบครัวเดียวกัน เราต้องดูแลบุตร ๆ ของตระกูลเฟิงด้วยกัน”


ฮูหยินผ็เฒ่าดูการกระทำและการแสดงออกของคังอี้ และนางก็พอใจมาก นางพยักหน้าซ้ำ ๆ


เมื่อเห็นว่าฮันชินั่งลงแล้ว คังอี้ก็ปล่อยมือไปในที่สุด เมื่อกลับไปที่กลางห้องโถง นางได้รับน้ำชาจากบ่าวรับใช้และก้าวไปข้างหน้าอย่างใจเย็น คุกเข่าต่อหน้าฮูหยินผู้เฒ่า “ลูกสะใภ้ยกน้ำชาให้ท่านแม่ เมื่อแต่งงานกับตระกูลเฟิง ข้าก็กังวลกับเรื่องของตระกูลเฟิงเท่านั้น ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปคังอี้ไม่ได้เป็นองค์หญิงใหญ่ของเฉียนโจวอีกต่อไป ข้าจะเป็นแค่ลูกสะใภ้ที่ดูแลท่านแม่” พูดอย่างนี้นางยกถ้วยชาขึ้นเหนือหัวนางแล้วก้มลงเล็กน้อย


โต๊ะของฮูหยินผู้เฒ่าสูงเกิน แม้ในความฝันของนางก่อนหน้านี้นางไม่เคยคิดเลยว่าจะมีวันหนึ่งที่องค์หญิงใหญ่ของเฉียนโจวจะพูดกับนางเช่นนี้ และนางก็เรียกมารดา ความเคารพแบบนี้ไม่ว่าจะมีการพูดกันว่า เป็นเรื่องที่ได้หน้าอย่างมาก !


นางยิ้มและรับถ้วยชา นางจิบนางวางมันไว้บนโต๊ะแล้วไปช่วยคังอี้ นางชื่นชมนางซ้ำ ๆ “เจ้าเข้าใจจริง ๆ”


“ขอบคุณท่านแม่สำหรับคำชมเจ้าค่ะ” คังอี้ได้ละทิ้งสถานะองค์หญิงใหญ่ของนางอย่างสมบูรณ์ ด้านหน้าฮูหยินผู้เฒ่า นางทำตัวเหมือนคนธรรมดา และนี่เองที่ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่ารู้สึกร่าเริง


“ข้าได้ยินเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้” ฮูหยินผู้เฒ่ารอคังอี้นั่งข้างนางแล้ว พูดต่อ “ฮันชิกำลังตั้งครรภ์ ดังนั้นจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่นางจะทำตัวไม่ดี อย่าลดระดับตัวเองลง” พูดอย่างนี้นางจ้องไปที่ฮันชิพลางเอ่ยว่า “เฟิงจินหยวนเป็นห่วงเด็กในท้องของนาง และเขาก็ไม่ได้รบกวนเจ้า เจ้าอย่าใส่ใจเลย”


คังอี้พูดอย่างรวดเร็ว “ท่านแม่พูดอะไรแบบนี้เจ้าค่ะ การปกป้องบุตรของตระกูลเฟิงเป็นภารกิจที่สำคัญที่สุดของลูกสะใภ้ ลูกสะใภ้เป็นฮูหยินใหญ่ของตระกูลเฟิง เด็กในท้องของน้องสาวฮันนั้นเหมือนกับบุตรของข้า แม้ว่าสามีไม่ได้ไปด้วยตัวเอง คังอี้ก็จะไปดูแลนางเจ้าค่ะ แต่ข้าไม่คิดที่จะทำให้ท่านต้องกังวลเจ้าค่ะ”


ฮูหยินผู้เฒ่ายิ้มและกล่าวว่า “คิดแบบนี้ก็ดี ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด เมื่อเด็กคนนั้นเกิดมาก็ต้องเรียกเจ้าว่ามารดาและจะต้องพึ่งพาเจ้า ไม่ใช่แค่เด็กที่ยังไม่เกิด แต่ยังรวมถึงคุณหนูคนอื่น ๆ ด้วย”


“ลูกสะใภ้จะยึดถือคำสอนของท่านแม่ ข้าจะปฏิบัติต่อบุตรของตระกูลเฟิงอย่างดีเจ้าค่ะ” คังอี้ยิ้ม และสัญญา


เมื่อเห็นว่าทัศนคติของนางดี ฮูหยินผู้เฒ่าก็วางใจ จากนั้นนางก็จ้องมองที่อนุก่อนพูดกับคังอี้ “นั่งลง ให้พวกเขายกน้ำชาให้เจ้า”


คังอี้ลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว เมื่อบ่าวรับใช้นำชามาให้อนุทั้งสามคน หลังจากที่ทั้งสามได้รับชาพวกเขาก็เดินไปที่คังยี่และกำลังจะคุกเข่า คังอี้พูดว่า “ไม่จำเป็นต้องคุกเข่า ร่างกายของน้องสาวฮันเป็นสิ่งสำคัญ ไม่จำเป็นต้องคุกเข่า แค่เทชาก็เพียงพอแล้ว”


ทั้งสามมองไปที่ฮูหยินผู้เฒ่าและเห็นนางพยักหน้า เมื่อนั้นพวกเขาก็ทำตามที่คังอี้กล่าวโดยโค้งคำนับเล็กน้อยและยกน้ำชาขณะยืน


หลังจากอนุยกย้ำชาของนางเสร็จแล้วก็ถึงเวลาที่เด็ก ๆ จะทักทายมารดา เนื่องจากพวกเขาได้ทำพิธีไปแล้วเมื่อวันก่อน พวกเขาจึงต้องคำนับง่าย ๆ และไม่มีพิธีกรรม เฟิงหยูเฮงยืนอยู่ในกลุ่ม พูดอย่างสุภาพกับคังอี้ ทุกอย่างดูเหมือนจะสงบมาก


เมื่อได้รับความเคารพก็ปรากฏว่าเฟิงหยูเฮงไม่ทำให้นางเดือดร้อน คังอี้ลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอกเล็กน้อย นางกลัวอย่างแท้จริงว่าเฟิงหยูเฮงจะทำอะไรซักอย่าง ทุกอย่างดีแต่นางกังวลว่ามันจะทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าที่จะรู้สึกหงุดหงิด


เมื่อเห็นทุกคนนั่งลง ฮูหยินผู้เฒ่าก็ถามฮันชิ “วันนี้เจ้ารู้สึกดีขึ้นหรือไม่ ? ”


ฮันชิยิ้มและพยักหน้า “วันนี้ข้าดีขึ้นมากแล้วเจ้าค่ะ คุณหนูรองพูดถูก อารมณ์ของข้าในขณะตั้งครรภ์นั้นไม่มั่นคง และข้าต้องการให้สามีนอนข้างข้าเพื่อดูแลเจ้าค่ะ”


“หึ ! ” ฮูหยินผู้เฒ่าโกรธ “เจ้าพูดเรื่องเหลวไหลในตอนเช้า ? พลังงานหยินจะมาจากไหน ? ”


ฮันชิปิดปากนาง อย่างไรก็ตามเฟิงเฟินไดก็กล่าวว่า “อนุฮันพูดถูกเจ้าค่ะ ตอนนี้ท่านพ่อเป็นคนเดียวในคฤหาสน์ เรือนด้านในทั้งหมดมีแต่ผู้หญิง แน่นอนว่าจะมีพลังงานหยินจำนวนมาก อนุฮันกำลังตั้งครรภ์ ดังนั้นนางจะเป็นคนที่อ่อนไหวกับเรื่องนี้มากที่สุด”


ฮูหยินผู้เฒ่าต้องการที่จะดุเฟิงเฟินได แต่เมื่อนางคิดดูที่เฟิงเฟินไดพูดมาก็มีเหตุผล หากสิ่งนี้อยู่ภายใต้สถานการณ์ปกติ สิ่งนี้จะไม่เป็นปัญหาอีกต่อไป ฮันชิตั้งครรภ์ ดังนั้นการที่เฟิงจินหยวนอยู่กับนาง นางก็สบายดี อย่างไรก็ตามเฟิงจินหยวนและคังอี้เพิ่งแต่งงานกัน การนอนในห้องอนุในคืนวันแต่งงานนั้นไม่มีเหตุผล เป็นไปได้ไหมว่าเขาจะต้องอยู่กับฮันชิจนกว่านางจะคลอด ?


เมื่อมองที่เฟิงเฟินไดและฮันชิ เฟิงเฉินหยูก็โกรธด้วย นางไม่เข้าใจจริง ๆ เฟิงเฟินไดกำลังเล่นอะไรอยู่ นางพูดถึงประโยชน์ของการให้คังอี้เข้ามาในคฤหาสน์ ดังนั้นทำไมน้องสี่คนนี้ถึงไม่ฟังบ้าง ?


นางขมวดคิ้วและไตร่ตรองสักครู่ก่อนที่ดวงตาของนางจะเป็นประกายขึ้นโดยกล่าวว่า “ในช่วงงานเลี้ยงเมื่อวานนี้ข้าเห็นว่าองค์ชายห้าเสด็จมา บางครั้งองค์ชายจะมองไปที่น้องสี่ คิดดูสิว่าเขาไม่สามารถลืมมันได้ ก่อนหน้านี้คฤหาสน์ของเราไม่มีใครที่จะช่วยตัดสินใจเรื่องการแต่งงานให้กับน้องสี่ของเรา ตอนนี้มันแตกต่างกันเพราะตอนนี้เรามีท่านแม่มาช่วยสนับสนุนเรา น้องสี่ ถ้าเจ้ามีเรื่องอะไร เจ้าต้องจำไว้ว่าเจ้าควรบอกท่านแม่เกี่ยวกับเรื่องนี้”


นางใช้เรื่องนี้เพื่อเตือนสติเฟิงเฟินได และในที่สุดก็สามารถดึงดูดความสนใจของนางได้ในขณะที่นางปิดปาก เมื่อนางพูดอีกครั้ง นางก็ล้มเลิกสิ่งที่นางพูดไปก่อนหน้านี้ “ข้าได้ยินมาว่าการบูชาพระพุทธรูปสามารถปกป้องความสงบสุขได้ ดังนั้นเฟิงเฟินไดจึงคิดว่าที่ท่านพ่อมาอยู่กับอนุจะไม่สมเหตุผลเสมอไป วิหารของครอบครัวเรามีพระพุทธรูปไม่ใช่หรือ ? เราสามารถนำไปไว้ที่เรือนยูหลานของเราเพื่อเป็นที่เคารพได้หรือไม่ ? เอาไว้ให้อนุฮันกราบไหว้เป็นการส่วนตัว ประการแรกมันจะช่วยสงบอารมณ์ของอนุฮัน และประการที่สองมันจะช่วยรักษาความสงบสุขของคฤหาสน์”


ฮูหยินผู้เฒ่ารู้ว่าเฟิงเฉินหยูพูดช่วย แม้ว่านางจะพูดถึงองค์ชายห้าซึ่งทำให้นางรู้สึกไม่มีความสุขเล็กน้อย ถ้านางไม่พูดถึงเขา เฟิงเฟินไดจะไม่หยุดแน่นอน ไม่ว่าในกรณีใดเฟิงจินหยวนก็เป็นอิสระ ดังนั้นฮูหยินผู้เฒ่าพยักหน้าเห็นด้วย “มีเจ้าแม่กวนอิมหยก ข้าจะให้ยายจาวนำไปให้ ! ”


คังอี้มองเฟิงเฉินหยูอย่างสุดซึ้ง แล้วจึงพูดกับเด็ก ๆ ว่า “พวกเจ้าเรียกข้าว่าท่านแม่ ข้าจะรับหน้าที่รับผิดชอบในการเป็นมารดาของเจ้า ในอนาคตไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น มาบอกข้าเกี่ยวกับเรื่องนี้ ในใจของข้า พวกเจ้าและรุ่ยเจียต่างมีน้ำหนักเท่ากันและเหมือนกัน”


ฮูหยินผู้เฒ่ารู้สึกว่านี่เป็นคำพูดที่ดีมาก ขณะที่นางชื่นชมมันซ้ำ ๆ จากนั้นนางก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาและพูดว่า “ก่อนหน้านี้ครอบครัวไม่มีฮูหยินใหญ่ ดังนั้นการดูแลคฤหาสน์ข้าจึงเป็นคนจัดการ ตอนนี้คังอี้มาแล้ว ข้าจะมอบหน้าที่นี้ให้เจ้าจัดการต่อ ข้าจะปล่อยเรื่องของคฤหาสน์ให้เจ้าจัดการ ! ”


เมื่อได้ยินสิ่งนี้ คังอี้ก็โบกมือของนางซ้ำ ๆ และพูดว่า “ท่านแม่ ข้าไม่กล้าเจ้าค่ะ ! ” เมื่อเห็นว่าฮูหยินผู้เฒ่ามีใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัย นางอธิบาย “คังอี้มาจากเฉียนโจว และข้าไม่เคยอยู่ราชวงศ์ต้าชุนมาก่อน ข้าไม่เข้าใจสถานการณ์ของราชวงศ์ต้าชุนและข้าไม่รู้ว่าอะไรดี ข้ายังไม่เข้าใจในสิ่งที่มีค่าใช้จ่ายจริง ๆ แล้วข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอาหารประเภทใดที่ผู้คนในราชวงศ์ต้าชุนทานกัน ท่านแม่ ลูกสะใภ้ไม่กล้าจัดการเรื่องของคฤหาสน์เจ้าค่ะ”


ฮูหยินผู้เฒ่าที่ไม่เต็มใจที่จะมอบการควบคุมดูแล ตอนนี้นางได้ยินคังอี้พูดแบบนี้ นางรู้สึกว่ามันสมเหตุสมผลมาก ดังนั้นนางจึงพยักหน้าแล้วพูดว่า “ไม่เป็นไร เจ้าก็มาเรียนรู้จากข้าก่อน เมื่อเจ้าคุ้นเคยกับการจัดการสิ่งต่าง ๆ ข้าจะปล่อยให้เจ้าจัดการ ! ”


หลังจากพูดแบบนี้ นางเห็นบ่าวรับใช้วิ่งเข้ามาอย่างรีบเร่ง หลังจากคำนับทุกคน เขาพูดด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวล “รายงานฮูหยินผู้เฒ่าและท่านฮูหยินใหญ่ องค์ชายเก้าเสร็จมาที่คฤหาสน์…” 

 

 


ตอนที่ 327

 

ฮูหยินผู้เฒ่าเพิ่งนำถ้วยชาของนางไปจ่อที่ปากของนางและกำลังจิบชา เมื่อได้ยินคำพูดของบ่าวรับใช้ ชาที่จิบก็เข้าไปถูกพ่นออกมาทันทีทำให้นางเกือบหายใจไม่ออก


“องค์ชายเก้า ? พระองค์มาทำอะไร ? ” องค์ชายเก้ามาเยี่ยม ลิ้นของทุกคนในตระกูลเฟิงก็เริ่มแข็ง พวกเขาเริ่มพูดติดอ่าง


แม้แต่คังอี้ก็กังวลเล็กน้อย นางอดไม่ได้ที่จะมองไปที่เฟิงหยูเฮงคิดกับตัวเองว่าไม่น่าแปลกใจที่นางสงบสติก่อน มันเป็นความสงบก่อนพายุจะมา !


“ท่านฮูหยินผู้เฒ่าเจ้าคะ” เมื่อเห็นว่าทุกคนในห้องประหลาดใจ ไม่ตอบสนอง บ่าวรับใช้จึงวิตกกังวลรีบเตือนทุกคน “องค์ชายองค์ที่เก้ากำลังรออยู่ที่ลานหน้าบ้านเจ้าค่ะ”


คนแรกก็คือเฟิงหยูเฮงที่ยืนขึ้นก่อนแล้วกล่าว “ทำไมไม่เชิญองค์ชายมานั่งในห้องโถง ? วันนี้อากาศหนาว ทำไมถึงให้พระองค์รออยู่ข้างนอก ? ”


บ่าวรับใช้ตัวสั่นก่อนที่จะตอบ “ข้าไม่รู้ว่าพระองค์เสด็จมาที่ห้องโถงหรือไม่ แต่เมื่อพระองค์เสด็จมาถึงคฤหาสน์แล้ว พระองค์ก็ตรัสว่าพระองค์จะไปที่ลานหน้าบ้านเจ้าค่ะ”


เฟิงหยูเฮงพยักหน้า “พระองค์ได้บอกหรือไม่ว่ามาทำอะไร ? ”


บ่าวรับใช้ตอบ “พระองค์บอกว่า… พระองค์มาเพื่อระบายความโกรธแทนคุณหนูรองเจ้าค่ะ”


เคร้ง !


มือของฮูหยินผู้เฒ่าสั่น และปล่อยให้ถ้วยชาตกพื้น


ระบายความโกรธแทนคุณหนูรอง ? เฟิงหยูเฮงไม่ได้ระบายด้วยตัวเองแล้วหรือ ? นางตีรุ่ยเจียขนาดนั้น แต่ก็ยังไม่พอหรือ ? องค์ชายหยูมาเพื่อสร้างปัญหาอะไรอีก ฮูหยินผู้เฒ่ากำลังใช้ความคิด แต่นางไม่กล้าพูดอะไรแบบนี้ คังอี้ใช้ความคิดริเริ่มที่จะไปช่วยนางแล้วกล่าวว่า “องค์ชายมาเยี่ยมเรา เราควรออกไปต้อนรับพระองค์นะเจ้าคะ ! ”


เฟิงหยูเฮงยิ้มแล้วกล่าวว่า “ท่านแม่พูดถูกเจ้าค่ะ”


สมาชิกในตระกูลเฟิงเดินไปที่ลานหน้าบ้านอย่างประหม่า และเห็นซวนเทียนหมิงรายล้อมไปด้วยองครักษ์ที่อยู่ตรงกลางของสนาม ชายคนนั้นยังคงสวมเสื้อคลุมสีม่วงและนั่งในรถเข็น ดูเหมือนว่าหน้ากากทองคำบนใบหน้าของเขาเป็นอันใหม่เพราะมันเงางามกว่าเมื่อก่อน ด้านหลังของเขามีทหารองครักษ์ยืนอยู่ และพวกเขาทุกคนถือหีบใหญ่หลายใบมาวางไว้กลางลาน พวกเขาทุกคนดูจริงจังและน่ากลัวมาก


ฮูหยินผู้เฒ่าและคังอี้ต่างก็ก้าวไปข้างหน้านำทุกคนในตระกูลเฟิงคุกเข่าและคำนับ คังอี้ไม่คุ้นเคยกับการทำพิธีนี้อย่างชัดเจน นับตั้งแต่ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันของเฉียนโจวดำรงตำแหน่ง นางไม่ต้องไปคุกเข่าและคำนับใครเลย แม้ในวันแรกของปีใหม่เมื่อนางได้พบกับฮ่องเต้ นางก็ไม่ได้ทำคุกเข่าคำนับ แต่ตอนนี้สถานะของนางแตกต่าง นางเป็นฮูหยินของตระกูลเฟิง ในเมื่อฮูหยินผู้เฒ่าคุกเข่าแล้ว มันก็จะไม่เหมาะสมถ้านางไม่ทำ ดังนั้นนางจึงคุกเข่าพร้อมกับฮูหยินผู้เฒ่า


ทุกคนกำลังจะคุกเข่าแต่ซวนเทียนหมิงไม่ได้สังเกตเห็น เพราะเขาโบกมือให้เฟิงหยูเฮงและเรียกนางมา จากนั้นเขาก็จับนางพลิกไปมาสองสามครั้งก่อนที่จะพูดว่า “ไม่เลว เจ้าไม่ได้รับบาดเจ็บ”


เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ขมับของคังอี้ก็เริ่มเต้นตุบ ๆ เฟิงหยูเฮงทำร้ายคนอื่น ดังนั้นนางจะได้รับบาดเจ็บได้อย่างไร ?


ในขณะที่นางเริ่มขมวดคิ้ว ในที่สุดซวนเทียนหมิงก็เริ่มให้ความสนใจกับคนในตระกูลเฟิงในขณะที่เขาพูดว่า “องค์ชายคนนี้ได้ยินว่าในวันแต่งงานของเสนาบดีเมื่อวานนี้ อาเฮงของเราโกรธมาก” ในขณะที่บีบแส้ในมือของเขา เสียงเย็นของเขาทำให้พวกเขาสั่น “ท่านฮูหยินผู้เฒ่าเฟิง” เขาเริ่มต้นเรียกชื่อและทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าล้มลง “ท่านช่วยบอกองค์ชายคนนี้ทีว่าใครเป็นคนรังแกอาเฮงของเรา”


ฮูหยินผู้เฒ่ากลัวมากนางตัวแข็งทื่อ นางจะพูดได้ยังไง นางคุกเข่าและสั่นอยู่ตรงนั้น


เฟิงหยูเฮงจ้องมองที่ซวนเทียนหมิงเล็กน้อยแล้วพูดอย่างช่วยไม่ได้ “ท่านย่าแก่แล้ว ทำไมท่านต้องข่มขู่นางด้วย ? ” จากนั้นนางก็มองคังอี้และเกาคางของนาง “ถามคนอื่นเถิดเจ้าค่ะ” หลังจากพูดอย่างนี้นางจึงเดินเข้าไปช่วยฮูหยินผู้เฒ่า “ท่านย่าลุกขึ้นเถิดเจ้าค่ะ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับท่านย่า ท่านย่าไม่จำเป็นต้องกลัว”


หลังจากที่ฮูหยินผู้เฒ่ายืนขึ้น นางมองเฟิงหยูเฮงด้วยความว่างเปล่า และอยากถามว่าถ้านางไม่ต้องกลัว แล้วใครที่ควรจะกลัว ? มันเป็นคังอี้หรือเปล่า ?


นางได้ยินเสียงซวนเทียนหมิงพูดขึ้นมาอีกครั้งถามคังอี้โดยตรง “เนื่องจากตระกูลเฟิงมีฮูหยินใหญ่คนใหม่ องค์ชายผู้นี้จะถามฮูหยิน เกิดอะไรขึ้นระหว่างงานแต่งงานเมื่อวานนี้ ? ”


หัวของคังอี้รู้สึกมึนงง เมื่อนางเริ่มนึกถึงข่าวลือที่เกี่ยวกับซวนเทียนหมิง แต่เนื่องจากเขาถามมาแล้ว นางไม่สามารถเลือกที่จะไม่ตอบได้ คังอี้ไตร่ตรองเล็กน้อยแล้วเงยหน้าขึ้น อย่างไรก็ตามนางยังคงคุกเข่าอยู่บนพื้นขณะที่นางพูดกับซวนเทียนหมิง “เป็นเพราะบุตรสาวของหม่อมฉันขาดวินัย นางบอกว่ามีบางสิ่งที่ทำให้องค์หญิงแห่งมณฑลอารมณ์เสีย เมื่อได้รับการสั่งสอนจากองค์หญิงแห่งมณฑล ข้าเชื่อว่าต้องขอบคุณบทเรียนนี้ อารมณ์ของบุตรสาวของข้าจะดีขึ้นอย่างแน่นอน เนื่องจากนางได้รับการอบรมสั่งสอนอย่างจริงใจ และจะเป็นพี่สาวที่ดีให้กับองค์หญิงแห่งมณฑล”


“โอ้ ? ” ซวนเทียนหมิงมองนางด้วยสายตาเย็นชา “ท่านกำลังบอกองค์ชายว่าองค์หญิงแห่งมณฑลจี่อันได้ระบายความโกรธของนางแล้ว ดังนั้นองค์ชายองค์นี้จึงไม่ควรมาทำสิ่งที่ไม่จำเป็นในวันนี้หรือ”


“หม่อมฉันไม่ได้หมายความเช่นนั้นเพคะ” คังอี้รู้สึกว่าซวนเทียนหมิงยากที่จะรับมืออย่างแท้จริง และนางรู้สึกว่าเขาไม่น่าจะมาเพื่อแก้แค้น นางจึงอดไม่ได้ที่จะกล่าวว่า “องค์ชายใหญ่ได้พารุยเจียเข้าพระราชวังเพื่อสอนมารยาท ท่านพี่ก็ไปราชสำนักและยังไม่ได้กลับมา องค์ชายทรงนำทหารองครักษ์จำนวนมากมา องค์ชายต้องการสนทนากับท่านพี่ใช่หรือไม่เพคะ ? ไม่เช่นนั้นองค์ชายคงจะเสด็จมา เข้าไปนั่งในห้องโถงก่อนเพคะ”


ทุกครั้งในตระกูลเฟิงก็สั่นด้วยความกลัว ฮูหยินผู้เฒ่าคิดแค่ว่าปากของคังอี้พูดเรื่อยเปื่อย นางจะสามารถเข้าใจสถานการณ์ในราชวงศ์ต้าชุนหรือไม่ ?


อย่างไรก็ตามซวนเทียนหมิงก็เริ่มหัวเราะ ราวกับว่าเขาได้ยินเรื่องตลกขบขัน ขณะที่เขาชี้ไปที่คังอี้ และกล่าวว่า “ท่านกำลังบอกว่าองค์ชายคนนี้มาถึงคฤหาสน์ในขณะที่เฟิงจินหยวนไม่อยู่ ข้ามารังแกคนแก่และคนอ่อนแอ และข้าไร้มารยาทมากใช่หรือไม่ ? ” เขาพูดอย่างนี้ในขณะที่หัวเราะ ต่อมาเขาก็ส่ายหน้า “มารยาทเป็นสิ่งที่องค์ชายองค์นี้ไม่รู้จักตั้งแต่วันที่ข้าเกิด องค์ชายองค์นี้รู้ว่ามีคนทำให้ว่าที่พระชายาของข้ามีปัญหาและทำให้นางรู้สึกไม่มีความสุข วันนี้องค์ชายมาที่ตระกูลเฟิงเพื่อขอคำอธิบาย”


คังอี้ก็เต็มไปด้วยความโกรธ เมื่อพูดถึงเรื่องนี้นางจำได้ที่ว่ารุยเจียมีเลือดไหลออกมา นางทั้งโกรธและเศร้า และนางอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “เมื่อวานบุตรสาวของหม่อมฉันทำผิดระหว่างงานแต่งงาน และองค์หญิงแห่งมณฑลจี่อันก็ลงโทษนางแล้ว ! ”


ซวนเทียนหมิงเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า “อาเฮงลงโทษนางเพราะนางดูถูกองค์ชายผู้นี้ ข้ามาที่นี่วันนี้เพื่อมาเก็บหนี้ที่ทำอาเฮงโกรธ นี่เป็นสองเรื่องที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง พวกมันจะคิดรวมกันได้อย่างไร นอกจากนี้ท่านควรขอบคุณที่อาเฮงที่แค่ตีสั่งสอน ถ้าเป็นข้า บุตรสาวของท่านก็คงจะได้พบกับพญายมมานานแล้ว”


คำสองคำที่ปรากฏอยู่ในใจของสมาชิกของตระกูลเฟิง : ไร้เหตุผล !


องค์ชายเก้าผู้นี้เคยมีเหตุผลซักครั้งหรือไม่


ใครจะรู้ว่าซวนเทียนหมิงอ่านใจของพวกเขาออก ในขณะที่เขาดูท่าทางของทุกคนในตระกูลเฟิง และพูดจริง ๆ ว่า “พวกเจ้ารู้สึกว่าองค์ชายผู้นี้ไร้เหตุผลใช่หรือไม่ ? ”


สมาชิกของตระกูลเฟิงต่างก็ส่ายหัวโดยไม่มีใครกล้าตอบ อย่างไรก็ตามเฟิงหยูเฮงพูดขึ้นว่า “นั่นเป็นไปได้อย่างไร ภายใต้สวรรค์ ใครบ้างที่ไม่รู้ว่าพระองค์เป็นบุคคลที่มีเหตุผลมากที่สุด”


จริงหรือ ?


สมาชิกของตระกูลเฟิงมองหน้ากัน ถ้าจะบอกว่าซวนเทียนหมิงนั้นมีเหตุผลแล้ว นั่นไม่ใช่ข้อโต้แย้งที่เลวร้ายที่สุดในโลกหรอกหรือ ? นับตั้งแต่องค์ชายคนนี้เกิดมา เขาเคยมีเหตุผลหรือ ? มันไม่ใช่แค่เขา นอกจากนี้ยังมีมารดาของเขา พระชายาหยุน และว่าที่พระชายาของเขาคือเฟิงหยูเฮง เมื่อใดกันที่พวกเขามีเหตุผล ?


คังอี้จ้องมองเฟิงหยูเฮง และรู้สึกว่าทั้งสองคนนี้เป็นคู่ที่เหมาะสมจริง ๆ ความสามารถของพวกเขาในการพูดเรื่องไร้สาระด้วยใบหน้านิ่ง  ๆ ไม่มีใครเทียบได้ในโลกนี้


“ถ้าเช่นนั้นองค์ชายก็หมายความว่า…” คังอี้ไม่อยากอ้อมค้อม ทั้งสองวิธีไม่สามารถแก้ไขปัญหานี้ได้ มันจะเป็นการดีกว่าถ้าให้เขาพูดสิ่งที่ต้องการ


คังอี้พร้อมที่จะเสี่ยง แต่สมาชิกของตระกูลเฟิงกลัว ! ถ้าเขาต้องการที่จะเฆี่ยนสมาชิกของตระกูลเฟิงทุกคนล่ะ ? พวกเขาจะทำอย่างไร


เช่นเดียวกับทุกคนในตระกูลที่กำลังสั่น ซวนเทียนหมิงหันรถเข็นของเขาและย้ายไปที่ด้านข้างของเฟิงหยูเฮง เขาจับมือของนางออกมาจากมือของฮูหยินผู้เฒ่า และจับมือเล็ก ๆ ของนางไว้ ในที่สุดเขาก็พูดขึ้นว่า “องค์ชายผู้นี้ไม่มีความตั้งใจใด ๆ หญิงสาวที่ทำให้อาเฮงโกรธ นางคงไม่สามารถทนต่อองค์ชายผู้นี้ได้ ดังนั้นองค์ชายคนนี้จะยกโทษให้นางในตอนนี้”


เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ดวงตาของคังอี้ก็เป็นประกายสดใสขึ้นมา นางรีบกล่าว “ขอบพระทัยองค์ชายเพคะในการยกโทษตายให้”


“อ่า” ซวนเทียนหมิงยอมรับเสียงของนางอย่างเป็นธรรมชาติ อย่างไรก็ตามจากนั้นเขาก็พูดว่า “แต่ถึงแม้ว่าโทษตายจะยกเว้น แต่โทษเป็นยังอยู่ ! ”


คังอี้ตกใจ “โทษเป็น”


“ใช่แล้ว” ซวนเทียนหมิงเปล่งเสียงของเขา เสียงขี้เกียจที่เขาใช้หายไปเล็กน้อย สมาชิกของตระกูลเฟิงก็ได้ยินเขาพูดอย่างไร้ยางอาย “อาเฮงของเราเป็นคนอ่อนแอ ความโกรธไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย หากนางป่วยหนัก กำลังวังชาของนางก็จะหาย หากกำลังวังชาของนางหายไป มันจะต้องใช้ยาที่ดีที่สุดเพื่อช่วยให้นางกลับมาเป็นปกติเช่นเดิม องค์ชายผู้นี้ไม่กล้าที่จะขัดใจนางและจะทำทุกอย่างตามที่นางปรารถนา ข้าให้นางทุกอย่างและข้ากลัวว่าข้าจะทำร้ายนาง เสด็จพ่อก็สนับสนุนนางด้วยกลัวว่านางจะถูกผู้อื่นรังแกเพราะร่างกายที่อ่อนแอของนาง” นั่นคือเหตุผลที่เขาพูดถึงตำแหน่งองค์หญิงแห่งมณฑลจี่อันของนาง โดยคิดว่าไม่ว่าในกรณีใดนางสามารถใช้มันเพื่อทำให้ผู้คนหวาดกลัว แต่ใครจะรู้ว่ายังมีผู้คนที่ไม่ใส่ใจ


แค่เขาพูดออกมาก็ทำให้สมาชิกตระกูลเฟิงเกิดเหงื่อเย็นไหลที่หน้าผาก


เฟิงหยูเฮงอ่อนแอ นางจะถูกคนอื่นรังแกใช่หรือไม่ ?


องค์ชายเก้าจะตายหรือไม่ ถ้าพระองค์ไม่พ่นเรื่องไร้สาระ ?


มันจะดีพอถ้านางไม่รังแกคนอื่นใช่หรือไม่


แน่นอนนี่เป็นเพียงสิ่งที่พวกเขาคิดกับตัวเอง พวกเขาจะกล้าพูดออกมาดัง ๆ ได้อย่างไร ไม่เพียงแต่พวกเขาไม่กล้าที่จะพูดเท่านั้น แต่พวกเขายังต้องทำท่าเห็นด้วย พวกเขาต้องยืนขึ้นและพยักหน้าอย่างระมัดระวังรอซวนเทียนหมิงพูดต่อ


ซวนเทียนหมิงมองไปรอบ ๆ แล้วพูดว่า “เหตุผลที่องค์ชายพูดมาก็คือบอกฮูหยินใหญ่ว่าค่าใช้จ่ายของอาเฮงที่ล้มป่วยครั้งหนึ่งนั้นค่อนข้างสูง”


“ค่ารักษาใช่ไหมเพคะ” คังยี่งงงวย เมื่อคิดอีกเล็กน้อยนางถามอย่างระมัดระวัง “องค์ชายกำลังพูดถึง… เรื่องเงินหรือไม่เพคะ”


“ฉลาด ! ” ซวนเทียนหมิงพยักหน้า “ให้ข้าพูดแบบนี้ ในท้ายที่สุดท่านก็เป็นแขก มันจะไม่ดีสำหรับราชวงศ์ต้าชุนของเราที่จะยังคงยึดมั่นกับความผิดพลาดเพียงครั้งเดียวใช่หรือไม่ นั่นเป็นเหตุผลที่จะชดเชยความผิดพลาดด้วยเงิน มันจะเพียงพอที่จะจ่ายสำหรับยาบำรุงที่อาเฮงจะได้รับ”


คังอี้ถอนหายใจด้วยความโล่งอกอย่างยาวนานพร้อมกับคนอื่น ๆ ในตระกูลเฟิง ความสามารถในการใช้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาไม่ใช่ปัญหา คราวนี้องค์ชายเก้านั้นทรงเมตตาอย่างแท้จริง !


คังอี้กล่าวอย่างไม่เห็นแก่ตัว “เรายอมรับการลงโทษ ค่าใช้จ่ายเท่าไหร่เพค่ะ”


ซวนเทียนหมิงนับนิ้วของเฟิงหยูเฮงจนกระทั่งเขานับถึงห้า “5,000,000 เหรียญ”


สมาชิกของตระกูลเฟิงทุกคนเริ่มเหงื่อออก แม้ว่าจะมีคนกินยาที่ใช้เงินซื้อมา มันจะไม่แพงหรือ ?


ใจของคังยี่ก็สั่นอยู่พักหนึ่ง เมื่อเขาเรียกร้องมากมันเป็นการหลอกลวงอย่างแน่นอน แต่แม้ว่ามันจะเป็นการหลอกลวง แล้วสิ่งที่พวกนางสามารถทำได้ล่ะ ? เห็นได้ชัดว่าเขาพยายามหลอกลวงพวกนาง แต่นางจะทำอย่างไร นางได้แต่ทนทุกข์ในความเงียบ ไม่สามารถพูดถึงความทุกข์ทรมานของนาง นางทำได้แค่กัดฟันแล้วพูดว่า “ข้ายอมรับการลงโทษเพคะ”


“อ่า” ซวนเทียนหมิงพยักหน้าเพิ่ม “5,000,000 เหรียญทอง”


สมาชิกของตระกูลเฟิงเซไปทั้งกลุ่ม 

 

 


ตอนที่ 328

 

แม้ว่าคังอี้จะเป็นองค์หญิงใหญ่ของต่างแคว้น แต่เมื่อกล่าวถึงเงิน 5,000,000 เหรียญทองก็ทำให้นางตกใจ


ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันของเฉียนโจวพึ่งจะขึ้นครองราชย์ได้ไม่นาน ดังนั้นรากฐานของเขาจึงไม่มั่นคง และกิจการภายในก็ยังไม่เป็นระเบียบ อากาศที่เฉียนโจวหนาวมาก ดังนั้นจึงไม่มีสิ่งใดงอกขึ้นบนพื้นดิน อาหารจำนวนมากต้องซื้อจากราชวงศ์ต้าชุน นอกเหนือจากการรับมือกับภัยพิบัติในแต่ละปี ท้องพระคลังของชาติไม่ได้มีทรัพย์สินเงินทองมากนัก แม้ว่า 5,000,000 เหรียญทองจะไม่ได้ทำให้ท้องพระคลังของเขาว่างเปล่า แต่ก็เป็นเงินส่วนใหญ่ในท้องพระคลังของพวกเขา


คังอี้มองไปที่ซวนเทียนหมิง และรู้สึกว่าดวงตาภายใต้หน้ากากสีทองนั้นเป็นสายตาของสุนัขจิ้งจอกเนื่องจากพวกมันมีเลศนัยและเจ้าเล่ห์ ทันใดนั้นนางก็ตระหนักว่าการแสวงหาการแก้แค้นให้กับเฟิงหยูเฮงอาจเป็นเรื่องหลอกลวง สิ่งที่ซวนเทียนหมิงต้องการคือการทำให้เฉียนโจวหมดตัว


“องค์ชาย” นางมีปัญหาอย่างแท้จริง “ถึงแม้หม่อมฉันจะเป็นองค์หญิงใหญ่ของเฉียนโจว แต่หม่อมฉันก็ยังเป็นผู้หญิงอยู่ เงิน 5,000,000 เหรียญเงินนั้น หม่อมฉันพอมี แต่ถ้ามันกลายเป็น 5,000,000 เหรียญทอง หม่อมฉันไม่สามารถหาได้เพคะ ! ”


ซวนเทียนหมิงแก้ไขคำพูดนาง “ท่านหมายถึงอะไรกลายเป็นเหรียญทอง ? แต่เดิมก็เป็นเหรียญทองอยู่แล้ว ! ”


ใบหน้าของคังอี้ซีดมากกว่าเดิม ขณะที่นางขมวดคิ้วอย่างหนัก นางกำลังใช้ความคิดและนิ่งเงียบไปนาน


เฟิงหยูเฮงยิ้มและย้ายไปที่ด้านข้างของรถเข็นของซวนเทียนหมิง นางทำราวกับว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับนาง นางเริ่มพูดถึงสิ่งต่าง ๆ “ตระกูลเฟิงมีงานแต่งงาน ข้าไม่มีโอกาสเข้าไปในพระราชวังเลย สุขภาพของเสด็จพ่อเป็นอย่างไรบ้าง ? ”


ซวนเทียนหมิงมีรอยยิ้มชั่วร้ายในขณะที่เขาตอบว่า “เสด็จพ่อสบายดี แต่เสด็จพ่อก็เป็นห่วงเจ้าอยู่เสมอ”


“ข้าจะเข้าไปเยี่ยมเสด็จพ่อในภายหลัง โอ้ ใช่ เมื่อวานข้าพบองค์ชายสามในงานแต่ง” นางเปลี่ยนหัวข้ออย่างชัดเจน “มีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น องครักษ์ที่มาด้วยได้รับบาดเจ็บ เมื่อองค์ชายสามกลับไป เขาก็ถูกพาออกไปจากคฤหาสน์ หัวเข่าทั้งสองข้างของเขามีเลือดออกจำนวนมาก และเลือดก็นองอยู่บนพื้นด้วย”


สมาชิกของตระกูลเฟิงจำได้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อองค์ชายสามออกจากคฤหาสน์ ไม่มีใครเข้าใจว่าทำไมองครักษ์ที่มากับองค์ชายสามจึงได้รับบาดเจ็บ ขาของเขาดูราวกับว่ามีคนตัดขาของเขาด้วยมีด เลือดไหลออกมาอย่างไม่สามารถควบคุมได้ เนื่องจากมีหิมะตกพื้นสีขาวจึงกลายเป็นสีแดง ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่ารู้สึกว่าเป็นเคราะห์ร้าย


แต่ไม่มีใครรู้ว่าคนผู้นั้นได้รับบาดเจ็บอย่างไร และองค์ชายสามไม่ได้สอบถามตระกูลเฟิง เขาไม่ได้พูดอะไร เขาพาคนออกไป มีคนสังเกตเห็นรอยเลือดบริเวณกว้างในศาลานั้น และมีคนเห็นว่าองครักษ์กำลังคุกเข่าอยู่ที่นั่น ดูเหมือนว่าเขาจะถูกลงโทษโดยองค์ชายสาม


แต่เดิมทุกคนเชื่อว่าองค์ชายสามนั้นโหดร้ายมากเมื่อลงโทษบ่าวรับใช้ของเขา อย่างไรก็ตามตอนนี้ที่เฟิงหยูเฮงพูดถึง ทำให้ทุกคนรู้สึกว่าเรื่ององครักษ์มีส่วนเกี่ยวข้องกับเฟิงหยูเฮงมากที่สุด


ฮูหยินผู้เฒ่าเป็นคนแรกที่คิดเรื่องนี้ แต่นางก็รู้สึกว่ามีบางอย่างเล็กน้อย เฟิงหยูเฮงเป็นคนหยิ่งยโส แต่นางไม่ได้มีอำนาจอะไรมากไปกว่าองค์ชายเก้า จากนิสัยขององค์ชายสาม เขาจะอ่อนโยนต่อเด็กผู้หญิงหรือไม่ ?


อย่างไรก็ตามคังอี้รู้สึกว่าหัวใจของนางบีบรัดแน่นและเริ่มเจ็บโดยไม่มีเหตุผลที่ชัดเจน เมื่อนางได้ยินเฟิงหยูเฮงพูดแบบนี้ เมื่อความเจ็บปวดนี้ผ่านไป สิ่งที่เหลืออยู่ก็คือความตื่นตระหนก สายตาของนางมองไปที่หัวเข่าของซวนเทียนหมิง และด้วยเหตุผลบางอย่าง นางจินตนาการว่าเลือดไหลออกมาจากหัวเข่าของรุ่ยเจียโดยที่นางถูกบังคับให้นั่งในรถเข็น จากนั้นเป็นต้นมานางจะต้องถูกเข็นไม่ว่านางจะไปที่ไหน พวกเขาจะไม่สามารถไปเดินเล่นในฐานะมารดาและบุตรสาวอีกครั้ง


ยิ่งคังอี้คิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไหร่ นางก็ยิ่งตื่นตระหนกมากขึ้น เพราะนางแทบจะไม่สามารถสงบสติอารมณ์ได้ อย่างไรก็ตามเฟิงหยูเฮงพูดบางอย่างที่ทำให้ขาของนางอ่อนแรงทันที ขณะที่นางทรุดตัวลงนั่งคุกเข่า นางได้ยินเฟิงหยูเฮงกล่าวว่า “จะว่าไป ขานั้นมีเลือดไหลและได้รับบาดเจ็บอย่างไร ? อาจจะโดนลูกธนูหรือไม่ ? อ่า ! ท่านแม่ข้าได้ยินมาว่าเฉียนโจวมีกลุ่มนักแม่นธนู และข้าได้ยินมาว่าพวกเขากล้าหาญและทรงพลัง เรื่องจริงหรือไม่เจ้าคะ ? ”


นางหันไปมองคังอี้โดยตรง ดวงตาของนางมีความอยากรู้อยากเห็น ยิ่งกว่านั้นมันหนาวเหน็บเหมือนมีดทำจากน้ำแข็ง


คังอี้พยักหน้าอย่างช่วยไม่ได้ แม้ว่านางจะไม่เต็มใจอย่างยิ่งที่จะพูดถึงกลุ่มนักแม่นธนูของเฉียนโจวโดยเฉพาะอย่างยิ่งพูดต่อหน้าซวนเทียนหมิงและเฟิงหยูเฮง ในเมื่อเฟิงหยูเฮงถาม นางก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้แม้ว่านางต้องการจะหลีกเลี่ยง นางทำได้แค่กัดฟันแล้วพูดว่า “มี แต่พวกเขาก็ไม่กล้าหาญและทรงพลังมากสักเท่าใด”


“โอ้” ซวนเทียนหมิงพยักหน้าจากนั้นก็เริ่มพูดถึงกลุ่มนักแม่นธนูของเฉียนโจว จากนั้นเขาก็เริ่มถามเกี่ยวกับ 5,000,000 เหรียญทอง “ฮูหยินหมายความว่าท่านไม่ต้องการใช้เงิน 5,000,000 เหรียญทองเพื่อจ่ายค่าชดเชยงั้นหรือ ? ไม่ นั่นช่วยไม่ได้ องค์ชายไม่เคยบังคับให้ผู้คนทำสิ่งที่พวกเขาทำไม่ได้ เนื่องจากไม่สามารถใช้เงินเพื่อแก้ไขปัญหานี้ได้ เราจึงคิดวิธีอื่นในการแก้ไขปัญหานี้”


คังอี้ก็ไม่แน่ใจ “องค์ชายหมายถึงวิธีใดหรือเจ้าคะ ? ”


“ไม่จำเป็นต้องให้ท่านถามอะไรอีกต่อไป!” ซวนเทียนหมิงโบกมือให้นาง ก่อนหันมาพูดกับเฟิงหยูเฮง “อาเฮง กลุ่มนักแม่นธนูแห่งเฉียนโจวมีความแข็งแกร่งเพียงใด หากพวกเขายิงข้ามหุบเขาได้ มันจะแทงหัวเข่าขององค์ชายนี้ได้หรือไม่ ? ”


เฟิงหยูเฮงวางมือบนเข่าของเขาแล้วพูดอย่างใจเย็น “เจ้าจะต้องถามคนจากเฉียนโจว”


“แต่องค์หญิงใหญ่จากเฉียนโจวไม่ต้องการพูดกับข้า”


“ไม่เป็นไร อย่าลืมว่าในพระราชวังยังมีองค์หญิงอีกพระองค์หนึ่ง”


“องค์ชาย ! ” คังอี้รีบพูดขึ้นมาทันที บางทีนางอาจจะตื่นตระหนกเกินไป แต่เสียงของนางก็แตกพร่า “ข้าจะมอบให้พระองค์เพคะ ! ” นางมองไปที่ซวนเทียนหมิง สายตาของนางเต็มไปด้วยความสิ้นหวังและวิงวอน “5,000,000 เหรียญทอง… ข้าจะมอบให้พระองค์เพคะ”


“ดีมาก ! ” ซวนเทียนหมิงเริ่มยิ้มในที่สุด “ฮูหยินตรงไปตรงมาเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นข้าขอทำเป็นสัญญา องค์ชายองค์นี้จะให้เวลา 3 เดือน แล้วนำมันไปที่คฤหาสน์องค์หญิงแห่งมณฑล”


คังอี้กลัวอย่างแท้จริง ซวนเทียนหมิงและเฟิงหยูเฮงทำงานกันอย่างสามัคคี ทำให้เห็นชัดเจนว่าถ้านางไม่จ่ายเงินพวกเขา รุ่ยเจียจะต้องเสียขาไป


ถ้าเป็นเรื่องอื่น นางอาจจะทนได้มากกว่านี้แต่นางก็เสียเปรียบในเรื่องนี้ ในเวลานั้นซวนเทียนเย่ได้ลอบเข้ามาในเฉียนโจวเพื่อยืมกำลังกลุ่มนักแม่นธนู เป้าหมายของเขาคือการคร่าชีวิตขององค์ชายเก้าของราชวงศ์ต้าชุน น่าเสียดายที่เขาทำไม่สำเร็จ


แม้ว่าเฉียนโจวจะล่าถอยไปอย่างหมดจด แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีร่องรอยที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ตอนนี้ดูเหมือนว่าขาขององครักษ์ของซวนเทียนเย่นั้นพิการไปแล้ว เมื่อรวมกับการกระทำของทั้งสองในวันนี้ ทำให้นางนึกถึงคำพูดที่จำได้เสมอ บุญคุณต้องทดแทน หนี้แค้นต้องชำระ


คังอี้แอบกัดฟันของนางไว้ นางเป็นมารดา ไม่ว่าอย่างไร เงิน 5,000,000 เหรียญทอง มันก็ไม่สามารถเทียบได้กับขาของบุตรสาวนาง


“เพคะ ภายใน 3 เดือน หม่อมฉันจะนำเงินไปมอบให้ที่คฤหาสน์ขององค์หญิงแห่งมณฑลเพคะ”


“ดี” ซวนเทียนหมิงพยักหน้าแล้วไม่มองนางอีกต่อไป เขาพูดกับฮูหยินผู้เฒ่าตระกูลเฟิงว่า “ท่านฮูหยินผู้เฒ่า เรื่องที่เกิดขึ้นเกิดระหว่างงานแต่งงาน เสด็จพ่อทรงทราบเรื่องนี้แล้วและได้ยินว่าข้าจะมาในวันนี้ เสด็จพ่อจึงฝากข้อความมา”


เมื่อได้ยินว่าฮ่องเต้ฝากข้อความมา ฮูหยินผู้เฒ่าก็รีบคุกเข่าอีกครั้งอย่างรวดเร็ว แต่ซวนเทียนหมิงโบกมือ “ไม่เป็นไร มีเพียงไม่กี่ประโยค เสด็จพ่อทรงตรัสว่าในขั้นต้นพระองค์เห็นด้วยกับการแต่งงาน บนพื้นฐานของฮูหยินคนก่อนหน้านี้ของตระกูลเฟิงค่อนข้างผิดหวัง เห็นได้ชัดว่านางค่อนข้างขาดการศึกษาสำหรับเด็ก ๆ เสด็จพ่อรู้สึกว่าองค์หญิงคังอี้เป็นผู้ทรงเกียรติในเฉียนโจวและต้องอบรมผู้คนได้ดี เมื่อนางดูแลบุตร ๆ ของตระกูลเฟิง บุตรสาวจะยอดเยี่ยมและบุตรชายก็จะมีประโยชน์ แต่ใครจะรู้ว่าองค์หญิงใหญ่จะเลี้ยงดูบุตรสาวของตัวเองให้เป็นอย่างนั้น มันทำให้เสด็จพ่อรู้สึกผิดหวังอย่างแท้จริง ในเวลาเดียวกันเสด็จพ่อรู้สึกว่าพระองค์ได้สร้างความผิดหวังให้กับเสนาบดีเฟิง”


ครั้งนี้มีการกล่าวว่าไม่มีใครในตระกูลเฟิงสามารถโต้ตอบได้


สิ่งนี้หมายความว่าอย่างไร ฟังดูเหมือนเขาจะเสียใจเล็กน้อยที่อนุมัติการแต่งงานครั้งนี้ ? เป็นไปได้หรือไม่ที่จะมีการหย่าร้าง ไม่มีทางใช่หรือไม่ ? พวกเขาเพิ่งแต่งงานเมื่อวานนี้เอง !


ซวนเทียนหมิงดูปฏิกิริยาของทุกคนก่อนที่จะพูดว่า “เสด็จพ่อทรงโปรดปรานและเคารพเสนาบดีเฟิงมาโดยตลอด ในเรื่องที่เกี่ยวกับเรื่องนี้ เสด็จพ่อโทษตัวเอง เสด็จพ่อทรงรู้สึกว่าได้ทำลายอนาคตของบุตร ๆ ของตระกูลเฟิงเนื่องจากความผิดพลาดในการตัดสินพระทัยของเสด็จพ่อ มันจะเป็นความหายนะอย่างแท้จริง แต่สำหรับเรื่องนี้มันสายเกินไปแล้วที่จะทำการแก้ไขใด ๆ นั่นเป็นสาเหตุที่เสด็จพ่อทรงมีพระดำริ”


ฮูหยินผู้เฒ่าถามว่า “พระดำริอะไรหรือเพคะ ? ”


จากนั้นนางเห็นซวนเทียนหมิงปรบมือ และจากรถม้าของพระราชวังที่อยู่นอกคฤหาสน์ หญิงสาวงดงาม 2 คนเดินเข้ามาในคฤหาสน์ที่ล้อมรอบด้วยนางกำนัล หญิงสาวงดงาม 2 คนที่อยู่ตรงกลางอายุไม่เกิน 20 กว่า คนหนึ่งดูอ่อนโยน ในขณะที่อีกคนตาโตและแต่งหน้าหนา พวกนางเดินเข้ามาขณะที่ก้มหน้าลงอย่างเขินอาย แต่จิตใจของพวกนางไม่ได้สับสน ความหนักแน่นที่พวกเขามีอยู่ในระดับเดียวกับคังอี้อย่างแท้จริง


เฟิงหยูเฮงหรี่ตาของนางเล็กน้อย และจดจำทั้งสองคนได้ทันที


นางได้พบพวกนางในพระราชวังของฮ่องเต้ พวกนางเป็นหลานสาวจากตระกูลมารดาของฮองเฮา พวกนางได้รับการเลี้ยงดูภายใต้กฎเดียวกันกับองค์หญิง อย่างไรก็ตามนางไม่เคยคิดเลยว่าพวกนางจะถูกส่งมาที่คฤหาสน์เฟิงในวันนี้


“นี่คือ…” ฮูหยินผู้เฒ่าก็ตกใจเช่นกัน นางไม่เคยเห็นสองคนนี้มาก่อน แต่เมื่อมองไปที่เสื้อผ้าและกลิ่นอายของพวกนาง พวกนางไม่ได้เป็นบุตรสาวของขุนนาง ดังนั้นนางจึงรู้สึกสับสน


คังอี้ขมวดคิ้ว นางเข้าใจถึงความขัดแย้งที่เกิดขึ้นข้างในและข้างนอกของพระราชวัง นางเข้าใจทันทีว่าฮ่องเต้หมายถึงอะไร


“ดูเหมือนว่าผู้หญิงที่อ่อนน้อมถ่อมผู้นี้จะต้องแสดงความยินดีกับสามีที่มีคู่ชีวิตใหม่” นางพูดอย่างไร้ประโยชน์ นางเพิ่งแต่งงานเมื่อวานนี้และห้องหอของนางถูกทำลายโดยฮันชิ ในวันที่สองมีคนใหม่ 2 คนเข้ามา และพวกนางก็ถูกส่งมาจากฮ่องเต้ นางจะไม่รู้สึกตกใจอย่างไร


ยิ่งนางรู้สึกตื่นตระหนกมากขึ้น ซวนเทียนหมิงก็ชอบสิ่งนี้มากขึ้น เขาหัวเราะ เขายังชื่นชมคังอี้ “ฮูหยินฉลาดจริง ๆ ” จากนั้นเขาก็พูดกับฮูหยินผู้เฒ่าว่า “เสด็จพ่อรู้สึกว่าตัวเองได้สร้างความผิดหวังให้กับเสนาบดีเฟิง ดังนั้นเสด็จพ่อจึงมอบอนุ 2 คนให้แก่เสนาบดีเฟิงและให้ข้าส่งมาที่คฤหาสน์ ท่านฮูหยินผู้เฒ่าน่าจะเคยได้ยินเรื่องของพวกนางมาก่อน พวกนางเป็นพี่น้องฝาแฝดและพวกนางเป็นหลานสาวของฮองเฮาเอง พวกนางถูกเลี้ยงดูในพระราชวังมาตั้งแต่เด็ก แม้ว่าพวกนางจะไม่ได้มีสถานะขององค์หญิง แต่พวกนางก็น่านับถือเหมือนองค์หญิง”


ฮูหยินผู้เฒ่าก็ตกตะลึงและจำได้ทันทีว่าพระราชวังแห่งนี้มี 2 คนที่เป็นเช่นนี้ พี่ชายของฮองเฮาล่วงลับไปแล้วตั้งแต่อายุยังน้อย บุตรสาวของฮูหยินใหญ่อยู่ในความดูแลของฮูหยินใหญ่ และทิ้งบุตรสาวทั้ง 2 คนของอนุไว้ ตอนที่พวกนางเข้าไปในพระราชวัง พวกนางมีอายุเพียง 10 ปี ฮ่องเต้ไม่มีพระธิดา ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจเลี้ยงดูพวกนางในพระราชวัง แต่ทั้งคู่ต่างก็จู้จี้จุกจิกมากเพราะพวกนางไม่ได้เข้าร่วมงานเลี้ยงในพระราชวัง และพวกนางไม่ได้สนใจที่จะปรากฏตัว คำนวณจากอายุพวกนาง พวกนางอายุเกือบ 20 ปีนี้ แต่จำนวนคนที่ได้เห็นพวกนางในช่วงหลายปีที่ผ่านมานั้นน้อยจนสามารถนับได้ด้วยนิ้วมือ


ตอนนี้ทั้งสองคนถูกส่งเข้ามาในตระกูลเฟิง ฮ่องเต้กำลังทำอะไรกันแน่ ?


