บุปผาเคียงบัลลังก์ 318-325

 ตอนที่ 318 คดีบ้านสกุลจิน 


 


 


การที่เซียงฉือไม่พูดอะไร ก็เพราะนางคิดถึงเรื่องที่ซูกงกงบอกแก่นางในวันนี้ขึ้นมา 


 


 


‘ให้ตายเถอะ สมแล้วที่ถูกฝ่าบาทตรัสเรียกว่าเจ้าเด็กต๊อง ทำเอาข้าต้องเหงื่อแตกไปเพราะเจ้านี่แหละ’ 


 


 


ซูกงกงเหลือบตามองเซียงฉืออย่างเลื่อมใส 


 


 


เซียงฉือได้ยินแล้วก็ไม่กล้าอวดดีรีบคารวะกลับปากพร่ำบอกแต่ว่ามิบังอาจ มิบังอาจ 


 


 


แล้วซูกงกงก็บอกเล่าที่มาที่ไปของเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้ให้เซียงฉือฟังอย่างหมดเปลือก 


 


 


‘วันนี้เหลียนชินอ๋องเสด็จกลับมาถวายรายงานเรื่องที่พระองค์ได้รับราชโองการให้เสด็จไปตรวจสอบเรื่องการทุจริตในแถบตะวันตกเฉียงเหนือและเฉียงใต้ เมื่อกลับมาถวายรายงาน สวรรค์ช่วยด้วยเถิด จำนวนเงินมหาศาลจนน่าตกใจจริงๆ และที่สำคัญที่สุด ตระกูลฝั่งมารดาของจินกุ้ยเฟยนั่นแหละที่เป็นเสือร้ายตัวใหญ่ที่สุด’ 


 


 


‘จินกุ้ยเฟยเป็นคนข้างพระเขนยของฝ่าบาท พระองค์จึงทรงพระพิโรธอย่างยิ่ง’ 


 


 


เมื่อเซียงฉือคิดถึงคำพูดในตอนนั้นแล้ว นางจึงกระจ่างใจถึงจุดประสงค์ที่กุ้ยเฟยเรียกนางมาในวันนี้ 


 


 


ซูกงกงเองแต่ไรมาเป็นคนที่ทำงานหนักแน่นไม่แย้มพรายอะไรง่ายๆ หากเป็นคนอื่นเขาจะไม่พูดอะไรมากเช่นนี้ 


 


 


แต่พวกเขาต่างล้วนเป็นคนข้างกายฝ่าบาทจึงไม่จำเป็นต้องปิดบังอะไร ทั้งซูกงกงเองก็ปรารถนาจะสร้างไมตรีกับนาง เพราะเซียงฉือเป็นคนแรกที่ฝ่าบาทพาไปยังหอทิงเฟิงด้วยพระองค์เอง 


 


 


การได้รับสิทธิ์เช่นนี้สมควรที่ซูกงกงจะไปตีสนิทด้วย ไม่ว่าจะเพราะแม่นางน้อยนี้มีฝีไม้ลายมือหรือเป็นเพราะฝ่าบาททรงมีใจกับนาง ท้ายสุดยังคงเป็นเจ้าเด็กคนนี้ที่ได้รับพระกรุณาอย่างยิ่ง 


 


 


เซียงฉือไม่รู้เท่าทันการคิดคำนวณของซูกงกง เข้าใจว่าซูกงกงดีกับนางเสมือนเป็นพวกเดียวกันจึงเกิดความซาบซึ้งใจอย่างมาก 


 


 


เมื่อคิดถึงคำพูดของซูกงกงแล้วจึงมองดูหน้าตาของหวังหมัวหมัวในวันนี้อีกครั้ง นางครุ่นคิดในใจแล้วก็ประจักษ์แจ่มชัด 


 


 


ฝ่าบาทเคยตรัสกับนางว่าเมื่อเป็นข้าราชสำนักสตรีงานอักษรแล้วจะไม่สะดวกเข้าไปฝ่ายในได้บ่อยนัก เพราะพวกสนมกำนัลทั้งหลายแหล่เหล่านั้นจะใช้สารพัดวิธีการเพื่อเค้นหาข่าวคราวจากนาง 


 


 


เซียงฉือซึ่งไม่เข้าใจในตอนแรก ถึงบัดนี้ได้เข้าใจอย่างแจ่มแจ้งแล้ว 


 


 


นางไม่เคยติดค้างอะไรกุ้ยเฟยมาก่อน เหตุใดนางต้องทำงานให้กับกุ้ยเฟยด้วย ทั้งกุ้ยเฟยยังพูดถึงท่านปู่นางอย่างไร้มารยาทแบบนั้น ไม่มีทางที่นางจะโง่ถึงกับจะเอาตัวเองไปเสี่ยงเพื่ออีกฝ่าย 


 


 


ถึงแม้เซียงฉือจะเข้าใจความโยงใยนั้นแล้วแต่ก็ไม่อาจที่จะไม่ตอบหวังหมัวหมัวกับจินกุ้ยเฟย 


 


 


นางจึงทำเป็นไม่รู้เรื่องราวอะไร ทำตัวหดลีบลงอย่างหวั่นเกรง 


 


 


“หมัวหมัวกำลังพูดเรื่องอะไรเจ้าคะ หลายวันก่อนบนโต๊ะพระอักษรมีรายงานถามทุกข์สุขจากท่านขุนพลจินวางอยู่ ในนั้นเพียงสอบถามถึงกุ้ยเฟยว่าทรงสุขสำราญดีหรือไม่ ข้าไม่เห็นว่าจะมีความผิดปกติที่ตรงไหน” 


 


 


“ไม่ทราบว่าหวังหมัวหมัวอีกทั้งกุ้ยเฟยต้องการถามถึงเรื่องอะไรหรือเจ้าคะ” 


 


 


น้ำเสียงเซียงฉือแฝงความหวาดหวั่นทำให้กุ้ยเฟยพอใจอย่างยิ่ง แต่คำตอบของนางทำให้หวังหมัวหมัวต้องขมวดคิ้ว 


 


 


นางเห็นเซียงฉือไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องเหลียนชินอ๋องก็รู้สึกผิดปกติจึงถามกลับไปด้วยท่าทางขึงขัง 


 


 


“วันนี้เหลียนชินอ๋องเข้าวังสนทนากับฝ่าบาทเรื่องอะไรบ้าง เจ้าบอกมาให้หมดแต่โดยดี” 


 


 


เมื่อได้ยินเช่นนั้นเซียงฉือก็รู้ว่านางคาดเดาได้ถูกต้องทั้งหมด จู่ๆ กุ้ยเฟยมาไม้นี้ในค่ำคืนนี้ก็เพื่อต้องการจะเค้นเอาความคิดอ่านของฝ่าบาทออกมาจากนาง 


 


 


นางใคร่ครวญว่าควรจะตอบอย่างไร หากตอบว่าเขาไม่ได้พูดถึง หวังหมัวหมัวย่อมต้องไม่เชื่อ เรื่องนี้จะต้องครึกโครมใหญ่โตที่ทางตะวันตกเฉียงเหนือเป็นแน่ และเมื่อเหลียนชินอ๋องได้เสด็จกลับเข้าวังเพื่อทูลรายงานแล้วจะไม่พูดถึงได้อย่างไร 


 


 


แต่หากบอกว่ามีพูดถึง แล้วจะบอกถึงปฏิกิริยาของฝ่าบาทว่าอย่างไร 


 


 


หรือจะบอกไปว่าตอนนั้นตนเองไม่ได้อยู่ที่นั่นดี 


 


 


สมองเซียงฉือหมุนติ้วทำงานขึ้นอย่างรวดเร็ว 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 319 ตอบความ 


 


 


เซียงฉือคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ยขึ้นอย่างไม่ลังเล 


 


 


“ฝ่าบาทกับเหลียนชินอ๋องทรงรักใคร่สนิทสนมกันมาก วันนี้เหลียนชินอ๋องเสด็จกลับเข้าราชสำนักยังไม่ทันได้เสด็จกลับตำหนักตนก็ไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทเสียก่อนเมื่อเห็นชัดถึงความสนิทสนมของทั้งสองพระองค์แล้ว ข้าจึงคิดว่าทั้งสองพระองค์จะต้องมีเรื่องสนทนากันมากจึงไม่ได้เข้าไปรบกวนเจ้าค่ะ” 


 


 


“อีกทั้งซูกงกงก็ยังอยู่คอยถวายการรับใช้อยู่ตรงนั้น ข้าจึงไปพักผ่อนเจ้าค่ะ” 


 


 


ขณะนั้นเซียงฉือไม่อาจที่จะไม่พูดอะไรและไม่อาจจะบอกไปเสียทุกเรื่องได้ แม้ว่าซูกงกงจะได้เล่าเรื่องราวความเป็นไปในเรื่องนี้แก่นางแล้ว แต่นางไม่คิดจะพูดออกไปอย่างหมดเปลือก 


 


 


จินกุ้ยเฟยฟังคำพูดนั้นแล้วความดูแคลนปรากฏขึ้นเต็มใบหน้า นางหันไปมองหวังหมัวหมัวที่ด้านข้าง เซียงฉือพูดออกมาอย่างไม่มีช่องโหว่ทั้งมีหลักฐานและเหตุผลเช่นนี้แล้ว พวกนางจึงไม่สะดวกจะพูดอะไรมากความอีก 


 


 


เซียงฉือเฉลียวฉลาดมาก นางตอบเช่นนี้เป็นการแสดงว่าเรื่องราวในวันนี้ฝ่าบาทไม่ได้เลี่ยงหลบนางและนางก็ไม่ได้มีเจตนาหลบเลี่ยงจากเรื่องนี้เช่นกัน เพียงแต่นางไม่ได้ให้ความสนใจ ก่อนที่กุ้ยเฟยจะเรียกหานางนางไม่ได้ให้ความสนใจเลยจึงไม่อาจรู้ได้ 


 


 


แต่ถ้าหากกุ้ยเฟยหลอกล่อนางด้วยผลประโยขน์ ไม่แน่ว่าอาจได้ผลลัพธ์อย่างไรบ้าง 


 


 


เซียงฉือไม่ได้พูดอะไรมาก แต่หวังหมัวหมัวคนฉลาดฟังเข้าใจ 


 


 


หวังหมัวหมัวเมื่อเห็นแววตากุ้ยเฟยก็ตระหนักได้ว่าเปลวไฟจากภายในกำลังใกล้ทะลักออกมาแล้ว นางจะยอมให้กุ้ยเฟยทำอะไรตามใจไม่ได้จึงสบสายตานางแล้วส่ายหน้าอย่างเต็มที่ 


 


 


แล้วมองไปยังเซียงฉือที่คุกเข่าอยู่อย่างเชื่อฟังยิ่ง พูดยิ้มๆ ว่า 


 


 


“ช่างเหมาะเจาะเสียจริงๆ ทำให้แม่นางเซียงฉือไม่ได้รับรู้อะไรเลย แต่ว่าฝ่าบาททรงพอพระทัยในตัวเจ้าไม่น้อย ข้ารู้มาว่ายังไม่เคยมีข้าราชสำนักสตรีที่ข้างวรกายพระองค์จะอยู่ได้นานเกินสามเดือน ตอนนี้แม่นางก็ไปอยู่ได้ครึ่งเดือนกว่าแล้ว ฝ่าบาทมีอะไรที่ไม่ทรงพอพระทัยหรือไม่” 


 


 


เซียงฉือถอนใจยาว แต่ยังคงนอบน้อมอยู่ในที พูดขึ้นด้วยความหวาดกลัวว่า 


 


 


“ฝ่าบาทเคยตรัสกับข้าว่า เรื่องที่เป็นปัญหาที่สุดสำหรับพวกที่อยู่ใกล้ชิดพระองค์คือการไปใกล้ชิดสนิทสนมเกินไปกับราชสำนักฝ่ายหน้าและฝ่ายใน เมื่อไรที่ฝ่าบาททรงพบว่าข้าราชสำนักสตรีนำเรื่องความเป็นอยู่และกิจวัตรของพระองค์ไปบอกกับคนอื่น พระองค์จะทรงเปลี่ยนข้าราชสำนักสตรีทันที ดังนั้นข้าจึงต้องใส่ใจระมัดระวังตลอดมา ทั้งยังไม่ค่อยออกนอกประตูตำหนักเจิ้งหยางอีกด้วย” 


 


 


เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ เซียงฉือไม่ได้เสแสร้งแม้แต่น้อย เพราะล้วนเป็นเรื่องที่ฝ่าบาทเคยบอกไว้ทั้งสิ้น และเป็นเรื่องที่ทุกคนรู้กันดีในบรรดาเรื่องมากมายที่พระองค์เคยบอก แต่ก็เป็นเรื่องที่คนอีกมากไม่สามารถปฏิบัติได้ 


 


 


ดังเช่นที่เซียงฉือกำลังประสบอยู่ในขณะนี้ หากว่าไม่พูดเกรงว่าชีวิตจะหาไม่ แต่ถ้าพูดออกไปก็จะเป็นการผิดในเรื่องต้องห้าม 


 


 


แต่ที่นางพูดเช่นนี้เพราะยังมีอีกจุดประสงค์หนึ่ง เพื่อจะให้กุ้ยเฟยเชื่อใจว่านางไม่ได้ปิดบังแม้แต่น้อย 


 


 


เซียงฉือหยุดลงครู่หนึ่ง 


 


 


“ฝ่าบาทตรัสไว้เช่นนี้ แสดงว่าข้าราชสำนักสตรีล้วนกระทำดังว่า ทำให้ฝ่าบาททรงหวาดระแวงอย่างหนัก วันนี้จึงทรงพาข้าไปยังหอทิงเฟิงอย่างเปิดเผย ประการแรกเป็นการตรวจสอบว่าข้าเป็นคนของใคร ประการที่สองเพื่อจะให้ข้ารู้ว่ามีเพียงต้องพึ่งพาฝ่าบาทเท่านั้นจึงเป็นทางออกทางเดียวที่มีอยู๋” 


 


 


สีหน้าของหวังหมัวหมัวที่มองดูจินกุ้ยเฟยนั้นเหมือนเพิ่งตื่นจากฝัน เพราะรู้ว่านางพูดเช่นนี้ต้องการจะให้พวกนางเข้าใจว่า เป็นเพราะฝ่าบาทไม่ชอบบรรดาข้าราชสำนักสตรีที่กุ้ยเฟยกับซูเฟยส่งไปไว้ข้างกายพระองค์ ดังนั้นจึงสับเปลี่ยนอยู่เสมอๆ 


 


 


เซียงฉือเพื่อจะให้ตนเองลดการติดต่อกับกุ้ยเฟยจึงได้ซ่อนเงื่อนงำไว้ และวิธีนี้ก็เป็นการสยบศัตรูไว้ก่อน 


 


 


เป็นการอธิบายได้เหมาะเจาะถึงกิริยาที่ผิดปกติของฝ่าบาทในวันนี้ ส่วนกุ้ยเฟยจะเชื่อหรือไม่ ยังคงต้องให้ยาแรงอีกสักขนานหนึ่ง 


ตอนที่ 320 เล่นลิ้น 


 


 


พอเซียงฉือพูดจบ สีหน้ากุ้ยเฟยก็ค่อยๆ สงบลง นางรู้ว่าควรต้องรุกต่อไปเพราะกำลังได้เปรียบ 


 


 


นางพูดอีกว่า 


 


 


“กุ้ยเฟยเพคะ ฝ่าบาทเคยทรงเห็นหม่อมฉันในตำหนักอวี้หยวน ดังนั้นจึงทรงคลางแคลงพระทัยเสมอมา ทั้งหลายวันก่อนพี่เซียงซือก็รับพระบัญชาจากพระองค์ไปส่งของให้หม่อมฉันจึงยิ่งทำให้ฝ่าบาททรงสงสัยและทรงตั้งพระทัยจะขับไล่ทั้งหม่อมฉันกับเซียงซือออกจากตำหนักเจิ้งหยางด้วยกัน แต่เพราะใต้เท้าเหอออกหน้าทูลขอไว้ หม่อมฉันจึงยังอยู่ต่อได้เพคะ” 


 


 


“แต่หลังจากเรื่องนั้นแล้ว ฝ่าบาททรงเข้มงวดกับหม่อมฉันมากเพคะ การงานในแต่ละวันก็มากล้น ทำให้ไม่มีเวลาได้ออกนอกเขตพระราชฐานเลยเพคะ” 


 


 


คิ้วของเซียงฉือขมวดแน่นอย่างเจ็บปวด ความหมายในคำพูดของนางชัดเจน ทำให้ตนเองอยู่ในสถานะที่ย่ำแย่ เพื่อให้กุ้ยเฟยรู้สึกว่าฝ่าบาทไม่ชอบนาง แต่ที่ยังต้องให้นางอยู่ต่อ ก็เพราะข้างกายยังไม่มีใครให้ใช้สอยเท่านั้น 


 


 


แม้เซียงฉือจะแต่งเหตุผลที่พอฟังขึ้นเช่นนี้ แต่อย่างไรก็เป็นกลหลอกลวง มีหลายจุดที่ไม่สมเหตุสมผลนัก หากทั้งสองคนนั้นปรึกษาหารือกัน หรือกุ้ยเฟยให้เรียกตัวสายของตนในตำหนักเจิ้งหยางมาสอบถาม ทุกอย่างก็จะกระจ่างชัด 


 


 


ถึงกระนั้นคนที่มีความรับรู้ไวอย่างเช่นหวังหมัวหมัวก็ยังสามารถหาเบาะแสจากคำพูดของเซียงฉือออกมาได้ทันที นางจึงถามว่า 


 


 


“เดี๋ยวนะ ในเมื่อเหอจิ่นเซ่อทูลขอความเมตตาให้เจ้า แล้วเซียงซือเล่า เหตุใดนางไม่ช่วยทูลขอ เจ้ากับใต้เท้าเหอมีความสัมพันธ์กันอย่างไร” 


 


 


หวังหมัวหมัวถามรวดทีเดียวหลายคำถาม ถึงจะไม่ตรงจุดสำคัญนัก แต่ก็เป็นจุดที่เห็นได้ชัดและง่ายซึ่งยากจะอธิบาย 


 


 


เซียงฉือฟังแล้วจึงตอบต่อว่า 


 


 


“หวังหมัวหมัว เรื่องนี้คงต้องถามท่านแล้ว เดิมทีข้าคิดจะเข้ากองเย็บปัก แต่ถูกใต้เท้ากองเย็บปักกลั่นแกล้งทุกวิถีทาง ในที่สุดจึงต้องอาศัยความสัมพันธ์เล็กน้อยของทางครอบครัวในอดีตไปขอความช่วยเหลือจากใต้เท้าเหอ” 


 


 


“ใต้เท้าเหอเองเดิมก็ไม่ได้คิดจะช่วย แต่คงรู้สึกว่าข้ายังใช้ได้อยู่ เพียงแต่โชคไม่ดีนัก ถูกรั้งตัวให้อยู่ในกองราชเลขา” 


 


 


“ตามแผนที่กำหนดไว้เดิม ใต้เท้าเหอเสนอเซียงซือเข้าไปเป็นข้าราชสำนักสตรีงานอักษร แต่เพราะพระดำรัสของฝ่าบาทจึงไม่อาจที่จะ…” 


 


 


แววตาเซียงฉือขบขัน หวังหมัวหมัวกลืนน้ำลายลงคอ เพราะรู้ดีแก่ใจว่าเป็นเพราะเรื่องอะไร 


 


 


และคำพูดช่วงท้ายของเซียงฉือก็เป็นการยืนยันคำพูดช่วงต้นของนาง 


 


 


เซียงฉือก็กลืนน้ำลายลงคอแล้วพูดต่อ 


 


 


“ส่วนเหตุใดใต้เท้าเหอไม่ช่วยพี่เซียงซือนั้นคงต้องไปถามนางเองแล้ว ตั้งแต่วันแรกที่ไปถึงกองราชเลขาก็ไม่เห็นใต้เท้าเหออยู่ในสายตา คิดว่าใต้เท้าเหอคงคับแค้นต่อนางไม่น้อย” 


 


 


เซียงฉือนำเรื่องที่ไม่ค่อยเกี่ยวข้องกันนักมาร้อยเรียงเข้าด้วยกัน แล้วก็เป็นเรื่องที่จินกุ้ยเฟยรู้ดีอยู่แล้วด้วย ทั้งยังเป็นเรื่องที่อวิ๋นเซียงซือเป็นคนบอกกล่าวแก่นางทั้งสิ้น 


 


 


จินกุ้ยเฟยจึงเชื่อคำพูดอวิ๋นเซียงฉือ หวังหมัวหมัวนั้นแสดงออกว่าเข้าใจความหมายของเซียงฉืออย่างชัดเจน 


 


 


ระยะนี้เซียงซือหุนหันพลันแล่นจนเกินไป คิดว่าตนเองสามารถเกาะต้นไม้ใหญ่อย่างกุ้ยเฟยได้แล้วทุกคนในวังจะต้องคอยดูสีหน้านาง ตอนนี้ถูกฝ่าบาทลงโทษลดขั้นแต่ก็ยังไม่รู้สำนึก กลับผลักความรับผิดชอบทั้งหมดไปยังเซียงฉือกับเหอจิ่นเซ่อ 


 


 


เซียงฉือเชื่อว่าหากเซียงซือยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไป ถึงฝ่าบาทจะไม่ลงโทษนาง แต่เกรงว่านางจะมีอายุไม่ยืนยาวในวังหลวงนี้ หากตอนนี้ทำให้กุ้ยเฟยกับหวังหมัวหมัวได้ประจักษ์ในความหุนหันของนางก็จะได้เลิกสนใจและใช้นาง และกลับจะเป็นเรื่องดีสำหรับเซียงซือมากกว่า 


 


 


เมื่อเซียงฉือพูดจบก็ปิดปากไม่พูดต่อ ส่วนหวังหมัวหมัวพอฟังคำอธิยายของนางแล้วก็คอยพยักหน้าตาม 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 321 คำตัดสินของจินกุ้ยเฟย 


 


 


คำพูดของเซียงฉือบังเกิดผล อย่างน้อยก็สั่นคลอนใจของกุ้ยเฟยได้บ้าง หลังจากนางฟังคำกระซิบของหวังหมัวหมัวแล้ว ถึงท่าทางจะโกรธขึ้งยิ่งขึ้น แต่เซียงฉือรู้ว่านางได้ปัดภัยให้พ้นตัวไปแล้ว อย่างน้อยในตอนนี้ก็ไม่มีอันตราย 


 


 


เมื่อหวังหมัวหมัวพูดกับกุ้ยเฟยเสร็จก็ก้มหน้าใคร่ครวญคำพูดของเซียงฉือ คำโบราณว่าไว้ดีว่าอย่าฟังความเพียงด้านเดียวแล้วเชื่อ พึงฟังความรอบด้านแล้วจะพบความจริง 


 


 


แน่นอนว่านางไม่ได้เชื่อคำพูดของเซียงฉือทั้งหมด เซียงฉือเชื่อว่าก่อนหน้านี้นางจะต้องได้ฟังการบรรยายถึงเรื่องในวันนี้มาอย่างครบถ้วนแล้ว 


 


 


เซียงฉือไม่ได้โกหก เพียงแต่ลำดับความต่างกัน คนที่พูดเป็นคนละคนจุดที่เน้นก็แตกต่างกันไป ซึ่งย่อมจะทำให้ความรู้สึกของคนแตกต่างไปด้วย 


 


 


ถึงแม้ตอนนี้หวังหมัวหมัวจะไม่ได้เชื่อถือเซียงฉือทั้งหมด แต่ก็เชื่อไปแล้วเจ็ดส่วน 


 


 


หวังหมัวหมัวจะอย่างไรก็เป็นเพียงคนรับใช้ เมื่อนางพูดเรื่องที่ควรพูดไปหมดแล้วจึงไปยืนรอรับใช้อยู่ข้างๆ โดยไม่พูดอะไรอีก 


 


 


เซียงฉือหลุบตาลอบมองดูทีท่ากุ้ยเฟย นางยังคงกังวลอยู่ ไม่รู้ว่าวันนี้กุ้ยเฟยจะตัดสินใจอย่างไร 


 


 


เซียงฉือกังวลใจและหวาดกลัว แต่ก็พยายามระงับความตระหนก เรื่องที่นางสามารถพูดได้ทำได้ก็ได้ทำไปแล้ว แต่หากจินกุ้ยเฟยต้องการใช้นางเพื่อเซ่นโทสะในวันนี้ นางย่อมไม่มีแรงพอจะต้านทานได้ 


 


 


เซียงฉืออดที่จะสลดใจไม่ได้ ตอนที่นางเป็นนางกำนัลในโรงซักล้างนั้น คนที่ใหญ่ที่สุดก็เป็นเพียงแค่หมัวหมัว การรังแกคนนั้นมีอยู่เป็นประจำ แต่เรื่องตีเรื่องฆ่านั้นไม่เคยเกิดขึ้นเลย 


 


 


และนางก็ไม่เคยรู้จักผู้มีอำนาจสูงศักดิ์ในวังนี้อย่างจริงจังเลยแม้แต่คนเดียว แต่พอมาอยู่ในตำหนักกุ้ยเฟยแล้วกลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น กุ้ยเฟยพอใจก็อาจตีเจ้า หากไม่พอใจก็ฆ่าเจ้าได้เลย 


 


 


ความเป็นความตายของเจ้าเพียงขึ้นอยู่กับคำพูดเรื่อยเปื่อยเพียงคำเดียวของนาง เซียงฉือกลัวการล่วงเกินกุ้ยเฟยอย่างยิ่ง ด้วยนางไม่รู้ว่าจะต้องจบชีวิตลงอย่างปุบปับหรือไม่ ดังนั้นทุกวันจึงรับใช้ด้วยความรอบคอบระมัดระวัง 


 


 


จนกระทั่งนางได้กลายมาเป็นข้าราชสำนักสตรีและคิดว่าสามารถเป็นผู้หญิงแบบสวี่อี้และเหอจิ่นเซ่อ สามารถยืดอกเชิดหน้าได้ทุกเวลา ใช้ชีวิตอย่างใจกว้างเผื่อแผ่ แต่ว่านางผิดแล้ว ผิดที่นางคำนวณความอดทนของกุ้ยเฟยที่มีต่อนางผิดพลาดไป 


 


 


สวี่อี้กับเหอจิ่นเซ่อนอกจากจะเป็นข้าราชสำนักสตรีแล้ว นอกวังยังมีชาติตระกูลที่สลับซับซ้อน หากพวกนางต้องเสียชีวิตอยู่ในวังโดยไม่รู้สาเหตุ ย่อมต้องเกิดเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นในราชสำนัก ส่วนนางหากตายไปจะเป็นเช่นไร แน่นอนว่าไม่มีใครที่จะทำเรื่องฟ้องร้องให้นาง ไม่มีแม้แต่ฟองคลื่น 


 


 


นางรู้ว่านี่คือความแตกต่างที่จริงแท้ที่สุดของดอกบัวที่มีรากกับจอกแหนที่ไร้ราก 


 


 


เซียงฉือรู้ว่านางไม่อาจเป็นดอกบัวที่เกิดแต่โคลนตมแต่ไม่ติดตมได้ แต่นางก็ไม่ต้องการจะจมน้ำตายอยู่ในสระ นางจะล่องลอยไปตามลมเฉกเช่นใบไม้ที่ร่วงหล่นใช้ชีวิตอยู่รอดในคลื่นลมด้วยความระมัดระวัง 


 


 


ค่อยๆ เกิดประสาทรับรู้ ฝังตัวและเลือดเนื้อลงในทะเล ขึ้นลงไปตามทะเลอย่างเสรีสง่างาม 


 


 


เซียงฉือเห็นกุ้ยเฟยค่อยๆ หรี่ตาลงก็ทอดถอนอยู่ในใจ คิดว่าคำพูดของตนคงไม่สามารถทำให้กุ้ยเฟยเลิกล้มความคิดที่จะฆ่าตนได้ 


 


 


นางคร้านที่จะไปคิดว่าตนเองพูดผิดหรือพูดไม่ดีที่ตรงไหน ได้แต่มองดูกุ้ยเฟยอย่างสงบเงียบ ไม่ร้องขอ ไม่โศกเศร้า เพียงแต่คิดถึงคนที่รอคอยนางตลอดมาแล้วทอดถอนอยู่ในใจ 


 


 


‘เหอเจี่ยนสุย ข้าอวิ๋นเซียงฉือชะตาชีวิตอับเฉานัก ชีวิตนี้คงไร้วาสนากับเจ้าแล้ว’ 


 


 


จินกุ้ยเฟยเห็นท่าทางของเซียงฉือความชั่วร้ายก็ยิ่งบังเกิด วันนี้นางให้ไปจับตัวเซียงฉือมาเพื่อจะปิดปากนาง แต่การปล่อยให้นางได้พูดมาขนาดนี้ ถือเป็นความกรุณามากแล้ว 


ตอนที่ 322 เรื่องไม่คาดคิด 


 


 


ไม่สนใจว่าเซียงฉือจะเป็นอย่างไร เมื่อไรก็ตามที่หมดประโยชน์ต่อนางแล้ว กับลูกสาวขุนนางต้องโทษคนหนึ่ง นางอยากฆ่าทิ้งเสียเมื่อไหร่ก็ย่อมได้ 


 


 


เพราะตลอดมานางไม่รู้ดีชั่ว อีกทั้งกุ้ยเฟยยังเชื่อถือเซียงซือมากกว่า ถึงแม้หวังหมัวหมัวคิดจะช่วยขอความเมตตาให้แก่นาง แต่อย่างไรจินกุ้ยเฟยก็ไม่ชอบหญิงสาวคนนี้เพราะนางมักจะรู้สึกว่า สายตาที่นิ่งสงบดุจน้ำของหญิงสาวคนนี้ ในความไม่สะทกสะท้านนั้นคือการเยาะเย้ยนาง นางไม่ชอบหญิงสาวคนนี้ตลอดมา แต่เพราะเมื่อก่อนนางยังพอมีประโยชน์อยู่บ้าง 


 


 


แต่มาบัดนี้ใช้การอะไรไม่ได้แล้ว และนางก็ไม่ต้องการจะใช้อีกต่อไป 


 


 


ทั้งเซียงฉือและคนอื่นๆ ในห้องต่างเห็นแววเข่นฆ่าในดวงตาของกุ้ยเฟย ทุกคนไม่มีความสงสัยแม้แต่น้อยเลยว่า ถัดจากนี้ไปเซียงฉือจะต้องถูกสวีหมัวหมัวกับหลินหมัวหมัวจับกดลงในน้ำจนจมน้ำตาย 


 


 


แต่ว่า ในขณะที่นางคิดจะลงมือนั้นก็ได้เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น 


 


 


ขันทีคนหนึ่งวิ่งลนลานเข้ามาจากด้านนอกแล้วไปกระซิบกระซาบอยู่ข้างหูจินกุ้นเฟย ท่าทางของกุ้ยเฟยเปลี่ยนไป มองดูเซียงฉือด้วยสายตาบิดเบี้ยว 


 


 


“กุ้ยเฟยเสด็จกลับก่อนเถิดเพคะ ส่วนนาง…” 


 


 


แน่นอนว่าหวังหมัวหมัวย่อมได้ยินเนื้อหาใจความด้วยเช่นกัน และรู้ว่ากุ้ยเฟยควรรีบไปจากที่นั่นทันที แต่จะทำอย่างไรกับเซียงฉือเล่า 


 


 


จินกุ้ยเฟยมองดูเซียงฉือ ครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะแล้วพูดขึ้น 


 


 


“จะให้เกิดเรื่องขึ้นไม่ได้ ปล่อยนาง เอาตัวไปไว้ข้างหอทิงเฟิง” 


 


 


เซียงฉือได้ยินคำพูดนั้นแล้วเหมือนได้รับการอภัยโทษใหญ่ พอกุ้ยเฟยพูดจบก็ลุกขึ้นจากไป เซียงฉือไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นถึงทำให้กุ้ยเฟยฉุกละหุกเช่นนี้ หรือว่าฝ่าบาทจะเสด็จมา 


 


 


เซียงฉือคิดได้ไม่ทันไรก็ถูกปิดตาแล้วรวบขึ้นทั้งตัว ถูกพาออกไปอย่างมึนงง 


 


 


ที่เซียงฉือรอดตายมาได้นั้นเป็นไปตามที่นางคาดคิด เพราะว่ามีคนมาและไม่ใช่เพียงคนเดียว 


 


 


ฮ่องเต้ ใต้เท้าสวี่และใต้เท้าเหอรวมกันมาทั้งสามคน สวี่อี้หน้าดำคร่ำเครียด ดูท่าจะอารมณ์ไม่ดีอย่างมาก ฮ่องเต้นั่งอยู่ในตำหนักหน้าของตำหนักอวี้หยวนมานานแล้วแต่ไม่เห็นเงาร่างกุ้ยเฟย เขามีความสงสัยไม่น้อยในเรื่องที่เหอจิ่นเซ่อกับสวี่อี้ทูล 


 


 


เซียงฉือถูกคลุมด้วยผ้าคลุมหน้าสีดำแล้วถูกคนสามคนหามออกนอกประตูไป นางไม่กล้าร้อง กระทั่งมีแสงสว่างเล็กน้อยลอดเข้าไปในถุงผ้าสีดำ นางจึงมั่นใจว่าได้หลุดออกจากคุกของตำหนักอวี้หยวนแล้ว 


 


 


นางถอนหายใจ ถึงจะยังไม่รู้ชะตากรรมข้างหน้า แต่ก็นับว่าได้หลุดรอดจากความตายแล้ว 


 


 


หรงจิงรออยู่สักพัก เหอจิ่นเซ่อยังเก็บอารมณ์ไว้ได้จึงยืนคอยอยู่ด้านข้างอย่างสงบ ส่วนสวี่อี้เดินไปเดินมาอยู่ด้านหลังฮ่องเต้ 


 


 


“ฝ่าบาท ปกติกุ้ยเฟยทรงอยู่แต่ในตำหนักไม่ค่อยออกไปไหน แต่วันนี้ไม่รู้ว่าเสด็จไปไหนจึงยังไม่เสด็จออกมาให้เห็น หรือว่า…” 


 


 


เหอจิ่นเซ่อกระซิบบอกความสงสัยของตนที่ข้างหูหรงจิง แต่ว่ายังพูดไม่จบก็ได้ยินเสียงพ่นลมออกจมูกขึ้น 


 


 


“ฮึ! ใต้เท้าเหอพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร สบประมาทข้าเช่นนั้นหรือ” 


 


 


เสียงของจินกุ้ยเฟยตัดทอนคำพูดนาง เหอจิ่นเซ่อได้ยินเข้าก็ฝืนยิ้มแล้วปิดปากเงียบ ทำการคารวะต่อจินกุ้ยเฟยที่เดินออกมาจากด้านใน 


 


 


กุ้ยเฟยแสร้งทำบิดขี้เกียจ บนศีรษะเสียบปิ่นเรียบๆ อันหนึ่งอย่างหมิ่นเหม่ ท่าทางเกียจคร้านงดงาม 


 


 


พอเห็นหรงจิงในชุดลำลองนั่งอยู่จึงยิ้มหวานแล้วโผเข้าไปหา 


 


 


“ฝ่าบาทไยเสด็จมาโดยไม่มีการแจ้งล่วงหน้าเล่าเพคะ หม่อมฉันหลับไปตื่นหนึ่งแล้ว ทำให้ต้องทรงคอยนาน” 


 


 


จินกุ้ยเฟยอิงแอบอยู่บนร่างหรงจิงราวกับร่างกายไร้กระดูก ร่างนั้นเหมือนกับมนุษย์งูสตรีที่งดงาม เกี่ยวรัดกระหวัดฮ่องเต้ไว้แน่นยิ่ง 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 323 ถ่วงเวลา 


 


 


หรงจิงเห็นนางดังนั้นและได้ยินคำพูดของนางทว่ายังไม่ตอบอะไร เพียงมองดูเหอจินเซ่อกับสวี่อี้ที่ด้านข้าง 


 


 


สวี่อี้เข้าใจความหมายแล้วสบตากับเหอจิ่นเซ่อ เตรียมจะก้าวออกมาข้างหน้า 


 


 


ทว่ามือของเหอจิ่นเซ่อจู่ๆ ก็ยื่นออกมาเบื้องหน้าสวี่อี้ ขวางทางนางไว้ คิ้วเรียวของเหอจิ่นเซ่อเลิกขึ้น แล้วเดินออกไปพูดขึ้นก่อนว่า 


 


 


“เป็นความผิดของหม่อมฉันที่รบกวนเวลาพักผ่อนของกุ้ยเฟยเพคะ แต่ว่าหม่อมฉันดูแลกองราชเลขา มีความจำเป็นต้องรับผิดชอบต่อคนในกองเพคะ หม่อมฉันได้รับแจ้งอย่างลับๆ ว่า มีคนลักพาตัวข้าราชสำนักสตรีในกองราชเลขาอวิ๋นเซียงฉือไปจากตำหนักเจิ้งหยาง จนบัดนี้ยังหาตัวไม่พบเพคะ” 


 


 


“ผู้แจ้งข่าวลับยังบอกอีกว่าเซียงฉือถูกหวังหมัวหมัวของตำหนักอวี้หยวนพาตัวไป ดังนั้นจึงได้ร่วมกับใต้เท้าสวี่จากกองคดีเพื่อช่วยกันสืบหาข้อเท็จจริง ทั้งนี้ก็เพื่อพระเกียรติของกุ้ยเฟยด้วย หวังว่ากุ้ยเฟยจะไม่ทรงถือโทษนะเพคะ” 


 


 


การที่สวี่อี้คิดจะพูดนั้นเพราะว่านางเป็นคนได้รับข่าวลับก่อน แต่เมื่อเหอจิ่นเซ่อพูดขึ้นเช่นนี้ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะนางเตรียมวางค่ายกลหรือดูออกว่ากุ้ยเฟยในตอนนี้หนักแน่นเยือกเย็น คิดว่านางคงเตรียมรับมือเรื่องนี้ไว้ดีแล้ว หากสวี่อี้ออกหน้า ก็จะกลายเป็นล่วงเกินกุ้ยเฟยไปทั้งสองคน ในเมื่อนางได้เคยล่วงเกินไปแล้ว มิสู้ปล่อยให้เป็นหน้าที่นางรับผิดชอบไปเสียจะดีกว่า 


 


 


พอเหอจิ่นเซ่อพูดจบกุ้ยเฟยก็ระเบิดโทสะใหญ่ นางลุกพรวดขึ้นจากข้างกายฮ่องเต้จ้องมองเหอจิ่นเซ่อและสวี่อี้ ร่างกายสั่นเทิ้มด้วยความโกรธ 


 


 


แต่นางก็พยายามระงับความโกรธที่อยากเฆี่ยนตีคน แล้วชี้เหอจิ่นเซ่อพูดว่า 


 


 


“ใต้เท้าเหอไม่มีหลักฐานอะไรก็คิดจะมาค้นหาคนในตำหนักข้าเช่นนั้นหรือ บังอาจ!” 


 


 


จินกุ้ยเฟยในตอนนี้โกรธจนถึงขีดสุด หากไม่ใช่เพราะหรงจิงอยู่ข้างกายนาง นางจะต้องถลกหนังเหอจิ่นเซ่อทั้งเป็นแน่ ผู้หญิงคนนี้ใกล้ชิดกับฝ่าบาทเสมอมา หากไม่ใช่เพราะเห็นว่านางสูงวัยความงามถดถอย ไม่มีทางที่ฝ่าบาทจะทรงชิดเชย มิเช่นนั้นนางย่อมไม่มีทางปล่อยไว้เป็นแน่ 


 


 


แต่ว่าระยะนี้เหอจิ่นเซ่อมักชอบยั่วให้นางโกรธ เอะอะก็คัดง้างกับนางอยู่เสมอ ทำให้นางแค้นเคืองอย่างยิ่ง ครั้งนี้ยังมาถูกนางจับได้อีกจึงไม่ต่างกับถูกนางเหยียบหางเข้า 


 


 


เหอจิ่นเซ่อมีความสุขุมเยือกเย็นเสมอมา ได้ฟังเช่นนั้นก็ไม่โต้แย้ง เพียงพูดอย่างเรียบๆ 


 


 


“เป็นเพราะหน้าที่ หม่อมฉันมิได้มีเจตนาจะล่วงเกินกุ้ยเฟยเพคะ ระบบข้าราชสำนักสตรีในวังนี้บูรพกษัตริย์ได้ทรงบัญญัติไว้แล้ว พวกนางมิใช่นางกำนัลทั่วไป ทุกคนล้วนเป็นเสาหลักของชาติ จะทำการใดก็ต้องรอบคอบระวังเพคะ” 


 


 


“หม่อมฉันทราบว่ากุ้ยเฟยมีน้ำพระทัยกว้างขวาง ย่อมจะไม่ทำให้หม่อมฉันต้องลำบากใจกับเรื่องนี้เป็นแน่ แต่อวิ๋นเซียงฉือเป็นข้าราชสำนักสตรีในกองราชเลขาของหม่อมฉัน หม่อมฉันจึงต้องรับผิดชอบถึงที่สุด หากไม่สนใจกับความเป็นตายของนางแล้ว จะมิเป็นการทำให้ข้าราชการทั้งหลายในแผ่นดินเสียขวัญหรือเพคะ” 


 


 


เหอจิ่นเซ่อพูดไปบนหลักเหตุและผล นางเป็นผู้มีความรู้กว้างขวาง ถึงตอนนี้จะไม่ยกเอาตำราปราชญ์มาอ้าง แต่ก็อัญเชิญเอาบารมีบูรพกษัตริย์มาใช้อย่างราบรื่น 


 


 


จินกุ้ยเฟยก็เป็นคนมีคารมใช่ย่อย แต่ตอนนี้คิดไม่ออกว่าจะโต้แย้งประเด็นนี้อย่างไร นางได้ขอโทษก่อนแล้ว แต่กุ้ยเฟยยังโกรธ พวกนางจะมาก็มาสิ เหตุใดต้องพาฮ่องเต้มาด้วย 


 


 


คิดแล้วกุ้ยเฟยก็ซุกตัวลงข้างกายฮ่องเต้ พูดอย่างเฝื่อนๆ 


 


 


“ฝ่าบาทไม่ได้เสด็จมาตำหนักอวี้หยวนนานแล้ว คืนนี้เสด็จมาก็พากันมากล่าวโทษ หม่อมฉันไม่ยอมนะเพคะ” 


 


 


กุ้ยเฟยในตอนนี้เพียงต้องการถ่วงเวลา ไม่ว่าอย่างไรจะให้พวกนางพบเห็นอวิ๋นเซียงฉืออยู่ในตำหนักอวี้หยวนไม่ได้โดยเด็ดขาด 


 


 


กุ้ยเฟยคิดแล้วจึงโปรยเสน่ห์ต่อฮ่องเต้ หรงจิงยิ้ม 


 


 


“พากันมากล่าวโทษอะไรกัน กุ้ยเฟยเป็นคนที่ถูกใจข้าที่สุดเสมอมา แต่เรื่องข้าราชสำนักสตรีไม่ใช่เรื่องเล็ก ในเมื่อมีคนแจ้งข่าว อีกทั้งคนก็หายไปด้วย เรื่องนี้ไม่อาจไม่ตรวจสอบ” 


 


 


“และเมื่อมีการระบุตัวออกมาแล้วว่าเป็นหวังหมัวหมัว เพื่อกุ้ยเฟยจะได้พ้นจากข้อครหา ยังคงให้พวกนางค้นหาในตำหนักเจ้าจะดีกว่า” 



ตอนที่ 324 สืบสวน


 


 


พอหรงจิงพูดจบสีหน้าของกุ้ยเฟยก็เปลี่ยนไปทันที เดิมนางยังคงคาดหวังแต่ตอนนี้มลายไปแล้ว แต่ความมัวหมองบนใบหน้าก็ผ่านไปแทบจะในทันที


 


 


จินกุ้ยเฟยยิ้มแล้วโผไปบนร่างหรงจิงทันที หรงจิงลูบไล้แขนนางโดยไม่ลังเล ตีเบาๆ ไปสองครั้ง ทว่าใบหน้าจินกุ้ยเฟยที่ซุกซ่อนอยู่ในเงามืดนั้นฉายรังสีอำมหิต


 


 


“ใต้เท้าสวี่กับใต้เท้าเหอทำตามหน้าที่ หม่อมฉันจะขัดขวางได้อย่างไรเพคะ ตำหนักอวี้หยวนของหม่อมฉันก็มีเพียงเท่านี้ ใต้เท้าทั้งสองสามารถไปค้นหาได้ทันที”


 


 


“แต่ว่า!”


 


 


จินกุ้ยเฟยทรงตัวขึ้นจากร่างหรงจิง เงยหน้ามองเหอจิ่นเซ่อที่ข้างกายช้าๆ พูดยิ้มๆ ว่า


 


 


“แต่ถ้าหากหาตัวไม่พบ ใต้เท้าเหอ ข้าหวังว่าท่านจะอธิบายเหตุผลที่เหมาะสมแก่ข้าได้นะ”


 


 


ท่าทางของจินกุ้ยเฟยในตอนนี้ยังดูอ่อนโยน แต่คำพูดที่อึดอัดนั้นทำให้คนหนักใจบ้าง สวี่อี้เป็นคนฉลาด เมื่อเห็นสถานการณ์นี้ก็เข้าใจที่เมื่อครู่เหอจิ่นเซ่อขวางนางไว้ก็เพื่อไม่ให้นางต้องตกเข้าไปสู่สภาพการณ์เช่นนี้


 


 


“เรื่องที่กุ้ยเฟยรับสั่ง หม่อมฉันจดจำไว้แล้ว ขอกุ้ยเฟยโปรดวางพระทัยเพคะ”


 


 


หรงจิงได้ยินที่ทั้งคู่พูดกัน เขาก้มลงดื่มชา เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องให้ความสนใจอีก ถึงเขาจะไว้วางใจทั้งเหอจิ่นเซ่อและสวี่อี้ แต่ขณะเดียวกันหากไม่มีหลักฐานหรือแม้จะเป็นหลักฐานทางตรง เขาก็จะไม่เข้าข้างนางทั้งสองอย่างเด็ดขาด


 


 


จินกุ้ยเฟยได้ยินแล้วก็ยิ้ม นางเดินไปข้างกายฮ่องเต้พูดขึ้น


 


 


“ฝ่าบาท ตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว ดูท่าใต้เท้าทั้งสองยังคงกระฉับกระเฉงอยู่ ส่วนฝ่าบาทพรุ่งนี้ยังต้องประชุมราชสำนักเช้า เช่นนั้นให้พวกนางไปตรวจค้นในห้องนอนหม่อมฉันก่อนดีไหมเพคะ เสร็จแล้วฝ่าบาทจะได้ทรงพักผ่อนก่อนได้”


 


 


กุ้ยเฟยพูดเช่นนั้นหรงจิงก็พยักหน้า นางส่งสายตาให้หวังหมัวหมัวที่ข้างๆ อย่างมีความหมายลึกซึ้ง จากนั้นประคองฮ่องเต้เตรียมไปยังห้องนอน เหอจิ่นเซ่อใจเต้นระทึก จินกุ้ยเฟยคนนี้มีความสามารถดีทีเดียว


 


 


ถึงจะบอกให้ไปตรวจค้นในห้องนอนก่อน แต่ตอนนี้ฝ่าบาทกำลังเตรียมจะไป แล้วพวกนางจะกล้าลงมือค้นต่อหน้าฝ่าบาทหรือ


 


 


นางเพิ่งออกมาจากห้องนอน ที่นั่นเป็นสถานที่อันตรายที่สุด แต่เมื่อเป็นเช่นนี้ที่นั่นจึงกลายเป็นสถานที่อันตรายที่พวกนางควรหลบเลี่ยงไปเสียแล้ว สวี่อี้ก็ไม่ใช่คนบุ่มบ่าม ได้ยินดังนั้นก็ยิ่งเข้าใจจึงหันหน้าไปสั่งความกับนางกำนัลด้านหลัง แล้วยิ้มแข็งเกร็งให้กับกุ้ยเฟยพร้อมเหอจิ่นเซ่อ


 


 


ฮ่องเต้เดินเข้าไปในห้องกุ้ยเฟยอย่างว่าง่าย หรงจิงไม่ได้เหยียบย่างฝ่ายในมาครึ่งเดือนแล้ว ไม่ใช่เพราะเขาไม่ต้องการเข้าใกล้อิสตรี แต่เป็นเพราะภัยแล้งภัยน้ำจากทุกที่เข้ามาไม่ขาด เขาไม่มีปัญญาจะแยกร่าง งบบรรเทาภัยที่ส่งไปครั้งแล้วครั้งเล่าก็ไม่เห็นเป็นผล


 


 


แล้วที่ฝ่ายในยังมาเกิดเรื่องข้าราชสำนักสตรีถูกลักพาตัวขึ้นอีก อีกทั้งยังเป็นข้าราชสำนักสตรีข้างกายเขาอีกด้วย เซียงฉือกับเขามีความสัมพันธ์ฉันคนรู้จักคุ้นเคย ยังมีคนกล้าทำเหิมเกริมอยู่ข้างกายฮ่องเต้อย่างเขา เขาจะทนได้อย่างไร


 


 


พอได้ยินเหอจิ่นเซ่อกับสวี่อี้ไปบอกว่าเซียงฉือถูกคนจับตัวไป ในตอนแรกเขายังไม่เชื่อจึงไปยังห้องของเซียงฉือ ได้เห็นเพียงควันหอมที่นางจุดไว้กับกระดาษและหมึก แต่ไม่พบคน


 


 


หรงจิงตกใจอย่างหนัก เมื่อได้ยินว่าคนที่ลักพาตัวคือหวังหมัวหมัวจากตำหนักอวี้หยวน กอปรกับคิดถึงเรื่องที่เหลียนชินอ๋องเข้าพบและพูดกับเขาในวันนี้ หรงจิงจึงเกิดความมั่นใจหลายส่วน


 


 


หากมิใช่เรื่องนี้ ข้าราชสำนักสตรีขั้นเก้า ไม่ใช่สิ ขั้นเก้าชั้นโท จะทำให้เขาถึงกับยกขบวนมาใหญ่โตกลางดึกเช่นนี้หรือ


 


 


หรงจิงคิดไปว่ากุ้ยเฟยกับจวนขุนพลจินบ้านเดิมนางนั้น บัดนี้ใจกล้าทำได้ถึงขนาดนี้ แม้กระทั่งกล้าแตะต้องเซียงฉือที่อยู่ข้างกายเขา การกระทำเช่นนี้ไม่ต่างจากการดูถูกเขา


 


 


 


 


ตอนที่ 325 เจตนาของฝ่าบาท


 


 


หากเรื่องนี้เป็นความจริง เช่นนั้นบ้านสกุลจินกับจินกุ้ยเฟย หรงจิงคิดในใจแล้วบังเกิดความรังเกียจขึ้นเป็นระลอก แต่ไม่ได้แสดงออกมาในตอนนี้


 


 


ฮ่องเต้พระองค์ก่อนปกครองแผ่นดินด้วยคุณธรรม ปฏิบัติต่อเหล่าขุนนางอย่างมีเมตตา และให้เบี้ยหวัดสูง


 


 


ตั้งแต่บูรพกษัตริย์ได้ปกครองแผ่นดินมาก็ใช้บทลงโทษหนัก เข้มงวดกวดขันกับเหล่าขุนนางทุจริต แต่พอถึงรัชกาลก่อนกลับใช้นโยบายทางการเมืองรวมประเทศใช้ระบบการให้ผลตอบแทนสูง เพื่อเป็นการประกันความสุจริตของข้าราชการ ส่งเสริมการศึกษาหลักปรัชญาของขงจื๊อเมิ่งจื๊อ เผยแผ่พุทธศาสนาอย่างเต็มที่ นับเป็นยุคแห่งความสงบ


 


 


ทว่าตั้งแต่หรงจิงขึ้นครองบัลลังก์มา ราชสำนักฝ่ายหน้ามีเงินเดือนสูงแต่ทว่าไม่สุจริต ทั้งยังมีตัวมอดเกิดขึ้นมามาก เขาขยันอดออมทำงานเพื่อประชาชนมาโดยตลอด เพราะขึ้นครองราชย์แต่เยาว์วัยพื้นฐานจึงไม่มั่นคงพอ เขารู้เขาเข้าใจดีว่าน้ำที่ใสเกินไปนั้นจะไม่มีปลาแหวกว่าย


 


 


แต่ระยะนี้คดีทุจริตเงินเดือนและเสบียงกองทัพ คดีทุจริตตัวเลขผลตอบแทนต่างๆ อีกทั้งความรุนแรงจากเจ้าต่างเผ่าองค์ใหม่ทางภาคเหนือล้วนเกิดขึ้นเพราะการทุจริตหนักในกองทัพ และหัวหอกชี้ไปทางจวนขุนพลจิน


 


 


ทำให้หรงจิงที่พึ่งพาจวนขุนพลจินมาโดยตลอดบันดาลโทสะ ระบบการให้เงินเดือนสูงของเขานอกจากเหล่าขุนนางจะไม่สำนึกบุญคุณแล้ว กลับยังเป็นการก่อเกิดความต้องการและละโมบของพวกเขาเสียอีก


 


 


ระบบการให้ผลตอบแทนสูงนี้ ในระดับของเซียงฉือที่เป็นข้าราชสำนักสตรีเริ่มจากขั้นที่เก้า นอกจากที่ดิน ข้าวสารแล้ว เซียงฉืออยู่ในตำหนักเจิ้งหยาง สวัสดิการต่างๆ จะได้รับสูงขึ้นหนึ่งขั้นเท่ากับขั้นที่แปด ซึ่งขั้นที่แปดชั้นเอกนี้จะได้รับข้าวปีละหนึ่งร้อยหาบ เพียงพอสำหรับการบริโภคของหนึ่งครอบครัวใหญ่ อีกทั้งสิ่งของประกอบอื่นๆ อีก


 


 


แล้วเหตุใดพวกเขาจึงยังทุจริต โดยเฉพาะอย่างยิ่งขุนนางสำคัญในราชสำนัก ซึ่งเป็นขุนนางมีสถานะสูงสุดแต่กลับมาเป็นปรปักษ์กับเขา


 


 


หรงจิงมีความคิดมากมายเกิดขึ้น เห็นได้ชัดยิ่งขึ้นจากสายตาที่มองไปทางสวี่อี้


 


 


กุ้ยเฟยนำหวังหมัวหมัวเข้าไปจัดปูเตียงด้านในเพื่อให้ฝ่าบาทบรรทม ส่วนหรงจิงมองสวี่อี้ กำนิ้ววางบนโต๊ะแล้วเคาะสองครั้งอย่างไม่เป็นที่สังเกต


 


 


สวี่อี้เห็นสายพระเนตรฮ่องเต้และเข้าใจเจตนาของหรงจิงจึงก้มหน้าทำความเคารพแล้วหมุนกายออกไป ส่วนเหอจินเซ่อก็มารับหน้าที่แทนสวี่อี้อย่างเหมาะเจาะ สั่งการให้ข้าราชสำนักสตรีข้างกายค้นหาอย่างละเอียดถี่ถ้วน


 


 


สวี่อี้กับเหอจิ่นเซ่อล้วนเป็นผู้คร่ำหวอดในวังจึงรู้และเข้าใจสถานการณ์ดีที่สุด เดิมทีพวกนางได้รับข่าวว่ากุ้ยเฟยลักพาตัวเซียงฉือ ความหมายของผู้ส่งข่าวคือกุ้ยเฟยเตรียมลงมือกำจัดเซียงฉือ เมื่อพวกนางได้ฟังดังนั้นจึงรีบไปรายงานฮ่องเต้


 


 


ความตั้งใจของเหอจิ่นเซ่อคือการไปขอพระราชโองการเพื่อจะไปช่วยคนในตำหนักกุ้ยเฟย แต่ฮ่องเต้พอได้ฟังแล้วบันดาลโทสะรุนแรง นำเหอจิ่นเซ่อกับสวี่อี้มาตำหนักจินกุ้ยเฟยโดยตรง


 


 


เพราะค่ำมืดสงบเงียบ แสงไฟในตำหนักกุ้ยเฟยดับลงแล้ว แต่จู่ๆ ฮ่องเต้เสด็จมา ความโกลาหลจึงเกิดขึ้น แม้แต่กุ้ยเฟยก็ยังกรีดกรายออกมาช้า


 


 


เห็นหรงจิงไม่ถือสานาง ทำให้เหอจิ่นเซ่อกับสวี่อี้ไม่เข้าใจเจตนาของเขาจึงยังคงไม่เคลื่อนไหว ครั้งนี้พวกนางแหวกหญ้าให้งูตื่นไปแล้ว แต่กิริยาของหรงจิงเมื่อครู่สวี่อี้เข้าใจ นางจึงออกนอกประตูไป เพื่อไปจัดการเรื่องนี้อย่างจริงจัง


 


 


วังนี้เป็นฝ่ายในของฝ่าบาท ที่พวกนางดูแลก็คืองานในบ้านของฝ่าบาท เรื่องอะไรที่ควรตรวจสอบหรือไม่ควร ก็เป็นไปตามเจตนาของพระองค์


 


 


เพราะฝ่าบาทเท่านั้นที่เป็นประมุขของทุกคนในแผ่นดิน มีเพียงฝ่าบาทเท่านั้นที่สามารถกำหนดความเป็นตายของทุกคนในฝ่ายใน


 


 


กุ้ยเฟยลงมือจัดที่นอนให้เรียบเพื่อฮ่องเต้ด้วยตนเอง เสร็จแล้วจึงเดินไปข้างกายพูดเสียงอ่อนระทวย


 


 


“ฝ่าบาท หม่อมฉันจัดพระแท่นบรรทมเสร็จแล้ว เชิญบรรทมได้แล้วเพคะ ส่วนเรื่องเล็กน้อยพวกนั้นปล่อยให้เป็นหน้าที่ของใต้เท้าเหอกับใต้เท้าสวี่เถิดเพคะ”

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม