ยอดรักชายาอัปลักษณ์ 319-320
ตอนที่ 319 เกราะเหล็กลวดโหน
“ฝ่ายข้าศึกใช้เกราะเหล็กลวดโหน[1] หรือก็คือการใช้เกราะเหล็กของพลทหารเชื่อมติดกันด้วยลวดเหล็ก ทำให้พลทหารกลายเป็นแนวต่อคล้ายลวดเหล็กอันทนทาน เช่นนี้ เป็นผลร้ายต่อกองพลทหารม้าของเราอย่างมาก”
เว่ยหยวนดูรายงานกองทัพในสงครามครั้งก่อน เขาเงยหน้าขึ้นกวาดสายตามองผู้คนปราดหนึ่ง แล้วพูดขึ้นเสียงทุ้ม “ขุนนางที่รักทุกท่านมีความเห็นเยี่ยงใดบ้างหรือ”
“ฝ่าบาท! กระหม่อมเห็นว่า ควรส่งทหารเอาดาบเหล็กไหลไปตัดลวดเหล็ก” นายพลชุดดำลุกขึ้นยืน “หรือไม่ก็ใช้พลธนู”
“ไม่ได้” หนิงอวี้ขมวดคิ้ว “หนึ่ง ลวดเหล็กนั้นแน่นทนทาน ยากจะตัดขาดได้ สอง เหล่าพลทหารเคลื่อนที่รวดเร็ว ทั้งยังสวมชุดเกราะ สภาพการป้องกันเพียบพร้อมเช่นนี้ พลธนูยากจะเอาชนะได้”
นายพลชุดดำอยากจะกล่าวต่อ แต่เมื่อคิดอย่างละเอียดก็เห็นว่านางกล่าวไม่ผิด จงตัดสินใจนั่งลงเสีย เช่นนี้แล้ว ผู้คนที่คิดจะเสนอความคิดเห็นเมื่อครู่ก็ต่างพากันเม้มปากไม่พูด ได้แต่สบตากันไปมา
รอบด้านต่างเงียบงันไร้เสียงใดๆ เว่ยหยวนเห็นนางดูโดดเดี่ยวอย่างมาก จึงถามขึ้นด้วยเสียงอันอ่อนโยนว่า “แม่ทัพหนิงมีแผนการเช่นใด”
หนิงอวี้นิ่งอึ้ง ครั้นแล้วก็เดินเข้าไปสองสามก้าวมือทั้งคู่กุมหมัดคำนับ นางใบหน้าเคร่งขรึมสุขุม เว่ยหยวนกลับอดไม่ได้ที่จะขบขัน รู้สึกว่านางน่ารักเป็นอย่างมาก
“ตำราโบราณเคยบันทึกไว้ เกี่ยวกับวิธีทำลายเกาะเหล็กลวดโหน”
ผู้คนต่างนิ่งอึ้ง คิดไม่ถึงว่าแม่ทัพหนิงผู้นี้จะมีสามารถเช่นนี้
หนิงอวี้เห็นแววตาเขาดูจริงจังไม่น้อย “ทว่าหม่อมฉันเห็นว่า ยังมีอีกวิธีหนึ่งที่จะได้ชัยชนะได้อย่างรวดเร็ว!”
ผู้คนที่อยู่ ณ ที่นั่นต่างมีสีหน้าหลากหลาย บ้างก็นิ่งอึ้งตาค้างรู้สึกประหลาดใจอย่างยิ่ง บ้างก็สีหน้าเคร่งขรึม ในใจกลับรอดูนางพลาด บ้างก็จ้องนางนิ่ง พร้อมที่จะคิดตามวิธีการที่นางกำลังจะเสนอ
“ก่อนอื่น ในเกราะเหล็กลวดโหนนั้น เหล่าพลทหารต่างสวมชุดเกราะเหล็กแข็งแกร่งทนทาน” หนิงอวี้ยื่นมือทำท่าทาง แล้วเปลี่ยนหัวเรื่อง “ทว่า มือเท้าของพวกเขานั้น กลับได้รับการป้องกันตามวิธีปกติทั่วไป”
“หากตัดขาทั้งคู่ของพวกเขา ทำให้พวกเขาไม่อาจเคลื่อนไหว เช่นนั้น ต่อให้ทหารข้างกายสองด้านยังมีชีวิตรอด การเคลื่อนที่ย่อมถูกตรึงกับที่ด้วยน้ำหนัก พลทหารหนึ่งนายก็จะกดดึงลวดเหล็กทั้งสองด้านเอาไว้”
เว่ยหยวนชำเลืองขึ้นมองหนิงอวี้ เห็นนางยื่นมือทำท่าประกอบแววตาเต็มไปด้วยความมั่นใจ ทันใดนั้นเขาก็คิดขึ้นได้ว่านางไม่อยากเป็นนกขมิ้นขนทอง นางไม่ใช่โดยแท้ แต่นางเป็นพญาอินทรีกลางทุ่งกว้างต่างหาก
แววตาเว่ยหยวนมืดลง หากเป็นเช่นนี้อาจยากที่จะจัดการ เขาอยากเก็บนางไว้ข้างกาย เช่นนั้นเขาจำเป็นต้องหักปีกนางหรือ?
ผู้คนต่างมองหน้ากันเลิกลัก ครั้นแล้วก็เงี่ยหูกระซิบกระซาบกัน หนิงอวี้ยื่นขึ้นท่ามกลางผู้คน นางเลี่ยงไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นประหม่า นางยื่นมือไปหมายจิกชายกระโปรง แต่บนกายที่สวมอยู่นั้นกลับเป็นชุดเกราะ จึงคว้าได้เพียงอากาศ
เว่ยหยวนเห็นนางยื่นมือออกมาสองสามครั้งโดยไม่รู้ตัว สุดท้ายก็ได้แต่ดึงสายเชือกที่รัดชุดเกราะไว้ก็อดรู้สึกขบขันมิได้ นั่นเป็นเพียงแมลงวันตัวหนึ่งมิใช่หรือ ดูเซ่อซ่าเสียจริง
“เหล่าขุนนางที่รักคิดว่าเช่นใด”
“กระหม่อมเห็นว่าวิธีนี้น่าจะใช้ได้พ่ะย่ะค่ะ”
“กระหม่อมเห็นด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
มือของหนิงอวี้ที่กำสายรัดชุดเกราะแน่นค่อยๆ คลายออก ใบหน้าที่ตื่นเต้นค่อยๆ ผ่อนคลายลง
หนิงอวี้โค้งคำนับแล้วเดินกลับที่นั่งโดยเร็ว ผู้ที่เห็นต่างกับนางในตอนแรก รีบเอียงศีรษะเข้ามาถามอย่างรีบร้อน “ท่านนายพลหนิง วิธีการนี้ท่านขุนพลหนิงเป็นผู้ถ่ายทอดให้หรือไร”
“ท่านพ่อ…ท่านขุนพลหนิงมิเคยบอก เป็นเพียงวิธีการที่ข้าใคร่ครวญออกมาเท่านั้น หากมีสิ่งใดบกพร่อง ขอท่านโปรดชี้แนะ”
——
ท้องฟ้าเมฆขาวกระจายเป็นริ้วดั่งท้องปลา หนิงอวี้คลุมหนังจิ้งจอกยืนอยู่ที่ประตูค่าย เว่ยหยวนได้นำทัพใหญ่ออกปะทะกับข้าศึก นางถูกเขาบังคับให้อยู่ที่นี่
เสียงรบราฆ่าฟันแว่วดังมาแต่ไกล หนิงอวี้กุมท้องน้อยแล้วพูดขึ้นเสียงเบา “ท่านพ่อจะกลับมาอย่างปลอดภัยแน่นอน พวกเรามารอเขาด้วยกันเถิด”
——
[1] เกราะเหล็กลวดโหน ยุทธวิธีในสงครามโดยการร้อยลวดเหล็กเข้ากับเกราะทหารราบ เพื่อเป็นการขัดขวางทหารม้าไม่ให้วิ่งได้สะดวก
ตอนที่ 320 ต่อว่าล้อเลียน
แม้พูดเช่นนั้น แต่สันหลังนางเหยียดตรงอยู่นานจนไม่อาจคลายลงได้ แม้เพียงชั่วครู่ก็ตาม จะว่าไปก็แปลก เมื่อนางอยู่กลางสนามรบ นางไม่เคยคิดมาก่อนว่าสมรภูมิจะอันตรายมากเช่นนี้ นางมักจะคิดว่าตนสามารถหวนกลับได้อย่างสวัสดิภาพ
แต่ความเป็นจริงก็ทำลายความเพ้อฝันของนางจนพินาศ บิดาตายกลางสนามรบ นางเองก็เกือบต้องทิ้งชีวิตเช่นกัน ด้วยเหตุนี้ นางจึงตื่นกังวลอย่างยิ่ง รู้สึกกลัวจากเบื้องลึกของหัวใจ…
“ไม่มีทาง เขาต้องปลอดภัยแน่นอน”
หนิงอวี้ขบริมฝีปาก เขย่งเท้าทอดสายตามองไปไกลๆ รอคอยที่จะได้เห็นกองทัพหวนกลับคืน
ปกติ มักเป็นนางที่ออกไปยังแนวหน้าเพื่อต่อสู้ คิดไปแล้วเว่ยหยวนตอนที่บอกลานางในครั้งนั้น ในใจคงรู้สึกกังวลแบบนี้เป็นแน่
ช่วงเวลานั้นในระหว่างที่เขาสะสางงานราชการ จะคอยยืนขึ้นชะเง้อคอเฝ้ามองหรือไม่ จะเคยเดินไปมากับที่หรือไม่ จะบ่นพล่าม หวังให้นางกลับคืนมาอย่างปลอดภัยหรือไม่
“นายพลหนิง ท่านยืนอยู่ด้านนอกกว่าครึ่งชั่วยามแล้ว กลับเข้าไปในกระโจมรอฝ่าบาทเถิดเพคะ” สาวใช้ประคองแขนนาง “หากฝ่าบาททรงรู้ว่าท่านออกมาตากลมหนาว ต้องทรงเสียพระทัยแน่เพคะ”
หนิงอวี้ส่ายหน้า เดินไปเดินมาอยู่กับที่ก็พบว่าขาทั้งคู่ของตัวเองเริ่มชาและแข็งทื่อ ที่แท้ ผ่านไปครึ่งชั่วยามแล้วหรือ
ธงสีเหลืองทองปรากฏอยู่ไกลๆ หนิงอวี้เขย่งเท้าขึ้นมองอย่างละเอียด มุมปากยกยิ้ม กลับมาแล้ว! หนิงอวี้รีบเดินไปยังที่แห่งนั้น สาวใช้รีบวิ่งตามไปข้างกายนางอย่างรีบร้อนแล้วช่วยประคองนางเดิน
ม้าขนสีขาวสะอาดตัวหนึ่งกำลังควบมาอย่างรวดเร็ว ผู้อยู่บนม้าสวมชุดเกราะสีเงินซึ่งเลอะไปด้วยคราบเลือดนับไม่ถ้วน หนิงอวี้เงยหน้าขึ้น รอยยิ้มบนมุมปากเบ่งบานงดงามดั่งดอกไม้
เว่ยหยวนก้มหน้า ยื่นมือขวาไปยังนาง หนิงอวี้นิ่งอึ้ง ครั้นแล้วก็ยกมือขึ้นไปวางบนฝ่ามือเขา อึดใจเดียว นางก็ถูกเว่ยหยวนดึงขึ้นหลังม้า รวบกอดนางไว้กลางอก
กลิ่นคาวเลือดอันคละคลุ้งปะทะจมูก ท่ามกลางกลิ่นเหล่านั้นเจือด้วยกลิ่นอันเจือจางของต้นไม้ใบหญ้า เว่ยหยวนโอบนางไว้แน่น ก้มหน้าลงประทับจุมพิตลงบนเรือนผมนางหนึ่งที “ต้องให้รอเสียนาน แม่ทัพของข้า”
หนิงอวี้ช้อนตาขึ้นมอง ปลายตาแดงขึ้นเล็กน้อย “ยินดีต้อนรับกลับเพคะ ขุนพลของหม่อมฉัน”
เว่ยหยวนยกมุมปากยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่ดูเจ้าชู้ “ข้าชอบให้เจ้าเรียกข้าว่าสามีมากกว่า”
——
กลางกระโจม แสงไฟกลางเตาลุกโชติช่วง หนิงอวี้ยื่นมือไปพับผ้าคลุมไหล่ จึงรู้สึกขึ้นได้ว่าอากาศหนาวเหน็บยิ่งนัก เว่ยหยวนเห็นท่าทีของนางก็กวาดสายตาไปยังมั่วหลีปราดหนึ่งแล้วชี้นิ้วไปยังเตาไฟ
มั่วหลีเข้าใจความหมายก็โค้งคำนับแล้วเดินจากไป เพียงครู่เดียวก็ส่งคนยกเตาอีกลูกเข้ามา วางไว้ข้างกายหนิงอวี้ ท่าทีลำเอียงเช่นนี้ เหล่าผู้คนราวกลับไม่ทันสังเกตเพราะมัววุ่นอยู่กับการหารือการศึกสงคราม
แสงไฟแดงจากถ่านไม้ที่ลุกไหม้ หนิงอวี้ยื่นมือไปอังไฟชั่วครู่ ครั้นแล้วก็ถูมือทั้งสองด้วยกัน นางเงยหน้าขึ้นแล้วหันไปยิ้มยังเว่ยหยวนหนึ่งที เว่ยหยวนหาจังหวะท่ามกลางความยุ่งพยักหน้าตอบกลับ
“ท่านนายพลหนิง ท่านคิดเห็นเช่นไรกับศึกครั้งนี้”
ครั้งก่อนทำลายเกราะเหล็กลวดโหนได้ ท่าทีของผู้คนที่มีต่อนางก็เริ่มดีขึ้นบ้าง เมื่อพบก็โค้งคำนับทักทาย ยังพูดจาถามไถ่พอเป็นพิธีบ้างเล็กน้อย
หนิงอวี้พยักหน้าแล้วลุกขึ้นพูด “ที่มาของชื่อเมืองผานเฉิงนั้น เพราะว่ามันยากที่จะโจมตี ผานเฉิงเดิมทีคือชายแดนด่านแรกของราชวงศ์เหนือ ต่อมาเพราะด้วยกำลังพลและชัยภูมิ ดินแดนจึงขยายออกเรื่อยๆ จนเป็นราชวงศ์เหนือเช่นปัจจุบัน”
นี่คือที่มาของเมืองผานเฉิงตามที่บิดาเคยบอกไว้ เช่นนั้นจึงรู้ได้ว่า หลายปีมานี้ที่จริงแล้วราชวงศ์ใต้ได้แต่ถอยทัพมาโดยตลอด ชายแดนจึงค่อยๆ ถูกราชวงศ์เหนือกลืนกินไปเรื่อยๆ แต่ฮ่องเต้องค์ก่อนกลับทรงมิได้แยแส
“ผู้น้อยเห็นว่า ชัยภูมิเช่นนี้ ใช้เครื่องดีดหินน่าจะได้ผลอย่างมาก”
“แต่เครื่องดีดหินตอนนี้อยู่ระหว่างการขนส่ง ยังมาไม่ถึง”
หนิงอวี้พยักหน้าเห็นด้วย แล้วเพิ่มเสียงดังขึ้น “ดังนั้น ข้าขอเสนอให้ใช้ฝนธนู โดยจุดไฟที่หัวศร สองสามวันนี้อากาศเหน็บหนาว อาจเสริมแรงไฟได้ ด้านหนึ่งใช้ฝนธนูยิ่งกระหน่ำคลุม อีกด้านส่งคนปีนกำแพงลอบโจมตี เช่นนี้ ก็จะล่อให้ข้าศึกโผล่หน้าออกมาจากปราการบนกำแพงหินนั้นได้”
เว่ยหยวนพยักหน้า แต่ก็ขมวดคิ้วถามกลับไปว่า “หากข้าศึกไม่ยอมนำทัพออกมาเล่า”
“หากยิงฝนธนูไม่ให้ขาด ต้องทำให้จุดสำคัญบางแห่งติดไฟได้แน่ พร้อมกันนั้น อาจใช้วิธีการต่อว่าล้อเลียน ใช้วิธีหลอกล่อยั่วยุไปด้วย”
“ฮ่าๆๆ นายพลหนิง ใช้ทั้งไม้อ่อนไม้แข็งร่วมกัน!”
“ผู้น้อยนับถือยิ่งนัก!”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น