บุปผาเคียงบัลลังก์ 318-325
ตอนที่ 318 คดีบ้านสกุลจิน
การที่เซียงฉือไม่พูดอะไร ก็เพราะนางคิดถึงเรื่องที่ซูกงกงบอกแก่นางในวันนี้ขึ้นมา
‘ให้ตายเถอะ สมแล้วที่ถูกฝ่าบาทตรัสเรียกว่าเจ้าเด็กต๊อง ทำเอาข้าต้องเหงื่อแตกไปเพราะเจ้านี่แหละ’
ซูกงกงเหลือบตามองเซียงฉืออย่างเลื่อมใส
เซียงฉือได้ยินแล้วก็ไม่กล้าอวดดีรีบคารวะกลับปากพร่ำบอกแต่ว่ามิบังอาจ มิบังอาจ
แล้วซูกงกงก็บอกเล่าที่มาที่ไปของเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้ให้เซียงฉือฟังอย่างหมดเปลือก
‘วันนี้เหลียนชินอ๋องเสด็จกลับมาถวายรายงานเรื่องที่พระองค์ได้รับราชโองการให้เสด็จไปตรวจสอบเรื่องการทุจริตในแถบตะวันตกเฉียงเหนือและเฉียงใต้ เมื่อกลับมาถวายรายงาน สวรรค์ช่วยด้วยเถิด จำนวนเงินมหาศาลจนน่าตกใจจริงๆ และที่สำคัญที่สุด ตระกูลฝั่งมารดาของจินกุ้ยเฟยนั่นแหละที่เป็นเสือร้ายตัวใหญ่ที่สุด’
‘จินกุ้ยเฟยเป็นคนข้างพระเขนยของฝ่าบาท พระองค์จึงทรงพระพิโรธอย่างยิ่ง’
เมื่อเซียงฉือคิดถึงคำพูดในตอนนั้นแล้ว นางจึงกระจ่างใจถึงจุดประสงค์ที่กุ้ยเฟยเรียกนางมาในวันนี้
ซูกงกงเองแต่ไรมาเป็นคนที่ทำงานหนักแน่นไม่แย้มพรายอะไรง่ายๆ หากเป็นคนอื่นเขาจะไม่พูดอะไรมากเช่นนี้
แต่พวกเขาต่างล้วนเป็นคนข้างกายฝ่าบาทจึงไม่จำเป็นต้องปิดบังอะไร ทั้งซูกงกงเองก็ปรารถนาจะสร้างไมตรีกับนาง เพราะเซียงฉือเป็นคนแรกที่ฝ่าบาทพาไปยังหอทิงเฟิงด้วยพระองค์เอง
การได้รับสิทธิ์เช่นนี้สมควรที่ซูกงกงจะไปตีสนิทด้วย ไม่ว่าจะเพราะแม่นางน้อยนี้มีฝีไม้ลายมือหรือเป็นเพราะฝ่าบาททรงมีใจกับนาง ท้ายสุดยังคงเป็นเจ้าเด็กคนนี้ที่ได้รับพระกรุณาอย่างยิ่ง
เซียงฉือไม่รู้เท่าทันการคิดคำนวณของซูกงกง เข้าใจว่าซูกงกงดีกับนางเสมือนเป็นพวกเดียวกันจึงเกิดความซาบซึ้งใจอย่างมาก
เมื่อคิดถึงคำพูดของซูกงกงแล้วจึงมองดูหน้าตาของหวังหมัวหมัวในวันนี้อีกครั้ง นางครุ่นคิดในใจแล้วก็ประจักษ์แจ่มชัด
ฝ่าบาทเคยตรัสกับนางว่าเมื่อเป็นข้าราชสำนักสตรีงานอักษรแล้วจะไม่สะดวกเข้าไปฝ่ายในได้บ่อยนัก เพราะพวกสนมกำนัลทั้งหลายแหล่เหล่านั้นจะใช้สารพัดวิธีการเพื่อเค้นหาข่าวคราวจากนาง
เซียงฉือซึ่งไม่เข้าใจในตอนแรก ถึงบัดนี้ได้เข้าใจอย่างแจ่มแจ้งแล้ว
นางไม่เคยติดค้างอะไรกุ้ยเฟยมาก่อน เหตุใดนางต้องทำงานให้กับกุ้ยเฟยด้วย ทั้งกุ้ยเฟยยังพูดถึงท่านปู่นางอย่างไร้มารยาทแบบนั้น ไม่มีทางที่นางจะโง่ถึงกับจะเอาตัวเองไปเสี่ยงเพื่ออีกฝ่าย
ถึงแม้เซียงฉือจะเข้าใจความโยงใยนั้นแล้วแต่ก็ไม่อาจที่จะไม่ตอบหวังหมัวหมัวกับจินกุ้ยเฟย
นางจึงทำเป็นไม่รู้เรื่องราวอะไร ทำตัวหดลีบลงอย่างหวั่นเกรง
“หมัวหมัวกำลังพูดเรื่องอะไรเจ้าคะ หลายวันก่อนบนโต๊ะพระอักษรมีรายงานถามทุกข์สุขจากท่านขุนพลจินวางอยู่ ในนั้นเพียงสอบถามถึงกุ้ยเฟยว่าทรงสุขสำราญดีหรือไม่ ข้าไม่เห็นว่าจะมีความผิดปกติที่ตรงไหน”
“ไม่ทราบว่าหวังหมัวหมัวอีกทั้งกุ้ยเฟยต้องการถามถึงเรื่องอะไรหรือเจ้าคะ”
น้ำเสียงเซียงฉือแฝงความหวาดหวั่นทำให้กุ้ยเฟยพอใจอย่างยิ่ง แต่คำตอบของนางทำให้หวังหมัวหมัวต้องขมวดคิ้ว
นางเห็นเซียงฉือไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องเหลียนชินอ๋องก็รู้สึกผิดปกติจึงถามกลับไปด้วยท่าทางขึงขัง
“วันนี้เหลียนชินอ๋องเข้าวังสนทนากับฝ่าบาทเรื่องอะไรบ้าง เจ้าบอกมาให้หมดแต่โดยดี”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นเซียงฉือก็รู้ว่านางคาดเดาได้ถูกต้องทั้งหมด จู่ๆ กุ้ยเฟยมาไม้นี้ในค่ำคืนนี้ก็เพื่อต้องการจะเค้นเอาความคิดอ่านของฝ่าบาทออกมาจากนาง
นางใคร่ครวญว่าควรจะตอบอย่างไร หากตอบว่าเขาไม่ได้พูดถึง หวังหมัวหมัวย่อมต้องไม่เชื่อ เรื่องนี้จะต้องครึกโครมใหญ่โตที่ทางตะวันตกเฉียงเหนือเป็นแน่ และเมื่อเหลียนชินอ๋องได้เสด็จกลับเข้าวังเพื่อทูลรายงานแล้วจะไม่พูดถึงได้อย่างไร
แต่หากบอกว่ามีพูดถึง แล้วจะบอกถึงปฏิกิริยาของฝ่าบาทว่าอย่างไร
หรือจะบอกไปว่าตอนนั้นตนเองไม่ได้อยู่ที่นั่นดี
สมองเซียงฉือหมุนติ้วทำงานขึ้นอย่างรวดเร็ว
ตอนที่ 319 ตอบความ
เซียงฉือคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ยขึ้นอย่างไม่ลังเล
“ฝ่าบาทกับเหลียนชินอ๋องทรงรักใคร่สนิทสนมกันมาก วันนี้เหลียนชินอ๋องเสด็จกลับเข้าราชสำนักยังไม่ทันได้เสด็จกลับตำหนักตนก็ไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทเสียก่อนเมื่อเห็นชัดถึงความสนิทสนมของทั้งสองพระองค์แล้ว ข้าจึงคิดว่าทั้งสองพระองค์จะต้องมีเรื่องสนทนากันมากจึงไม่ได้เข้าไปรบกวนเจ้าค่ะ”
“อีกทั้งซูกงกงก็ยังอยู่คอยถวายการรับใช้อยู่ตรงนั้น ข้าจึงไปพักผ่อนเจ้าค่ะ”
ขณะนั้นเซียงฉือไม่อาจที่จะไม่พูดอะไรและไม่อาจจะบอกไปเสียทุกเรื่องได้ แม้ว่าซูกงกงจะได้เล่าเรื่องราวความเป็นไปในเรื่องนี้แก่นางแล้ว แต่นางไม่คิดจะพูดออกไปอย่างหมดเปลือก
จินกุ้ยเฟยฟังคำพูดนั้นแล้วความดูแคลนปรากฏขึ้นเต็มใบหน้า นางหันไปมองหวังหมัวหมัวที่ด้านข้าง เซียงฉือพูดออกมาอย่างไม่มีช่องโหว่ทั้งมีหลักฐานและเหตุผลเช่นนี้แล้ว พวกนางจึงไม่สะดวกจะพูดอะไรมากความอีก
เซียงฉือเฉลียวฉลาดมาก นางตอบเช่นนี้เป็นการแสดงว่าเรื่องราวในวันนี้ฝ่าบาทไม่ได้เลี่ยงหลบนางและนางก็ไม่ได้มีเจตนาหลบเลี่ยงจากเรื่องนี้เช่นกัน เพียงแต่นางไม่ได้ให้ความสนใจ ก่อนที่กุ้ยเฟยจะเรียกหานางนางไม่ได้ให้ความสนใจเลยจึงไม่อาจรู้ได้
แต่ถ้าหากกุ้ยเฟยหลอกล่อนางด้วยผลประโยขน์ ไม่แน่ว่าอาจได้ผลลัพธ์อย่างไรบ้าง
เซียงฉือไม่ได้พูดอะไรมาก แต่หวังหมัวหมัวคนฉลาดฟังเข้าใจ
หวังหมัวหมัวเมื่อเห็นแววตากุ้ยเฟยก็ตระหนักได้ว่าเปลวไฟจากภายในกำลังใกล้ทะลักออกมาแล้ว นางจะยอมให้กุ้ยเฟยทำอะไรตามใจไม่ได้จึงสบสายตานางแล้วส่ายหน้าอย่างเต็มที่
แล้วมองไปยังเซียงฉือที่คุกเข่าอยู่อย่างเชื่อฟังยิ่ง พูดยิ้มๆ ว่า
“ช่างเหมาะเจาะเสียจริงๆ ทำให้แม่นางเซียงฉือไม่ได้รับรู้อะไรเลย แต่ว่าฝ่าบาททรงพอพระทัยในตัวเจ้าไม่น้อย ข้ารู้มาว่ายังไม่เคยมีข้าราชสำนักสตรีที่ข้างวรกายพระองค์จะอยู่ได้นานเกินสามเดือน ตอนนี้แม่นางก็ไปอยู่ได้ครึ่งเดือนกว่าแล้ว ฝ่าบาทมีอะไรที่ไม่ทรงพอพระทัยหรือไม่”
เซียงฉือถอนใจยาว แต่ยังคงนอบน้อมอยู่ในที พูดขึ้นด้วยความหวาดกลัวว่า
“ฝ่าบาทเคยตรัสกับข้าว่า เรื่องที่เป็นปัญหาที่สุดสำหรับพวกที่อยู่ใกล้ชิดพระองค์คือการไปใกล้ชิดสนิทสนมเกินไปกับราชสำนักฝ่ายหน้าและฝ่ายใน เมื่อไรที่ฝ่าบาททรงพบว่าข้าราชสำนักสตรีนำเรื่องความเป็นอยู่และกิจวัตรของพระองค์ไปบอกกับคนอื่น พระองค์จะทรงเปลี่ยนข้าราชสำนักสตรีทันที ดังนั้นข้าจึงต้องใส่ใจระมัดระวังตลอดมา ทั้งยังไม่ค่อยออกนอกประตูตำหนักเจิ้งหยางอีกด้วย”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ เซียงฉือไม่ได้เสแสร้งแม้แต่น้อย เพราะล้วนเป็นเรื่องที่ฝ่าบาทเคยบอกไว้ทั้งสิ้น และเป็นเรื่องที่ทุกคนรู้กันดีในบรรดาเรื่องมากมายที่พระองค์เคยบอก แต่ก็เป็นเรื่องที่คนอีกมากไม่สามารถปฏิบัติได้
ดังเช่นที่เซียงฉือกำลังประสบอยู่ในขณะนี้ หากว่าไม่พูดเกรงว่าชีวิตจะหาไม่ แต่ถ้าพูดออกไปก็จะเป็นการผิดในเรื่องต้องห้าม
แต่ที่นางพูดเช่นนี้เพราะยังมีอีกจุดประสงค์หนึ่ง เพื่อจะให้กุ้ยเฟยเชื่อใจว่านางไม่ได้ปิดบังแม้แต่น้อย
เซียงฉือหยุดลงครู่หนึ่ง
“ฝ่าบาทตรัสไว้เช่นนี้ แสดงว่าข้าราชสำนักสตรีล้วนกระทำดังว่า ทำให้ฝ่าบาททรงหวาดระแวงอย่างหนัก วันนี้จึงทรงพาข้าไปยังหอทิงเฟิงอย่างเปิดเผย ประการแรกเป็นการตรวจสอบว่าข้าเป็นคนของใคร ประการที่สองเพื่อจะให้ข้ารู้ว่ามีเพียงต้องพึ่งพาฝ่าบาทเท่านั้นจึงเป็นทางออกทางเดียวที่มีอยู๋”
สีหน้าของหวังหมัวหมัวที่มองดูจินกุ้ยเฟยนั้นเหมือนเพิ่งตื่นจากฝัน เพราะรู้ว่านางพูดเช่นนี้ต้องการจะให้พวกนางเข้าใจว่า เป็นเพราะฝ่าบาทไม่ชอบบรรดาข้าราชสำนักสตรีที่กุ้ยเฟยกับซูเฟยส่งไปไว้ข้างกายพระองค์ ดังนั้นจึงสับเปลี่ยนอยู่เสมอๆ
เซียงฉือเพื่อจะให้ตนเองลดการติดต่อกับกุ้ยเฟยจึงได้ซ่อนเงื่อนงำไว้ และวิธีนี้ก็เป็นการสยบศัตรูไว้ก่อน
เป็นการอธิบายได้เหมาะเจาะถึงกิริยาที่ผิดปกติของฝ่าบาทในวันนี้ ส่วนกุ้ยเฟยจะเชื่อหรือไม่ ยังคงต้องให้ยาแรงอีกสักขนานหนึ่ง
ตอนที่ 320 เล่นลิ้น
พอเซียงฉือพูดจบ สีหน้ากุ้ยเฟยก็ค่อยๆ สงบลง นางรู้ว่าควรต้องรุกต่อไปเพราะกำลังได้เปรียบ
นางพูดอีกว่า
“กุ้ยเฟยเพคะ ฝ่าบาทเคยทรงเห็นหม่อมฉันในตำหนักอวี้หยวน ดังนั้นจึงทรงคลางแคลงพระทัยเสมอมา ทั้งหลายวันก่อนพี่เซียงซือก็รับพระบัญชาจากพระองค์ไปส่งของให้หม่อมฉันจึงยิ่งทำให้ฝ่าบาททรงสงสัยและทรงตั้งพระทัยจะขับไล่ทั้งหม่อมฉันกับเซียงซือออกจากตำหนักเจิ้งหยางด้วยกัน แต่เพราะใต้เท้าเหอออกหน้าทูลขอไว้ หม่อมฉันจึงยังอยู่ต่อได้เพคะ”
“แต่หลังจากเรื่องนั้นแล้ว ฝ่าบาททรงเข้มงวดกับหม่อมฉันมากเพคะ การงานในแต่ละวันก็มากล้น ทำให้ไม่มีเวลาได้ออกนอกเขตพระราชฐานเลยเพคะ”
คิ้วของเซียงฉือขมวดแน่นอย่างเจ็บปวด ความหมายในคำพูดของนางชัดเจน ทำให้ตนเองอยู่ในสถานะที่ย่ำแย่ เพื่อให้กุ้ยเฟยรู้สึกว่าฝ่าบาทไม่ชอบนาง แต่ที่ยังต้องให้นางอยู่ต่อ ก็เพราะข้างกายยังไม่มีใครให้ใช้สอยเท่านั้น
แม้เซียงฉือจะแต่งเหตุผลที่พอฟังขึ้นเช่นนี้ แต่อย่างไรก็เป็นกลหลอกลวง มีหลายจุดที่ไม่สมเหตุสมผลนัก หากทั้งสองคนนั้นปรึกษาหารือกัน หรือกุ้ยเฟยให้เรียกตัวสายของตนในตำหนักเจิ้งหยางมาสอบถาม ทุกอย่างก็จะกระจ่างชัด
ถึงกระนั้นคนที่มีความรับรู้ไวอย่างเช่นหวังหมัวหมัวก็ยังสามารถหาเบาะแสจากคำพูดของเซียงฉือออกมาได้ทันที นางจึงถามว่า
“เดี๋ยวนะ ในเมื่อเหอจิ่นเซ่อทูลขอความเมตตาให้เจ้า แล้วเซียงซือเล่า เหตุใดนางไม่ช่วยทูลขอ เจ้ากับใต้เท้าเหอมีความสัมพันธ์กันอย่างไร”
หวังหมัวหมัวถามรวดทีเดียวหลายคำถาม ถึงจะไม่ตรงจุดสำคัญนัก แต่ก็เป็นจุดที่เห็นได้ชัดและง่ายซึ่งยากจะอธิบาย
เซียงฉือฟังแล้วจึงตอบต่อว่า
“หวังหมัวหมัว เรื่องนี้คงต้องถามท่านแล้ว เดิมทีข้าคิดจะเข้ากองเย็บปัก แต่ถูกใต้เท้ากองเย็บปักกลั่นแกล้งทุกวิถีทาง ในที่สุดจึงต้องอาศัยความสัมพันธ์เล็กน้อยของทางครอบครัวในอดีตไปขอความช่วยเหลือจากใต้เท้าเหอ”
“ใต้เท้าเหอเองเดิมก็ไม่ได้คิดจะช่วย แต่คงรู้สึกว่าข้ายังใช้ได้อยู่ เพียงแต่โชคไม่ดีนัก ถูกรั้งตัวให้อยู่ในกองราชเลขา”
“ตามแผนที่กำหนดไว้เดิม ใต้เท้าเหอเสนอเซียงซือเข้าไปเป็นข้าราชสำนักสตรีงานอักษร แต่เพราะพระดำรัสของฝ่าบาทจึงไม่อาจที่จะ…”
แววตาเซียงฉือขบขัน หวังหมัวหมัวกลืนน้ำลายลงคอ เพราะรู้ดีแก่ใจว่าเป็นเพราะเรื่องอะไร
และคำพูดช่วงท้ายของเซียงฉือก็เป็นการยืนยันคำพูดช่วงต้นของนาง
เซียงฉือก็กลืนน้ำลายลงคอแล้วพูดต่อ
“ส่วนเหตุใดใต้เท้าเหอไม่ช่วยพี่เซียงซือนั้นคงต้องไปถามนางเองแล้ว ตั้งแต่วันแรกที่ไปถึงกองราชเลขาก็ไม่เห็นใต้เท้าเหออยู่ในสายตา คิดว่าใต้เท้าเหอคงคับแค้นต่อนางไม่น้อย”
เซียงฉือนำเรื่องที่ไม่ค่อยเกี่ยวข้องกันนักมาร้อยเรียงเข้าด้วยกัน แล้วก็เป็นเรื่องที่จินกุ้ยเฟยรู้ดีอยู่แล้วด้วย ทั้งยังเป็นเรื่องที่อวิ๋นเซียงซือเป็นคนบอกกล่าวแก่นางทั้งสิ้น
จินกุ้ยเฟยจึงเชื่อคำพูดอวิ๋นเซียงฉือ หวังหมัวหมัวนั้นแสดงออกว่าเข้าใจความหมายของเซียงฉืออย่างชัดเจน
ระยะนี้เซียงซือหุนหันพลันแล่นจนเกินไป คิดว่าตนเองสามารถเกาะต้นไม้ใหญ่อย่างกุ้ยเฟยได้แล้วทุกคนในวังจะต้องคอยดูสีหน้านาง ตอนนี้ถูกฝ่าบาทลงโทษลดขั้นแต่ก็ยังไม่รู้สำนึก กลับผลักความรับผิดชอบทั้งหมดไปยังเซียงฉือกับเหอจิ่นเซ่อ
เซียงฉือเชื่อว่าหากเซียงซือยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไป ถึงฝ่าบาทจะไม่ลงโทษนาง แต่เกรงว่านางจะมีอายุไม่ยืนยาวในวังหลวงนี้ หากตอนนี้ทำให้กุ้ยเฟยกับหวังหมัวหมัวได้ประจักษ์ในความหุนหันของนางก็จะได้เลิกสนใจและใช้นาง และกลับจะเป็นเรื่องดีสำหรับเซียงซือมากกว่า
เมื่อเซียงฉือพูดจบก็ปิดปากไม่พูดต่อ ส่วนหวังหมัวหมัวพอฟังคำอธิยายของนางแล้วก็คอยพยักหน้าตาม
ตอนที่ 321 คำตัดสินของจินกุ้ยเฟย
คำพูดของเซียงฉือบังเกิดผล อย่างน้อยก็สั่นคลอนใจของกุ้ยเฟยได้บ้าง หลังจากนางฟังคำกระซิบของหวังหมัวหมัวแล้ว ถึงท่าทางจะโกรธขึ้งยิ่งขึ้น แต่เซียงฉือรู้ว่านางได้ปัดภัยให้พ้นตัวไปแล้ว อย่างน้อยในตอนนี้ก็ไม่มีอันตราย
เมื่อหวังหมัวหมัวพูดกับกุ้ยเฟยเสร็จก็ก้มหน้าใคร่ครวญคำพูดของเซียงฉือ คำโบราณว่าไว้ดีว่าอย่าฟังความเพียงด้านเดียวแล้วเชื่อ พึงฟังความรอบด้านแล้วจะพบความจริง
แน่นอนว่านางไม่ได้เชื่อคำพูดของเซียงฉือทั้งหมด เซียงฉือเชื่อว่าก่อนหน้านี้นางจะต้องได้ฟังการบรรยายถึงเรื่องในวันนี้มาอย่างครบถ้วนแล้ว
เซียงฉือไม่ได้โกหก เพียงแต่ลำดับความต่างกัน คนที่พูดเป็นคนละคนจุดที่เน้นก็แตกต่างกันไป ซึ่งย่อมจะทำให้ความรู้สึกของคนแตกต่างไปด้วย
ถึงแม้ตอนนี้หวังหมัวหมัวจะไม่ได้เชื่อถือเซียงฉือทั้งหมด แต่ก็เชื่อไปแล้วเจ็ดส่วน
หวังหมัวหมัวจะอย่างไรก็เป็นเพียงคนรับใช้ เมื่อนางพูดเรื่องที่ควรพูดไปหมดแล้วจึงไปยืนรอรับใช้อยู่ข้างๆ โดยไม่พูดอะไรอีก
เซียงฉือหลุบตาลอบมองดูทีท่ากุ้ยเฟย นางยังคงกังวลอยู่ ไม่รู้ว่าวันนี้กุ้ยเฟยจะตัดสินใจอย่างไร
เซียงฉือกังวลใจและหวาดกลัว แต่ก็พยายามระงับความตระหนก เรื่องที่นางสามารถพูดได้ทำได้ก็ได้ทำไปแล้ว แต่หากจินกุ้ยเฟยต้องการใช้นางเพื่อเซ่นโทสะในวันนี้ นางย่อมไม่มีแรงพอจะต้านทานได้
เซียงฉืออดที่จะสลดใจไม่ได้ ตอนที่นางเป็นนางกำนัลในโรงซักล้างนั้น คนที่ใหญ่ที่สุดก็เป็นเพียงแค่หมัวหมัว การรังแกคนนั้นมีอยู่เป็นประจำ แต่เรื่องตีเรื่องฆ่านั้นไม่เคยเกิดขึ้นเลย
และนางก็ไม่เคยรู้จักผู้มีอำนาจสูงศักดิ์ในวังนี้อย่างจริงจังเลยแม้แต่คนเดียว แต่พอมาอยู่ในตำหนักกุ้ยเฟยแล้วกลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น กุ้ยเฟยพอใจก็อาจตีเจ้า หากไม่พอใจก็ฆ่าเจ้าได้เลย
ความเป็นความตายของเจ้าเพียงขึ้นอยู่กับคำพูดเรื่อยเปื่อยเพียงคำเดียวของนาง เซียงฉือกลัวการล่วงเกินกุ้ยเฟยอย่างยิ่ง ด้วยนางไม่รู้ว่าจะต้องจบชีวิตลงอย่างปุบปับหรือไม่ ดังนั้นทุกวันจึงรับใช้ด้วยความรอบคอบระมัดระวัง
จนกระทั่งนางได้กลายมาเป็นข้าราชสำนักสตรีและคิดว่าสามารถเป็นผู้หญิงแบบสวี่อี้และเหอจิ่นเซ่อ สามารถยืดอกเชิดหน้าได้ทุกเวลา ใช้ชีวิตอย่างใจกว้างเผื่อแผ่ แต่ว่านางผิดแล้ว ผิดที่นางคำนวณความอดทนของกุ้ยเฟยที่มีต่อนางผิดพลาดไป
สวี่อี้กับเหอจิ่นเซ่อนอกจากจะเป็นข้าราชสำนักสตรีแล้ว นอกวังยังมีชาติตระกูลที่สลับซับซ้อน หากพวกนางต้องเสียชีวิตอยู่ในวังโดยไม่รู้สาเหตุ ย่อมต้องเกิดเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นในราชสำนัก ส่วนนางหากตายไปจะเป็นเช่นไร แน่นอนว่าไม่มีใครที่จะทำเรื่องฟ้องร้องให้นาง ไม่มีแม้แต่ฟองคลื่น
นางรู้ว่านี่คือความแตกต่างที่จริงแท้ที่สุดของดอกบัวที่มีรากกับจอกแหนที่ไร้ราก
เซียงฉือรู้ว่านางไม่อาจเป็นดอกบัวที่เกิดแต่โคลนตมแต่ไม่ติดตมได้ แต่นางก็ไม่ต้องการจะจมน้ำตายอยู่ในสระ นางจะล่องลอยไปตามลมเฉกเช่นใบไม้ที่ร่วงหล่นใช้ชีวิตอยู่รอดในคลื่นลมด้วยความระมัดระวัง
ค่อยๆ เกิดประสาทรับรู้ ฝังตัวและเลือดเนื้อลงในทะเล ขึ้นลงไปตามทะเลอย่างเสรีสง่างาม
เซียงฉือเห็นกุ้ยเฟยค่อยๆ หรี่ตาลงก็ทอดถอนอยู่ในใจ คิดว่าคำพูดของตนคงไม่สามารถทำให้กุ้ยเฟยเลิกล้มความคิดที่จะฆ่าตนได้
นางคร้านที่จะไปคิดว่าตนเองพูดผิดหรือพูดไม่ดีที่ตรงไหน ได้แต่มองดูกุ้ยเฟยอย่างสงบเงียบ ไม่ร้องขอ ไม่โศกเศร้า เพียงแต่คิดถึงคนที่รอคอยนางตลอดมาแล้วทอดถอนอยู่ในใจ
‘เหอเจี่ยนสุย ข้าอวิ๋นเซียงฉือชะตาชีวิตอับเฉานัก ชีวิตนี้คงไร้วาสนากับเจ้าแล้ว’
จินกุ้ยเฟยเห็นท่าทางของเซียงฉือความชั่วร้ายก็ยิ่งบังเกิด วันนี้นางให้ไปจับตัวเซียงฉือมาเพื่อจะปิดปากนาง แต่การปล่อยให้นางได้พูดมาขนาดนี้ ถือเป็นความกรุณามากแล้ว
ตอนที่ 322 เรื่องไม่คาดคิด
ไม่สนใจว่าเซียงฉือจะเป็นอย่างไร เมื่อไรก็ตามที่หมดประโยชน์ต่อนางแล้ว กับลูกสาวขุนนางต้องโทษคนหนึ่ง นางอยากฆ่าทิ้งเสียเมื่อไหร่ก็ย่อมได้
เพราะตลอดมานางไม่รู้ดีชั่ว อีกทั้งกุ้ยเฟยยังเชื่อถือเซียงซือมากกว่า ถึงแม้หวังหมัวหมัวคิดจะช่วยขอความเมตตาให้แก่นาง แต่อย่างไรจินกุ้ยเฟยก็ไม่ชอบหญิงสาวคนนี้เพราะนางมักจะรู้สึกว่า สายตาที่นิ่งสงบดุจน้ำของหญิงสาวคนนี้ ในความไม่สะทกสะท้านนั้นคือการเยาะเย้ยนาง นางไม่ชอบหญิงสาวคนนี้ตลอดมา แต่เพราะเมื่อก่อนนางยังพอมีประโยชน์อยู่บ้าง
แต่มาบัดนี้ใช้การอะไรไม่ได้แล้ว และนางก็ไม่ต้องการจะใช้อีกต่อไป
ทั้งเซียงฉือและคนอื่นๆ ในห้องต่างเห็นแววเข่นฆ่าในดวงตาของกุ้ยเฟย ทุกคนไม่มีความสงสัยแม้แต่น้อยเลยว่า ถัดจากนี้ไปเซียงฉือจะต้องถูกสวีหมัวหมัวกับหลินหมัวหมัวจับกดลงในน้ำจนจมน้ำตาย
แต่ว่า ในขณะที่นางคิดจะลงมือนั้นก็ได้เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น
ขันทีคนหนึ่งวิ่งลนลานเข้ามาจากด้านนอกแล้วไปกระซิบกระซาบอยู่ข้างหูจินกุ้นเฟย ท่าทางของกุ้ยเฟยเปลี่ยนไป มองดูเซียงฉือด้วยสายตาบิดเบี้ยว
“กุ้ยเฟยเสด็จกลับก่อนเถิดเพคะ ส่วนนาง…”
แน่นอนว่าหวังหมัวหมัวย่อมได้ยินเนื้อหาใจความด้วยเช่นกัน และรู้ว่ากุ้ยเฟยควรรีบไปจากที่นั่นทันที แต่จะทำอย่างไรกับเซียงฉือเล่า
จินกุ้ยเฟยมองดูเซียงฉือ ครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะแล้วพูดขึ้น
“จะให้เกิดเรื่องขึ้นไม่ได้ ปล่อยนาง เอาตัวไปไว้ข้างหอทิงเฟิง”
เซียงฉือได้ยินคำพูดนั้นแล้วเหมือนได้รับการอภัยโทษใหญ่ พอกุ้ยเฟยพูดจบก็ลุกขึ้นจากไป เซียงฉือไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นถึงทำให้กุ้ยเฟยฉุกละหุกเช่นนี้ หรือว่าฝ่าบาทจะเสด็จมา
เซียงฉือคิดได้ไม่ทันไรก็ถูกปิดตาแล้วรวบขึ้นทั้งตัว ถูกพาออกไปอย่างมึนงง
ที่เซียงฉือรอดตายมาได้นั้นเป็นไปตามที่นางคาดคิด เพราะว่ามีคนมาและไม่ใช่เพียงคนเดียว
ฮ่องเต้ ใต้เท้าสวี่และใต้เท้าเหอรวมกันมาทั้งสามคน สวี่อี้หน้าดำคร่ำเครียด ดูท่าจะอารมณ์ไม่ดีอย่างมาก ฮ่องเต้นั่งอยู่ในตำหนักหน้าของตำหนักอวี้หยวนมานานแล้วแต่ไม่เห็นเงาร่างกุ้ยเฟย เขามีความสงสัยไม่น้อยในเรื่องที่เหอจิ่นเซ่อกับสวี่อี้ทูล
เซียงฉือถูกคลุมด้วยผ้าคลุมหน้าสีดำแล้วถูกคนสามคนหามออกนอกประตูไป นางไม่กล้าร้อง กระทั่งมีแสงสว่างเล็กน้อยลอดเข้าไปในถุงผ้าสีดำ นางจึงมั่นใจว่าได้หลุดออกจากคุกของตำหนักอวี้หยวนแล้ว
นางถอนหายใจ ถึงจะยังไม่รู้ชะตากรรมข้างหน้า แต่ก็นับว่าได้หลุดรอดจากความตายแล้ว
หรงจิงรออยู่สักพัก เหอจิ่นเซ่อยังเก็บอารมณ์ไว้ได้จึงยืนคอยอยู่ด้านข้างอย่างสงบ ส่วนสวี่อี้เดินไปเดินมาอยู่ด้านหลังฮ่องเต้
“ฝ่าบาท ปกติกุ้ยเฟยทรงอยู่แต่ในตำหนักไม่ค่อยออกไปไหน แต่วันนี้ไม่รู้ว่าเสด็จไปไหนจึงยังไม่เสด็จออกมาให้เห็น หรือว่า…”
เหอจิ่นเซ่อกระซิบบอกความสงสัยของตนที่ข้างหูหรงจิง แต่ว่ายังพูดไม่จบก็ได้ยินเสียงพ่นลมออกจมูกขึ้น
“ฮึ! ใต้เท้าเหอพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร สบประมาทข้าเช่นนั้นหรือ”
เสียงของจินกุ้ยเฟยตัดทอนคำพูดนาง เหอจิ่นเซ่อได้ยินเข้าก็ฝืนยิ้มแล้วปิดปากเงียบ ทำการคารวะต่อจินกุ้ยเฟยที่เดินออกมาจากด้านใน
กุ้ยเฟยแสร้งทำบิดขี้เกียจ บนศีรษะเสียบปิ่นเรียบๆ อันหนึ่งอย่างหมิ่นเหม่ ท่าทางเกียจคร้านงดงาม
พอเห็นหรงจิงในชุดลำลองนั่งอยู่จึงยิ้มหวานแล้วโผเข้าไปหา
“ฝ่าบาทไยเสด็จมาโดยไม่มีการแจ้งล่วงหน้าเล่าเพคะ หม่อมฉันหลับไปตื่นหนึ่งแล้ว ทำให้ต้องทรงคอยนาน”
จินกุ้ยเฟยอิงแอบอยู่บนร่างหรงจิงราวกับร่างกายไร้กระดูก ร่างนั้นเหมือนกับมนุษย์งูสตรีที่งดงาม เกี่ยวรัดกระหวัดฮ่องเต้ไว้แน่นยิ่ง
ตอนที่ 323 ถ่วงเวลา
หรงจิงเห็นนางดังนั้นและได้ยินคำพูดของนางทว่ายังไม่ตอบอะไร เพียงมองดูเหอจินเซ่อกับสวี่อี้ที่ด้านข้าง
สวี่อี้เข้าใจความหมายแล้วสบตากับเหอจิ่นเซ่อ เตรียมจะก้าวออกมาข้างหน้า
ทว่ามือของเหอจิ่นเซ่อจู่ๆ ก็ยื่นออกมาเบื้องหน้าสวี่อี้ ขวางทางนางไว้ คิ้วเรียวของเหอจิ่นเซ่อเลิกขึ้น แล้วเดินออกไปพูดขึ้นก่อนว่า
“เป็นความผิดของหม่อมฉันที่รบกวนเวลาพักผ่อนของกุ้ยเฟยเพคะ แต่ว่าหม่อมฉันดูแลกองราชเลขา มีความจำเป็นต้องรับผิดชอบต่อคนในกองเพคะ หม่อมฉันได้รับแจ้งอย่างลับๆ ว่า มีคนลักพาตัวข้าราชสำนักสตรีในกองราชเลขาอวิ๋นเซียงฉือไปจากตำหนักเจิ้งหยาง จนบัดนี้ยังหาตัวไม่พบเพคะ”
“ผู้แจ้งข่าวลับยังบอกอีกว่าเซียงฉือถูกหวังหมัวหมัวของตำหนักอวี้หยวนพาตัวไป ดังนั้นจึงได้ร่วมกับใต้เท้าสวี่จากกองคดีเพื่อช่วยกันสืบหาข้อเท็จจริง ทั้งนี้ก็เพื่อพระเกียรติของกุ้ยเฟยด้วย หวังว่ากุ้ยเฟยจะไม่ทรงถือโทษนะเพคะ”
การที่สวี่อี้คิดจะพูดนั้นเพราะว่านางเป็นคนได้รับข่าวลับก่อน แต่เมื่อเหอจิ่นเซ่อพูดขึ้นเช่นนี้ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะนางเตรียมวางค่ายกลหรือดูออกว่ากุ้ยเฟยในตอนนี้หนักแน่นเยือกเย็น คิดว่านางคงเตรียมรับมือเรื่องนี้ไว้ดีแล้ว หากสวี่อี้ออกหน้า ก็จะกลายเป็นล่วงเกินกุ้ยเฟยไปทั้งสองคน ในเมื่อนางได้เคยล่วงเกินไปแล้ว มิสู้ปล่อยให้เป็นหน้าที่นางรับผิดชอบไปเสียจะดีกว่า
พอเหอจิ่นเซ่อพูดจบกุ้ยเฟยก็ระเบิดโทสะใหญ่ นางลุกพรวดขึ้นจากข้างกายฮ่องเต้จ้องมองเหอจิ่นเซ่อและสวี่อี้ ร่างกายสั่นเทิ้มด้วยความโกรธ
แต่นางก็พยายามระงับความโกรธที่อยากเฆี่ยนตีคน แล้วชี้เหอจิ่นเซ่อพูดว่า
“ใต้เท้าเหอไม่มีหลักฐานอะไรก็คิดจะมาค้นหาคนในตำหนักข้าเช่นนั้นหรือ บังอาจ!”
จินกุ้ยเฟยในตอนนี้โกรธจนถึงขีดสุด หากไม่ใช่เพราะหรงจิงอยู่ข้างกายนาง นางจะต้องถลกหนังเหอจิ่นเซ่อทั้งเป็นแน่ ผู้หญิงคนนี้ใกล้ชิดกับฝ่าบาทเสมอมา หากไม่ใช่เพราะเห็นว่านางสูงวัยความงามถดถอย ไม่มีทางที่ฝ่าบาทจะทรงชิดเชย มิเช่นนั้นนางย่อมไม่มีทางปล่อยไว้เป็นแน่
แต่ว่าระยะนี้เหอจิ่นเซ่อมักชอบยั่วให้นางโกรธ เอะอะก็คัดง้างกับนางอยู่เสมอ ทำให้นางแค้นเคืองอย่างยิ่ง ครั้งนี้ยังมาถูกนางจับได้อีกจึงไม่ต่างกับถูกนางเหยียบหางเข้า
เหอจิ่นเซ่อมีความสุขุมเยือกเย็นเสมอมา ได้ฟังเช่นนั้นก็ไม่โต้แย้ง เพียงพูดอย่างเรียบๆ
“เป็นเพราะหน้าที่ หม่อมฉันมิได้มีเจตนาจะล่วงเกินกุ้ยเฟยเพคะ ระบบข้าราชสำนักสตรีในวังนี้บูรพกษัตริย์ได้ทรงบัญญัติไว้แล้ว พวกนางมิใช่นางกำนัลทั่วไป ทุกคนล้วนเป็นเสาหลักของชาติ จะทำการใดก็ต้องรอบคอบระวังเพคะ”
“หม่อมฉันทราบว่ากุ้ยเฟยมีน้ำพระทัยกว้างขวาง ย่อมจะไม่ทำให้หม่อมฉันต้องลำบากใจกับเรื่องนี้เป็นแน่ แต่อวิ๋นเซียงฉือเป็นข้าราชสำนักสตรีในกองราชเลขาของหม่อมฉัน หม่อมฉันจึงต้องรับผิดชอบถึงที่สุด หากไม่สนใจกับความเป็นตายของนางแล้ว จะมิเป็นการทำให้ข้าราชการทั้งหลายในแผ่นดินเสียขวัญหรือเพคะ”
เหอจิ่นเซ่อพูดไปบนหลักเหตุและผล นางเป็นผู้มีความรู้กว้างขวาง ถึงตอนนี้จะไม่ยกเอาตำราปราชญ์มาอ้าง แต่ก็อัญเชิญเอาบารมีบูรพกษัตริย์มาใช้อย่างราบรื่น
จินกุ้ยเฟยก็เป็นคนมีคารมใช่ย่อย แต่ตอนนี้คิดไม่ออกว่าจะโต้แย้งประเด็นนี้อย่างไร นางได้ขอโทษก่อนแล้ว แต่กุ้ยเฟยยังโกรธ พวกนางจะมาก็มาสิ เหตุใดต้องพาฮ่องเต้มาด้วย
คิดแล้วกุ้ยเฟยก็ซุกตัวลงข้างกายฮ่องเต้ พูดอย่างเฝื่อนๆ
“ฝ่าบาทไม่ได้เสด็จมาตำหนักอวี้หยวนนานแล้ว คืนนี้เสด็จมาก็พากันมากล่าวโทษ หม่อมฉันไม่ยอมนะเพคะ”
กุ้ยเฟยในตอนนี้เพียงต้องการถ่วงเวลา ไม่ว่าอย่างไรจะให้พวกนางพบเห็นอวิ๋นเซียงฉืออยู่ในตำหนักอวี้หยวนไม่ได้โดยเด็ดขาด
กุ้ยเฟยคิดแล้วจึงโปรยเสน่ห์ต่อฮ่องเต้ หรงจิงยิ้ม
“พากันมากล่าวโทษอะไรกัน กุ้ยเฟยเป็นคนที่ถูกใจข้าที่สุดเสมอมา แต่เรื่องข้าราชสำนักสตรีไม่ใช่เรื่องเล็ก ในเมื่อมีคนแจ้งข่าว อีกทั้งคนก็หายไปด้วย เรื่องนี้ไม่อาจไม่ตรวจสอบ”
“และเมื่อมีการระบุตัวออกมาแล้วว่าเป็นหวังหมัวหมัว เพื่อกุ้ยเฟยจะได้พ้นจากข้อครหา ยังคงให้พวกนางค้นหาในตำหนักเจ้าจะดีกว่า”
ตอนที่ 324 สืบสวน
พอหรงจิงพูดจบสีหน้าของกุ้ยเฟยก็เปลี่ยนไปทันที เดิมนางยังคงคาดหวังแต่ตอนนี้มลายไปแล้ว แต่ความมัวหมองบนใบหน้าก็ผ่านไปแทบจะในทันที
จินกุ้ยเฟยยิ้มแล้วโผไปบนร่างหรงจิงทันที หรงจิงลูบไล้แขนนางโดยไม่ลังเล ตีเบาๆ ไปสองครั้ง ทว่าใบหน้าจินกุ้ยเฟยที่ซุกซ่อนอยู่ในเงามืดนั้นฉายรังสีอำมหิต
“ใต้เท้าสวี่กับใต้เท้าเหอทำตามหน้าที่ หม่อมฉันจะขัดขวางได้อย่างไรเพคะ ตำหนักอวี้หยวนของหม่อมฉันก็มีเพียงเท่านี้ ใต้เท้าทั้งสองสามารถไปค้นหาได้ทันที”
“แต่ว่า!”
จินกุ้ยเฟยทรงตัวขึ้นจากร่างหรงจิง เงยหน้ามองเหอจิ่นเซ่อที่ข้างกายช้าๆ พูดยิ้มๆ ว่า
“แต่ถ้าหากหาตัวไม่พบ ใต้เท้าเหอ ข้าหวังว่าท่านจะอธิบายเหตุผลที่เหมาะสมแก่ข้าได้นะ”
ท่าทางของจินกุ้ยเฟยในตอนนี้ยังดูอ่อนโยน แต่คำพูดที่อึดอัดนั้นทำให้คนหนักใจบ้าง สวี่อี้เป็นคนฉลาด เมื่อเห็นสถานการณ์นี้ก็เข้าใจที่เมื่อครู่เหอจิ่นเซ่อขวางนางไว้ก็เพื่อไม่ให้นางต้องตกเข้าไปสู่สภาพการณ์เช่นนี้
“เรื่องที่กุ้ยเฟยรับสั่ง หม่อมฉันจดจำไว้แล้ว ขอกุ้ยเฟยโปรดวางพระทัยเพคะ”
หรงจิงได้ยินที่ทั้งคู่พูดกัน เขาก้มลงดื่มชา เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องให้ความสนใจอีก ถึงเขาจะไว้วางใจทั้งเหอจิ่นเซ่อและสวี่อี้ แต่ขณะเดียวกันหากไม่มีหลักฐานหรือแม้จะเป็นหลักฐานทางตรง เขาก็จะไม่เข้าข้างนางทั้งสองอย่างเด็ดขาด
จินกุ้ยเฟยได้ยินแล้วก็ยิ้ม นางเดินไปข้างกายฮ่องเต้พูดขึ้น
“ฝ่าบาท ตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว ดูท่าใต้เท้าทั้งสองยังคงกระฉับกระเฉงอยู่ ส่วนฝ่าบาทพรุ่งนี้ยังต้องประชุมราชสำนักเช้า เช่นนั้นให้พวกนางไปตรวจค้นในห้องนอนหม่อมฉันก่อนดีไหมเพคะ เสร็จแล้วฝ่าบาทจะได้ทรงพักผ่อนก่อนได้”
กุ้ยเฟยพูดเช่นนั้นหรงจิงก็พยักหน้า นางส่งสายตาให้หวังหมัวหมัวที่ข้างๆ อย่างมีความหมายลึกซึ้ง จากนั้นประคองฮ่องเต้เตรียมไปยังห้องนอน เหอจิ่นเซ่อใจเต้นระทึก จินกุ้ยเฟยคนนี้มีความสามารถดีทีเดียว
ถึงจะบอกให้ไปตรวจค้นในห้องนอนก่อน แต่ตอนนี้ฝ่าบาทกำลังเตรียมจะไป แล้วพวกนางจะกล้าลงมือค้นต่อหน้าฝ่าบาทหรือ
นางเพิ่งออกมาจากห้องนอน ที่นั่นเป็นสถานที่อันตรายที่สุด แต่เมื่อเป็นเช่นนี้ที่นั่นจึงกลายเป็นสถานที่อันตรายที่พวกนางควรหลบเลี่ยงไปเสียแล้ว สวี่อี้ก็ไม่ใช่คนบุ่มบ่าม ได้ยินดังนั้นก็ยิ่งเข้าใจจึงหันหน้าไปสั่งความกับนางกำนัลด้านหลัง แล้วยิ้มแข็งเกร็งให้กับกุ้ยเฟยพร้อมเหอจิ่นเซ่อ
ฮ่องเต้เดินเข้าไปในห้องกุ้ยเฟยอย่างว่าง่าย หรงจิงไม่ได้เหยียบย่างฝ่ายในมาครึ่งเดือนแล้ว ไม่ใช่เพราะเขาไม่ต้องการเข้าใกล้อิสตรี แต่เป็นเพราะภัยแล้งภัยน้ำจากทุกที่เข้ามาไม่ขาด เขาไม่มีปัญญาจะแยกร่าง งบบรรเทาภัยที่ส่งไปครั้งแล้วครั้งเล่าก็ไม่เห็นเป็นผล
แล้วที่ฝ่ายในยังมาเกิดเรื่องข้าราชสำนักสตรีถูกลักพาตัวขึ้นอีก อีกทั้งยังเป็นข้าราชสำนักสตรีข้างกายเขาอีกด้วย เซียงฉือกับเขามีความสัมพันธ์ฉันคนรู้จักคุ้นเคย ยังมีคนกล้าทำเหิมเกริมอยู่ข้างกายฮ่องเต้อย่างเขา เขาจะทนได้อย่างไร
พอได้ยินเหอจิ่นเซ่อกับสวี่อี้ไปบอกว่าเซียงฉือถูกคนจับตัวไป ในตอนแรกเขายังไม่เชื่อจึงไปยังห้องของเซียงฉือ ได้เห็นเพียงควันหอมที่นางจุดไว้กับกระดาษและหมึก แต่ไม่พบคน
หรงจิงตกใจอย่างหนัก เมื่อได้ยินว่าคนที่ลักพาตัวคือหวังหมัวหมัวจากตำหนักอวี้หยวน กอปรกับคิดถึงเรื่องที่เหลียนชินอ๋องเข้าพบและพูดกับเขาในวันนี้ หรงจิงจึงเกิดความมั่นใจหลายส่วน
หากมิใช่เรื่องนี้ ข้าราชสำนักสตรีขั้นเก้า ไม่ใช่สิ ขั้นเก้าชั้นโท จะทำให้เขาถึงกับยกขบวนมาใหญ่โตกลางดึกเช่นนี้หรือ
หรงจิงคิดไปว่ากุ้ยเฟยกับจวนขุนพลจินบ้านเดิมนางนั้น บัดนี้ใจกล้าทำได้ถึงขนาดนี้ แม้กระทั่งกล้าแตะต้องเซียงฉือที่อยู่ข้างกายเขา การกระทำเช่นนี้ไม่ต่างจากการดูถูกเขา
ตอนที่ 325 เจตนาของฝ่าบาท
หากเรื่องนี้เป็นความจริง เช่นนั้นบ้านสกุลจินกับจินกุ้ยเฟย หรงจิงคิดในใจแล้วบังเกิดความรังเกียจขึ้นเป็นระลอก แต่ไม่ได้แสดงออกมาในตอนนี้
ฮ่องเต้พระองค์ก่อนปกครองแผ่นดินด้วยคุณธรรม ปฏิบัติต่อเหล่าขุนนางอย่างมีเมตตา และให้เบี้ยหวัดสูง
ตั้งแต่บูรพกษัตริย์ได้ปกครองแผ่นดินมาก็ใช้บทลงโทษหนัก เข้มงวดกวดขันกับเหล่าขุนนางทุจริต แต่พอถึงรัชกาลก่อนกลับใช้นโยบายทางการเมืองรวมประเทศใช้ระบบการให้ผลตอบแทนสูง เพื่อเป็นการประกันความสุจริตของข้าราชการ ส่งเสริมการศึกษาหลักปรัชญาของขงจื๊อเมิ่งจื๊อ เผยแผ่พุทธศาสนาอย่างเต็มที่ นับเป็นยุคแห่งความสงบ
ทว่าตั้งแต่หรงจิงขึ้นครองบัลลังก์มา ราชสำนักฝ่ายหน้ามีเงินเดือนสูงแต่ทว่าไม่สุจริต ทั้งยังมีตัวมอดเกิดขึ้นมามาก เขาขยันอดออมทำงานเพื่อประชาชนมาโดยตลอด เพราะขึ้นครองราชย์แต่เยาว์วัยพื้นฐานจึงไม่มั่นคงพอ เขารู้เขาเข้าใจดีว่าน้ำที่ใสเกินไปนั้นจะไม่มีปลาแหวกว่าย
แต่ระยะนี้คดีทุจริตเงินเดือนและเสบียงกองทัพ คดีทุจริตตัวเลขผลตอบแทนต่างๆ อีกทั้งความรุนแรงจากเจ้าต่างเผ่าองค์ใหม่ทางภาคเหนือล้วนเกิดขึ้นเพราะการทุจริตหนักในกองทัพ และหัวหอกชี้ไปทางจวนขุนพลจิน
ทำให้หรงจิงที่พึ่งพาจวนขุนพลจินมาโดยตลอดบันดาลโทสะ ระบบการให้เงินเดือนสูงของเขานอกจากเหล่าขุนนางจะไม่สำนึกบุญคุณแล้ว กลับยังเป็นการก่อเกิดความต้องการและละโมบของพวกเขาเสียอีก
ระบบการให้ผลตอบแทนสูงนี้ ในระดับของเซียงฉือที่เป็นข้าราชสำนักสตรีเริ่มจากขั้นที่เก้า นอกจากที่ดิน ข้าวสารแล้ว เซียงฉืออยู่ในตำหนักเจิ้งหยาง สวัสดิการต่างๆ จะได้รับสูงขึ้นหนึ่งขั้นเท่ากับขั้นที่แปด ซึ่งขั้นที่แปดชั้นเอกนี้จะได้รับข้าวปีละหนึ่งร้อยหาบ เพียงพอสำหรับการบริโภคของหนึ่งครอบครัวใหญ่ อีกทั้งสิ่งของประกอบอื่นๆ อีก
แล้วเหตุใดพวกเขาจึงยังทุจริต โดยเฉพาะอย่างยิ่งขุนนางสำคัญในราชสำนัก ซึ่งเป็นขุนนางมีสถานะสูงสุดแต่กลับมาเป็นปรปักษ์กับเขา
หรงจิงมีความคิดมากมายเกิดขึ้น เห็นได้ชัดยิ่งขึ้นจากสายตาที่มองไปทางสวี่อี้
กุ้ยเฟยนำหวังหมัวหมัวเข้าไปจัดปูเตียงด้านในเพื่อให้ฝ่าบาทบรรทม ส่วนหรงจิงมองสวี่อี้ กำนิ้ววางบนโต๊ะแล้วเคาะสองครั้งอย่างไม่เป็นที่สังเกต
สวี่อี้เห็นสายพระเนตรฮ่องเต้และเข้าใจเจตนาของหรงจิงจึงก้มหน้าทำความเคารพแล้วหมุนกายออกไป ส่วนเหอจินเซ่อก็มารับหน้าที่แทนสวี่อี้อย่างเหมาะเจาะ สั่งการให้ข้าราชสำนักสตรีข้างกายค้นหาอย่างละเอียดถี่ถ้วน
สวี่อี้กับเหอจิ่นเซ่อล้วนเป็นผู้คร่ำหวอดในวังจึงรู้และเข้าใจสถานการณ์ดีที่สุด เดิมทีพวกนางได้รับข่าวว่ากุ้ยเฟยลักพาตัวเซียงฉือ ความหมายของผู้ส่งข่าวคือกุ้ยเฟยเตรียมลงมือกำจัดเซียงฉือ เมื่อพวกนางได้ฟังดังนั้นจึงรีบไปรายงานฮ่องเต้
ความตั้งใจของเหอจิ่นเซ่อคือการไปขอพระราชโองการเพื่อจะไปช่วยคนในตำหนักกุ้ยเฟย แต่ฮ่องเต้พอได้ฟังแล้วบันดาลโทสะรุนแรง นำเหอจิ่นเซ่อกับสวี่อี้มาตำหนักจินกุ้ยเฟยโดยตรง
เพราะค่ำมืดสงบเงียบ แสงไฟในตำหนักกุ้ยเฟยดับลงแล้ว แต่จู่ๆ ฮ่องเต้เสด็จมา ความโกลาหลจึงเกิดขึ้น แม้แต่กุ้ยเฟยก็ยังกรีดกรายออกมาช้า
เห็นหรงจิงไม่ถือสานาง ทำให้เหอจิ่นเซ่อกับสวี่อี้ไม่เข้าใจเจตนาของเขาจึงยังคงไม่เคลื่อนไหว ครั้งนี้พวกนางแหวกหญ้าให้งูตื่นไปแล้ว แต่กิริยาของหรงจิงเมื่อครู่สวี่อี้เข้าใจ นางจึงออกนอกประตูไป เพื่อไปจัดการเรื่องนี้อย่างจริงจัง
วังนี้เป็นฝ่ายในของฝ่าบาท ที่พวกนางดูแลก็คืองานในบ้านของฝ่าบาท เรื่องอะไรที่ควรตรวจสอบหรือไม่ควร ก็เป็นไปตามเจตนาของพระองค์
เพราะฝ่าบาทเท่านั้นที่เป็นประมุขของทุกคนในแผ่นดิน มีเพียงฝ่าบาทเท่านั้นที่สามารถกำหนดความเป็นตายของทุกคนในฝ่ายใน
กุ้ยเฟยลงมือจัดที่นอนให้เรียบเพื่อฮ่องเต้ด้วยตนเอง เสร็จแล้วจึงเดินไปข้างกายพูดเสียงอ่อนระทวย
“ฝ่าบาท หม่อมฉันจัดพระแท่นบรรทมเสร็จแล้ว เชิญบรรทมได้แล้วเพคะ ส่วนเรื่องเล็กน้อยพวกนั้นปล่อยให้เป็นหน้าที่ของใต้เท้าเหอกับใต้เท้าสวี่เถิดเพคะ”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น