“มันคืออะไร ? ” ซวนเทียนหมิงเห็นท่าทางของฮูหยินผู้เฒ่าและอดไม่ได้ที่จะถามว่า “ท่านฮูหยินผู้เฒ่าไม่พอใจหรือ ? ท่านรู้สึกว่าพวกนางไม่คู่ควรกับท่านเสนาบดีหรือ ? ไม่มีอะไรมากไปกว่าอนุ จากสถานะของฮองเฮา นางควรมีสถานะที่สูงส่งใช่หรือไม่ ? ”


ฮูหยินผู้เฒ่าเพียงแค่สงสัย นางจะดูถูกพวกเขาได้อย่างไรในขณะที่นางพร่ำบอกว่า “ไม่ใช่เพคะ ไม่ใช่ว่าหม่อมฉันไม่ชอบพวกนาง หม่อมฉัน… หม่อมฉันไม่สบายใจ ฮ่องเต้ทรงกังวลเช่นนี้ ตระกูลเฟิงต้องขอบพระทัยมากเพคะ”


ซวนเทียนหมิงพยักหน้าอย่างพึงพอใจ เขายกมือขึ้นเขาพูดกับสมาชิกของตระกูลเฟิงที่ยังคงคุกเข่าอยู่ “พวกเจ้าลุกขึ้นได้แล้ว”


สมาชิกของตระกูลเฟิงที่คุกเข่ามานานเกินไป เมื่อยืนขึ้นขาของพวกเขาก็สั่น เฟิงเซียงหรูแทบจะล้มลง ฮันชิก็ยิ่งมีปัญหามากขึ้น นางประคองหน้าท้องของนางด้วยมือทั้งสอง หน้าของนางเปลี่ยนเป็นซีด


เฟิงหยูเฮงเหลือบมองไปที่นางแล้วจึงเริ่มเดินหน้า วางมือบนข้อมือของนาง หลังจากนั้นไม่นานเฟิงหยูเฮงก็พูดว่า “ไม่มีอะไรผิดปกติ เด็กสบายดี”


ในเวลานี้ซวนเทียนหมิงยกมือขึ้นอีกครั้ง และพูดกับหญิงสาว 2 คนที่อยู่ข้างหลังเขาว่า “ไปคำนับท่านฮูหยินผู้เฒ่าเร็ว ! พวกเจ้าทั้งสองคนถูกส่งมาเป็นอนุจากรับสั่งของเสด็จพ่อ พวกเจ้าแตกต่างจากอนุคนอื่น ๆ จงจำสถานะของเจ้าด้วย”


ทั้งสองพูดอย่างเข้าใจ “น้องสาวเข้าใจแล้วเพคะ” หลานสาวของฮ่องเต้แม้เกิดจากอนุ พวกเขาก็สายเลือดเดียวกับฮองเฮา พวกนางถือเป็นลูกพี่ลูกน้องของซวนเทียนหมิง


ทั้งสองเดินข้ามไปถึงตรงหน้าฮูหยินผู้เฒ่า พวกนางคุกเข่าลงและกล่าวว่า “อนุ เฉิงจุนม่าน และเฉิงจุนเหม่ย คารวะท่านฮูหยินผู้เฒ่าเจ้าค่ะ” 

 

 


ตอนที่ 329

 

ฮูหยินผู้เฒ่านิ่งงันและมองไปที่คังอี้อย่างกังวล อย่างไรก็ตามคังอี้ได้เรียกสติของนางกลับมาแล้วเดินไปข้างหน้าอย่างสง่างามและช่วยประคองหญิงสาวแซ่เฉิงทั้งสองคนด้วยตัวเอง “น้องสาวลุกขึ้นเร็ว เมื่อเจ้าเข้ามาในตระกูลเฟิงแล้ว ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเราเป็นครอบครัวเดียวกัน”


หญิงสาวทั้งสองคนหลังจากได้รับความช่วยเหลือก็ถอยกลับไปครึ่งก้าว จากนั้นพวกนางก็โค้งคำนับอีกครั้ง “อนุผู้นี้คารวะฮูหยินเจ้าค่ะ”


คังอี้ยิ้มอย่างสงบ “พวกเจ้าอายุน้อยกว่า เป็นสาวงาม และพวกเจ้าก็มีการศึกษาที่ดีและมีเหตุผล เมื่อเจ้าสองคนอยู่เคียงข้างท่านพี่ ดูแลเขา ข้าจะรู้สึกสบายใจ”


เมื่อเห็นว่าคังอี้แสดงความคิดเห็นของนาง ฮูหยินผู้เฒ่าก็กล่าวว่า “ถูกต้อง ! การมีสอง…” นางรู้สึกสับสนเล็กน้อยที่เรียกว่าทั้งสองว่าอย่างไร นางสามารถเรียกพวกนางว่าองค์หญิง แต่พวกนางไม่ใช่องค์หญิง แต่ถ้าพวกนางไม่ถือว่าเป็นองค์หญิง พวกนางเป็นหลานสาวของฮองเฮาที่ได้รับการเลี้ยงดูในพระราชวังเป็นเวลา 10 ปี ดังนั้นนางจะเรียกพวกนางว่ายังไง?


คนที่งามกว่านั้นก็คือเฉิงจุนม่านซึ่งเป็นพี่สาว เมื่อเห็นว่าฮูหยินผู้เฒ่าลังเลอยู่ นางยิ้มอย่างสง่างามและกล่าวว่า “ข้า และน้องจุนเหม่ยเป็นอนุ เราไม่อาจเรียกท่านฮูหยินผู้เฒ่าว่าท่านแม่ได้ แต่ในจิตใจของเรารู้สึกนับถือท่านฮูหยินผู้เฒ่า หากท่านฮูหยินผู้เฒ่าไม่ชอบให้เรียกชื่อของพวกเราก็ได้เจ้าค่ะ”


เฉิงจุนม่านพูดช้ามากและเสียงของนางไพเราะมาก เนื่องจากนางได้รับการเลี้ยงดูในพระราชวังแห่งนี้ กริยาท่าทางของนางจึงดูสูงส่งเช่นเดียวกับคังอี้แต่นางอายุน้อยกว่าคังอี้ และดูเหมือนว่านางจะมีกลิ่นอายที่สงบและกลมกลืน สิ่งนี้ทำให้ผู้คนมีความรู้สึกในเชิงบวก แม้กระทั่งฮูหยินผู้เฒ่าก็ไม่มีข้อยกเว้น “ดี ดี ! จุนม่าน จุนเหม่ย”


“ฮ่า ๆ ! ” ซวนเทียนหมิงเริ่มหัวเราะ “ตระกูลเฟิงมีโชควาสนาอย่างต่อเนื่อง ถ้าท่านฮูหยินผู้เฒ่ามีความสุข ข้าจะได้รายงานแก่เสด็จพ่อ”


เฟิงหยูเฮงยืนพิงรถเข็น และกล่าวว่า “ฮองเฮาเป็นผู้ที่ยิ่งใหญ่ เนื่องจากพวกเจ้าเป็นหลานของพระองค์ พวกเจ้าจะไม่ขาดแคลนสิ่งใดแน่นอน” นางมีความสุขมากและเริ่มกระโดด นางจับมือของซวนเทียนหมิง นางกล่าวว่า “ซวนเทียนหมิง มันยอดเยี่ยมมาก ! พวกนางเป็นญาติของฮองเฮา พวกนางไม่กลั่นแกล้งข้าแน่นอน ! ”


ซวนเทียนหมิงบีบแก้มของนาง “ใช่แล้ว พวกนางจะไม่กลั่นแกล้งเจ้าอย่างแน่นอน” จากนั้นเขาก็บีบมือนางเพิ่มอีกนิดหน่อย “ทำไมเจ้าดูผอมลง ? ตระกูลเฟิงไม่มีเงินซื้อเนื้อให้เจ้ากินหรือ ? ข้าไม่ได้ให้เงินเจ้าหรือ ? หรือเจ้าไม่รู้ว่าจะใช้มันอย่างไร ?”


“ข้ารับผิดชอบอาหารของตัวเองอยู่แล้ว” เฟิงหยูเฮงเตือนเขา “ข้าอาศัยอยู่ที่เรืองตงเซิง อาหารที่ข้ากินและสิ่งที่ข้าใช้ก็ใช้เงินของเจ้าซื้อทั้งหมด โอ้ ใช่แล้ว ยังมีเงินเดือนจากการเป็นองค์หญิงแห่งในมณฑลอีกด้วย”


“หืม ? ” ซวนเทียนหมิงรู้สึกว่ามีบางอย่างถูกปิดบัง “เจ้าไม่กินข้าวกับพวกเขา แต่พวกเขาไม่ให้เงินแก่เจ้าหรือ ? ”


เฟิงหยูเฮงส่ายหัว “ไม่ได้ให้”


“เรื่องนี้ถือว่าผิดกฎ ! ” ซวนเทียนหมิงจ้องมองคนในตระกูลเฟิง “เจ้าไม่อาจเลือกที่จะไม่มอบเงินให้นางเพราะนางไม่ร้องขอ พวกนางเป็นบุตรสาวของตระกูลเฟิง และอาเฮงก็เป็นบุตรสาวของฮูหยินใหญ่ด้วย เราไม่ขอให้เจ้ามอบเงินให้นางมากกว่าบุตรสาวของอนุ แต่อย่างน้อยควรก็ให้นางในจำนวนที่เท่ากัน แต่ทำไม…”


“องค์ชาย” คังอี้พูดอย่างรวดเร็ว “องค์ชายกำลังเข้าใจผิดเพคะ แม้ว่าข้าเพิ่งเข้ามาในคฤหาสน์ ข้าก็ได้ยินท่านแม่พูดถึงมันเมื่อวานนี้ ท่านแม่บอกว่าถึงแม้องค์หญิงแห่งมณฑลจะไม่ทานอาหารกับเรา แต่ส่วนขององค์หญิงก็ถูกเก็บไว้เป็นเงินที่สามารถมอบให้องค์หญิงแห่งมณฑลได้ตลอดเวลา”


“โอ้” ซวนเทียนหมิงพยักหน้า “ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ดี” จากนั้นเขาก็ไม่ได้มองนางแล้วหันมาหาเฟิงหยูเฮง “เจ้าต้องเอาใจใส่มากกว่านี้ด้วย อย่ายิ้มให้ใครก็ตามที่เจ้าพบ อย่าโดนโกงโดยไม่รู้ตัว เอาล่ะ ข้าจะกลับแล้ว หากเจ้ามีปัญหาไปหาข้าที่ตำหนักหยู”


“ได้” เฟิงหยูเฮงพยักหน้าแล้วเข็นรถเข็นของซวนเทียนหมิงออกจากคฤหาสน์ด้วยตัวเองหลังจากที่ทุกคนเห็นซวนเทียนหมิงขึ้นรถม้าแล้ว พวกเขาทั้งหมดก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ฮูหยินผู้เฒ่าที่ยืนอยู่กับยายจาวนั้นไม่ค่อยมีแรง แต่นางก็รีบสั่งเฟิงเฟินไดและคนอื่น ๆ “เร็ว ! ช่วยประคองฮันชิลุกขึ้นยืน และเชิญแพทย์มาตรวจครรภ์เร็ว ! “


เฟิงเฟินไดก็รู้ว่าเรื่องนี้ไม่อาจล่าช้าได้ ฮันชินั้นบอบบางและพื้นดินก็เย็น ใบหน้าของนางดูไม่ค่อยดีนัก แม้ว่านางต้องการที่จะดูฉากตรงหน้าต่อไป นางก็รู้วิธีประเมินสิ่งที่สำคัญ ไม่ว่าเรื่องอื่น ๆ จะมีความสำคัญแค่ไหน แต่เด็กในท้องฮันชินั้นสำคัญที่สุด พวกเขาต้องกลับไป


นางกระทืบเท้าของนางและออกไปอย่างไม่เต็มใจขณะที่ช่วยประคองฮันชิ เฟิงหยูเฮงกลับมาจากนอกคฤหาสน์ ฮูหยินผู้เฒ่าและคังอี้เฝ้าดูนางเดินก้าวเล็ก ๆ ทีละก้าว ชั่วครู่หนึ่งพวกเขาไม่รู้ว่าควรพูดคุยกับนางอย่างไร แต่เป็นพี่น้องตระกูลเฉิงที่ทักทายนางก่อน พวกนางเดินไปอย่างรวดเร็วเพื่อคำนับเฟิงหยูเฮง “คารวะองค์หญิงแห่งมณฑลเพคะ”


เฟิงหยูเฮงยิ้ม และกล่าวว่า “พวกเจ้าเป็นอนุของท่านพ่อ และพวกเจ้าก็เป็นหลานสาวของฮองเฮาด้วย ไม่จำเป็นต้องคำนับข้าเมื่อเห็นข้า นับจากวันนี้เป็นต้นไปตั้งแต่ที่พวกเจ้าเข้ามาในตระกูลเฟิง ดูแลท่านพ่ออย่างดี และดูแลท่านย่า และท่านแม่ให้ดีที่สุด อีกไม่กี่วันข้าจะต้องมุ่งเน้นไปที่การผลิตเหล็ก ดังนั้นพวกเจ้าจะต้องจัดการกับงานในคฤหาสน์มากกว่านี้”


ทั้งสองพูดพร้อมกัน “อนุจะปฏิบัติตามคำสั่งขององค์หญิงแห่งมณฑลเจ้าค่ะ”


เมื่อได้ยินแบบนั้น คังอี้และเฟิงเฉินหยูสบตากันและมองเห็นสัญญาณเตือนภัยในดวงตาของกันและกัน


ทันใดนั้นตระกูลเฟิงก็มีอนุอีก 2 คนเข้ามาในคฤหาสน์ ทำให้ในคฤหาสน์วุ่นวาย อย่างไรก็ตามเฟิงจินหยวนยังไม่กลับมา ฮูหยินผู้เฒ่าคิดหนักและคิดอยู่นานก่อนตัดสินใจว่าเรือนจินฟูซึ่งเดิมจะมอบให้รุ่ยเจีย นางจะยกให้เฉิงจุนม่าน จากนั้นนางให้บ่าวรับใช้ทำความสะอาดเรือนรือหยูซึ่งเป็นเรือนที่อยู่ใกล้เรือนจินฟูมากที่สุด เพื่อให้จุนเหม่ยสามารถย้ายเข้าในค่ำคืนนั้นได้


ฮูหยินผู้เฒ่าได้มอบเรือนให้ ในขณะที่คังอี้ดูแลการกำกับบ่าวรับใช้เป็นการส่วนตัวเพื่อดูแลทำความสะอาดเรือนทั้งสอง สำหรับน้องสาว 2 คนที่เพิ่งเข้ามาในคฤหาสน์ พวกนางก็มาสนทนากับฮูหยินผู้เฒ่าที่เรือนซูหยาตลอดทั้งวัน พวกนางทานอาหารกลางวันด้วยกัน เมื่อเรือนทั้งสองได้รับการทำความสะอาดและคังอี้มุ่งหน้าไปที่เรือนซูหยาเพื่อรายงานต่อฮูหยินผู้เฒ่า นางพบว่าฮูหยินผู้เฒ่าและอนุทั้งสองคนเข้ากันได้เป็นอย่างดี นางมีความสนใจในเรื่องซุบซิบที่มาจากพระราชวัง


ฮูหยินผู้เฒ่าก็เริ่มมองพระราชวังในฐานะสถานที่แห่งศรัทธา ในสายตาของนาง พระราชวังเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดภายใต้สวรรค์ แม้ว่ามันจะเหมือนว่านางไม่เคยไป แต่นางเคยไปร่วมงานเลี้ยงมากมาย แต่ยิ่งนางไป นางก็ยิ่งรู้สึกว่าผู้คนที่อยู่ในอันดับสูงสุดอาศัยอยู่ในพระราชวัง อำนาจของฮ่องเต้และความงามของฮองเฮานั้นเหนือสิ่งอื่นใดในสายตาของนาง แต่ตระกูลเฟิงนั้นเป็นตระกูลที่ไม่มีรากฐานในเมืองหลวง หากพวกเขาต้องการได้ยินบางสิ่งเกี่ยวกับพระราชวัง มันก็ยากมาก อย่างไรก็ตามนางไม่เคยคิดเลยว่าจะมีวันหนึ่งที่คนจากพระราชวังจะกลายเป็นลูกสะใภ้ของนาง !


ใช่แล้ว ฮูหยินผู้เฒ่ามองว่าอนุทั้งสองคนนั้นอยู่ในระดับเดียวกับคังอี้ นางไม่ได้โง่ ทั้งสองคนนี้ถูกส่งมายังคฤหาสน์โดยฮ่องเต้ พวกนางเป็นเหมือนผู้สังเกตการณ์ที่ออกมาเพื่อสังเกตการณ์ของตระกูลเฟิง พวกนางไม่สามารถถูกตีหรือถูกด่าได้ และพวกนางไม่สามารถถูกมองข้ามได้ มิฉะนั้นหากพวกนางไม่ระวัง เมื่อทั้งสองคนนำข่าวนั้นออกไป เฟิงจินหยวนก็จะได้รับความเดือดร้อน


คังอี้เข้าใจความคิดของผู้คนเป็นอย่างดี เมื่อเห็นฉากนี้ นางรู้ว่าฮูหยินผู้เฒ่าได้ตัดสินใจที่จะยอมรับมันและยอมประนีประนอม นางจะพูดอะไรได้อีก ท้ายที่สุดสถานที่แห่งนี้คือราชวงศ์ต้าชุน และฮ่องเต้ส่งหญิงสาว 2 คนนี้มา พวกนางยังเป็นหลานสาวของฮองเฮา นางสามารถโต้เถียงกับทุกคนได้ยกเว้นเชื้อพระวงศ์ นางรู้ว่านางไม่มีความสามารถนี้ อย่างน้อยก็ไม่ได้ตอนนี้


“ท่านแม่” นางเดินไปข้างหน้าพร้อมกับรอยยิ้ม “ลูกสะใภ้ได้จัดเตรียมเรือนทั้งสองเรือนเสร็จแล้วเจ้าค่ะ เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ข้าจะพาน้องสาวทั้งสองคนไปดู หากมีสิ่งใดที่พวกเจ้าไม่พอใจ เราสามารถปรับเปลี่ยนมันได้ ตอนนี้ใกล้มืดแล้ว พวกเจ้าคงเหนื่อยแล้ว”


ฮูหยินผู้เฒ่าพยักหน้า “เจ้าทำงานของเจ้าได้ดีมาก มันทำให้ข้ารู้สึกสบายใจ” จากนั้นนางพูดกับหญิงสาวสองคนว่า “รีบไปดูที่เรือนเร็ว”


จุนม่านและจุนเหม่ยยืนขึ้น และคำนับฮูหยินผู้เฒ่าก่อนเดินออกมาตามหลังคังอี้ พวกนางออกจากเรือนซูหยา หลังจากที่ทั้งสามเดินจากไปแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ในขณะที่บ่าวรับใช้นวดไหล่นาง นางถามยายจาว “เจ้าส่งคนไปที่พระราชวังเพื่อสอบถามหรือไม่ ? ”


ยายจาวกล่าวว่า “ทั้งสองคนถูกส่งมาแล้ว พวกเขากล่าวว่ามีเรื่องมากมายที่ราชสำนักต้องดูแล มันไม่ใช่แค่เจ้านายของเรา ข้าราชสำนักทุกคนยังอยู่ในราชสำนัก ท่านฮูหยินผู้เฒ่าอย่ากังวลเลยเจ้าค่ะ”


เมื่อได้ยินว่าเจ้าหน้าที่ทุกคนยังอยู่ในราชสำนัก ในที่สุดฮูหยินผู้เฒ่าก็สงบลงในที่สุด “ก็ดีถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับเขา วันนี้ข้ารู้สึกวิตกกังวลอยู่ตลอดเวลา ข้าสงสัยว่าจะมีบางอย่างไม่ดีเกิดขึ้น แต่ข้าไม่คิดว่าองค์ชายเก้าจะมาเร็วขนาดนี้”


ยายจาวปลอบใจนางว่า “องค์ชายเก้าดูเหมือนจะหงุดหงิดกับท่านฮูหยินคนใหม่ ดูพระองค์ยังสุภาพกับท่านอยู่นะเจ้าคะ”


ฮูหยินผู้เฒ่าก็เข้าใจเช่นกัน แต่เมื่อนางคิดว่าคังอี้ถูกกรรโชกเงิน 5,000,000 เหรียญทอง นางรู้สึกปวดใจอย่างเหลือล้น “นั่นคือเหรียญทอง ! 5,000,000 เหรียญทอง บอกข้าที ถ้ามันถูกขนส่งจากเฉียนโจวมายังราชวงศ์ต้าชุนจะต้องใช้รถม้ากี่คัน ? ขบวนคาราวานจะยาวขนาดไหน ? ฮะ ! มันจะถูกส่งไปที่คฤหาสน์ขององค์หญิงแห่งมณฑล มัน… จริง ๆ แล้ว…”


นางพูดอย่างจริงจัง แต่ก็ยังไม่จบประโยค ยายจาวไม่สามารถกลั้นยิ้มในขณะที่นางคิดกับตัวเอง เป็นไปได้หรือไม่ว่าฮูหยินผู้เฒ่าหวังจะได้รับเงินจำนวนนั้น นั่นเป็นสิ่งที่ท่านสามารถหวังได้หรือไม่ ? สำหรับองค์ชายเก้า การที่ไม่ทำให้ท่านเดือดร้อนก็ถือเป็นโชคดีแล้ว ควรจะรู้จักพอ !


แต่ฮูหยินผู้เฒ่าก็เป็นคนประเภทนี้ เมื่อพูดถึงความมั่งคั่ง นางไม่รู้สึกพอ เหรียญทองยังอยู่ในเฉียนโจว แต่นางวางแผนไว้ว่าจะปฏิบัติต่อเฟิงหยูเฮงให้ดีขึ้นเล็กน้อย โดยหวังว่าจะได้รับประโยชน์บางอย่าง


“ใช่แล้ว” ฮูหยินผู้เฒ่าคิดได้ทันที “รีบไปที่วัดแล้วย้ายเจ้าแม่กวนอิมไปที่เรือนยูหลาน ไม่อนุญาตให้ฮันชิสร้างปัญหา สำหรับนางที่พยายามไม่ให้เฟิงจินหยวนกลับไปหาคังอี้ที่เรือนเมื่อคืน แม้ว่าคังอี้จะเป็นองค์หญิงผู้สูงศักดิ์ แต่นางก็มาจากต่างแคว้นอยู่ดี แต่จุนม่านและจุนเหม่ยเป็นคนที่ฮ่องเต้ส่งมา หากทั้งสองคนขุ่นเคือง ตระกูลเฟิงจะต้องเดือดร้อนแน่นอน”


ยายจาวรับตอบกลับอย่างรวดเร็ว “ท่านฮูหยินผู้เฒ่าไม่ต้องกังวลเจ้าค่ะ บ่าวรับใช้คนนี้จะไปที่เรือนยูหลาน ไม่เพียงแต่ข้าจะต้องส่งเจ้าแม่กวนอิม ข้าจะต้องเตือนอนุฮันด้วยเจ้าค่ะ”


“ดี” ฮูหยินผู้เฒ่ารีบเร่งนาง “ไปเร็ว”


ในขณะที่ยายจาวมุ่งหน้าไปยังวัด เฟิงจินหยวนก็รีบกลับมาเช่นกัน สิ่งแรกที่เขาทำเมื่อกลับมาที่คฤหาสน์คือมาหาฮูหยินผู้เฒ่า หลังจากเข้าไปในห้อง เขาไม่มีเวลาทักทายเขาถามอย่างใจจดใจจ่อ “ท่านแม่ พบทั้งสองคนหรือยังขอรับ ? ”


ฮูหยินผู้เฒ่าถอนหายใจ และพยักหน้าโดยกล่าวว่า “พบแล้ว พวกนางอยู่ที่เรือนจินฟูและเรือนรือหยู คืนนี้เจ้าจะ…”


“คืนนี้ข้าต้องค้างคืนที่เรือนเทียนเซียง” เฟิงจินหยวนมีความแน่วแน่อย่างยิ่ง “เมื่อคืนนี้ข้าดื่มมากเกินไปและไม่คิดให้รอบคอบในหลายสิ่งหลายอย่าง สิ่งนี้ไม่เหมาะสมอย่างแท้จริง คืนนี้ไม่ว่าอย่างไรข้าต้องไปที่เรือนเทียนเซียง ข้าต้องอธิบายกับคังอี้ ข้อที่สอง…” เขาหยุดคิดสักครู่ก่อนพูดต่อ “ท่านแม่ก็เห็น ฮ่องเต้ และฮองเฮาส่งอนุทั้งสองมายังคฤหาสน์ สิ่งนี้ทำให้เกิดปัญหากับตระกูลเฟิงอย่างชัดเจน พูดตามความเป็นจริง จิตใจของข้านั้นค่อนข้างยุ่งเหยิง ความยุ่งเหยิงนี้สามารถถูกจัดการโดยใครบางคนเท่านั้น คนที่มีความคิดที่ชัดเจนอย่างคังอี้”


ฮูหยินผู้เฒ่าพยักหน้า มันคงหนีไม่พ้นที่นางจะสับสนเล็กน้อยเช่นกัน “บอกข้ามาสิ ฮ่องเต้ปกป้องตระกูลเฟิงของเราเพราะคังอี้เข้ามาในคฤหาสน์หรือไม่ ? ไม่ถูกต้อง ก่อนหน้านี้เจ้าไม่ได้พูดว่าฮ่องเต้รู้สึกขอบคุณเมื่อเจ้าบอกว่าเจ้าจะแต่งงานกับคังอี้หรือ ? ”


เฟิงเฟิงจินหยวนย่ำเท้าของเขา “การอยู่ใกล้กับฮ่องเต้ก็เปรียบเสมือนการอยู่ใกล้กับเสือ ข้าได้ช่วยบรรเทาปัญหาของราชวงศ์ต้าชุนโดยป้องกันไม่ให้เฉียนโจวและกูซูรวมตัวกันจากการแต่งงานเชื่อมสัมพันธไมตรี ท่านแม่ไม่ต้องกังวล เรื่องนี้ยังคงต้องสังเกตอีกสองสามวัน เมื่อเร็ว ๆ นี้มีการเปลี่ยนแปลงมากมายในคฤหาสน์ มันต้องทำให้ท่านแม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยอย่างแน่นอน”


“มันช่วยไม่ได้” ฮูหยินผู้เฒ่าโบกมือ “ไม่เป็นไรถ้าเจ้าเข้าใจ ไม่ว่าในกรณีใด เจ้าต้องไปพบอนุทั้งสองคนในวันนี้ อย่าปฏิบัติกับพวกเขาอย่างเย็นชา”


“ข้าเข้าใจ ข้าขอตัวกลับก่อน” หลังจากพูดอย่างนี้เขาก็หันหลังกลับออกไปทันที ใครจะรู้ว่าก่อนที่เขาจะก้าวออกจากประตู ทันใดนั้นคนผู้หนึ่งก็รีบเข้ามาจากข้างนอก ทำให้ชนกับเขา… 

 

 


ตอนที่ 330

 

เฟิงจินหยวนช่วยประคองคนที่ชนเขา เมื่อมองอย่างระมัดระวังเขาพบว่ามันเป็นเฟิงเฟินได


จากนั้นเขาก็เห็นเฟิงเฟินไดทำหน้าตกใจ นางคว้าแขนของเฟิงจินหยวนอย่างหมดหวัง นางพูดด้วยความตกใจ “ท่านพ่อ ! ท่านพ่อกลับมาทันเวลาพอดี รีบไปหาแม่รองฮันเร็วเจ้าค่ะ ! ”


เฟิงจินหยวนขมวดคิ้วเนื่องจากเขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกขุ่นเคือง


เมื่อคืนเขาดื่มมากเกินไปทำให้เขาถูกลากไปที่เรือนหยูหลาน สิ่งนี้ทำให้คังอี้อยู่ในห้องหอเพียงลำพัง เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ตอนนี้เขารู้สึกเสียใจ ยิ่งไปกว่านั้นมีบางอย่างที่เกิดขึ้นกับรุ่ยเจีย แต่เขาไม่ได้อยู่ปลอบคังอี้ สิ่งนี้สามารถปล่อยวางได้เนื่องจากมันผ่านไปแล้วในอดีต นอกจากนี้เป็นเพราะเขาดื่ม เขาก็รู้สึกผิดต่อคังอี้เล็กน้อย ต้องขอบคุณสิ่งที่เขาทำอย่างที่ฮันชิต้องการ แต่เฟิงเฟินไดกลับมาอีกครั้งในวันนี้ มารดาและบุตสาวคู่นี้ไร้เหตุผลมากเกินไป !


“ออกไป ! ” เขาผลักนางออกไปอย่างแรงทำให้เฟิงเฟินไดถอยไปหลายก้าว “หยุดสร้างปัญหาได้แล้ว ไม่อย่างนั้นอย่าโทษข้า ข้าจะไม่ไปที่เรือนหยูหลานอีก ! ”


“ท่านพ่อ!” เฟิงเฟินไดตกใจมาก แต่นางก็รู้ทันทีว่าเฟิงจินหยวนอาจรู้สึกว่านางมาหลอกเขาให้ไปหาฮันชิ ดังนั้นนางจึงรีบอธิบายว่า “ไม่ใช่อย่างนั้นเจ้าค่ะ เฟินไดไม่กล้าโกหกท่านพ่อแน่นอน แม่รองฮันมีเลือดออก นางมีเลือดออกเจ้าค่ะ ! ”


“อะไรนะ?” เฟิงจินหยวน และฮูหยินผู้เฒ่าต่างตกใจกันมาก ฮูหยินผู้เฒ่ารีบถามอย่างใจจดใจจ่อ “เจ้าพูดจริงหรือไม่”


“มันเป็นความจริงเจ้าค่ะ มันเป็นเรื่องจริง ท่านพ่อ ท่านย่า รีบไปดูเถิดเจ้าค่ะ ! ”


เมื่อได้ยินว่าฮันชิมีเลือดออก เฟิงจินหยวนไม่สามารถเลือกที่จะไม่ไปได้ เขาไปที่เรือนหยูหลานพร้อมกับฮูหยินผู้เฒ่า ก่อนที่จะเข้าห้องนอนของฮันชิ เขาสามารถได้ยินเสียงหญิงสาวตะโกนจากข้างในด้วยเสียงกระวนกระวายว่า “จะทำอย่างไร มีเลือดออกมา ! ”


เมื่อได้ยินเช่นนั้น ทั้งสองก็ตกใจ และเฟิงจินหยวนพูดเสียงดัง “รีบเชิญท่านหมอมา ! ” เมื่อได้รับคำสั่งของเขา บ่าวรับใช้ของเรือนก็รีบไปเชิญหมอ เฟิงจินหยวนและฮูหยินผู้เฒ่าเข้าไปในห้อง จากนั้นก็เห็นฮันชินอนอยู่บนเตียงพร้อมกับใบหน้าซีด ขาของนางขด สีหน้าของนางเจ็บปวด ผ้าปูที่นอนถูกย้อมเป็นสีแดง


หัวใจของฮูหยินผู้เฒ่าตกลงที่ตาตุ่ม ขณะที่นางคิดว่ามันจบแล้ว พวกเขาระมัดระวังอย่างยิ่งกับการตั้งครรภ์นี้ แต่พวกเขาไม่สามารถปกป้องมันได้


เฟิงจินหยวนโกรธมาก “เมื่อวานนี้นางยังสบายดีอยู่ เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”


คนในห้องไม่รู้จะตอบยังไง เฟิงเฟินไดร้องไห้ด้วยความกลัว และบ่าวรับใช้ส่วนตัวของนางกล่าวว่า “อนุฮันสบายดีเจ้าค่ะ แต่หลังจากที่ท่านใต้เท้าไปราชสำนักในเช้าวันนี้ อนุฮันอารมณ์ดีมาก อนุฮันอยากทานน้ำแกงปลา แต่… แต่…”


“แต่อะไร?” ฮูหยินผู้เฒ่าเริ่มกังวล “พูดมาเร็ว!”


อาจูคุกเข่าลง “ท่านฮูหยินผู้เฒ่า อนุฮันระวังตัวอยู่เสมอขณะตั้งครรภ์ โดยปกติแล้วอนุฮันจะได้รับการยกเว้นจากคารวะต่อท่านฮูหยินผู้เฒ่า แต่วันนี้อนุฮันนั่งคุกเข่าอยู่ที่ลานหน้าบ้านเป็นเวลานาน พื้นดินเย็นมาก ข้ากลัวว่าในเวลานั้น…”


“ใช่!” เฟิงเฟินไดคล้อยตาม “เมื่อเช้าองค์ชายเก้าให้เราคุกเข่าตลอดเวลา ขาของข้าก็เริ่มเจ็บจากการคุกเข่าและร่างกายของข้ารู้สึกเย็นมาก แม่รองฮันกำลังตั้งครรภ์ ดังนั้นนางจะทนได้อย่างไร ท่านพ่อ! องค์ชายเก้าเป็นฆาตกร ! พระองค์ และเฟิงหยูเฮงสมรู้ร่วมคิดกันอย่างแน่นอน พวกเขาเป็นฆาตกรเจ้าค่ะ ! ”


นางเริ่มกรีดร้องเนื่องจากครั้งหนึ่งนางเคยตกหลุมรักซวนเทียนหมิงแต่นางถูกปฏิเสธ นางจึงตั้งความหวังอันใหญ่หลวงสำหรับบุตรในครรภ์ของฮันชิ แม้ว่าคังอี้จะเข้ามาในคฤหาสน์ และหลานสาวของฮองเฮาทั้งสองก็เข้ามา ตราบใดที่ฮันชิให้กำเนิดบุตรชาย ตำแหน่งของนางในคฤหาสน์เฟิงก็คงไม่ต่ำลง อย่างไรก็ตามนางไม่คิดว่า …


“หุบปากของเจ้าเดี๋ยวนี้ ! ” ฮูหยินผู้เฒ่ากระแทกไม้เท้าลงพื้น และยายจาวก็รีบเดินไปข้างหน้าเพื่อปิดปากของเฟิงเฟินได จากนั้นฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวว่า “เจ้าพูดถึงใคร ? เจ้าไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อแล้วหรือ ? เจ้าไม่รู้ว่ารุ่ยเจียถูกทำร้ายอย่างไรหรือ ? ”


คำถาม 3 ข้อนี้ทำให้เฟิงเฟินไดได้สติกลับมา สิ่งที่ตามมาคือเหงื่อเย็นเต็มใบหน้าและหลังของนาง


นางเริ่มรู้สึกกลัวขณะที่นางมองไปที่ประตูอย่างไม่รู้ตัว ในเวลานี้คังอี้เพิ่งจะพาจุนม่านและจุนเหม่ยเข้ามา เฟิงเฟินไดมองตามพวกนาง จากนั้นก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อนางไม่เห็นเฟิงหยูเฮง ขาของนางหมดแรงจนเกือบทำให้นางล้มลงกับพื้น


นางกลัวจริง ๆ ว่าเฟิงหยูเฮงจะทำร้ายนางที่ใส่ร้ายองค์ชายเก้า ความเจ็บปวดของรุ่ยเจียเมื่อวานนี้เป็นสิ่งที่นางจะไม่สามารถลืมได้ในชีวิตนี้ องค์หญิงที่สง่างามของอาณาจักรอื่นยังถูกเฆี่ยนถึงขนาดนั้น ซึ่งคงน้อยกว่านาง


ในขณะที่นางกำลังตกอยู่ในความคิด กลุ่มสามคนของคังอี้ก็เดินเข้ามาแล้ว คังอี้พยักหน้าให้เฟิงจินหยวนจากนั้นก็ไปดูฮันชิ จุนม่านและจุนเหม่ยเดินไปที่เฟิงจินหยวนแล้วคุกเข่าพร้อมกันพูดว่า “อนุคารวะท่านพี่เจ้าค่ะ”


เฟิงจินหยวนถูกฮ่องเต้เรียกเข้าพบในขณะที่อยู่ในราชสำนักเพื่อหารือเกี่ยวกับเรื่องนี้ เกี่ยวกับอนุทั้งสองนี้ เขามีความเข้าใจ เมื่อหลายปีก่อนเขาเคยได้พบ 2 ครั้ง ในเวลานั้นพวกนางยังเด็ก เมื่อทักทายเขาแล้ว พวกนางยังเรียกเขาว่าลุงเฟิง แต่เขาไม่เคยคิดว่าพวกนางจะถูกส่งมาที่คฤหาสน์เฟิงในวันนี้เพื่อเป็นอนุของเขา เมื่อเฟิงจินหยวนคิดเรื่องนี้ หน้าผากของเขาเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ หลานสาวของฮองเฮาที่มีปูมหลังที่น่าอึดอัดใจแบบนั้นทำให้เขารู้สึกหมดหนทาง


“ไม่จำเป็นต้องสุภาพมากนัก” เขาโบกมือและให้ทั้งสองยืนขึ้น ในขณะที่เขาถอนหายใจ “สิ่งที่เกิดขึ้นในคฤหาสน์วันนี้ และพวกเจ้าไม่ได้เป็นคนนอกอีกต่อไป เพลิดเพลินไปกับช่วงเวลาหลายปีด้วยกัน”


จากนั้นทั้งสองคนก็เดินไปที่เตียง เมื่อเห็นสถานการณ์ของฮันชิ จุนม่านก็เริ่มทำหน้าบึ้ง


คังอี้ยุ่งถามอาจู “เจ้าเรียกหมอมาหรือยัง ? ”


อาจูตอบพยักหน้า “ตอบกลับไปที่ท่านฮูหยินใหญ่ ข้าส่งคนไปตามหมอแล้วเจ้าค่ะ”


คังอี้ยืนขึ้นแล้วมองเฟิงจินหยวน “ท่านพี่จะทำอย่างไรกับเรื่องนี้เจ้าคะ ? ”


เฟิงจินหยวนถอนหายใจ “ข้าจะทำอะไรได้ ? เป็นไปได้หรือไม่ที่เราควรไปหาองค์ชายเก้าเพื่อรายงานกับเรื่องที่เกิดขึ้น ? พระองค์เคยมีเหตุผลหรือไม่ ? หรือข้าต้องไปที่พระราชวังเพื่อกราบทูลเรื่องนี้แก่ฮ่องเต้” เมื่อใดก็ตามที่พูดถึงองค์ชายเก้า ฮ่องเต้ก็ไม่มีเหตุผล


ฮูหยินผู้เฒ่าโกรธมากจนน้ำตาคลอด “หลานชายที่ยังไม่เกิดของข้า ! ”


คังยี่มองไปที่ฮันชิอีกครั้งจากนั้นจึงสั่งบ่าวรับใช้ “รีบไปที่ห้องเก็บของ และนำไม้วอร์มวูดมาเผา เราไม่สามารถหาข้อสรุปใด ๆ ได้ในขณะนี้ ไม่ว่าในกรณีใดเราต้องรอให้หมอมาถึงก่อน รีบไปเอาไม้มาเร็ว ! “


ความตั้งใจที่แน่วแน่ของคังอี้นั้นทำให้ความหวังของฮูหยินผู้เฒ่ามีความหวัง แต่ถึงแม้ทุกคนจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อรักษาเด็ก แต่หัวใจของพวกเขาก็เต็มไปด้วยความหวาดกลัวอย่างแท้จริง


เฟิงเฟินไดเฝ้าดูคังอี้กำกับบ่าวรับใช้ในฐานะฮูหยินใหญ่ ความโกรธที่นางไม่สามารถระบายกับซวนเทียนหมิงนั้นได้พุ่งตรงไปหาคังอี้ นางจ้องเขม็งที่คังอี้จากนั้นก็เริ่มกรีดร้องเสียงดัง “หยุดทำตัวเป็นคนดีได้แล้ว ! องค์หญิงใหญ่ ท่านไม่สามารถสั่งสอนบุตรสาวของตัวเองได้ ! ถ้าไม่ใช่เพราะนางทำให้องค์ชายเก้าขุ่นเคือง พระองค์จะมาที่คฤหาสน์หรือ ? ”


ไม่มีสิ่งใดที่คังอี้พูดได้ เรื่องนี้เกิดจากรุ่ยเจียแน่นอน เมื่อเฟิงเฟินไดตำหนินางตำหนิเช่นนี้ นางก็ไม่สามารถป้องกันตัวเองได้


เฟิงจินหยวนต้องการดุนาง แต่เมื่อเขาเห็นฮันชิเขาก็รู้สึกอึดอัด คฤหาสน์เฟิงมีบุตรชายเพียงคนเดียว ดังนั้นเขาจึงมีความหวังอย่างมากสำหรับบุตรของฮันชิ !


ในห้องนี้ ฮันชิร้องไห้ออกมาอย่างขมขื่น และเฟิงเฟินไดก็กรีดร้องเป็นบางครั้ง ในขณะที่จุนม่านและจุนเหม่ยกระซิบเบ าๆ คังอี้สั่งให้บ่าวรับใช้เผาไม้วอร์มวูดอย่างต่อเนื่อง ฮูหยินผู้เฒ่าและเฟิงจินหยวนนั่งข้างกันด้วยอย่างโกรธ พวกเขาส่ายหน้า


ในเวลานี้อันชิและเฟิงเซียงหรูก็มาถึง หลังจากนั้นไม่นานจินเฉินและเฟิงเฉินหยูก็รีบมาเช่นกัน จำนวนคนในห้องเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แม้ว่าจะดูไม่แออัด แต่บรรยากาศก็อึดอัด


ในที่สุดหมอก็มาถึง


ผู้คนในตระกูลเฟิงมารวมตัวกันรอบ ๆ เพื่อบอกอาการของฮันชิที่คุกเข่าเมื่อเช้า พวกเขาเห็นหมอชรารู้สึกว่าชีพจรของฮันชินั้นกลับมาอีกครั้ง จากข้อสงสัยแรกเริ่มจนถึงการยืนยันในที่สุดเขาก็ปล่อย และพูดกับทุกคนในตระกูลเฟิงว่า “อนุฮันได้สูญเสียบุตรในครรภ์ของนางแล้ว แต่ไม่ใช่เพราะคุกเข่านานเกินไป มันมาจากการถูกวางยาพิษ”


“ยาพิษหรือ ? ” ทุกคนตกใจมาก เฟิงจินหยวนถามอย่างรวดเร็ว “พิษแบบไหน ? นางถูกวางยาพิษได้อย่างไร ? ”


หมอลุกยืนขึ้นและคำนับเฟิงจินหยวน “ได้โปรดยกโทษให้หมอชราผู้นี้ด้วย อนุฮันใช้ยาจำนวนมากเพื่อส่งเสริมการไหลเวียนโลหิต แต่…” เขาคิดเล็กน้อยแล้วพูดว่า “อนุฮันยังไม่ได้สูญเสียทารกในครรภ์ไปเสียทีเดียว ข้าสามารถนำหมอที่เก่งมาได้ภายใน 1 ชั่วยาม มันจะเป็นการดีที่สุดที่จะเชิญหมอหลวงมา บางทีทารกในครรภ์อาจจะรอดได้”


“จริงหรือ?” ฮูหยินผู้เฒ่าดีใจทันทีที่ได้ยินเรื่องนี้ “เฟิงจินหยวนรีบเชิญหมอหลวงมาเร็ว ! ”


เฟิงจินหยวนขมวดคิ้ว และกล่าวว่า “หมอหลวงต้องเข้าวังในวันนี้ ตอนนี้ประตูพระราชวังก็ปิดประตูแล้ว ไม่มีใครสามารถเรียกหมอออกมาได้!” เขาพูดอย่างนี้ในขณะที่คิด ในท้ายที่สุดเขาก็เหยียบเท้าของเขาแล้วพูดเสียงดัง “ไปเร็ว ! ไปเชิญคุณหนูรองมา ! ”


ด้วยความกลัวว่าเฟิงหยูเฮงจะไม่มา เฟิงจินหยวนจึงส่งอันชิไปเชิญนาง อันชิเป็นคนตรงไปตรงมาและนางไม่มีความปรารถนาที่จะต่อสู้เพื่อความโปรดปราน เมื่อเห็นว่าฮันชิเสียเลือดมาก นางก็รู้สึกกังวลเช่นกัน นางเดินไปยังเรือนตงเซิงเพื่อเชิญเฟิงหยูเฮงมา


เมื่อเฟิงหยูเฮงได้ยินข่าวนี้นางก็สงสัย นางรู้สึกชีพจรของฮันชิโดยเฉพาะในตอนเช้าขณะที่นางยังคุกเข่า นางสบายดี ทารกในครรภ์ของนางทรงตัว ดังนั้นนางจะตกเลือดในเวลากลางคืนได้อย่างไร


ในขณะที่เดิน อันชิพูดกับนางว่า “โชคดีหมอคนนั้นตรวจดูแล้วพบว่านางถูกวางยาพิษ ไม่เช่นนั้นอาจจะเป็นคุณหนูรองและองค์ชายเก้าที่ถูกตำหนิ”


เฟิงหยูเฮงขมวดคิ้ว “พวกเขาช่างโง่เขลา พวกเขาไม่มีความคิดเป็นอื่น คนที่บังคับให้ฮันชิต้องคุกเข่าคือองค์ชายเก้า แม้ว่าทารกในครรภ์ตายไปเพราะสิ่งนี้ แล้วจะสามารถทำอะไรได้ ? เป็นไปได้หรือว่าตระกูลเฟิงจะไปที่ตำหนักหยูเพื่อเรียกร้อง ? น่าขันมาก พวกเขาทำได้แค่ทนทุกข์ทรมานและร้องไห้เงียบ ๆ เท่านั้น”


อันชิคิดและรู้สึกว่าเฟิงหยูเฮงพูดถูกต้อง ไม่ต้องพูดถึงว่านี่เป็นบุตรที่ยังไม่เกิด ถึงแม้ว่าจะเป็นเฟิงเฟินไดที่เสียชีวิต ตระกูลเฟิงจะกล้าต่อสู้กับตำหนักหยูหรือ?


“เป็นเพราะยาพิษ พวกเขาตรวจสอบสิ่งที่ฮันชิกินในตอนบ่ายหรือไม่ ? ” นางสามารถระบุได้ว่าฮันชิถูกวางยาพิษในช่วงบ่ายอย่างแน่นอน เพราะนางตรวจชีพจรของฮันชิเมื่อซวนเทียนหมิงกลับไป ในเวลานั้นฮันชิมีสุขภาพที่แข็งแรง


อันชิส่ายหัว “ข้าไม่รู้ว่ามีใครถูกส่งไปสอบสวนหรือไม่ หมอผู้นั้นกล่าวว่าอาจมีความหวังในการช่วยชีวิตเด็กหากมีการรักษาภายใน 1 ชั่วยาม บางทีพวกเขากำลังคิดเกี่ยวกับสิ่งนี้”


เฟิงหยูเฮงไม่ได้พูดอะไรเพิ่ม ขณะที่นางเพิ่มความเร็วเพื่อให้ไปถึงเรือนหยูหลาน


นางไม่คิดว่าทารกในครรภ์ของฮันชิจะเสียชีวิตไปเช่นนี้ เช่นนี้ตระกูลเฟิงจะต้องสูญเสียบุตร ในเรื่องที่แย่ที่สุดเฟิงจินหยวนจะรู้สึกสงสาร นางต้องทำให้แน่ใจว่าเด็กคนนี้จะเกิดมา เพื่อให้แน่ใจว่ามันเหมาะสมกับฮันชิและการวางแผนไม่หยุดหย่อนของบุตรสาวของนาง เช่นนี้คฤหาสน์ตระกูลเฟิงจะมีเรื่องที่น่าตื่นเต้นยิ่งขึ้นไปอีก


เมื่อเฟิงหยูเฮงมาถึง หมอก็จากไปแล้ว เฟิงจินหยวนและฮูหยินผู้เฒ่ามาต้อนรับนางด้วยตัวเอง เช่นนี้พวกเขาต้อนรับนางอย่างอบอุ่นและยินดีอย่างที่ไม่เคยเป็นเช่นนี้มาก่อน


ไม่ใช่แค่สองคนนี้เท่านั้น แม้แต่เฟิงเฟินไดก็ก้าวไปข้างหน้า นางพูดอย่างโศกเศร้าและวิงวอนว่า “พี่รอง ช่วยน้องชายของข้าด้วยเจ้าค่ะ ! ”


เฟิงหยูเฮงหัวเราะ “ใครบอกเจ้าว่าเป็นน้องชาย”


เฟิงเฟินไดไม่สามารถโต้เถียงกับนางได้ในเรื่องนี้ นางเปลี่ยนคำพูดของนางทันทีว่า “ไม่ว่าจะเป็นน้องชายหรือน้องสาวก็ดี ข้าแค่ขอให้พี่รองช่วยพวกเขาแค่นั้น”


ฮูหยินผู้เฒ่ายังกล่าวอีกว่า “อาเฮงเจ้าเป็นความหวังเดียวของพวกข้า”


ขณะที่กำลังพูดอยู่นี้ นางย้ายไปที่ด้านข้างของฮันชิและเอื้อมมือไปจับข้อมือ หลังจากผ่านไป 3 ลมหายใจ นางก็วางมันลง “ผงเห็ดหูหนูในปริมาณมากช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือด และรบกวนทารกในครรภ์” ในขณะที่พูดสิ่งนี้นางได้รับยาจากหวงซวน นางหยิบเข็มเงินออกมาพร้อมกับเปิดผ้าห่มและถอดเสื้อผ้าของฮันชิ ก่อนที่จะฝังเข็ม 10 เล่มที่ท้องของฮันชิ จากนั้นนางก็พูดว่า “ส่งคนไปตรวจว่าอนุฮันกินอะไรลงไป หากมีปลาดิบให้เอามาให้ข้าดู”


เมื่อได้ยินเช่นนั้น พวกเขาได้ยินอาจูอุทานออกมาว่า “อ๊ะ” และมองที่เฟิงหยูเฮงด้วยความกลัว “คุณหนูรองหมายความว่ามีคนทำอะไรบางอย่างให้อนุฮันกินหรือเจ้าคะ” หลังจากพูดเช่นนี้ ก่อนที่เฟิงหยูเฮงจะพูดอะไร นางมองเขม็งที่คังอี้ 

 

 


ตอนที่ 331

 

คังอี้ได้เตรียมใจมานานแล้ว ในเมื่อนางเป็นฮูหยินใหญ่ที่เพิ่งแต่งเข้ามาในคฤหาสน์ และมีอนุที่ตั้งครรภ์แล้ว เมื่อมีอะไรเกิดขึ้น มันจะง่ายสำหรับผู้คนที่จะเข้าใจผิดและคิดว่านางเป็นคนทำ


นางมองอาจูแล้วพยักหน้ากล่าวว่า “ตอนบ่ายข้าออกไปดูพวกเขาเตรียมอาหารบำรุงให้อนุฮัน ในเวลานั้นพวกเขากำลังเตรียมมันเทศและน้ำแกงไก่ดำ และข้าก็บอกกับพ่อครัวว่าพวกเขาต้องใส่ใจเรื่องเวลาและคุณค่าอาหาร” หลังจากที่นางพูดจบนางหันไปมองเฟิงจินหยวน และกล่าวว่า “คังอี้เพิ่งเข้ามาในคฤหาสน์ และข้าก็ไปที่ห้องครัวพร้อมกับบ่าวรับใช้มากมายที่กำลังมอง ท่านพี่ ข้าไม่โง่ที่จะทำอะไรเช่นนั้น”


เฟิงจินหยวนก็รู้สึกว่านี่เป็นเรื่องเล็กน้อยเกินไป แต่ด้วยจุดยืนปัจจุบันของเขา เขาไม่สามารถลำเอียงได้ คังอี้รู้สึกเจ็บปวด แต่ฮันชิอยู่ระหว่างการแท้งบุตร เขาไม่สามารถปล่อยให้นางแย่ไปกว่านี้


เขามองไปที่ฮูหยินผู้เฒ่า “ท่านแม่คิดอย่างไร ? ”


ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวเบา ๆ สั่งให้บ่าวรับใช้ “ไปตามหัวหน้าพ่อครัวที่ดูแลเรื่องอาหารบำรุงของอนุฮัน”


ในด้านนี้พวกเขากำลังตรวจสอบไม่ว่าง ในด้านของเฟิงหยูเฮง นางยุ่งอยู่กับการตรวจร่างกายของฮันชิ ฮันชิฟื้นสติขึ้นมาเล็กน้อย นางลืมตานางเห็นเฟิงหยูเฮงดูแลนางไม่หยุดมือ และนางก็รู้สึกสบายใจขึ้นเล็กน้อย นางต้องการที่จะพูดขอบคุณ แต่เมื่อนางเห็นใบหน้าที่ไร้อารมณ์นั้น คำพูดที่มาถึงริมฝีปากของนางก็ไม่สามารถเอ่ยออกมาได้


เฟิงหยูเฮงทำการฝังเข็มและสั่งยา นอกจากนั้นนางยังฉีดยาให้ฮันชิด้วย ฮันชิรู้แค่ว่าการฉีดยาครั้งนี้เจ็บปวดมาก ดูเหมือนว่าของเหลวสีขาวกำลังถูกฉีดเข้าไปในท้องของนาง แต่เฟิงหยูเฮงไม่อนุญาตให้นางเคลื่อนไหวหรือกรีดร้อง นางต้องกัดฟันทนจนกว่าของเหลวจะถูกฉีดจนหมด นางเริ่มรู้สึกกลัวเล็กน้อย


“ทารกในครรภ์ของอนุฮันปลอดภัยแล้ว” เฟิงหยูเฮงหยัดกายขึ้นและเก็บเครื่องมือทั้งหมดของนาง จากนั้นนางก็พูดว่า “อีก 7 วันข้างหน้า ข้าจะมาฉีดยาให้อีกครั้ง หลังจาก 7 วันร่างกายของอนุจะดีขึ้น”


เสียงของนางไม่เบาและมันก็ดังพอที่ทุกคนในห้องจะได้ยิน ฮูหยินผู้เฒ่าและเฟิงจินหยวนหันไปมอง เมื่อได้ยินแบบนี้ พวกเขาก็เข้าไปอย่างรวดเร็วและถามด้วยความประหลาดใจ “ทุกอย่างจะดีขึ้นจริงหรือ ? ”


เฟิงหยูเฮงพยักหน้า “ถ้าผ่าน 7 วันนี้ไปได้ มันก็จะไม่เป็นอะไร”


ฮูหยินผู้เฒ่าถอนหายใจด้วยความโล่งอก และพึมพำ “อามิตพุทธ ขอบคุณพุทธองค์ ขอบคุณพุทธองค์”


อันชิคนหนึ่งเตือนนางว่า “ท่านแม่มันเป็นงานหนักสำหรับคุณหนูรอง”


“ใช่ ! ” ฮูหยินผู้เฒ่าจับมือเฟิงหยูเฮงและพูดว่า “ทั้งหมดมันเป็นงานหนักของอาเฮง”


เฟิงหยูเฮงดึงมือของนางออกไปแล้วมองไปรอบ ๆ ห้องทันที แล้วถามว่า “ตอนนี้หมอผู้นั้นมาจากไหน ? “


ทุกคนตกตะลึง บ่าวรับใช้ตอบว่า “มันเป็นหมอจากร้านห้องโถงรักษาชีวิตเจ้าค่ะ คฤหาสน์ของเราไปที่นั้นประจำเพื่อเชิญหมอ” นับตั้งแต่เฟิงจื่อหรูเกือบโดนวางยาปลุกกำหนัด ตระกูลเฟิงไม่เคยมีหมอประจำอยู่ ทุกครั้งที่มีอะไรเกิดขึ้น พวกเขาจะไปที่ร้านห้องโถงรักษาชีวิตเพื่อเชิญหมอ หรือใช้ตราประทับของเฟิงจินหยวนเพื่อเชิญหมอหลวงมา


เมื่อได้ยินว่ามันเป็นหนึ่งในแพทย์ของร้านห้องโถงรักษาชีวิต เฟิงหยูเฮงพยักหน้าจากนั้นกล่าวกับหวงซวน “นำเงินไปให้หมอ 100 เหรียญเงิน บอกว่าองค์หญิงแห่งมณฑลจี่อันขอบคุณที่มาช่วย เพราะเขาชี้แจงสถานการณ์ ข้ากลัวว่าอนุฮันจะกล่าวโทษองค์ชายเก้า”


สมาชิกของตระกูลเฟิงตัวสั่น และเฟิงจินหยวนพูดอย่างไม่รู้ตัวว่า “ไม่มีทาง ไม่มีทางเลย เจ้าคิดมากเกินไป พวกเขาคิดว่าเป็นมารดาของเจ้า”


ทุกคนหน้าซีด พวกเขาคิดว่าเสนาบดีผู้นี้ไร้ความสามารถในการพูดโดยสิ้นเชิงเมื่ออยู่ต่อหน้าบุตรสาวคนที่สองของเขา


นอกจากนี้ไม่มีสิ่งใดที่คังอี้สามารถทำได้ แต่นางเข้าใจเฟิงจินหยวนและนางก็สนับสนุนเขาในการพูดแบบนี้ นอกจากนี้องค์ชายเก้าก็ไม่ใช่คนที่เขาจะทำให้ขุ่นเคืองได้ หากตระกูลเฟิงสามารถปิดประตูเพื่อแก้ไขสิ่งต่าง ๆ ได้ก็จะดีที่สุด


เฟิงหยูเฮงรู้ว่าคังอี้ไม่รับผิดชอบในเรื่องนี้ หากองค์หญิงใหญ่ของเฉียนโจวนั้นเป็นคนโง่ นางก็จะไม่สามารถเข้ามาในคฤหาสน์เฟิงได้


“ตอนเย็นอาเฮงจะมาตรวจอนุฮัน ข้าหวังว่าท่านพ่อจะมีคนให้ความสำคัญกับอาหารที่อนุฮันกินมากขึ้น หากสิ่งนี้เกิดขึ้นอีกครั้ง แม้ว่าจะมียาวิเศษ ชีวิตของเด็กคนนี้ก็ไม่สามารถรักษาไว้ได้”


เฟิงจินหยวนพยักหน้า “แน่นอน”


นางเดินไปที่ประตูแล้วพูดว่า “สำหรับคนที่วางยาพิษ อาเฮงไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้”


ตั้งแต่เฟิงหยูเฮงมาจนถึงกลับไป ใช้เวลาไม่เกินครึ่งชั่วยาม ทุกคนมองไปที่ฮันชิซึ่งก่อนหน้านี้ใบหน้านางซีดมากจากการที่เลือดไหลไม่หยุด แต่ตอนนี้ผิวหน้าของนางเริ่มมีเลือดฝาด เลือดก็หยุดแล้ว พวกเขาชื่นชมความสามารถทางการแพทย์ของเฟิงหยูเฮงอย่างเงียบ ๆ อีกครั้ง


ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวด้วยความโกรธเคืองว่า “กล้าวางยาพิษบุตรของตระกูลเฟิง เมื่อพบคนผู้นั้น ไม่ว่าจะเป็นใคร จะต้องถูกประหาร ! ” นางพูดอย่างนั้นนางจ้องมองที่พ่อครัวและบ่าวรับใช้ที่นำยาของฮันชิมาและพูดอย่างเย็นชาว่า “พาพวกเขาออกไป”


ในทันใดนั้นบ่าวรับใช้ชายที่แข็งแกร่งบางคนก็ออกไปข้างหน้าแล้วลากพวกเขาออกไป ในขณะเดียวกันพวกเขาก็ปิดปากเพื่อป้องกันเสียงกรีดร้องของพวกเขาจากฮันชิ


เฟินไดมองไปที่ทุกคนและพยายามพูดกับเฟิงจินหยวน “ท่านพ่อ คืนนี้…”


คังอี้พูดแทรกอย่างรวดเร็ว “สามีต้องอยู่กับน้องฮันในคืนนี้ อย่างแรกคือลดการตกใจของนาง ประการที่สองน้องฮันเพิ่งผ่านเรื่องร้ายแรงมา และร่างกายของนางก็อ่อนแอมาก หากมีคนใช้โอกาสนี้ทำอะไรบางอย่าง นี่จะเป็นหายนะอย่างแท้จริงเจ้าค่ะ ! ”


เมื่อได้ยินคังอี้พูดออกมาอย่างเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ฮูหยินผู้เฒ่าพยักเห็นด้วยหน้าซ้ำ ๆ


จุนม่านและจุนเหม่ยมองหน้ากัน ขณะที่จุนม่านกล่าวว่า “เมื่อเราออกจากพระราชวังในวันนี้ ท่านป้าบอกว่าสินสอดของพวกเราจะมาถึงในวันพรุ่งนี้ มีอาหารบำรุงมากมาย เมื่อสินเดิมมาถึง อนุจะมาส่งมอบด้วยตัวเองเจ้าค่ะ”


ฮูหยินผู้เฒ่ามีความสุขยิ่งขึ้น กล่าวว่า “ถูกต้องแล้ว ครอบครัวควรเป็นเช่นนี้ ตอนนี้คฤหาสน์ของเรากำลังเฟื่องฟู เมื่อวันเหล่านี้ผ่านไปแล้ว ข้าจะหวังว่าเจ้าจะมีหลานให้ข้าอีก!”


คำพูดเหล่านี้ทำให้ทั้งสามคนก้มหน้าลง ใบหน้าของพวกนางแดงก่ำ


ในเวลานี้ยายที่แข็งแรงได้ลากตัวคน 2 คนมา พวกเขาพยักหน้าให้ฮูหยินผู้เฒ่า และหนึ่งในนั้นยื่นมือของนางไปที่ฮูหยินผู้เฒ่า “พบในครัวเจ้าค่ะ ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่บ่าวรับใช้ไม่สามารถซื้อได้เจ้าค่ะ”


เมื่อทุกคนได้ยินแบบนี้ พวกเขาทั้งหมดรวมตัวกันรอบ ๆ ในขณะที่ยายถือต่างหูหยกสีชมพูในรูปมะระ มันถูกตกแต่งอย่างสวยงามและดูประณีตสวยงามมาก


ฮูหยินผู้เฒ่ารับมันจากนั้นก็มองคังอี้ คังอี้กล่าวอย่างรวดเร็ว “ลูกสะใภ้เข้าห้องครัว แต่ข้าไม่ได้ใส่ต่างหูแบบนี้ ยิ่งกว่านั้นในเรื่องของสีและรูปลักษณ์ มันไม่ใช่สิ่งที่คนในวัยของข้าใส่เจ้าค่ะ ! ”


ฮูหยินผู้เฒ่าพยักหน้า คังอี้พูดถูก สิ่งนี้เป็นสิ่งที่คนหนุ่มสาวใช้และคังอี้จะไม่ใส่มัน นางยื่นต่างหูในมือของนางแล้วพูดกับเฟิงจินหยวน “บางทีนี่อาจเป็นเบาะแส”


อย่างไรก็ตามเฟิงจินหยวนขมวดคิ้วและไม่ได้มองมัน เขารู้สึกว่าเขาเคยเห็นที่ไหนมาก่อน แต่เขาจำไม่ได้ว่าอยู่ที่ไหน


ฮูหยินผู้เฒ่าก็พูดอีกครั้ง อย่างไรก็ตามในครั้งนี้นางพูดกับทุกคน “อย่าคิดว่าข้าแก่แล้ว ข้าจะไม่รู้อะไรเลย สามารถทำสิ่งนี้ในเรือนได้ คนร้ายอยู่ในห้องนี้แน่นอน หากรู้ตัวว่าทำผิด ให้ไปหาข้าที่เรือนซูหยาในเช้าวันพรุ่งนี้เพื่อยอมรับความผิดของตัวเอง ข้าจะละเว้นโทษประหารชีวิต มิฉะนั้นแม้ว่าร่างกายนางจะถูกหั่นเป็นพัน ๆ ชิ้นไม่เพียงพอ ! ”


คำพูดเหล่านี้ทำให้ทุกคนสั่นด้วยความกลัว


พี่น้องเฉิงมองหน้ากัน ก่อนที่พวกนางจะออกจากพระราชวัง พวกนางเคยได้ยินว่าครอบครัวใหญ่นั้นเต็มไปด้วยอุบายและเล่ห์เหลี่ยม อย่างไรก็ตามพวกนางไม่คิดว่าในวันแรกที่พวกนางเข้ามาในคฤหาสน์เฟิง สิ่งนี้จะเกิดขึ้นมา การพยายามฆ่าทารกในครรภ์และพวกเขาเลือกช่วงเวลาดังกล่าว ถ้าไม่ใช่เพราะหมอวินิจฉัยว่ามันเป็นยาพิษ บางทีเรื่องนี้องค์ชายเก้าอาจกลายเป็นฆาตกร แม้ว่าตระกูลเฟิงจะไม่กล้าพูดอะไรออกไป  แต่พวกเขาก็จะคิดถึงสิ่งต่าง ๆ


เฟิงหยูเฮงเข้าใจตรรกะนี้ ในเวลานี้นางกำลังเดินกลับไปที่เรือนตงเซิงกับหวงซวน นางพูดอย่างใจเย็นว่า “การยืมมือของซวนเทียนหมิงเพื่อจัดการกับฮันชิ ตระกูลเฟิงไม่กล้าพูด ดังนั้นพวกเขาจะต้องทนทุกข์ในความเงียบ นางทำได้ดีจริง ๆ ”


“คุณหนูรู้ว่าใครเป็นคนทำหรือเจ้าคะ ? ” หวงซวนขมวดคิ้วด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธ


เฟิงหยูเฮงพูดเยาะเย้ย “รอดูต่อไป จะมีคนมาที่เรือนของเราและคุกเข่าในคืนนี้”


หวงซวนไตร่ตรอง และพูดทันที “เช่นนั้นบ่าวรับใช้ผู้นี้จะบอกยามว่า ถ้ามีใครมาในคืนนี้ให้พวกเขาเข้ามาได้”


ก่อน 21.00 น. มีใครบางคนเข้ามาในเรือนของเฟิงหยูเฮง สวมเสื้อคลุมสีเทาเข้มและหมวกที่ปิดหน้า หันหน้าไปทางประตู พวกเขาไม่ได้พูดอะไรเลย


ในเวลานี้เฟิงหยูเฮงนั่งอยู่ในห้องของนางและทานลูกแพร์อยู่ นางถือลูกแพร์อยู่ในมือ ขณะที่หวงซวนแกะอีกลูกหนึ่งให้นาง


“ข้าไม่เคยคิดเลยว่าจะเป็นเจ้า” หวงซวนโกรธมาก “เมื่อก่อนคุณหนูช่วยนางหลายครั้ง ในช่วงที่ถูกฮันชิรังแก เป็นคุณหนูที่ส่งคนมาช่วยนาง มันอาจถูกเพิกเฉยถ้านางไม่แสดงความขอบคุณ แต่กล้าใช้ยาพิษเพื่อใส่ร้ายองค์ชายเก้า ข้าไม่รู้จริง ๆ ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่”


อย่างไรก็ตามเฟิงหยูเฮงไม่รู้สึกว่ามันไม่คาดคิด “ก่อนหน้านี้ฐานะของนางไม่มั่นคงในคฤหาสน์ ดังนั้นนางจึงต้องระวังตลอดเวลา ถ้านางไม่ยืนอยู่ข้างข้าบางทีนางอาจตายก่อนที่เฉินซื่อจะตาย แต่ตอนนี้นางมองคนของนางว่าเป็นเสาหลักของการสนับสนุน และนางเชื่อว่าการที่ข้าจะต่อต้านเฟิงจินหยวนจะส่งผลกระทบต่อนาง นางจึงไม่ทำตัวสนิทสนมกับข้า ตอนนี้ผู้หญิงจำนวนมากเข้ามาในคฤหาสน์ ผู้หญิง 3 คนที่มีตำแหน่งสูงกว่านางก็ปรากฏตัวขึ้นในขณะที่ฮันชิตั้งครรภ์ และอันชิก็มีเซียงหรู แต่นางตัวคนเดียวเท่านั้นที่ไม่มีใครเชื่อ ไม่ต้องสงสัยเลยว่านางจะคิดมาก”


“คุณหนูสงสารนางหรือเจ้าคะ ? ”


“สงสาร” เฟิงหยูเฮงหัวเราะ “บางทีสถานการณ์ของนางน่าสงสาร แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าข้าสามารถทนต่อการใส่ร้ายซวนเทียนหมิงได้ ! ” นางระเบิดความโกรธออกมา “ทำร้ายใครบางคน แต่ขาดความสามารถในการทำสิ่งต่าง ๆ โดยไม่ทิ้งร่องรอย ข้าใช้คนแบบนี้หรือ ? ” นางตะคอกอย่างเย็นชาอีกครั้ง “นางเป็นคนที่พยายามทำร้ายจื่อหรูอยู่แล้ว ข้าให้ชีวิตและให้โอกาสใหม่แก่นาง ตัวนางเองไม่สามารถรับมือกับมันได้และยืนยันว่าจะหาทางทำลาย ดังนั้นผลลัพธ์ที่เป็นไปได้เพียงอย่างเดียวคือความตาย”


หลังจากพูดจบเฟิงหยูเฮงยืนขึ้นแล้วเดินไปที่ประตู ดึงประตูเปิดออก นางตะโกนไปที่สนาม “จินเฉินเข้ามา”


คนที่คุกเข่าในสนามไม่ใช่ใครอื่นนอกจากจินเฉิน เมื่อได้ยินเฟิงหยูเฮงเรียกนาง นางลุกขึ้นจากพื้นอย่างรวดเร็ว ขาของนางที่คุกเข่านานมาก ดังนั้นการเดินจึงเจ็บปวด นางเดินโซเซเข้าไปในห้อง


หวงซวนจ้องมองนางด้วยความโกรธแล้วปิดประตู เมื่อหันมา จินเฉินคุกเข่าอีกครั้งขณะที่นางดึงเสื้อของเฟิงหยูเฮงและขอร้องอย่างขมขื่น “คุณหนูรองช่วยข้าด้วย ข้าขอให้คุณหนูรองช่วยข้าด้วยเจ้าค่ะ ! ”


เฟิงหยูเฮงดึงเสื้อของนางให้หลุดจากมือของจินเฉิน นางหันกลับมานั่งในที่นั่งของนางก่อนจะพูดว่า “ทำไมข้าต้องช่วยเจ้า ? เจ้าไม่มีความสามารถที่จะทำร้ายใคร แต่เจ้าก็ยังที่จะกล้าทำ มีประโยชน์อะไรที่จะต้องช่วยชีวิตคนโง่เขลาเช่นเจ้า ? ”


เมื่อได้ยินสิ่งนี้ หัวใจของจินเฉินก็สั่น เฟิงหยูเฮงเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่จะช่วยชีวิตของนางได้ ถ้าเฟิงหยูเฮงเลือกที่ยืนดู โดยอ้างอิงจากต่างหู ฮูหยินผู้เฒ่าจะพบว่ามันเป็นของนางในไม่ช้าก็เร็ว !


“เป็นเพราะบ่าวรับใช้คนนี้ประมาท ข้าจึงทำต่างหูหล่นและไม่ทันสังเกต ตอนนี้มันอยู่ในมือของฮูหยินผู้เฒ่า ถ้าคุณหนูรองไม่ช่วยบ่าวรับใช้ผู้นี้ ข้าต้องตายแน่นอน ! “


“อะไรนะ ? ” หวงซวนหัวเราะออกมาทันที “เจ้าทำของตกไว้เป็นหลักฐานให้พวกเขาเก็บได้ ? สวรรค์ ด้วยสมองของเจ้า เจ้ายังต้องการที่จะทำร้ายคนอื่น ? ”


เฟิงหยูเฮงได้แต่เอ่ยว่า “ตั้งแต่เจ้าเอาผ้าเช็ดหน้าให้ข้าในตอนแรก ข้าสามารถได้กลิ่นผงเห็ดหูหนู อย่างไรก็ตามข้าไม่เคยคิดเลยว่าแผนการของเจ้าจะมีพิรุธมากมาย” นางพูดอย่างเย็นชาขณะที่นางมองจินเฉินโดยไม่แสดงความเห็นใด ๆ “ทุกคนมีเกล็ดย้อน เจ้าไม่ควรใช้เรื่องการมาเยือนขององค์ชายเก้า จินเฉิน ข้าไม่ฆ่าเจ้าด้วยมือของข้าเองก็ดีแค่ไหนแล้ว”


เมื่อได้ยินเช่นนั้น จินเฉินก็ทรุดลงที่พื้น


ก่อนที่นางจะพูด เสียงเคาะ 3 ครั้งที่ประตู วังซวนผลักประตูเปิดออกและกระซิบเฟิงหยูเฮง เฟิงหยูเฮงตกใจเล็กน้อยจากนั้นก็ถามด้วยความสงสัย “เกิดขึ้นเมื่อไหร่ ? ”


ตอนที่ 332

 

วังซวนพูดเบาๆ “ประมาณครึ่งชั่วยามที่แล้วเจ้าค่ะ”


คิ้วที่สวยงามของเฟิงหยูเฮงขมวดมารวมกัน


จินเฉินที่นั่งอยู่บนพื้นไม่เข้าใจแม้แต่น้อยว่าเจ้านายและบ่าวรับใช้กำลังพูดถึงอะไร ในขณะนี้จิตใจของนางจำได้แต่คำพูดที่เฟิงหยูเฮงกล่าวว่า “ข้าไม่ฆ่าเจ้าด้วยมือของข้าเองก็ดีแค่ไหนแล้ว”


นางเริ่มเสียใจ ในคฤหาสน์นี้มีเพียง 2 คนเท่านั้นที่สามารถให้ความมั่นคงในชีวิตของนางได้ คนแรกก็คือเฟิงเฟิงจินหยวน และคนที่สองก็คือเฟิงเฟิงหยูเฮง น่าเสียดายที่ตอนแรกนางมีทั้งสองคนอยู่ในมือ แต่เนื่องจากความผิดพลาดในการตัดสินใจของนาง นางจึงสูญเสียเฟิงหยูเฮง และการมาอย่างฉับพลันของคังอี้ก็ทำให้นางก็สูญเสียเฟิงจินหยวน


นางกลัวบุตรของฮันชิที่กำลังจะเกิด นางเป็นอนุเพียงคนเดียวในคฤหาสน์ที่ไม่มีบุตร ถ้าฮันชิให้กำเนิดบุตรชาย นางก็จะมีโชคชะตาที่น่าเศร้า


“ไม่!” เสียงของนางสั่น เมื่อนางมองเฟิงหยูเฮงอีกครั้ง นางเห็นว่าเฟิงหยูเฮงให้ความสนใจกับการสนทนาของนางกับวังซวนโดยไม่สนใจนางเลย จินเฉินเริ่มวิตกกังวลและคลานไปข้างหน้า ไปกอดขาของเฟิงหยูเฮงแล้วร้องไห้ “คุณหนูรอง ข้าจะทำทุกอย่างที่คุณหนูสั่งให้ข้าทำ แค่คุณหนูช่วยข้าในครั้งนี้ ในอนาคตจินเฉินไม่กล้าทำอะไรอีกแล้วเจ้าค่ะ ! ”


หวงซวนคว้าคอของนางแล้วดึงนางออกไปพูดด้วยความรังเกียจ “หลังจากที่เจ้ากล้าใช้องค์ชายเก้า แล้วยังมีหน้าขอให้เจ้าคุณหนูรองช่วยเจ้า จิตใจของเจ้าช่างไร้ความปรานียิ่งนัก”


“ไม่!” จินเฉินตะโกนเสียงดัง “ข้าไม่ได้ใช้องค์ชายเก้า ข้าต้องการที่จะโยนความผิดให้ฮูหยินใหญ่ ! ”


ดวงตาของเฟิงหยูเฮงเริ่มคมชัด เมื่อนางมองที่จินเฉินอีกครั้งก็มีความปั่นป่วนเล็กน้อยโดยพูดว่า “ถ้าเจ้ากล้าที่จะรับผิดชอบ ข้าอาจช่วยเจ้าได้อีกครั้ง แต่เจ้ากำลังทำให้ข้าเป็นคนโง่ ! ” ทั้งเสียงและท่าทางของนางนั้นเคร่งขรึมมากเมื่อนางมองจินเฉินราวกับว่านางเป็นคนตาย


จินเฉินตกอยู่ในความสิ้นหวัง นางปล่อยขาของเฟิงหยูเฮงและลุกขึ้นยืน ถอยกลับในขณะที่ยังพอมีแรง


คุณหนูรองพูดอย่างแน่วแน่แล้วว่าจะไม่ช่วยนาง แต่นางก็ยังไม่อยากตาย…


ทันใดนั้นนางก็เงยหน้าขึ้นและมองไปที่เฟิงหยูเฮง และกล่าวว่า “เราเคยทำงานร่วมกันมาก่อน ในเวลานั้นเพื่อช่วยคุณหนูกำจัดเฉินซื่อ ข้าจึงกำจัดบุตรในท้องของข้า คุณหนูรองไม่กลัวว่าข้าจะไปหาท่านฮูหยินผู้เฒ่าแล้วเล่าเรื่องนี้หรือเจ้าคะ ? ”


เฟิงหยูเฮงหัวเราะเยาะ “ไปเลย ไม่ต้องพูดถึงว่าพวกเขาจะเชื่อเจ้าหรือไม่ แม้ว่าพวกเขาจะเชื่อ แต่เฉินซื่อก็ตายไปแล้ว เจ้าว่าตระกูลเฟิงจะมาสอบสวนองค์หญิงแห่งมณฑลผู้นี้หรือ? ยิ่งกว่านั้นเจ้าควรรู้แน่แก่ใจดีว่าบุตรในท้องของเจ้าเป็นบุตรของใครมากกว่าข้า”


“ฮ่าๆๆ!” จินเฉินเริ่มร้องไห้ และหัวเราะราวกับว่านางโกรธมาก “เด็กคนนี้เป็นบุตรใคร ? แน่นอนว่าเป็นบุตรของสามีข้า ข้ารู้ว่าคุณหนูยังมีรองเท้าอีกข้างอยู่ แต่อย่างไรล่ะ ? มันเนิ่นนานกว่าครึ่งปีแล้ว รองเท้าข้างเดียวจะทำอะไรกับข้าได้บ้าง ตราบใดที่ข้าบอกออกไปว่าเด็กคนนั้นเป็นของท่านพี่ และคุณหนูก็ขู่ให้ข้าเอาออกเพื่อทำร้ายเฉินซื่อ หากคุณหนูพยายามที่จะทำอันตรายต่อบุตรของตระกูลเฟิง ข้าก็กลัวว่าท่านพี่และฮูหยินผู้เฒ่าจะไม่ยอมให้คุณหนูอย่างแน่นอน”


“โอ้” เฟิงหยูเฮงพยักหน้า และหันหลังให้ นางไม่ต้องการคุยกับจินเฉินอีกต่อไป จินเฉินเชื่อว่าเฟิงหยูเฮงกลัวภัยคุกคามนี้ และนางพยายามอีกครั้งเพื่อให้คุณหนูสองเปลี่ยนใจ อย่างไรก็ตามนางไม่ได้คิดว่าเฟิงหยูเฮงจะพูดกับหวงซวน “ไปที่คอกม้า และเรียกคนที่ดูแลม้ามา”


หวงซวนปฏิบัติตาม และออกไป เมื่อนางกลับมาชายหนุ่มอายุประมาณ 20 ปีก็ตามนางมา


ในตอนแรกจินเฉินไม่เข้าใจว่าทำไมคนที่ดูแลม้าถึงถูกเรียกเข้ามา แต่เมื่อนางเห็นคนผู้นี้ จิตใจของนางก็ระเบิดขึ้นทันที เลือดทั้งหมดในร่างกายของนางเริ่มเดือดทำให้นางรู้สึกตกใจอย่างยิ่ง นั่นเป็นสถานการณ์ที่ไม่น่าเชื่อ


ทำไมถึงเป็นเขา


คนผู้นั้นออกมาตรงหน้า และแสดงความเคารพต่อเฟิงหยูเฮง จากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงเฟิงหยูเฮงถามอย่างเย็นชา “คนที่อยู่ข้างเจ้า เจ้าจำได้หรือไม่”


คนผู้นั้นหันไปมองจินเฉิน มุมปากของเขาขดเป็นรอยยิ้มชั่วร้าย “จินเฉิน นางเป็นสาวใช้ขั้นหนึ่ง


ของอดีตฮูหยินใหญ่ตระกูลเฟิงขอรับ”


จินเฉินหวาดกลัว นางเริ่มหายใจลำบาก ในที่สุดนางก็ต้องจัดการการหายใจของนางด้วยความยากลำบาก นางรีบตะโกนทันที “หลี่จู้ ? ทำไมเป็นเจ้า ทำไมเจ้าถึงอยู่ที่นี่ ? “


นี่คือคนที่เฟิงหยูเฮงพบโดยบังเอิญ เพราะเขามีความสัมพันธ์ส่วนตัวกับจินเฉิน หลี่จู้ ในเวลานี้เมื่อเห็นท่าทางหวาดกลัวของจินเฉิน เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกมีความสุข “แล้วเจ้าคิดว่าข้าควรจะอยู่ที่ไหน ? หะ? อนุจินเฉิน ! ”


“เจ้า…” จินเฉินนึกคำพูดไม่ออกเป็นเวลานาน ก่อนที่จะรู้ตัวว่าในเวลานั้นเฟิงจินหยวนพานางเข้ามาอย่างฉับพลัน หลี่จู้ก็ดูเหมือนจะหายตัวไปโดยไม่ได้กลับมา ในตอนแรกนางเชื่อว่าเขากลัวเฟิงจินหยวน ดังนั้นเขาจึงหนีไป อย่างไรก็ตามนางไม่คิดว่าเขาจะอยู่ที่เรือนตงเซิง ! “คุณหนูรอง ! ” จินเฉินคุกเข่าอีกครั้ง “ข้าคิดผิด ข้ารับรู้ถึงความผิดพลาดของข้า ข้าสมควรตาย คุณหนูรองไว้ชีวิตข้าด้วย ช่วยข้าด้วยเจ้าค่ะ ! ” จินเฉินคุกเข่าและตะโกนซ้ำ ๆ นางร้องไห้อย่างสิ้นหวัง


เฟิงหยูเฮงส่ายหัวด้วยความผิดหวัง “ข้าไม่ต้องการชีวิตของเจ้า ดังนั้นจึงไม่ต้องพูดถึงการให้อภัย เดิมที ขึ้นอยู่กับอารมณ์ข้า การที่เจ้าใส่ร้ายองค์ชายเก้านั้นเป็นความผิดร้ายแรง ข้ามีเหตุผลมากมายที่จะฆ่าเจ้า แต่เนื่องจากเจ้าได้พิสูจน์แล้วว่ามีประโยชน์ในการจัดการเรื่องของเฉินซื่อ ตอนนี้ก็ถือว่าเราติดค้างกันและกัน นับจากวินาทีนี้เป็นต้นไป พวกเราทั้งสองไม่ได้ติดค้างกันและจะไม่มีความสัมพันธ์ระหว่างเรา จินเฉิน ไม่ว่าเจ้าจะมีชีวิตอยู่หรือตาย มันก็ขึ้นอยู่กับโชคชะตาของเจ้า ตราบใดที่เจ้าไม่สอดมือมายุ่งเรื่องของข้า  ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปข้าจะไม่ปรากฏตัวต่อหน้าเจ้า เอาล่ะเจ้าไปได้แล้ว”


นางโบกมืออย่างอ่อนล้า และหวงซวนก็เดินไปข้างหน้าเพื่อลากจินเฉินออกจากห้อง ในเวลาเดียวกันนางเตือนจินเฉินว่า “ถ้าเจ้ายังตะโกนและกรีดร้อง ข้ากลัวว่าทุกคนจะรู้ว่าเจ้ามาที่นี่แล้ว”


จินเฉินรีบปิดปากนางด้วยความกลัว ขณะที่หวงซวนสั่งให้บ่าวรับใช้สองคนส่งนางกลับไปที่คฤหาสน์เฟิง จากนั้นนางจึงกลับไปที่ห้อง


หลี่จู้ยังคงคุกเข่าอยู่ในห้อง เมื่อได้เห็นจินเฉินอีกครั้งก็ทำให้เขารู้สึกถึงความหลังเล็กน้อย แต่ในที่สุดเขาก็ดูแลม้าที่เรือนตงเซิงมาเป็นเวลานาน เขารู้ว่าคุณหนูรองเป็นคนที่มีความสามารถโดดเด่น เมื่อพูดถึงบุคคลประเภทนี้ ตราบใดที่พวกเขาสะบัดนิ้ว พวกเขาสามารถใช้ชีวิตของเขาได้อย่างง่ายดาย นั่นคือเหตุผลที่เขารู้ว่าเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากทำงานอย่างขยันขันแข็ง ถ้าเจ้านายของเขาต้องการให้เขาปรากฏตัว เขาก็ต้องทำ โดยปกติเขาจะไม่ออกจากเรือนตงเซิง


หวงซวนชำเลืองมองที่หลี่จู้แล้วถามเฟิงหยูเฮง “บ่าวควรส่งเขากลับไปหรือไม่เจ้าคะ ? ”


เฟิงหยูเฮงพยักหน้าแล้วพูดกับหลี่จู้ “กลับไปได้แล้ว ทำงานอย่างขยันขันแข็ง ตราบใดที่เจ้าไม่ทำผิด องค์หญิงแห่งมณฑลจะไม่ทำอะไรที่เลวร้ายกับเจ้า”


นี่คือจุดที่หลี่จู้เชื่อ คุณหนูรองใจดีและไม่เหมือนเจ้านายคนอื่นๆ ที่นี่มีความแตกต่างที่ชัดเจนระหว่างรางวัลและการลงโทษ ตราบใดที่คนทำงานอย่างขยันขันแข็ง ค่าจ้างที่ได้รับจะสูงกว่าที่อื่น ดังนั้นเขาจึงมีความสุขที่ได้ทำงานที่นี่


หลี่จู้รีบคำนับเฟิงหยูเฮง ”คุณหนูรองอย่ากังวลเลยขอรับ”


เฟิงหยูเฮงไม่ได้พูดอะไรอีกเลยโบกมือให้ออกไป


หลังจากนั้นไม่มีใครอยู่ในห้องอีกแล้ว นางถามวังซวนอย่างใจจดใจจ่อ “เจ้าพูดว่าคังอี้ไปทางไหน หลังจากออกจากคฤหาสน์ไป”


วังซวนส่ายหัว “ไม่ เมื่อคนของพี่น้องเฉิงมาถึงคฤหาสน์ พวกเขาบอกว่าคังอี้ปกปิดตัวเองได้ดีมาก นางออกจากกำแพงด้านหลังด้วยความช่วยเหลือจากบ่าวรับใช้ที่รู้จักศิลปะการต่อสู้จากเฉียนโจว”


เฟิงหยูเฮงลูบหน้าผาก ขมวดคิ้วแล้วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งทันทีว่า “ข้าจะออกไปจากคฤหาสน์เร็ว ๆ นี้ ไม่ต้องให้ใครติดตามข้า” หลังจากพูดอย่างนี้นางเงยหน้าขึ้นแล้วพูดกับอากาศ “บานซูอยู่ที่นี่แล้วเฝ้าบ้าน เจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้ติดตามข้าไป”


“ไม่ ! ” ออกจากที่ซ่อนบานซูพูดขึ้นมา “ข้ายังไม่ต้องการที่จะถูกองค์ชายเฆี่ยนจนตาย”


“ถ้าเจ้าตามข้าไป มันจะเป็นเรื่องที่ทำให้เจ้าตาย” เฟิงหยูเฮงทำอะไรไม่ถูก ผู้คุ้มกันลับคนนี้ไม่เคยฟัง “ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดเจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้ติดตามข้าไป หากเจ้ายืนยันที่จะตามข้า ข้าจะไม่รับผิดชอบหากพลัดหลงกับข้า”


นางหันกลับมาและเข้าไปในห้องด้านในแล้วเปลี่ยนเป็นชุดดำ นางสวมเสื้อคลุมออกไป


หวงซวนและวังซวนสับสนเล็กน้อย และหวงซวนถามวังซวน “ใครที่นำข่าวนี้มาบอกเจ้า ? ”


วังซวนกล่าวว่า “พี่น้องเฉิงที่เพิ่งมาถึงนำข่าวนี้มาให้”


เฟิงหยูเฮงกล่าวว่า “พวกเขาถูกส่งมาโดยซวนเทียนหมิง ดังนั้นพวกเขาย่อมเป็นคนของเราเป็นธรรมดา คังอี้เลือกที่จะออกจากคฤหาสน์ในเวลานี้ หากข้าคิดไม่ผิดนางจะไปตำหนักเซียง”


“ตำหนักเซียงหรือเจ้าคะ ? ”


“อืม” เฟิงหยูเฮงโบกมือ “เป็นเพียงการคาดเดาของข้า ไม่ว่าจะเป็นกรณีนั้นหรือไม่เราจำเป็นต้องไปดูเพื่อหาคำตอบ”


เงาดำปรากฏขึ้นจากอากาศบาง ๆ ขณะที่บานซูปรากฏตัวต่อหน้านาง “มันอันตรายเกินไป หากคุณหนูมีสิ่งที่ต้องทำ ข้าจะไป คุณหนูไปไม่ได้นะขอรับ”


เฟิงหยูเฮงไม่อยากพูดอะไรกับเขามากนัก คังอี้หายไปครึ่งชั่วยามแล้ว ถ้านางไม่ไปตอนนี้ มันจะไม่ทันการ ดังนั้นนางจึงจากไปทันทีกล่าวอย่างตั้งใจว่า “หากเจ้าต้องการติดตามข้าก็ตามมา”


เมื่อได้รับคำสั่งนี้ หวงซวนและวังซวนสงบลง ถ้าบานซูไม่ไป พวกนางก็ไม่ได้รับอนุญาตไป เฟิงหยูเฮงจะไปที่ตำหนักเซียงด้วยตนเอง


แต่ใครจะรู้ว่าหลังจากออกจากเรือนตงเซิง ในขณะที่ติดตามเฟิงหยูเฮงไปยังตำหนักเซียงแล้ว บานซูจะพลัดหลงกับเฟิงหยูเฮง !


บานซูแพ้ ! นี่เป็นความอัปยศที่ยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง !


เขาเป็นผู้คุ้มกันลับ เขาเป็นคนที่มีความเชี่ยวชาญในการติดตามผู้คน เขาจะพลัดหลงกับคนที่เขาติดตามได้อย่างไร?


บานซูชุ่มไปด้วยเหงื่อเย็น แม้ว่าเฟิงหยูเฮงจะขู่ว่านางจะไม่รับผิดชอบหากเขาพลัดหลงกับนาง จะแน่ใจได้อย่างไรในเวลานี้ว่านางไม่ต้องการถูกติดตาม หรือเกิดอะไรขึ้น ?


เขาเครียดมาก อย่างไรก็ตามเขาไม่ทราบว่าเฟิงหยูเฮงใช้ประโยชน์จากมิติของนางและค่อย ๆ เคลื่อนไปยังตำหนักเซียงเหมือนภูตผี ในใจนาง นางก็ตื่นเต้นเช่นกัน


การแต่งงานของคังอี้นั้นเป็นสิ่งที่นางรู้สึกว่าไม่ง่ายอย่างที่เห็นบนฉากหน้า จะมีการประชุมที่กลมกลืนกันได้อย่างไร เฟิงจินหยวนและคังอี้ต่างก็ตกหลุมรักตั้งแต่แรกเห็น การพูดถึงการแต่งงานของพวกเขาเป็นเพียงเรื่องของการชั่งน้ำหนักข้อดี ข้อเสีย แต่อะไรคือข้อดีของเฉียนโจว?


ในขณะที่นางกำลังคิด นางก็มาถึงด้านหน้าของกำแพงด้านนอกของตำหนักเซียงแล้ว นางทุ่มเทพลังงานทั้งหมดเพื่อสังเกตสภาพแวดล้อม หลังจากตรวจสอบให้แน่ใจว่าไม่มีใครอยู่ นางจึงใช้ต้นไม้และกระโดดขึ้นไปบนกำแพงอย่างรวดเร็ว


หลังจากยืนบนกำแพงได้แล้วนางมองไปรอบ ๆ อย่างระมัดระวัง ทำความเข้าใจเกี่ยวกับถนนในตำหนักเซียงอย่างคร่าว ๆ นางเข้ามาในมิติของนางอีกครั้ง


แม้ว่าแนวคิดเบื้องหลังการใช้มิติเพื่อเข้าสู่ตำหนักเซียงนั้นง่าย แต่การทำมันยากมาก อย่างแรกนางไม่มีความเข้าใจที่ดีเกี่ยวกับพื้นที่ของตำหนักเซียง ประการที่สองกองทหารในปัจจุบันมีอยู่มากมาย มีองครักษ์เงาอยู่ทุกที่ บางทีเมื่อใดก็ตามที่นางปรากฏตัว นางจะปรากฏต่อหน้าใครบางคนก็ได้ ยิ่งกว่านั้นนางไม่ทราบว่าซวนเทียนเย่และคังอี้อยู่ที่ไหน


ตลอดเวลานี้เฟิงหยูเฮงกำลังเดินอยู่บนขอบมีด นางระวังทุกขั้นตอนที่นางทำ ทุกครั้งที่นางปรากฏตัวอีกครั้ง นางประหม่ามาก นางค่อย ๆ ขยับจากลานหน้าไปยังลานภายใน จากลานด้านในนางย้ายไปที่สวน นางไปที่ห้องครัวของตำหนักเซียงและเห็นพระชายาเซียง แต่นางก็ยังไม่พบซวนเทียนเย่และคังอี้


นางปรากฏตัวบนเส้นทางเล็ก ๆ และเงยหน้าขึ้นอย่างไร้จุดหมายเพื่อมองท้องฟ้า เป็นไปได้ไหมที่แผนนี้จะไม่ได้ผล ?


แต่ในเวลานี้มีคนแตะไหล่ขวาของนางเบา ๆ จากด้านหลัง

 

 

 


ตอนที่ 333

 

เฟิงหยูเฮงตกใจมากและหันไปคว้าแขนเจ้าของมือที่แตะไหล่นาง


แต่เมื่อนางยื่นแขนออกไป นางหยุดทันที จากนั้นนางก้จ้องมองคนตรงหน้าอย่างว่างเปล่าแล้วเอ่ยว่า “พี่เจ็ด” จากนั้นนางก็ถามว่า “ทำไมท่านถึงมาที่นี่เจ้าคะ ? ”


คนที่มาจริงๆ แล้วก็คือองค์ชายเจ็ด, ซวนเทียนฮั่ว ในขณะที่เขายกนิ้วนิ้วชี้แล้วนำไปที่ริมฝีปากของเขาชี้ให้นางนิ่งเงียบ เขาดึงนางไปยังเส้นทางเล็ก ๆ ด้านข้าง หลังจากเลี้ยวซ้ายและขวานับครั้งไม่ถ้วน พวกเขาก็หยุด เขาชี้ไปข้างหน้าและพูดเบา ๆ “เข้าไปจากที่นี่ ตามเส้นทางเล็ก ๆ และเจ้าจะพบกับหิน หินประดับนั้นกลวง และห้องลับของพี่สามอยู่ข้างใน คนที่เจ้ากำลังตามหาอยู่ในนั้น”


เฟิงหยูเฮงยังคงสงสัย “พี่เจ็ด ทำไมท่านถึงมาที่นี่เจ้าคะ ? ”


ซวนเทียนฮั่วกล่าว “ผู้คุ้มกันลับไม่สามารถติดตามเจ้าได้ เขาไม่กล้าไปพบหมิงเอ๋อ เขาจึงมาหาข้า”


เฟิงหยูเฮงขมวดคิ้วและนึกแช่งบานซูในใจ


“ถ้าเช่นนั้นท่านพี่… เห็นข้าเมื่อไหร่เจ้าค่ะ” เขาเห็นนางทันทีปรากฏตัวใช่หรือไม่ ?


“ช่วงเวลาที่ข้าเรียกเจ้าคือช่วงเวลาที่ข้าพบเจ้า” ซวนเทียนฮั่วยกมุมริมฝีปากขึ้นเล็กน้อยขณะที่เขาพูดกับนาง “ข้าไม่แนะนำให้เข้าไปข้างใน หินมีกลไกมากมาย และมีทหารองครักษ์มากมายที่ดูแลอยู่ด้านนอก แม้ว่าเจ้าจะสามารถจัดการทหารองครักษ์ได้ทันที เมื่อเจ้ากดกลไกเพื่อเปิดประตู คนที่อยู่ข้างในจะค้นพบทันที นอกจากนั้นไม่มีทางเข้าอื่น”


เฟิงหยูเฮงขมวดคิ้วและไตร่ตรองมานานก่อนถาม “แล้วข้างในล่ะ? จะมีคนคอยดูแลอยู่ข้างในหรือไม่ ? ”


ซวนเทียนฮั่วกล่าวว่า “ไม่มีคนอยู่ข้างใน พี่สามไม่เคยให้คนเข้าไปในห้องลับของเขา”


“ดี” นางพยักหน้าแล้วมองที่ซวนเทียนฮั่ว “พี่เจ็ด ท่านเชื่อในตัวข้าหรือไม่ ? ”


เขาตกใจแล้วถามว่า “เจ้าต้องการที่จะเข้าไปด้วยตัวเองหรือ?”


“เจ้าค่ะ” เฟิงหยูเฮงมีความแน่วแน่อย่างยิ่ง “ถ้าพี่เจ็ดไม่สบายใจก็รอข้าที่นี่ เมื่อข้าทำธุระของข้าเสร็จแล้ว ข้าจะกลับมาที่นี่เพื่อพบท่าน”


ซวนเทียนฮั่วส่ายหัว “ไม่ได้”


เฟิงหยูเฮงกังวลเล็กน้อย เวลาผ่านไปนานมากแล้ว ถ้านางไม่ได้เข้าไปตอนนี้นางกลัวว่าพวกเขาจะออกมาหลังจากจบที่พูดคุยเสร็จ การที่นางมาที่นี่จะไร้ประโยชน์


ในขณะที่นางกำลังคิด นางก็คิดได้ และชี้ไปข้างหน้าแล้วพูดว่า “ดูนั่นสิเจ้าค่ะ”


ซวนเทียนฮั่วหันไปมองโดยไม่รู้ตัว แต่ทันทีที่เขาหันศีรษะ เขาก็รู้สึกเสียใจ เขาเอื้อมมือออกไปจับเฟิงหยูเฮง แต่นางก็ยังสามารถหลบหนีได้ เขาหันกลับมาอย่างรวดเร็ว เด็กสาวตรงหน้าเขาก็หายตัวไป


เขารู้ว่าเฟิงหยูเฮงรู้จักศิลปะการต่อสู้ แม้กระนั้นเขาไม่รู้ว่าพลังภายในของนางจะดีพอที่จะทำให้นางหลงทางหรือไม่ เขามีนางอยู่ตรงหน้าเขา แต่มันก็ยังคงเป็นผลลัพธ์เดียวกัน


ซวนเทียนฮั่วเริ่มกังวล ในเวลาเดียวกันเขาเพิ่มความเร็วของเขาและวิ่งไปตามเส้นทางเล็ก ๆ


น่าเสียดายที่เขาพยายามอย่างที่สุดเพื่อตามหานาง แต่เขาก็ยังไม่พบร่องรอยของเฟิงหยูเฮง แต่ในเวลานี้เฟิงหยูเฮงใช้มิติของนางเพื่อเข้าไปในหิน นางจะเข้าไปในมิติของนางแทบทุกย่างก้าว ก้าวไปข้างหน้าทีละนิด นางไม่กล้าทำเสียงดังแม้แต่นิดเดียว ในความเป็นจริงนางไม่กล้าหายใจด้วยซ้ำ ในก้าวที่ 23 ของนาง ในที่สุดนางก็ได้ยินเสียงที่มาจากภายใน


“เขาเป็นเสนาบดีคนปัจจุบัน แม้ว่าเขาจะไม่มีความสามารถในการต่อสู้ แต่เขาก็เป็นต้นแบบให้กับข้าราชสำนักทุกคน แม้ว่าบัณฑิตทุกคนจะเคารพสำนักศึกษาหยุนหลู่มากที่สุด แต่มีกี่คนที่สามารถเข้าเรียนที่สำนักศึกษาหยุนหลู่ได้ อย่างไรก็ตามคนที่เหลือนั้นส่วนใหญ่นับถือเฟิงจินหยวน ในระหว่างการสอบจอหงวนในฤดูใบไม้ผลินี้ นักเรียนมากกว่าครึ่งจะกลายเป็นคนของเขา บอกข้าว่าเฟิงจินหยวนสำคัญกับองค์ชายผู้นี้หรือไม่?”


ในเวลานี้เสียงของซวนเทียนเย่ดูสงบ ทันทีที่ได้ยินเสียงของผู้หญิงคนหนึ่งพูดขึ้นมา “ข้าแต่งเข้าตระกูลเฟิงแล้ว และจะทำให้แน่ใจได้ว่าเขาจะสนับสนุนพระองค์ต่อไป แต่ฝ่าบาทอย่าลืมคำสัญญาที่ให้ไว้กับเฉียนโจว”


“องค์หญิงใหญ่ไม่ต้องกังวล เมื่อวันนั้นมาถึงข้าซวนเทียนเย่ขึ้นครองบัลลังก์ของฮ่องเต้ ข้าจะมอบสามมณฑลทางเหนือสุดให้กับเฉียนโจวอย่างแน่นอน”


“ดีมาก ! ” เสียงของคังอี้ชัดเจนขึ้นเล็กน้อย แต่นางก็เริ่มกล่าวเอะอะอีกครั้งอย่างรวดเร็ว “แต่ข้าไม่เคยคิดเลยว่าราชวงศ์ต้าชุนของพระองค์จะมีคนที่ไม่มีเหตุผลอย่างองค์ชายหยู ! ในครั้งนี้เขารีดไถเงิน 5,000,000 เหรียญทองของข้า ถ้านี่คือเฉียนโจว เขาจะต้องถูกตัดศีรษะแน่นอน ! ”


“หืมม!” ซวนเทียนเย่พูดอย่างเฉยเมย “อารมณ์ของเขาไม่ได้เป็นผลมาจากการที่เสด็จพ่อทำลายเขา ! แต่การพูดก็เป็นเพราะเฉียนโจวของท่านไร้ความสามารถ ในเวลานั้นองค์ชายผู้นี้ใช้เวลาอย่างมากในการสอบถามเกี่ยวกับสถานการณ์ของกองทัพของเขา และข้าทุ่มเทอย่างมากเพื่อส่งเขาไปยังภาคตะวันตกเฉียงเหนือ แต่กลุ่มนักแม่นธนูของเฉียนโจวของท่านก็ทำได้แค่ทำลายขาและใบหน้าของเขาเท่านั้น เขายังไม่ตาย”


คังอี้รู้สึกผิดเล็กน้อย “ศัตรูเร็วมาก และที่นั่นเป็นดินแดนของราชวงศ์ต้าชุน กลุ่มนักแม่นธนูของเฉียนโจวที่ไปเป็นความลับ พวกเขาไม่สามารถทำอะไรได้เช่นเดียวกับที่ทำได้ในเฉียนโจว ไม่ต้องพูดถึงการเข้าสู่ภาคตะวันตกเฉียงเหนือ หากไม่ใช่เพราะการช่วยเหลือของเฟิงจินหยวนอย่างลับ ๆ และจัดเตรียมเอกสารให้ บางทีเราอาจไม่สามารถเข้าราชวงศ์ต้าชุนได้ แต่ถ้าพูดถึงเรื่องนี้มันช่างน่าเสียดายจริง ๆ หากองค์ชายหยูเสียชีวิตในภาคตะวันตกเฉียงเหนือจริง ๆ คงไม่มีปัญหามากมายขนาดนี้ หากองค์ชายหยูไร้อำนาจ องค์หญิงแห่งมณฑลจี่อันนั้นก็จะไม่ได้รับการสนับสนุนเช่นกัน ในเมืองหลวงขนาดใหญ่เช่นนี้ องค์ชายเซียงจะเป็นผู้ที่มีอิทธิพลมากที่สุด”


เฟิงหยูเฮงไม่มีกะจิตกะใจที่จะฟังต่อไป เพียงไม่กี่คำก็เพียงพอที่จะทำให้เลือดของนางเดือด ความโกรธเกรี้ยวอยู่ในอกของนางขณะที่มันพุ่งทะยานราวกับทะเลที่มีพายุ และทำให้นางรู้สึกเวียนหัวเล็กน้อย


นางเคยสงสัยแล้วว่าซวนเทียนหมิงติดกับดักอยู่ในภูเขาทางตะวันตกเฉียงเหนือเป็นผลมาจากการทรยศ และเฟิงจินหยวนไปทางเหนือเพื่อบรรเทาภัยพิบัตินั้นได้รับความช่วยเหลือจากศัตรูซึ่งก็พอจะเดาได้ แต่นางไม่เคยคิดว่านางจะได้ยินคำยืนยันอย่างชัดเจนในวันนี้


มือของนางเข้าไปในมิติของนางแล้วดึงเข็มยาชาออกมา อย่างไรก็ตามเมื่อนางคิดอีกครั้งนางใช้เหตุผลสุดท้ายของนาง


ถ้านางรีบฆ่าซวนเทียนเย่และคังอี้ นางเชื่อมั่นว่านางทำได้ แต่จะเกิดอะไรขึ้นหลังจากการตายของพวกเขา ? หากองค์ชายสามและองค์หญิงใหญ่ของเฉียนโจวเสียชีวิตโดยไม่มีเหตุผลใด ๆ เฉียนโจวจะไม่ยอมนิ่งเฉยเป็นแน่


ในสี่อาณาจักรเล็ก ๆ เฉียนโจวและกูชูเป็นปัญหาที่ใหญ่ที่สุดเพราะมีอากาศที่หนาวจัดและร้อนมาก แม่ทัพของราชวงศ์ต้าชุนขาดประสบการณ์ในการนำทัพภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ หากศัตรูไม่ยอมนิ่งเฉย สามมณฑลทางเหนือสุดของราชวงศ์ต้าชุนจะปกป้องได้ยาก ยิ่งไปกว่านั้นกองทัพเจตจำนงค์ของสวรรค์ของนางยังไม่สำเร็จการฝึกอบรม ปัจจุบันกลุ่มนักแม่นธนูของเฉียนโจวเป็นภัยคุกคามที่ไม่น่าสนใจสำหรับราชวงศ์ต้าชุน


เมื่อคิดเช่นนี้เฟิงหยูเฮงวางเข็มที่นางถือไว้ในมือของนาง นางพยายามทำให้ตัวเองสงบลงมากที่สุดนางจึงเปลี่ยนใจในที่สุด เมื่อนางออกจากถ้ำที่ทำให้หายใจไม่ออก นางก็ปรากฏตัวขึ้นด้านหลังซวนเทียนฮั่ว


ซวนเทียนฮั่วรู้สึกว่ามีใครบางคนเคลื่อนไหวอยู่ข้างหลังเขาในทันที หันกลับมาอย่างรวดเร็วเขาเห็นเฟิงหยูเฮงพร้อมใบหน้าซีดราวกับได้รับความหวาดกลัว เขาเอื้อมมือออกไปและช่วยประคองนางอย่างเงียบ ๆ แล้วถามว่า “เกิดอะไรขึ้น ? ทำไมหน้าของเจ้าดูแย่มาก” ในขณะที่พูดสิ่งนี้เขามองไปทางด้านหลัง และไม่สังเกตเห็นการเคลื่อนไหวใด ๆ “อาเฮง ! ”


“พี่เจ็ด” ในที่สุดนางก็พูด แต่น้ำเสียงนางดูเหนื่อยมาก “ท่านไปส่งข้ากลับบ้านได้หรือไม่เจ้าคะ ? ”


ซวนเทียนฮั่วขมวดคิ้วและต้องการพูดอีกครั้ง แต่เมื่อคำพูดที่มาถึงริมฝีปากของเขา เขาก็ไม่สามารถพูดออกมาได้ “ได้ ข้าจะไปส่งเจ้ากลับบ้าน”


เฟิงหยูเฮงไม่รู้ด้วยซ้ำว่านางจะกลับคฤหาสน์อย่างไร นางรู้เพียงว่าซวนเทียนฮั่วจับตัวนางแน่นตลอดเวลา รีบวิ่งไปพร้อมกับการใช้พลังภายในข้ามกำแพง ในที่สุดเมื่อพวกเขาลงแตะพื้น พวกเขามาถึงกำแพงของเรือนภายในไม่ไกลจากทางเข้าหลักของตำหนักเซียง


ทันใดนั้นนางก็ได้สติกลับมา นางกระตุกแขนเสื้อของซวนเทียนฮั่วโดยกล่าวว่า“พี่เจ็ดรอสักครู่” หลังจากพูดแบบนี้นางเอื้อมมือไปที่แขนเสื้อของนาง และหยิบระเบิดเพลิงออกมา


ซวนเทียนหัวไม่เข้าใจว่าระเบิดเพลิงทำมาจากอะไร แต่เขาได้กลิ่นแปลก ๆ จากนั้นเขาเห็นเฟิงหยูเฮงเหวี่ยงพวกมันเข้าไปในตำหนักเซียง หลังจากโยนแล้ว นางก็กระตุกแขนเสื้อของเขาแล้วพูดว่า “ไปกันเถอะเจ้าค่ะ !”


ทั้งสองหนีกลับไปที่คฤหาสน์ขององค์หญิงแห่งมณฑลอย่างรวดเร็ว แม้ว่าซวนเทียนฮั่วจะรู้สึกว่าพฤติกรรมนี้กล้าเกินไป เมื่อเขาเห็นเฟิงหยูเฮงเปิดเผยรอยยิ้มหลังจากจุดไฟเผาตำหนักเซียง เขาก็รู้สึกว่าไฟนี้คุ้มค่ามาก


เขาไม่รู้ว่ามันเริ่มเมื่อไหร่ แต่ตราบใดที่เขาเห็นผู้หญิงคนนี้ยิ้มเขาก็รู้สึกพึงพอใจ


ซวนเทียนฮั่วออกไปหลังจากเห็นเฟิงหยูเฮงเข้าไปในคฤหาสน์ขององค์หญิงแห่งมณฑล แม้กระนั้นเขาไม่รู้ว่าหลังจากที่หญิงสาวคนนั้นเข้าไปในคฤหาสน์องค์หญิงแห่งมณฑล นางหันกลับทันทีและไปที่ทางเข้าเล็ก ๆ ที่เรือนศจี


ไม่มีใครรู้ว่าความเกลียดชังในหัวใจของเฟิงหยูเฮงนั้นถูกเผาไปพร้อมกับตำหนักเซียง !


ปรากฏว่ามีศัตรู 2 คนที่อาศัยอยู่ในคฤหาสน์เฟิง !


รูปร่างราวกับภูตผีที่ลอยอยู่ในเรือนหยูหลาน จากนั้นก็ลอยไปที่เตียงที่เฟิงจินหยวนและฮันชินอนอยู่ ผ้าม่านขยับ มีมือวางที่คอของเฟิงจินหยวน


อย่างไรก็ตามมือนี้หยุดห่างหนึ่งนิ้วจากเป้าหมาย


เสนาบดีเฟิงของราชสำนัก สำหรับขุนนางทุกคน ฮ่องเต้มีเหตุผลของตัวเองที่จะไม่ทำอะไรทั้ง ๆ ที่รู้ว่าเขาร่วมมือกับซวนเทียนเย่ เฟิงจินหยวนเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของราชสำนักมานาน 20 ปีแล้ว หากนางบีบคอเขาจนเสียชีวิตเพราะนางระงับอารมณ์ไม่ได้ แม้แต่ฮ่องเต้ก็ไม่ยอมให้อภัยนาง


เฟิงหยูเฮงพูดซ้ำ ๆ กับตัวเองว่านางจะต้องใจเย็น หลังจากนั้นไม่นานนางก็ดึงมือนางกลับมา


เฟิงจินหยวนไม่สามารถฆ่าได้ คังอี้ไม่สามารถฆ่าได้ ซวนเทียนเย่นั้นไม่สามารถฆ่าได้ นางรู้ชัดเจนว่าใครเป็นศัตรู แต่นางไม่สามารถทำอะไรกับพวกเขาได้ นางทนความเจ็บปวดแบบนี้ได้อย่างไร


ปอดของเฟิงหยูเฮงกำลังจะระเบิดด้วยความโกรธ !


เหมือนภูตผี นางออกจากเรือนหยูหลาน แต่นางไม่ได้กลับไปที่เรือนตงเซิง นางกลับออกจากคฤหาสน์แทน


บานซูปรากฏตัวต่อหน้านางทันทีคว้าแขนของนางถามอย่างตรงไปตรงมา “คุณหนูจะไปไหนขอรับ ? ” จากนั้นก่อนรอให้เฟิงหยูเฮงตอบเขา “ข้าจะจับแขนคุณหนูไว้เช่นนี้ อย่าคิดว่าจะวิ่งหนีไปได้”


เฟิงหยูเฮงมองไปที่เขา ขณะเดียวกันการจ้องมองนางทำให้บานซูสั่นและปล่อยมือไปโดยไม่รู้ตัว ตกใจเขาถามว่า “ข้า… ข้าจะไม่จับแขนคุณหนูแล้ว ทำไมจ้องมองข้าแบบนี้ด้วยขอรับ ? ”


นางส่ายหัว และดึงบานซูว่า “ข้าไม่จ้องมองเจ้า และข้าก็ไม่อยากวิ่งหนีอีกครั้ง มีบางสิ่งที่ข้าสงสัยแต่ตอนนี้ข้าเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งแล้ว อย่างไรก็ตามข้าพบว่าแม้ว่าข้าจะรู้เรื่องนี้แล้วก็ไม่มีอะไรที่ข้าทำได้ เจ้าเคยรู้สึกแบบนี้หรือไม่ มีคนเอาตัวเจ้าไปพร้อมมีดที่เกือบจะฆ่าเจ้า ตอนนี้เจ้าอยู่ตรงหน้าพวกเขา แต่เจ้าไม่สามารถฆ่าพวกเขาได้ บานซูไปตำหนักหยูกับข้า ไปหาซวนเทียนหมิงกันเถอะ ให้เขาต่อสู้กับข้า ไม่งั้นข้าจะอกแตกตายแล้ว”


เมื่อได้ยินว่านางต้องการไปที่ตำหนักหยู ในที่สุดบานซูก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก โดยไม่พูดอะไรอีก เขาคว้าแขนของเฟิงหยูเฮงและเริ่มเคลื่อนไหวด้วยพลังภายใน


ระหว่างทางพวกเขาผ่านสี่แยกที่นำไปสู่ตำหนักเซียง เห็นแสงสว่างจากเปลวไฟและผู้คนมากมายนับไม่ถ้วนเปล่งเสียงดังว่า “เอาน้ำมา” ริมฝีปากของเขาขดเป็นรอยยิ้ม ขณะที่เขาก้มศีรษะลงถามนาง “คุณหนูเป็นคนทำใช่หรือไม่ขอรับ ? ”


เฟิงหยูเฮงตะโกนอย่างเย็นชา “นี่มันแค่ส่วนหนึ่งของตำหนักเท่านั้น บานซูจำคำที่ข้าพูดวันนี้ให้ดี ไม่ช้าก็เร็วข้าจะเผาตำหนักเซียงทั้งหมด! ส่วนซวนเทียนเย่นั้น ข้าจะจับเขาบนภูเขาแล้วเปลี่ยนเขาให้เป็นเม่นด้วยลูกธนู ! ”


บานซูรู้สึกถึงความเย็นชาที่มาจากคำพูดของเฟิงหยูเฮง ด้วยเหตุผลบางอย่างเขารู้สึกว่าสองสิ่งที่นางพูดถึงอาจเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน ราวกับว่าเขาได้เห็นฉากของซวนเทียนเย่ถูกแทงด้วยลูกธนูในภูเขา มันเป็นความสุขและบรรเทาความแค้นอย่างแท้จริง


ทั้งสองทะยานข้ามกำแพงและเข้าไปในตำหนักหยู บานซูไม่ได้หลีกเลี่ยงอะไรเลย เมื่อเข้าสู่ตำหนักหยูพวกเขาลงที่กลางลาน ในเวลาเดียวกันองครักษ์เงานับไม่ถ้วนก็ออกมา และล้อมรอบพวกเขาไว้


เฟิงหยูเฮงถอนหายใจ นี่คือการป้องกันที่เหมาะสม และเพียงแค่นี้อาจถือได้ว่าเป็นตำหนักที่แสดงพลังของมัน


“นี่พระชายาหยู” บานซูพูดเพียงไม่กี่คำ แต่ทุกคนเห็นเฟิงหยูเฮง ครู่หนึ่งพวกเขาตกใจก่อนที่พวกเขาจะหายตัวไปในเงามืดพร้อมเสียงที่พูดว่า “พระชายาสามารถเข้าไปตำหนักหยูได้ตลอดเวลา ! ” 

 

 


ตอนที่ 334

 

ซวนเทียนหมิงถูกลากออกจากเตียงโดยเด็กผู้หญิงคนนั้น เขากำลังฝันที่เขาเห็นว่าเฟิงหยูเฮงถูกบิดา และท่านย่าของนางรังแก พวกเขาไม่ให้อาหารนางและขโมยของที่มีค่าของนาง เขาเกิดความอยากรู้อยากเห็นว่าจากนิสัยของผู้หญิงคนนี้ นางจะยอมถูกรังแกโดยคนโง่เขลาในตระกูลเฟิงได้อย่างไร เขากำลังจะใช้แส้เพื่อแก้แค้นให้นาง ตอนที่เขาได้ยินเสียงประตูเปิด


ซวนเทียนหมิงตกตะลึงชั่วขณะเพราะเขาไม่เข้าใจ ตำหนักหยูได้รับการคุ้มกันเป็นอย่างดี แม้ว่าฮ่องเต้จะเสด็จมาก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเข้ามาโดยไม่มีการเจ้งล่วงหน้า สำหรับผู้คนในตำหนักนั้นยิ่งเป็นไปไม่ได้ แม้แต่บานซูก็กล้าที่จะเข้ามาในห้องของเขาในตอนกลางคืน


แน่นอนข้อยกเว้นคือถ้าเกิดไฟไหม้


แต่ก่อนที่เขาจะถามว่าเกิดไฟไหม้หรือไม่ ก็มีมือเล็ก ๆ เอื้อมมือไปใต้ผ้าห่มของเขา ในเวลาเดียวกันก็ได้กลิ่นหอมที่คุ้นเคยจากร่างเล็ก ๆ ความกระวนกระวายใจที่มีก็หายไปในทันที


ถูกต้อง เฉพาะกับผู้หญิงคนนี้ที่มาถึงตำหนัก บ่าวรับใช้และองครักษ์ของเขาจะไม่กล้าห้ามนาง และมีเพียงนางคนนี้เท่านั้นที่สามารถเดินไปรอบ ๆ ตำหนักหยูได้ รวมถึงห้องบรรทมของเขาเอง ในโลกนี้มีผู้หญิงคนเดียวเท่านั้นที่กล้ามาที่เตียงของเขา และคว้าแขนของเขาจากใต้ผ้าห่มของเขา


เขาม้วนริมฝีปากเป็นรอยยิ้มและนั่งเฉย ๆ เขาเห็นว่าเด็กผู้หญิงข้างหน้าดูเหมือนจะอยากพูดอะไรบางอย่าง แต่ริมฝีปากของนางขยับสองสามครั้งโดยไม่พูดอะไรออกมาสักคำเดียว หลังจากนั้นไม่นานด้วยเหตุผลบางอย่างนางก็เริ่มร้องไห้


ซวนเทียนหมิงเริ่มวิตกกังวลและดึงนางเข้ามากอด ขณะถามนางกลับไปว่า “อาเฮงเกิดอะไรขึ้น ? ใครรังแกเจ้า ? บอกข้ามา ข้าจะจัดการให้เจ้า”


เฟิงหยูเฮงส่ายหน้าพร้อมกับกอดเขาแน่น และร้องไห้เสียงดัง


ในความเป็นจริงนางอยากจะพูดว่า “ซวนเทียนหมิง สอนวิธีใช้แส้ให้ข้า” แต่เมื่อคำพูดที่มาถึงริมฝีปากของนาง นางก็ไม่สามารถพูดได้ นางได้แต่ร้องไห้ออกมา


เฟิงหยูเฮงร้องไห้เป็นเวลานาน ในคืนนี้เสียงร้องไห้ของนางดังก้องไปรอบ ๆ ตำหนักหยู ทำให้ทุกคนในนั้นรู้สึกสับสน ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับผู้ที่อยู่ในตำหนักหยู


แต่เฟิงหยูเฮงเข้าใจว่านางแค่รู้สึกเศร้า นางจำสิ่งที่เกิดขึ้นในภูเขาทางตะวันตกเฉียงเหนือได้ ขาของเซียนเทียนหมิงได้รับบาดเจ็บและมีเลือดไหลมาก นางเป็นคนที่ต้องแก้แค้นเสมอ ยิ่งกว่านั้นนางต้องแก้แค้นทันที นางจะไม่ยอมให้ศัตรูของนางมีความสุขเพิ่มขึ้นอีกวันเว้นแต่ว่านางตั้งใจเล่นเล่ห์เหลี่ยม


แต่ตอนนี้นางไม่สามารถล้างแค้นได้ นางต้องอดทน และ… มันเป็นการแก้แค้นแทนซวนเทียนหมิง


นางร้องไห้ออกมาด้วยความเศร้าโศกราวกับว่านางยังเป็นเด็กอยู่ในอ้อมกอดของเขา เสื้อคลุมของเขาเปียกทั้งน้ำตาและน้ำมูก


หลังจากเหน็ดเหนื่อยจากการร้องไห้ นางก็นอนหลับแบบนั้น น้ำตาสองสามหยดเกาะติดกับขนตาของนาง ทุก ๆ ครั้งที่ขนตาของนางขยับยุกยิก มันขยับเข้าหาหน้าอกของซวนเทียนหมิง พวกมันทำให้เขารู้สึกคันและเศร้าในเวลาเดียวกัน


“ซวนเทียนหมิง…” นางเริ่มบ่นพึมพำ เขาไม่รู้ว่านางหลับหรือตื่น แต่ประโยคของนางชัดเจนในขณะที่เขาได้ยินนางพูดว่า “เฉียนโจวที่ชั่วช้านั่น ป้าใหญ่ผู้นี้จะระเบิดพระราชวังเล็ก ๆ นั้นจนไม่เหลืออะไรเลย ! “


เขาหัวเราะและบีบแก้มของหญิงสาวอย่างอ่อนโยน ตอนนี้นางเริ่มเติบโตขึ้นแล้ว เขาบีบแก้มกลมอย่างสนุก


“ไม่ต้องห่วง” เขาตอบอย่างอ่อนโยน “ไประเบิดกันเถอะ ตั้งแต่ตระกูลฮ่องเต้จนถึงญาติทั้งหมดของพวกเขา ข้าจะส่งคนไปตรวจสอบป้าและลุงของตระกูลฮ่องเต้เฉียนโจวทั้งหมด เราจะไม่ยอมให้ใครหนีไปได้”


“ไม่” หญิงสาวในอ้อมกอดของเขาทำตามอย่างง่วงนอนแล้วพูดว่า “แม้ว่าเฉียนโจวจะมีอากาศหนาว แต่ข้าจะบอกเจ้า ภูเขาเหล่านั้นมีบัวหิมะเยอะ และพวกมันก็มีค่ามาก ! เราจะผนวกเฉียนโจวให้เป็นดินแดนของราชวงศ์ต้าชุนในอนาคต เราสามารถไปและรับสิ่งที่เราต้องการได้”


ซวนเทียนหมิงพิจารณาอย่างจริงจังสักครู่แล้วพยักหน้า “ดี ! ถ้าเจ้าต้องการเฉียนโจว ข้าจะไปเอามาให้เจ้า แม้ว่าเจ้าต้องการโลกใบนี้ ข้าก็จะเอามามอบให้เจ้า”


หญิงสาวในอ้อมกอดของเขาหัวเราะครู่หนึ่งแล้วขยับปากอีกสองสามครั้งก่อนที่จะกอดเขาแน่นขึ้นเล็กน้อย จากนั้นศีรษะของนางโน้มตัวไปด้านข้างขณะที่นางหลับ


ซวนเทียนหมิงยิ้ม และตบหน้านางเบา ๆ สองสามครั้ง “อาเฮง” คนในอ้อมกอดของเขาไม่ตอบสนอง


จากนั้นเขาถามว่า “เจ้าหลับไปอย่างนี้หรือ ? ”


ยังไม่ตอบสนอง


เขาไตร่ตรองเล็กน้อย นี่ถือได้ว่าเป็นสาวงามยินยอมพร้อมใจมอบกายให้เขาใช่หรือไม่ ? น่าเสียดายที่ผู้หญิงคนนี้ยังอายุน้อยเกินไป เนื่องจากร่างกายของนางยังไม่เติบโตเต็มที่ แม้ว่าเขาต้องการที่จะกินนาง มันก็ยังไม่มีที่สำหรับเขาที่จะเริ่มต้น


เขาทำได้แค่ถอดเสื้อผ้าชั้นนอกออกให้นาง จากนั้นเขาก็ถอดรองเท้าและถุงเท้าออก จากนั้นเขากอดนางและหลับไปในผ้าห่ม


นางมีกลิ่นเฉพาะตัวมาก เขาเคยดมมันมาก่อน และนางเรียกมันว่าน้ำหอม เขาจำชื่อแปลก ๆ ไม่ได้ แต่กลิ่นมันหอมมาก


ซวนเทียนหมิงกอดนาง วางคางบนหน้าผากของนาง ขณะที่ริมฝีปากของเขาขดเป็นรอยยิ้ม แต่รอยยิ้มนี้เต็มไปด้วยความสุขและความพึงพอใจ


“เด็กน้อย” เขาพูดอย่างอย่างแผ่วเบา “เราจะนอนด้วยกันอย่างนี้ หากเจ้าต้องการยกเลิกการแต่งงานในอนาคต องค์ชายผู้นี้จะขอให้เจ้ารับผิดชอบ”


เฟิงหยูเฮงจึงนอนกับซวนเทียนหมิงเช่นนี้


บานซูถูกห้ามไม่ให้เข้าไปข้างในและถูกทิ้งไว้ในสนามเพื่อเฝ้าดูเป็นเวลานาน ในตอนแรกเขายังได้ยินเสียงร้องไห้ แต่หลังจากผ่านไประยะหนึ่งก็ไม่มีเสียงร้องไห้ เขาลังเลตลอดเวลาว่าควรเข้าไปดูหรือไม่


เป่ยจื่อเป็นผู้ที่เข้าใจสถานการณ์ได้ดี ขณะที่เขามาพูดกับบานซูว่า “องค์ชายและพระชายาคงบรรทมไปแล้ว เจ้าควรหาที่นอนได้แล้ว”


บานซูโกรธตา “บรรทมหรือ ? องค์ชายและองค์หญิงอยู่ด้วยกันหรือ ? ”


“ถูกต้องแล้ว ! ” เป่ยจื่อพยักหน้าอย่างเป็นธรรมชาติมาก “ข้างในห้องมีเพียงห้องเดียว และมีเตียง 1 เตียงเท่านั้น หากทั้งสองไม่ได้บรรทมด้วยกัน เป็นไปได้หรือไม่ที่เจ้าต้องการให้อีกคนคนนอนบนพื้น”


บานซูกัดฟันของเขา “แต่พวกเขายังไม่ได้แต่งงานกัน ! ”


เป่ยจื่อแนะนำให้เขา “ทำไมเจ้าหัวโบราณคร่ำครึเช่นนี้ ? ไม่ช้าก็เร็วทั้งคู่ก็จะแต่งงานกัน ไม่ช้าก็เร็วพวกเขาก็ต้องนอนด้วยกันอยู่แล้ว ความแตกต่างคืออะไร ? ”


ความแตกต่าง ? บานซูไตร่ตรองอย่างจริงจัง แล้วสรุปว่า “มีความแตกต่างไม่มากนัก”


ดังนั้นเขาจึงจากไป เป่ยจื่อรู้สึกสบายใจมาก


บ่าวรับใช้ของพระราชวังก็รู้สึกว่าการที่ทั้งสองนอนด้วยกันเป็นเรื่องปกติมาก พวกเขาเรียกนางว่าพระชายามาครึ่งปีแล้ว โลกทั้งโลกรู้ว่าคุณหนูรองของตระกูลเฟิงเป็นผู้หญิงที่องค์ชายหยูรัก ยิ่งกว่านั้นนางเริ่มเรียกฮ่องเต้ว่าเสด็จพ่อ เรื่องนี้ยังอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้อีกหรือ ?


ดังนั้นทุกคนจึงเริ่มพูดเกี่ยวกับ “การเป็นสามีภรรยาโดยสมบูรณ์” ระหว่างองค์ชายหยู และพระชายาหยู


เฟิงหยูเฮงนอนหลับจนถึงเที่ยงวันของวันรุ่งขึ้น เมื่อนางลืมตาขึ้นมา นางก็รู้สึกสับสนเล็กน้อยขณะที่นางรู้สึกว่ามีบางสิ่งปกคลุมใบหน้าของนาง ดูเหมือนว่าจะเป็นกำแพงเนื้อ มันนุ่มและมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ


นางบอกได้เลยว่ากลิ่นนี้มาจากซวนเทียนหมิง ดังนั้นนางจึงคิดว่านางกำลังฝัน จากนั้นนางก็พิงกำแพงนี้และเอาจมูกไปถู ๆ มัน นางยังอ้าปากกัดเบา ๆ … อืมอร่อย


กำแพงเนื้อหายไป “เจ้าจะแทะกระดูกของข้าหรือ ? ”


โว้ว !


มันยังมีชีวิตอยู่เหรอ ?


เฟิงหยูเฮงตื่นขึ้นมาเต็มที่และกระโดดขึ้นทันที การกระทำของนางดูเกินเลยไปหน่อยเพราะหน้าผากของนางชนกับคาน


“อ๊ะ ! ” นางร้องด้วยความเจ็บปวด มือของนางลูบหัว นั่งบนเตียงนางมองซวนเทียนหมิง “ทำไมเจ้าปีนขึ้นมาบนเตียงของข้า ? ”


ซวนเทียนหมิงเอื้อมมือออก “นี่คือเตียงของข้า”


“เตียงของเจ้า ? ” เฟิงหยูเฮงสับสน และมองไปรอบ ๆ โอ้ ดูเหมือนว่านี่เป็นเตียงของเขาจริง ๆ “แล้วทำไมข้าถึงมาอยู่บนเตียงของเจ้าได้ ? ”


“ข้าจะรู้ได้อย่างไร ? ” เขาลุกขึ้นนั่งแล้วมองนางด้วยรอยยิ้ม รอยยิ้มนี้ดูเหมือนว่าจะทำให้ดอกบัวบนคิ้วของเขาดูเหมือนจะเป็นสีเข้มขึ้น


เฟิงหยูเฮงรู้สึกทึ่งและกลืนน้ำลายบางส่วนไปด้วยจิตใต้สำนึก “เจ้าสวมหน้ากากขณะนอนหลับ เจ้าจะตายหรือไม่ ถ้าเจ้าให้ข้าดู ! “


“ข้าจะตาย” เขาพยักหน้าอย่างจริงจัง “ใบหน้าของข้าน่าเกลียด ข้ากลัวว่าเจ้าจะตายเพราะความกลัว”


“เฮอะ ! ” เฟิงหยูเฮงเงยหน้าขึ้นมอง “ถ้าเจ้าไม่ให้ข้าดู ก็ลืมมันไปเถอะ” นางหันกลับมาแล้วเริ่มสวมถุงเท้าและรองเท้า ท้องของนางก็ร้องเสียงดัง นางลูบท้องแล้วพูดกับซวนเทียนหมิงว่า “ข้าหิวแล้ว”


ซวนเทียนหมิงมองไปที่เด็กผู้หญิงตรงหน้าเขาด้วยความสนใจอย่างมาก “พูดด้วยเหตุผล เจ้าไม่ควรพิจารณาการเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ของเราในเวลาเช่นนี้ ?”


เฟิงหยูเฮงยอมแพ้กับการใส่รองเท้า นางนั่งคุกเข่าบนเตียงและใช้มือของนางพยุงน้ำหนัก นางถามเขาว่า “ด้วยเหตุผล ? เจ้าเคยมีเหตุผลเมื่อไหร่ ? ”


“ห๊ะ ? ” เขาสับสน “วันก่อนใครเป็นคนบอกว่าข้าเป็นคนที่มีเหตุผลที่สุดในโลก ? ”


เฟิงหยูเฮงเคาะหน้ากากด้วยรอยยิ้ม “วันนั้นเป็นวันนั้น และตอนนี้ก็คือตอนนี้“ นอกจากนี้การเปลี่ยนแปลงอะไรที่เกิดขึ้นในความสัมพันธ์ของเรา ? หลายคนเรียกข้าว่าพระชายา ความแตกต่างระหว่างที่ข้านอนกับเจ้าหรือไม่ได้นอนกับเจ้าคืออะไร ? ยิ่งกว่านั้นข้าอายุเพียง 13 ปี ที่ซึ่งควรเติบโตยังไม่ได้เติบโตมากนัก เจ้าไม่ใช่สัตว์ร้าย ดังนั้นเจ้าจะทำอะไรกับข้า มากที่สุดเจ้านอนกอดข้าแล้วหลับไป เจ้าจะไม่กินข้า”


ซวนเทียนหมิงพูดไม่ออก เรื่องไร้สาระแบบนี้คืออะไร ? ปรากฏว่าถ้าเขาทำอะไรไปเมื่อคืน เขาจะกลายเป็นสัตว์ร้ายหรือ ? พระชายาของเขาแตกต่างจากคนอื่นจริง ๆ แตกต่างโดยสิ้นเชิง !


เขายอมแพ้


เฟิงหยูเฮงลุกขึ้น สวมรองเท้าและเสื้อผ้าของนาง เมื่อนางหันหลังกลับมา นางพบว่าซวนเทียนหมิงยังคงนั่งอยู่บนเตียง นางอดไม่ได้ที่ถาม “เจ้ากำลังทำอะไรอยู่ ? ตื่นได้แล้ว ! “


ซวนเทียนหมิงชี้ไปที่ขาของเขา “ข้ายังพิการอยู่ ! ”


“มันยังไม่ดีขึ้นหรือ” นางสงสัยเล็กน้อยว่า “เป็นไปได้อย่างไร แม้ว่ามันจะยังไม่กลับสู่จุดที่สามารถเคลื่อนไหวได้ตามธรรมชาติ เจ้าควรลุกขึ้นจากเตียงได้แล้ว ! ”


เขาส่ายหัว “ข้าทำไม่ได้”


เฟิงหยูเฮงขมวดคิ้วและอยากไปตรวจสอบเขาสักพัก อย่างไรก็ตามนางหยุด เมื่อได้ยินเขาเอ่ยว่า “ไม่จำเป็น ไม่จำเป็น ข้าสามารถบอกได้ว่ามันดีขึ้นมากกว่าเดิม ข้าคิดว่าข้าจะลุกออกจากเตียงได้ไม่นานหลังจากนี้”


“โอ้” เมื่อได้ยินเขาพูดอย่างนี้ เฟิงหยูเฮงรู้สึกว่านางไม่สามารถยืนหยัดได้ ดังนั้นนางเองช่วยเขาแต่งตัว


นางเคลื่อนไหวอย่างเป็นธรรมชาติ อย่างไรก็ตามนางไม่ได้สังเกตว่าซวนเทียนหมิงกำลังก้มศีรษะลงมองนางด้วยรอยยิ้ม ซึ่งทำให้เห็นได้ชัดว่าเขาแกล้งนางได้สำเร็จ


มีบ่าวรับใช้หญิงสาวคนหนึ่งเข้ามาเพื่อช่วยให้ทั้งสองอาบน้ำ และซวนเทียนหมิงพูดกับนาง “โดยปกติตำหนักของข้าไม่มีนางกำนัล ข้าเดาว่าเพราะเจ้าอยู่ที่นี่ นางกำนัลอาวุโสโจวจึงส่งคนมา”


เฟิงหยูเฮงไม่ได้คิดมาก ขณะที่ล้างหน้านางพูดว่า “การใช้นางกำนัลเป็นเรื่องปกติ พวกเขาช่วยดูแลชีวิตประจำวันของเจ้า ไม่ใช่ว่าพวกเขาจะนอนกับเจ้าในห้องเดียวกัน”


ซวนเทียนหมิงกำลังแปรงฟันของเขาและแทบจะพ่นน้ำที่ใช้บ้วนปากออกมา “หยุดพูดเรื่องไร้สาระ ใครจะทำอะไรโง่ ๆ แบบนั้น”


อย่างไรก็ตามเฟิงหยูเฮงขยับเข้าใกล้เขาด้วยรอยยิ้มที่ชั่วร้ายบนใบหน้าของนาง ขณะที่นางพูดว่า “เจ้าโตแล้ว เจ้าไม่มีผู้หญิงมานอนกับเจ้าและเจ้าไม่มีอนุ และข้ายังไม่ได้แต่งงานกับเจ้า เจ้ามักจะจัดการเรื่องนั้นอย่างไร ? ” 

 

 


ตอนที่ 335

 

เมื่อนางกล่าวเช่นสิ่งนั้นทำให้แก้มของซวนเทียนหมิงเริ่มขึ้นสีระเรื่อ “ไม่ใช่ธุระของเจ้า ! ”


เฟิงหยูเฮงชำเลืองมองเขาและไม่ถามเขาอีกต่อไป นางแอบหัวเราะ ซวนเทียนหมิงแทบจะพ่นน้ำที่เขาพึ่งใช้บ้วนปากลงบนหัวของนาง  แต่ในขณะที่เขาแปรงฟัน เขาเริ่มคิดว่ายาสีฟันและแปรงสีฟันที่เฟิงหยูเฮงให้นั้นดีจริง ๆ


พวกเขาทานอาหารกลางวันในตำหนักหยู เฟิงหยูเฮงมองที่โต๊ะที่เต็มไปด้วยตับหมูและไตหมู และเริ่มขมวดคิ้ว นางเคาะโต๊ะด้วยตะเกียบของนางแล้วถามซวนเทียนหมิงว่า “พ่อครัวของเจ้าคิดอะไรอยู่ ? ”


ซวนเทียนหมิงกล่าวว่า “เหมือนคนปกติ หลังจากนอนห้องข้า เจ้าควรจะกินสิ่งเหล่านี้” ในขณะที่พูดสิ่งนี้เขาเทน้ำแกงสีแดงให้นาง “ชายาที่รักของข้า นี่เป็นอาหารบำรุงร่างกายของเจ้า”


“บำรุงบ้าอะไรกัน ! ” นางเผชิญ “ข้ายังไม่มีรอบเดือนเลย  แม้ว่าเราสองคนจะนอนหลับไปด้วยกัน แต่ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าการพูดคุยภายใต้ผ้าห่ม”


ซวนเทียนหมิงปลอบโยนนาง “ทำอะไรกับมันแล้วกิน พวกเขาจะรู้ได้อย่างไรว่าเจ้ามีรอบเดือนหรือไม่”


“บ่าวรับใช้ของเจ้ากำลังสงสัยความสามารถของเจ้า ! ” นางเริ่มที่จะตำหนิบ่าวรับใช้ของเขา “พวกเขาไม่ไว้ใจเจ้า”


ซวนเทียนหมิงปลอบโยนนาง “นั่นเป็นเพราะพวกเขาเชื่อใจข้ามากเกินไป พวกเขาจึงจัดหาอาหารบำรุงให้เจ้า กินเร็ว หลังจากกินเสร็จแล้ว เราจะไปดูงานฉลองกัน”


“มีงานฉลองอะไรหรือ ? ” เมื่อได้ยินคำว่างานรื่นเริง เฟิงหยูเฮงก็ตื่นเต้นและดื่มน้ำแกงสีแดง นางถามเขาว่า “มีงานฉลองอะไรบ้าง ? ”


ทั้งสองทานเสร็จและซวนเทียนหมิงส่งบ่าวรับใช้ไปบอกว่าพวกเขาไม่จำเป็นต้องได้รับการดูแล เฟิงหยูเฮงไม่อยากประหม่า ดังนั้นเขาจึงต้องตักข้าวให้เฟิงหยูเฮงเอง ขณะทำสิ่งนี้เขาเริ่มคิดว่าดูเหมือนว่าเขาจะต้องเรียนรู้การพึ่งพาตนเองได้หลายอย่างเมื่อใช้เวลากับผู้หญิงคนนี้


“ข้าสงสัยว่ามันเป็นใครที่เบื่อและวิ่งไปจุดไฟเผาตำหนักเซียงตอนกลางดึก”


“เจ้ารู้เรื่องนี้ด้วยหรือ ? ” นางเงยหน้าขึ้นมาจากชามของนาง “เจ้ารู้เมื่อไหร่ ? ”


“เมื่อคืนที่ผ่านมา หลังจากที่เจ้าหลับไป บานซูมารายงานข้า” เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ซวนเทียนหมิงรู้สึกกระวนกระวายใจ “เท่าที่ข้าเห็น ข้าควรจะหาผู้คุ้มกันลับคนใหม่ให้”


เมื่อได้ยินสิ่งนี้เฟิงหยูเฮงเข้าใจทันที บานซูต้องบอกซวนเทียนหมิงถึงการพลัดหลงกับนาง ดังนั้นนางจึงรีบพูดว่า “ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยน ไม่มีใครดีไปกว่าบานซู ข้าเป็นคนที่พยายามไม่ให้เขาติดตามข้าเอง แม้ว่ามันจะเป็นเจ้า เจ้าก็ไม่สามารถติดตามข้าไปเช่นกัน”


ในตอนแรกซวนเทียนหมิงต้องการบอกว่ามันเป็นไปไม่ได้ แต่เมื่อเขาจำได้ว่าเฟิงหยูเฮงดึงสิ่งแปลก ๆ ออกจากแขนเสื้อลึกลับของนางก่อนสิ้นปี เขารู้สึกว่าดูเหมือนจะไม่มีอะไรที่ผู้หญิงคนนี้ไม่สามารถทำได้ ดังนั้นคำพูดที่เขากำลังจะพูดจึงถูกกลืนลงไป


เฟิงหยูเฮงไม่ต้องการพูดเรื่องนี้มาก นางจึงรีบเขาว่า “กินเร็ว ๆ หลังจากกินเสร็จแล้วเราจะไปงานฉลองกัน”


เมื่อทั้งสองอยู่ในรถม้า ซวนเทียนหมิงยังไม่เต็มใจ เพราะเขาพบว่าเขาไม่สามารถตามเฟิงหยูเฮงทันเรื่องความเร็วในการกิน ใครจะไปรู้ว่าผู้หญิงคนนี้มีความสามารถในการกิน เมื่อนางทานอาหารบนโต๊ะอย่างบ้าคลั่ง เขามุ่งความสนใจไปที่การดูนางเท่านั้น ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ทานอะไรมาก


ในเวลานี้ทั้งสองนั่งอยู่ในรถ เฟิงหยูเฮงถือขวดแปลก ๆ และดื่มชาข้างใน อย่างไรก็ตามซวนเทียนหมิงกำลังคิดว่าเขาจะต้องแวะกลางทางก่อนเพื่อซื้ออาหารเพิ่มอีกเล็กน้อย


เขาเหลือบไปที่เฟิงหยูเฮงแล้วขโมยขวดแปลก ๆ “ขอข้าดื่มหน่อย” แม้การดื่มน้ำก็ดี


เฟิงหยูเฮงบอกเขาว่า “วัสดุนี้เรียกว่าแก้ว มีสองชั้นจึงไม่รู้สึกถึงความร้อนเมื่อสัมผัส ข้าจะหาอีกใบให้เจ้าในภายหลัง”


ซวนเทียนหมิงพูดจาสุภาพมาก “ไม่จำเป็น”


เฟิงหยูเฮงพยักหน้า “แล้วข้าจะให้เจ้า ! ” มันเป็นกระติกน้ำแบบแก้ว ในมิติของนางมีเยอะมาก


รถม้าของซวนเทียนหมิงมุ่งหน้าไปยังตำหนักเซียง เขาอยากถามคำถามกับผู้หญิงคนนี้สองสามคำว่านางเข้าใจจริงๆ หรือไม่ว่าตำหนักเซียงอันตรายเพียงใด ไม่ใช่ว่านางไม่สามารถเข้าไปข้างใน แต่อย่างน้อยนางก็ควรไปหาเขาก่อน ? แต่เขาก็รู้ว่าเฟิงหยูเฮงเป็นเด็กผู้หญิงที่ตั้งใจมาก นอกจากนี้นางจะทำสิ่งต่าง ๆ ตามที่นางคิด สิ่งที่นางตัดสินใจแม้ว่าพวกมันจะอยู่ในช่วงเวลาที่ไม่เหมาะสม นางก็จะทำทันที ไม่มีใครหยุดนางได้และไม่มีใครสามารถเปลี่ยนใจนางได้


เขาถอนหายใจอย่างแผ่วเบา ไม่เลวเลยอย่างน้อยนางก็จำได้ว่าวิ่งไปที่ตำหนักหยูเพื่อร้องไห้กับเขา แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว


เอื้อมมือออกไปเขาลูบหัวนาง ในท้ายที่สุดเขาไม่ได้พูดอะไรเลย


อย่างไรก็ตามเฟิงหยูเฮงกำลังจมอยู่กับความคิดของตัวเอง นางวางคางเล็ก ๆ ของนางบนหัวเข่าของเขา นางพูดพึมพำ “ซวนเทียนหมิง เมื่อข้าเห็นเจ้าครั้งแรกที่ภูเขาทางตะวันตกเฉียงเหนือ ข้าถูกดึงดูดด้วยดอกบัวสีม่วงที่หน้าผากของเจ้า ข้ายอมรับว่าข้าเป็นคนที่เก็บความรู้สึกเมื่อเห็นใครที่ดูดี แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าความรู้สึกของข้าที่มีต่อเจ้านั้นมาจากรูปลักษณ์ของเจ้า ข้าไม่รู้จะอธิบายยังไงกับเจ้า แต่เจ้าเป็นคนแรกที่ข้าเห็นในโลกนี้ สำหรับข้า เจ้าเป็นเหมือนชีวิตข้า นั่นเป็นเหตุผลที่ข้าไม่สามารถทนกับทุกคนที่ทำให้เจ้าได้รับบาดเจ็บได้ เมื่อข้าคิดว่าลูกธนูเหล่านั้นแทงหัวเข่าของเจ้า ข้ารู้สึกว่าปวดใจมาก”


หัวใจของซวนเทียนหมิงบีบรัดแน่น และเขาจับไหล่ของเฟิงหยูเฮงแน่น กลัวว่าเขาจะทำร้ายนาง เขาดีดหน้าผากนางอย่างรวดเร็ว


“เด็กโง่” เขากล่าว “เมื่อใดก็ตามที่ข้านึกถึงตอนที่เจ้าถูกเฟิงจินหยวนขับไล่ให้ไปอยู่ที่ภาคตะวันตกเฉียงเหนือเป็นเวลา 3 ปี ข้าโกรธมากจนข้าแทบจะอดใจที่จะทำร้ายเขาไม่ได้ ข้าเกลียดที่ข้าไม่สามารถมอบสิ่งที่ดีที่สุดในโลกให้เจ้าได้ แม้ว่าเจ้าต้องการให้ข้ามอบแคว้นให้ ข้าก็จะไปพิชิตมันและเอามาให้เจ้า”


เฟิงหยูเฮงเงยหน้าของนางแล้วมองเขาพูดอย่างจริงใจว่า “นั่นคือเหตุผลที่เราเหมือนกัน เรามีนิสัยเหมือนกัน นั่นคือสาเหตุที่เราถูกกำหนดให้อยู่ด้วยกัน ซวนเทียนหมิง เมื่อคืนที่ผ่านมาข้าได้ยินซวนเทียนเย่ และคังอี้พูดถึงเรื่องตอนที่เจ้าอยู่ในภาคตะวันตกเฉียงเหนือ เป็นเพราะซวนเทียนเย่ให้สายลับแฝงตัวอยู่ในกองทัพภาคตะวันตกเฉียงเหนือ เจ้าจึงถูกซุ่มโจมตีทันที และกลุ่มนักแม่นธนูของเฉียนโจวก็สามารถเข้ามาในราชวงศ์ต้าชุนได้เพราะเฟิงจินหยวนให้ความช่วยเหลือแบบลับ ๆ บอกข้ามาว่าทั้งสามคนไม่ควรตายหรือ ? ”


เมื่อนางพูดสิ่งนี้ ดวงตาของนางเปล่งรัศมีแห่งความตายออกมา ราวกับว่านางเป็นผู้ส่งสารแห่งความตายที่มาจากนรก หลังจากค้นหาผู้เคราะห์ร้ายแล้ว นางจะค่อย ๆ นำวิญญาณของพวกเขาออกไป และบดขยี้มันเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดใหม่


ซวนเทียนหมิงเริ่มหัวเราะ เขาจับใบหน้าเล็ก ๆ ของเฟิงหยูเฮงไว้ในมือทั้งสอง แล้วจ้องมองนาง ดอกบัวบนหน้าผากของเขาพราวระยิบระยับ “นี่คือพระชายาของซวนเทียนหมิง ! ไม่ต้องกังวล ใครก็ตามที่ทำให้เจ้าไม่มีความสุข สามีของเจ้าจะส่งพวกมันไปหาเจ้า เพียงใช้แส้ของเจ้าและทำตามที่เจ้าต้องการ การฆ่าพวกมันไม่ใช่เป้าหมาย เป้าหมายคือเพื่อความสนุกสนาน ซึ่งรวมถึงเฉียนโจวเมื่อเจ้าต้องการมัน ไปกันเถอะ ไปเอามัน ! ”


ดวงตาของเฟิงหยูเฮงเปล่งประกายจากคำพูดของเขาในแบบเดียวกับที่ดวงตาของผู้หญิงบางคนเป็นประกายขึ้นเมื่อเห็นอัญมณีที่สวยงาม พวกเขาเต็มไปด้วยความสุขและความโลภ อย่างไรก็ตามนี่เหมาะสำหรับรสนิยมของซวนเทียนหมิง


ในที่สุดรถม้าก็หยุดที่ด้านนอกของตำหนักเซียง ทั้งสองไม่ได้ลงจากรถม้าเนื่องจากเฟิงหยูเฮงยกผ้าม่านด้านหนึ่งออกไปมอง


ผู้คนมากมายรวมตัวกันเพื่อเพลิดเพลินกับความมีชีวิตชีวา เมื่อคืนที่ผ่านมากำแพงส่วนหนึ่งของตำหนักเซียงถูกไฟไหม้ ไฟกองใหญ่และร้อนทำให้ผนังบางส่วนพังทลาย


พวกเขาได้ยินเสียงของผู้คนพูด ขณะที่คนหนึ่งพูดว่า “ข้าอยากรู้ว่าทำไมไฟถึงไหม้ได้ มีกลิ่นแปลก ๆ และข้าก็ได้ยินว่าดับยากมาก เห็นได้ชัดว่าเป็นไฟกองเล็ก ๆ แต่ถังน้ำเพียงใบเดียวก็ไม่สามารถดับได้”


“แน่นอน ข้าได้ยินมาว่าต้นไม้ที่เก่าแก่ที่สุดในสวนถูกไฟไหม้”


“พูดเบา ๆ มันจะลำบากถ้าคนในตำหนักได้ยินสิ่งที่เจ้าพูด นี่คือตำหนักเซียง มันไม่ใช่ตำหนักของเจ้านายท่านอื่น ตำหนักนี้ห้ามล่วงเกิน ! ”


“อ่า! ดูสิองค์ชายเซียงออกมาใช่หรือไม่?”


ตามคนนั้นกล่าว เฟิงหยูเฮงหันความสนใจของนางไปที่ทางเข้าของพระราชวัง นางเห็นซวนเทียนเย่ออกมา ใบหน้าของเขาบูดบึ้งด้วยความโกรธที่ปกคลุมร่างกายของเขาทั้งหมด เขาดูเหมือนช้างที่ตกมัน


ทุกคนต่างพาเงียบไปเพราะพวกเขาแยกย้ายกันไปในทิศทางที่ต่างกัน


เมื่อซวนเทียนเย่ออกมา เขาจ้องตรงไปที่รถม้าของซวนเทียนหมิงและเฟิงหยูเฮง


ซวนเทียนหมิงพิงบนรถเข็นด้วยความเกียจคร้านและหลับตาอย่างไม่สนใจเขา


เฟิงหยูเฮงอารมณ์ดี และยกมือขึ้นโบกมือให้เขา “สวัสดีพี่สาม ! ”


ใบหน้าของซวนเทียนเย่นั้นแย่ยิ่งกว่าเดิม


ซวนเทียนหมิงจับมือเล็ก ๆ ของเฟิงหยูเฮงและกล่าวว่า “บอกมาว่าใช้อะไรทำให้เกิดกองไฟขนาดเล็กแต่ไม่สามารถดับด้วยน้ำถังเดียวได้ ? ”


เฟิงหยูเฮงตอบ “แอลกอฮอล์ทางการแพทย์ ! แช่ลูกบอลฝ้ายในมันแล้วจุดไฟ พวกมันค่อนข้างสวยอย่างแท้จริง แต่มันยังไม่ถึงจุดที่ถังน้ำจะไม่ดับ ประชาชนเพิ่งแพร่ข่าวลือเท็จและทำให้มันดูชั่วร้ายเกินไป แต่พวกมันก็ยากกว่าที่จะดับเมื่อเทียบกับไฟปกติ”


ในเวลานี้ซวนเทียนเย่เดินไปหาพวกเขาแล้ว ในขณะที่เดินเขาพูดว่า “ฟังแล้วดูเหมือนว่าน้องสาวจะคุ้นเคยกับไฟที่เผาตำหนักขององค์ชายนี้”


เฟิงหยูเฮงพยักหน้า “ข้าค่อนข้างคุ้นเคย ท่านสามารถถามข้าได้ ! “


อย่างไรก็ตามซวนเทียนหมิงกล่าวขึ้นมาก่อน “พี่สามจะเป็นคนไร้ยางอายเช่นนี้ได้อย่างไร ? ตำหนักของท่านถูกไฟไหม้และท่านคิดไม่ออก ท่านจึงมาถามน้องสะใภ้ของท่าน หากคำพูดนี้แพร่หลายออกไป พี่สามจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ? ”


ซวนเทียนเย่รู้สึกว่ามีรสคาวหวานเพิ่มขึ้นในลำคอขณะที่เขาสามารถกระอักเลือดทุกเวลา เขารู้สึกราวกับว่าเขากำลังจะตายด้วยความโกรธโดยทั้งสองในรถม้า ถ้าเป็นไปได้เขาอยากจะฆ่าทั้งสองคนด้วยตัวเอง น่าเสียดายที่เขาไม่เพียงแต่ไร้อำนาจแต่ยังไร้ความสามารถอีกด้วย ซวนเทียนหมิงเป็นคนที่เขายังไม่สามารถเอาชนะได้ และเด็กผู้หญิงที่ดูอ่อนแอเกินกว่าที่จะยืนหยัดต้านลมได้นั้นมีความสามารถด้านศิลปะการต่อสู้ที่ไม่ด้อยไปกว่าซวนเทียนหมิง


เขาเดินไปครึ่งทางแล้วหยุดเดินไปข้างหน้า ในเวลานี้รถม้าของซวนเทียนหมิงเริ่มเคลื่อนไหวตามที่เตรียมออกเดินทาง


เขามองรถม้าเริ่มเคลื่อนไหวช้า ๆ เมื่อเขาเห็นเฟิงหยูเฮงยืนขึ้น และแสดงท่าทางราวกับว่านางกำลังยิงธนู การกระทำนั้นแปลกประหลาดเป็นพิเศษและทำให้เขาใจสั่น


เมื่อในที่สุดเขาก็ได้สติกลับมา รถม้าก็หายไปไกลแล้ว เขาเริ่มที่จะพิจารณาบางอย่างเป็นเวลานานจากนั้นสั่งองครักษ์ของเขาอย่างรวดเร็ว “ไปแจ้งองค์หญิงคังอี้ บอกให้นางระวังเฟิงหยูเฮงไว้ด้วย”


องครักษ์ได้รับคำสั่งจากนั้นก็รีบออกไป ซวนเทียนเย่ยืนอยู่ตามลำพัง มองรถม้าที่ห่างออกไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งมันเป็นเพียงจุดดำเล็ก ๆ ในที่สุดเขาก็มองไม่เห็น


ซวนเทียนหมิงพาเฟิงหยูเฮงเข้ามาในพระราชวัง เมื่อพวกเขาลงจากรถม้า เขาก็บอกกับเฟิงหยูเฮงว่า “เราไปคารวะฮองเฮากันเถิด”


เฟิงหยูเฮงไตร่ตรองอย่างรวดเร็ว และถามในขณะที่เข็นรถเข็น “รุ่ยเจียกำลังถูกสอนอยู่ด้านข้างพระองค์หรือไม่ ? ”


ซวนเทียนหมิงยกย่องนางว่า “พระชายาของข้าฉลาดมาก”


เฟิงหยูเฮงยิ้ม และถามเขาว่า “เป็นอย่างไรบ้าง ข้าทำได้ดีหรือไม่กับการโจมตีนั้น ? ”


“แน่นอน เจ้าทำได้ดีมาก ! ” เขาเปิดเผยรอยยิ้มที่มีเลศนัยของเขา “จำไว้ว่าถ้ามีคนทำให้เจ้าไม่มีความสุขในอนาคต ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับสิ่งอื่นใด เพียงแค่นำแส้ของเจ้าออกมา แล้วกังวลสิ่งอื่น ๆ ในภายหลัง เพียงแค่เฆี่ยนพวกเขาตามที่เจ้าต้องการ หากพวกเขาตาย นั่นคือพวกเขาโชคร้าย หากพวกเขาไม่ตาย หนี้แค้นนั้นสามารถจัดการได้ในเวลาต่อมา”


เฟิงหยูเฮงพยักหน้า “นั่นคือความชอบของข้า แต่ถ้าข้าเฆี่ยนแล้วเขากล้าตอบโต้เล่า ? “


“มีอะไรที่ต้องกลัว ถ้าท้องฟ้าถล่มลงมา ข้าจะค้ำมันไว้เพื่อเจ้า มันจะยังจะกล้าตอบโต้เจ้าอยู่หรือ ? ”


นางยิ้มกว้างจนตาหยี จากนั้นนางก็ถามเขาว่า “เราไปตามหารุ่ยเจียกันเถิดว่านางอยู่ที่ไหน”


ซวนเทียนหมิงกล่าวว่า “เนื่องจากเฉียนโจวเป็นสิ่งที่พระชายาที่รักของข้าต้องการ ไปเก็บค่าเช่าก่อน ! ” 

 

 


ตอนที่ 336

 

ตำหนักจงเป็นส่วนที่สง่างามที่สุดของตำหนักในอย่างแน่นอน มันใหญ่ที่สุดและมีบ่าวรับใช้มากที่สุด แต่ก็มีกฎที่เข้มงวดที่สุดในพระราชวังด้วย ฮ่องเต้ทรงโปรดปรานพระชายาหยุนและได้มอบอำนาจให้ฮองเฮา สำหรับตำหนักอื่น ๆ เมื่อสองสามทศวรรษก่อน ความโปรดปรานเป็นสิ่งที่กระจายอย่างสม่ำเสมอ แต่นับตั้งแต่พระชายาหยุนเข้ามาในพระราชวัง พระสนมคนอื่นไม่เคยได้รับความโปรดปรานอีกเลย


เมื่อซวนเทียนหมิงและเฟิงหยูเฮงมาถึง ฮองเฮาก็อยู่ในหอสวรรค์พร้อมกับฮ่องเต้ที่ดูแลเรื่องต่างๆ นางกำนัลอาวุโสนำทั้งสองพาไปที่ห้องด้านข้างซึ่งรุ่ยเจียกำลังพักอยู่ จากนั้นนางก็บอกเฟิงหยูเฮงในแบบที่คุ้นเคยมาก “องค์หญิงรุ่ยเจียเข้ามาในพระราชวังของฮ่องเต้ เพื่อรอรับการรักษาจากองค์หญิงแห่งมณฑล นางก็อยู่ในห้องเดียวกันเพคะ”


เฟิงหยูเฮงขมวดคิ้ว “ข้าไม่ได้มาเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บของนาง”


ซวนเทียนหมิงตบหลังมือของนาง “ฮะ ! ไม่เป็นไร อย่างไรก็ตามค่ารักษาขององค์หญิงแห่งมณฑลนั้นสูงมาก”


เฟิงหยูเฮงคิดอย่างรวดเร็วและเข้าใจได้ทันที นางพูดพร้อมกับยิ้มว่า “ในเวลาที่ข้ารักษาอาการเจ็บป่วยของพระชายาเซียงค่ารักษาอาการป่วยของพระชายาเซียงคือเหมืองหยก องค์หญิงรุ่ยเจียได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นนี้ ดังนั้นจึงเป็นปัญหาในการรักษามากกว่าอาการป่วยของพระชายาเซียง”


“องค์หญิงแห่งมณฑลต้องการขอเงินเพิ่ม” ขณะที่พวกเขาพูด พวกเขามาถึงห้องด้านข้างแล้ว นางกำนัลอาวุโสหญิงยื่นมือออกมาแล้วเปิดประตูโดยกล่าวว่า “พระราชวังส่งหมอหลวงมาทุกวันเพื่อตรวจสอบสภาพขององค์หญิงรุ่ยเจีย แม้จะเป็นหมอหลวงก็ตาม พระราชวังใช้ยาอย่างดีในการรักษา แต่อาการบาดเจ็บดูเหมือนจะไม่ดีขึ้น นอกจากนี้แม้ว่านางจะหายจากอาการบาดเจ็บ แต่บาดแผลที่เกิดจากแส้จะทำให้เกิดรอยแผลเป็น”


ทั้งกลุ่มเข้าไปในห้องขณะที่หมอหลวงออกมา เมื่อเห็นซวนเทียนหมิงและเฟิงหยูเฮง เขาก็แสดงความเคารพอย่างรวดเร็ว


ซวนเทียนหมิงถามเขาว่า “เจ้าให้ยาชนิดใดแก่องค์หญิงรุ่ยเจีย ? ”


หมอหลวงไตร่ตรองเล็กน้อยแล้วตอบว่า “โสมและเห็ดหลินจือจากสำนักยาหลวงล้วนถูกนำมาใช้ ฮองเฮากล่าวว่าเราควรให้ยาอย่างดีแก่นาง หากนางไม่สามารถรักษาได้แม้จะมีสิ่งนี้ องค์หญิงจากเฉียนโจวก็คงได้แต่ตำหนิตัวเองที่โชคร้ายเท่านั้น บ่าวรับใช้ของเราไม่มีอำนาจพะยะค่ะ”


เฟิงหยูเฮงยิ้มให้กับตัวเอง ให้ยาอย่างดีแก่นาง โดยไม่สนใจว่าเป็นยาที่ถูกกับโรคหรือไม่ นี่เป็นความคิดของฮองเฮา ในเวลาเดียวกันมันก็เป็นความคิดของฮ่องเต้ในเรื่องนี้ เมื่อนึกถึงเมื่อคังอี้เพิ่งเข้ามาในพราชวังก็เห็นได้ชัดว่านางได้ทำการบ้านในเรื่องราชวงศ์ต้าชุนมา เมื่อนางหงายไพ่ นางจึงได้แหย่ที่จุดอ่อนของฮ่องเต้ และทำให้ฮ่องเต้ระลึกถึงพระเชษฐภคินีของพระองค์ได้สำเร็จ


น่าเสียดายที่ไม่ว่าพระองค์จะคิดเรื่องของพระเชษฐภคินีของพระองค์มากแค่ไหนก็ไม่สามารถเปรียบเทียบกับรุ่ยเจียที่ดูถูกซวนเทียนหมิงได้ ฮ่องเต้สามารถทนต่อสิ่งใดๆ ได้ แต่เขาจะไม่ประมาทแม้แต่น้อยเมื่อนึกถึงพระชายาหยุนและบุตรชายของนาง เมื่อพระชายาหยุนเริ่มโกรธ เขาเกือบจะฆ่าพระชายาบุใบปิง ขณะเดียวกันก็ฆ่าใต้เท้าบุด้วย ตอนนี้ซวนเทียนหมิงถูกดูหมิ่น ดูที่การแสดงออกปัจจุบันของเขา โดยพื้นฐานแล้วเขาพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อกำจัดยาของรุ่ยเจียออกไปด้วย


เฟิงหยูเฮงจะคิดว่าโชคดีที่ซวนเทียนหมิงเป็นคนทำงานหนักและมีคุณค่าต่อความโปรดปรานของฮ่องเต้ หากเขาเป็นบุตรชายที่ไร้ค่า บางทีทั้งราชวงศ์ต้าชุนจะถูกทำลายในมือของเขา


ขณะที่คิดถึงสิ่งนี้นางผลักซวนเทียนหมิงไปอีกไม่กี่ก้าว ในเวลาเดียวกันนางพูดกับหมอหลวง “ไปจดรายการยาทั้งหมดที่องค์หญิงรุ่ยเจียกิน จดบันทึกจำนวนของยาแต่ละรายการ เจ้าสามารถส่งไปที่เฉียนโจวเพื่อเก็บเงินในภายหลังได้”


หน้าผากของหมอหลวงเริ่มเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ เมื่อแรกที่เขาได้ยินว่าพวกเขาจะรักษาองค์หญิงรุ่ยเจียเช่นนี้ เขาเข้าใจว่าราชวงศ์ต้าชุนจงใจกลั่นแกล้งเฉียนโจว เมื่อเขาได้ยินมาว่าองค์หญิงรุ่ยเจียทำให้องค์หญิงแห่งมณฑลจีอันโกรธองค์หญิง และการบาดเจ็บที่ร่างกายของนางเกิดจากองค์หญิงแห่งมณฑลเฆี่ยนตีนาง เขาเช็ดเหงื่อออกและกล่าวว่า “พะยะค่ะ” จากนั้นยืนขึ้น และออกจากห้องโถง


กลุ่มของเฟิงหยูเฮงเดินไปที่เตียงของรุ่ยเจีย นางหยุดเมื่อเดินไปได้ 3 ก้าว นางก็ปิดจมูกและถามบ่าวรับใช้ที่ดูแลนางว่า “กลิ่นอะไร?”


บ่าวรับใช้ในพระราชวังก้าวไปข้างหน้าเพื่อตอบ “ทูลองค์หญิงแห่งมณฑล องค์หญิงรุ่ยเจียกำลังทุกข์ทรมานกับการปัสสาวะไม่หยุด บางที…”


“พอ” นางกำนัลอาวุโสขัดจังหวะนาง “เจ้าพูดอะไร ไม่กลัวว่าจะเข้าหูขององค์ชายและองค์หญิงแห่งมณฑลหรือ” นางจึงหันไปรอบ ๆ แล้วพูดกับเฟิงหยูเฮง “นางทุกข์ทรมานจากอาการบาดเจ็บรุนแรงเช่นนี้ หากไม่ได้รับการรักษาในทันที หม่อมฉันกลัวว่านางจะไม่สามารถฟื้นตัวได้อย่างแท้จริงเพคะ” ในขณะที่พูดอย่างนี้นางส่ายหัวแล้วมองที่รุ่ยเจีย แล้วถอนหายใจด้วยความเสียใจ “องค์หญิงน้อยผู้นี้ช่างน่าเสียดายจริง ๆ ”


รุ่ยเจียผู้ซึ่งกำลังนอนอยู่บนเตียงถูกห่อด้วยผ้าขาวเหมือนบ๊ะจ่าง โดยมีเพียงหัวของนางยื่นออกมา เมื่อได้ยินว่ามีคนมาแล้วนางก็หันหน้าไปมอง อย่างไรก็ตามนางบังเอิญเห็นเฟิงหยูเฮงมองนางอย่างเย็นชา นางเพิ่งได้ยินนางกำนัลอาวุโสพูดบางอย่างที่ทำให้นางหมดหวัง


เมื่อเห็นเฟิงหยูเฮง ดวงตาของรุ่ยเจียก็เปลี่ยนเป็นสีแดงเนื่องจากร่างกายของนางกลายเป็นสัตว์ประหลาด นางกัดฟันของนางอย่างรุนแรงและพยายามอย่างยิ่งที่จะหนี น่าเสียดายที่ร่างกายของนางถูกห่อ นางจึงไม่สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างสมบูรณ์ นอกจากนี้เมื่อนางบิดตัวไปรอบ ๆ แผลของนางก็ปริทำให้นางต้องเจ็บปวดมาก


“เฟิงหยูเฮง ! ” นางกัดฟัน “ไม่ช้าก็เร็ว เสด็จลุงของข้าจะรีบมาที่เมืองหลวงเพื่อแก้แค้นให้ข้า เมื่อเวลานั้นมาถึง เจ้าจะถูกสับออกเป็นพัน ๆ ชิ้น ! ”


เฟิงหยูเฮงขมวดคิ้ว “เจ้าหมายถึงอะไร… ในฐานะรัฐบริวาร เฉียนโจวจะก่อกบฏหรือ ? มาเร็ว” นางพยายามจับแขนนางกำนัลอาวุโส “รีบรายงานต่อฮ่องเต้ บอกว่าเฉียนโจวจะก่อกบฏ ขอให้เสด็จพ่อส่งกองกำลังเพื่อปราบปรามการกบฏโดยเร็ว ! ”


ถ้อยคำเหล่านี้ข่มขู่จนเกือบทำให้รุ่ยเจียหวาดกลัวถึงตาย ขณะที่นางกรีดร้องในทันที “ช้าก่อน ! ไม่มีการก่อกบฏ! เฟิงหยูเฮง เจ้าอย่าทำเรื่องเล็กให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ ! ”


เฟิงหยูเฮงไม่เข้าใจ “เจ้าพูดเองว่าเสด็จลุงของเจ้าจะมาฆ่าข้าที่เมืองหลวง หากนี่ไม่ใช่การก่อกบฏแล้วอะไรที่เรียกว่าการก่อกบฎ ? ”


ซวนเทียนหมิงทนไม่ได้ “ราชวงศ์ต้าชุนของข้าได้ปฏิบัติต่อรัฐบริวารค่อนข้างดี แม้ว่าจะได้รับเครื่องบรรณาการจากอาณาจักรของเจ้าทุกปี แต่ปริมาณอาหารที่ให้ทุกปีนั้นมีค่ามากกว่าสิ่งที่ได้รับจากอาณาจักรของเจ้า เฉียนโจวของเจ้าปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งและหิมะตลอดทั้งปี และพืชไม่เติบโต อาหารส่วนใหญ่ที่เจ้ากินมาจากราชวงศ์ต้าชุน ผู้คนของเฉียนโจวไม่เคยได้ยินเรื่องการตอบแทนบุญคุณหลังจากได้รับความช่วยเหลือในช่วงเวลาที่ต้องการบ้างหรือ ? ”


“เจ้า” รุ่ยเจียจะเริ่มสาปแช่งอีกครั้งเพราะนางคุ้นเคยกับการทำแบบนี้ แต่ความเจ็บปวดจากร่างกายของนางทำให้นางปิดปากของนางทันที นางรู้ว่านางไม่สามารถดูหมิ่นคนผู้นี้ได้ ครั้งล่าสุดที่นางทำ นางถูกเฟิงหยูเฮงเฆี่ยนตีจนเป็นเช่นนี้ ถ้านางดูหมิ่นเขาซึ่ง ๆ หน้าอีกครั้ง นางจะรักษาชีวิตนางไว้ได้ไหม ?


แต่ความโกรธในอกนางไม่มีที่ที่จะระบายได้ การอดกลั้นไว้ทำให้ใบหน้าของนางเปลี่ยนเป็นสีแดงสด และทำให้ม่านตาของนางขยาย นางดูน่ากลัวมาก


นางกำนัลอาวุโสถามนางว่า “องค์หญิงรู้สึกไม่สบายใจหรือไม่เพคะ ? อืม หมอหลวงกำลังจะมาถึงแล้ว แต่บาดแผลขององค์หญิงนั้นรุนแรงมาก พวกมันมีผลกระทบต่อหัวใจแล้ว ไม่มีอะไรที่หมอหลวงสามารถทำได้ ตอนนี้เราได้แต่พึ่งโสมพันปีเพื่อรอจนกว่าองค์หญิงแห่งมณฑลจี่อันมาถึงเพคะ”


“รอนางเพื่ออะไร ? ” รุ่ยเจียเริ่มคุ้นเคยกับการมองสีหน้าสิ้นหวังของหมอที่ส่ายหน้า นางเริ่มวางแผนสำหรับการตายของนางเอง แต่… “เป็นไปได้หรือไม่ว่าก่อนที่ข้าจะตาย ข้าจะได้รับความอัปยศจากนังแพศยาคนนี้อีกครั้ง ? ”


ซวนเทียนหมิงเริ่มโกรธ เขาขยับแส้ในมือของเขาโดยไม่คิดแม้แต่น้อย เขาสะบัดแส้ในมือออกไปด้วยความแม่นยำที่ยอดเยี่ยม มันพุ่งไปที่ปากของรุ่ยเจีย


รุ่ยเจียรู้สึกเพียงแค่ว่าริมฝีปากของนางเปิดออกอย่างกะทันหัน ความเจ็บปวดที่ท่วมท้นไปทั่วร่างกาย นางเกือบเป็นลม


นางอ้าปากค้างเพื่อรับอากาศ ขณะที่บ่าวรับใช้เดินเข้าไปใช้ผ้าเช็ดหน้าเพื่อเช็ดเลือด อย่างไรก็ตามนางถูกผลักออกไป พวกเขาเห็นรุ่ยเจียเสียสติไประยะหนึ่ง ด้วยปากที่เหมือนกระต่ายของนาง นางจึงถามซวนเทียนหมิง “เจ้ากล้าทำร้ายผู้หญิงหรือ ? ”


ซวนเทียนหมิงเงยหน้ามองนาง “ในสายตาขององค์ชายผู้นี้ ไม่มีความแตกต่างระหว่างชายและหญิง ข้าแค่แยกความแตกต่างระหว่างคนที่ไร้ยางอายหรือไม่ เจ้าช่างไร้ยางอาย ข้าจะดูทำไมว่าเจ้าเป็นผู้ชาย หรือผู้หญิง ? เจ้าอยากลองพูดอีกครั้งหรือไม่ องค์ชายผู้นี้สามารถรับประกันได้ว่าตราบใดที่เจ้าพูดมัน แส้นี้จะพันรอบลิ้นของเจ้าและดึงมันออกมาจากปากของเจ้าทันที”


ใบหน้าของรุ่ยเจียซีดด้วยความกลัว ทั้งสองคนนี้เป็นปีศาจใช่หรือไม่ ? มีคนนิสัยเช่นนี้ในโลกนี้ และพวกเขาก็เป็นคู่รักกัน สวรรค์ ! ถ้านางรู้เร็วกว่านี้ว่าบุตรสาวคนที่สองของตระกูลเฟิงมีอารมณ์แบบนี้ แม้ว่านางจะถูกทุบตีจนตาย นางก็คงไม่มาที่ราชวงศ์ต้าชุน !


องค์หญิงน้อยผู้นี้รู้ถึงความกลัวในที่สุด นางเริ่มร้องไห้ นางไม่กล้าพูดอะไรอีก แม้ว่าหมอหลวงได้บอกไปแล้วว่านางจะไม่มีชิวิตอยู่อีกไม่นาน และนางก็ถูกมัดราวกบบ๊ะจ่างทั้งวัน นางไม่สามารถไปเข้าห้องน้ำด้วยตัวเองได้ แต่นางก็ยังอยากจะมีชีวิตต่อไป ทุกวันที่นางยังมีชีวิตอยู่มีความหมายมาก จะเกิดอะไรขึ้นถ้า… ถ้าเสด็จลุงมาช่วยนางได้


ในเวลานี้นางกำนัลอาวุโสกลับไปที่หัวข้อก่อนหน้า “องค์หญิงรุ่ยเจีย เหตุผลที่เรารอให้องค์หญิงแห่งมณฑลจี่อันมาเพื่อช่วยองค์หญิง! องค์หญิงไม่รู้หรือเพค่ะว่าหมอที่ดีที่สุดในราชวงศ์ต้าชุนไม่ใช่หมอหลวง แต่เป็นองค์หญิงแห่งมณฑลจี่อันเพคะ ! ”


รุ่ยเจียตกตะลึงเมื่อนางพูดทวนคำที่นางได้ยินราวกับเป็นเรื่องตลก นางมองและถามนางกำนัลอาวุโส “นางหรือ ? ช่วยข้า ? ข้าถูกนางเฆี่ยนขนาดนี้ ตอนนี้ไม่เพียงแต่บาดแผลเก่าของข้าไม่ได้รับการรักษา แถมข้ายังได้แผลใหม่ ในท้ายที่สุดนางมาช่วยข้าหรือมาฆ่าข้ากันแน่ ? ”


เฟิงหยูเฮงก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าวแล้วจ้องมองนางพูดว่า “ไม่ว่าข้าจะช่วยชีวิตเจ้าหรือฆ่าเจ้า มันขึ้นอยู่กับสิ่งที่เจ้าเลือก รุ่ยเจีย ตอนนี้เจ้ากับข้าไม่ถูกชะตากันอยู่แล้ว อย่างไรก็ตามก่อนอื่นเจ้าไม่ควรดูหมิ่นองค์ชายหยู ประการที่สองถ้าเจ้ารอดชีวิต ไปถามมารดาของเจ้าว่านางทำอะไรลงไป ข้าจะบอกความจริงกับเจ้าว่าการเฆี่ยนเจ้านั้นเป็นเรื่องที่เบามาก ถ้าวันหนึ่งที่ข้าผู้นี้ไม่มีความสุข แม้ว่าข้าจะฆ่าเจ้า มารดาของเจ้าก็ไม่กล้าพูดอะไรสักคำ เจ้าเชื่อข้าหรือไม่ ? “


ใจของรุ่ยเจียสั่นไหว ด้วยเหตุผลบางอย่างนางเชื่อว่านี่เป็นเรื่องจริง คราวนี้พวกเขามาที่ราชวงศ์ต้าชุนด้วยเหตุผลที่ไม่เหมาะสม ถ้าเฟิงหยูเฮงฆ่านาง มารดาจะหาทางแก้แค้นแทนนางหรือไม่ ?


คอของนางแข็งทื่อ นางต้องการหันมามองเฟิงหยูเฮง อย่างไรก็ตามนางไม่มีความกล้าที่จะทำเช่นนั้น หลังจากนั้นครู่หนึ่งนางได้ยินเฟิงหยูเฮงถามว่า “ไม่ว่าเจ้าจะมีชีวิตอยู่หรือตาย เจ้าต้องเลือกตอนนี้ ! องค์หญิงแห่งมณฑลคนนี้ยุ่งมาก ข้ามีเวลาให้เจ้าไม่นาน”


รุ่ยเจียกล่าวว่า “มีชีวิตอยู่ ! ข้าต้องการมีชีวิตอยู่ ! ”


“ดี ! ” เฟิงหยูเฮงเปล่งเสียงของนางแล้วพูดว่า “ถ้าเจ้าต้องการมีชีวิตอยู่ องค์หญิงแห่งมณฑลคนนี้จะรักษาเจ้าเอง ไม่เพียงแต่ข้าจะช่วยเจ้าได้ แต่ข้ายังสามารถลบรอยแผลเป็นบนร่างกายของเจ้าได้ แต่…” นางหยุดพูด เสียงของนางดูขี้เล่น แต่มันก็ทำให้นางรู้สึกเศร้าหมองเช่นเดียวกับที่นางถาม “เจ้ายินดีจ่ายหรือไม่ ? ”


“ค่ารักษาหรือ ? ” รุ่ยเจียตกตะลึง “มีค่ารักษาอะไร ? ”


นางกำนัลอาวุโสใช้ความคิดริเริ่มที่จะกล่าวว่า “องค์หญิงแห่งเฉียนโจวเมื่อได้รับการรักษา ย่อมมีค่ารักษาเป็นธรรมดา”


รุ่ยเจียคิดอย่างรวดเร็ว และพูดอย่างชาญฉลาด “ข้าเข้ามาในคฤหาสน์เฟิงกับท่านแม่ ตระกูลเฟิงเป็นครอบครัวของข้า ดังนั้นเสนาบดีเฟิงจึงเป็นบิดาของข้า เมื่อบุตรสาวล้มป่วย เป็นเรื่องปกติที่บิดาจะต้องจ่ายเงินค่ารักษา”


“โอ้” เฟิงหยูเฮงพยักหน้า “ดี องค์หญิงแห่งมณฑลจะส่งคนไปถาม ดูว่าท่านพ่อสามารถจ่ายได้มากแค่ไหน แต่มีบางสิ่งที่ข้าต้องเตือนเจ้า ในการรับมารดาของเจ้าเข้าคฤหาสน์ คนที่เจ้าเรียกท่านพ่อได้ใช้เงินทั้งหมดในคฤหาสน์เฟิงไปเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้เขาเป็นหนี้ท่านย่ามากกว่า 10,000 เหรียญเงิน”


จิตใจของรุ่ยเจียหนาวเหน็บเมื่อนางได้ยิน ซวนเทียนหมิงพูดทันทีว่า “องค์ชายผู้นี้มีความคิด องค์หญิง เจ้าต้องดูว่ามันคุ้มหรือไม่” 

 

 


ตอนที่ 337

 

ความจริงนั้นความคิดของซวนเทียนหมิงนั้นอาจไม่เข้าท่าสำหรับรุ่ยเจีย ค่าใช้จ่ายในการรักษาอาการบาดเจ็บทางร่างกายของนางจะเป็นเงิน 5,000,000 เหรียญทอง


รุ่ยเจียยังไม่รู้เรื่องที่ซวนเทียนหมิงให้คังอี้ชดใช้เงิน 5,000,000 เหรียญทอง นางคิดกับตัวเองว่าถึงแม้ว่า 5,000,000 เหรียญทองจะมากเกินไป แต่ถ้านางสามารถใช้มันเพื่อแลกกับชีวิตของนางเอง เสด็จลุงก็ต้องเห็นด้วยอย่างแน่นอน ดังนั้นนางจึงพยักหน้าอย่างรวดเร็ว “ได้”


ซวนเทียนหมิงยิ้มและพูดว่า “เจ้าเห็นด้วยยังไม่เพียงพอ เรื่องนี้มารดาของเจ้าต้องเห็นด้วยเช่นกัน ! ”


รุ่ยเจียพูดอย่างใจจดใจจ่อ “ส่งคนไปที่คฤหาสน์เฟิงเพื่อแจ้งท่านแม่ของข้าทันที ท่านแม่จะต้องเห็นด้วยอย่างแน่นอน ! ”


ซวนเทียนหมิงพยักหน้า และกำลังจะพูด อย่างไรก็ตามเฟิงหยูเฮงพูดอีกครั้ง “เดี๋ยวก่อน!”


รุ่ยเจียจ้องมองไปที่ด้านข้างของนาง “เจ้าต้องการอะไร ? ”


เฟิงหยูเฮงกล่าวว่า “เงิน 5,000,000 เหรียญทองไม่เพียงพอ ข้ายังต้องการดอกบัวหิมะเตียนซานของเฉียนโจวอีก 10 ดอก ข้าต้องการพวกมันพร้อมกับหิมะที่ปกคลุมด้วยหิมะพันปี เอาพวกมันมาที่ราชวงศ์ต้าชุน”


“อะไรนะ” รุ่ยเจียตกใจมาก “เจ้าต้องการดอกบัวหิมะเตียนซาน และเจ้ายังต้องการหิมะพันปีด้วยหรือ” นางจ้องมองที่เฟิงหยูเฮงราวกับว่านางกำลังมองผู้หญิงบ้า หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งพวกเขาได้ยินว่ารุ่ยเจียหัวเราะ ในขณะที่หัวเราะ นางพูดว่า “เฟิงหยูเฮง เจ้าเสียสติไปแล้วหรือ ? ดอกบัวหิมะเตียนซานเติบโตในหิมะพันปี แม้ว่าหิมะสามารถคงอยู่ได้โดยไม่ละลายเป็นเวลา 1 เดือนหลังจากที่ออกจากเฉียนโจว เมื่อมันถูกนำมายังเมืองหลวงของราชวงศ์ต้าชุน มันก็ละลายหมดแล้ว มันมีประโยชน์อะไร ? ”


เฟิงหยูเฮงเล่นเล็บของนาง “เอามันมาเพื่อความสนุก”


“เจ้าจะไม่สามารถทำให้พวกมันมีชีวิตอยู่ได้ ! ”


“ไม่ว่าข้าจะสามารถรักษาพวกมันให้มีชีวิตอยู่ได้หรือไม่นั้นเป็นปัญหาของข้า แต่เรื่องที่ข้าจะได้รับหรือไม่นั้นเป็นปัญหาของเจ้า” เฟิงหยูเฮงมองไปที่รุ่ยเจีย ริมฝีปากของนางขดเป็นรอยยิ้มชั่วร้าย


รุ่ยเจียกัดฟันแล้วพูดว่า “ดี งั้นส่งคนไปที่คฤหาสน์เฟิง และส่งต่อข้อความนี้ให้ท่านแม่ของข้า ! ”


ซวนเทียนหมิงบอกนางกำนัลอาวุโสที่อยู่ด้านข้างของพวกเขาทันที “ข้าจะขอให้เจ้าไปด้วยตัวเอง บอกคังอี้เกี่ยวกับสิ่งที่เพิ่งตกลงกัน จำไว้ว่าถ้าองค์หญิงใหญ่ตกลง พานางไปที่สำนักงานของทางการทันที พร้อมกับเงิน 5,000,000 เหรียญทองที่นางสัญญาเมื่อวานนี้ เขียนในตั๋วสัญญาใช้เงินทั้งหมด ให้เจ้าหน้าที่เก็บบันทึกสิ่งนี้ไว้”


“ฝ่าบาทไม่ต้องเป็นห่วงเพคะ บ่าวรับใช้ผู้นี้จะไปจัดการทันทีเพค่ะ” นางกำนัลอาวุโสคนนั้นปฏิบัติตาม เดินออกไปทันที


รุ่ยเจียกำลังงงงวย “เงินอะไร 5,000,000 เหรียญทองเมื่อวานนี้ ช้าก่อน ! ” นางต้องการเรียกให้นางกำนัลอาวุโสหยุด แต่นางจะได้ยินได้อย่างไรเมื่อนางเดินออกไปแล้ว รุ่ยเจียมองที่ซวนเทียนหมิงและเฟิงหยูเฮง ทันใดนั้นนางรู้สึกราวกับว่านางถูกหลอกและเอ่ยว่า “พวกเจ้าหลอกเงินท่านแม่ของข้ามาเท่าไหร่ ? ”


ซวนเทียนหมิงแก้ไขนาง “เจ้าหมายถึงการหลอกลวงหรือ ! 5,000,000 เหรียญทองเมื่อวานนี้จะถูกใช้เพื่อช่วยบรรเทาความโกรธของพระชายาข้า 5,000,000 เหรียญทองในวันนี้เพื่อรักษาอาการบาดเจ็บของเจ้า นอกจากนี้ข้าต้องเตือนเจ้าอีกครั้ง มันไม่ใช่เหรียญเงิน มันเป็นเหรียญทอง”


รุ่ยเจี่ยแทบจะกระอักเลือดออกมา ? เฉียนโจวถูกหลอกลวงเงิน 10,000,000 เหรียญทองภายใน 2 วัน “พวกเจ้าวางแผนทำแบบนี้โดยเจตนา ! ” นางตะโกนเสียงดังทำให้แผลของนางเจ็บปวด


เฟิงหยูเฮงมองไปที่นางแล้วพยักหน้า “โดยเจตนา แล้วเจ้าทำอะไรได้บ้าง ? ”


รุ่ยเจียกัดฟันแล้วพูดว่า “อย่าดีใจมากเกินไป ราชวงศ์ต้าชุนมีขึ้นก็ต้องมีลง ไม่ช้าก็เร็วจะมีวันหนึ่งเมื่อพวกเจ้าตกอยู่ในมือข้า เมื่อถึงเวลานั้นพวกเจ้าต้องระวัง ข้าจะให้พวกเจ้าชดใช้สิ่งที่พวกเจ้าทำในวันนี้ ! ”


เฟิงหยูเฮงแสร้งทำเป็นกลัวในขณะที่ยิ้ม “ข้าเป็นหมอที่จะรักษาเจ้า หากเจ้าขู่ข้าเช่นนี้ ข้าจะกล้ารักษาเจ้าได้อย่างไร”


รุ่ยเจียตื่นตกใจแล้วรู้ว่านางทำผิด นางแค่หลับตาเพราะนางจะไม่ต้องกังวลกับสิ่งที่นางมองไม่เห็น


ในอีกด้านหนึ่งเมื่อนางกำนัลอาวุโวเดินทางไปถึงคฤหาสน์เฟิง คังอี้อยู่ในห้องเขียนหนังสือของนาง คิดว่าจะเขียนจดหมายถึงผู้ปกครองของเฉียนโจวอย่างไร ในขั้นต้นนางควรจะเขียนจดหมายฉบับนี้เมื่อวานนี้ แต่พี่น้องเฉิงทั้งสองคนมาถึงตอนเย็น และมีคนวางยาพิษฮันชิ จากนั้นนางก็ออกจากคฤหาสน์ ดังนั้นนางจึงไม่มีเวลากังวลเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้


นางกำนัลอาวุโสถูกเชิญให้ไปที่เรือนโบตั๋น เมื่อคังอี้มาถึง ฮูหยินผู้เฒ่าและเฟิงเฉินหยูก็นั่งลงพร้อมกับนาง เมื่อเห็นคังอี้มาถึง นางกำนัลอาวุโสก็ออกมาทักทาย คังอี้ทักทายกลับด้วยเช่นกัน “เหตุผลสำหรับการมาเยือนครั้งนี้ของนางกำนัลอาวุโสมีอะไรหรือไม่”


นางกำนัลอาวุโสกล่าวว่า “หม่อมฉันไม่กล้าแบกรับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ บ่าวรับใช้ผู้นี้เป็นเพียงบ่าวรับใช้ องค์หญิงใหญ่ทรงใจดีเกินไปเพคะ บ่าวรับใช้ผู้นี้มาถึงวันนี้เพื่อนำสาส์นขององค์ชายหยูและคำขอขององค์หญิงรุ่ยเจียมารายงานต่อองค์หญิงใหญ่เพคะ”


เมื่อได้ยินว่ามีการร้องขอ ในที่สุดอารมณ์ของคังอี้ก็แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในขณะที่นางถามอย่างรวดเร็ว “เกิดอะไรขึ้นกับรุ่ยเจีย ? ”


นางกำนัลอาวุโสอธิบายกับพวกเขาเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นโดยสังเขป หลังจากเสร็จสิ้นนางเน้น “อาการบาดเจ็บขององค์หญิงรุ่ยเจียนั้นรุนแรงมากเพคะ แรงจากแส้ส่งผลต่อหัวใจขององค์หญิง บ่าวรับใช้ผู้นี้อาจจะพูดสิ่งที่ไม่พึงประสงค์ แต่หากองค์หญิงยังไม่ได้รับการรักษา กระหม่อมกลัวว่าองค์หญิงจะอยู่ได้เพียง 3-5 วันเพคะ ! ”


ใจของคังอี้บีบรัดแน่นมากขึ้น แม้กระทั่งฮูหยินผู้เฒ่าและเฟิงเฉินหยูก็เริ่มคลั่ง เฟิงเฉินหยูถามอย่างสงสัยว่า “การเฆี่ยนคงจะใช้แรงมาก”


นางกำนัลอาวุโสพยักหน้า “อาจเป็นเพราะความโกรธขององค์หญิงแห่งมณฑลจี่อันเพคะ ในเวลาที่องค์หญิงใช้กำลังภายใน ทุกคนรู้ว่าองค์หญิงแห่งมณฑลจีอันมีความเชี่ยวชาญในศิลปะการต่อสู้ เมื่อถูกเฆี่ยนองค์หญิงรุ่ยเจียถือว่าโชคดีที่องค์หญิงยังมีชีวิตอยู่ หากเป็นองค์ชายหยูเป็นคนเฆี่ยน องค์หญิงใหญ่จะสามารถประหยัดทองคำได้มากเพคะ”


ตอนนี้ความโกรธของคังอี้พลุ่งพล่าน แต่มันก็ถูกบีบอัดอย่างแรงครั้งแล้วครั้งเล่า นางถามนางกำนัลอาวุโส “ข้าได้รับอนุญาตให้พบเจียเอ๋อหรือไม่ ? ”


นางกำนัลอาวุโสตอบอย่างมีความสุข “นั่นเป็นเรื่องปกติที่จะต้องได้รับอนุญาตเพคะ หากองค์หญิงปรารถนาที่จะเข้าไปในพระราชวังเพื่อเยี่ยมองค์หญิงรุ่ยเจีย องค์หญิงสามารถไปพร้อมกับบ่าวรับใช้ได้เพคะ องค์หญิงแห่งมณฑลและองค์ชายหยูก็อยู่เพคะ องค์หญิงคังอี้สามารถสอบถามองค์ชายหยูด้วยตนเอง เมื่อคิดถึงเรื่องนี้แล้ว องค์ชายควรจะกลับไปในเวลานี้เช่นกัน เมื่อวานนี้ฮ่องเต้ทรงพิโรธมากที่มีคนดูถูกพระโอรสอันเป็นที่รักที่สุดของพระองค์ พระองค์ทรงพิโรธมาก พระองค์ต้องการลากคนพูดออกมาและตัดหัวของคนนั้น แต่เป็นฮองเฮาที่ช่วยชีวิตองค์หญิงรุ่ยเจีย หากองค์หญิงคังอี้เข้าไปพระราชวัง องค์หญิงต้องขอบคุณฮองเฮาด้วยตัวเองนะเพคะ”


คังอี้ก็ตกใจเมื่อได้ยินเรื่องนี้ จากนั้นก็ส่ายหัวอย่างรวดเร็ว “ไม่ต้องการ ข้าคิดดูแล้ว ถ้ารุ่ยเจียสามารถอยู่ในพระราชวังได้ นั่นหมายความว่านางได้รับการรักษาที่ดีที่สุด ในเมื่อฮ่องเต้ทรงเอ็นดูนางขนาดมอบผ้าไหมตำหนักจันทรา 2 พับให้นาง ข้ายังต้องกังวลอีกหรือ ? ”


นางกำนัลอาวุโสยิ้มและตอบว่า “องค์หญิงคังอี้สบายใจได้เพคะ หมอหลวงพยายามรักษาองค์หญิงรุ่ยเจียให้ดีที่สุด และพวกเขาใช้ยาที่ดีที่สุดที่มีอยู่เพคะ”


คังอี้รู้ด้วยใจว่ามีปัญหา แต่นางพบว่ามันยากที่จะถามในขณะนี้รุ่ยเจียอยู่ในพระราชวังเทียบเท่ากับการได้เปรียบเหนือนาง ตอนนี้นางเป็นเหมือนเนื้อชิ้นหนึ่งบนเขียง พวกเขาสามารถตัดออกได้ แต่ต้องการมากกว่านั้น


คังอี้ถอนหายใจแล้วจึงหันหาฮูหยินผู้เฒ่าและกล่าวว่า “ท่านแม่ ลูกสะใภ้จะเดินทางไปที่สำนักงานของทางการนะเจ้าคะ”


ฮูหยินผู้เฒ่าพยักหน้า แต่ไม่ได้พูดอะไรเลย


หลังจากคังอี้จากไปแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าก็ส่งเฟิงเฉินหยูออกไป หลังจากที่ทุกคนจากไป นางถอนหายใจแล้วพูดว่า “แท้จริงแล้วองค์ชายเก้าต้องการทำอะไร ? ”


ยายจาวอยู่ข้างนาง คิดเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “ดูเหมือน… พระองค์ต้องการที่จะหลอกลวงเอาเงินของนาง ? ”


ฮูหยินผู้เฒ่าตกใจเมื่อนางพูด สิ่งแรกที่โผล่เข้ามาในความคิดของนาง “เฉียนโจวมีเงินหรือ ? พวกเขาจะไม่รับเงินจากสินเดิมของคังอี้ใช่หรือไม่ ? นางยังคงเป็นหนี้ข้า ! ”


ยายจาวคิดกับตัวเองที่นางเป็นหนี้ เมื่อเทียบกับเงิน 5,000,000 เหรียญทองนั้นเป็นสิ่งที่ไม่คุ้มค่าที่จะกล่าวถึง ดังนั้นนางจึงกังวลเรื่องอะไร แต่นางไม่กล้าพูดอะไรแบบนี้ นางทำได้แค่ปลอบใจฮูหยินผู้เฒ่าเท่านั้น “พวกเขาจะไม่ทำ ไม่ว่าอย่างไรเฉียนโจวก็เป็นเพียงอาณาจักรเล็ก ๆ เงิน 10,000,000 เหรียญทองนั้นฟังดูเหมือนเป็นจำนวนมาก แต่ก็ไม่ควรทำให้พวกเขาใช้สินเดิมขององค์หญิงในการจ่ายออกมา”


“น่าจะใช่” ฮูหยินผู้เฒ่าไตร่ตรอง “จะดีถ้าพวกเขาไม่ใช้มัน สินเดิมของนางทั้งหมดจะถูกนำมาใช้ในกองกลาง หืม ? ” นางคิดบางอย่าง “จุนม่านบอกว่าสินเดิมของพวกนางจะมาวันนี้ใช่หรือไม่ ? มาถึงแล้วหรือยัง ? ”


ยายจาวตอบว่า “ยังไม่ถึงเจ้าค่ะ ท่านฮูหยินผู้เฒ่าไม่ต้องเป็นห่วง ได้ยินว่ามีคุณหนูรองและองค์ชายหยูอยู่ที่พระราชวัง เมื่อคิดเกี่ยวกับมัน มันคงจะกลับมาพร้อมกับคุณหนูรองเจ้าค่ะ”


ฮูหยินผู้เฒ่าพยักหน้า “รออีกสักครู่ คงจะมาถึงแล้ว”


คังอี้ไม่อะไรกับงานของนาง เมื่อมาถึงที่สำนักงานของทางการ นางส่งมอบตั๋วสัญญาใช้เงินให้กับนางกำนัลอาวุโสทันที เมื่อนางกำนัลอาวุโสนำสิ่งนี้กลับไปที่พระราชวัง ฮองเฮาได้กลับมาจากท้องพระโรงแล้วและกำลังพูดคุยกับเฟิงหยูเฮง “ข้าฝากดูแลจุนม่านกับจุนเหมยด้วย ผู้หญิง 2 คนนั้นถือกำเนิดมาจากอนุของคฤหาสน์เฉิง และมารดาของพวกนางเป็นเพียงสาวใช้ธรรมดาที่นอนกับใต้เท้า พวกนางไม่มีสถานะที่แท้จริง แม้ว่าตระกูลเฉิงจะไม่ได้อยู่ในตำแหน่งเดียวกับเสนาบดีเฟิง แต่ก็ยังถือว่าเป็นตระกูลที่โดดเด่น ไม่มีการขาดแคลนซึ่งกลอุบายในสถานที่นั้น นางทั้งสองคนถูกรังแกมาตั้งแต่เด็ก หลังจากพวกนางเข้ามาในพระราชวังในช่วงสองปีแรก พวกนางขี้อายและขี้ขลาดมาก และเมื่อฮ่องเต้เสด็จมา พวกนางไม่กล้าแม้แต่จะมอง”


เฟิงหยูเฮงคิดกลับไปหาพี่น้องเฉิงที่นางได้พบเมื่อคืนก่อน พวกนางดูเหมือนจะไม่ขี้ขลาด เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ หลังจากใช้เวลาหลายปีในพระราชวังคงเป็นไปไม่ได้ที่จะยังคงขี้ขลาด ดูเหมือนว่าฮ่องเต้และฮองเฮาจะให้ความสนใจในการฝึกฝนพวกนาง แม้ว่าทั้งสองคนเข้าไปในคฤหาสน์เพียงครึ่งวัน แต่ความเร็วของข้อมูลมาถึงเร็วกว่าเดิมมาก


นางยิ้มให้กับฮองเฮาและกล่าวว่า “เนื่องจากพวกนางแต่งงานกับท่านพ่อ พวกนางเป็นผู้อาวุโสของอาเฮง ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปข้าจะดูแลพวกนางทั้งสองคนให้มากขึ้น”


ขณะที่ทั้งสองกำลังพูดกัน นางกำนัลอาวุโสได้อยู่ตรงหน้าแล้ว คำนับต่อฮองเฮา จากนั้นก็คำนับให้ซวนเทียนหมิง และกล่าวว่า “คำสั่งขององค์ชายสำเร็จแล้วเพคะ นี่คือตั๋วสัญญาใช้เงินเพคะ”


ซวนเทียนหมิงรับ และมอง จากนั้นวางมันไว้ในมือของเฟิงหยูเฮง “รับไว้ เมื่อทองถูกนำเข้าไปในคฤหาสน์ของเจ้าแล้วส่งคืนให้นาง”


ฮองเฮาได้ฟังอยู่นานแล้วว่าทั้งสองร่วมมือกันหลอกลวงเฉียนโจว และนางอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ “เมื่อเร็ว ๆ นี้พระราชวังและเรือนทั้งหมดได้ถูกตัดงบ หากข้าหาเงินมาเพิ่มได้ ฮ่องเต้จะต้องมีความสุขอย่างแน่นอน” นางกล่าวไตร่ตรองเล็กน้อยแล้วพูดกับนางกำนัลอาวุโสว่า “องค์หญิงรุ่ยเจียกำลังได้รับบาดเจ็บและอยู่ในพระราชวัง นางใช้ยาราคาแพงและหายากจำนวนมาก นอกจากนี้ยังมีเรื่องของการเรียนรู้มารยาท และการใช้เหตุผลที่ต้องการให้มีผู้สอนด้วย ไปบอกองค์หญิงคังอี้ว่าสิ่งเหล่านี้จะถูกเพิ่มเข้าไปในค่ารักษาด้วย”


นางกำนัลอาวุโสปฏิบัติตามแล้วมุ่งหน้าไปยังคฤหาสน์เฟิงอีกครั้ง เมื่อนางกลับมาอีกครั้งนางถือตั๋วสัญญาใช้เงินอีกฉบับในมือของนาง


ฮองเฮารับมันด้วยความพึงพอใจ ลุกขึ้นยืนแล้วพูดกับซวนเทียนหมิงว่า “พวกเจ้าสามารถทำสิ่งที่พวกเจ้าต้องการได้ ข้าจะไปหาฮ่องเต้เพื่อหางานทำ”


ซวนเทียนหมิงพูดจาเงียบ ๆ “เจ้าปล่อยให้นางกอบโกยเงินบ้าง”


เฟิงหยูเฮงกล่าวว่า “การทำงานร่วมกันกับเสด็จพ่อค่อนข้างดี การยอมให้ฮองเฮามีรายได้เล็กน้อยเป็นสิ่งที่ควรทำ ไปกันเถอะ เราควรออกจากพระราชวังได้แล้ว”


เมื่อได้ยินว่าพวกเขากำลังจะออกจากพระราชวัง นางกำนัลอาวุโสก็ถามอย่างรวดเร็วว่า “พรุ่งนี้องค์หญิงแห่งมณฑลจะมารักษาองค์หญิงรุ่ยเจียใช่หรือไม่เพคะ ? ”


เฟิงหยูเฮงพยักหน้า “ใช่ ทำความสะอาดให้ด้วย ข้าไม่ต้องการให้มีกลิ่นแปลก ๆ ในห้องนั้นอีกต่อไป”


นางกำนัลอาวุโสตอบ “องค์หญิงแห่งมณฑลโปรดอย่ากังวลเพคะ”


ในที่สุดทั้งสองก็ออกจากประตูใหญ่ของพระราชวัง เมื่อออกเดินทางเฟิงหยูเฮงกล่าวว่า “ข้าต้องกลับไปที่คฤหาสน์เพื่อฝังเข็มให้อนุฮันเพื่อรักษาทารกในครรภ์ของนาง เจ้าไม่ควรไปกับข้า ไปตำหนักศศิเหมันต์ ข้ามาที่พระราชวังแต่ไม่ได้มีโอกาสไปเยี่ยมเสด็จแม่ ไปทักทายแทนข้าด้วย แค่บอกว่าข้าจะไปเยี่ยม และเคารพในวันพรุ่งนี้”


ซวนเทียนหมิงพยักหน้า “ดี นำรถม้าของข้ากลับมาส่งด้วย เดินทางกลับระวังตัวด้วย”


ทั้งสองออกจากพระราชวังไป และแยกทางกัน


ในขณะที่เฟิงหยูเฮงกำลังเดินไปที่ประตูของพระราชวัง นางเห็นกลุ่มบ่าวรับใช้ในพระราชวังกำลังแบกเกี้ยวผ่านไป หนึ่งในนั้นดูคุ้นตามาก นางเหล่ตามองและครุ่นคิด 

 

 


ตอนที่ 338

 

นางกำนัลกลุ่มนั้นประกอบด้วยคน 4 คน แต่ละคนถือตะกร้าไว้ในมือ พวกนางเดินเร็วและเดินไปตามถนนสายหลัก พวกนางก้มศีรษะลงก็เห็นได้ชัดว่าพวกนางไม่ต้องการเป็นที่สังเกต


น่าเสียดายที่เฟิงหยูเฮงยังคงเห็นพวกเขาอยู่


นางกำนัลสังเกตเห็นเฟิงหยูเฮงมองไป จากนั้นนางจึงเริ่มที่จะอธิบายว่า “นั่นคือนางกำนัลที่ดูแลพระสนมอัน คิดว่าจะต้องเป็นองค์ชายเซียงที่ส่งของไปให้พระสนมอันเพคะ”


“หืม?” เฟิงหยูเฮงสับสน “ถ้าข้าจำไม่ผิด พระสนมอันเป็นมารดาที่ให้กำเนิดองค์ชายห้า ทำไมองค์ชายเซียงถึงส่งสิ่งของให้นาง ? ”


บ่าวรับใช้ในพระราชวังกล่าวว่า “องค์หญิงแห่งมณฑลไม่อาจรู้ได้ ตั้งแต่เกิดเรื่องขึ้นกับองค์ชายห้า ฮ่องเต้ไม่ไปหาพระสนมอันอีกเลย ด้วยเหตุนี้พระสนมอันจึงเสียสติคล้ายคนบ้าเพคะ นางเริ่มเกลียดองค์ชายห้า โดยปกติแล้วองค์ชายห้าจะส่งสิ่งของเข้าไปในตำหนัก แต่ตราบใดที่นางได้ยินว่าสิ่งของมาจากองค์ชายห้า นางก็จะทำลายทันที หลังจากนั้นองค์ชายสามก็เป็นคนดูแลพระสนมอันมาตลอดหลายปี องค์ชายจะส่งสิ่งของ เช่น อาหารและเสื้อผ้าไปให้นางเป็นครั้งคราว”


“โอ้” เฟิงหยูเฮงพยักหน้า นางรู้เรื่องพระสนมอันว่าเป็นคนบ้าไปแล้ว อย่างไรก็ตามนางไม่คิดว่าองค์ชายสามจะทำสิ่งนี้ ซวนเทียนเย่เป็นคนที่ไม่เคยทำดีกับใครโดยไม่หวังผลตอบแทน หากไม่มีผลประโยชน์ เขาจะไม่ทำอะไร เหตุใดเขาจึงดูแลพระสนมอัน


นางหันกลับมามองในทิศทางที่กลุ่มนางกำนัลกำลังเดินไป หากนางจำไม่ผิด ในกลุ่มนางกำนัลที่เดินไปนั้น มีคนหนึ่งเป็นคนที่สอนให้เฟิงเฟินไดร่ายรำกลางหิมะอยู่ในหมู่พวกนาง


“นางกำนัลของพระสนมอันนั้นงดงามแทบทุกคนเลย” นางแกล้งทำเป็นพูดแบบนี้โดยไม่ตั้งใจ เมื่อนางมองอีกครั้ง กลุ่มนางกำนัลก็เดินจากไป


นางกำนัลบอกกับนางว่า “นั่นเป็นเพราะพระสนมอัน ได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้ จึงได้พระราชทานสตรีที่งดงามจำนวนหนึ่งให้คอยรับใช้นางในตำหนัก ไม่เพียงแค่นี้นางยังให้พวกเขาเรียนรู้การร่ายรำกลางหิมะ น่าเสียดายตั้งแต่เหตุการณ์นั้น ฮ่องเต้ไม่เคยเสด็จมาตำหนักนี้อีกเลย”


“ฮ่องเต้ไม่ส่งหมอหลวงไปรักษาอาการวิกลจริตของพระสนมอันหรือ ? ” นางถามนางกำนัลในพระราชวัง “ผ่านมากี่ปีแล้ว พวกเขายังรักษาไม่ได้อีกหรือ ? ”


นางกำนัลกล่าวว่า “หมอหลวงย่อมรักษาอยู่แล้ว แต่ฮ่องเต้ไม่สนพระทัยเรื่องนี้ ดังนั้นหมอหลวงจะตั้งใจรักษาได้อย่างไรเพคะ พวกเขาแค่รักษาไปวัน ๆ ”


“เป็นเช่นนั้นหรือ” เฟิงหยูเฮงไตร่ตรองอยู่พักหนึ่งจนกระทั่งพวกเขามาถึงประตูพระราชวัง ก่อนจากไป นางกล่าวว่า “เช่นนั้นเมื่อข้ามาที่พระราชวัง ข้าจะไปเยี่ยมพระสนม ! ”


นางกำนัลยิ้มและกล่าวว่า “องค์หญิงแห่งมณฑลใจดีมากเพคะ”


ไม่ว่านางจะเป็นพระโพธิสัตว์หรือไม่ก็ตามเฟิงหยูเฮงไม่รู้ นางแค่รู้สึกอยากจะไปตรวจสอบบางสิ่งที่นางสงสัยตลอดเวลา ดูเหมือนว่าสิ่งต่าง ๆ กำลังจะคลี่คลาย ความจริงกำลังจะเปิดเผยความจริง


รถม้าของซวนเทียนหมิงกำลังรออยู่หน้าประตูพระราชวัง และเฟิงหยูเฮงกำลังเดินตรงไปที่รถม้า ก่อนที่นางจะปีนเข้าไปนางได้ยินเสียงจากด้านหลัง “องค์หญิงแห่งมณฑล รอก่อนเพคะ ! ”


นางตกใจและหันหลังกลับ ที่นั่นนางเห็นกลุ่มบ่าวรับใช้ในพระราชวังยกกล่องใหญ่ออกจากพระราชวังจำนวนหนึ่ง ในช่วงเวลานั้นมีนางกำนัลอาวุโสชุนหลาน เมื่อเห็นว่าเฟิงหยูเฮงหยุดแล้ว นางก็วิ่งมาหาอย่างรวดเร็ว และพูดพร้อมกับยิ้มว่า “คารวะองค์หญิงแห่งมณฑลเพคะ ! บ่าวรับใช้ผู้นี้ได้รับคำสั่งจากฮองเฮาให้ส่งสินเดิมไปยังคฤหาสน์เฟิงเพคะ”


เฟิงหยูเฮงเท่านั้นที่จำได้ว่ามีการพูดคุยเกี่ยวกับสินเดิมที่ถูกนำเข้ามากับพี่น้องเฉิงที่แต่งงานกับคฤหาสน์เฟิง


นางพยักหน้า “ไม่เป็นไร ฝากข้าได้”


สินเดิมของพี่น้องเฉิงนั้นไม่มากหรือน้อยเกินไป กล่องไม้สีแดงทั้งหมด 16 กล่อง ทุกกล่องเต็มไปหมด ตามหลังรถม้าของเฟิงหยูเฮง มันดูงดงามมาก


เนื่องจากมีคนไปที่คฤหาสน์เฟิงรายงานก่อนแล้ว เมื่อพวกเขามาถึง เฟิงจินหยวน ฮูหยินผู้เฒ่า และทุกคนต้องรออยู่ที่หน้าบ้าน


ตอนนี้ตระกูลเฟิงมีฮูหยินใหญ่และมีอนุใหม่เพิ่มอีก 2 คน และอนุเก่าอีก 3 คน แม้ว่าฮูหยินใหญ่ได้รับการพิจารณาว่าเป็นฮูหยินที่เป็นทางการและถูกกฎหมาย แต่สินเดิมของนางยังคงอยู่ที่เฉียนโจว มันยังไม่ถูกส่งมา อันชิ, ฮันชิ และจินเฉินดูสง่างามน้อยกว่า แม้แต่เฉินซื่อก็ได้รับการเลื่อนตำแหน่งจากอนุเป็นฮูหยินใหญ่ ดังนั้นพวกนางจึงไม่แม้แต่จะเคลื่อนไหว


นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมตระกูลเฟิงเพียงแต่สนุกกับฉากของลูกสะใภ้ที่เอาสินเดิมของนางเข้ามาในคฤหาสน์เฟิง นอกจากเวลาที่เฟิงจินหยวนแต่งงานกับเหยาซื่อ ตอนนี้สินเดิมของพี่น้องเฉิงถูกส่งจากพระราชวังไปยังคฤหาสน์เฟิง ฮูหยินผู้เฒ่ารู้สึกว่าจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษ


นางกำนัลอาวุโสชุนหลานนำกล่องสีแดง 16 กล่องเข้ามาในคฤหาสน์เฟิงแล้ว นางจึงพูดกับฮูหยินผู้เฒ่าว่า “ฮองเฮาตรัสว่าพี่ชายของพระองค์เสียชีวิตไปแล้ว แต่เนิ่น ๆ เมื่อได้ยินว่าฮูหยินใหญ่คนใหม่ของตระกูลเฟิงขาดความรู้ในการสั่งสอนบุตรมากเกินไป พระนางลังเลที่จะส่งหลานสาวของตัวเองมา พระนางหวังว่าเสนาบดีเฟิงจะดูแลพวกนางเป็นอย่างดี”


เฟิงจินหยวนตอบอย่างรวดเร็วว่า “ฝากนางกำนัลอาวุโสบอกฮองเฮาด้วยว่าเจ้าหน้าที่ผู้นี้จะดูแลพี่น้องตระกูลเฉิงเป็นอย่างดีขอรับ”


ฮูหยินผู้เฒ่าแสดงตัวเองว่า “ตระกูลเฟิงจะไม่ทารุณพวกนางอย่างแน่นอน”


นางกำนัลอาวุโสชุนหลานพยักหน้าให้พวกเขา ก่อนที่จะแสดงให้เห็นว่านางสามารถวางใจได้ และรายงานไปยังฮองเฮา


หลังจากที่นางจากไป จุนม่านเดินไปข้างหน้า และพูดกับบ่าวรับใช้ส่วนตัวของนางว่า “เอาอาหารบำรุงและยาจากสินเดิมไปส่งให้ที่เรือนของอนุฮัน” จากนั้นนางหันไปพูดกับเฟิงจินหยวน “ท่านพี่ พี่ฮันกำลังตั้งครรภ์ อาหารบำรุงทุกอย่างจะถูกส่งไปให้นาง แน่นอนว่าถึงแม้ว่าอาหารบำรุงจะดี แต่เมื่อพูดถึงสิ่งที่นางกิน มันเป็นเรื่องปกติที่ควรปล่อยให้หมอตัดสินใจ”


เฟิงจินหยวนพยักหน้าซ้ำๆ “พวกเจ้ามีจิตใจที่ดี นี่คือความโชคดีของตระกูลเฟิง”


จุนเหมยก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าวหยุดอยู่ตรงหน้าฮูหยินผู้เฒ่า นางโค้งคำนับ “อาหารบำรุงนั้นมอบให้พี่ฮัน สำหรับเรื่องอื่นๆ … อนุได้ยินท่านแม่บอกว่าท่านพี่ใช้เงินเป็นจำนวนมากในงานแต่งงาน และตกแต่งเรือนให้กับพี่คังอี้ เนื่องจากพี่สาวของเราเข้ามาในคฤหาสน์เฟิงสถานที่แห่งนี้ก็เป็นเรือนของเราเช่นกัน หากทุกคนในตระกูลทุกข์ยากลำบาก เราต้องช่วยเหลือเป็นธรรมดา นั่นเป็นเหตุผลที่สิ่งอื่น ๆ ในกล่องเหล่านี้จะมอบให้กับท่านแม่ดูแลเพื่อช่วยตระกูลเจ้าค่ะ ! ”


คำพูดของจุนเหมยทำให้ใบหน้าของคังอี้ห่อเหี่ยว นางเสียหน้าไปอย่างมากกับซวนเทียนหมิง และเฟิงหยูเฮงในช่วงสองวันที่ผ่านมา ใครจะรู้ว่านางจะได้รับความละอายจากอนุอีก 2 คน นางรู้สึกอย่างแท้จริงว่านางไม่มีใบหน้าเหลืออีกเลย


เฟิงหยูเฮงที่กลับมาพร้อมกับสินเดิมกล่าวเพิ่มเติมว่า “เมื่อผู้หญิงแต่งงานกับครอบครัวสามีของนางโดยไม่มีสินเดิมติดตัวมาก็เป็นเรื่องน่าละอายอย่างแท้จริง ฮองเฮาเห็นใจอนุทั้งสอง และเติมเงินทุนของตระกูลเฟิงเพื่อบรรเทาปัญหาเร่งด่วนให้พวกเรา”


คังอี้ทนต่อความโกรธที่นางรู้สึก โดยนางกล่าวว่า “สินเดิมที่ถูกเพิ่มเข้าไปในกองทุนตระกูลเป็นผลมาจากน้องสาวที่ใจดี แต่เมื่อน้องสาวทั้งสองเข้าสู่คฤหาสน์มันจะเป็นการดีที่สุดที่จะดูในกล่องว่ามีสิ่งใดที่สามารถใช้ได้ เราจะได้ประหยัดในการซื้อสิ่งต่าง ๆ มากขึ้น”


นางกำลังมองหาสิ่งที่สุภาพที่จะพูด แต่ใครจะรู้ว่าฮูหยินผู้เฒ่าที่เศร้าหมองและอิดโรยจ้องมองที่คังอี้


จุนม่านกล่าวว่า “ขอบคุณมากสำหรับความคิดของท่านพี่ เราเป็นเพียงอนุและไม่ต้องการอะไรมาก แค่คฤหาสน์มีอาหารและเสื้อผ้าให้อย่างเพียงพอ ไม่จำเป็นต้องมีอะไรเพิ่มเติมให้เรา สิ่งที่เราตัดสินใจที่จะมอบให้กับคฤหาสน์ก็จะมอบให้แก่คฤหาสน์”


“ถ้าเป็นเช่นนี้มันเป็นข้าที่พูดมากเกินไป” คังยี่เสียหน้ามากกว่าเดิมและตัดสินใจที่จะปิดปากนาง


ฮูหยินผู้เฒ่ามองเฟิงจินหยวนจากนั้นกล่าวว่า “เมื่อมีคนใหม่เข้ามาในคฤหาสน์ เจ้าควรไปกับพวกนาง เจ้าควรจะอยู่ที่เรือนจินฟูในคืนนี้” นี่เป็นครั้งแรกที่ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยปากเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวของเฟิงจินหยวน ขณะที่นางพูดโดยตรง ใจของคังอี้รู้สึกหดหู่อย่างมากเพราะนางรู้สึกว่านางแทบจะหายใจไม่ออก


นางเป็นฮูหยินใหญ่และนางอยู่ที่คฤหาสน์เป็นเวลาสามวันสองคืน แต่นางไม่เคยแม้แต่จะค้างคืนกับสามีของนาง ในที่สุดฮันชิไม่ต้องการให้เขาอยู่ข้าง ๆ นาง แต่มีอนุ 2 คนมา นางจ้องมองที่เฟิงจินหยวน ดวงตาของนางมีร่องรอยแห่งความเศร้าโศก


จินหยวนยังใฝ่หาคังอี้เช่นกัน แต่เมื่อเขาคิดถึงเรื่องนี้อีกเล็กน้อย พี่น้องเฉิงถูกส่งมาโดยฮองเฮา ! เขาไม่สนใจพวกนางเมื่อคืน และสินเดิมก็มาถึงคฤหาสน์ของพวกเขาแล้ว หากเขายังคงเพิกเฉยมันจะไม่เหมาะสม ดังนั้นเขาทำได้เพียงทำให้คังยี่ผิดหวัง เขาหลบสายตาของนาง เขากล่าวกับมารดา “ขอรับ”


คืนนั้นเฟิงจินหยวนอยู่ที่เรือนจินฟูทำให้การแต่งงานของเขากับจุนม่านสมบูรณ์


อย่างไรก็ตามเขาไม่รู้ว่าบุตรสาวของเขาเฟิงเฉินหยูอยู่ในห้องของนางด้วยสีหน้าไม่พอใจ


เซียงเอ๋ออยู่ข้างนาง และถามอย่างระมัดระวัง “คุณหนูเป็นห่วงองค์หญิงใหญ่หรือเจ้าคะ ? ไม่ต้องกังวล อนุก็คืออนุ องค์หญิงใหญ่เป็นฮูหยินอย่างเป็นทางการและถูกกฎหมายของท่านใต้เท้า ตำแหน่งของนางนั้นปลอดภัย ยิ่งกว่านั้นพี่น้องเฉิงเป็นบุตรสาวของอนุ แม้ว่าพวกนางจะเติบโตในพระราชวังตั้งแต่อายุยังน้อย มันคืออะไร ? ด้วยสถานะของพวกเขาในฐานะบุตรสาวของอนุ จึงเป็นเรื่องที่ค่อนข้างดีที่พวกนางสามารถเป็นอนุของเสนาบดีได้เจ้าค่ะ”


ใครจะรู้ว่าการปลอบใจนี้เลวร้ายยิ่งกว่าไม่มีใครพูด ความเศร้าโศกและความโกรธของเฉินหยูเด่นชัดยิ่งขึ้น ทำให้เซียงเอ๋อไม่รู้ว่านางทำผิดพลาดที่ไหน


“ใช่ ! ในท้ายที่สุดพวกนางเป็นแค่บุตรสาวของอนุ ! ” ในที่สุดเฉินหยูก็พูด อย่างไรก็ตามนางกล่าวว่า “นี่คือชะตากรรมของบุตรสาวอนุ พวกนางไม่สามารถตัดสินใจได้เอง แม้ว่าพวกเขาจะเป็นหลานสาวของฮองเฮา นางก็ไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าหมากในมือของพระองค์ พวกนางถูกส่งไปได้ทุกที่ที่ต้องการ ในสมัยราชวงศ์ที่ผ่านมาแม้ว่าจะเป็นถึงองค์หญิง ตราบใดที่พวกเขาไม่ได้เกิดในพระราชวังใหญ่ พวกนางก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงชะตากรรมของการเป็นส่วนหนึ่งของการแต่งงานเพื่อเชื่อมสัมพันธ์ได้ นี่คือบุตรสาวของอนุ ! และข้า… ข้าก็เป็นบุตรสาวของอนุเช่นกัน”


“คุณหนู…”


“ไม่เป็นไร” เฉินหยูซ่อนความโกรธและความเศร้าโศกที่ปรากฏบนใบหน้าของนาง อย่างไรก็ตามความเย็นชาปรากฏขึ้นแทนที่ “ชะตากรรมของคน ๆ หนึ่งต้องเปลี่ยนไปโดยใช้พลังของตัวเอง ข้าจะไม่ยอมให้ตัวเองถูกมัดด้วยสถานะของบุตรสาวของอนุ รอดูเถิด! ตำแหน่งบุตรสาวตระกูลเฟิงของฮูหยินใหญ่จะกลับมาเป็นของข้าไม่ช้าก็เร็ว”


เฉินหยูกัดฟันและคิดแผนของตัวเอง ในขณะเดียวกันที่เรือนตงเซิง เฟิงหยูเฮงอยู่ในมิติร้านขายยาของนางเพื่อทำการทดลอง


นางนำหิมะจากลานบ้านมาไว้ในที่ของนางแล้ววางมันลงในชามแก้ว


ในระหว่างวันนางได้ขอดอกบัวหิมะเทียนซาน 10 ดอก นางคิดว่านางสามารถเลี้ยงดูพวกมันได้ในมิติของนาง ไม่เพียงแต่พื้นที่จะเติมเสบียงโดยอัตโนมัติ แต่ยังดูแลสิ่งต่าง ๆ โดยอัตโนมัติ ไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับอายุการเก็บของทุกอย่างที่อยู่ภายใน ราวกับว่าเวลาหยุดอยู่ในมิติของนาง


นางมีความคิดที่กล้าหาญ หากหิมะที่นางนำเข้ามานั้นยังคงอยู่ในสภาพเดียวกัน นางก็สามารถเลี้ยงดอกบัวหิมะขึ้นในมิติของนางได้ แม้ว่านางจะมีอะไรที่เหมือนกับดอกบัวหิมะอยู่ในมิติของนาง แต่มันก็แห้งแล้ว พวกมันไม่สามารถเทียบได้กับดอกบัวหิมะที่เพิ่งเก็บมาใหม่


ยิ่งเฟิงหยูเฮงคิดมากขึ้นนางก็ยิ่งดีใจ หากนางไม่รู้ว่าหิมะพันปีของเฉียนโจวสามารถรักษาพวกมันไว้ได้จริง ๆ แล้วนางคงจะนึกถึงการไปที่เฉียนโจวเพื่อรับหิมะ


วางชามหิมะอย่างระมัดระวังบนเคาน์เตอร์ นางตัดสินใจรอ 3 วัน ถ้ามันไม่ละลายหลังจาก 3 วันก็หมายความว่ามันเป็นไปได้


เมื่อเฟิงหยูเฮงออกมาจากมิติ นางรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย นางเริ่มคิดว่าความสามารถของมิติไม่ได้จำกัดแค่นี้ หากมีใครบางคนที่กำลังจะตายก็ถูกย้ายไปยังมิติ มันจะเป็นเหมือนอาหารของนางที่ไม่ได้บูดเน่า และการบาดเจ็บจะไม่เลวร้ายลงเลยเหรอ ?


นางตื่นเต้นเล็กน้อยจากการคิดเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ นางยังคิดว่าควรจะทดลองดูหรือไม่ ทันใดนั้นเสียงของบานซูมาจากที่ไหนสักแห่ง “อยู่ในห้อง อย่าออกมานะขอรับ ! มีนักฆ่า ! ” 

 

 


ตอนที่ 339

 

อย่างที่บานซูพูดเช่นนี้ เสียงการต่อสู้ดังมาจากสนาม


เฟิงหยูเฮงเดินไปที่หน้าต่างด้วยความสงสัยแล้วผลักเปิดหน้าต่างออก จากนั้นนางวางคางของนางไว้ที่ขอบหน้าต่างแล้วมองออกไปด้านนอก


ตอนนี้กลางดึกแล้ว ดูเหมือนว่ามีคนร้ายมาไม่กี่คน นางมองไปรอบ ๆ และนับรวมทั้งหมดเป็น 8 คน พวกเขาสวมชุดสีดำและถือดาบไว้ในมือ มีผ้าคลุมหน้าสีดำ เหลือเพียงดางตาเหยี่ยวเท่านั้นที่เปิดเผย


บานซูยืนอยู่ข้างนางและไม่ออกไปต่อสู้ มีคนจำนวนมากอยู่ข้างนอก และพวกเขาไม่ได้คิดถึงเขา ภารกิจของเขาคืออยู่ใกล้และปกป้องเฟิงหยูเฮง แม้ว่าตอนนี้จะมีผู้คุ้มกันลับอยู่มากมายในคฤหาสน์ แต่เขาเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สามารถเข้าไปในห้องของเฟิงหยูเฮงได้


คนแปดคนมีความเชี่ยวชาญในศิลปะการต่อสู้อย่างมาก พวกเขาอยู่ในระดับที่เท่าเทียมกับผู้คุ้มกันลับ เฟิงหยูเฮงเฝ้าดูด้วยความสนใจและให้การวิเคราะห์เป็นครั้งคราว “ที่จริงถ้าคนของเราต่อสู้เพื่อฆ่ามันก็ลงจะจบลงในไม่ช้า แต่อีกฝ่ายหนึ่งคือการต่อสู้เพื่อฆ่า ขณะที่เราพยายามจับพวกเขาทั้งเป็น นี่คือเหตุผลที่การต่อสู้ยืดเยื้อใช่หรือไม่”


บานซูกอดอกแล้วมองไปที่เด็กผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าเขา เขากลอกตาของเขาเขาพูดว่า “คุณหนูกำลังดูอะไรอยู่หรือขอรับ ? คุณหนูรู้หรือไม่ว่ามันอันตรายแค่ไหน ? ”


เฟิงหยูเฮงพยักหน้า “ข้ารู้ แต่พวกมันไม่สามารถทำร้ายข้าได้”


จมูกของบานซูเกือบฟืดฟาดด้วยความโกรธ “ทำไมคุณหนูถึงคิดว่าจะไม่ได้รับบาดเจ็บล่ะ ? ”


“เพราะเจ้าอยู่ที่นี่ ! ” นางพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง


อย่างไรก็ตามบานซูตกตะลึงทันที คำโต้แย้งที่เขากำลังจะพูดออกมาถูกกลืนลงไป ความไว้วางใจที่เฟิงหยูเฮงเชื่อมั่นในตัวเขานั้นทำให้เขารู้สึกกระดากอายเล็กน้อย ในฐานะผู้คุ้มกันลับ เขาพลัดหลงกับเจ้านายของเขา 2 ครั้ง ครั้งหนึ่งอยู่ที่มณฑลเฟิงตง และอีกครั้งหนึ่งตอนเดินทางไปยังตำหนักเซียง หากไม่ใช่เพราะเฟิงหยูเฮงปกป้องเขา บางทีเขาอาจถูกบังคับให้ฆ่าตัวตายต่อหน้าซวนเทียนหมิง แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้นเฟิงหยูเฮงก็ยังไว้ใจเขาและฝากชีวิตของนางไว้กับเขา สิ่งนี้จะไม่ทำให้เขารู้สึกกระดากอายได้อย่างไร?


“คุณหนูต้องระวังมากขึ้นนะขอรับ” ลำคอของบานซูชูตีบตันขึ้นมาเล็กน้อย เขาไม่รู้ว่าเขาควรจะพูดอะไร ดังนั้นเขาก็ดึงเฟิงหยูเฮงออกมาจากหน้าต่าง “อย่าดูเลยขอรับ แม้ว่าคนแบบนั้นจะถูกจับเป็นก็ไม่มีค่าขอรับ”


“ทำไม ? ” เฟิงหยูเฮงไม่สามารถเข้าใจได้


ในเวลานี้ชัยชนะและความพ่ายแพ้ได้ปรากฏให้เห็นแล้ว นักฆ่า 8 คนได้รับบาดเจ็บและยังมีชีวิตอยู่ แต่ก่อนที่พวกเขาจะนำตัวนักโทษเข้ามา จะเห็นว่ามีเลือดไหลออกมาจากมุมปากของคนทั้งแปดขณะที่พวกเขาเสียชีวิต


เฟิงหยูเฮงเข้าใจทัน “พวกมันมียาพิษอยู่ในปาก นั่นเป็นทหารพิเศษใช่หรือไม่ ? ”


บานซูพยักหน้านำเฟิงหยูเฮงออกไปที่ลาน และอธิบายความแตกต่างระหว่างทหารพิเศษและผู้คุ้มกันลับให้กับเฟิงหยูเฮง “ความสามารถหลักของผู้คุ้มกันลับคือการลักลอบและการจู่โจมอย่างฉับพลันเพื่อจับข้าศึก สำหรับทหารพิเศษ พวกเขาแข็งแกร่งมากกว่าเล็กน้อย เมื่อพวกเขาโจมตี พวกเขาจะไม่สนใจสิ่งอื่นใด การทำงานทุกครั้งมีเป้าหมายในการคร่าชีวิตของศัตรู โดยปกติแล้วพวกเขาจะใช้ทุกวิถีทางในการโจมตี เพื่อให้สามารถนำทหารพิเศษออกมา แม้ว่ามันจะไม่ถือว่าเป็นการเผาสะพานทั้งหมด มันก็ทำให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าพวกเขาไม่ลังเลแม้แต่น้อยในการฆ่าคุณหนู กล่าวคือคนเหล่านี้ไม่ได้มาที่นี่เพื่อความสามารถในการผลิตเหล็กของคุณหนู สิ่งที่พวกเขาต้องการคือชีวิตของคุณหนู พิษถูกซ่อนอยู่ในฟันของพวกเขา“


“มีพิษอย่างน้อย 15 ชนิดที่ปะปนกัน ไม่มีทางรักษาได้” นี่เป็นข้อสรุปที่ว่าเฟิงหยูเฮงมาถึงหลังจากตรวจสอบพวกเขาแล้ว นางพูดเช่นนี้นางถามบานซูว่า “ทหารพิเศษทุกคนจะใช้ยาประเภทนี้เพื่อฆ่าตัวตายใช่หรือไม่ ? ”


บานซูกล่าวว่า “ใช่ขอรับ เพราะมันเป็นเรื่องง่ายมากที่จะได้รับสารภาพเป็นลายลักษณ์อักษรหรือด้วยวาจาจากผู้ที่ถูกจับ นี่เป็นวิธีเดียวที่จะตายโดยไม่ต้องทนทุกข์ทรมานในขณะที่ปกป้องความลับของพวกเขา ทหารพิเศษส่วนใหญ่เหล่านี้จะได้รับการปลูกฝังมาตั้งแต่เด็ก จากช่วงเวลาที่พวกเขาสามารถเข้าใจสิ่งต่าง ๆ พวกเขาจะปลูกฝังความคิดเช่นนั้น นั่นเป็นเหตุผลสำหรับพวกเขาในการทำสิ่งเช่นนี้ถือเป็นเรื่องปกติ”


เฟิงหยูเฮงขมวดคิ้ว ขณะที่นางจำได้จากชีวิตก่อนหน้านี้ที่นางเคยได้ยินเกี่ยวกับการแบ่งกลุ่มที่เรียกว่ากลุ่มพิเศษ พวกเขาถูกเลี้ยงดูมาตั้งแต่ยังเด็ก และเป็นกลุ่มที่ประกอบด้วยเด็กกำพร้าเพียงคนเดียว สำหรับคนเหล่านั้นไม่มีสิ่งใดถูกหรือผิดในโลก มีเพียงคำสั่งที่พวกเขาได้รับจากหัวหน้าของพวกเขา เมื่อได้รับคำสั่งแล้ว ถึงแม้ว่าพวกเขาจะได้รับคำสั่งให้ยิงตัวเอง พวกเขาก็จะทำมันโดยไม่เกี่ยงงอน


บุคคลประเภทนี้ไม่มีความแตกต่างจากเครื่องจักร


“ไปตรวจซากศพของพวกเขา ดูว่าจะพบเบาะแสอะไรบ้าง” นางรู้สึกเหนื่อยเล็กน้อยขณะที่นางนั่งอยู่ในห้องโถง ขณะที่นางเฝ้าดูคนตรวจสอบศพในสนาม วังซวนและหวงซวนก็ไปตรวจสอบเช่นกัน ในท้ายที่สุดพวกเขาทั้งหมดส่ายหน้าอย่างไร้ประโยชน์


บานซูกล่าวว่า “ไม่มีอะไร ทหารพิเศษนี้ไม่มีแม้แต่ชื่อ เมื่อพวกเขามา พวกเขาเตรียมการมาอย่างดี จะมีร่องรอยได้อย่างไร”


เฟิงหยูเฮงพยักหน้า นี่เป็นผลลัพธ์ที่คาดไว้แล้ว นางถอนหายใจอย่างไร้ความปราณี นางสั่ง “จัดการศพเหล่านี้” หลังจากที่นางพูดสิ่งนี้ นางเปลี่ยนใจทันที “เดี๋ยวก่อน” นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจากนั้น นางก็ครุ่นคิดถึงด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย สั่งวังซวนและหวงซวน “ไปที่คฤหาสน์เฟิง และบอกพวกเขาว่าข้าถูกซุ่มโจมตี บอกว่าข้าตกเป็นเป้าหมายของการลอบสังหารโดยทหารพิเศษ 8 นาย”


หวงซวนยังไม่เข้าใจว่าทำไมพวกเขาถึงทำเช่นนี้ อย่างไรก็ตามวังซวนตอบโต้แล้ว “การต่อสู้กับทหารพิเศษในครั้งนี้ องค์ชายสามเป็นผู้ต้องสงสัย องค์หญิงคังอี้จะยิ่งน่าสงสัยมากขึ้น ไม่ว่าใครทำสิ่งนี้ เราต้องทำให้ทุกคนเห็นว่าการป้องกันของคฤหาสน์องค์หญิงแห่งมณฑลนั้นแน่นหนาแค่ไหน แม้ว่าจะใช้ทหารพิเศษ ผลลัพธ์ที่ได้ก็เป็นเช่นนี้”


หวงซวนพยักหน้าแล้วติดตามวังซวนไปที่คฤหาสน์เฟิง


เฟิงหยูเฮงนั่งบนม้านั่งตรงทางเดินขณะที่นางคุยกับบานซู เมื่อสมาชิกของตระกูลเฟิงตื่นและมุ่งหน้าไปยังเรือนตงเฉิง ผู้คุ้มกันลับอยู่ก็หายไปในความมืดยามค่ำคืน แม้แต่บานซูก็เช่นกัน


ดังนั้นตระกูลเฟิงจึงเห็นเด็กสาวที่สง่างามนั่งอยู่บนม้านั่งตรงทางเดินแกว่งขาของนาง นั่งอยู่ที่นั่นนางดูเหมือนจะไม่เป็นอะไร ขณะที่นางมองไปที่ท้องฟ้า ดวงจันทร์ในคืนนี้สว่างมาก เมื่อส่องร่างเล็ก ๆ ของนาง มันก็ให้ความรู้สึกเหงา


บ้านเต็มไปด้วยกลิ่นเลือดขณะที่ศพทั้งแปดถูกนำไปทิ้ง เลือดของพวกเขาเปื้อนเต็มลาน สมาชิกของตระกูลเฟิงรู้สึกว่าพวกเขาไม่มีที่ยืน


เมื่อใดที่เด็กหญิงเคยเห็นคนตายมากมาย ใบหน้าของพวกเขาทั้งหมดซีดด้วยความกลัว เมื่อมองดูท่าทางของเฟิงหยูเฮงอีกครั้ง พวกเขาก็รู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้เป็นเหมือนผู้ส่งสารจากใต้มหาสมุทร ไม่ว่าจะเป็นคนประเภทไหนแม้ว่าจะเป็นเสือก็ตาม ก็ไม่มีใครรู้สึกว่าพวกเขาจะได้รับผลประโยชน์ใด ๆ จากนาง


เฟิงเซียงหรูเป็นคนแรกที่วิ่งไปหานาง นางก้าวข้ามซากศพและหยุดอยู่ตรงหน้าเฟิงหยูเฮง นางมองเฟิงหยูเฮงแล้วพูดด้วยความเป็นห่วง “พี่รอง ท่านพี่เป็นอย่างไรบ้าง ? ได้รับบาดเจ็บตรงไหนหรือไม่เจ้าคะ ? ”


อันชิเดินตามเข้าไป ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความกังวล ขณะที่นางถามว่า “คุณหนูรองได้รับบาดเจ็บตรงไหนหรือไม่เจ้าคะ ? “


ใบหน้าที่ไร้อารมณ์ของเฟิงหยูเฮงจู่ ๆ ก็เผยให้เห็นรอยยิ้มที่สดใส ภายใต้แสงจันทร์แบบนี้นางดูมีไหวพริบมากขณะที่นางพูดว่า “ข้าสบายดี ข้าแค่หวาดกลัวเล็กน้อย จิตใจของข้าเต็มไปด้วยความกลัว” นางพูดอย่างนี้ขณะที่กอดอก แต่รอยยิ้มบนใบหน้าของนางขัดแย้งกับความกลัวที่นางบอก


“ท่านพี่ ! ” อันชิไม่สามารถทนดูต่อไปได้ นางหันมาพูดเสียงดัง “ท่านพี่ต้องช่วยคุณหนูรองนะเจ้าคะ ! ”


เฟิงหยูเฮงพยักหน้า และมองไปที่เฟิงจินหยวน “ท่านพ่อ ข้ากลัวมากเจ้าค่ะ”


เฟิงจินหยวนมองไปที่ใบหน้าของเฟิงหยูเฮง และคิดกับตัวเองว่ามีความกลัวที่ไหน ? แต่ไม่ว่าเขาจะพูดอะไร เรื่องตงเซิงถูกโจมตีเป็นสิ่งที่เกิดขึ้น ในฐานะบิดาของเฟิงหยูเฮง เขาไม่สามารถเพิกเฉยได้ นอกจากนี้เฟิงหยูเฮงเป็นคนที่ต้องได้รับการปกป้องมากที่สุดในราชวงศ์ต้าชุน ฮ่องเต้ส่งทหารจำนวนมากมาปกป้องนาง แต่ก็ยังมีคนที่เสี่ยงชีวิตมาจัดการนาง หากเขาไม่ได้แสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้ เขาจะไม่สามารถอธิบายฮ่องเต้ได้


ดังนั้นเขาจึงถอนหายใจอย่างเงียบ ๆ 2 เฮือก จากนั้นก็พูดกับเฟิงหยูเฮง “ไม่ต้องกังวล ข้าจะหาคนที่ต้องรับผิดชอบและให้คำอธิบายแก่เจ้า”


เมื่อเขาพูดสิ่งนี้เขาไม่ได้มีจุดเริ่มต้นมากนัก หากมีการกล่าวว่าตระกูลเฉินในอดีตกำลังติดต่อกับเฟิงหยูเฮง พวกเขาเพียงแค่ใช้เงินของพวกเขาเพื่อตามหานักฆ่าจากเจียงฮู แต่นี่เป็นทหารพิเศษ และทหารพิเศษไม่สามารถซื้อด้วยเงินได้ พวกเขาต้องได้รับการฝึกฝนมาตั้งแต่เด็ก และตระกูลเฉินไม่มีทหารพิเศษ นี่คือสิ่งที่เขารู้ นอกจากตระกูลเฉินแล้ว ใครอยากได้ชีวิตของเฟิงหยูเฮงอีก ?


เฟิงจินหยวนไตร่ตรอง และคนแรกที่เขาคิดก็คือองค์ชายสาม ซวนเทียนเย่ เขานั้นจะมีทหารพิเศษ การจัดส่งทหารพิเศษ 8 นายทันทีเป็นไปได้ แต่องค์ชายสามส่งจดหมายมาให้เขาบอกให้เขาขโมยวิธีการหลอมเหล็กจากเฟิงหยูเฮง ปัจจุบันเหล็กยังไม่ได้เริ่มการผลิต ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถลงมือได้


จากนั้น …


ทันใดนั้นเขาก็ตกใจเมื่อเขาหันไปมองคังอี้โดยไม่รู้ตัว ความคิดของเขาสับสน เมื่อความคิดนับไม่ถ้วนพุ่งออกมา ความเป็นไปได้ทั้งหมดที่เขาชี้ก็คือคังอี้เป็นผู้กระทำผิด


อันดับแรกคังอี้มีแรงจูงใจที่จะทำ !


เฟิงหยูเฮงเป็นปฏิปักษ์กับนาง นางไม่เพียงแต่หักหน้าคังอี้เท่านั้น นางยังโกงเงินจำนวนมากจากเฉียนโจว นางไม่เพียงแต่หลอกลวงทองคำจำนวนมาก นางยังทำร้ายบุตรสาวของคังอี้ให้อยู่ในสภาพที่น่าเวทนา


ประการที่สอง คังอี้มีความสามารถ !


นางเป็นองค์หญิงใหญ่ของต่างแคว้น การที่นางพาบุตรสาวของนางมาที่ราชวงศ์ต้าชุน เป็นไปไม่ได้ที่นางมีเพียงผู้ร่วมงานของนาง มีผู้คุ้มกันลับคอยปกป้องนางอย่างแน่นอน นอกจากนั้นถ้าเฉียนโจวส่งทหารพิเศษมา มันก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้


ยิ่งเฟิงจินหยวนคิดมากเท่าไหร่ก็ยิ่งสมเหตุสมผลเท่านั้น เขาอดไม่ได้ที่จะเริ่มรู้สึกขัดแย้ง ถ้าคังอี้ทำจริง เขาควรจะยืนอยู่ข้างใคร


ทุกครั้งที่เขามีปัญหากับบุตรสาวคนที่สองของเขา เขาก็เริ่มลังเล เหตุผลที่ทำให้เขาลังเลก็จบลงว่าเขาจะได้รับประโยชน์มากขึ้นจากการที่เฟิงหยูเฮงมีชีวิตอยู่หรือกำลังจะตาย


ในเวลานี้เขาคิดว่าถ้าเฟิงหยูเฮงมีชีวิตอยู่ นางจะผลิตเหล็กให้กับราชวงศ์ต้าชุน ในฐานะบิดาของนาง จุดยืนในราชสำนักของเขาจะสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ถ้าเฟิงหยูเฮงเสียชีวิต ไม่มีใครจะเป็นปรปักษ์กับเขา เขาสามารถรองรับเฟิงเฉินหยูอย่างเต็มที่ หลังจากสนับสนุนเฟิงเฉินหยูสู่ตำแหน่งฮองเฮาตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นไป จุดยืนของเขาก็จะมั่นคงและก้าวหน้ายิ่งขึ้น


เมื่อคิดเช่นนี้เฟิงจินหยวนรู้สึกว่ามันจะดีกว่าถ้าบุตรสาวคนนี้เสียชีวิต


ดังนั้นเขาจึงถอนสายตาจากคังอี้ จากนั้นเขาก็พูดกับเฟิงหยูเฮงอีกครั้ง “เนื่องจากเจ้าได้กล่าวแล้วว่านี่เป็นทหารพิเศษ นั่นก็หมายความว่าเจ้าก็รู้ด้วยว่าเมื่อทหารพิเศษทำการต่อสู้ย่อมไม่ทิ้งร่องรอยอะไรไว้ ในความเป็นจริงจะไม่มีใครมีชีวิตรอดแม้แต่คนเดียว จึงเป็นเรื่องยากที่จะตรวจสอบเรื่องนี้อย่างแท้จริง ข้าจะใช้ความพยายามอย่างแน่นอน แต่อย่าคาดหวังมากเกินไป”


เฟิงหยูเฮงหัวเราะออกมาทันที เสียงหัวเราะนี้ยิ่งไพเราะและไพเราะยิ่งขึ้น เสียงหัวเราะที่ชัดเจนนี้สะท้อนไปในอากาศยามค่ำคืนทำให้มันรู้สึกน่าขนลุก


นางกล่าวว่า “ไม่เป็นไร ท่านพ่อสามารถตรวจสอบได้ อาเฮงไม่รีบร้อน ข้าแค่อยากจะบอกว่าการฝึกฝนทหารพิเศษเพียงคนเดียวนั้นยาก เพื่อฆ่าอาเฮง ทหารพิเศษ 8 นายถูกส่งตัวมาพร้อมกัน ซึ่งถือได้ว่าเป็นการใช้เงินลงทุนเยอะมาก ท่านแม่” จู่ ๆ นางก็จ้องมองคังอี้ ”ท่านแม่ลองคิดดูสิเจ้าค่ะ ทหารพิเศษ 8 นายที่เสียชีวิตไปพร้อมกัน ผู้สั่งการจะยินดีส่งคนมาตายมากกว่านี้หรือไม่เจ้าคะ”


 

 

 


ตอนที่ 340

 

เมื่อได้ยินสิ่งที่เฟิงจินหยวนพูด คังอี้ถอนหายใจยาว นางเข้าใจว่าเฟิงหยูเฮงเล่นละคร และนางเป็นผู้ต้องสงสัยหลัก แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่นางทำ


“ข้าไม่รู้” นางส่ายหัว แล้วมองที่เฟิงหยูเฮง “เฉียนโจวมีทหารพิเศษด้วย แต่ตำหนักของข้าไม่เคยฝึกทหารพิเศษเลย” คำพูดเหล่านี้ทำให้เฟิงหยูเฮงเข้าใจชัดเจน “หลังจากแต่งงานกับตระกูลเฟิง ข้ากลายเป็นฮูหยินตระกูลเฟิง สำหรับข้า เด็ก ๆ ทุกคนเหมือนกับรุ่ยเจีย พวกเจ้าคือบุตรสาวของข้าทั้งหมด ไม่ว่าศัตรูจะส่งคนมาเพิ่มหรือไม่ อาเฮง เจ้าจะต้องระวังมากขึ้น”


เมื่อคังอี้พูดแล้วสายตาของเฟิงหยูเฮงก็ไม่ได้ละสายตาไป ทั้งสองมองหน้ากันปล่อยให้เฟิงหยูเฮงมองเห็นการหดและขยายไหล่ของคังอี้ เรื่องนี้ทำให้นางตัดสินใจได้ว่านี่ไม่ใช่หนึ่งในแผนการของคังอี้ แต่ปัญหาใหม่เกิดขึ้น ถ้าไม่ใช่คังอี้แล้วเป็นใคร มันคือซวนเทียนเย่ใช่หรือไม่


ชั่วครู่หนึ่งทั้งสองฝ่ายพูด


เงียบเป็นเวลานาน ในที่สุดฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวว่า “อาเฮง แล้วเจ้าจะย้ายเข้าไปอยู่ในคฤหาสน์อีกหรือไม่ ? เจ้าอยู่ที่นี่เพียงลำพังไม่ได้ มันอันตรายเกินไป”


เฟิงหยูเฮงกระพริบตาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่ชัดเจนว่า “ขอบคุณท่านย่า อาเฮงกำลังวางแผนที่จะย้ายกลับในวันนี้ แต่ข้าไม่รู้ว่าท่านพ่อและพี่น้องของข้าคิดอย่างไร”


เฟิงเซียงหรูเป็นคนที่ใกล้ชิดกับนางมาก และพูดอย่างรวดเร็วว่า “พี่รองกลับไปอยู่ที่คฤหาสน์ดีแล้วเจ้าค่ะ เราสามารถดูแลกันได้”


เฟิงจินหยวนไม่ได้พูดอะไรเลย แต่เฟิงเฉินหยูกล่าวว่า “คฤหาสน์องค์หญิงแห่งมณฑลมีทหารองครักษ์ 100 นาย และมีผู้คุ้มกันลับอยู่มากมาย ถ้าน้องรองย้ายเข้ามาพวกเขาจะต้องถูกย้ายไปที่ฝั่งของคฤหาสน์ใช่หรือไม่ แต่ถ้าพวกเขาไปอยู่ แล้วอะไรจะเกิดอะไรขึ้นกับน้าเหยา ? ”


เฟิงหยูเฮงยิ้มและกล่าวว่า “ทหารองครักษ์และผู้คุ้มกันลับจะอยู่ที่นี่เพื่อปกป้องท่านแม่ สำหรับข้าแล้ว…” นางพูดแล้วมองไปที่เฟิงจินหยวน “กับบุตรสาวที่อาศัยอยู่ที่บ้าน ท่านพ่อ ข้าจะปลอดภัยใช่หรือไม่เจ้าค่ะ”


เมื่อการสนทนามาถึงจุดนี้แล้ว เฟิงจินหยวนจะยังคงนิ่งเงียบได้อย่างไร แม้ว่าเขาจะไม่ต้องการให้เฟิงหยูเฮงอาศัยอยู่ในคฤหาสน์เฟิง แต่นี่คือบุตรสาวของเขา ไม่ว่าเขาจะไม่ชอบความคิดนี้เท่าไหร่ เขาก็ไม่สามารถพูดได้  “เช่นนั้นเจ้าก็ย้ายเข้าไป ! ”


“เจ้าค่ะ” เฟิงหยูเฮงพยักหน้า “ข้าจะย้ายพรุ่งนี้ ! ตอนนี้มันดึกแล้ว ทุกคนกลับไปได้แล้วเจ้าค่ะ แต่ทุกคนจะต้องระวังให้มาก จะเกิดอะไรขึ้นถ้าคนร้ายไปที่คฤหาสน์เฟิงเพื่อสร้างปัญหาหลังจากล้มเหลวในการฆ่าข้า ? หากผู้บริสุทธิ์ได้รับบาดเจ็บนั่นก็น่ากลัว”


เฟิงจินหยวนคิดเกี่ยวกับมัน เขานำทุกคนกลับไปที่คฤหาสน์อย่างรวดเร็ว จากนั้นเขาก็จัดให้มีผู้คุ้มกันลับอยู่เพื่อปกป้องสนามหญ้า


เมื่อผู้คนจากคฤหาสน์เฟิงเงียบสงบลง บนเรือนเล็ก ๆ บานซูปรากฏตัวขึ้น และถามเฟิงหยูเฮง “คุณหนูจะย้ายกลับไปที่คฤหาสน์เฟิงจริง ๆ หรือขอรับ ? ”


“ใช่” นางพยักหน้า “ไม่เพียงแต่ข้าจะย้ายเข้าไปอีกครั้ง ข้าต้องการให้เรื่องนี้แพร่กระจายออกไป แค่พูดว่าข้าไม่ได้อยู่ในคฤหาสน์ขององค์หญิงแห่งมณฑลต่อไปแล้ว”


วังซวนคิดเล็กน้อยจากนั้นกล่าวว่า “คุณหนูกังวลเรื่องของฮูหยินใหญ่ใช่หรือไม่เจ้าคะ ? แต่ถ้าผู้คุ้มกันลับทั้งหมดอยู่ที่นี่ คุณหนูจะตกอยู่ในอันตรายนะเจ้าคะ ! ”


“ไม่เป็นไร” นางโบกมือ “ความปลอดภัยของข้าไม่ใช่ปัญหา แค่เจ้าเป็นห่วงข้าก็เพียงพอแล้ว ทุกคืนหลังจากที่ข้าหลับแล้ว แม้ว่ามีบางคนเข้าห้องของข้าก็ไม่ต้องเป็นห่วง ข้ามีแผนที่จะจัดการกับพวกมันเอง”


บานซูรู้สึกถึงมุมปากริมฝีปากของเขากระตุก “คุณหนูมีแผนการอะไรขอรับ ? คุณหนูจะใช้แส้ต่อสู้กับพวกมันหรือขอรับ ? ”


เฟิงหยูเฮงพูดอย่างลึกซึ้งว่า “ไม่แน่นอน แต่ข้าจะไม่บอกเจ้า ไปทำในสิ่งที่เจ้าต้องการ ! ” ขณะพูดนี้นางยิ้มแล้ววิ่งกลับไปที่ห้องของนาง ปิดประตู นางพูดเสียงดัง “ข้ากำลังจะนอน เแยกย้ายกันไปหลังจากลานได้รับการทำความสะอาด ! ”


คนข้างนอกมองหน้ากัน เมื่อประสบกับพายุนี้ คุณหนูของพวกเขาก็ยังหลับได้ นางช่างขี้เซาเสียจริง !


หวงซวนจับมือนางอย่างไร้จุดหมาย แล้วเรียกคนมาทำความสะอาดฉาก ในห้องเฟิงหยูเฮงก็เริ่มเคลื่อนไหวเช่นกัน เมื่อนางนำผ้าห่มและหมอนออกจากตู้เสื้อผ้า จากนั้นก็ยัดพวกมันทั้งหมดเข้าไปในมิติของนาง จากนั้นนางก็เข้ามาพร้อมกับพวกมัน และจัดระเบียบห้องอย่างรวดเร็ว


เมื่อเห็นผลของความพยายามของนาง เฟิงหยูเฮงก็พอใจ ในอนาคตคงจะดีที่สุดถ้านางนอนในมิติแม้ว่าจะมีผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากคอยปกป้องนาง แต่เมื่อนางย้ายกลับไปที่คฤหาสน์เฟิง ส่วนหนึ่งของพวกเขาจะอยู่ที่นี่เพื่อปกป้องเหยาซื่อ ประการที่สอง การตื่นขึ้นมากลางดึกนั้นทำให้นางโกรธจริง ๆ นางต้องการที่จะนอนหลับอย่างสงบสุข


คืนนั้นเฟิงหยูเฮงนอนหลับอยู่ในมิติของนางจนกระทั่งพระอาทิตย์ขึ้นในวันต่อมา เมื่อนางออกมาจากมิติของนาง หวงซวนก็เข้าพร้อมกับน้ำเพื่อให้นางล้างหน้า ทันใดนั้นเมื่อเห็นเฟิงหยูเฮงยืนอยู่อย่างง่วงนอน นางก็ตกใจ


“คุณหนู ทำไมคุณหนูยืนอยู่ที่นี่เจ้าคะ ? ” เมื่อมองอีกครั้งนางก็ตกตะลึง “คุณหนูสวมชุดอะไรอยู่เจ้าคะ ? ”


เฟิงหยูเฮงมองลงมา ดีมากมันเป็นชุดนอนที่นางพบในมิติของนาง


“เสื้อผ้าที่ใส่ตอนนอน” นางพูด “ทำขึ้นมาใหม่”


หวงซวนขมวดคิ้ว “ทำเมื่อไหร่เจ้าค่ะ ? ทำไมข้าไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ ? ”


นางตอบอย่างไร้ยางอาย “ข้าทำมันแล้วแอบเจ้าไว้”


หวงซวนไม่ถามอีกต่อไป นางได้สร้างภูมิต้านทานให้กับสิ่งที่ไม่สมควรเช่นนี้อย่างกะทันหัน ในขณะที่นางมองสิ่งเหล่านั้นโดยอัตโนมัติ สิ่งต่าง ๆ ที่นำมาจากแขนเสื้อของคุณหนู ทั้งสองวิธีนางรู้ว่าคุณหนูของนางมีเสื้อคลุมลึกลับซึ่งสามารถนำสิ่งต่าง ๆ ออกมาได้ และยัดกลับเข้าไปได้ มันเป็นไปได้ที่จะทำได้แม้กระทั่งคนที่ยังมีชีวิตอยู่ก็สามารถยัดเข้าไปข้างในได้


หวงซวนไม่รู้ แต่แขนเสื้อของเฟิงหยูเฮงสามารถยัดคนเข้าไปข้างในได้ และมันก็ไม่ได้จำกัดอยู่แค่เพียงคนเดียว


หลังจากรับประทานอาหารเช้า วังซวนพาบ่าวรับใช้ดูแลการย้ายข้าวของของเฟิงหยูเฮง เฟิงหยูเฮงพาหวงซวนไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่า


วันนี้ที่สนามหญ้า เรือนซูหยานั้นมีชีวิตชีวาเล็กน้อยเพราะเฟิงจินหยวนใช้เวลาทั้งคืนที่เรือนจินฟู ทำให้การแต่งงานกับจุนม่านเสร็จสมบูรณ์ อนุที่ต่างจากอนุระดับล่าง แม้ว่าพวกนางจะไม่สามารถเปรียบเทียบกับฮูหยินใหญ่ในคฤหาสน์ พวกเขามีสถานะที่เหมาะสม หลังจากความสมบูรณ์ของการแต่งงาน จุนม่านต้องมาคารวะฮูหยินผู้เฒ่าอย่างถูกต้อง และฮูหยินผู้เฒ่าก็ต้องแสดงตัวเอง


เมื่อเฟิงหยูเฮงเข้ามาในเรือน เฟิงจินหยวนก็กำลังเดินไปที่ลานข้างใน ขณะที่จับมือจุนม่าน จุนม่านอายุไม่เกิน 20 ปี เมื่อทั้งสองยืนอยู่ด้วยกันพวกเขาดูเหมือนบิดาและบุตรสาว ทุกคนชอบผู้หญิงที่สวยและอายุน้อย เมื่อใช้เวลายามราตรีร่วมกับจุนม่าน เฟิงจินหยวนก็ดูอ่อนเยาว์ลงเช่นกัน แม้แต่ฝีเท้าของเขาก็ดูเบาลง


เมื่อเห็นว่าเฟิงหยูเฮงมาถึงแล้ว จุนม่านก็รีบลุกขึ้นและเรียงนางว่าองค์หญิงแห่งมณฑลพร้อมกับคารวะ เฟิงหยูเฮงหยุดนางและยิ้มแล้วพูดว่า “เราเป็นครอบครัวเดียวกัน เมื่ออายุเจ้ามากกว่าข้า ต่อไปเรียกข้าว่าอาเฮง”


เฟิงจินหยวนยังกล่าวอีกว่า “ใช่ นางยังถือว่าบุตรสาวของเจ้าด้วย”


“อนุผู้นี้ไม่กล้าเจ้าค่ะ ! ” จุนม่านก้มหน้าลงด้วยความเอียงอาย อย่างไรก็ตามสายตาของนางจ้องมองไปที่เฟิงหยูเฮง ทั้งสองมองหน้ากันและเห็นความใจดีในแววตาของอีกฝ่าย


โดยปกติแล้วการพูดแม้ว่าสถานะของอนุจะสูงกว่าของอนุระดับล่างมาก แต่ก็ยังคงมีสถานะที่ต่ำกว่าฮูหยินใหญ่ บุตรของคฤหาสน์เรียกฮูหยินใหญ่ว่าท่านแม่ ขณะนี้ที่เฟิงจินหยวนได้กล่าวสิ่งนี้ดูเหมือนว่าเขาพอใจมากกับอนุผู้นี้


เฟิงหยูเฮงคิดกับตัวเอง ฮูหยินใหญ่เข้ามาในคฤหาสน์ อย่างไรก็ตามสถานที่ของนางถูกขโมยโดยอนุ ใครจะรู้ว่าคังอี้สามารถทนได้มากแค่ไหน


“ลูกต้องแสดงความยินดีกับท่านพ่อและแม่รองที่รู้ความ ! ” นางมองไปที่เฟิงจินหยวนดวงตาของนางมีรอยยิ้ม “ข้าสงสัยว่าอนุจุนเหมยมีบุคลิกคล้ายกับพี่สาวของนาง ท่านพ่อต้องไม่ละเลยนาง”


เฉิงจุนเหมยและเฉิงจุนม่านเกิดมาดูคล้ายกันมาก ดวงตาที่สดใสและร่าเริงของนางได้มัดหัวใจของเฟิงจินหยวน ด้วยเฟิงหยูเฮงที่พูดในตอนนี้ เขายิ่งแน่วแน่มากขึ้น คืนนี้เขาจะไปที่เรือนรือหยูอย่างแน่นอน


จุนม่านสามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงในอารมณ์ของเฟิงจินหยวน และนางสามารถคาดเดาสิ่งที่เขาคิดได้ ดังนั้นนางจึงกล่าวว่า “ตอนเด็ก ๆ จุนม่านได้เรียนวาดภาพ ในขณะที่จุนเหมยได้เรียกการร่ายรำ ในคืนนี้ท่านพี่ต้องให้น้องสาวร่ายรำให้ดูนะเจ้าคะ”


เฟิงจินหยวนรู้สึกยินดีที่ได้ยินสิ่งที่นางพูดและเริ่มหัวเราะ ดึงจุนม่านให้อยู่ใกล้เขา แล้วเข้าไปในห้องโถง


เฟิงหยูเฮงเดินตามหลังพวกเขา ริมฝีปากของนางขดเป็นรอยยิ้ม ไม่เพียงแต่เป็นหลานสาวของฮองเฮาทั้งสองคนถูกส่งตัวมายังคฤหาสน์โดยซวนเทียนหมิง นางมีเหตุผลที่จะไว้วางใจพวกนางทุกครั้ง


ในห้องโถง ผู้หญิงของตระกูลเฟิงมาถึงแล้ว หลังจากเฟิงจินหยวนและเฟิงหยูเฮงนั่งแล้ว จุนม่านก็ก้าวไปข้างหน้าและคุกเข่าเพื่อคารวะฮูหยินผู้เฒ่า


ฮูหยินผู้เฒ่าได้แนะนำนางอย่างเคร่งขรึม กล่าวว่า “เมื่อเจ้าแต่งงานเข้าตระกูลเฟิง เจ้าต้องทำทุกอย่างเท่าที่จะทำได้เพื่อคฤหาสน์ ข้าหวังว่าเจ้าทั้งสองคนจะรักใคร่กลมเกลียวกัน และสามารถมอบบุตรคนใหม่ให้กับครอบครัวของเราได้ในไม่ช้านี้”


คำพูดเหล่านี้ทำให้คังอี้รู้สึกอึดอัดใจอย่างมาก ขณะที่เฟิงหยูเฮงกลั้นหัวเราะแทบไม่ไหว


ใครเป็นคนสอนให้ฮูหยินผู้เฒ่าพูดสิ่งเหล่านี้ รักใคร่กลมเกลียวงั้นหรือ ?


นางมองไปที่คังอี้ และเห็นว่าใบหน้าของนางเปลี่ยนเป็นสีม่วงเหมือนมะเขือยาวเมื่อได้ยิน นางรู้สึกว่ามันสนุกมาก ดังนั้นนางจึงลุกขึ้นยืนและกล่าวเสริมว่า “อาเฮงหวังว่าท่านพ่อและแม่รองจะอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขเป็นร้อยปี และสามารถมีน้องให้ข้าโดยเร็ว”


เฟิงเซียงหรูก็ลุกยืนขึ้นและพูดซ้ำอีกครั้ง เฟิงเฟินไดมักเป็นคนหนึ่งที่ไปกับกระแสเมื่อพูดถึงเรื่องดังกล่าว ดังนั้นนางจึงยืนขึ้นและพูดซ้ำ


เฟิงเฉินหยูรู้สึกว่ามันไม่เหมาะสมและนางต้องการที่จะเตือนฮูหยินผู้เฒ่าให้เปลี่ยนคำพูดของนาง แต่น้องสาวทั้งสามของนางก็แสดงออกมาเช่นนี้ ถ้านางไม่พูดตอนนี้มันคงไม่ดี นอกจากนี้นางสังเกตเห็นปฏิกิริยาของเฟิงจินหยวน อย่างไรก็ตามนางเห็นว่าไม่เพียงแต่บิดาผู้นี้จะไม่รังเกียจ เขาดูเหมือนมีความสุขมาก


เฟิงเฉินหยูเข้าใจทันทีบิดาของนางชอบอนุผู้นี้


นางถอนหายใจกับตัวเองและลุกขึ้นยืนอย่างช่วยไม่ได้ และกล่าวว่า “มีน้องให้ข้าไว ๆ นะเจ้าคะ”


ฮูหยินผู้เฒ่าพอใจกับการแสดงออกของเด็ก ๆ มาก นางยกมือขึ้นอีกครั้ง บ่าวรับใช้ถือหยกเจ้าแม่กวนอิมมา ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวว่า “ นี่เป็นเจ้าแม่กวนอิมขอบุตรอันศักดิ์สิทธิ์ จุนม่าน วันนี้ข้ามอบให้เจ้า นำมันกลับไปพร้อมกับเจ้า ข้าเชื่อว่าเจ้าจะสามารถมีบุตรได้อย่างรวดเร็ว”


จุนม่านขอบคุณนางอย่างรวดเร็วสำหรับความเมตตาของนาง จากนั้นยกมือทั้งสองขึ้นเหนือศีรษะของนาง และรับเจ้าแม่กวนอิมไว้


เฟิงจินหยวนช่วยนางลุกขึ้น เมื่อนางยืนขึ้น คังอี้ก็ก้าวไปข้างหน้า ใบหน้าของนางกลับมาเป็นปกติในขณะที่นางทำตัวคุ้นเคย และจับมือจุนม่านแล้วกล่าวว่า “ขอแสดงความยินดีกับน้องสาว การได้ดูแลท่านพี่ถือเป็นความโชคดี ข้าไม่มีอะไรที่สามารถมอบให้เจ้าได้ในตอนนี้” นางพูดอย่างนี้เมื่อนางถอดกำไลหยกออกจากข้อมือของนางแล้ววางไว้ในมือของจุนม่าน “นี่เป็นสิ่งที่เสด็จพ่อมอบให้ข้าในขณะที่พระองค์ยังมีชีวิตอยู่ ข้าจะมอบมันให้กับเจ้า หวังว่าเจ้าจะสามารถช่วยแบ่งเบาภาระของท่านพี่ได้มากขึ้น และช่วยให้เขาสบายใจ”


จุนม่านมองกำไลหยก นางลังเลเล็กน้อยที่จะตัดสินใจ นางมองไปที่เฟิงจินหยวนและถามอย่างอาย ๆ ว่า “ท่านพี่ อนุผู้นี้รับของได้หรือไม่เจ้าคะ ? ”


การกระทำของจุนม่านนั้นถูกใจเฟิงจินหยวนมาก ! หลานสาวของฮองเฮาไม่เพียงแต่สอบถามเขาก่อนเป็นการให้เกียรติ นางไม่อวดสถานะของนาง แต่นางปฏิบัติต่อเขาด้วยความเคารพ นางเป็นคนที่เข้าใจอย่างแท้จริง


เฟิงจินหยวนรู้สึกยินดีอยู่ในใจ ขณะที่เขาพยักหน้า และกล่าวว่า “ฮูหยินมอบให้เจ้า เจ้าสามารถรับได้”


“เจ้าค่ะ จุนม่านจะยอมรับมัน ขอบคุณมากสำหรับการแสดงความเป็นห่วงของท่าน” ในขณะที่พูดสิ่งนี้นางรู้สึกถึงกำไลหยก การแสดงออกของนางแสดงให้เห็นว่านางชอบมัน


อย่างไรก็ตามในเวลานี้จู่ ๆ เฟิงหยูเฮงก็ถามว่า “ข้าสงสัยฮ่องเต้เฉียนโจวมอบกำไลนี้ให้กับท่านแม่เมื่อไหร่เจ้าคะ ? ” 

 

 


ตอนที่ 341

 

ตั้งแต่คังอี้ได้โต้ตอบกับเฟิงหยูเฮงสองสามครั้ง นางก็เริ่มให้ความสนใจกับทุกคำที่พูด ใครจะรู้ว่าคำนั้นจะจบลงด้วยการเป็นกับดัก นางต้องระวังคำตอบกลับของนาง


เมื่อได้ยินนางถามเกี่ยวกับกำไลนี้ คังอี้ไตร่ตรองเล็กน้อย นางไม่ได้ทำผิดพลาดกับกำไล นางจึงพูดพร้อมกับยิ้มว่า “กำไลหยกนี้เสด็จพ่อมอบให้ข้าในวันเกิดปีที่ 16 ของข้า มันถูกประดับด้วยทองคำและมีความหมายที่ดี”


“โอ้” เฟิงหยูเฮงพยักหน้า “ถ้าท่านแม่พูดแบบนั้น การเลือกที่จะมอบกำไลนี้ให้แม่รองจุนม่านในเวลานี้เป็นเวลาที่เหมาะสม แต่…” นางขมวดคิ้ว และไตร่ตรองสักพัก “ท่านแม่ได้รับกำไลนี้ในวันเกิดปีที่ 16 ของท่านแม่ สามเดือนต่อมาท่านแม่แต่งงานกับสามีของท่านแม่ เท่าที่ข้ารู้ในเวลาที่ท่านแม่แต่งงาน กำไลนี้ควรจะอยู่บนข้อมือของท่านแม่”


คังอี้ตกใจ นางไม่คิดว่าจริง ๆ แล้วเฟิงหยูเฮงจะสามารถยับยั้งนางได้โดยการเปลี่ยนหัวข้ออย่างมีเล่ห์เหลี่ยม เรื่องนี้ทำให้นางไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไร


เฟิงหยูเฮงยังคงดำเนินหัวข้อนี้ต่อไป “ข้าเคยได้ยินข่าวลือซึ่งเกิดขึ้นที่เฉียวโจวในปีนั้น แต่การตายของสามีท่านแม่ไม่ได้เป็นความลับแต่อย่างใด และเราไม่จำเป็นต้องปกปิดมัน การแต่งงานครั้งที่แล้วของท่านแม่ไม่อาจถือว่ามีความรักใคร่กลมเกลียว อย่างไรก็ตามท่านแม่กลับมอบสิ่งนี้ให้กับแม่รองจุนม่าน พูดให้สุภาพคือ ท่านแม่อิจฉาที่แม่รองได้รับความโปรดปราน แต่ถ้าพูดในแง่ลบ ท่านแม่ต้องการสาปแช่งท่านพ่อให้ตายเร็ว ๆ นี้เช่นนั้นหรือเจ้าค่ะ ? ” เสียงของนางดังขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งคำพูดสุดท้ายของนางซึ่งประณามคังอี้ “ท่านพ่อปฏิบัติต่อท่านแม่ไม่ดี ท่านแม่ไม่ต้องการแต่งงานไปกูซูและจากบ้านไปไกล ดังนั้นท่านพ่อจึงไปขอฮ่องเต้อนุญาตให้แต่งท่านแม่เข้ามาในคฤหาสน์ แต่ใครจะรู้ว่าท่านแม่จะใช้สิ่งนั้นเพื่อสาปแช่งท่านพ่อ”


ไม่มีใครในตระกูลเฟิงที่คิดว่าเฟิงหยูเฮงจะกลายเป็นคนอำมหิตอย่างฉับพลัน เนื่องจากคำพูดแต่ละคำทำให้คังอี้มีจุดจบที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ นางไม่อาจทำสีหน้าสงบเยือกเย็นได้อีกต่อไป เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ?


อย่างไรก็ตามหัวใจของคังอี้เริ่มสั่นแล้ว ด้วยเหตุผลบางอย่างนางก็จำได้ว่าไฟประหลาดที่เกิดขึ้นที่ตำหนักเซียงโดยไม่รู้สาเหตุเมื่อไม่กี่คืนก่อน


ความอำมหิตของเฟิงหยูเฮงทำให้คังอี้ไม่มีที่ซ่อน นางเน้นอย่างชัดเจนก่อนหน้านี้ว่าเป็นของขวัญจากวันเกิดปีที่ 16 ของนาง มันมีข้อความของความสามัคคีและได้รับจากฮ่องเต้ หากมีคนปฏิเสธอย่างเรียบง่ายว่าสิ่งที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ไม่ได้สวมใส่ในงานแต่งงานอันยิ่งใหญ่ของพวกเขาในอีก 3 เดือนต่อมา จะไม่มีแม้แต่คนเดียวที่เชื่อในเรื่องนี้ใช่หรือไม่ ?


คังอี้ไม่หลงเหลือทางออก ดังนั้นนางจึงหันหลังกลับและคุกเข่าต่อหน้าฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวว่า “เป็นลูกสะใภ้ที่ไม่ได้คิดให้ถี่ถ้วน ข้าอยากจะให้ของขวัญแก่น้องสาว แต่ท่านแม่ก็ทราบดีว่าสินเดิมของลูกสะใภ้ยังไม่มาถึง อยู่ระหว่างการเดินทางมาที่ราชวงศ์ต้าชุน และข้าไม่มีของมีค่าอยู่ในมือ ข้าไม่ได้คิดมากกับกำไลเลย ข้าไม่ได้มีเจตนาที่จะสาปแช่งท่านพี่นะเจ้าคะ ! ”


ฮูหยินผู้เฒ่าโกรธแค้นจากสิ่งที่เฟิงหยูเฮงได้กล่าวมา นางไม่สนใจว่าทำไมเฟิงหยูเฮงจะทำตัวโหดร้ายต่อคังอี้ เพียงแค่ใช้กำไลนี้ เฟิงหยูเฮงพูดถูกต้อง คังอี้มอบกำไลที่นำโชคร้ายเช่นนั้นเป็นของขวัญ นางคิดอะไรกันแน่ ?


ฮูหยินกระแทกไม้เท้าของนางด้วยความโกรธ และมองไปที่คังอี้กล่าวว่า “เจ้าเป็นถึงองค์หญิงใหญ่ และผู้ปกครองของเฉียนโจวนั้นมีฐานะที่สูงส่งกว่า ข้าจะพูดอะไรได้ แต่จินหยวนเป็นบุตรชายของข้า แน่นอนว่าข้าจะไม่อนุญาตให้ใครทำร้ายเขา” นางหันไปพูดกับจุนม่าน น้ำเสียงของนางดีขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ยังมีร่องรอยของความไม่พอใจ “ถอดกำไลนั้นออก แล้วส่งคืนให้นาง ! ”


ดวงตาของจุนม่านเปลี่ยนเป็นสีแดงแล้วในขณะที่นางพยายามถอดกำไลออก เมื่อคังอี้มอบให้กับนาง มันใส่ง่ายมาก แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างเมื่อนางพยายามที่จะถอดมันออก นางก็ทำไม่ได้


จุนม่านกังวลเล็กน้อย ดังนั้นนางจึงตัดสินใจอย่างตรงไปตรงมาว่าไม่ต้องกังวลกับการบาดเจ็บใด ๆ ในที่สุดนางก็สามารถถอดกำไลได้ แต่ผิวหนังที่ข้อมือของนางถลอกเล็กน้อย จากนั้นนางก็วางมันลงบนพื้นราวกับว่ามันลวกผิวหนังของนาง จากนั้นก็ยืนข้างเฟิงจินหยวน


จุนเหมยเฝ้าดูจากด้านข้างในที่สุดก็ไม่สามารถดูต่อได้ ก้าวต่อไปอย่างรวดเร็วนางตรวจสอบอาการบาดเจ็บของพี่สาวของนาง เมื่อเห็นว่าผิวหนังทั้งสองข้างของข้อมือนางนั้นถลอกและมีเลือดซึมเล็กน้อย จุนเหมยหน้าซีดและมองเฟิงจินหยวนแล้วพูดว่า “ท่านพี่ต้องให้ความเป็นธรรมกับพี่สาวนะเจ้าคะ ! ”


เมื่อเห็นจุนม่านเป็นเช่นนี้ เฟิงจินหยวนจะรู้สึกไม่ทุกข์ได้อย่างไร เขาหันไปมองคังอี้ด้วยความโกรธ แต่ในที่สุดเขาก็ไม่สามารถพูดอะไรได้ ท้ายที่สุดเมื่อมันมาถึงการแต่งงานครั้งนี้ เขารู้สึกว่าเขาทำร้ายคังอี้ หากคังอี้รู้สึกไม่พอใจอนุเพราะเหตุนี้ มันจะถือเป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ทั่วไป


คังอี้เห็นเฟิงจินหยวนมองนางเช่นนี้ และเริ่มเข้าใจเป้าหมายของเฟิงหยูเฮงทันที องค์หญิงแห่งมณฑลจี่อันพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อให้แน่ใจว่านางและเฟิงจินหยวนไม่ได้ครองคู่กัน นางกำลังคิดแผนสร้างระยะห่างระหว่างพวกเขา ในแต่ละวันที่นางไม่ได้ทำให้การแต่งงานกับเฟิงจินหยวนสมบูรณ์ ก็คงเป็นไปไม่ได้ที่นางจะสนิทกับเฟิงจินหยวน หากทั้งสองไม่เข้าใกล้ แผนการในอนาคตของนางจะสำเร็จได้อย่างไร


คังอี้จ้องที่เฟิงหยูเฮง และรู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้แน่วแน่และกล้าหาญในแบบของนาง นางทำให้คังอี้กระดิกตัวไม่ได้ การทำสิ่งต่าง ๆ เช่นนี้เกินความคาดหมายของนาง สำหรับคังอี้ นางจะยังคงสั่นอยู่บ้างแม้จะเป็นบางสิ่งที่นางสามารถควบคุมได้ทั้งหมด แม้ว่ามันจะเกี่ยวข้องกับผู้ที่นางรังเกียจอย่างแน่นอน นางก็จะทำอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ทิ้งร่องรอยไว้


แต่เฟิงหยูเฮงนั้นตรงกันข้ามอย่างสมบูรณ์ นางไม่สนใจว่านางจะทิ้งร่องรอยใด ๆ ในความเป็นจริง ดูเหมือนว่านางเป็นห่วงว่าคนไม่รู้ว่าเป็นนาง นางเป็นคนหน้าด้าน และปลอดภัยจากการมีผู้สนับสนุนที่แข็งแกร่ง


อันที่จริงคังอี้ไม่รู้ว่าวิธีที่เฟิงหยูเฮงใช้ไม่ได้แค่เกินความคาดหมายของนางเท่านั้น แต่มันเกินความคาดหมายของทุกคนอย่างแท้จริง แน่นอนว่าทุกคนไม่ได้รวมซวนเทียนหมิง


โดยทั่วไปนางกับซวนเทียนหมิงเป็นคนประเภทเดียวกัน หากมีศัตรู พวกเขาจะหาทางแก้ไขให้ตรงจุดทันที หากเจ้าดูถูกข้า ข้าจะทุบตีเจ้า ถ้าเจ้าทุบตีข้า ข้าจะฆ่าเจ้า หากเจ้าวางแผนต่อข้า ข้าจะฝังเจ้าโดยไม่ทำป้ายหลุมศพให้เจ้า


นี่เป็นวิธีมาตรฐานในการทำสิ่งต่าง ๆ สำหรับเฟิงหยูเฮงและซวนเทียนหมิง แต่เดิมคังอี้ไม่ใช่คนดี แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับคนอย่างเฟิงหยูเฮง มันมีความรู้สึกว่าเป็นบัณฑิตวิ่งใส่ทหาร


นางก้มศีรษะลงอย่างไร้ประโยชน์ “ทั้งหมดเป็นความผิดของคังอี้ หากท่านพี่จะลงโทษ ท่านพี่ลงโทษข้าได้เลย” คังอี้เข้าใจว่าความสัมพันธ์ของนางกับเฟิงหยูเฮงไม่อาจเลวร้ายได้มากกว่านี้ นางมาที่ราชวงศ์ต้าโดยมีเป้าหมายในการสนับสนุนองค์ชายเซียงให้ดำรงตำแหน่งฮ่องเต้ จากนั้นเฉียนโจวจะได้รับ 3 มณฑล เป้าหมายของนางคือไม่ได้มีส่วนร่วมในการต่อสู้ของเรือนด้านใน ภารกิจที่สำคัญที่สุดของนางคือครองใจของจินหยวน และปรับปรุงสถานะขององค์ชายเซียงในราชสำนัก หากเรื่องนี้ประสบความสำเร็จคงมีเวลาเหลือเฟือที่จะจัดการองค์หญิงแห่งมณฑลจี่อัน เมื่อคิดเช่นนี้ ท่าทีของนางก็อ่อนลงเล็กน้อย ขณะที่นางคำนับฮูหยินผู้เฒ่าและกล่าวว่า “ความผิดทั้งหมดเกิดขึ้นจากลูกสะใภ้ แต่ข้าขอให้ท่านแม่เชื่อว่าลูกสะใภ้ไม่มีเจตนาแช่งท่านพี่ ลูกสะใภ้ประสบกับความยากลำบากและยุ่งกับการจัดงานแต่งงานให้เรียบร้อย ข้าไม่ได้มีสมบัติมากมาย ดังนั้นข้าจะแสดงเจตนาชั่วร้ายเช่นนี้ได้อย่างไร นี่เป็นเพราะข้าไม่ละเอียดพอ คังอี้หวังที่จะขอโทษน้องจุนม่านและจะยอมรับการลงโทษเจ้าค่ะ”


เมื่อพูดแบบนี้ นางหันไปเผชิญหน้ากับจุนม่าน นางก็ยังคุกเข่าและพูดว่า “พี่สาวทำผิดอย่างร้ายแรงในวันนี้ ทำให้น้องสาวได้รับบาดเจ็บ นี่คือสิ่งที่ทำให้ข้าเสียใจและไม่สามารถแก้ไขความผิดนี้ได้ พี่สาวยินดีชดใช้ความผิดนี้ และหวังว่าน้องสาวจะยกโทษให้ข้า”


ฮูหยินใหญ่ได้ทำพิธีดังกล่าวแล้ว ถ้าจุนม่านยังคงยืนกรานต่อไป จะเป็นนางที่ผิด นางคุกเข่าอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตามนางไม่ได้แสดงความคิดของนาง นางมองไปที่เฟิงจินหยวน และถามเขาว่า “ท่านพี่ จุนม่านเป็นของท่านพี่ ท่านพี่จะต้องตัดสินใจทุกเรื่องเจ้าค่ะ”


เฟิงจินหยวนพยักหน้าจากนั้นมองที่คังอี้ที่เต็มไปด้วยความเสียใจ และความขมขื่นทำให้เขาใจอ่อนเล็กน้อย เขาช่วยประคองทั้งสองคนให้ลุกขึ้น จากนั้นเขาจึงพูดกับคังอี้ “สถานการณ์วันนี้เป็นเรื่องบังเอิญ เจ้าเป็นฮูหยินที่ถูกต้องของข้า เจ้าเป็นคนในครอบครัว กำไลนี้…”


คังอี้ก้มลงหยิบกำไล นางยกมันขึ้นเหนือศีรษะแล้วทุบมันลงบนพื้นครั้งแล้วครั้งเล่า


“สิ่งที่โชคร้ายไม่ควรเก็บไว้ใกล้ตัวเจ้าค่ะ ไม่ว่าจะมีค่าขนาดไหน แต่ก็ไม่สามารถเปรียบเทียบความรู้สึกของคังอี้ที่มีต่อท่านพี่ได้” นางแสดงความรู้สึกต่อเฟิงจินหยวนซึ่งทำให้เฟิงจินหยวนรู้สึกสงสารนางเล็กน้อย


เฟิงหยูเฮงดูฉากตรงหน้าแล้วก็อดพยักหน้าไม่ได้ องค์หญิงใหญ่ของเฉียนโจวค่อนข้างเชี่ยวชาญในการปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ นางไม่ใช่คนที่จะดูถูกได้จริง ๆ นางต้องการเห็นว่าผู้หญิงคนนี้จะทำอะไรหลังจากเข้าร่วมกับเฟิงจินหยวน แต่… “ท่านแม่ มันจะเป็นการดีที่สุดที่จะทำลายทุกสิ่งที่ทำให้ท่านแม่โชคร้าย ไม่งั้นคงหนีไม่พ้นที่ท่านแม่จะดูเฉื่อยมากขึ้น เมื่ออาเฮงจำบางสิ่งได้และต้องเตือนท่านแม่”


ก่อนที่คังอี้จะพูดอะไรก็ได้ จุนม่านพูดขึ้นก่อน “ขอบคุณองค์หญิงแห่งมณฑลมณฑลที่เตือนในวันนี้ มิฉะนั้นถ้าอนุนี้ยังคงสวมกำไลนั้น ภัยพิบัติครั้งใหญ่อาจจะเกิดขึ้นได้เจ้าค่ะ”


เฟิงหยูเฮงยิ้มเล็กน้อย และไม่ได้พูดอะไรอีก


ในเวลานี้เฟิงเฟินไดผู้ซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ อย่างเงียบๆ ก็พูดขึ้นทันทีขณะที่นางพูดกับฮูหยินผู้เฒ่า “ท่านย่า ท่านย่าลืมเรื่องของคนที่วางยาพิษอนุฮันไปแล้วหรือเจ้าคะ ? ยังไม่พบผู้ทำผิด และเรือนหยูหลานยังไม่ปลอดภัย ข้ากับแม่รองกินไม่ได้นอนไม่หลับ แม่รองฮันก็กังวลเช่นกัน เมื่อคืนนี้… นางก็นอนไม่หลับ” พูดอย่างนี้นางมองที่เฟิงจินหยวน


ฮูหยินผู้เฒ่าที่กราดเกรี้ยวอยู่แล้ว และกล่าวอย่างไม่มีความสุข “มันไม่ดีถ้านางยังคงเป็นเช่นนี้ นางต้องดูแลตัวเอง นางไม่สามารถพึ่งพาคนอื่นได้ตลอดเวลา” นางพูดอย่างนี้ แต่นางก็คิดถึงคนที่วางยาพิษ นางจึงนำต่างหูออกมาอีกครั้ง นางถือมันไว้ในมือของนาง นางเอาให้ทุกคนเห็น “แม้ว่าต่างหูนี้จะหล่นที่ครัว เพื่อหาตัวผู้ต้องสงสัย ทุกคนควรช่วยกันนึกว่าใครเคยใส่ต่างหูคู่นี้มาก่อน”


ในขณะที่ทุกคนเริ่มคิด


ในเวลานี้พวกเขาได้ยินเฟิงเฉินหยูก็พูดว่า “ต่างหูคู่นี้ดูคุ้นตาข้ามาก ดูเหมือนว่า…” นางพูดอย่างนี้แล้วมองไปที่จินเฉิน ทันใดนั้นดวงตาของนางก็สว่างขึ้น นางพูดเสียงดัง “เป็นของแม่รองจินเฉิน นางเคยใส่มันก่อน ! ”


จินเฉินสั่นด้วยความกลัวขณะที่นางมองเฟิงเฉินหยูด้วยความกลัว นางถามด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความไม่เชื่อว่า “คุณหนูใหญ่ ถึงแม้ว่าข้าจะเป็นคนที่รู้ว่าคุณหนูมีอะไร แต่คุณหนูก็ไม่ควรใส่ร้ายข้าแบบนี้ ! ”


ครั้งนี้มันเป็นเฟิงเฉินหยูที่ตกใจ นางถามจินเฉิน “เจ้าพูดอะไร ข้ามีอะไร”


เฟิงจินหยวนสามารถบอกได้ว่ามีเลศนัยบางอย่าง ดังนั้นเขาจึงมองทั้งสองด้วยความหดหู่ หลังจากนั้นครู่หนึ่งเขาถามจินเฉิน “ต่างหูนี้เป็นของเจ้าหรือไม่ ? ” ดูเหมือนว่าเขาจะเห็นจินเฉินใส่สิ่งที่ดูคล้ายกันมาก่อน แต่เขาก็เป็นผู้ชาย ในสายตาของเขา เครื่องประดับของผู้หญิงทั้งหมดดูเหมือนกันมาก


เมื่อได้ยินเฟิงจินหยวนถามอย่างนี้ จินเฉินส่ายหัวปฏิเสธอย่างเด็ดขาดว่า “ไม่ ! สิ่งนี้ไม่ได้เป็นของอนุคนนี้” ก่อนที่จะรอให้เฟิงจินหยวนถาม นางก็คุกเข่าแล้วพูดเสียงดังว่า “ท่านพี่ ! ท่านฮูหยินผู้เฒ่า ! เมื่อมันกลายเป็นเช่นนี้ อนุผู้นี้จึงไม่มีทางเลือกนอกจากพูดความจริง เป็นเพราะคุณหนูใหญ่ ! คุณหนูใหญ่ต้องการทำร้ายพี่ฮันเจ้าค่ะ ! ” 

 

 


ตอนที่ 342

 

คำพูดของจินเฉินดึงดูดความสนใจของเฟิงหยูเฮง เดิมทีนางลุกขึ้นยืนแล้วกำลังจะจากไปและเข้าไปในพระราชวัง ท้ายที่สุดยังมีผู้ป่วยที่มีค่ารักษาถึง 5,000,000 เหรียญทอง ใครจะรู้ว่าจินเฉินจะพูดในสิ่งที่ทำให้นางนั่งลง


เฟิงเฉินหยูกระวนกระวายเล็กน้อยขณะที่นางพูดเสียงดัง “หยุดพูดใส่ร้ายคนอื่นได้แล้ว ! ”


อย่างไรก็ตามฮูหยินผู้เฒ่าโบกมือและหยุดเฟิงเฉินหยูไม่ให้พูด จากนั้นนางก็พูดกับจินเฉิน “พูดมา ! ”


จินเฉินอ้าปากค้างเล็กน้อยเพื่อสูดอากาศ นางดูกระวนกระวายใจมากเพราะนางจงใจขยับเข้าใกล้เฟิงจินหยวนมากขึ้นเพื่อความสบายใจ การเห็นเฟิงจินหยวนทำให้นางดูมั่นใจยิ่งขึ้น ในที่สุดนางก็พูดว่า “หลังจากที่ไปหาพี่ฮันแล้ว อนุผู้นี้เดินผ่านเรือนของคุณหนูใหญ่ และเห็นบ่าวรับใช้ของคุณหนูใหญ่ฝังบางอย่างที่สนามหน้าเรือน มันเป็นผงคล้ายแป้ง ดังนั้นควรเป็นผงเห็ดหูหนูที่คุณหนูรองกล่าวถึงว่าถูกใช้ในการวางยาพิษ”


“อะไรนะ ? ” ฮูหยินผู้เฒ่าตกตะลึงอย่างยิ่ง อาจกล่าวได้ว่าต่างหูอาจจะไม่มีความหมายอะไรเลยหากว่าเจอผงเห็ดหูหนูซึ่งเป็นยาพิษ ยิ่งกว่านั้น… “เจ้ากำลังบอกว่าบ่าวรับใช้ของคุณหนูใหญ่ฝังผงเห็ดหูหนูที่สนามหน้าเรือนหรือ ? ”


จินเฉินพยักหน้า “เจ้าค่ะ อนุผู้นี้เห็นมันกับตา มันเป็นผงเห็ดหูหนู” พูดอย่างนี้นางชี้ไปที่เซียงเอ๋อ ซึ่งยืนอยู่ด้านหลังเฟิงเฉินหยู “นางเป็นคนฝังมัน ! “


เซียงเอ๋อตื่นตระหนกทันที นางรีบคุกเข่า ขณะที่ส่ายหน้า นางกล่าว “ไม่ใช่เจ้าค่ะ บ่าวรับใช้ผู้นี้ไม่ได้ฝังเจ้าค่ะ ! ”


เฟิงเฉินหยูยังรู้สึกสับสนเล็กน้อย แต่นางก็ไม่ปฏิเสธอย่างเด็ดขาดเหมือนกับเซียงเอ๋อ นางชี้ไปที่เซียงเอ๋อและกล่าวว่า “นังโง่ ถ้าเจ้าฝังมันเจ้าก็ยอมรับสิ ทำไมต้องโกหก ? ” จากนั้นนางก็ยืนขึ้นแล้วพูดกับฮูหยินผู้เฒ่า “ข้าเป็นคนสั่งให้นางฝังเองเจ้าค่ะ ข้าไม่ได้ใช้มันเพื่อวางยาพิษใคร มันเป็นเพราะหลานสาวได้ยินว่าผงเห็ดหูหนูสามารถคลายความหนาวได้ ข้าจึงสั่งคนซื้อมาเจ้าค่ะ วันนั้นอนุฮันถูกวางยาพิษด้วยผงเห็ดหูหนู และหลานก็รู้สึกกลัวเช่นกัน ด้วยเหตุนี้ข้าจึงฝังมันเจ้าค่ะ”


คำอธิบายของนางมีเหตุผลมาก แต่มันก็เป็นเรื่องบังเอิญมากเกินไป ไม่ต้องพูดถึงว่าเฟิงเฟินไดเชื่อหรือไม่ แม้แต่ฮูหยินผู้เฒ่าและเฟิงจินหยวนก็ยังไม่เชื่อ


คนที่ตัวสั่นเป็นฮูหยินผู้เฒ่าซึ่งชี้ไปที่เฟิงเฉินหยู และพูดด้วยความผิดหวัง “ข้าให้โอกาสเจ้าแล้ว แต่เจ้าทำให้ข้าผิดหวังครั้งแล้วครั้งเล่า เฟิงเฉินหยูตระกูลเฟิงของข้ามีบุตรสาวเช่นเจ้าได้อย่างไร”


คังอี้เดินไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วเพื่อช่วยประคองฮูหยินผู้เฒ่า “ท่านแม่ระวังเจ้าค่ะ อย่าเครียดมากเกินไป ดูแลร่างกายของท่านแม่ด้วย”


“จะไม่ให้ข้าเครียดได้อย่างไร ? ” ฮูหยินผู้เฒ่าสั่นด้วยความโกรธ “ด้วยความชั่วร้ายเช่นนี้ในคฤหาสน์ ข้าจะอยู่อย่างเป็นสุขได้อย่างไร จินหยวน ! ” นางมองไปที่เฟิงจินหยวนและกล่าวว่า “เฟิงเฉินหยูพยายามฆ่าบุตรของตระกูลเฟิง เจ้าจะทำอย่างไรกับเรื่องนี้ ? ”


เฟิงจินหยวนก็ผิดหวังในตัวเฟิงเฉินหยูเช่นกัน แม้ว่าเฟิงเฉินหยูพร่ำบอกว่านางไม่ได้ทำ จากที่เขาทราบเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ ที่เฟิงเฉินหยูเคยทำมา ครั้งนี้เฟิงจินหยวนเชื่อว่านางทำ


“ท่านพ่อต้องชำระความนะเจ้าคะ ! ” เฟินไดตะโกนแล้วชี้ไปที่เฟิงเฉินหยู นางกล่าวว่า “คนที่กระทำความผิดฐานฆ่าคนถึงจะตายเป็นหมื่นครั้งมันก็ยังไม่เพียงพอ ! ”


“หุบปาก ! ” เฟิงจินหยวนดุอย่างแรง ไม่ว่าจะพูดอะไร เมื่อเปรียบเทียบเฟิงเฉินหยูและเฟิงเฟินได เขาก็ยังโปรดปรานเฟิงเฉินหยู “ข้าตัดสินใจแล้ว”


เฟิงเฟินไดไม่พูดในขณะที่นางเยาะเย้ยและจ้องมองที่เฟิงเฉินหยู ในตอนแรกนางหวังว่าบิดาจะลงโทษนางอย่างรุนแรง แต่หลังจากรอมาระยะหนึ่ง คังอี้ก็กล่าวว่า “เรื่องนี้ร้ายแรงมาก มันจะเป็นการดีที่สุดที่จะตรวจสอบเรื่องนี้อย่างละเอียด คุณหนูใหญ่นั้นบอกว่านางอยู่ในเรือนตลอดเวลา ดังนั้นมันจะดีที่สุดถ้าเราไม่ได้ลงเอยด้วยการลงโทษใครบางคนที่ถูกใส่ร้ายนะเจ้าคะ”


เฟิงเฉินหยูชำเลืองมองคังอี้ นางรู้ว่ามารดาคนนี้กำลังช่วยนาง โชคดีที่ผู้ซึ่งเป็นคู่ต่อสู้ของนางในวันนี้คือจินเฉิน นางเชื่อมั่นว่าคังอี้สามารถจัดการกับคนอย่างจินเฉินได้อย่างแน่นอนโดยไม่มีปัญหา ตราบใดที่มันไม่ใช่เฟิงหยูเฮง ในคฤหาสน์นี้นางก็ไม่กลัว


เมื่อเห็นเฟิงเฉินหยูถูกนำตัวออกไป เฟิงหยูเฮงก็ลุกขึ้นยืนและพูดกับฮูหยินผู้เฒ่า “อาเฮงต้องเข้าไปในพระราชวังเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บขององค์หญิงรุ่ยเจีย ข้าขอตัวก่อนเจ้าค่ะ ข้าจะมาคารวะท่านย่าในวันพรุ่งนี้”


ได้ยินนางพูดถึงอาการบาดเจ็บของรุ่ยเจีย ฮูหยินผู้เฒ่ารีบถาม “อาการบาดเจ็บของรุ่ยเจียรุนแรงมากหรือไม่ ? ”


เฟิงหยูเฮงมองไปที่คังอี้ เมื่อเห็นว่านางดูกังวลมาก เฟิงหยูเฮงจึงยิ้มและกล่าวว่า “ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด ด้วยเงินค่ารักษา 5,000,000 เหรียญทองและดอกบัวหิมะ 10 ดอก ท่านแม่ไม่ต้องกังวล อาเฮงอยู่ที่นี่ จะไม่มีปัญหาในการช่วยชีวิตขององค์หญิงรุ่ยเจีย” ขณะที่นางพูดนางถอนหายใจเบา ๆ นางหันมาพูดกับจุนม่านและจุนเหมยว่า “ทุกสิ่งในตระกูลเฟิงเป็นสิ่งที่ดี แต่ท่านแม่ก็ขาดความสามารถที่จะสอนเด็ก ๆ ข้าคิดว่าเดิมองค์หญิงคังอี้ที่เข้ามาในคฤหาสน์จะทำให้เกิดการพัฒนาในทางที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตามข้าไม่เคยคิดเลยว่านางจะสอนองค์หญิงรุ่ยเจียให้เป็นเช่นนั้น”


จุนม่านรีบหยิบบทสนทนาขึ้นมาอย่างรวดเร็วโดยพูดว่า “เป็นเพราะเหตุนี้ที่พวกเราถูกส่งมาที่คฤหาสน์ องค์หญิงแห่งมณฑลโปรดอย่ากังวล ต่อไปอนุผู้นี้จะสอนบุตรของคฤหาสน์ ไม่พลาดกฎที่ข้าเรียนมาจากพระราชวังอย่างแน่นอน อนุผู้นี้จะไม่อนุญาตให้เด็กทำตัวไร้มารยาทต่อหน้าคนนอกแน่นอนเจ้าค่ะ”


นี่เทียบเท่ากับการสละสิทธิ์ของคังอี้เพื่อให้การสั่งสอนแก่เด็ก ๆ แต่ไม่มีใครในตระกูลเฟิงพูดอะไรเลย ท้ายที่สุดเมื่อพี่น้องเฉิงเข้ามาในคฤหาสน์ เหตุผลก็คือคังอี้ทำหน้าที่เลี้ยงดูรุ่ยเจียไม่ดี ตอนนี้ฮูหยินผู้เฒ่าก็รู้สึกว่าถ้าพี่น้องเฉิงสอนบุตร ๆ ของคฤหาสน์มันจะดีกว่า พวกนางมาจากพระราชวัง ดังนั้นพวกเขาจะไม่ขาดความเข้าใจในกฎ ด้วยคนเช่นนี้ที่สอนเด็กๆ ในอนาคตไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร พวกเขาจะต้องเป็นเด็กเรียบร้อย


ดังนั้นนางพยักหน้า “ดี ถ้าเจ้าสามารถจัดการกับภาระเรื่องการสอนเด็ก ๆ ในเรื่องมารยาท มันจะลดความกังวลของข้าลง” ขณะที่พูดสิ่งนี้นางมองเฟิงเซียงหรูและเฟิงเฟินได “ในอนาคตพวกเจ้าจะต้องเรียนรู้อย่างถูกต้องจากอนุทั้งสองคนนี้ เป็นการดีที่สุดที่จะเรียนรู้กฎของพระราชวัง”


เฟิงเซียงหรูเชื่อฟังเสมอ เมื่อได้ยินฮูหยินผู้เฒ่าสั่งให้ทำ นางไม่ทำผิดพลาดเพียงครั้งเดียวในการตอบสนองของนาง


สำหรับเฟิงเฟินได ทัศนคติของนางที่มีต่อพี่น้องเฉิงนั้นดีกว่าทัศนคติของนางที่มีต่อคังอี้ มันเป็นเพียงเพราะทั้งสองมาจากพระราชวัง ในใจของนางถ้านางคุ้นเคยกับทั้งสองคนมากขึ้น มันจะทำให้นางได้รู้ข้อมูลเกี่ยวกับพระราชวังง่ายขึ้นมาก องค์ชายห้าหายตัวไปและไม่ปรากฏตัวอีกเป็นเวลาหลายวัน นางรู้สึกไม่สบายใจขณะที่นางส่งคนออกไปดูว่าตำหนักลีได้รับคนใหม่หรือไม่ โชคดีที่คนเหล่านี้ทุกคนรายงานว่าเขาไม่ได้ทำ ทำให้นางรู้สึกโล่งใจ


เมื่อเห็นเฟิงเฟินไดคำนับและเห็นด้วย ฮูหยินผู้เฒ่าก็พยักหน้าในที่สุด เฟิงหยูเฮงยังยิ้มและพูดกับจุนม่าน “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจะทำให้อนุยุ่งยากกับงานมากขึ้น” นางตบมือจุนม่านแล้วหันหลังกลับออกไปพร้อมกับหวงซวน


เฟิงจินหยวนรู้สึกอึดอัดใจเล็กน้อย ในท้ายที่สุดเขายังคงเป็นบิดา แต่บุตรสาวคนนี้ไม่ได้พูดอะไรกับเขาเมื่อมาถึงหรือจากไปสักคำ… เขามองไปที่จุนม่านแล้วบอกนางว่า “คุณหนูรองก็ต้องเรียนรู้มารยาทเช่นกัน เพิ่มเวลาของเจ้าสักเล็กน้อย”


จุนม่านพยักหน้า แต่กล่าวว่า “ท่านป้ามักจะชื่นชมองค์หญิงแห่งมณฑลเพราะเป็นคนฉลาดและมีเหตุผล แม้แต่ท่านลุงก็ยกย่ององค์หญิงแห่งมณฑลเพราะเป็นคนมีสติปัญญา เมื่อเทียบระหว่างจุนม่านกับองค์หญิงแห่งมณฑล ข้ายังต้องขอความช่วยเหลือจากองค์หญิงแห่งมณฑลเจ้าค่ะ ! ”


เฟิงจินหยวนสั่นอย่างที่เขาอยากจะพูด นางจะช่วยอะไรได้บ้าง หากนางเชื่อฟัง และมีเหตุผล นั่นหมายความว่าไม่มีคนที่เหมาะสมในโลก


แต่เมื่อเขาอ้าปาก เขาก็ได้ยินเสียงฮูหยินผู้เฒ่าไอและทำให้เขาดูรุนแรง เฟิงจินหยวนก็ตอบสนองเท่านั้น ใครคือป้าและลุงที่จุนม่านพูดถึง พวกเขาคือฮ่องเต้และฮองเฮา ! เขาเบื่อมากพอที่จะต้องการต่อต้านฮ่องเต้และฮองเฮาหรือ ?


ดังนั้นเขาหัวเราะอย่างแห้ง ๆ และยิ้มในข้อตกลง


ในอีกด้านหนึ่ง เฟิงหยูเฮงและวังซวนที่นั่งในรถม้าแล้วมุ่งหน้าไปยังพระราชวังของฮ่องเต้ หวงซวนเท้าคาง และถามนางว่า “คุณหนู ทำไมคุณหนูถึงมั่นใจในตัวเองว่าองค์หญิงคังอี้สวมกำไลนั้นเมื่อนางแต่งงาน ? ”


เฟิงหยูเฮงยื่นมือของนางออกมาแล้วพูดว่า “ข้าเดา”


หวงซวนตกใจ “คุณหนูเดาถูกต้องจริง ๆ !”


“นั่นเป็นเรื่องจริง” นางพยักหน้าอย่างไร้ยางอาย  “ข้ารู้สึกว่าข้ายอดเยี่ยมมาก”


“เชอะ ! ” เสียงประชดประชันมาจากอากาศ


เฟิงหยูเฮงรู้สึกไม่มีความสุข ขณะนางจับมือหวงซวนและกล่าวว่า “เมื่อเราออกจากพระราชวัง เราควรไปที่ตำหนักหยู ข้าต้องการส่งบานซูกลับ ข้าไม่ต้องการเขา ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดคฤหาสน์ตอนนี้มีผู้คุ้มกันลับอยู่มากมาย ไม่มีใครแข็งแกร่งกว่าเขา”


เสียงของคนที่กัดฟันของพวกเขา มาจากอากาศ “ไม่มีใครที่แข็งแกร่งกว่าข้าจริง ๆ หากคุณหนูไม่เชื่อ ก็ลองดู”


การหยอกล้อระหว่างเจ้านายกับบ่าวรับใช้เป็นสิ่งที่หวงซวนคุ้นเคย นางไม่เชื่อแม้แต่น้อยว่าเฟิงหยูเฮงจะส่งบานซูกลับไป และนางก็ไม่เชื่อว่าบานซูจะไม่เคารพเฟิงหยูเฮง


ในทางกลับกัน เฟิงหยูเฮงปฏิบัติกับบานซูเช่นเดียวกับที่นางปฏิบัติต่อพวกนางดีมาก นางไม่เคยปฏิบัติต่อพวกนางในฐานะบ่าวรับใช้ แต่นางปฏิบัติต่อพวกนางในฐานะพี่น้อง สำหรับบานซู เขาเคยคุ้นเคยกับการซ่อนตัวอยู่ในเงามืด หลังจากติดตามเฟิงหยูเฮงทันที…  เอ่อ อาจารย์อย่างไม่เป็นทางการ มันเป็นไปได้ที่ความมีชีวิตชีวาภายในของเขาก็ปรากฏออกมาเช่นกัน นี่ไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าการหยอกล้อ แต่เมื่อเฟิงหยูเฮงได้รับอันตราย บานซูจะปกป้องความปลอดภัยของเฟิงหยูเฮงด้วยชีวิตของเขาอย่างแน่นอน


นาง และวังซวนก็เช่นกัน !


การได้เห็นรุ่ยเจียวันนี้ จิตวิญญาณของนางดูเหมือนจะดีกว่าวันก่อน อาจเป็นเพราะห้องได้รับการทำความสะอาดโดยบ่าวรับใช้ ธูปก็ถูกเผาเช่นกัน ดังนั้นห้องพักจึงมีกลิ่นที่ดีกว่าเมื่อก่อน สิ่งนี้ให้ความรู้สึกที่จริงใจมาก


แต่รุ่ยเจียไม่พูดอะไรเลยเมื่อนางเห็นเฟิงหยูเฮง นางจ้องมองเฟิงหยูเฮงด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจ ราวกับว่าเพียงแค่จ้องมองก็เพียงพอที่จะระบายความโกรธในหัวใจของนาง


เฟิงหยูเฮงไม่ใส่ใจเพราะนางเริ่มรักษาอาการบาดเจ็บ


รุ่ยเจียจ้องมองเกือบทั้งชั่วยาม ในที่สุดไม่สามารถทนได้อีกต่อไป นางหยุดจ้องมอง อย่างไรก็ตามนางใช้เสียงเตือนเพื่อบอกเฟิงหยูเฮง “สำหรับเงิน 5,000,000 เหรียญทอง เจ้าต้องให้ความสนใจเมื่อรักษาข้า ข้าจ่ายเงินแล้ว”


เฟิงหยูเฮงยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่ต้องห่วง ข้าจะรักษาเจ้าอย่างดี เพื่อที่ข้าจะได้เฆี่ยนเจ้าอีกครั้ง”


“เจ้า” รู่ยเจียต้องการที่จะก่นด่าบรรพบุรุษของนางแปดชั่วโคตรเพราะนางคุ้นเคยกับการทำแบบนี้ แต่เมื่อนางจำได้ว่าอาการบาดเจ็บที่ปกคลุมร่างกายของนางนั้นเป็นผลมาจากการที่นางก่นด่าคนอื่น มองออกไป นางไม่ต้องการที่จะมองเฟิงหยูเฮงอีกต่อไป


เฟิงหยูเฮงใช้เวลา 2ชั่วยามในการรักษาอาการบาดเจ็บของนาง ในที่สุดนางก็รักษารุ่ยเจียที่กำลังจะตายจากความเจ็บปวด เมื่อได้ยินว่าเฟิงหยูเฮงจะกลับมาอีกครั้งในวันรุ่งขึ้น ทันใดนั้นนางก็อยากจะเลิกการรักษานี้ มันเจ็บปวดเกินไป รุ่ยเจียเริ่มสงสัยอย่างแท้จริงว่านางสามารถทนต่อความเจ็บปวดนี้ได้หรือไม่ เงินถูกจ่ายไปแล้ว แต่ถ้านางเสียชีวิตในระหว่างขั้นตอนนั้น จะไม่เป็นที่น่าสมเพชหรือไม่


แต่เฟิงหยูเฮงไม่สนใจนาง หลังจากเสร็จงานนางก็เก็บข้าวของออกมาแล้ว นางไม่ได้บอกรุ่ยเจียว่านางไม่ได้ใช้ยาชา รุ่ยเจียจะต้องอดทนชดใช้ความผิดที่นางทำลงไป โดยการระลึกถึงความเจ็บปวดนี้เท่านั้นที่ทำให้นางจำได้ว่าต้องทำเช่นไรในครั้งต่อไป แม้ว่านางจะไม่เชื่อแม้แต่น้อยว่ารุ่ยเจียสามารถเปลี่ยนแปลงได้จริง …


ออกจากพระราชวัง มีคนชี้ให้นางไปในทิศทางของตำหนักฉิงอัน พร้อมกับหวงซวน นางมุ่งหน้าไปในทิศทางนั้น หวงซวนไม่ได้เข้าพระราชวังนาน ดังนั้นนางจึงยังไม่เข้าใจว่าทำไมพวกเขาจะไปที่ตำหนักฉิงอันทันที เมื่อนางต้องการถาม นางกำนัลรีบวิ่งเข้ามาหาพวกนาง 

 

 


ตอนที่ 343

 

นางกำนัลเดินไปอย่างรวดเร็วและไม่ได้มองไปข้างหน้า เมื่อนางสังเกตเห็นเฟิงหยูเฮงและหวงซวน มันก็ช้าเกินไปเมื่อนางชนเข้ากับพวกเขา


หวงซวนรีบหยุดนางอย่างรวดเร็วเพื่อไม่ให้ชนเฟิงหยูเฮง แต่นางกำนัลตื่นตระหนกและคุกเข่าลงอย่างรวดเร็ว พลางเอ่ยว่า “ข้าไม่รู้ว่าท่านเป็นใคร แต่บ่าวรับใช้ผู้นี้ไม่ได้ตั้งใจเจ้าค่ะ ไว้ชีวิตข้าด้วยเจ้าค่ะ ! ”


เฟิงหยูเฮงมองนางซักพัก เมื่อเห็นว่านางทำท่ากระวนกระวาย นางจึงถามว่า “เจ้ามาจากตำหนักไหน ? ทำไมเจ้าต้องเร่งรีบเช่นนี้ ? ”


บ่าวรับใช้ในพระราชวังกล่าวว่า “บ่าวรับใช้ผู้นี้มาจากตำหนักฉิงอัน พระสนมอันป่วยหนักเจ้าค่ะ ข้ารีบไปเชิญหมอหลวงเจ้าค่ะ”


“พระสนมอัน ? ” เฟิงหยูเฮงกระพริบตาสองสามครั้ง การไปเยี่ยมเยียนเทียบไม่ได้กับการมอบความเห็นอกเห็นใจในเวลาที่ต้องการ นางจึงกล่าวว่า “องค์หญิงแห่งมณฑลผู้นี้กำลังคิดว่าที่จะไปเยี่ยมพระสนมอัน ในเมื่อข้าได้ยินเรื่องนี้ ข้าคงนิ่งดูดายไม่ได้ ข้าจะไปกับเจ้าเพื่อตรวจอาการป่วยของพระสนมอัน ! ”


ราชวงศ์ต้าชุนมีองค์หญิงแห่งมณฑลคนเดียวเท่านั้น นางกำนัลจะไม่ทราบได้อย่างไรว่าใครกำลังยืนอยู่ตรงหน้านาง แม้ว่าการเชื้อเชิญองค์หญิงแห่งมณฑลให้ไปพบผู้ป่วยนั้นไม่เหมาะสม องค์หญิงแห่งมณฑลเป็นหมอเทวดา นี่คือสิ่งที่ทุกคนในเมืองหลวงรู้ดี นางต้องการให้ใครซักคนไปตรวจอาการป่วยทางจิตของพระสนมอัน แต่นางรู้สึกว่าไม่เพียงแต่สำนักหมอหลวงอยู่ไกลเกินไป แต่นั่นยังไม่รับประกันว่าพวกเขาจะยินดีไปที่ตำหนักฉิงอัน ดังนั้นนางจึงกัดฟันและคำนับเฟิงหยูเฮง พลางกล่าวว่า “บ่าวรับใช้ผู้นี้ขอบคุณองค์หญิงแห่งมณฑลสำหรับความเมตตาเพคะ ! องค์หญิงแห่งมณฑลโปรดติดตามบ่าวรับใช้คนนี้ไปตำหนักฉิงอันเพคะ ! ”


เช่นนี้เฟิงหยูเฮงได้รับเชิญให้ไปยังตำหนักชิงอัน หลังจากเข้าไปในตำหนักแล้ว นางก็ได้ยินเสียงใครบางคนกรีดร้องราวกับว่าพวกเขาไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ “ฆ่าสัตว์ร้ายนั่น ! ฆ่ามัน ! ” เสียงขวดและเหยือกดังตามมาทันที เมื่อติดตามสิ่งนี้ เสียงของคนที่ตะโกนด้วยความโกรธ “ข้าให้กำเนิดบุตรชายแบบนี้ได้อย่างไร ? ข้าไม่ได้ให้กำเนิดเขา ! ไม่อย่างแน่นอน ! “


นางกำนัลที่เชิญเฟิงหยูเฮงมาทำอะไรไม่ถูก แล้วกล่าวว่า “พระสนมอันเกิดอาการคลุ้มคลั่งมาแล้วระยะหนึ่ง โดยปกติแล้วพระสนมอันจะร้องเพลงหรือร้องไห้ หลังจากนั้นไม่นานพระสนมก็จะดีขึ้น แต่คราวนี้เริ่มตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงตอนนี้ อาการพระสนมยังไม่ดีขึ้น พระสนมตีผู้คน ขันทีและนางกำนัลถูกตีจนตายเพคะ”


“ร้ายแรงขนาดนั้นเลยหรือ ? ” เฟิงหยูเฮงสงสัยเล็กน้อย ในตอนแรกนางคิดว่าพระสนมอันเพียงแต่ควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้จนนำไปสู่ปัญหา อย่างไรก็ตามเฟิงหยูเฮงไม่คิดว่านางจะคลุ้มคลั่งถึงระดับนี้


นางเพิ่มความเร็วในการเดินของนางเข้าไปในห้อง เมื่อเข้าไปในห้องนอนของพระสนมอัน นางเห็นผู้หญิงคนหนึ่งแต่งกายชุดราชสำนัก ผมยุ่งเหยิงนั่งอยู่บนพื้น ผ้าของชุดราชสำนักค่อนข้างดี แต่สีซีดจาง และมันดูใหญ่ไปหน่อย


เฟิงหยูเฮงรู้ว่าคนผู้นี้จะต้องเป็นพระสนมอัน และในเวลานี้นางกำลังจับนางกำนัลที่ทำความสะอาดในพระราชวัง ในขณะที่ดึงผมของนางกำนัล นางตะโกน “มีประโยชน์อะไรที่ข้าเลี้ยงดูเจ้า ? ทำไมเจ้าไม่ฆ่าเขา ทำไมเขายังมีชีวิตอยู่อย่างมีความสุข ? อาจเป็นเพราะเจ้าทำงานไม่ดี และเจ้าก็ร่ายรำได้ไม่เหมือนนาง ! ”


นางกำนัลตัวเล็กและมีใบหน้าที่สวยงาม เอวของนางเล็กมากจนมือผู้ชายสามารถโอบรอบได้ แม้ว่านางจะสวมเครื่องแบบนางกำนัลก็ยังสามารถเห็นว่านางมีความโดดเด่น


โชคไม่ดีที่ไม่ว่าคนผู้นั้นจะสวยงามเพียงใด พวกนางก็สูญเสียความงามจากการถูกทำร้ายโดยพระสนมอัน นางคุกเข่าบนพื้นไม่สามารถหลุดพ้นจากการเป็นอิสระ หรือหลบได้ นางไม่สามารถตอบโต้พระสนมอันได้ นางทำได้แค่กัดฟันและทนกับมัน แม้จะถูกกดดันอย่างหนักนางก็ไม่ได้ร้องไห้ออกมา


เฟิงหยูเฮงจำนางได้ว่านางคือหงหยุน แน่นอนว่าเฟิงหยูเฮงไม่เชื่อว่าเป็นชื่อจริงของนาง ดังนั้นนางจึงถามนางกำนัลที่อยู่ข้าง ๆ นาง “คนที่พระสนมอันจับนั่นคือใคร ? ”


นางกำนัลตอบ “นั่นคือหยินหลานเพคะ พระสนมจะให้การสนับสนุนนางมากที่สุด แต่ทุกครั้งที่พระสนมอันล้มป่วย นางก็เป็นคนที่ทนทุกข์ทรมานมากที่สุด”


เฟิงหยูเฮงพยักหน้าแล้วเดินไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว นางคว้าข้อมือของพระสนม นางได้ยินเสียงตะโกนดัง ๆ ว่า “อย่าแตะต้องข้า ! ชิ ! ปล่อยข้า ! ” แต่เมื่อนางตะโกนสิ่งนี้ เปลือกตาของนางก็ปิด นางหลับไปแล้ว


ในที่สุดหยินหลานก็หลุดพ้นและได้แต่ถอนหายใจด้วยความโล่งอก เมื่อนางเงยหน้าขึ้นและเห็นเฟิงหยูเฮง ความสงบของนางหายไปในทันที “องค์หญิงแห่งมณฑล” นางคุกเข่าและก้มหัวลง หลังจากพูดว่าองค์หญิงแห่งมณฑล นางไม่ได้พูดอะไรอีกต่อไป


เฟิงหยูเฮงไม่สนใจนาง เนื่องจากนางให้นางกำนัลคนหนึ่งของตำหนักฉิงอันนำพระสนมอันไปวางบนเตียง จากนั้นนางก็ดึงเข็มสีเงินออกจากแขนเสื้อของนาง และเริ่มฝังที่หัวของพระสนมของอัน


เมื่อเห็นเช่นนี้ ในที่สุดนางกำนัลของตำหนักฉิงอันก็รู้สึกสบายใจ หากพวกเขาไม่ได้วิ่งเข้าไปในพระราชวัง ไม่เจอองค์หญิงแห่งมณฑลจี่อัน บางทีอาจจะมีผู้คนจำนวนมากที่ต้องตกตาย หมอหลวงส่วนใหญ่จะสั่งยาหลังจากพบนาง พระสนมอันถือว่าเป็นพระสนมที่ถูกทอดทิ้ง ฮ่องเต้พระราชทานตำหนักให้แก่นาง และไม่ลดตำแหน่งของนางก็ค่อนข้างดีอยู่แล้ว เขาจะดูแลนางได้อย่างไร


หยินหลานคุกเข่าตรงกลางห้องโดยไม่ลุกขึ้นยืน นางกำนัลที่พาเฟิงหยูเฮงไปที่ตำหนักฉิงอันรู้สึกว่ามันแปลกเล็กน้อย นางต้องการไปและถาม อย่างไรก็ตามนางรู้สึกว่าองค์หญิงแห่งมณฑลจี่อันมีท่าทางเศร้าหมองแม้จะมาทำการรักษาพระสนมอัน นางไม่กล้าถามมากเกินไป ดังนั้นนางทำได้แค่ยืนอยู่ข้าง ๆ


หลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม เฟิงหยูเฮงก็เอาเข็มเงินทั้งหมดออกจากหัวของพระสนมอัน จากนั้นนางก็ดึงขวดขนาดเล็กออกมาจากแขนเสื้อของนาง และเทยาลงไปสองสามเม็ดและป้อนเข้าไปในปากของนางสนมอัน จากนั้นนางก็สั่งการว่า “ไปเอาน้ำมาป้อนพระสนม หลังจากนั้นไม่นานพระสนมก็คงจะตื่น”


นางกำนัลปฏิบัติตามและออกไปเอาน้ำ เฟิงหยูเฮงยืนขึ้นแล้วเหลือบไปที่หยินหลาน จากนั้นก็เริ่มเดินออกไปพร้อมกับกล่าวว่า “ข้าอยากคุยกับเจ้า ตามข้ามา”


หยินหลานยืนขึ้นขณะที่นางเดินตามอย่างระมัดระวัง เดินตามหลังเฟิงหยูเฮง บ่าวรับใช้คนอื่นคิดเพียงว่าเฟิงหยูเฮงต้องการถามเกี่ยวกับอาการป่วยของพระสนม ดังนั้นจึงไม่มีใครคิด ทุกคนต่างแยกย้ายกันไป


เฟิงหยูเฮงไม่ได้ไปไกลนักเพราะนางนั่งลงที่ทางเดินใกล้ ๆ หยินหลานยืนอยู่ตรงหน้านางโดยที่ไม่หยิ่งจองหองเหมือนตอนที่นางเป็นหงหยุน เมื่อมองดูนางตอนนี้ นางยังดูเยือกเย็นเล็กน้อย


หวงซวนรู้จักนางมานานแล้ว ก่อนที่เฟิงหยูเฮงจะพูด นางก็รีบพูดขึ้น และพูดอย่างโกรธเคืองว่า “เจ้าเปลี่ยนเสื้อผ้าและแอบเข้าไปในคฤหาสน์เฟิง เจ้าตั้งใจทำอะไร ? ”


นางไม่พูด


หวงซวนจ้องมองนางอย่างโกรธเคือง “เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าข้าฆ่าเจ้าได้”


นางยังไม่พูด


เฟิงหยูเฮงหัวเราะทันที “อารมณ์ของเจ้ายังคงเป็นของหงหยุน แต่การช่วยมารดาที่บ้าคลั่งทำร้ายบุตรชายของนางเองเป็นสิ่งที่ทำให้ฟ้าพิโรธ”


ในที่สุดหยินหลานก็ตอบสนอง แม้กระนั้นดวงตาของนางเปลี่ยนเป็นสีแดงในขณะที่นางกำมือของนาง


เฟิงหยูเฮงกล่าวต่อว่า “ตบมือข้างเดียวนั้นไม่ดัง หญิงชายพร้อมใจกัน แม้ว่าคนหนึ่งตายไปแล้วก็ไม่ควรโทษว่าเป็นความผิดของอีกฝ่าย” นางเงยหน้าขึ้นมองหยินหลาน “มันผ่านมาหลายปีแล้วนับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ และจิตใจของพระสนมก็สับสน มันคงน่าเบื่อสำหรับเจ้าที่จะอยู่เคียงข้างพระสนม และเตือนพระสนมตลอดเวลาให้เกลียดบุตรชายของตัวเอง”


เมื่อหยินหลานได้ยินสิ่งนี้ นางตกใจในตอนแรก แต่หลังจากนั้นนางก็เริ่มหัวเราะ ราวกับว่านางเคยได้ยินเรื่องตลกที่สุด นางชี้ไปที่เฟิงหยูเฮงและกล่าวว่า “องค์หญิงแห่งมณฑลจะรายงานความผิดเรื่องนี้ต่อองค์ชายห้าใช่หรือไม่ ? เป็นไปได้หรือไม่ที่องค์หญิงลืมไปแล้วว่าคนแรกที่ผลักพระองค์ลงไปในน้ำคือองค์หญิง ! ”


เฟิงหยูเฮงพยักหน้าเพราะนางไม่ได้หลีกเลี่ยงความรับผิดชอบนี้ “ใช่ ข้าเป็นคนทำ”  นางพูดว่า “ในเวลานั้นข้าต้องการผลักองค์ชายที่ต่ำช้าลงไปในน้ำ อย่างไรก็ตามความผิดพลาดเนื่องจากสถานการณ์แปลก ๆ ทำให้เขาจมลงไปในน้ำเหล่านี้มากขึ้น แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าการผลักเขาลงไปในน้ำนั้นถูกต้อง เขาควรจะตาย”


นางเพิ่งจะขว้างคำทั้งสองออกไปให้ตาย ทำให้หยินหลานสับสนเล็กน้อยขณะที่นางรีบพูดว่า “ข้าไม่ได้พูดแบบนั้น”


เฟิงหยูเฮงบอกนางว่า “ความคิดของข้าที่บอกว่าเขาควรตายนั้นแตกต่างจากสิ่งที่เจ้าคิด สำหรับข้า เขาจะตายแน่นอน แต่สำหรับเจ้า… พูดมา พระสนมที่จมน้ำตายในปีนั้น นางเกี่ยวข้องเป็นอะไรกับเจ้า ? ”


หยินหลานตกใจแล้วจ้องมองเฟิงหยูเฮง นางรู้สึกว่าดวงตาที่ลึกซึ้งของเฟิงหยูเฮงดูเหมือนจะสามารถมองเห็นทุกสิ่ง แม้ว่านางจะไร้ความหวังใด ๆ ที่จะซ่อนมันจากทุกคน เฟิงหยูเฮงชี้ให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของนางกับพระสนมผู้นั้นโดยตรง ไม่เพียงแต่พบว่านางเป็นนางกำนัลที่ตำหนักฉิงอัน ทำให้นางรู้สึกกลัวเล็กน้อย


เมื่อเห็นว่านางลังเลและไม่พูดอะไร เฟิงหยูเฮงยิ้ม และดล่าวว่า “ศัตรูของเจ้าคือมิตรของเจ้า ข้าไม่มีความตั้งใจที่จะทำลายเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะพูดหรือไม่ก็ตาม นั่นขึ้นอยู่กับเจ้า ข้ามาที่ตำหนักฉิงอันเพื่อค้นหาคำตอบบางอย่าง หากเจ้าสามารถช่วยขจัดความสงสัยของข้า หยินหลาน หากเจ้าไม่อยากตาย ข้าอาจช่วยเจ้าได้”


เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ดวงตาของหยินหลานที่เป็นเหมือนทะเลสาบอันเงียบสงบ ทันใดก็เผยคลื่นบางอย่างเมื่อนางถามอย่างไม่รู้ตัว “จริงหรือ ? ”


เฟิงหยูเฮงพยักหน้า “ใช่”


ความหวังในดวงตาของหยินหลานนั้นเด่นชัดยิ่งขึ้น


นางคิดอยู่แล้วว่านางไม่สามารถหลีกเลี่ยงความตายได้ เข้าสู่พระราชวัง และเดินไปตามเส้นทางนี้นางไม่เคยคิดจะออก แต่ไม่ว่านางจะวางแผนหรือไม่ก็ตาม เมื่อนางได้ยินใครบอกนางว่านางไม่ต้องตาย นั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง


ด้วยเหตุผลบางอย่างนางเชื่อมั่นในตัวเฟิงหยูเฮง แม้ว่าเฟิงหยูเฮงจะอายุน้อยกว่านางมาก แต่นางก็เชื่อใจทุกคำที่องค์หญิงแห่งมณฑลจี่อันกล่าว


หยินหลานไตร่ตรองอยู่พักหนึ่ง นางพูดอย่างตรงไปตรงมา “ดี ข้าจะพูด พระสนมที่ตายไปคือพี่สาวของข้า เมื่อนางเข้าไปในพระราชวังตอนแรกนางเป็นแค่นางรำ อย่างไรก็ตามนางเหมือนพระชายาหยุนเล็กน้อย ครั้งหนึ่งฮ่องเต้เมาและทรงโปรดปรานนางเป็นเวลา 1 คืน แต่น่าเสียดายที่ฮ่องเต้เริ่มรู้สึกเสียใจหลังจากคืนนั้น และรู้สึกผิดต่อพระชายาหยุน พระองค์จึงไม่เคยไปเยี่ยมพี่สาวของข้า แม้กระนั้นพระองค์ทรงพระราชทานตำแหน่งพระสนมเพื่อที่นางจะได้เข้าไปในพระราชวัง และอยู่อย่างไร้กังวล ใครจะรู้ว่าองค์ชายห้าจะรนหาที่ตายและตกหลุมรักพี่สาวของข้าด้วย ! เมื่อเขาทำดีกับนางทุกอย่าง พี่สาวของข้าก็ประทับใจ อย่างไรก็ตามกำแพงของพระราชวังนั้นบาง หลังจากที่เหตุการณ์ผ่านไป พี่สาวของข้าถูกประหารชีวิตในความลับนี้ แต่องค์ชายห้ายังมีชีวิตอยู่อย่างมีความสุข บอกข้าทีว่านี่ยุติธรรมหรือไม่ ? ”


เฟิงหยูเฮงคิดกับตัวเองว่าการคาดเดาของนางถูกต้อง เมื่อนางสังเกตเห็นว่าหงหยุนได้รวมตัวกันในตำหนักฉิงอัน นางรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างไม่ปกติ จิตใจของพระสนมอันสับสนในขณะที่นางใช้เวลาทุกวันเพื่อหาวิธีฆ่าบุตรชายของตัวเอง หงหยุนไปสอนเฟินไดว่าจะร่ายรำอย่างไร ทำให้เห็นได้ชัดว่าพระสนมอันกำลังพยายามทำร้ายองค์ชายห้า ถ้ามีคนกล่าวว่าหงหยุนเป็นคนอื่นและไม่มีเป้าหมายของตัวเอง นางคงไม่เชื่ออย่างแน่นอน การร่ายรำบนหิมะที่สวยงามไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนรู้วิธีการแสดง พระสนมจะสอนหงหยุนโดยบังเอิญได้อย่างไร?


หยินหลานพูดต่อ “ข้าไม่ได้เกลียดฮ่องเต้ และข้าไม่ได้เกลียดพระชายาหยุน หากไม่มีองค์ชายห้า พี่สาวของข้าจะยังคงอยู่ในตำหนักของนาง ดำเนินชีวิตอย่างมีเกียรติ ทั้งหมดนี่เป็นความผิดขององค์ชายห้า นั่นเป็นเหตุผลที่เขาสมควรตาย”


เฟิงหยูเฮงไม่ได้พูดอะไรอีก ความเกลียดชังของหยินหลานสำหรับซวนเทียนหยานนั้นไม่เกี่ยวข้องกับนาง หากหยินหลานร่วมมือกับพระสนมอันเพื่อฆ่าซวนเทียนหยาน นางก็จะได้รับโทษน้อยลง


“ข้าได้ยินมาว่าคฤหาสน์ขององค์ชายห้าเคยมีนางสนมมาจากชายแดนภาคใต้ เป็นเรื่องจริงหรือไม่ ? ” นางถามหยินหลาน “แม้ว่าพระสนมอันจะเกลียดบุตรชายของตัวเอง แต่องค์ชายห้าก็ยังรักพระสนมอันอยู่ พูด ถ้าพระสนมอันทำไม่ดีกับองค์ชายห้า องค์ชายห้าจะยอมหรือ ? ”


เมื่อพูดแบบนี้ หยินหลานดูเหมือนจะเข้าใจความหมาย โดยไม่ตอบกลับ นางชี้ไปที่มุมหนึ่งแล้วพูดกับเฟิงหยูเฮง “องค์หญิงแห่งมณฑลมองไปที่นั่นเพคะ” 

 

 


ตอนที่ 344

 

เฟิงหยูเฮงมองไปในทิศทางที่นางชี้ เมื่อมองอย่างระมัดระวัง นางจะเห็นสัตว์แปลก ๆ 2 ตัวอยู่ใต้ชายคาของหลังคา


นางอยากรู้อยากเห็นและก้าวไปในทิศทางนั้น เมื่อนางยืนอยู่ใต้นั้น นางก็พบว่ามีนกสีเขียว 2 ตัวขนาดเท่านิ้วก้อยที่มีจะงอยปากยาว


หยินหลานกล่าวว่า “พระสนมอันเรียกพวกมันว่านกหยก ในตอนแรกพระสนมเลี้ยงพวกมันเพื่อความสนุก ผู้คนที่เห็นพวกมันส่วนใหญ่คิดว่าพวกมันเป็นนกหยก และไม่ได้คิดถึงพวกมันมากเกินไป แต่วันหนึ่งข้าเห็นนก 2 ตัวนี้บินออกจากพระราชวัง แต่คืนนั้นพวกมันไม่กลับมา ตอนแรกข้าคิดว่าพวกมันจะไม่กลับมาอีก แต่เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นมาพวกมันก็กลับมาอยู่ที่นี่อย่างเงียบ ๆ หากข้าคิดเกี่ยวกับมัน มันจะยากที่จะสังเกตเห็นพวกมัน สำหรับองค์ชายห้า เขามีสนมมากเกินไปในตำหนัก  แต่ในพวกนางนั้นมีหญิงต่างแคว้นคนหนึ่งที่เคยมาเยี่ยมพระสนม นางรู้สึกว่านางเป็นหนี้พระสนมอัน ถ้าพระสนมอันร้องขอ องค์ชายห้าจะเห็นด้วยอย่างแน่นอน”


หยินหลานพูดถึงจุดนี้จากนั้นก็หยุด เฟิงหยูเฮงไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติม แต่มองที่นกทั้งสอง นางเริ่มมีข้อสงสัย


หากนางจำไม่ผิด นี่คือนกฮัมมิงเบิร์ด มันเป็นสายพันธุ์พื้นเมืองของทวีปอเมริกาใต้ มันเป็นนกที่เล็กที่สุดในโลก แต่นางก็ไม่แน่ใจเพราะโดยปกตินกฮัมมิงเบิร์ดไม่สามารถมีชีวิตได้ในสภาพอากาศของราชวงศ์ต้าชุนได้ มันเป็นเพียงว่าพวกมันดูเหมือนนกฮัมมิงเบิร์ดจากข้างนอก


นางยื่นมือออกมาและขยับนิ้วของนางแปลก ๆ เมื่อนางหยุด นางก็เดาได้แปดในสิบส่วน


นกตัวนี้ไม่ใช่นกธรรมดาที่เลี้ยงเพื่อความสนุก นางได้ทดลองใช้นิ้วของนางก่อนหน้านี้และพบว่ามันผ่านการฝึกฝนพิเศษ นกชนิดนี้เป็นสัตว์ที่ยอดเยี่ยมในการฝึกฝน มันมีความสามารถในการเรียนรู้สูงกว่าสุนัข และสามารถสอนได้ใช้เวลาเพียงน้อยกว่าสอนสุนัขตำรวจ ด้วยความจริงที่ว่ามันเป็นนก มันสามารถบินได้อย่างอิสระไปทุกที่ในโลก และด้วยรูปร่างเล็ก ๆ ของมัน มันมีรัศมีปฏิบัติการที่ใหญ่กว่ามาก เรื่องแบบนี้ดีเกินไปสำหรับการก่ออาชญากรรม


เฟิงหยูเฮงถอนสายตาออก เมื่อนางหันกลับ หวงซวนบอกกับนางว่า “พระสนมอันตื่นแล้วเจ้าค่ะ และหยินหลานก็กลับไปดูแล คุณหนูรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติกับนกตัวนั้นหรือเจ้าค่ะ ? ”


นางมองนก 2 ตัวอีกครั้ง คราวนี้หนึ่งในนั้นยกก้อนหินเล็ก ๆ ขึ้นมาแล้วก็บินขึ้นไป บินวนเป็นวงกลมทันใดนั้นก็กางปีกออกและบินขึ้นไปบนท้องฟ้า หลังจากนั้นไม่นานก้อนกรวดที่ถูกยกขึ้นก็ตกลงไปในบ่อน้ำตรงกลางลาน นกอีกตัวก็เริ่มเลียนแบบสิ่งนี้ ยกก้อนกรวดขึ้นมันลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า และโยนมันลงไปในบ่อด้วย


“เจ้าเห็นสิ่งนั้นหรือไม่ ? ” นางม้วนริมฝีปากเยาะเย้ย


หวงซวนยังดูอย่างระมัดระวัง ขณะที่นางกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง นางกำนัลก็วิ่งเข้ามาโค้งคำนับ แล้วกล่าวว่า “องค์หญิงแห่งมณฑล พระสนมอันอยากพบองค์หญิงเพคะ”


เฟิงหยูเฮงพยักหน้าจากนั้นติดตามนางกำนัลไปที่ห้องนอนของพระสนมอัน


ในเวลานี้พระสนมอันได้เปลี่ยนชุดใหม่โดยมีนางกำนัลของนางเป็นคนช่วยเปลี่ยนชุดให้ ในชุดเสื้อผ้าใหม่ นางนั่งบนเตียงของนางและนวดขมับเบา ๆ ถอนหายใจเป็นครั้งคราว


เฟิงหยูเฮงเดินเข้าไปและโค้งคำนับพร้อมกับหวงซวน “อาเฮงคารวะพระสนมอันเจ้าค่ะ” รอยยิ้มปรากฎบนใบหน้าของนาง แต่น้ำเสียงของนางเย็นชาโดยไม่รู้สึกถึงความอบอุ่น


ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาพระสนมอันไม่ได้เข้าร่วมในงานเลี้ยงพระราชวังแม้แต่งานเดียวเลย นางได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับองค์หญิงแห่งมณฑลจี่อันเท่านั้น อย่างไรก็ตามนางไม่เคยพบเฟิงหยูเฮง เป็นนางกำนัลของนางที่บอกนางว่าเป็นองค์หญิงแห่งมณฑลจี่อันที่รักษาอาการเจ็บป่วยทางจิตของนางด้วยการฝังเข็ม นางไม่มีทางเลือกนอกจากต้องขอบคุณเฟิงหยูเฮง


“ลุกขึ้นเร็ว” นางโบกมือเล็กน้อยและนางกำนัลเข้ามาช่วยประคองเฟิงหยูเฮงให้ลุกขึ้น จากนั้นนางก็พูดว่า “นั่งก่อน”


หลังจากเฟิงหยูเฮงกล่าวขอบคุณ นางก็นั่งลงอย่างสงบ เมื่อนางเงยหน้าขึ้นมองพระสนมอัน นางเย้ยหยันตัวเองแล้วหันศีรษะ นางเพิ่งเห็นผลไม้วางอยู่บนโต๊ะ นางจึงกล่าวว่า “วันนี้ข้ารีบมา ข้าจึงไม่ได้เตรียมของกำนัลสำหรับพระสนม พระสนมได้โปรดอย่าโทษข้า มันจะเป็นการดีถ้าพระสนมจะทานผลไม้เป็นประจำ ครั้งต่อไปอาเฮงจะเอามาให้เยอะกว่านี้ จะได้ไม่ต้องลำบากพี่สามทุกวัน”


พระสนมตัวสั่น นางไม่รู้ว่านางทำอะไรผิด แต่รู้สึกว่ามีความหมายที่ซ่อนอยู่กับสิ่งที่ผู้หญิงคนนี้เพิ่งพูด อย่างไรก็ตามสิ่งที่นางพูดมีเหตุผล นางเดาได้แต่ไม่ถาม


เฟิงหยูเฮงเห็นว่าพระสนมอันไม่พูด ดังนั้นนางจึงยิ้มและกล่าวว่า “ตอนนี้ข้ากำลังเล่นกับนกในสวนกับบ่าวรับใช้ เมื่อพิจารณาว่าพระสนมมีร่างกายที่บอบบาง และอ่อนแอ พระสนมอันทำได้ดีมากในการเลี้ยงนกเหล่านั้น นกเหล่านั้นควรจะสามารถบินไปยังที่ใด ๆ ภายใน 100 ลี้โดยไม่มีปัญหาใช่หรือไม่เจ้าคะ ? ” ขณะที่นางพูด นางเอนไปข้างหน้าและจ้องมองที่พระสนมอัน “แม้ว่าพวกมันจะบินขึ้นไปบนท้องฟ้าและหย่อนก้อนกรวดลงในบ่อ จากการเรียนรู้ของนกฮัมมิงเบิร์ด การฝึกฝนพวกมันจนถึงระดับนี้ไม่ยาก แต่ข้าสงสัยว่าพระสนมได้รับนกชนิดนี้มาได้อย่างไร นี่คือสิ่งที่อาเฮงให้ความสนใจอย่างแท้จริง” นางพูดขณะยืดร่างของนางออกมา นางเอนหลัง นางพูดราวกับว่านางกำลังพูดถึงเรื่องเล็กน้อย “ ดูเหมือนว่าข้าจะต้องมาเยี่ยมตำหนักฉิงอันอีกในอนาคต นั่นจะทำให้องค์ชายหยูไม่สามารถบอกได้ว่าข้าขาดประสบการณ์”


จิตใต้สำนึกของพระสนมย้ายกลับมาอยู่บนเตียงของนาง ใบหน้าของนางตกใจเห็นได้อย่างชัดเจน


นางกำนัลที่อยู่ข้างนางไม่เข้าใจว่าทำไมพระสนมอันจึงมีปฏิกิริยาเช่นนี้ เพียงแค่คิดว่านางกำลังจะล้มป่วยอีกครั้ง นางพูดกับเฟิงหยูเฮงอย่างรวดเร็วว่า “องค์หญิงแห่งมณฑลตรวจพระสนมอันเร็วเพคะ อย่าให้พระสนมล้มป่วยอีกครั้ง”


เฟิงหยูเฮงยืนขึ้นและเดินมานั่งข้างพระสนมอัน นางคว้าข้อมือแล้วเริ่มรู้สึกชีพจร แม้ว่าพระสนมอันดิ้นรนอย่างสุดความสามารถ นางก็ไม่สามารถหลุดพ้นได้


“พระสนมสบายดี บางทีถ่านที่ถูกเผาอาจทำให้ห้องร้อนเกินไป เพราะจิตใจของนางสนมนั่นสับสนเล็กน้อย ลดถ่านลงครึ่งหนึ่ง พระสนมจะฟื้นตัวได้ดีขึ้นหากห้องเย็นขึ้น”


ในความเป็นจริงมีเตาผิงไม่มากนัก ห้องจะเย็นเกินไปถ้าถ่านครึ่งหนึ่งถูกนำออกมา แต่เฟิงหยูเฮงเป็นหมอ ผู้คนในพระราชวังอาจไม่รู้อะไรเลย แต่พวกเขารู้ว่าองค์หญิงแห่งมณฑลจี่อันมีชื่อเสียงมาก ดังนั้นพวกเขาจึงเชื่อที่นางพูดและรีบไปเอาถ่านออก


พระสนมอันไม่รู้ว่านางหนาวหรือกลัว แต่ร่างกายของนางก็ไม่สามารถหยุดสั่นได้ นางพยายามสองสามครั้งเพื่อดึงข้อมือของนางออกจากการเกาะกุมของเฟิงหยูเฮง แต่นางก็ไม่ประสบความสำเร็จ นางตกใจเล็กน้อยและถามว่า “เจ้ากำลังทำอะไร”


ในที่สุดเฟิงหยูเฮงก็ปล่อยไป แต่กล่าวว่า “ข้าไม่ได้ทำอะไรเลย ข้าแค่อยากจะเตือนพระสนมว่าห้องไม่ควรอุ่นเกินไป มิฉะนั้นอาจทำให้จิตใจของพระสนมไม่สงบ ข้าได้ยินมาว่าองค์ชายห้ามีสนมจากชายแดนภาคใต้ในตำหนักของพระองค์ ผู้คนจากชายแดนภาคใต้มีความเชี่ยวชาญในการศึกษาพิษแปลกที่สุด เมื่อนึกถึงเรื่องนี้องค์ชายห้าต้องเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้บ้างใช่หรือไม่ ? ”


จิตใจของพระสนมสั่นไหว เมื่อเฟิงหยูเฮงพูดถึงหัวข้อดังกล่าวมันจะไร้ประโยชน์ที่นางจะแกล้งทำเป็นไม่รู้ ทุกคนบอกว่าองค์หญิงแห่งมณฑลจี่อันนั้นดุร้าย ตอนนี้นางได้เห็นเฟิงหยูเฮงแล้ว นางก็สมควรกับคำกล่าวเช่นนั้น


ในที่สุดพระสนมอันก็ฟื้นจากความกลัวของนาง เมื่อถูกจ้องมองจากเฟิงหยูเฮง  ในที่สุดนางก็กล่าว “มันไม่ดีสำหรับคนที่ฉลาดเกินไป”


เฟิงหยูเฮงยิ้ม และกล่าวว่า “การที่โง่เกินไปก็ยิ่งเลวร้ายกว่า สิ่งต่าง ๆ ไม่เคยได้รับการแก้ไขเพราะหลีกเลี่ยง เมื่อพายุมาถึงข้าทำได้แค่เผชิญหน้า หากไม่มีเส้นทางข้าจะสร้างขึ้นใหม่ นั่นเป็นข้า ข้าไม่มีข้อพิจารณาใด ๆ และข้าก็จะทำทุกวิถีทาง ในตอนท้าย หากข้ายังมีชีวิตอยู่ พวกเขาจะต้องตาย ! ” นางยืนขึ้นและจ้องมองอย่างเย็นชาที่พระสนมอัน “ข้าไม่สนใจว่าพระสนมอันได้รับนกฮัมมิงเบิร์ดหยกนี้มาจากที่ไหน และใครเป็นคนฝึกนกเหล่านี้ แต่ข้าสนใจว่าใครเป็นคนเกลี้ยกล่อมให้พระสนมทำเช่นนี้  และพระสนมอันเชื่อมั่นในองค์ชายห้า เมื่อข้าทำสิ่งต่าง ๆ ข้าไม่ได้ดูขั้นตอนการทำ แต่ข้าแค่ดูผลลัพธ์เท่านั้น สมาชิก 30,000 นายจากกองทัพภาคตะวันตกเฉียงเหนือถูกวางยาพิษ ข้าใช้เวลาหลายวันหลายคืนเพื่อช่วยชีวิตพวกเขา หลังจากนั้น ด้วยความเหนื่อยล้า ข้าหลับไปหลายวันหลายคืน นี่เป็นหนี้ที่ข้าติดตามและทวงหนี้ ! ”


พระสนมอันตกใจมาก นางไม่เคยคิดเลยว่าเฟิงหยูเฮงจะฉีกหน้าของนาง นางคุ้นเคยกับการพูดจาอ้อมค้อมและรอโอกาสของนาง หลังจากเวลาผ่านไป นางก็จะเริ่มวางแผน การต่อสู้ระหว่างผู้หญิงมักจะถูกกันออกไปจากที่โล่งเสมอ แต่องค์หญิงแห่งมณฑลจี่อันคนนี้ได้วางทุกอย่างไว้ในที่โล่ง ไม่มีที่ให้นางซ่อนและไม่มีที่ให้นางหลบหนี


ด้านข้างนาง นางกำนัลของนางกลัวอย่างมาก แม้ว่านางจะไม่เข้าใจ แต่นางก็สามารถคาดเดาสถานการณ์ได้ พระสนมอันต้องทำให้องค์หญิงแห่งมณฑลจี่อันไม่พอใจ องค์หญิงแห่งมณฑลจี่อันมาที่นี่เพื่อแก้แค้นใช่หรือไม่ ?


เฟิงหยูเฮงมองพระสนมอันสักพัก ก่อนจะเงยหน้าเล็ก ๆ ของนางแล้วมองไปที่นางกำนัลด้านข้าง จากนั้นนางก็พูดว่า “เจ้าสามารถไปกราบทูลฮ่องเต้และฮองเฮาในสิ่งที่องค์หญิงแห่งมณฑลพูดกับพระสนมของเจ้าในวันนี้ได้ แต่มันจะดีที่สุดถ้าเจ้าคิดให้รอบคอบ ไม่ต้องพูดถึงว่าฮ่องเต้และฮองเฮาทรงโปรดปรานนางสนมหรือไม่ แม้ว่าพวกเขาจะโปรดปรานนางก็ตาม เจ้าต้องคิดว่ากองทัพทางตะวันตกเฉียงเหนือเป็นของใคร ! กล้าลงมือกับองค์ชายเก้า พระสนมอันกำลังรนหาที่ตาย ! ”


นางขว้างคำสุดท้ายเหล่านั้นออกมาอย่างรุนแรง จากนั้นก็หันออกไป หวงซวนจ้องพระสนมอันด้วยความเกลียดแล้วตามออกไปอย่างรวดเร็ว เมื่อทั้งสองเดินออกจากตำหนัก ในที่สุดหวงซวนก็กล่าวว่า “กลายเป็นว่าพระสนมอันเป็นผู้วางยาพิษ ข้าคิดไม่ถึงจริง ๆ แต่ทำไมนางถึงต้องการวางยาพิษกองทัพเจ้าคะ ? ”


เฟิงหยูเฮงบอกนางว่า “เมื่อข้าเข้าไปในวังพร้อมกับองค์ชายเก้าเมื่อวานนี้ ข้าได้ยินนางกำนัลคนหนึ่งพูดว่าพระสนมอันได้กล่าวโทษองค์ชายห้าเมื่อหลายปีก่อน แต่องค์ชายสามปฏิบัติต่อนางอย่างดี บางครั้งเขาจะส่งอาหารและเสื้อผ้าไปที่ตำหนักฉิงอัน ก่อนสิ้นปีเราถามเกี่ยวกับผู้หญิงในตำหนักขององค์ชายห้า และได้ยินว่ามีสาวงามจากชายแดนภาคใต้ ในเวลานั้นข้าเริ่มสงสัย แต่ข้าไม่มีหลักฐาน หลังจากที่ได้เห็นนก 2 ตัวนี้แล้ว ยังมีอะไรอีกที่ยังไม่ชัดเจนอีก ? ”


หวงซวนกัดฟันของนางด้วยความโกรธ ขณะที่เส้นเลือดบางเส้นปูดออกมาจากหน้าผากของนาง “ดูเหมือนว่าองค์ชายสามดูแลพระสนมอัน ค่ายทหารของเรามีการป้องกันอย่างดี ดังนั้นหากเขาต้องการทำอะไรเช่นนี้ เขาต้องใช้ความคิดแปลก ๆ นี้ โดยปกติแล้วคนส่วนใหญ่จะเลี้ยงเหยี่ยวและแร้ง แต่พวกมันตัวใหญ่เกินไป ลองคิดดูว่าถ้ามันเป็นนกฮัมมิงเบิร์ด 2 ตัวที่พระสนมอันมีอยู่ พวกมันจะไม่ถูกค้นพบได้ง่าย ๆ ”


เฟิงหยูเฮงยิ้มอย่างขมขื่น แต่แน่นอนว่ามีนกตัวเล็ก ๆ 2 ตัวบินขึ้นไปบนท้องฟ้า ทหารภาคพื้นดินจะต้องใช้ความพยายามมากแค่ไหน ?


“คุณหนูวางแผนจะจัดการกับพระสนมอันอย่างไรเจ้าคะ ? ” หวงซวนคิดเล็กน้อยแล้วกล่าว่า “องค์ชายห้าด้วย”


เฟิงหยูเฮงยักไหล่ “ไม่จำเป็นสำหรับข้าที่จะจัดการพวกเขา สองคนนี้จะจบลงด้วยการฆ่ากันเอง เพียงแค่รอดู ถ้าหงหยุนอยากให้ข้าช่วยชีวิตนาง นางจะลงมือทำอย่างแน่นอน มาดูกันว่ามารดาและบุตรชายจะฆ่ากันอย่างไร”


ทั้งสองคุยกันขณะที่เดินไปที่ประตูของพระราชวัง ขณะที่พวกเขาเดินผ่านประตู และเดินไปที่รถม้า ทันใดนั้นก็ดูเหมือนว่ามีลมกระโชกแรงพัดมาทางพวกเขาจากด้านหน้า


หวงซวนปรากฏตัวต่อหน้าเฟิงหยูเฮงทันที อย่างไรก็ตามนางได้ยินเฟิงหยูเฮงกล่าวว่า “เมื่อเจอสหายเก่า ทำไมอากาศถึงไม่เป็นใจเช่นนี้มาตลอด ? ” 

 

 


ตอนที่ 345

 

เสียงอันเย็นยะเยือกมาจากอากาศ พายุเริ่มอ่อนลง แต่ไม่หยุดลงเมื่อมีคนมาถึงตรงหน้าทั้งสอง


เฟิงหยูเฮงมองไปที่คนผู้นั้นและกล่าวว่า “ในความเป็นจริงหากเป็นการต่อสู้ เจ้าจะไม่สามารถเอาชนะบ่าวรับใช้ของข้าได้ หากเป็นการต่อสู้โดยอาศัยความดุร้าย เจ้าก็จะแข็งแกร่งขึ้นเล็กน้อย การโจมตีของเจ้านั้นทื่อตรงและโหดเหี้ยมกว่าเล็กน้อย ข้ากลัวว่าหวงซวนจะแพ้” ขณะพูดอย่างนี้นางตบไหล่หวงซวน “ไม่เป็นไร แม่ทัพบุมาคุยกับองค์หญิงแห่งมณฑลนี้เกี่ยวกับอดีต อย่ากังวลมากนัก” จากนั้นนางเงยหน้าขึ้นมองบุชงแล้วยิ้ม และกล่าวว่า “ท่านก็ไม่ควรกังวลเช่นกัน ผ่อนคลาย องค์หญิงแห่งมณฑลผู้นี้ไม่ได้กินคน”


คนที่มาคือบุชง เขากลับมาที่เมืองหลวงในช่วงงานฉลองปีใหม่เพื่อรายงานภารกิจของเขา เมื่อเดือนหนึ่งผ่านไปแล้วก็ถึงเวลาที่เขาจะต้องเตรียมตัวกลับค่ายทหารตะวันออก เขามาที่พระราชวังเพื่อรับฟังการบรรยายสรุปครั้งสุดท้ายจากฮ่องเต้ก่อนออกเดินทาง อย่างไรก็ตามเขาไม่คิดว่าเขาจะเจอเฟิงหยูเฮง


ในวันที่เขากลับมาที่เมืองหลวง ทั้งสองพบกันบนถนน เขารู้สึกเพียงว่าหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าเขานั้นต่างจากผู้หญิงที่เขาพบเมื่อสามปีแล้ว เฟิงหยูเฮงที่เขารู้จักก่อนหน้านี้อารมณ์ไม่ดี แต่นางไม่มีความดุร้ายเช่นนี้ การพบปะในวันนั้นทำให้เขารู้สึกราวกับว่าเขากำลังมองคนแปลกหน้า


หลังจากใช้เวลาช่วงปีใหม่ในเมืองหลวงเขาได้สอบถามไปทั่ว อย่างไรก็ตามยิ่งเขาได้ยินมากเท่าไหร่ก็ยิ่งทำให้เขาประหลาดใจมากขึ้นเท่านั้น เฟิงหยูเฮงมีชื่อเสียงในเรื่องความสามารถทางการแพทย์ของนางนอกเหนือจากเหยาเซียน  ตาของนาง แต่เฟิงหยูเฮงฝึกการยิงธนูตั้งแต่เมื่อใดกัน ? นางเรียนศิลปะการต่อสู้เมื่อใด ? เมื่อใดที่นางพัฒนาความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับองค์ชายหยูที่น่ากลัวคนนั้น


ในโลกนี้นอกเหนือจากองค์ชายเจ็ดแล้วก็ไม่มีใครที่สามารถเข้าใกล้องค์ชายเก้าได้ ในเมืองหลวงมีผู้หญิงมากมายที่ชื่นชมเขารวมถึงฉิงเล่อ ความชอบในตัวเขานั้นเป็นความลับ หากมีใครแสดงความรู้สึกของพวกเขาอย่างที่ฉิงเล่อมีนั้น คฤหาสน์ของพวกเขาก็จะถูกเผาเพื่อเป็นการปฏิเสธอย่างตรงไปตรงมา


เมื่อเขายังเด็ก เขาให้บิดาไปสู่ขอที่นางที่คฤหาสน์เฟิง ในเวลานั้นเฟิงหยูเฮงหมั้นกับองค์ชายเก้าแล้ว ตระกูลบุได้กัดฟันไปสู่ขอนางให้เขาโดยกลัวว่าจะถูกตอบโต้โดยองค์ชายเก้า แต่องค์ชายเก้าไม่ได้ตอบสนองต่อมันแม้เล็กน้อย ในความเป็นจริงมันเป็นสิ่งที่ตรงกันข้าม หากตระกูลเฟิงกล้าบังคับให้จัดงานแต่งงาน เขาจะจุดไฟเผาตระกูลเฟิง


ทุกคนรู้สึกว่านี่เป็นเรื่องตลกของการมีส่วนร่วม อย่างไรก็ตามใครจะรู้ว่าทั้งสองจะลงเอยด้วยกันอย่างแท้จริง


ก่อนหน้านี้เขาเชื่อว่ามันคือซวนเทียนหมิงที่ยึดมั่นกับเรื่องนี้ หลังจากตรวจสอบสองสามครั้ง ในที่สุดเขาก็พบว่าเฟิงหยูเฮงยึดมั่นกับซวนเทียนหมิงยิ่งกว่าชีวิตของนางเอง


ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น บุชงก็ไม่สามารถเข้าใจได้ เกิดอะไรขึ้นกับการที่คนสองคนที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์กันกลับสนิทสนมกันในทันที ทำให้เขาไม่มีโอกาสเลย


“อาเฮง” บุชงมองไปที่เด็กผู้หญิงตรงหน้าเขา นางมีคิ้วที่สวยงาม ดวงตาที่แวววาว ผิวสีชมพูอ่อนที่โผล่ออกมาจากใต้เสื้อของนางและริมฝีปากบาง ทุกคนบอกว่าคนที่มีริมฝีปากบางเช่นนี้ส่วนใหญ่จะอารมณ์ดี แม้กระนั้นเขารู้สึกว่าพวกเขารักกันแบบผิด ๆ ยกตัวอย่างเช่นระหว่างผู้หญิงคนนี้กับซวนเทียนหมิงความรักมีน้อย


“แม่ทัพบุ” เฟิงหยูเฮงตอบ และมองไปรอบ ๆ ก่อนที่สายตาของนางจ้องมองดาบที่สะโพก “สามารถนำดาบเข้ามาในพระราชวังได้ ดูเหมือนว่าแม่ทัพบุมีประโยชน์ต่อเสด็จพ่อมาก” นางจงใจ ย้ำคำสองคำว่าเสด็จพ่อ ในเวลาเดียวกันนางสังเกตเห็นว่าบุชงห่อไหล่เล็กน้อย


“แต่ฮ่องเต้ก็ทรงปฏิบัติต่อองค์หญิงเป็นอย่างดี องค์หญิงแห่งมณฑลก็สามารถเข้าออกพระราชวังได้อย่างอิสระ ในความเป็นจริงข้าได้ยินมาว่าองค์หญิงไม่จำเป็นต้องมีหลักฐานแสดงตนเลย”


“ใช่” นางพยักหน้า “แค่จำข้าได้ก็พอแล้ว แม่ทัพบุค่อนข้างดุร้ายเมื่อมาถึงก่อนหน้านี้ นั่นทำให้องค์หญิงแห่งมณฑลค่อนข้างหวาดกลัว โชคดีที่ข้าสบายดี มิฉะนั้นถ้าข้าหวาดกลัว บางทีตระกูลบุอาจจะต้องจ่ายค่าทำขวัญ”


บุชงตกใจและไม่เข้าใจความหมายของการจ่ายเงิน หวงซวนกล่าวแทนเฟิงหยูเฮง “องค์ชายเก้าทรงโปรดปรานคุณหนูของข้าเสมอ หากพระองค์พบว่าแม่ทัพบุทำให้คุณหนูตกใจ องค์ชายจะต้องคุยกับตระกูลบุ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมจึงควรระมัดระวังอย่างยิ่งเมื่อเดินในบริเวณของพระราชวัง”


“หืม ! ” บุชงตกใจ ด้วยความโกรธเขาจ้องที่หวงซวน


หวงซวนจะกลัวสิ่งนี้ได้อย่างไร ในขณะที่นางจ้องกลับ การแข่งขันระหว่างทั้งสองนี้ทำให้เฟิงหยูเฮงเริ่มหัวเราะคิกคัก ขณะที่พวกเขาได้ยินนางกล่าวว่า “แม่ทัพบุเป็นคนที่มีจิตใจกว้างขวาง กล้าโกรธบ่าวรับใช้ และไม่ต้องกังวลกับการสูญเสียสถานะ”


บุชงยังรู้สึกสับสนเล็กน้อยจากการได้ยินนางพูดแบบนี้ เขามองไปที่เฟิงหยูเฮง แม้กระนั้นเขาเรียกสติของเขากลับมาทันที ทันใดนั้นความดุร้ายก็ปรากฏขึ้นในดวงตาของเขาในขณะที่เขาพูดว่า “องค์หญิงแห่งมณฑลจี่อัน เจ้ามาประลองกับแม่ทัพผู้นี้”


“ไม่สามารถใช้อาวุธในพระราชวังของฮ่องเต้ได้” เฟิงหยูเฮงเตือนเขา “แม่ทัพควรใช้ความสามารถในสนามรบ และไม่ทะเลาะกับเด็กสาว”


เมื่อพูดอย่างนี้นางก็เริ่มเดินไปข้างหน้า เมื่อพิจารณาว่านางเตี้ยแค่ไหน นางแทบจะสูงไม่ถึงข้อศอกของเขา แต่บุชงก็ยังคงปิดเส้นทางของเฟิงหยูเฮง


หวงซวนอยากจะบอกว่าเขาเป็นคนไร้ยางอาย แต่ก่อนที่นางจะพูดอะไรก็ได้ เฟิงหยูเฮงก็ยกมือขวาขึ้นและทำมือเป็นกรงเล็บ จากนั้นนางก็ตะปบลงที่คอของบุชง


บุชงเคลื่อนไหวเร็วมากและถอยหลังไปหลายก้าว ในเวลาเดียวกันเขายกมือขึ้นเพื่อปกป้องตัวเองจากเฟิงหยูเฮง แม้กระนั้นเขาเห็นเด็กสาวตรงหน้า เขารีบดึงมือของนางกลับไป โน้มตัวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว นางก็มาถึงข้างหลังเขาอย่างรวดเร็ว


เขาดึงร่างกายของเขาเข้ามา แล้วเบนศีรษะเพื่อหลบ เขาเอื้อมมือไปข้างหลังเพื่อจับเฟิงหยูเฮง น่าเสียดายที่เขาจับไม่ได้ เฟิงหยูเฮงยังไม่รู้จักราชวงศ์ชิงในสมัยโบราณ แต่นางมีร่างเล็กที่คล่องแคล่วมาก เมื่อบุชงเอื้อมมือจับนาง นางก็เลิกโจมตีแล้ว เปลี่ยนเป็นการป้องกัน เอวของนางโค้งเหมือนธนูในขณะที่นางแทบไม่สามารถหลีกเลี่ยงการโจมตีแบบกวาด


บุชงไม่คิดว่าการเคลื่อนไหวของเฟิงหยูเฮงจะเร็วมาก เขาเริ่มใช้งานพลังภายในแล้วเริ่มทะยาน อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้คิดว่าในทันใดที่เขาถีบลงบนพื้น เขารู้สึกว่าเท้าของเขาชา ในความประหลาดใจของเขาเขามองลงไป เขาพบผ้ายาวและบางห่อรอบน่องของเขา ปลายอีกด้านของผ้าอยู่ในมือของเฟิงหยูเฮงที่ดึงอย่างแรง นางดึงบุชงลงมา จากนั้นนางก็ออกแรงเพิ่มและโยนเขาออกไป ทำให้เขาดูเหมือนลูกธนูที่ถูกปล่อยออกมา


แต่บุชงเป็นแม่ทัพที่มีประสบการณ์การต่อสู้มาก่อน และความสามารถในการต่อสู้ของเขาค่อนข้างดี ในสถานการณ์ที่เขาไม่รู้รายละเอียด เขาตกหลุมกลอุบายของเฟิงหยูเฮง แม้กระนั้นในกระบวนการของการถูกโยน เขาพยายามที่จะฟื้นพลัง


ผู้คนที่มีความเชี่ยวชาญในการต่อสู้มักจะตื่นเต้นมากขึ้นเรื่อย ๆ การต่อสู้ครั้งนี้กับเฟิงหยูเฮงทำให้เขารู้สึกเพลิดเพลินอย่างมาก หลังจากลงถึงพื้น เขาไม่ได้ใช้เวลาพักสักครู่ก่อนโจมตีอีกครั้ง


ในตอนแรกหวงซวนต้องการไปต่อสู้เพื่อเฟิงหยูเฮง อย่างไรก็ตามนางได้ยินเฟิงหยูเฮงกล่าวว่า “แค่ยืนอยู่ข้าง ๆ ข้า อยากรู้จริง ๆ ชายหนุ่มที่พยายามฆ่าเด็กสาวบนเส้นทางในพระราชวัง ทุกคนจะมาทำอะไรกับคนไร้ยางอายเช่นนี้ ! ”


คำพูดเหล่านี้ทำให้บุชงรู้สึกอายเล็กน้อย ความตั้งใจดั้งเดิมของเขาคือการเรียนรู้จากการประลอง เขาแค่ต้องการทดสอบพื้นฐานศิลปะการต่อสู้ของเฟิงหยูเฮง เขาต้องการดูว่านางมีทักษะที่ไม่สามารถใช้งานได้จริงหรือ ถ้านางรู้ศิลปะการต่อสู้อย่างแท้จริง นี่ยังไม่ใกล้เคียงกับการพยายามฆ่านาง


แต่เขาก็ตระหนักได้ทันทีว่าเขาโหดร้ายเกินไป จากคำพูดของเขาจนถึงการกระทำของเขาจนถึงขณะนี้ที่ทะยานไปข้างหน้า เขามักจะโจมตีอยู่เสมอ สิ่งที่เขารู้สึกคืออย่างหนึ่ง สิ่งที่คนอื่นเห็นคืออีกอย่างหนึ่ง อาเฮงเข้าใจผิดเขา


เมื่อคิดในเรื่องนี้บุกงก็ชะลอความเร็วไปข้างหน้า เมื่อมองไปที่เฟิงหยูเฮงเขาอยากจะบอกว่ามันไม่ใช่อย่างนั้น แต่ก่อนที่เขาจะพูดอะไรก็ได้เฟิงเฟิงหยูเฮงก็มาถึงหน้าเขา เขาชะลอตัวลง แต่นางก็ไม่ทำตามที่เขาเห็นว่าเฟิงหยูเฮงมีเวลาบิดผ้าเป็นสิ่งที่คล้ายแส้ นางก็เริ่มใช้แส้โจมตีเขา


เพียะ !


มันฟาดแขนซ้ายของเขาโดยตรง


เขาขยับร่างกายของเขาเพื่อพยายามหลบหลีก ! การโจมตีอีกครั้งกระทบแขนขวาของเขาทิ้งรอยเลือดเอาไว้


บุชงเห็นว่านางจริงจังและถอยกลับอย่างรวดเร็วด้วยความกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก ขณะที่เขาถอยหลังหนีไปเกือบสิบก้าว เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นอีกครั้งเขาเห็นหญิงสาวจ้องมองเขาด้วยสายตาที่ดุร้าย ผ้าที่คลายออกแล้วขณะที่นางส่ายมันออกมาแล้วโยนมันไปที่หวงซวน “หลังจากออกจากพระราชวังไปแล้วให้หาที่จะโยนมันทิ้ง สิ่งที่เปื้อนเลือดน่ารังเกียจ”


ใบหน้าของบูชงเปลี่ยนเป็นสีแดงด้วยความโกรธ มองอย่างระมัดระวังมากขึ้นในผ้านั้นดูเหมือนว่าจะเป็นผ้าที่ผู้หญิงสวมรอบคอของพวกเขา พระราชวังไม่อนุญาตให้นำอาวุธเข้ามา แต่เขาได้รับอนุญาตพิเศษจากฮ่องเต้ในการพกดาบเข้ามา แต่เขาลืมไปว่าเฟิงหยูเฮงเริ่มฝึกด้วยแส้ เขาไม่คิดว่าผู้หญิงคนนี้จะใช้แส้ได้จริง


เขามองเฟิงหยูเฮงอย่างว่างเปล่าเนื่องจากความรู้สึก “นั่นไม่ใช่เฟิงหยูเฮง” เข้ามาในจิตใจเขาอีกครั้ง


เมื่อความคิดนี้ปรากฏขึ้น เขาก็ไม่สามารถหยุดตัวเองจากการถามทันทีว่า “เจ้าเป็นใครกันแน่ ? “


เฟิงหยูเฮงไม่คิดว่าคำถามนี้แปลก ท้ายที่สุดเมื่อพวกเขาพบกันบนถนน บุชงก็ถามคำถามแบบนี้ แต่นางก็รู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อยและตื่นตกใจเล็กน้อย


มาถึงราชวงศ์ต้าชุน นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนถามตัวตนของนางอย่างแท้จริง บุชงไม่เชื่อว่านางเป็นเฟิงหยูเฮง แค่สงสัยก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้นางเกลียดมัน


เฟิงหยูเฮงขมวดคิ้วของนางด้วยความขุ่นเคืองและพูดเสียงดัง “เจ้าไม่สามารถเอาชนะข้าได้ ดังนั้นเจ้าจึงเริ่มพูดเรื่องเหลวไหลหรือ ข้าเป็นใคร ? คนทั้งเมืองหลวงรู้ว่าข้าเป็นใคร แม่ทัพบุ เจ้าพยายามทำอะไรอยู่ ? ”


บุชงจ้องนางเป็นเวลานานก่อนที่จะส่ายหัว “ไม่ใช่ อาเฮงที่ข้ารู้จักไม่ชอบติดต่อกับผู้คน ในความเป็นจริงนางไม่ชอบที่จะติดต่อกับข้า แต่นางไม่ได้เรียนศิลปะการต่อสู้ และคำพูดของนางก็ไม่เป็นเช่นนี้ ข้าไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์กับอาเฮงมาก แต่ข้าคิดถึงนางเสมอ ข้ารู้ดีกว่าใคร ๆ ว่าอาเฮงเป็นอย่างไร เจ้าหลอกข้าไม่ได้”


คำพูดของเขานั้นแน่วแน่มากจนทำให้เฟิงหยูเฮงรู้สึกตกใจ เจ้าของร่างเดิมไม่มีความทรงจำมากมายเกี่ยวกับแม่ทัพบุคนนี้ สิ่งที่นางรู้จากบุชงมาจากสิ่งที่คนอื่นพูด นางไม่เคยรู้เลยว่าความรู้สึกของเจ้าของร่างเดิมนั้นลึกซึ้งเพียงใด ตอนนี้นางได้ยินเขาพูดแบบนี้ นางรู้สึกผิดเล็กน้อย หากคนผู้นี้เริ่มสร้างปัญหาจริงๆ นั่นจะกลายเป็นปัญหา


ไม่ว่านางจะเป็นตัวจริงหรือตัวปลอม นางก็คือเฟิงหยูเฮง แต่นางก็แค่ใช้ร่างของเฟิงหยูเฮง หากไม่มีใครชี้ให้เห็น ทุกอย่างจะปกติดี เมื่อมีคนชี้บางอย่างออกมา แม้ว่าจะไม่มีวิธีการพิสูจน์เรื่องนี้ก็ตาม ก็จะทำให้ผู้คนเริ่มคิด


เช่นเดียวกับข่าวลือของเฉินหยูที่มีลักษณะของหงส์เพลิง บางคนอาจเยาะเย้ย แต่พวกเขาก็ยังจำได้ในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด จะเป็นอย่างไรถ้าทุกคนใต้ฟ้าได้ยินเรื่องนี้ ผลที่ได้คือไม่ว่าใครจะแต่งงานกับเฉินหยูก็ตาม คนผู้นั้นมีความสามารถที่จะเป็นฮ่องเต้ และประชาชนก็คิดว่ามันเป็นโชคชะตาที่จะเกิดขึ้น


นางตกอยู่ในอาการงุนงงชั่วครู่ และทำให้จิตใจของบูชงสงสัยอีกครั้ง ราวกับว่าเขาเข้าใจเบาะแสเกี่ยวกับเฟิงหยูเฮง ในขณะที่เขายื่นมือออกมา และชี้ไปที่จมูกของนาง กล่าวว่า “พูดมา ! เจ้าเป็นใครกันแน่ ? ”


ครั้งนี้ได้รับการกล่าวว่า เขาเห็นชั้นของหมอกปรากฏขึ้นในสายตาของเฟิงหยูเฮง ใบหน้าเล็กดุร้ายก็เต็มไปด้วยความเศร้า นางกัดริมฝีปากเล็ก ๆ ของนางซึ่งสั่นระริกสองสามครั้ง น้ำตาไหลออกมา


บุชงรู้สึกเสียใจเล็กน้อย เขาไม่ควรปฏิบัติต่อผู้หญิงคนนี้เช่นนี้ เห็นได้ชัดว่านี่คือเฟิงหยูเฮง จะเป็นใครไปได้ ?


ขณะที่เขากำลังคิดว่าจะพูดปลอบโยน เขาเห็นเฟิงหยูเฮงวิ่งเข้าหาเขา เศร้าโศก และกลัวมากราวกับว่านางกำลังจะหาความสะดวกสบายจากอ้อมกอดของเขา


ในที่สุดความรู้สึกอ่อนโยนในใจของเขาก็เริ่มที่จะกระตุ้น ในขณะที่เขาเปิดใจและเตรียมพร้อมที่จะต้อนรับผู้หญิงคนนั้นเข้าสู่อ้อมกอดของเขา


ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม