วาสนาบันดาลรัก 314-320

ตอนที่ 314 อภิเษกไปแดนไกล

 

 


 


นางเถียนกระอักโลหิตออกมาครานี้กลับมิกล้าเอาแต่นอนอยู่บนเตียงตามใจตนอีกแล้ว นางรู้ว่าขอร้องนายท่านสองสกุลหลัวไปก็เปล่าประโยชน์จึงไปคุกเข่าต่อหน้าฮูหยินผู้เฒ่า


 


 


“ฮูหยินผู้เฒ่า ขอท่านโปรดอนุญาตให้ข้ากลับตระกูลมารดา ให้ข้าได้ช่วยเหลือบิดามารดาและญาติพี่น้องเป็นครั้งสุดท้ายเถิดเจ้าค่ะ”


 


 


นายท่านรองสกุลหลัวที่ตามมาในทันทีจึงเอ่ยว่า “ท่านแม่ ท่านอย่าไปฟังสตรีจัญไรนี้กล่าวเหลวไหลเลย ตระกูลเถียนมีความผิดต้องได้รับโทษ ยามนี้หากเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยคงต้องพาจวนกั๋วกงของเราไปลำบากด้วยแน่!”


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าหน้าขรึมขึ้นมาทันที ความผิดหวังอันยากจะปิดบังนั้นปรากฏขึ้นในดวงตา “เจ้ารอง นี่เป็นวาจาที่เจ้าควรเอ่ยออกมาหรือ นางเถียนเป็นสะใภ้ตระกูลหลัว นางเป็นบุตรสาวของตระกูลเถียน ไม่ว่านางจะไม่หรือไม่ก็มิอาจลบล้างความสัมพันธ์นี้ไปได้ หากไม่ไปสนใจไถ่ถามเลยต่างหากจึงจะทำให้ผู้อื่นหัวเราะเยาะหยันว่าจวนเจิ้นกั๋วกงของเราช่างแล้งน้ำใจนัก!”


 


 


นายท่านรองสกุลหลัวถึงกับพูดอันใดไม่ออก


 


 


ฮูหยินผู้เฒ่าโบกมือคราหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “นางเถียนเจ้าไปเถิด”


 


 


นางเอ่ยพลางหันไปหาเจินเมี่ยว “หลานสะใภ้ไปเบิกเงินจากส่วนกลางมาให้อาสะใภ้รองของเจ้าหนึ่งพันตำลึง”


 


 


เจินเมี่ยวกลับตอบรับคำโดยไม่แม้แต่จะลังเลสักเล็กน้อย


 


 


เมื่อทุกคนแยกย้ายกันกลับเรือน นางก็ไปหาหลัวเทียนเฉิงที่ห้องตำรา


 


 


หลายวันมานี้หลัวเทียนเฉิงเอาแต่ปิดประตูอยู่ภายในเรือน คนทั้งสองได้อยู่ร่วมกันทุกเช้าค่ำ ความผิดใจที่เกิดขึ้นจากหย่วนซานจึงค่อยๆ สลายหายไป


 


 


 แน่นอนว่าทุกคราที่คิดว่าหย่วนซานกำลังบำเพ็ญตนอยู่ที่อารามในจวน เจินเมี่ยวก็รู้สึกขุ่นเคืองอยู่เล็กน้อย แต่นางก็รู้ดีว่ามิควรทำอันใดให้เกินกว่าเหตุไป เพราะหากเอ่ยกันตามจริงแล้วหย่วนซานก็เป็นคนที่น่าสงสารและน่าเห็นใจผู้หนึ่ง จึงได้แต่หวังว่านางจะกลับใจเปลี่ยนความคิดแล้วหาความสุขที่เป็นของตนเสียที เช่นนั้นจึงเป็นเรื่องน่ายินดีของทุกคน


 


 


หลัวเทียนเฉิงกำลังยกตำราเล่มหนึ่งขึ้นมาอ่านด้วยท่าทีผ่อนคลาย ดูไม่ออกเลยว่าเขากำลังอยู่ในช่วงถูกลงโทษ


 


 


เมื่อเห็นเจินเมี่ยวมาเขาก็วางตำราลงข้างตัว “เหตุใดจึงมาเวลานี้เล่า”


 


 


อาจเพราะคิดอันใดได้มากขึ้นแล้วทำให้เขาดูเป็นดั่งมีดล้ำค่าที่รู้จักเก็บคมเอาไว้ ความร้ายกาจนั้นลดน้อยลงไปส่วนหนึ่งแต่เพิ่มความอ่อนโยนขึ้นมาอีกส่วนหนึ่งแทน


 


 


โดยเฉพาะท่าทียกตำราขึ้นอ่านอย่างสุภาพชนนั้นช่างดูงดงามราวกับหยก ทำให้เจินเมี่ยวอดมองเขาอยู่หลายครามิได้ นางถึงกับสงสัยว่าตนเปิดประตูมาผิดที่หรือไร


 


 


“เหตุใดจึงมิพูดเล่า” หลัวเทียนเฉิงลุกขึ้นเดินเข้าไปหา เขาใช้มือใหญ่ของตนกุมมือนางไว้แล้วจูงเข้ามานั่งลงบนเก้าอี้ไม้แดงริมหน้าต่าง


 


 


เจินเมี่ยวร่างกายเย็นอยู่แล้ว แม้จะกินยาปรับสมดุลมาตลอดแต่มือก็ยังเย็นกว่าคนทั่วไปอยู่บ้าง เมื่อกุมมาไว้มือก็คล้ายหยกงามชั้นดีชิ้นหนึ่งก็มิปาน


 


 


เขาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “เหตุใดจึงมิใส่ให้หนาหน่อยเล่า”


 


 


“ข้าใส่หนากว่าผู้อื่นแล้ว”


 


 


ยามนี้เป็นปลายวสันต์แล้ว สตรีที่ชมชอบแต่งกายก็เปลี่ยนไปใส่กระโปรงแบบบางเบานานแล้ว มีเพียงเจินเมี่ยวที่ยังคงใส่กระโปรงที่หนาเช่นนี้อย่างว่าง่าย แต่เพราะนางรูปร่างบอบบางจึงมิได้ดูอวบอ้วนอันใด แต่กลับดูอรชรอ้อนแอ้นเป็นพิเศษ


 


 


“ห้องตำราข้าออกจะเย็นไปสักหน่อย” หลัวเทียนเฉิงหยิบผ้าห่มผืนบางคลุมเข่าให้เจินเมี่ยว “มีอันใด มาหาข้ามีเรื่องใดหรือ”


 


 


“ไม่มีอันใด แค่คิดว่าช่วงไม่กี่วันมานี่เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นมากมายจึงรู้สึกไม่สบายใจเท่าใดนัก” นางเอ่ยพลางมองหลัวเทียนเฉิงคราหนึ่ง เมื่อเห็นท่าทีเรียบนิ่งของเขาจึงเอ่ยถามว่า “ฝ่าบาทคงมิได้ตำหนิท่านจริงๆ กระมัง”


 


 


หลัวเทียนเฉิงยิ้มพลางส่ายหน้า “คงไม่ดอก มิเห็นหรือว่าทรงแค่ลงโทษให้ข้ากักบริเวณอยู่แต่ภายในจวนเป็นเวลาเพียงหนึ่งเดือนเท่านั้น”


 


 


รัชทายาทลงมือกระทำเรื่องต่างๆ ไม่หยุดหย่อนเช่นนี้ เดือนนี้เขาย่อมต้องหายหน้าไปจากทุกคนจึงเป็นการดี ทั้งยังสามารถปิดปากอารองและอาสะใภ้รองได้ มีแต่จะเบิกบานใจเสียมากกว่า


 


 


เจินเมี่ยวจึงค่อยๆ วางใจลงได้


 


 


นางอยากถามว่าเรื่องของตระกูลเถียนนั้นเขาได้มีส่วนช่วยให้เรื่องทุกอย่างมันราบรื่นขึ้นหรือไม่ แต่เมื่อมาคิดดูอีกทีก็มิได้ถามออกไป


 


 


มิต้องเอ่ยถึงความทุกข์ของเขาเมื่อชาติก่อนเลย แค่ในชาตินี้อารองและภรรยาก็คอยฉุดรั้งพวกเขาไว้ตลอดเวลา ต่อให้เขาลงมือรุนแรงสักหน่อยก็คงได้แต่บอกว่าพวกเขาดันเตะถูกแป้นเหล็กเองแล้ว


 


 


“เช่นนั้นข้ากลับก่อนแล้ว” นางลุกขึ้นจะเดินออกไปแต่ถูกหลัวเทียนเฉิงฉุดไว้เสียก่อน


 


 


“ปล่อยได้แล้ว” แม้คนทั้งสองจะคืนดีกันแล้ว แต่ภาพเหตุการณ์นั้นยังคงติดตาอยู่ ในระยะเวลาสั้นๆ นี้เจินเมี่ยวจึงมิอาจยอมรับกับการใกล้ชิดที่เกินไปของเขาได้


 


 


นางคิดว่าหากหลัวเทียนเฉิงจูบนาง นางอาจจะอดถีบเขาไม่ได้ก็ได้


 


 


คิดไม่ถึงว่าหลัวเทียนเฉิงกลับปล่อยมืออย่างว่าง่ายยิ่ง เขาเอ่ยอย่างน่าสงสารว่า “ปล่อยก็ปล่อย”


 


 


เมื่อเห็นเจินเมี่ยวเดินออกไปอย่างไม่แม้แต่จะเหลียวหลังมองก็รีบร้องออกไปว่า “ตอนกลางวันข้าจะไปกินข้าวด้วยนะ”


 


 


เจินเมี่ยวชะงักฝีเท้าไปครู่หนึ่ง แล้วจึงผลักประตูเปิดออกไป


 


 


หลัวเทียนเฉิงจ้องประตูไม้ที่ยังสั่นไปมาอยู่นั้นแล้วยิ้มออกมา


 


 


นางเถียนกลับไปที่ตระกูลเถียน นางกอดมารดาร่ำไห้เป็นการใหญ่


 


 


เพราะสมบัติของตระกูลถูกริบไปจนหมด ลูกหลานที่เป็นชายยังคงถูกขังอยู่ในเรือนจำอีกประเดี๋ยวก็จะต้องออกเดินทางแล้ว บ่าวไพร่ทั้งหลายต่างก็แตกกระจายไปคนละทิศทางนานแล้ว เหลือเพียงหลานชายสามคนที่อายุยังไม่ถึงสิบปี


 


 


“ท่านแม่ นี้เป็นตั๋วเงินหนึ่งพันตำลึง ท่านเก็บไว้เถิด”


 


 


มารดานางตกใจยกใหญ่ “เจ้าเอาเงินมากมายออกมาเช่นนี้ หากสามีเจ้าไม่พอใจจะทำเช่นใดเล่า”


 


 


แม้ความผิดมิติดไปถึงตระกูลบุตรเขย แต่ก็มีไม่น้อยที่ตระกูลภรรยาเกิดเรื่องแล้วสามีขอหย่า


 


 


“ตั๋วเงินนี้ฮูหยินผู้เฒ่าให้ข้ามาเอง”


 


 


มารดานางเถียนอึ้งงันอยู่เป็นนานจึงเอ่ยอย่างทอดถอนใจออกมาว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าจวนเจิ้นกั๋วกงช่างเป็นคนดีที่หายากนัก ข้าเคยบอกว่าเจ้าเป็นคนมีวาสนาคิดไม่ถึงว่าวันนี้กลับเป็นตระกูลเราที่ทำให้เจ้าต้องลำบาก”


 


 


“ท่านแม่ คนในครอบครัวเดียวกันย่อมไม่พูดอันใดเช่นนี้ ท่านคิดจะทำอันใดต่อไปหรือ? ลูกคิดว่าเราควรขายเรือนหลังใหญ่นี้ไปเสียแล้วไปซื้อเรือนหลังเล็กๆ อยู่ เงินทองที่ได้มาก็เอาไว้ใช้จ่ายเมื่อจำเป็น ปล่อยที่นาทำเลดีให้เช่า แล้วซื้อร้านค้าสักสองแห่งเพื่อทำการค้าจะได้ไว้ใช้เลี้ยงตนต่อไปอีกแสนนาน”


 


 


“แม่ก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน เพียงแต่ยามนี้คนที่เหลืออยู่มีแต่คนแก่และเด็ก ทั้งยังมีแต่สตรี การจัดการเรื่องพวกนี้ไม่สะดวกจริงๆ ลูกรองหากเจ้ามีคนที่พอช่วยเหลือได้ก็คงต้องรบกวนเจ้าแล้ว”


 


 


นางเถียนรับปากนางทันที


 


 


มารดาของนางจึงเอ่ยอีกว่า “หลานชายทั้งสามยังเล็ก ว่าไปแล้วต่อให้ตระกูลเราข้นแค้นเพียงใดก็จะต้องให้พวกเขาได้เล่าเรียน แต่หลานสาวทั้งสองของเจ้านั้นโตแล้ว กำลังอยู่ในช่วงพูดคุยหาคู่หมายพอดี แต่ตระกูลเรามาพบเรื่องเสื่อมเสียเช่นนี้ เกรงว่าคงทำให้พวกนางต้องแต่งงานล่าช้าเสียแล้ว”


 


 


ยามนี้มีเพียงหลานสาวสองคนในตระกูลเถียนที่ยังมิออกเรือน ผู้หนึ่งคือเถียนอิ๋ง อีกผู้หนึ่งคือเถียนเสวี่ย ทั้งสองต่างอายุน้อยกว่าหลัวจื้อหยาอยู่สักหน่อย


 


 


เถียนอิ๋งนั้นช่างเถิด แต่สำหรับเถียนเสวี่ยนั้นนางเถียนออกจะชมชอบอยู่มาก นางเคยคิดจะให้เถียนเสวี่ยแต่งกับบุตรชายคนรองของตนด้วยซ้ำ


 


 


ส่วนบุตรชายคนโตนั้นเป็นทายาทของบ้าน หากแผนของพวกตนสำเร็จเขาก็จะได้เป็นผู้สืบทอดทันที ดังนั้นการแต่งงานของเขาจึงมิอาจกระทำแบบส่งๆ ได้


 


 


แม้นยามนี้สตรีในตระกูลเถียนจะมิได้ถูกขายไปเป็นทาส แต่หากจะให้เถียนเสวี่ยแต่งกับบุตรชายตน นางเถียนกลับไม่อยากทำเช่นนั้นแล้ว


 


 


แต่อย่างไรก็เป็นหลานสาวตน การจะให้ช่วยหาคู่ครองที่ดีให้นั้นนางก็ยินดีอยู่แล้ว


 


 


มารดานางเถียนลังเลอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า “ลูกรอง ตอนนี้ในเรือนเราวุ่นวายยิ่ง ทั้งยังมีคนพวกนี้มาคอยเฝ้าดู หากเกิดล่วงเกินพวกนางสองคนเข้าคงไม่ดีแน่ เช่นนั้นให้หลานสาวสองคนของเจ้าไปพักที่จวนเจิ้นกั๋วกงสักระยะหนึ่งก่อนได้หรือไม่”


 


 


“น้องรอง คงต้องฝากอนาคตของอิ๋งเจี่ยไว้กับเจ้าผู้เป็นอาแท้ๆ แล้ว” มารดาเถียนอิ๋งเอ่ยขอร้องขึ้น


 


 


มารดาของเถียนเสวี่ยก็ไม่ยอมแสดงความอ่อนแอเช่นกัน นางคว้ามือของนางเถียนไว้แล้วเอ่ยว่า “พี่รอง ท่านแม่สามีพูดอยู่ตลอดว่าคนในตระกูลเรานั้นท่านเป็นผู้ได้ดีมีอนาคตที่สุด ครั้นเกิดเรื่องขึ้นก็เป็นท่านจริงๆ ที่เข้ามาคอยช่วยเหลือพยุงพวกเรา หากเทียบกับพี่น้องของบิดาที่กลายเป็นนักโทษเสริมทัพทั้งหลายเหล่านั้นแล้ว การมีอาเช่นท่านนับเป็นวาสนาอย่างที่สุดของเสวี่ยเจี่ยแล้ว”


 


 


เมื่อเห็นความหวังของมารดากับการยกย่องของพี่สะใภ้และน้องสะใภ้ นางเถียนก็ได้แต่กลืนคำปฏิเสธที่ติดอยู่ที่ริมฝีปากของตนลงท้องไป “เช่นนั้นข้าจะพาหลานสาวสองคนไปอยู่ด้วยสักระยะ รอให้เรื่องในตระกูลเราเรียบร้อยดีแล้วค่อยว่ากันอีกที”


 


 


ในที่สุดมารดาของนางเถียนก็โล่งอกได้เสียที “ลูกรอง แม่รู้ว่าเจ้าไม่มีทางทิ้งเราไปไม่ไยดี”


 


 


สะใภ้ทั้งสองต่างมองตากันแล้วถอนหายใจโล่งอกออกมา


 


 


บุตรชายยังเล็ก หากภายหน้าสอบได้เป็นขุนนางย่อมดีที่สุด แต่หากได้จริงๆ ก็ยังสามารถช่วยสืบทอดดูแลกิจการได้ แต่ทั้งหมดนี้คงต้องมีคนคอยช่วยดูแล มิเช่นนั้นการทำการค้าในเมืองหลวงก็เป็นการยากยิ่ง


 


 


ถึงตอนนั้นนางเถียนก็อายุมากแล้ว อีกอย่างก็ห่างกันถึงหนึ่งรุ่น อย่างไรการที่พี่สาวแท้ๆ มีอนาคตที่ดีได้ก็ย่อมสามารถช่วยเหลือน้องชายตนได้


 


 


บุตรสาวทั้งสองล้วนอยู่ในวัยสะพรั่งจึงมิอาจขัดขวางอนาคตอันสดใสของพวกนางได้


 


 


นางเถียนกลับไปตระกูลมารดาครานี้ ได้มอบเงินให้พันหยวนยังพอว่าทั้งยังพาหลานสาวอีกสองคนกลับมาด้วยอีก


 


 


ในยุคสมัยนี้นั้นการบุตรสาวไปอยู่เรือนตาหรืออา น้า ชั่วระยะหนึ่งนั้นเป็นเรื่องปกติยิ่ง หากเป็นยามปกตินางเถียนพาหลานสาวมาอยู่ด้วยก็ย่อมมิเป็นอันใด แต่ยามนี้ตระกูลเถียนทำผิด นายท่านรองแค่เห็นคุณหนูน้อยสองคน ใบหน้าก็บึ้งตึงขึ้นมาทันที “ตัวซวย!”


 


 


เอ่ยคำนี้ออกมาแล้วก็สะบัดแขนเสื้อเดินมุ่งไปยังเรือนของเยียนเหนียงทันที


 


 


นางเถียนโกรธจนมือสั่นแต่กลับทำสิ่งใดไม่ได้


 


 


เถียนอิ๋งนั้นถูกเอาใจมาตั้งแต่เด็กทั้งยังเป็นคนอ่อนไหวง่ายอีกด้วย เมื่อเจอสถานการณ์อันไม่พอใจนางก็เอ่ยว่า “ท่านอา ในเมื่อสามีท่านรังเกียจข้ากับญาติผู้น้อง ท่านก็ส่งเรากลับเถิดเจ้าค่ะ”


 


 


เถียนเสวี่ยกลับสงวนท่าทีได้มากกว่า แม้นางจะหน้าแดงก่ำอย่างยิ่งแต่น้ำเสียงกลับยังคงดีอยู่ “ท่านอา ท่านย่าอายุมากแล้ว ตอนนี้สถานการณ์ในตระกูลก็กำลังวุ่นวาย ท่านแม่กับท่านป้าคงยุ่งมากเป็นแน่ ความจริงพวกเราไม่ควรมาที่นี่ เช่นนั้นท่านส่งพวกเรากลับไปก่อนก็ได้ รอให้สถานการณ์ดีขึ้นเราค่อยมาเยี่ยมท่านที่จวนอีกที”


 


 


นางเถียนถูกนายท่านรองหักหน้าเช่นนั้นยิ่งมิอาจส่งหลานสาวกลับไปได้เป็นการตบหน้าตนเองได้ นางดึงมือหลานทั้งสองมากุมไว้แล้วเอ่ยว่า “เด็กดี อย่าสนใจอาผู้นั้นของพวกเจ้าเลย ระยะนี้เขาอารมณ์มิใคร่สู้ดีนัก ข้าจะพาพวกเจ้าไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่าก่อน”


 


 


นางเถียนพาเด็กสาวทั้งสองไปที่เรือนอี๋อาน ฮูหยินผู้เฒ่ามิได้แสดงท่าทีรังเกียจอันใด ทั้งยังมอบกำไลทองให้คู่หนึ่ง ทั้งยังกำชับให้ดูแลพวกนางเหมือนกับหลัวจื้อหยาทุกประการ


 


 


ตั้งแต่นั้นมาเด็กสาวทั้งสองนั้นก็พักอาศัยอยู่ที่จวนเจิ้นกั๋วกงมาตลอด


 


 


หลัวเทียนเฉิงได้ฟังแล้วก็แค่นหัวเราะเสียงเย็นคราหนึ่ง


 


 


ในที่สุดอาสะใภ้รองก็ได้ลิ้มรสชาติการที่ญาติตนถูกส่งไปเป็นนักโทษเสริมทัพแล้ว แต่ยังมิต้องรีบร้อนไป นี่เป็นเพียงแค่การเริ่มต้นเท่านั้น


 


 


สำหรับคนแก่และสตรีอ่อนแอในตระกูลเถียนนั้นเขาก็มิได้คิดไปกระทำซ้ำเติมอันใดอีก ปล่อยให้พวกเขามีชีวิตไปตามยถากรรมเถิด แต่ส่วนอื่นๆ นั้นเขาถือว่ามันยังไม่จบ!


 


 


พริบตาก็ล่วงเข้าสู่เดือนสี่แล้ว


 


 


บุปผาผลิบาน ต้นหลิวเขียวขจี แม้แต่คลื่นน้ำที่ต้องแสงแดดในทะเลสาบก็ยังมีกลิ่นหอมอ่อนๆ กระจายออกมา


 


 


วันนี้เป็นวันดีที่หาได้ยากยิ่ง ทั้งยังเป็นวันอภิเษกสมรสขององค์หญิงชูสยาแห่งต้าโจวกับรัชทายาทแห่งหมานเหว่ย


 


 


ขบวนรับตัวเจ้าสาวนั้นคึกคักครื้นเครงยิ่ง ส่วนขบวนส่งตัวเจ้าสาวก็ยิ่งใหญ่เกรียงไกรยาวไปจนถึงสิบลี้


 


 


จักรพรรดิมิสะดวกเดินทาง ส่วนรัชทายาทก็กำลังรักษาอาการป่วยอยู่จึงมิได้มาร่วมงาน นอกนั้นองค์ชายหลายพระองค์ก็ต่างมากันทั้งสิ้น


 


 


เพราะองค์ชายสามได้เป็นตัวแทนเจาเฟิงตี้ในการเอ่ยคำอวยพร ทั้งยังเป็นตัวแทนปรึกษาหารือเรื่องการเดินทางขององค์หญิงกับทูตที่มารับตัวเจ้าสาวทำให้วันนี้ดูภาคภูมิสูงสง่าเป็นพิเศษ


 


 


เจินเมี่ยวกับฉงสี่เซี่ยนจื่นอยู่ข้างกันกำลังเอ่ยอำลากับชูสยาจวิ้นจู่อยู่


 


 


อาจเพราะจิ่งเกอเอาแต่พูดถึงท่านอาเจียหมิงให้เขาฟังอยู่ทุกวัน องค์ชายสามจึงเกิดความคิดว่าหากวันนั้นมาถึงเขาจะรับเจินเมี่ยวเข้ามาดูแลจิ่งเกออยู่ในวัง ถึงตอนนั้นนางก็เป็นผู้หญิงของเขาแล้ว เมื่อคิดได้เช่นนี้เขาก็อดที่จะมองมากขึ้นอีกสักหน่อยมิได้


 


 


เจินเมี่ยวสูงกว่าสตรีทั่วไปอยู่เล็กน้อย นางสวมกระโปรงยาวสีขาวปักลายกิ่งหลิวและใช้สายรัดเอวสีเหลืองอ่อนจึงยิ่งขับให้ดูเอวเล็กขายาว


 


 


องค์ชายสามพยักหน้าอย่างพึงพอใจ


 


 


ชูสยาจวิ้นจู่แต่งกายเต็มยศ ทับทิมแดงสีใสแวววาวเม็ดหนึ่งห้อยอยู่ตรงระหว่างคิ้วทำให้ดูงดงามยวนใจผู้คนมากเป็นพิเศษ


 


 


นางมองสหายสนิทสองคนแล้วของตาก็แดงก่ำขึ้น 

 

 


ตอนที่ 315 อำลา

 

ชูสยาจวิ้นจู่กัดริมฝีปากตนเอ่ยเสียงสะอื้นว่า “ญาติผู้พี่ เจินเมี่ยว ข้ารู้สึกทรมานใจเหลือเกิน!”


 


 


เจินเมี่ยวสบตากับฉงสี่เซี่ยนจู่แล้วขอบตาก็เปียกชื้นขึ้นมา


 


 


ได้ยินเพียงเสียงถอนหายใจยาวของฉงสี่เซี่ยนจู่ “จะไม่ได้กินขนมที่ร้านอู่เว่ยไจอีกแล้ว…”


 


 


ฉงสี่เซี่ยนจู่จึงเอ่ยเสียงเรียบว่า “วางใจเถิด คนที่ติดตามขบวนเจ้าไปมีอาจารย์ผู้ทำขนมในร้านอู่เว่ยไจด้วย”


 


 


ร้านอู่เว่ยไจเป็นกิจการของอวิ๋นจั่งกงจู่ การมอบอาจารย์ผู้ทำขนมสักคนให้ชูสยาจวิ้นจู่นั้นเป็นเรื่องง่ายเสียยิ่งกว่าง่าย


 


 


“คงไม่ได้กินขาหมูตุ๋นของร้านเนื้อตุ๋นสกุลจังแล้ว”


 


 


“ของขวัญที่ข้ามอบให้เป็นสินเดิมเจ้ามีวิธีทำขาหมูตุ๋นอยู่ด้วย เป็นวิธีที่ข้าเขียนออกมาหลังจากที่ได้ลองกินขาหมูตุ๋นร้านเนื้อตุ๋นสกุลจังอยู่หลายครา แม้รสชาติจะไม่เหมือนกันเสียดีเดียว แต่ข้ากินดูแล้วก็ไม่เลยเลย ท่านก็ลองกินดูเถิด” เจินเมี่ยวกล่าว


 


 


“ยังมีซาลาเปาใส้น้ำแกงของสะใภ้ใหญ่สกุลเฉินอีก…”


 


 


เจินเมี่ยวและฉงสี่เซี่ยนจู่ทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้วจึงได้กลอกตาไปมาขึ้นพร้อมกัน


 


 


เหลือเกินจริงๆ จะให้คนเศร้าโศกเสียใจดีๆ ไม่ได้เลยหรือไร!


 


 


แม้นการที่คนทั้งสามจะตั้งใจเขยิบออกไปกล่าวอำลากันอยู่ห่างไกลจากผู้คนอยู่สักเล็กน้อย แต่วันนี้ชูสยาจวิ้นจู่นั้นเป็นผู้ที่โดดเด่นที่สุด ย่อมต้องมีคนคอยสังเกตนางอยู่ตลอดเวลาเป็นธรรมดา


 


 


วาจาเหล่านี้จึงลอยไปเข้าหูองค์หญิงองค์ชายทั้งหลายที่อยู่ไม่ไกลนัก ทุกคนต่างหน้าดำคล้ำเครียดไปตามกัน


 


 


องค์หญิงรองเอ่ยออกมาด้วยความกังวลว่า “ชูสยาเป็นเช่นนี้ทั้งยังแต่ไปยังดินแดนหมานเหว่ย คนที่นั่นจะคิดว่าองค์หญิงแห่งต้าโจวเป็นเช่นนี้กันหมดหรือไม่”


 


 


องค์หญิงสี่เอ่ยด้วยน้ำตาคลอว่า “หากข้าเกิดช้ากว่านี้สักสองสามปีคงจะออกปากขอแต่งงานแทนนางไปแล้ว!”


 


 


องค์หญิงทั้งสองต่างสบตาอย่างเข้าใจกัน ทั้งยังคิดอยู่ในใจอย่างมิได้นัดหมายว่า ชูสยาจอมตะกละ ช่วยละเว้นชื่อเสียงขององค์หญิงต้าโจวด้วยเถิด!


 


 


ชูสยาจวิ้นจู่ไม่มีเวลามาพิจารณาคำบ่นว่าขององค์หญิงทั้งหลายนั้นดอก นางจึงจูงมือฉงสี่เซี่ยนจู่ให้ไกลออกไปอีกสักหน่อย ไม่ทราบว่าคุยอันใดกันอยู่ สุดท้ายจึงกวักมือเรียกเจินเมี่ยว “เจินเมี่ยว มานี่เร็ว”


 


 


เจินเมี่ยวเดินเข้าไปชูสยาจวิ้นจู่มิได้เอ่ยอันใดแต่กลับเดินมุ่งไปยังริมแม่น้ำแทน


 


 


องค์ชายสามเห็นแล้วก็เข้าไปขวางไว้ “ชูสยา ริมแม่น้ำมันชื้นและลื่น เจ้าอย่าไปดีกว่า”


 


 


ชูสยาสวมชุดองค์หญิงเต็มยศ กระโปรงนั้นยาวคร่อมพื้น บริเวณริมน้ำที่มีหญ้าชุ่มน้ำนั้นง่ายที่จะทำให้กระโปรงของนางเปียกได้


 


 


ประมาณได้ที่ไหนเล่า หากเกิดอุบัติเหตุขึ้นในทำนองที่ว่าองค์หญิงผู้สง่างามลื่นตกลงไปในแม่น้ำท่ามกลางสายตาคนทั้งหลายขึ้นมา แล้วเขาจะไปตอบเสด็จพ่อว่าอย่างไรเล่า!


 


 


“มิเป็นไรดอก ข้ามีเรื่องส่วนตัวที่จะพูดกับเจียหมิงหากมิเดินไปให้ใกล้หน่อยแล้วถูกผู้อื่นได้ยินเข้าจะทำฉันใด ไม่แน่ว่าอาจจะหัวเราะเยาะข้าก็เป็นได้”


 


 


องค์ชายสามคิดถึงวาจาที่ชูสยาจวิ้นจู่พูดก่อนหน้านี้แล้วก็ยกมุมปากขึ้น


 


 


ชูสยาจวิ้นจู่จูงมือเจินเมี่ยวเดินผ่านองค์ชายสามไป


 


 


องค์ชายสามกลับเอ่ยถามขึ้นราวภูตบอกเทพสั่งว่า “วันนี้ขุนนางหลัวมิมาด้วยหรือ”


 


 


เจินเมี่ยวจึงหยุดฝีเท้าลงแล้วหันไปส่งยิ้มให้องค์ชายสามตามมารยาท “ซื่อจื่อยังอยู่ในช่วงสำนึกผิด จึงมาไม่ได้เพคะ”


 


 


กล่าวจบก็เดินผ่านเขาไป องค์ชายสามมองเงาด้านหลังอันอรชรนั้นแล้วก็ต้องขมวดคิ้วขึ้น


 


 


ในเมื่อช้าเร็วก็ต้องเป็นคนของเขา ครั้นนึกได้ว่านางยังต้องไปอยู่กับบุรุษอื่นอีกก็รู้สึกทนไม่ได้อยู่เล็กน้อย


 


 


หากมิใช่เพื่อจิ่งเกอ เขามีหรือจะอยากได้สตรีที่เคยผ่านบุรุษอื่นมาแล้ว!


 


 


องค์ชายสามเจตนามองข้ามความรู้สุขใจเล็กๆ ที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกของจิตใจตน แล้วคิดอย่างไม่ยินยอมนัก


 


 


ชูสยาจูงมือเจินเมี่ยวเดินไปไกลนับสิบจั้งจึงหยุดยืนอยู่ข้างโขดหินใหญ่ก้อนหนึ่ง


 


 


“เจินเมี่ยว เจ้ากับองค์ชายสามสนิทสนมกันเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อใด”


 


 


เจินเมี่ยวรู้สึกแปลกใจขึ้นมาเล็กน้อย “มิได้สนิทเสียหน่อย”


 


 


“ได้ยินเขาถามเช่นนั้นทำให้ข้าเข้าใจว่าพวกเจ้าสนิทสนมกันยิ่ง”


 


 


เจินเมี่ยวยิ้มออกมา “อาจเพราะจิ่งเกอเคยไปอยู่ที่จวนข้าอยู่ระยะหนึ่งกระมัง”


 


 


ชูสยาจวิ้นจู่พยักหน้าอย่างเข้าใจ แล้วเอ่ยเสียงต่ำแผ่วว่า “เจินเมี่ยว ข้ารู้สึกว่าพี่สามเป็นผู้มีความคิดซับซ้อน ข้าเติบใหญ่มาจนป่านนี้แล้วยังมิเคยดูเขาออกเลย เจ้ายิ่งมิใช่คนหลักแหลม อย่างไรก็อยู่ห่างเขาไว้จะดีกว่า”


 


 


“อันใดที่เรียกว่าข้าไม่หลักแหลม?” เจินเมี่ยวกัดฟันตน “ชูสยา ขอบใจท่านมากที่เป็นห่วงข้า!”


 


 


ชูสยาจวิ้นจู่ยิ่นมืออกมาบีบที่แก้มเจินเมี่ยวสุดแรง “ข้าจะไปแล้วแท้ๆ เจ้ายังกล้าโกรธข้าอีกหรือ”


 


 


เจินเมี่ยวเงียบไปครู่หนึ่ง


 


 


เมื่อถึงคราต้องจากกันจริงๆ นางถึงได้รู้สึกอาลัยอาวรณ์สหายสนิทผู้นี้ขึ้นมา


 


 


แต่งออกไปไกลเพียงนี้ก็อาจจะมิได้พบกันอีกไปชั่วชีวิตก็เป็นได้


 


 


ชูสยาจวิ้นจู่ถอนหายใจออกมา “เจินเมี่ยว เหตุใดเจ้าจึงมิเป็นบุรุษเล่า เจ้ามีบุญคุณช่วยข้าไว้ถึงสองครา หากข้าบอกว่าอยากใช้ชีวิตตอบแทนเจ้า ตามเหตุผลและมโนธรรมแล้วพระบิดาย่อมต้องไม่คัดค้านอย่างแน่นอน เช่นนั้นข้าก็ไม่ต้องแต่งงานไปไกลแล้ว”


 


 


นางมิได้ใส่ใจท่าทีแปลกประหลาดของเจินเมี่ยวแต่ลอบชำเลืองมองไปยังด้านหลังนาง


 


 


วันนี้นอกจากเชื้อพระวงศ์ที่มาส่งตัวเจ้าสาวแล้วยังมีขุนนางใหญ่อีกจำนวนหนึ่ง


 


 


คนผู้นั้นก็มาด้วย เขารูปร่างสูงโปร่งและสมส่วน หน้าตางดงามอ่อนโยนนั้นกลบอายุไปมิด เมื่อไปยืนอยู่ท่ามกลางขุนนางชราทั้งหลายก็โดดเด่นสะดุดตายิ่ง


 


 


คล้ายมีผึ้งเล็กๆ ตัวหนึ่งต่อยหัวใจของนางเบาๆ ครั้งหนึ่ง


 


 


ชูสยาจวิ้นจูพลันน้ำตาเอ่อนองหน้าขึ้นมาทันใด


 


 


เจินเมี่ยวค่อยๆ หันหลังไปมอง นางถึงกับอึ้งงันไป และเริ่มเข้าใจอันใดบางอย่างขึ้นมาจึงตบบ่าปลอบใจสหายตน


 


 


มีนางกำนัลผู้หนึ่งที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลเอ่ยขึ้นว่า “องค์หญิง ใกล้ถึงเวลาออกเดินทางแล้วเพคะ”


 


 


ชูสยาจวิ้นจู่จึงกลับมาทีท่าทีสูงสง่าเช่นเดิม นางเพียงเอ่ยเสียงเรียบว่า “อืม”


 


 


คนทั้งสองจึงเกินกลับไปอย่างช้าๆ


 


 


กระโปรงสีแดงขลิบทองของชูสยาจวิ้นจู่ลากยาวไปกับหญ้าบนพื้นจึงมีรอยเปื้อนเล็กน้อย แต่นางกลับไม่สนใจ ยังคงคุกเข่าคำนับหย่งอ๋องและชายาสามครั้ง แล้วเอ่ยด้วยเสียงกังวานว่า “พระบิดา พระมารดา พวกท่านวางใจเถิด ลูกจะมีชีวิตอย่างมีความสุขอย่างแน่นอน พวกท่านรักษาตนด้วย”


 


 


หย่งอ๋องกำแขนเสื้อของชายาตนไว้ ร้องไห้สะอึกสะอื้นไปตั้งนานแล้ว เดิมหย่งหวังเฟยก็คิดจะร้องไห้เช่นกันแต่เมื่อหย่งอ๋องทำถึงเพียงนี้แล้วนางจึงได้แต่อดกลั้นเอาไว้แล้วเอ่ยกำชับบุตรสาวด้วยน้ำตาคลอว่า “ชูสยา เมื่อไปถึงหมานเหว่ยก็อย่าได้เอาแต่ใจตนไปเสียทุกอย่างเล่า ยามอยู่ด้วยกันกับองค์ชายใหญ่ก็ให้จำคำสอนของแม่ไว้ แน่นอนว่าหากมีผู้ไร้ตามายั่วโทสะเจ้าก็อย่าได้กล้ำกลืนสงบปาก เจ้าเป็นองค์หญิงแห่งต้าโจว ผู้ใดก็มิอาจมาดูแคลนเจ้าได้โดยง่ายเช่นกัน!”


 


 


ชูสยาจวิ้นจู่เงยหน้าขึ้น “พระมารดาวางใจได้ บุตรสาวของท่านจะรังแกใครก็ได้ ไหนเลยจะยอมให้ผู้อื่นมารังแกตนได้เล่าเจ้าคะ!”


 


 


วาจานี้ของนางแม้นจะมีความดุร้ายอยู่หลายส่วน แต่หย่งหวังเฟยฟังแล้วกลับรู้สึกดีขึ้นมาไม่น้อย


 


 


เคราะห์ดีที่บุตรสาวของนางมิใช่คนอ่อนแอ มิเช่นนั้นนางคงเป็นห่วงจนใจแหลกสลายเป็นแน่


 


 


ชูสยาจวิ้นจู่ขึ้นรถม้าไปแล้วก็หันกลับมามองใบหน้าอันคุ้นเคยเหล่านั้น ความรู้สึกนับร้อยชนิดประเดประดังเข้ามาในหัวใจ


 


 


สุดท้ายนางก็มิได้หันไปมองตรงนั้นให้มากขึ้นอีกสักหน่อย ทำเพียงก้มตัวเดินเข้าไปด้านใน นางแหวกผ้าม่านออกแล้วโบกมือไปมา “อย่าลืมเขียนจดหมายหาข้าด้วยล่ะ!”


 


 


เจินเมี่ยวกับฉงสี่เซี่ยนจู่รู้ดีว่าวาจานี้นางกล่าวกลับพวกตนจึงได้ยกมือขึ้นโบกตอบพร้อมกัน


 


 


หลัวจือหยาเองก็ขึ้นไปนั่งบนรถม้าอีกคันด้วยใบหน้ามึนตึง


 


 


นางเองก็ต้องแต่งไปแดนไกลอย่างหมานเหว่ยเช่นกัน นางต้องจากบ้านเกิดเมืองนอนไปตลอดชีวิตและอาจจะไม่ได้พบหน้ากับบิดามารดาอีก แต่เพราะมีองค์หญิงอยู่นางจึงไม่ต่างอันใดกับคนไร้ตัวตน ไม่มีผู้ใดคิดถึงความเสียใจและความเสียสละของนางเลย แม้แต่บิดาแท้ๆ ของนางที่เคยรักใคร่เอ็นดูนางดั่งไข่มุกในมือ แต่ยามนี้กลับได้แต่ทำหน้าขรึม แม้แต่ขอบตาแดงเรื่อสักนิดก็ไม่มี ไหนเลยจะเปรียบกับหย่งอ๋องได้!


 


 


ใช่…การทำเช่นหย่งอ๋องนั้นออกจะดูน่าอายอยู่บ้าง แต่นางก็หวังอย่างยิ่งว่าบิดาที่ยอมขายนางเพื่อบุตรสาวจะเป็นบิดาของนาง!


 


 


มิได้เป็นเหมือนบิดาของนางในตอนนี้ที่เมื่อวานยังไปนอนอยู่เรือนของเยียนเหนียงอยู่อีก!


 


 


หัวใจดวงนี้ของหลัวจื้อหยาคล้ายตกลงไปธารน้ำแข็ง ไม่มีความอุ่นร้อนใดๆ สักนิด นางหันกลับไปมองเจินเมี่ยวที่ยืนอยู่ด้านหน้าท่ามกลางผู้คนทั้งหลาย นางกำลังโบกมือให้ชูสยาจวิ้นจู่อยู่ ความเคียดแค้นพาดผ่านเข้ามาในดวงตาหลัวจื้อหยาวูบหนึ่ง


 


 


อย่างน้อยนางก็เป็นพี่สะใภ้ตน แต่นอกจากจะให้ของขวัญเป็นสินเดิมแล้วก็มิได้พูดอันใดกับนางสักคำแต่กลับพยายามเข้าไปอยู่ใกล้กับองค์หญิง กล่าวกันตามจริงก็เป็นแค่คนที่เชิดชูผู้อยู่สูงเหยียบย่ำผู้อยู่ต่ำคนหนึ่งเท่านั้น พี่ใหญ่ตาบอดไปแล้วหรือไรจึงไปชอบสตรีเช่นนี้ได้!


 


 


หลัวจื้อหยาสะบัดมือปิดม่านลงอย่างแค้นเคืองแล้วเข้าไปนั่งในรถม้า และมิได้แหวกม่านออกมาดูอีกเลย นางเพียงปิดตาลงปล่อยให้รถม้าค่อยๆ เคลื่อนออกไป


 


 


นางเถียนที่จ้องมองผ้าม่านนั้นจนแทบจะทะลุเข้าไปอยู่แล้ว แต่น่าเสียดายที่ผ้าม่านนั้นก็เพียงสั่นปลิวตามการเคลื่อนตัวของรถม้าเท่านั้นแต่มิได้ถูกแหวกออกมาอีกเลย


 


 


นางเสียใจอย่างที่สุด ร่างจึงเซถลาเกือบล้มทับนายท่านรองสกุลหลัว


 


 


นายท่านรองเข้าไปประคองนางตามสัญชาตญาณ แต่เมื่อเห็นสายตาของคนทั้งหลายที่มองมาก็รู้สึกเสียหน้ายิ่งจึงกัดฟันเอ่ยเสียงต่ำว่า “สตรีโง่งม เจ้าทำท่าทางดั่งคนใกล้จะตายไปด้วยเหตุใด? หากถูกพวกเจ้าเล่ห์แผนการทั้งหลายเอาไปลือว่าเจ้าไม่พอใจต่อพระบรมวงศานุวงศ์ ข้าจะหย่ากับเจ้า ให้เจ้าไปอยู่กับตระกูลอัปยศนั้นของเจ้าไปจนตาย!”


 


 


วาจานี้ไม่เหลือเยื่อใยของความเป็นสามีภรรยาไว้แม้แต่น้อย กลิ่นคาวโลหิตอบอวลอยู่ในลำคอนางเถียนแต่นางก็อดกลั้นไว้มิถ่มมันออกมา ทว่าหัวใจของนางกลับค่อยๆ เย็นเยียบลง


 


 


ในอดีตคนทั้งสองเคยยิ้มให้กันและวาดฝันอนาคตอันสวยงามด้วยใจอันเบิกบานด้วยกัน แต่ใจบุรุษนั้นบางเสียยิ่งกว่ากระดาษ เมื่อมันขาดพังแล้วแม้การปฏิบัติกับอาเมา อาโก่วก็ยังดีกว่าปฏิบัติกับนางด้วยซ้ำ


 


 


ยามนี้เขาเป็นขุนนางตำแหน่งเล็กๆ ที่เทียบอันใดมิได้กับเม็ดงาเม็ดถั่วด้วยซ้ำ หากเขาสามารถแย่งชิงตำแหน่งมาจากคนผู้นั้นได้จริงก็อาจจะวางแผนให้นางป่วยตายไปในทันทีก็เป็นได้


 


 


ครานี้นางเถียนรู้สึกเสียใจขึ้นมาจริงๆ แล้ว นางพยายามพยุงร่างอันโงนเงนของตนขึ้นรถม้าไป


 


 


นางมิอาจยอมแพ้ตอนนี้ ไม่ว่าเจ้ารอง เจ้าสามหรือตระกูลมารดานางก็ยังคงต้องการนางอยู่


 


 


เจินเมี่ยวไปบอกลาหย่งอ๋องและพระชายา “พระบิดา พระมารดา ข้าไปเก็บดอกท้อต้นเดือนสามมาหมักสุราดอกท้อ ยามนี้สามารถเอาออกมาดื่มได้แล้ว พรุ่งนี้ข้าจะเอาไปให้พวกท่านที่จวนอ๋องสองสามไหดีหรือไม่เจ้าคะ”


 


 


นอกจากบุรุษผู้ที่นางแอบชอบแล้ว ผู้ที่ชูสยาจวิ้นจู่มิอาจตัดใจปล่อยวางได้ก็คงเป็นคนทั้งสองนี้แล้ว ในเมื่อนางเป็นสหายกับชูสยา ทั้งยังยอมรับตนเป็นบุตรบุญธรรมอีก เช่นนั้นการกตัญญูต่อทั้งสองท่านแทนชูสยาก็เป็นสิ่งที่นางควรกระทำอย่างยิ่ง


 


 


หย่งอ๋องยิ่งร้องไห้หนักขึ้นไปกว่าเดิม เขาร้องไห้ไปพลางก็ยกแขนเสื้อหย๋งหวังเฟยขึ้นมาเช็ดไปพลาง “ชูสยาก็ชอบเอาผลไม้และดอกไม้ไปหมักสุราที่สุด แม้รสชาติจะค่อนข้างแปลกประหลาด แต่ข้าก็ดื่มจนหมดทุกครั้ง เจียหมิงฝีมือการหมักของเจ้าน่าจะดีกว่าชูสยากระมัง?”


 


 


หย่งหวังเฟยลอบหยิกเขาไปคราหนึ่ง แล้วเผยยิ้มแหยๆ ให้เจินเมี่ยวพลางเอ่ยว่า “พรุ่งนี้เช้ารีบมาเร็วสักหน่อยเถิด”


 


 


เดิมทีที่นางยอมรับบุตรสาวผู้นี้เพราะเป็นพระประสงค์ของท่านผู้นั้นที่อยู่ในวัง หย่งหวังเฟยจึงยอมให้เกียรติเท่านั้น แต่ยามนี้นางกลับรู้สึกเอ็นดูรักใคร่เจินเมี่ยวขึ้นมาจริงๆ อยู่หลายส่วน


 


 


เจินเมี่ยวรู้ดีว่าวันนี้นั้นเป็นวันสำหรับชูสยาที่ต้องจากบ้านเกิดไปไกล อย่างไรก็ควรให้พวกเขาได้ทำใจและสงบสติอารมณ์สักวันจึงจะดี นางจึงพูดคุยสั้นๆ ไม่กี่ประโยคก็แยกตัวออกมา


 


 


“เจินเมี่ยว เจ้าขึ้นรถม้ากับข้าเถิด” ฉงสี่เซี่ยนจู่เดินเข้ามาหา


 


 


เจินเมี่ยวนึกถึงคำของหลัวเทียนเฉิงขึ้นมาจึงส่ายหน้า “ไม่ดีกว่า ข้าต้องรีบกลับก่อนแล้ว”


 


 


ก่อนออกจากเรือนมาหลัวเทียนเฉิงบอกนางว่าหากส่งชูสยาจวิ้นจู่เสร็จแล้วก็ให้รีบกลับจวน ไม่ว่าจะมีเรื่องอันใดก็อย่าได้ชักช้า เมื่อนางรับปากแล้วก็ต้องรักษาสัญญา


 


 


ครั้นเห็นสีหน้าที่แม้ดูสงบนิ่งแต่ในแววตากลับมีความผิดหวังซ่อนอยู่ของฉงสี่เซี่ยนจู่ เจินเมี่ยววก็เข้าใจความรู้สึกของนางทันที


 


 


ชูสยากำลังเดินทางไปยังที่แสนไกล ความจริงนางเองก็มีวาจามากมายอยากจะเอ่ยกับฉงสี่เซี่ยนจู่


 


 


นางพลันคิดบางอย่างขึ้นมาได้จึงเอ่ยเชื้อเชิญว่า “ฉงสี่ เช่นนั้นกลับจวนกั๋วกงพร้อมกันกับข้าดีหรือไม่”


 


 


ฉงสี่เซี่ยนจู่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง


 


 


ความจริงก่อนออกจากวังมานั้นพระมารดาบอกนางว่าอยากจะพบกับเจินเมี่ยวสักหน่อย


 


 


“ข้าจะทำซาลาเปาไส้น้ำแกงแตงกวาให้กินเอง”


 


 


ฉงสี่เซี่ยนจู่พยักหน้ารับทันใด “ตกลง” 

 

 


ตอนที่ 316 ก่อกบฏ

 

คนทั้งสองขึ้นรถม้าไปที่จวนกั๋วกงพร้อมกัน


 


 


พรมที่อยู่ในรถม้าเปลี่ยนจากพรมขนยาวสีขาวหิมะเป็นพรมขนสั้นสีเขียว ดูแลสบายตายิ่ง คล้ายนำเอาวสันตฤดูเข้ามาไว้ในรถม้าก็มิปาน


 


 


ด้านในมีเก้าอี้ยาวตัวเตี้ย และมีโต๊ะสี่เหลี่ยมเล็กๆ ติดยึดไว้ด้านบน เจินเมี่ยวล้วงเอาผลไม้นานาชนิดที่อยู่ในช่องด้านข้างรถม้าออกมาวางไว้บนโต๊ะเล็กนั้นเพื่อเป็นการต้อนรับฉงสี่เซี่ยนจู่


 


 


ฉงสี่เซี่ยนจู่หยิบลูกท้อขึ้นมากิน เมื่อเคี้ยวและกลืนหมดแล้วจึงเอ่ยถามว่า “มีหมากรุกหรือไม่”


 


 


เจินเมี่ยวพลันเกิดความรู้สึกอยากจะถีบฉงสี่เซี่ยนจู่ตกรถม้าไปทันทีเลย


 


 


นางปวดหัวที่สุดและไม่ชำนาญที่สุดก็คือการเดินหมากนี่แล ผู้ใดเอ่ยผู้นั้นต้องมีเรื่องกับนางแน่!


 


 


ฉงสี่เซี่ยนจู่ใช้สายตาชนิดที่ว่า ‘เจ้าช่างธรรมดาสามัญและไร้รสนิยมสิ้นดี’ หันมองเจินเมี่ยว ทั้งเอ่ยอีกว่า “หากรู้เช่นนี้ให้เจ้าขึ้นรถม้าข้าจะดีกว่า”


 


 


ขอบคุณฟ้าดินจริงๆ!


 


 


เจินเมี่ยวเหงื่อไหลท่วมตัวแล้ว


 


 


นางคิดครู่หนึ่งจึงเปิดลิ้นชักใต้เก้าอี้ตัวยาวนั้นแล้วหยิบไพ่ชุดหนึ่งออกมา เอ่ยอย่างเอาใจว่า “หากท่านรู้สึกเบื่อ เราก็มาเล่นไพ่กันเถิด”


 


 


มุมปากฉงสี่เซี่ยนจู่ถึงกับแข็งค้างไปโดยพลัน นางเอ่ยขึ้นว่า “เช่นนั้นก็ปล่อยให้ข้าเบื่อหน่ายเช่นนี้ต่อไปเถิด”


 


 


เจินเมี่ยวยัดไพ่ชุดนั้นกลับเข้าไปอย่างเสียดาย


 


 


รถม้าพลันส่ายโงนเงนขึ้นมา ผลไม้และของอื่นๆ ที่วางอยู่บนโต๊ะก็กลิ้งตกลงพื้น เสียงม้าร้องลากยาวบวกกลับเสียงเอะอะที่ดังอยู่ไกลๆ ทั้งยังมีได้ยินเสียงกรีดร้องของคนดังขึ้นพร้อมกันด้วย


 


 


“เกิดอันใดขึ้น” เจินเมี่ยวเดินไปแหวกม่านออกอย่างรวดเร็ว


 


 


คนมากมายเพียงนี้กลับเข้ามาในเมือง รถม้าของเหล่าเชื้อพระวงศ์ล้วนวิ่งอยู่ด้านหน้า เจินเมี่ยวนั่งอยู่ในรถม้าของจวนกั๋วกง ตามหลังแล้วควรอยู่ตรงกลางค่อนไปด้านหน้า แต่ไม่ทราบด้วยเหตุใดจึงรั้งท้ายมาอยู่ด้านหลังเสียแล้ว


 


 


นางแหวกม่านออกไปดูก็เห็นควันลอยคลุ้งขึ้นตกหน้า ไม่ทราบว่ามีประทัดจากที่ใดมากมายเพียงนี้ถูกจุดขึ้น จนทำให้ม้าตกใจกระโดดหนีให้วุ่น บางคนถึงกลับตกจากรถม้าก็มี


 


 


นางเพียงพอครู่หนึ่ง คนควบรถม้าก็บอกว่า “ต้าไหน่ไหน่ นั่งดีๆ นะขอรับ!”


 


 


เจินเมี่ยวเพิ่งจะจับผนังรถม้าไว้เท่านั้นรถม้าก็เบนทิศตามรถม้าหน้าตาธรรมดาหลายคันที่มุ่งไปยังช่องว่างที่มีอยู่อย่างคล่องแคล่ว


 


 


รถม้าบางคันที่เห็นรถม้าสองคันนี่วิ่งไป คนควบม้าที่หลักแหลมก็ย่อมต้องรีบควบตามไปเป็นแน่


 


 


แรกเริ่มนั้นมีเพียงรถม้าสองคันที่ทำเช่นนี้ แต่หลังด้านหน้านั้นกลับวุ่นวายขึ้นไปทุกขณะ รถม้าด้านหลังที่มุงมาด้านนี้กลับปิดตายช่องว่างนั้นไปเสียแล้ว มีรถม้าคันหนึ่งที่พุ่งทางนั้นก็ต้องพลิกล้มคว่ำลงข้างทาง


 


 


เสียงฝีเท้าม้าดังอึกทึก ผู้คนจึงร้องขึ้นด้วยความตกใจทำให้กลบเสียงรบรากันที่อยู่ด้านหน้าไปเสียมิด


 


 


องค์ชายหกนั่งอยู่บนหลังม้า ข้างกายมีองครักษ์คอยคุ้มกันอยู่โดยรอบ เขาจ้องมองมือสังหารที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นมานิ่ง ไม่เพียงไม่มีความกลัวแต่กลับระบายยิ้มออกมาด้วย


 


 


ในที่สุดรัชทายาทก็อดทนที่จะลงมือไม่ไหวแล้ว แต่ก็เป็นช่วงเวลาที่เขากับหลัวซื่อจื่อคำนวณไว้แล้วเช่นกัน


 


 


เดิมรัชทายาทนั้นเป็นผู้มีความสามารถที่ธรรมดายิ่ง เพราะเจาเฟิงตี้กับจักรพรรดิพระองค์ก่อนต่างก็มิใช่โอรสของหวงโฮ่ว เมื่อมาถึงยุคของเขา เจาเฟิงตี้ก็อยากจะทำลายคำสาปนี้เสียจึงค่อยข้างให้ความเอ็นดูกับรัชทายาทดูจากการที่ทรงเลือกซูหันรองเสนาบดีฝ่ายซ้ายกรมขุนนางให้มาเป็นพ่อตาของรัชทายาทก็ทราบได้ทันที


 


 


แต่น่าเสียดายที่อาโต้วมิอาจผ่านด่านนี้ไปได้ ไม่มีความสามารถยังพอทำเนา แต่ความกตัญญูพื้นฐานยังไม่มี เจาเฟิงตี้เองก็มิใช่ไม่มีบุตรชายคนอื่นอีก บอกกับอายุมากแล้วก็คิดมากขึ้น การที่รัชทายาทล่อพยัคฆ์ให้เข้าหาเจาเฟิงตี้นั้นจึงได้ตัดขาดความสัมพันธ์ที่เดิมก็เปราะบางอยู่แล้วของโอรสสวรรค์ให้ขาดสะบั้นลง


 


 


หากการอภิเษกของชูสยาจวิ้นจู่ในครั้งนี้ เจาเฟิงตี้ยอมให้รัชทายาทเป็นผู้ไปส่ง บางทีรัชทายาทอาจจะยอมอดกลั้นต่ออีกหน่อย แต่กลับมอบเกียรติพิเศษนี้ให้กับองค์ชายสาม รัชทายาทกับพ่อตาของเขาย่อมมิอาจนั่งติดที่ได้อีกต่อไป


 


 


คิดว่ายามนี้ในวังเองก็คงคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นคาวเลือดแล้วกระมัง


 


 


องค์ชายหกมองไปยังทิศที่วังหลวงตั้งอยู่


 


 


ภายในตำหนักหย่างซิน ครั้นเห็นรัชทายาทและกองพลพยัคฆ์อีกจำนวนหนึ่งที่ตามติดอยู่ด้านหลังเขาบุกเข้ามาด้านใน เจาเฟิงตี้ก็หรี่ตาลงแล้วมองไปที่ฉ่งลี่ไฮ่ที่เป็นหัวหน้ากองพลพยัคฆ์


 


 


ฉ่งลี่ไฮ่คล้ายไม่กล้ามองหน้าเจาเฟิงตี้ เขาหลบตาอย่างคนรู้สึกอึดอัด


 


 


เจาเฟิงที่ถอนหายใจอย่างไร้สุ้มเสียง


 


 


รัชทายาทพำนักอยู่ตงกง ทหารที่อยู่นอกเมืองนั้นเขาย่อมมีสิทธิ์สั่งการ แต่หากคิดจะนำทหารเข้ามาในวังหลวงคงเป็นไปไม่ได้แน่ หากในวังมีการเปลี่ยนแปลงใดขึ้นมาก็ยังมีกองพลพยัคฆ์และกองพลมังกรคอยรับมืออยู่


 


 


แต่หนึ่งในนั้นที่จะถูกควบคุมได้ง่ายก็คือกองพลพยัคฆ์


 


 


เหมือนดั่งที่หลัวเทียนเฉิงเคยวิเคราะห์ให้เขาฟังว่า กองพลพยัคฆ์ถูกคัดเลือกมาจากหน่วยปราบปรามทั่วอาณาจักร ส่วนมากมักมีฐานยากจน องครักษ์เช่นนี้มักจะจงรักภักดีกับผู้บัญชาการโดยตรงมากกว่า


 


 


อีกอย่างกองพลพยัคฆ์นั้นต้องลำบากมากกว่ากองพลมังกร ทั้งถูกกองพลมังกรกดข่มมานาน การเกิดใจคัดค้านนั้นย่อมเป็นเรื่องยากที่จะหลีกเลี่ยง


 


 


แน่นอนว่าเรื่องเหล่านี้ไม่สำคัญนัก


 


 


ซูหันรองเสนาบดีฝ่ายซ้ายแห่งกรมขุนนางนั้นมีบุญคุยกับฉ่งลี่ไฮ่หัวหน้ากองพลพยัคฆ์


 


 


ข่าวนี้เพิ่งจะถูกรายงานไม่นานจากองครักษ์ลับของหน่วยองครักษ์จิ่นหลิน


 


 


เดิมเจาเฟิงตี้ไม่เชื่อมาตลอดว่ารัชทายาทจะเหิมเกริมเพียงนี้ แต่เวลานี้หากเขาจะไม่เชื่อก็คงไม่ได้แล้ว


 


 


บุตรชายไร้ความสามารถของเขาช่างกล้าหาญดีแท้!


 


 


“ไท่จื่อ เจ้าคิดจะสังหารบิดาเพื่อชิงบัลลังก์งั้นหรือ” เจาเฟิงตี้เอ่ยถาม น้ำเสียงฟังไม่ออกว่ายินดีหรือโกรธกริ้ว


 


 


รัชทายาทเกิดความกลัวขึ้นมาจากจิตใต้สำนึก แต่เขาก็บีบเค้นเอาความเ**้ยมเกรียมของตนออกมาทันที เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว เขามิอาจถอยหลังได้อีก หากถอยก็คงเหลือถูกสับเป็นหมื่นชิ้น ร่างกายแหลกสลายเป็นแน่!


 


 


แต่หากสำเร็จ…


 


 


เมื่อมองเจาเฟิงตี้ที่อยู่ไกลนักนั้น แล้วดวงตาก็เกิดประกายไฟขึ้นมา


 


 


“ลูกไม่กล้าพ่ะย่ะค่ะ แต่เสด็จพ่อพลานามัยไม่แข็งแรงก็ควรพักผ่อนได้แล้ว”


 


 


ชื่อเสียงจากการสังหารบิดานั้นเขาไม่กล้ารับเด็ดขา และมิอาจแบกรับได้! เดิมเขาก็เป็นโอรสของหวงโฮ่วพระองค์ก่อน เป็นรัชทายาทผู้สืบทอดตำแหน่งอย่างถูกต้องอยู่แล้ว


 


 


แค่ต้องการบีบให้บิดาลงจากตำแหน่ง เขาส่งองครักษ์ลับและหน่วยกล้าตายที่รองเสนาบดีเลี้ยงไว้ในจวนออกไปสกัดเหล่าพี่น้องทั้งหลายไว้ เช่นนั้น เขายังมีอันใดต้องกังวลอีกเล่า!


 


 


เมื่อนึกถึงหน่วยกล้าตายของรองเสนาบดี ใจของรัชทายาทก็เกิดเป็นปมขึ้นมาทันที


 


 


เขาคิดไม่ถึงจริงๆ ว่ารองเสนาบดีฝ่ายซ้ายแห่งกรมขุนนางจะเลี้ยงหน่วยกล้าตายไว้มากเพียงนั้น ผู้เฒ่านั้นช่างเก็บงำได้อย่างแนบเนียนนัก ดูท่าหากเขาขึ้นครองราชย์แล้วคงต้องมานั่งคิดบัญชีบางอย่างอยู่เช่นกัน


 


 


หากซูหันรู้ว่าบุตรเขยของตนมีความคิดเช่นนี้เกรงว่าคงต้องโกรธเกรี้ยวจนร้องไห้ออกมาแน่ เขามีบุตรสาวเพียงคนเดียว แม้แต่บุตรชายสักคนก็ไม่มี แล้วจะเลี้ยงหน่วยกล้าตายไว้ด้วยเหตุใดเล่า


 


 


ก็เพราะเขาไม่เชื่อในสติปัญญาของรัชทายาทจึงได้เลี้ยงหน่วยกล้าใต้ไว้เพื่อเป็นไพ่ใบสุดท้าย เผื่อว่าสักวันหนึ่งจะได้ใช้งาน


 


 


แต่ยามนี้ซูหันก็กำลังอยู่ในขบวนส่งเสด็จชูสยาจวิ้นจู่เช่นกันจึงไม่มีทางที่จะชี้แนะแนวคิดให้กับรัชทายาทได้


 


 


“ดี ดีเหลือเกินจริงๆ” เจาเฟิงตี้เอ่ยเน้นย้ำออกมาทีละคำ บรรยากาศเริ่มมาคุขึ้นทุกขณะแล้ว


 


 


หน่วยองครักษ์จิ่นหลินที่ทำหน้าที่คุ้มครองเจาเฟิงตี้โดยเฉพาะนั้นก็จับกระบี่ขึ้นมาพร้อมจะต่อสู้กับกองพลพยัคฆ์


 


 


ฉ่งลี่ไฮ่หัวหน้ากองพลพยัคฆ์มองหน่วยองครักษ์จิ่นหลินอย่างไม่แยแส


 


 


วันนี้ชูสยาจวิ้นจู่อภิเษก กองพลมังกรที่เป็นดั่งหน้าตาของพระบรมวงศานุวงศ์จึงไปส่งเสด็จ อีกทั้งยังต้องไปจนไปถึงดินแดนหมานเหว่ยอีกด้วย


 


 


ที่เหลือก็เป็นเพียงพวกผลัดเปลี่ยนเฝ้าเวรยาม ทหารที่อยู่วังจึงไม่มาก กองพลพยัคฆ์จึงควบคุมสถานการณ์ทุกอย่างไว้หมดแล้ว ส่วนหน่วยองครักษ์จิ่นหลินแม้นมีไม่น้อย แต่ที่อยู่อารักขาความปลอดภัยของเจาเฟิงตี้ก็มีเพียงแค่หยิบมือ ต่อให้เก่งกาจสักหน่อยก็ไม่มีทางสู้กองพลพยัคฆ์ที่มีจำนวนมากกว่าได้แน่


 


 


เขามีชาติกำเนิดต้อยต่ำหากมิใช่เพราะใต้เท้าซูให้เงินไปรักษาตัวเขาก็คงป่วยตายไปนานแล้ว ภายหลังที่เข้ามาในกองพลพยัคฆ์ได้ก็เพราะใต้เท้าซูคอยช่วยเหลือ เขาจึงเดินมาถึงตำแหน่งที่มีในวันนี้ได้


 


 


เมื่อคิดถึงตรงนี้ความลังเลใจในหน้าของฉ่งลี่ไฮ่ก็พลันอันตรธานหายไป แต่แทนที่ด้วยความมุ่งมั่นและบ้าคลั่งแทน


 


 


“ไท่จื่อ หากเจ้ากลับไปตอนนี้ เราจะถือว่าเจ้าไม่เคยมา”


 


 


เจาเฟิงตี้มองบุตรชายคนโตที่รูปร่างสูงโปร่งกว่าเขาเสียอีกด้วยอารมณ์ซับซ้อนวุ่นวายอย่างยิ่ง


 


 


ใจของรัชทายาทพลันสับสนขึ้นมา แต่เพื่อปกปิดความว้าวุ่นที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันนี้เขาจึงแค่นยิ้มเย็นออกมา “เสด็จพ่อ หากลูกกลับไปแต่โดยดี ต่อไปก็คงมิอาจก้าวออกมาจากตำหนักได้แม้เพียงครึ่งก้าวใช่หรือไม่ ตำแหน่งนี้ ท่านคิดมอบให้ผู้ใดหรือ อย่างไรท่านก็ต้องมีวันนั้น ในเมื่อยกให้ผู้อื่นได้เหตุใดจึงยกให้ลูกมิได้เล่า”


 


 


เอ่ยถึงตรงนี้ตาของเขาก็แดงระเรื่อขึ้นมาเล็กน้อย “เป็นเพราะลูกล่อพยัคฆ์ร้ายมาหาท่านหรือ แล้วลูกเจตนาทำเช่นนั้นหรือ หากเป็นบุตรชายคนอื่นของท่าน พวกเขาคงต้องเก่งกาจกว่าลูกแน่นอนใช่หรือไม่”


 


 


เจาเฟิงตี้รู้สึกเสียใจจนพูดอันใดไม่ออก “พวกเขาจะทำได้ดีกว่านี้หรือไม่ เราไม่รู้ แต่สิ่งที่เจ้าทำอยู่นั้นเราเห็นกับตาตน”


 


 


“ดังนั้น ไม่ว่าลูกจะทำเช่นใดก็ไม่มีทางดีในสายตาท่านใช่หรือไม่? ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เสด็จพ่อ ลูกคงไม่มีอันใดจะพูดแล้ว ขอท่านโปรดประทับตราลงในฎีกานี้เถิด อย่าให้ลูกต้องใช้กำลังเลย!”


 


 


“องค์รัชทายาท พระองค์คงมั่นใจมากเกินไปแล้วกระมัง?” เสียงเย็นเยียบหนึ่งดังขึ้น


 


 


ฉับพลันก็มีองครักษ์มากมายกรูออกมาจากมุมตำหนักทั้งสี่ด้าน องครักษ์เหล่านี้สวมเครื่องแบบเช่นเดียวกับหน่วยองครักษ์จิ่นหลิน แต่สีผิวเข้มกว่า แววตาแต่ละคนนั้นเต็มไปด้วยพลัง ท่าทีคุกคามให้คนหวาดกลัว แค่มองก็รู้ว่ามิใช่บุคคลที่จะต่อกรได้โดยง่าย


 


 


รัชทายาทหน้าเปลี่ยนสีไปในทันที “หลัวซื่อจื่อ? เจ้า เจ้ามิใช่ถูกพักตำแหน่งหรอกหรือ”


 


 


เมื่อเห็นหลัวเทียนเฉิงยิ้มน้อยๆ ส่วนเจาเฟิงตี้กลับนิ่งดุจขุนเขา รัชทายาทก็เข้าใจในที่สุด เขาถอยหลังสองสามก้าว กองพลพยัคฆ์ก็ขยับเข้าคุ้มกันเขา เขาตะโกนออกไปว่า “เสด็จพ่อ ท่านคงยังไม่ทราบกระมังว่าลูกได้ส่งคนไปที่วังฉืออันแล้ว เกรงว่ายามนี้คงกำลังถวายพระพรเสด็จย่าอยู่พ่ะย่ะค่ะ”


 


 


เจาเฟิงตี้โกรธกริ้วขึ้นมาในที่สุด “เดรัจฉาน!”


 


 


“องค์รัชทายาทโปรดวางพระทัยได้ พวกที่ไปถวายพระพรเหล่านั้น หม่อมฉันได้เชิญพวกเขาไปดื่มชาเรียบร้อยแล้ว” หลัวเทียนเฉิงเอ่ยอย่างไม่รีบไม่ร้อน


 


 


รัชทายาทหน้าดำคล้ำไปทันที เขาทำสัญลักษณ์มือคราหนึ่ง กองพลพยัคฆ์ก็กรูเข้าไปปะทะกับหน่วยองครักษ์จิ่นหลินทันที


 


 


แม้นกองพลพยัคฆ์จะมาก แต่องครักษ์ของหน่วยองครักษ์จิ่นหลินนั้นต่างถูกคัดเลือกมาอย่างดี เพียแค่ครึ่งชั่วยาม กองพลพยัคฆ์ก็ล้มคว่ำกันไปจดหมด


 


 


รัชทายาทเห็นเหตุการณ์ย่ำแย่จึงให้องครักษ์ส่วนพระองค์คุ้มกันตนถอยออกไปยังสถานที่แห่งหนึ่งที่ใกล้กลับตำหนักใหญ่ เขากวักมือเรียกคนผู้หนึ่งออกมาแล้วหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมายัดใส่ปากนาง


 


 


“เสด็จพ่อ ช่วยด้วย…” องค์หญิงฟังโหรวที่ถูกรัชทายาทจับตัวไว้นั้นร้องไห้น้ำตานองหน้าไปนานแล้ว อาจเพราะดิ้นรนจนผมกระเซอะกระเซิงไปถูกเข้ากับหน้าตาและเหงื่อ มันจึงแนบติดใบหน้านาง มองดูแล้วช่างน่าเวทนายิ่ง


 


 


“ฟังโหรว!” เจาเฟิงตี้จึงเริ่มมีปฏิกิริยา เขาอดลุกขึ้นยืนมิได้


 


 


ฟังโหรวเป็นองค์หญิงที่เล็กที่สุด นางได้รับความรักเอาใจมาตั้งแต่เยาว์วัย แม้นสองปีมานี้จะมิใคร่แสดงความโปรดปรานเอ็นดู แต่อย่างไรก็เป็นบุตรที่ตนเคยรักเอ็นดูด้วยใจจริงมาก่อน ครั้นเห็นนางตกอยู่ในอันตราย เจาเฟิงตี้ไหนเลยจะไม่ร้อนใจได้


 


 


“ลูกทรยศ เจ้าปล่อยฟังโหรวเดี๋ยวนี้ นางเป็นน้องสาวของเจ้านะ!”


 


 


รัชทายาทแค่นยิ้มเย็น “น้องสาวอันใดกัน นางเคยเคารพข้าอย่างพี่ชายบ้างหรือไม่ เสด็จพ่ออย่าได้ปลอบลูกประหนึ่งเด็กน้อยเลย ท่านปล่อยลูกไป หากลูกรู้สึกว่าปลอดภัยแล้วก็จะปล่อยฟังโหรวมาเอง!”


 


 


“ฝันไปเถิด!” เจาเฟิงตี้โมโหขึ้นมาทันใด


 


 


รัชทายาทเองก็ไม่เอ่ยอันใด เขาจับฟังโหรวยืนบังหน้าตน กริชในมือค่อยๆ กรีดผ่านลำคอนางไป หยาดโลหิตก็ไหลซึมออกมาทันใด “ให้พวกเขาหยุดมือเดี๋ยวนี้ มิเช่นนั้นพวกเราก็ตายไปด้วยกันเถิด!”


 


 


ทุกคนในตำหนักใหญ่ต่างหยุดมือ แล้วมองไปที่เจาเฟิงตี้


 


 


“เจ้าต้องการอันใดกันแน่”


 


 


“ลูกไม่ต้องการอันใด ท่านแค่สั่งให้พวกเขาทำตามที่ลูกสั่งก็พอแล้ว”


 


 


“เสด็จพ่อ ช่วยลูกด้วย ลูกไม่อยากตาย ฮือๆๆ” องค์หญิงฟังโหรวทั้งเจ็บทั้งกลัวจนเสียสติไปนานแล้ว นางพยายามดิ้นรนทั้งร้องไห้เสียงดัง


 


 


หากเป็นผู้ใหญ่คนหนึ่งถูกกริชจ่อคอเช่นนี้ย่อมต้องตกใจจนไม่กล้าขยับเขยื้อนแน่ แต่ฟังโหรวเป็นเพียงเด็กน้อยที่กำลังจะโตผู้หนึ่ง เมื่อนางกลัวมากนางก็ลืมทุกสิ่งไปเสียสิ้น


 


 


พริบตาคมกริชก็บาดลึกลงไปอีกเล็กน้อย โลหิตซึมไหลออกมามากกว่าเดิมเสียอีก


 


 


รัชทายาทรีบยกกริชออกมาเล็กน้อย หน้าของเขาเขียวคล้ำขึ้นมาทันที


 


 


ในใจก็เอ่ยว่าเขารู้ว่าน้องสาวผู้นี้ไม่ฉลาด แต่คิดไม่ถึงว่าจะโง่เง่าเพียงนี้ หากนางตายขึ้นมาจริงๆ เขาจะทำฉันใดเล่า!


 


 


เมื่อคิดได้เช่นนี้เขาก็ทั้งโมโหทั้งหงุดหงิดและไม่กล้าให้นางได้รับบาดเจ็บไปมากกว่านี้อีกจึงใช้มือออกแรงรัดนางไว้แน่นยิ่งกว่าเดิม


 


 


พละกำลังของบุรุษเต็มวัยนั้นมีมากอย่างมิต้องเอ่ยบอก องค์หญิงฟังโหรวถูกรัดแน่นเช่นนั้นก็ร้องโหยหวนออกมา ท่าทีช่างน่าสงสารนัก อาจเพราะเมื่อครู่ดิ้นจนไปชนกับคมกริชเข้าทำให้หวาดกลัว ครานี้จึงมิกล้าขยับตัวอีก นางเพียงมองเจาเฟิงตี้ด้วยน้ำตานองหน้าเท่านั้น


 


 


เจาเฟิงตี้เองก็ทั้งโกรธทั้งแค้นทั้งเป็นห่วง


 


 


แค้นที่รัชทายาทลงมือกับพี่น้องอย่างไม่ไว้ไมตรีเลย โกรธที่ฟังโหรวเป็นถึงองค์หญิงเมื่อต้องเผชิญเรื่องเช่นนี้นางกลับหวาดกลัวจนเสียกิริยา ที่เป็นห่วงก็คงเป็นบาดแผลที่ฟังโหรวได้รับมานั้นแล


 


 


เขาชำเลืองมองหลัวเทียนเฉิงอย่างแนบเนียบคราหนึ่ง เมื่อเห็นเขาพยักหน้าก็เอ่ยว่า “ได้ เรารับปากเจ้า”


 


 


คราแรกรัชทายาทดีใจยิ่ง แต่ต่อมาก็ได้ยินเสียงกระแอมไอของฉ่งลี่ไฮ่ดังขึ้น


 


 


เวลานี้การต่อสู้ในลานตำหนักได้หยุดลงแล้ว เสียงไอนี้จึงชัดเจนอย่างหาใดเปรียบได้


 


 


รัชทายาทจึงคิดถึงวาจาของพ่อตาตนขึ้นมาคำหนึ่ง


 


 


‘หากกล่าวถึงบุคคลที่อยู่ข้างกายจักรพรรดิ คนที่ต้องระวังมากที่สุดคือหลัวซื่อจื่อจวนเจิ้นกั๋วกง เขามีวรยุทธ์สูงส่ง ทั้งยังบัญชาการหน่วยองครักษ์จิ่นหลินด้วย หากเขาอยู่การต่อสู้นั้นย่อมน่ากลัวยิ่ง แต่เคราะห์ดีที่ฟ้ามีตาทำให้เขาถูกกักบริเวณเพราะเรื่องของตระกูลเถียน นับเป็นความช่วยเหลือจากสวรรค์แล้ว’


 


 


รัชทายาทมีความสามารถไม่โดดเด่นแต่มิได้หมายความว่าเขาไม่เจ้าเล่ห์ ยามนี้เขาพ่ายแพ้แล้ว หากถูกจับเกรงว่าก็คงได้แต่รอแขวนคอตายหรือไม่ก็ดื่มสุราพิษแล้ว ฟังโหรวจึงเป็นโล่กำลังเดียวที่ทำให้เขามีความหวังในการมีชีวิตต่อไป


 


 


ในเมื่อรัชทายาทในรัชสมัยก่อนยังหลบหนีออกจากหวังได้หลังจากที่ถูกปลด ตั้งแต่นั้นก็ไร้ข่าวคราว หรือที่จริงก็อาจกำลังคิดจะยึดราชบัลลังก์อยู่ก็ได้ เช่นนั้นเหตุใดเขาจึงจะทำบ้างไม่ได้เล่า!


 


 


แต่หากจะมั่นใจว่าปลอดภัยแน่ อันดับแรกก็ต้องกำจัดคนข้างหน้าผู้นี้เสียก่อน!


 


 


“เสด็จพ่อ ลูกยังมีอีกเงื่อนไขพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


“ว่ามา!” เจาเฟิงตี้รู้ว่าหลัวเทียนเฉิงคงได้เตรียมการรับมือกับเส้นทางที่รัชทายาทจะหลบหนีไปได้ไว้เรียบร้อยแล้ว จึงเริ่มสงบใจขึ้นมาได้ เขาเพียงเกรงว่าหากปล่อยนานไป องค์หญิงฟังโหรก็จะยิ่งมีอันตราย จึงได้รีบถามออกไปทันที


 


 


รัชทายาทดึงองค์หญิงฟังโหรวให้ถอยหลังไปอีกสองสามก้าว แล้วจ้องมองหลัวเทียนเฉิงด้วยรอยยิ้มประหลาด สุดท้ายจึงเอ่ยวาจาที่ทำให้คนต้องตกใจขึ้นมาประโยคหนึ่งว่า “ขอเพียงหัวหน้าผู้บัญชาการหลัวสังหารตนต่อหน้าลูก ลูกก็จะไปทันที!”


 


 


ทุกคนต่างตกตะลึงกันไปหมดรวมถึงเจาเฟิงตี้ด้วย มีเพียงหลัวเทียนเฉิงที่หรี่ตาลงแล้วเผยรอยยิ้มจางๆ บนใบหน้า 

 

 


ตอนที่ 317 คลี่คลาย

 

มุมปากหลัวเทียนเฉิงเคลือบไปด้วยรอยยิ้ม แต่กลับจ้องมองรัชทายาทด้วยแววตาเย็นเยียบอย่างหาใดเปรียบ


 


 


เขาอยากจะพูดเหลือเกินว่าในที่สุดคนโง่ก็ฉลาดขึ้นมาเสียที


 


 


แต่เขาเชื่อว่าหากต้องเลือกจริงๆ เจาเฟิงตี้จะยอมทิ้งองค์หญิงฟังโหรวแล้วรักษาเขาไว้


 


 


กล่าวตามตรงคือโอรสสวรรค์นั้นสามารถคิดคำนวณทุกอย่างได้หมด เพียงแค่ว่ามันจะมีค่ามากพอหรือไม่เท่านั้นเอง เห็นชัดว่าความรักที่เจาเฟิงตี้มีต่อองค์หญิงนั้นเกรงว่าจะมิอาจเทียบเท่ากับแผ่นดินนี้ได้ แล้วเจาเฟิงตี้จะกล้าทำเรื่องที่ทำให้ขุนนางของตนต้องถอดใจจากตนหรือ


 


 


แต่คนเรามักชอบพาลพาโล เพื่อหาเหตุผลในการกระทำแย่ๆ ของตน หากองค์หญิงฟังโหรวต้องตายไปก็อาจจะกลายเป็นหนามที่คอยทิ่มแทงใจของเจาเฟิงตี้ไปตลอด วันหน้าหากคิดขึ้นมาได้ เขาจะไม่คิดว่าตนได้คำนวณถึงผลประโยชน์แล้วจึงเอ่ยปากละทิ้งบุตรสาวตน แต่จะกล่าวว่าเป็นความผิดของหลัวเทียนเฉิงไปตามจิตใต้สำนึกทันที


 


 


ยามที่จักรพรรดิและขุนนางมีประโยชน์ร่วมกันย่อมต้องไม่คิดถึงจุดนี้ แต่หากภายหน้ามีโอกาส หนามแหลมที่ซ่อนตัวอยู่นั้นก็จะผุดขึ้นมาทันที ถึงตอนนั้นเกรงว่าคงมิอาจหนีพ้นไปได้


 


 


เหตุใดหลัวเทียนเฉิงต้องยอมให้เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นเพียงเพราะรัชทายาทโง่เขลาผู้หนึ่งด้วยเล่า


 


 


ในขณะที่เจาเฟิงตี้ยังมิทันได้มีปฏิกิริยาใด เขาก็ระบายยิ้มอ่อนๆ ออกมาแล้วเอ่ยว่า “ได้”


 


 


เขาหันดาบยาวในมือตนเข้าหาตัว แล้วแทงเข้าไปที่ท้องน้อย


 


 


“อย่า…” เจาเฟิงตี้ตกใจจนลุกพรวดขึ้น


 


 


องค์หญิงฟังโหรวตกใจจนกรีดร้องออกมา


 


 


แม้รัชทายาทเองจะบอกให้เขาปลิดชีพตน แต่ก็คิดไม่ถึงว่าเขาจะทำตามอย่างไม่ลังเลเลยสักนิดเช่นนี้


 


 


ตกใจ ยินดี ไม่อยากเชื่อความรู้สึกหลากหลายชนิดต่างประเดประดังเข้ามาทำให้เขาชะงักงันไปเล็กน้อย เขาคลายแรงกดของกริชที่จ่อคอองค์หญิงฟังโหรวอยู่ลงมาอย่างไม่รู้ตัว


 


 


หลัวเทียนเฉิงเจ็บจนต้องงอตัว


 


 


คนทั้งหลายต่างก็กำลังตกอยู่ในอาการตะลึงลาน


 


 


อย่างไรเสียหากเป็นองครักษ์ธรรมดาปลิดชีพตนผู้คนก็คงไม่ตะลึงลานเช่นนี้แน่ เพราะมิได้เป็นบุคคลสำคัญอันใด แต่บุคคลตรงหน้านี้คือคุณชายผู้สืบทอดจวนเจิ้นกั๋วกงทั้งยังเป็นหัวหน้าผู้บัญชาการหน่อยองครักษ์จิ่นหลินที่มีชื่อเสียงกระฉ่อนไปทั่วหล้า!


 


 


ก็เปรียบกับการเห็นขอทานวิ่งไล่แย่งของกินจากสุนัขบ้ากับรัชทายาทแย่งของกินกับสุนัขบ้านั้นแล มันย่อมให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันอย่างยิ่งแน่นอน


 


 


หากเป็นอย่างแรกผู้คนอาจจะรู้สึกว่ามันก็เป็นเรื่องธรรมดายิ่ง แต่หากเป็นอย่างหลังคงได้พูดกันแน่ว่ารัชทายาทถูกสุนัขบ้ากัดจนเสียสติไปแล้ว


 


 


คล้ายว่าเวลาทุกอย่างได้หยุดนิ่งลงกระนั้น มิใช่เพราะความเงียบแต่เป็นเพราะอาการตกตะลึงอึ้งงันอย่างที่สุดนั้นได้หยุดความคิดของทุกคนไปชั่วขณะ


 


 


มีเพียงบุรุษที่ร่างกายย้อมไปด้วยโลหิตผู้ที่คุดคู้อยู่ผู้นั้นที่อาศัยจังหวะนี้ใช้มือข้างซ้ายที่ว่างอยู่นั้นล้วงเอากริชสั้นออกมาจากรองเท้าแล้วขว้างออกไป


 


 


กริชสั้นนั้นวาดตัวเป็นเส้นโค้งอยู่ในอากาศ แสงสีเงินอันเยียบเย็นนั้นทำให้คนรู้สึกเหมือนกำลังอยู่ในห้วงแห่งความฝัน


 


 


หลังจากนั้นรัชทายาทก็รู้สึกเจ็บแปลบที่ข้อมือ มือข้างที่ถือกริชอยู่นั้นก็คลายออกตามสัญชาตญาณ กริชร่วงหล่นลงพื้นและตกใส่หลังเท้าขององค์หญิงฟังโหรวเข้าพอดี


 


 


องค์หญิงฟังโหรวร้องโหยหวนขึ้นมาเสียงหนึ่งแล้วล้มคว่ำลงไปทำให้ร่างของรัชทายาทที่อยู่ด้านหลังไร้สิ่งกำบัง


 


 


หลัวเทียนเฉิงพุ่งเข้าไปอย่างรวดเร็ว เขาใช้มือข้าหนึ่งรับองค์หญิงฟังโหรวไว้แล้วส่งให้คนของตน และมิได้หยุดการเคลื่อนไหวแต่เพียงเท่านั้น เขายังใช้ดาบเล่มยาวที่ยังคงอาบโลหิตสดของตนอยู่นั้นจ่อเข้าไปที่ลำคอของรัชทายาท


 


 


กลุ่มคนที่ติดตามรัชทายาทมาจึงมิกล้าขยับอีก


 


 


เพราะเคลื่อนไหวรวดเร็วและรุนแรงจนเกินไปทำให้โลหิตสดนั้นไหลออกมาจากท้องของหลัวเทียนเฉิงไม่หยุด แต่เขากลับไม่มีเวลาใส่ใจมัน เขาจับตัวรัชทายาทไว้แล้วส่งให้องครักษ์อีกสองคนคุมตัวไว้จึงนั่งคุกเข่าลงข้างหนึ่ง “หม่อมฉันทำให้รัชทายาทต้องบาดเจ็บ ขอฝ่าบาททรงลงอาญาด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”


 


 


ในเวลาอันสั้นนี้ เจาเฟิงตี้กลับได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจอย่างมากที่สุดแล้ว เขาเอ่ยด้วยโทสะและใบหน้าเฉยชาว่า “รัชทายาทที่ใดกัน!”


 


 


พูดพลางเข้าไปประคองเข้าลุกขึ้นด้วยตนเอง “ขุนนางหลัวมีความผิดที่ใดกันเล่า รีบลุกขึ้นเถิด พวกเจ้ารีบไปเชิญหมอหลวงมาเดี๋ยวนี้!”


 


 


รัชทายาทได้ยินคำนั้นก็ลืมแม้กระทั่งความเจ็บปวดที่ข้อมือตน เขาได้แต่ยืนเหม่ออยู่ตรงนั้นแล้วเอ่ยพึมพำกับตน ต่อมาจึงหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง “รัชทายาทที่ใดกัน ฮ่าๆๆ ข้ารู้อยู่แล้วว่าเสด็จพ่อได้ปลดตำแหน่งรัชทายาทของข้าไปนานแล้ว คงได้แต่แค้นใจที่ตนลงมือช้าไปก้าวหนึ่งเท่านั้น!”


 


 


“เจ้าโง่!” เจาเฟิงตี้เดินเข้าไปแล้วเตะรัชทายาทล้มคว่ำไปกับพื้น “เอาเขาไปขังไว้!”


 


 


“เสด็จพ่อๆ ท่านจะต้องเสียใจ ข้าต่างหากที่เป็นบุตรชายที่ดีที่สุดของท่าน เป็นรัชทายาทที่ถูกต้อง!”


 


 


การดิ้นรนและเสียงร้องอันโหยหวนของรัชทายาทค่อยๆ หายไป หมอหลวงหลายคนต่างเดินตามกันมาอย่างเร่งร้อน


 


 


“หม่อมฉันถวายบังคมฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ!”


 


 


เจาเฟิงตี้สะบัดแขนเสื้อตนทันที “พูดพร่ำอันใด รีบเข้าไปดูอาการใต้เท้าหลัวกับองค์หญิงฟังโหรวเร็วเข้า!”


 


 


องค์หญิงฟังโหรวกำลังร้องไห้เสียงดังด้วยความเจ็บปวด หมอหลวงผู้หนึ่งเดินไปดูกลับเห็นกริชเล่มหนึ่งยังคงปักอยู่บนหลังเท้านาง


 


 


หมอหลวงผู้นั้นถึงกับหน้าถอดสี สองมือสั่นระริกไม่ยอมหยุด


 


 


อาการบาดเจ็บเช่นนี้ไม่น่ากลัว แต่การที่บาดแผลเช่นนี้เกิดขึ้นในวังต่างหากที่น่ากลัว หรือว่ามีมือสังหารปรากฏตัวขึ้นอีกแล้ว


 


 


ส่วนด้านหลัวเทียนเฉิงนั้นหมอหลวงสองคนก็ตรวจอาการเสร็จแล้ว


 


 


“เป็นอย่างไรบ้าง”


 


 


“ทูลฝ่าบาท ใต้เท้าหลัวมิได้บาดเจ็บสาหัสอันใด เพียงแค่เคลื่อนไหวตัวแรงไปหน่อยจึงทำให้แผลปริและโลหิตไหลออกมามาก…”


 


 


“รีบรักษาเร็วเข้า หากใต้เท้าหลัวเป็นอันใดไป พวกเจ้าก็มิต้องเป็นแล้วหมอหลวง”


 


 


หมอหลวงหลายคนต่างตัวสั่นงันงกแล้วรีบรับคำทันที


 


 


“เสด็จพ่อ…” องค์หญิงฟังโหลวเห็นกริชที่ปักบนเท้าตนส่องแสงวิบวับก็เกิดกลัวขึ้นมาจนแทบทนไม่ไหว


 


 


เจาเฟิงตี้เริ่มมีสติคืนมาหลายส่วนแล้วจึงเอ่ยปลอบใจว่า “ฟังโหรวไม่ต้องกลัว ประเดี๋ยวหมอหลวงทำแผลให้ก็หายแล้ว เจ้าดูใต้เท้าหลัวเถิด โลหิตไหลมากมายเพียงนั้นยังไม่ร้องสักแอะ”


 


 


เวลานี้เจาเฟิงตี้รู้สึกยินดีอยู่ลึกๆ


 


 


หากเขาตัดสินใจพูดออกไป ยามนี้คงไม่รู้จะเผชิญหน้ากับบุตรสาวอย่างไรแล้ว


 


 


เมื่อคิดถึงการตัดสินใจอันเด็ดขาดของหลัวเทียนเฉิง เจาเฟิงตี้ก็ยิ่งรู้สึกพอใจในตัวเขามากยิ่งขึ้น


 


 


“ขันทีไปเอารังนกโลหิตชั้นดีที่เทียนหลัวกั๋วนำมาบรรณาการมาตุ๋นให้ใต้เท้าหลัวสองจิน”


 


 


รังนกโลหิตเป็นของล้ำค่าหาใดเปรียบ ส่วนรังนกโลหิตชั้นดียิ่งหายากยิ่งกว่าซึ่งมีแหล่งกำเนิดอยู่ที่ดินแดนเทียนหลัวกั๋ว ทุกปีจะถวายมาให้สิบจิน ไท่โฮ่วมีสามจิน หวงโฮ่วมีสองจิน ส่วนที่เหลือยังคงอยู่กับเจาเฟิงตี้ หากมีสนมคนใดที่ได้รับความโปรดปรานก็อาจพระราชทานให้สักเล็กสักน้อยเท่านั้น


 


 


ยามนี้เจาเฟิงตี้กลับออกปากว่าจะให้หลัวเทียนเฉิงถึงสองจิน เห็นได้ชัดว่าให้ความสำคัญกับเขาเพียงใด


 


 


ในขณะที่หมอหลวงหลายคนกำลังตกตะลึงจนเอ่ยสิ่งใดไม่ออก เจาเฟิงตี้ก็เอ่ยขึ้นอีกว่า “ใต้เท้าหลัวจะพักรักษาตัวอยู่ในวัง พวกเจ้าจะต้องคอยดูแลอย่างดี”


 


 


ครานี้คนทั้งหลายไม่เพียงแต่ตะลึงลานแต่กระทั่งสงสัยว่าตนหูฝาดไป


 


 


ควรต้องทราบว่าหากขุนนางนอกวังใดได้รับบาดเจ็บแล้วให้พักรักษาตัวอยู่ในวังนั้นย่อมแสดงว่าทรงโปรดปรานอย่างมากเหลือเกินแล้ว!


 


 


เวลานี้องค์หญิงฟังโหรวก็ได้ทำแผลที่เท้าเสร็จแล้ว ขณะที่กำลังถูกขันทีพาออกมาจากห้องทำแผลชั่วคราวก็ได้ยินว่าหลัวเทียนเฉิงจะพักรักษาตัวอยู่ในวังชั่วคราว ดวงตาก็เป็นประกายขึ้นมา จึงเอ่ยออกมาว่า “ดีเหลือเกิน เสด็จพ่อ เช่นนั้นลูกก็มีเพื่อนแล้ว”


 


 


เจาเฟิงตี้และหลัวเทียนเฉิงขมวดคิ้วขึ้นพร้อมกัน


 


 


“ฟังโหรว เจ้าก็อายุสิบสองแล้ว เหตุใดจึงได้เอ่ยวาจาไร้หูรูดเช่นเด็กน้อยเยี่ยงนี้!”


 


 


องค์หญิงฟังโหรวรู้สึกไม่ยินยอมอยู่บ้าง


 


 


นางยังคิดจะเอ่ยว่าก่อนหน้านี้ใต้เท้าหลัวก็ยังเคยเป็นเพื่อนเล่นกับนาง ยามนี้ทั้งสองต่างก็บาดเจ็บ เหตุใดจึงมิอาจอยู่เป็นเพื่อนกันได้เล่า


 


 


นางมองไปที่หลัวเทียนเฉิงอย่างคนมิได้รับความเป็นธรรม


 


 


หลัวเทียนเฉิงขมวดคิ้วแต่มิได้หันมององค์หญิงฟังโหรว นางจึงเห็นเพียงใบหน้าด้านข้างที่งดงามดุจคมดาบนั้นของเขา


 


 


เพราะเขาเสียเลือดมากเกินไปทำให้ใบหน้าไร้สีคล้ายหยกเย็นก็มิปาน มันยิ่งทำให้เขาดูหล่อเหลาโดดเด่นกว่าใคร


 


 


ไม่ทราบด้วยเหตุใด องค์หญิงฟังโหรวจึงหน้าเห่อร้อนขึ้นมาทำให้มิสามารถเอ่ยวาจานั้นออกมาได้


 


 


ใจของนางเกิดอาการชาวาบขึ้นมา คล้ายมีความเจ็บชนิดหนึ่งที่มิอาจบรรยายได้เกิดขึ้น ทั้งยังมีความหวานปนอยู่ด้วย กระทั่งบาดแผลที่เท้าก็มิได้เจ็บปวดถึงเพียงนั้นแล้ว


 


 


องค์หญิงฟังโหรวที่อายุสิบสองเอาแต่เหม่อมองใบหน้าด้านข้างของหลัวเทียนเฉิง ทั้งคลับคล้ายคลับคลาว่าจะเข้าใจความรู้สึกของตนขึ้นมาบ้างแล้ว


 


 


แม้หลัวเทียนเฉิงจะเสียเลือกมาก แต่ความจริงแล้วบาดแผลมิได้ลึกอันใด ทั้งมิใช่บริเวณที่ยากต่อการรักษา ไม่นานก็ทำแผลเสร็จ เขาจึงรีบเอ่ยว่า “ขอบพระทัยฝ่าบาทที่เมตตา กระหม่อมอยู่ในวังคงไม่สะดวกนัก กลับไปพักรักษาตัวที่จวนคงจะดีกว่า วันนี้ภรรยากระหม่อมไปส่งองค์หญิงชูสยาด้วย หากนางกลับจวนแล้วไม่พบกระหม่อม นางคงเป็นห่วงยิ่ง”


 


 


หลังจากส่งขบวนเสด็จของชูสยาจวิ้นจู่แล้วอาจจะมีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้นมาก็ได้ จักรพรรดิและขุนนางต่างทราบกันดีแก่ใจ เมื่อได้ยินหลัวเทียนเฉิงเอ่ยเช่นนี้ เจาเฟิงตี้ก็มิได้บังคับให้เขาอยู่อีก ทั้งเริ่มกังวลใจในเหตุการณ์ข้างนอกนั้นด้วย


 


 


หลัวเทียนเฉิงเองก็มิอาจสงบใจได้เช่นกัน


 


 


แม้จะบอกว่าเขาได้เตรียมการทุกอย่างไว้หมดแล้วเพื่อความปลอดภัยของเจี๋ยวเจี่ยว แต่บนโลกนี้ยังมีอีกวาจาหนึ่งที่เรียกกล่าวว่ามิกลัว ‘ว่าหาก’ แต่กลัว ‘หากว่า’ หากว่ามีความผิดพลาดใดเกิดขึ้นเล่า


 


 


เวลานี้หลัวเทียนเฉิงจึงรู้ตัวว่าอาการบาดเจ็บของเขานั้นมินับเป็นเรื่องสำคัญอันใด มีเพียงความปลอดภัยของคนผู้นั้นคนเดียวที่ทำให้เขาเข้าใจคำว่าร้อนใจดุจไฟเผาและความกลัวที่จะต้องสูญเสีย


 


 


เขามิอาจอยู่ที่นี่ได้แม้แต่หนึ่งเค่อ มีเพียงการได้เห็นเจี๋ยวเจี่ยวเท่านั้นที่จะทำให้ใจดวงนี้ของเขาสงบลงได้


 


 


เจาเฟิงตี้รับสั่งให้คนหามเกี้ยวอ่อนไปส่งหลัวเทียนเฉิงโดยเฉพาะ เมื่อเข้าประตูวังมา แม้แต่องค์ชายก็ยังต้องเดินเข้ามา การได้นั่งเกี้ยวอ่อนออกไปนั้นจึงเป็นเกียรติอย่างมากยิ่งโดยมิต้องสงสัยเลย


 


 


แต่เรื่องที่รัชทายาทก่อกบฏนั้นถูกเก็บเป็นความลับจึงไม่มีผู้ใดทราบได้ว่าผู้ที่อยู่ในเกี้ยวนั้นคือใคร


 


 


รถม้าคันหนึ่งที่ดูเรียบง่ายแต่มิสูญเสียความงดงามประณีตนั้นทะยานไปบนถนนอย่างรวดเร็ว เจินเมี่ยวมองหน้ากันกับฉงสี่เซี่ยนจู่


 


 


ผ่านไปนานเจินเมี่ยวจึงเอ่ยขึ้นก่อนว่า “ฉงสี่ ท่านไม่ต้องกลัวนะ อีกประเดี๋ยวก็ถึงจวนกั๋วกงแล้ว”


 


 


ดูท่าหลัวเทียนเฉิงจะคาดการณ์ไว้แล้วว่าวันนี้จะเกิดเรื่องขึ้น เมื่อคิดได้เช่นนี้นากก็อดรู้สึกแค้นเคืองขึ้นมาหลายส่วนมิได้ แต่ครั้นมาคิดดูอีกทีบุรุษในยุคสมัยนี้ก็ไม่มีทางพูดเรื่องข้างนอกจวนกับสตรีอยู่แล้วจึงได้แต่จนใจเท่านั้น


 


 


ที่สำคัญคือนางห่วงความปลอดภัยของท่านลุงรองของนางยิ่ง แต่เมื่อคิดว่าเขาอยู่กับเหล่าขุนนางใหญ่ ยังอยู่ห่างจากความวุ่นวายนี้อีกไกล จิตใจก็สงบขึ้นมาหลายส่วน


 


 


บางทีนี่ก็อาจจะอยู่ในการคาดคะเนของเขาด้วยก็ได้


 


 


เวลานี้เจินเมี่ยวอยากจะเจอหลัวเทียนเฉิงที่สุด จะได้ถามว่าเกิดอันใดขึ้นกันแน่ กระทั่งความคิดที่จะทำซาลาเปาไส้น้ำแกงแตงกวาก็หมดไปทันที


 


 


ฉงสี่เซี่ยนจู่เห็นนางเหม่อลอยไร้วิญญาณก็ยิ้มพลางเอ่ยว่า “ข้ากลับรู้สึกยินดียิ่งที่วันนี้พระมารดามิได้มาส่งด้วย”


 


 


เจาอวิ๋นจั่งกงจู่เป็นผู้อาวุโส วันนี้มิได้มาร่วมก็ย่อมต้องมีเหตุผลบางอย่างแน่


 


 


ทว่าเมื่อได้ยินฉงสี่เซี่ยนจู่เอ่ยเช่นนี้ขึ้น เจินเมี่ยวก็พลันฉุกคิดขึ้นมา


 


 


แต่ก่อนนางคิดว่าเจาอวิ๋นจั่งกงจู่มีบางอย่างที่แปลกอยู่บ้างแต่ก็บอกไม่ถูกว่าตรงใด แต่ยามนี้มาคิดแล้วก็รู้สึกประหลาดยิ่ง


 


 


เจาอวิ๋นจั่งกงจู่กับเจาเฟิงตี้และหย่งอ๋องเป็นพี่น้องมารดาเดียวกัน เป็นองค์หญิงเพียงคนเดียวของไท่โฮ่ว แต่นอกจากงานสำคัญที่มิอาจขาดได้แล้วนั้นก็คล้ายจะมิเข้าวังเลยด้วยซ้ำ


 


 


หากอยู่ที่อื่นก็ยังพอทำเนา แต่วังของจั่งกงจู่ทำเลดียิ่ง อยู่ใกล้กับวังหลวงมากเห็นได้ชัดว่าเป็นผู้มีเกียรติศักดิ์มากเพียงใด ผู้ที่อยู่ในวังก็เป็นพี่ชายและมารดาแท้ๆ ของตน แม้จะมีฐานะเป็นหม้ายแต่ก็ยังรู้สึกว่ามันแปลกอยู่ดี


 


 


เจินเมี่ยวคิดว่าหากเป็นนางล่ะก็ อย่าว่าแต่งเทศกาลวันตรุษเลย แม้เป็นยามปกตินางก็คงจะเข้าไปเยี่ยมมารดาอยู่บ่อยครั้งเป็นแน่


 


 


“เกิดเรื่องใหญ่เพียงนี้ ข้าคงไม่ไปจวนกั๋วกงแล้ว หากท่านแม่ทราบข่าวแล้วไม่เห็นข้ากลับไปคงเป็นกังวลแน่”


 


 


เจินเมี่ยวครุ่นคิดครู่หนึ่งจึงพยักหน้า “ได้ เข้าจะไปส่งท่านกลับวังก่อน คราหน้าค่อยส่งเทียบไปเชิญท่านมาเล่นที่จวน”


 


 


คนทั้งสองตกลงกันเรียบร้อยแล้ว รถม้าจึงเลี้ยวไปส่งฉงสี่เซี่ยนจู่ที่วังก่อนค่อยกลับไปยังจวนกั๋วกง


 


 


หลัวเทียนเฉิงมาถึงจวนก่อนเมื่อพบว่าเจินเมี่ยวยังไม่กลับมาก็ใจหายวาบขึ้นมาทันที 

 

 


ตอนที่ 318 พลีชีพ

 

เขาหมุนกายเดินออกไปทันที


 


 


ไป๋เสาจึงรีบตามออกมา “ซื่อจื่อ…”


 


 


หลัวเทียนเฉิงหันกลับไปมอง เดิมมิคิดจะพูดอันใดมาก แต่ก็กลัวว่าหากตนออกไปแล้ว เจินเมี่ยว กลับมาเล่าจึงรีบเอ่ยบอกว่า “หากต้าไหน่ไหน่กลับมาให้นางรอข้าอยู่ที่เรือน”


 


 


ไป๋เสาเห็นหลัวเทียนเฉิงเดินไปไกลแล้วจึงถอนหายใจออกมา


 


 


พวกนางเป็นสาวใช้ตามมารับใช้มิได้มีความคิดที่จะเป็นสาวใช้ทงฝังเลยจึงมิอยากพูดอันใดให้มากความยามอยู่ต่อหน้าซื่อจื่อ ทว่าเมื่อเห็นท่าทีเช่นนั้นของซื่อจื่อแล้วก็เห็นชัดว่ามีบางอย่างผิดปกติ หรือต้าไหน่ไหน่จะได้รับบาดเจ็บเล่า?


 


 


นางรีบไปหาชิงไต้ทันที “ซื่อจื่อเพิ่งกลับมาก็มาหาต้าไหน่ไหน่ทันที ข้าเห็นว่าซื่อจื่อได้รับบาดเจ็บมาด้วย เกรงว่าต้าไหน่ไหน่จะเกิดเรื่อง เจ้ารีบตามไปดูสักหน่อยเถิด”


 


 


ความจริงแล้วยามปกติไป๋เสาก็น้อยนักที่จะเรียกใช้ชิงไต้เพราะนางเป็นสาวใช้ที่หลัวเทียนเฉิงมอบให้เจินเมี่ยว แต่ยามนี้มีเพียงชิงไต้ที่มีวรยุทธ์เท่านั้นที่สามารถทำเรื่องนี้ได้


 


 


ชิงไต้พยักหน้าแล้วรีบตามออกไป


 


 


หลัวเทียนเฉิงร้อนใจดุจไฟเผา เขาเดินไปตามทางของเรือนชิงเฟิงจนทะลุไปถึงประตูที่สอง ครั้นเมื่อถึงทางเลี้ยวเขาก็ได้กลิ่นหอมโชยมาจึงรีบหลบไปอีกทางแทบไม่ทัน แล้วเอ่ยด่าทอประหนึ่งอัสนีผ่าแสกหน้าว่า “สาวใช้เมืองป่าของเรือนใด ไม่มีตาหรืออย่างไร”


 


 


ดรุณีน้อยสองคน ผู้หนึ่งอยู่หน้า ผู้หนึ่งตามหลัง สตรีที่สวมชุดสีชมพูอ่อนผู้เกือบจะชนกับหลัวเทียนเฉิงนั้นคือเถียนอิ๋ง ส่วนสตรีสวมชุดสีขาวนวลที่อยู่ด้านหลังก็คือเถียนเสวี่ย


 


 


เมื่อเห็นหลัวเทียนเฉิงด่าทอเหมารวม คนทั้งสองก็หน้าแดงเรื่อขึ้นทันใด


 


 


เถียนอิ๋งอดที่จะโต้เถียงไม่ได้ว่า “พวกเรามิได้ตั้งใจเสียหน่อย ญาติผู้พี่มิเห็นจำเป็นต้องด่าว่าเพียงนี้เลย”


 


 


สำหรับญาติผู้พี่ที่ทั้งหนุ่มแน่นและรูปงาม ตำแหน่งอำนาจสูงส่งผู้นี้ เพราะเป็นญาติกับจวนกั๋วกง เถียนอิ๋งจึงได้พบเขาอยู่หลายครา หากได้พบกับบุรุษเช่นนี้แล้วสตรีใดมิหวั่นไหวขึ้นมาแม้แต่สักนิด นั้นย่อมเป็นคำโกหกแน่นอน


 


 


ทว่าเถียนอิ๋งเป็นอ่อนไหวทั้งคิดมาก ตั้งแต่ที่ตระกูลนางได้รับโทษ หากเห็นสาวใช้ทั้งหลายจับกลุ่มซุบซิบกันนางก็จะสงสัยทันทีว่าพวกสาวใช้กำลังเยาะหยันตน ยิ่งมิต้องพูดถึงการที่ถูกเพศตรงข้ามที่นางเคยมีความรู้สึกดีๆ ด้วยเอ่ยตำหนิ ความรู้สึกหวั่นไหวนั้นจึงถูกแทนที่ด้วยความโมโหแค้นเคือง สายตาที่มองหลัวเทียนเฉิงจึงมีความแค้นผสมอยู่หลายส่วน


 


 


หลัวเทียนเฉิงร้อนใจในความปลอดภัยของเจินเมี่ยว ไหนเลยจะมีเวลามาสนใจ เมื่อได้ยินเถียนอิ๋งเอ่ยถามก็เพียงแค่นเสียงเย็นคราหนึ่งแล้วก็เดินผ่านนางไปเลย


 


 


เมื่อถึงมองข้ามอย่างที่สุดเช่นนี้ เถียนอิ๋งก็มือสั่นขึ้นมาทันทีจึงไปร้องไห้เอ่ยฟ้องกับนางเถียนโดยไม่สนคำทัดทานของเถียนเสวี่ย


 


 


“ท่านอา ต่างก็กล่าวกันว่าจวนกั๋วกงเป็นผู้มีน้ำใจรักใครญาติมิตร ยามตระกูลเถียนลำบากก็เข้ามาช่วยเหลือ แต่คิดไม่ถึงว่าญาติผู้พี่จะดูถูกข้ากับเถียนเสวี่ยเช่นนี้ หากรู้แต่แรกหลานคงยอมอยู่กับท่านย่าและท่านแม่ แม้ต้องกินแค่น้ำต้มผักก็ยังดีเสียกว่า”


 


 


นางพูดพลางน้ำตาร่วงหล่นอยู่เงียบๆ เพื่อรอให้นางเถียนไปเอาคืนให้ตน


 


 


นางเถียนฟังแล้วกลับถอนหายใจ “ญาติผู้พี่ของเจ้ามีตำแหน่งใหญ่โตตั้งแต่เยาว์วัย จึงออกจะมีอุปนิสัยเถรตรงไปบ้าง”


 


 


เถียนอิ๋งแค่นยิ้มเย็น “ญาติผู้พี่กำพร้าตั้งแต่เล็ก ท่านอาเป็นคนเลี้ยงเขาจนเติบใหญ่ ย่อมไม่ต่างอันใดกับมารดา เขาดูแคลนพวกเราก็มิใช่เป็นการดูแคลนท่านอาด้วยหรอกหรือ เห็นชัดว่าเป็นคนใจดำยิ่ง!”


 


 


วาจานี้ทำเอานางเถียนอึ้งงันไปเลยทีเดียว


 


 


สุภาษิตนั้นพูดไว้ดียิ่ง บุญคุณที่ให้กำเนิดมิสู้บุญคุณที่เลี้ยงดู หากตอนที่พี่สะใภ้ใหญ่สิ้นไปแล้วนางมิได้มีความคิดเป็นอื่นกับต้าหลัง คอยเลี้ยงดูเขาด้วยดีมาจนถึงตอนนี้ เขาจะรักและเคารพนางดุจมารดาหรือไม่


 


 


หากเป็นเช่นนั้น ต่อให้ตระกูลมารดาต้องวิบัติลง หรือจะมีจิ้งจอกร้ายอย่างเหยียนเหนียงอีกสักกี่คน ท่านพี่จะยังมิให้เกียรตินางเช่นนี้อยู่หรือไม่


 


 


มิต้องพูดถึงงานเลี้ยงสังสรรค์ต่างๆ ในยามนี้เลย แม้แต่เทียบเชิญนางยังมิได้รับสักเทียบ


 


 


เมื่อนางเถียนคิดได้เช่นนี้ ในใจก็เริ่มรู้สึกเสียใจขึ้นมาอย่างแท้จริงอยู่หลายส่วน แต่นางก็รู้ว่ายากจะหันหลังกลับไปได้แล้ว


 


 


แม้นเถียนเสวี่ยจะเป็นคนเรียบร้อยเก็บวาจา แต่กลับฉลาดหลักแหลม เดิมทีนางก็ไม่อยากให้เถียนอิ๋งก่อเรื่องวุ่นวายอยู่แล้ว อย่าเพราะนางเป็นพี่สาวจึงขวางนางไม่ได้ แต่เมื่อเห็นเถียนอิ๋งยุยงนางเถียนในยามนี้แล้ว นางเถียนกลับเงียบไม่พูดจา นางก็คาดเดาได้ว่าท่านอากับญาติผู้พี่ท่านนั้นคงมิได้มีความสัมพันธ์ดั่ง ‘มารดาเมตตาบุตรกตัญญู’ อย่างที่คนภายนอกเข้าใจเป็นแน่ ประการที่หนึ่งคือนางไม่อยากล่วงเกินคุณชายผู้เป็นนายท่านที่แท้จริงของจวนกั๋วกง ประการที่สองคือไม่อยากให้ท่านอาที่รับพวกนางมาดูแลต้องลำบากใจ เถียนเสวี่ยจึงกระตุกแขนเสื้อเถียนอิ๋งพลางเอ่ยว่า “ข้าว่าญาติผู้พี่ดูมีเรื่องร้อนใจอยู่ ท่าทีลนลานยิ่ง ไหนเลยจะเป็นอย่างที่พี่ว่า”


 


 


นางจึงบังคับจูงมือเถียนอิ๋งเดินออกมา


 


 


นางเถียนเห็นเถียนเสวี่ยทั้งฉลาดและรู้ความก็รู้สึกเสียดายขึ้นมาที่ตระกูลมารดาตกต่ำไปเช่นนี้ มิฉะนั้นยกให้นางแต่งกับเจ้าสามคงเหมาะสมกันยิ่ง


 


 


เมื่อกลับถึงเรือนพักที่จัดไว้ให้สองพี่น้องอยู่ เถียนอิ๋งก็สะบัดมือเถียนเสวี่ยออกโดยแรง “เจ้าชอบเจ้าคนร้ายกาจนั้นใช่หรือไม่ ถึงได้ตัดบทข้าต่อหน้าท่านอาเช่นนั้น”


 


 


เถียนเสวี่ยแทบจะลมจับไปทันใด “พี่สาว ยามนี้เรามาอาศัยพึ่งพาผู้อื่นอยู่ หรือว่าผู้อื่นยังมิทันได้เหยียบย่ำข้าด้วยซ้ำ แต่ท่านก็เอาน้ำสกปรกมาสาดรดบนศีรษะข้าเสียก่อน?”


 


 


เถียนอิ๋งรู้ว่านางพูดจาเกินไป แต่ใจก็ยังคงโกรธกรุ่นอยู่จึงมิอาจยอมอ่อนข้อให้ได้


 


 


เถียนเสวี่ยแค่นยิ้มเย็น “หรือพี่สาวดูสถานะขอท่านอาในยามนี้ไม่ออก หากทุกอย่างเป็นตามที่ท่านอาแสดงให้เห็นเมื่อยามกลับไปเยี่ยมจวนจริงว่านางเป็นผู้ดูจัดการจวนเจิ้นกั๋วกง แล้วเหตุใดท่านอาเขยจึงมิให้เกียรตินางสักนิดทั้งที่อยู่ต่อหน้าเรา? แล้วตั้งแต่ที่อยู่มากหลายวันก็มิเคยเห็นท่านอาเขยมาหาท่านอาเลยสักครา ในเมื่อพวกเราได้รับการช่วยเหลือจากท่านอา แม้นมิอาจช่วยอันใดได้ก็อย่าไปสร้างความวุ่นวายให้ท่านอาเลย”


 


 


เถียนอิ๋งก็คิดว่าที่เถียนเสวี่ยพูดนั้นมีเหตุผลอยู่มาก แต่ก็เคืองที่นางมีฐานะเป็นน้องสาวแต่กลับมาสั่งสอนตนดุจเป็นผู้อาวุโสโดยไม่ไว้หน้านางสักนิด สุดท้ายหาทางลงให้ตนมิได้จึงเอ่ยย้อนประชดประชันนางไปหลายประโยค


 


 


ญาติพีน้องสองคนจึงแยกจากกันอย่างไม่ใคร่เบิกบานนัก ตั้งแต่นั้นก็พูดจากันน้อยลงแม้จะพักอยู่ในเรือนเดียวกันก็ตาม


 


 


ส่วนหลัวเทียนเฉิงก็คิดไปว่าแค่เดินออกจากประตูก็พบเข้ากับเรื่องอัปมงคลอย่างพี่น้องสกุลเถียนเสียแล้ว หรือจะเป็นการเตือนจากเบื้องบน เจี๋ยวเจี่ยวเกิดเรื่องอันใดขึ้นหรืองั้นหรือ


 


 


เมื่อคิดถึงตรงนี้ก็ร้อนใจขึ้นมาจึงจูงมาออกไปเตรียมกระโดดขึ้น แต่ถูกปั้นซย่าขวางไว้อย่างเอาเป็นเอาตายเสียก่อน “ซื่อจื่อ แผลของท่านกำลังจะปริออกมาแล้ว ท่านมิอาจขี่ม้าขอรับ!”


 


 


“หลบไป!” หลัวเทียนเฉิงก็ร้อนใจมากเช่นกันจึงยกเท้าขึ้นถีบปั้นซย่าคราหนึ่ง


 


 


ปั้นซย่าล้มกลิ้งลงไปกับพื้นหลายตลบ แต่กลับกอดขาหลัวเทียนเฉิงแน่นไม่ยอมปล่อย


 


 


หลัวเทียนเฉิงกำลังคิดจะเตะเจ้าสุนัขหนังเหนียวนี้ให้กระเด็นออกไปก็ได้ยินเสียงหนึ่งลอยมาว่า “พวกท่านกำลังทำอันใดกันอยู่หรือ”


 


 


เขาหันกลับไปด้วยความตกใจระคนยินดี เป็นเจินเมี่ยวจริงๆ ด้วย นางยืนอยู่ไม่ไกลนักและกำลังมองมาด้วยสีหน้าแปลกใจเล็กน้อย


 


 


แต่พริบตาสีหน้าของเจินเมี่ยวก็เปลี่ยนไปทันที นางพุ่งเข้ามาพลางเอ่ยว่า “ท่านเป็นอันใดหรือ”


 


 


เมื่อเห็นเสื้อของเขาค่อยๆ ถูกยอมด้วยโลหิตสีแดง นางก็ตกใจเสียจนวิญญาณแทบหลุดลอย “ได้รับบาดเจ็บได้อย่างไรกัน”


 


 


ครั้นเห็นเจินเมี่ยวมีท่าทีห่วงใยเขา หลัวเทียนเฉิงที่ใบหน้าซีดขาวอยู่นั้นกลับอดยิ้มออกมามิได้ เขายื่นมือไปจับจูงนาง “กลับเรือนก่อนค่อยว่ากันเถิด”


 


 


“ข้าว่าไปเชิญหมอมาตรวจดูอาการก่อนค่อยว่ากล่าวกัน!”


 


 


“ไม่ต้อง แค่แผลที่ทำเสร็จแล้วมันปริเท่านั้น พันแผลลใหม่ก็พอแล้ว”


 


 


เมื่อคนทั้งสองเข้าเรือนตน เจินเมี่ยวก็ให้สาวใช้ยกอ่างล้างหน้าและผ้าผืนนุ่มมาให้ นางเช็ดแผลและใส่ยาให้เขาเองกับมือ ทั้งยังพันแผลให้เขาเป็นโบสวยงาม ครั้นเสร็จแล้วจึงค่อยโล่งอกลงได้


 


 


นางเห็นเขาใบหน้าขาวซีดจึงสั่งให้ชิงเกอไปต้นโจ๊กพุทราแดงมาให้เขากิน


 


 


รอกระทั่งภายในห้องไม่มีใครแล้ว หลัวเทียนเฉิงจึงผ่อนคลายลงได้และเอ่ยอย่างรู้สึกเสียใจขึ้นมาหลายส่วน “กลับจวนมาไม่เห็นเจ้า ข้าคิดว่าเจ้าเกิดเรื่องเสียแล้ว เหตุใดจึงเพิ่งกลับมายามนี้เล่า”


 


 


จากการคาดคะเนของเขา เจินเมี่ยวควรจะต้องกลับมาถึงก่อนเขาจึงจะถูก


 


 


“ข้าไปส่งฉงสี่เซี่ยนจู่กลับวังองค์หญิงก่อน”


 


 


หลัวเทียนเฉิงฟังแล้วถึงกับเม้มริมฝีปากแน่น “มิใช่กำชับเจ้าว่าเสร็จเรื่องแล้วให้กลับจวนทันทีหรอกหรือ เหตุใดจึงไปส่งฉงสี่เซี่ยนจู่กลับก่อนเล่า”


 


 


เจินเมี่ยวจึงอธิบายว่า “เดิมข้าเชิญฉงสี่เซี่ยนจู่กลับจวนมาด้วยกัน นางจึงนั่งรถม้ามากับข้า คิดไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องขึ้นข้างหน้า คนที่ท่านสั่งให้ไปคุ้มกันเราจึงพาเราออกมาจากที่นั่น ฉงสี่เซี่ยนจู่กลัวจั่งกงจู่จะเป็นห่วงจึงขอกลับไปก่อน แต่ข้าจะให้นางกลับไปเองได้อย่างไร จึงทำให้กลับจวนช้าไปสักหน่อย”


 


 


หลัวเทียนเฉิงยังคงมีสีหน้าเคร่งขรึมอยู่บ้าง


 


 


เจินเมี่ยวผลักแขนเขาเบาๆ คราหนึ่ง “เป็นอันใด ยังโกรธข้าอยู่หรือ”


 


 


“สรุปคือเจ้าก็มิได้ใส่ใจในคำพูดของข้าเลย หากรู้เช่นนี้ข้าคงมิอนุญาตให้เจ้าออกจากจวนแน่ แม้ว่าจะทำให้เจ้าโกรธก็ตาม เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้ากลับเรือนมาไม่เห็นเจ้า ใจข้ารู้สึกเช่นไร ตอนนั้นข้าเสียใจจนอยากจะเอามีดมากรีดใจตนด้วยซ้ำ!”


 


 


ทั้งที่รู้ว่าจะเกิดเรื่องแต่เพราะกลัวว่าหากขวางนางมิให้ไปแล้วนางจะโกรธเคืองตน สุดท้ายก็ได้แต่ปล่อยนางไป เขานี่มันโง่เหลือเกินจริงๆ


 


 


บนโลกนี้มักมีเรื่องคาดไม่ถึงเสมอ หากเจี๋ยวเจี่ยวเป็นอันใดขึ้นมา เขาจะเสียใจอย่างไรก็คงไม่ทันแล้ว


 


 


“ชูสยาแต่งออกไปแดนไกล ข้าจะไม่ไปได้อย่างไรกัน”


 


 


หลัวเทียนเฉิงได้แต่ถอนหายใจอยู่ในอก


 


 


ก็เพราะเหตุนี้เขาจึงมิได้บอกนางถึงเรื่องวุ่นวายที่จะเกิดขึ้น อย่างไรเสียมันก็ต้องเกิด สตรีอ่อนแอผู้หนึ่งจะรู้เรื่องนี้หรือไม่ก็มิได้มีความแตกต่างอันใดนัก เช่นนี้มิสู้ให้นางไปส่งสหายสนิทอย่างไม่รู้อันใดดีกว่า อย่างน้อยก็มิต้องมากังวลกับเรื่องพวกนั้น


 


 


“ท่านควรจะบอกข้าสักคำ” เจินเมี่ยวประคองหลัวเทียนเฉิงให้นอนลง แล้วหยิบผ้าขึ้นมาเช็ดหน้าผากให้เขา “หากฉงสี่มิได้นั่งรถม้าไปกับข้าแล้วเกิดเรื่องขึ้นกับนางจะทำฉันใดเล่า ท่านลุงรองของข้าก็อยู่ที่นั่นด้วย”


 


 


หากเกิดเรื่องอันน่าเสียใจอันใดขึ้นมา นางก็ไม่รู้ว่าควรจะมีความรู้สึกเช่นใดกับเขาดี


 


 


กว่าที่คนทั้งสองจะเดินมาถึงวันนี้ไม่ง่ายเลย ไม่ว่าจะเพื่อความปลอดภัยของสหายและญาติ หรือความรู้สึกของคนทั้งสอง นางล้วนไม่อยากกลายเป็นคนที่ถูกขังอยู่ในกลองไม่รู้รับรู้เรื่องราวใด


 


 


หลัวเทียนเฉิงจึงเอ่ยอธิบายว่า “เป้าหมายของคนชั่วพวกนั้นคือองค์ชายทั้งหลาย ส่วนผู้อื่นที่อยู่ที่นั่นและบรรดาบ่าวไพร่ที่ติดตามไปก็อาจจะโดยลูกหลงบ้าง แต่ฉงสี่เซี่ยนจู่อยู่ในรถม้าไม่มีทางเป็นอันใดแน่นอน ส่วนที่ที่ลุงรองของเจ้าอยู่ก็มิได้รับผลกระทบอันใดนักหรอก”


 


 


เจินเมี่ยวถอนหายใจออกมาแล้วเอ่ยว่า “แม้ข้ารู้แล้วจะไม่เป็นประโยชน์อันใดนัก แต่ข้าย่อมมีการเตรียมพร้อมไว้ก่อน หากพบเจอเรื่องอันใดอย่างกะทันหันข้าก็จะได้รับมือได้ถูก เช่นเรื่องฉงสี่ ที่ข้าไปเชิญนางมาขึ้นรถม้าด้วยก็มิใช่เพราะเกิดอยากจะพานางมากินซาลาเปาด้วยกันที่จวนกั๋วกงเสียหน่อย”


 


 


หลัวเทียนเฉิงเงียบไปอยู่นานจึงเอ่ยขึ้นว่า “เป็นข้าเองที่คิดน้อยไป ต่อไปหากมีเรื่องใดเกี่ยวกับข้าหรือเจ้า ข้าก็จะบอกเจ้าก่อน”


 


 


“เช่นนั้นแผลนี้ของท่านมาได้อย่างไร เจ็บมากหรือไม่” เจินเมี่ยวมองบาดแผลเขาแล้วก็รู้สึกเป็นห่วงขึ้นมา


 


 


แม้แต่เข็มปักมือยังเจ็บไปถึงขั้วหัวใจ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงบาดแผลที่ใหญ่ปานนี้ แค่นางคิดก็รู้สึกเจ็บแทนแล้ว ไม่ทราบว่าเขาไปเอาความอดทนมาจากที่ใดจึงไม่ร้องเลยสักแอะ


 


 


เพราะคำสัญญาที่ให้ไว้เมื่อครู่ หลัวเทียนเฉิงจึงเอ่ยอย่างไม่ปิดบังนางว่า “รัชทายาทก่อกบฏแต่ถูกข้าจับตัวเอาไว้ได้ ข้าจึงได้บาดแผลนี้มา ฝ่าบาทมิอยากให้ผู้คนทราบเรื่องนี้ เกรงว่าหากตำแหน่งรัชทายาทสั่นคลอนจะทำให้แผ่นดินวุ่นวาย ดังนั้นเจ้าก็แค่ทำเป็นไม่รู้เรื่องนี้แล้วกัน”


 


 


“เช่นนั้นมือสังหารที่ส่งมาในวันนี้ก็เป็นคนของรัชทายาทหรือ”


 


 


“อืม แต่นามเรียกขานนี้ เกรงว่าคงต้องย้ายตำแหน่งเสียแล้ว”


 


 


เวลานี้เองชิงเกอก็ได้ยกโจ๊กพุทรามาให้ คนทั้งสองจึงหยุดหัวสนทนากันถึงเรื่องนี้ไป


 


 


วันต่อมา เรื่องที่เกิดขึ้นนอกวังนั้นก็ได้แพร่ออกไปทำให้ราชสำนักและราษฎรต่างต้องตกใจ


 


 


เพราะเผ่าเย่ว์อี๋กับรัชทายาทที่ถูกปลดจากตำแหน่งในรัชสมัยก่อนร่วมมือกันหวังจะทำลายพิธีอภิเษกและลอบสังหารองค์ชาย


 


 


องค์ชายสามได้รับบาดเจ็บ องค์ชายหกเข้าไปรับธนูแทนองค์ชายห้าจึงได้รับบาดเจ็บเช่นกัน มีบ่าวไพร่และองครักษ์มากมายที่สละชีพ และยังมีขุนนางหลายคนที่ต้องตายไปในความวุ่นวายครั้งนี้ หนึ่งในนั้นมีคนผู้หนึ่งที่มีตำแหน่งสูงที่สุด นั้นคือซูหันรองเสนาบดีฝ่ายซ้ายแห่งกรมขุนนาง และเป็นบิดาของไท่จื่อเฟยด้วย 

 

 


ตอนที่ 319 แผนการ

 

ซูหันเป็นขุนนางมากความสามารถคนหนึ่ง ทั้งยังเป็นรองเสนาบดีฝ่ายซ้ายที่มีอำนาจในการบริหารมานับสิบปี มิต้องพูดถึงลูกศิษย์ของเขา นั่นยอมมีมากมายนับไม่ถ้วน ในบรรดาขุนนางที่สิ้นชีพไปนั้นก็มีเขานั้นแลที่ผู้คนต่างพูดถึงมากที่สุด


 


 


แต่ในใจของคนเหล่านี้ก็เริ่มตำหนิอยู่บ้างเช่นกัน


 


 


คิดไม่ถึงว่าองค์รัชทายาทนั้นจะไม่มา


 


 


หรือก่อนหน้านี้ที่บอกว่าองค์รัชทายาทล้มป่วยนั้นจะมิใช่เพราะทำให้จักรพรรดิทรงรังเกียจแต่ทรงป่วยจริงๆ


 


 


หากเป็นเช่นนี้ก็ไม่แน่ว่ารัชทายาทเองก็ยังพอมีความหวังอยู่ อย่างน้อยเขาก็เป็นบุตรคนโต ทั้งยังครองตำแหน่งรัชทายาทมานับสิบปี


 


 


ซูหยานั้นร้องไห้จนแทบจะเป็นลมไปแล้ว พระราชนัดดาที่ยังไม่ถึงไม่ถึงสิบปีดีก็เอาแต่เกาติดนางด้ายท่าทีมึนงง


 


 


สตรีสูงศักดิ์ทั้งหลายต่างเอ่ยเตือนสติ “ไท่จื่อเฟยอย่าได้เศร้าโศกไปเลย หากท่านเสียใจจนล้มป่วยไป ผู้ใดจะดูแลบุตรท่านเล่า”


 


 


ไท่จื่อเฟยมองบุตรตนคราหนึ่ง เสียงสะอื้นจึงแผ่วลง แต่เมื่อเห็นเมี่ยวที่นั่งอยู่ท่ามกลางสตรีสูงศักดิ์ทั้งหลายแล้วก็ต้องก้มหน้าลงปิดบังความแค้นในดวงตาตน


 


 


นางคิดถึงวาจาที่ตนบังเอิญไปได้ยินเข้าวันนั้น ไท่จื่อกับท่านพ่อคิดจะก่อกบฏ!


 


 


นางรู้ว่าบิดาและไท่จื่อต้องการปิดบังนาง ดังนั้นแม้นนางจะตกใจแต่ก็ยังแสร้งไม่รู้ต่อไป


 


 


ทว่าเหตุสังหารที่เกิดขึ้นนอกเมืองนั้นบิดาเป็นผู้จัดฉากขึ้น แล้วเหตุผู้ที่ตายถึงเป็นบิดาของนางเล่า


 


 


ยังมีไท่จื่ออีกคน ตั้งแต่วันนั้นนางก็ไม่เห็นเขาอีกเลย!


 


 


มิต้องถามให้มากความก็รู้แล้วว่าการกบฏครั้งนี้นั้นล้มเหลว


 


 


วันนั้นนางมิอาจสงบใจได้เลยทั้งวันจึงส่งคนสนิทไปคอยสังเกตที่หน้าประตูวังก็เห็นว่ามีเกี้ยวอ่อนถูกหามออกมาจากวัง และมุ่งตรงไปที่จวนกั๋วกง คนที่อยู่ในเกี้ยวนั้นก็คือหลัวเทียนเฉิงที่ถูกฝ่าบาทสั่งกักบริเวณนั้นเอง!


 


 


ถึงขั้นนี้แล้วนางยังมีอันใดไม่เข้าใจอีกเรา ผู้ที่ทำให้ไท่จื่อต้องพ่ายแพ้คงเป็นเขาอย่างแน่นอน!


 


 


ไท่จื่อเฟยคิดไม่ตกว่าในเมื่อไท่จื่อทำการกบฏล้มเหลว แต่เหตุใดฝ่าบาทก็ยังไม่มีราชการจัดการกับนาง ทั้งยังอนุญาตให้นางมาร่วมพิธีศพบิดาอีก


 


 


กระทั่งมาถึงจวนรองเสนาบดี นางจึงนึกถึงวาจาที่บิดาเคยพูดกับนางในความทรงจำ จึงหาเบาะแสของห้องลับจนพบ และได้อ่านจดหมายลับจึงเข้าใจทันที


 


 


บิดาบอกว่ามีเพียงการก่อกบฏล้มเหลวเท่านั้นนางจึงจะมีโอกาสได้เห็นจดหมายฉบับนี้


 


 


ฝ่าบาทมิประสงค์ให้มีการทำสงคราม ทรงต้องการรักษาความสงบไว้ เรื่องที่ไท่จื่อก่อกบฏจะถูกปิดไว้ นางและบุตรจะไม่มีอันตรายถึงชีวิตในระยะเวลาอันใกล้นี้แน่ และการมาร่วมพิธีศพในครั้งนี้เป็นเพียงโอกาสเดียวที่นางจะได้ออกจากวัง คาดว่าเมื่อกลับไปถึงวังแล้วก็จะถูกกักบริเวณกลายๆ ทันที


 


 


ส่วนบุตรของนางนั้น…


 


 


เมื่อคิดถึงตรงนี้มือไท่จื่อเฟยก็สั่นระริกขึ้นมา บิดาของเขาคิดก่อนกบฏ ภายภาคหน้ามีหรือที่ฝ่าบาทจะไว้ชีวิตเขา!


 


 


รุ่ยเกอของนาง…


 


 


ไท่จื่อเฟยยน้ำตานองหน้าขึ้นมาอีกครา เมื่อคิดถึงบิดาก็รู้สึกเจ็บปวดปานจะขาดใจ


 


 


บนโลกนี้มีเพียงแค่บิดาที่คิดจะปกป้องนาง บิดาได้หาเด็กน้อยที่หน้าตาคล้ายรุ่ยเกอมาเลี้ยงไว้ในจวนนานแล้ว และบอกนางว่าหากภารกิจล้มเหลวก็ให้อาศัยโอกาสนี้สับเปลี่ยนตัวเด็กน้อยเสีย


 


 


ไท่จื่อเฟยชำเลืองมองเด็กน้อยที่มีท่าทีเหม่อลอยนั้นคราหนึ่ง


 


 


บิดาช่างคิดวิธีนี้ขึ้นมาได้ ทั้งยังหาเด็กที่หน้าตาคล้ายรุ่ยเกออีกด้วย แค่เด็กน้อยผู้หนึ่งเท่านั้น นางเพียงแต่งตัวให้เสียหน่อย หากมิสังเกตอย่างละเอียดก็ย่อมมองไม่ออกว่าตัวจริงหรือปลอม


 


 


บิดากำชับหนักหนาว่า เด็กผู้นี้จักต้องไม่มีชีวิตกลับไปอยู่ในวังกับนาง


 


 


มีเพียงการตายของเด็กน้อยผู้นี้เท่านั้นที่จะทำให้ตัดปัญหาที่จะถูกจับได้ว่ามีการสับเปลี่ยนตัว นางสตรีผู้อ่อนแอที่ไร้บิดา สามีและบุตรนั้นแลจึงจะสามารถมีชีวิตอยู่ในที่คับแคบเช่นนั้นต่อไปได้


 


 


จะให้เด็กผู้นี้ตายด้วยวิธีใดนั้นนางคิดไว้นานแล้ว แต่หลัวซื่อจื่อทำให้ความฝันงดงามที่จะได้เป็นหวงโฮ่วของนางต้องสลายนั้นก็ช่างเถิด แต่ทำให้นางและบุตรชายแท้ๆ ต้องแยกจากกัน ชีวิตนี้ยากจะได้พบกันอีก ความแค้นอันยิ่งใหญ่นี้นางกลับไร้หนทางที่จะสลายมันไปได้


 


 


ต่างกล่าวกันว่าคุณชายผู้สืบทอดรักฮูหยินตนยิ่ง ฮูหยินซื่อจื่อแต่งเข้าไปได้ปีกว่าแล้วแต่กลับยังไม่ตั้งครรภ์เสียที เขาไม่เพียงไม่ตำหนิฮูหยินตนแต่กลับไล่สาวใช้ทงฝังออกจากเรือนเพื่อนางอีก


 


 


ได้ยินมาว่ามีสาวใช้ทงฝังผู้หนึ่งที่มีใจรักลึกซึ้งต่อซื่อจื่อยิ่งจึงมิยอมแต่งออกไป ซื่อจื่อจึงให้สตรีผู้นั้นไปเป็นแม่ชีเสียเลย


 


 


แม้นพวกนางจะเป็นภรรยาเอก แต่ก็มีความเป็นศัตรูคู่แค้นกับสาวใช้ทงฝังเหล่านั้นอยู่ไม่น้อย เมื่อเห็นบุรุษผู้หนึ่งยอมทำถึงเพียงนี้เพื่อภรรยาตนก็อดที่จะอิจฉาริษยามิได้


 


 


เจ้าทำลายชีวิตข้า เช่นนั้นข้าก็ทำลายหัวใจเจ้าเสีย!


 


 


ไท่จื่อเฟยชำเลืองมองใบหน้าเจินเมี่ยวคราหนึ่งแล้วรอยยิ้มที่แฝงประกายเย็นเยียบนั้นก็พาดผ่านดวงตาไป


 


 


นางหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดขอบตา หยุดร้องไห้แล้วหันไปกำชับนางกำนัลว่า “รีบไปเปลี่ยนชาร้อนให้บรรดาฮูหยินเร็วเข้า”


 


 


แล้วหันไปมองบุตรชายข้างกายด้วยสายตาอ่อนโยน “คอแห้งแล้วกระมัง เดื่มน้ำผลซิ่งสักหน่อยดีหรือไม่”


 


 


เด็กน้อยพยักหน้าโดยมิได้เอ่ยสิ่งใด


 


 


บรรดาสตรีสูงศักดิ์ทั้งหลายเห็นแล้วก็ได้แต่ลอบถอนหายใจ


 


 


ต่างกล่าวกันว่าความสัมพันธ์ของเชื้อพระวงศ์นั้นเปราะบางยิ่ง แต่เกรงว่าความผูกพันที่พระราชนัดดาน้อยมีต่อตาของตนจะลึกซึ้งยิ่ง อายุยังน้อยแท้ๆ ก็เสียใจมากจนมิยอมพูดจาแล้ว


 


 


ชั่วครู่นางกำนัลหลายคนก็ยกชามาเปลี่ยนและยกน้ำผลซิ่งสีเหลืองส้มมาให้พระราชนัดดาด้วยเช่นกัน


 


 


เมื่อสตรีสูงศักดิ์เหล่านี้เอ่ยคำไว้อาลัยจบก็ถูกเชิญไปที่ห้องอาหาร เมื่อคนมาเบียดเสียดกันภายในห้องก็ยากจะหลีกเลี่ยงความร้อน ยิ่งคอยพูดคุยเป็นเพื่อนไท่จื่อเฟย คอก็ยิ่งแห้ง เมื่อเห็นคนยกชาเข้ามาใหม่ก็รีบยกขึ้นจิบทันที


 


 


เจินเมี่ยวนึกถึงคำกำชับของหลัวเทียนเฉิงจึงมิได้ดื่มเลย


 


 


ไท่จื่อเฟยลอบมองถ้วยชาที่เจินเมี่ยววางลงบนโต๊ะอย่างไม่ใส่ใจนั้นแล้วก็ยกมุมปากขึ้นยิ้มอย่างไรสุ้มเสียง


 


 


คนฉลาดย่อมต้องถูกความฉลาดทำให้พลาดพลั้งกระมัง นางได้จุดกลิ่นหอมชนิดหนึ่งขึ้นในห้องนี้ กลิ่นหมอนั้นบางเบายิ่งคล้ายดอกไม้หอมเท่านั้น เมื่ออยู่ในห้องนี้นานเข้าก็จะรู้สึกปวดท้อง ทว่าหากได้ดื่มชาร้อนๆ ก็จะช่วยแก้อาการนั้นได้ แต่นางกลับมิดื่ม นั้นก็เท่ากับรนหาที่ตายแล้ว


 


 


“พระราชนัดดาก็เหนื่อยแล้ว ในห้องนี้อากาศออกจะอับไปสักหน่อย เจ้าพาเขาไปเดินเล่นรับลมในสวนสักครู่เถิด”


 


 


นางกำนัลกลุ่มหนึ่งจึงพาพระราชนัดดาไป


 


 


ครั้นผ่านไปครู่หนึ่งเจินเมี่ยวก็รู้สึกไม่สบายท้องขึ้นมา เดิมคิดว่าจะอดกลั้นไว้ก่อน แต่สุดท้ายก็ทนไม่ได้จึงลุกขึ้นเอ่ยว่า “ไท่จื่อเฟย ข้าอยากจะไปเปลี่ยนอาภรณ์สักหน่อย”


 


 


การเอ่ยว่าไปเปลี่ยนอาภรณ์นั้นก็คือคำพูดอ้อมๆ ว่าจะไปปลดทุกข์นั้นเอง ทุกคนต่างก็รู้ดีแก่ใจทั้งสิ้น


 


 


ไท่จื่อเฟยรีบพยักหน้าทันทีแล้วเอ่ยกำชับนางกำนัลข้างกายด้วยเสียงแหบพร่า “พาเซี่ยนจู่ไปที”


 


 


แต่กลับมีคนอีกผู้หนึ่งยืนขึ้นบอกว่า “ข้าก็อยากจะไปเปลี่ยนอาภรณ์เช่นกัน”


 


 


เจินเมี่ยวมองดูคราหนึ่งก็เห็นว่าเป็นจังเฉาหวาหลานสาวของรองราชเลขาฝ่ายขวาแห่งกรมขุนนาง


 


 


นางเป็นคนชอบพูดคุย หากพูดมิน่าฟังหน่อยก็คือเป็นคนปากเปราะ แต่แน่นอนว่าย่อมมิได้เกินไปอันใดนัก บางคนยังชอบที่นางพูดจาขบขันอีกด้วย นับว่าเป็นเสน่ห์ที่มิได้มีพิษภัยอันใด ปีที่แล้วนางแต่งเข้าจวนหย่งจยาโหวไปเป็นพี่สะใภ้ของหยางชิงสหายสนิทของนางเอง


 


 


หยางเหลียนน้องสาวของหยางชิงนั้นเป็นสหายเล่าเรียนขององค์หญิงฟังโหรวจึงมิใคร่ชอบใจในตัวเจินเมี่ยวนัก เจินเมี่ยวเองก็มิได้มีความรู้สึกดีๆ ต่อหยางชิงและจังเฉาหวาอย่างแน่นอน


 


 


แต่การไปสุขานั้นมิจับเป็นต้องเดินจับมือเข้าไปด้วยกันเสียหน่อย ต่างคนต่างไปจะได้มิต้องไปขวางหูขวางตากัน


 


 


คนทั้งสองต่างพาสาวใช้ของตนไปด้วยโดยมีนางกำนัลเดินนำพาไป


 


 


สถานที่ประกอบพิธีนั้นอยู่ด้านหน้า ห้องรับรองที่บรรดาสตรีทั้งหลายอยู่กันนั้นก็อยู่ด้านหน้าซึ่งอยู่ห่างจากห้องปลดทุกข์ที่สตรีใช้ร่วมกันโดยเฉพาะอยู่พอสมควร


 


 


“เซี่ยนจู่ เดินข้ามสะพานไปก็ถึงแล้วเจ้าค่ะ”


 


 


เจินเมี่ยวปวดท้องอยู่จึงคร้านจะตอบได้แต่เดินจากไปอย่างรีบร้อน


 


 


จังเฉาหวาเดินค่อนข้างช้าจึงทิ้งห่างอยู่ด้านหลังระยะหนึ่งเลย


 


 


เมื่อขึ้นสะพานไปยังไม่ถึงครึ่งทาง นางก็เห็นพระราชนัดดาถือบุปผาช่อหนึ่งไว้ในมือแล้ววิ่งเข้ามา บ่าวไพร่ที่วิ่งตามหลังมากลุ่มหนึ่งนั้นต่างก็ร้องขึ้นด้วยความหวั่นใจ “พระราชนัดดา ช้าหน่อยเพคะ”


 


 


เมื่อเจินเมี่ยวเห็นเช่นนั้นก็หลบไปอีกทาง แต่ไม่ทราบด้วยเหตุใดพระราชนัดดาจึงได้พุ่งมายังฝั่งที่นางยืนอยู่


 


 


นางยื่นมือออกไปหวังประคองแต่กลับคว้าได้เพียงความว่างเปล่า พระราชนัดดาได้ตกลงไปในแม่น้ำแล้ว


 


 


“แย่แล้ว พระราชนัดดาถูกเจียหมิงเซี่ยนจู่ชนตกน้ำไปแล้ว!”


 


 


บรรดาบ่าวไพร่ที่ตามมาด้านหลังต่างก็ตกใจร้องเสียงดัง


 


 


จากเหตุการณ์ที่พลิกผันไปอย่างรวดเร็วนี้กลับทำให้เจินเมี่ยวสามารถสะกดกลั้นปวดท้องของตนไว้ได้ นางเก็บมือตนแล้วเอ่ยกำชับกับเชวี่ยเอ๋อร์ว่า “รีบลงไปช่วยพระราชนัดดาเร็ว”


 


 


เชวี่ยเอ๋อร์ว่ายน้ำเก่งยิ่ง นางรับคำแล้วกระโดดลงไปทันที นางว่ายน้ำพลิ้วไหวประหนึ่งมัจฉาเลยทีเดียว ไม่นานก็พาพระราชนัดดาขึ้นฝั่งมาได้


 


 


แต่ที่ไม่น่าเชื่ออย่างยิ่งคือ เวลาเพียงแค่ชั่วครู่เท่านั้นพระราชนัดดากลับสิ้นลมเสียแล้ว!


 


 


ครานี้คนทั้งหลายต่างตกใจกันใหญ่


 


 


ที่นี่ห่างจากห้องรับรองไม่ไกลนัก เสียงร้องโวยวายของบ่าวไพร่ก่อนหน้านี้ได้ลอยไปถึงที่นั่นแล้ว ครั้นไท่จื่อเฟยรีบพาสตรีสูงศักดิ์ทั้งหลายออกมาดูว่าเกิดอันใดขึ้นก็เห็นพระราชนัดดานอนนิ่งอยู่บนพื้น นางเซถลาเข้าไปหาทันทีแล้วผลักเอาเจินเมี่ยวที่เข้าไปดูอาการเช่นกันออกมา


 


 


แม่นมที่นั่งคุกเข่าร่ำไห้อยู่บนพื้นก็เอ่ยขึ้นว่า “พระราชนัดดาเก็บบุปผามาบอกว่าจะนำไปให้ไท่จื่อเย ท่านจะได้ดีใจ จึงรีบวิ่งกลับมาอย่างอดรนทนไม่ไหว ผู้ใดจะทราบว่าเจียหมิงเซี่ยนจู่กลับเข้ามาตรงหน้าพอดี ทั้งเดินเร็วยิ่งเกรงว่าคงจะชนพระราชนัดดาเข้าให้ถึงได้ตกลงไปเช่นนั้น”


 


 


นางพูดพลางตบหน้าตนโดยแรงคราหนึ่ง “เป็นเพราะบ่าวมิดูแลพระราชนัดดาให้ดี บ่าวสมควรตาย บ่าวสมควรตาย!”


 


 


เสียงตบหน้านั้นคล้ายตบเข้าไปถึงใจของทุกคน บรรดาสตรีสูงศักดิ์ทั้งหลายต่างหันมามองเจินเมี่ยวด้วยสายตาแปลกประหลาด


 


 


ต่อให้ไร้เจตนาที่จะชนแต่พระราชนัดดากลับต้องตายไป ต่อให้เป็นเซี่ยนจู่แล้วอย่างไร นางคงมิอาจหนีความผิดไปได้ แม้แต่จวนเจิ้นกั๋วกงก็มิอาจปกป้องนางได้แน่!


 


 


ไท่จื่อเฟยกระโจนเข้าไปหาบุตรตน เมื่อเห็นสองตาเขาปิดแล้ว ทั้งยังไม่หายใจ ก็แอบโล่งอกอยู่เงียบๆ


 


 


นางคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเด็กผู้นี้จะถูกช่วยขึ้นมาเร็วเพียงนี้


 


 


น่าแค้นสาวใช้ข้างกายเจียหมิงเซี่ยนจู่นัก คิดไม่ถึงว่าจะว่ายน้ำเก่งเพียงนี้ หากให้คนที่ดูแลบุตรนางลงไปช่วยด้วยการปล่อยทิ้งไว้สักครู่ เช่นนั้นการตายนี้ก็จะสมจริงอย่างยิ่ง


 


 


ดีที่นางได้ใส่ยากระตุ้นระบบโลหิตลงไปในน้ำผลซิ่งแล้ว ขอเพียงแต่เขาตกใจและร่างกายได้รับความเย็นหรือร้อนอย่างที่สุด หัวใจก็จะหยุดเต้นและตายทันที


 


 


“เจียหมิงเซี่ยนจู่ พวกนางพูดจริงหรือไม่” ไท่จื่อเฟยมองเจินเมี่ยวด้วยสายตาแค้นเคือง


 


 


ความแค้นนี้มิได้เป็นการเสแสร้งแต่อย่างไร และในสายตาของคนทั้งหลายก็รู้สึกว่ามันสมเหตุสมผลยิ่ง ไม่ว่าบุตรของผู้ใดถูกทำร้ายจนตาย อาจจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม ผู้เป็นมารดาก็ต้องแค้นเคืองจนแทบจะกินคนผู้นั้นทั้งเป็นได้เลย


 


 


เจินเมี่ยวเริ่มเข้าใจแล้วว่าตนกำลังตกลงไปในบ่วงกับดักนั้นเสียแล้ว


 


 


วาจาที่เอ่ยของบ่าวไพร่พวกนั้นมิต้องไปพูดถึงแล้ว แต่แผนการทั้งหมดย่อมมาจากคำสั่งของเจ้านายมากว่า ส่วนจังเฉาหวาที่เดินตามมาอยู่ด้านหลังนั้นทิ้งระยะจากนางไปพอสมควร ทั้งตอนที่เด็กน้อยวิ่งมานางก็บังเขาไว้ได้พอดี ในชั่วขณะที่เด็กน้อยตกน้ำนั้น สำหรับจังเฉาหวานั้นอาจพูดได้ว่ามองไม่เห็นไม่ถนัดเลยทีเดียว


 


 


บวกกับจังเฉาหวาที่มิเคยมีความรู้สึกดีอันใดกับนางมาก่อน คนเราก็ย่อมต้องพูดในสิ่งที่เป็นประโยชน์กับตนมากที่สุดตามสัญชาตญาณนั้นแล บอกกับวาจาของบ่าวไพร่ทุกคนที่ต่างกล่าวว่าเช่นนั้น จังเฉาหวาเองก็ถูกบดบังสายตาจึงมองไม่ถนัด เวลานี้แม้แต่ดวงตาก็สามารถหลอกคนได้


 


 


เจินเมี่ยวไม่เชื่อเช่นกันว่าเวลาสั้นๆ เพียงเท่านี้เด็กน้อยจะถึงกับตายได้ เกรงว่าเขาจะตายเพราะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันจนทำให้เกิดการตายปลอมๆ นี่ขึ้นแล้ว ไม่ว่าจะเพื่อตัวเองหรือเพื่อเด็กน้อยที่น่าต้องตายไปทั้งที่ยังเยาว์วัยอยู่แท้ๆ ผู้นี้ นางก็ต้องพยายามช่วยอย่างสุดความสามารถ เจินเมี่ยวดึงไท่จื่อเฟยออกมาแล้วทำการผายปอดให้เด็กน้อยผู้นั้น


 


 


“บ่าวไพร่ รีบจับนางออกมาเร็ว เจียหมิงเซี่ยนจู่เสียสติไปแล้ว” ไท่จื่อเฟยตะโกนเสียงเข้มขึ้นมา 

 

 


ตอนที่ 320 ช่วยชีวิต

 

ในอีกภพหนึ่งนั้นเจินเมี่ยวเป็นนักท่องเที่ยวอิสระ เช่นการช่วยเหลือฉุกเฉินนางก็เคยเข้าร่วมการอบรมระยะสั้นอยู่บ้าง แม้นี่จะเป็นการปฏิบัติจริงครั้งแรกแต่เมื่อลงมือทำอย่างถูกต้องและจริงจัง


 


 


ทว่าในสายตาคนอื่นก็คงรู้สึกเหมือนที่ไท่จื่อเฟยบอกว่าเจียหมิงเซี่ยนจู่เสียสติไปแล้วกระมัง


 


 


นางใช้ปากประกบปากของเด็กน้อย ทั้งมือสองข้างยังลูกไปมาอยู่บนหน้าอกของเด็กน้อยท่ามกลางสายตาคนทั้งหลาย หรือเพราะรู้สึกตกใจกับการตายของพระราชนัดดา?


 


 


ไท่จื่อเฟยเห็นคงทั้งหลายตะลึงลานกับการกระทำของเจินเมี่ยวจนหยุดอยู่กับที่ นางจึงเดินเข้าไปผลักเจินเมี่ยวด้วยตนเองทั้งเอ่ยด้วยว่า “พวกเจ้าเป็นศพหรือไร รีบจับตัวเจียหมิงเซี่ยนจู่ไว้เดี๋ยวนี้!”


 


 


เดิมการช่วยชีวิตนั้นเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาทุกขณะ เจินเมี่ยวก็มิได้ชำนาญปานนั้นทั้งต้องผายปอด ขณะเดียวกันก็คอยกดกระตุ้นตรงหน้าอกของเด็กน้อยไปด้วย เดิมก็วุ่นวายมากพอแล้ว เมื่อตกอยู่ในสภาวะอันตึงเครียดอย่างที่สุดแต่ไท่จื่อเฟยยังวิ่งเข้ามาลากดึงนางอีก นางจะมิทันได้คิดสิ่งใดร่างกายก็ตอบโต้ไปก่อนที่จะหัวจะได้คิดสิ่งใดเสียอีก


 


 


เจินเมี่ยวยันเท้าออกไปถีบไท่จื่อเฟยผู้โวยวายจนกระเด็นไป ทำให้บ่าวไพร่ที่กำลังล้อมเข้ามาหวังจะดึงนางออกไปตะลึงลานอีกครา


 


 


ไท่จื่อเฟยล้มลงบนพื้น ปิ่นปักผมจึงร่วงหล่น ผมของนางร่วงสยายในทันใด


 


 


ผู้ที่มีบรรดาศักดิ์สูงส่งย่อมต้องเรียกร้องกับตนเองสูงอยู่ตลอดเวลา ไท่จื่อเฟยชินเสียแล้วกับการมีท่วงท่าหน้าตาอันสง่างามท่ามกลางฝูงชน นางมิเคยตกอยู่ในสภาพอันย่ำแย่เช่นนี้มาก่อนจึงเอ่ยปากออกไปไวกว่าความคิดในหัวเสียอีกว่า “แม่นมหัน รีบมามัดมวยผมให้ข้าเดี๋ยวนี้!”


 


 


คนทั้งหลายได้ยินวาจานี้ต่างก็รู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง ทว่าเมื่อเห็นผมที่สยายนั้นของไท่จื่อเฟยกลับบอกไม่ถูกว่ามันผิดแปลกที่ตรงใด


 


 


ไท่จื่อเฟยทราบว่าตนเผลอเอ่ยวาจามิใคร่สมควรนักออกมาจึงพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “ไปเอาตัวเจียหมิงเซี่ยนจู่ออกมาเดี๋ยวนี้!”


 


 


เจินเมี่ยวเหนื่อยจนเหงื่อออกเต็มศีรษะ เมื่อเห็นบ่าวไพร่ล้อมเข้ามาก็ทนไม่ไหวอีกต่อไปจึงเอ่ยต่อว่าด้วยโทสะว่า “รีบออกไปให้ห่างเดี๋ยวนี้ พวกเจ้าเข้ามาล้อมวงใกล้เพียงนี้อากาศย่อมไม่ถ่ายเท มิอยากให้พระราชนัดดามีชีวิตอยู่แล้วหรือไร”


 


 


นางพูดพลางใช้สายตาโกรธเกรี้ยวมองไปยังไท่จื่อเฟย แล้วแค่นยิ้มเย็นพลางเอ่ยว่า “ไท่จื่อเฟยก็ช่างแปลกจริงๆ พระราชนัดดาเป็นถึงเพียงนี้แล้วยังมิรีบกำชับคนไปเชิญหมอหลวงแต่กลับจะให้คนมาขวางการช่วยชีวิตของข้า หากมิทราบมาก่อนคงคิดว่าพระราชนัดดามิใช่บุตรของท่านเป็นแน่!”


 


 


“เจ้าอย่าได้พูดจาเหลวไหล!” ไท่จื่อเฟยเอ่ยเสียงเข้มด้วยใบหน้าที่เปลี่ยนสีไปทันที


 


 


นางข่มท่าทีพิรุธของตนไว้อย่างสุดกำลัง ท่าหัวใจกลับยังคงเต้นเร็วรัวอยู่ นางสั่งให้คนไปตามหมอหลวงมาแล้วเอ่ยเสียงเข้มว่า “เจียหมิงเซี่ยนจู่นี่คือการช่วยชีวิตงั้นหรือ ข้าคิดว่ามันคือการทำร้ายพระราชนัดดามากกว่ากระมัง เจ้ารีบออกห่างจากเขาเดี๋ยวนี้!”


 


 


บรรดาบ่าวไพร่กำลังอึ้งงันในความเกรี้ยวกราดของเจินเมี่ยวอยู่ ไท่จื่อเฟยเองกำลังอยู่ในช่วงลนลานจึงลืมเร่งเร้าพวกเขา แต่กลับไปดึงเจินเมี่ยวออกมาเอง


 


 


เจินเมี่ยวยกเท้าขึ้นเตะไท่จื่อเฟยกระเด็นไปอีกครา


 


 


ครานี้ไท่จื่อเฟยล้มศีรษะไปกระแทกหินก้อนหนึ่งจึงหมดสติไป


 


 


“สวรรค์ เจียหมิงเซี่ยนจู่ทำไท่จื่อเฟยตายแล้ว!” ในที่สุดบรรดาบ่าวไพร่ก็มีสติคืนมา คนส่วนหนึ่งเข้าไปช่วยดูแลไท่จื่อเฟย อีกส่วนหนึ่งหวังจะเข้าไปจับตัวเจินเมี่ยวไว้


 


 


สตรีผู้มีบรรดาศักดิ์ทั้งหลายต่างค่อยๆ ถอยหลังออกห่างด้วยกลัวว่าจะถูกลากเข้าไปเกี่ยวข้อง สายตาที่มองการกระทำอันแปลกประหลาดของเจินเมี่ยวนั้นเต็มไปด้วยความสงสารและตกใจระคนหวาดกลัว


 


 


เจียหมิงเซียนจู่อาจจะเสียสติไปแล้วจริงๆ ถึงได้กล้าเตะแม้กระทั่งไท่จื่อเฟย ต่อให้ไม่มีเรื่องพระราชนัดดา นางก็คงต้องรับผลการกระทำนี้อยู่วันยังค่ำ อย่างไรก็ควรต้องหลีกหนีให้ไกลจากสตรี


 


 


เจินเมี่ยวกลับมิได้คิดอันใดมากเพียงนั้น


 


 


นางทราบเรื่องที่ไท่จื่อก่อกบฏนานแล้ว ไท่จื่อเฟยก็เป็นเพียงแค่ตั๊กแตนหลังสารทฤดู ผู้ใดต้องกลัวผู้ใดกัน!


 


 


ครั้งนี้นางพาอาหลวนกับเชวี่ยเอ๋อร์มาด้วย พวกนางสองคนพยายามขวางไว้สุดกำลังแต่คนที่ไม่เกี่ยวข้องทั้งหลายก็เข้ามาฉุดกระชาก พลันได้ยินเสียงคนผู้หนึ่งดังขึ้นว่า “หยุด พวกเจ้ากำลังทำอันใดกัน”


 


 


เสียงเอะอะจากที่นี่กังไปถึงฝั่งแขกเหรื่อบุรุษ หันซูมีเพียงไท่จื่อเฟยเป็นบุตรเพียงคนเดียว ไม่มีบุตรชาย แขกบุรุษหลายคนจึงมิเหมาะมาร่วมพิธีศพ ที่องค์ชายหลายพระองค์มาร่วมพิธีศพก็เพราะเป็นน้องชายของสามีนาง ทั้งมีบรรดาศักดิ์สูงส่งจึงมาร่วมพิธีนี้ด้วย


 


 


ผู้ที่มาคือองค์ชายสี่ องค์ชายห้าและองค์ชายหก ผู้ที่พูดคือองค์ชายหกนั่นเอง


 


 


เดิมนั้นเขาได้เข้าไปรับลูกธนูแทนองค์ชายห้าในเหตุการณ์จราจรนอกเมืองจนได้รับบาดเจ็บ แต่ดีที่บาดเจ็บเพียงแค่หัวไหล่จึงมิเป็นอันใดมาก สุดท้ายก็มาร่วมพิธีศพด้วยตนเองโดยไม่สนคำทัดทานของทุกแต่เจาเฟิงตี้กลับรู้สึกดีกับการกระทำเช่นนี้ของเขา


 


 


คนทั้งหลายต่างรีบถวายพระพร มีเพียงเจินเมี่ยวที่มิสนใจ นางยังคงทุ่มเทแรงทั้งหมดเพื่อช่วยเหลือเด็กน้อยผู้นั้นต่อไป


 


 


ความจริงตอนที่เจินเมี่ยวถีบไท่จื่อเฟยเป็นครั้งที่สองนั้น องค์ชายทั้งสามก็มาถึงแล้วแต่เพราะกำลังตกใจกับการกระทำนี้ของนางจึงทำให้ลืมส่งเสียงห้ามปรามออกไป


 


 


“เกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่”


 


 


แม่นมผู้หนึ่งเอ่ยอย่างเข็นเขี้ยวเคี้ยวฟันขึ้นว่า “เรียนเฉินอ๋อง เจียหมิงเซี่ยนจู่ชนพระราชนัดดาจนตกน้ำไปแล้วยังกระทำบางอย่างที่แปลกประหลาดยิ่ง ทั้งยังห้ามมิให้ไท่จื่อเฟยเข้าใกล้ และ…และถีบไท่จื่อเฟยล้มจนหมดสติไปเพคะ”


 


 


แม่นมผู้นี้เป็นคนสนิทของไท่จื่อเฟย เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ก็โมโหยิ่งจึงเอ่ยเสริมอีกว่า “เจียหมิงเซี่ยนจู่ถีบไท่จื่อเฟยถึงสองครั้ง ขอท่านอ๋องทั้งสามพระองค์ช่วยทวงความเป็นธรรมให้ไท่จื่อเฟยของหม่อมฉันด้วยเพคะ!”


 


 


นางเอ่ยแล้วก็ร้องไห้ขึ้นมา “ไท่จื่อเฟยของหม่อมฉันเพิ่งจะสูญเสียบิดาไป พระราชนัดดาก็มาพบเรื่องเช่นนี้อีก ไท่จื่อเฟยจะมีชีวิตอยู่อย่างไรกันเพคะ!”


 


 


เจาเฟิงตี้นั้นปิดบังเรื่องไท่จื่อก่อกบฏกับองค์ชายหลายพระองค์ ดังนั้นองค์ชายสี่ องค์ชายห้าจึงไม่รู้ว่าไท่จื่อเฟยนั้นได้กลายเป็นลูกธนูที่พุ่งไปไกลจนไร้กำลังแล้ว องค์ชายห้าขมวดคิ้วเอ่ยขึ้นว่า “หากเป็นเช่นนั้นจริงก็จักต้องให้ความเป็นธรรมกับพี่สะใภ้แน่”


 


 


ยามนี้แม้นไท่จื่อจะสูญเสียความโปรดปรานจากเสด็จพ่อจริงแต่สำหรับไท่จื่อเฟยและพระราชนัดดา เสด็จพ่อมิเคยแสดงความโกรธเคืองอันใดให้เห็นเลย อีกอย่าง หากพวกเขาไม่ไยดีอันใดต่อไท่จื่อเฟยในยามนี้ก็เกรงว่าเสด็จพ่อจะคิดว่าพวกเขาไม่รักพี่น้อง รู้จักเพียงแต่ซ้ำเติมกันเท่านั้น


 


 


องค์ชายหกได้ยินเช่นนั้นก็ค่อยๆ ยกมุมปากตนขึ้น


 


 


เรื่องไท่จื่อก่อกบฏเขาย่อมต้องทราบดี ไม่เพียงเท่านั้นแม้แต่เรื่องการตายของซูหันก็เป็นแผนที่พวกเขาปรึกษาหารือกันมาก่อนแล้วจึงได้กระทำเช่นนี้


 


 


ในเมื่อไท่จื่อกับซูหันสั่งการลอบสังหารเพื่อจัดการพวกเขาเหล่าองค์ชายและเพื่อมิให้มีพิรุธ เขาผู้มีตำแหน่งเป็นรองเสนาบดีฝ่ายซ้ายแห่งกรมขุนนางจึงต้องไปร่วมส่งเสด็จด้วย เช่นนั้นพวกเขาก็จะอาศัยโอกาสนี้ลอบยิงธนูปลิดชีพซูหันเสีย


 


 


เขามองเจินเมี่ยวคราหนึ่งแล้วลูบคางตน


 


 


หากพระราชนัดดาตายจริงๆ เกรงว่านางคงยากจะพ้นผิดได้


 


 


เวลานี้เองก็ได้ยินเสียงสำลักอันอ่อนแรงของเด็กน้อยดังขึ้น เปลือกตาเขาขยับปรือขึ้น


 


 


เจินเมี่ยวนั่งลงกองกับพื้นดั่งปลดภาระอันหนักอึ้งออกจากร่างได้กระนั้น นางเหนื่อยเสียจนหายใจหอบ


 


 


อาหลวนรีบเข้ามาเช็ดเหงื่อให้นาง


 


 


เจินเมี่ยวชี้ไปยังเด็กน้อยที่นอนอยู่บนพื้นพลางเอ่ยว่า “พระราชนัดดาฟื้นแล้ว พื้นเย็น รีบพาไปที่ห้องพักก่อนเถิด หมอหลวงจะได้มาตรวจรักษาต่อ”


 


 


“พระราชนัดดาฟื้นแล้ว?” นางกำนัลสองคนรีบเข้าไปประคอง ไท่จื่อเฟยที่ฟื้นขึ้นมาแล้วนั้นถึงกับตกตะลึงอึ้งงัน “ก่อนหน้านี้พระราชนัดดาไม่หายใจแล้วมิใช่หรือ!”


 


 


เจินเมี่ยวเพียงมองนางด้วยความแปลกใจคราหนึ่ง “ก่อนหน้านี้เขาคงยังไม่ตาย ดังนั้นเมื่อข้าช่วยให้เขาหายใจ เขาจึงตื่นขึ้นมาอย่างไรเล่า”


 


 


เมื่อนางอธิบายจบก็ขมวดคิ้วพิจารณาไท่จื่อเฟยคราหนึ่ง แล้วเอ่ยพูดถึงความรู้สึกประหลาดในใจออกมา “พระราชนัดดาฟื้นแล้ว เหตุใดไท่จื่อเฟยเพียงตกใจ แต่ไม่เห็นยินดีเลยเล่า”


 


 


“เจ้าพูดเหลวไหลอันใดกัน” ไท่จื่อเฟยโกรธเกรี้ยวขึ้นมา “เขาเป็นบุตรแท้ๆ ของข้า เขาฟื้นแล้วข้าจะไม่ดีใจได้อย่างไร”


 


 


เจินเมี่ยวเม้มริมฝีปากตน แล้วเอ่ยอย่างไม่อนาทรว่า “ไท่จื่อเฟยร้อนรนอันใด พูดประหนึ่งว่าข้าสงสัยว่าพระราชนัดดามิใช่บุตรท่านกระนั้น อีกอย่างในเมื่อเขาฟื้นแล้ว เหตุใดท่านไม่รีบมาดูเขาเล่า”


 


 


ไท่จื่อเฟยหน้าเปลี่ยนสีไปทันทีแล้วรีบเข้าไปดูบุตรตนทันที


 


 


ความรู้สึกผิดแปลกในใจเจินเมี่ยวก็ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นไปอีก


 


 


เมื่อนางจะตามไปก็ถูกไท่จื่อเฟยขวางไว้ “คงมิกล้ารบกวนเซี่ยนจู่แล้ว เพื่อหลีกเลี่ยงเรื่องอื่นใดที่จะเกิดขึ้นกับบุตรข้าอีก”


 


 


“เพราะทุกคนต่างบอกว่าที่พระราชนัดดาตกน้ำนั้นเกี่ยวข้องกับหม่อมฉัน หม่อมฉันยิ่งควรตามไป มิเช่นนั้นก็คงเข้าใจผิดกันไปใหญ่” เจินเมี่ยวเดินตามไปคล้ายมิได้สนใจฟังคำทัดทานของไท่จื่อเฟยเลยกระนั้น


 


 


บ่าวไพร่เข้ามาขวางไว้ องค์ชายหกจึงเอ่ยเสียงเรียบว่า “เจียหมิงเซี่ยนจู่พูดมีเหตุผล พวกเข้าตามไปดูสักหน่อยเถิด”


 


 


คนกลุ่มหนึ่งจึงตามเข้าไป เมื่อหมอหลวงตรวจเสร็จก็เห็นพระราชนัดดาลืมตาขึ้นด้วยสีหน้ามึนงง


 


 


“รุ่ยเกอ?” ไท่จื่อเฟยเรียกชื่อเขาคราหนึ่ง


 


 


นัยน์ตาเด็กน้อยกลอกกลิ้งไปมาแต่ก็มิได้พูดอันใด


 


 


“หมอหลวง พระราชนัดดาเป็นอย่างไรบ้าง”


 


 


“ทูลไท่จื่อเฟย อาจเป็นเพราะทรงตกน้ำจึงตกพระทัยยิ่ง ตอนนี้จึงยังมิได้สติดี รออีกสักสองสามวันอาการคงดีขึ้นพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


ไท่จื่อเฟยถอนหายใจโล่งอกออกมา


 


 


“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ น้องจะไปส่งพี่สะใภ้กับหลานกลับวังเอง” องค์ชายห้าเอ่ยขึ้น


 


 


ไท่จื่อเฟยมีสีหน้าลังเลขึ้นมาทันที แต่ในใจกลับทั้งหงุดหงิดทั้งขุ่นเคือง


 


 


กลับวังเมื่อใดหากคิดจะทำลงมืออีกก็คงมิง่ายเท่าอยู่ในจวนรองเสนาบดีแล้ว


 


 


หากเด็กคนนี้ยังมีชีวิตอยู่ย่อมต้องเป็นภัยพิบัติในสักวัน!


 


 


เรื่องทั้งหมดนี้ต้องโทษเจียหมิงเซี่ยนจู่แต่เพียงผู้เดียว


 


 


“พี่สะใภ้ รุ่ยเกอฐานะสูงส่ง หากเกิดเรื่องใดขึ้น เสด็จพ่ออาจทรงตำหนิเอาได้” องค์ชายหกเห็นไท่จื่อเฟยไม่เอ่ยอันใดเสียที จึงเอ่ยเตือนขึ้น


 


 


แน่นอนว่าเขามิได้ใส่ใจในความเป็นความตายของรุ่ยเกอ แต่เมื่อต้องเข้ามาอยู่ในสถานการณ์นี้แล้ว หากไยดีก็ไม่แน่ว่าเสด็จพ่ออาจจะกล่าวโทษพวกเขาเอาได้


 


 


ไท่จื่อเฟยขัดใจยิ่งแต่กลับทำได้เพียงพยักหน้า “อืม”


 


 


 นางชำเลืองมองเจินเมี่ยวครู่หนึ่งแล้วเอ่ยเสียงเย็นชาว่า “ข้าคิดว่าเจียหมิงเซี่ยนจู่ก็เข้าวังไปด้วยกันเถิด รุ่ยเกอตกน้ำเช่นนี้ หากเสด็จพ่อทรงถามถึงก็จะได้มิต้องไปเชิญที่จวนกั๋วกง”


 


 


เจินเมี่ยวมองไท่จื่อเฟยอย่างล้ำลึกคราหนึ่ง


 


 


นางรู้สึกจริงๆ ว่านี่มิใช่การคิดไปเอง เหตุใดไท่จื่อเฟยจึงเอาแต่จะเอาเรื่องที่รุ่ยเกอตกน้ำโยนใส่ศีรษะนางเล่า?


 


 


หรือว่านี่คือแผนการของนาง?


 


 


ทว่ามารดาที่ใดจะเอาความปลอดภัยของบุตรมากลั่นแกล้งผู้อื่นเล่า?


 


 


เมื่อคิดถึงตรงนี้นางก็ยิ่งรู้สึกแปลกใจขึ้นไปอีก ตอนนั้นรุ่ยเกอไม่หายใจแล้วแต่ไท่จื่อเฟยเอาแต่คาดคั้นนาง แม้แต่เรื่องตามหมอหลวงก็ไม่ทันคิดถึง


 


 


หรือนี่คือความไร้หัวใจของบรรดาราชนิกุลกระมัง


 


 


เจินเมี่ยวพยายามหาเหตุผลมาอธิบายแก่ตน นางเม้มริมฝีปากแล้วเอ่ยว่า “หม่อมฉันเคยบอกแล้วว่าการตกน้ำของพระราชนัดดานั้นไม่เกี่ยวอันใดกับหม่อมฉัน ทั้งตอนนี้ก็ยังฟื้นแล้วอีกด้วย หรือไท่จื่อเฟยจะให้หม่อมฉันรับโทษให้ได้?”


 


 


ไท่จื่อเฟยแค่นยิ้มเย็น “มิบังอาจ ทั้งหมดล้วนขึ้นอยู่กับเสด็จพ่อทั้งสิ้น ต่างรู้กันดีว่าตอนนั้นบ่าวไพร่ล้วนเห็นกันทั่ว อ้อ ใช่แล้ว ยังมีสะใภ้ของจวนหย่งจยาโหวอีกคนที่เห็นทุกอย่างอย่างชัดเจน”


 


 


นางรู้ว่าเสด็จพ่อนั้นคิดทิ้งขว้างนางและบุตรดแล้ว แต่อย่างไรนางก็มิอาจทำให้เรื่องมันเลวร้ายไปมากกว่านี้ได้แล้ว ในเมื่อการก่อกบฏของไท่จื่อเป็นเรื่องที่ต้องปิดบังไว้ เรื่องในวันนี้เสด็จพ่อก็จำเป็นต้องจัดการให้แก่นาง!


 


 


เป็นเจียหมิงเซี่ยนจู่แล้วอย่างไร หากครานี้ไม่ตายก็ต้องถลกหนังของนางออกมาสักชั้นให้ได้!


 


 


“สะใภ้จวนหย่งเจียโหวเดินอยู่ด้านหลังของหม่อมฉัน นางย่อมถูกบดบังสายตาไปหมด แล้วจะเชื่อได้อย่างไรว่าเห็นจริงๆ ส่วนบ่าวไพร่พวกนั้น…วาจาของข้ามิน่าเชื่อถือเท่าวาจาของพวกเขากระนั้นเชียวหรือ อีกอย่าง แม้อยากจะไปพูดจากันให้เข้าใจต่อหน้าพระพักตร์เพียงใด หม่อมฉันก็คิดว่าควรรอให้รุ่ยเกอหายดีก่อนแล้วค่อยพูดคุยเถิด”


 


 


เจินเมี่ยวกล่าวถึงตรงนี้ก็เอ่ยเหน็บแนมขึ้นอีกประโยคว่า “ในเมื่อรุ่ยเกอสุขภาพมิค่อยดีเช่นนี้มาตลอด ทั้งยังตกน้ำด้วย เกรงว่าคงต้องดูแลเอาใจใส่ให้ดีกว่านี้”


 


 


“เหลวไหล รุ่ยเกอร่างกายแข็งแรงยิ่ง หากเป็นอันใดขึ้นมา สาเหตุก็มาจากการตกน้ำครั้งนี้นั้นแล เจียหมิงเซี่ยนจู่ช่างรู้จักผลักไสนัก!”


 


 


เจินเมี่ยวได้ยินเช่นนี้กลับหรี่ตาลงเล็กน้อย

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม