ลิขิตฟ้าชะตารัก 319-326

 ตอนที่ 319 ร้อนหรือ 


 


ฉู่ป๋ายเห็นนางเดินจากไป ก็ไม่พูดอะไรออกมาอีก เพียงลูบจอนผมที่ตกลงมาเบาๆ 


 


 


อวี้อาเหราเดินไปยังห้องของเจาเอ๋อร์ เมื่อเข้าไปในห้องก็เห็นว่าหานสือกำลังดูแลเจาเอ๋อร์ที่สลบไปด้วยความใส่ใจ ใช้ผ้าเช็ดหน้าชุบน้ำร้อนเล็กน้อย แล้วค่อยๆ บรรจงเช็ดคราบสกปรกบนใบหน้าของนางออก ไม่รู้สึกถึงแม้กระทั่งนางที่กำลังเดินเข้ามาเลยด้วยซ้ำ 


 


 


“อะแฮ่มๆ” อวี้อาเหราปิดปากกระแอมไอขึ้นมา 


 


 


หานสือตกใจเสียจนมือไม่สั่นเทา หันกลับมาก็เห็นนางยืนอยู่ที่หน้าประตูไม่พูดไม่จา เช่นนั้นก็รีบลุกขึ้นยืน แล้วกล่าวรายงานอย่างตะกุกตะกักพร้อมทั้งใบหน้าแดงก่ำ “คะ…คุณหนูรองมาแล้วหรือขอรับ ข้าแบกเจาเอ๋อร์กลับมาแล้ว แต่เห็นว่าใบหน้าของนางสกปรกอยู่บ้าง เช่นนั้นถึงได้…” 


 


 


“ไม่ต้องพูดแล้ว” อวี้อาเหราโบกมือ พยายามกลั้นยิ้มเอาไว้ ก่อนออกคำสั่งขึ้นว่า “เจาเอ๋อร์ยังไม่ได้ทานอะไรเลย เจ้าก็ไปบอกให้ห้องครัวเตรียมโจ๊กให้นางเสียหน่อยเถิด ช่วงที่เจ้าไม่อยู่ประเดี๋ยวข้าจะดูแลนางให้เอง” 


 


 


“นี่ก็ไม่ดีกระมังขอรับ คุณหนูรองมีสถานะสูงส่ง ไหนเลยจะมาดูแลเจาเอ๋อร์ด้วยตัวเองได้ ข้าน้อยจะไปบอกให้เมี่ยวอวี้มาช่วยดูแลนางเองขอรับ” 


 


 


“วันนี้ข้าก็โชคดีเพียงใดแล้วที่มีเจาเอ๋อร์ช่วยชีวิตเอาไว้ หากข้าดูแลนางจะมีอะไรที่ผิดกันเล่า? เจ้ารีบไปที่ห้องครัวเถิด มิเช่นนั้นหากนางตื่นขึ้นมาแล้วจะไม่มีอะไรกิน” อวี้อาเหราพูดขึ้นอย่างรำคาญ 


 


 


เมื่อหานสือจากไปแล้ว อวี้อาเหราถึงได้เดินเข้าไปยังข้างกายของเจาเอ๋อร์ มองใบหน้าที่ยังขาวซีดของนาง ในใจก็เป็นห่วงกังวลขึ้นมาเป็นอย่างมาก ยื่นมือออกไปช่วยตรวจชีพจรให้กับนาง แม้ว่าพิษจะถูกขจัดออกไปแล้ว แต่เป็นเพราะพิษนั้นซึมลึก จึงจำต้องพักฟื้นอีกหลายวันจึงจะทุเลาลง เมื่อคิดเช่นนี้ ความกังวลในใจของนางก็ค่อยผ่อนคลายลง 


 


 


สิ่งที่นางกลัวที่สุดก็คือการติดค้างบุญคุณคน การกระทำของนางเหมือนกับวันที่ฉู่ป๋ายยอมรับกระบี่แทนนางในวันนั้น ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็จำต้องช่วยชีวิตเขาให้ได้ แม้ว่าเป้าหมายในการสังหารของหนิงจื่อเย่จะเป็นเขา แต่หากไม่ใช่เขาที่รับกระบี่แทนนาง คนที่ตายก็คงจะเป็นตัวนางเอง 


 


 


หลังจากที่นางเหม่อลอยอยู่ครู่หนึ่ง เจาเอ๋อร์ก็ค่อยๆ กะพริบลืมตาขึ้นมา อวี้อาเหรามองนางด้วยความยินดียิ่งนัก เมื่อเห็นนางทำท่าจะลุกขึ้นนั้นก็รีบยื่นมือออกไปห้ามไว้ก่อน “พิษเพิ่งถูกถอนออก ร่างกายของเจ้ายังไม่หายดี จะต้องนอนพักฟื้นอยู่บนเตียงเพื่อรักษาตัว” 


 


 


“จะทำเช่นนั้นได้อย่างไรเจ้าคะ…” เจาเอ๋อร์ตกใจที่ได้รับความเมตตาถึงเพียงนี้ 


 


 


“เหตุใดจะไม่ได้? วันนี้เจ้าเสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยเหลือข้า ข้าก็ต้องช่วยเหลือผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตข้าสิ หากเจ้ายังไม่หายดี แล้วคุณหนูของเจ้าจะวางใจได้หรือ” อวี้อาเหราเสียงแข็งขึ้นมา ก่อนที่จะเปลี่ยนเรื่องพูด “เมื่อครู่นี้เป็นหานสือที่แบกเจ้ากลับมา ตอนนี้เขากำลังเตรียมอาหารเย็นให้เจ้าอยู่” 


 


 


“หาน…หานสือหรือเจ้าคะ” น้ำเสียงของเจาเอ๋อร์สั่นเทา ก้มหน้าลงอย่างเขินอาย 


 


 


“ใช่น่ะสิ เขาก็เป็นคนแบกเจ้ากลับมาตลอดทาง แต่ว่า…เหตุใดใบหน้าของเจ้าถึงได้แดงเพียงนั้นเล่า” อวี้อาเหราพยักหน้า หลังจากย้อนกลับมามองใบหน้ารูปไข่ที่งดงามของเจาเอ๋อร์แล้ว ก็เห็นว่าใบหน้าที่เคยขาวซีดบัดนี้กลับแดงก่ำด้วยความเขินอาย 


 


 


“อาจจะเป็นเพราะอากาศร้อนเจ้าค่ะ” เจาเอ๋อร์รีบหาข้ออ้างในทันที 


 


 


อวี้อาเหราหัวเราะเล็กน้อย “ร้อนหรือ? แต่นี่มันเดือนอะไรแล้วนะ” 


 


 


“คุณหนู อย่าล้อบ่าวเล่นสิเจ้าคะ” เจาเอ๋อร์รู้ว่านางหมายความว่าอย่างไร เช่นนั้นก็พลันยู่ปากแล้วก้มหน้าลง ยากที่จะปิดบังใบหน้าเขินอายของตัวเองได้ จึงถูกอวี้อาเหราหยอกล้อจนหน้าแดง 


 


 


อวี้อาเหราเก็บสีหน้ากระหยิ่มยิ้มหย่องของตัวเอง “ก็ได้ ข้าไม่พูดแล้วก็ได้ อาการป่วยของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ยังเจ็บอยู่หรือไม่” 


 


 


“ไม่เจ็บแล้วเจ้าค่ะ ฝีมือทางการแพทย์ของท่านผู้เฒ่านั้นยอดเยี่ยมยิ่งนัก ไม่เพียงแต่ถอนพิษออกให้ ทั้งยังใช้ยาที่ดีเลิศจนทำให้บาดแผลที่หัวไหล่ของบ่าวนั้นดีขึ้นมาก คิดว่าเพียงไม่นานก็คงจะหายดีแล้วเจ้าค่ะ” 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 320 ข้าจะนอน 


 


 


 


 


 


เมื่อได้ยินเจาเอ๋อร์พูดเช่นนั้น อวี้อาเหราก็เห็นว่าสีหน้าของนางไม่ได้แสดงอาการเจ็บปวดแต่อย่างใดอีก เช่นนั้นถึงค่อยวางใจลง “เจ้าไม่เป็นไรก็ดีแล้ว พักผ่อนเสียเถิด พยายามใช้แรงกายให้น้อยที่สุด อยากจะกินอะไรก็ให้บอกข้า อย่างไรก็จะไม่ยอมให้เจ้าอดแน่” 


 


 


“ขอบพระคุณในความกรุณาของคุณหนูเจ้าค่ะ แต่คุณหนูอย่าได้ดีกับบ่าวมากถึงเพียงนี้เลย การช่วยเหลือคุณหนูเป็นเรื่องที่บ่าวสมควรกระทำอยู่แล้ว หากพูดถึงเรื่องผู้มีพระคุณอะไรนั่นบ่าวคงรับไว้ไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ” เจาเอ๋อร์ตอบกลับแต่โดยดี เมื่อเห็นนางใส่ใจมากถึงเพียงนี้ ก็คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดความในใจทั้งหมดออกมา 


 


 


อวี้อาเหรายิ้มออกมาเล็กน้อย ไม่สนใจว่าเจาเอ๋อร์จะพูดเช่นไร เพราะไม่ว่านางจะเป็นเพียงสาวใช้ของตนหรือไม่ แต่ตอนนี้นางที่ได้รับบาดเจ็บหนักเช่นนี้ก็ควรที่จะได้รับการรักษาอย่างดี อีกอย่างที่นางได้รับบาดเจ็บนั้นสาเหตุก็เป็นเพราะตน 


 


 


ขณะที่พวกนางกำลังพูดคุยกันอยู่นั้น หานสือก็ยกโจ๊กเนื้อฝอยเข้ามา อีกทั้งยังมีกับข้าวรสอ่อนอีกสองจานเล็กๆ อวี้อาเหราลุกขึ้นยืนข้างเตียง ก่อนจะสั่งการกับเขาว่า “ข้ายังมีธุระที่ต้องทำอีก เจ้าป้อนอาหารให้เจาเอ๋อร์เถิด”  


 


 


“คุณหนูรอง?” หานสือมองดูเจาเอ๋อร์ มีท่าทีลังเลขึ้นมา 


 


 


“แม้แต่คำพูดของข้าเจ้าก็ไม่ฟังแล้วหรือ หรือว่าต้องให้ข้าไปเชิญซื่อจื่อของเจ้าด้วยตัวเอง?” อวี้อาเหรารีบยกฉู่ป๋ายขึ้นมาบังหน้าทันที เมื่อหานสือได้ยินดังนั้น ก็รีบเปลี่ยนท่าทีเป็นนอบน้อมเชื่อฟัง “ข้าน้อยไหนเลยจะไม่กล้าฟังคำสั่งของคุณหนูรองขอรับ ข้าน้อยรับบัญชา” 


 


 


“เช่นนั้นก็ดี” อวี้อาเหราเลิกคิ้วขึ้นอย่างสมใจ ก่อนจะหันไปมองเจาเอ๋อร์ “เจ้าเพิ่งจะฟื้นขึ้นมา และไม่ได้ทานอะไรมานานแล้ว เช่นนั้นก็ทานโจ๊กอ่อนๆ ไปก่อนเถิด รอจนเจ้าดีขึ้นแล้วข้าจะให้คนไปเตรียมอาหารให้เจ้าเอง”  


 


 


เจาเอ๋อร์พยักหน้า และไม่พูดอะไรออกมาอีก ร่างกายของนางยังคงฟื้นฟูได้ไม่เต็มที่ เพียงพูดสองสามคำก็เปลืองแรงเต็มที 


 


 


อวี้อาเหราหมุนตัวแล้วเดินจากไป นางกลับมาที่ห้องของตัวเองอีกครั้ง ทันทีที่เข้ามาก็เห็นบุรุษในชุดขาวนั่งอยู่ที่ข้างโต๊ะ กำลังทานขนมของนาง แม้จะรู้ว่านางเดินเข้ามาในห้องแล้วก็ทำเพียงเหลือบสายตามองอย่างเกียจคร้าน นางชะงักเล็กน้อย “เหตุใดเจ้าถึงไม่อยู่ห้องของตัวเอง มาหาข้าทำไมกัน” 


 


 


“ก็ไม่มีอะไร ข้าเพียงแต่เห็นว่าขนมของเจ้าอร่อยดีก็เท่านั้น” น้ำเสียงของฉู่ป๋ายนั้นเรียบเย็น 


 


 


“เช่นนั้นก็ยกไปกินที่ห้องของเจ้าสิ ข้าจะนอนแล้ว” อวี้อาเหราตวัดสายตามอง หวังว่าเขาจะเข้าใจสายตาของนาง 


 


 


ฉู่ป๋ายไม่ตอบคำ “เจ้าเอาองครักษ์ของข้าไปไว้ไหนกัน” 


 


 


“หานสือน่ะหรือ ข้าให้เขาดูแลเจาเอ๋อร์น่ะ” หลังจากตอบแล้วอวี้อาเหราก็เงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดย้ำด้วยคำเดิม “เจ้าได้ฟังคำข้าหรือไม่ รีบนำขนมไปแล้วก็ไปได้แล้ว ข้าจะนอน” 


 


 


“เจ้าเอาองครักษ์ของข้าไปแล้ว ข้าจะทำอย่างไร” ฉู่ป๋ายยังคงนั่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับไปไหน เงยหน้าปรายตามองนางด้วยความเกียจคร้าน “เจ้าอยากนอนก็นอนไปสิ ข้าไม่ได้ขวางเจ้าเสียหน่อย หรือว่าเจ้ากลัวว่าข้าจะถือโอกาสทำอะไรเจ้าตอนที่นอนอยู่?” 


 


 


ก็ใช่น่ะสิ! ถ้าไม่เช่นนั้นจะเพราะอะไรกัน! ในใจของอวี้อาเหราคิด 


 


 


“เช่นนั้นก็ผิดแล้ว เพราะข้านั้นก็ไม่ใช่คนที่ไม่เลือก” วาจาเรียบง่ายประโยคนี้ของเขากลับเป็นการกระตุ้นอารมณ์โกรธของนางได้เป็นอย่างดี นางโกรธจนเกือบจะยั้งมือไม่ทันโยนจานขนมใส่หน้าเขาเสียแล้ว นางก็ไม่เชื่อหรอกว่าเขาจะยังคงนิ่งงันอยู่เช่นนี้อีก 


 


 


อะไรคือเลือก? นี่เขากำลังดูถูกนางอยู่หรือ? 


 


 


ฉู่ป๋ายเห็นนางโกรธจนใบหน้าแดงก่ำ ทรวงอกพองยุบด้วยอารมณ์โกรธ ก็พลันหลุดหัวเราะออกมา 


 


 


อวี้อาเหราสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พยายามที่จะควบคุมอารมณ์ของตัวเองไม่ให้โกรธจะได้ไม่ตกเป็นที่น่าขบขันของเขา นางก็ไม่ควรจะเอาพิมเสนไปแลกกับเกลือเลยจริงๆ นี่ก็เป็นเรื่องเสียเวลาเปล่า! เช่นนั้นจึงเปลี่ยนเรื่องพูดทันที “เจ้าก็ไม่ง่วงหรืออย่างไร” 


 


 


“พอเจ้าพูดขึ้นมาเช่นนี้ ข้าก็เริ่มจะง่วงขึ้นมาเสียแล้วสิ” ฉู่ป๋ายว่าขึ้นมาในทันใด 


ตอนที่ 321 อันธพาลสมควรตาย 


 


 


 


 


 


“ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็รีบไปนอนเสียสิ” อวี้อาเหรารีบใช้โอกาสนี้บอกเขาเสีย 


 


 


“ก็ได้” ฉู่ป๋ายดื่มชาเพื่อล้างคอ ก่อนจะลุกขึ้นยืนจากโต๊ะ แต่เขาไม่ได้เดินไปยังประตู กลับเดินไปยังทิศทางที่เตียงนอนของนางตั้งอยู่ 


 


 


นี่เขาก็จะนอนบนเตียงของนางอย่างนั้นหรือ 


 


 


เมื่อเข้าใจแล้วอวี้อาเหราก็รีบเข้าไปขวางในทันที แต่กลับไม่คิดว่าเขาจะว่องไวเสียจนน่าประหลาด เพียงชั่วครู่ก็ปลดเปลื้องเสื้อคลุมบนร่างออก และทำท่าจะปลดเสื้อตัวในอีก เช่นนั้นอวี้อาเหราจึงรีบหันหน้าหนีไปทางอื่น “เจ้าจะนอนก็นอนสิ จะต้องถอดเสื้อผ้าทำไมกัน” 


 


 


“ไม่ถอดแล้วจะนอนได้อย่างไร” มือของฉู่ป๋ายยังคงไม่หยุด ยังคงปลดเสื้อผ้าของตัวเองต่อไป 


 


 


อวี้อาเหราหมดวาจาที่จะกล่าว เอาแต่คิดว่าเหตุใดบุรุษผู้นี้ถึงไม่รู้จักอายเสียบ้าง เหตุใดถึงได้กล้าปลดเปลื้องเสื้อผ้าต่อหน้าหญิงสาววัยกำดัดเช่นนาง นี่เขาได้รับการอบรมมาอย่างไร! นางลอบมองด้วยหางตาก็พบว่าด้านในของเขายังมีเสื้อชั้นในตัวยาวสีขาวอยู่อีกตัวหนึ่ง เสื้อชั้นนอกเป็นเพียงเสื้อคลุมตัวบางที่คลุมทับเอาไว้เท่านั้น 


 


 


นางถอนหายใจออกมาในทันที ยังดีที่ชายผู้นี้ยังพอมียางอายอยู่บ้าง 


 


 


ฉู่ป๋ายห่มผ้านอนอย่างสบายใจ เขาหันหน้ากลับมามองอวี้อาเหราที่ยังคงยืนอยู่ เช่นนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นว่า “เจ้าคิดจะกลับไปเมื่อไร” 


 


 


กลับไปเมื่อไรหรือ? นางนึกถึงคำสั่งที่หนิงจื่อเย่มอบให้นางแล้ว ก่อนที่นางจะกลับไปนางจะต้องสังหารชายหนุ่มที่กำลังนอนอยู่บนเตียงผู้นี้เสียก่อน แต่นางจะลงมือได้อย่างไร เมื่อคิดว่านางอาจจะทำไม่สำเร็จ และไม่ได้กลับไปแล้วก็ช่างเถิด เพราะหากนางลงมือทำเช่นนั้นจริงก็คงไม่ต่างอะไรกันกับถูกขังอยู่ในตลาดมืดแห่งนี้ไปชั่วชีวิต 


 


 


แต่ความคิดน่าหัวร่อเช่นนี้ มันจะเป็นจริงได้หรือ หากนางกล้าที่จะทำเช่นนั้นจริง หนิงจื่อเย่ก็คงไม่มีทางวางมือง่ายๆ แน่ 


 


 


“เจ้าเป็นอะไรไป” ฉู่ป๋ายเห็นนางขมวดคิ้ว ไม่ยอมพูดยอมจาอยู่นาน 


 


 


อวี้อาเหราส่ายหน้า “ไม่มีอะไร รอให้เจาเอ๋อร์หายเจ็บเสียก่อน ข้าก็คงจะกลับไป” 


 


 


“ดี” เขาพยักหน้าเห็นด้วย หลับตาลงแล้วนอนหลับไป 


 


 


อวี้อาเหรามองใบหน้าหลับลึกของเขาแล้วก็ยากที่จะสงบใจลงได้ เพียงนางมองเขาเช่นนี้ก็ไร้หนทางที่จะลงมือแล้ว เช่นนี้จะให้นางฆ่าเขาได้อย่างไร อีกอย่างฉู่ป๋ายเองก็ปฏิบัติต่อนางอย่างดีเสมอมา นับตั้งแต่วันที่นางทะลุมิติมาที่โลกแห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นในวัดเป่าหัวซื่อหรือในวังหลวง ก็ล้วนเป็นเขาที่แอบให้ความช่วยเหลือนางอยู่เสมอ 


 


 


แล้วตอนนี้ นางจะต้องฆ่าเขา… 


 


 


นางจะทำได้อย่างไรกัน 


 


 


หากวันนี้หนิงจื่อเย่ให้นางฆ่าฉู่ป๋าย หลังจากนั้นหากเขาให้นางไปสังหารฮ่องเต้อีกเล่า นางจะต้องทำตามหรือไม่? ถ้าอย่างนั้นก็เท่ากับรนหาที่ตาย นางจะต้องถูกควบคุมไปตลอดอย่างนั้นหรือ นางไม่ใช่คนที่อุทิศตัวเองเพื่อภารกิจถึงเพียงนั้น นางเพียงต้องการอิสระ อย่างไรก็ต้องหลีกหนีจากการโดนเปิดโปงสถานะจอมปลอมของตัวนางเองให้ได้ 


 


 


หลังจากที่คิดได้ดังนั้นแล้ว นางก็พยายามสงบใจอยู่นาน ในที่สุดก็ปลดวางความทุกข์ใจไปได้บ้าง 


 


 


นางก้าวยาวๆ เข้าไปด้านหน้า พยายามควบคุมความโกรธเคืองลง “เจ้าจะมานอนที่เตียงของข้าทำไมกัน รีบกลับไปนอนที่ห้องของเจ้าเสียสิ” 


 


 


ฉู่ป๋ายไม่สนใจนาง ยังคงนอนหลับอย่างสบายใจ หายใจสม่ำเสมอเช่นเดิม 


 


 


อวี้อาเหรารู้สึกจนใจ “เจ้ายังหน้าด้านไม่พออีกหรืออย่างไร” 


 


 


“ใช่” หลังจากที่เขาพูดจบ ทันใดนั้นก็ยื่นมือออกไปตวัดร่างของอวี้อาเหราลงมา ร่างของทั้งสองนอนลงบนเตียง ฉู่ป๋ายไม่สนใจว่านางจะขัดขืนเพียงใด เขาใช้ผ้าห่มคลุมศีรษะ แล้วกอดนางเอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย หัวเราะอย่างมีเลศนัย “เมื่อครู่นี้เจ้าก็บอกว่าข้าหน้าไม่อายมิใช่หรือ เช่นนั้นข้าก็จะทำตัวหน้าไม่อายให้เจ้าดูเสียเลยเป็นไร” 


 


 


“เจ้าอันธพาลสมควรตาย!” เมื่อถูกกักขังอยู่ในความมืด จนนางมองไม่เห็นถึงแสงสว่างแม้แต่น้อย อวี้อาเหราแทบจะหายใจไม่ออก เมื่อได้ยินเขาพูดเช่นนั้นก็ยิ่งโกรธเคือง ออกแรงทั้งเตะทั้งถีบสะเปะสะปะไปหมด นางก็ไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าวันนี้เขาเกิดเป็นบ้าอะไรขึ้นมา เหตุใดถึงได้แรงเยอะเพียงนี้? 


 


 


ทั้งสองสู้รบปรบมือกันอยู่ในผ้าห่มจนเละเทะเหมือนหม้อต้มโจ๊ก 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 322 ทำลายจนสิ้นซาก 


 


 


 


 


 


“คุณหนูรอง? เซิ่นซื่อจื่อ?” 


 


 


เมี่ยวอวี้และหานสือ รวมไปถึงพวกชิงอวิ๋นและต้าเว่ยต่างพากันวิ่งเข้ามาพร้อมหน้า 


 


 


ทั้งสองคนที่กำลังทะเลาะกันอยู่ในโปงผ้าห่มพลันหยุดลงในทันที ก่อนจะดึงผ้าห่มออก เห็นพวกของเมี่ยวอวี้กำลังยืนมองอยู่ที่ทางด้านหน้าประตู เช่นนั้นทั้งสองคนต่างรีบแยกออกจากกันเป็นพัลวัน เสื้อผ้าหลุดลุ่ยไม่เรียบร้อย ผมเผ้ายุ่งเหยิงกระเซอะกระเซิง ทุกคนที่ได้เห็นต่างพากันอ้าปากค้าง ถลึงตาโต 


 


 


อวี้อาเหรากระแอมไอออกมาแก้เก้อ “เรื่องจริงไม่ใช่อย่างที่พวกเจ้าคิด…” 


 


 


“บ่าวผิดไปแล้ว คุณหนูทำต่อเถิดเจ้าค่ะ บ่าวขอลา” ไม่ว่านางจะอธิบายเช่นไร แต่เมี่ยวอวี้ก็คุกเข่าลงที่พื้นพร้อมทั้งก้มศีรษะอย่างเกรงกลัว เหตุการณ์เมื่อครู่ทำให้นางหน้าแดงก่ำเป็นริ้วๆ พร้อมทั้งหัวใจเต้นแรง 


 


 


คนอื่นๆ ที่กำลังชะงักงันอยู่นั้นก็รีบคุกเข่าลงตามเมี่ยวอวี้ในทันที “ข้าน้อยผิดไปแล้วขอรับ” 


 


 


อวี้อาเหราไร้คำที่จะพูด ไม่ว่าจะอธิบายอย่างไรพวกเขาก็ไม่ฟัง เพียงมองเท่านั้นก็ตัดสินความสัมพันธ์ระหว่างนางและฉู่ป๋ายเสียแล้ว นางทำได้เพียงส่งสายตาไปให้ฉู่ป๋าย เขาทำเพียงนิ่งเงียบ ทำเพียงปิดปากแล้วกระแอมไออย่างไร้เสียง นั่งลงด้วยท่าทีสงบ “พวกเจ้ามีเรื่องอันใดหรือ” 


 


 


“ข้าน้อยเห็นว่าตอนนี้ก็เริ่มดึกแล้ว กลัวว่าคุณหนูและเซิ่นซื่อจื่อจะหิว จึงอยากจะเข้ามาถามเสียหน่อย เป็นข้าน้อยที่รบกวนเวลาพักผ่อนของท่านทั้งสอง สมควรตายยิ่งนักขอรับ!” ต้าเว่ยที่อยู่หน้าสุดพูดจนจบประโยคด้วยน้ำเสียงสั่นเทา 


 


 


พวกเขาช่างดวงซวยเสียนัก ดันเข้ามาในช่วงเวลาเช่นนี้ได้ 


 


 


ฉู่ป๋ายนิ่งเงียบไป เหลือบสายตามองไปทางอวี้อาเหรา “เจ้าหิวหรือไม่” 


 


 


“ไม่หิว!” อวี้อาเหรากัดฟันขณะที่ส่ายหน้า ในเวลาเช่นนี้ยังจะมีหน้ามาหิวได้อย่างไรเล่า นางถูกเขาแกล้งขังเอาไว้ในโปงผ้าห่มด้วยกัน แค่นั้นยังไม่พอ ทุกคนยังคิดว่าความสัมพันธ์ของเขากับนางยังไม่ปกติ แม้นางจะกระโดดลงแม่น้ำฮวงโหก็คงชุบล้างตัวไม่สะอาดเป็นแน่ 


 


 


ในสถานการณ์เช่นนี้ เขาก็ไม่มีตาหรืออย่างไร ยังมีหน้าจะมาถามว่านางหิวหรือไม่ 


 


 


หิวหรือไม่? แน่นอนว่านางย่อมหิวอยู่บ้าง แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ นางอยากจะมุดดินหนีเสียยิ่งนัก ไหนเลยจะมีเวลามาสนใจว่าหิวหรือไม่หิวได้อีก นางอดไม่ได้ที่จะคิดว่าเขาตั้งใจพูดเช่นนี้ เพื่อทำให้นางต้องอับอายขายหน้า แต่ว่าก็ช่างเถิด หากจะเสียหน้า ก็เสียหน้ากันไปทั้งสองคนนี่ล่ะ! 


 


 


เมื่อถูกนางถลึงตามองอย่างดุร้ายเช่นนี้ ฉู่ป๋ายก็จำต้องยิ้มออกมาอย่างจนใจ “คุณหนูของเจ้าบอกว่าไม่หิว” 


 


 


“แล้วซื่อจื่อเล่าขอรับ” หานสือเงยหน้าขึ้นถามอย่างระมัดระวัง 


 


 


อวี้อาเหรามองค้อนด้วยอารมณ์ไม่ดีนัก ยังจะมาถามอะไรอีก เจ้าพวกนี้ไม่มีตากันหรืออย่างไร ในสถานการณ์เช่นนี้ยังจะมาถามอีกหรือว่าหิวหรือไม่หิว หัวสมองหายกันไปแล้วหรืออย่างไร! 


 


 


ฉู่ป๋ายส่ายหน้า 


 


 


เช่นนั้นคนเหล่านั้นจึงได้ถอยออกไป อวี้อาเหรากระโดดออกจากโปงผ้าห่มทันที ยืนชิดขอบเตียงขณะที่จ้องมองชายหนุ่มผู้ตีสีหน้าผ่อนคลายอย่างเอาเป็นเอาตาย มองอยู่นาน แต่สีหน้าของเขากลับไม่เปลี่ยนแปลงไปเลยแม้แต่น้อย มองจนกระทั่งระอาอยู่บ้าง เช่นนั้นนางจัดเสื้อผ้าของตัวเองด้วยความกระฟัดกระเฟียด คว้าเอาชามขนมที่เหลืออยู่บนโต๊ะแล้วเดินไปห้องข้างๆ 


 


 


ในเมื่อเขาคร้านที่จะเดินเช่นนี้ นางไปเองก็ได้ 


 


 


เดิมทีอวี้อาเหราก็ไม่ใช่คนที่มีความอดทนนัก ในเมื่อนางตีก็แล้ว พูดก็แล้ว ลากก็แล้ว แต่ก็ไม่อาจบีบบังคับเขาได้เสียที หากอาการป่วยของเขากำเริบขึ้นมาอีกเล่าจะทำอย่างไร เช่นนั้นก็มิสู้ทำตัวเป็นเต่าหดหัวในกระดองยังจะดีเสียกว่า จะยืดหัวหดหัวได้มีอะไรไม่ดีกัน อย่างน้อยก็ทำให้ตัวเองลดเรื่องยุ่งยากได้ตั้งมาก 


 


 


นางก้าวยาวๆ ไปตามทางเดิน เท้าย่ำลงกับพื้นด้วยเสียงอันดัง เพียงได้ฟังเสียงฝ่าเท้าก็รู้ว่านางนั้นโกรธเพียงใด 


 


 


นางยังไม่ได้แต่งงาน แต่ก็ถูกเจ้าบ้านั้นทำลายจนย่อยยับบนเตียงเสียแล้ว! 


 


 


ดวงตาของฉู่ป๋ายแฝงไปด้วยรอยยิ้มลึกล้ำ มองไปยังแผ่นหลังโกรธเคืองของนางแล้วถอนสายตากลับมา คลุมผ้าห่มให้ตัวเองแล้วนอนหลับไป 


ตอนที่ 323 ลงครัว 


 


 


 


 


 


อวี้อาเหราเอนกายนอนลงบนเตียงของฉู่ป๋าย แต่ไม่ว่าจะพลิกตัวไปมาอย่างไรนางก็นอนไม่หลับ ท้องของนางเริ่มร้องครวญครางด้วยความหิว ขนมที่นำติดตัวมาไม่กี่ชิ้นนั้นนางก็ทานหมดไปนานแล้ว เหลือเพียงจานว่างเปล่าที่วางอยู่ตรงนั้น หรือนางจะต้องแทะจานเปล่าหรืออย่างไร? 


 


 


เดิมทีนางก็คิดที่จะไปหาอะไรรองท้องเสียหน่อย แต่ก็กลัวว่าจะพบเข้ากับพวกเมี่ยวอวี้ที่อยู่ด้านล่างแล้วจะทำตัวไม่ถูก นางที่ทนท้องกิ่วมาเป็นเวลากว่าชั่วยามแล้ว เมื่อมองเห็นว่ายิ่งดึกขึ้นเรื่อยๆ เช่นนั้นก็ตะกายลุกขึ้นมาจากเตียง สวมเสื้อผ้าแล้วโผล่หน้ามองลงมายังชั้นล่าง เห็นว่าพวกเมี่ยวอวี้ก็ไปพักผ่อนกันหมดแล้ว เช่นนั้นในใจนางก็รู้สึกยินดี รีบเดินลงมาในทันที 


 


 


หากจะไปห้องครัวก็จะต้องผ่านโต๊ะเก็บเงินของหลงจู๊ของโรงเตี๊ยม 


 


 


ดึกป่านนี้แล้ว แต่หลงจู๊ก็ยังคงนอนฟุบอยู่บนโต๊ะ นี่เขาก็ไม่รู้จักไปหลับไปนอนหรืออย่างไร 


 


 


อวี้อาเหราจงใจลงฝีเท้าอย่างแผ่วเบาแล้วเดินไปข้างหน้า ขณะที่กำลังจะเดินอ้อมไปนั้น หลงจู๊ก็พลันตื่นขึ้นมาทันที เมื่อเห็นนางเข้าความง่วงงุนที่มีอยู่ก็ถูกขจัดออกไป ร้องขึ้นด้วยใบหน้าเหยเก “คุณหนู ท่านคิดจะทำอะไรอีกหรือ ข้าก็มอบโรงเตี๊ยมนี้ให้กับท่านแล้ว ไม่มีของอะไรมากหรอก เหลือเพียงของส่วนตัวที่จะเอาใส่ไว้ในโลงศพเท่านั้น หากท่านต้องการก็ย่อมได้ แต่ขอให้ท่านโปรดไว้ชีวิตข้าด้วยเถิด!” 


 


 


“อะแฮ่ม” อวี้อาเหราเลียนแบบท่าทีกระแอมไอของฉู่ป๋าย ใบหน้าฉายรอยยิ้มอ่อนโยน “ข้าก็ไม่ได้ต้องการของใส่ในโลงศพของเจ้า” 


 


 


“หา? คุณหนูได้โปรดไว้ชีวิตด้วยเถิด!” หลงจู๊เห็นสีหน้ายิ้มแย้มของนางแล้วก็ปีนขึ้นมาจากโต๊ะเก็บเงิน 


 


 


อวี้อาเหราเห็นท่าทางเกรงกลัวของเขาเช่นนี้ นางก็เหงื่อแตก “เจ้าจะกลัวอะไรกัน ข้าไม่กินเจ้าหรอกน่า” 


 


 


นางไม่ค่อยยิ้มให้ใคร แต่กลับถูกแปลเจตนาว่าอยากจะฆ่าคนเสียอย่างนั้น นางก็หน้าตาน่ากลัวถึงเพียงนั้นเชียวหรือ แต่นางเองก็กลับหลงลืมเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ไปเสียแล้วว่านางเองก็เคยข่มขู่หลงจู๊ผู้นี้เอาไว้อย่างไร 


 


 


หลงจู๊ส่ายหน้าเป็นพัลวัน “ข้าน้อย…ข้าน้อยไม่ได้กลัว…” 


 


 


อย่างนี้น่ะหรือที่ไม่กลัว? อวี้อาเหราถอนหายใจออกมา น้ำเสียงกลับไปเป็นเหมือนเช่นเดิม “ดึกเพียงนี้แล้วเจ้าก็ไปพักผ่อนเสียเถิด พรุ่งนี้ยังต้องเตรียมอาหารเช้าให้พวกเราอีก ค่าอยู่กินหลายวันมานี้ก็จดบัญชีไว้แล้วกัน ก่อนไปข้าจะจ่ายเงินให้” 


 


 


“ไม่ต้องหรอกขอรับคุณหนู…” หลงจู๊ได้ยินน้ำเสียงที่ไม่เคยได้ยินจากนางมาก่อนเช่นนี้ ไหนเลยจะกล้ารับไว้ได้ กลังว่านางจะเล่นแง่อะไรกับเขาอีก หากเขากล้าที่จะรับเงินจริงๆ ก็ไม่รู้ว่าตนเองจะต้องตายเช่นไรกัน 


 


 


“ข้าบอกว่าจะให้ก็ให้สิ ไปเถิด” อวี้อาเหราขี้เกียจพูดกับเขาให้เปลืองน้ำลายอีก  


 


 


“ขอรับๆๆ ข้าน้อยขอลา” เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลงจู๊ก็ก้าวขาวิ่งหนี ราวกับกลัวว่าอวี้อาเหราจะวิ่งตามมากัดเขากระนั้น นางเหยียดริมฝีปากด้วยความแหนงหน่าย แล้วเดินไปยังห้องครัวด้วยอารมณ์เบิกบาน ไม่มีใครคอยขัดหูขัดตาเช่นนี้แล้ว ทีนี้นางก็สามารถไปห้องครัวได้เสียที! 


 


 


เมื่อมาถึงห้องครัว นางกลับเห็นเพียงหม้อและกระทะที่ว่างเปล่ารวมไปถึงเตาไฟที่เย็นเฉียบ อีกทั้งยังสะอาดสะอ้าน ไม่มีของอะไรที่นางจะนำมาทานได้เลย แม้แต่ซาลาเปาหรือหมั่นโถวสักลูกก็ยังไม่มี ทันใดนั้นเองนางก็รู้สึกหมดอาลัยตายอยาก นั่งยองๆ ลงกับพื้นด้วยความหดหู่อยู่เป็นนาน นางถึงได้ปาดน้ำตาที่ไม่มีอยู่จริงแล้วลุกยืนขึ้น 


 


 


ในเมื่อไม่มีอะไรที่พอจะทานได้ ก็มีแต่ต้องพึ่งตัวเองเท่านั้นแล้ว นางคงจะต้องลงครัวด้วยตัวเองดูสักครั้ง 


 


 


ม้วนแขนเสื้อขึ้นแล้วจุดไฟเตรียมทำอาหาร หากเทียบกับการที่จะต้องไปนอนกลางดินกินกลางทรายแล้ว การจุดไฟทำอาหารถือว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยยิ่งนัก เดิมทีก็ยังมีเนื้อหมูอยู่อีกชิ้นหนึ่ง นางจึงคิดที่จะทำเนื้อหมูผัดพริกง่ายๆ แต่เพียงแค่หั่นเนื้อหมูออกเป็นชิ้นๆ ก็เปลืองแรงนางอยู่เป็นนานทีเดียว นางเหนื่อยเสียจนหลังขดหลังแข็ง ฝีมือการหั่นของนางนั้นก็ถดถอยลงไปมากจริงๆ ก่อนหน้านี้ถึงแม้นางจะขี้เกียจทำอาหาร แต่ฝีมือก็ยังพอนับว่าใช้ได้อยู่ เพียงหมูผัดพริกเป็นอาหารที่ทำง่ายๆ ใช้เวลาเพียงไม่นานก็ทำจนเสร็จเรียบร้อย 


 


 


เมื่อได้กลิ่นแล้วก็อดไม่ได้ที่จะลิ้มลอง รสชาติก็ไม่เลวนัก เพียงแต่ในครัวก็เหลือเพียงข้าวสวยที่เย็นชืดเท่านั้น 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 324 ตกใจแม่เจ้าน่ะสิ 


 


 


 


 


 


เดิมทีนางก็ขี้เกียจที่จะอุ่นข้าวให้ร้อน แต่ว่าในฤดูหนาวที่อากาศหนาวเย็นเสียจนทำให้ตัวแข็งถึงเพียงนี้ แม้แต่ข้าวก็แข็งเย็นเสียจนจะกลืนไม่ลง จึงต้องทำให้ร้อนเสียหน่อยเท่านั้น หลังจากทำทุกอย่างจนเรียบร้อยอย่างไม่ง่ายดายนัก ทันใดนั้นก็มีเสียงดังเข้ามาจากทางด้านนอก นางตกตะลึงขึ้นมาในทันที ก่อนจะทอดสายตามองออกไปด้านนอก คิดไม่ถึงว่าดึกดื่นถึงเพียงนี้แล้วจะมีใครมาที่นี่อีก 


 


 


แต่ที่นางเห็นนั้นกลับเป็นฉู่ป๋ายที่สวมเสื้อคลุมแล้วกำลังเดินเข้ามาจากทางด้านนอก ทั้งสองคนต่างก็ได้พบหน้ากันอีกครั้ง  


 


 


อวี้อาเหราชายตาขึ้นมองในทันใด “ไม่ทราบว่าซื่อจื่อแห่งจวนเซิ่นอ๋องผู้สูงศักดิ์มาที่ห้องครัวด้วยกิจธุระอันใดหรือ” 


 


 


“…” ฉู่ป๋ายไม่สนใจวาจาที่จงใจกวนประสาทของนาง เขาดมกลิ่นหอมก่อนจะเดินมาตรงหน้าจานอาหารที่อวี้อาเหราทำขึ้นอย่างไม่ง่ายดายนัก ทันใดนั้นทรุดกายนั่งลง ใช้ตะเกียบคีบมาลองชิมคำหนึ่ง “รสชาติก็นับว่าพอฝืนทานได้ เพียงแต่หน้าตาก็ไม่น่าทานเท่าไรนัก” 


 


 


“ข้าไม่ได้บอกให้เจ้าชิมเสียหน่อย เจ้ามาที่นี่คิดจะสร้างเรื่องอะไรอีก” อวี้อาเหราหมดคำจะพูด  


 


 


ฉู่ป๋ายชะงักไป รอยยิ้มยิ่งเบิกบานมากยิ่งขึ้น “เมื่อครู่นี้เจ้าก็ถามข้าว่ามาที่ห้องครัวทำไมน่ะหรือ แล้วเจ้าที่เป็นธิดาเอกแห่งจวนหลิงอ๋องเล่า มาทำอะไรในห้องครัวนี่กัน?” 


 


 


“มากินข้าว!” อวี้อาเหราขี้เกียจต่อล้อต่อเถียงกับเขา ตอนนี้ท้องของนางร้องประท้วงใหญ่แล้ว ไม่ปล่อยให้นางได้พักเลยสักนิด 


 


 


ท่าทางของฉู่ป๋ายดูราวกับตกตะลึง ก่อนจะมองไปยังอาหารจานนั้น “หรือว่าอาหารจานนี้เป็นอาหารที่คุณหนูรองลงมือทำด้วยตัวเอง? ไม่คิดเลยว่าคุณหนูที่อยู่ในห้องหอ ที่ได้รับการประคบประหงมมาตั้งแต่เล็กเช่นเจ้า เพียงแค่ยื่นมือออกไปก็มีข้าวมาป้อนให้ กลับจะทำอาหารเป็นด้วย นี่ก็ช่างทำให้ข้าตกใจยิ่งนัก” 


 


 


“ตกใจแม่เจ้าน่ะสิ!” อวี้อาเหราเบ้ปากอย่างหมดความอดทน พลั้งปากพูดออกไปโดยไม่รู้ตัว นี่มันยุคสมัยใดกันแล้ว เวลาพูดต้องใช้คำโบราณงดงามเนิบนาบ ช่างน่าเหนื่อยหน่ายยิ่งนัก ถ้าหากว่านางไม่ใช่ธิดาตระกูลใหญ่ แล้วต้องเกรงกลัวสถานะเขาเช่นนี้ นางก็คงอดไม่ไหวด่าทอเขาออกไปเสียนานแล้ว 


 


 


ฉู่ป๋ายชะงักไปเพราะคำพูดของนาง “เจ้าว่าอย่างไรนะ” 


 


 


“ไม่มีอะไร” อวี้อาเหราส่ายหน้า ไหนเลยนางจะกล้ายอมรับว่าตัวเองพูดคำหยาบกันเล่า 


 


 


คิ้วของฉู่ป๋ายเลิกขึ้นเล็กน้อย “เหตุใดข้าฟังแล้วถึงได้รู้สึกราวกับว่าเจ้ากำลังด่าทอข้าอยู่เลยเล่า” 


 


 


“ข้าด่าเจ้าหรือ ไม่นี่ เมื่อไรกัน!” อวี้อาเหราตัดสินใจแล้วว่าไม่ว่าอย่างไรนางก็จะไม่ยอมรับ เช่นนั้นจึงใช้โอกาสนี้ในการเดินไปตักข้าวมาหนึ่งถ้วย เมื่อทานรวมกับอาหารง่ายๆ ท้องก็หิวขึ้นมา ไหนเลยจะยังสนใจเรื่องอะไรได้อีก แค่มีเนื้อให้ทานก็เพียงพอแล้ว 


 


 


ฉู่ป๋ายหยุดมือของนางไว้ พลางเลิกคิ้วขึ้นถาม “เช่นนั้นเมื่อครู่นี้เจ้าพูดว่าอะไร ตกใจแม่เจ้าน่ะสิ?” 


 


 


“ใช่แล้ว ตกใจกับแม่เจ้าน่ะสิ ความหมายก็คือแม่ของเจ้างดงามจนชวนตกตะลึงอย่างไร” อวี้อาเหราถลึงตาจ้องมองมือของเขา ก่อนจะออกแรงเพื่อสะบัดมือเขาให้หลุดแต่ไม่เป็นผล กำลังของเขาก็มากมายนัก นางเองก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้เลยแม้แต่น้อย เพราะอย่างนั้นดวงตาของนางก็พลันวาบประกายขึ้นมา พูดแก้ตัวไปเรื่อย 


 


 


“เช่นนั้นเจ้าก็กำลังชื่นชมข้าอยู่หรือ” ฉู่ป๋ายพยักหน้าลงราวกับเข้าใจขึ้นมาในทันที ก่อนจะปล่อยมือของอวี้อาเหราออก จ้องมองนางอย่างจริงจัง “โบราณกล่าวไว้ว่า มารยาทต้องมาจากทั้งสองฝ่าย ถ้าเช่นนั้นข้าก็คงต้องตอบกลับเจ้าไปบ้าง ตกใจแม่เจ้าน่ะสิ” 


 


 


“แค่กๆ” อวี้อาเหราแทบจะสำลักอาหารออกมา อาหารติดอยู่ในลำคอเป็นนาน กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ท่าทางราวกับก้างติดคอ ทั่วทั้งใบหน้าเต็มไปด้วยความอึดอัด และไม่อาจตอบโต้ใดๆ ได้ นางก็สงสัยจริงๆ ว่าชายผู้นี้มีสติปัญญาเพียงใด ราวกับเขารู้ความหมายแล้วใช้โอกาสนี้ด่านางกลับ และก็เหมือนเว่าขานั้นตอบกลับมาอย่างเคารพนางเป็นอย่างยิ่ง ในเมื่อเป็นเช่นนี้จึงยากที่จะเอาคืนได้ 


 


 


ผ่านไปนานนัก นางจึงค่อยหาเสียงของตัวเองเจอ ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มกว้างสว่างไสว 


 


 


ฉู่ป๋ายก้มหน้าลง “เจ้าก็ไปหยิบชามมาให้ข้าเถิด” 


 


 


“เอามาทำอะไร” อวี้อาเหราสงสัย 


 


 


“กินข้าว” ฉู่ป๋ายครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยคำง่ายๆ ออกมาเพียงสองคำ 


 


 


“จะกินข้าวก็ไปหยิบเองสิ หวังว่าจะให้ใครไปหยิบให้กัน ข้าก็ไม่ใช่องครักษ์ของเจ้านะ และข้าก็ไม่ใช่คุณหนูพวกนั้นด้วย อาศัยอะไรให้ข้ามาดูแลเจ้ากัน หากอยากกินข้าวก็ไปเรียกหานสือมาช่วยเตรียมให้เสียสิ” 


ตอนที่ 325 ฉู่ฉู่ 


 


 


 


 


 


“ข้าทำเองก็ได้ ไม่จำเป็นให้เจ้ามาวุ่นวายหรอก” น้ำเสียงเบาบางของฉู่ป๋ายพลันหยุดวาจาของนางไว้ ก่อนที่เขาจะยืดกายตรงเดินไปหยิบถ้วยชามและตะเกียบด้วยตัวเอง อาหารไม่มากนัก หากสองคนทานก็อาจจะต้องกระเบียดกระเสียรอยู่บ้าง เช่นนั้นอวี้อาเหราจึงรีบไปขวางหน้าเขาไว้อย่างไม่พอใจนัก “หากเจ้าจะกินก็ไปทำกินเองสิ นี่มันของข้า” 


 


 


ฉู่ป๋ายชะงัก ทันใดนั้นก็เอ่ยขึ้นด้วยวาจาแผ่วเบาว่า “ข้าทำไม่เป็น” 


 


 


“เจ้าทำไม่เป็น?” อวี้อาเหราหัวเราะน้อยๆ นี่ก็ไม่ได้เหนือความคาดหมายอะไรนัก ตั้งแต่เล็กเขาก็อยู่อย่างสุขสบายในจวนเซิ่นอ๋อง ไหนเลยจะทำอาหารเป็นเล่า นางจึงตั้งใจที่จะพูดขึ้นเพื่อแกล้งเขา “เช่นนั้นเจ้าก็ให้หานสือมาทำกับข้าวให้เจ้ากินก็ไม่ได้แล้วหรือ” 


 


 


“เจ้ายังจะพูดถึงหานสืออีกหรือ เขาถูกเจ้าลากไปดูแลเจาเอ๋อร์แล้ว ดึกดื่นค่อนคืนเช่นนี้ หรือว่าเจ้าจะให้ข้าไปเรียกเขาถึงในห้องอีก?” ฉู่ป๋ายกล่าว 


 


 


ไปเรียกถึงในห้อง? อวี้อาเหราพลันนึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ที่พวกหานสือเห็นว่าพวกเขากำลังทะเลาะกันในโปงผ้าห่มขึ้นมา เช่นนั้นใบหน้าก็แดงซ่าน รีบเลิกคิดถึงเรื่องนั้นอีก ก่อนที่นางจะหยิบชามของเขามาตักข้าวใส่แล้วส่งให้ด้วยตัวเอง ใบหน้าเผยให้เห็นถึงรอยยิ้มล้ำลึก “ที่ให้หานสือไปดูแลเจาเอ๋อร์นั้นเป็นข้าที่ทำไม่ถูก ตอนนี้ข้าก็ไถ่โทษให้เจ้าแล้ว เจ้าโตแล้วก็คงจะไม่คิดเล็กคิดน้อยกับข้าหรอกนะ หากอยากกินข้าวก็กินเถิด ข้าจะไม่พูดอะไรอีกแล้ว” 


 


 


ฉู่ป๋ายแค่นเสียงเย็นชาออกมา  


 


 


อวี้อาเหราเห็นใบหน้าด้านข้างที่เย็นชาของเขาแล้ว ในใจของนางก็นึกแค้นจนต้องกัดฟันกรอด 


 


 


หลังจากทานอาหารจนเสร็จเรียบร้อย ทั้งสองก็กลับห้องไปพักผ่อน และแน่นอนว่าจะต้องกลับไปห้องของตัวเอง 


 


 


ได้พักฟื้นอยู่ที่นี่หลายวัน เมื่อเห็นว่าอาการเจ็บของเจาเอ๋อร์ค่อยทุเลาลงแล้ว ทั้งหมดก็พากันกลับเมืองเฟิ่งเฉิง ก่อนที่จะจากไปนั้นอวี้อาเหราก็นำโฉนดที่ดินคืนหลงจู๊ของโรงเตี๊ยม และจ่ายค่าใช้จ่ายของหลายวันมานี้ให้เขาทั้งหมด นี่ก็ไม่ใช่เพราะฉู่ป๋ายเอ่ยตักเตือน แต่นางนั้นก็ไม่ได้ตั้งใจที่จะเอาเปรียบอยู่แล้ว นางเพียงแต่อยากที่จะสั่งสอนหลงจู๊เท่านั้น 


 


 


เดินทางเป็นเวลาสองวัน ยามนี้ก็ใกล้ที่จะถึงเมืองแล้ว 


 


 


ทันใดนั้นเองรถม้าก็หยุดนิ่งลง คนทั้งหมดพากันมองออกไปด้านนอกอย่างแปลกใจ ก่อนจะเห็นหญิงสาวหน้าตาสะคราญโฉมยืนอยู่ใต้ต้นไม้หน้าประตูเมือง นางกำลังจูงม้าตัวหนึ่งแล้วเดินมาทางที่พวกเขาอยู่ สายตาสาดส่องไปทั่วทุกสารทิศไม่หยุด เมื่อเห็นรถม้าของพวกเขาแล้ว ใบหน้าก็พลันฉายรอยยิ้มออกมาเต็มที่ 


 


 


หานสือหยุดรถม้าลง ก่อนจะมองไปยังหญิงงามตรงหน้าอย่างยินดี ขณะที่กำลังจะเอ่ยปากทักก็ถูกนางทำทีให้เขาเงียบเอาไว้ 


 


 


อวี้อาเหราและฉู่ป๋ายนั่งอยู่ในรถม้าคันนั้น หญิงงามผู้นั้นมีท่าทีที่จะพุ่งมายังทิศทางที่พวกเขาอยู่ แต่เพราะไม่รู้จักนาง ดังนั้นจึงหันไปมองฉู่ป๋ายที่อยู่ข้างๆ ใบหน้าของเขาเผยให้เห็นถึงรอยยิ้มอ่อนโยนซึ่งหาได้ยากยิ่ง 


 


 


อวี้อาเหราชะงัก “เจ้ารู้จักนางหรือ” 


 


 


“รู้จัก” ฉู่ป๋ายพยักหน้าอย่างหนักแน่น  


 


 


เมื่อหญิงงามได้ยินเสียงนั้น นางก็รีบเลิกม่านเข้ามาด้านในตัวรถทันที ก่อนที่จะพุ่งกายเข้าไปกอดฉู่ป๋ายอย่างยินดีเป็นอย่างยิ่ง “ฉู่ฉู่ ในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว ก่อนหน้านี้ข้าได้ยินว่าท่านออกนอกเมืองไป ทำให้ข้าต้องรอท่านนานถึงสองวัน อ๊ะ ไม่สิ เหตุใดกอดแล้วท่านจึงผอมกว่าแต่ก่อนอีกเล่า…” 


 


 


“อะแฮ่ม…แน่นอนว่าที่เมืองตะวันตกนั้นเทียบไม่ได้กับเมืองเฟิ่งเฉิง จึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะผอมลงไปมาก” สีหน้าของฉู่ป๋ายเผยให้เห็นถึงความอิดออดที่ยากจะปกปิดอยู่บ้าง แต่กระนั้นเขาก็ไม่ได้ผลักหญิงสาวออก ทำเพียงหัวเราะเสียงขรม “เจ้านี่ก็ยังไม่รู้จักวิธีเรียกคนอีก เป็นเช่นนี้เสมอเลยนะ โตไม่รู้จักโต” 


 


 


“ข้าเรียกท่านว่าฉู่ฉู่แล้วจะทำไมหรือ” หญิงสาวว่าเสียงเย็น ไม่เห็นแก่หน้าของเขาเลยแม้แต่น้อย 


 


 


“ก็ได้ เจ้าอยากเรียกแบบไหนก็เรียกเถิด” ทว่าฉู่ป๋ายกลับยอมตามใจอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน หากเป็นคนอื่นเขาคงจะโยนนางออกนอกรถไปเสียแล้วกระมัง 


 


 


ฉู่ฉู่? เหตุใดถึงเรียกขานอย่างสนิทสนมเช่นนี้นะ… 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 326 นางเป็นใคร 


 


 


 


 


 


อวี้อาเหรานั่งฟังอยู่ข้างๆ ก็อดไม่ได้ที่จะเหยียดริมฝีปากเล็กน้อย ถลึงตาแล้วมองหญิงสาวตรงหน้าอย่างพินิจพิเคราะห์ 


 


 


นางสวมชุดกระโปรงสีเขียว ผมสีดำปลิวสยายไปด้านหลัง ราวกับมีหมึกดำย้อมแต้ม เป็นเสื้อผ้าที่ดูเงียบง่าย ไม่ยุ่งยากและซับซ้อน ทว่ากลับทำให้ดวงหน้าของนางงดงามโดดเด่นยิ่งนัก แม้เสื้อผ้าจะสามัญธรรมดา แต่เมื่อสวมใส่อยู่บนร่างของนางแล้วก็ยิ่งทำให้ดูงดงามเพิ่มมากขึ้น ทั่วทั้งร่างยังเปล่งประกายความสูงศักดิ์แบบที่หาไม่ได้ในคนธรรมดา 


 


 


เมื่อหญิงสาวเช่นนี้อยู่ในอ้อมกอดของฉู่ป๋าย ก็ยิ่งทำให้ดูงดงามเหมาะสมกันดียิ่งนัก 


 


 


อวี้อาเหรายังไม่เคยพบใครที่เรียกขานเขาเช่นนี้มาก่อน แม้แต่อวิ๋นเซิ่นที่มองดูแล้วน่าจะสนิทสนมกับเขาอยู่มากโขทีเดียว แต่นางก็ยังคงรักษาระยะห่างอยู่ช่วงประมาณหนึ่ง ทว่าหญิงสาวตรงหน้านี้แทบจะทรุดตัวนั่งลงที่ตักของเขาอยู่แล้ว 


 


 


นางเป็นใครกันแน่ เหตุใดถึงมีสัมพันธ์อันดีต่อฉู่ป๋ายเช่นนี้? 


 


 


นางเผลอคาดเดาสถานะของอีกฝ่ายอยู่ชั่วขณะ เมื่อสายตามองเห็นทั้งสองกอดเกี่ยวกันอย่างสนิทสนม ก็รู้สึกบาดตาบาดใจยิ่งนัก นางจึงสูดลมหายใจเข้าอย่างเคืองๆ พยายามบังคับให้มีรอยยิ้มปรากฏอยู่บนใบหน้า 


 


 


“ฉู่ฉู่ คนด้านข้างนั้นเป็นใครกันหรือ” หลังจากที่ได้สังเกตเห็นอวี้อาเหราแล้ว หญิงสาวผู้งดงามก็หรี่ดวงตาลงในทันที ทั่วทั้งใบหน้าเต็มไปด้วยความระแวดระวังขณะที่จ้องมองนาง 


 


 


“นางคือคุณหนูรองแห่งจวนหลิงอ๋อง” ฉู่ป๋ายตอบคำ 


 


 


“คุณหนูรอง?” หญิงสาวนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็พยักหน้าอย่างเข้าใจในทันที แต่ดวงตาก็ยังคงหรี่มองฉู่ป๋ายต่อไป “ข้าก็ยังคิดว่าท่านไปคนเดียวเสียอีก ที่แท้ก็ไปกับคุณหนูของจวนอ๋องผู้หนึ่งหรอกหรือ ช่างมีความสุขเสียจริงนะ” 


 


 


“อย่ากล่าววาจาเหลวไหล” ฉู่ป๋ายส่ายหน้า “พวกเราแค่พบเจอกันที่นั่น เช่นนั้นก็เลยกลับมาพร้อมกันเท่านั้นเอง” 


 


 


“เช่นนี้เองรึ ข้าก็เข้าใจท่านผิดไปเสียแล้ว ยังนึกว่าท่านจะมีรักอื่นได้รวดเร็วปานนี้เสียอีก…” เมื่อหญิงสาวได้ยินเขาว่าเช่นนั้นจึงค่อยยิ้มออกมาอย่างวางใจ เห็นฉู่ป๋ายฝืนยิ้มออกมาอย่างระอา ทว่าในสายตากลับเต็มเปี่ยมด้วยความรักใคร่เอ็นดู 


 


 


“จริงสิ เจ้าก็บอกว่าอีกพักหนึ่งถึงจะกลับมามิใช่หรือ เหตุใดถึงกลับมารวดเร็วถึงเพียงนี้เล่า” 


 


 


“เดิมทีข้าก็คิดว่าจะกลับมาช้ากว่านี้ แต่ได้ยินมาว่าร่างกายของท่านแย่ลง เช่นนั้นถึงได้รีบกลับมาก่อน หรือว่าที่ข้ากลับมาเร็วเช่นนี้จะทำให้ท่านขัดข้องอันใดรึ?” หญิงสาวกล่าว เชิดใบหน้าขึ้นแล้วจ้องมองเขาด้วยสายตาแฝงความหมาย 


 


 


“ไม่หรอก เจ้ากลับมาได้เวลาพอดี” ริมฝีปากของฉู่ป๋ายยังคงประดับไว้ด้วยรอยยิ้ม 


 


 


“เช่นนั้นก็ดี” หญิงสาวพยักหน้าลงอย่างพึงพอใจ ก่อนจะมองไปยังอวี้อาเหราอีกครั้ง “ครั้งนี้ดีที่มีคุณหนูรองช่วยดูแลฉู่ฉู่ของเรา แต่ตอนนี้คงไม่รบกวนท่านแล้ว มีข้าดูแลท่านแล้วอย่างไร” 


 


 


“เจ้าทำอะไรน่ะ” ฉู่ป๋ายฟังนางพูดแล้วรู้สึกแปลกใจนัก 


 


 


“ก็ไม่ได้ทำอะไรนี่ โอ๊ย ท่านอย่ายุ่งนักเลยน่า” หญิงสาวทำท่าให้เขาเงียบลง เขาเองก็นั่งลงข้างๆ เงียบๆ ไม่พูดไม่จา มือที่โอบกอดนางนั้นก็เบามือและระมัดระวังอย่างเห็นได้ชัด ราวกับกลัวว่านางจะหลุดออกจากอ้อมแขนไป ในยามนี้ฉู่ป๋ายอ่อนแอนัก และยังไม่สามารถออกแรงได้ตามใจนึก แต่เขาก็ยังเม้มริมฝีปากไม่พูดไม่จา 


 


 


การกระทำเล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้ต่างก็อยู่ในสายตาของอวี้อาเหราเสียทั้งหมด นางนั่งมองคนทั้งสองเงียบๆ ไม่เอ่ยวาจาใจ 


 


 


หญิงสาวมองมาที่นางอีกครั้ง “วันนี้ข้าได้เตรียมอาหารและสุราเอาไว้ที่หอจุ้ยเซียนแล้ว หากคุณหนูรองไม่รังเกียจ ก็เชิญไปทานด้วยกันเถิด” 


 


 


“ข้า…” อวี้อาเหรากำลังจะออกปากปฏิเสธ ทว่าหญิงสาวก็เอ่ยแทรกขึ้นตัดบทนางเสียก่อน “ในเมื่อไม่กล่าวอะไร เช่นนั้นข้าก็จะทึกทักเอาว่าเจ้าตกลงก็แล้วกันนะ ฉู่ฉู่ เจ้าว่าอย่างไร” 


 


 


“แล้วแต่เจ้าเถิด” ฉู่ป๋ายไม่ได้เอ่ยปฏิเสธอะไร 


 


 


เมื่ออวี้อาเหราเห็นดังนั้นก็จำต้องหันไปสั่งชิงอวิ๋นให้กลับไปส่งเจาเอ๋อร์ที่จวนก่อน 


 


 


หญิงสาวมองออกไปนอกรถ “หานสือ ไปหอจุ้ยเซียนเถิด” 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม